ตอนที่ 30
" เสียงๆนั้น... "
(คุณอาชัช พากย์)“ ผู้กำกับครับ คุณรักแจ้งผมมาว่าเขาติดต่อคุณเนตรไม่ได้ครับ ” เสียงปลายสายเอ่ยขึ้นแทบจะทันทีที่เขารับสาย ชายวัยกลางคนนิ่งขึงไปเล็กน้อย เนื่องด้วยก่อนหน้าที่บอดี้การ์ดของเขาหรือศร ที่ลูกชายเพื่อนสนิทเอ่ยปากขอร้องเขาว่าให้ส่งคนไปดูแลรัก เพราะกำลังตกอยู่ในอันตราย จากใครซักคนที่เขากับเนตรมั่นใจแล้วว่าต้องใช้แน่นอน สืบสาวหาเบาะแสอยู่นาน จนสุดก็รู้ตัวซักทีว่าเป็นใคร
และพอความจริงถูกเปิดเผย เขาก็ต้องตกใจไม่แพ้ไอ้ภูมิและเนตร เพราะใครจะรู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น กลับกลายเป็นเด็กคนหนึ่งที่เขาเคยเจอมาเมื่อหลายปีมาแล้ว จากเหตุการณ์ที่ทำให้เพื่อนของเขาแทบล้มทั้งยืน จนเขาที่สนิทกับมามันมาตั้งเกือบยี่สิบปี ยังไม่เคยเห็นท่าทีของมันแบบนั้นมาก่อนเลย
เด็กคนนั้นที่ยืนหน้าเศร้าหมองอย่างที่สงสารข้างๆ แม่ของเจ้าตัวอยู่ตลอดเวลาแต่ไม่มีน้ำตาซักหยด มีเพียงความโศกเศร้าที่ฉายออกมาจากสายตาคู่นั้นที่สบตาเขาเพียงชั่วครู่ ก่อนจะหลุบตาลงแล้วยืนแบบนั้นจนจบงานโดยที่ไม่ขยับเขยื้อนตัวเลยซักนิด
ผ่านไปสิบกว่าปี เด็กคนนั้นที่ท่าทางเศร้าสร้อยคนนั้นกลายมาเป็นผู้ที่เป็นต้นเหตุของสิ่งเลวร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเพื่อนเขา เขาแทบไม่อยากจะเชื่อเมื่อรู้ความจริง
เมื่อครู่ก่อนที่จะรับสายศร เขาได้รับข้อความมาจากเนตร ด้วยประโยคที่ว่า ‘ผมกำลังถูกตาม’ ประโยคเดียวที่ทำให้เขาตกใจแทบจะขับรถตามไปหาจุดที่เนตรอยู่เลยทันที ตามตัวติดตามสัญญาณที่เขากับเนตรตกลงกันว่าจะติดไว้ที่มือถือของเนตร เมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นจะได้ช่วยได้ทันที แต่เขาก็ตั้งสติ แล้วประสานงานกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่บริเวณที่ใกล้กับเคียงกับจุดที่เนตรอยู่มากที่สุดแล้วส่งคนเข้าไปช่วยเหลือก่อน ส่วนตัวเขานั้นจะพยายามติดต่อหาเพื่อนเขาก่อนแล้วจะตามไปสมทบ
แต่ศรก็โทรมาซะก่อน เขาจึงลังเลว่าจะบอกรักดีหรือไม่ว่าเนตรกำลังตกอยู่ในอันตราย แต่เขาก็จำใจต้องบอก เพราะหากปิดรักต่อไป ก็กลัวว่าเจ้าตัวจะกระวนกระวายใจจนผลีผลามทำอะไรลงไปโดยที่จะทำให้ตัวเองเกิดอันตรายได้ คราวนั้นเหตุการณ์อาจจะยิ่งไปกันใหญ่ เขากำชับให้ศรดูแลฝ่ายนั้นให้ดี อย่าให้คลาดสายตา และให้รออยู่ที่บ้าน ห้ามไปไหนเป็นอันขาด ไม่รู้ว่าคนร้ายจะวานจ้างใครมาอีกบ้าง
หลังจากวางสายไป เขาจึงหลับตาทำใจอยู่พักหนึ่งแล้วโทรหาเพื่อนสนิทของเขา เสียงสัญญาณดังอยู่สองสามครั้งก่อนที่อีกฝ่ายจะรับสาย
“
ไอภูมิ ข้ามีอะไรจะบอก ”
(เนตรนภิศ พากย์)เอี๊ยดดดดดดเสียงล้อครูดกับพื้นถนนอย่างแรงดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดเนื่องจากเป็นบริเวณที่รถผ่านสัญจรค่อนข้างน้อย รถหรูสัญชาติยุโรปสีควันบุหรี่หยุดนิ่งทันทีที่คนขับเหยียดเบรกจนมิด
เขานั่งกำพวงมาลัยแน่น ความตึงเครียดเริ่มก่อตัวอย่างรวดเร็วในนาทีที่เขาเห็นรถเก่ากลางใหม่คันหนึ่งเบี่ยงออกจากหลังรถเขาไปข้างหน้าแล้วเบรกกะทันหันแทบจะทันทีกับที่เขาหยุดรถ และก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีรถคันไหนผ่านมาทางนี้ด้วย เพราะมันเป็นเส้นทางลัดไปไหนซักที่ที่รอบๆ นั้นเต็มไปด้วยหญ้า
เป็นสถานที่ที่เขาเสี่ยงจะโดนเก็บได้ง่ายเสียจริง
อะไรดลใจให้เขาขับมาทางนี้กันนะ นี่ก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน คิดแค่ว่าอยากจะจบๆ เรื่องนี้ไปซะ
ก่อนที่เขาจะเบี่ยงออกมาเส้นทางนี้ เขาได้ส่งข้อความหาอาชัชแล้วว่าเขากำลังถูกตาม ก็ไม่รู้ว่าทางนั้นจะว่ายังไงเหมือนกัน มัวแต่มองทางอย่างเดียว เพราะรถคันที่อยู่ตรงหน้าเขาเล่นตามมาตลอด เรียกได้ว่าจงใจให้เขารู้ตัวเลยก็ว่าได้ ตอนนี้ก็ได้แต่รอดูท่าทีว่าอีกฝ่ายจะเอายังไง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีใครลงมาจากรถคันข้างหน้าเขาเลย เขารู้ดีว่าไม่ควรลงไป เพราะไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นจะเล่นตุกติกอะไรหรือไม่ เผลอๆ อยู่ดีๆ รอให้เขาเผลอตัวแล้วมันอาจจะซุ่มยิงอยู่ หรืออะไรก็ตามแต่ที่เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายตั้งใจวางแผนมาให้เขาตกอยู่ในอันตราย และเขาก็ดันเต็มใจตกลงไปในหลุมพรางของมันด้วยสิ นี่ก็ยังคิดๆ อยู่ว่าเขาพลาดหรือเปล่าที่ตัดสินใจโดยที่ไม่ได้ปรึกษาใคร
ไฟท้ายของรถคันข้างหน้าเขาดับลง ไม่นานนักประตูฝั่งคนขับก็ถูกเปิดออก ร่างของคนคนหนึ่งที่เขาตามสืบคนรู้ตัวว่าเป็นใครก็ก้าวออกมาจากรถ มองจากตรงนี้ก็เห็นได้ว่าในมือของคนคนนั้นไม่มีอะไรอยู่ แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่พกอาวุธ แต่เขาก็ยังไม่ได้ขยับตัวเพราะต้องการจะดูท่าทีว่าคนข้างนอกนั้นจะมาไม้ไหน
นนท์นทีเดินตรงมายังรถเขาด้วยท่าทีเอื่อยๆ ไม่ทุกข์ร้อนใจใดๆ ถึงแม้ว่าตนเองกำลังจะทำเรื่องอะไรร้ายแรงหรือไม่ก็ตาม สีหน้าไม่แสดงอารมณ์จนเขาที่มองอยู่ในรถยังนึกกลัวอยู่ลึกๆ ด้วยไม่แน่ว่าตัวเองควรจะออกจากรถดีหรือเปล่า สักพักคนหน้าตายข้างนอกก็เดินมาถึงหน้ารถเขา พร้อมกับกวักมือให้เขาลงจากรถ
บอกตรงๆ ว่าเขาไม่ได้เก่งเรื่องการต่อสู้ใดๆ เพียงแค่ป้องกันตัวได้เท่านั้น ไม่เหมือนรักที่จะตัวเล็กกว่าเขาค่อนข้างเยอะแต่กลับแข็งแรง เพราะฉะนั้นหากนนท์นทีจะทำอะไรก็ตามที่เป็นการทำร้ายเขานั้น บอกเลยว่าเขาคงจะยื้อเวลาได้ไม่นานนัก ก่อนที่เขาจะหมดแรง
เขานั่งหลับตาเรียกกำลังใจให้ตัวเองก่อนจะตัดสินใจไม่ดับรถแล้วคว้าเอากุญแจออกมาด้วย ถึงแม้ว่ารถมันอาจจะดับถ้าไม่ได้สัญญาณของกุญแจเป็นเวลานาน แต่ก็ยังสามารถยื้อเวลาได้หน่อยถ้าเกิดอะไรขึ้นมา เขาก็จะได้ขึ้นรถแล้วขับออกไปได้ทันที
“ ไง ” นนท์นทีเอ่ยทักเขา แต่เขาก็ไม่ได้ตอบอะไรนอกจากมองอีกฝ่ายก็เท่านั้น
“ รู้ใช่ไหมว่าผมเป็นใคร ”
“ รู้สิ รู้ดีทีเดียว ” ผมตอบด้วยน้ำเสียงติดจะเหยียดนิดๆ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เดือดร้อนที่ผ่านๆ มา บอกตามตรงว่าเขาแค้นใจที่คนตรงหน้าก่อเรื่องให้คนรอบตัวเขามากมาย แต่ก็อย่างว่าแหละ แค้นไปแค้นกลับ เรื่องมันก็ไม่จบสักที เขาจึงพยายามใจเย็น
“ จะโทษผมไม่ได้นะ ก็ในเมื่อผมเป็นฝ่ายถูกกระทำก่อน ”
“ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ผมขอถามนะว่าที่ผ่านมาคุณรู้บ้างไหมว่าพ่อของผมเขาทรมานแค่ไหนกับเหตุการณ์ที่ทำให้พ่อคุณต้องตาย ”
“ แล้วผมขอถามกลับนะ ว่าพวกคุณสนใจบ้างไหมว่าหลังจากนั้นผมจะเป็นตายร้ายดียังไง!คุณไม่รู้หรอกว่าผมก็ทรมานเหมือนกัน! ใช่สิ คนตายมันก็ตายไปแล้ว คนไม่เคยเสียอะไรอย่างพวกคุณมันจะไปรู้อะไร! ” คนตรงหน้าเขาตะโกนอย่างแค้นใจ สีหน้าเริ่มบิดเบี้ยวอย่างคนที่สูญเสียมาอย่างสาหัส “ คุณรู้ไหมว่าหลังจากนั้นผมต้องเจอกับอะไรบ้าง หึ! ไม่เลยล่ะสิ เห็นมีความสุขกันเหลือเกิน ”
“ ผมเสียใจจริงๆ ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ ” เขาได้แต่พูดออกไปอย่างจนใจ ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปให้คนตรงหน้ารู้ว่าครอบครัวเขาเสียใจขนาดไหน ในเมื่อเจ้าตัวฝังใจแค้นขนาดนี้
“ คนไม่เคยเสียอะไรมันก็พูดง่ายนี่ ”
“ แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ไม่ควรลากคนที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ”
“ หึ! เป็นยังไงล่ะ รสชาติของความเจ็บปวด ดิ้นพล่านเลยใช่ไหมล่ะ ” เขากำหมัดมือแน่นขึ้นเมื่อได้ยินที่อีกฝ่ายพูดด้วยความสะใจ
“ เอาจริงๆ ผมก็ไม่คิดว่าคุณจะดวงดีรอดมาได้ถึงตอนนี้นะ ”
“ เป็นฝีมือของคุณจริงๆ ” คนฟังหัวเราะลั่น
“ แล้วคิดว่าเป็นใครล่ะ คุณนี่ก็ฉลาดนะ อุตส่าห์สืบจนรู้ นึกว่าจะปล่อยให้ผมเล่นงานคุณอยู่ฝ่ายเดียว ” นนท์นทีหันหลังเดินกลับไปที่รถของตัวเอง อ้อมไปเปิดประตูฝั่งของคนนั่งข้างคนขับแล้วมองมาทางเขาที่ยืนอยู่ที่เดิม บุ้ยหน้าให้เข้าไปในรถ เขายืนมองชั่งใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะเดินตามไป ความคิดในหัวตีกันสับสนวุ่นวายไปหมด กลัวนนท์นทีจะวานจ้างให้ใครไปทำร้ายคนในครอบครัวเขาหรือรักอีกหรือเปล่า เขาไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะเป็นอะไรไป แต่กลัวคนข้างหลังเขาจะสติแตกมากกว่าหากรู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ตอนนี้
แต่ในเมื่อเขาตัดสินใจแล้ว ครั้งนี้เขาจะต้องจบเรื่องนี้ให้ได้
เมื่อเขานั่งเข้ามาในรถ นนท์นทีก็หัวเราะรอบหนึ่งก่อนจะปิดประตู แล้วเดินอ้อมมาฝั่งของคนขับ ก่อนจะสอดตัวเข้ามาด้านใน จากนั้นรถก็เคลื่อนตัวไปข้างหน้า ทิ้งให้รถของเขาอยู่ภายหลัง แถมยังไม่ได้ดับเครื่องด้วย เขาจึงภาวนาให้อาชัชหรือคนของอาชัชมาเจอก่อนที่ใครจะมาเจอแล้วกัน
“ คุณจะพาผมไปไหน ” เมื่อเห็นว่าคนขับไม่มีท่าทีที่จะบอกใบ้อะไรเลย แถมยิ่งทีบรรยากาศภายนอกรถยิ่งมืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากหน้ารถเท่านั้น ระยะวิสัยทัศน์ของผมจึงถูกจำกัด
“ นั่งเงียบๆ ไป จะบอกให้นะว่าเห็นผมไม่ถืออาวุธแบบนี้อย่าคิดว่าผมไม่มี ” คนขับพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ สายตามองตรงไปแต่ข้างหน้า
หลังจากนั้นบรรยากาศภายในรถก็เงียบยิ่งกว่าเป่าสาก ไม่มีใครคิดจะพูดอะไรออกมา จริงๆ ถ้าดูสถานการณ์ตอนนี้เขาแอบเชื่อว่านนท์นทีคงจะไม่ทำอะไรไปมากกว่าพาให้เขาไปสถานที่ซักที่หนึ่ง มันคงจะไม่บ้าพอที่จะฆ่าเขาในรถ แล้วก็ยังมีสัญญาณตามตัวที่ติดอยู่ในมือถือของเขาด้วย จึงทำให้เขาใจชื้นขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยก็ยื้อเวลาให้อาชัชจับสัญญาณเขาได้
รถยนต์เก่ากลางใหม่คันนี้แล่นมาเรื่อยๆ จนเข้าสู่ตัวเมืองอีกครั้ง เขาเริ่มที่จะคุ้นๆ ทางอยู่บ้าง แต่ก็ยังเดาไม่ออกว่าปลายทางนั้นจะเป็นที่ใด ตอนนี้คนที่เขานึกห่วงคือรัก ถึงแม้จะมีบอดี้การ์ดและแสงตามติดอยู่ แต่เขากลัวว่าถ้ารักรู้ว่าเขาอยู่ทีไหนแล้วอะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับเขา รักจะเสียใจมาก (ถ้าเขาไม่คิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไป) และด้วยนิสัยของรัก จะพยายามเอาตัวเองมายังที่ที่เขาโดนลากมาก็เป็นได้ และนั่นก็จะทำให้สถานการณ์แย่ลง ถ้าหากนนท์นทีเห็นตัวของรัก
จากถนนใหญ่สู่ซอยขนาดสองเลนส์ที่รถสามารถวิ่งสวนกันได้ และลึกเข้าไปในซอยรายล้อมไปด้วยบ้านขนาดกลางคล้ายทาวน์โฮมสองชั้น ดูแล้วก็ไม่มีวี่แววว่าหลังไหนจะร้าง เพราะทุกหลังก็ยังมีไฟเปิดอยู่ มีรถจอด แล้วก็ยังเห็นคนชีวิตกันตามปกติ เขาจึงแปลกใจว่าสรุปเจ้าตัวจะพาเขาไปที่ไหน และแล้วรถก็มาจอดอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากปากทางเข้า คนขับรถหันมาหาเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะดับเครื่องแล้วเปิดประตูเดินออกไป เขามองตามออกไปก็เห็นมันกำลังไขประตู เปิดอ้าไว้แล้วตรงเข้าไปในบริเวณของบ้าน
เขารีบเอามือถือขึ้นมากเช็คว่ามีใครติดต่อมาแล้วหรือยัง ก็ปรากฎว่ายังคงเป็นเบอร์ของรักเหมือนเดิม ซึ่งเขายังไม่อยากจะให้รักรับรู้ ถึงแม้เจ้าตัวคงจะตงิดใจแล้วก็ตาม มันเสี่ยงเกินไป และก็ข้อความขออาชัช!เขารีบเปิดขึ้นมาดูก็เห็นข้อความที่พิมพ์ไว้หลังจากที่เขาส่งไปไม่นานว่า ‘ระวังตัว จะตามไป’ เขาพลันโล่งใจที่อาชัชรับรู้แล้ว รีบเก็บมือถือใส่กระเป๋า แล้วเดินออกจากรถ เข้าไปในตัวบ้าน
นนท์นทีนั่งอยู่บนโซฟาในห้องซึ่งเขาคาดว่าน่าจะเป็นห้องรับแขก เจ้าตัวนั่งนิ่งมองไปยังกำแพงห้องซึ่งเมื่อเขาเดินเข้ามาในห้องแล้วถึงเห็นว่ามีรูปรูปหนึ่งที่แขวนไว้ เขายืนมองรูปอยู่หน้าห้อง ชายหญิงคู่หนึ่งกอดกันและยิ้มอย่างมีความสุข ฝ่ายหญิงอุ้มเด็กคนหนึ่งไว้ ยิ้มยีฟันที่ยังขึ้นไม่ครบของตัวเอง อารมณ์ที่ถ่ายทอดออกจากรูปนั้นเขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของครอบครัว นี่คงเป็นบ่อเกิดความแค้นที่ทำให้ความสุขในภาพเหล่านี้พังพินาศไปโดยน้ำมือของครอบครัวเขาเอง
“ คุณคิดว่าเมื่อก่อนพวกผมมีความสุขขนาดไหน ” คนที่นั่งเหม่อเหลือบสายตามามองผมแล้วถามขึ้น แต่ผมไม่ได้ตอบอะไร เพราะผมรับรู้ถึงความเจ็บปวดผ่านน้ำเสียงของคนถาม
“ เมื่อก่อนตั้งแต่ผมจำความได้ ผมมีความสุขมาก พ่อกับแม่รักผมมาก และเราก็ไปเที่ยวด้วยกันบ่อยมาก จนถึงตอนนี้ผมไม่เคยลืมเลยว่าเสียงหัวเราะของพวกเขาดังกึกก้องในใจผมมากขนาดไหน ”
“ ….. ”
“ แต่พอหลังจากนั้นไม่นาน ชั่วพริบตาเดียวที่ผมยังไม่ทันได้รับรู้ว่าความตายมันกะทันหันขนาดไหน ทุกๆ อย่างก็หายไปหมด ”
“ …... ” คราวนี้คนที่พูดอยู่ฝ่ายเดียว ลุกขึ้นเดินไปที่รูปแล้วลูบมันเบาๆ
“ พ่อกับแม่หายไป กลายเป็นคนที่ยังอยู่ซึ่งผมไม่เคยเจอหน้าค่าตามารายล้อมรอบตัวผมเต็มไปหมด ”
“ ผม…. ” ทว่าอีกฝ่ายพูดแทรกขึ้นมาก่อน
“ ทุกคนเข้ามาหาผมด้วยความกระหายที่ฉาบความเป็นมิตรไว้บนใบหน้า สูบทุกอย่างที่พ่อกับแม่ผมมี จนเกือบจะหมด โชคดีที่ผมรู้ตัวก่อน คุณคิดว่าหากผมยังโง่ต่อไป ผมจะเป็นยังไงต่อไป ”
“ …… ”
“ ก็คงไม่ได้มาอยู่ตรงหน้าคุณตรงนี้ คุณก็คงไม่เจ็บ รักก็คงไม่เจ็บ ครอบครัวคุณก็คงมีความสุข ” น้ำเสียงของคนพูดเริ่มเปลี่ยนไป เกรี้ยวกราดมากขึ้น ตามองตรงมายังเขาที่ยืนอยู่ที่เดิม พร้อมกับปืนในมือที่เล็งมาทางเขาเช่นเดียวกัน
“ ผมรู้ว่าคุณเสียใจที่ทุกๆ อย่างเกิดจากครอบครัวผม แต่ผมขอให้คุณรู้ไว้ว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิด ผมเองเมื่อได้รู้เรื่องทั้งหมดก็เสียใจเหมือนกัน " เขาพยายามตั้งสติ แล้วพูดออกไปให้มากที่สุด ไม่รู้ว่าคนของอาชัชจะมาเมื่อไหร่ จะรู้หรือไม่ว่าเขาอยู่ที่นี่ แต่ถึงอย่างไรก็ตามต้องถ่วงเวลาให้ได้มากที่สุด
“ ผมนึกคิดอยากจะฆ่าพวกคุณไปให้รู้แล้วรู้รอด ความแค้นของผมจะได้จบลงซักที ” นนท์นทีพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ แล้วเดินเข้ามาหาเขาช้าๆ
“ แต่คุณรู้ไหมว่าผมทำไม่ได้!!! ” พร้อมกับหมัดหนักๆ แทนที่จะเป็นปืนที่ถืออยู่อีกข้างกระแทกเข้าที่หน้าของเขา เขาเซไปเล็กน้อย ความเจ็บปวดเริ่มลามทั่วใบหน้า
“ ผมทำแบบนั้นไม่ได้ ผมไม่รู้ว่าทำไม ”
“ แต่ผมคิดว่าผมรู้นะ ” เขาเช็ดเลือดที่ซึมออกจากมุมปาก แล้วสะบัดหัวไล่ความมึน
“ คุณเป็นคนดี คุณนนท์ คุณทำไม่ลงหรอกเรื่องแบบนั้น ”
“ คุณจะไปรู้อะไร! สิ่งที่ผมทำลงไปคุณยังบอกว่าเป็นคนดีอีกงั้นเหรอ ” นนท์นทีถอยหลังไปเล็กน้อยก่อนจะยกปืนเล็งมาที่เขาอีกครั้ง
“ ถ้าคุณเลวจริง คุณคงฆ่าผมไปตั้งแต่อุบัติเหตุครั้งแรกแล้ว คุณตั้งใจให้คนที่คุณจ้างชนฝั่งคนนั่งแทนที่จะเป็นฝั่งคนขับ ”
“ แต่คุณก็เกือบตาย ”
“ แต่ก็ไม่ตาย ครั้งที่สองคุณก็ตั้งใจให้คนของคุณขี่มอเตอร์ไซด์มาเฉี่ยวผม แต่ผมก็ไม่เป็นอะไร ”
“ อันนั้นผมแค่อยากจะก่อกวนเฉยๆ ”
“ ส่วนครั้งที่สามคุณก็ตั้งใจตัดสายเบรก แต่คุณรู้อยู่แล้วว่าระหว่างทางจากคอนโดผมไปสถานที่จัดงานมันไม่ได้ไกลมาก และทางมันตรงอย่างเดียว ระยะทางแค่นั้นมันจะทำให้ผมบาดเจ็บได้แค่ไหนกัน ” นนท์นทีได้แต่มองเขาแต่พูดอะไรไม่ออก ซึ่งเขาเดาว่าสิ่งที่พูดคงจะถูกต้องทั้งหมด
“ และครั้งนี้ จริงๆ คุณจะฆ่าผมตั้งแต่ผมลงจากรถตอนนั้นเลยก็ได้ เพราะแถวนั้นไม่มีกล้องวงจรปิด แต่คุณก็ไม่ทำ ” แววตาสับสนที่เขามองเห็นได้ชัดเจนทำให้เขายิ่งมั่นใจเข้าไปอีกว่าอีกฝ่ายไม่มีความตั้งใจที่จะฆ่าเขาเลยแม้แต่น้อย ซึ่งเขามั่นใจได้ยังไงบอกตามตรงว่าเขาก็ไม่รู้ แต่พอได้มายืนอยู่ตรงหน้าคนที่ได้ชื่อว่าจะพยายามฆ่าเขาหลายรอบแล้ว ท่าทางหลายๆ อย่างของคนนี้ทำให้สัญชาตญาณของเขาบอกว่าคนนี้ไม่ได้อันตรายอย่างที่คาด พูดอีกก็คือมันแค้นแต่แค่ทำไม่ลง
“ ผมจึงมั่นใจได้ไง ว่าคุณเป็นคนดีนนท์นที ผมขอร้องอย่าเอาความแค้นมาบดบังอนาคตของคุณเลย คุณเก่ง คุณมีฝีมือ อนาคตของคุณไกลแน่นอน ผมแค่รู้สึกว่าเราสามารถช่วยกันได้ถ้าเราพยายามไปด้วยกัน ” ผมเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายขึ้นกว่าเดิม ด้วยความลังเลก็ทำให้มันเดินถอยหลัง
“ คุณไปเอาความมั่นใจมากจากไหนกัน ผมอาจจะฆ่าคุณต่อจากนี้ก็ได้ ”
“ ผมจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น หากครั้งนี้คุณยอมปล่อยความแค้นทั้งหมด เรื่องทั้งหมดนี้ผมจะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น ผมจะช่วยเหลือคุณเท่าที่ผมช่วยได้ ” คนตรงหน้าผมยังคงนิ่งและเล็งปืนมาทางผมอยู่เหมือนเดิม สายตาสับสนนั้นยังคงเหมือนเดิม
“ ถือว่าผมขอร้อง ผมไม่อยากให้อะไรๆ มันเลวร้ายไปมากกว่านี้ ผมไม่อยากให้อนาคตดีๆ ของคุณต้องมามัวหมอง ” แล้วมันก็ได้ผล นนท์นทีค่อยๆ ลดปืนในมือลง ผมจึงหายใจหายคอได้โล่งอกซักที
แต่ทันใดนั้นเอง…
“ แต่ผมคงไม่ยอมหรอกนะคุณเนตร! ” น้ำเสียงแข็งกระด้างดังมาพร้อมกับชายคนหนึ่งปรากฎขึ้นทางด้านหลังของเขา
“ คุณอา… ” นนท์นทีเอ่ยขึ้นด้วยความงุนงง ส่วนตัวเขาก็งงไม่แพ้กัน เพราะเขาไม่รู้จักคนตรงหน้านี้ซักนิดเลย
“ คุณคงไม่รู้จักผมหรอก เพราะผมไม่เคยเจอคุณ และไม่ได้มีความแค้นอะไรกับคุณเป็นการส่วนตัว ”
“ แล้วทำไม… ”
“ คุณนี่ก็หนังเหนียวนะ หลานผมอุตส่าห์จะฆ่าคุณหลายรอบแต่ก็ยังรอดมาได้ ” เขารู้สึกเหมือนคุ้นๆ กับฉากนี้ยังไงชอบกล
“ คุณอามาที่นี่ได้ยังไงครับ ” คนข้างตัวผมถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ยังคงงงงวยอยู่
“ ก็ฉันรู้ว่าแกคงจะใจอ่อนเหมือนแม่แกไง หึ โกรธเขา แต่ไม่ยอมทำอะไรซักอย่าง! นี่ถ้าฉันไม่มา แกก็คงยอมเขาไปแล้วใช่ไหม ”
“ แต่ผม…ไม่อยากทำอีกต่อไปแล้วครับ ผมทรมาน ” นนท์นทีพูดสั่นเครือ
“ งั้นแกก็ตายตามมันไปแล้วกัน ” คุณอาของนนท์ยกปืนขึ้นพร้อมเล็งมาทางเขาทันที ตอนนี้บอกตรงๆ ว่าเขาเริ่มกลัว เพราะสถานการณ์เริ่มเลวร้ายลงหลังจากที่ชายคนนี้โผล่มา
“ คุณอา! ทำแบบนี้ทำไมครับ! ”
“ ฉันไม่น่าช่วยแกเลย แต่ถ้าฉันปล่อยให้แกโดนคนพวกนั้นสูบเงินแกไป ฉันก็ไม่ได้อะไรเลยน่ะสิ! ” เขาสาบานว่าตอนนี้นนท์นทีช็อคไปแล้วหลังจากที่ได้รู้เหตุผลทั้งหมด
“ เพราะงั้นฉันเลยเฝ้ารอ รอให้แกทำตามแผนของแกไป จนสุดท้ายแกพังพินาศไป สมบัติทุกอย่างมันจะได้ตกมาเป็นของฉันไง ”
“ คุณเลยยั่วยุให้นนท์ทำทุกอย่างลงไป เพราะคุณหวังจะฮุบสมบัติทุกอย่างของหลานคุณงั้นเหรอครับ ” เขาพูดแทนนนท์นทีที่ตอนนี้ช็อคจนพูดไม่ออกแล้ว เขาเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงไว้ใจคุณอาคนนี้มาก เพราะเป็นคนทำให้เขารอดพ้นจากเงื้อมือพวกคนชั่วทั้งหลาย แต่สุดท้ายกลับมารู้ความจริงว่าคุณอาก็หลอกใช้ตัวเขาเองเหมือนกัน
“ หุบปากมึงไปเลย! จะบอกให้นะว่าพ่อมึงนั่นแหละ เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด แต่ก็ดี สุดท้ายแล้วสมบัติของพ่อไอนนท์มันก็จะได้ตกมาอยู่กับกู ”
“ คุณนี่มันเลวจริงๆ ”
“ มีปากก็พูดไปเถอะ เดี๋ยวมึงก็จะไม่ได้พูดแล้ว ” คุณอายกปืนในมือของตัวเอง ก่อนจะเล็งมาทางเขา นิ้วมือกดลงไปช้าๆ โดยที่เขาก็ไม่ได้ขยับตัวไปไหน ทันใดนั้นคนข้างตัวเขาที่นิ่งเงียบมาตลอดก็วิ่งเข้าไปแย่งปืนในมือของญาติตัวเอง
ปัง!!!“ คุณอา ห้ามยิง! ” กระสุนเฉียดตัวเขาไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด เมื่อคนตัวเล็กกว่าคุณอาพุ่งตัวเข้าไปพยายามยื้อแย่งปืนอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาที่ยืนนิ่งด้วยความตกใจ จึงรีบยกมือถือขึ้นมาโทรหาอาชัชทันที
“ คุณอาชัชครับ อยู่ไหนแล้วครับ ผมต้องการความช่วยเหลือด่วน ” เขาพูดด้วยความร้อนรน ตาก็มองความวุ่นวายตรงหน้า กลัวว่านนท์นทีจะเป็นอะไรไป
“ คนของอาถึงแล้วเนตร อยู่ข้างนอก รอสัญญาณจากอาอยู่ ตอนนี้อาก็อยู่หน้าประตูบ้านแล้วเหมือนกัน กำลังพังเข้าไป ”“ เข้ามาเลยครับ! ”
“ มึง! โทรหาตำรวจเหรอไอเนตร ” คุณอาใช้แรงผลักนนท์นทีที่สะบักสะบอมไปอีกทาง ก่อนจะเล็งปืนมาทางเขาอีกครั้ง
“ เฮ้ยไอนนท์ เดี๋ยวมึงได้ตายสมใจแน่! ” นนท์นทีพยายามกลับมาแย่งปืนในมือของญาติตัวเองอีกครั้ง เขาจึงพยายามหาช่องจังหวะเข้าไปช่วยบ้าง
“ เนตร! ” ประตูหน้าบ้านถูกพังจนล้ม ตามด้วยอาชัชและคนของเขารีบกรูกันเข้ามา ในนาทีที่เขาและนนท์นทีพยายามยื้อแย่งปืนกับอาของนนท์อยู่ การปรากฏอย่างกะทันหันของตำรวจ ทำให้พวกเราหยุดชะงัก ในจังหวะนั้นเอง คุณอาก็ถีบตัวนนท์นทีอย่างแรง ทำให้อีกฝ่ายล้มลงกระแทกพื้น แล้วก็แย่งปืนกลับมาได้สำเร็จ และเล็งมาทางตัวเขาอย่างแน่วแน่อีกครั้ง
“ ผมขอให้คุณวางปืนลงด้วยครับ ” อาชัชเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เดินก้าวเข้ามาพร้อมกับปืนในมือเช่นเดียวกันคุณอา
“ คิดเหรอว่าไอเนตรกับหลานกูมันจะรอด กูตายพวกมันก็ต้องตายไปด้วย! ” คนพูดหัวเราะอย่างเย้ยยัน ทำให้เขาซึ่งช่วยพยุงร่างของนนท์ขึ้นมาต้องยืนนิ่งๆ เพราะไม่รู้ว่าคุณอาจะบ้าเลือดลั่นไกเมื่อไหร่ บรรยากาศภายในห้องเริ่มกดดันขึ้นตั้งแต่เจ้าหน้าที่เข้ามารายล้อมรอบพวกเรา
“ คุณอา แค่ก อย่าทำแบบนี้เลยครับ ” นนท์พยายามพูดอย่างลำบาก หลังจากโดนกระแทกไปหลายครั้ง
“ หึ ก่อนหน้านี้โกรธแค้นจะเป็นจะตายจนต้องให้กูช่วย พอมาตอนนี้เสือกเป็นคนดีแล้วเหรอไง ”
“ ผม….ไม่อยากทำมัน แค่ก อีกต่อไปแล้วครับ ถ้าคุณอาอยากได้สมบัติผมมากนัก ผมยกให้เลยก็ได้ครับ แค่ก แต่คุณอาอย่าทำแบบนี้เลย ”
“ พูดง่ายนี่ แล้วที่ผ่านมามึงจะพยายามแก้แค้นครอบครัวของไอเนตรทำไม ”
“ หยุดเถอะ คะ ครับคุณอา ” คนข้างตัวเขาเริ่มสะอื้นร้องไห้ พยายามอ้อนวอนญาติคนสุดท้ายที่ตัวเองไว้ใจ
“ มึงไม่ได้ต้องมาขอร้องกู ไอนนท์ มันสายไปแล้ว ” เขาเหลือบตาไปเห็นอาชัชส่งซิกให้สัญญาณกับคนของเขาให้อ้อมไปข้างหลังของคุณอาอย่างเงียบๆ เตรียมพร้อมเข้าชาร์ท เป็นนาทีที่ทำให้เขาระทึกใจจนไม่กล้าขยับร่างกายเลยแม้แต่นิด ในจังหวะที่คนของอาชัชจะเข้าจับกุมตัวคุณอานั้นเอง
ปัง!!เสียงปืนดังกึกก้องขึ้นมา พร้อมกับร่างของคุณอาที่ถูกเจ้าหน้าที่กดลงพื้น คนถูกจับหัวเราะด้วยความสะใจ ทุกอย่างเกิดขึ้นไวไปหมด เขามองเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างงุนงง เห็นนนท์นทีเบิกตาค้างมองเขา ทำให้เขาต้องก้มลงมองตัวเอง
เลือดแดงฉานชุ่มเต็มเสื้อของเขา…
“
ไอคุณชาย!!! / เนตร!!! ” สองเสียงของใครซักคนที่ผมแสนคุ้นเคยดังขึ้นมาจากอีกทาง แล้วสักพักเมื่อความเจ็บปวดคืบคลานแทนความชา ตัวเขาก็ล้มลง
“ ไอคุณชาย ไอคุณชาย ” เขาลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก สายตามองเห็นคนที่ตัวเองนึกคิดอยู่ตลอดเวลาปรากฏอยู่ตรงหน้า รักที่เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ตบแก้มเบาๆ รู้สึกสัมผัสของมือที่จับมือของเขาแน่น
“ มองผมสิ! ห้ามหลับตานะ! ” คนที่โอบตัวผมอยู่ยังคงตบแก้มปลุกเขาให้รู้สึกตัว
“ เนตรฝืนใจไว้นะ รถพยาบาลใกล้จะถึงแล้ว ” ร่างกายของเขารับรู้ได้ช้าลง เสียงของใครหลายคนแทรกเข้ามาซึ่งเขาเริ่มจับใจความไม่ได้ ภาพตรงหน้าเริ่มเลือนราง
และความรู้สึกสุดท้าย
ความอบอุ่นของมือคู่นั้นที่จับมือของเขาแน่น
หยดน้ำตาไหลตกลงมาบนหน้า
เขา….ไม่อยากทำให้เสียใจเลย หยุดร้องไห้เถอะ…
หยุดร้องไห้เถอะนะรัก
เพราะมันทำให้เขาทรมานยิ่งกว่าความเจ็บปวดใดๆ…
โปรดติดตามตอนต่อไปมุแงงงงงงงง พี่เนตรรรรร หนูขอโทษที่ทำให้เจ็บตัวน้าาาา