[นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 51 [31.12.20] -END-
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 51 [31.12.20] -END-  (อ่าน 32440 ครั้ง)

ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
.....



       วันสุดท้ายของเดือนมีนาคม อากาศร้อนอบอ้าวสมกับที่เป็นหน้าร้อน แก้วตื่นนอนในตอนสาย จัดการปิดแอร์แล้วออกจากห้องนอนเย็นฉ่ำมาปะทะกับสายลมอุ่นวาบที่โชยพัดเข้ามาผ่านบานหน้าต่างสุดทางเดิน กิ่งใบของต้นไม้ชื่อเดียวกับเขากำลังโยกไหวน้อยๆ ขณะทิ้งดอกร่วงลงสู่พื้นอิฐแดง

 

       ดวงตาสีเข้มเบนจากทิวทัศน์นอกหน้าต่างไปยังประตูห้องนอนเล็กที่อยู่ติดกันซึ่งถูกแง้มเปิดเอาไว้ ได้ยินเสียงดังเล็ดลอดออกมาบอกให้รู้ว่าสมาชิกอีกคนของบ้านคงกำลังทำอะไรสักอย่างอยู่ข้างในนั้น สองเท้าจึงก้าวตรงไปหยุดยืนมองด้านหลังของชายหนุ่มที่กำลังก้มๆ เงยๆ รื้อกองกระดาษออกจากโต๊ะหนังสือริมหน้าต่างไม้ปิดสนิท

 

       “ทำอะไรอยู่น่ะ”

 

       คนถูกถามพอได้ยินเสียงคุ้นหูก็หันกลับมาส่งยิ้มกว้างให้ โชครีบวางทุกอย่างตรงหน้าเพื่อลุกเดินมาขโมยหอมแก้มคนโตกว่าไปฟอดใหญ่ แก้วได้คำตอบของคำถามว่าอีกฝ่ายกำลังหาเอกสารประกอบการเรียนเก่าไปให้รุ่นน้องที่ขอมา แต่ดูเหมือนว่าโชคจะเลือกเป็นคนรักของเขามากกว่ารุ่นพี่ผู้ใจดี เมื่อเจ้าตัวเลือกที่จะทิ้งกองของระเกะระกะเอาไว้กลางคันเช่นนั้นแล้วจูงมือเขาลงบันไดไปกินมื้อเช้าที่เตรียมเอาไว้พร้อมสรรพด้วยกันในครัวแทน

 

 

 

       ยิ่งใกล้เที่ยงวันดวงอาทิตย์ก็ยิ่งฉายแสงแรงจัดจ้า ย้อมสวนเขียวให้ดูสดใสแต่ก็ไม่มีใครมีกะใจจะออกไปท้าแดดแผดเผา แก้วนั่งมองต้นไม้ใบหญ้าผ่านมุ้งลวดหน้าต่างจากบนโซฟาที่ประจำ พัดลมตั้งพื้นเปิดเบอร์แรงสุดหันหน้าส่ายไปมาหวังไล่ไอร้อนแม้จะเปล่าประโยชน์

 

       หยดเหงื่อไหลชุ่มไรผมและเริ่มกลิ้งหยดผ่านแผ่นหลัง โชคที่หาของเตรียมให้รุ่นน้องเสร็จแล้วลงมาตามแก้วให้ขึ้นบ้านไปอยู่ในห้องแอร์เพราะกลัวอีกฝ่ายจะจับไข้ไม่ก็เป็นลมแดดอย่างหนึ่งอย่างใดไปเสียก่อน

 

       “ติดแอร์ในห้องนั่งเล่นกันดีไหม” แก้วถามขึ้นมาท่ามกลางเสียงของเครื่องปรับอากาศครางต่ำ

 

       “งั้นก็ต้องเปลี่ยนบานหน้าต่างใหม่ด้วยน่ะสิครับ” โชคพลิกตัวตะแคง ใช้แขนข้างหนึ่งค้ำศีรษะเอาไว้ ส่วนอีกข้างเอื้อมไปลูบไล้เรียวนิ้วผอมบางตามความเคยชิน และสัมผัสเย็นเฉียบของโลหะที่เพิ่มมาบนโคนนิ้วนางของอีกฝ่ายก็พาให้หัวใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา

 

       “อือ แล้วก็ต้องติดฉากพลาสติกไม่ก็กั้นกระจกให้เป็นห้องแยกกับโถงตรงบันไดด้วย”

 

       “หรือจะซื้อเป็นพัดลมไอเย็นแทนดีครับ แบบนั้นจะได้ไม่ต้องทำอะไรให้ยุ่งยากมาก”

 

       “นั่นสินะ”

 

       บทสนทนาเรื่องการปรับปรุงห้องนั่งเล่นดำเนินไปราวกับจะลงมือทำจริงจังกันในวันพรุ่งนี้ กระทั่งโทรศัพท์มือถือของโชคมีแจ้งเตือนอีเมลล์เข้ามาเรียกให้เจ้าตัวต้องลงไปเปิดคอมในห้องทำงานชั้นล่างเพื่อแก้งานอีกครั้ง แก้วปล่อยให้เจ้าหมายักษ์เติมกำลังใจด้วยการกอดรัดฟัดเหวี่ยงเขาอย่างเบามือจนเสื้อผ้ายับย่นเล็กน้อยก่อนออกจากห้องไป เหลือไว้เพียงหนึ่งคนหนึ่งแมวที่นอนเอกเขนกอย่างพวกว่างงาน

 

       แก้วไม่ชอบเล่นโทรศัพท์ และหนังสือที่มีในห้องก็อ่านจนจบหมดแล้ว เขาเลยเลือกที่จะนอน โมกเองก็เช่นกัน ทว่านอนจนตื่นขึ้นมาความว่างจนน่าเบื่อก็ยังไม่จางหาย ดวงตาสีเข้มจ้องสบกับดวงตาสีฟ้าใสกระจ่าง พลันความเบื่อหน่ายไร้จุดหมายทำให้แก้วต้องลุกออกจากห้องไปเอาไม้ตกแมวที่ชั้นล่าง ระหว่างทางก็แวะเข้าไปในห้องทำงาน เห็นสภาพมัณฑนากรหนุ่มที่ทำหน้าตาเคร่งเครียดอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ก็เดินเข้าไปช่วยบีบนวดไหล่คลายความแข็งเกร็งของกล้ามเนื้อให้อย่างห่วงใย

 

       “พักก่อนก็ได้” เขาว่า

 

       “อีกนิดเดียวเองครับ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” และโชคก็ตอบมาอย่างนั้น พร้อมกับเอนหัวมาพิงหน้าท้องคนที่ยืนซ้อนอยู่หลังเก้าอี้ ดวงตาคู่สวยช้อนมองขึ้นมาสบตาจากองศาที่ซ้อนทับกับในความทรงจำ และแก้วก็เลือกที่จะทำซ้ำกับในวันนั้นอีกครั้ง

 

       จูบแผ่วเบาที่ทำเอาคนข้างล่างต้องปวดคอ แต่ก็ยินดีที่จะตอบรับอย่างกระตือรือร้น แก้วหัวเราะผะแผ่ว โชคระบายยิ้มเหยียดกว้าง ยามบ่ายของพวกเขาไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น โชคกลับไปทำงานต่อ แก้วกลับขึ้นห้องนอนไปเล่นกับแมว ยาวนานจนบ่ายแก่ชายหนุ่มถึงได้ตามขึ้นมายึดพื้นที่ครึ่งหนึ่งของเตียงและโอบเกี่ยวเอวคนรักไว้หลวมๆ ขณะนอนมองโมกเกลือกกลิ้งตัวไปมาเพื่อตะปบจับของเล่นที่วางไว้ตรงขอบเตียงให้ส่วนพู่ห้อยลงไปล่อตาล่อใจสัญชาตญาณของนักล่าหน้าขน

 

 

 

       ยามเย็นเมื่อแดดร่มลมตก อากาศยังร้อนจนทำให้เหนียวตัวน่าหงุดหงิดแต่ก็ดีขึ้นกว่าตอนกลางวันมากโข โชคเข้าไปเตรียมมื้อเย็นอยู่ในครัว ส่วนแก้วออกไปลากสายยางรดน้ำต้นไม้ดอกไม้ในสวนทั้งสองฝั่ง มองดูดอกใบสีสันสดใสใต้แสงสุดท้ายของวัน จากนั้นก็กลับเข้าบ้านไปกินข้าว ดูข่าวภาคค่ำกับหนังฝรั่งสักเรื่อง ก่อนจะอาบน้ำแล้วขึ้นห้องนอนตอนสี่ทุ่มกว่า

 

       ใต้แสงไฟสีขาวสว่างโร่ คนที่อยู่บนเตียงกับแก้วนั้นไม่ใช่คนรักยังเยาว์ของเขา แต่เป็นแมวหนุ่มรูปร่างปราดเปรียวสีควันบุหรี่ โมกกำลังทำหน้าที่ออดอ้อนชายวัยกลางคนแทนโชคที่กำลังอาบน้ำ ใบหน้าเล็กๆ ไล่คลอเคลียไปตามลำคออุ่น ขยับสูงขึ้นถูไถใต้คางก่อนจะลากยาวไปจนถึงข้างแก้ม อุ้งเท้านุ่มนิ่มเหยียบย่างลงบนแผ่นอกผอมบางเบาหวิว ปีนตะกายขึ้นไปเพื่อมอบสัมผัสแสดงความรักให้มนุษย์ของตนรับรู้

 

       แก้วยิ้มบาง ยกมือขึ้นลูบจากกลางหน้าผากไปตามแนวขนจนถึงสุดใบหูที่ขยับลู่ไปตามปลายนิ้วของเขา ดวงตาสีฟ้าจ้องมองเนิ่นนานกว่าจะกระพริบอย่างเชื่องช้า โมกทำอย่างนั้นซ้ำไปซ้ำมากระทั่งหมาขี้อิจฉาเข้ามาแย่งชิงเรียกร้องความสนใจของแก้วให้เบนไปหาตัวเอง

 

       “ถ้าโมกเป็นคนผมคงต่อยไปแล้ว” โชคงึมงำอยู่กับหน้าท้องนุ่มนิ่ม ปั้นหน้าจริงจังจนคนฟังหัวเราะขบขัน

 

       “เธอขี้หึงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันหืม” มือเรียวยกขึ้นขยี้หัวเด็กน้อยที่หึงแม้แต่แมวอย่างมันเขี้ยวปนเอ็นดู ก่อนจะประคองสองแก้มแล้วออกแรงดึงรั้งอีกฝ่ายให้ขยับขึ้นมาใกล้เพื่อสบตาในระยะประชิด

 

       “ก็ผมไม่อยากให้แก้วรักใครมากกว่าผมนี่ครับ” ชายหนุ่มว่าเสียงอ่อน ก่อนจะซุกใบหน้าลงไปยังซอกคออุ่น ฝังจมูกไว้บนผิวอ่อนนุ่ม สูดกลิ่นกายของคนรักก่อนจะจามออกมาเมื่อมีขนแมวปะปนเข้าไปให้ระคายจมูก

 

       คนโตกว่าได้แต่หยิบกระดาษทิชชูจากโต๊ะข้างหัวเตียงมายื่นให้คนที่จามจนจมูกแดง แต่เจ้าตัวก็ยังไม่วายหันไปส่งสายตาคาดโทษให้ตัวต้นเหตุที่กำลังยืดขาบิดขี้เกียจอยู่บนผืนผ้านวมที่ถูกถีบร่นลงไปกองอยู่ตรงปลายเตียง และหลังจากที่อาการคัดจมูกบรรเทาลงแล้วโชคก็ทำการจู่โจมเจ้าตัวเล็กทันที หน้าท้องที่ถูกปกคลุมด้วยขนนุ่มนิ่มถูกขยำด้วยแรงที่ไม่ถึงกับทำให้เจ็บ อุ้งเท้าทั้งสี่ตะปบจับมือใหญ่ โมกอ้าปากงับปลายนิ้วผู้ร้ายไม่แรงนักเป็นการหยอกกลับ เสียงหัวเราะดังเคล้าเสียงร้องแหลมสูงระงมปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง

 

       ช่างเป็นช่วงเวลาก่อนนอนที่แสนวุ่นวาย... แก้วมองเด็กๆ ทั้งสองของเขาด้วยแววตาอ่อนโยน

 

 

 

       ตกดึกคืนเดียวกันนั้นโชคถูกปลุกขึ้นมาในช่วงเวลาของวันใหม่ด้วยเสียงของคนข้างกายที่ขยับลุกขึ้นนั่งหอบหายใจหนักหน่วง พยายามจะสูดอากาศเข้าไปอย่างทรมานเมื่อปอดทั้งสองข้างไม่อาจฟอกออกซิเจนได้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

 

       “น้าแก้ว...” ชายหนุ่มยื่นมือไปแตะสัมผัสแผ่นหลังบอบบางที่กำลังสั่นไหวตามแรงกระเพื่อมของจังหวะการหายใจถี่ ...มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เป็นเช่นนี้ ทว่าไม่ว่าจะสักกี่ทีในอกของโชคก็ยังคงบีบตัวรัดแน่นจนแทบขาดใจตาม

 

       “...ไม่เป็น...ไร” แก้วหันมาคว้าจับข้อมือใหญ่ไว้อย่างไร้เรี่ยวแรง เอ่ยเสียงแหบพร่าขาดช่วงอย่างปลอบประโลม

 

       “ไปโรงพยาบาลกันเถอะครับ” โชคอ้อนวอนเสียงแผ่ว เมื่อเขารู้คำตอบของอีกฝ่ายดี

 

       “ไม่ต้องหรอก... เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าก็ต้องไปตามนัดอยู่แล้ว”

 

       “แก้ว ผม...”

 

       “ฉันไม่เป็นไร” แม้จะรู้สึกเหมือนกำลังจมลงไปใต้น้ำหนาวเหน็บที่จะทำให้ขาดใจตายในนาทีถัดไป แต่แก้วก็ยังคงคลี่ยิ้มบางให้กับเด็กน้อยของเขาเพื่อยืนยันคำตอบ

 

       และเด็กน้อยคนนั้นก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเฝ้ามองคนรักของตนทุกข์ทรมานอยู่ตรงหน้า เฝ้าอยู่เคียงข้างภาวนาให้ช่วงเวลานี้ผ่านพ้นไปเสียที

 

       เฝ้าภาวนาด้วยหัวใจที่ร้าวรานแหลกสลาย...

 

       โชคไม่อาจร่วมแบ่งปันความเจ็บปวดนั้นของแก้วมาได้เลยแม้แต่น้อย

 

 

 

       กว่าอาการหอบของแก้วจะสงบลงก็กินเวลาไปนับสิบนาที เป็นสิบนาทีที่ยาวนานราวกับชั่วนิรันดร์ แต่ในที่สุดมันก็ผ่านพ้นไปแล้ว

 

       ชายวัยกลางคนเอนแผ่นหลังลงพิงกองหมอนซ้อนกันสามใบดันกับหัวเตียงเหล็กที่โชคเป็นคนจัดวางเพื่อให้เขาใช้หนุนนอนในองศาที่ช่วยให้หายใจได้สะดวก ดวงตาสีเข้มปรือต่ำอย่างอ่อนล้า ทว่าก็ยังคงมองเห็นความปวดร้าวหลังนัยน์ตาคู่สวยที่จ้องมองมาใต้แสงเรื่อรางสีฟ้าได้อย่างชัดเจน

 

       “นอนได้แล้วโชค ฉันไม่เป็นไรแล้ว” แก้วพลิกตัวตะแคงข้างพลางยื่นมือไปวางแนบทิ้งไว้เหนือขมับอีกฝ่าย ลูบไล้ผ่านไปตามแนวหูอย่างช้าๆ แผ่วเบาและอ่อนโยนราวกับกำลังปลอบโยนหมาตัวใหญ่ที่กำลังตกใจเสียงฟ้าร้องคำราม

 

       “มัน...ทรมานมากไหมครับ” โชคยึดจับมือข้างนั้นไว้มั่นในอุ้งมือใหญ่อุ่นร้อน ดันหัวคลอเคลียเรียวนิ้วผอมบางไม่ห่างขณะเอ่ยปากถามด้วยเสียงสั่นเครือ

 

       “ก็... มากอยู่ แต่ก็พอทนได้” คนถูกถามไม่คิดจะบ่ายเบี่ยงหรือปฏิเสธ ด้วยเพราะเขารู้ดีว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร หากปลายทางสุดท้ายแล้วไม่ว่าอย่างไรโชคก็ยังต้องทุกข์ทน มันก็คงจะดีกว่าหากอีกฝ่ายได้ทุกข์ทนกับความจริงมิใช่คำโกหกเพียงเพื่อความสบายใจกลวงเปล่าที่ถูกสร้างขึ้นมาจากการหลอกลวง

 

       น้ำตาร้อนผ่าวกลิ้งหยดลงเปียกหมอน แก้วระบายยิ้มแล้วช่วยบรรจงเช็ดขอบตาฉ่ำชื้นด้วยปลายนิ้วตน สิ่งที่จะบรรเทาความเจ็บปวดในหัวใจของโชคได้มีเพียงแค่รอยยิ้มและเสียงลมหายใจของเขา และเพราะรู้อย่างนั้นเขาจึงทำได้เพียงดึงรั้งเด็กขี้แยเข้ามาแนบอก โอบกอดกระชับให้แนบแน่น เพื่อให้ร่างกายแนบชิดสนิทมากพอที่จะได้ยินเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะของชีวิต

 

       “น้าแก้ว” โชคสูดลมหายใจเข้าลึก ยกแขนขึ้นโอบกอดเรือนร่างผอมบางที่เขาหวาดกลัวเหลือเกินว่าแรงแขนของตนจะทำให้มันแตกสลาย

 

       “หืม ว่าไง” แต่แก้วก็ยังคงเป็นแก้วที่ไม่ได้เปราะบางขนาดนั้น เสียงตอบกลับยังคงมั่นคงและเจือด้วยความอบอุ่นอยู่เฉกเช่นเดิม แตกต่างจากเสียงแหบแห้งแตกพร่าที่ส่งผ่านลำคอร้าวระบมของคนตัวใหญ่

 

       “ผมรักน้าแก้วนะครับ รักมากๆ รักจนผมไม่รู้เลยว่าถ้าวันนึงผมไม่มีแก้วแล้วผมจะอยู่ยังไง”

 

       “นั่นสินะ” คนโตกว่าทว่าก็ไม่ได้ฉลาดกว่านักในเรื่องความตายเอ่ย วางคางเกยกระหม่อมของเด็กน้อยในอ้อมแขน พยายามประมวลคำตอบที่จับต้องได้จากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาเกือบครึ่งร้อยของตัวเอง “ก็คงแค่ต้องอยู่ต่อไปล่ะมั้ง กินข้าว เข้านอน ตื่นขึ้นมาในเช้าอีกวัน วนไปอย่างนั้นซ้ำๆ แล้วสักวันเธออาจจะได้เจอกับคนที่ทำให้เธอรู้เหตุผลที่มีชีวิตอยู่... เหมือนที่ฉันมีเธอ”

 

       “ผมก็มีแก้วไง ...ผมมีแก้วตลอดไปเลยไม่ได้เหรอครับ”

 

       “ตลอดไปไม่มีจริงหรอกนะโชค สักวันตลอดไปก็ต้องจบลงเหมือนกัน”

 

       “แต่ไม่ใช่วันนี้ได้ไหมครับ ไม่ใช่ตอนนี้ แล้วก็ไม่ใช่พรุ่งนี้ด้วย”

 

       แก้วไม่ได้ตอบอะไรนอกจากหัวเราะแผ่วเบาในลำคอ กับอ้อมกอดที่กระชับแน่นขึ้นเล็กน้อยด้วยแรงทั้งหมดที่ตนมี เพราะตัวเขาเองก็ไม่มีคำตอบให้กับอีกฝ่าย รู้เพียงว่าในใจเขาเองก็คิดแบบเดียวกันกับโชค

 

       ไม่ใช่ตอนนี้ ไม่ใช่วันนี้ และไม่ใช่พรุ่งนี้ ...ขอให้ชีวิตนี้ของเขายาวนานกว่านี้อีกสักหน่อย

 

       “ฉันรักเธอนะโชค รักมากกว่าที่เธอคิดว่าฉันรัก”

 

       “ผมก็รักแก้ว รักมากกว่าที่แก้วจะคิดได้ว่ามากแค่ไหน”

 

       “จะแข่งกันเหรอ” แก้วเย้าด้วยรอยยิ้มที่ฉายไปถึงดวงตา

 

       “แก้วสู้ผมไม่ได้หรอก” และโชคก็แทนที่หยดน้ำตาด้วยริมฝีปากที่ระบายยิ้มกว้าง

 

       ชายหนุ่มขยับผละจากอ้อมอกอุ่นมานอนพิงหมอนซ้อนสูงให้ระดับสายตาพวกเขาเท่ากัน ปล่อยให้ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดใบหน้า ก่อนจะค่อยๆ เกลี่ยปอยผมยาวที่ปรกหน้าผากของอีกคนออกแล้วประทับจูบลงบนนั้นอย่างนุ่มนวล

 

       “อยากฟังเรื่องวาฬสีน้ำเงินไหมครับ” คำถามทำเอาคนฟังประหลาดใจเล็กน้อย แต่แก้วก็ตอบรับด้วยรอยยิ้มบางเบากับแววตาอ่อนโยน

 

       “เอาสิ”

 

       เรื่องราวของยักษ์ใหญ่ใต้มหาสมุทรสีฟ้าครามถูกเล่าด้วยเสียงทุ้มของชายหนุ่มผู้เป็นฝ่ายถูกกล่อมมาตลอดเกือบยี่สิบปี และทั้งที่ทั้งสองคนบนเตียงนั้นล้วนรู้อยู่แล้วว่านิทานก่อนนอนเรื่องนี้จะจบอย่างไร แต่กลับรู้สึกแปลกใหม่ในความคุ้นเคยเหลือเกิน

 

       ...อาจจะเป็นเพราะวันนี้เปลี่ยนตัวคนเล่าเรื่องกระมัง

 



 

       เช้าวันแรกของเดือนเมษา หลังจากกินมื้อเช้าและอาบน้ำเรียบร้อย ในขณะที่กำลังรอคอยให้โชคเก็บของพร้อมเตรียมเอกสารประจำตัวผู้ป่วยอีกเล็กน้อยเสร็จ แก้วที่นั่งจ้องตากับโมกก็รู้สึกขึ้นมาว่าผ้ารองนอนสีม่วงอ่อนผืนโปรดของมะลิถูกใช้งานมาเนิ่นนานจนเยินไปหมดแล้ว ถึงเวลาที่ควรจะเปลี่ยนใหม่ให้เสียที

 

       หนึ่งคนหนึ่งแมวเดินขึ้นบันไดตรงสู่ห้องเก็บของ ข้างในนั้นไม่ได้อับทึบชวนให้ปลวกขึ้นเหมือนแต่ก่อนเมื่อโชคเข้ามาเปิดหน้าต่างระบายอากาศอยู่เป็นประจำ และเพราะเป็นหน้าร้อนถึงได้เปิดทิ้งเอาไว้ข้ามวันข้ามคืนอย่างในตอนนี้

 

       แดดยามเช้าไม่อาจสาดส่องเข้ามายังห้องที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของบ้าน แต่แสงสว่างก็ยังลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาตกกระทบเครื่องเรือนให้มองเห็นแม้ไม่ได้เปิดไฟ แก้วตรงเข้าไปยังตู้เก็บผ้า รื้อค้นเอาผืนผ้านุ่มนิ่มสีเขียวออกมากางให้ว่าที่เจ้าของสำรวจดู

 

       “ชอบเหรอ” และดูท่าเจ้าตัวเล็กเองก็คงถูกใจผ้าผืนนั้นเข้าให้แล้วเมื่อเจ้าตัวเดินมาถูตัวทิ้งกลิ่นใส่อย่างอ้อยอิ่ง

 

       เมี๊ยว...

 

       เสียงร้องแหลมสูงเรียกให้มุมปากมนุษย์หนึ่งเดียวในห้องยกสูง และอยู่ๆ ห้วงเวลายามเช้าในหน้าร้อนของแก้วก็หยุดชะงักลงในห้องนั้น ท่ามกลางของมากมายที่ถูกเก็บไว้ชิดผนังตามมุมต่างๆ ตู้เก็บผ้านวมขนาดกลางที่เคยเป็นตู้เสื้อผ้าของเด็กชายแก้วในตอนเด็ก โต๊ะไม้ตัวเล็กที่เด็กชายโชคเคยใช้ ไม้กอล์ฟของพ่อ ชุดแต่งงานสีขาวในซองกันฝุ่นของแม่ ชุดครุยผ้าโปร่งบางแถบสีทองของเขาและของโชคที่แขวนเอาไว้ข้างกัน กับต้นสนพลาสติกข้างลังเก็บอุปกรณ์ตกแต่งต้นคริสต์มาส

 

       ...ทุกอย่างในห้องนี้นั้นล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยความทรงจำอัดแน่น

 

       ในห้วงเวลาที่หยุดชะงัก แก้วรู้สึกว่ามันช่างผ่านไปเร็วนัก

 

       เร็วจนเกินไป...

 

       “น้าแก้ว” โชคเรียกขณะผลักบานประตูให้เปิดกว้าง ก่อนจะรีบถลาเข้ามาหาเจ้าของชื่ออย่างตื่นตระหนก “แก้วร้องไห้ทำไมครับ”

 

       ชายวัยกลางคนที่กำลังร้องไห้โดยที่ไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำเงยหน้ามองคนรัก สองแขนยื่นออกไปไขว่คว้าตัวคนเข้ามากอด แนบแก้มลงบนไหล่กว้าง ซุกฝังปลายจมูกเข้ากับลำคออุ่น หวังอยากจะหยุดทุกอย่างเอาไว้ที่ตรงนั้น ตลอดกาลในอ้อมแขนที่กอดเขาตอบ ท่ามกลางสัมผัสอุ่นร้อนและเสียงของลมหายใจ

 

       แก้วอยากให้ชั่วนิรันดร์เกิดขึ้นจริงระหว่างเขากับโชคในบ้านไม้สีขาวหลังนี้

 

 

 

       และมันคงเป็นดั่งลางสังหรณ์ ของทั้งคนทั้งแมว แก้วไม่อยากจากบ้านไป เช่นเดียวกับโมกที่มองส่งมนุษย์ของตนจนลับตาจากริมขอบหน้าต่างสุดโถงทางเดินบนชั้นสองและไม่ยอมขยับไปไหนอยู่เนิ่นนาน

 

       ‘เฝ้าบ้านดีๆ นะโมก’ นั่นเป็นถ้อยคำสุดท้ายที่โมกได้ยินจากแก้ว

 

       ฮันนีมูนรสหวานในบ้านไม้สีขาว...

 

       ยาวนานตราบเท่าหนึ่งเดือน

 

 

 

...TBC

       งานแต่งงานหน้าบ้านไม้สีขาว กับฮันนีมูนรสหวานปนขม เป็นตอนที่ยาวมากๆ เลยค่ะ และรีนก็ใช้เวลาเนิ่นนานมากๆ ในการเขียนตอนนี้ เหมือนกับอีกสองตอนที่เหลือที่รีนใช้เวลาเป็นเดือนเพื่อเรียงร้อยเรื่องราวออกมาในแต่ละตอน หลังจากนี้ไปอาจจะขมปนรสน้ำตา แต่ก็ขอให้ทุกคนช่วยเดินทางไปกับน้าแก้ว น้องโชค อาธีร์ เหล่าตัวละคร และรีนจนกว่าจะถึงปลายทางด้วยกันนะคะ

       สำหรับค่ำคืนคริสต์มาสอีฟนี้ รีนก็ขอให้ทุกคนได้มีช่วงเวลาท้ายปีที่ดีที่สุดเท่าที่ปัจจัยแวดล้อมจะเอื้ออำนวยนะคะ ถึงสถานการณ์รอบข้างตอนนี้จะยากลำบากชวนให้หัวใจเหนื่อยล้า แต่รีนก็ขอให้คุณได้มีรอยยิ้มจากหัวใจ แม้จะจากเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ขอให้ในหนึ่งวันที่ผ่านพ้นไม่ทุกข์ทนจนเกินไปนัก และสุดท้ายนี้รีนก็ขอให้คุณสุขภาพแข็งแรงค่ะ Merry Christmas

 

       ขอบคุณทุกการอ่าน ทุกคอมเมนต์ ทุกกำลังใจ

       ขอบคุณมากค่ะ

 

       ไว้พบกันวันจันทร์หน้าค่ะ


ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
โฮรรรร จะร้องแล้วววว ทั้งหวานทั้งเศร้า  :m15: :m15: :monkeysad: :monkeysad: :sad11: :sad11:

 :pig4: :pig4: merry christmas ka  :L1: :L1:

ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 50

 

       การมาโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกายตามนัดของแก้วในครั้งนี้ ผลอัลตร้าซาวด์ช่วงอกออกมาว่ามีภาวะหัวใจโตกับน้ำในเยื่อหุ้มปอดแทรกซ้อน แพทย์เจ้าของไข้แนะนำให้แอดมิททันทีเพื่อดูแลรักษาตามอาการอย่างใกล้ชิดและเตรียมทำหัตถการเจาะระบายของเหลวออกนอกร่างกายที่วางแผนจะดำเนินการในวันถัดไป

 

       แก้วถูกย้ายไปยังห้องพิเศษบนชั้นสามของอาคารเดิมที่แสนคุ้นเคย โชคเลยต้องรีบกลับบ้านไปจัดการเก็บของเพื่อมานอนเฝ้าพร้อมกับพาโมกไปฝากไว้ที่บ้านเพื่อนสนิทให้ช่วยดูแลอีกครั้ง และในระหว่างที่กำลังลังเลใจเพราะไม่อยากทิ้งอีกคนไว้ลำพัง อาธีร์ผู้ยังคงหล่อเหลาในวัยใกล้ห้าสิบปีก็มาถึงพอดี

 

       โชคฝากฝังอีกฝ่ายให้อยู่เป็นเพื่อนน้าแก้วแทนชั่วคราวก่อนจะคว้าของติดตัวกับกุญแจรถออกจากห้องไป ได้ยินเพียงเสียงพูดคุยที่แว่วหลังมา

 

       “วันนี้วันเกิดเมษาทั้งที มึงไม่เห็นต้องมาเลย”

 

       “ต้องมาสิ ยังไงกูก็ต้องมาหามึงอยู่แล้ว...”

 

       ...มันทั้งน่าหมั่นไส้

 

       “วันเกิดเมษาน่ะปีหน้าก็ยังมี”

 

       “นั่นสินะ”

 

       ...และอ้างว้างจนหัวใจวูบโหวงเหลือเกิน

 

 

 

       คืนนั้นโชคนั่งอยู่ข้างเตียงของแก้ว พูดคุยกันเคล้าเสียงโทรทัศน์ที่เปิดคลอให้ห้องไม่เงียบเหงา ยิ้ม หัวเราะ จูบราตรีสวัสดิ์ และแม้กระทั่งหลังจากที่คนบนเตียงร่วงลงสู่ห้วงนิทราไปแล้วเขาก็ยังคงปักหลักอยู่บนเก้าอี้ตัวนั้น เฝ้ามองใบหน้าคนรักยามหลับใหลในแสงสลัว กอบกุมมือเรียวข้างที่ไม่ได้ถูกเจาะต่อสายน้ำเกลือไว้แผ่วเบาจนตัวเองผล็อยหลับไป

 

       อย่างน้อยในค่ำคืนนั้นโชคก็ไม่ได้ถูกปลุกด้วยเสียงหอบหายใจแสนทรมานของแก้ว

 




 

       2 เมษายนฝนตกลงมา พายุฤดูร้อนก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยมวลอากาศเย็นของประเทศจีนที่เคลื่อนตัวมาปะทะเข้ากับอากาศร้อนของประเทศไทย กลั่นหยดน้ำมหาศาลเทกระหน่ำซัดสาดพร้อมกับลมกรรโชกจนคลองระบายน้ำกรุงเทพมหานครทำงานไม่ทัน

 

       ทีมแพทย์และพยาบาลเข้ามาในห้องพร้อมกับรถเข็นอุปกรณ์ในช่วงสาย โชคถูกขอให้ออกไปรอด้านนอกระหว่างที่พวกเขาทำการเจาะดูดน้ำในปอดของแก้ว มันไม่ได้ใช้เวลาเนิ่นนานเท่าที่โชคคิดไว้ในตอนแรก เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงประตูที่กั้นขวางเขากับทุกความกังวลใจก็เปิดออก โชคจึงกล่าวขอบคุณทุกคนด้วยรอยยิ้มจริงใจอย่างรีบร้อนก่อนจะเดินสวนเข้าห้องไปหาคนด้านในทันที

 

       แก้วส่งยิ้มบางมาให้จากบนเตียงที่เดิม และมันก็สว่างไสวมากพอจะย้อมให้โลกทั้งใบของโชคอบอุ่นแม้นอกหน้าต่างจะมีพายุฝนชื้นฉ่ำและเย็นเฉียบ

 

       “เจ็บไหมครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถามขณะขยับเดินเข้าไปทิ้งตัวลงบนที่ประจำข้างเตียง

 

       “ตอนฉีดยาชาก็เจ็บอยู่ แต่ก็พอทนได้” คำตอบเหมือนกับทุกครั้งที่โชคถามคำถามเดียวกันนี้ ถึงจะมีบางครั้งที่แก้วบอกว่าไม่เจ็บขนาดนั้นหรือมันไม่เจ็บเลย แต่โชคก็ไม่รู้เลยว่าคำว่าไม่เจ็บของแก้วมันหมายความว่าไม่เจ็บเลยสักนิดจริงๆ หรือว่ามันเป็นความเจ็บปวดที่อีกฝ่ายรับมือไหวกันแน่...

 

       เพราะถึงแก้วไม่โกหก แต่ความจริงของคนเราก็ไม่ได้ตรงกันเสมอไป

 

       “แต่ถ้าวันไหนที่ทนไม่ได้แล้วแก้วจะร้องไห้กับผมบ้างก็ได้นะครับ” ขณะที่พูดอยู่ๆ ลำคอก็ตีบตันขึ้นมาจนเค้นเสียงออกไปได้ลำบาก โชคมองคนตรงหน้าด้วยทะเลสีน้ำตาลที่ดวงดาวไม่เปล่งแสง “แก้วรู้ใช่ไหมว่าผมจะอยู่ตรงนี้ข้างๆ แก้วไม่ไปไหน...ไม่ไหนทั้งนั้น”

 

       “ฉันรู้” แก้วระบายยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย และดำลึกลงไปในทะเลตรงหน้าเพื่อค้นหาดวงดาวที่หายไป ...ในเมื่อเขาชอบนัยน์ตาคู่สวยที่พราวระยับยามจับจ้องมองมามากกว่า “ฉันเองก็จะอยู่กับเธอไม่ไปไหนโชค ตราบเท่าที่เธอยังไม่ลืมฉัน ฉันจะอยู่กับเธอในนี้”

 

       มือเรียวผอมบางแตะสัมผัสลงที่กลางหน้าผาก ราวกับจะบอกว่าพื้นที่ในสมองส่วนหน้าที่เก็บความทรงจำมนุษย์จะเป็นที่อยู่ต่อไปของตนในวันข้างหน้า โชคเลยคว้ามือข้างนั้นให้เลื่อนต่ำลงมา แนบประทับกับแผ่นอกที่รับรู้ได้ถึงจังหวะของก้อนเนื้อที่เต้นตุบอยู่ด้านใน

 

       “อยู่ในนี้ด้วยครับ” คนฟังได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะ ขยับตัวเพียงเล็กน้อยอีกฝ่ายก็รู้ได้ทันทีว่าเขาต้องการอะไร

 

       โชคโน้มตัวเข้าไปใกล้คนบนเตียง ในองศาที่เจ้าของริมฝีปากซีดจางแนบจูบลงบนหน้าผากเขาได้อย่างสะดวก ก่อนที่จะเป็นฝ่ายมอบจุมพิตเนิบนาบหวานละมุนแต่ไม่เนิ่นนานจนรบกวนจังหวะหายใจให้กลับไป ได้ยินเพียงเสียงกระซิบแผ่วเบาอยู่ในลำคอ

 

       “เด็กน้อย” ...ของแก้ว
 

 

 


       เที่ยงวันเจ้าหน้าที่นำอาหารผู้ป่วยมาให้ถึงหน้าห้อง โชคออกไปรับก่อนกลับมาจัดแจงปรับระดับยกหัวเตียงและโต๊ะล้อเลื่อนเพื่อให้สะดวกต่อการกินข้าว จากนั้นก็ตั้งสำรับพร้อมรินน้ำใส่แก้วเตรียมไว้ให้อีกคนได้กินยาหลังอาหารอย่างเสร็จสรรพ

 

       ข้าวสวยร้อนๆ กับปลานึ่งและผัดผักรสอ่อน แก้วที่ไม่มีความอยากอาหารมากนักตักกินเพียงเล็กน้อยแล้วก็เลิกกินไป ยังดีที่มีผลไม้อีกสองสามอย่างในจานเล็กที่เขาพอจะกลืนลงท้องได้

 

       “น้าแก้วครับ” โชคเอ่ยเรียกเสียงอ่อนเมื่อเขาอยากให้อีกคนกินอาหารมากกว่านี้สักนิด แต่ก็ไม่ได้บังคับเมื่อดวงตาสีเข้มที่หันมาสบฉายแววอ่อนล้าเต็มที

 

       “ฉันไม่ค่อยหิวน่ะ” คนป่วยว่า แม้จะไม่ใช่คนเลือกกินแต่รสชาติของอาหารโรงพยาบาลก็ไม่ได้กระตุ้นความอยากอาหารของเขาสักเท่าไหร่ และเมื่อเชฟใหญ่ของบ้านได้ชิมก็ตัดสินใจในทันทีว่าหลังจากนี้ตอนเช้าเขาจะกลับบ้านไปทำอาหารสำหรับแต่ละวันมาให้แก้วเอง

 

       “งั้นกินผลไม้อีกไหมครับ เดี๋ยวผมลงไปซื้อมาให้” แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่ยอมแพ้เสียทีเดียว เสนอทางเลือกใหม่ที่จะเติมท้องแก้วให้เต็มขึ้นได้สักอีกหน่อย

 

       “อือ เอาส้มก็ได้” แก้วบอกขณะที่เอนหลังพิงหมอนและเปลือกตาปรือต่ำ ทว่ามุมปากยังคงยกสูงเป็นรอยยิ้มเมื่อโชคหอมแก้มเขาเร็วๆ ก่อนจากไปพร้อมกับคำที่บอกว่าจะรีบกลับมา

 

 

 

       โชคถือโอกาสแวะเอาถุงเสื้อผ้าใช้แล้วไปเก็บที่รถ ก่อนจะไปซื้อส้มกับของกินเล็กๆ น้อยๆ สำหรับตัวเองจากร้านรวงในละแวกนั้น แถมยังได้ดอกทานตะวันสีเหลืองที่เบ่งบานอย่างสดใสใต้ท้องฟ้ามืดครึ้มและม่านฝนหม่นมัวอยู่หน้าร้านขายดอกไม้ฝั่งตรงข้ามโรงพยาบาลติดมือขึ้นมาด้วย

 

       “นั่นของเยี่ยมเหรอ” คนบนเตียงส่งยิ้มบางขณะเอ่ยถาม เขาไม่ได้นอนหลับอย่างที่ตั้งใจเมื่อสิ่งเดียวที่ทำมาตลอดก็คือการนอนจนข่มตาไม่ลง และอาจจะเป็นเพราะเขากำลังรอให้ใครอีกคนกลับมาอยู่ด้วย

 

       “ครับ” โชคยิ้มตอบพลางเดินเข้าไปยื่นช่อดอกไม้ผู้รักมั่นในดวงอาทิตย์น้อยใหญ่ให้กับคนรัก “แก้วจะได้รู้สึกสดใสขึ้นบ้าง ฝนน่าจะตกยาวไปถึงเย็นเลย”

 

       “อือ” แก้วครางรับแผ่วเบา ดวงตาจ้องมองกลีบดอกเรียวรีที่ซ้อนทับกันหลายชั้นรอบวงเกสรดวงใหญ่ตรงใจกลาง ราวกับดวงตะวัน สดใสอย่างที่คนให้ว่าเลย “ขอบใจ”

 

       ชายหนุ่มรับช่อดอกไม้คืนมาเพื่อไปจัดใส่แจกันใสทรงสูงที่ทางโรงพยาบาลมีให้อยู่ในทุกห้องแล้ววางตั้งไว้บนขอบไม้ริมหน้าต่างเยื้องๆ กับด้านหลังเก้าอี้ที่เขานั่ง หากเป็นตรงนั้นแก้วจะสามารถมองเห็นมันได้ตลอดเวลา และดูเหมือนว่ามันจะทำให้เจ้าตัวดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาในดวงตาสีเข้ม...

 

       นับตั้งแต่นั้นโชคจึงเก็บดอกไม้จากสวนที่บ้านในตอนเช้าที่เขากลับไปทำอาหาร สลับกับซื้อจากร้านหน้าโรงพยาบาลมาเปลี่ยนใส่แจกันข้างบานหน้าต่างทุกสองสามวัน...

 

       แล้วเมื่อถึงวันที่แจกันถูกประดับด้วยดอกคาร์เนชั่นสีชมพู เหล่าเพื่อนร่วมงานจากบริษัทก็พากันมาเยี่ยมเยียนตอนช่วงพักเที่ยงจนทั้งห้องดูวุ่นวายพร้อมกระเช้าผลไม้หลากชนิด

 

       ต่อมาพอเปลี่ยนเป็นดอกกุหลาบขาวและแดงเบ่งบานในวันหยุดสุดสัปดาห์ ครอบครัวของเพื่อนสนิทก็พากันมาเยือนอย่างพร้อมหน้าหลังจากที่เคยมีธีร์เพียงคนเดียวที่แวะเวียนมาอยู่ทุกวัน

 

       จนกระทั่งกลายเป็นดอกบานชื่นอ้วนกลมสีสันสดสวยเบียดเสียดกันอวดความสดใส เพื่อนเก่าสมัยเรียนของแก้วก็รวมตัวกันมาหา บางคนโชคก็คุ้นหน้าเหมือนเคยเจอมาบ้างตามงานสังคมที่อีกคนเคยพาไป ส่วนบางคนก็แปลกหน้าโดยสิ้นเชิงเพราะเพิ่งได้รู้จักกันในวันนี้

 

       ทั้งน่ายินดีและแสนเศร้า

 

       เมื่อผู้คนที่เคยห่างกันไปต่างกลับมาพบเจอกันด้วยเหตุผลที่ว่ามันอาจจะไม่มีวันหน้าให้ได้เจอกันอีกแล้ว

 




 

       กลางเดือนเมษาที่ไร้ฝน แสงอาทิตย์สาดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาตกกระทบพื้นสีขาวและเก้าอี้ที่ประจำของโชคอย่างอ่อนโยนในตอนที่เขากลับมาถึงโรงพยาบาลอีกครั้ง หลังหายกลับบ้านไปทำอาหารสำหรับทั้งวันของแก้วและตัวเองตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ที่ข้างหน้าต่างวันนี้จึงมีดอกหน้าวัวมาแทนที่ ชูดอกเด่นสวยรับแสงเจิดจ้าของท้องฟ้าหน้าร้อนที่ส่องย้อนเข้ามาในอาคารยามสาย แต่ในอากาศกลับมีกลิ่นหอมจางของมวลดอกแก้วลอยอวลอยู่

 

       โชคนั่งพันก้านดอกบอบบางสีเขียว ม้วนเกลียวเกี่ยวดอกไม้สีขาวร้อยเข้าด้วยกันอย่างใจเย็น ขณะเฝ้ารอให้คนรักของเขาลืมตาตื่นขึ้นมาเหมือนกับในทุกๆ วัน เฝ้ารอคอยอย่างอดทน...

 

       ระยะแพร่กระจาย มะเร็งชนิดเซลล์เล็กในปอดของแก้วเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อไม่ได้รับยาเคมี จากแค่ภายในปอดสองข้างลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลือง และจะกระจายไปทั่วร่างในอีกไม่ช้า การรักษาที่ทำได้ตอนนี้มีเพียงการประคับประคองเพื่อให้ผู้ป่วยได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดในช่วงวาระสุดท้ายเท่านั้น

 

       “ทำอะไรอยู่น่ะ” ช่วงเวลาแสนยาวนานของชายหนุ่มที่หยุดชะงักไปได้กลับมาเริ่มเดินต่ออีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงแหบแห้งเอื้อนเอ่ยแผ่วเบา

 

       “มงกุฎดอกแก้วครับ” โชคเงยหน้าขึ้นตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง ขณะเดียวกันก็หยุดมือเพื่อหันไปรินน้ำใส่แก้วจากโต๊ะวางของด้านข้างมาให้คนเพิ่งตื่นจิบ จัดแจงปรับระดับหัวเตียงให้ยกขึ้นได้องศาเสร็จสรรพเรียบร้อยอย่างคล่องแคล่วก่อนจะลุกไปเตรียมสำรับมื้อเช้าที่รวบมารวมกับมื้อเที่ยงให้อีกฝ่าย โดยที่เขาเองก็ร่วมโต๊ะด้วยเช่นกัน

 

       กระทั่งเก็บล้างจานชามเสร็จหมดแล้วชายหนุ่มจึงค่อยกลับมานั่งถักร้อยดอกแก้วต่อ

 

       แก้วมองมือใหญ่ที่ขยับไปมาอย่างนุ่มนวลเพื่อต่อความยาวโซ่ดอกไม้กลิ่นหอมจาง พลางชวนคุยขึ้นมาฆ่าเวลายามบ่ายที่ไร้จุดหมาย

 

       “ที่บ้านเป็นไงบ้าง”

 

       “ก็เหมือนเดิมครับ ...โมกยังอยู่บ้านมิกซ์ ต้นแก้วโดนฝนเมื่ออาทิตย์ก่อนออกดอกเต็มต้นเลย อ่อ แล้วก็ดอกกุหลาบขาวที่เราแยกกิ่งไปปักชำไว้ตอนนั้นเริ่มแตกยอดแล้วนะครับ ส่วนกุหลาบแดงก็ยังบานเรื่อยๆ ...” โชคเล่าความเป็นไปในบ้านไม้สองชั้นที่ทุกชีวิตยังคงเติบโตขึ้นอย่างช้าๆ ให้เจ้าของบ้านฟัง

 

       “เหรอ” แก้วยิ้ม อย่างเปลี่ยวเหงาเล็กน้อย เมื่อเขาเป็นสิ่งเดียวที่จะไม่ได้เติบโตต่อไปในเขตรั้วไม้สีขาวอันเต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวและความทรงจำ

 

       บ้าน... ที่เขาอาจจะไม่มีโอกาสได้กลับไปอีกแล้ว

 

       ชายวัยกลางคนยื่นมือออกไปลูบหัวเด็กน้อยของตนอย่างเอ็นดู คิดหวังเพียงว่าอีกฝ่ายคงได้เติบโตจนแก่ชราอย่างงดงาม ณ ที่แห่งนั้น

 

       “ครับแก้ว?” โชคเหลือบตาขึ้นมามองเผื่อว่าเขาต้องการอะไร แต่แก้วเพียงแค่ระบายยิ้มขณะผละมือออกเพื่อกลับไปนอนพิงหมอนแล้วชวนคุยเรื่องอื่นต่อ

 

       “เธอทำอะไรบ้างตอนฉันหลับ”

 

       “ผมรอแก้วตื่น” คำตอบของโชคเรียบง่ายและเป็นความจริง

 

       “ฉันทำให้เธอรอนานรึเปล่า” คำถามของแก้วเองก็เช่นกัน เรียบง่าย แสนธรรมดา

 

       “ไม่ครับ ไม่เลย ...แต่ต่อให้นานแค่ไหนผมก็รอได้นะ” ขอแค่แก้วตื่นขึ้นมาก็พอ ประโยคหลังโชคพูดผ่านแววตาที่หลุบต่ำ จับจ้องยังเส้นโซ่ดอกแก้วในมือที่ได้ความยาวตามต้องการพอดี เขาจึงม้วนขดเกี่ยวรัดก้านเขียวขัดกันไว้ให้เป็นวงสมบูรณ์ ก่อนจะมอบมันให้แด่ชายผู้มีชื่อเดียวกับดอกไม้หอม “ผมทำให้แก้ว”

 

       มงกุฎดอกแก้ว บนกลุ่มผมดำขลับแซมสีอ่อนปะปนเล็กน้อย รอยยิ้มบางเบาและแววตาอ่อนโยน

 

       “ขอบใจ” หนึ่งจูบประทับเหนือหน้าผากพาย้อนเวลากลับไปในอดีต ก่อนที่พวกเขาจะเดินท่องไปในความทรงจำนับสิบปีผ่านคำพูดคุยและบทสนทนาเรื่อยเปื่อย

 

       เนิ่นนานคล้ายห้วงเวลาไร้ที่สิ้นสุด จวบจนแก้วหมดแรงอ่อนล้าและดวงตาสีเข้มปรือปิดไป หลับใหลด้วยจังหวะการหายใจสม่ำเสมอใต้สายออกซิเจนที่คาดผ่านจมูก

 

       กาลเวลากลับไปเดินแช่มช้าชะงักงันอีกครั้ง

 

       ราวกับโชคมีชีวิตอยู่เพียงไม่กี่ชั่วโมงในหนึ่งวันขณะที่แก้วตื่นขึ้นมาสบตา

 




 

       เข้าสู่ช่วงท้ายของเดือนเมษายนที่ไร้ฝนไร้ลมหนาว พายุฤดูร้อนจากไปนานกว่าสามสัปดาห์แล้ว แก้วหายใจด้วยตัวเองได้ยากขึ้นทุกวันแม้จะเปลี่ยนจากสายออกซิเจนมาเป็นหน้ากาก กระทั่งใช้หน้ากากออกซิเจนแบบมีถุงก็ยังคงรู้สึกอึดอัดทรมาน แต่ถึงอย่างนั้น...

 

       “คุณหมอถามว่าจะใส่ท่อช่วยหายใจไหมครับ” โชคถามเสียงเบาหวิว

 

       “ไม่ล่ะ” แล้วแก้วก็ตอบกลับทันทีด้วยเสียงที่แผ่วเบาราวกับจะปลิวหายไปในสายลมที่พัดผ่านมา

 

       ชายวัยกลางคนที่กำลังจะสูญเสียปอดทั้งสองข้างไปอย่างสิ้นเชิงยืนกรานปฏิเสธการสอดท่อช่วยหายใจรวมไปถึงการเจาะคอ และเมื่อเป็นเช่นนั้นมันจึงนำไปสู่อีกหนึ่งคำถาม ...ที่โชครวดร้าวเหลือเกินยามเอ่ยออกมา

 

       “แล้ว... แก้วจะให้ปั๊มหัวใจไหมครับ” ก้อนความรู้สึกจุกลำคอจนแสบร้อนทั่วกระบอกตา โชคไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังรู้สึกอย่างไรนอกจากความเจ็บปวดที่ไม่มีที่มา เพราะเขาไม่รู้ว่าตัวเองคาดหวังคำตอบแบบไหนจากแก้วกันแน่ ในนาทีที่หัวใจใต้แผ่นอกผอมบางหยุดเต้นลง แก้วจะยอมรับความตายในทันที หรือจะเสี่ยงดวงที่อาจจะฟื้นมันกลับมาได้ชั่วคราวแลกกับการที่ซี่โครงก็อาจจะหักหักทิ่มปอด ทางเลือกของแก้ว...

 

       เขาส่ายหน้า

 

       โชคจึงแจ้งความจำนงอันแน่วแน่ของตัวผู้ป่วยเองนี้กับแพทย์เจ้าของไข้ ไม่นานก็มีเอกสารถูกส่งมาผ่านพยาบาลที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี เธอยื่นคลิปบอร์ดเย็นเฉียบและปากกาลูกลื่นมาให้ด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครในห้องนั้นพูดอะไรออกมาแม้สักคำเดียว

 

       แดดยามเช้ายังคงส่องย้อนเข้ามาทางบานหน้าต่าง สาดแสงอาบกลีบดอกทิวลิปสีเพลิงในแจกันใส ทอดกายย้อมพื้นขาวให้กลายเป็นสีทองของความอบอุ่น และตกกระทบลงบนเสี้ยวหน้าด้านหนึ่งของคนที่นั่งอยู่บนเตียง ...ชายผู้ตัดสินใจทางเลือกชีวิตของตนเองแต่ไม่มีเรี่ยวแรงมากพอจะบังคับปากกาให้ตวัดเป็นลายลักษณ์อักษร

 

       แก้วเพียงแค่คลี่ยิ้มบางอย่างอ่อนโยน ให้กับโชคที่เซ็นชื่อรับรองในหนังสือแสดงเจตนาปฏิเสธการรักษาเพื่อยื้อชีวิตแทนเขา

 

       ...แสนรวดร้าว ปลายนิ้วของชายหนุ่มชาหนึบด้วยความเย็นเยียบที่ซึมลึกเข้ามาถึงขั้วหัวใจ

 

       ...แต่ก็เต็มใจจะทำให้ ในเมื่อมันเป็นการตัดสินใจของแก้วในฐานะเจ้าของชีวิตของตัวเอง

 

       “ผมรักแก้วนะครับ” ดวงตาคู่สวยแวววาวด้วยหยาดน้ำใส โชคพูดออกมาเมื่อพยาบาลนำเอกสารสำคัญออกจากห้องไปแล้ว ...เขาร้องไห้

 

       “มานี่สิ” แก้วเรียกพร้อมเรียวแขนที่อ้าออกรอ โชคจึงขยับเข้าไปซุกกอดเรือนร่างผ่ายผอมบอบบางอย่างทะนุถนอม ก่อนถูกรั้งให้ปีนขึ้นไปนอนอยู่บนเตียงแคบ ในอ้อมแขนของคนที่เขารักหมดหัวใจ และอีกฝ่ายเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน “ฉันก็รักเธอโชค”

 

       ไม่นานหลังจากนั้นแก้วก็ถูกย้ายมาอยู่ที่ห้องไอซียูเพื่อให้มีบุคลากรทางการแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง โชคจึงไม่สามารถนอนเฝ้าและเข้าเยี่ยมได้แค่ตามเวลาที่กำหนด

 

       แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็จะมาถึงโรงพยาบาลตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อเข้าไปจูบอรุณสวัสดิ์บนหน้าผากคนที่ตื่นบ้างหลับบ้างขณะที่เขาเข้าเยี่ยม จากนั้นก็เฝ้าวนเวียนรออยู่หน้าห้องทั้งวันเพื่อเข้าไปหาอีกครั้งในตอนเที่ยงและตอนเย็น เตร็ดเตร่อย่างไร้จุดหมายจนล่วงเลยไปหมดหัวค่ำค่อยกลับบ้านนอน ก่อนจะมาใหม่อีกครั้งในวันรุ่งขึ้น

 

 

 

       จนกระทั่งวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสไร้เมฆบดบังดวงอาทิตย์ยามเที่ยง พยาบาลประจำห้องไอซียูก็บอกกับคนที่รออยู่หน้าห้องว่าวันนี้ควรอยู่ที่นี่อย่าไปไหน รวมถึงสามารถเข้าไปนั่งที่ข้างเตียงได้ตลอดเวลา

 

       ...ชีพจรของแก้วอ่อนลงและไม่ตอบสนองต่อยากระตุ้นแล้ว

 

       ชายหนุ่มหันมาสบกับดวงตาคู่คมของคนที่มาเยี่ยมแก้วทุกวันไม่เคยขาดตั้งแต่วันแรกที่เข้าโรงพยาบาล และเป็นคนเดียวกับที่เขาจะได้พบหน้าเสมอหน้าห้องบริบาลผู้ป่วยหนักแห่งนี้ ในทุกเช้าที่มาถึงด้วยเวลาไล่เลี่ยกัน ก่อนจะกลับออกไปพร้อมๆ กันในตอนเย็น

 

       โชคพยักหน้าให้เล็กน้อย ธีร์จึงได้เป็นฝ่ายขยับก่อน

 

       ชายวัยใกล้เลขห้าที่ยังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับใบหน้าหล่อเหลาราวกับกาลเวลาไม่อาจเอาชัยชนะไปจากเขาได้ลุกขึ้นยืน สองขาก้าวเดินหายเข้าไปหลังบานประตูกระจกขุ่นที่ซึ่งหัวใจของตนถูกทิ้งเอาไว้กับคนในนั้น

 

       กลิ่นของยาฆ่าเชื้อและเสียงเครื่องจับสัญญาณชีพ เตียงเรียงรายถูกกั้นด้วยม่านขาว ความเงียบงันเกิดขึ้นท่ามกลางเสียงรบกวนเหล่านั้น

 

       ราวกับโลกใบนี้ของเขาไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากคนตรงหน้า

 

       “แก้ว...” เสียงเอ่ยเรียกชื่อนุ่มทุ้มแหบพร่า แม้จะไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย

 

       “...ธีร์” และเสียงที่แหบยิ่งกว่าก็ตอบกลับมา เบาหวิวเสียแทบกลืนหายไปกับเสียงจับชีพจรหัวใจที่แสดงผลอยู่บนหน้าจอข้างเตียง

 

       ดวงตาสองคู่จ้องสบกัน พลันคำพูดมากมายมลายหายสิ้น ทั้งที่เคยมีสิ่งที่อยากเอ่ยบอกและได้ยินอยู่ล้นใจ แต่สุดท้ายเพียงได้มองตากันคำพูดเหล่านั้นก็ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว ...พวกเขาต่างรับรู้มันมาตลอดแม้ไม่เคยพูดบอกออกมา

 

       ระยะเวลาสามสิบห้าปีที่แสนยาวนานผ่านพ้นไปในชั่วอึดใจเดียว

 

       ธีร์ลูบเสยเรือนผมยาวที่ปรกหน้าผากแก้วออกให้พ้นใบหน้า ก่อนก้มลงไปประทับริมฝีปากอย่างนุ่มนวล แนบแน่น และภาวนาให้ชั่วนาทีนี้เนิ่นนาน

 

       ดวงตาคมที่จ้องมองมาในระยะเพียงเอื้อมมือฉาบความอ่อนโยนโบกทับความเจ็บปวดเอาไว้ได้มิดชิด ส่องสะท้อนภาพของคนที่เขารักอย่างลึกซึ้ง พร้อมด้วยรอยยิ้มที่ยังคงเจิดจ้าและอบอุ่นจนความร้อนตีขึ้นกระบอกตาของผู้ได้รับ

 

       แก้วหลับตาลงแผ่วเบา ก่อนจะปรือเปิดขึ้นอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มบางของเด็กหนุ่มม.ปลายที่ทำให้ธีร์ตกอยู่ในห้วงภวังค์ดั่งต้องมนต์

 

       ...อีกครั้งและอีกครั้ง ไม่เคยจางหาย

 

       ความรู้สึกของการตกหลุมรักในวัยเยาว์ที่แผดเผาหัวใจให้ไหวหวั่น

 

       “ขอบใจ” ชายคนหนึ่งบอก

 

       “ขอบใจเหมือนกัน” และชายอีกคนตอบกลับไปพร้อมความร้อนจากรอยจูบสุดท้ายบนปลายนิ้วเรียวบางที่ยกขึ้นมาแนบอยู่ข้างแก้มตน “เดี๋ยวจะไปเรียกโชคมาให้นะ”

 

       ระหว่างแก้วและธีร์... ไม่มีคำกล่าวลา

 



.....​

ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
.....

 

       ธีร์ใช้เวลาอยู่ข้างเตียงแก้วไม่นานนักเมื่อเขารู้ดีว่าคนที่ควรอยู่ตรงนั้นไม่ใช่ตัวเอง และโชคที่รออยู่ด้านนอกเมื่อเห็นอีกคนกลับออกมาก็ลุกเดินสวนเข้าไปทันทีโดยไม่จำเป็นต้องพูดอะไร

 

       ...ในเมื่อพวกเขาต่างก็กำลังแบ่งปันความรู้สึกแบบเดียวกันอยู่

 

       ความแหลกร้าวในดวงตาคมบนใบหน้าสงบนิ่ง และนัยน์ตาคู่สวยที่ซ่อนหัวใจแหลกสลายไว้เบื้องหลัง

 

       เครื่องปรับอากาศปล่อยลมเย็นฉ่ำที่บรรยากาศทำให้มันเหน็บหนาวเกินจริงเข้าปะทะผิวกายให้วูบสะท้าน หัวใจบีบตัวรัดแน่นขึ้นมาและราวกับจะเต้นเชื่องช้าลงตามจังหวะเนิบนาบบนหน้าจอมอนิเตอร์ โชคกลืนความร้าวรานกลับลงไปแล้วส่งยิ้มให้คนบนเตียง

 

       ม่านขาวยาวเฉียดพื้นกั้นขวางคนอื่นเอาไว้เพื่อให้ความเป็นส่วนตัวในช่วงเวลาสุดท้าย แต่ก็ยังคงเผยอเปิดฝั่งปลายเตียงไว้เป็นช่องน้อยๆ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ประจำสามารถติดตามอาการผู้ป่วยได้สะดวกตลอดเวลา มือใหญ่กอบกุมมือเรียวผอมบางเอาไว้อย่างนุ่มนวลทว่าแนบแน่น ส่งความร้อนเข้าไล่ไอเย็นเฉียบบนผิวเนื้อ พลางคิดถึงคืนที่มือนี้ยื่นมาตรงหน้าท่ามกลางพายุฝนและหยดน้ำตา

 

       การพบพานครั้งแรกของพวกเขาในละอองฝน...

 

       “คิดอะไรอยู่ หืม” แก้วถามยิ้มๆ อยากจะหยัดตัวขึ้นนั่งพร้อมรั้งเด็กน้อยของตนเข้ามากอดแต่ก็ไร้เรี่ยวแรง สุดท้ายก็ทำได้แค่นอนมองเด็กตาแดงด้วยแววตาอ่อนโยน

 

       “คิดว่า... ผมรักแก้วมากเลยนะครับ” ชายหนุ่มตอบด้วยเสียงที่พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่สั่นไหวไปกับหัวใจ ถ้อยคำที่เขาพูดออกไปนั้นเป็นความจริง เขารักแก้วนั้นเป็นสิ่งที่จริงแท้ แต่ก็ไม่ใช่คำตอบที่แท้จริงของคำถาม เพราะสิ่งที่โชคคิดนั้น...

 

       “พูดมาเถอะ” อีกคนดูออก ดวงตาสีเข้มจ้องมองอย่างรอคอยและใจเย็น ราวกับพวกเขามีเวลาอีกมากมายนักทั้งที่รู้กันอยู่แก่ใจว่ามันสั้นนิดเดียว โชคเลยยอมเปิดปากพูดความในใจออกมา

 

       “ผมคิดว่าจนถึงตอนนี้ ผมก็ยังโตไม่ทันแก้วในวันที่เราเจอกันเลยนะครับ...” เสียงแหบแปร่งแตกพร่าอย่างเต็มไปด้วยอารมณ์อ่อนไหว “ทั้งที่อยากอยู่ด้วยกันไปจนแก่ ทั้งที่ยังอยากทำหลายๆ อย่างด้วยกันอยู่ ผมอยากไปทะเลกับแก้วอีก อยากไปต่างประเทศด้วยกัน อยากนอนอยู่บนโซฟาแล้วก็คุยกันไปเรื่อยๆ อยากกอดแก้วในทุกๆ คืน พอตื่นมาก็กินข้าวเช้าด้วยกัน... ผมอยากมีแก้วอยู่กับผมในวันพรุ่งนี้แล้วก็วันต่อๆ ไปอีก”

 

       สิ่งที่โชคเก็บไว้ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาในโรงพยาบาลพรั่งพรูออกมา ชายหนุ่มไม่เคยสักครั้งที่จะพูดขอเวลาจากแก้ว ไม่เคยขอว่าให้อดทนอยู่กับตนให้นานขึ้นอีกสักหน่อย ไม่เคยร้องขอในสิ่งที่จะทำให้อีกคนต้องทุกข์ใจ เมื่อใครต่อใครก็ต่างพูดว่าในวาระสุดท้ายเราก็ควรส่งอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม แต่แท้จริงแล้วมันกลับทรมานเหลือเกิน...

 

       การที่ต้องเก็บความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้เพียงในใจอย่างสิ้นหวัง

 

       น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าร่วงหล่นลงบนหลังมือข้างที่ไม่ได้เสียบสายน้ำเกลือ รินไหลผ่านแหวนทองคำบนนิ้วนางข้างซ้ายที่แก้ววอนขอต่อพยาบาลว่าไม่อยากถอดออกจนกว่าจะหมดลมหายใจ และสุดท้ายคนที่เข้มแข็งตลอดมาก็พ่ายให้กับน้ำตาของคนรัก ดวงตาสีเข้มฉ่ำวาวด้วยหยาดน้ำใส ท่วมทะลักจากปลายหางตารินหลั่งจนชุ่มหมอน

 

       แก้วร้องไห้ไปกับโชค ขยับปลายนิ้วแตะแก้มเปียกชุ่มเย็นเยียบของอีกคนอย่างอาลัย ...เพราะเขาเองก็ไม่ต่างกัน

 

       “ฉันไม่เคยคิด...ว่าฉันกลัวความตายเลยนะโชค” ริมฝีปากซีดเผือดขยับกระซิบเสียงแหบพร่าขาดห้วงเพื่อบอกเล่าถ้อยคำจากใจ “ฉันไม่ได้อยากตาย แต่ก็ไม่ได้คิดว่าอยากมีชีวิตอะไรมากมายขนาดนั้น... จนเจอกับเธอ ฉันตั้งใจอยากเลี้ยงเธอจนโต จนพอได้รักเธอ ฉันก็อยากอยู่กับเธอให้นานพอ...พอที่จะได้เห็นเธอแก่ อยากจะมีชีวิตอยู่ให้นานกว่านี้...”

 

       “น้าแก้ว...” ปลายเสียงยามเอ่ยเรียกชื่อนั้นเพี้ยนหาย ทั้งสั่นเครือไปพร้อมกับร่างกายที่สะอื้นฮัก

 

       “น่าจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันให้มากกว่านี้” เรียวนิ้วเย็นเฉียบเกลี่ยปอยผมบนหน้าผากเด็กชายในวันวานที่กลายเป็นชายหนุ่มในวันนี้ผ่านดวงตาของเขาที่เฝ้ามองมาตลอดยี่สิบปี “...เราสองคน”

 

       ยี่สิบปี... ที่อยู่ด้วยกันมา

 

       เจ็ดปีในความสัมพันธ์... ที่น้อยเกินไปสำหรับคนทั้งสอง

 

       “ผมรักแก้วนะครับ ผมรักแก้วมาก” โชคบอก ด้วยความรักทั้งหมดที่ตนมีส่องสะท้อนออกมาผ่านดวงตาคู่สวย

 

       “ฉันรู้ ฉันก็รักเธอโชค” และแก้วตอบรับ ด้วยหัวใจที่รักอีกฝ่ายมากมายจนไม่อยากตายด้วยซ้ำ ก่อนจะพูดบอกอีกอย่างเมื่อไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะหนีจากมันไม่พ้นอยู่ดี “...ขอโทษนะ”

 

       “ไม่ต้องขอโทษผมหรอกนะครับ ไม่ต้องขอโทษเลย” ชายหนุ่มไม่รับคำขอโทษนั้นเอาไว้ ไม่ว่าแก้วจะขอโทษเขาเรื่องอะไรก็ตามเขาก็ไม่อาจรับมันเอาไว้ ...ในเมื่อเขาไม่เคยโกรธแก้วเลย ไม่เคยเลยสักครั้ง แล้วก็จะไม่มีวัน

 

       “อืม งั้นก็ขอบใจ”

 

       “ผมสิต้องขอบคุณแก้ว” โชคโน้มตัวไปประทับจูบบนกลีบปากไร้สีเลือดของแก้วแผ่วเบา ไม่ได้ผละจากเร็วนักเมื่อแก้วรั้งเขาไว้ด้วยเรียวลิ้นอุ่นร้อนที่ค่อยๆ แทรกเข้ามาเกี่ยวกระหวัดอย่างเนิบช้า จูบดูดดื่มสร้างความร้อนให้กับร่างกาย ซึมลึกเข้าไปในหัวใจเป็นครั้งสุดท้าย สลักฝังความทรงจำเอาไว้ในห้วงเวลานี้ก่อนที่มันจะเย็นเฉียบเมื่อมีใครคนหนึ่งจากไป

 

       จูบแสนหวานช่างขมปร่า

 

       ร้าวรานแต่ก็เปี่ยมรักละมุน

 

       “เด็กน้อย”

 

       “ของแก้วคนเดียว ...ตลอดไปเลย”

 

       แก้วหัวเราะให้กับคำพูดที่ไม่อาจเป็นจริงแต่ก็ยังอยากจะเชื่อมั่นสุดหัวใจนั้น เขาครางรับเพียงแผ่วเบาในลำคอ รับรู้ถึงจุมพิตที่พรมไปทั่วใบหน้าอย่างรักใคร่และหวงแหนแสนทะนุถนอม ก่อนจะผละจากไปอังไอร้อนจากลมหายใจรินรดมือเขาข้างที่ถูกกุมไว้ในมือใหญ่อีกที

 

       คนสองคนพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยอย่างไร้แก่นสาร เพียงแค่คุยกันต่อไปเรื่อยๆ ราวกับมีเรื่องมากมายไม่รู้จบให้แลกเปลี่ยน ทั้งที่เพียงอยากจะได้ยินเสียงของคนรักก็เท่านั้น กระทั่งแก้วดูอ่อนล้าและหายใจลำบากบทสนทนาถึงได้ขาดช่วงไป หลงเหลือเอาไว้แค่เสียงเรียกขานและเสียงตอบรับดังแว่วเคล้าเสียงสัญญาณชีพ

 

       “น้าแก้ว”

 

       “ว่าไง”

 

       “น้าแก้ว”

 

       “หืม”

 

       “แก้ว”

 

       “หือ”

 

       “แก้ว”

 

       “อือ...” เนิ่นนานจวบจนดวงตาสีเข้มปรือเปิดมาอย่างอ่อนล้าพร้อมกับริมฝีปากที่คลี่ยิ้มบางเบาเป็นครั้งสุดท้ายให้กับชายคนรัก

 

       “น้าแก้วครับ”

 

       “...” ไม่มีเสียงขานรับตอบอีกต่อไปแล้ว

 

       โลกใบน้อยของคู่ชีวิตค่อยๆ พังทลายลงพร้อมกับตัวเลขบนจอที่ลดลงทีละนิดอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีเข้มปิดสนิท ร่างกายของแก้วเกร็งกระตุกอย่างทรมานอยู่ร่วมนาทีก่อนนิ่งไปพร้อมกับเส้นกราฟหัวใจที่เรียบตรง เสียงร้องเตือนดังขึ้น ตามด้วยพยาบาลที่แหวกม่านเข้ามาจัดการตามขั้นตอน

 

       โชคนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้เหล็กเย็นเฉียบ มันไม่มีการจากไปอย่างสงบเหมือนในหนังหรือนิยาย ไม่สวยงามเลยสักนิด ไม่มีแม้เศษเสี้ยวของบทกวีที่ยกยอ จะมีก็แต่ความร้าวรานเจ็บปวด ทุกทรมานจนแทบขาดใจ แสนเศร้าราวกับหัวใจถูกฉีกทึ้ง

 

       ความตายเป็นเช่นนั้นเอง

 

       สิบห้านาฬิกายี่สิบแปดนาที นาฬิกาชีวิตของแก้วหยุดเดินตลอดกาลในชั่วขณะนั้น

 

       ท่ามกลางกลิ่นยาฆ่าเชื้อฉุนกึกที่ลอยวนอยู่ในอากาศ ทัศนียภาพรอบด้านถูกย้อมด้วยสีขาวเสียจนดวงตาแสบร้อนพร่าเบลอไปหมด โชคถอดแหวนแต่งงานบนนิ้วนางของแก้วมาสวมไว้กับคู่ของมันที่นิ้วก้อยซ้ายของตนเอง

 

       ชายหนุ่มมองใบหน้าของคนรักเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่มันจะถูกบดบังด้วยผืนผ้าขาว

 

       ยังคงเหมือนเดิมเสมอ ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย

 

       งดงามไม่สร่างซา... แก้วในสายตาและความทรงจำของโชค

 

 

 

...TBC

 

       เจอกันอีกครั้งวันสิ้นปีค่ะ

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ narongyut

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-1
 :L1: :L2: ขอบคุณครับ ความรัก ของ น้าแก้ว กับ โชค ยังคงงดงามอยู่เสมอ จากวันแรกที่พบกันจนถึงวินาทีสุดท้าย

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
โฮรรรรรรร  :m15: :m15: :monkeysad: :monkeysad: :sad11: :sad11: ไม่ไหวแล้ว น้ำตาท่วม TT_________TT อึก น้าแก้ว โชค มัน..... พูดอะไรไม่ออก ขอร้องไห้แปป  :m15:

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
 :3123:
สวัสดีปีใหม่2564ค่ะ

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
สวยงามในความเศร้า อบอุ่นในความว่างเปล่า  :m15: :monkeysad: :sad11: ใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อน้าแก้วนะโชค

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้ ภาษาการแต่งสวยทุกตอน สนุกและชอบมาก ชอบจริงๆ จะรอตามผลงานต่อไป และขอสวัสดีปีใหม่2564นะคะ ขอให้ผู้แต่งแข็งแรง เฮงๆ แต่งนิยายดีๆให้อ่านต่อไปนะ  :กอด1: :L1: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ mentholss

  • "เหตุผล" หรือ "ข้ออ้าง"
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1278
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1

ออฟไลน์ airicha

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
อ่านแล้วน้ำตาไหล
ยิ่งตอนน้าแก้วตายยิ่งร้องไห้
ปกติเราจะไม่ค่อยชอบอ่านแนวนี้เท่าไหร่
แต่พอหลุดเข้ามาแล้วมันก็วางไม่ลง
ต้องอ่านต่อไปเรื่อยๆ อยากรู้เรื่องราวของตัวละครแต่ละคน
เราไม่ชอบธีร์เลย นิสัยไม่ดี เห็นแก่ตัว นึกจะมาก็มานึกจะไปก็ไป
ชอบในตัวธีร์อย่างเดียวคือรักและเอ็นดูโชคแค่นั้น
ยังไงก็ขอบคุณคนเขียนค่ะ ที่ทำให้เราน้ำตาไหลได้ เนื้อเรื่องสนุกมากๆ อ่านแล้วจุกแน่นไปหมดตลอดทั้งเรื่องเลย

ออฟไลน์ Namna

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
พึ่งได้เข้ามาอ่าน และอ่านรวดเดียวจนจบ บอกได้คำเดียวว่าเยี่ยมบรรยายได้ดีเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกทุกตัวละคร สุข เศร้า เหงา เสียใจ เป็นนิยายที่มาก หวังว่าจะได้อ่านนิยายเรื่องต่อๆไปของนักเขียนอีกนะคะ จะติดตามอ่านทุกเรื่องเลย

ออฟไลน์ sugarcane_aoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ทำไมถึงเศร้าอย่างนี้ สงสารทั้งแก้วและโชครวมถึงธีร์ด้วย เข้าใจว่ามีพบก็ต้องมีจาก แต่จากกันแบบนี้มันทรมานใจจริงๆ :mew4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด