--- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 41 บาดเจ็บ --- หน้าที่ 9 [28/12/63]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 41 บาดเจ็บ --- หน้าที่ 9 [28/12/63]  (อ่าน 28837 ครั้ง)

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Tassanee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รอตอนต่อไปค่าาาา   :katai1:

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
ถ้าพีทเป็นฝ่ายเป็นห่วงคุณใหญ่บ้างก็ดีเหมือนกัน
คุณใหญ่จะได้มีแรงสู้ต่อไป :katai2-1:

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
จะดีแค่ไหน แค่ไหนถึงจะดี กับความห่วงใยนี้ ก็ลองบอกเขาทุกเรื่องดูซิ 5555 พอกันละทั้งสองคน ห่ำหั่นกันไปมา ปมอดีตเยอะจริง อาจมีสักวันนึงที่กลางจะกลับมา ดราม่าดินไปอี๊ก ก็นะ 55555 รักของดินคือการให้ ตอบแทน เสียสละ และลุ่มหลงอย่างจริง หวังว่าซักวันนึงความรู้สึกเหล่านี้จะช่วยเยียวยาเขาได้อย่างที่หวังไม่มากก็น้อย ให้เขามองเห็นตัวตนดินได้ในสักวันนึง ถ้ายอมเองแบบนี้ จะบอกให้แข็งข้อต่อเขา ยืนหยัดคือเป็นไปไม่ได้แล้ว รอให้เขาเห็นใจอย่างเดียว อย่าร้ายนักนะราชันย์ 555555 อ่ะจะเป็นยังไงต่อ รอตอนหน้าเลย สนุกกมากว้อยยย อยากอ่านต่อรัวๆ 555 ขอบคุณนะคะที่มาต่อ เออ!คุณใหญ่เกลียดกันมากก็อย่าลืมมองศัตรูอื่นรอบตัวบ้างละ เผื่อเขาสร้างสถานการณ์ให้ผิดใจกัน คิดร้ายไปป่าวว่ะ 55555 ใจจริงน้อยๆก็แอบอยากให้เขากลับมาเป็นเพื่อนกันนะ แต่ดูท่าอาจจะกู่ไม่กลับ 55   :pig4:  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
บรรยากาศนี้มันอะไรกัน

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25

สิบสี่
แขกที่ไม่ได้รับเชิญ



ร่างสูงของเจ้าของห้องยืนสำรวจตัวเองอยู่หน้ากระจก อริญชย์กวาดตาดูความเรียบร้อยของตัวเองเป็นรอบสุดท้ายก่อนจะผละออกมา ชายหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ข้างเตียงที่มีคนกำลังนอนหลับสนิทอยู่ ริมฝีปากหยักคลี่ออกมาเป็นรอยยิ้มบาง ๆ ยามทอดสายตามองคนที่กำลังยึดครองเตียงเขาอยู่

ฝ่ามืออุ่นจัดแตะลงบนบ่าเล็กอย่างถือสิทธิ์ก่อนจะเขย่าเบา ๆ คนถูกปลุกก่อนเวลาขยับตัวหนีอย่างเกียจคร้าน แต่ฝ่ามืออุ่นก็ยังตามมารุกรานด้วยการแตะแผ่นหลังเขาซ้ำ ๆ จนคนขี้เซาต้องครางงึมงำออกมาด้วยความรำคาญ

“ผมจะนอน อย่ากวนน่า”

อริญชย์หัวเราะหึออกมาอย่างนึกขัน ยามถูกปลุกตอนเช้า พิชญ์มักจะเป็นแบบนี้เสมอ ขี้เซาจนน่าเอ็นดูและน่าตีไปพร้อม ๆ กัน เกือบจะเหมือนกับอธิษฐ์ แต่มีเสน่ห์มากกว่า

ถ้าเทียบกันแล้ว อริญชย์ต้องยอมรับตามตรงเลยว่า น้องชายของเขาดูอ่อนแอและเปราะบางกว่าพิชญ์หลายเท่า อธิษฐ์มีแต่ความสดใสและไร้เดียงสา ส่วนพิชญ์ ถึงจะยอมลงให้เขาบ่อย ๆ แต่คนฉลาดอย่างอริญชย์ก็รู้ดีว่า ภายใต้ท่าทางที่ดูเหมือนยอมจำนนให้กับเขา แท้จริงแล้วกลับซ่อนอาการแข็งขืนเอาไว้อย่างเงียบ ๆ ราวกับม้าพยศที่พอเขาเผลอเมื่อไหร่ก็เป็นต้องหาจังหวะสะบัดเขาตกจากหลังม้า แต่ก็ดีแล้ว เพราะ...

ถ้าพิชญ์เชื่องเกินไป คงไม่ท้าทายจนเขานึกอยากครอบครอง

ถ้าจะพยศก็ขอให้พยศกับเขาแค่คนเดียว และเขา...ก็จะขอเป็นคนปราบพยศพิชญ์ด้วยตัวเอง

“พีท...”

คนถูกเรียกยังคงนอนนิ่ง เปลือกตาสองข้างปิดสนิทราวกับเจ้าชายนิทราที่ต้องมนตราของแม่มด จนอริญชย์ต้องคลี่ยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู

ดูเอาเถอะ ขนาดเขายืนจ้องมาเกือบสิบนาทีแล้วก็ยังนอนหลับหน้าตาเฉย ช่างเป็นคนที่ไม่รู้จักระมัดระวังตัวเอาเสียเลย ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็นอนหลับอยู่บนเตียงของเขา ในห้องของเขาแท้ ๆ

“พีท...” อริญชย์เรียกคนขี้เซาเสียงอ่อนก่อนจะเขย่าแขนพิชญ์เบา ๆ

ถ้าพิชญ์จะมีสติสตังเสียหน่อย เจ้าตัวคงรู้ว่าเสียงของอริญชย์ทอดกระแสอ่อนโยนกว่าทุกที หรือความจริงอาจจะอ่อนโยนมานานแล้ว เพียงแต่อคติบดบังจนพิชญ์มักจะทำเป็นมองข้ามเสมอ

อันที่จริงแล้ว อริญชย์ก็อยากจะปล่อยให้พิชญ์นอนต่ออยู่เหมือนกัน แต่บังเอิญว่าเขามีธุระเร่งด่วนเข้ามากะทันหัน จนต้องตื่นแต่เช้าเพื่อออกจากบ้านก่อนเวลา ก่อนจะออกจากบ้านเลยคิดว่าควรจะบอกพิชญ์เสียหน่อย พอจัดการกับตัวเองเรียบร้อยแล้วเลยต้องมายืนปลุกคนขี้เซาอย่างที่เห็น

ยืนปลุกมาร่วมสิบห้านาที อีกฝ่ายก็ยังเอาแต่นอนนิ่ง ๆ จนอริญชย์ต้องโคลงหัวเบา ๆ อย่างระอา

มันน่าตีนักเชียว!

เมื่อคืนก็เอาแต่นั่งคุยกับตุลย์อยู่นานสองนาน ไม่ยอมหลับยอมนอน ต้องโทษตัวเขาเองด้วยที่หลับลึกจนไม่รู้สึกตัว ถ้าไม่ตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำกลางดึก อริญชย์คงไม่รู้ว่ามีคนแอบย่องหนีลงไปนั่งคุยกับตุลย์อยู่ข้างล่าง แถมพอลากกลับมานอนยังทำโยเยอยากจะถามนั่นถามนี่เขา แล้วดูตอนนี้สิ ไม่ยอมตื่นท่าเดียว!

“พีท...”

เรียกชื่อกันเป็นรอบที่สามของเช้าวันนี้ ถ้าคนถูกเรียกไม่ใช่พิชญ์ ภัทรกุล อริญชย์ก็ไม่กล้ารับประกันเลยว่าเขาจะมีความอดทนมากขนาดนี้หรือเปล่า แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นพิชญ์ แค่พิชญ์เท่านั้น แค่พิชญ์คนเดียว

“ผมฟังอยู่ พูดมาสิ...”

คนตอบปรือตาขึ้นมามองแวบหนึ่งก่อนจะหลับตาลงเหมือนเดิม จนอริญชย์นึกเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอีกฝ่ายตงิด ๆ ไม่ใช่เพราะความขี้เซาขนาดนี้ของพิชญ์หรือ ‘เรื่องวันนั้น’ ถึงได้เกิดขึ้นง่าย ๆ

อริญชย์ถอนหายใจออกมาช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ ๆ

“วันนี้ฉันไม่ได้เข้าบริษัทนะ”

ดูเหมือนประโยคนี้จะได้ผลชะงัดกว่าการปลุกใด ๆ ดวงตาเรียวลืมขึ้นสบตากับอริญชย์ทันควัน ก่อนที่พิชญ์จะค่อย ๆ ประมวลผลสิ่งที่เพิ่งรับรู้เข้าสู่การกลั่นกรองของสมองช้า ๆ

“อ้าว...” พอจับใจความได้ คนที่เพิ่งตื่นก็ไม่รู้จะเอ่ยอะไร นอกจากหลุดเสียงอุทานออกมาเบา ๆ

“งานที่ชลบุรีมีปัญหานิดหน่อย เดี๋ยวฉันกับตุลย์จะแวะไปดูแล้วคงกลับมาถึงที่นี่เย็น ๆ”

พอได้ยินคำว่า ‘ปัญหา’ คนที่มีความรับผิดชอบสูงอย่างพิชญ์ก็ดูเหมือนจะตื่นเต็มตาขึ้นมาทันที พิชญ์ลุกขึ้นมานั่งบนเตียง สะบัดหัวเบา ๆ เพื่อขับไล่ความง่วงงุนก่อนจะเอ่ยถามอริญชย์

“คุณจะไปกับคุณตุลย์แค่สองคนเหรอ” พอเห็นอริญชย์พยักหน้า พิชญ์ก็รีบถามต่อทันที “แล้วผมล่ะ...”

“นายน่ะอยู่ที่นี่ เดี๋ยวตอนเย็น ๆ ฉันก็กลับแล้ว”

พิชญ์ขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด เขามองข้ามหัวไหล่ของอริญชย์เลยไปยังนาฬิกาแขวนผนัง เพิ่งจะหกโมงครึ่งเอง พิชญ์คำนวณทุกอย่างด้วยความรวดเร็วก่อนจะโพล่งถามออกไป

“ให้ผมไปด้วยไหม ผมอาบน้ำแป๊บเดียว”

อริญชย์ส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนจะยื่นมือมากดบ่าพิชญ์ที่ทำท่าจะผุดลุกจากเตียงให้นั่งอยู่เฉย ๆ มองอีกฝ่ายด้วยสายตาดุ ๆ คล้ายกับผู้ใหญ่กำลังมองเด็กน้อยคนหนึ่ง

“ไม่ต้องเลย เพราะเช้านี้นายต้องเข้าประชุมงบประมาณประจำเดือนแทนฉัน”

จากทีแรกที่ตั้งท่าจะอ้าปากเถียง พิชญ์ถึงกลับหุบปากฉับก่อนจะเบ้หน้าออกมา คนอย่างเขาถนัดแต่พวกงานด้านการตลาด พอได้ยินคำว่างบ ๆ เงิน ๆ หรืออะไรที่เกี่ยวกับเงิน ๆ ทอง ๆ เป็นต้องอยากวิ่งหนีเสียทุกที แล้วดูเหมือนคนที่เฝ้าสังเกตพิชญ์อยู่ตลอดเวลาอย่างอริญชย์เองก็รู้ทัน ถึงได้หลุดเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ จนใบหน้ากระด้างพลันอ่อนโยนขึ้นมา

“รู้ว่าไม่ชอบ แต่ฝึกเอาไว้หน่อยก็ดี พอให้คุมเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ จะได้คล่อง”

พิชญ์แทบจะตาเหลือกออกมาอย่างกับโดนบังคับกินยาขม ถึงเขาจะไม่ค่อยพิสมัยตำแหน่งรองประธานที่อริญชย์ยัดเยียดให้ แต่ถ้าถูกโยกย้ายให้ไปทำงานเกี่ยวกับเงิน ๆ ทอง ๆ มันก็ไม่ใช่สไตล์เขาอีกเหมือนกัน

“อย่าบอกนะว่าคุณจะย้ายผมไปนั่งคุมการเงินกับบัญชี ไม่เอาด้วยเด็ดขาดเลย”

อริญชย์มองพิชญ์ด้วยสายตาแปลก ๆ เมื่อได้ยินคำโวยวายหลุดออกมาจากเจ้าตัว แต่เขาก็ไม่คิดจะอธิบายความเข้าใจของพิชญ์ให้กระจ่างขึ้นมา ริมฝีปากหยักคลี่ออกเป็นรอยยิ้มจาง ๆ แบบที่คนมองนึกสงสัยและไม่ยอมปล่อยให้ผ่านเลยไป

“ยิ้มอะไรของคุณ”

“ฉันยิ้มไม่ได้หรือไง”

“ได้ แต่ดูแปลก ๆ ไม่ค่อยน่าไว้ใจ”

อริญชย์หัวเราะในลำคอ เท้าแขนข้างหนึ่งลงกับเตียง ก่อนจะยื่นมืออีกข้างไปไล้พวงแก้มพิชญ์เบา ๆ

คนถูกกระทำ...เผลอไผลไปกับสัมผัสที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้โดยไม่รู้ตัว

แต่คนกระทำ...ทำลงไปด้วยความตั้งใจ

“ไหน ๆ น้องหนูก็ไปอยู่กับยัยเล็กแล้ว นายก็ย้ายมานอนห้องเดียวกับฉันเสียสิ”

เพียงแค่ชื่อของน้องหนูกับไอลดาหลุดออกมาจากริมฝีปากอริญชย์ พิชญ์ก็เหมือนถูกฉุดรั้งให้หันกลับมามองความเป็นจริง ความจริงที่ว่าเขาไม่ใช่คนตัวเปล่าเปลือย และอริญชย์ก็ไม่ใช่คนอื่นไกลที่ไหน แต่เป็น...

พี่ชายของภรรยาและลุงของลูกเขา

พิชญ์กระถดตัวหนีสัมผัสของอริญชย์ทันทีที่รู้สึกตัว วูบหนึ่ง ถ้าไม่ได้ตาฝาดไป เขาคล้ายกับจะเห็นรอยวูบไหวจากแววตาของอริญชย์ แต่พิชญ์ก็เลือกที่จะเมินเฉยต่อมันเสีย เฝ้าบอกตัวเองว่าไม่ควรปล่อยตัวมากเกินไป และที่สำคัญ ไม่ควรเผลอไผลไปกับสัมผัสของอริญชย์

อย่า! อย่าปล่อยให้ความเคยชินมีอิทธิพลเหนือสถานะที่เป็นอยู่เลย

แค่นี้เรื่องบ้า ๆ มันยังวุ่นวายไม่พออีกหรือไง จะเอาตัวเองเข้าไปพัวพันกับปมที่แก้ไม่ออกนี้เพื่ออะไร เพื่อให้ปมเหล่านี้มันหันมารัดคอตัวเองตายหรือไง พีทเอ๋ย

พิชญ์ได้แต่เฝ้าบอกตัวเองว่า เขาก็แค่หวั่นไหวไปเพราะความสงสารและเห็นใจ

สงสารได้ เห็นใจก็ไม่ผิด แต่อย่าลืมว่าอีกฝ่ายเคยทำอะไรไว้ ศักดิ์ศรีที่สูญเสียไป ถึงจะเอากลับมาไม่ได้ แต่ก็อย่าเที่ยวหยิบยื่นไปให้เขาเหยียบย่ำเอาอีก

“คุณใหญ่ไปเถอะ เดี๋ยวจะสาย ผมก็จะกลับห้องตัวเองแล้วเหมือนกัน” พิชญ์เอ่ยออกมาเสียงเรียบ ๆ พยายามปรับอารมณ์ที่ถูกปั่นแต่เช้าให้คงที่อย่างยากลำบาก

“นายจะอาบน้ำแต่งตัวที่นี่ก็ได้นะ”

“ไม่เป็นไร ผมไม่ชิน...”

ใช่ว่าอริญชย์เองจะไม่สังเกตเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นกะทันหันของพิชญ์ เพียงแต่เขาไม่อยากเก็บเอาเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มาใส่ใจ หรือบางที เขาอาจจะแค่แกล้งทำเป็นมองข้ามไป เพื่อไม่ให้หัวใจตัวเองต้องเจ็บปวดก็ได้

เขาเลือกและตัดสินใจแล้วว่าถ้าได้ตัวมา ซักวันหัวใจก็อาจจะตามมา แม้วันนี้ความเชื่อมั่นที่มีจะเริ่มสั่นคลอน แต่อริญชย์ก็ไม่คิดที่จะปล่อยมือจากพิชญ์ง่าย ๆ

พิชญ์อาจจะยังไม่รู้ แต่เขาก็พร้อมจะแสดงให้เห็น...

ความรักของเขาคือการครอบครองและเป็นเจ้าของ

“นี่ก็สายมากแล้ว ฉันไปก่อนนะ” หันหลังกลับไปไม่ทันไร อริญชย์ก็ต้องหันกลับมาใหม่ เมื่อนึกอะไรขึ้นได้ “วันนี้นายขับรถไปทำงานเองได้เลยนะ หรืออยากให้กริชมาขับให้”

พออริญชย์เอ่ยชื่อคนสนิทอีกคนที่มักจะผลุบ ๆ โผล่ ๆ ราวกับมนุษย์ล่องหนขึ้นมา พิชญ์เลยรีบโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน เขาไม่ใช่คนง่อยเปลี้ยเสียขาหรือทำอะไรไม่เป็น แล้วรถของอริญชย์เองก็มีตั้งหลายคัน ใบขับขี่เขาก็มีเสียด้วยซ้ำ อย่ารบกวนคนอื่นเลย

“ไม่เป็นไร ผมขับเองดีกว่า ไม่อยากรบกวนกริช”

“รบกวนอะไรกัน เมื่อก่อนกริชก็เป็นคนขับรถให้นาย”

พิชญ์นึกอยากจะเถียงออกมาทันที ว่านั่นเป็นเพราะอริญชย์ยัดเยียดกริชให้มาคอยจับตาดูเขาไม่ใช่หรือไง แต่เขาก็คร้านจะทำให้เรื่องมันไปกันใหญ่ เลยเถียงข้าง ๆ คู ๆ ออกไปแทน

“ช่างมันเถอะ ผมอยากขับเองบ้าง ไม่ได้ขับนาน เดี๋ยวได้ลืมวิธีขับรถกันพอดี”

“ตามใจนายแล้วกัน ถ้าจะแวะไปหาน้องหนูก็อย่าลืมโทรมาบอกฉันก่อนล่ะ”

“รับทราบครับ คุณรีบไปเถอะ”

เจ้าของห้องพยักหน้ารับ เอื้อมมือไปกำลังจะหมุนลูกบิดประตูห้องอยู่แล้ว แต่คนที่เพิ่งบอกให้เขาไปหยก ๆ ก็วิ่งมาคว้าแขนเขาเอาไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวก่อน คุณใหญ่...”

“หืมม์ ว่าไง...”

บางทีถ้าได้ยินอะไรดี ๆ ก่อนไปก็คงไม่เลวนัก อาจจะเป็นประโยคง่าย ๆ อย่างเช่น... ‘เดินทางปลอดภัย’ หรือ ‘กลับมาไว ๆ นะ’ แต่ดูเหมือนว่าอริญชย์จะคาดหวังมากเกินไป มากเกินไปจริง ๆ

“คุณไม่ได้จงใจหาเรื่องออกไปตรวจหน้างานเพื่อเลี่ยงไม่ตอบคำถามผมใช่ไหม”

อริญชย์หันกลับมาหาพิชญ์เต็มตัว เห็นท่าทางคาดคั้นของคนที่ตัวเล็กกว่าแล้วก็เกือบจะหลุดหัวเราะขำออกมา

เขาชอบเวลาได้เห็นพิชญ์เผลอเป็นตัวของตัวเองยามอยู่กับเขา จนบางทีก็นึกอยากจะเกงานขึ้นมาตงิด ๆ

“นายคิดว่ายังไงล่ะ”

สิ่งที่หลุดออกมาจากปากอริญชย์เป็นแค่ประโยคสั้น ๆ ที่ไม่ได้ต้องการคำตอบอะไรจากพิชญ์ เพราะเมื่อพูดจบ คนพูดก็ขยับตัวออกจากการเกาะกุมของพิชญ์ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งพิชญ์ที่ยืนทวนคำตอบของอริญชย์ช้า ๆ อยู่เบื้องหลัง จนกระทั่งอริญชย์ไปไกลแล้ว พิชญ์ถึงค่อยสำนึกได้ว่า...

ท่าทางเกมส์ยี่สิบคำถามของเขาคงกลายเป็นหมันเข้าแล้วแน่ ๆ ในเมื่อคนตอบเล่นชิ่งหนีกันไปแบบนี้ ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามทีเถอะ แล้วอย่างนี้เขาจะไปถามหาคำตอบได้จากใครกันล่ะ...



.


ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25


โรงรถของคฤหาสน์เกียรติกาญจนามีความใกล้เคียงกับโชว์รูมรถขนาดย่อม ๆ เหตุผลไม่ใช่อะไรเลย นอกเสียจากว่าท่านเจ้าของบ้านเขาพิสมัยในเครื่องยนต์สมรรถนะสูง ๆ พิชญ์เองก็ไม่ต่างกัน ในฐานะที่เป็นผู้ชายคนหนึ่ง เขาเองก็หลงใหลในของนอกกายเหล่านี้ไม่ต่างจากอริญชย์ แต่ถ้าให้เลือกมาขับซักคันจริง ๆ พิชญ์คงต้องขอผ่าน

อย่างวันนี้ ถึงพิชญ์จะเอ่ยปากกับอริญชย์ว่าจะขับรถไปทำงานเอง แต่พาหนะของเขากลับเป็นรถญี่ปุ่นคันเล็กที่ไอลดาเคยใช้สมัยเรียนมหาวิทยาลัย

พิชญ์ไม่ได้มักน้อยหรืออยากเจียมเนื้อเจียมตัวให้ใครหมั่นไส้เล่น เขาก็แค่ไม่อยากเสี่ยงเอารถยุโรปคันละหลายล้านออกไปโลดแล่นบนท้องถนน เกิดพลาดท่าไปเฉี่ยวชนใครหรือถูกใครเฉี่ยวชนเข้า ดีไม่ดี ท่านเจ้าของรถจะได้หาเรื่องมาให้เขาต้องชดใช้ความผิดกันไม่จบไม่สิ้นอีก เพราะฉะนั้น เพื่อเป็นการเซฟตัวเอง รถญี่ปุ่นคันเล็กเลยเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของพิชญ์ไปโดยปริยาย

พอมาถึงที่บริษัท พิชญ์ก็ตรงดิ่งเข้าห้องประชุมทันที เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงเวลาเริ่มประชุมแล้ว

ห้องประชุมสภาโต๊ะกลมมีสมาชิกรออยู่พร้อมหน้าตา พิชญ์หย่อนตัวลงบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งของอริญชย์ อดรู้สึกขัดเขินนิด ๆ ไม่ได้ เมื่อต้องมารับบทท่านประธานจำเป็น ผู้เข้าร่วมประชุมแต่ละคนยิ้มออกมาน้อย ๆ แต่ไม่มีใครคิดซักถามอะไรเขา

สิ่งหนึ่งที่ทุกคนรู้ แต่พิชญ์อาจจะไม่รู้คือ อริญชย์แทบจะวางหมากให้พิชญ์กลายเป็นตัวตายตัวแทนของเขาไปแล้วโดยที่พิชญ์ไม่รู้ตัว

“ถ้ามากันครบแล้ว เดี๋ยวเริ่มประชุมกันเลยนะครับ”

พออยู่นอกเวลางาน พิชญ์มักจะโยนหัวโขนของตัวเองทิ้ง กลับมาเป็นนายพิชญ์ ภัทรกุล ลูกแม่พลอยคนทำขนม แต่เมื่อถึงเวลางาน พิชญ์ก็สวมบทบาทที่ตัวเองได้รับมอบหมายมาได้อย่างดีเยี่ยม ไม่มีตรงไหนที่ขาดตกบกพร่องให้ต้องถูกตำหนิ สมกับที่ผู้บริหารหลายคนต่างยอมรับในความสามารถของพิชญ์ จนปรบมือให้ด้วยความจริงใจโดยไม่ต้องรู้สึกลังเลแต่อย่างใด

จากผู้ชายธรรมดาที่อริญชย์เคยพามาแนะนำต่อที่ประชุมในอดีต...

‘พิชญ์ ภัทรกุล ต่อจากนี้ไปเขาจะเข้ามาเป็นผู้ช่วยของผมเพื่อเตรียมตัวรับตำแหน่งรองประธานในอนาคต’

พิชญ์ในวันนี้ได้ก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในผู้บริหารของเคเค คอนสตรัคชั่นอย่างเต็มภาคภูมิ สมกับที่อริญชย์เคยเอ่ยปากรับรองด้วยตัวเอง พิชญ์อาจจะไม่รู้ กว่าอริญชย์จะผลักดันพิชญ์ให้ขึ้นมาถึงจุดนี้ได้ เขาต้องฝ่าฟันกับบรรดาบอร์ดบริหารมามากเท่าไหร่

เพื่อที่จะดึงพิชญ์มาไว้ข้างกาย ผู้ชายอย่างอริญชย์ยอมทุ่มจนหมดหน้าตัก แม้กระทั่งให้อำนาจพิชญ์กึ่งหนึ่งเพื่อเข้ามาช่วยกันดูแลบริษัทของครอบครัวเขา

ตลอดเวลาที่ประชุม พิชญ์เป็นทั้งผู้ฟังและผู้พูดที่ดี เขาพูดเมื่อถึงเวลาที่ควรพูด และฟังเมื่อคนอื่นมีไอเดียที่ดีและเป็นประโยชน์

โดยที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว พิชญ์ซึมซับสิ่งต่าง ๆ ที่อริญชย์คอยสอนเขาทั้งทางตรงและทางอ้อมมาตลอด ไม่ว่าจะทั้งเอ่ยปากสอนหรือกระทำให้เห็น พิชญ์ค่อย ๆ ซึมซับสิ่งเหล่านั้นมาจนผู้บริหารบางคนถึงกับเอ่ยปากออกมาว่า

“บางทีเขาก็คล้ายกันโดยที่เขาไม่รู้ตัว”

การประชุมดำเนินไปเรื่อย ๆ โดยไม่ติดขัด ก่อนจะเสร็จสิ้นลงตอนเวลาเที่ยงตรง พิชญ์ยืนส่งผู้บริหารคนอื่น ๆ จนกระทั่งเหลือแค่เขากับคุณธเนศที่เป็นผู้จัดการแผนกการเงินอยู่สองคน

“เรียบร้อยดีนะครับ คุณธเนศ”

“เรียบร้อยครับ สมแล้วที่เป็นคุณพิชญ์ คนที่ท่านประธานไว้ใจ”

พิชญ์ยิ้มออกมาอย่างเก้อกระดาก ไม่ว่าจะได้ยินกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่ชินเสียที

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับคุณธเนศ”

“ครับผม”

พิชญ์เดินออกมาถึงหน้าห้องประชุม ก็เห็นประชาสัมพันธ์สาวกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหาเขา ชายหนุ่มเลยหยุดยืนอยู่กับที่ จนกระทั่งนิดาเดินมาถึงตัว

“มีธุระด่วนอะไรหรือเปล่า คุณนิดา”

“มีแขกมาขอพบท่านรองค่ะ”

พิชญ์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ก่อนจะก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ ถึงเขาจะเป็นคนง่าย ๆ ไม่มีพิธีรีตองอะไรมาก แต่พิชญ์ก็ไม่ได้นึกอยากรับแขกตอนเที่ยงโดยที่ท้องกำลังร้องแม้แต่น้อย

“เที่ยงแล้ว แถมไม่ได้นัดไว้เสียด้วย ผมขอปฏิเสธได้ไหม” พอเห็นประชาสัมพันธ์สาวทำหน้าลำบากใจ พิชญ์เลยอดถามไม่ได้ “แขกจากที่ไหนครับ”

“ท่านรองไปดูเองเถอะค่ะ แต่แขกสำคัญมากจริง ๆ ค่ะ”

ถ้าเป็นอริญชย์ คงไม่มีใครกล้าเล่นลิ้นด้วยแบบนี้ แต่เพราะรู้ว่าเป็นพิชญ์ ประชาสัมพันธ์สาวจึงเอ่ยออกมาอย่างนี้ นอกจากไม่ทำให้กระจ่างแล้ว ยังทำคนฟังสงสัยหนักกว่าเดิม พิชญ์ไม่คิดจะปล่อยให้ตัวเองสงสัยนาน ถึงได้เปลี่ยนเป้าหมายเป็นการเดินไปที่โซฟารับแขก

แผ่นหลังบอบบางของแขกที่มาเยือนดูยังไงก็ไม่คุ้นตาพิชญ์ ชายหนุ่มตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้อีกนิด เป็นจังหวะเดียวกับที่อีกฝ่ายยกชาร้อนขึ้นจิบช้า ๆ ก่อนจะเบือนหน้ามาทางพิชญ์ เล่นเอาเขาถึงกับชะงัก

แขกคนสำคัญจริง ๆ เสียด้วย

พิชญ์ก้าวเท้าเข้าไปหาเธอช้า ๆ พร้อม ๆ กับที่หญิงสาวค่อย ๆ วางถ้วยชาลงกับโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน

“สวัสดีครับ คุณรัญญา”

เท่าที่พิชญ์จำได้ ถึงแม้จะไม่ค่อยแม่นยำเท่าไหร่นัก เขาคลับคล้ายคลับคลาว่ารัญญาน่าจะอายุมากกว่าเขาซักปีถึงสองปี แต่เขาเองก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจประวัติส่วนตัวเธอเท่าไหร่นัก ดังนั้นพอเห็นเธอยกมือไหว้ พิชญ์เลยรู้สึกแปลก ๆ รีบยกมือขึ้นรับไหว้เธอแทบไม่ทัน

“ขอโทษที่มารบกวนเวลาทานข้าวกลางวันนะคะคุณพิชญ์ แถมยังไม่ได้นัดเข้ามาก่อนด้วย”

ต่อให้ลำบากใจมากแค่ไหน แต่ตามมารยาทแล้วก็คงต้องเอ่ยออกไปว่า...

“ไม่เป็นไรครับ แต่วันนี้คุณใหญ่ไม่ได้เข้ามาที่บริษัทนะครับ” พิชญ์รีบออกตัว เพราะเดาว่าคนที่เธอตั้งใจจะมาพบน่าจะเป็นอริญชย์มากกว่าเขา

รัญญาพยักหน้ารับน้อย ๆ ก่อนจะคลี่ยิ้มหวานออกมา ชนิดที่ทำเอาคนมองเกือบจะเผลอยิ้มตาม ถ้าไอลดาเป็นผู้หญิงที่ดูสวยเฉี่ยว รัญญาก็เป็นผู้หญิงที่ดูสวยหวาน แต่ทุกคนต่างรู้ ในความสวยหวานนั้นแฝงอำนาจไว้เต็มเปี่ยม ไม่ว่าจะเป็นอำนาจจากตัวเธอเอง หรืออำนาจจากองครักษ์ที่คอยพิทักษ์เธออยู่ มิฉะนั้น ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แค่นี้คงไม่สามารถขึ้นมากุมอำนาจทางธุรกิจแทนพี่ชายของตัวเองได้แน่ ๆ

ในวงการธุรกิจที่ทุกคนพร้อมจะเข้าห้ำหั่นกัน โดยไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูที่ถาวร บางครั้งความอ่อนหวานที่เห็นก็เป็นเสมือนดาบสองคม

คมหนึ่ง...อาจกลายเป็นจุดอ่อนให้ศัตรูมุ่งโจมตี แต่อีกคมหนึ่ง...อาจจะเป็นภาพมายาที่คอยลวงหลอกให้ตายใจ สุดแท้แต่ว่าเจ้าของจะเลือกใช้คมไหน

“หลิวไม่ได้มาหาพี่ใหญ่หรอกค่ะ หลิวตั้งใจมาหาคุณพิชญ์ ถ้าไม่เป็นการรบกวน หลิวขออนุญาตเรียกว่าคุณพีทได้ไหมคะ”
ถึงแม้พิชญ์จะมองไม่เห็นความแตกต่างระหว่างชื่อจริงกับชื่อเล่นของเขา แต่พิชญ์ก็พยักหน้าอนุญาตไป กับแค่เรื่องเรียกชื่อ ไม่ได้มีอะไรเสียหายแม้แต่น้อย เพราะไม่ว่าจะเรียกยังไงก็ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนตัวตนของเขา

“งั้นคุณพีทก็ต้องเรียกหลิวว่าหลิวเฉย ๆ เหมือนกันนะคะ ยังไงเราสองคนก็อยู่วงการเดียวกัน หลิวเองอยากทำความรู้จักกับคนเก่งอย่างคุณพีทมาตั้งนานแล้ว ติดว่าเกรงใจพี่ใหญ่”

พิชญ์ฟังคำของหญิงสาวแล้วก็เผลอยิ้มออกมา ถึงจะพบเจอกันตามงานบ่อย ๆ แต่เขากับรัญญาก็ไม่ได้มีโอกาสพูดคุยอะไรกันมากนัก แค่รู้จักหน้าและชื่อเสียงเรียงนามเฉย ๆ มันคล้ายกับมีกำแพงบาง ๆ กั้นอยู่ เคยนึกสงสัยเหมือนกันว่าเพราะอะไร จนคิดเอาเองว่าอาจจะเพราะเป็นคู่แข่งทางธุรกิจกัน ก่อนจะรู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงนั้นมาจากเรื่องในอดีต

“ความจริงแล้วที่หลิวมารบกวนคุณพีทวันนี้ก็เพราะมีเรื่องอยากจะปรึกษาค่ะ”

“ครับ”

“เรื่องของเฮียกับพี่ใหญ่ค่ะ”

พิชญ์เพียงแค่เลิกคิ้วน้อย ๆ แม้ในใจกำลังรู้สึกตื่นเต้นจนแทบบ้า แต่เขาก็พยายามรักษาสีหน้าและท่าทีของตัวเอง ไม่ให้แสดงความอยากรู้อยากเห็นออกมามากเกินไป เขาไม่รู้ว่ารัญญาจะมาไม้ไหน เลยยังไม่ควรแบไพ่ที่มีอยู่ในมือออกไป

คนโง่มักอวดฉลาด ส่วนคนฉลาด...มักจะแกล้งโง่อย่างแนบเนียน

“เรื่องอะไรหรือครับ”

“คุณพีทไม่รู้จริง ๆ หรือคะ ถ้าแม้แต่คุณพีทยังไม่รู้ หลิวคงมาปรึกษาผิดคนแล้วแน่ ๆ”

พิชญ์ยกมุมปากขึ้นน้อย ๆ นางหงส์ของกมลวิลาศน์ เป็นคำเรียกขานที่ไม่ได้ฟังเกินจริงเลย ไม่ใช่แค่สวยเฉิดฉายไปวัน ๆ แต่ยังซ่อนไหวพริบอันเฉียบคมเอาไว้ด้วย

“สงสัยคงต้องคุยกันยาวน่าดูเลยนะครับ ตอนนี้ก็เที่ยงพอดี” พิชญ์ทำทีเป็นก้มลงดูนาฬิกาข้อมือของตัวเอง ก่อนจะเอ่ยชวนอย่างเป็นธรรมชาติไม่มีติดขัด “ให้เกียรติผมได้เป็นเจ้ามือเลี้ยงข้าวกลางวันคุณหลิวนะครับ เราจะได้กินข้าวไปคุยไป”

“ด้วยความยินดีค่ะ แต่คงต้องขอให้คุณพีทเป็นคนแนะนำร้านนะคะ เพราะหลิวไม่สันทัดจริง ๆ”

“ผมมีร้านเงียบ ๆ บรรยากาศดีอยากแนะนำอยู่พอดีเลย เดี๋ยวผมขับนำไปก็แล้วกันครับ”

ถึงแม้วันนี้พิชญ์จะต้องพลาดโอกาสในการเล่นเกมยี่สิบคำถามกับอริญชย์ แต่คงไม่เลวนัก ถ้าเปลี่ยนเป็นการได้นั่งคุยกับรัญญา กมลวิลาศน์แทน



.



พิชญ์ขับรถนำทางรัญญามาจนถึงร้านอาหารบรรยากาศดีที่อยู่ห่างจากบริษัทของเขาราวสิบนาที ตอนแรกพิชญ์คิดว่ารัญญาขับรถมาหาเขาที่บริษัทเอง แต่เขาลืมไปว่า พ่อองครักษ์คนดีของรัญญาที่พิชญ์นึกเหม็นขี้หน้ามีหรือจะปล่อยให้เธอมาตามลำพัง

พิชญ์เลือกนั่งโต๊ะมุมในสุดของร้าน จัดการสั่งกับข้าวมาสามอย่างและข้าวเปล่าให้เขากับรัญญาคนละจาน บรรยากาศของร้านอาหารยามบ่ายค่อนข้างเงียบ นอกจากโต๊ะของพิชญ์แล้วก็มีลูกค้าอีกเพียงแค่สองโต๊ะ แถมยังนั่งห่างจากพิชญ์พอสมควร จึงค่อนข้างเป็นส่วนตัวเหมาะสำหรับนั่งคุยกันไปเรื่อย ๆ

“ขอบคุณค่ะ” รัญญาเอ่ยขอบคุณ เมื่อพิชญ์ตักกับข้าวใส่จานเธอ ก่อนจะอดเอ่ยกระเซ้าไม่ได้ “คุณพีทช่างเอาอกเอาใจแบบนี้เอง มิน่า...น้องเล็กถึงรักคุณพีทน่าดู”

พิชญ์ชะงักมือที่กำลังตักแกงจืดเล็กน้อย ก่อนจะเสยิ้มออกมาบาง ๆ

ความรู้สึกระหว่างเขากับไอลดาเป็นเรื่องภายในครอบครัวที่ไม่มีคนนอกรับรู้ ถึงแม้พิชญ์จะไม่ได้นึกรักไอลดาฉันท์ชู้สาว แต่พิชญ์ก็มักจะให้เกียรติเธอเสมอ ไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือการกระทำก็ตามที

“เป็นเรื่องธรรมดาของคนเป็นสามีภรรยากันน่ะครับ คุณเล็กเธอก็น่ารักด้วย”

ถ้าคำว่าน่ารักตีความได้หลายความหมาย น่ารักของพิชญ์ในที่นี้อาจจะหมายถึง น่ารักในฐานะที่เธอเป็นเหมือนน้องสาวคนหนึ่งของเขา แต่สำหรับคนนอกอย่างรัญญาแล้ว ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นคู่รักที่น่าอิจฉา

“น่าอิจฉาน้องเล็กจังเลยนะคะ มีคุณสามีที่น่ารักอย่างนี้ เมื่อก่อนหลิวก็เคยได้ยินเขาพูด ๆ เรื่องที่คุณพีทกับน้องเล็กไม่เหมาะกัน หลิวว่าไม่เห็นจะจริงเลย สมกันอย่างกับกิ่งทองใบหยกแน่ะ”

พิชญ์ยิ้มบาง ๆ ถ้าเป็นคนอื่นได้ยินคงตื้นตันไปแล้ว แต่ไม่ใช่กับพิชญ์ เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมก็ไม่สำคัญ ถ้าเขาไม่ได้นึกรักไอลดา

บางครั้งความรักกับความเหมาะสมก็มักจะเดินสวนทางกัน เหมาะสมมากแค่ไหน แล้วจะมีประโยชน์อะไรถ้าไม่ได้รักกัน การอยู่ด้วยกันเพราะคำว่าความเหมาะสม มันไม่สามารถประคับประคองให้ความรักไปถึงฝั่งได้เลย แต่...

ความรักที่ไม่มีความเหมาะสม ก็ไม่อาจจะสมหวังได้เช่นกัน หรือถ้าพอจะมีความหวัง มันก็คงริบหรี่เต็มทน

รัญญาดูจะมีความสุขกับการซักถามเรื่องต่าง ๆ ของไอลดาจากพิชญ์ ซึ่งพิชญ์เองก็ตอบได้เรื่อย ๆ อย่างไม่ขัดเขิน จนกระทั่งพนักงานเดินมาเก็บจานไป ก่อนจะยกกาแฟร้อนกับของหวานมาวาง แล้วเดินเลี่ยงไปยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ สีหน้าที่สดใสของรัญญาถึงค่อย ๆ เลือนหายไป

รัญญายกถ้วยกาแฟขึ้นจิบเบา ๆ ทำทีเป็นมองภาพประดับตามฝาผนังของร้าน แต่ถึงจะทำแบบนั้น ก็ยังไม่อาจบดบังความอึดอัดและลำบากใจที่ฉายออกมาทางแววตาได้

“คุณหลิวครับ...”

เจ้าของชื่อถอนหายใจออกมาช้า ๆ ก่อนจะเบนสายตากลับมาหาพิชญ์

“คุณพีทคงจะสงสัยใช่ไหมคะ ว่าทำไมจู่ ๆ หลิวถึงมาหาคุณพีทที่บริษัท”

ถึงแม้เธอจะพูดถูก แต่พิชญ์ก็ไม่ได้เอ่ยตอบรับหรือตอบปฏิเสธ เขาเพียงแต่ยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ ขณะรอให้เธอเป็นฝ่ายเอ่ยต่อ

“คิดแล้วก็ตลกตัวเองเหมือนกันนะคะ หลิวคิดเรื่องเฮียกับพี่ใหญ่มาตลอด แต่ไม่ได้ลงมือทำอะไรจริง ๆ จัง ๆ เสียที จนกระทั่งเฮียกลับมา...” หญิงสาวหยุดชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยออกมาช้า ๆ “หลิวไม่อยากให้เฮียกับพี่ใหญ่ต้องบาดหมางกันอีก”

อย่างน้อยก็ยังมีคนที่คิดเหมือนเขา ถึงแม้จะเป็นแค่เพียงคนเดียว พิชญ์นึกว่ามีแค่เขาคนเดียวเสียอีกที่อยากให้อริญชย์กับราชันย์เคลียร์เรื่องบ้า ๆ นี่ให้จบไปเสียที ในเมื่อทั้งเขาและรัญญาต่างคิดเหมือนกัน แล้วทำไมเราถึงไม่ลงมือทำเสียล่ะ

“คุณหลิวจะบอกผมว่า คุณมาขอให้ผมช่วยให้คุณใหญ่กับเสี่ยเล้งคืนดีกัน”

“ค่ะ คุณพีทเข้าใจถูกแล้ว ลำพังตัวหลิวคนเดียวคงทำไม่ได้แน่ ๆ”

“แล้วคุณมั่นใจได้ยังไงว่าผมจะช่วยคุณได้”

“ข้อแรก เพราะคุณพีทเป็นคนที่ใกล้ชิดกับพี่ใหญ่ แต่ไม่ได้เข้าข้างพี่ใหญ่ ส่วนข้อต่อมา เพราะหลิวรู้ว่าคนเก่งอย่างคุณพีทต้องมีวิธีดี ๆ ที่หลิวนึกไม่ถึงแน่ ๆ”

“ผมยังมองไม่เห็นทางที่เขาสองคนจะกลับมาคุยกันดี ๆ ได้เลย”

รัญญาเม้มริมฝีปากช้า ๆ อย่างครุ่นคิด จนพิชญ์พอจะเดาออกว่า บางทีราชันย์เองก็อาจจะไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไรให้รัญญาฟังมากนัก

“คุณพีทพอจะมีไอเดียอะไรดี ๆ ไหมคะ”

ไอเดียน่ะพิชญ์มีแน่ เพียงแต่เขาไม่แน่ใจว่ามันดีหรือไม่ หรือถ้ามันดี แล้วอริญชย์จะเห็นสมควรกับเขาด้วยหรือเปล่า สิ่งที่พิชญ์กำลังคิดจะทำ มันไม่ต่างอะไรจากการบุกรังพญามังกรเลย

“ผมยังไม่รู้เลย ว่าจริง ๆ แล้วเรื่องราวมันเป็นมายังไงกันแน่”

“คุณพีทลองตะล่อมถามพี่ใหญ่ดูอีกรอบดีไหมคะ ทางหลิวเองก็จะพยายามถามเฮียดูด้วย แล้วเรามาช่วยกันคิดว่าจะทำยังไงต่อดี”

พิชญ์เคาะปลายนิ้วลงกับโต๊ะอย่างครุ่นคิด การที่รัญญาอยากให้ราชันย์กับอริญชย์หันกลับมาเป็นเพื่อนกันมันก็เป็นเรื่องที่ดี เพียงแต่...

“ทำไมคุณหลิวถึงอยากให้คุณใหญ่กับเสี่ยเล้งกลับมาเป็นเพื่อนกันล่ะครับ”

“คงไม่น้องสาวคนไหนอยากให้พี่ชายของตัวเองทะเลาะกันหรอกค่ะ พี่ใหญ่ก็เหมือนพี่ชายอีกคนของหลิว เห็นทั้งสองคนกลายมาเป็นแบบนี้ หลิวเองก็ไม่สบายใจเหมือนกัน ถ้าได้คุยกันให้รู้เรื่องแบบจริง ๆ จัง ๆ บางทีอาจจะได้รู้ว่าเรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่”

พิชญ์เลื่อนตัวเข้ามาชิดกับขอบโต๊ะ เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังคิดอยู่มันเป็นวิธีที่ฉลาดหรือเปล่า แต่บางทีมันก็ต้องลองเสี่ยง

...ถ้าไม่เข้าถ้ำเสือ แล้วไยจะได้ลูกเสือ...

“ผมอยากรู้ความจริงจากปากเสี่ยเล้ง คุณหลิวพอจะช่วยผมได้ไหม”

รัญญาทำหน้าลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ตอบตกลงออกมา

“ได้ค่ะ แต่หลิวเองก็มีเรื่องที่ต้องขอร้องคุณพีทเหมือนกัน”

“ว่ามาสิครับ”

“จนกว่าจะได้รู้ความจริงจากปากเฮีย อย่าเพิ่งให้พี่ใหญ่รู้ได้ไหมคะว่าหลิวมาหาคุณพีท พี่ใหญ่คงไม่ชอบใจแน่ ๆ ถ้ารู้ว่าหลิวมายุ่งวุ่นวายกับคุณพีท หลิวไม่อยากให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา”

คำขอของรัญญาไม่ได้ยากเกินไปสำหรับพิชญ์ เขาเองก็เห็นดีเห็นงามกับเธอเสียด้วยซ้ำไป อริญชย์คงรีบห้ามเขาแน่ ๆ ถ้ารู้ว่าพิชญ์คิดจะไปยุ่งเกี่ยวกับราชันย์ เพราะฉะนั้น ขอให้เขาได้รู้ก่อนเถอะว่าความจริงมันเป็นยังไงมายังไง แล้วหลังจากนั้นถึงค่อยคิดว่าจะทำอะไรต่อ

“ได้ครับ แต่ช่วยเล่าทุกอย่างที่คุณหลิวรู้ให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับ”

“..........”



.



แสงอาทิตย์สีส้มจาง ๆ สาดกระทบร่างสูงที่ยืนสูบบุหรี่อยู่นอกไซต์งาน อริญชย์ยืนมองดวงอาทิตย์ที่เตรียมจะลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตกจนท้องฟ้ากลายเป็นสีส้ม พลางคิดถึงคนที่ตอนนี้อยู่กรุงเทพฯ

พิชญ์อาจจะคิดว่าเขาหลบเลี่ยงไม่ยอมตอบคำถาม แต่มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริง ๆ ในเมื่อเขาถูกตามตัวให้มาเคลียร์ปัญหาด่วน เรื่องที่มีการสอดไส้สินค้าจากซัพพลายเออร์

อริญชย์ถอนหายใจออกมาหนัก ๆ เขายังไม่อยากฟันธงว่าเรื่องสอดไส้ของคราวนี้เป็นฝีมือของราชันย์ แต่คนที่ชอบเล่นสกปรกแบบนี้ ตลอดชีวิตเขาก็รู้จักอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ใครอื่นไกลที่ไหนเลย นอกเสียจาก...ราชันย์ กมลวิลาศน์!

ก้นบุหรี่ในมือถูกทิ้งลงกับพื้น ก่อนที่คนสูบจะขยี้มันให้ดับด้วยปลายรองเท้าจนเหลือเพียงแค่เถ้าถ่าน

ถ้าเขาขยี้อดีตเพื่อนรักให้ดับง่าย ๆ เหมือนขยี้ก้นบุหรี่ เรื่องราวต่าง ๆ คงไม่บานปลายมาจนถึงป่านนี้

อริญชย์เตรียมจะหันหลังเดินกลับเข้าไปในไซต์งาน ป่านนี้ตุลย์ที่นั่งตากแอร์เย็นฉ่ำอยู่ในออฟฟิศชั่วคราวคงกำลังนึกบ่นเขาอยู่แน่ ๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าไป ชายหนุ่มก็ยังไม่วายหยิบโทรศัพท์มือถือตัวเองออกมาดู

ยอมรับเลยว่าเขาเป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัว แค่รู้ว่าวันนี้พิชญ์ไม่ได้ไปหาไอลดากับน้องหนู เขาก็ดีใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ถ้าทำได้ เขาก็อยากจะยึดพิชญ์ไว้กับตัวตลอดไป ไม่ปล่อยให้ใครหน้าไหน ไม่ว่าจะเป็นไอลดาหรือน้องหนู

ความรัก...ทำให้คนเรากลายเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ

อยากครอบครอง อยากเป็นเจ้าของ แต่ไม่เคยลองถามเขาเลยว่าอยากได้รับความรักจากเราไหม

เพราะเขากลัว...กลัวความจริงที่จะหลุดออกมาจากปากพิชญ์ แต่ถึงพิชญ์ตอบว่าไม่ อริญชย์ก็รู้ดีว่าเขาจะไม่มีวันปล่อยพิชญ์ไป

อริญชย์ยิ้มขันให้กับความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง เขายัดโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงลวก ๆ กำลังจะเดินกลับเข้าไปในไซต์งาน แต่กลับต้องชะงักเสียก่อน เมื่อสัญชาติญาณของเขามันตื่นตัว บอกให้รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ชายหนุ่มหันหลังขวับกลับไปหาสาเหตุ

ก็แค่มอเตอร์ไซค์ธรรมดา ๆ อาจจะเป็นของคนงานแถวนี้ก็ได้

ไม่สิ! ถ้าเป็นมอเตอร์ไซค์ธรรมดาคงไม่เล็งปลายกระบอกปืนมาที่เขาแน่ ๆ

อริญชย์สบถออกมาอย่างหยาบคาย นึกด่าไปถึงโคตรเหง้าศักราชของคนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์บ้า ๆ นี้ ก่อนจะกลิ้งตัวนอนราบไปกับพื้นเมื่อมัจจุราชสีดำพุ่งเข้ามาหาเขาอย่างไม่ปรานีปราศรัย

!!!



TO BE CONTINUE


ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ค่า
จบตอนนี้ต้องถือป้ายเชียร์คุณใหญ่ คุณใหญ่สู้ ๆ



ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
หลิวหวังว่าเธอคงไม่ได้เป็นนางนกต่อมาพาพีทไปให้เฮียเล้งทำร้ายหรอกใช่ไหม :a5:

แล้ว.. ใครจะฆ่าคุณใหญ่ละเนี่ยยยยยยย
ไปไหนๆ มีแต่คนจะทำร้ายแบบนี้
คุณใหญ่ควรมีบอดี้การ์ดซัก 10 คนนะ  :z6:

ออฟไลน์ Tassanee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :katai1:คุณใหญ่  ...... โอ้ยยยยระวังตีวเด้อ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
หลิวเธอจะมาดีหรือมาร้ายน๊าาาา :katai1:

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
เอ๊ย!!ไอ้มือปืน เล็งดีๆนะมึง (ไม่ใช่เล็งเพื่อยิงนะ แต่เพื่อมองหากระสุนจะย้อนกลับเมื่อไหร่) 55555 กล้ามากๆ เอาถากๆพอให้คุณใหญ่ไปออเซาะพีท จะได้รู้ว่าเขาห่วงใยมากน้อยยังไงไง ยอมถูกยิงดีม่ะ 55555 ไม่หรอกๆเราก็ห่วงคุณใหญ่นะเออ งานเข้ารัวๆเลย คงรอดปลอดภัยกลับถึงบ้านดีครบ32นะ 5555 //เบื้องหลังคุณใหญ่ก็ทำเพื่อพีทเยอะมากเลยนะ ดูทุ่มเทจริง เพื่อให้เขาเก่งจนคนอื่นยอมรับ ไม่รู้เขาจะรับรู้และยอมรับเมื่อไหร่อะนะ //หลิวดูท่าแล้วคงมาดี ดูเหมือนอยากให้คืนดีอยากแก้ปัญหาสองคนนั้นให้จบลงจริงๆ แต่แค่คิดสิ่งที่พีทกับหลิวจะทำแล้ว ยิ่งปิดบัง สุดท้ายจะพังไหมไม่รู้ ความเชื่อใจหรืออะไรก็แล้วแต่ ยังไงซะก็เอาใจช่วยละกันนะจ๊ะ 555  สนุกกกกกก ชอบบบ  ขอบคุณที่มาต่อค่า รออ่านตอนต่อไปเล้ย  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25

สิบห้า
การกระทำหรือคำพูด



เลือดสีแดงฉานค่อย ๆ ซึมออกมาบริเวณแขนเสื้อด้านซ้าย คนเจ็บเพียงแค่ก้มลงมองบาดแผลของตัวเองอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะเบือนหน้ากลับมาช้า ๆ แม้ตามลำตัวจะมีคราบฝุ่นและเศษทรายเกรอะกรังจนเสื้อผ้าราคาแพงที่สวมอยู่แทบจะหมดราคา แต่รัศมีความเหี้ยมเกรียมที่แผ่ออกมาจากร่างสูงก็ยังทำเอาคนมองนึกหวั่นเกรง

กลิ่นอับของโกดังเก็บของฉุนติดปลายจมูก ร่างกำยำของมือปืนรับจ้างที่ถูกส่งมาจัดการกับอริญชย์ถูกมัดแน่นอยู่กับพื้นอย่างคนหมดทางสู้ ดวงตาดำจัดของอริญชย์จ้องมองมันอย่างเย็นชาก่อนจะหันมาสั่งตุลย์เสียงเย็นเยียบ บ่งบอกระดับอารมณ์ของคนพูดได้เป็นอย่างดี

“ตุลย์”

“ครับ คุณใหญ่”

“โทรเช็กว่าพีทถึงบ้านเรียบร้อยหรือยัง แล้วปลอดภัยดีหรือเปล่า เดี๋ยวฉันจะโทรเช็กกับทางยัยเล็กเอง”

ตุลย์พยักหน้ารับคำสั่งผู้เป็นนาย สำหรับเขาและอริญชย์แล้ว สถานการณ์ถูกลอบทำร้ายที่กำลังเผชิญอยู่มันแทบจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ แต่สิ่งที่อริญชย์ห่วงคือความปลอดภัยของพิชญ์ ไอลดา และน้องหนู

ทุกครั้งที่เกิดเรื่องลอบทำร้ายขึ้นมา อริญชย์มักจะห่วงความปลอดภัยของคนที่อยู่ข้างหลังก่อนเสมอ ถึงแม้ว่าเขาจะบาดเจ็บ แต่คนสำคัญของเขาต้องปลอดภัย

ลำพังแค่ตัวอริญชย์เอง ถ้าพวกมันคิดจะทำร้ายเขา เขาก็พร้อมจะรับมือและตอบโต้กลับอย่างสาสม แต่ถ้าหากพวกมันคิดจะทำร้ายคนของเขาเมื่อไหร่ มันจะไม่มีแม้แต่ที่ให้ยืนหายใจบนโลกใบนี้แน่ ๆ

อริญชย์ล้วงโทรศัพท์มือถือที่มีรอยขูดขีดจากแรงกระแทกตอนที่เขาพลิกตัวหลบกระสุนออกมากดโทรหาไอลดา พอไอลดารับสาย เขาก็ซักถามอยู่หลายประโยค จนมั่นใจว่าไอลดากับน้องหนูอยู่ที่คอนโดและมีกริชคอยคุ้มกันอยู่ห่าง ๆ อริญชย์ถึงได้วางใจจนยอมวางสายจากน้องสาว พร้อมกับที่ตุลย์เองก็วางสายจากป้าน้อยเช่นกัน

“ป้าน้อยบอกว่าคุณพีทเพิ่งกลับมาถึงบ้าน กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ครับ”

คนเป็นนายพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ พอได้รับคำตอบที่ตัวเองพึงพอใจแล้ว ก็เบนเป้าหมายมาหาร่างที่กำลังหมอบคู้อยู่ที่พื้น เขาย่างสามขุมเข้าไปหามันอย่างใจเย็น เปลี่ยนท่าทีไปจากที่คุยกับไอลดาเมื่อซักครู่ราวกับเป็นคนละคน

“ใครส่งแกมา...”

คำถามเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ ดังมาจากริมฝีปากหยัก ขัดกับบรรยากาศรอบตัวที่ดูกดดันจนพาลให้รู้สึกอึดอัดขึ้นมา คนถามล้วงกระเป๋าด้วยท่าทางสบาย ๆ ราวกับกำลังชวนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ แต่ใครเลยจะรู้ดีเท่าตุลย์ ว่าอริญชย์คงไม่ปล่อยให้มันได้นอนอ้าปากพะงาบ ๆ อย่างสบายตัวแน่ ถ้าไม่ได้คำตอบที่เขาต้องการ

“กูไม่จำเป็นต้องตอบ”

มันตอบเสียงนิ่งอย่างอวดดี ซ่อนความหวาดกลัวเอาไว้อย่างมิดชิด หรือแท้ที่จริงแล้ว มันอาจจะไม่ได้นึกหวาดกลัวเลยก็เป็นได้ แม้กระทั่งยามที่รองเท้าหนังสีดำมันปลาบค่อย ๆ กดลงบนฝ่ามือของมันอย่างเลือดเย็น บดขยี้จนถลอกปอกเปิก แต่มันก็ยังคงกลั้นเสียงร้องเอาไว้ มีแค่ริมฝีปากที่บิดน้อย ๆ พอให้เห็นถึงร่องรอยความเจ็บปวด

“ฉันจะถามอีกครั้ง ใครส่งแกมา”

“กูไม่ตอบ”

เหมือนขอบเขตความอดทนของอริญชย์จะถูกบั่นทอนลงเรื่อย ๆ ด้วยท่าทียโสโอหังของมัน อันที่จริงแล้วอริญชย์ค่อนข้างใจเย็นกว่าที่คนอื่นคิด เพียงแต่เขาไม่คิดจะเสียเวลาเล่นไร้สาระกับมัน แค่แบมือออกไปข้าง ๆ มัจจุราชสีเงินก็ถูกวางลงบนฝ่ามืออย่างรู้หน้าที่ มันเบิกตาน้อย ๆ ก่อนจะค่อย ๆ สงบท่าทีลงจนเป็นปกติแล้วเอ่ยออกมาอย่างอวดดี

“มึงไม่ฆ่ากูหรอก”

อริญชย์แสยะยิ้มออกมา เมื่อเห็นว่ามันเดาความคิดของเขาถูก เขาหมุน.38 ซูเปอร์ในมือไปมาก่อนจะเอ่ยออกมาช้า ๆ

“ฉันก็ไม่ได้คิดจะฆ่าแกอยู่แล้ว แค่สั่งสอนนิดหน่อย...”

พูดไม่ทันขาดคำดี มัจจุราชสีเงินในมือก็ถูกเหวี่ยงอัดกระแทกหน้ามันจนหันไปอีกด้าน ก่อนเลือดสีแดงฉานจะค่อย ๆ ซึมออกมาตามปากและจมูก

“ดูเหมือนฉันจะหนักมือไปหน่อย ว่าแต่ใครส่งแกมานะ”

มันหันหน้ากลับมาจ้องอย่างโกรธแค้น พยายามข่มความเจ็บปวดเอาไว้ ทั้งน้ำลายทั้งเลือดถูกถ่มลงกับพื้นใกล้ ๆ กับปลายเท้าของอริญชย์ก่อนจะตะโกนออกมาเสียงก้อง

“กูไม่ตอบ!”

คำตอบของมันถูกตอบแทนด้วยแรงอัดถี่ ๆ สองครั้งติดของด้ามปืนที่ฟาดกระทบหน้ามันแรง ๆ ก่อนคนกระทำจะชะงักเล็กน้อย เมื่อตุลย์เดินเข้ามาประชิดด้านหลังแล้วกระซิบถ้อยคำบางอย่าง ริมฝีปากหยักเหยียดออกเป็นรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมราวกับพญามัจจุราช

อริญชย์ใช้ปลายเท้าเขี่ยปลายคางของมันให้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา ดวงตาดำจัดวาววับเหมือนเสือร้ายยามออกล่าเหยื่อ ขณะค่อย ๆ โน้มตัวลงไปเอ่ยกับมันเสียงดุดัน

“ถ้าแกตอบไม่ได้ บางทีเมียที่กำลังท้องอ่อน ๆ ของแกอาจจะมีคำตอบให้ฉันก็ได้นะ”

คราวนี้ดวงตาของมันเบิกโพลงขึ้นเมื่อถูกจับจุดอ่อนได้ อริญชย์ได้แต่ยิ้มออกมาด้วยความสมเพช พวกมือปืนที่มีจุดอ่อนก็มักจะต้องมีจุดจบแบบนี้กันทุกคน แต่จะว่าไปแล้ว เขาเองก็มีจุดอ่อนเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าจุดอ่อนคือหนทางที่นำไปสู่จุดจบ แต่เขาก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย

“เสี่ยเล้ง! เสี่ยเล้งจ้างกูมาจัดการกับมึง” มันเอ่ยออกมาด้วยความรวดเร็ว พร้อม ๆ กับที่อริญชย์หันไปสบตากับตุลย์ ดวงตาดำจัดลุกโชนด้วยความโกรธแค้นก่อนจะคำรามออกมาเสียงกร้าว

“ไอ้เล้ง! มึงจะเอายังไงกับกูกันแน่”



.



เพล้ง !!

เสียงเศษแก้วที่ตกแตกกระจายทำเอาคนที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ถึงกับสะดุ้ง พิชญ์ส่ายหัวน้อย ๆ ให้กับความซุ่มซ่ามของตัวเองที่เผอเรอจนปัดแก้วน้ำตกแตก กำลังจะก้มลงเก็บเศษแก้วที่กระจายเกลื่อนอยู่ทั่วพื้น พิชญ์ก็ต้องสะดุ้งอีกรอบ เมื่อได้ยินเสียงป้าน้อยดังนำมาก่อนตัว

“ตายแล้ว! หลบออกมาก่อนค่ะคุณพีท ระวังเศษแก้วบาดนะคะ เดี๋ยวป้าจัดการเองค่ะ”

พอเห็นป้าน้อยเดินเข้ามาพร้อมเด็กอีกคน พิชญ์เลยเบี่ยงตัวหลบให้ป้าน้อยเข้ามาจัดการกับเศษแก้ว เขาเดินออกมายืนดูอยู่ห่าง ๆ แล้วก็ต้องเผลอนิ่วหน้าออกมาน้อย ๆ เมื่อรู้สึกเจ็บแปลบที่แขนข้างซ้ายของตัวเอง กำลังจะพลิกแขนขึ้นมาดูหาสาเหตุ แต่ก็ช้ากว่าป้าน้อยที่หันมาเห็นแล้วอุทานเสียงหลงออกมาอีกรอบ

“ตายจริง! โดนเศษแก้วทิ่มแขนได้ยังไงคะคุณพีท”

“ยังไม่ตายครับป้าน้อย แค่เจ็บแขนเฉย ๆ” พิชญ์เอ่ยแก้ตัวยิ้ม ๆ พลางดึงเศษแก้วที่ฝังอยู่ตรงแขนซ้ายออกมา พอเศษแก้วหลุดออก เลือดก็ไหลซึมออกมาจนเขาเผลอสูดปากเบา ๆ

“ยังจะล้อเล่นอีกนะคะคุณพีท ไปนั่งรอที่โซฟาเลยค่ะ เดี๋ยวป้าไปเอากล่องปฐมพยาบาลมาทำแผลให้”

“ไม่ต้องหรอกครับป้าน้อย แผลเท่าแมวข่วน เดี๋ยวผมล้างน้ำเปล่าก็หายแล้ว”

“ไม่ต้องดื้อเลยค่ะ ถ้าไม่ทำความสะอาดแผลให้เรียบร้อย เกิดเป็นบาดทะยักขึ้นมาจะทำยังไงคะ”

พอเห็นท่าทางเอาจริงเอาจังของป้าน้อย พิชญ์เลยต้องยกมือเป็นเชิงยอมแพ้ ก่อนจะถอยทัพกลับไปนั่งรอที่โซฟา อดหัวเราะขำคุณแม่บ้านออกมาไม่ได้ นี่ป้าน้อยกำลังคิดว่าเขาอายุเท่าน้องหนูหรือเปล่า ถึงได้ดุเหมือนเขาเป็นเด็กเล็ก ๆ ไปได้

ป้าน้อยเดินไปกำชับให้เด็กจัดการเก็บกวาดเศษแก้วที่แตกให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินกลับมาหาพิชญ์พร้อมกล่องปฐมพยาบาลชุดใหญ่ อุปกรณ์การทำแผลต่าง ๆ ถูกหยิบออกมาวางเสร็จสรรพ จนพิชญ์อดเอ่ยแซวป้าน้อยไม่ได้

“ป้าน้อยเป็นพยาบาลเก่าหรือเปล่าครับ ผมแค่ถูกเศษแก้วบาดเองนะ ไม่ได้ถูกยิง”

“ถึงยังไงก็ต้องทำความสะอาดแผลค่ะ จะได้ไม่ติดเชื้อ ป้องกันเชื้อโรคด้วยค่ะ”

พิชญ์คลี่ยิ้มบาง เขายอมนั่งนิ่ง ๆ อย่างว่าง่ายให้ป้าน้อยจัดการกับแผลเท่าแมวข่วนจนเสร็จ ตบท้ายด้วยการปิดพลาสเตอร์อย่างสวยงาม เรียบร้อยแล้วก็เอ่ยขอบคุณป้าน้อยก่อนจะมองเลยไปยังนาฬิกาบนผนัง เผลอนิ่วหน้าออกมานิด ๆ เมื่อเห็นว่าหกโมงเศษแล้ว ดูเหมือนป้าน้อยจะสังเกตเห็นท่าทางของเขาเข้าเลยหันมาเอ่ยยิ้ม ๆ ว่า

“เมื่อซักครู่ตุลย์เพิ่งโทรมาบอกว่าจะกลับช้าหน่อย สงสัยรถจะติดนะคะ”

พิชญ์รับฟังเงียบ ๆ ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมาให้ป้าน้อยคิดว่าเขาอยากรู้ ทำทีเป็นพลิกดูแผลตรงแขนซ้ายของตัวเองก่อนจะเสถามไปอีกเรื่อง

“เดี๋ยวป้าน้อยจะตั้งโต๊ะเลยหรือเปล่าครับ”

“ถ้าคุณพีทหิวแล้ว เดี๋ยวป้าตั้งโตะให้เลยก็ได้ค่ะ นึกว่าจะรอกินพร้อมคุณใหญ่เสียอีก”

“จะกลับมากี่โมงยังไม่รู้เลยครับ ผมกินก่อนดีกว่า”

“งั้นรอป้าแป๊บเดียวค่ะ”

พิชญ์ผงกหัวรับก่อนจะหยิบหนังสือมาอ่านระหว่างรอป้าน้อยเตรียมมื้อเย็น อันที่จริงแล้ว ถึงเขาจะทำท่าเหมือนว่ากำลังอ่านหนังสือ แต่คงมีเพียงเขาที่รู้ว่าตัวเองแค่เปิดหน้าหนังสือทิ้งเอาไว้ ทำเหมือนว่ากำลังอ่านหนังสืออย่างขะมักเขม้น ทั้งที่สติของเขามันจดจ่ออยู่กับเรื่องราวที่เพิ่งรับรู้มาจากรัญญา


‘...เฮียเองก็เอ็นดูกลางมากเหมือนกัน ถ้าเหตุการณ์วันนั้นไม่เกิดขึ้น เฮียกับพี่ใหญ่ก็คงจะเป็นเพื่อนกันจนถึงทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งมันเป็นความผิดของหลิวเองด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะหลิว...’ คนพูดก้มหน้าลงต่ำ แสดงความลำบากใจออกมาอย่างปิดไม่มิด จนพิชญ์ต้องค่อย ๆ ตะล่อมถามอย่างใจเย็น ไม่ผลีผลามรุกคืบจนอีกฝ่ายรู้สึกอึดอัด

‘เป็นความผิดของคุณหลิวยังไงหรือครับ...’

‘ถ้าวันนั้นหลิวยอมไปเป็นเพื่อนกลาง ไม่ปล่อยให้กลางไปคนเดียว เหตุการณ์นั้นก็คงไม่เกิดขึ้น’

‘คุณกลางเขาจะไปไหนหรือครับ’

‘กลางเขาจะไปหาเฮียค่ะ แต่ดันไปเจอเข้ากับคู่อริของเฮียซะก่อน ไม่น่าเลย ถ้าหลิวไปเป็นเพื่อนกลาง บางทีหลิวอาจจะช่วยกลางได้บ้าง มันเป็นความผิดของหลิว ความผิดของหลิวแท้ ๆ เลย ถ้าพี่ใหญ่รู้เข้า พี่ใหญ่จะต้องโกรธและเกลียดหลิวอีกคนแน่ ๆ หลิวอยากไถ่โทษค่ะคุณพีท...’



พิชญ์สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ก่อนจะผ่อนออกมาช้า ๆ รัญญาที่เขาพบเมื่อกลางวันดูเหมือนเป็นคนละคนกับที่เขาเคยพบตามงานสังคมต่าง ๆ สถานการณ์ต่าง ๆ ที่บีบคั้นเข้ามาทำให้พิชญ์เรียนรู้ว่า...

...จะเป็นเสือ เป็นมังกร หรือเป็นหงส์ ถึงอย่างไรก็ต้องมีวันที่กลายเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งเหมือนกัน

“คุณพีท ข้าวเย็นเสร็จแล้วนะคะ”

พอได้ยินเสียงป้าน้อยเรียก พิชญ์ก็เงยหน้าขึ้นมองก่อนจะส่งรอยยิ้มกลับไปให้ เขาปิดหนังสือแล้ววางลงบนโต๊ะตัวเล็ก ซุกซ่อนความอ่อนล้าเอาไว้มิดชิด ลุกขึ้นเดินมาหาป้าน้อยที่ยืนรออยู่ตรงโต๊ะกินข้าว

“โอ้โห ข้าวคลุกกะปิเหรอครับ ของโปรดของผมเลย”

“ถ้าของโปรดก็ต้องทานสองจานนะคะ คนแก่จะได้ชื่นใจ”

“อีกจานขอติดไว้พรุ่งนี้ได้ไหมครับ ถ้าซัดเข้าไปสองจานจริง ๆ มีหวังคืนนี้ผมคงต้องลงมาวิ่งออกกำลังแน่ ๆ”

“แหม ป้าล้อเล่นค่ะ”

พิชญ์หัวเราะออกมาก่อนจะก้มลงจัดการกับข้าวคลุกกะปิร้อน ๆ ที่วางอยู่ตรงหน้า ข้าวสวยร้อน ๆ ผัดกับกะปิหอม ๆ คลุกเคล้าด้วยเครื่องเคียงต่าง ๆ ที่วางมาอย่างเป็นระเบียบ แค่คำแรกที่ตักเข้าปากก็พาลให้คิดถึงฝีมือแม่พลอยขึ้นมาทันที

หลายครั้งหลายหนที่พิชญ์นึกอยากพาตัวเองกลับไปอยู่กับแม่พลอย หลีกหนีความวุ่นวายของเมืองหลวง กลับไปซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดอุ่น ๆ ของผู้เป็นแม่ แต่มันก็เป็นได้แค่เพียงความคิด ในเมื่อตัวเขาเองยังไม่รู้ว่าจะกลับไปทำอะไรที่บ้านเกิด และที่สำคัญ...เขายังมีห่วงหลาย ๆ อย่างอยู่ทางนี้

ภาพของน้องหนูผุดขึ้นมาแวบแรกในความคิด ก่อนจะตามมาด้วยภาพใบหน้าของอริญชย์ จนพิชญ์เกือบจะแค่นหัวเราะออกมาด้วยความสมเพชตัวเองหน่อย ๆ เมื่อสำเหนียกว่าเขารวมอริญชย์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตด้วย แต่พิชญ์ก็กล้ายอมรับกับตัวเองตามตรงว่า ตั้งแต่ที่ได้รู้เรื่องราวต่าง ๆ จากอริญชย์แล้ว เขาเองก็รู้สึกเห็นใจอีกฝ่ายไม่น้อย

...แต่ก็แค่เห็นใจ ไม่ได้หวั่นไหวจนยอมมองข้ามความผิดต่าง ๆ ของอริญชย์

พิชญ์จัดการกับข้าวคลุกกะปิจนหมดก็เอ่ยขอตัวขึ้นห้องนอนก่อน ป้าน้อยที่กำลังจะเก็บจานไปล้าง เอ่ยถามตามหลังเขามา

“คุณพีท ไม่อยู่รอคุณใหญ่ก่อนเหรอคะ”

“ผมเหนียวตัวจะแย่ ขออาบน้ำก่อนละกันครับ เดี๋ยวเสร็จแล้วผมลงมาอยู่เป็นเพื่อนป้าน้อย”

พิชญ์กลับเข้าห้องมาจัดการอาบน้ำอาบท่าจนเสร็จเรียบร้อย แต่ก็ยังโอ้เอ้ ไม่ยอมลงไปข้างล่าง ชายหนุ่มเช็ดผมตัวเองไปพลางก็หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมากดเบอร์ไอลดาที่จำขึ้นใจ

...ปลายทางที่เขาต้องการคุยด้วยไม่ใช่คนรับสาย แต่เป็นน้องหนูที่เปรียบดังแก้วตาดวงใจของเขา

“ว่าไงคะ พี่พีท”

โทรศํพท์ดังแค่เพียงทีเดียว ไอลดาก็กดรับทันที เสียงของเธอมีร่องรอยความดีใจแฝงเอาไว้อย่างปิดไม่มิด จนคนอย่างพิชญ์ถึงกับรู้สึกผิด แต่ก็เพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น เมื่อความอยากคุยกับน้องหนูของเขามีมากกว่า

พิชญ์อยู่กับไอลดาเพียงเพราะคำว่าหน้าที่ จึงไม่แปลกที่เขาจะละเลยความรู้สึกของเธอไปทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัวอยู่หลายครั้ง

“น้องหนูหลับหรือยังครับคุณเล็ก”

ถ้าไม่ได้หูแว่วไปเอง พิชญ์กล้ายืนยันเลยว่าเหมือนเขาจะได้ยินเสียงไอลดาถอนหายใจออกมาหนัก ๆ  ก่อนที่โทรศัพท์ในมือของไอลดาจะถูกส่งต่อไปให้ปลายทางที่แท้จริงของพิชญ์

“พ่อพีทขา...”

เจ้าตัวน้อยส่งเสียงออดอ้อนมาตามสาย น่ารักน่าเอ็นดูจนพิชญ์ยอมเห็นแก่ตัวทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไอลดาต้องเจ็บปวดไม่น้อย แต่พิชญ์ยอมรับ เขาไม่ใช่คนดีเด่อะไร เขาก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง

“คิดถึงพ่อพีทไหมคะคนเก่ง”

“คิดถึงที่สุดเลยค่ะ วันนี้คุณครูสอนน้องหนูปั้นดินน้ำมันด้วย”

“ปั้นอะไรบ้างเอ่ย”

“เยอะแยะเลยค่ะ น้องหนูเอากลับมาให้พ่อพีทดูด้วย”

พิชญ์คุยกับน้องหนูอย่างเพลิดเพลิน ฟังนางฟ้าตัวน้อยเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้เขาฟังอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย ถ้าน้องหนูมาอยู่ใกล้ ๆ พิชญ์คงได้จับเจ้าตัวเข้ามาฟัดแก้มแรง ๆ เป็นแน่แท้

ความสุขของคนเป็นพ่อแม่ ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า ‘ลูก’ เลย

“เมื่อไหร่น้องหนูจะได้เจอพ่อพีทคะ”

“ไว้พ่อพีทจะแวะไปหานะ อยู่กับแม่เล็กก็อย่าดื้อรู้ไหมลูก”

นางฟ้าตัวน้อยรับคำเสียงใส ก่อนจะได้ยินเสียงไอลดาเรียกน้องหนูไปดื่มนมดังเข้ามาในสาย แล้วโทรศัพท์ก็ถูกเปลี่ยนมือกลับไปหาไอลดาอีกครั้ง

“พี่พีทจะคุยกับน้องหนูต่อหรือเปล่าคะ”

“ไม่เป็นไรครับ คุณเล็กพาน้องหนูเข้านอนเถอะ ฝันดีทั้งแม่ทั้งลูกเลยนะครับ”

“ขอบคุณค่ะ พี่พีทเองก็ฝันดีเหมือนกันนะคะ ดูแลตัวเองบ้าง อย่าเอาแต่หักโหมทำงาน เล็ก...รักพี่พีทนะคะ”

พิชญ์ยิ้มขื่น ๆ ออกมาก่อนจะกดวางสายช้า ๆ โดยไม่ได้ตอบรับอะไร คำว่ารักจากไอลดายังคงดังซ้ำไปซ้ำมาจนเขารู้สึกปวดหนึบไปทั้งใจ

...คำว่ารักที่ไม่เคยต้องการ ยิ่งได้รับมากเท่าไหร่ ก็มีแต่ยิ่งทำให้ลำบากใจมากเท่านั้น


.



ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25

กว่าพิชญ์จะลงมาข้างล่างอีกที ป้าน้อยก็แทบจะสัปหงกคาเก้าอี้ ขนาดว่าเปิดละครหลังข่าวให้อยู่เป็นเพื่อนแล้วแท้ ๆ แต่เธอก็ยังง่วงเกินกว่าจะมานั่งถ่างตารอเจ้านาย มาสะดุ้งตื่นตอนที่พิชญ์แตะมือลงบนบ่าเบา ๆ

“อุ๊ย อกอีแป้นจะแตก”

พิชญ์หัวเราะเบา ๆ ให้กับคำอุทานของป้าน้อยก่อนจะกระเซ้าอย่างไม่จริงจังนัก

“สมัยนี้ยังมีคนอุทานแบบนี้อยู่อีกเหรอครับ”

“อาบน้ำนานจังนะคะคุณพีท นึกว่าจะปล่อยป้ารอจนหลับแล้วเสียอีก”

“ขอโทษทีครับ พอดีผมโทรคุยกับน้องหนูเพลินไปหน่อย”

“คุณหนูเป็นยังไงบ้างคะ ดื้อกับคุณเล็กหรือเปล่า”

“ไม่รู้สิครับ แต่คุณเล็กไม่เห็นบ่นอะไรนะครับ” พิชญ์เอ่ยพลางเดินมาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา

เขาเห็นป้าน้อยไม่ได้ดูละครที่กำลังเปิดอยู่ เลยถือวิสาสะหยิบรีโมทมาเปลี่ยนช่อง หันมาอีกทีก็เห็นป้าน้อยกำลังยกมือปิดปากหาว พิชญ์เลยเอ่ยออกมาเสียงกลั้วหัวเราะ

“ป้าน้อยไปนอนก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมรอคุณใหญ่เอง”

“จะดีหรือคะ”

“ดีสิครับ ไปนอนพักผ่อนเถอะครับ ถ้าคุณใหญ่จะเอาอะไร เดี๋ยวผมจัดการเอง รับรองว่าไม่ปล่อยให้ไปปลุกป้าน้อยขึ้นมาแน่ ๆ”

“ค่ะ งั้นป้าขอตัวไปนอนก่อนนะคะ”

พอเห็นป้าน้อยเดินกลับไปนอนแล้ว พิชญ์เลยคว้าหนังสือเล่มที่อ่านค้างอยู่เมื่อตอนเย็นขึ้นมาเปิดอ่านฆ่าเวลาต่อ ความจริงก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของพิชญ์ที่จะต้องมานั่งรออริญชย์ เขาแค่คิดว่าถ้าอีกฝ่ายกลับมาดึกแล้วเกิดหิวขึ้นมา อย่างน้อยเขาก็ยังพอทำอะไรง่าย ๆ ให้กินได้ หรือไม่ก็เอาข้าวคลุกกะปิที่ป้าน้อยทำไว้มาอุ่นให้กิน โดยไม่ต้องให้อริญชย์ไปปลุกป้าน้อยขึ้นมาให้ลำบาก

พิชญ์อ่านหนังสือไปเรื่อย ๆ ก็อดยกมือปิดปากหาวเป็นระยะไม่ได้ เขาเองก็รู้สึกง่วงไม่น้อย หนังสือนิยายแนวสืบสวนที่ถืออยู่ในมือกลายเป็นยานอนหลับอย่างดี ก่อนที่พิชญ์จะเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว มารู้สึกตัวตื่นอีกทีตอนได้ยินเสียงสนทนาดังอยู่ใกล้ ๆ ตัว

“เดี๋ยวผมปลุกคุณพีทให้ละกันครับ จะได้ขึ้นไปนอนข้างบน”

“ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันจัดการเอง นายไปพักผ่อนเถอะ”

ก่อนที่เจ้านายกับลูกน้องจะทันได้ตกลงกันให้เรียบร้อย พิชญ์ก็เป็นฝ่ายลืมตาขึ้นมาเสียก่อน ภาพแรกที่เขาเห็นคืออริญชย์กับตุลย์ แต่ดูเหมือนสายตาของพิชญ์จะเอาแต่จับจ้องอยู่ที่อริญชย์ พิชญ์เขม้นมองช้า ๆ แล้วก็หลุดเสียงอุทานออกมาเมื่อเห็นสภาพอีกฝ่ายชัดถนัดตา

“คุณใหญ่!”

ตุลย์มองพิชญ์สลับกับอริญชย์ ทำท่าจะเอ่ยอะไรบางอย่างออกมา แต่กลับต้องชะงัก เมื่ออริญชย์หันมาตวัดตามองเขานิ่ง ๆ ก่อนจะโบกมือเป็นเชิงไล่ ตุลย์เลยได้แต่ไหวไหล่แรง ๆ แล้วเดินจากไป

เรื่องของเจ้านาย บางทีก็ต้องปล่อยให้เจ้านายเป็นฝ่ายจัดการกันเองบ้าง ถ้าเข้าไปยุ่งมาก ๆ มันคงไม่ดี เขาเองก็ทั้งเหนื่อยทั้งเหนียวตัวเต็มทีแล้วเหมือนกัน ถ้าได้อาบน้ำเย็น ๆ แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม ๆ ก็คงจะดีไม่น้อย ตุลย์คิดพลางผิวปากหวือออกมา ทิ้งอริญชย์กับพิชญ์เอาไว้เบื้องหลัง

พิชญ์สังเกตเห็นตุลย์เดินออกไปจากหางตา แต่เขาก็ไม่ได้นึกสนใจตุลย์เท่าสภาพมอมแมมของอริญชย์ สำหรับคนที่เคยชินกับมาดเนี้ยบ ๆ แฝงไว้ด้วยความหยิ่งยโสของอริญชย์มาตลอดเวลาที่รู้จักกันอย่างเขา เสื้อผ้าที่มีรอยกระดำกระด่างจากดินทรายไม่ใช่เรื่องปกติที่พิชญ์จะมองข้ามไปแน่ ๆ

“เกิดอะไรขึ้น” พิชญ์หลุดคำถามออกไปห้วน ๆ ตรง ๆ โดยไม่คิดที่จะมานั่งเสียเวลาประดิดประดอยคำพูดให้ดูสวยหรู

“ขอน้ำเย็นซักแก้วก่อนได้ไหม”

พิชญ์ทำท่าจะเอ่ยปากค้าน แต่พอเห็นท่าทางอิดโรยของอีกคน เขาเลยลุกไปรินน้ำใส่แก้วให้โดยไม่อิดออด กลับมาอีกทีก็เห็นอริญชย์นั่งนิ่ง ๆ อยู่บนโซฟา เอาหัวพาดกับพนักพิงเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่

“น้ำมาแล้วครับ”

คนที่เอ่ยปากขอน้ำผงกหัวขึ้นมามองก่อนจะดึงแก้วน้ำจากมือพิชญ์ไปดื่มจนหมดแก้ว อริญชย์ยกมือปาดคราบน้ำที่เลอะอยู่มุมปากออกลวก ๆ ร่างสูงกำยำลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขาเกือบจะเดินผ่านหน้าพิชญ์ไปอยู่แล้ว ถ้าไม่มีมือมารั้งแขนเขาเอาไว้เสียก่อน

“เกิดอะไรขึ้นกับคุณ”

คนถูกถามปรายตามองพิชญ์แวบหนึ่ง เขาบิดแขนออกจากการเกาะกุมของพิชญ์ แล้วเปลี่ยนเป็นคว้าข้อมือของพิชญ์เอาไว้แทน คนที่เพิ่งตั้งคำถามกับประมุขของบ้านไปเมื่อครู่ ถูกลากให้เดินตามอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง แต่จะให้ก้มหน้าก้มตาเดินตามหลังเงียบ ๆ มันก็ไม่ใช่วิสัยของพิชญ์เหมือนกัน

“คุณใหญ่...”

“ไปคุยกันบนห้อง”

พิชญ์พรูลมหายใจออกมา ก่อนจะถูกปล่อยให้เป็นอิสระเมื่ออริญชย์พาเขาเข้ามาถึงในห้องแล้ว

“ล็อกประตูห้องด้วย” เจ้าของห้องสั่งเสียงเรียบ ขณะง่วนอยู่กับการปลดกระดุมเสื้อของตัวเองออกทีละเม็ด

พิชญ์ทำตาม แม้จะนึกสงสัย พอหันหลังกลับมาอีกที เขาก็เห็นอริญชย์อยู่ในสภาพเปลือยท่อนบน พิชญ์ชะงักไปนิดหนึ่ง เขาไม่ได้ตกตะลึงไปกับมัดกล้ามของอริญชย์ แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของพิชญ์กลับเป็นผ้าพันแผลสีขาวบริเวณต้นแขนซ้าย

อริญชย์นั่งลงที่ปลายเตียง ค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกอย่างชำนาญ ทำราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ไม่ได้น่าตื่นตกใจแต่อย่างใด พิชญ์ถอนหายใจช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาโดยพยายามควบคุมโทนเสียงให้ราบเรียบ แม้ในหัวจะมีคำถามมากมายเต็มไปหมด

“เดี๋ยวผมลงไปเอากล่องปฐมพยาบาลให้”

“ไม่ต้อง ข้างบนมี เดินไปเปิดน้ำอุ่นใส่อ่างอาบน้ำให้ที”

พิชญ์ต้องยอมเก็บคำถามและความสงสัยเอาไว้ ในเมื่อตอนนี้สิ่งที่สำคัญกว่าดูเหมือนจะเป็นการปล่อยให้อริญชย์จัดการกับตัวเองให้เรียบร้อยก่อน พิชญ์เดินเข้าไปเปิดน้ำอุ่นใส่อ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ในห้องน้ำของอริญชย์ ทั้ง ๆ ที่ยังนึกสงสัยว่ามันใช่หน้าที่เขาแน่หรือ อาการง่วง ๆ เบลอ ๆ แทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง

รอจนเห็นว่าน้ำอุ่นได้ที่ พิชญ์ก็หันหลังจะเดินออกไปตามอริญชย์ แต่ความตั้งใจของเขาก็ต้องถูกโยนทิ้ง เมื่อเจ้าของห้องเป็นฝ่ายเดินเข้ามาในห้องน้ำเสียก่อน และไม่ได้เดินเข้ามาแบบธรรมดา แต่เล่นมาแบบไม่มีผ้าผ่อนติดตัวซักชิ้น

พิชญ์ยอมรับเลยว่าอริญชย์รูปร่างดีจนน่าอิจฉา แต่ช่วยถามเขาหน่อยเถอะว่าอยากดูไหม

กริ๊ก !!

เสียงล็อกกลอนประตูห้องน้ำที่ดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบทำเอาพิชญ์สะดุ้งนิด ๆ พอเห็นว่าสถานการณ์ตรงหน้าชักจะไม่สู้ดี เขาก็รีบมองหาทางหนีทีไล่ พยายามเบี่ยงตัวไปอีกทางเมื่อเห็นว่าอริญชย์กำลังเดินตรงมาทางเขา

“คุณจะล็อกประตูห้องน้ำทำไม เดี๋ยวผมจะออกไปแล้ว”

“นายตาบอดหรือแกล้งมองไม่เห็นว่าแขนฉันเจ็บอยู่”

“แล้วยังไง...”

พิชญ์ไม่ใช่คนโง่ แต่บางครั้งเขาก็ต้องยอมแกล้งโง่เพื่อให้ตัวเองรอดออกไปจากถ้ำเสือ และเช่นเดียวกัน อริญชย์เองก็ไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่เขายอมอ่อนให้คนบางคนเท่านั้น

“จะใจดำขนาดไม่ยอมช่วยฉันเลยหรือไง”

“จะให้ผมช่วยอะไร คุณก็พูดมาสิ”

ช่วยออกไปไกล ๆ ช่วยเรียกตุลย์ ช่วยทำแผล ช่วยอะไรก็ได้ พิชญ์ขอแค่เรื่องเดียว...

“ช่วยฉันอาบน้ำหน่อย”

คำตอบของอริญชย์ไม่ได้ห่างไกลจากสิ่งที่พิชญ์คิดเอาไว้เลย แต่มันคือคำตอบสุดท้ายที่เขาต้องการจะได้ยิน พิชญ์ทำหน้าหน่าย ๆ ออกมาอย่างไม่ปิดบังขณะเอ่ยปฏิเสธไปตรง ๆ

“ผมอาบน้ำแล้ว ไม่อยากเปียกอีก”

“นั่นมันเป็นปัญหาของนาย ไม่ใช่ของฉัน ว่าจะทำยังไงไม่ให้ตัวเองเปียก”

พิชญ์กัดฟันกรอด เมื่อรู้ว่าทางเลือกของตัวเองถูกบีบให้น้อยลงหรือพูดง่าย ๆ คือ อริญชย์ไม่เคยมีทางเลือกให้เขาเลย ยังไม่ทันจะได้ตอบคำถามออกไปอย่างที่ใจคิด อริญชย์ก็เอ่ยเสียงหนัก ๆ สำทับตามมาอีก

“ฉันอยากสระผมด้วย คันหัวยังไงไม่รู้”

พิชญ์พยายามข่มอารมณ์ตัวเอง ก่อนจะผายมือไปยังอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่เป็นเชิงให้อริญชย์ลงไปรอในอ่าง เจ้าของห้องทำตามอย่างว่าง่ายไม่มีอิดออด มุมปากหยักผุดรอยยิ้มขึ้นมานิด ๆ ใครจะรู้ดีเท่าตัวเขาเองว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

อริญชย์ก้าวขาลงไปในอ่างอาบน้ำ น้ำอุ่น ๆ ที่พิชญ์เปิดทิ้งไว้ช่วยให้เขารู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย ความเหนื่อยล้าที่เจอมาตลอดทั้งวันดูจะหายเป็นปลิดทิ้ง ชายหนุ่มหลับตาลงช้า ๆ ก่อนจะวางศีรษะลงบนขอบอ่างอาบน้ำ ละทิ้งปัญหาต่าง ๆ เอาไว้ข้างนอก มีแค่เวลานี้ที่เขาได้เป็นตัวของตัวเองยามอยู่กับพิชญ์

พิชญ์ยืนมองอริญชย์ที่แช่น้ำอยู่อย่างชั่งใจก่อนจะพับแขนเสื้อนอนตัวเองช้า ๆ ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วเดินไปนั่งตรงขอบอ่าง พยายามมองเมินทัศนียภาพที่ล่อแหลมต่าง ๆ พร่ำบอกตัวเองว่าให้รีบทำให้มันเสร็จ ๆ ไปเสียที

พิชญ์หยิบฝักบัวมาเปิดน้ำอุ่นรดลงบนหัวของอริญชย์ ก่อนจะบีบแชมพูใส่มือแล้วเริ่มต้นสระผม ดูเหมือนคนที่นอนหลับตาอยู่นิ่ง ๆ จะรับรู้ถึงอาการเกร็งของพิชญ์ อริญชย์ถึงได้เอ่ยออกมาเสียงเรื่อย ๆ

“วันนี้ฉันไปตรวจไซต์งาน...”

“ครับ” คนที่กำลังง่วนอยู่กับการทำหน้าที่ช่างสระผมจำเป็นทวนคำอย่างงง ๆ

“สงสัยไม่ใช่หรือไง ว่าแผลตรงต้นแขนมาจากไหน”

“ไปโดนอะไรมาล่ะครับ”

“ก็แค่ถูกลอบยิง...”

คนเล่าเล่าเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่พบเจอได้ในชีวิตประจำวัน ผิดกับคนฟังที่ถึงกับชะงักมือที่กำลังสระผมให้อยู่ พิชญ์ชะโงกหน้าลงไปดูแผลอริญชย์ใกล้ ๆ ตอนที่อริญชย์แกะผ้าพันแผลออก เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจมอง พอก้มลงดูชัด ๆ ถึงได้เห็นว่ามันเป็นรอยกระสุนถาก

“แล้วจับตัวคนทำได้หรือเปล่า” พิชญ์ถาม ทั้งที่รู้ดีว่าอย่างคนอริญชย์คงไม่ปล่อยให้คนร้ายลอยนวลไปได้แน่

“จับได้ ฉันจัดการมันไปแล้ว”

“แล้วคนบงการล่ะ”

พอได้ยินคำถามของพิชญ์ ดวงหน้าคมก็พลันกระด้างขึ้นมา ร่างสูงเกร็งตัวแน่นด้วยความโกรธจนพิชญ์เองยังรู้สึกได้ เขาใช้ปลายนิ้วนวดไปตามหนังหัวอริญชย์ช้า ๆ หวังจะช่วยให้อีกฝ่ายผ่อนคลาย

“จะมีใครเสียอีก ถ้าไม่ใช่ไอ้เล้ง”

“คุณรู้ได้ยังไงว่าเป็นฝีมือเสี่ยเล้ง”

“หึ! มือปืนที่มันจ้างมาสารภาพกับฉันเองน่ะสิ”

พิชญ์ถอนหายใจออกมาอย่างอึดอัด เมื่อสถานการณ์ที่กำลังเผชิญหน้าอยู่มันชักจะเลยเถิด เขาค่อย ๆ ทบทวนบทสนทนาที่คุยกับรัญญาเมื่อกลางวัน

‘...ถ้าคุณพีทอยากให้หลิวช่วยอะไรก็บอกมาเลยนะคะ หรืออยากให้หลิวนัดเฮียให้ หลิวก็ยินดี หลิวไม่อยากเห็นเฮียกับพี่ใหญ่ทะเลาะกันอีกแล้ว...’

บางทีเขาอาจจะต้องลงมือทำอะไรเอง และรัญญาก็ดูเหมือนจะเป็นตัวช่วยชั้นดีที่เสนอตัวเข้ามาได้ถูกที่และถูกเวลา

“คุณปลอดภัยกลับมาก็ดีแล้ว”

อริญชย์เหยียดยิ้มออกมา เขาไม่คิดจะเล่าให้พิชญ์ฟังแม้แต่น้อยว่าจัดการสำเร็จโทษมือปืนยังไง เรื่องบางเรื่องมันก็โหดร้ายเกินกว่าจะให้พิชญ์มารับรู้ แค่โลกของพิชญ์เป็นสีเทา ๆ ก็พอแล้ว อย่าให้ต้องดำมืดเหมือนโลกของเขาเลย

พิชญ์หยิบฝักบัวมาล้างคราบแชมพูออกจากหัวของอริญชย์ พอล้างจนหมดแล้ว ก็เผลอยื่นมือไปลูบไล้บาดแผลอย่างเผลอไผล เสียงที่เอ่ยถามออกไปทอดอ่อนไม่รู้ตัว

“เจ็บไหม...”

“แค่ถาก ๆ เอง เป็นห่วงฉันหรือไง”

ดวงตาดำจัดหันมาสบเข้ากับดวงตาเรียวของพิชญ์ จ้องตากันนิ่ง ก่อนพิชญ์จะเสก้มลงดูบาดแผลที่ต้นแขนของอริญชย์อย่างสนอกสนใจ แล้วก็ต้องหลุดเสียงอุทานออกมาเมื่อถูกกระชากให้ลงไปเบียดอยู่ในอ่างอาบน้ำด้วยกัน

“เฮ้ย”

น้ำในอ่างกระเซ็นสาดใส่จนเปียกชุดนอนของพิชญ์ไปทั้งชุด อารมณ์เป็นห่วงหายวับไปทันทีก่อนจะถูกแทนที่ด้วยอารมณ์ขุ่นมัว

“ผมไม่เล่นด้วยนะคุณใหญ่” พิชญ์เอ่ยออกมาเสียงแข็ง เมื่อรู้ตัวว่าเผลอไผลจนพลาดท่าเสียทีอริญชย์เข้าให้แล้ว

อ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ของอริญชย์ราวกับถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับคนสองคน แต่ต่อให้มันใหญ่พอที่จะลงมาแช่ด้วยกันสองคน มันก็ไม่มีที่มากพอให้พิชญ์หลบหนีไปไหน โดยเฉพาะในยามที่เขาถูกตรึงเอาไว้ด้วยวงแขนแข็งแรง จนแผ่นหลังแนบชิดติดกับขอบอ่าง

“กับนายน่ะฉันไม่เคยเล่น ฉันเอาจริงทุกครั้ง”

ฝ่ามือหนาเอื้อมมาปลดกระดุมชุดนอนผ่าหน้าของพิชญ์อย่างถือวิสาสะ แม้จะพยายามปัดป้องมากแค่ไหน แต่พิชญ์ก็ต้องยอมรับว่าสรีระและพละกำลังของเขากับอริญชย์แตกต่างกัน ถึงจะเป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่อริญชย์แข็งแรงกว่าเขามากนัก ถ้าเขาสามารถต่อกรอริญชย์ได้แม้เพียงซักนิดหนึ่ง เขาคงไม่ต้องตกเป็นเบี้ยล่างอย่างที่ผ่าน ๆ มา

“คุณใหญ่ อย่า!”

อริญชย์โน้มหน้ามาจนชิดกับใบหน้าพิชญ์ เจ็บปวดจากแผลกระสุนถากยังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าไม่ได้ครอบครองพิชญ์วันนี้ ที่นี่ เขาคงต้องคลั่งตายแน่ ๆ

“ว่าง่าย ๆ หน่อยพีท อย่าให้ฉันต้องหยิบเรื่องเดิม ๆ มาขู่ทุกครั้งที่จะกอดนายได้ไหม”

พิชญ์ถึงกับนิ่ง เรื่องเดิม ๆ ที่อริญชย์หยิบยกมาขู่ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องความผิดของเขา ความผิดที่พิชญ์ชักจะไม่แน่ใจว่า ตกลงแล้วเขาผิดจริง ๆ หรือเปล่า หรือมันเป็นแค่ข้ออ้างของอริญชย์ที่จะเอารัดเอาเปรียบเขา

ในอ่างอาบน้ำที่กว้างพอสำหรับคนสองคน ร่างกายของอริญชย์กับพิชญ์แนบสนิทกันทุกสัดส่วน ฝ่ามือใหญ่ยื่นมาลูบไล้ส่วนกลางลำตัวของพิชญ์อย่างน่าไม่อาย คนถูกกระทำได้แต่เบือนหน้าหนี ซุกซ่อนความเจ็บช้ำในใจไว้อย่างมิดชิด หลังจากที่เสียศักดิ์ศรีให้กับอริญชย์ไป พิชญ์ก็ไม่เคยคิดจะปล่อยให้น้ำตาลูกผู้ชายของเขาไหลออกมาแม้แต่ครั้งเดียว

หยดน้ำตาของเขามีค่ามากเกินกว่าต้องมาเสียให้กับอริญชย์

“ไม่ทันไรก็มีอารมณ์แล้ว นายเองก็อยากเหมือนกันใช่ไหมล่ะ...” อริญชย์ยื่นหน้ามากระซิบคำพูดน่าอายข้างหูพิชญ์ ก่อนกางเกงนอนที่เปียกน้ำจะถูกกระชากแล้วโยนออกไปนอกอ่าง เปิดเผยความเป็นชายที่กำลังแข็งขืนโดยไม่ไว้หน้าผู้เป็นเจ้าของแม้แต่น้อย

ผิวกายละเอียดของพิชญ์ถูกอริญชย์เชยชมซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนกระทำค่อย ๆ แตะต้องอย่างอ่อนโยน สำหรับคนที่ปากแข็งอย่างอริญชย์แล้ว เขารู้เพียงแค่ว่า...การกระทำย่อมสำคัญกว่าคำพูด

ถึงจะไม่เคยพร่ำพูดคำว่ารักออกไปให้อีกคนได้ยิน แต่เขาก็ตีตราและแสดงความรักลงทุกตารางนิ้วบนร่างกายพิชญ์อย่างอ่อนโยน หารู้ไม่ว่าความอ่อนโยนที่มอบให้ไปในทุก ๆ การกระทำ มันไม่เคยเดินทางไปถึงหัวใจคนรับเลยซักครั้ง

...ถ้าคนหนึ่งไม่คิดที่จะเปิดปาก อีกคนก็คงไม่คิดที่จะเปิดใจ...

ริมฝีปากร้อนจัดจูบซับไปทั่วผิวกายขาว ฝากฝังรอยรักเอาไว้ทุกบริเวณที่แตะต้อง พิชญ์หลับตา ไม่อยากรับรู้ทุกการกระทำ ไม่อยากรับรู้ทุกสัมผัส และที่สำคัญ...เขาไม่อยากยอมรับว่าตัวเองกำลังรู้สึกดีมากแค่ไหน

พิชญ์แค่นยิ้มออกมาด้วยความสมเพชตัวเอง ทั้งที่ไม่เคยมีอารมณ์ทางเพศหรือแม้กระทั่งนึกอยากจะกอดไอลดา แม้ว่าอีกฝ่ายจะแตะเนื้อต้องตัวเขาอยู่บ่อย ๆ แต่พอเป็นอริญชย์ เพียงแค่สัมผัสกันอย่างผิวเผิน กลับปลุกเร้าความต้องการในตัวเขาให้ลุกโชน จนเผลอแอ่นกายตอบรับสัมผัสจากอริญชย์อย่างน่ารังเกียจ

อริญชย์ขยับมานั่งพิงขอบอ่างด้านหนึ่ง แล้วยกตัวพิชญ์ขึ้นมาคร่อมทับอยู่บนตัวเขา พิชญ์เบิกตาโพลงเมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่ในท่าทางอันล่อแหลม ปลายนิ้วใหญ่ลูบไล้จนไปถึงช่องทางด้านหลัง ถูไถไปตามรอยแยกช้า ๆ แค่อริญชย์ฝืนดึงดันเข้าไปเพียงนิดเดียว คนที่อยู่ข้างบนก็เกร็งตัวขึ้นมาทันที ฝ่ามือหนาดึงพิชญ์เข้ามารับจูบซ้ำ ๆ ก่อนจะจับอีกฝ่ายให้หันหน้าไปมองกระจกเงาบานใหญ่

“ดูสิ...ว่านายต้องการฉันมากแค่ไหน”

ทั้ง ๆ ที่ไม่อยากรับรู้ แต่พิชญ์ก็อดหันไปมองไม่ได้ ผู้ชายสองคนกำลังร่วมรักกันอย่างน่าไม่อาย หนึ่งในนั้นคือเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ใบหน้าของตัวเองที่สะท้อนออกมาจากกระจกเงาแสดงความต้องการออกมาอย่างปิดไม่มิด

“อา...” พิชญ์หลุดเสียงครางออกมาดังลั่น เมื่ออริญชย์เสือกกายเข้ามาพรวดเดียว มันทั้งจุกและทั้งเจ็บไปในคราวเดียวกันจนเขาถึงกับต้องทำหน้าเหยเก

อริญชย์ค่อย ๆ กดตัวตนส่วนที่เหลือเข้าไปจนสุดทาง พิชญ์ขยับตัวจะถดหนี แต่ฝ่ามือหนากลับยึดสะโพกเขาไว้แน่น ขยับเข้าออกช้า ๆ จนความเจ็บปวดค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยความสุขสม บทเพลงรักที่ร่วมด้วยช่วยกันบรรเลงดังทั่วห้องน้ำ แม้ในใจจะบอกว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่มันไม่ถูกต้อง แต่พิชญ์ก็ไม่อาจขัดขืนความต้องการของร่างกาย ได้แต่ขยับโยกอยู่บนตัวอริญชย์ตามที่ร่างกายปรารถนา

สัมผัสจากฝ่ามือร้อนผ่าวปลุกเร้าพิชญ์อย่างรู้ใจ รู้ว่าตรงไหนที่จะยิ่งทำให้พิชญ์เตลิดไปไกล แค่เพียงแตะต้อง หยอกล้อ พิชญ์ก็แทบสูญสิ้นความเป็นตัวของตัวเอง ราวกับร่างกายของเขามันไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป ปล่อยให้อริญชย์ควบคุมทั้งเกมรักและร่างกายของเขา

ที่สุดของปลายทาง เสียงครางดังจนแยกไม่ออกว่าเสียงไหนเป็นเสียงใคร สายธารอุ่นร้อนถูกฉีดพร่างพรมเข้าไปในร่างกายของพิชญ์ ก่อนที่เจ้าของร่างจะทิ้งตัวลงซบหน้ากับบ่าของอริญชย์อย่างอ่อนล้า

เกลียด! พิชญ์เกลียดร่างกายไม่รักดีของตัวเอง

รู้ว่าขัดขืนไม่ได้ แต่ทำไมต้องเต้นตามไปกับสัมผัสที่อีกฝ่ายปรนเปรอให้

อริญชย์จับพิชญ์ให้เงยหน้าขึ้นมารับจูบเขา พิชญ์จ้องมองอริญชย์นิ่ง พยายามส่งผ่านความเกลียดออกไปทางแววตา แต่สิ่งที่สื่อออกมากลับมีแค่ความเจ็บใจ

“อย่ามองเหมือนว่าฉันข่มขืนนายได้ไหม”

“คนที่บังคับคนไม่เต็มใจ ถ้าไม่เรียกว่าข่มขืน จะให้เรียกว่าอะไร”

“ถ้าไม่เต็มใจ แล้วเมื่อกี้ใครที่ขยับอยู่บนตัวฉันอย่างน่าไม่อาย”

พิชญ์เม้มริมฝีปากแน่น หมดคำพูดจะมาต่อล้อต่อเถียงกับอริญชย์ จะเถียงให้ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา ในเมื่อการกระทำทุกอย่างอย่าว่าแต่อริญชย์ที่เห็นเลย ตัวเขาเองก็รู้แก่ใจเป็นอย่างดีว่าร่างกายมันเรียกร้องและต้องการอริญชย์มากแค่ไหน

พิชญ์ฝืนลุกขึ้นจากอ่างน้ำโดยที่อริญชย์ไม่คิดจะห้ามปรามแม้แต่น้อย เขาพยายามแข็งใจก้าวขาออกมา ทั้งที่ขาสั่นจนแทบจะก้าวไม่ออก เดินข้ามชุดนอนของตัวเองที่ถูกถอดทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ อยู่ที่พื้น คว้าผ้าขนหนูมาพันรอบตัวแล้วเดินออกมาทิ้งร่างลงบนเตียงอย่างอ่อนล้า

นับวัน...ความเกลียดที่มีให้อริญชย์มันยิ่งน้อยลงทุกที

แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้น...คือความเกลียดตัวเอง

ถึงเขาจะไม่ได้รักไอลดา แต่การทำแบบนี้...มันก็ไม่ต่างอะไรกับการหักหลังไอลดาเลย



TO BE CONTINUE/b]


ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ค่า
อย่างคุณใหญ่...ไม่น่าจะถูกใครทำอะไรง่ายๆ
มีแต่จะไปทำชาวบ้านมากกว่า เจ็บตัวทีกำไรที น่าหมั่นไส้มากค่ะ


ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
ไอลดาก็ดันทุรังเกินไปเหมือนกับพี่ชายของเขานั่นแหละพีท เพียงแต่คุณใหญ่ใช้วิธีการมาข่มขู่เอาตัวเธอมากอดมากกได้ยังไงละ ถ้าพีทยอมทิ้งน้องหนูลงได้ ชีวิตพีทก็จะเป็นอิสระ...​แต่เป็นอิสระแค่แป๊บเดียวนะแหละ เพราะยังไงคุณใหญ่ก็จะตามล่าให้พีทกลับมาอยู่ดี.. ยกเว้นเสียแต่ว่าจะหาคนใหญ่คนมีอำนาจกว่าคุณใหญ่มาช่วยเหลือ....

อีคุณใหญ่ก็นะ จะพูดกับพีทดีๆ บ้างไม่ได้เลยรึ สิ่งที่ทำยังไงเขาก็เรียกว่าข่มขืนนะคุณใหญ่ หัดพูดจาดีๆ บ้าง รับรองพีทมอบทั้งตัวและหัวใจด้วยความเต็มใจแน่ๆ  :katai5:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
 :oo1: แบบนี้ในอ่างก็เสียวฟินจิกหมอนดี
 ถึงจะหมั่นไส้คุณใหญ่แต่ก็ชอบว่ะ 555555 ชอบความรู้สึกพีทที่รู้สึกดีกับคุณใหญ่ระหว่างที่ทำเรื่องแบบนั้น แม้หลังจากนั้นพีทจะโกรธเขาก็เถอะ ชอบที่ต่างคนต่างยกให้กันและกันเป็นคนพิเศษในแง่ที่ว่าจะไม่ทำอย่างนี้แบบนี้หรือรู้สึกกับใครมันเกิดเฉพาะคนๆนี้ไรงี้ มันดีอ่ะ 555555 ถึงแม้ตอนนี้ต่างคนจะไม่ยอมรับใจกันและกันก็ตาม จะรอดูวันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ แต่ก่อนอื่นขอไปจัดการเสี่ยเล้งก่อนนะ ค่อยมาว่ากันนะพีท คุณใหญ่บอก 555555 บทเพื่อน2คนนี้จะลงยังไง *เห้อออ ถอนหายใจ* ตอนที่หลิวบอกว่าเสียใจที่ไม่ได้ไปกับกลาง มุมมองหลิวก็คงแบบนั้น แต่มุมคนอื่นคือถ้าไปความสูญเสียจากหนึ่งอาจกลายเป็นสองก็ได้ ใครจะรู้ นั่นคู่อรินะ อย่าโทษตัวเองไปเลยนะหลิว พีทอ่ะจะทำอะไรกับหลิว คิดดีๆนะ ไม่งั้นมันจะย้อนกลับมาหาตัว 5555 ก็แอบเห็นใจไอลดาอยู่หรอกนะ แต่ก็หวังว่าวันที่รู้ความจริงพีทกับพี่ชาย จะทำใจยอมรับมันได้ ว่าความรักมันเป็นเรื่องที่ห้ามกันไม่ได้จริงๆ อิอิ
อ๊อยยยยยยยสนุกกกมากค่า ชอบๆ ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รอตอนหน้าเลย  :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Moonoii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
พึ่งจะได้อ่านncเต็มของคู่นี้

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25

สิบหก
ความจริงในใจ



ละอองเย็นจากเครื่องปรับอากาศตกกระทบร่างเปลือยเปล่าที่นอนขดอยู่บนเตียงขนาดคิงไซส์ เจ้าของร่างขยับตัวซุกผ้าห่มผืนหนาเพื่อหาไออุ่น ข้างกายของพิชญ์ว่างเปล่า ปราศจากเงาเจ้าของห้อง มีเพียงแค่เขาที่นอนอยู่ตามลำพังบนเตียงกว้าง

สายฝนข้างนอกยังคงตกโปรยปรายลงมาไม่ขาดสายเหมือนที่เป็นมาตลอดทั้งคืน พระอาทิตย์ดวงโตยังคงเล่นซ่อนแอบอยู่หลังก้อนเมฆ แม้ว่าจะเป็นเวลาสายมากแล้ว มีแต่ความอึมครึมจากก้อนเมฆและสายฝนที่ปกคลุมอยู่ทั่วท้องฟ้า มันช่างดูขมุกขมัว เหมือนกับความรู้สึกของพิชญ์ในตอนนี้

ดวงตาเรียวจับจ้องอยู่ที่หน้าต่างบานสูง มองหยาดน้ำฝนค่อย ๆ ไหลลงมาตามกระจกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย นึกอยากกระโจนออกไปเล่นน้ำฝนเหมือนที่เคยทำสมัยที่ยังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ จนโดนแม่พลอยเอ็ดเอาอยู่บ่อย ๆ แต่มันก็เป็นได้แค่เพียงความคิดลม ๆ แล้ง ๆ เท่านั้น

เวลาเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างเปลี่ยนผัน แม้แต่ตัวเขาเองก็เช่นกัน...

พิชญ์ยังคงนอนนิ่ง แม้จะรู้ดีว่าสายมากแล้ว แต่ฝนตกหนักขนาดนี้ ต่อให้รีบเร่งออกไปทำงานมากแค่ไหน เขาก็ต้องพาตัวเองออกไปผจญกับรถติดในใจกลางเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานครอยู่ดี และที่สำคัญ...บทรักที่อริญชย์เรียกร้องเอาจากเขาตลอดทั้งคืน มันก็ทำเอาพิชญ์อ่อนล้าจนไม่คิดอยากจะลุกไปไหน

ถึงแม้พิชญ์จะยังอยากนอนต่ออยู่บนเตียงนิ่ง ๆ ความรู้สึกที่บอกว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องนอนของเขา แต่เป็นห้องนอนของอริญชย์ ก็ทำให้พิชญ์ต้องยันตัวขึ้นมานั่งบนเตียงช้า ๆ

ผ้าห่มที่คลุมร่างเปลือยเปล่าของเขาอยู่หลุดร่นลงมากองอยู่บนหน้าตัก ร่องรอยแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของปรากฏเด่นชัดทั่วร่างกายพิชญ์ จนเจ้าของร่างทำได้เพียงหลุดยิ้มขื่น ๆ ออกมา

เขาในตอนนี้...ทั้งสมเพชและรังเกียจตัวเองยิ่งกว่าอะไรดี

แค่เพียงหลับตา ภาพความทรงจำที่เขาตอบรับทุกสัมผัสของอริญชย์อย่างเร่าร้อน หยัดร่างเข้าหาอย่างน่าไม่อาย ส่งเสียงครางอย่างไร้ศักดิ์ศรี สิ่งเหล่านั้นมันผุดขึ้นมาเป็นฉาก ๆ ราวกับกรอเทปซ้ำไปซ้ำมา จนพิชญ์ได้แต่ซบหน้าตัวเองลงกับหัวเข่า

ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าสิ่งที่กำลังทำมันผิด แต่พิชญ์ก็ไม่อาจหักห้ามร่างกายตัวเองได้เลย ร่างกายของเขาเหมือนไม่ใช่ร่างกายของเขาอีกต่อไป มันเอาแต่คอยเรียกร้องและโหยหาสัมผัสจากอริญชย์ เพียงแค่อีกฝ่ายสัมผัสแผ่วเบา ร่างกายของเขาก็พลันลุกฮือด้วยความต้องการที่ถูกกระตุ้น เหมือนแม่เหล็กต่างขั้วที่เรียกร้องหากันและกันอย่างไม่รู้จักอิ่มเอม

“ต้องทำยังไง...”

เป็นคำถามที่พิชญ์ได้แต่เฝ้าถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา ต้องทำยังไงถึงจะหลุดจากความอึดอัดที่หอมหวานนี้ เขาพร่ำตอกย้ำสถานะของตัวเองและอริญชย์อยู่ทุกวัน ตอกมันให้ลึกลงไปถึงข้างในก้นบึ้งหัวใจ แต่ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ นอกจากร่างกายจะไม่เชื่อฟังแล้ว หัวใจก็เริ่มไม่เป็นของตัวเองเข้าไปทุกที

อริญชย์อาจจะเห็นเขาเป็นแค่ของเล่น เป็นแค่นายบำเรอ หรือแม้แต่ที่ระบายความใคร่

ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม พิชญ์ก็ต้องหักใจมองอริญชย์ให้เป็นได้แค่เพียงพี่ภรรยาเท่านั้น

แค่เลยเถิดทางกายก็ไร้ศักดิ์ศรีมากพอแล้ว ยังจะหยิบยื่นหัวใจไปให้เขาเหยียบย่ำอีกหรือพิชญ์ ทุกอย่างมันเริ่มต้นมาแบบผิดที่ผิดทาง และที่สำคัญ...มันผิดศีลธรรม อย่าให้ความปรารถนามันครอบงำจนลืมความจริงที่เป็นอยู่เลย

พิชญ์ก้าวขาลงจากเตียงช้า ๆ ของเหลวบางอย่างค่อย ๆ ไหลรินลงมาตามง่ามขา เขาได้แต่เม้มริมฝีปากแน่น เก็บกลืนฝืนทนทุกความรู้สึกที่แสนน่าละอายเอาไว้ ก้มเก็บชุดนอนที่กระจัดกระจายเข้ามาสวมลวก ๆ กางเกงถูกถอดโยนไปทาง เสื้อถูกถอดโยนไปอีกทาง บ่งบอกความเร่งรีบของคนถอดได้เป็นอย่างดี พิชญ์สวมกางเกงเสร็จก็เดินมาหยิบเสื้อที่พาดอย่างหมิ่นเหม่อยู่ใกล้ ๆ โต๊ะทำงานของอริญชย์มาสวมใส่

ปกติแล้วพิชญ์ไม่เคยสนหรือใส่ใจอะไรกับข้าวของในห้องนอนของอริญชย์มากนัก เข้ามาแล้วก็มีแต่อยากจะรีบออกไปเสียให้ไว แต่วันนี้อะไรบางอย่างดลใจ จะเรียกว่าเป็นโชคชะตาหรือความบังเอิญก็ว่าได้ แต่มันก็ทำให้พิชญ์เงยหน้าขึ้นมาเห็นของบางอย่างก่อนจะต้องชะงักงัน

เขาไม่รู้ว่าอริญชย์จะกลับมาเมื่อไหร่ แต่เขาสงสัยว่าของสิ่งนั้นมาอยู่ที่ห้องอริญชย์ได้ยังไง มิหนำซ้ำยังแทรกตัวอยู่บนชั้นหนังสืออย่างไม่เข้าพวก

หนังสือรุ่นสมัยมหาวิทยาลัยวางแทรกอยู่ท่ามกลางหนังสือวิชาการ แล้วที่สำคัญยังเป็นหนังสือรุ่นของเขา!

พิชญ์ค่อย ๆ ดึงหนังสือรุ่นสมัยมหาวิทยาลัยออกมาจากชั้นหนังสือ ความที่ไม่ทันระวังทำให้หนังสือเล่มข้าง ๆ หล่นลงมาด้วย เขาเกือบจะเก็บหนังสือเล่มข้าง ๆ ที่หล่นลงมาพร้อมกันคืนใส่ชั้นหนังสือแล้ว ถ้าเพียงแต่มันจะไม่ใช่...

อัลบั้มที่มีแต่รูปของเขา!

พิชญ์ถูกสั่งสอนมาให้มีมารยาท อย่าหยิบจับสิ่งของของคนอื่น แต่กรณีนี้คงต้องยกเว้นเมื่อเป็นเรื่องของตัวเขาเอง หนังสือรุ่นสมัยมหาวิทยาลัย ซึ่งพิชญ์เคยสงสัยว่าหายสาบสูญไปไหนแทบจะไร้ค่า เมื่อสิ่งที่น่าสนใจกว่าคืออัลบั้มภาพของตัวเขาเอง

ยิ่งเปิดไปเรื่อย ๆ ภาพความทรงจำเก่า ๆ ก็ดูเหมือนจะถูกถ่ายทอดออกมาผ่านรูปภาพแต่ละใบ

งานกีฬาสีที่โรงเรียนที่พิชญ์เป็นคนถือธงประจำสี รอยยิ้มกระจ่างปรากฏอยู่บนใบหน้าเด็กชายหัวเกรียน งานจบการศึกษาตอนมัธยมหกที่พิชญ์กอดคอถ่ายภาพกับเพื่อนร่วมรุ่น ไม่เว้นแม้กระทั่งงานรับน้องที่มหาวิทยาลัย ใบหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปจากสมัยมัธยม มีแต่เส้นผมที่ยาวขึ้น ดวงหน้าขาว ๆ ถูกปะแป้งจนมองเห็นแค่ดวงตากับริมฝีปากสีระเรื่อ แต่อาจบดบังความสดใสในดวงตาเรียวได้

รูปภาพ...แม้ไม่ได้มีมากมาย แต่กลับเก็บเรื่องราวหลาย ๆ อย่างในชีวิตของพิชญ์ไว้เกือบครบถ้วน

พิชญ์ถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง เกือบจะหลุดยิ้มออกมาให้กับภาพเก่า ๆ ของตัวเอง ถ้าเพียงแต่ว่าภาพเหล่านี้จะไม่มาอยู่อย่างผิดที่ผิดทาง ความสงสัยประเดประดังเข้ามาไม่ขาดสาย อัลบั้มรูปภาพของเขามาอยู่ในห้องนอนของอริญชย์ได้อย่างไร จะบอกว่าเป็นของไอลดาก็คงไม่ใช่ เพราะพิชญ์ไม่เคยให้ภาพถ่ายเหล่านี้กับไอลดาเลย

อริญชย์...เก็บมันเอาไว้เพื่ออะไร?

ความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัวของพิชญ์ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเปิดประตู คนที่เข้ามาคืออริญชย์ที่เห็นว่าสายมากแล้ว ถึงได้เดินขึ้นมา ตั้งใจจะมาปลุกคนที่เขารู้ดีว่านอนขี้เซามากแค่ไหน อริญชย์เลิกคิ้วน้อย ๆ เมื่อเห็นว่าพิชญ์ตื่นแล้วและกำลังยืนอยู่หน้าชั้นหนังสือของเขา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นชะงักกึก เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือพิชญ์ชัดถนัดตา

ดวงตาสองคู่สบประสานกัน คนหนึ่งยืนนิ่งอยู่กับที่ อีกคนค่อย ๆ เดินเข้ามาหา คำถามแหบพร่าดังมาจากริมฝีปากหยัก

“เห็นแล้วใช่ไหม...”

พิชญ์ถอนสายตาจากใบหน้าของอริญชย์แล้วก้มลงมองอัลบั้มรูปในมือ เขาจะไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไปเหมือนที่ผ่าน ๆ มาแน่ อย่างน้อย ให้เขาได้ทำอะไรเพื่อให้ความอึมครึมข้างในใจบรรเทาได้ซักนิดก็ยังดี

“ผมเห็นแล้ว...”

อริญชย์ยื่นมือมาหมายจะดึงอัลบั้มรูปในมือพิชญ์คืน ก่อนจะต้องผิดหวังเมื่อพิชญ์ยื้ออัลบั้มรูปในมือไว้แน่นปานจงอางหวงไข่

“เรามีเรื่องต้องคุยกัน...”

พิชญ์รู้ นาทีนี้เขาเป็นต่อ แม้จะไม่รู้ว่าทำไมอริญชย์ถึงมีท่าทีอ่อนลงแบบนั้น แต่เมื่อมีโอกาสมากองอยู่ตรงหน้า เขาก็จะคว้ามันเอาไว้อย่างไม่ลังเล

“ขออัลบั้มคืนก่อนได้ไหม”

พิชญ์เลิกคิ้วก่อนจะปรายตามองอัลบั้มรูปในมือ เขาแค่นเสียงหัวเราะออกมาก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบ ซุกซ่อนท่าทีอ่อนล้าของตัวเองเอาไว้ข้างในให้มิดชิด

“ผมควรจะเป็นคนพูดประโยคนั้นมากกว่านะครับ ในนี้มีแต่รูปผม มันก็ควรจะเป็นกรรมสิทธิ์ของผมไม่ใช่หรือ”

อริญชย์มองอัลบั้มรูปในมือพิชญ์ สำหรับพิชญ์แล้ว มันอาจจะเป็นแค่รูปถ่ายที่แทนความทรงจำต่าง ๆ ที่เคยผ่านมา แต่สำหรับเขามันมีค่ามากกว่านั้น กว่าอริญชย์จะรวบรวมมาได้ มันไม่ง่ายเลย

“ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย”

“ฉันทำอะไร”

“คุณคอยตามติดชีวิตผมมานานแค่ไหนแล้ว เห็นผมเป็นของเล่นของคุณหรือไง ต้องทำร้ายผมอีกแค่ไหน คุณถึงจะพอใจ ผมก็เป็นคนมีหัวใจเหมือนกันนะคุณใหญ่ ไม่ใช่ตุ๊กตายางให้คุณแก้เหงาไปวัน ๆ”

อริญชย์ยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองช้า ๆ อยากจะกระชากตัวพิชญ์เข้ามากอดแน่น ๆ ให้จมลงไปในอกของเขา แล้วบอกว่าเรื่องราวทั้งหมดมันเป็นยังไงมายังไง แต่เพียงแค่เขายื่นมือออกไป ปฏิกิริยาที่ได้คืนมากลับรุนแรงกว่าที่เขาคิดนัก นอกจากจะปัดมือเขาทิ้งอย่างไม่ไยดีแล้ว พิชญ์ยังกระถดตัวหนีราวกับรังเกียจกันอีก

“มันไม่ใช่อย่างที่นายคิด...”

“แล้วมันเป็นยังไงคุณก็พูดมาสิ คุณรู้จักผมมานานแค่ไหน คุณวางแผนทุกอย่างเอาไว้แล้วใช่ไหม ผมเป็นอะไร เป็นแค่หมากตัวหนึ่งในเกมของคุณใช่หรือเปล่า”

“ไม่...ไม่ใช่...”

ความอึดอัดที่สะสมมานานของพิชญ์ค่อย ๆ ปะทุขึ้นมา เมื่ออริญชย์ยังทำท่าเหมือนไม่อยากอธิบายอะไรออกมาให้ชัดเจน

อริญชย์จะรู้ไหม ว่าเขาต้องจมอยู่กับความรู้สึกอึดอัดและรังเกียจตัวเองมากแค่ไหน ถ้าอริญชย์ต้องการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเขา พิชญ์บอกเลยว่าอริญชย์ทำมันสำเร็จแล้ว นอกจากจะไม่หลงเหลือศักดิ์ศรีแล้ว พิชญ์ยังเกลียดตัวเองแทบบ้า

พิชญ์กอดกระชับอัลบั้มในมือแน่น เขาขยับตัวจะเดินหนี แต่แค่ก้าวขาออกไปนิดเดียวก็ถูกดึงกลับมาจนแผ่นหลังปะทะกับแผงอกกว้างที่สะท้อนขึ้นลงตามจังหวะการหายใจของอริญชย์

หัวใจอีกดวงเต้นแรงจนพิชญ์รู้สึกได้ หรืออันที่จริง มันอาจจะเต้นเพื่อเขามานานแล้ว แต่พิชญ์แกล้งทำเป็นไม่รับรู้มัน

อริญชย์ขบกรามแน่น เขาเดินอยู่บนทางเลือกที่ต้องเลือกว่าจะพูดความจริงแล้วเสียพิชญ์ไป หรือเหนี่ยวรั้งพิชญ์เอาไว้ด้วยเล่ห์กลต่าง ๆ แต่ไม่มีทางที่จะได้หัวใจพิชญ์มา

ผู้ชายอย่างอริญชย์ เกียรติกาญจนา เก่งกล้าสามารถทุกอย่าง ลูกน้องทุกคนต่างยำเกรง เป็นเสือร้ายที่ใคร ๆ พากันกล่าวถึง แต่กับคำง่าย ๆ ที่มันอัดแน่นอยู่ในใจมาหลายปี คนที่เก่งเรื่องงาน แต่ไม่ประสีประสาเรื่องรักอย่างเขากลับต้องมาตกม้าตายเอาง่าย ๆ

อริญชย์ยอมรับ ว่าเขาไม่เคยรักและรู้สึกกับใครอย่างที่มีให้กับพิชญ์มาก่อน และเพราะไม่เคยรักใคร หัวใจจึงไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ต้องการแค่เพียงครอบครองและเป็นเจ้าของ หลงเฝ้าคิดว่าถ้ากักขังร่างกายเอาไว้ พิชญ์ก็ไม่มีทางที่จะหนีเขาไปไหนได้ กว่าจะรู้ตัวก็เกือบสายเกินไป ว่าแท้จริงแล้ว...

ไม่ใช่แค่ร่างกายของพิชญ์ที่เขาต้องการ แม้แต่หัวใจดวงนั้น อริญชย์ก็อยากให้มันเต้นเพราะเขา เพื่อเขา ...แค่เขาคนเดียวเท่านั้น

“คุณใหญ่...” พิชญ์เรียกชื่อเจ้าของวงแขนที่กักขังเขาไว้เสียงขื่น ๆ “วันนี้คุณอาจจะกักขังผมไว้ได้ แต่มันก็ไม่ตลอดไปหรอกนะ...”

อ้อมแขนที่รัดพิชญ์ไว้หลวม ๆ พลันรัดแน่นขึ้น ตราบเท่าที่ลมหายใจเขายังมี เขาจะไม่มีทางปล่อยพิชญ์ไปไหน

ประสบการณ์ชีวิตและฝีมือการทำงานของอริญชย์อาจจะเก่งกล้าจนหาตัวจับยาก แต่กับเรื่องความรัก...ต้องนับว่าเขายังอ่อนด้อยประสบการณ์นัก

เพราะไม่เคยรัก เมื่อได้รักจึงอยากครอบครอง เพราะคิดว่าการกระทำมันชัดเจนกว่าคำพูด เขาจึงลืมสิ่งที่สำคัญที่สุดไปอย่างไม่น่าให้อภัย การกระทำชัดเจนมากแค่ไหนก็คงไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าเขาไม่คิดจะพูดความรู้สึกในใจออกไปให้พิชญ์ได้รู้

“ฉันไม่ยอมให้นายหนีไปไหน...”

“คุณก็ขังได้แค่ร่างกายผมเท่านั้น”

“แล้วต้องทำยังไง...ต้องทำยังไงถึงจะได้หัวใจนายมา...”

คำถามดังอยู่ข้างหู แค่เพียงพิชญ์เปิดใจสักนิด พิชญ์คงรู้ว่าน้ำเสียงของคนถามมันอ่อนระโหยและเว้าวอนมากแค่ไหน

“ผมไม่เข้าใจ”

พิชญ์ไม่เข้าใจความหมายจริง ๆ คราวนี้เขาไม่ได้แกล้งโง่ คนที่คอยแต่เหยียบย่ำศักดิ์ศรีเขาจนไม่เหลือชิ้นดี ยังจะอยากได้หัวใจเขาไปอีกทำไม อยากจะบีบก้อนเนื้อเล็ก ๆ ของเขาให้มันแหลกเหลวคามือเลยใช่ไหม

“ต้องทำยังไงถึงจะได้หัวใจของนาย...”

“ทำไม? คุณจะเอาไปเหยียบย่ำอีกหรือไง ร่างกายของผม คุณก็ได้ไปแล้ว เหลือหัวใจตัวเองให้ผมไม่ได้เลยหรือไง”

อริญชย์ซบหน้าลงกับบ่าพิชญ์ เขาเพิ่งรู้ว่าการกระทำที่ผ่านมามันไม่เคยเข้าไปถึงข้างในใจของพิชญ์เลย

“มันไม่ใช่อย่างที่นายคิด”

“แล้วมันคืออะไร อย่าบอกนะว่าคุณรักผม”

อริญชย์นิ่ง เขากำลังตัดสินใจระหว่างเก็บทุกอย่างเอาไว้อย่างคนขี้ขลาดแล้วพลาดอย่างที่ผ่าน ๆ มา หรือเลือกที่จะบอกออกไป

“แล้วถ้าฉันบอกว่าใช่ล่ะ”

พิชญ์ถึงกับนิ่งงันราวต้องคำสาป เขาเคยคิดถึงสาเหตุที่อริญชย์ทำร้ายกับเขาไปสารพัด คิดแม้กระทั่งว่าอริญชย์รังเกียจที่เขาแต่งงานกับไอลดา หรือกระทั่งว่าจงเกลียดจงชังเขา แต่คำว่า ‘รัก’ ที่อริญชย์เพิ่งพูดออกมา มันไม่เคยอยู่ในสารบบความนึกคิดของพิชญ์เลยแม้แต่น้อย

“อย่าบ้าน่าคุณใหญ่”

อริญชย์แค่นยิ้มออกมาก่อนจะหมุนตัวพิชญ์ให้หันกลับมาเผชิญหน้าเขา

ถูกของพิชญ์ เขามันบ้า บ้าที่ไปหลงรักพิชญ์ ผู้ชายธรรมดาที่ไม่มีอะไรโดดเด่น แต่ก็ทำเอาคนที่เก่งทุกเรื่องอย่างเขาถึงกับไปไม่เป็น ต้องหาวิธีเพื่อให้ได้มา ต้องพยายามไขว่คว้ามาครอง ต้องเหนี่ยวรั้งพิชญ์ไว้อย่างโง่ ๆ ยอมถูกเกลียดจนตาย ดีกว่าปล่อยให้พิชญ์จากเขาไปไหน

“ฉันมันบ้า แต่ที่พูดออกมาก็คือเรื่องจริง”

สำหรับคนอื่น คำว่ารักอาจเป็นคำง่าย ๆ ที่พูดออกไปโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่สำหรับคนที่ยึดถือว่าการกระทำสำคัญกว่าคำพูด คนที่ปากหนักอย่างอริญชย์ ถ้าคำว่ารักมันง่ายอย่างที่ใจคิด เขาคงไม่รีรอจนกระทั่งพิชญ์เกลียดเขา

“อย่ามาล้อเล่นน่า ผมเป็นสามีคุณเล็ก เป็นน้องเขยคุณนะ”

ความผิดพลาดที่สุดของอริญชย์คือการยอมให้ไอลดาแต่งงานกับพิชญ์ ทุกอย่างมันถึงได้ขมวดเกลียวเป็นปม กลายเป็นความสัมพันธ์ซับซ้อนที่มองไม่เห็นทางออก แต่ในอุโมงค์ที่มืดมิดนี้ สิ่งที่ทำให้เขายังยิ้มออกคงมีเพียงความจริงที่ว่า...

“นายไม่ได้รักยัยเล็ก”

พิชญ์เม้มริมฝีปากแน่น มันคือเรื่องจริงที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้ เขาไม่ได้รักไอลดา และก็คงไม่มีวันรักเธอได้ แต่อริญชย์คงลืมความจริงอีกข้อไป...

“แต่ผมก็ไม่ได้รักคุณเหมือนกัน”

จะแข็งแกร่งดังภูผามากแค่ไหน ถึงยังไงก็ต้องมีจุดอ่อน อริญชย์ฝืนยิ้มออกมา ทั้งที่ความเจ็บปวดฉายชัดในแววตา

อย่าย้ำในเรื่องที่เขารู้อยู่แล้ว ทั้งที่รู้ดีแก่ใจ แต่พอได้ยินกับหู เขาก็เกือบจะหมดแรงเอาดื้อ ๆ เสียแต่ว่าคนอย่างอริญชย์...ต่อให้ไม่รักกัน เขาก็ไม่มีวันปล่อยให้พิชญ์ไปไหน

“ฉัน...”

ถ้อยคำที่เตรียมจะเอื้อนเอ่ยออกไป ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงโทรศัพท์มือถือของพิชญ์ พิชญ์สบตาอริญชย์ชั่วครู่ แม้จะนึกสงสัยว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดอะไรออกมา แต่เขาก็บิดตัวออกจากการเกาะกุมก่อนจะกดรับสาย

“พิชญ์พูดครับ...”

“พี่พีท เล็กเองนะคะ”

เสียงร้อนรนของไอลดาดังมาตามสาย บ่งบอกว่าเจ้าตัวไม่ได้อยู่ในอารมณ์ปกติ พิชญ์ขมวดคิ้วฉับด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะรีบถามออกไปตามสัญชาติญาณ

“เกิดอะไรขึ้นครับคุณเล็ก”

อริญชย์ชะงัก เมื่อได้ยินพิชญ์เอ่ยชื่อไอลดาออกมา ยอมรับเลยว่าเขาไม่พอใจ แม้ไอลดาจะมีฐานะเป็นภรรยาของพิชญ์ก็ตามที

“น้องหนู...น้องหนูค่ะ...”

เหมือนไอลดาจะเรียบเรียงคำพูดไม่ถูก แต่แค่เพียงชื่อของน้องหนูหลุดออกมาจากริมฝีปากของไอลดา หัวใจของพิชญ์ก็พลันชาวาบ

“เกิดอะไรขึ้นกับน้องหนูครับ”

“น้องหนูตัวร้อนจี๋เลยค่ะ ตื่นขึ้นมาก็เพ้อหาพี่พีทไม่หยุด เล็กกำลังจะพาน้องหนูไปโรงพยาบาล พี่พีทช่วยตามไปเจอที่โรงพยาบาลทีนะคะ”

“ครับ ๆ เดี๋ยวผมจะรีบออกไปเดี่ยวนี้ คุณเล็กรีบพาน้องหนูล่วงหน้าไปก่อนเลยนะครับ”

พิชญ์วางสายจากไอลดาด้วยความร้อนรนไม่ต่างกัน ความเป็นห่วงลูกสาวตัวน้อยแล่นวาบเข้าเกาะกุมหัวใจ เขาผลุนผลันจะออกจากห้อง ก่อนจะต้องชะงักเมื่อถูกอริญชย์คว้าแขนเอาไว้

“จะไปไหน”

“คุณใหญ่ นี่ไม่ใช่เวลามาล้อเล่นนะ คุณไม่ได้ยินหรือไงว่าน้องหนูไม่สบาย ผมจะไปหาลูกที่โรงพยาบาล”

อริญชย์ถอนหายใจหนัก ๆ เรื่องของน้องหนูทำเอาคนใจเย็นอย่างพิชญ์สติแตกได้แทบทุกครั้ง เขายื่นมือไปตบแก้มพิชญ์เบา ๆ หวังจะเรียกสติของพิชญ์ให้กลับคืนมา

“ฉันยังไม่ได้ว่าอะไร แต่ถ้าจะไป ไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนดีไหม แล้วเดี๋ยวไปพร้อมกันกับฉัน”

พิชญ์ก้มลงมองสภาพตัวเองที่ไม่ต่างอะไรจากเพิ่งไปออกศึกสมรภูมิมา ก่อนจะเห็นพ้องตรงตามที่อริญชย์พูด เขาเลยได้แต่พึมพำขอบคุณออกมาเบา ๆ

“ขอบคุณที่เตือนครับ”


.


ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25

อริญชย์เป็นคนขับรถพาพิชญ์มาโรงพยาบาลด้วยตัวเอง เขารู้ดีว่าเจ้าตัวคงไม่อยู่ในสภาพที่จะขับรถมาได้เองแน่ ๆ แวบหนึ่งที่อริญชย์อดคิดอย่างเห็นแก่ตัวขึ้นมาไม่ได้

เขาอิจฉาน้องหนูเหลือเกิน เมื่อไหร่กัน เมื่อไหร่ที่พิชญ์จะเป็นเดือดเป็นร้อนกับเรื่องของเขาอย่างนี้บ้าง

พอมาถึงโรงพยาบาล พิชญ์ก็รีบผลุนผลันลงจากรถ เขาเป็นห่วงน้องหนูจนไม่คิดจะหยุดรออริญชย์ที่เดินตามมาห่าง ๆ พิชญ์เดินมาเกาะโต๊ะประชาสัมพันธ์เพื่อสอบถาม ก่อนจะได้ความว่าน้องหนูถูกย้ายไปที่ห้องคนไข้แล้ว พอได้เลขห้องมาแล้ว พิชญ์ก็เดินดุ่มไปกดลิฟต์ทันที อริญชย์ที่เดินตามมาทันรีบคว้าข้อมือพิชญ์มาบีบเอาไว้

“ใจเย็น ๆ น้องหนูถึงมือหมอแล้ว”

พิชญ์ไม่ได้ตอบอะไรอริญชย์ เขาไม่มีแรงแม้แต่จะดึงมือออกจากการเกาะกุมของอริญชย์ด้วยซ้ำ ดวงตาเรียวจับจ้องเลขชั้นที่ขยับขึ้นลงบนแผงหน้าปัดของลิฟต์ ทุกสิ่งทุกอย่างดูช้าในความรู้สึกของเขา

แค่รู้ว่าน้องหนูไม่สบาย พิชญ์ยังแทบจะคลั่งตาย ถ้าเป็นอะไรมากกว่านี้ เขาไม่อยากจะคิดเลย

ทันทีประตูลิฟต์เปิดออก พิชญ์ก็สะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของอริญชย์แล้วตรงดิ่งออกจากลิฟต์ทันที อริญชย์ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะรีบเดินตามพิชญ์ไป ในเวลานี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าอาการของน้องหนูอีกแล้ว

พิชญ์เดินมาหยุดอยู่หน้าห้องพักผู้ป่วย ดูชื่อที่ติดอยู่หน้าห้องจนแน่ใจแล้วถึงค่อยเปิดประตูเข้าไป ไอลดาที่กำลังนั่งนิ่งอยู่ตรงโซฟารีบผวาเข้ามากอดพิชญ์ไว้ทันที พิชญ์รับหญิงสาวเข้าสู่อ้อมแขน ลูบหลังลูบไหล่ปลอบประโลมเธอ

ยามนี้เขาเป็นพ่อ เป็นผู้นำ เป็นหัวหน้าครอบครัว สติคือสิ่งที่ต้องมาก่อน อารมณ์ค่อยให้ตามมาทีหลัง

“น้องหนูเป็นยังไงบ้างครับคุณเล็ก”

“คุณหมอบอกว่าน้องหนูเป็นไข้หวัดใหญ่ค่ะ น่าจะติดมาจากเพื่อนที่โรงเรียน ฉีดยาลดไข้ให้แล้ว แต่คุณหมอยังอยากให้พักผ่อนดูอาการอีกซักวันสองวัน” ไอลดาเก็บข้อความที่คุณหมอเจ้าของไข้แจ้งแก่เธอมาบอกพิชญ์ได้ครบถ้วน สัญชาติญาณความแม่แล่นพล่านโดยไม่ต้องชี้นำ

พิชญ์พรูลมหายใจออกมาแรง ๆ อย่างน้อยก็ยังดีที่ไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง และโชคดีเหลือเกินที่ไอลดามีสติพอที่จะรีบพาน้องหนูมาโรงพยาบาลทันทีที่มีอาการ พิชญ์ค่อย ๆ ประคองไอลดาให้นั่งลงที่โซฟา ส่วนเขาเดินไปชะโงกหน้าดูนางฟ้าตัวน้อยที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง

พิชญ์ไล้มือไปตามพวงแก้มใสด้วยความรัก ตัวน้องหนูยังอุ่น ๆ อยู่ แต่ไม่ร้อนมากเท่าไหร่แล้ว พิชญ์ยืนดูน้องหนูอยู่อีกสักพัก เขาไม่อยากรบกวนการพักผ่อนของเด็กหญิง จึงถอยกลับมานั่งกับไอลดาที่โซฟา

“เล็กขอโทษ เป็นความผิดของเล็กเอง เล็กไม่ดูแลลูกให้ดี”

พิชญ์ดึงหญิงสาวเข้ามาปลอบประโลม ไอลดาอาจจะมีฐานะเป็นแม่ของน้องหนู แต่ความรู้สึกข้างในใจของพิชญ์ เธอคือน้องสาวที่น่ารักคนหนึ่งของเขา เพียงแต่ว่าอีกคนที่มองอยู่ห่าง ๆ กลับไม่เห็นเป็นเช่นนั้น ภาพที่อริญชย์เห็นคือภาพครอบครัวที่อบอุ่น จนเขาต้องกลายเป็นส่วนเกินโดยที่ไม่ต้องการ

อริญชย์เบือนหน้าหนีภาพที่พิชญ์กำลังปลอบประโลมไอลดา เสเดินไปดูอาการของหลานสาวตัวน้อย ถึงเขาจะเป็นคนเลือดเย็น แต่เขาก็ไม่เคยคิดจะทำร้ายตัวเองโดยการทนดูพิชญ์กอดไอลดาไว้ในวงแขน เสียงของพิชญ์ที่ปลอบประโลมไอลดายังคงดังเข้าหูมาให้ได้ยิน เมื่อเลือกแล้วที่จะให้ความสัมพันธ์มันเป็นแบบนี้ เขาก็ต้องยอมรับและอยู่กับมันให้ได้

“อย่าโทษตัวเองเลยครับ มันไม่ใช่ความผิดของคุณเล็ก”

“พี่พีทอย่าโกรธเล็กนะคะ เล็กไม่ได้ตั้งใจ”

“ผมไม่ได้โกรธคุณเล็กเลย ร้องไห้เดี๋ยวไม่สวยนะครับ ยิ้มหน่อยเร็ว”

ไอลดาค่อย ๆ คลี่ยิ้มออกมา ผู้ชายคนนี้จะทำให้เธอรักไปถึงไหนกัน

“ขอบคุณนะคะ...”

พิชญ์ส่ายหน้าช้า ๆ เป็นเชิงว่าไม่ต้องขอบคุณเขา อันที่จริงแล้วพิชญ์ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณไอลดามากกว่า ดูจากสภาพเธอเขาก็เดาออกทันที พอรู้ว่าน้องหนูไม่สบาย ไอลดาก็คงรีบร้อนพาน้องหนูมาส่งโรงพยาบาลจนไม่ทันได้จัดการกับตัวเองให้เรียบร้อย หญิงสาวยังอยู่ในชุดเสื้อยืดกับกางเกงนอนขายาว ใบหน้าขาวใสไร้เครื่องประทินโฉมใด ๆ เรือนผมสีน้ำตาลเข้มติดจะยุ่งเหยิงนิด ๆ แต่พิชญ์มองแล้วกลับเห็นว่าเธอสวยกว่าทุกวัน

ความเป็นแม่...ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งดูสวยแม้ปราศจากเครื่องสำอางใด ๆ

“เดี๋ยวผมอยู่เฝ้าน้องหนูให้เอง คุณเล็กกลับไปอาบน้ำแต่งตัวที่คอนโดให้สดชื่น แล้วค่อยแวะมาอีกทีดีไหมครับ”

ไอลดาเกือบจะตกปากรับคำพิชญ์แล้ว แต่อะไรบางอย่างก็ดลใจให้เธอส่ายหน้าปฏิเสธอย่างดื้อดึง

“ไม่เอาดีกว่าค่ะ เล็กอยากอยู่เฝ้าลูกด้วย พอน้องหนูตื่นมาจะได้เจอเล็กกับพี่พีทอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ดีไหมคะ”

“แล้วคุณเล็กไม่อยากอาบน้ำอาบท่าหน่อยหรือครับ”

ไอลดาทำหน้าครุ่นคิด เธอเป็นผู้หญิงย่อมรักสวยรักงามเป็นธรรมดา แต่หญิงสาวก็ยังไม่อยากกลับคอนโดไปตอนนี้ ดวงตากลมโตมองเลยไปยังผู้เป็นพี่ชายที่ยืนอยู่ข้างเตียงน้องหนู เสียงหวานเอ่ยเรียกชื่อพี่ชายอย่างออดอ้อน

“พี่ใหญ่...” เจ้าของชื่อหันมาเลิกคิ้วใส่ไอลดานิด ๆ ไม่แสดงท่าทียินดียินร้ายอะไร ริมฝีปากบางคลี่ออกเป็นรอยยิ้มหวาน ๆ ก่อนจะเอ่ยไหว้วาน “ช่วยกลับไปเอาเสื้อผ้ากับของใช้ของเล็กที่คอนโดให้หน่อยได้ไหมคะ”

“ทำไมไม่กลับไปเอาเองล่ะ”

“เล็กอยากอยู่เฝ้าลูกนี่คะ พี่ใหญ่กลับไปเอาเล็กไม่ได้เหรอ”

“แล้วพี่จะรู้ไหมว่าเธอจะเอาอะไรบ้าง”

ไอลดาขยับริมฝีปากเป็นรอยยิ้มกว้าง ราวกับเดาออกว่าอริญชย์ต้องเอ่ยออกมาแบบนี้

“ไม่ต้องห่วงค่ะ เดี๋ยวเล็กโทรบอกนวลให้จัดของให้ พี่ใหญ่แค่กลับไปเอาให้เล็กก็พอ...นะคะ เล็กยังไม่อยากไปไหน น้องหนูตื่นมาจะได้เห็นทั้งพ่อทั้งแม่”

อริญชย์ชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะทำสีหน้าให้เป็นปกติ เขามองเลยไปที่พิชญ์ อีกคนก็เอาแต่มองเลยไปที่น้องหนู ไม่ยอมสบตากับเขา จนอริญชย์นึกสงสัย คำว่ารักที่เขาตัดสินใจพูดออกไป มันดังไปถึงข้างในใจของพิชญ์บ้างไหม สุดท้ายแล้ว คนนอกที่กลายเป็นส่วนเกินอย่างเขาก็ได้แต่พยักหน้ารับช้า ๆ ไม่วายเอ่ยถามอีกคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ไอลดา

“แล้วนายจะเอาอะไรด้วยหรือเปล่า”

“ขอเสื้อผ้าให้ผมซักสองสามชุดแล้วกันครับ คืนนี้ผมจะนอนเฝ้าน้องหนูที่นี่”

อริญชย์พยักหน้ารับ เอ่ยกำชับพิชญ์กับไอลดาว่าถ้ามีอะไรให้รีบโทรหาเขาทันที ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งคู่สามีภรรยาไว้ตามลำพัง ทั้งที่ไม่ต้องการจะทำอย่างนั้นเลยแม้แต่น้อย แต่ไอลดาเป็นแม่ พิชญ์เป็นพ่อ แล้วเขาล่ะเป็นอะไร เขามันก็แค่ลุง ถึงจะผูกพันทางสายเลือด แต่ก็ไม่ใช่ผู้ให้กำเนิดน้องหนู ลำดับความสำคัญก็ต้องอยู่ถัดจากคนเป็นพ่อแม่อยู่แล้ว

พอเห็นอริญชย์เดินออกไปจากห้องพักคนป่วยแล้ว พิชญ์ก็ขยับจะลุกขึ้นไปดูน้องหนูอีกรอบ แต่กลับต้องชะงัก เมื่อไอลดาคว้าข้อมือเขาเอาไว้

“ครับ คุณเล็ก...”

ไอลดาไม่ได้เอ่ยอะไร แต่โผเข้ากอดพิชญ์แน่น หญิงสาวซบหน้าลงกับบ่าของผู้เป็นสามี แววตาของเธอมีแต่ความสะเทือนใจฉายออกมา ทั้ง ๆ ที่เธอรักเขามากถึงขนาดนี้ แต่ทำไม...

“เรายังเป็นสามีภรรยากันอยู่ใช่ไหมคะ”

แม้จะงุนงงกับคำถามของไอลดา รวมถึงไม่เข้าใจท่าทีของเธอเท่าไหร่นัก แต่พิชญ์ก็พยักหน้ารับ โดยฐานะทางสังคมและโดยนิตินัย เขากับไอลดาย่อมเป็นสามีภรรยากันโดยไม่มีทางเป็นอื่นไปได้

“ครับ เรายังเป็นสามีภรรยากัน”

ไอลดาดันตัวออกมา หยาดน้ำใสเอ่อคลอในดวงตาคู่สวยจนพิชญ์นึกสงสาร แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เอ่ยปลอบประโลมเธอออกไปอย่างใจคิด ไอลดาก็เป็นฝ่ายโน้มหน้าเข้ามาหาก่อนจะแนบกลีบปากบางลงกับริมฝีปากของเขา พิชญ์ได้แต่นั่งตัวแข็งทื่อ ปล่อยให้เธอรุกเร้าโดยไม่คิดที่จะโต้ตอบ และถ้าผลักไส เขาคงเป็นยิ่งกว่าคนใจร้ายในสายตาเธอ

ความจริงที่พิชญ์รู้ดีแก่ใจ แต่ไอลดาไม่ได้รับรู้เลยแม้เพียงน้อยนิด จะเรือนร่างหอมหวานที่เบียดแนบชิดอยู่กับร่างกายเขา ฝ่ามือที่ลูบไล้ไปมาตามร่างกาย หรือแม้กระทั่งริมฝีปากที่ทาบทับลงมาอย่างมีจริต ไม่ว่าสิ่งไหนก็ไม่อาจปลุกเร้าอารมณ์หรือสัญชาติญาณดิบเถื่อนของพิชญ์ให้ตื่นขึ้นมาได้เลยแม้แต่น้อย ไม่ใช่ว่าพิชญ์ไม่มีความรู้สึก แต่ร่างกายของเขา มันรู้สึกและตอบสนองกับอริญชย์เพียงคนเดียวเท่านั้น

พิชญ์ค่อย ๆ ดันไอลดาออก เมื่อเห็นว่าขืนปล่อยให้เธอทำแบบนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ ถึงคนอื่นจะรู้ว่าเขากับเธอเป็นสามีภรรยากัน แต่มาทำประเจิดประเจ้อที่โรงพยาบาลแบบนี้คงไม่ดีนัก

“พอเถอะครับ คุณเล็ก มันไม่ดี”

“มันไม่ดียังไงคะพี่พีท เล็กเป็นภรรยา เป็นเมียพี่พีท หรือพี่พีทมีใครคนอื่นนอกจากเล็ก”

พิชญ์ดึงไอลดาเข้ามาซบกับอกเขาอย่างปลอบประโลม ลูบหัวเธอเบา ๆ ไอลดาก็แค่น้องสาวคนเล็กที่ถูกตามใจ เธออาจจะเคยได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอต้องการ แต่สำหรับหัวใจของเขา ไม่ว่ายังไงก็ไม่ใช่ของเธอ

“อย่าทำแบบนี้เลย คุณเล็กมีค่ามากกว่านี้”

ไอลดายิ้มหยันออกมา เธอยอมทำตัวไร้ค่าและไร้ราคาเพื่อให้เขาสนใจ แต่ไม่ว่าจะพยายามหรือดึงดันมากแค่ไหน พิชญ์ก็ไม่เคยสนใจเธอเลย

ถ้าความดีเอาชนะใจเขาไม่ได้ แล้วต้องทำยังไง...ต้องทำยังไงกัน...

ปลายนิ้วเรียวลากไล้ไปตามแผงอกของพิชญ์ แม้จะเคยนึกมั่นใจในสายตาของตัวเอง แต่วันนี้ไอลดากลับนึกอยากให้ดวงตาของเธอมืดบอดขึ้นมา จะได้ไม่ต้องเห็นร่องรอยแสดงความเป็นเจ้าของบนตัวพิชญ์

ดวงตากลมโตฉายแววเจ็บปวดออกมา...

ใครกันที่ทิ้งร่องรอยเอาไว้บนตัวของพิชญ์

ใครที่ปลุกเร้าเขาให้มีอารมณ์ ใครที่ทำให้เขาสุขสม ใครที่ได้เป็นเจ้าของร่างกายเขา


.


“คุณหนูเป็นยังไงบ้างครับ คุณใหญ่”

ตุลย์รีบเดินเข้ามาถาม ทันทีที่เห็นอริญชย์กลับมาถึงบ้าน พอรู้ว่าน้องหนูไม่สบายจนต้องเข้าโรงพยาบาล เขาเองก็เป็นห่วงไม่น้อย และไม่ใช่แค่เขาคนเดียวเท่านั้น แม้แต่ป้าน้อยกับคนอื่น ๆ ก็เช่นกัน

“หมอบอกว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ ต้องอยู่ดูอาการอีกสองสามวัน ถ้าไม่มีอาการแทรกซ้อนก็กลับบ้านได้” อริญชย์เอ่ยตอบเสียงเรียบ ๆ กำลังจะก้าวขาขึ้นบันได แต่กลับหยุดชะงักปลายเท้าเอาไว้

“ตุลย์...” เขาเรียกคนสนิทเสียงหนัก ๆ

“ครับ คุณใหญ่”

อริญชย์หันหน้ากลับมาหาตุลย์ ดวงตาดำจัดฉายแววอ่อนล้ากว่าทุกที

“ฉันบอกไปแล้วนะ”

“ครับ”

“ฉันบอกพีทไปแล้ว แต่ไม่เห็นจะต่างกันเลย จะบอกหรือไม่บอกก็ไม่ได้รับความรักกลับมาอยู่ดี”

ตุลย์ถอนหายใจออกมาช้า ๆ อริญชย์ที่เคยได้ทุกสิ่งทุกอย่างมาไว้ในกำมืออย่างง่ายดาย ควรจะเรียนรู้ว่าการจะได้หัวใจใครอีกคนมา มันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่ออริญชย์เลือกเดินทางผิดมาตั้งแต่แรก

“ความรักมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดนะครับคุณใหญ่ มันไม่ใช่นิยาย ที่พอพระเอกนายเอกบอกรักกัน แล้วเรื่องก็จะอวสานและจบบริบูรณ์”

“ฉันรู้น่า”

อริญชย์ตอบแล้วก็เตรียมจะเดินขึ้นห้อง แต่ก็ต้องชะงักอีกรอบ เพราะคำพูดที่ดังไล่หลังมาของคนสนิท ที่นับวันยิ่งจะทำเกินหน้าที่เข้าไปทุกที

“เพราะตอนเริ่มเรื่อง คุณใหญ่ไม่ยอมคิดว่าจะให้มันจบยังไง ทุกอย่างมันถึงได้เป็นอย่างนี้ไงครับ ปมไหนที่ตัวเองเป็นคนผูกเอาไว้ก็ต้องเป็นคนแก้ด้วยตัวเอง”

“ปากดีอย่างนี้ อย่าให้ถึงทีนายบ้างแล้วกัน”

ตุลย์กระตุกยิ้มที่มุมปาก เขาเห็นเรื่องของเจ้านายตัวเองเป็นบทเรียนอย่างดีแล้ว เรื่องของตัวเองคงไม่กล้าผลีผลามทำอะไรวู่วามแน่ ๆ การที่อริญชย์เอ่ยปากบอกรักพิชญ์ออกไปแล้ว สำหรับคนที่เฝ้าดูเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ข้าง ๆ อริญชย์มาตลอดอย่างตุลย์ก็อดคิดไม่ได้ว่า...มันอาจจะเป็นนิมิตหมายอันดี...หรือเปล่า?

นอกจากจะหวังให้พิชญ์เปิดใจให้เจ้านายปากแข็งของเขาไว ๆ แล้ว อีกเรื่องที่ลืมไม่ได้คือ...

อริญชย์คิดไว้หรือเปล่า ว่าถ้าได้ใจของพิชญ์มา แล้วไอลดากับน้องหนูล่ะ...จะเป็นอย่างไร



TO BE CONTINUE



ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ค่า
ตอนนี้ต้องกอดปลอบคุณใหญ่
ฮือออ...คุณใหญ่เค้าบอกว่ารักแล้ว แต่คุณใหญ่คะ พีทยังมีภรรยาอยู่นะคะ




ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
ซับซ้อนมากเลยคุณใหญ่ขาาาาา
กอดๆๆๆ ปลอบคุณใหญ่หน่อย :กอด1: :กอด1:
บอกรักเขาไปแล้ว ต่อไปก็เดินหน้าทำดีกับเขานะคุณใหญ่ แต่.. คนดื้อที่ไม่ยอมรับว่าใจตัวเองก็มอบให้คุณใหญ่ไปแล้วเหมือนกันนั้นก็คงจะดื้อต่อไปนั่นแหละ ด้วยเพราะสถานะที่เป็นสามีของน้องสาวของสามีอีกที เอ้ยยย!!! ทำไมมันซับซ้อนงี้อ่ะ :katai1: เพราะความซับซ้อนอย่างงี้นี่ไง พีทก็คงไม่ยอมรับใจตัวเองว่ารักคุณใหญ่หรอก และดูแล้วคุณเล็กน่าจะพยายามใช้วิชามารยาหญิงเพื่อจะเอาตัวพีทและใจพีทให้ได้แล้วละมั้ง ยกเอาสถานะสามีภรรยามาใช้แล้วพยายามปลุกเร้่าพีท เฮ้อ!! แต่พีทไม่ตื่นอะคุณเล็ก เลิกพยายามดีกว่านะ สงสารพีท :ling1:

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
พี่น้องอย่าตีกันเองนะ :katai1:

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
บ่วงที่แท้จริงของพีทคือไอลดาความเป็นภรรยา ความอึดอัดพะวงในเรื่องนี้ส่งผลต่ออัตราการยอมรับใจของตัวพีทเองไปมากทีเดียว หวังว่าวันนึงจะสิ้นสุดบ่วงนี้ซึ่งอาจไม่นานเพราะเขาเห็นร่องรอยตีตราเป็นเจ้าของแล้ว โห๊ะๆ เอาแล้วๆ งานนี้ต้องสืบจับตาสิคุณเล็ก ความใคร่รู้โหมกระพือ 55555 //ดีแล้วคุณใหญ่ที่ยอมรับว่ารักออกไป อย่างน้อยก็โล่งใจ ให้มันรู้กันไปเลย มันไม่ได้สูญเปล่าหายไปกับสายลมอย่างที่คิด เพียงแต่มันมีเรื่องด่วนเข้ามาแทรกเฉยๆ ไม่งั้นพีทก็เก็บมาคิดเหมือนกัน แล้วอีกอย่างเขาเพิ่งรู้ความจริงในความรู้สึกที่คุณมีต่อเขา ซึ่งมันสวนทางกับที่เขาคิดเลย เพราะงั้นแน่นอนย่อมต้องสับสน อย่าเพิ่งรุกหนักมาก ไม่งั้นมันจะอึดอัดพาลไม่อยากจะคิดเรื่องของคุณใหญ่ไป ตัวคุณเองก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว ร่างกายเขายอมรับแต่คุณคนเดียว ใจอาจยังได้มาน้อยแต่ไม่นานก็ได้มา ถ้าแสดงออกบ่อยๆไม่ฝืนใจ เดี๋ยวเขาก็หวั่นไหวเองละน๊า 555555 //คุณเขาก็รักของเขามาตั้งนานเลย เก็บรูปภาพทุกช่วงของชีวิตเขาไว้ ไม่รู้ไปเจอกันตอนไหนนะ แล้วมาลงเอยในสถานะนี้ได้ยังไง แล้วก็นะถ้าพีทได้ลองทบทวนดูลึกๆอาจจะได้เห็นได้รู้ว่าจริงๆผู้ชายคนนี้ก็แอบทำเพื่อตัวเองเยอะเหมือนกัน ถ้าไม่เปิดใจก็มองไม่เห็นอ่ะ ทีนี้แหละจะได้เห็นเพราะรู้แล้วว่าเขารู้สึกยังไงกับตัวเอง คึคึ //สนุกกกกมากกก ชอบค่อชอบ ร้อนซ้อน=คุณใหญ่ ซ่อนรัก=พีท อิอิ ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รออ่านตอนต่อไปเลยค่ะ  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
สิบเจ็ด
ความลับไม่มีในโลก



กระดุมสองเม็ดบนสุดของเสื้อเชิ้ตสีครีมถูกปลดออกลวก ๆ สาบเสื้อสองข้างถูกแบะออกจากกันครึ่ง ๆกลาง ๆ อย่างหมิ่นเหม่ แต่ก็กว้างมากพอที่ไอลดาจะมองเห็นรอยแดงหลายรอยบนแผงอกขาวของผู้เป็นสามี ดวงตาสองคู่ของคนเป็นสามีภรรยามองสบกันนิ่ง ก่อนพิชญ์จะเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีด้วยความละอายใจ

ให้ไอลดาด่าเขา โกรธเขา เกลียดเขา ยังดีกว่ามองกันด้วยสายตาตัดพ้อแบบนี้

ปลายนิ้วเรียวที่เกาะเกี่ยวอยู่บนแขนพิชญ์เผลอขยุ้มแขนเสื้อของชายหนุ่มด้วยแรงอารมณ์ ไอลดาพยายามกลืนก้อนสะอื้นให้กลับลงคอไปอย่างยากลำบาก ไม่ต้องมีคำอธิบายใด ๆ แค่ร่องรอยมากมายบนตัวพิชญ์ก็แทนทุกคำบอกเล่าได้เป็นอย่างดี หญิงสาวพยายามพยุงตัวเองเอาไว้ไม่ให้ล้มพับต่อหน้าเขา แม้ขาสองข้างจะรู้สึกอ่อนเปลี้ยจนแทบไร้เรี่ยวแรง

...แค่รู้ว่าไม่รักกัน มันก็เจ็บปวดมากพอแล้ว

ยังต้องมารับรู้ว่าเขามีความสัมพันธ์กับคนอื่น...คนอื่นที่ไม่ใช่เธอ!

หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ แม้จะเป็นน้องสาวคนเล็กและลูกสาวคนสุดท้องของบ้าน แต่ไอลดาก็ถูกเลี้ยงดูมาให้มีสติอยู่เสมอ ทว่าเวลานี้ คำว่าสติมันช่างดูห่างไกลจนเธอไม่อาจจับต้องได้เลย

ตอนเขาบอกว่าไม่รักกัน มันก็เจ็บเหมือนถูกบีบหัวใจ

พอรู้ว่าเขามีอะไรกับคนอื่น มันยิ่งเหมือนถูกเฉือนเอาหัวใจออกไปเหยียบย่ำ

หญิงสาวได้แต่นั่งนิ่ง ปล่อยให้หยาดน้ำตาเอ่อคลอดวงตาคู่สวย แม้จะพยายามทำเป็นเข้มแข็งกับคำว่า ‘ไม่รักกัน’ ของพิชญ์มาตลอด แต่ไอลดาก็ไม่ได้เข้มแข็งมากพอจะฝืนปั้นหน้ายิ้มแย้มยามรู้ว่าพิชญ์มีคนอื่น

เธอก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง...ที่เจ็บได้และร้องไห้เป็น

“ทำไมคะ...” เสียงสั่นเครือดังลอดออกมาจากริมฝีปากบาง ดวงตาแดงช้ำที่มองมายังพิชญ์ทั้งตัดพ้อและต่อว่าไปในคราวเดียวกัน

คนถูกถามได้แต่ยืนนิ่งงัน เขารู้ว่าความลับไม่มีในโลก แต่พิชญ์ก็ไม่คิดว่าวันที่ความลับถูกเปิดเผยจะเดินทางมาหาเขาเร็วถึงเพียงนี้ ความรู้สึกผิดและความละอายใจมันผสมปนเปกันจนชายหนุ่มไม่กล้าสู้หน้าไอลดา ทำได้เพียงเบือนหน้าหนีไปอีกทาง แม้นึกอยากดึงไอลดาเข้ามาปลอบมากแค่ไหน แต่พิชญ์ก็รู้ดี ตอนนี้เขาไม่มีสิทธิ์และเขาไม่ควรทำ

ความหวังดีที่ผิดที่ผิดทาง นอกจากไม่เกิดประโยชน์แล้วยังมีแต่จะยิ่งทำให้เจ็บปวดกันมากขึ้น

“ทำไมคะ ทำไมถึงไม่เป็นเล็ก” ไอลดาเค้นเสียงสั่นพร่าออกมา ฝ่ามือขยุ้มแขนเสื้อของพิชญ์แน่นก่อนจะซบหน้าลงกับบ่าของเขา ปล่อยให้หยาดน้ำตารินไหลลงมาไม่ขาดสาย

ผู้หญิงทุกคนมีความฝัน เธอเองก็เช่นกัน ไอลดาเคยวาดฝันเมื่อตอนแต่งงานใหม่ ๆ ว่าเธอคงเป็นผู้หญิงที่มีความสุขยิ่งกว่าใคร ได้ใช้ชีวิตคู่กับคนที่เธอแอบรัก หวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าอยู่กันไปนาน ๆ พิชญ์คงรักเธอเข้าสักวัน แต่วันนี้นอกจากทุกอย่างจะไม่เป็นอย่างที่เธอฝันแล้ว มันยังพังทลายลงมาเสียจนไม่มีชิ้นดี

...เคยคิดว่าแม้ไม่ได้หัวใจ อย่างน้อยก็ยังได้ครอบครองร่างกายของเขา

แต่แท้ที่จริงแล้วเธอกลับไม่เคยได้อะไร ได้แต่กอดทะเบียนสมรสที่ไร้ค่าไร้ราคา แล้วจมอยู่กับกองน้ำตา

“ผมขอโทษ”

เวลานี้ สิ่งที่ดีที่สุดที่พิชญ์จะทำได้ คือการพร่ำขอโทษให้กับความผิดที่เขาไม่ได้เป็นคนก่อ แต่ต้องรับผลของมันเอาไว้ไม่ต่างกัน

ความผิดแรก...คือผิดที่เขามีอะไรกับคนอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาตัวเอง

ความผิดต่อมา...คนอื่นที่ว่า คือคนที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายแท้ ๆ ของภรรยาตัวเอง

แม้ว่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจะไม่ได้เริ่มต้นมาจากตัวเขา แต่พิชญ์ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเองก็มีส่วนผิดที่ปล่อยให้ทุกอย่างมันถลำลึก ถ้าเพียงแต่เขาจะขัดขืนหรือต่อต้านอริญชย์ได้มากกว่านี้ เรื่องราวทุกอย่างมันคงไม่บานปลาย แต่สิ่งหนึ่งที่พิชญ์ต้องยอมรับออกมาอย่างน่าไม่อายเลย คือความจริงที่ว่า...ร่างกายของเขามันไม่เคยขัดขืนอริญชย์อย่างจริงจังเลยซักครั้ง

“ผมขอโทษ...”

ไอลดานึกอยากให้เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้าเป็นแค่เพียงฝันไป ถ้าเพียงแต่พิชญ์จะบอกว่าเธอเข้าใจผิดไปเอง เธอก็จะยอมปิดหูปิดตาเพื่อให้ได้อยู่ข้าง ๆ เขาต่อไป แต่คำขอโทษซ้ำ ๆ ที่ดังออกมาจากปากของพิชญ์ มันก็แทนทุกคำอธิบายได้เป็นอย่างดี

...จะขอโทษทำไมถ้าไม่ได้ทำผิด

คำขอโทษของพิชญ์ จึงไม่ต่างอะไรกับการรับสารภาพเลย

“ใจร้าย...” ถ้อยคำต่อว่าหลุดออกมา ก่อนที่หญิงสาวจะค่อย ๆ ยกมือขึ้นปาดคราบน้ำตา “พี่พีทใจร้ายที่สุด ทำแบบนี้กับเล็กได้ยังไง ไม่รักกันก็ไม่เป็นไร แต่ทำไม...ทำไมต้องหักหลังเล็กด้วย”

แม้จะรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาควรหยิบยื่นความอ่อนโยนให้ไอลดา แต่พิชญ์ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากดึงร่างที่กำลังสั่นเทาเข้ามาในอ้อมกอดของเขา ปลอบประโลมไอลดาประหนึ่งพี่ชายปลอบน้องสาวตัวน้อย หารู้ไม่ว่ามันกลับยิ่งทำให้ไอลดาร้องไห้หนักกว่าเดิม

“อย่าร้อง...” ปลายนิ้วแข็งแรงเกลี่ยเอาคราบน้ำตาออกจากดวงหน้าหวานราวกับอีกฝ่ายเป็นน้องน้อยของเขา

ความใจดีของพิชญ์เคยทำให้ไอลดาหลงใหลได้ปลื้มว่าเธอพิเศษกว่าใคร กว่าจะรู้ว่าท้ายที่สุดแล้ว เธอก็เป็นได้แค่แม่ของลูก แต่ไม่ใช่เมียของเขา

ไอลดาพยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ก่อนที่เสียงของเธอจะปลุกน้องหนูให้ตื่นขึ้นมา มือเรียวเค้นเป็นกำปั้นก่อนจะทุบรัว ๆ ไปที่อกของพิชญ์ด้วยความอัดอั้นตันใจ ยิ่งเห็นเขาไม่ตอบโต้ ปล่อยให้เธอทำร้ายจนพอใจ เธอก็ยิ่งฟูมฟายหนัก

“พี่พีทไม่สงสารเล็กเลยหรือไง ทำไมถึงทำกับเล็กแบบนี้...”

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ พิชญ์คงพยายามทำทุกวิถีทางไม่ให้ทุกอย่างลงเอยแบบนี้ อริญชย์จะรู้ไหม ว่าความเอาแต่ใจของเขาทำให้ใครต้องเจ็บปวดบ้าง

...ทำร้ายเขายังไม่เท่าไหร่ แต่อริญชย์ทำร้ายน้องสาวตัวเองได้ยังไง อริญชย์ทำได้ยังไงกัน

“อย่าร้องคุณเล็ก ได้โปรด ผมขอโทษ...”

น้ำตาลูกผู้ชายพาลจะไหลออกมาอย่างไม่อาย ทั้งอึดอัด ทั้งรู้สึกผิด ทั้งสงสารไอลดา ทุกความรู้สึกมันผสมปนเปกันไปหมด

“เล็กไม่ดียังไง เล็กผิดตรงไหน บอกเล็ก บอกเล็กมาสิคะพี่พีท เล็กจะปรับ เล็กจะแก้ทุกอย่าง แค่พี่พีทบอกเล็ก”

พิชญ์ได้แต่ส่ายหน้าไปมา

“ไม่ครับ มันไม่ใช่ความผิดของคุณเล็กเลย”

ไอลดายกมือขึ้นปาดน้ำตาช้า ๆ ก่อนจะดันตัวเองออกจากอ้อมกอดของพิชญ์ เธอมีแค่สองทางเลือก ระหว่างปล่อยให้พิชญ์ไปมีความสุขหรือยอมเป็นคนโง่แล้วรั้งเขาเอาไว้

ไอลดารู้ เพียงแค่เธอเอ่ยปาก พิชญ์จะไม่ยอมจากเธอไปไหน ภาระหน้าที่ความเป็นพ่อบังคับให้เขาจำเป็นต้องอยู่กับเธอ โชคดีเหลือเกินที่เธอยังมีน้องหนู ใครจะว่าเธอใช้ลูกเป็นเครื่องมือ ไอลดาก็ไม่สนใจ

...ครั้งหนึ่ง ลูกเคยทำให้ไอลดาได้พิชญ์มา

ครั้งนี้...ไอลดาก็จะใช้ลูกมาเหนี่ยวรั้งพิชญ์เอาไว้อีกครั้ง

“เล็กจะลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ เล็กรู้ว่ามันเป็นเรื่องปกติของผู้ชายทั่วไป เล็ก...เล็กจะพยายามเข้าใจ”

พิชญ์ฝืนยิ้มออกมาได้ไม่เต็มปากนัก การมีความสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกัน แถมผู้ชายคนนั้นยังเป็นพี่ภรรยา มันไม่ใช่เรื่องปกติของผู้ชายทั่วไปเลยสักนิด

แม้สาเหตุของเรื่องราวทั้งหมดจะมาจากอริญชย์ พิชญ์ก็ไม่คิดปริปากออกไป เขาไม่ได้ต้องการปกป้องอริญชย์ให้ลอยตัวจากความผิดนี้ แต่เขาก็ไม่อยากให้ความจริงมาทำร้ายไอลดามากไปกว่านิ้อีกแล้ว

ไอลดาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของพิชญ์ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่แววตาของเขาเปลี่ยนไป ถึงเธอจะไม่เคยได้อยู่ในแววตาของเขา แต่ตอนนี้มันเหมือนมีเงาลาง ๆ ของใครบางคนอยู่ในนั้น

ใครกันที่มาอยู่ในที่ ๆ ควรเป็นของเธอ จะสายไปไหม ถ้าเธอคิดจะทำอะไรบางอย่างเพื่อรักษาเขาเอาไว้

“พี่พีทย้ายมาอยู่กับเล็กที่คอนโดได้ไหมคะ” คำถามของไอลดาถูกโพล่งขึ้นมาพร้อมกับแววตาที่มองมาอย่างคาดหวัง

ใช่ว่าพิชญ์ไม่อยากทำตามที่ไอลดาขอ เพียงแต่ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่เขา แต่อยู่ที่ประมุขของบ้านอย่างอริญชย์ต่างหาก

“ผม...”

ไอลดาไม่เคยคิดอยากบังคับหรือฝืนใจพิชญ์ แต่ถ้ามันจำเป็นจริง ๆ คนอย่างเธอก็ทำได้ดีไม่แพ้ผู้เป็นพี่ชาย

“พี่พีทนอกใจเล็ก ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงฟ้องหย่ากันไปแล้ว ศาลจะต้องตัดสินให้สิทธิ์เลี้ยงดูลูกเป็นของเล็ก แล้วเล็กก็อาจจะเสียใจจนไม่อยากอยู่ที่นี่ พาน้องหนูไปอยู่ด้วยกันที่เมืองนอก...” แม้จะเอ่ยออกมาทั้งน้ำตา แต่แววตาของไอลดาก็บอกพิชญ์ว่าเธอเอาจริง

สิ่งสุดท้ายที่พิชญ์จะยอมให้เกิดขึ้นคือการถูกพรากจากน้องหนู เขารู้ว่าไอลดาไม่ได้ขู่ แต่เธอกล้าทำจริง ๆ พี่น้องสองคนนี้คล้ายกันขนาดไหน ทำไมคนอย่างพิชญ์จะไม่รู้

“อย่านะครับ”

“มาอยู่กับเล็กนะคะ เล็กจะคุยกับพี่ใหญ่เอง”

คนอย่างพิชญ์เคยมีทางเลือกด้วยหรือ เขาได้แต่ยืนนิ่งแทนการตอบรับ เอาเข้าจริงแล้ว พิชญ์ก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหมากตัวหนึ่งในเกมที่สองพี่น้องกำลังเล่น เดี๋ยวคนหนึ่งจับเขาเดินไปทางซ้าย อีกคนจับเขาเดินไปทางขวา ชายหนุ่มเผลอแค่นยิ้มออกมาด้วยความสมเพชตัวเอง ก่อนจะสะดุ้งนิด ๆ เมื่อฝ่ามือเรียวเอื้อมมาประคองใบหน้าเขาเอาไว้

“คุณเล็ก...” พิชญ์ครางชื่อหญิงสาวออกมาเบา ๆ

“จูบเล็กได้ไหม ช่วยทำให้เล็กตื่นจากฝันร้ายนี้เสียที...”

พิชญ์ขยับจะเอ่ยปากปฏิเสธเหมือนที่แล้ว ๆ มา แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างเข้าโดยไม่ตั้งใจ เขาจึงเปลี่ยนเป็นผงกหัวช้า ๆ แม้จะรู้ว่ามันเห็นแก่ตัวมากแค่ไหน

บางทีหมากตัวนี้ก็เบื่อที่ถูกจับโยกไปโยกมา อยากลองมีชีวิตเป็นของตัวเองดูสักครั้ง

พิชญ์ยื่นมือไปเชยคางไอลดา เขาสบตากับไอลดานิ่งก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลง แนบริมฝีปากลงบนกลีบปากบางช้า ๆ อย่างทะนุถนอมและอ่อนโยน

พระเจ้าเท่านั้นที่รู้...พิชญ์ไม่ได้คิดว่าตัวเองกำลังจูบกับไอลดาเลย

แต่เป็นใครอีกคน...คนที่กำลังยืนดูพวกเขาอยู่นอกห้อง ผ่านกรอบหน้าต่างบานเล็ก!


.


อริญชย์เดินนำตุลย์มาถึงหน้าห้องคนป่วยก่อนจะชะงัก ฝ่ามือที่ยื่นออกไปวางคาอยู่บนลูกบิดประตูนิ่ง เขาสบสายตากับพิชญ์ที่มองออกมาจากข้างในห้องก่อนที่อีกฝ่ายจะหลับตาลงช้า ๆ แล้วภาพทุกอย่างตรงหน้าก็ค่อย ๆ เข้าสู่การรับรู้ของเขา เหมือนคมมีดที่ค่อย ๆ กรีดลงไปบนหัวใจ อริญชย์กำมือแน่นเพื่อระงับความพลุ่งพล่านที่แล่นขึ้นมา เตือนตัวเองไม่ให้พังประตูเข้าไปแล้วกระชากพิชญ์ออกมาจากไอลดา

พิชญ์เห็นว่าเขาอยู่ตรงนี้ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้องคือความจงใจ

นี่หรือคือสิ่งที่พิชญ์ตอบแทนให้กับคำว่า ‘รัก’ ของเขา

ตุลย์ที่เดินถือของตามหลังอริญชย์มาชะงักเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายไม่ยอมเปิดประตูเข้าไปในห้องเสียที เอาแต่ยืนรี ๆ รอ ๆ อยู่หน้าห้อง เขาเลยถือวิสาสะเดินมาชะโงกดูตรงหน้าบานเล็กว่าข้างในเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะต้องยืนตัวแข็งทื่อไม่ต่างกัน

ตุลย์เป็นฝ่ายที่ได้สติก่อน เขารีบรั้งแขนอริญชย์ให้เดินออกมาจากหน้าห้อง ก่อนที่อารมณ์ร้อน ๆ ของอริญชย์จะทำให้ทุกอย่างพังพินาศ เขาพาผู้เป็นนายเดินมาจนถึงระเบียงที่ปลอดคน รับรู้ถึงความเกรี้ยวกราดที่กำลังก่อหวอดอยู่ภายในใจ แต่อริญชย์ก็พยายามฝืนเก็บมันเอาไว้ มีแค่เสียงครางเหมือนสัตว์บาดเจ็บที่ดังลอดริมฝีปากหยักออกมา

ถึงจะสงสารอริญชย์มากแค่ไหน แต่ตุลย์ก็ปฏิเสธความจริงที่พิชญ์กับไอลดาเป็นสามีภรรยากันไม่ได้

ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าพิชญ์กับไอลดาเป็นสามีภรรยากัน แต่อริญชย์ก็แทบคลั่งเมื่อเห็นว่าพิชญ์กำลังจูบกับไอลดา เขาไม่ใช่พี่ชายจอมงี่เง่าที่หวงน้องสาว เขาก็แค่...หวงของ ๆ เขา

ทุกสิ่งทุกอย่างบนร่างกายพิชญ์ ทุกตารางนิ้วบนร่างกายนั้นเป็นของเขา เขาเคยคลั่งแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่งตอนที่รู้ว่าพิชญ์มีความสัมพันธ์กับไอลดา ตอนนี้ความรู้สึกแบบคราวนั้นกำลังจะหวนกลับมาอีก ความรู้สึกหวงแหนและเป็นเจ้าข้าวเจ้าของจนทำให้เขาแทบจะสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง

แม้ว่ายิ่งปล่อยให้พิชญ์มีอิทธิพลกับเขามากเท่าไหร่ มันจะยิ่งแย่ต่อตัวเขามากเท่านั้น แต่อริญชย์ก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย

พิชญ์...มีอิทธิพลกับเขามากเกินไปจริง ๆ...

ตุลย์เพียงแค่ยืนดูอยู่ห่าง ๆ มองผู้เป็นนายยืนกำราวระเบียงแน่นราวกับจะบีบราวเหล็กให้แหลกคามือ อริญชย์ค่อย ๆ สงบสติอารมณ์จนเป็นปกติ ผ่อนลมหายใจออกมาช้า ๆ เขาหันมามองตุลย์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แวบหนึ่ง ก่อนจะพึมพำออกมาเบา ๆ

“ขอบใจ...”

ตุลย์ขยับริมฝีปากเหมือนอยากจะเอ่ยอะไรออกมา แต่แล้วกลับเปลี่ยนใจ เลือกยืนนิ่ง ๆ มองดูอริญชย์ล้วงบุหรี่กับไฟแช็คออกมาจุดสูบ ก่อนจะอัดควันเข้าปอดหนัก ๆ ควันสีเทาลอยอวลอยู่ในอากาศ ไม่ต่างอะไรจากความรู้สึกหม่น ๆ ของอริญชย์ในตอนนี้

ถ้าถามว่าจุดอ่อนของอริญชย์คืออะไร ตุลย์เองก็คงตอบว่าพิชญ์อย่างไม่ลังเล

คนสนิทอย่างตุลย์ก็เคยรู้สึกไม่ชอบพิชญ์มาก่อน เหตุผลไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่เขาไม่อยากให้เจ้านายที่เขารักและเคารพมีจุดอ่อน ก่อนจะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว พิชญ์ไม่ได้เป็นแค่เพียงจุดอ่อนของอริญชย์ แต่ยังเป็นจุดหมายที่อริญชย์ต้องการไขว่คว้ามาไว้ข้างกายให้ได้

ตุลย์ปล่อยให้ผู้เป็นนายยืนสูบบุหรี่เงียบ ๆ โดยไม่คิดที่จะรบกวน เขารู้ว่าเวลาไหนควรพูดและเวลาไหนควรเงียบ

หลังจากอัดควันเข้าปอดหนัก ๆ จนสาแก่ใจ อริญชย์ก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงกับที่เขี่ยบุหรี่ข้าง ๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงต่ำ

“ไปเถอะ...”

“คุณใหญ่...”

“ฉันรู้ตุลย์ ฉันรู้...”

ทำไมอริญชย์จะไม่รู้ว่าตุลย์ต้องการจะพูดอะไรกับเขา เพียงแต่ตอนนี้เขายังไม่อยากรับฟัง ไม่ว่าจะเป็นคำแนะนำหรือคำสั่งสอนใด ๆ เขาก็ยังไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น

ในบรรดาพี่น้องที่เกิดจากผู้เป็นพ่อคนเดียวกันสามคน คนที่ไม่เหมือนใครเลยก็คืออธิษฐ์ที่เป็นน้องชายต่างแม่ของอริญชย์ อธิษฐ์ค่อนข้างอ่อนแอและไม่เด็ดขาดเหมือนผู้เป็นแม่ ผิดกับอริญชย์และไอลดาที่รับเอานิสัยของผู้เป็นพ่อมาเต็ม ๆ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่อริญชย์รู้เป็นอย่างดี และสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ...

นอกจากจะเป็นพี่น้องที่นิสัยเหมือนกันแล้ว เขากับไอลดายังรักผู้ชายคนเดียวกันอีก!

จะเรียกว่าเป็นความบังเอิญหรือสวรรค์เบื้องบนจงใจดีล่ะ บนโลกนี้มีคนเป็นพันล้านคน แต่ทำไมถึงต้องเป็นคนนี้ แค่คนนี้คนเดียวเท่านั้น คำตอบของคำถามคงมีแค่เขาคนเดียวที่รู้ ว่าทำไมถึงต้องเป็นพิชญ์ และทำไมเขาถึงไม่ยอมปล่อยมือจากพิชญ์เสียที

อริญชย์เดินหน้านิ่งกลับมาห้องพักผู้ป่วย มีตุลย์เดินตามมาห่าง ๆ คงมีแค่ตัวเขาเท่านั้นที่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ ฝ่ามือหนาเอื้อมไปแตะลูกบิดประตู ก่อนที่ครั้งนี้เขาจะเปิดออกโดยไม่ลังเล ดวงตาดำจัดดูเย็นชากว่าทุกทียามมองเลยไปยังพิชญ์ที่หันหน้ามาสบตากับเขาเข้าพอดี

“ทำไมพี่ใหญ่มาช้าจังเลย” เสียงหวานของคนที่ยืนอยู่ข้างพิชญ์เอ่ยขึ้นมาอย่างกระเง้ากระงอด

“พี่แวะซื้อของกินมาให้ จะให้มาถึงเร็วได้ยังไง หรือว่าเธอจะไม่กิน” คนถูกต่อว่าเอ่ยเสียงเรียบ ๆ ก่อนจะพยักเพยิดไปทางตุลย์ที่ถือข้าวของเข้ามาเต็มสองมือ

“ทำไมถึงจะไม่กินล่ะ อายุเยอะแล้วก็อย่ามาทำเป็นใจน้อยน่าพี่ใหญ่”

“พี่จะรู้หรือไง นึกว่าเธอกินอย่างอื่นจนอิ่มแล้ว”

“มีอะไรให้กินเสียที่ไหนล่ะ” ไอลดาบ่นกระปอดกระแปด เลิกสนใจพี่ชายแล้วหันไปสนใจข้าวของที่ตุลย์ถือเข้ามาแทน “ไหนดูสิว่าซื้ออะไรมาบ้าง”

ระหว่างที่ไอลดากับตุลย์กำลังช่วยกันรื้อของกินออกมาจากถุง พิชญ์เลยถือโอกาสเดินไปดูน้องหนูที่ยังนอนหลับอยู่ พอได้ยินเสียงฝีเท้าหนัก ๆ เดินตามมาหยุดอยู่ด้านหลัง พิชญ์เลยแสร้งถอนหายใจออกมาช้า ๆ เขาขยับจะเบี่ยงตัวหนี แต่ก็ช้ากว่าอริญชย์ที่วางมือลงบนบ่าเขาก่อนจะบีบแน่น

ถ้ามีคนถามว่าคลื่นใต้น้ำเป็นยังไง พิชญ์คงตอบว่าเหมือนอริญชย์ตอนนี้ ภายใต้ท่าทีสงบนิ่งที่เห็น เขารู้ดีว่ามันซ่อนความคุกรุ่นไว้มากแค่ไหน แต่จะโทษใครได้ ในเมื่อเขาเลือกที่จะเล่นเกมนี้เอง

ตอนตัดสินใจกระโดดลงไปในคลื่นใต้น้ำที่กำลังหมุนวน พิชญ์คิดเพียงแค่ว่า ถ้าคลื่นไม่ซัดเขากลับเข้าฝั่งอย่างปลอดภัย คลื่นก็คงซัดเขาจมหายลงไปในทะเลลึกเลย

“คิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่” คำกระซิบดุดันดังชิดใบหูพร้อมกับฝ่ามือที่บีบไหล่พิชญ์แน่นราวคีมเหล็ก

“คุณใหญ่คิดว่าสามีภรรยาเขาควรทำอะไรกันล่ะ”

ปกติพิชญ์เองก็ใช่ว่าจะยอมอริญชย์ ยิ่งเพิ่งผ่านสถานการณ์น่าอึดอัดและลำบากใจมาหมาด ๆ ความหงุดหงิดทั้งหมดที่มีจึงถูกส่งไปที่อริญชย์ รวมถึงความจงใจของเขาที่ต้องการให้อีกฝ่ายเห็นภาพเมื่อกี้เข้า

“พีท อย่าคิดที่จะยั่วโมโหฉัน” อริญชย์เอ่ยเรียกอีกฝ่ายเสียงหนัก ๆ

พิชญ์ยิ้มหยัน สะบัดตัวออกจากการเกาะกุมของอริญชย์ก่อนจะเค้นเสียงลอดไรฟัน

“คำว่ารักที่ไม่ถูกต้องของคุณ มันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมาหรอกคุณใหญ่ เพราะมันผิด มันผิดมาตั้งแต่ต้นแล้ว พูดออกมาตอนนี้ มันก็เป็นได้แค่คำพูดพล่อย ๆ เท่านั้นแหล่ะ”

อริญชย์มองตามแผ่นหลังพิชญ์ที่เดินไปสมทบกับไอลดาและตุลย์ก่อนจะขบกรามแน่น

ในเมื่อพิชญ์บอกว่าความรักของเขามันผิดมาตั้งแต่ต้น ถ้าจะทำให้มันผิดมากกว่านี้...ก็คงจะไม่เป็นไรสินะ


.



ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25


หลังทุกคนจัดการกับอาหารเช้าที่อริญชย์สั่งให้ตุลย์แวะซื้อก่อนมาโรงพยาบาลกันเรียบร้อยแล้ว หน้าที่เก็บกวาดก็ตกเป็นของตุลย์อย่างไม่ต้องสงสัย เจ้าตัวแสร้งบ่นกระปอดกระแปดออกมาหวังจะคลี่คลายบรรยากาศมาคุตรงหน้า แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเท่าไหร่นัก เมื่อไอลดาเล่นเปิดประเด็นที่ทำเอาอริญชย์คิ้วกระตุกขึ้นมาแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน

“พอน้องหนูออกจากโรงพยาบาล เล็กจะให้พี่พีทย้ายมาอยู่ด้วยกันกับเล็กที่คอนโดนะคะ”

“หมายความว่ายังไง” คำถามของอริญชย์เหมือนเจาะจงถามคนที่ยืนอยู่ข้างไอลดามากกว่า

ถ้าไม่เป็นพิชญ์คงไม่เข้าใจความรู้สึกนี้ เขาเกือบจะหลุดยิ้มหยันออกมาเมื่อรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกกดดันจากสองพี่น้อง ราวกับกำลังเล่นชักกะเย่อโดยมีเขาเป็นเชือกที่แต่ละคนพากันดึงไปคนละข้าง คนหนึ่งลากไป อีกคนลากมา เห็นเขาเป็นตัวอะไรกัน

“เล็กลองคิดดูดี ๆ แล้ว ให้พี่พีทมาอยู่กับเล็กน่าจะดีกว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างวันนี้ขึ้น อย่างน้อยเล็กก็ยังมีพี่พีทอยู่ใกล้ ๆ ให้อุ่นใจ”

“นายอยากจะย้ายไปอยู่กับยัยเล็กงั้นหรือ”

พิชญ์สบตากับอริญชย์ ดวงตาดำจัดแฝงไว้ด้วยความกราดเกรี้ยวที่ถูกเก็บกดเอาไว้ข้างใน ถ้าต้องเลือกจริง ๆ พิชญ์ก็คงต้องเลือกสิ่งที่มันถูกต้องมากกว่าถูกใจใครบางคน ดังนั้นคำตอบของเขาจึงมีเพียงอย่างเดียว...

“แค่ก ๆ...”

เสียงไอเบา ๆ ดังขัดจังหวะผู้ใหญ่สามคน ตุลย์ที่ได้สติเป็นคนแรกรีบตะโกนขึ้นมา

“คุณหนูตื่นแล้วครับ”

คนเป็นพ่อหมดความสนใจในเรื่องที่กำลังคุยค้างกันอยู่ทันที พิชญ์ก้าวพรวดเดียวก็ไปยืนข้างเตียงน้องหนู เขาค่อย ๆ ประคองน้องหนูให้ลุกขึ้นนั่ง

“เป็นยังไงบ้างคะคนเก่ง” พิชญ์แทบจะอุ้มน้องหนูขึ้นมากอดแนบอก น้องหนูตัวน้อยยังมีท่าทางอ่อนเพลีย แต่ก็รีบซุกตัวเข้าหาพิชญ์ด้วยความคิดถึง

“พ่อพีทจ๋า น้องหนูหิวน้ำจัง”

ไอลดารีบส่งแก้วน้ำให้พิชญ์ ก่อนที่เขาจะรับมาจ่อปากน้องหนู กำชับให้ลูกสาวตัวน้อยค่อย ๆ ดื่ม จะได้ไม่สำลัก เสร็จแล้วก็ดึงกระดาษทิชชู่ตรงโต๊ะหัวเตียงมาซับน้ำตรงมุมปากออกให้อย่างอ่อนโยน

“คุณเล็กช่วยแจ้งพยาบาลทีนะครับ ว่าน้องหนูตื่นแล้ว” พิชญ์เอ่ยบอกผู้เป็นภรรยา ก่อนจะหันมาถามน้องหนูที่นอนมองเขาตาแป๋วอยู่ “ปวดหัว ตัวร้อน มึนหัวบ้างไหมลูก”

น้องหนูส่ายหน้าแทนคำตอบ ก่อนดวงตากลมโตจะเบิกกว้างเมื่อเห็นชัดเจนว่า นอกจากผู้เป็นพ่อกับแม่แล้ว ในห้องพักคนป่วยยังมีอริญชย์กับตุลย์อยู่ด้วย

“น้องหนูอยากป่วยบ่อย ๆ จังเลยค่ะ”

“ไม่เอาสิ ทำไมพูดยังงั้นล่ะ”

“ถ้าน้องหนูสบายดี แล้วพ่อพีทจะมาหาน้องหนูเหรอคะ”

คำถามง่าย ๆ ที่ไม่ต้องตีความให้ยุ่งยาก แค่ประโยคเดียวก็ทำเอาผู้ใหญ่ทุกคนในห้องถึงกับนิ่งอึ้ง คนที่ได้สติก่อนอย่างพิชญ์รีบดึงน้องหนูมากอดแนบอก

“มาสิ แค่น้องหนูอยากเจอ พ่อพีทจะรีบมาหาน้องหนูทันที”

“แล้วถ้าน้องหนูอยากเจอพ่อพีททุกวันล่ะคะ พ่อพีทจะมาอยู่กับน้องหนูทุกวันได้ไหมคะ”

“ได้สิ พ่อพีทจะอยู่กับน้องหนูทุกวัน” พิชญ์เอ่ยตอบก่อนจะชะงักเล็กน้อย เมื่อรู้สึกว่าอริญชย์มายืนประชิดอยู่ข้างหลัง แต่เขาก็ยังคงทำหน้านิ่ง สนใจเฉพาะน้องหนู

“ดีจังเลย น้องหนูรักพ่อพีทที่สุดในโลกเลย”

“แล้วไม่รักแม่เล็กหรือไงคะ”

เสียงหวานใสของไอลดาดังแทรกมาจากเบื้องหลัง น้องหนูยิ้มกว้าง ขยับจะเอ่ยปากตอบผู้เป็นแม่ แต่ก็ต้องเปลี่ยนเป็นเบ้หน้าเมื่อเห็นพี่พยาบาลเดินตามหลังมา แถมไม่เดินมาตัวเปล่า ยังถือยาน้ำหลายขวดที่น้องหนูไม่ชอบเข้ามาด้วย เจ้าตัวน้อยรีบช้อนตามองพิชญ์อ้อน ๆ ก่อนจะเรียกพ่อเสียงอ่อย

“พ่อพีทจ๋า...”

พิชญ์มองตามสายตาของน้องหนูก็นึกรู้ทันที เด็กเล็ก ๆ กับยาไม่ถูกกันมากแค่ไหน น้องหนูก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน

“ถ้าน้องหนูยอมกินยาดี ๆ...” ข้อเสนอถูกหยิบยื่นออกไป คนฟังค่อย ๆ เอียงคอฟังใจจดใจจ่อ “คืนนี้พ่อพีทจะนอนอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนน้องหนู...ดีไหมคะ?”

แม้จะนึกเกลียดรสหวานปนขมของยาน้ำหลากสี แต่ความรักที่มีต่อพ่อพีทของน้องหนูก็เอาชนะความเกลียดที่มีต่อยา ด้วยเหตุนี้ พิชญ์เลยไม่ต้องเสียเวลาหว่านล้อมเจ้าตัวจ้อยนานนัก เขาหันไปพยักหน้าให้คุณพยาบาลเอายามาให้น้องหนู ก่อนจะได้รับคำแซวเบา ๆ

“ท่าทางน้องจะติดคุณพ่อน่าดูเลยนะคะ”

พิชญ์ไม่ได้ตอบรับหรือตอบปฏิเสธ มองดูเจ้าตัวเล็กทำหน้าเบ้เหมือนถูกบังคับให้กลืนยา อันที่จริงก็กึ่ง ๆ บังคับนั่นแหล่ะ เขาแค่ยื่นข้อต่อรองนิดหน่อย พอกระดกยาเข้าปากเสร็จ น้องหนูก็ทำหน้าแหยทันที ดีว่าพิชญ์รีบยื่นแก้วน้ำส่งให้ เจ้าตัวเล็กรับไปดื่มอั่ก ๆ จนหมดแก้วก่อนจะได้รับคำชมจากคุณพยาบาล

“เก่งมากเลยค่ะ เดี๋ยวตอนเย็น พี่มาอีกรอบนะคะ” ประโยคแรกคุณพยาบาลชมน้องหนูเต็ม ๆ ก่อนจะหันมาถ่ายทอดประโยคหลังให้ผู้ใหญ่ที่ยืนอออยู่ฟัง “ทานยาแล้วน้องจะมีอาการง่วงนิดหน่อยนะคะ อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงน่าจะหลับ ถ้ามีอะไรก็กดเรียกได้ตลอดนะคะ”

พอคุณพยาบาลออกจากห้องไปแล้ว ไอลดาเลยถือโอกาสอาบน้ำอาบท่าให้สดชื่นเสียที อริญชย์นั่งอ่านหนังสือพิมพ์เงียบ ๆ อยู่ตรงโซฟาโดยไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมา ส่วนพิชญ์ลากเก้าอี้มานั่งเฝ้าน้องหนูอยู่ข้างเตียง ไม่ยอมไปไหน

นิ้วเล็กเกาะเกี่ยวฝ่ามือแข็งแรงของพิชญ์เอาไว้ ดูเหมือนยาจะออกฤทธิ์เร็วกว่าที่คิด เพราะน้องหนูเริ่มอ้าปากหาวหวิด ๆ แต่ยังไม่วายเอ่ยอ้อนผู้เป็นพ่อ

“พ่อพีทจ๋า เล่านิทานให้น้องหนูฟังหน่อย”

“เอาเรื่องอะไรดีคะ...”

“เจ้าหญิงนิทราได้ไหมคะ คราวก่อนพ่อพีทยังเล่าไม่จบเลย”

พิชญ์คลี่ยิ้มรับบาง ๆ เขาวางฝ่ามืออีกข้างลงบนหัวน้องหนูก่อนจะลูบเบา ๆ ด้วยความรัก ริมฝีปากขยับเล่านิทานก่อนนอนด้วยเสียงทุ้มต่ำน่าฟัง

“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในอาณาจักรแห่งหนึ่ง มีเจ้าหญิงถือกำเนิดขึ้น...”

เรื่องราวของเจ้าหญิงนิทราในนิทานถูกเล่าออกมาได้ไม่กี่ประโยค เจ้าหญิงตัวน้อยในชีวิตจริงก็เข้าสู่ห้วงนิทราไปเสียก่อน พิชญ์ส่ายหัวเบา ๆ อย่างเอ็นดู ก่อนจะขยับผ้าห่มคลุมร่างน้องหนูดี ๆ เขาค่อย ๆ ดึงมือตัวเองออกจากการเกาะกุมของน้องหนู โน้มตัวลงแตะริมฝีปากบนหน้าผากเกลี้ยงเกลา

“หลับฝันดีนะ เจ้าหญิงนิทราของพ่อ...”

พิชญ์ผละออกมาจากเตียง เพราะไม่อยากรบกวนการนอนหลับของลูกสาวตัวน้อย พอหันกลับมาก็สบเข้ากับสายตาของอริญชย์ที่นั่งมองอยู่นานแล้ว ดวงตาดำจัดมองมาที่เขาอย่างคาดเดาไม่ออก ก่อนริมฝีปากหยักจะกระตุกยิ้มมุมปากเล็ก ๆ ชนิดที่ทำเอาพิชญ์ถึงกับหน้าชา

เขาเกลียดสายตาแบบนี้ของอริญชย์ เกลียดสายตาที่มองเขาอย่างเอ็นดู เหมือนเขาเป็นเด็กตัวน้อย ๆ แต่ก่อนที่พิชญ์จะทันได้พูดอะไร เขาก็ต้องชะงักเมื่อเสียงของไอลดาดังลอดออกมาจากห้องน้ำ ก่อนที่เจ้าตัวจะเปิดประตูออกมาพร้อมกับแนบโทรศัพท์มือถือไว้ที่หู

“โอเค ๆ เดี๋ยวอีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงเล็กไปถึง ถ้าเขารอกันไม่ได้ก็ให้เริ่มงานกันไปก่อนเลย แค่นี้นะ”

ไอลดากดวางสายโทรศัพท์ก่อนจะโยนลงกระเป๋าถือใบเล็กของตัวเอง อริญชย์ที่นั่งมองอยู่เลิกคิ้วด้วยความสงสัย เอ่ยปากถามออกไปอย่างใจคิด

“จะไปไหนหรือไง”

“โดนเรียกตัวฉุกเฉินน่ะสิคะ พอดีงานเขาขาดคน เล็กเลยต้องไปช่วย”

“แล้วลูกล่ะ...” คำถามเอ่ยถามคนเป็นแม่ แต่ดูเหมือนสายตาของอริญชย์จะจับอยู่ที่พ่อของลูกมากกว่า

“ฝากพี่ใหญ่กับพี่พีทช่วยดูน้องหนูที พอดีผู้ใหญ่ที่จัดงานนี้เขาเคยช่วยเล็กมาหลายรอบแล้ว เล็กเลยปฏิเสธไม่ได้”

“จะไปก็ไปเถอะ เดี๋ยวให้ตุลย์เดินลงไปส่งที่รถแล้วกัน”

“เล็กโตแล้วนะพี่ใหญ่ ทำอย่างกับเล็กเป็นเด็กไปได้ จะห่วงกันไปถึงไหน”

“พูดตอนไหนว่าห่วงเธอ ฉันจะให้ตุลย์ไปหยิบสมุดบัญชีที่รถมาให้ด้วย”

ไอลดาถึงกับหน้าเหวอเมื่อได้ยินเหตุผลของอริญชย์ ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายเป็นพี่ชาย แถมยังเป็นพี่ชายคนโต เธอคงอาละวาดใส่เขาไปแล้ว ในเมื่อทำอะไรไม่ได้เลยได้แต่ยืนฮึดฮัด ก่อนจะหันไปเอ่ยกับผู้เป็นสามีแทน

“เล็กไปก่อนนะคะพี่พีท” พิชญ์ยิ้มรับ ผิดกับอีกคนที่อดไม่ได้

“จะไปก็รีบไปเถอะ ลีลาเหลือเกินนะยัยเล็ก”

หญิงสาวค้อนพี่ชายประหลับประเหลือกก่อนจะคว้ากระเป๋าถือเตรียมตัวออกจากห้อง ดวงตาคู่โตยามที่มองมาที่พิชญ์ฉายแววแปลก ๆ จนคนถูกมองต้องหลบตาวูบ ไอลดาคลี่ยิ้มออกมาจาง ๆ ก่อนจะเดินนำตุลย์ออกไป ตุลย์เหลือบมองผู้เป็นนายแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

พอไอลดากับตุลย์ออกไปแล้ว ในห้องจึงเหลือแค่อริญชย์ พิชญ์ และน้องหนูที่นอนหลับสนิท พิชญ์ขยับตัวอย่างอึดอัด ทำท่าเหมือนจะเดินไปดูน้องหนู ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าน้องหนูคงไม่ตื่นขึ้นมาง่าย ๆ แต่อย่างน้อยเขาก็อยากจะถ่วงเวลาเอาไว้ก่อนที่ตุลย์จะกลับมา เพียงแต่ว่าการกระทำของเขาดันช้ากว่าใครอีกคน

“เรามาคุยกันหน่อยดีไหม พีท...”



TO BE CONTINUE



ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม ขอบคุณทุกคอมเม้นท์มาก ๆ เลยค่ะ
ตอนนี้ต้องกอดปลอบพีท คุณใหญ่ใจเย็น ๆ ค่ะ ค่อยพูดค่อยจากัน


 

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด