[นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 51 [31.12.20] -END-
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 51 [31.12.20] -END-  (อ่าน 32414 ครั้ง)

ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 31



          อากาศช่วงปลายปียังไม่ทำให้เหน็บหนาวเท่าระยะห่างที่ถูกสร้างขึ้นมา แก้วค่อยๆ ถอยห่างจากโชคทีละนิดอย่างนุ่มนวลเสียจนกว่าเด็กหนุ่มจะรู้ตัว เขาก็ไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้อย่างเคยอีกต่อไปแล้ว

 

          “น้าแก้วโกรธผมเหรอครับ” เขาถามในวันที่เขาพยายามจะจับมืออีกฝ่าย แต่ชายหนุ่มกลับคว้าซองบุหรี่ลุกออกไปหน้าบ้านเอาเสียดื้อๆ

 

          “เปล่า” แก้วมองเปลวไฟวูบไหวเผาไหม้ปลายแท่งกระดาษ ไม่แม้แต่จะปรายตาไปมองความขมขื่นในดวงตาคู่สวย เพราะเขารู้ว่ามันคงฉายชัดมากแน่ๆ

 

          โชคไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ และไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ ในเมื่อน้าแก้วเย็นชาใส่เขาชัดเจนขนาดนี้ เขาเคยถามแก้วครั้งหนึ่ง หลังจากที่เขาบอกไปว่าไม่เคยมองอีกฝ่ายเป็นพ่อไม่กี่วัน ยังจำได้อยู่เลยว่าตอนนั้นขัดเขินจนแทบหายใจไม่ออก

 

          ‘ผมจีบแก้วได้ไหม’

 

          ในตอนนั้นเขาไม่ได้รับคำตอบ มีเพียงรอยยิ้มขบขันกับแววตาเอ็นดูจากคนถูกถาม เขาเลยคิดว่านั่นเป็นคำอนุญาต แต่บางทีชายหนุ่มอาจจะเปลี่ยนใจ หรือไม่ก็ไม่เคยยินยอมมาตั้งแต่ต้น แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เขารู้เพียงแค่ต้องถอยออกไปเท่านั้น

 



 

          เทศกาลคริสต์มาสเวียนมาอีกครั้ง และในบ้านไม้สีขาวสองชั้นก็ยังคงรื้อต้นสนปลอมออกมาจากห้องเก็บของ พวกเขายังคงตกแต่งห้องนั่งเล่นของบ้านให้ดูมีชีวิตชีวา แต่ทว่ากลับไม่มีงานเลี้ยงฉลองเหมือนอย่างเคย คืนคริสต์มาสอีฟที่ซานต้าควรจะมาส่งของขวัญ คนในบ้านต่างแยกย้ายขึ้นห้องนอนตั้งแต่ก่อนสี่ทุ่ม มีเพียงแสงไฟหลากสีกระพริบสลับกันอย่างหงอยเหงาอยู่ในความมืดจนถึงเช้า

 

          วันที่ 25 โชคตื่นก่อนฟ้าจะสว่าง ลงมาชั้นล่างเพื่อเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา จากนั้นก็ใช้เวลากับตัวเองบนโซฟาหน้าทีวี เด็กหนุ่มประสานมือซุกไว้ตรงหว่างขา ทิ้งตัวเอนไปด้านหลังคล้ายหาท่าสบายเพื่องีบหลับ ทว่าดวงตาของเขากลับเพียงหรี่ลงเล็กน้อย จับจ้องต้นคริสต์มาสที่เคยสูงท่วมหัว จนตอนนี้เขาสูงเลยมันไปแล้วอย่างเงียบงัน

 

          สายลมเย็นพัดผ่านซี่มุ้งลวดเข้ามาทางบานหน้าต่างไม้ที่ถูกเปิดทิ้งไว้ ม่านลายดอกไม้เล็กๆ ขยับไหว เหมือนร่างกายที่เริ่มสะท้านสั่น ทั้งที่ก็ใส่เสื้อแขนยาวตัวหนาแล้วแท้ๆ แต่กลับรู้สึกหนาวจับใจ

 

          คริสต์มาสปีนี้ หนาวกว่าที่เคยจดจำได้

 

          โชคนั่งกอดตัวเองอยู่อย่างนั้นจนแสงแรกจับขอบฟ้า ไม่นานแสงจากสายไฟประดับก็ถูกแสงอาทิตย์ย้อมกลบจนริบหรี่ โชคเดินไปปิดสวิตช์ ก่อนจะกลับขึ้นห้องไปเอาเสื้อผ้าลงมาอาบน้ำเตรียมไปโรงเรียน

 

 

 

          แก้วลงจากห้องมาในตอนที่โชคอาบน้ำอยู่ เข้าครัวไปชงกาแฟอย่างเคย ปลั๊กกระติกน้ำร้อนถูกเสียบไว้ พร้อมกับแก้วกระเบื้อง กระป๋องกาแฟและโหลน้ำตาลที่ปกติจะวางอยู่บนชั้น ถูกนำมาจัดเตรียมไว้ให้หยิบใช้ได้ทันทีรออยู่ก่อนแล้ว โชคทำเช่นนี้ทุกวันมาตลอดหลายปี ตั้งแต่ก่อนจะมีใครจำได้ว่ามันเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ และหลายๆ ครั้งก็เอ่ยปากอาสาชงให้เองด้วยซ้ำ

 

          “น้าแก้ว” เจ้าของชื่อหันไป เด็กหนุ่มเพิ่งออกจากห้องน้ำมายังดูชื้นฉ่ำทั้งที่สวมชุดนักเรียนเรียบร้อยแล้ว

 

          “ว่าไง”

 

          “หิวไหมครับ เดี๋ยวผมทำข้าวเช้าให้” แก้วส่ายหัว อาจจะเป็นเพราะอายุที่เพิ่มมากขึ้น เขาถึงได้กินน้อยลงกว่าเดิม ตอนเช้าแค่กาแฟก็ทำให้รู้สึกอิ่มแล้ว ต่างกับอีกคนที่กำลังโต ชายวัยสี่สิบเอ็ดปีมองเด็กกำลังโตคนนั้นพยักหน้ารับแล้วเดินจากไป พลางคิดถึงความต่างของช่วงเวลายี่สิบสองปีครึ่งระหว่างพวกเขา

 

          กว่าเขาจะคิดตก กาแฟที่คนไปมาก็ส่งไอร้อนลอยหายไปจนเกือบหมดแล้ว และเด็กนักเรียนก็บอกลาเขาโดดขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซค์เพื่อนไปโรงเรียนแล้วเช่นกัน

 

          ชายหน่มออกมานั่งจิบกาแฟอุ่นอยู่หน้าโทรทัศน์ แต่ไม่ได้เปิดฟังข่าวอย่างทุกที เขาเพียงแค่นั่งเงียบๆ ไล่สายตามองสายรุ้งสีเขียวสีแดงสะท้อนแสงวิบวับตามผนัง ก่อนจะมาหยุดที่ต้นคริสต์มาสประดับประดาสวยงามที่โชคเป็นคนตกแต่ง

 

          แก้วลุกไปเปิดสวิตช์ให้ไฟหลากสีเรื่อเรืองขึ้นมา แม้ในห้องนั่งเล่นที่หันหน้าเข้าสู่ทิศตะวันออกจะสว่างจ้าด้วยแสงตะวัน เขาก็ยังเห็นสีสันของหลอดไฟชัดเจน

 

          ...เหมือนกับในทุกๆ ปี

 



 

          ช่วงบ่ายวันสุดท้ายของปี มิกซ์โผล่มาหาเพื่อนสนิทถึงที่บ้าน เด็กหนุ่มคุยเล่นเรื่อยเปื่อยกันอยู่ในห้องนั่งเล่น ในขณะที่เจ้าของบ้านอยู่ในห้องทำงาน จนพอใกล้เวลาสี่โมงเย็น แก้วก็ออกมาเข้าห้องน้ำ พอดีกับที่ได้ยินที่คนตัวเล็กเอ่ยชวนโชค

 

          “คืนนี้พวกกูไปเคาท์ดาวน์บ้านไอ้แสนกัน มึงไปด้วยเปล่า” เป็นการชวนที่ไม่ได้คาดหวังการตอบรับ เพราะในทุกๆ ปีโชคก็มักจะเลือกอยู่บ้านกับน้าแก้วอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อเขาได้รู้ว่าเพื่อนคิดกับคุณน้าที่มีใบหน้าเฉยชาแต่กลับใจดีผิดคาดคนนั้นยังไง เขาก็ยิ่งมั่นใจว่าโชคคงไม่ไปด้วยแน่ แต่ก็ยังคงถามอย่างนี้ทุกปีเพื่อไม่ให้โชครู้สึกเหมือนเป็นคนนอกกลุ่ม

 

          “ไปกันทุกคนเลยรึเปล่า” โชคถาม

 

          “อือ ไปหมดแหละ”

 

          “งั้น...” มิกซ์กระพริบตาปริบ เป็นครั้งแรกที่เห็นโชคดูลังเล และในความลังเลนั้นก็ดูจะมีความเศร้าปนอยู่ด้วย

 

          เด็กหนุ่มตัวเล็กไม่รู้เรื่องราวหลังจากที่เพื่อนสนิทบอกชอบน้าแก้วไปว่าเป็นอย่างไร เพราะโชคไม่ได้เล่า เขาไม่ได้ถาม และก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องไปคิดจินตนาการเอาเองด้วย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รับรู้ได้จากการอยู่ที่ข้างๆ กันมาตลอด ว่ามีช่วงหนึ่งที่เพื่อนของเขาร่าเริงสดใส มีความสุขแฝงอยู่ในดวงตา และรอยยิ้มก็ฉีกกว้างจนน่าหมั่นไส้

 

          แต่นั่นก็เป็นช่วงเวลาก่อนหน้านี้

 

          มิกซ์ไม่ได้คิดต่อไปมากกว่านั้น พอดีกับที่แก้วโผล่เข้ามาช่วยให้การตัดสินใจของโชคง่ายขึ้น

 

          “จะไปบ้านเพื่อนกันเหรอ”

 

          “ก็... ไปได้ไหมครับ” โชคมองสบตา แก้วไม่รู้ว่ามันกำลังขอร้องให้เขาอนุญาตหรือรั้งเด็กหนุ่มเอาไว้กันแน่ แต่เพราะเขาเป็นผู้ใหญ่ที่เคยผ่านช่วงวัยรุ่นมา เขาเลยออกความเห็นอย่างผู้ปกครองคนหนึ่ง

 

          “ไปสิ ปีใหม่ทั้งทีไปฉลองกับเพื่อนๆ บ้างก็ดี”

 

          โชคสับสน เขาตื่นเต้นที่จะได้ไปร่วมฉลองส่งท้ายปีกับกลุ่มเพื่อนเป็นครั้งแรก แต่ก็รู้สึกเหงาอย่างบอกไม่ถูกที่จะไม่ได้อยู่ดูพลุกับน้าแก้วจากหน้าบ้านไม้สีขาวหลังนี้

 

 

 

          ห้าทุ่มห้าสิบแปด แก้วเดินออกไปยืนตากลมหนาวพร้อมกับแมวสาวที่เดินพัวพันขาเขาออกมาด้วย จากหน้าบันไดขึ้นบ้าน พ้นจากปีกหลังคาออกมาก็จะเห็นส่วนหนึ่งของท้องฟ้ากว้าง เมฆสีเทาลอยเอื่อยเหมือนกับช่วงเวลาไม่กี่นาทีก่อนเสียงพลุจะลั่น แต่แค่ไม่กี่นาทีก็เพียงพอที่จะพาเจ้าของบ้านคนปัจจุบันหวนกลับไปในความทรงจำ

 

          ตั้งแต่จำความได้ ทุกปีแก้วจะออกมายืนที่ตรงนี้ พร้อมกับพ่อและแม่ของเขา จากเด็กที่อยู่ในอ้อมแขนจนกระทั่งยืนได้ด้วยตัวเอง จากที่เคยมีสามคนก็ลดลงเหลือสองก่อนจะเหลือหนึ่ง และหนึ่งคนนั้นก็ไม่เคยคิดจะออกมายืนดูพลุไฟด้วยตัวเองอีกเลย

 

          แก้วไม่สนใจวันเทศกาล มีบ้างที่เขาถูกลากให้ไปร่วมฉลองกับครอบครัวของเพื่อนสนิท แต่ถ้าปีไหนเขาไม่ยอมไป ปีนั้นธีร์ก็จะเป็นฝ่ายโผล่มาหาหลังเที่ยงคืนที่เคาท์ดาวน์กับที่บ้านเสร็จแล้ว นั่งดูหนังรอบดึกกับเขา พูดคุยกับเขา กอดเขาเอาไว้ เพราะอย่างนั้นเขาถึงไม่เคยรู้สึกเหงา แม้ช่วงปีที่วุ่นวายตอนยี่สิบปลายๆ ทั้งเขาและธีร์มีเวลาให้กันน้อยมาก แก้วก็ไม่รู้สึกเหงาเพราะเขามีงานของบริษัทที่เพิ่งเปิดใหม่ให้ทำจนหัวหมุน และหลังจากนั้นไม่นานก็มีเด็กชายอีกคนที่เข้ามาทำให้ชีวิตเขาห่างไกลคำว่าเหงาเข้าไปอีก

 

          ปีใหม่ครั้งที่สามสิบของแก้ว เขากลับออกมายืนดูพลุไฟจากหน้าบ้านอีกครั้ง

 

          หลังจากนั้นจำนวนคนในแต่ละปีก็ไม่เคยเป็นหนึ่งอีกเลย

 

          “ปีนี้ก็มีเธออยู่” แก้วพึมพำ พร้อมกับเสียงนับถอยหลังจากข้างบ้านสิ้นสุดลง

 

          เหมี๊ยว... มะลิร้องตอบ แผ่วเบาแต่ชัดเจนแม้เสียงพลุจะดังกลบ

 

          ดอกไม้ผลิบานบนผืนผ้าใบสีเข้ม สว่างวาบก่อนลาลับ แก้วนั่งลงบนขั้นบันได ลูบปลอบมะลิอย่างอ่อนโยน ถึงจะรู้ว่าแมวสาวจะไม่ได้ตื่นตกใจกับเสียงดังก็ตาม แสงระยิบระยับส่องสะท้อนในดวงตาต่างสีของหนึ่งคนหนึ่งแมว จนกระทั่งมอดดับเหลือเพียงเวิ้งฟ้าว่างเปล่า แก้วดึงสายตากลับลงมามองที่ว่างข้างๆ พลันรู้สึกขึ้นมา

 

          ปีใหม่มันชวนให้หนาวแล้วก็เหงาเท่านี้เลยสินะ...

 

          “น้าแก้ว” เพิ่งรนไฟที่ปลายมวนบุหรี่ โชคก็พุ่งมาเกาะประตูรั้ว และเมื่อหันมาสบตากับเขาก็ส่งยิ้มกว้างมาให้ ตามมาด้วยเสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กหนุ่มอีกหลายคนที่ทยอยกันเดินมาโผล่หน้าข้ามรั้วยกมือไหว้เจ้าของบ้าน แก้วเลยได้รู้ว่าเสียงมอเตอร์ไซค์ที่เขาคิดว่าคงเป็นของแก๊งเด็กจากคุ้มริมคลองแท้จริงแล้วคือเจ้าพวกนี้นี่เอง

 

          ชายหนุ่มถูกดวงตาเจ็ดคู่จับจ้องมองมา เขาจึงขยี้บุหรี่ที่ยังไม่ทันได้สูบกับพื้นกรวดก่อนลุกเดินหายเข้าบ้านไป เพียงชั่วอึดใจก็กลับออกมาพร้อมลูกกุญแจ

 

          “มานี่ได้บอกพ่อแม่กันรึยัง” แก้วว่า ขณะที่ไขกุญแจโซ่คล้องรั้วออก

 

          “บอกแล้วคร้าบ!” หลายเสียงประสานกันจนแยกไม่ออกว่าใครพูดบ้าง ทั้งตัวเขาเองก็ไม่ค่อยคุ้นหน้าเพื่อนของโชคคนไหนเลยนอกจากมิกซ์

 

          ถึงอย่างนั้นแก้วก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจอะไรที่จะต้อนรับแขกของเด็กหนุ่ม แต่ที่บ้านไม่มีน้ำอัดลมหรือขนมขบเคี้ยวติดไว้มากขนาดที่จะเพียงพอต่อเด็กม.ปลายเจ็ดคน เขาเลยต้องโทรสั่งพิซซ่ายี่สิบสี่ชั่วโมงสาขาใกล้ๆ ให้เข้ามาส่งให้แทน จากนั้นก็ใช้เวลาจนค่อนคืนที่เฉลียงหน้าบ้าน จนเกือบตีสามเด็กๆ ถึงได้ขอตัวบิดมอเตอร์ไซค์ฝ่าลมหนาวกลับไปเล่นเกมกันต่อที่บ้านของแสน

 

          แก้วยอมให้กลับกันเองโดยไม่ได้ว่าอะไร เขาก็เคยมีช่วงวัยแบบนี้มาก่อน ถึงได้เข้าใจและรู้ว่าพวกเด็กๆ นั้นแข็งแกร่งและดูแลตัวเองกันได้มากกว่าที่พ่อแม่คิดเสมอ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ห่วง ชายหนุ่มนั่งลงบนบันไดขั้นบนสุดข้างๆ กับเด็กหนุ่มของเขา รอให้มิกซ์ส่งข้อความมาบอกว่าถึงที่หมายโดยปลอดภัยแล้วจึงจะขึ้นบ้านนอนได้อย่างสบายใจ

 

          ช่างเป็นปีใหม่ที่คึกคักเหลือเกินสำหรับบ้านหลังนี้

 

          ตั้งแต่ที่มีโชคเข้ามามันก็ไม่เคยเหงาอีกเลยจริงๆ

 

          ในช่วงเวลาที่รอคอยแสนเนิ่นนานเมื่อลมหนาวพัดเสียดผิว โชคห่อไหล่เป่าลมหายใจอุ่นร้อนใส่มือ ในขณะที่แก้วคาบบุหรี่ไว้แต่ไม่ได้จุดสูบ ดวงตาสีเข้มจ้องมองไปด้านหน้า มองชิงช้าใต้ต้นมะม่วงโยกไหวน้อยๆ ตามแรงลม

 

          “ทำไมถึงได้พากันมาที่นี่ล่ะ” แก้วถามขึ้น

 

          “ก็...ผมไม่อยากให้น้าแก้วต้องอยู่คนเดียวเลยว่าจะยืมรถมิกซ์กลับมา แต่เพื่อนบอกว่าขี่รถคนเดียวมันอันตรายก็เลยพากันมาส่ง” โชคเล่าพร้อมรอยยิ้ม ดวงตาคู่สวยหรี่ลงเล็กน้อยพลางจ้องมองไปยังปลายทางเดียวกับคู่สนทนา “แล้วทุกคนก็อยากเจอน้าแก้วด้วย”

 

          “อยากเจอฉันเหรอ”

 

          “ครับ” โชคหันกลับมา ลอบมองใบหน้าด้านข้างของคนข้างตัว ในหัวสับสนกับความรู้สึกที่อยากจะอวดน้าแก้วที่แสนใจดีของเขากับทุกคน แต่อีกใจก็ไม่อยากให้ใครได้เห็นเลยนอกจากตัวเอง

 

          “อืม” แก้วครางรับแผ่วเบาไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก แต่แววตากลับวูบไหว “เด็กพวกนั้นเป็นเพื่อนที่ดีนะ”

 

          โชคเกิดสงสัย ว่าในความอ่อนโยนที่ฉายออกมา ลึกเข้าไปทำไมมันถึงได้โศกเศร้านัก

 

          “น้าแก้ว”

 

          “ว่าไง”

 

          “ผมทำอะไรผิดเหรอครับ”

 

          คำถามนั้นดึงเอาม่านความเงียบงันลงมาปกคลุม โชคไม่ได้เร่งเร้าเอาคำตอบ เด็กหนุ่มชันขาขึ้นมากอดเข่าไว้ รู้สึกถึงช่องว่างในอกที่มันยิ่งเหน็บหนาวเข้าไปอีก

 

          “เปล่าหรอก เธอไม่ได้ทำอะไร..” ในที่สุดแก้วก็ตอบออกมาเพียงแผ่วเบา หลับตาลงเอนพิงเสาเฉลียง สูบควันจากบุหรี่ที่ติดไฟในจินตนาการ หวังให้มันช่วยกวาดเอาตะกอนความรู้สึกที่ตกค้างออกไปกับลมหายใจที่พ่นออกมา

 

          “แล้วทำไม...” น้าแก้วถึงได้ถอยห่างผมไปอีกแล้วล่ะ คำที่อยากถามติดอยู่ในปาก เพราะโชคไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขาเคยได้เข้าไปใกล้อีกฝ่ายจริงๆ บ้างแล้วหรือยัง เข้าใกล้...ที่ไม่ใช่แค่สัมผัสทางร่างกาย

 

          แต่แม้จะไม่ได้ถามจนจบประโยค แก้วก็เข้าใจที่อีกฝ่ายอยากถาม และมันคงถึงเวลาที่ต้องพูดบอกเหตุผลกับเด็กหนุ่มแล้ว ดีกว่าปล่อยให้ค้างคากันอยู่อย่างนี้ ปล่อยให้โชคต้องสับสนอยู่กับความโลเลและเห็นแก่ตัวของเขาเช่นนี้

 

          “เพราะว่าเธอยังเด็ก” ดวงตาสีเข้มปรือเปิด มองตรงไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย “เพราะเธอยังเด็กโชค ...เธอควรได้มีความรักกับคนรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ คนที่จะพูดคุยกับเธอได้ทุกเรื่อง คิดแล้วก็มองอะไรคล้ายๆ กัน คนที่จะอยู่กับเธอได้จนเธอแก่...คนที่รักเธอได้มากเท่าที่เธอรักเขา”

 

          “...ผมรักแก้ว” เสียงยามเอ่ยบอกความรู้สึกที่ลึกซึ้งกว่าที่เคยใช้มาตลอดเบาหวิว ทว่ามั่นคงและเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก

 

          “แต่ฉันไม่” คำตอบกลับเองก็เช่นกัน ชัดเจนแม้แผ่วเบา ดวงตาสีเข้มหันมามองเด็กหนุ่มในที่สุด รอยยิ้มอ้างว้างถูกจุดขึ้นมาที่มุมปาก “ฉันไม่คิดว่าฉันจะรักเธอได้อย่างที่เธอรักฉัน โชค ...ฉันมีคนที่ฉันไม่คิดว่าจะเลิกรักได้อยู่”

 

          “อาธีร์สินะครับ”

 

          “อืม”

 

          “ผมรู้อยู่แล้ว”

 

          “อืม”

 

          “แต่ผมก็ไม่คิดว่าผมจะเลิกรักน้าแก้วได้อยู่ดี”

 

          “ฉันถึงได้บอกไงว่าเธอยังเด็ก” แก้วยื่นมือมาลูบหัวเด็กหนุ่มของเขา “ชีวิตเธอจะเจอคนอีกมาก ถึงตอนนั้นก็ลองเปิดใจให้พวกเขาหน่อย แล้วเธอจะได้เจอคนที่เหมาะสมกับเธอเอง”

 

          โชคไม่ได้พูดอะไร ไม่ตอบรับคำแนะนำ ไม่ได้ปฏิเสธ เขาแค่ซุกหน้าลงบนเข่า ซ่อนเงาของความปวดร้าวเอาไว้หลังท่อนแขนที่โอบกอดตัวเอง เขาไม่พูด เพราะหากพูดไปตอนนี้ มันก็คงเป็นเสียงสั่นเครือที่ฟังไม่รู้เรื่องอยู่ดี

 

          หยดน้ำตาเค็มปร่า แต่กลับขื่นขมจนใจเจ็บ

 

          รสชาติของการอกหัก... มันเป็นเช่นนี้เอง

 



 

          เข้าสู่เดือนที่สองของปี ฤดูหนาวยังคงทิ้งกลิ่นอายเจือจางในอากาศยามเช้าตรู่ แต่พอสายไอแดดละลายความชื้นหมดสิ้นก็จะร้อนขึ้นจนเกือบหลงลืมไปแล้วว่ายังคงอยู่ในเดือนกุมภาพันธ์

 

          โชคยังทำทุกอย่างเหมือนเช่นเคย แก้วกาแฟกับกระติกน้ำร้อนที่เสียบปลั๊กเอาไว้ในตอนเช้า มื้อกลางวันในตู้กับข้าวของวันหยุด อาหารเย็นที่จัดเตรียมไว้อย่างเรียนร้อยก่อนเวลาในทุกๆ วัน อีกทั้งงานบ้านปัดกวาดเช็ดถูกรวมไปถึงซักผ้า โชคยังคงทำทุกอย่าง ยังคงดูแลน้าแก้วเหมือนเดิม แต่ก็เว้นระยะห่างเอาไว้ ไม่แตะต้องตัวแก้ว ไม่มีการพูดถึงเรื่องที่คุยกันเมื่อวันปีใหม่ ไม่มีสัญญาณของความไม่เข้าใจและคำถามใดๆ

 

          ...ครั้งนี้โชคคงจะตัดใจแล้วจริงๆ แก้วคิดอย่างนั้น

 

          จนกระทั่งวันที่ 14 วันเลนไทน์แห่งความรักกลับมาอีกครั้ง และตรงหน้าเขาก็คือเด็กหนุ่มคนเดิมที่มาส่งของขวัญ

 

          โชควางดอกกุหลาบสีแดง จากต้นกุหลาบต้นเดิมในสวนข้างบ้านลงบนโต๊ะไม้ตัวเตี้ย ข้างที่เขี่ยบุหรี่สีใสที่เพิ่งมีกองเถ้าถ่านเล็กๆ จากปลายมวนกระดาษเคาะทิ้งลงมา

 

          “ผมรักแก้ว” โชคดูขัดเขิน แต่ไม่มีความสั่นไหวในน้ำเสียง มีเพียงความอ่อนโยนและมั่นคงของคนที่ตัดสินใจมาแน่วแน่ “แก้วบอกผมว่าผมยังเด็ก เลยให้ลองเปิดใจให้คนที่จะเข้ามาในวันข้างหน้า... แต่แก้วเองก็ยังไม่แก่ขนาดนั้นนี่ครับ”

 

          แก้วคีบบุหรี่ค้างอยู่เหนือขอบถาดแก้วใส เป็นเพราะเด็กหนุ่มนั่งลงบนพื้น ตรงตำแหน่งเดียวกันกับในเช้าวันที่บอกกับเขาว่าโตพอจะกอดเขาได้แล้ว แต่สีหน้ากลับแตกต่างไปจากวันนั้นโดยสิ้นเชิง

 

          “น้าแก้ว” โชคคลี่ยิ้มสดใส สว่างจ้าเสียจนแก้วรู้สึกว่าดวงตาพร่าเบลอ “ลองเปิดใจให้ผมหน่อยได้ไหมครับ”

 

          แก้วครุ่นคิด คีบมวนบุหรี่จรดริมฝีปาก โชคที่ถูกเขาปฏิเสธไปอย่างชัดเจนต้องใช้ความกล้ามากแค่ไหนในการมาขอโอกาสเช่นนี้ ในดวงตาที่จ้องมองตรงมาช่างจริงใจแสนซื่อตรง ไร้แววของความขลาดกลัวที่จะถูกปฏิเสธ ชายหนุ่มรู้ว่าหากเขาพูดว่าไม่ โชคจะไม่พยายามต่อรองและยอมเข้าใจแต่โดยดี

 

          แต่ว่า...

 

          เพราะโชคไม่กลัวที่จะถูกปฏิเสธ ไม่กลัวแม้ถ้าสักวันความพยายามครั้งนี้จะไม่ได้พาไปสู่ตอนจบที่สุขสันต์ ไม่กลัวว่าจะต้องเจ็บปวดกันอีกครั้ง

 

          ...เช่นนั้นแล้วเขาเองก็ไม่ควรจะกลัวที่จะลองเปิดใจ

 

          สักวันพวกเขาอาจแตกหัก หัวใจแหลกสลาย และอาจจะไม่มีทางกลับมาเป็นเช่นเดิมได้อีก

 

          ถึงอย่างนั้นแก้วก็ยังหัวเราะแผ่วเบา พ่นควันขาวให้ลอยเชื่องช้า จ้องมองสบตากับเด็กหนุ่ม

 

          เขาคงเป็นคนเห็นแก่ตัวที่หวาดกลัวความเหงาเข้าเสียแล้ว

 

          “อืม ก็ลองดู”

 

 

 

TBC...

          ไม่รู้ว่ามันดูเร็วเกินไปรึเปล่า แต่ความรู้สึกของคนเราก็อย่างนี้ โลเลและสับสน อีกทั้งนิยายเรื่องนี้จะมีแต่รสขมไม่ได้!!! ต่อจากนี้ไปทุกคนจะได้พบกับความหวาน(ที่ไม่เลี่ยน)กันแล้วล่ะค่ะ เดินทางฝ่าความขื่นขมมากว่าครึ่งเพื่อช่วงเวลานี้  :hao5:

          เอาใจช่วยเจ้าหมาให้เข้าไปในใจแก้วได้เสียทีกันด้วยนะคะ

 

          ปล.เนื่องจากต้นฉบับน้องโชคได้เดินทางไปถึงตอนสุดท้ายที่สุดท้ายจริงๆ(แม้จะยังปิดไม่ลงก็ตาม)แล้ว รีนก็เลยตัดสินใจว่าจะเพิ่มวันลงเป็น 2 วัน/สัปดาห์ค่ะ และวันที่เลือกมาก็คือพฤหัสบดีที่แสนคุ้นเคย กับวันจันทร์ต้นสัปดาห์ที่อย่างน้อยก็อาจจะทำให้วันที่แสนเหนื่อยล้าน่ารอคอยให้มาถึงได้สักนิดหนึ่ง เย้!

          ปล.2 ในวันที่ 18 ตุลาเป็นวันเกิดน้าแก้ว น่าเสียดายที่ไม่ตรงกับทั้งวันพฤหัสและวันจันทร์เลย ยังไงก็ตาม ไปอวยพรวันเกิดน้าแก้วกันได้ที่ #น้าแก้วของโชค ทางทวิตเตอร์นะคะ

 

ขอบคุณทุกกำลังใจ คอมเมนต์ และการอ่านจากใจจริง

ขอบคุณค่ะ

 

See You on Monday ค่า!!!!

 



ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
 :katai2-1: :katai2-1: หวานๆขมๆปนกันไปยาวๆ กับเส้นทางรักนี้ อิอิ เห้อ ยาก ต่างคนก็เลิกรักต่ออีกคนของตัวเองยาก จะเป็นยังไงต่อ ขอบคุณนะคะที่ยังมาต่อ  :pig4: :pig4: :pig4: เป็นกำลังใจให้นะคะ  :L1: :L1:

ออฟไลน์ panpang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 508
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 32

 

       พฤษภาคมเปิดปีการศึกษาใหม่ ชีวิตมัธยมของเด็กหนุ่มก้าวเข้าสู่ช่วงปีสุดท้าย โชคส่งยิ้มให้คนหลังเลนส์กล้องได้ลั่นชัตเตอร์เก็บภาพหนุ่มม.ปลายเอาไว้ ก่อนจะยื่นมือไปขอเปลี่ยนเป็นฝ่ายที่ได้เก็บอีกฝ่ายเอาไว้ในม้วนฟิล์มบ้าง

 

       กล้องตัวเก่าอายุสิบกว่าปีที่ช่วยบันทึกเรื่องราวหลายร้อยหลายพันใบของพวกเขาเอาไว้ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา มันยังใช้งานได้อยู่ แต่ทั้งสองคนก็รู้ว่าคงอีกไม่นานแล้ว

 

       “ฉันว่าจะซื้อใหม่สักตัว” แก้วว่าหลังจากที่โชคลดกล้องลง แล้วเอ่ยถามความเห็น “เอาเป็นกล้องดิจิตอลดีไหม”

 

       “กล้องดิจิตอลก็น่าจะสะดวกดีนะครับ” เด็กหนุ่มพูด ดวงตาจับจ้องเครื่องบันทึกภาพที่เคยใหญ่จนเขากลัวจะทำมันตกในตอนเด็กๆ มาตอนนี้กลับพอดีจนอาจจะเล็กไปด้วยซ้ำนั้นเต็มไปด้วยความผูกพัน “แต่ผมก็ยังชอบกล้องฟิล์มมากกว่าอยู่ดี”

 

       “ทำไมล่ะ”

 

       “เพราะว่ามันลบไม่ได้ไงครับ ...จะรูปดีหรือรูปเสียก็ลบไม่ได้”

 

       “เพราะแบบนั้นมันถึงได้เปลืองฟิล์มไง”

 

       “ไม่เปลืองหรอกครับ” โชคเงยหน้าขึ้นมาสบตา รอยยิ้มหวานเหมือนกับดวงตา “ต่อให้รูปมันออกมาเป็นยังไง ผมก็อยากเก็บรูปน้าแก้วไว้ทั้งหมดอยู่ดี”

 

       “ถึงมันจะเบลอจนแทบไม่เห็นหน้าน่ะเหรอ” ชายหนุ่มหัวเราะแผ่ว พูดถึงรูปจากทริปเที่ยวญี่ปุ่นที่ล้างออกมา แล้วหนึ่งในภาพมากมายเหล่านั้น มีรูปหนึ่งที่ใบหน้าของเขาพร่าเบลอจากความสั่นไหวในจังหวะที่กดปุ่มบันทึกภาพ

 

       “ครับ” ...รูปที่ถ่ายบนถนนโบราณย่านฮิกาชิยาม่า ในวันที่ท้องฟ้าโปร่งใสจนเหมือนกับความฝัน “แต่ถึงมันจะเบลอแค่ไหน ทุกครั้งที่หยิบมาดูผมก็จะยังจำความรู้สึกตอนที่ถ่ายได้อยู่ดีนี่ครับ”

 

       ทั้งที่เป็นเพียงบทสนทนาเรื่อยเปื่อย ไม่มีความหมายแอบแฝง ไม่มีการแตะต้องสัมผัสใดๆ แต่แก้วกลับรู้สึกเหมือนกำลังโดนเด็กจีบผ่านน้ำเสียงและแววตา

 

       ...ในใจมันดันรู้สึกยุบยิบขึ้นมาอีกแล้ว

 

       “ไปโรงเรียนได้แล้ว” แก้วรับกล้องกลับคืนมา พูดบอกเมื่อเห็นสารถีส่วนตัวของคนตรงหน้ามาเทียบรถรออยู่หน้าประตูรั้ว

 

       “ไปก่อนนะครับ”

 

       “ขี่รถกันดีๆ”

 



 

       โชคอายุครบสิบเก้าปีก่อนเข้าช่วงฝนทิ้ง วันเกิดเรียบง่ายอีกปีมีมื้อเย็นเป็นอาหารที่เด็กหนุ่มทำเองกับเค้กจากร้านประจำ และของขวัญวันเกิดจากคนสำคัญ

 

       “สุขสันต์วันเกิด”

 

       แก้วให้แล็ปท็อปเครื่องใหม่เป็นของขวัญ เพราะเครื่องเก่าของเขาที่เด็กหนุ่มเอาไว้ใช้ยกไปทำงานข้างนอกนั้นน้ำหนักเอาเรื่อง อีกทั้งยังตกรุ่นไปแล้ว และแม้จะมีเครื่องคอมพิวเตอร์ในห้องทำงานที่เป็นรุ่นใหม่ยี่ห้อเดียวกับสมาร์ตโฟนยอดฮิตแล้วก็ตาม เขาก็ยังคิดว่าโชคจำเป็นต้องมีไว้อยู่ดี

 

       “ขอบคุณครับ” โชครับไปด้วยรอยยิ้มกว้าง

 

       หลังจากนั้นพวกเขาก็นั่งกินเค้กกันอยู่ที่โซฟาหน้าทีวี พอเสร็จโชคก็เก็บจานไปล้าง ก่อนจะกลับมานั่งดูหนังกันจนถึงเวลาอาบน้ำขึ้นบ้านนอน

 

       งานวันเกิดของโชคจบลงเท่านั้น

 

       ...ไม่มีจูบวาบหวามชวนให้ใจเต้นรัว

 



 

       ต้นกรกฎาไร้ฝน อากาศอบอ้าว เครื่องปรับอากาศในห้องโชคทำงานได้ดีสมกับที่เป็นเครื่องใหม่ หลังจากที่พังบ่อยๆ ในช่วงปีก่อน แก้วก็ตัดสินใจซื้อตัวใหม่มาเปลี่ยนดีกว่าต้องเรียกช่างทุกเดือน แต่มาคืนนี้กลับเป็นตัวในห้องเขาเองที่ไม่ยอมทำงาน ไม่ใช่เพียงไม่เย็น แต่ไม่มีอะไรออกมาเลยต่างหากนอกจากเสียงเครื่องครางต่ำแล้วดับไป

 

       เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จนปัญญาจะหาทางแก้ด้วยตัวเอง นายสถาปนิกทำได้แค่สับเบรกเกอร์ลง แล้วไปเอาพัดลมจากในห้องเก็บของมาเสียบปลั๊กเปิดหวังช่วยบรรเทาความร้อน แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์สักเท่าไหร่

 

       แก้วตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะกระหายน้ำ ทั้งยังเหนียวตัวไปหมดจากเหงื่อที่ชุ่มหลัง ชายหนุ่มลงไปหาน้ำในครัวดื่มดับกระหาย ก่อนจะเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำให้สบายตัวอีกรอบ กลับออกมาอีกทีก็เจอกับเด็กหนุ่มที่ลงมาเข้าห้องน้ำพอดี

 

       “น้าแก้วอาบน้ำเหรอครับ” โชคมองปลายผมที่เปียกชุ่ม สัมผัสได้ถึงไอความฉ่ำชื้นจากตัวอีกฝ่าย “ทำไมอาบอีกรอบล่ะ”

 

       “แอร์ห้องฉันมันเสียน่ะ เหงื่อออกเลยอาบน้ำใหม่” แก้วอธิบาย ยกผ้าเช็ดปลายผมให้แห้งหมาด พลางเบี่ยงตัวหลีกทางให้อีกคนได้เข้าไปใช้ห้องน้ำ

 

       โชคพยักหน้าหงึกหงักรับรู้แล้วเดินเข้าไปทำธุระของตัวเอง ก่อนกลับออกมาอีกทีด้วยสีหน้าที่ดูจะตื่นดีแล้ว

 

       “น้าแก้วไปนอนห้องผมสิครับ” เด็กหนุ่มเสนอ

 

       “หืม” คนบนโซฟาหันมา คาบมวนบุหรี่ไว้อย่างไม่คิดจะจุดสูบ ลูบไฟแช็กสีทองไปมาในฝ่ามือ สัมผัสเย็นเฉียบจากเนื้อทองคำ 18K ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นในคืนอบอ้าวเช่นนี้ “งั้นเดี๋ยวฉันตามขึ้นไป เธอนอนไปก่อนเลย”

 

       “ครับ” โชครับคำเพียงแค่นั้น ไม่เอ่ยถามถึงแววความเปลี่ยวเหงาในดวงตาสีเข้มที่เขามองเห็นได้อย่างชัดเจน...

 

 

 

       แก้วกลับขึ้นชั้นสองหลังจากเด็กหนุ่มครึ่งชั่วโมง เขาไม่ได้ทำอะไรในห้องนั่งเล่นมากไปกว่านั่งตากพัดลมและไล้จับไฟแช็กราคาแพงเล่นจนมันอุ่นร้อน แก้วตรงไปที่ห้องนอนเล็กทันที ไม่จำเป็นต้องหยิบหมอนจากห้องตัวเองไปด้วยเมื่อในห้องของโชคก็มีเพียงพออยู่แล้ว

 

 

       “โชค” แก้วเอ่ยเรียกแผ่วเบา ทว่าคนที่นอนอยู่บนผืนผ้านวมบนพื้นหลับไปแล้ว

 

       โชคไปรื้อเอาผ้านวมผืนใหญ่ที่ซักไว้เปลี่ยนเวียนใช้จากตู้เก็บผ้าในห้องเก็บของมาพับทบกันเพื่อปูรองนอน คนโตกว่าได้แต่ก้มลงไปดึงผ้าห่มผืนบางขึ้นคลุมอกให้อีกฝ่ายก่อนจะก้าวยาวๆ อ้อมไปขึ้นที่นอนจากทางปลายเตียง

 

       แก้วขยับพลิกตัวหาองศานอนสบาย เหลือบไปเห็นดวงดาวสีซีดบนเพดานแล้วนึกถึงวันที่เขาปีนบันไดขึ้นไปแปะติดมันให้เด็กชายที่แหงนคอมองอย่างตื่นเต้น

 

       ...นานเหลือเกิน หรืออาจจะเพราะเวลาเดินไวกว่าที่เขาเคยคิดเอาไว้

 

       แก้วพลิกตัวตะแคงฝั่งที่นอนถนัด กอดหมอนข้างแล้วหลับตา ลมเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศเป่าปะทะทำให้รู้สึกสะท้านจนต้องดึงผืนผ้านวมขึ้นคลุมไหล่ กลิ่นของน้ำยาปรับผ้านุ่มอ่อนจางเหมือนกับที่ใช้กับผ้าปูในห้องของเขา เหมือนกับเสื้อผ้าทุกตัวในช่วงนี้ แต่กลับมีกลิ่นที่แตกต่างแทรกปนอยู่... แตกต่างทว่าคุ้นเคย มันคงเป็นกลิ่นของเจ้าของห้องที่นอนอยู่หน้าเตียง

 

       ดวงตาสีเข้มลืมเปิดขึ้นอีกครั้ง ทั้งที่ห้องนี้เคยเป็นของเขามาก่อนแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกไม่คุ้นชิน แม้จะอยู่บนเตียงตัวเดิมที่เขาใช้นอนตั้งแต่ยังเล็กจนจบชั้นมัธยม ก่อนจะย้ายไปนอนห้องนอนใหญ่ที่ว่างลงเพราะเจ้าของเก่าทั้งสองคนต่างจากไปแล้ว

 

       เวลายี่สิบกว่าปีเนิ่นนานพอจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง ห้องทั้งห้อง เตียงทั้งเตียง ทุกสิ่งรอบตัวเขาตอนนี้ล้วนถูกย้อมไปด้วยกลิ่นของโชค เหมือนกับบ้านทั้งหลังและตัวเขาเอง ที่เมื่อมีอีกคนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งแล้วก็ไม่อาจโยนทิ้ง ไม่อาจลบเลือน ไม่อาจจางหาย จะคงอยู่ไปจนชั่วชีวิต

 

       ความสัมพันธ์ของมนุษย์เกิดขึ้นมาอย่างง่ายดาย แต่ใช้เวลายาวนานในการถักทอให้แนบแน่น เมื่อรู้สึกตัวอีกทีก็กลายเป็นความผูกพัน... และความผูกพันก็จะก่อให้เกิดความรู้สึกลึกซึ้งอีกหลากหลายรูปแบบ

 

       แก้วซุกหน้าครึ่งหนึ่งไว้ใต้ผ้าห่ม ป้องกันความเย็นที่จะทำให้สองแก้มเขาเหน็บหนาว จมอยู่ในกองผ้าที่มีกลิ่นของโชคติดอยู่เต็มไปหมดก่อนจะดำดิ่งสู่ห้วงนิทรา

 

       ...ที่ราวกับว่าเขาถูกอีกฝ่ายโอบกอดเอาไว้อย่างนุ่มนวลตลอดทั้งคืน

 



 

       ฝนหวนกลับมาอีกครั้งตอนกลางเดือนเจ็ด เสียงฟ้าร้องคำรามกับแสงสว่างวาบในมวลเมฆหม่น ย้อมบรรยากาศให้ดูดึกดื่นทั้งที่ยังไม่ทันถึงหนึ่งทุ่มด้วยซ้ำ

 

       แก้วกับโชคกินมื้อเย็นกันอยู่ในครัว วันนี้โชคไม่ได้เข้าครัวเอง แต่แวะซื้อจากร้านขายข้าวแกงหน้าปากซอยตลาดเพราะเด็กหนุ่มมีเรียนพิเศษตอนเลิกเรียนถึงหกโมงครึ่งเพื่อเตรียมพร้อมที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัย อาจจะดูเหมือนเริ่มเตรียมตัวช้าไป เพราะส่วนใหญ่เด็กคนอื่นๆ มักจะเตรียมกันตั้งแต่ช่วงเทอมสองของชั้นมัธยมปีที่ห้า หรือใครฟิตกว่านั้นและอยากเข้าคณะที่คะแนนสูงก็เริ่มกันมาตั้งแต่ขึ้นม.ปลายหรืออาจจะตั้งแต่ม.ต้นเลยด้วยซ้ำ

 

       แต่ไม่ใช่กับโชค ส่วนหนึ่งเพราะเด็กหนุ่มยังไม่ได้คิดจริงจังว่าอยากจะทำอะไร และอีกส่วนเพราะน้าแก้วของเขาไม่คิดจะกดดันเรื่องการเรียนอยู่แล้ว

 

       แก้วคิดว่าระบบการศึกษาของที่นี่มันล้มเหลวสิ้นดี และตัวเขาเองก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของมันมาก่อน เขารู้ดีว่ามันไม่เอื้อให้เด็กๆ มีความฝันเลยสักนิด สำหรับชายหนุ่มแล้วหากโชคจะไม่ต่อมหาวิทยาลัย แต่ไปสายอาชีพ อย่างเรียนทำอาหารหรือทำขนม หรืออะไรก็ตามแต่ เขาก็ไม่ติดอะไร ยินดีสนับสนุนเต็มที่ด้วยซ้ำเพราะเขามีเงินมากพอ

 

       อาจจะฟังดูเหลื่อมล้ำ แต่ราคาความฝันของคนในประเทศนี้สูงลิบลิ่ว

 

       หากอยากจะไล่ตามมันก็จำเป็นต้องใช้เงิน... ใช้มากเสียด้วย

 

       “น้าแก้ว” โชคเริ่มชวนคุย เหมือนบทสนทนาระหว่างมื้ออาหารเกือบทุกครั้งที่ผ่านมา

 

       “ว่าไง”

 

       “น้าแก้วว่าผมเรียนอะไรต่อดี” พูดพลางตักหมูทอดมากินกับข้าวสวยร้อนๆ ท่าทีสบายๆ แต่ในดวงตากลับฉายแววลังเล สับสน และหลงทาง “เพื่อนผมจะไปต่อมหา’ลัยกันหมดเลย ผมก็อยากไปนะ แต่ผมไม่รู้ว่าจะเข้าคณะอะไรดี”

 

       “แล้วเธออยากต่อสายวิชาที่มีในมหา’ลัยไหมล่ะ หรืออยากไปต่ออย่างอื่น อย่างทำอาหาร ทำขนมอะไรพวกนั้น”

 

       เด็กหนุ่มครุ่นคิด แต่ก็มีเพียงความว่างเปล่าในหัว “ผมไม่รู้เลยน้าแก้ว ผมไม่รู้ด้วยว่าอยากจะเป็นอะไรหลังเรียนจบ”

 

       “อืม ...งั้นก็ยังไม่ต้องคิดถึงเรื่องนั้นก็ได้นะ” แก้วว่า ระบายยิ้มอ่อนโยนขณะพูดต่อ “ถ้ายังคิดไม่ออกก็ยังไม่ต้องคิดก็ได้ เอาแค่ว่าอยากจะเรียนอะไร สนใจอะไรตอนนี้ มหา’ลัยมันเป็นแค่ส่วนหนึ่งในการค้นหาตัวเอง บางคนก็เรียนเพราะรู้อยู่แล้วว่าอยากเป็นอะไร แต่บางคนก็เรียนไปเพราะยังไม่รู้ ไม่ต้องกัดดันตัวเองหรอกนะโชค เธอยังมีเวลา แล้วฉันก็มีเงินพอส่งเธอ เพราะงั้นแค่คิดว่าตัวเองอยากจะทำอะไรตอนนี้ก็พอ”

 

       ในวันนั้นโชคก็ยังไม่ได้คำตอบให้กับอนาคตของตัวเอง แต่เขากลับรู้สึกสบายใจขึ้นมาที่จะค่อยๆ คิดถึงมันอย่างไม่รีบร้อน

 

 

 

       เข้าสู่เดือนสิงหาคม ฝนตกลงมาในช่วงหัวค่ำ โชคเตรียมมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้วแต่เจ้าของบ้านก็ยังไม่มีวี่แววจะกลับมาสักที เด็กหนุ่มจึงออกมานั่งรอหน้าบ้านจนกับข้าวใต้ฝาชีบนโต๊ะอาหารเย็นชืด เลยเวลากินข้าวไปมากโขแล้วแก้วก็ยังไม่กลับมา จนเขาเริ่มเป็นห่วง...

 

       โชคกดโทรไปอีกครั้งหลังจากสองสายก่อนหน้าที่ไม่มีคนรับกับข้อความที่ส่งไปแล้วไม่มีคนอ่าน รอจนเสียงสัญญาณตัดไปก็ยิ่งกังวล คิดไปต่างๆ นาๆ ทั้งเรื่องที่น้าแก้วเคยโหมงานหนักจนล้มพับไปนอนหยอดน้ำเกลืออยู่โรงพยาบาลก่อนหน้านี้ หรือด้วยฟ้าฝนที่ยังตกต่อเนื่องอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาระหว่างทาง

 

ความคิดฟุ้งซ่านยิ่งทำให้รู้สึกวุ่นวายใจเพราะไม่ได้รับคำตอบ เด็กหนุ่มคิดเพียงว่าถ้าอีกสิบนาทียังไม่ได้รับการตอบกลับมา เขาจะไปเรียกแท็กซี่หน้าปากซอยไปลงที่ทำงานอีกฝ่ายแล้ว

 

       แต่แก้วก็ไม่ได้ทำให้โชคต้องรอนานขนาดนั้น เพราะยังไม่ทันเริ่มจับเวลา เสียงเครื่องยนต์และไฟรถสว่างจ้ากลางม่านฝนก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก่อนหักเลี้ยวไปจอดตรงลานว่างฝั่งตรงข้าม ไม่นานก็เห็นผู้ชายร่างสูงในชุดทำงานก้าวลงมา พร้อมกับกระบอกแปลนและกระเป๋าเอกสารหอบพะรุงพะรัง

 

       โชครีบคว้าร่มออกไปรับพร้อมกับช่วยรับของมาถือ ไม่ได้เอ่ยถามคาดคั้นว่าทำไมถึงได้กลับช้านัก เพราะแค่ได้เห็นหน้าของแก้วเขาก็รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกแล้ว

 

       “กินข้าวรึยัง” แก้วถาม เมื่อเข้ามาถึงในบ้านแล้ว

 

       “ยังครับ”

 

       “รอฉันเหรอ”

 

       “ครับ”

 

       “โทษที รถติดน่ะ” ชายหนุ่มกล่าว เดินไปคว้าผ้าขนหนูมาเช็ดหยดน้ำที่เกาะอยู่บนผิวจากการที่เขาตากฝนลงจากรถมาในตอนแรก “ฉันหาโทรศัพท์ไม่เจอ น่าจะลืมไว้ที่ออฟฟิศเลยไม่ได้โทรบอก”

 

       “ครับ” โชครับคำ ไม่ติดใจอะไรมาก เขาห่วงก็แต่คนที่เสื้อเย็นชื้น น่าจะเพราะโดนฝนก่อนขับรถตากแอร์กลับมาคนนั้นมากกว่า “น้าแก้วไปเปลี่ยนชุดก่อนไหม เดี๋ยวไม่สบาย”

 

       “อืม เธออุ่นกับข้าวแล้วเริ่มกินก่อนเลยก็ได้”

 

       “ครับ” รับคำอย่างนั้น แต่หลังจากที่เอาของไปไว้ในห้องทำงานให้อีกฝ่ายแล้วไปอุ่นกับข้าวบนโต๊ะอาหาร โชคก็ยังนั่งรอเพื่อที่จะได้เริ่มกินพร้อมกันอยู่ดี

 

       แก้วกลับลงมาในชุดใหม่ ไม่แปลกใจนักที่เด็กหนุ่มยังรอแม้เขาจะบอกว่าไม่จำเป็นก็ตาม จากนั้นมื้อเย็นที่เลยเวลาปกติมาชั่วโมงกว่าก็ดำเนินไปอย่างสงบเช่นทุกวัน

 

 

 

       “น้าแก้ว” หลังเก็บโต๊ะเสร็จ โชคก็ไปเคาะประตูห้องทำงานของแก้ว เอาเหยือกน้ำเข้าไปให้เพราะคืนนี้ดูแล้วแก้วน่าจะอยู่ทำงานจนดึก และหลายๆ ครั้งเจ้าตัวก็จะทำงานจนลืมเวลา พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีร่างกายก็ขาดน้ำจนคอแห้งผากอยู่เสมอ

 

       “ขอบใจ” แก้วยิ้มบาง ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ

 

       หากเป็นปกติเด็กหนุ่มจะออกจากห้องไปทันที ปล่อยให้นายสถาปนิกได้มีสมาธิทำงานเงียบๆ แต่วันนี้เขากลับอยากรู้ขึ้นมา เกี่ยวกับสิ่งที่น้าแก้วของเขาทำมาตลอด

 

       “งานของน้าแก้วทำอะไรบ้างเหรอครับ”

 

       ดวงตาสีเข้มเงยขึ้นสบอีกครั้ง แต่เพียงชั่วครู่ก็เบนกลับลงไปยังแผ่นกระดาษเอสามและเริ่มขยับมือขีดเขียนต่อ ก่อนจะบอกให้โชคไปยกเก้าอี้มานั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม แล้วจึงเริ่มอธิบายให้ฟัง...

 

       ภาพอนาคตของโชคค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างทีละเล็กละน้อย

 

 

 

       สิ้นสุดเดือนสิงหา โชคก็ตัดสินใจได้ว่าตอนนี้เขาสนใจอยากเรียนต่อคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ไม่ได้คิดภาพไปไกลถึงการประกอบอาชีพ แต่อย่างที่น้าแก้วบอกว่าให้เขาคิดถึงเรื่องที่อยากทำในตอนนี้ก็พอ เด็กหนุ่มจึงเดินไปบอกกับสถาปนิกตัวจริงว่าเขาอยากจะทำอะไร แล้วน้าแก้วก็ส่งเขาไปเรียนโรงเรียนสอนศิลปะ ลงคอร์สติวสถาปัตย์โดยเฉพาะ

 

       ยังไม่ทันได้เริ่มเรียน เพื่อนสนิทอย่างมิกซ์ก็ตามมาลงทะเบียนเรียนด้วย กับเหตุผลง่ายๆ อย่างไม่รู้เหมือนกันว่าจะเรียนอะไรต่อดี แต่แม่บอกให้เขาเรียนให้จบอย่างน้อยปริญญาตรี จะสาขาอะไรก็ได้ทั้งนั้น นักล่าปริญญาบัตรจึงจิ้มสุ่มตามเพื่อน ตัวเขาไม่มีแรงบัลดาลใจในการเรียนอยู่แล้ว ถ้าหากจะต้องเรียนต่อไปอีกสี่ห้าปีก็ขอไปเรียนแบบที่มีเพื่อนด้วยดีกว่า

 

       สองเพื่อนซี้ที่มองเห็นอนาคตเพียงเลือนรางจึงจับมือกันไปซื้อดินสออีอีและกระดานวาดเขียน ก่อนจะก้าวเข้าสู่โลกของเหล่านักออกแบบสิ่งปลูกสร้างที่เวลานอนเฉลี่ยน้อยนิดไปด้วยกัน

 

       แม้จะไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน ไม่มีแรงบัลดาลใจ ไม่มีความมุ่งมั่น แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรที่พวกเขาจะลองดูสักครั้ง

 

       จุดเริ่มต้นความฝันของคนเรามันก็มาจากการลองทำอะไรเล่นๆ เป็นส่วนใหญ่ทั้งนั้นแหละ

 



 

       ตุลาคมปลายฝนต้นหนาว วันอาทิตย์กลางเดือนเป็นช่วงการผลัดเปลี่ยนของฤดูกาลพอดี ท้องฟ้าสีหม่น ลมหนาวและความชื้น ชวนให้รู้สึกเปลี่ยวเหงาขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

 

       แสงแดดอ่อนจางที่แทรกผ่านเงาเมฆครึ้มส่องลงมากระทบผิวอบอุ่นเพียงชั่ววูบก่อนจะถูกสายลมเย็นกลบทับ แก้วสูบบุหรี่พลางรดน้ำต้นไม้อยู่ในสวนข้างบ้าน ทางทิศตะวันออกนอกบานหน้าต่างของห้องนั่งเล่น ควันขาวลอยเอื่อยก่อนสลายตัวไปอย่างรวดเร็วเมื่อถูกลมพัดกระจาย กับสายยางเย็นเฉียบในมือที่บ่งบอกอุณหภูมิของน้ำที่ไหลผ่านได้เป็นอย่างดี

 

       ชายหนุ่มเริ่มต้นวันเกิดปีที่สี่สิบสองอย่างเรียบง่ายข้างต้นกุหลาบที่กลางสวน

 

       “ไม่หนาวเหรอครับ” เสียงทักทายดังมาจากในบ้าน ก่อนจะเห็นใบหน้าคนพูดโผล่มาหลังมุ้งลวดหน้าต่าง

 

       “หนาวสิ” แก้วตอบกลับตามจริง

 

       “งั้นแป๊บนึงนะครับ” ว่าจบโชคก็หายไปสักพัก แล้วกลับมาให้เห็นหน้าอีกครั้งที่เฉลียง เด็กหนุ่มหยิบรองเท้าแตะในชั้นวางมาสวมก่อนก้าวยาวๆ เอาเสื้อคลุมแขนยาวมาส่งให้ถึงไหล่คนขี้หนาว

 

       “ขอบใจ”

 

       “ครับ”

 

       ...แก้วใช้วันเกิดปีที่สี่สิบสองทั้งวันที่เหลืออย่างเรียบง่ายเคียงข้างเด็กหนุ่มเจ้าของต้นกุหลาบ

 



 
.....

ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
.....






       พฤศจิกายนระดับน้ำในแม่น้ำลำคลองสูงขึ้นจากน้ำทะเลหนุน พระจันทร์ดวงโตลอยเด่นแม้อยู่กลางเมืองกรุง เป็นสัญญาณของประเพณีขอขมาพระแม่คงคา

 

       15 ค่ำ เดือน 12 วันลอยกระทง

 

       โชคนั่งทำกระทงจากขนมปังแผ่น ใช้มันรองเป็นฐานให้กับดอกไม้เล็กๆ ไม่กี่ดอก เพราะปัญหาขยะล้นคลองในทุกๆ ปีจากกระทงตกค้างจนทำให้น้ำเน่าเสีย เขาและน้าแก้วจึงเลิกใช้ต้นกล้วยที่แม้จะทำมาจากวัสดุธรรมชาติ แต่ก็ใช้เวลานานในการย่อยสลาย ยิ่งเมื่อมีมากมายเกินไปก็ย่อยไม่ทันกันมาตั้งแต่ปีที่เด็กชายอายุสิบสาม

 

       “ใส่ดอกอะไรอีกไหมครับ” เด็กหนุ่มผู้รับหน้าที่ตกแต่งกระทงเอ่ยถาม เขาเก็บเอาดอกไม้จากในสวนมาอย่างละนิดละหน่อยรวมกันไว้ตรงกลางแผ่นขนมปังที่กดตรงกลางให้ยุบลงไปเป็นหลุมตื้นๆ

 

       “แค่นั้นก็พอแล้ว” แก้วว่า เอื้อมคว้าเอากุญแจบ้านที่แขวนอยู่กับราวตะขอเหนือโต๊ะวางของเล็กๆ ข้างบานประตู “ไปเลยไหม”

 

       “ครับ” โชคลุกตามออกไป ถือประคองกระทงแผ่นบางไว้ไม่ให้กลีบดอกไม้ร่วงหล่น

 

       ระยะทางจากบ้านไปถึงคลองท้ายซอยไม่ใกล้ไม่ไกล สองคนจึงเดินเท้าเคียงกันไปใต้แสงไฟนีออนสีขาว แต่กลับไม่ค่อยสว่างนัก หลายปีแล้วที่โชคไม่ได้ไปลอยกระทงที่ท่าน้ำแถวคุ้มริมคลองที่เขาจากมา เพราะครั้งล่าสุดเมื่อห้าปีที่แล้วมีแก๊งวัยรุ่นเมาแล้วอาละวาดยกพวกตีกันเสียวุ่นวาย แก้วเลยไม่ได้พาไปที่นั่นอีก แต่ส่งไปลอยกับทางบ้านมิกซ์แทน

 

       ...นี่จึงเป็นครั้งแรกในรอบห้าปีที่พวกเขามาลอยกระทงด้วยกัน

 

       เมื่อมาถึงคุ้มชุมชนท้ายซอยนอกเขตหมู่บ้าน ชาวบ้านในละแวกนั้นก็พากันจูงลูกหลานมาต่อคิวกันลงบันไดสู่ท่าน้ำข้างเชิงสะพาน ส่วนบางบ้านที่อยู่ติดริมน้ำอยู่แล้วก็ออกมาจุดธูปเทียนลอยจากท่าซักล้างหลังบ้านตัวเอง โชคหันไปมองท่าน้ำของห้องโกโรโกโสที่เขาเคยอาศัย ขณะรอให้ยายหลานที่อยู่ข้างหน้าสวดขอขมาและขอพรเสร็จ

 

       ห้องเช่าเก่ามีเจ้าของใหม่ย้ายเข้ามาอยู่แล้ว เป็นครอบครัวที่มีพ่อแม่วัยรุ่นกับลูกเล็กไม่น่าจะเกินสี่ขวบปีหนึ่งคน โชคไม่รู้หรอกว่าพวกเขาหาเลี้ยงปากท้องกันอย่างไร แต่เขาเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเด็กหญิงเมื่อผู้เป็นพ่อช่วยจุดธูปเทียนให้ ก่อนที่แม่จะช่วยประคองกระทงที่ใหญ่กว่ามือน้อยๆ จะถือไหวไปปล่อยลงในน้ำ ทั้งสามคนขยับมานั่งใกล้ชิดกัน เด็กอยู่ในอ้อมแขนแม่ และพ่อก็โอบกอดพวกเขาไว้อีกที

 

       โชคได้แต่ยกยิ้มตามทั้งสามคนนั้น

 

       ห้องสี่เหลี่ยมแสนเหน็บหนาวของเขาไม่เหลืออยู่แล้ว...

 

       แก้วที่ยืนอยู่ข้างๆ มองตามปลายสายตาของเด็กหนุ่มไป เขาไม่รู้ว่าโชคกำลังคิดอะไรอยู่ และไม่คิดจะเข้าไปรบกวนช่วงเวลาที่ดวงตาคู่สวยดำดิ่งลงไปในความทรงจำแสนห่างไกล เขารู้เพียงแค่ว่าตอนนี้โชคไม่ได้เจ็บปวด... ซึ่งเท่านั้นมันก็เพียงพอแล้ว

 

       หนึ่งเด็กหนุ่มหนึ่งชายวัยกลางคนส่งเครื่องขอขมาแผ่นบางลงสู่คลองน้ำ พวกเขาไม่ได้จุดธูปเทียน มีเพียงดอกไม้ที่เมื่อขนมปังถูกปลาแทะกินจนขาดวิ่นก็จะแตกกระจายอยู่เหนือผิวน้ำ ไหลลอยล่องไร้จุดหมายแต่กลับมีทิศทางแน่ชัด ตามติดไปกับขบวนแสงสีนวลสว่างไสวที่ค่อยๆ ไกลห่างออกไปตามกระแสธาร

 

       หลังจากที่ลอยกระทงเสร็จ แก้วกับโชคใช้เวลาครู่หนึ่งยืนมองเปลวเทียนวูบไหวในสายลมหนาวจากบนสะพาน บ้างก็ยังคงสว่างโชติช่วงจนลับตา บ้างก็มอดดับไประหว่างทาง ความรู้สึกอ้างว้างทว่าเปรมปรีดิ์ผุดขึ้นกลางใจโดยไร้ที่มา แต่บรรยากาศของเทศกาลหน้าหนาวก็มักให้ความรู้สึกเช่นนั้นอยู่แล้วจึงไม่มีใครคิดจะค้นหาคำตอบให้ยุ่งยาก ...แค่รู้สึกถึงมันอย่างเงียบงันก็พอ

 

       “น้าแก้วขอพรว่าอะไร” โชคถามขึ้น

 

       “ลอยกระทงเขาเอาไว้ขอขมา ไม่ใช่ขอพร” คำตอบเรียบง่ายสมกับเป็นแก้วสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะแผ่วเบาให้กับเจ้าของคำถาม

 

       “ครับ แต่คนเราก็ยังขอพรอยู่ดี”

 

       “อืม ก็ปกติแหละ” ดวงตาสีเข้มหันมาสบ ความสูงของพวกเขานั้นไม่ได้แตกต่างกันมาก แต่เมื่อยืนอยู่บนสะพานที่มีความโค้งชันจึงทำให้ชายหนุ่มต้องช้อนมองขึ้นไปจากระดับที่ต่ำกว่าเล็กน้อย “คนเราขอพรกับทุกสิ่งทุกอย่าง”

 

       “แต่น้าแก้วก็ไม่ได้ขอ”

 

       “...ฉันไม่ได้ขอ”

 

       “แต่ผมขอนะ”

 

       “เหรอ” แก้วเห็นประกายวิบวับในดวงตาคู่สวย แต่ก็ยอมเล่นตามน้ำไปด้วย “ขอว่าอะไรล่ะ”

 

       “ขอให้ผมโตพอจะกอดแก้วได้สักที”

 

       ถ้อยคำที่พูดออกมานั้นเรียบง่าย แต่แววตากลับแฝงความหมายลึกซึ้ง แก้วไม่เคยคิดว่าเขาในวัยสี่สิบสองจะถูกเด็กที่อายุน้อยกว่าเขาหารสองและเลี้ยงดูมากับมือลามปามขนาดนี้

 

       คนแก่กว่าเบนสายตาออกจากรอยยิ้มหวานหยด หันหลังเดินหนีไปตามถนนคอนกรีตสองเลนที่จะพาตรงกลับบ้าน โชคได้แต่รีบก้าวขายาวๆ ตามมาเดินเคียงข้าง ไม่มั่นใจว่าแก้วกำลังรู้สึกแบบไหนภายใต้สีหน้าสงบนิ่งของเจ้าตัว แต่เมื่อกี้ที่กำลังจ้องมองสบตากัน เขามั่นใจว่าเห็นนัยน์ตาคู่นั้นวูบไหว ...แม้จะชั่วพริบตาเดียวก็ตาม

 

       ระหว่างทางเดินกลับบ้านมีเพียงแสงอ่อนจางจากเสาไฟข้างทางที่ตั้งห่างกัน เงียบงันจนทำให้อึดอัดใจ ในตอนที่โชคพูดออกไปเขาไม่ได้ตั้งใจจะสื่อความหมายในเชิงสองแง่สองง่าม แต่พอมาคิดดูแล้วมันก็ชวนให้รู้สึกไปในทางนั้นอยู่พอตัวเลยทีเดียว เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมา และที่เหนือไปกว่านั้นคือกลัวน้าแก้วโกรธ

 

       “...น้าแก้ว” เอ่ยเรียกเสียงอ่อนอย่างสำนึกผิด ขณะที่ก้าวเท้าเข้าไปใกล้ๆ แต่ก็รักษาระยะห่างไว้ให้ไม่ดูประชิดตัวเกินไป

 

       “ว่าไง” อีกฝ่ายขานรับด้วยน้ำเสียงราบเรียบปกติ แต่ก็ไม่ได้ชะลอฝีเท้ารอเขาเลยสักนิด และเมื่อเป็นเช่นนั้นคนมีชนักติดหลังก็ยิ่งร้อนรน

 

       “น้าแก้ว ผมขอโทษ ผม..ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น..”

 

       “แบบไหน”

 

       “ก็...” จนปัญญาจะหาคำอธิบาย สุดท้ายก็ได้แต่ก้มหน้ามองปลายเท้าราวกับหมาโดนเจ้านายดุ หางลู่หูตกไปหมด

 

       แก้วเหลือบตามามอง ดูก็รู้ว่าเจ้าลูกหมาของเขาไม่กล้าตั้งใจจะพูดจาล่วงเกินรุกหนักขนาดนั้นหรอก แต่เพราะเขาเองก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ผ่านพ้นช่วงวัยกลัดมันและความสัมพันธ์มามากพอดู เขาถึงได้ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดที่รู้ว่าเจ้าเด็กตรงหน้าไม่ได้ตั้งใจ...

 

       “ไว้โตกว่านี้ก่อน”

 

       “ครับ?” โชคเงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจในคำที่อยู่ๆ อีกคนก็พูดออกมา

 

       “ตอนนี้เธอยังเด็กเกินไป” แก้วหยุดเท้าที่ก้าวเดิน หันมาประจันหน้ากับเด็กหนุ่มตัวสูงท่วมหัว มองตรงเข้าไปในดวงตาตื่นๆ คู่นั้น ก่อนจะพูดขยายความให้ฟังอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ไว้โตกว่านี้ก่อนค่อยมากอดฉัน”

 

       ว่าจบก็ออกเดินต่อ โชคที่เมื่อสมองประมวลความหมายได้ในที่สุดก็รู้สึกเหมือนหัวใจระเบิดจนจะหน้ามืด ทั้งแก้มทั้งหูเห่อร้อนไปหมด ได้แต่ตัดพ้อคนขี้โกงที่มาทำให้เขาทรุดตัวลงนั่งกุมหน้าใต้เสาไฟข้างถังขยะสีเหลืองใบใหญ่ในคืนวันเพ็ญเช่นนี้

 

       ส่วนคนขี้โกงที่ว่าก็ไปถึงหน้าประตู ไขกุญแจเปิดรั้วเข้าบ้านไปเรียบร้อยแล้ว

 

       เพราะว่าชายในวัยสี่สิบก็มีศักดิ์ศรีของตัวเอง

 

       ...จะไม่ยอมถูกทำให้ปั่นป่วนอยู่ฝ่ายเดียวเด็ดขาด







TBC...

       รู้สึกเขินน้าแก้วอย่างบอกไม่ถูก เล่นเอาเจ้าหมาหัวใจระเบิดตู้มจนหน้ามืดเลยทีเดียว 555555 เป็นตอนที่เรื่องราวค่อยๆ เดินอย่างไม่รีบร้อนแต่กินเวลาไปเกือบปี บอกเล่าความสัมพันธ์ที่ขยับเชื่องช้าแต่ก็ขยับไปข้างหน้าเรื่อยๆ เลยนะคะ

 

       ขอบคุณทุกกำลังใจ คอมเมนต์ และการอ่านเสมอ

       ขอบคุณค่ะ

 

       เจอกันวันพฤหัสบดีค่ะ


ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
 ทำไมแอบรู้สึกเขิน :-[ 5555 โอววโชคจะตามรอยน้าแก้ว ขำเด็กมิกซ์จิ้มตามเพื่อน ไปไหนไปด้วยกันเข้าใจเลย เพราะเราเคยเป็น 55555 ค่อยๆกระเถิบกับความสัมพันธ์นี้ รอดูข้างหน้าเลย จะเบ่งบานดอกไม้ได้ไหม ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รอตอนต่อไปเลย  :pig4: :pig4: เป็นกำลังใจให้เสมอค่ะ  :L1:

ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 33

 

          ลมหนาวทวีกำลังเมื่อเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของปี ต้นสนพลาสติกสว่างไสวอยู่ในห้องนั่งเล่น ปกติแล้วเจ้าของบ้านจะจัดเลี้ยงฉลองกันในคืนก่อนวันคริสต์มาส ตามตำนานที่ว่าซานตาคลอสจะออกมาแจกของขวัญในค่ำคืนนั้น แต่เพราะปีนี้วันคริสต์มาสตรงกับวันศุกร์พอดี พวกเขาเลยตัดสินใจเลื่อนไปฉลองกันในคืนก่อนวันหยุดเลยดีกว่า ...อย่างไรเสียบ้านนี้ก็ไม่มีคริสต์เตียนอยู่แล้ว

 

          สองสมาชิกในบ้านนั่งอยู่บนโซฟาหน้าโทรทัศน์ ดวงตาจับจ้องภาพเคลื่อนไหวของหนังแอคชั่นโด่งดังที่เข้าฉายตามโรงภาพยนตร์ไปเมื่อหลายปีก่อน พัดลมถูกเปิดให้ส่ายไปมาเพื่อให้อากาศถ่ายเท แม้จะชวนให้รู้สึกสะท้านทุกครั้งที่หันมาเป่าลมปะทะผิว แต่ก็ไม่ได้เหน็บหนาวจนเกินไปนัก เมื่อต่างคนต่างอยู่ใต้ผ้าห่มเนื้อนุ่มอบอุ่นผืนเดียวกัน

 

          “น้าแก้วเอาถุงเท้าไหมครับ” เนิ่นนานจนหนังเข้าสู่ช่วงกลางที่เดินเรื่องเอื่อย โชคก็เอ่ยถามขึ้นมา แม้จะนั่งกันคนละฝั่ง แต่เพราะแก้วเอนตัวพิงที่พักแขนเหยียดตัวกินที่กว่าครึ่งโซฟา ช่วงขายาวตั้งชันเข่าขึ้นเพื่อให้พอดีกับพื้นที่ สุดปลายเท้าเปลือยเปล่าที่แม้จะอยู่ใต้ผ่าห่มก็ยังคงเย็นเฉียบจึงวางอยู่ชิดติดกับต้นขาของเด็กหนุ่ม

 

          “ไม่ต้องหรอก” แก้วปฏิเสธ ถึงผิวภายนอกจะเย็นตามอุณหภูมิไปแล้วก็ตาม แต่เขาไม่ได้รู้สึกหนาวมากขนาดนั้น

 

          และเมื่อเจ้าตัวบอกว่าไม่ต้องการ โชคก็ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก หันไปมองจอดูหนังครึ่งหลังต่อ

 

          เนื้อเรื่องช่วงท้ายเข้มข้นจนไม่มีใครละสายตาจากโทรทัศน์ และโดยที่ไม่ทันรู้ตัว ปลายเท้าเย็นเยียบที่ค่อยๆ ซุกเบียดหาไอร้อนจากร่างกายคนอื่นก็ถูกดึงขึ้นไปวางพาดบนตักอุ่น สัมผัสจากปลายนิ้วที่ไล้บีบนวดให้นั้นร้อนฉ่า แต่กลับให้ความรู้สึกดี...

 

          จนกระทั่งหนังจบลงแล้วก็ยังไม่มีใครผละจากไปไหน

 

          ถูกฉุดรั้งไว้ด้วยอุณหภูมิจากผิวกายของกันและกัน

 

 

 

          สัญญาณว่าผ่านพ้นไปอีกปีคือพลุไฟที่แตกกระจายอยู่กลางฟ้า โชคขยับเข้าหาคนข้างกายที่ยืนแหงนหน้าชมดอกไม้ไฟหลากสี ปลายนิ้วเกี่ยวสัมผัสกันไว้เพียงผิวเผิน แต่ก็เพียงพอจะให้รู้สึกอุ่นซ่านท่ามกลางลมหนาวของคืนสิ้นปี

 

          “น้าแก้ว” เด็กหนุ่มไม่ได้จับจ้องทิวทัศน์เช่นเดียวกับคนที่เขาเอ่ยเรียก แต่ก็มองเห็นวงริ้วไฟพร่างพราวผ่านภาพสะท้อนในดวงตาสีเข้มของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน

 

          ...งดงามเสียยิ่งกว่าแหงนมองฟ้าด้วยตาตนเอง

 

          “ว่าไง” ขานรับทั้งที่ยังไม่ละสายตามามองคู่สนทนา แต่โชคก็ยังคงคลี่ยิ้มส่งให้อย่างอ่อนโยน ติดจะขวยเขินด้วยเล็กน้อย

 

          “รักนะครับ”

 

          ถ้อยคำลึกซึ้งที่ไม่ค่อยได้พูดบ่อยนักทำเอาเจ้าของคำหวานอายม้วนเสียเอง แก้วระบายยิ้มออกมากว้างกว่าทุกทีเมื่อเห็นเจ้าหมาปากเก่งแต่ใจปลาซิวหันหน้าหนีไปซุกซ่อนสองแก้มเรื่อแดงไว้ในฝ่ามืออีกข้างที่ไม่ได้ประสานนิ้วเกี่ยวกับเขาเอาไว้

 

          “อา..” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเอ็นดูหรือมีใจ แต่คำตอบรับของชายหนุ่มก็เปลี่ยนไปแล้ว... “ขอบใจนะโชค”

 

 

 

          หลังจากปีใหม่ไปเดือนครึ่งก็ถึงวันแห่งความรัก หนึ่งปีหลังจากที่โชคขอโอกาสและแก้วตอบตกลง ความสัมพันธ์ของพวกเขายังคงไม่ได้ก้าวไปไหน แต่กลับรู้สึกว่าค่อยๆ ได้ขยับเข้าไปใกล้กันมากกว่าเดิม ไม่ได้รีบร้อนดันทุรังเหมือนก่อนหน้านี้ที่ใช้ร่างกายเข้าแนบชิด แต่เป็นการก้าวเข้าไปในโลกของกันและกันที่ไม่ใช่แค่การรับรู้เรื่องราวในฐานะคนร่วมบ้าน...

 

          ทว่าในฐานะคนที่มีส่วนร่วมในชีวิต

 

          ดอกกุหลาบสีแดงยังคงผลิดอกบานสะพรั่งตราบเท่าที่มีน้ำและแสงแดดจัด โชคย้ายต้นมันออกจากกระถางมาลงหลุมดินที่ใต้บานหน้าต่างห้องนั่งเล่นแล้ว แก้วจึงสามารถมองเห็นกลีบดอกสีสดได้ตลอดทั้งปี แต่ถึงอย่างนั้นในวันนี้เด็กหนุ่มก็ยังคงไปเก็บมาให้อยู่ดี และครั้งนี้ก็ไม่ได้วางไว้ที่มุมโต๊ะเหมือนคราวก่อนๆ แล้ว

 

          “น้าแก้วครับ”

 

          มือเรียวเอื้อมไปรับดอกไม้ที่ยื่นมาให้ตรงหน้า ดวงตาจ้องมองกลีบดอกนุ่มนวลที่เผยอบานแต่ยังไม่เต็มที่นักด้วยความรู้สึกหลากหลาย แม้โชคจะไม่ได้ถาม แก้วก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงอยากรู้ ว่าในช่วงเวลาหนึ่งปีมานี้ เจ้าตัวได้เข้ามาอยู่หัวใจเขาบ้างแล้วหรือยัง

 

          “ขอบใจ” แต่ก็เอ่ยออกไปได้เพียงเท่านั้น ด้วยเพราะตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่าความรู้สึกที่มีให้เด็กหนุ่มมันเพียงพอที่จะเรียกได้ว่ารัก... หรือแค่รู้สึกดีที่ถูกรัก

 

          โชคไม่ได้ซักไซ้ไล่หาคำตอบ เขาไม่อยากกดดันให้น้าแก้วต้องรีบรู้สึกแบบเดียวกัน ขอแค่ทีละเล็กทีละน้อยก็พอ ขอแค่ชายหนุ่มค่อยๆ เปิดใจให้เขาเข้าไป แล้วในสักวันเขาคงได้ครองส่วนหนึ่งของหัวใจดวงนั้นบ้าง

 

          เด็กหนุ่มนั่งคุกเข่าลงบนพื้น ซบหน้าผากลงบนเข่าแข็ง ก่อนจะรับรู้ได้ถึงไออุ่นจากฝ่ามือที่ลูบหัวเขาแผ่วเบา ชั่วขณะนั้นไม่มีใครพูดอะไรออกมา โชคเบียดเข้าหาคนบนโซฟา กอดท่อนขาแล้ววางคางเกยตัก ช้อนดวงตาคู่สวยขึ้นมองใบหน้าคนที่เขารักหมดใจด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง

 

          “ไม่ต้องรักผมมากเท่าที่เคยรักอาธีร์ก็ได้นะครับ ขอแค่น้าแก้วชอบผมบ้างสักนิดก็พอ”

 

          “แบบนั้นมันก็ไม่แฟร์น่ะสิ” น้ำเสียงเนิบนาบกับแววตาว่างเปล่า ดอกกุหลาบถูกวางทิ้งไว้บนตัก ในขณะที่สองมือเรียวเลื่อนไปประคองสองแก้มของอีกฝ่าย ขยี้หัวลูบหูเหมือนกำลังหยอกหมาตัวใหญ่ๆ สักตัว

 

          “ไม่หรอกครับ ผมเป็นคนที่มารักน้าแก้วเอง...” เจ้าหมาตัวโตยกมือข้างหนึ่งขึ้นทาบกุมมือแก้วไว้ เอียงหน้าไปประทับจูบในอุ้งมืออุ่น ก่อนจะแนบค้างไว้ข้างแก้มของตัวเองอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มจริงใจ แม้นัยน์ตาจะมีร่อยรอยร้าวรานก็ตามที “เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอกครับ”

 

          แม้จะเจ็บปวด แต่คำพูดของเด็กหนุ่มก็ออกมาจากใจจริง และหมายความตามนั้นจริงๆ

 

          แก้วรู้ดี...

 




 

          ปลายเดือนกุมภาพันธ์คือมหกรรมการสอบของเด็กมัธยมศึกษาปีสุดท้าย โชคสมัครสอบในรายการที่จำเป็นต่อการยื่นคะแนนเข้าเรียนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเดียวกับที่แก้วจบมา ซึ่งเกณฑ์คะแนนค่อนข้างสูง อีกทั้งยังมีอัตราการแข่งขันที่ดุเดือด เด็กหนุ่มจึงต้องทุ่มเทให้กับการอ่านหนังสือและติวจากข้อสอบเก่าจนแทบไม่ได้หลับได้นอนในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนสอบ

 

          เพราะเริ่มต้นช้า และกว่าจะมั่นใจว่าอยากไปต่อสายนี้จริงๆ ก็เสียเวลาไปมากโขแล้ว โชคจึงต้องพยายามหนักขึ้นเป็นเท่าตัวของคนที่เตรียมตัวมาแต่เนิ่นๆ แต่โชคดีที่เขามีน้าแก้วเป็นทั้งแรงบัลดาลใจและติวเตอร์ส่วนตัว ทำให้สัปดาห์ที่สามของเดือนที่แสนจะเหนื่อยล้าผ่านไปได้ด้วยดี จนเข้าสัปดาห์ที่สี่ ในช่วงของการสอบ โชคก็ได้นอนหลับเต็มอิ่มก่อนวันลงสนามจริงทุกครั้ง ผิดกับอีกคนที่เอาเวลามาใส่ใจเขาจนต้องทำงานของตัวเองหามรุ่งหามค่ำแทน

 

          “น้าแก้ว” หลังจากเคาะประตูขออนุญาต เจ้าของเสียงเรียกก็แง้มประตูเข้ามา แก้วปรือตามองอย่างง่วงงุน เขาเพิ่งนอนไปตอนเกือบสว่างจึงยังไม่ลุกจากเตียงแม้จะใกล้เวลาออกไปทำงานตามปกติแล้วก็ตาม วันนี้เขาจะใช้สิทธิ์พนักงานอาวุโสและหุ้นส่วนในการขอลาช่วงเช้าแบบกะทันหันเสียบ้าง หลังจากที่ครองตำแหน่งพนักงานดีเด่นมาตลอดหลายปี

 

          “ว่าไง” เสียงงึมงำแหบแห้ง แต่ก็ตั้งใจรอฟังสิ่งที่เด็กหนุ่มจะพูด

 

          โชคเดินเข้ามานั่งลงบนขอบเตียง รู้สึกผิดเล็กน้อยที่เป็นตัวต้นเหตุทำให้ช่วงหลังมานี้แก้วนอนไม่เป็นเวลา แต่เพราะเจ้าตัวพูดเสมอว่าไม่เป็นไร ถึงจะไม่ได้ติวให้โชค งานช่วงนี้ก็ล้นมืออยู่แล้ว

 

          “เดี๋ยวผมจะออกไปแล้วนะครับ” พูดบอก ขณะที่เลื่อนมือไปทาบประสานเรียวนิ้วเข้ากับมือของอีกคน

 

          “อืม” แก้วครางรับรู้ ก่อนจะปรือเปลือกตาหนักอึ้งขึ้นอีกครั้ง พลางคิดถึงกำหนดการสอบของคนตรงหน้า วันนี้เป็นความถนัดทางสถาปัตยกรรมศาสตร์... “มานี่สิ”

 

          เด็กหนุ่มไม่แน่ใจว่ามานี่ของแก้วคือให้ไปที่ไหน ในเมื่อเขานั่งอยู่ข้างเจ้าตัวจนจะชิดติดกันอยู่แล้ว จนกระทั่งแก้วยกมือข้างที่ไม่ได้ถูกกอบกุมขึ้นมา ดึงรั้งหลังคอเขาให้ก้มลงไปหา กดจูบแนบแน่นเพียงชั่วพริบตาลงบนขมับ กระซิบแผ่วเบาทว่าอ่อนโยนชิดริมหู

 

          “เธอทำได้อยู่แล้ว ทำให้เต็มที่ก็พอ” ว่าจบก็ผละทิ้งตัวกลับไปนอนจมหมอนต่อ โชคที่เมื่อรู้สึกตัวก็ยิ้มเขินน้อยๆ ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นคลุมทับไหล่ใต้เสื้อยืดสีขาวตัวบางให้ แล้วค่อยจากไปพร้อมกำลังใจในการทำข้อสอบที่เต็มเปี่ยม

 

          “ครับ”

 

 

 

          ค่ำคืนสุดท้ายของเดือนสาม ในเวลาที่ผลัดเปลี่ยนเข้าสู่เดือนสี่ คะแนนสอบในรายการที่มีสัดส่วนมากที่สุดสำหรับการยื่นเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยก็ประกาศผล สองคนในบ้านตกลงกันว่าจะดูคะแนนด้วยกันผ่านคอมพิวเตอร์ในห้องทำงาน โชคนั่งอยู่หน้าจอ ส่วนแก้วยืนอยู่ข้างหลังเด็กหนุ่มอีกที มือเรียววางลงบนไหล่ที่กำลังเครียดเกร็งเพราะความกดดันและตื่นเต้น ช่วยบีบนวดให้อีกฝ่ายผ่อนคลายลงได้เล็กน้อย

 

          หลังจากที่กดรีเฟรซหน้าเว็บที่ล่มเพราะจำนวนผู้เข้าใช้บริการมากเกินไปอยู่สักพัก หน้าจอลงทะเบียนก็ปรากฏตัว โชคกรอกเลขประจำตัวและรหัสผ่านอย่างรวดเร็ว แต่ในขณะที่จะกดยืนยันกลับลังเลขึ้นมา และอีกคนก็สังเกตเห็น

 

          “โชค..”

 

          “ถ้าคะแนนผมออกมาไม่ดีล่ะครับ” ทั้งที่ไม่ได้หันกลับมา แต่ชายหนุ่มก็รู้ได้ว่าเด็กตรงหน้ากำลังทำสีหน้ากังวลใจอยู่แน่ๆ

 

          “...ก็ไม่เป็นไร” คนโตกว่าเลื่อนมือที่วางบนบ่าเปลี่ยนไปใช้วงแขนโอบรอบคอเด็กหนุ่มไว้หลวมๆ จากด้านหลัง “ถ้าเธอยังอยากเรียนสายนี้อยู่ก็ค่อยสอบแล้วยื่นคะแนนใหม่ปีหน้าก็ได้ หรือถ้าเปลี่ยนใจแล้วจะไปเรียนทำอาหารให้เป็นเรื่องเป็นราวต่อจากเมื่อตอนปิดเทอมที่แล้วก็ยังได้ ชีวิตเธอไม่ได้จบตรงนี้หรอกนะ”

 

          ถ้อยคำแสนอ่อนโยน แก้วไม่ได้กำลังพูดปลอบใจ เขาเพียงแต่พูดสิ่งที่คิดจริงๆ ออกไปเท่านั้น เพราะไม่ว่าโชคจะทำได้ดีในตอนนี้หรือไม่ ในอนาคตก็ไม่แน่นอนอยู่ดี หากโชคเรียนไปแล้วเกิดรู้สึกว่าไม่อยากใช้ชีวิตที่เหลือกับงานสถาปนิก เขาก็ไม่คิดจะบังคับให้อีกฝ่ายฝืนเรียนจนจบ ยังมีหนทางอีกตั้งมากมายให้เลือกเดิน อย่างการทำอาหารที่โชคไปลองลงเรียนคอร์สทำอาหารไทยระยะสั้น กับขนมหวานที่เจ้าตัวลงเรียนควบด้วยมาเมื่อตอนปิดเทอมเล็ก หากคิดว่าชอบมากกว่าเขาก็ยินดีสนับสนุน

 

          ช่วงวัยยี่สิบปีควรได้ใช้ไปกับการลองผิดลองถูก ค้นหาตัวเองให้เจอว่าอยากจะทำอะไรจริงๆ ไม่ใช่ทุ่มเทมันไปกับการเรียนสิ่งที่คิดว่ามั่นคง จนสุดท้ายก็ทรมานกับมันไปอีกกว่าครึ่งชีวิตที่เหลือ

 

          แต่การลองเองก็มีระยะเวลาจำกัด อย่างน้อยก่อนอายุครบสามสิบปี แก้วก็อยากเห็นโชคที่ดูแลตัวเองได้

 

          น้ำหนักที่โถมทับมาพร้อมกับอุณหภูมิจากร่างกาย โชครู้สึกอุ่นใจขึ้นมาที่ด้านหลังเขามีน้าแก้วอยู่ ปุ่มยืนยันถูกกดอย่างเงียบงัน รอจนหน้าจอสีขาวปรากฏช่องตารางคะแนนขึ้นมา

 

          ...ไม่มากไม่น้อย อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องไปวัดดวงเอาตอนประกาศรายชื่ออีกที

 

          “เก่งมากแล้ว” แก้วเอ่ยชมอย่างจริงใจ คนเก่งเลยเงยหน้าขึ้นมาสบตาจากองศาที่ต้องแหงนคอจนสุด โชคเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีที่มีดวงตาทรงเสน่ห์ แต่เมื่อมองจากมุมของแก้วในตอนนี้ที่อีกฝ่ายกลับหัวหลับหางจึงดูน่าตลกชอบกล

 

          ...ทว่าถึงจะน่าตลก เขาก็ยังโน้มใบหน้าลงไปหา จรดจูบแผ่วเบาลงบนกลีบปากนุ่ม ก่อนจะถอนออกไปด้วยเป็นห่วงสุขภาพกระดูกคอของคนที่ต้องแหงนเกร็งจนปวดตึงไปหมดคนนั้น

 

          “น้าแก้ว..” เสียงเรียกแหบแปร่งสั่นเครือเล็กน้อย ดวงตาเบิกกว้าง และหน้าขึ้นสีเมื่อถูกจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว โชครีบหมุนเก้าอี้โต๊ะทำงานกลับมากอดรั้งเอวแก้วไว้แน่น ราวกับกลัวอีกคนจะจางหายไปแล้วที่เกิดขึ้นทั้งหมดจะกลายเป็นเพียงภาพฝัน

 

          “หืม ว่าไง” แก้วหัวเราะแผ่ว ยกมือโอบไหล่เด็กหนุ่มตอบ

 

          “ทำไมถึงจูบล่ะครับ” คำถามตรงไปตรงมา โชคอยากรู้ว่าทำไมแก้วถึงจูบเขา ตอนที่ถูกจูบขมับในเช้าวันสอบเขาคิดว่าคงเพราะเอ็นดูและเป็นการให้กำลังใจ แต่ครั้งนี้กลับเป็นที่ปาก และทั้งที่ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เด็กหนุ่มจึงอยากจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าอีกฝ่ายมีใจ แต่ก็หวาดหลัวเหลือเกินว่าจะต้องเจ็บปวดกับการคิดไปเองฝ่ายเดียว

 

          “...แล้วเมื่อก่อนเธอจูบฉันทำไม” ไม่ได้ให้คำตอบ แต่ย้อนถามกลับ ถึงอย่างนั้นโชคก็ยังคงตอบคำถามอยากจริงจัง

 

          “เพราะผมอยากจูบ”

 

          “ทำไมถึงอยากล่ะ”

 

          “ก็เพราะผมชอบน้าแก้ว...”

 

          “อืม...ฉันเหมือนกัน” โลกทั้งใบเหลือเพียงคนสองคน ในห้องทำงานที่กรุ่นกลิ่นดอกแก้วจากลานอิฐ แก้วประคองใบหน้าเด็กหนุ่มให้มองสบตา แม้รู้ว่าโชคสามารถรอเขาได้อีกแสนนาน แต่เขาก็ไม่ได้อยากให้โชคต้องรอนานขนาดนั้น “ฉันจูบเธอก็เพราะฉันอยากจูบ อยากจูบก็เพราะว่าชอบ แต่มันคงไม่มากเท่าที่เธอชอบฉันหรอกนะ”

 

          “ไม่เป็นไรครับ” อ้อมกอดรัดกระชับขึ้นอีก แต่ไม่ได้แน่นเกินไปจนทำให้คนถูกกอดรู้สึกอึดอัด เหมือนกับความรักที่โชคมอบให้เขามาตลอด

 

          มากมายไม่ลดละ มั่นคงไม่สั่นคลอน และจริงใจแม้ไร้สิ่งตอบแทน

 

          แก้วไม่เคยแน่ใจว่าควรตอบรับความรู้สึกนั้นไหม ด้วยหัวใจที่มีความรู้สึกเพียงครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้มันคู่ควรกับความรักมากมายขนานนั้นแล้วหรือ แต่เพราะโชคบอกเขาว่าไม่เป็นไร...

 

          “ผมรักน้าแก้วนะ”

 

          “ฉันก็ชอบเธอ โชค”

 

 

 

TBC...

          น้าแก้วตอบรับความรู้สึกของน้องโชคแล้ววววว หลังจากที่ผ่านไปกว่าปีจากวันที่เริ่มเปิดใจ ในตอนนี้ก็อาจจะเป็นตอนที่สั้นไปสักหน่อย แต่ในตอนหน้ารับรองว่ายาวและคุ้มค่ากับการรอคอยแน่นอนค่ะ ฝากติดตามกันด้วยนะคะ  :mew1:
 

          ขอบคุณทุกการอ่าน คอมเมนต์ และกำลังใจมากๆ เลย

          ขอบคุณนะคะ

 

          เจอกันวันจันทร์หน้าค่า
          ปล.เพิ่งเห็นว่าสีเหลืองมันกลืนหายไปเลย แง้


ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 34
 


          ปิดเทอมใหญ่ก่อนเริ่มเรียนมหาวิทยาลัยนั้นยาวนาน และเป็นช่วงเวลาที่ต้องวัดดวงว่าจะได้ที่เรียนหรือเปล่า โชคต้องยื่นคะแนนครั้งแรกในช่วงปลายเมษา กว่าจะรู้ผลอีกทีก็เกือบกลางพฤษภา และถ้าไม่ได้ก็ต้องยื่นอีกครั้งแล้วหวังว่าปลายเดือนห้า เขาจะได้รับการตอบกลับมาว่าให้ไปสัมภาษณ์จากคณะที่ต้องการ

 

          แต่เพราะมันเป็นเรื่องของอนาคต สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็คือใช้ชีวิตของเด็กหนุ่มต่อไป

 

          ในเดือนเมษาที่ร้อนแผดเผา วันสงกรานต์โชคออกไปเล่นน้ำกับกลุ่มเพื่อนเพราะถือว่าเป็นปีสุดท้ายก่อนแยกย้ายกันไปตามมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ เช่นนั้นแล้วจะขาดใครในแก๊งไปไม่ได้เด็ดขาด กว่าจะกลับถึงบ้านอีกทีฟ้าก็มืดสนิทไปนานแล้ว

 

          แก้วไม่ได้รอกินข้าวเย็นพร้อมกัน เพราะโชคส่งข้อความมาบอกแล้วว่าจะกลับดึก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงนั่งรออยู่ที่โซฟา เพื่อให้แน่ใจว่าเด็กหนุ่มกลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย

 

          “น้าแก้ว” โชคเอ่ยทักเสียงใส ตัวยังคงเปียกชื้นทั้งที่หลังเลิกเล่นน้ำก็ไปนั่งกินหมูกระทะกับเพื่อนมาตั้งนานสองนาน

 

          ดวงตาสีเข้มที่ปรือต่ำเพราะความง่วงงุนหันมามองก่อนจะเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไปอาบน้ำก่อนสิ”

 

          โชคใช้เวลาไม่นานนักในห้องน้ำ เพราะเขาไม่อยากให้อีกคนต้องรอนาน พอออกมาก็เห็นเพียงเถ้าบุหรี่ที่ยังคงอุ่นอยู่ในที่เขี่ย กับกลิ่นเบาบางที่บอกให้รู้ว่าตัวคนสูบขึ้นห้องนอนไปสักพักแล้ว

 

          “น้าแก้ว” เด็กหนุ่มเคาะแผ่วเบาก่อนเปิดประตูห้องนอนใหญ่เข้าไป เห็นเจ้าของห้องหลับไปแล้ว แต่ยังคงเว้นที่ว่างฝั่งหนึ่งของเตียงไว้อยู่ เขาจึงขยับเข้าไปล้มตัวลงนอนบนนั้น ก่อนจะค่อยๆ ดึงร่างอีกคนมากอดเอาไว้ในอ้อมแขน...

 

          เหมือนกับความฝัน ความสัมพันธ์ของโชคกับแก้วก้าวไปสู่อีกขั้นแล้ว ไม่ได้นิยามออกมาอย่างจริงจังว่าเป็นอะไร แต่การที่เขาสามารถกอดอีกฝ่ายไว้แบบนี้ได้ตลอดทั้งคืน จูบตอนไหนก็ได้ที่อยากจะจูบ พูดคำว่าชอบบ่อยแค่ไหนก็ได้รับรอยยิ้มกลับมา

 

          ...แค่เพียงเท่านี้ก็ดีเกินกว่าที่เคยหวังไว้แล้ว

 

          โชคซุกปลายจมูกลงในกลุ่มผมของคนในอ้อมกอด หลับตาแล้วสัมผัสอุณหภูมิจากร่างกายที่แนบชิด ภาวนาให้เมื่อยามเช้ามาถึง แก้วจะยังคงอยู่ตรงนี้ไม่จากไปไหน

 

          “โชค” เสียงงัวเงียของคนที่สะลึมสะลือตื่น ก่อนจะพลิกตัวหันมาหา

 

          “ผมทำให้ตื่นเหรอครับ” โชคยิ้มเผล่ แต่ไม่ได้ผ่อนแรงแขนลงเลยแม้แต่น้อย

 

          “เปล่าหรอก ฉันหลับไม่ค่อยสนิทอยู่แล้ว”

 

          “ก็เพราะน้าแก้วสูบบุหรี่ก่อนนอนไงครับ”

 

          “อืม คงงั้น” คนโดนดุไม่จริงจังนักว่า ซุกซบใบหน้าเข้ากับลำคออุ่น ไม่นานก็หลับไปอีกครั้ง

 

          กลิ่นบุหรี่เจือจางบนผิวเนื้อลอยแตะจมูก โชคกดจูบหนักๆ ลงบนหน้าผาก ก่อนไล่ไปตามไรผม เขาไม่ได้ชอบกลิ่นเหม็นไหม้ของใบยาสูบขมปร่า ไม่เคยชอบเลย ทว่ากลับแสนคุ้นเคยและทำให้รู้สึกสงบเมื่อมันติดอยู่บนตัวน้าแก้ว

 

          เช้าวันถัดมาโชคตื่นขึ้นพร้อมกับอาการแสบจมูก สำลักไอจนดวงตาแดงก่ำน้ำตาคลอ แก้วได้แต่ยื่นทิชชู่ให้ พลางช่วยลูบหลังแม้มันจะไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากก็ตาม

 

          หลังจากนั้นแก้วก็เลิกสูบบุหรี่ก่อนเข้านอน เมื่อในตอนนี้บนเตียงของเขามีเด็กจมูกไวเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน

 



 

          พายุฤดูร้อนทำฝนฟ้าคะนองตอนปลายเดือนเมษา ลมกรรโชกแรงจนต้องปิดหน้าต่างห้องนั่งเล่น แก้วไม่ได้ออกไปทำงาน เพราะไม่อยากขับรถฝ่าม่านเม็ดฝนที่โหมกระหน่ำจนทิวทัศน์รอบข้างพร่าเบลอขมุกขมัวชวนเสี่ยงให้เกิดอุบัติเหตุเช่นนี้

 

          “เอากาแฟไหมครับ” ช่วงสายที่ท้องฟ้าขาวโพลนด้วยมวลเมฆ โชคแวะเข้ามาถามคนในห้องทำงานอย่างใส่ใจ

 

          “อืม ขอบใจ” แก้วตอบทั้งที่ยังหรี่ตาจ้องจอคอมอยู่ แว่นสายตาของเขาดูท่าว่าคงต้องเปลี่ยนใหม่อีกรอบแล้ว

 

          เด็กหนุ่มหายออกไปเพียงครู่เดียวก็กลับมาพร้อมแก้วกาแฟหอมกรุ่น ยื่นส่งให้ถึงมือและแถมบริการนวดไหล่ให้ด้วย

 

          “ตอนเที่ยงกินอะไรดีครับ”

 

          “เธอจะทำอะไรล่ะ”

 

          “มีปลาอยู่ ผมเลยว่าจะทอด แล้วก็อาจจะต้มยำอะไรอีกสักอย่าง”

 

          “อืม ก็เอาตามนั้นแหละ”

 

          “ครับ” บทสนทนาประจำวันเกี่ยวกับเมนูอาหารจบลงไป แต่โชคก็ยังไม่ผละไปไหน ยังคงตั้งใจบีบนวดบ่าไหล่ไล่ไปจนถึงหลังคอให้ชายวัยกลางคนที่นั่งหลังขดหลังแข็ง สลับระหว่างหน้าจอคอมพิวเตอร์กับแผ่นกระดาษเอสามบนโต๊ะทำงานรูปตัวแอลไปมาตั้งแต่ตื่นนอน แก้วเองก็ไม่ได้ว่าอะไร หนำซ้ำยอมพักจากงาน หลับตาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ปล่อยให้เด็กหนุ่มช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อให้ด้วยท่าทีสบายๆ

 

          “น้าแก้ว...” ดวงตาสีเข้มปรือขึ้นเพียงเล็กน้อยพร้อมเสียงครางรับในลำคอ รอคอยให้อีกฝ่ายพูดต่อจนจบ “ไปทะเลกันไหมครับ”

 

          แก้วลืมตาขึ้น เขาพร้อมตอบรับคำชวนนั้นอยู่แล้ว เพียงแต่กำลังครุ่นคิดถึงเรื่องวันเวลาที่จะไปอยู่ พอดีกับที่เหลือบไปเห็นกรอบรูปทำมือที่ถูกวางคว่ำไว้ใกล้กับโคมไฟมุมโต๊ะทำงาน

 

          ...กรอบรูปไม้อัดประดับประดาด้วยเปลือกหอยคละรูปร่างกับกากเพชรหลากเฉดของสีน้ำทะเล และภาพถ่ายของคนสามคน

 

          ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่มันถูกคว่ำลงซุกซ่อนรอยยิ้มสุขสันต์เอาไว้ อาจจะตั้งแต่ที่รู้ว่ารอยยิ้มเหล่านั้นจะไม่มีวันหวนคืนกลับมา หรืออาจจะแค่เพราะว่ามันบังเอิญล้มพับลงมาเองแล้วเจ้าของโต๊ะไม่ทันสังเกตจึงไม่ได้หยิบตั้งขึ้นคืน

 

          แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน แก้วก็ไม่ได้คิดจะจัดวางมันให้เข้าที่ ปล่อยให้มันคว่ำปิดอยู่อย่างนั้น อย่างน้อยก็ในตอนนี้ที่โชคหมุนเก้าอี้เขาให้หันไปหา ในเวลาที่จูบกันเขาก็อยากมองเพียงคนตรงหน้า ไม่ใช่สบตากับเงาของใครอีกคนที่สะท้อนอยู่บนรูปภาพเก่าเก็บ

 

          “ไปทะเลกันนะครับ” หลังจากถอนริมฝีปากออกไป โชคก็เอ่ยซ้ำ ทว่าไม่ใช่คำถาม แต่เป็นคำวอน ดวงตาคู่สวยมองตรงมาอย่างออดอ้อน แก้วเลยบีบปลายจมูกของอีกฝ่ายอย่างมันเขี้ยวทีหนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้มบางให้เจ้าหมาที่รอคอยคำตอบ

 

          “อืม ไว้ไปกัน”

 



 

          พฤษภาเข้ากลางเดือนด้วยความเคร่งเครียด การยื่นคะแนนรอบแรกของโชคไม่ผ่าน ในขณะที่เพื่อนรักอย่างมิกซ์ติดสัมภาษณ์ลำดับสุดท้ายพอดี เด็กหนุ่มจึงยื่นรอบต่อไปที่เดิมอีกครั้ง แต่เพิ่มสาขาอื่นนอกจากสถาปัตยกรรมหลักไปด้วย

 

          วันเวลาเดินช้าจนน่าหงุดหงิดเมื่อรอคอยบางสิ่งบางอย่าง เพียงแค่สัปดาห์ที่สองไปจนถึงปลายเดือนก็เหมือนกับครึ่งชีวิต แต่การรอคอยของโชคก็คุ้มค่า เมื่อปลายเดือนนั้นเขาได้รับผลว่าติดรอบสัมภาษณ์ ซึ่งก็ราวกับก้าวขาเข้าไปในรั้วมหาวิทยาลัยในฝันแล้วข้างหนึ่ง

 

          “กูบอกแล้วยังไงมึงก็ติด” เสียงจากปลายสายเปลี่ยนจากกังวลเป็นร่าเริงสดใสในพริบตาที่โชคเอ่ยบอกข่าวดี

 

          “อือ แล้วสอบสัมภาษณ์ยากไหมอะ” เด็กหนุ่มเอ่ยถามเพื่อนสนิทที่เคยผ่านการสอบขั้นสุดท้ายมาก่อน

 

          “ไม่นะ เขาก็ถามนู่นนี่เฉยๆ กูก็ตอบไปตามตรง อะไรรู้ไม่รู้ ยังไงก็ไปเรียนเพื่อรู้อยู่แล้วอะ”

 

          “โอเค ขอบใจนะมิกซ์”

 

          “ขอบใจไรกูอะ” เสียงหัวเราะแผ่วเบาแว่วมาจากอีกฝั่งของโทรศัพท์ ก่อนมิกซ์จะพูดต่อ “มึงทำได้อยู่แล้วเว้ยโชค”

 

          และเมื่อจบสัปดาห์แรกของเดือนมิถุนายน โชคก็ได้ที่เรียนแน่นอนอย่างเป็นทางการ เหมือนกับเพื่อนสนิทที่จะได้กอดคอเรียนด้วยกันไปอีกห้าปี ในคณะเดียวกันแม้จะต่างสาขาวิชา

 

          ...คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาสถาปัตยกรรมหลักของมิกซ์ และสถาปัตยกรรมภายในของโชค

 



 

          มิถุนายนล่วงเลยเข้าสู่ช่วงท้ายของเดือน โชคอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ จากเด็กหนุ่มสู่การเริ่มต้นการเป็นผู้ใหญ่ ในสายตาของแก้วเด็กชายของเขาโตขึ้นทุกๆ ปีอยู่แล้ว แต่ในครั้งนี้กลับรู้สึกว่าเจ้าหนูคนนั้นเติบโตขึ้นกว่าทุกวันเกิดที่ผ่านมา

 

          ทั้งที่เคยตัวเล็กแค่เขาโอบอุ้มด้วยแขนข้างเดียว ตอนนี้กลับตัวใหญ่เสียยิ่งกว่าเขา

 

          ทั้งที่เคยตัวสั่นกลั้นน้ำตา ตอนนี้กลายเป็นมีรอยยิ้มกว้างติดใบหน้าอยู่เสมอ

 

          ทั้งที่เคยเป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่เก็บมาจากข้างถังขยะกลางพายุฝน ตอนนี้กลับกลายเป็นสมาชิกคนสำคัญของบ้าน

 

          จากแค่คนแปลกหน้า สู่การเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับคนรู้ใจ

 

          “สุขสันต์วันเกิด” ถ้อยคำที่ยังคงมีความหมายไม่ต่างจากครั้งแรกที่เคยเอ่ย

 

          ...ยินดีที่เธอได้เกิดมา

 

          “ขอบคุณครับ” โชคยิ้มรับ ฝังหน้าเข้ากับหน้าท้องเจ้าของตักที่เขากำลังหนุนนอน โอบรอบเอวสอบแน่นพลางถูหน้าไปมาเหมือนหมาอ้อนเจ้าของไม่มีผิด

 

          แก้วปล่อยให้โชคทำตามใจ พลางลูบกลุ่มผมที่เริ่มยาวจนไม่ตำมือเพราะไม่ได้ตัดตั้งแต่ปิดเทอมของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน

 

 

 

          คืนนั้นโชคมานอนห้องแก้วเหมือนอย่างที่ทำประจำในช่วงสองสามเดือนมานี้ แต่พอตกดึกกลับลุกลงจากเตียง เจ้าของห้องนอนใหญ่ที่ยังหลับไม่สนิทลืมตาตื่นเมื่อไออุ่นที่แนบชิดแผ่นหลังจางหายไป

 

          แก้วไม่ได้ตามออกไปดู เขารู้ว่าชายหนุ่มวัยยี่สิบปีหายไปไหน เหมือนกับหลายๆ คืนที่ผ่านมา และยามเช้าที่เขารับรู้ได้ถึงร่างกายที่ตื่นตัวของอีกฝ่าย ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรในเมื่อโชคเองก็เป็นผู้ชายวัยเจริญพันธุ์ที่สุขภาพแข็งแรงดีคนหนึ่ง...

 

          แต่ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ แก้วก็ยังคิดไม่ตกอยู่ดี

 

          ปัญหาไม่ใช่เรื่องของการมีเซ็กส์ แก้วผ่านโลกมาเนิ่นนานเกินครึ่งชีวิต ทั้งยังรู้ขั้นตอนก่อนมีเพศสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายด้วยกันดี แต่เป็นความรู้สึกต่างหากที่ทำให้เขายังคงลังเลใจ โชคไม่เคยมีเซ็กส์มาก่อน ถึงจะเกือบๆ กับแฟนเก่าตามคำบอกเล่าของเจ้าตัว แต่ก็ยังไม่ได้เกินเลยถึงขั้นนั้น

 

          แก้วรู้ว่าโชครักเขา แต่นั่นก็เป็นคนละเรื่องกัน เซ็กส์นั้นสะเปะสะปะและน่าตลก ทำให้รู้สึกดี แต่ก็ไม่ได้งดงามหอมหวานเหมือนอย่างในภาพฝัน มันมีความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ความชอบ ความต้องการ ทุกอย่างล้วนต้องปรับเข้าหาคู่นอน ...หากสุดท้ายแล้วเขากับโชคเข้ากันไม่ได้จะทำอย่างไร ในเมื่อปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งของการคบหาระหว่างคู่รัก

 

          และหากพวกเขาผ่านมันมาได้ด้วยดี แก้วก็ยังมีสิ่งที่ต้องคิดอีกอยู่

 

          สัมผัสทางกายที่ลึกซึ้ง จะยิ่งนำความรู้สึกให้แนบแน่น ความสัมพันธ์ของเขากับโชคจะขยับก้าวไปอีกขั้น และมันจะเป็นก้าวที่ไม่อาจถอยหลังได้อีก แล้วพอถึงตอนนั้น ความรู้สึกที่มีไม่เท่ากันตั้งแต่แรกจะย้อนกลับมาทำร้ายพวกเขาหรือเปล่า

 

          ...ฟู่ฟ่อง ล่องลอย ร่วงหล่น แตกสลาย

 

          เพราะราคาความเสี่ยงของความรักนั้นสูงเสมอ

 

          โชคกลับเข้ามาอีกครั้งหลังจากหายไปเกือบครึ่งชั่วโมง ค่อยๆ แทรกตัวลงใต้ผ้าห่มอย่างระมัดระวังเพราะกลัวจะทำอีกคนตื่น แต่อีกคนนั้นตื่นอยู่แล้ว แก้วพลิกตัวหันมาหา ขยับหัวเข้าไปอิงซบติดหัวไหล่กว้าง เลื่อนมือลงไปกุมเกี่ยวเข้ากับเรียวนิ้วของอีกฝ่าย

 

          “โชค เธออยากทำไหม” เอ่ยถามเพียงแผ่วเบา แต่ก็มั่นคงไม่สั่นไหว

 

          “ครับ? ทำอะไร” ในตอนแรกโชคยังไม่เข้าใจความนัยน์กำกวม กระทั่งได้สบเข้ากับดวงตาสีเข้ม แม้ในความมืดสลัวราง ก็ยังเห็นมันแวววาวอย่างเชิญชวน

 

          “เซ็กส์” คำตอบเรียบง่าย แต่กลับเรียกความร้อนวูบแล่นพล่านไปทั่วร่างของผู้ฟัง โชครู้สึกเอียงอายเกินกว่าจะมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น ทั้งที่ก็เคยปล่อยร่างกายไหลไปตามอารมณ์จนเกือบเลยเถิดกันมาแล้วในวันวาน แต่พอถูกถามตรงไปตรงมาแบบนี้กลับรู้สึกขลาดเขินเหลือเกิน

 

          ทว่าแม้จะเขินอาย ก็ยังคงพยักหน้าตอบ

 

          “ครับ”

 

          “อือ” มีเพียงเสียงครางเครือในลำคอบ่งบอกว่ารับรู้แล้ว และโดยดุษณี โชคก็เข้าใจได้ว่ายังไม่ใช่ในวันนี้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังต้องการสัมผัสแนบชิดที่จะมาช่วยปลอบโยนหัวใจที่กำลังเต้นเร่า

 

          รสจูบร้อนฉ่า ทว่าไม่เร่งรีบ ค่อยๆ ละเลียดชิมรสรักหวานฉ่ำอย่างอ่อนโยน ความหวามไหวไหลผ่านจากปลายลิ้นสู่กลางอก ความอบอุ่นแล่นริ้วจากปลายนิ้วที่สอดประสานสู่กลางหัวใจ ทีละเล็กทีละน้อย...

 

          แก้วคิดว่าคำว่ารักของเขาคงใกล้ตรงกันกับของโชคแล้ว

 



.....

ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
.....
 





          วันเสาร์แรกของเดือนกรกฎาคม แก้วที่กินอาหารรสอ่อนมาตั้งแต่วันศุกร์กินแค่ข้าวต้มเป็นมื้อสาย พอฟ้ามืดก็เข้าไปอาบน้ำอยู่นานกว่าจะกลับออกมาเปลี่ยนให้อีกคนไปอาบบ้าง โชครู้สึกใจสั่นอย่างตื่นเต้นและเป็นกังวลไปพร้อมกัน

 

          หลังจากวันนั้นที่น้าแก้วถามว่าเขาอยากทำไหม และคำตอบของเขาคือใช่ เขาอยากทำ อยากกอดแก้วให้ลึกซึ้งที่สุด อยากหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน แม้จะเพียงร่างกายและยืนยาวเพียงชั่วข้ามคืน แต่คนเราก็มีความละโมบอยากกลืนกินตีตราเสมือนว่าเป็นเจ้าของคนที่ตนรักกันอยู่แล้วทั้งนั้น...

 

          โชคยืนระส่ำระส่ายอยู่หน้าประตูห้องนอนใหญ่ ใจเขาเปิดประตูเข้าห้องไปรอก่อนแล้ว แต่ร่างกายกลับยังละล้าละลังอย่างประหม่า ...มันจะเป็นครั้งแรกของเขา แม้ว่าจะเคยสัมผัสร่างกายตัวเอง และเคยได้มีช่วงเวลาวาบหวามเกือบเกินเลยกับแฟนสาวคนแรกมาก่อน แต่นั่นมันแตกต่างไปจากตอนนี้โดยสิ้นเชิง

 

          ...กับแพร ส่วนหนึ่งในความรุ่มร้อนนั้นมากจากความอยากรู้อยากลองตามประสาวัยรุ่น และความรู้สึกของพวกเขาที่มีต่อกันนั้นก็ยังคงเบาบางผิวเผิน แม้แพรจะชอบโชคมาก แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเรียกได้ว่ารัก เหมือนกันกับที่โชคชอบแพรเพราะเป็นความสบายใจ ไม่ใกล้คำว่ารักเลยสักนิด

 

          ส่วนในตอนนี้ คนที่อยู่หลังบานประตูกั้นคือน้าแก้ว... คือแก้วที่เขารักจนหมดใจ ความรู้สึกลึกซึ้งหยั่งรากมั่นคงจนหาไม่เจอแล้วว่ามาจากที่ตรงไหน และน้ำหนักของการตัดสินใจที่จะทำกันต่อจากนี้ก็ห่างไกลจากคำว่าอยากรู้อยากลองไปมากเหลือเกิน

 

          เขากำลังจะได้ร่วมรัก อย่างจริงจังกับคนเดียวที่เป็นเจ้าของหัวใจ

 

          หลังจากรวบรวมความกล้าทั้งชีวิต โชคก็บิดลูกบิดประตูเข้าไป เอ่ยเรียกเสียงแหบแห้ง “น้าแก้ว...”

 

          คล้ายว่าคนในห้องรับรู้ถึงตัวตนของเขาที่ยืนใจฝ่ออยู่หน้าห้องมาสักพักแล้ว ใบหน้าที่ปกติจะเรียบเฉยจึงดูผ่อนคลายลงอย่างนึกเอ็นดู แก้วนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง กวักมือเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มานี่สิ”

 

          ชายหนุ่มทำตามอย่างว่าง่าย ย้ายตัวเองไปหยุดยืนข้างเตียง แต่ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อเลยได้แต่ยืนนิ่งๆ ฝ่ายคนเจนสนามยกยิ้มปลอบโยน คว้าข้อมือออกแรงดึงเป็นคำใบ้ให้นั่งลงเสียที ก่อนจะค่อยๆ ดึงรั้งให้ร่างกายเครียดเกร็งขยับเข้ามาใกล้... ใกล้จนลมหายใจร้อนผ่าวลามเลียใบหน้ากันและกัน

 

          “ไม่เป็นไร ครั้งแรกของทุกคนมันก็ดูตลกแล้วก็น่าอายกันทั้งนั้นแหละ” คำพูดใกล้เคียงกับที่เคยเอ่ยสอนเด็กวัยรุ่นไปในวันวานถูกใช้อีกครั้ง ทุกคำล้วนมาจากประสบการณ์ของชายวัยกลางคนเอง

 

          ตลก เพราะร่างกายที่ขยับเงอะงะอย่างไม่คุ้นชิน

 

          น่าอาย เพราะเมื่อเวลาผ่านไปจะนึกขึ้นมาได้ว่าน่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้

 

          แต่ทั้งหมดนั้นไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นประสบการณ์ให้ได้เรียนรู้

 

          พื้นฐานชีวิตคนเราเองก็ไม่ต่างไปจากการมีเซ็กส์นักหรอก

 

          ริมฝีปากแนบชิดบดเบียดกันอย่างนุ่มนวล ร่างกายที่เคยแข็งเกร็งเริ่มผ่อนคลายลงโอนอ่อนตามสัมผัสหวามไหว แก้วทิ้งตัวลงจนแผ่นหลังแนบเข้ากับเตียง ปล่อยให้คนเด็กกว่าทาบทับอยู่ด้านบน พวกเขาจูบกัน ก่อนจะผละออกเพื่อสบตาแล้วจูบกันใหม่ ยิ่งเวลาผ่านไปความร้อนก็ค่อยๆ แผดเผาให้ความกังวลหรือเนียมอายมอดไหม้ไปจนหมดสิ้น

 

          ฝ่ามือร้อนแทรกสอดเข้าไปลูบผ่านผิวกายใต้เนื้อผ้า ริมฝีปากฉ่ำชื้นลากไล้สัมผัสไปตามเรียวคางยาวถึงลำคอก่อนจรดลงที่ไหปลาร้านูนเด่น โชคพยายามจะถอดเสื้อนอนสีเข้มที่กั้นขวางเขากับผิวเนื้อของอีกฝ่ายออก แต่แก้วรั้งมือเขาเอาไว้เสียก่อน

 

          “จะเปิดไฟทำหรือปิดไฟ” คำถามในช่วงที่ความต้องการพุ่งทะยานทำเอาชายหนุ่มหยุดชะงัก แต่เพียงไม่นานก็เข้าใจถึงความสำคัญของคำถาม เพราะเป็นครั้งแรกของเขา มันจึงมีความกระดากอายที่อยากซุกซ่อนเอาไว้ในเงามืด แต่อีกใจก็อยากจะเห็นใบหน้าของน้าแก้วเหลือเกิน อยากเห็นร่างกายที่เขาจะได้สัมผัสให้ชัดเจนเต็มสองตา และเพราะความปารถนาจะจดจำภาพคนที่รักเอาไว้มีมากกว่า โชคจึงเอ่ยตอบอย่างไม่ลังเล

 

          “เปิดไฟครับ”

 

          “อืม” ตอบรับเพียงเท่านั้น เสื้อยืดที่สวมใส่ก็ถูกถอดออกอย่างง่ายดาย โชคไล่สายตามองแผ่นอกแบนราบที่มีขี้แมลงวันแต้มอยู่ทางด้านขวา นิ้วเรียวยาวแตะลงอย่างแผ่วเบาตรงจุดสีเข้ม ก่อนจะโน้มตัวไปจูบลงบนนั้นทั้งหัวใจที่เต้นรัว

 

          เรียวลิ้นร้อนแลบเลียชิมรสผิวกายกรุ่นกลิ่นสบู่อ่อนจาง ลากไล้เข้าใกล้ยอดอกสีน้ำตาลอ่อนอย่างไม่แน่ใจว่าต้องทำอย่างไร แก้วหัวเราะขบขันกับท่าทีใสซื่อนั้น มือเรียวช่วยประคองศีรษะของอีกฝ่ายให้ขยับไปอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม พูดบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

 

          “ค่อยๆ เลีย ไม่ต้องรีบ อืม...ดูดเบาๆ แบบนั้นแหละ” เป็นคำพูดลามกที่ฟังดูนุ่มนวลเหลือเกินเมื่อออกจากปากของแก้ว โชคเหลือบตาขึ้นมามองสบ เห็นแววในดวงตาสีเข้มที่ทอดมองเขาอย่างอบอุ่น จนไม่แน่ใจนักว่าน้าแก้วกำลังมองเขาด้วยความรู้สึกของแม่ที่กำลังให้นมลูกน้อยอยู่หรือเปล่า...

 

          แต่ก็คงไม่ใช่ ในเมื่อมันทอประกายแวววาวอย่างเย้ายวน และเคล้าด้วยเสียงครางเครืออย่างพึงพอใจ

 

          แก้วไม่ได้แสดงท่าทีขัดเขินสมกับที่โชกโชนประสบการณ์ ขยับร่างกายนำอีกคนให้เคลื่อนไหวไปอย่างถูกที่ถูกทาง การเล้าโลมไม่ได้เนิ่นนานนักเมื่อถูกทำโดยคนไม่ประสา ก่อนที่มันจะกลายเป็นน่าเบื่อแก้วก็หยัดตัวขึ้นเผชิญหน้า กลายเป็นฝ่ายเร้าร่างกายคนหนุ่มที่อารมณ์ที่พลุ่งพล่านให้เตลิดฟุ้งขึ้นไปอีก

 

          เสื้อผ้าถูกปลดเปลื้องจนสองกายเปลือยเปล่า แก้วใช้มือรูดรั้งส่วนตื่นตัวจนแข็งขึงปริ่มจะรินหลั่งออกมา จากนั้นก็คว้าเอาถุงยางที่เตรียมไว้จากโต๊ะข้างหัวเตียงมาฉีกซองสวมใส่ให้อย่างช่ำชอง โชคมองคนตรงหน้าเทเจลหล่อลื่นใส่มือจนชุ่ม สองเข่าแยกออกให้ได้ระยะฐานมั่นคง ก่อนยกสะโพกขึ้นเพื่อตระเตรียมช่องทาง

 

          ใบหน้าชวนมองของชายวันสี่สิบสองเชิดขึ้นเล็กน้อย แผ่นอกขยับไหวตามจังหวะการหายใจที่แรงกว่าปกติ ขณะที่เรียวนิ้วค่อยๆ แทรกสอดเข้าไปในร่างกาย เรียวคิ้วขมวดเข้าหากันในช่วงแรกๆ ที่ดูติดขัดเพราะห่างหายไปหลายปี แต่ไม่นานก็ปรับตัวได้ด้วยร่างกายยังคงจดจำสัมผัสคุ้นเคยที่ผ่านมาได้อยู่

 

          นี่คงเป็นสิ่งที่อาธีร์ได้เห็นตลอดมา... อยู่ๆ โชคก็คิดถึงชายร่างสูงใหญ่ ผู้มีใบหน้าหล่อเหลาและครอบครองรอยยิ้มดุจดวงตะวันคนนั้นขึ้นมา

 

          หัวใจบีบรัดแน่นจนเจ็บปวด ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องมาคิดถึงเอาตอนนี้ด้วย ในตอนที่เขากำลังจะได้โอบกอดเติมเต็มคนที่เขารักหมดหัวใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด ยิ่งเมื่ออยู่บนเตียงหลังเดียวกับที่ใครคนนั้นเคยโอบกอดแก้วไว้ เคยจูบ เคยลูบไล้ เคยแทรกกายเข้าไป...ก่อนเขา

 

          หึงหวง ชื่อของความรู้สึกที่ก่อร่างขึ้นมาภายในใจ

 

          โชคโถมตัวเข้าไปคว้ากอดแก้วเอาไว้ทั้งที่อีกฝ่ายยังไม่เตรียมตัวไม่เสร็จ แก้วงุนงง แต่ก็ใช้มือข้างที่ว่างโอบกอดตอบ ลูบหัวลูบหลังอย่างปลอบประโลมทั้งที่เขาไม่เข้าใจ แต่ก็พอจะรับรู้ได้ว่าตัวโชคกำลังสั่นไหวด้วยความรู้สึกที่แสนเปราะบาง

 

          “เป็นไร หืม” แก้วถอนนิ้วออกจากช่องทางที่พร้อมใช้งานแล้ว ขยับขึ้นคร่อมบนตักจัดท่าให้ได้องศาสอดใส่ แต่ไม่ได้รีบร้อนเร่งทำอะไร ทิ้งเวลาให้ไหลผ่านไปกับการจ้องตา

 

          “ย้ายไปทำต่อที่ห้องผมได้ไหมครับ” เด็กน้อยเว้าวอน ดวงตาคู่สวยที่มองสบฉายชัดทุกความรู้สึก หากแต่มีมากเกินไปจนแก้วเดาไม่ออก

 

          “ทำไมล่ะ” โชคฝังหน้าเข้ากับแผ่นอกแน่นเนื้อ อู้อี้ตอบกลับมาไม่เต็มเสียงนัก “เพราะว่าน้าแก้ว.. กับอาธีร์...ที่นี่”

 

          แก้วเข้าใจได้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่อถึงอะไร สองแขนจึงกระชับอ้อมกอดให้แนบแน่น

 

          “ถ้าเพราะเรื่องนั้น ฉันกับธีร์ก็เคยทำกันในห้องนั้นเหมือนกันนะ” คำบอกกล่าวทำให้คนที่ถูกกอดชะงักงัน อยากจะเอ่ยถามรายละเอียด แต่ในใจก็ร่ำร้องว่าไม่อยากรู้ และดูเหมือนคนโตกว่าจะเข้าใจความคิดของเขาได้เป็นอย่างดี

 

          จูบอ่อนโยนแนบชิดลงมา ไล่จากหน้าผากมาจนถึงปลายจมูกแล้วผละห่าง ดวงตาสีเข้มจ้องมองเข้าไปยังนัยน์ตาคมสวยที่กำลัง...น้อยใจ

 

          “เรื่องที่ฉันกับธีร์เคยมีอะไรกันทำให้เธอรู้สึกแย่เหรอ” ต้นเหตุความน้อยใจเอ่ยถาม

 

          “ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่แบบนั้น” คนขี้น้อยใจส่ายหน้าปฏิเสธ

 

          “แล้วทำไมล่ะ”

 

          “เพราะว่า... เพราะพอผมคิดว่าอาธีร์เคยกอดน้าแก้วแบบไหน ผมก็รู้สึก..โกรธ...”

 

          “หึงฉันเหรอ”

 

          “...ครับ” ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา เขาไม่ชอบความรู้สึกที่เป็นอยู่ตอนนี้เลยสักนิด

 

          “โชค” เมื่อถูกเรียกชื่ออย่างอ่อนโยน โชคก็ยอมโอนอ่อนตามที่อีกฝ่ายชี้นำ แผ่นหลังพิงสัมผัสกับหมอน ในขณะที่คนข้างบนขยับถอยไปนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า “เรื่องของฉันกับธีร์มันผ่านไปแล้ว”

 

          “ผมรู้ แต่...” พูดได้เท่านั้นก็หาคำอธิบายต่อไม่ได้ ในเมื่อตัวเองยังไม่เข้าใจความรู้สึกที่วิ่งวุ่นอยู่ในหัวเลย

 

          “เธอคิดว่าเพราะฉันเคยนอนกับธีร์ก็เลยเป็นของธีร์ก่อนเธอใช่ไหม” ชายหนุ่มพูดถูก ตรงประเด็นจนโชคได้แต่หยักหน้ารับ แก้วถอนหายใจ “เด็กน้อย ...แค่เพราะฉันเคยนอนกับใครไม่ได้หมายความว่าฉันจะกลายเป็นของคนนั้น ฉันไม่เคยเป็นของธีร์ และจะไม่มีวันเป็นของเธอ ฉันเป็นของตัวฉันเอง”

 

          “...ครับ” โชคเข้าใจในสิ่งที่แก้วบอก แม้จะรู้สึกวูบโหวงในใจกับคำว่าจะไม่มีวันเป็นของเขาก็ตาม แต่เพราะน้าแก้วเป็นน้าแก้ว เป็นคนคนหนึ่งที่เป็นเจ้าของตัวเองเหมือนกับทุกๆ คน ไม่ใช่สิ่งของที่ต้องมีเจ้าของครอบครอง นั่นคือความเคารพตัวเองที่แก้วมี และการทำความเข้าใจยอมรับมันก็คือการเคารพผู้อื่นที่โชคควรกระทำ... แม้จะทำใจยากลำบากก็จำเป็นต้องทำ

 

          มือเรียวยื่นมาแตะสัมผัสแผ่วเบาที่ข้างแก้ม เชื้อเชิญให้มองสบตากันอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ไม่มีแววยั่วยวนเร่าร้อนสะท้อนอยู่ มีเพียงความจริงใจแสนอ่อนโยน

 

          “คนที่ฉันอยู่ด้วยตอนนี้คือเธอนะ” ประโยคเรียบง่ายที่มีความหมายตรงตัว สำหรับโชคแล้วมันกลับให้ความรู้สึกลึกซึ้งราวคำบอกรัก

 

          “ครับ” รับคำเสียงอ่อน ก่อนจะคว้าตัวคนตรงหน้าเข้าไปกอดแน่น ร่างกายยังคงร้อนผ่าวด้วยอารมณ์ความต้องการ แต่หัวใจกลับสงบเพียงได้มีอีกคนอยู่ในอ้อมแขน

 

          เวลาเดินผ่านไปอย่างอ้อยอิ่ง แก้วทิ้งหัวซบไว้บนอกอุ่นเปลือยเปล่า ฟังเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอชวนกล่อมให้จมสู่นิทรา ทว่าส่วนกลางตัวที่แข็งขึงบดเบียดกับหน้าท้องเขากลับกำลังอ้อนวอนว่าอย่าเพิ่งนอนในตอนนี้

 

          “ทำต่อไหม” แก้วว่า และเมื่อโชคพยักหน้า เขาก็ขยับเปลี่ยนท่าให้พร้อมสำหรับการร่วมรัก

 

          ชายวัยกลางคนนั่งคร่อมตักชายหนุ่ม บีบเจลหล่อลื่นชโลมส่วนกลางกายที่อ่อนลงเล็กน้อย แล้วสัมผัสกระตุ้นให้ตื่นตัวเต็มที่อีกครั้ง ก่อนจะเปลี่ยนสวมถุงยางอันใหม่ให้พร้อมกับใส่ให้ตัวเอง เมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพก็ทำการสอดใส่อย่างใจเย็น

 

          แก้วค่อยๆ ทิ้งสะโพกลงรับเอาโชคเข้ามาจนเต็มแน่น แม้จะตระเตรียมช่องทางมาแล้วแต่ก็ยังคงคับแคบเกินไปสำหรับของจริง ฝ่ายที่ต้องทนรับความเจ็บปวดนิ่วหน้า เอนหน้าผากอิงซบกับไหล่กว้างอย่างต้องการที่พักพิง ขยับเนิบนาบจนในที่สุดก็รับเข้ามาได้สุดความยาว โชคกัดฟันพยายามอดทนกับความรุ่มร้อนและอ่อนนุ่มที่ตอดรัด แต่เขายังเป็นแค่ลูกเจี๊ยบอ่อนหัดในกิจกรรมบนเตียง สุดท้ายก็ทำได้แค่คว้ากอดแก้วแน่น หัวใจเต้นระรัว ลมหายใจหอบขาดห้วง แล้วหลั่งหยาดอารมณ์ออกมาเต็มถุงยาง

 

          ฝ่ายคนเจนสนามรับรู้ได้ถึงส่วนสำคัญที่กระตุกเกร็งในร่างกาย โชคเสร็จเพียงแค่เพราะการขยับเคลื่อนไหวเชื่องช้า เด็กน้อยของเขาก้มหน้างุดอย่างอับอาย แต่มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องรู้สึกอายเสียหน่อย ภาพจำจากหนังโป๊ที่สร้างความคิดที่ว่าการเสร็จเร็วเป็นเรื่องน่าหัวเราะนั้นไร้สาระสิ้นดี ร่างกายคนตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เข้ามากระทบ คนเรามีเซ็กส์ก็เพื่อให้เสร็จสม แล้วทำไมการที่ร่างกายตอบสนองตามธรรมชาติถึงกลายเป็นเรื่องน่าขายหน้าไปได้ แม้ว่ามันจะจริงที่หากเสร็จเร็วเกินไป ก็อาจจะทำให้คู่นอนพอใจไปด้วยไม่ได้

 

          แต่กับโชคที่นี่เพิ่งเป็นครั้งแรก ความตื่นเต้นและประหม่ายังมีอยู่มาก ในครั้งต่อๆ ไปที่ร่างกายเริ่มคุ้นชินแล้วก็คงทำได้นานขึ้นกว่าเดิมเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว

 

          “โชค ไม่เป็นไรหรอกนะ” แก้วกระซิบเรียกเสียงหวานอย่างปลอบโยน ยกสะโพกให้หลุดจากการเชื่อมต่อของสองกาย รูดรั้งถุงยางที่เต็มไปด้วยสารคัดหลั่งมามัดปากแล้วทิ้งลงถังขยะข้างเตียง ก่อนจะหยิบอันใหม่มาพร้อมกับใบหน้าที่เคลื่อนลงต่ำลงไปตรงหว่างขาที่ส่วนชูชันยังคงแข็งตัวอยู่ครึ่งๆ กลางๆ

 

          “น้าแก้ว!” โชคร้องเรียก รีบใช้สองมือจับตรึงใบหน้าคนโตกว่าไว้เพื่อให้หยุดการกระทำ ถึงแม้จะอ่อนประสบการณ์ แต่เขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำอะไร และเพราะกระดากเขินเกินกว่าจะรับไหว พวงแก้มแดงซ่านลามถึงหูจนเห่อร้อนไปหมด

 

          “ฉันบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร” เพราะศีรษะถูกจับตรึงไว้ แก้วจึงใช้มือแทน และก่อนที่โชคจะทันได้ปริปากว่าอะไรอีก เรียวลิ้นฉ่ำชื้นก็แตะลงบนส่วนปลาย ความรู้สึกสะท้านวาบวิ่งปั่นป่วนไปทั่วช่องท้อง เรี่ยวแรงในมือที่ค้ำดันใบหน้าแก้วไว้หดหาย สุดท้ายก็เหลือเพียงความเสียวซ่านจากโพรงปากร้อนชุ่มที่ปรนเปรอให้ล่องลอย

 

          โชคครางแผ่วเมื่อความต้องการทะยานสูง แก้วถอนปากออกแล้วสวมถุงยางให้อีกครั้ง ก่อนจะคว้าหมอนมารองบั้นเอวแล้วดึงให้ชายหนุ่มขึ้นมาคร่อมอยู่ด้านบนแทน เรียวขาแยกออกกว้างพอให้อีกฝ่ายแทรกกายอยู่ตรงกลาง เกี่ยวกระหวัดรั้งสะโพกให้แนบชิดบดเบียดตรงจุดที่จะใช้เชื่อมต่อ คนหนุ่มรู้งานโดยไม่ต้องให้บอกเป็นคำพูด หยิบเจลหล่อลื่นมาใช้อีกครั้ง ก่อนค่อยๆ แทรกกายเข้าไปเนิบช้าเพราะกลัวจะทำอีกฝ่ายเจ็บ

 

          ฝ่ายคนโดนสอดใส่เชิดหน้าขึ้นหลับตาเมื่อร่างกายที่คุ้นชินกับสิ่งแปลกปลอมแล้วเริ่มส่งความรู้สึกวาบหวามไปตามเส้นประสาท ยิ่งเมื่อตรงนั้นของโชคเคลื่อนผ่านจุดกกระสันในตัวก็ยิ่งหอบครางอย่างรัญจวน กระทั่งอีกฝ่ายเข้ามาจนสุดความยาวแล้วแช่ค้างไว้อย่างไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อ ดวงตาสีเข้มจึงค่อยปรือเปิดแล้วเบนกลับขึ้นมองคนบนตัว

 

          ...เด็กน้อยของเขากำลังร้องไห้

 

          “ร้องไห้ทำไม” แก้วถาม ยกมือขึ้นลูบปาดหยดน้ำตาที่ไหลริน

 

          “ผมไม่รู้...” โชคตอบเสียงสั่น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าร้องไห้ทำไม เพียงแต่ในตอนที่เขาอยู่ข้างในตัวแก้ว เมื่อได้มองคนใต้ร่างอย่างเต็มตา เรือนผมยาวเคลียบ่าสยายอยู่บนผ้าปู มีบางปอยที่เปียกชุ่มเหงื่อแนบลู่ไปกับลำคอ ขี้แมลงวันบนอกราบกับอีกแต้มจุดข้างสะดือเด่นชัดเมื่อร่างกายเปล่าเปลือย ใบหน้าที่ปกติจะนิ่งเฉยแสดงอารมณ์ความต้องการออกมา เสียงหอบครางเครืออย่างพึงพอใจก็ด้วย ...ทั้งหมดนั่นเป็นเพราะเขา

 

          เพียงแค่คิดว่าในที่สุดก็ได้โอบกอดแก้วจนลึกสุดใจขนาดนี้ ความร้อนทั้งหมดในร่างกายก็กลั่นตัวไหลออกมาจากกระบอกตา แล้วก็ยิ่งร้องไห้หนักเมื่อคนตรงหน้าคลี่ยิ้มเช่นเดียวกับแววตา... อบอุ่นแสนอ่อนโยน

 

          เด็กขี้แยถูกรั้งหลังคอให้โน้มลงไปรับจูบ นุ่มนวล แนบแน่น แสนเนิ่นนาน

 

          หวานหยดทั้งที่หยาดน้ำตาเค็มปร่า

 

          “ขยับสิ” มือเรียวประคองกรอบหน้าคนเด็กกว่าไว้ เอ่ยบอกเสียงอ่อนก่อนร่างกายจะขยับเป็นจังหวะสอดรับประสานกันจนความสุขสมล้นทะลัก

 

          ในความเร่าร้อนของจังหวะเนิบช้า แก้วคอยช่วยปาดน้ำตาให้เด็กน้อยตัวโตของเขา

 

 

 

          ท่ามกลางความมืดที่เหลือเพียงแสงเรื่อรางจากเครื่องปรับอากาศ แก้วมองคนในอ้อมแขนที่ยังคงมีหยดน้ำเกาะตามแพขนตา ทั้งที่เสร็จกิจกันไปแล้วก็ยังคงร้องไห้ จนลุกไปทำความสะอาดร่างกายกันแล้วก็ยังคงมีน้ำตาคลอ โชคร้องไห้เพียงแค่เพราะได้กอดเขา ร่างกายของชายวัยกลางคนทำให้รู้สึกดีได้ถึงขนาดนั้นเชียวหรือ หรือเป็นเพราะเขาคือคนที่โชครัก

 

          ถ้าเป็นเช่นนั้น...

 

          เขาก็คงถูกรักมากมายเหลือเกิน

 

          แก้วซุกจมูกลงตรงไรผมสั้น แนบริมฝีปากทิ้งไว้บนหน้าผากของชายหนุ่ม กระชับแขนกอดให้ได้มุมพอดีอีกครั้งแล้วหลับตาลง เขาถูกรักมากมายขนาดที่ไม่รู้เลยว่าจะให้คืนกลับไปได้อย่างเท่าเทียมเมื่อไหร่ แต่ถึงอย่างนั้นในตอนนี้ เขาก็ให้ชื่อกับความรู้สึกที่มีต่ออีกฝ่ายว่ารักได้แล้ว

 

          ...ฉันก็รักเธอ โชค

 

 

 

TBC...

           :-[ ไม่ไหวแล้วค่ะทุกคน เขินมากเลย พอเอามาลงจริงก็เขินสุดๆ แต่ก็หวังว่ามันจะเป็นฉากร่วมรักที่แสนอ่อนโยน ละมุนละไม และเต็มไปด้วยความเข้าใจชวนให้หัวใจอุ่นฟูนะคะ เพราะรีนตั้งใจไว้ว่าอยากเล่าเรื่องราวความรักที่ยาวนานโดยถ่ายทอดเรื่องราวความรู้สึกมากกว่าความเร่าร้อนของตัวเอก อยากจะให้ค่อยๆ ซึบซับความรักของพวกเขาแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าตลอดกาลจะสิ้นสูญ

 

          ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจ ทุกคอมเมนต์ และทุกการอ่านนะคะ

          ขอบคุณเสมอ พวกคุณคือกำลังใจของรีน

 

          See U on Thursday!


ออฟไลน์ _himura_

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกมากๆๆๆ รอนะคะ

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0

ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 35

 

          สิงหาคมโชคเปิดเรียน ชีวิตเฟรชชี่ปีหนึ่งมีกิจกรรมมากมาย ทั้งที่มีสาระและไร้สาระ แต่ถึงอย่างนั้นโชคก็เข้าร่วมกับทุกกิจกรรม ทำให้บางครั้งก็กลับบ้านดึกดื่น แก้วไม่ได้ว่าอะไร เขาเองก็เคยผ่านช่วงเวลาแบบนั้นมา เพียงแต่เอ่ยถามอยู่เสมอว่าถูกบังคับให้ทำอะไรที่เกินกว่าเหตุหรือเปล่า เพราะถ้ายังมีการกดขี่โดนใช้ข้ออ้างความต่างชั้นปีของรุ่นพี่เข้าข่มเด็กใหม่อยู่ เขาก็จะไม่ยอมนิ่งเฉย อาจจะขอเข้าพบคณะบดี ทั้งในฐานะผู้ปกครองและศิษย์เก่า หลังจากรุ่นเขานานนับยี่สิบปีแล้ว มันก็ควรจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นไม่ใช่หรือ

 

          “รุ่นพี่ใจดีนะครับ จริงๆ ก็เหมือนพวกปีสูงๆ เขาอยากสั่งเข้าระเบียบเหมือนรุ่นตัวเองอยู่ แต่พวกปีสองปีสามไม่ยอม บอกว่ามันลิดรอนสิทธิมนุษยชน พวกผมเลยมีแค่พวกกิจกรรมเล่นเกมเจอเพื่อนกับห้อยป้ายชื่อเวลาอยู่ในคณะเฉยๆ” โชคเล่าเรื่องที่ได้ทำในวันนี้ให้แก้วฟัง ราวกับเป็นกิจวัตรประจำระหว่างมื้ออาหารไปแล้ว

 

          เช่นเดียวกับที่แก้วจะเล่าเรื่องที่ทำงานให้ฟังบ้างเล็กๆ น้อยๆ จากที่เมื่อก่อนคนโตกว่าจะเป็นฝ่ายรับฟังเรื่องราวในรั้วโรงเรียนของเด็กชายฝ่ายเดียว กลายเป็นแลกเปลี่ยนสิ่งที่ได้พบเจอมาให้กันและกันฟัง เวลามีปัญหาก็ปรึกษา มีเรื่องดีๆ ก็แบ่งปัน

 

          ...เหมือนกับคู่ชีวิต

 

          การได้ใช้ชีวิตร่วมกับใครสักคนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างกันแม้ในวันมืดหม่นให้ความรู้สึกอุ่นใจจนน่าประหลาด

 



 

          ดึกดื่นคืนหนึ่งในเดือนกันยา โชคถูกมิกซ์หิ้วปีกมาส่งถึงบนเฉลียงหน้าบ้าน แก้วที่ออกมารับถูกโถมตัวกอดจนเกือบเซล้ม ดีที่ขนาดร่างกายไม่ได้แตกต่างกันมากถึงได้ยันรับน้ำหนักคนเมาได้ไหว

 

          ดวงตาสีเข้มเบนสบคนสติดีอย่างต้องการคำอธิบาย เด็กหนุ่มร่างเล็กได้แต่ยิ้มแหย ก่อนเปิดปากเล่าเรื่องที่โดนรุ่นพี่ร่วมกับเพื่อนๆ ที่พากันไปร้านเหล้าเชียร์เร้าให้ดื่มแอลกอฮอล์ มิกซ์ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการดื่ม แต่เขาขี่มอเตอร์ไซค์มา และถ้ากลับบ้านแบบเมาแอ๋ต้องโดนแม่ด่าแน่ๆ ยังไม่รวมกับเรื่องที่เขายังไม่บรรลุนิติภาวะ ซึ่งทางเทคนิคแล้วถือว่ามีความผิดอยู่ดี โชคเลยอาสารับแทนหมดจนสติพร่าเลือนแบบนี้

 

          “โดนบังคับรึเปล่า” แก้วถามอย่างใจเย็น

 

          “เอ่อ ไม่เชิงบังคับ แต่ก็กดดันอยู่พอสมควรเลยครับ” มิกซ์ว่าอย่างตรงไปตรงมา

 

          “อืม จริงๆ ถ้าไม่อยากกินก็ปฏิเสธไปเถอะ ถ้าเชียร์ไม่ขึ้นเดี๋ยวพวกนั้นก็เลิกยุ่งกันไปเอง”

 

          “ครับ”

 

          “แล้วเธอเมารึเปล่า ขี่รถไหวไหม” แก้วถามย้ำอย่างเป็นห่วง แต่รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าน่ารักตอนยืนยันคำตอบก็ทำให้สบายใจว่าเด็กหนุ่มจะกลับบ้านเองได้อย่างปลอดภัย

 

          “ไหวครับ ไม่ได้แตะสักอึก โชคกินแทนให้หมดแล้ว”

 

          “อืม ขอบใจที่พามาส่ง แต่วันหลังถ้าเมาแบบนี้อย่าพากันซ้อนมอเตอร์ไซค์มา มันอันตราย ให้โทรเรียกฉันหรือแม่ไปรับ เข้าใจไหม” เอ่ยกำชับเสียงจริงจังอีกรอบอย่างที่ผู้ใหญ่ควรจะทำ มิกซ์พยักหน้ารับก่อนบอกลาเสียงใสแล้วออกไปขึ้นคร่อมรถจักรยานยนต์คู่ใจเพื่อบิดกลับบ้านไปฟังเจ๊ดาบ่นให้หูชา

 

          พ้นหลังแขกจากไปแล้ว แก้วก็คล้องโซ่ล็อกรั้วบ้านทันที พอกลับเข้ามาก็เจอเจ้าหมาตาเยิ้มที่เดินมาอ้อนกอดคลอเคลีย ถ้าเป็นปกติแก้วจะปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจ แต่ตอนนี้เขากลับยกมือขึ้นปิดปากกรุ่นกลิ่นสุรา ผลักให้ถอยออกห่างแล้วลากเจ้าตัวเข้าไปในห้องน้ำ สั่งให้ล้างหน้าล้างตาแปรงฟันเสร็จก็หนีขึ้นห้องนอน ล็อกประตูกันไม่ให้คนเมาตามเข้าไปได้

 

          คืนนั้นเป็นครั้งแรกที่โชคโดนลงโทษโดยการไม่ได้นอนกับแก้ว

 

 

 

          เช้าวันต่อมาโชคตื่นขึ้นมาพร้อมอาการปวดตุบในหัว มองดูข้างกายว่างเปล่าบนเตียงนอนแสนคุ้นชินที่ไม่ได้ใช้งานมาสักพักแล้วอย่างงุนงง แต่ไม่นานก็จำได้ทุกอย่าง รวมถึงดวงตาสีเข้มที่ฉายแววดุจริงจังตอนที่เขาพยายามจะจูบคู่นั้นด้วย

 

          ชายหนุ่มลงมาชั้นล่างในตอนสาย เห็นแก้วนั่งสูบบุหรี่อยู่บนโซฟามุมประจำ กับถ้วยกาแฟว่างเปล่าที่บ่งบอกว่ามื้อเช้าของเจ้าตัวจบลงแล้ว

 

          “...น้าแก้ว” เอ่ยเรียกเสียงอ่อน โชคเดินคอตกเข้าไปนั่งคุกเข่าลงบนพื้นต่อหน้าผู้ปกครอง

 

          “ทำไมถึงได้เมาขนาดนั้น” การสั่งสอนเริ่มต้นขึ้นเมื่อแก้วขยี้ก้นกรองลงในที่เขี่ย น้ำเสียงราบเรียบ แววตานิ่งสงบแต่กลับกดดันอยู่ในที

 

          “ผมขอโทษครับ”

 

          “ฉันไม่ได้อยากให้เธอพูดว่าขอโทษ”

 

          “...ผมดื่มมากไปหน่อย”

 

          “ตั้งใจดื่มเอง หรือโดนบังคับ”

 

          “...ดื่ม..เองครับ”

 

          แก้วถอนหายใจ ดูท่าว่าเด็กตรงหน้าจะยังไม่เข้าใจ ว่าการที่ถูกคนรอบข้างยั่วยุเร้าหรือเองก็เป็นการบังคับรูปแบบหนึ่งโดยใช้การกดดันจากคนหมู่มาก เขาไม่ได้โกรธเจ้าหมาตาใสตรงหน้าเพราะเรื่องที่ดื่มแอลกอฮอล์ ตัวแก้วเองก็ดื่มบ้างนานๆ ที แต่ก็ยั้งตัวเองให้คงสติไว้ได้ทุกรอบ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยเมามาย ตอนสมัยเรียนเขาก็เป็นขาประจำร้านเหล้าอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าเขาดื่มจนเมาด้วยความต้องการของตัวเอง

 

          “โชค” น้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย เช่นเดียวกับแววตา “ถ้าเธอไม่อยากดื่มก็บอกไปว่าไม่อยากดื่ม ไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองเพื่อให้ใครพอใจหรอกนะ”

 

          โชคเงยหน้าขึ้นจากพื้น สบตากับน้าแก้วตรงๆ แล้วพยักหน้า ขยับตัวเข้าหาอย่างดูเชิง และเมื่อแก้วอ้าแขนออกก็ขยับไปซุกหน้าลงบนตัก โอบกอดเอวเจ้าตัวไว้แน่น แต่แก้วยังมีเรื่องให้พูดอยู่อีก

 

          “ฉันไม่ว่าถ้าเธอจะดื่มเหล้า แต่ต้องรู้จักยั้งตัวเองให้มันพอดี เธอจำได้ไหมว่าเมื่อคืนทำอะไรไปบ้าง”

 

          “ผม...จูบน้าแก้ว”

 

          “แค่นั้นเหรอ” พอได้ยินคำถามก็เบิกตาโต โชคผละจากตักอุ่นขึ้นมามองหน้าคู่สนทนา

 

          “ผมทำอะไรอีกเหรอครับ”

 

          “เธอจูบฉันนั่นแหละ” แก้วว่า ลูบเสยเส้นผมที่ไว้ยาวจนปรกข้อนิ้วยามไล้ผ่านไปด้านหลังแผ่วเบา “แต่เธอจูบฉันทั้งที่ฉันบอกให้เธอหยุด”

 

          คนมีความผิดนิ่งงันไป คิดไตร่ตรองความทรงจำพร่าเบลอในหัวอย่างถี่ถ้วน และเป็นอย่างที่แก้วว่า ในห้องน้ำเขาจูบแก้วทั้งที่ถูกเบี่ยงหน้าหนี ฝืนดึงดันทั้งที่โดนสั่งเด็ดขาด จนสุดท้ายก็ถูกผลักออก ก่อนที่คนโดนคุกคามอย่างเอาแต่ใจจะเดินหนีขึ้นบ้านไปแล้วไม่ให้เขานอนด้วย

 

          ...ก็สมควรแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดต่อกัน เขาก็ไม่มีสิทธิ์ไปบังคับฝืนใจอีกฝ่าย หากแก้วไม่ยินยอม ที่เขาทำก็เข้าข่ายการล่วงละเมิดทางเพศชัดๆ

 

          “ขอโทษครับ ผมขอโทษ” พูดออกไปได้เพียงเท่านั้น ไม่มีการแก้ตัวใดๆ ดวงตาคู่สวยเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

 

          “อืม แล้วถ้าเกิดคนที่โดนไม่ใช่ฉัน เธอจะทำยังไง”

 

          “ผมทำแบบนี้กับน้าแก้วคนเดียว”

 

          “เธอไม่รู้หรอกถ้าเธอเมา” ความเงียบงันทำให้บรรยากาศหนักอึ้ง ทั้งที่ร่างกายแตะสัมผัสกันอยู่ แต่กลับรู้สึกหนาวขึ้นมา จนกระทั่งแก้วเป็นฝ่ายที่พูดทำลายความอึมครึมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนหยอกเย้า “อย่าเมาจนคุมตัวเองไม่ได้แบบนี้อีกนะ ฉันไม่อยากให้เธอไปจูบคนอื่น”

 

          “ครับ” รับคำทั้งที่รู้สึกร้อนวาบไปทั้งหน้า ขัดเขินขึ้นมากับการที่แก้วแสดงออกว่าหวงเขาเป็นครั้งแรก

 

          แก้วปล่อยให้เจ้าหมาปีนขึ้นมาเลียปากเขา โดยที่ครั้งนี้ยินยอมเปิดปากให้อย่างง่ายดาย โอบกอดรอบคออีกฝ่ายไว้เมื่อถูกเอนตัวทับทำให้ต้องนอนราบลงกับโซฟา การคลอเคลียนี้จะไม่พาเลยเถิดไปไหนไกล เพียงแค่จูบกับกอดก่ายกันไว้เท่านั้น

 

          ชายวัยย่างสี่สิบสามไม่แน่ใจว่าเขามีความคิดที่จะหึงหวงอย่างที่พูดไปจริงไหม เพราะไม่เคยคิดว่าโชคจะไปจูบกับใครคนอื่นอีก จนกระทั่งมานึกคิดดูดีๆ ก็ได้คำตอบว่ามันอาจจะไม่ได้รุนแรงถึงขั้นที่จะต้องโวยวายโมโหใหญ่โต แต่ก็คงทำให้หงุดหงิดใจไม่น้อยเลย...

 

          เพราะทั้งที่เป็นแค่ความคิด มันก็ทำให้รู้สึกไม่ชอบใจจริงๆ นั่นแหละ

 



 

          ฤดูฝนจากไปในสายลมเย็นชื้นกลางเดือนตุลา แก้วอายุเต็มสี่สิบสามปี เช้าวันเกิดเขาตื่นขึ้นมาในอ้อมแขนอุ่น ใต้ผ้าห่มนวมคือร่างกายเปลือยเปล่าที่แนบชิดจนร้อนผ่าว รู้สึกปวดเมื่อยตามเนื้อตัวตามวัยที่ล่วงเลย จะให้แข็งแรงดีเหมือนคนหนุ่มสาวก็คงไม่ได้ ไม่เหมือนตัวการที่ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพนี้

 

          แต่จะว่าคนหนุ่มฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ ในเมื่อตัวเขาก็ต้องการเองด้วย

 

          แก้วชั่งใจอยู่ว่าจะทำอย่างไรในเช้าวันทำงานเช่นนี้ แต่เพราะบริษัทที่ขยับขยายจนใหญ่โตมั่นคงดีแล้วทำให้งานของเขาลดลง และตำแหน่งของเขาเองก็ไม่จำเป็นต้องเข้างานตั้งแต่เช้าตรู่ เขาจึงเลือกที่จะซุกตัวกลับลงไปในความอบอุ่นจากตัวคนข้างๆ นอนอีกสักงีบจนช่วงสายที่อีกฝ่ายต้องลุกขึ้นอาบน้ำเตรียมตัวออกไปเรียนคาบบ่าย

 

          จากนั้นตอนเย็นพวกเขาก็มีมื้อค่ำง่ายๆ กับเค้กก้อนเล็กที่เจ้าของงานไม่คิดจะแตะ แต่ก็ได้ชิมรสชาติของมันผ่านริมฝีปากของอีกคนอยู่ดี และคืนนั้นแก้วก็เข้านอนโดยที่ถูกกอดเอาไว้

 

          เป็นอีกหนึ่งวันเกิดแสนเรียบง่ายและธรรมดา

 



 

          เทศกาลหน้าหนาวผ่านพ้นไปโดยที่โชคกับแก้วอยู่เคียงข้างกัน กระทงแผ่นขนมปังที่ไม่จำเป็นต้องอธิษฐานขอพรอีกแล้ว คริสต์มาสอีฟเองก็ไม่ต้องรอคอยของขวัญจากซานต้าอีกต่อไป... ในเมื่อเขามีทุกอย่างที่ต้องการแล้ว

 

          คืนสิ้นปีเวียนมาอีกครั้ง โชคกับแก้วสวมเสื้อคลุมทับออกมานั่งรอเวลาพลุไฟแต่งแต้มท้องฟ้ากลางลมหนาว มะลิในปีที่อายุสิบเอ็ดยังคงสมบูรณ์แข็งแรงดี แมวเพศเมียโตเต็มวัยจับจองพื้นที่บนผืนพรมอุ่นหน้าประตูไม้บานพับ ปล่อยให้สมาชิกหนุ่มสองคนในบ้านได้ใช้เวลาร่วมกันลำพัง

 

          กระทั่งเสียงนับถอยหลังสิ้นสุดลง ดอกไม้ไฟผลิบาน คนสองคนก็ลุกออกไปให้พ้นชายคา มองท้องฟ้าเปล่งประกายโชติช่วงด้วยแสงไฟระยิบระยับ

 

          เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็เนิ่นนานเหลือเกินในบางครั้ง

 

          วันนี้เมื่อสามปีก่อน ระยะห่างระหว่างพวกเขานั้นไกลจนไม่อาจเอื้อมไปจับมือเย็นเฉียบข้างนั้นมากอบกุมไว้

 

          วันนี้เมื่อสองปีที่แล้ว คำปฏิเสธรักชัดเจนเสียจนหัวใจเจ็บปวด ได้ลิ้มรสขมปร่าเค็มปะแล่มของน้ำตาและการอกหัก

 

          วันนี้เมื่อปีที่ผ่านมา ในที่สุดคำบอกรักที่ให้ไปก็ได้รอยยิ้มกลับมาพร้อมคำว่า ‘ขอบใจ’

 

          จนมาถึงวันนี้ ที่มือของพวกเขาประสานเกี่ยวกันไว้ตั้งแต่ต้น ไม่มีรสขมหรือเค็ม มีแต่ความหวานจากจูบแนบแน่น ...กับคำบอกรักที่ย้อนกลับมาเป็นครั้งแรก

 

          “ผมรักแก้วนะ”

 

          “ฉันก็รักเธอ โชค”

 

          จวบจนพลุราจนหมดฟ้า โชคก็ยังคงจมอยู่ในภวังค์ที่รอยยิ้มของแก้วสว่างไสวกว่าริ้วดอกไม้ไฟเบื้องหลัง ดวงตาสีเข้มแวววาวสะท้อนภาพเขานั้นอบอุ่นจนรู้สึกร้อนวาบไปทั้งอก ถ้อยคำที่รอคอยมาแสนนานก้องกังวานอยู่ในหู...

 

          แก้วบอกรักเขาอย่างอ่อนโยนและหนักแน่นในความหมาย

 

          โชคร้องไห้อีกแล้ว ด้วยหัวใจที่เป็นสุขจนไม่รู้จะเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างไร

 

 

 

          วานเลนไทน์เดือนสอง สงกรานต์เดือนสี่ วันเกิดของโชคในเดือนมิถุนา ตุลาที่แก้วแก่ขึ้นอีกปี จนจันทร์เต็มดวงลอยเด่นอีกหนในเดือนสิบเอ็ด คริสต์มาสหนาวเย็นท้ายเดือนธันวา เรื่อยมาจนครบอีกปี ฤดูกาลผันผ่านโดยมีสองคนในบ้านไม้สีขาวสองชั้นหลังเก่าจับมือกันเอาไว้

 

          โชครักแก้วไม่ลดลงเลย

 

          และเช่นเดียวกัน

 

          แก้วก็ค่อยๆ รักเด็กน้อยของเขามากขึ้นในทุกๆ วัน
 

 

 
TBC...

          ตอนนี้เป็นตอนที่สั้น และบอกเล่าเรื่องราวในแต่ละช่วงเวลาที่ไม่ปะติดปะต่อนัก แต่ก็หวังว่าจะได้เห็นชีวิตประจำวันปกติของทั้งสองคนที่จับมือกันผ่านพ้นวันเวลาที่หมุนเวียนเปลี่ยนผันไปตามวัฏจักรของมันที่ไม่มีวันหยุดนิ่ง ในตอนที่เขียนหัวใจของรีนเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขที่ทำให้หัวใจฟูฟ่องมากๆ เลยค่ะ จึงหวังว่าขณะที่นักอ่านไล่สายตาไปตามตัวอักษรที่มีไม่ถึงหมื่นตัวนี้จะมีความรู้สึกที่อบอวลด้วยความรักที่แสนนุ่มนวลเช่นกันนะคะ

          ปล.ขอโทษที่มาลงช้าไปหนึ่งวันนะคะ พอดีเมื่อวานรีนออกไปทำธุระข้างนอกตอนช่วงเย็นยาวๆ แล้วก็ลืมไปเลยค่ะ แง้  :ling2:

 

          ขอบคุณทุกการอ่าน คอมเมนต์ และกำลังใจ

          ขอบคุณค่ะ

 

          เจอกันในวันจันทร์หน้านะคะ


ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 36

 

          หน้าร้อนตอนโชคอยู่ปีสอง เดือนเมษาที่ได้หยุดยาวช่วงสงกรานต์ก่อนที่จะมีการสอบปลายภาคในเดือนพฤษภาคม เขากับน้าแก้วก็ได้ไปทะเลอย่างที่เคยสัญญากันไว้เสียที

 

          หลังจากพามะลิไปฝากบ้านเพื่อนสนิท โชคก็เป็นคนขับรถจากกรุงเทพมหานครมุ่งลงใต้สู่ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทางเกือบสองร้อยกิโลเมตรใช้เวลาสองชั่วโมงเศษ แก้วลงจากรถที่จอดเทียบริมทางเท้า บนถนนเส้นเดียวกับที่เขาเคยพาเด็กชายตัวน้อยวัยแปดปีมาดูทะเลเป็นครั้งแรก

 

          “น้าแก้ว” มือใหญ่ของชายหนุ่มตัวโตยื่นมาตรงหน้า แก้วหัวเราะแผ่วเบาเมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าเมื่อก่อนเขาก็เคยทำเช่นเดียวกันนี้กับเจ้าตัวเหมือนกัน มือเรียวจึงวางลงในอุ้งมือคนร้องขอ ก่อนเดินเคียงกันไปตามทางที่นำพาสู่ชายหาดกับผืนน้ำกว้างใหญ่

 

          ท้องฟ้ากับน้ำทะเลแบ่งเขตแดนกันด้วยเฉดสีที่แตกต่างเพียงเล็กน้อย เกลียวคลื่นต้อนฟองเหมือนกับลมไล่ก้อนเมฆ ภาพสะท้อนที่ไม่เหมือนกันในรายละเอียดปลีกย่อยชวนให้รู้สึกเหงาแต่ก็ทำให้ใจสงบจนน่าประหลาด แก้วถอดรองเท้าตามคนข้างกาย เดินตามที่อีกฝ่ายชักจูงจนปลายเท้าสัมผัสความชุ่มฉ่ำ คลื่นซัดเข้าหาฝั่ง จรดจูบกับผืนทรายใต้ฝ่าเท้า

 

          ...เย็น แต่ก็อุ่นร้อน จากลมหายใจที่รินรดผิวหน้า โชคก้มลงมาขโมยจูบแก้มเขาทีหนึ่ง ไม่ได้เนิ่นนานอ้อยอิ่ง เพียงชั่ววูบเดียวที่ลมทะเลพัดผ่านมา

 

          แก้วจำไม่เห็นได้เลยว่าทะเลหัวหินกลางเดือนเมษามันทำให้ร้อนวูบวาบเสียขนาดนี้

 

 

 

          ที่พักไว้ที่จองไว้เป็นที่เดียวกับเมื่อสิบสามปีก่อน ตัวห้องพักมีการปรับปรุงตกแต่งใหม่ทับโครงสร้างเดิม บ้านหลังน้อยตรงมุมสุดขอบที่ดินยังคงเป็นส่วนตัว แต่ก็ไม่ได้ห่างไกลจนดูโดดเดี่ยวนัก และชิงช้าใต้ต้นมะพร้าวก็ยังคงอยู่ ไม่รู้ว่าเป็นตัวเดิมที่พวกเขาเคยนั่งหรือเปล่า เมื่อมั่นอยู่ในสภาพโดนแดดเลียจนสีซีดจาง แต่ก็ยังมั่นคงแข็งแรงดีอยู่

 

          โชคเก็บกระเป๋าเข้าห้อง ในขณะที่แก้วจุดบุหรี่ขึ้นสูบ เดินฝ่าลมที่หอบเอากลิ่นเกลือมาด้วยสู่ชิงช้าตัวใหญ่

 

          เรือนผมยาวจนเลยบ่าเพราะไม่ได้ตัดมาพักใหญ่ปลิวไหว เสื้อสีขาวที่สวมใส่ใหญ่กว่าตัวเขาเล็กน้อยแนบลู่ไปกับผิวฝั่งที่ลมตีปะทะ ควันขมุกขมัวแตกตัวกระจายหายไปทันทีที่พ่นผ่านริมฝีปากออกมา แต่สำหรับโชคแล้วภาพตรงหน้าเปรียบดั่งทิวทัศน์ของคำว่าตลอดกาล

 

...ชั่วนิรันดร์ของเขาคือน้าแก้ว

 

          “สูบมากๆ ไม่ดีนะครับ” โชคสอดขาข้างหนึ่งข้ามแผ่นไม้กระดานไป แล้วนั่งลงโดยที่เขาหันหน้าเข้าหาเจ้าของกลิ่นควันเหม็นไหม้และใบยาสูบ

 

          “อย่าเพิ่งเข้ามาใกล้สิ เดี๋ยวก็สำลักควันหรอก” แก้วว่า ทิ้งมวนกระดาษที่มอดไปยังไม่ถึงครึ่งมวนดีลงพื้นแล้วใช้เท้าขยี้ดับ หันหน้าหนีไปอีกทางเพื่อส่งควันก้อนสุดท้ายให้ลอยห่าง

 

          “ทำไมตอนนั้นเราถึงไม่ได้มาที่นี่กันอีกเลยล่ะครับ” คนโดนดุเปลี่ยนเรื่องคุย ถามถึงเหตุผลที่ในอดีตที่ปิดเทอมหน้าร้อนน้าแก้วจะพาเขามาทะเล แต่กลับไม่เคยไปซ้ำที่เดิมเลยสักครั้ง

 

          “ฉันไม่อยากให้เธอเบื่อ” แก้วตอบ ยกมือขึ้นลูบศีรษะที่ทิ้งมาพิงพักไว้บนไหล่เขา “ทะเลแต่ละที่ไม่เหมือนกันหรอกนะ ฉันเลยอยากให้เธอได้เห็นมัน”

 

          “ผมไม่เบื่อหรอก” โชคกระชับแขนที่โอบเอวอีกฝ่ายราวกับจะใช้มันยืนยันคำพูด “ถ้ามีน้าแก้วอยู่ด้วยผมไม่เบื่อหรอก”

 

          ชิงช้าโยกไหวตามแรงของคนโตกว่า โดยมีเด็กน้อยของเขายึดครองไหล่ไว้ไม่ห่าง กับปลายทางของสายตา ห่างไกลออกไปเบื้องหน้าพวกเขาคือท้องทะเลกว้างใหญ่ เสียงคลื่นแว่วมากล่อมให้ยามบ่ายใต้ท้องฟ้าแจ่มใสกลายเป็นสถานที่แสนสงบ

 

          สิบสามปีผ่านไปอย่างเชื่องช้าในชั่วพริบตาเดียว

 

 

 

          ค่ำคืนแรกของการมาเที่ยวทะเล หลังจากมื้อเย็นที่ไปซื้อของกินง่ายๆ มาจากร้านปากทางเข้าที่พัก แก้วนอนดูทีวีไปเรื่อยอย่างไม่ใส่ใจนัก ในขณะที่โชคนอนอยู่ข้างๆ เล่นโทรศัพท์มือถือ ไม่ได้มีบทสนทนา แต่ก็ไม่ได้ทำให้อึดอัด พวกเขาอยู่ด้วยกันตลอดจึงมีช่วงเวลาเช่นนี้บ่อยๆ ต่างคนต่างทำเรื่องของตัวเองด้วยกัน

 

          จนกระทั่งตัวเลขบนมุมจอโทรทัศน์บอกเวลาสี่ทุ่มกว่า แก้วก็ลุกไปอาบน้ำ ใช้เวลานานกว่าปกติ โชคไม่ได้ไปตาม ด้วยรู้ว่าน้าแก้วต้องใช้เวลาสำหรับเตรียมร่างกายสำหรับกิจกรรมบนเตียงที่เขาอ้อนขอ เป็นเรื่องที่ยุ่งยากพอสมควรกับการร่วมรักที่ต้องมีการบอกกล่าวกันก่อนล่วงหน้า บางครั้งที่อารมณ์กำลังพลุ่งพล่านไฟติดขึ้นมา ก็ต้องยั้งตัวเองไว้เพื่อไปจัดการล้างข้างในให้เรียบร้อยก่อน

 

          โชคเคยบอกว่าเขาไม่คิดมากถ้าจะมีอะไรติดออกมาบ้าง ยังไงก็สวมถุงยางกันอยู่แล้ว แต่แก้วยืนกรานว่าไม่เด็ดขาด เขาเลยต้องยอมตามใจ เพราะอย่างไรเสียคนที่ต้องรับภาระกับเรื่องวุ่นวายมากมายเหล่านี้ก็คือน้าแก้วเป็นส่วนใหญ่ และเซ็กส์จะฝาดเฝื่อนทันทีเมื่อมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สบายใจกับสิ่งที่ทำกันอยู่

 

          “ไปอาบน้ำได้แล้ว” แก้วกลับออกมาใต้ผ้าขนหนูผืนเดียว นิ่งสงบไม่สนใจสายตากะลิ้มกะเหลี่ยที่จ้องมองมา

 

          ชายหนุ่มวัยยังไม่หยุดโตเดินหอบผ้าขนหนูสวนเข้าห้องน้ำไป โดยที่ไม่ลืมแวะฝากร่องยุบเป็นรอยฟันไว้บนไหล่กว้าง ไม่ได้ตั้งใจกัดให้เจ็บ แต่กัดเพราะมันเขี้ยว ไม่ว่าจะกี่ครั้ง น้าแก้วผู้สุขุมของเขาก็ไม่เคยแสดงอาการขัดเขินกับเรื่องบนเตียงออกมาให้เห็นเลย

 

          และเมื่อกลับออกมาโชคก็แทบวูบ เมื่อคนบนเตียงกำลังใช้นิ้วอาบเจลหล่อลื่นเบิกขยายช่องทางรอเขาอยู่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินหน้ามุ่ยไปนั่งลงตรงหน้า พร้อมกับดวงตาวาววับเป็นประกาย

 

          “ผมขอทำให้ได้ไหม”

 

          “อือ” แก้วรับคำง่ายดาย ถอนนิ้วตัวเองออกแล้วยื่นขวดเจลให้อีกฝ่ายเอาไปจัดการต่อ

 

          เรียวนิ้วแทรกสอดเข้าไปในช่องทางอุ่นร้อน ขยับขยายให้คุ้นชินกับจำนวนที่ค่อยๆ เพิ่มเข้าไป ผ่านมาเป็นปีแล้วนับจากครั้งแรกที่ได้ร่วมสัมพันธ์กันเช่นนี้ โชคไม่ใช่ลูกเจี๊ยบไม่ประสาอ่อนประสบการณ์อีกต่อไป เขาเรียนรู้ว่าแก้วชอบอะไร จุดไหนจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดี แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังทำให้น้าแก้วผู้จัดเจนคนนั้นเสียอาการไม่ได้เลยแม้สักครั้ง

 

          อย่างเช่นในตอนนี้ ที่แก้วยังคงสงบนิ่งได้ถึงขนาดที่ช่วยใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมที่ยังชุ่มน้ำหยดเป็นเม็ดให้เขาอยู่

 

          “น้าแก้ว”

 

          “หืม ว่าไง” ดวงตาสีเข้มเบนลงสบตา ยกยิ้มซุกซนที่ทำให้คนได้รับปั่นป่วน มีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่าเด็กน้อยตรงหน้าคิดอะไรอยู่ เพราะแบบนั้นก็เลยรู้สึกเอ็นดูจนอยากแกล้งขึ้นมา

 

          “สนใจผมหน่อย”

 

          “ก็สนใจอยู่นี่”

 

          “ไม่ใช่ผมผมสิครับ”

 

          “ก็หัวเธอเปียก เวลาน้ำหยดโดนตัวฉันมันเย็นนะ” เจ้าหมาตัวโตย่นหน้า แก้วเลยใช้ผ้าพันรอบกรอบหน้าพลางดึงรั้งเข้ามาจูบปลอบใจ “ใส่เข้ามาเลยเถอะ ฉันพร้อมแล้ว”

 

          “ครับ” ถึงจะดูขัดใจแต่ก็ยอมรับคำแต่โดยดี โชคสวมถุงยางให้ตัวเอง แต่ไม่ได้ใส่ให้แก้วด้วย ทั้งที่ปกติถ้าทำที่บ้านจะใส่ไว้ไม่ให้มันเลอะที่นอน แต่เพราะตอนนี้อยู่ข้างนอก และผ้าปูที่นอนของรีสอร์ทก็เปลี่ยนทุกวันอยู่แล้ว

 

          จังหวะการขยับไหวของร่างกายสอดคล้องกันดีเมื่อต่างฝ่ายต่างคุ้นชินกันอยู่แล้ว โชครู้ว่าแก้วชอบให้ทำแบบไหน และแก้วก็รู้ว่าจะทำอย่างไรให้โชครู้สึกดี

 

          เซ็กส์ที่เต็มไปด้วยความเข้าใจนั้นเป็นเซ็กส์ที่ดี

 

          แก้วพลิกเปลี่ยนท่าขึ้นมาอยู่ด้านบนบ้างเมื่อเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ สองมือวางค้ำอกอุ่นอยู่ในมือใหญ่ที่กอบกุมไว้อีกที ขยับควบสะโพกบดเบียดให้ร่างกายสอดประสานกันลึกซึ้งขึ้นไปอีก แต่ปอยผมยาวที่ตกลงมาปรกใบหน้าจนทำให้มองอะไรไม่ชัดชวนให้หงุดหงิดใจ เขาเลยต้องหยุดกิจกรรมไว้กลางคัน เอี้ยวตัวไปคว้าหยิบเอายางรัดผมเส้นสีดำจากกองของติดตัวบนโต๊ะข้างหัวเตียงมามัดรวบเรือนผมไว้เป็นมวยเล็กๆ ที่ด้านหลัง

 

          โชคไม่ชอบที่อารมณ์ต้องสะดุดลงในจังหวะที่กำลังได้ที่เช่นนี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพที่ได้เห็นเมื่อกี้ฉุดให้ความปารถนาของเขาพุ่งทะยานขึ้นไปอีกหลายระดับ

 

          ...น้าแก้วเซ็กซี่เป็นบ้า

 

          หลังจากที่ได้สิทธิ์สำรวจร่างกายของแก้วตามใจชอบมาเนิ่นนานนับปี โชคก็ได้รู้ว่าที่ต้นขาด้านในข้างซ้ายของแก้วมีจุดแต้มสีเข้มเล็กๆ อีกหนึ่งจุด

 

 

 

          สองคืนหลังจากนั้นโชคทำได้แค่เพียงนอนกอดแก้วจนถึงเช้า เพราะการกินอาหารซีฟู๊ดกับน้ำจิ้มรสเด็ดทำให้แก้วท้องไส้ปั่นป่วนขึ้นมา แต่หากตัดเรื่องที่อหการเป็นพิษออกไป พวกเขาก็ได้ใช้เวลาดีๆ ร่วมกันตั้งมากมาย...

 

          ได้ดูพระอาทิตย์โผล่พ้นน้ำในยามเช้าตรู่ เก็บรูปภาพแทนความทรงจำใต้แสงตะวันเจิดจ้าสาดส่อง กินอาหารทะเลสดใหม่ ไหว้พระขอพรให้การเรียนราบรื่นและสุขภาพแข็งแรงดี จากนั้นก็ไปเดินเล่นริมหาดทรายนุ่มละเอียด ปล่อยให้น้ำทะเลปริ่มข้อเท้า จนแสงแห่งวันลาลับไปจากฟ้า ก็พากันไปเดินตลาดกลางคืน ดื่มจนดวงตาฉ่ำปรือที่บาร์ข้างทาง จูบรสขมปร่าของเหล้า เคล้ากับความหวานที่สร้างขึ้นมาจากความรู้สึก

 

          โชคกอดแก้วไว้อย่างทะนุถนอม... ราวกับโอบกอดโลกทั้งใบไว้ในอ้อมแขน

 



 

          ครึ่งปีแรกกำลังจะผ่านพ้นไป เดือนมิถุนายนใกล้จบลง โชคฉลองวันเกิดครั้งที่ยี่สิบสอง เขาเติบโตแล้ว แต่ก็ยังเยาว์วัยนักหากเทียบกับอีกคนที่ก้าวนำเขาไปเป็นเท่าตัว

 

          โชคจะไม่มีวันโตทันแก้ว ชายหนุ่มรู้ดี แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากโตมากพอที่จะสามารถดูแลอีกฝ่ายได้ในฐานะคู่ชีวิต เพราะอย่างนั้นโชคจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะทำตัวสุขุมและมีเหตุผล ...แต่เด็กก็ยังคงมีความเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ

 

          “ให้ผมไปด้วยไม่ได้เหรอครับ” โชคทำหน้าที่สารถีขับรถมาส่งแก้วหน้าตึกบริษัทที่ขยับขยายซื้ออาคารข้างเคียงทุบรวมเข้าให้เป็นสำนักงานใหญ่ ฝั่งตรงข้ามถนนไปเป็นสถาบันสอนเทควันโด้ที่โชคเรียนจนจบชั้นประถม ยามเช้าตรู่ที่ยังคงมืดสนิทเงียบเหงาจนวังเวง

 

          “ฉันไปคุยงาน สามสี่วันก็กลับแล้ว” แก้วว่า เปิดประตูรถเตรียมจะลงไปพร้อมกระเป๋าสัมภาระใบเล็กที่ไม่จำเป็นต้องให้อีกฝ่ายมาช่วยถือ

 

          “...ครับ” เอ่ยรับคำง่ายดาย แม้ภายในใจจะไม่ได้คล้อยตามเลยสักนิด แต่โชคก็ไม่อยากงอแงแค่เพราะแก้วกำลังจะต้องลงไปคุยงานไกลห่างถึงกระบี่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นายสถาปนิกต้องไปต่างจังหวัดเพราะเรื่องงาน ยิ่งเมื่อห้าหกปีก่อนยิ่งไปบ่อยครั้ง ทว่ามันดันเป็นครั้งแรกที่ต้องห่างกันนับตั้งแต่พวกเขาเลื่อนสถานะขึ้นมา

 

          ดูเหมือนว่าการได้เป็นคนรักจะทำให้คนเราทำเหตุผลหล่นหายไปเสียหลายส่วน

 

          “เป็นอะไร ทำไมทำหน้าแบบนั้น” คนที่กำลังจะต้องเดินทางไกลหยุดชะงักยังไม่ลงจากรถ เมื่อเห็นดวงตาคู่สวยฉายแววเศร้าสร้อยจ้องมองมา

 

          “ผมไม่อยากห่างแก้วเลย” โชคพูดเสียงอ่อน ซบแก้มลงกับหลังมือที่กำจับพวงมาลัยรถไว้ แก้วยกยิ้มบาง ยื่นมือมาลูบหัวเด็กน้อยขี้งอแง

 

          “ไว้เดี๋ยวจะโทรหา”

 

          ชายหนุ่มอายุน้อยกว่ายอมพยักหน้าตกลง แต่ยังคงรั้งมือเรียวที่ข้างแก้มตนเอาไว้ ก่อนหันมากดจูบแผ่วเบา แต่อ้อยอิ่งจนเจ้าของมือต้องยื่นหน้าไปใกล้ ส่งริมฝีปากให้แทนถึงที่

 

          “โทรมาเรื่อยๆ นะครับ”

 

          “อืม ถ้าว่างจะโทร”

 

          “ตอนนอนคอลทิ้งไว้ได้ไหมครับ”

 

          “ถ้าฉันได้นอนห้องเดี่ยวน่ะนะ”

 

          “น้าแก้ว...”

 

          “ดูแลบ้านดีๆ” แก้วผละห่างเมื่อเสียเวลากับการล่ำลาเจ้าหมาตัวโตที่ติดเขาแจมากเกินไปแล้ว หอบหิ้วกระเป๋าลงจากรถ ส่งยิ้มบางแทนการบอกลาอีกครั้งแล้วเดินตรงเข้าไปยังตัวตึกอันเป็นจุดนัดพบของคณะเพื่อนร่วมงานที่จะเดินทางไปด้วยกัน

 

          การมีโชคอยู่ข้างกายทำให้แก้วไม่เหงา ไม่ใช่แค่ไม่เหงาแต่ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ความรักที่ได้รับมา และการได้มอบความรักกลับไป การกลับบ้านดูมีความหมายขึ้นมาเมื่อมีคนรอคอยให้เรากลับไปหา

 

          เพียงแต่ว่า... ช่องว่างยี่สิบสองปีของวัยที่ต่างกันนั้นมีมากเกินไป

 

          แก้วแก่แล้ว เขาต้องการเพียงความเข้าใจที่เรียงง่ายแสนสงบ โชคให้เขาได้ แต่ในขณะเดียวกันโชคก็ยังคงเป็นเด็ก ยังต้องการความรัก อยากอยู่ใกล้กันตลอดเวลา จนบางครั้งมันก็ทำให้แก้ว... เหนื่อย

 



 

          ตุลาฝนซารับหน้าหนาว แก้วอายุสี่สิบห้า หลังมื้อเย็นและเค้กที่ไม่ได้กินเองก็มีโทรศัพท์หนึ่งสายต่อตรงมาเหมือนกับทุกปี

 

          ด้วยเบอร์เดิมที่บันทึกไว้ด้วยชื่อเดิมไม่เคยเปลี่ยน

 

          ...ธีร์

 

          “สุขสันต์วันเกิดนะแก้ว” เสียงทุ้มนุ่มดังผ่านสัญญาณคลื่นมาทางอากาศ แม้จะไม่เห็นหน้าแต่รอยยิ้มเจิดจ้ากลับเด่นชัด ทั้งที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาก็ตั้งหลายปีแล้ว

 

          หลังจากรุ่งสางกลางเดือนกรกฎาครั้งนั้น จนสิงหาที่โชคได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งหมด โชคก็แสดงอาการไม่ต้อนรับแขกด้วยการไม่ยอมพูดยอมจากับคุณอาอีกเลย แม้ธีร์จะแวะเอาของขวัญคริสต์มาสและของขวัญวันเกิดมาให้ ก็ไม่ยอมพูดแม้แต่คำว่าขอบคุณ และเมื่อไม่เป็นที่ต้อนรับ ธีร์ก็ไม่ฝืนดึงดันมาทำให้บรรยากาศของบ้านหลังนี้เสียอีก ทำเพียงติดต่อกับแก้วผ่านการโทรคุยกันบ้างนานๆ ครั้ง เหมือนย้อนกลับไปในช่วงปีที่เขาเพิ่งมีลูก และยังคงส่งของขวัญมาให้เรื่อยๆ แม้คนได้รับจะไม่แกะออกดูสักกล่องก็ตาม

 

          “ขอบใจ” เจ้าของวันเกิดตอบกลับไป จากนั้นก็เงียบงันหลงเหลือไว้เพียงเสียงลมหายใจที่แลกเปลี่ยนกัน มันยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความสบายใจแสนสงบ แต่ก็ไม่ได้เนิ่นนานหรือสั้นจนเกินไป ก่อนที่แก้วจะพูดออกมาเมื่อถึงเวลาที่สมควรแล้ว “จะวางแล้วนะ”

 

          “อืม ฝันดีนะ”

 

          “...เหมือนกัน”

 

          กดวางสายพอดีกับที่ดวงตาสีเข้มเหลือบไปเห็นคนที่ไม่รู้ว่าอาบน้ำเสร็จตั้งแต่เมื่อไหร่ยืนทำหน้ามุ่ยอยู่ แก้วเลยยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ตบที่ว่างข้างตัวเป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายมานั่งลงใกล้ๆ โชคทำตามอย่างว่าง่าย ทั้งยังปล่อยให้แก้วช่วยใช้ผ้าขยี้เช็ดผมให้ แต่กลับไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักคำ

 

          “เป็นอะไร”

 

          “...เปล่าครับ”

 

          “แล้วทำไมทำหน้าแบบนั้น”

 

          “ไม่มีอะไรครับ”

 

          “โชค...”

 

          “ผมมีงานต้องส่งพรุ่งนี้ คืนนี้ผมนอนห้องตัวเองนะ” พูดจบก็เดินหนีขึ้นบ้านไปทันที แก้วได้แต่มองตามโดยไม่เรียกรั้ง จากนั้นก็คีบมวนบุหรี่จรดริมฝีปาก แสงไฟวูบวาบจากไฟแช็กสีทองยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความแตกต่าง

 

          การคบหากับคนที่เด็กกว่าครึ่งชีวิตของตนมันทำให้รู้สึกเหนื่อยล้ามากจริงๆ

 

          แต่ถึงอย่างนั้นหลังจากอาบน้ำเตรียมเข้านอน แก้วก็ไปเคาะประตูห้องโชค ง้อคนขี้งอนด้วยจูบราตรีสวัสดิ์ และสุดท้ายค่อนคืนเกือบตีสามคืนนั้น โชคก็แอบย่องขึ้นเตียงมานอนกอดเขาเหมือนเดิม

 



 

          อากาศหนาวปลายเดือนสิบเอ็ด โชคกับสถานะนิสิตชั้นปีที่สามคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์มีงานล้นมือ ตรงกันข้ามกับสถาปนิกตัวจริงที่นับวันจะมีเวลาว่างมากพอมาช่วยเขานั่งตัดโมเดลที่ใกล้ถึงกำหนดส่ง ที่หากอยากจะทำให้เสร็จทันด้วยตัวคนเดียวก็คงต้องแลกมาด้วยเวลานอนที่น้อยนิดอยู่แล้วให้เหลือน้อยลงไปอีก

 

          แก้วนึกสงสารเจ้าหมาตัวโตของเขาที่เพื่อนสนิทไม่ว่างมาช่วย ด้วยว่ารายนั้นยิ่งหนักกว่าเพราะเป็นสาขาสถาปัตยกรรมหลัก ทำให้งานโครงสร้างมีมากกว่าโชคที่เรียนออกแบบภายในอยู่หลายตัว

 

          อยู่ๆ ก็คิดถึงช่วงวัยที่ผ่านพ้นมา ตอนที่เขายังเรียนอยู่ก็ได้เพื่อนช่วยถึงรอดมาได้ และเพื่อนที่มาช่วยเขาถึงบ้านไม่เคยบ่น แม้ต้องโต้รุ่งก็ยังคงส่งยิ้มเจิดจ้าให้ตอนหยอกเย้าด้วยคำว่าอรุณสวัสดิ์ทั้งที่ยังไม่มีใครได้นอน

 

          มีอยู่เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น และทั้งที่ไม่ได้เรียนเกี่ยวกับด้านนี้เลยแท้ๆ ...หนุ่มบริหารที่ชื่อว่าธีร์

 

          “น้าแก้ว”

 

          “ว่าไง”

 

          “กาวจะแห้งแล้วนะครับ” ไม่รู้ว่าเหม่อคิดเรื่องเก่าๆ ไปนานแค่ไหนจนถูกทัก แก้วติดชิ้นส่วนเข้าที่ของมันให้อย่างประณีต ความรู้สึกไหลกลับมาพร้อมกับความทรงจำ

 

          ...ยังอบอุ่นในใจไม่เลือนราง

 

          “น้าแก้ว?” โชคหันมามองเจ้าของชื่ออย่างงุนงง แต่ก็ยินดีที่อยู่ๆ ก็โดนหอมหัว แก้วไม่ได้อธิบายการกระทำที่ไม่ได้มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ เขาแค่อยากทำ อยากกอด อยากหอม อยากหยอกเจ้าหมาตัวโตของเขา แม้ลึกลงไปข้างในมันอาจจะเจือด้วยความรู้สึกผิด...

 

          แก้วไม่เคยตามหาเงาของธีร์ในตัวของโชค สำหรับเขาโชคไม่เคยเป็นตัวแทนของชายคนนั้น ไม่เคยใกล้เคียง ทั้งสองคนต่างกันมาก และเขารักโชคเพราะโชคเป็นโชค แต่ถึงอย่างนั้นนานๆ ทีเขาก็ยังคงคิดถึงขึ้นมา

 

          รสจูบ สัมผัส รอยยิ้ม บทสนทนา ช่วงเวลาแสนสงบที่เข้าใจกันได้แม้ไม่ต้องเอ่ยคำใดออกมา

 

          ทว่าความคิดถึงมันก็เป็นเพียงแค่ความคิดถึง...

 

 

 

          บ่ายวันศุกร์ของต้นเดือนธันวาคม โค้งสุดท้ายก่อนปิดภาคการศึกษา โชคสอบเสร็จหมดทุกตัวแล้ว แต่ยังเหลือโมเดลที่เป็นไฟนอลโปรเจ็กแทนการสอบอีกชิ้นที่ต้องส่งภายในวันนี้ เขาเพิ่งทำเสร็จและกำลังเตรียมตัวจะขนขึ้นรถไปส่งให้อาจารย์ที่จะรอรับถึงแค่สี่โมงเย็น

 

          แก้วออกมาสูบบุหรี่อยู่ใต้ต้นแก้ว หลังจากนั่งหลังขดหลังแข็งช่วยนิสิตหนุ่มปั่นงานมาตั้งแต่ตื่นนอน ควันลอยเอื่อยเฉื่อย เหมือนกับความคิดในหัวที่ค่อยๆ หลั่งไหลมาจากไหนไม่รู้ทีละเล็กทีละน้อย ทว่ามากมายมหาศาล

 

          ...ความคิดที่มีชื่อว่าความทรงจำ

 

          ดวงตาสีเข้มเบนมาหาม้าหินติดพื้นยกสูงของเฉลียงบ้าน ภาพของใครคนนั้นพลันเด่นชัดขึ้นมา แม้จะซีดจางแต่กลับยังคงจดจำได้ดี ทั้งน้ำหนักที่เอนมาพิงไหล่ ทั้งกลิ่นอายของควันที่โชยมาจากเจ้าของเสียงทุ้มละมุนข้างหู รอยยิ้มเจิดจ้า... แก้วคิดถึงธีร์อีกแล้ว

 

          ความคิดถึงไร้ที่มาที่ไป แต่กลับบ่อยครั้งขึ้นในช่วงหลังๆ หรือบางทีที่มาอาจจะชัด เพียงแต่ตัวเขาเองที่ทำเป็นมองข้ามมันไป เพื่อที่จะคงความสัมพันธ์ที่มีอยู่ตอนนี้เอาไว้ แม้มันจะทำให้เหนื่อยล้ามากแค่ไหนก็ตาม

 

          เจ้าของบ้านพ่นควันระลอกสุดท้ายใส่ใบพลูด่างในกระถางข้างโต๊ะกระจก ขยี้ก้นกรองเพื่อให้ไฟดับสนิทแล้วทิ้งเอาไว้ในที่เขี่ยบุหรี่ พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นดวงตาคู่สวยทอประกายาววับจับจ้องเขาอยู่ โชคค้ำราวเฉลียงวางคางลงบนหลังมือ ระยะห่างไม่มากนักกับแก้วที่ยืนเต็มความสูงอยู่ด้านล่าง

 

          “จะเอาอะไร” แก้วถามอย่างเดาทางได้

 

          “จะออกไปแล้วนะครับ จุ๊บหน่อย” โชคยิ้มผ่านแววตา ขณะที่ทำปากยื่นรอรับจูบ

 

          คนโดนอ้อนได้แต่หัวเราะแล้วบีบดึงริมฝีปากล่างของเจ้าหมาที่ชักจะติดนิสัยลามปามชอบเลียปากเจ้านายเป็นการลงโทษ จนเด็กน้อยทำตาเศร้าเพราะคิดว่าคงไม่ได้ในสิ่งที่ขอแล้วถึงได้ยอมยื่นหน้าไปใกล้ ปล่อยให้หมานิสัยเสียแนบจูบลงมาได้ตามใจ และไม่ได้ปฏิเสธแม้มันจะเริ่มเลยเถิดเพราะเรียวลิ้นที่พยายามจะแทรกสอดเข้ามาก็ตาม

 

          แก้วกำลังจูบกับโชค... แต่กลับเหมือนไม่ใช่

 

          อาจจะด้วยมุมด้วยองศา ที่ราวกับว่าเคยเกิดขึ้นมาก่อนเมื่อนานมากแล้ว มันถึงได้ซ้อนทับกับใครบางคนที่มักโผล่มาจากความทรงจำในช่วงนี้

 

          และดูเหมือนว่าความคิดถึงจะเป็นดั่งลางสังหรณ์ เมื่อที่หน้ารั้วบ้านปรากฏร่างสูงใหญ่ของคนในความคิด ดวงตาคมจ้องตรงมาสบเข้ากับนัยน์สีเข้มฉายแววหลากหลาย

 

          ธีร์ยืนอยู่ตรงนั้น...

 

          มองดูแก้วกับโชคจูบกันด้วยความรู้สึกว่างเปล่าอันเต็มเปี่ยม

 

 

 

TBC...

          เพราะนิยายเรื่องนี้จะมีแต่ความขมจนจบเรื่องไม่ได้ แต่ยังไงก็ยังเป็นนิยายดราม่าที่เราจะหวานไปตลอดก็ไม่ได้เหมือนกันค่ะ แง้ อาธีร์กลับมาได้จังหวะพอดีมากเกินไปแล้วววว หลังจากนี้ต่อไปจะเป็นยังไงกันนะ ฝากติดตามด้วยนะคะ

          ปล.ตอนไปทะเลกันนี้หวานละมุนจนอยากมุดหมอนมากเลยค่ะ เป็นตอนที่รีนชอบที่สุดเลย เขียนอย่างมีความสุขมากๆ แต่ในตอนนี้ ปัจจุบันที่พยายามจะจบตอนสุดท้าย รีนรู้สึกว่ามันหายไปแล้วค่ะ ความสนุกและช่วงจังหวะการกดแป้นพิมพ์ที่ทำให้ยิ้มออกมาโดยที่หัวใจรับรู้ได้ว่ามันดีพอแล้ว ตอนนี้รีนยังเขียนอยู่ แต่เขียนเท่าไหร่ก็ไม่มั่นใจเลย ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงช่วงเวลานั้นมันถึงจะกลับมา รีนรักในการเขียนมากๆ รีนไม่อยากสูญเสียมันไปเลยค่ะ อ๊ะ ขอโทษที่งอแงอีกแล้วนะคะ แล้วก็ไม่ต้องห่วงนะคะ รีนแค่บ่นเฉยๆ ยังไงก็ยังไม่เลิกเขียนหรอกค่ะ ยังไม่ใช่ในตอนนี้

 

          ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน ทุกคอมเมนต์ ทุกกำลังใจ มันมีค่ามากๆ เลยค่ะ

          ขอบคุณนะคะ

 

          เจอกันวันพฤหัสบดีนะคะ


ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
555555 สมหน้าธีร์ดีไหมนะ กลับมาทำไม
เขาลืมเธอไปหมดแล้ววว~~~~5555 มาเลย มาเจอเลย ต่างคนก็มีเส้นทางหัวใจของตัวเอง รักมากได้ก็เบาบางห่างหายได้แม้จะเหลือเพียงเยื่อใยนิดก็ต้องใช้เวลา โชคอ้อนตลอด อิอิ  :-[ ขอบคุณนะคะที่มาต่อสม่ำเสมอ  :pig4: :pig4: :pig4: :L1: :L1:

ออฟไลน์ panpang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 508
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
แงงงงงงงง ยังไงน้อ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0

ASHTRAY

ขี้เถ้า และ การเผาไหม้

ตอนที่ 37





          ลมหนาวของเดือนธันวาอยู่ๆ ก็ทวีความเย็นเยียบขึ้นมาจนเสียดกระดูก รู้สึกชาวาบไปทั้งร่างกาย หัวใจบีบรัด ในขณะที่สมองว่างเปล่า แก้วค่อยๆ ยกมือขึ้นมากั้นขวางเป็นสัญญาณให้เจ้าหมาของเขาหยุด และโชคก็หยุดตามคำสั่งอย่างว่าง่าย ก่อนจะสังเกตเห็นความสับสนฉายชัดในดวงตาสีเข้ม เขาจึงมองตามไปยังปลายทางสายตาของอีกฝ่าย



          ความรู้สึกวูบโหวงตรงเข้าจู่โจมโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ราวกับร่วงหล่นลงไปในหลุมลึก และยิ่งไร้ก้นบึ้งเมื่อความรู้สึกบางอย่างผุดขึ้นมาในจิตใจ



          ...รู้สึกผิด ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องรู้สึกเช่นนั้น



          แต่ทั้งเขาและน้าแก้วกลับเหมือนเด็กน้อยที่แอบทำความผิดแล้วโดนจับได้ โชครู้สึกเหมือนกับเป็นชู้ทั้งที่ไม่ใช่ แก้วก็รู้สึกเหมือนกำลังนอกใจทั้งที่จูบกับคนรักของตัวเอง



          ความกระอักกระอ่วนลอยอวลอยู่ในอากาศ ส่วนคนมาใหม่ที่ยืนอยู่หน้าบ้านกำลังสับสน จับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก และในขณะที่สมองยังคงว่างเปล่าอยู่นั้น แก้วก็เดินมาปลดโซ่คล้องรั้วออกให้แล้ว



          “ตัดโมกันอยู่เหรอ” นั่นเป็นคำทักทายแรกจากแขกประจำในวันวาน มือใหญ่ที่แก้วยังจำสัมผัสอุ่นไอได้อย่างชัดเจนหยิบเอาเศษกระดาษกับใยกาวออกให้อย่างแผ่วเบา ธีร์ทำไปด้วยความเคยชินโดยไม่ทันได้คิดอะไร



          “อืม งานโชคน่ะ แต่เสร็จแล้ว” เช่นเดียวกันกับตัวคนที่ถูกถาม แก้วไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติของการกระทำนั้น ไม่ได้รู้สึกถึงความใกล้ชิดจนเกิดเหตุ ด้วยเพราะมันก็เหมือนกับในอดีตที่พวกเขาทำตอนยังเป็นเพื่อนกัน และในวันนี้ความเป็นเพื่อนก็ยังไม่ได้เลือนหายไปไหน



          แต่ไม่ใช่สำหรับคนที่จ้องมองอยู่ โชคขมวดคิ้วไม่ชอบใจอย่างไม่ปิดบัง



          ธีร์รู้สึกตัวเมื่อหันไปเห็นสีหน้าของโชค ความคิดที่กระจัดกระจายกำลังประกอบหลอมรวมเข้าด้วยกัน ระหว่างรอมันขึ้นรูปร่างสมบูรณ์เขาจึงเผลอคลี่ยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนเหมือนเคยส่งไปให้ แม้จะโดนเมินไม่ยอมคุยด้วยมาเนิ่นนานถึงห้าปี แต่โชคก็ยังเป็นเด็กคนเดิมที่เขารักและห่วงใย



          เจ้าของรอยยิ้มดั่งดวงอาทิตย์เฝ้าคิดสงสัยมาตลอดว่าทำไมโชคถึงโกรธเขานัก ตอนแรกก็คิดว่าคงเพราะเขาจากไปโดยไม่บอกไม่กล่าว ซ้ำยังทำให้น้าแก้วของโชคต้องเสียใจ เขาคิดว่ามันเป็นเหตุผลที่สมเหตุสมผลดีและไม่คิดจะโต้แย้งอะไร จนกระทั่งตอนนี้ ธีร์ก็ได้รู้ว่านั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด...



          โชคจ้องธีร์เขม็งตลอดระยะทางที่เขาเดินตามเจ้าของบ้านขึ้นมาบนเฉลียง บ่งบอกชัดเจนว่ากำลังไม่พอใจ



          “โชค” คนที่อยู่ตรงกลางระหว่างคนสองคนที่หนึ่งยิ้มอย่างอ่อนล้ากับอีกหนึ่งที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับเอ่ยเรียก เจ้าของชื่อจึงเบนสายตาหลบไปมองอย่างอื่นแทน แต่ยังคงยืนนิ่งจนแก้วต้องเดินเข้าไปหา เรียวนิ้วเกี่ยวปลายนิ้วของคนอายุน้อยกว่าแผ่วเบา ก่อนจะพูดเสียงอ่อน “ไปส่งงานได้แล้ว”



          “ผมไม่อยากไปแก้ว ผมไม่อยากไปตอนนี้” โชคจับมือแก้วแล้วบีบแน่น ดึงดันดื้อรั้นทั้งแววตาและน้ำเสียง แม้จะไม่ได้ขึ้นเสียงดังแต่ก็ชัดเจนว่าจะไม่ยอมให้ในครั้งนี้



          “เธอต้องส่งงานนี้ ไม่งั้นก็ติดเอฟ” แก้วยังคงใจเย็น ยกเหตุผลขึ้นมาพูด



          “ปีหน้าค่อยลงใหม่ก็ได้ครับ”



          “ไม่ใช่เรื่องเลยนะที่จะคิดแบบนี้ เธอโตแล้วนะ”



          “...”



          “โชค...”



          “ถ้าผมไปตอนนี้... ผมกลัวว่าจะต้องมาเสียใจทีหลัง” ดวงตาคู่สวยวูบไหว สั่นสะท้านอย่างปากว่า เขากลัวว่าหากจากไปตอนนี้ เมื่อเขากลับมามันจะหายไปไม่อยู่กับเขาอีกแล้ว



          ...หัวใจของแก้ว



          เกิดการถกเถียงเล็กๆ ขึ้นระหว่างเจ้าบ้านทั้งสอง ธีร์ไม่ได้สนใจฟังเนื้อความ แต่เขารู้ดีว่าฝ่ายไหนจะชนะ เพราะมันเหมือนกันกับเขาไม่มีผิด...



          “โชค” มือเรียวยกขึ้นแตะกรอบหน้าเด็กน้อยที่กำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ออกแรงเพียงนิดหน่อยเพื่อบอกให้อีกฝ่ายหันมาสบตา ก่อนจะสยบทุกอย่างลงด้วยประโยคเดียว “เชื่อใจฉันสิ”



          “...ครับ”



          ...แววตาของโชคที่ใช้มองแก้ว







          หลังจากส่งคนที่ต้องไปส่งงานขึ้นรถเก๋งสีดำแล่นห่างออกไปจนลับตาแล้ว แก้วก็หันมาเผชิญหน้ากับแขกที่มาเยือนโดยไม่บอกไม่กล่าวล่วงหน้า ดวงตาสบกัน แต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ธีร์ไม่ได้เอ่ยถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างแก้วกับโชค และแก้วเองก็ไม่ได้คิดจะเล่าให้ฟัง



          กระทั่งเข้ามาอยู่ในห้องนั่งเล่น บนโซฟาตัวยาวที่จับจองกันคนละฝั่ง ความเงียบงันก็ยังกลืนกินบ้านทั้งหลังเอาไว้



          ...เนิ่นนานจนเข็มนาฬิกาที่ขยับเดินอย่างเชื่องช้าผ่านไปเกือบครึ่งรอบ



          “ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ ที่นี่” ในที่สุดธีร์ก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมา คำว่าไม่เปลี่ยนของเขาหมายถึงตัวบ้าน แม้ในใจจะอยากให้หมายถึงตัวบุคคลด้วยก็ตาม



          “ก็ไม่มีอะไรให้เปลี่ยน” แก้วตอบเสียงเรียบพลางจุดบุหรี่ขึ้นสูบ มันเป็นความจริงที่เขาไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องเปลี่ยนแปลงบ้านหลังนี้ และบางทีตัวเขาเองก็คงไม่ได้เปลี่ยนไปนักเช่นกัน...



          บางความรู้สึกของเขาก็ยังคงไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย



          “นั่นสินะ” สิ้นคำม่านความเงียบงันโรยตัวกัดกินหัวใจอีกครั้ง ทั้งที่การฟังเสียงลมหายใจผ่านสัญญาณโทรศัพท์อย่างไร้ความหมายเมื่อก่อนยังไม่เคยทำให้อึดอัดใจเช่นในตอนนี้



          มะลิเดินมาคลอเคลียขาคนมาใหม่ แม้จะห่างหายไปนาน แต่ประสาทรับกลิ่นของสัตว์สี่เท้าก็ยังคงจดจำได้อยู่ เหมือนกับที่ความทรงจำของมนุษย์ไม่ได้ลบเลือนจางหายไปได้ง่ายดายนัก



          “ธีร์...” ดวงตาคมหันมาสบกับผู้เรียกขาน มองเห็นรอยปริร้าวจวนจะแตกสลายฉายแววอยู่หลังนัยน์ตาสีเข้มยามเอ่ยถาม “มึงมาทำไม”



          “กูหย่ากับเนตรแล้ว” คำบอกกล่าวที่ไม่ใช่คำตอบของคำถามทำเอาคนฟังชาวาบไปตามสันหลัง ความรู้สึกมากมายตีวนในช่องท้อง ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรกันแน่ แต่ที่เด่นชัดที่สุดคงเป็นความประหลาดใจ เพราะเมื่อวันเกิดเขาตอนเดือนตุลาที่ได้พูดคุยกัน ก็ยังไม่เห็นวี่แววของสิ่งที่จะตามมาเช่นนี้เลย



          ธีร์ดูออกว่าแก้วกำลังคิดอะไรอยู่ เขาเลยพูดต่อ “อยู่ๆ เมษาก็พูดขึ้นมาน่ะ ...ว่าปะป๊ากับแม่ไม่ได้รักกันสักหน่อย ทำไมถึงต้องทนอยู่ด้วยกันด้วย ทำไมไม่ไปอยู่กับคนที่ทำให้ตัวเองมีความสุข”



          เด็กชายเมษาอายุสิบเอ็ดปีมีมุมมองชีวิตที่แตกต่างจากพ่อแม่ผู้ผ่านวันเวลามาเนิ่นนานกว่าตนหลายเท่าตัวนัก เด็กชายตั้งคำถามอย่างเรียบง่าย ด้วยการเลี้ยงดูที่ทำให้มีความคิดอิสระจนเขาไม่เข้าใจว่าทำไมคำว่าครอบครัวถึงต้องกลายเป็นกรงขัง พ่อแม่ให้อิสระแก่เขา แต่กลับขังตัวเองไว้เพียงเพื่อให้เขาได้มีครอบครัวที่สมบูรณ์ และเพราะเขารักปะป๊ากับแม่มาก เขาถึงยิ่งไม่เข้าใจ ว่าทำไมคนทั้งสองต้องทนเจ็บปวด เขาอยากให้คนที่เขารักมีความสุข และนั่นสำคัญกว่าคำว่าครอบครัวที่แสนคับแคบมากนัก



          เมษาบอกว่าเขาจะยังคงเป็นลูกของปะป๊าธีร์และแม่เนตรเสมอ แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันก็ไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนไป



          เพราะคำว่าครอบครัวที่เด็กชายเข้าใจนั้นลึกซึ้งกว้างใหญ่กว่านั้นมาก ครอบครัวคือสายสัมพันธ์ที่ยึดโยงผู้คนเอาไว้ ไม่ใช่ข้อมูลทะเบียนตามกฎหมาย ไม่ใช่บ้านหลังใหญ่ที่ต้องมีกันครบทุกคนเห็นกันอยู่ในทุกเวลา แต่เป็นความรู้สึกที่เชื่อมโยงถึงกันต่างหาก



          ช่างเป็นรูปแบบความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นแต่ก็ห่างเหินถึงเพียงนั้นเลย



          ดวงตาคมจ้องตรงมาอย่างมั่นคง เสี้ยวนาทีที่เว้นช่วงไปส่งให้ก้อนความคิดมากมายลอยฟุ้งในอากาศ เหมือนม่านควันหม่นมัวที่กระจายตัวปกคลุม ส่งกลิ่นขมร้าวระทมเข้าไปถึงใจกลางหัวใจ รอยยิ้มอ่อนโยนจริงใจที่แม้ร้าวรานก็ยังคงสว่างไสวปรากฏขึ้นมาบนริมฝีปากที่กำลังขยับไหว...



          “...กูเลยมาที่นี่”



          เพียงห้าคำที่ธีร์พูดออกมา ไอควันก็ฉุนกึกจนดวงตาร้อนฉ่า แดงก่ำจนกลั่นตัวหยดออกมา ทั้งที่สูบมาตั้งเกือบสามสิบปีแล้วแท้ๆ



          “ทำไม...” ...ถึงเพิ่งมาเอาป่านนี้



          เอ่ยถามออกไปไม่หมดด้วยเพราะเหตุผลมากมายเหลือเกินที่ฉุดรั้งไว้ แต่น้ำเสียงสั่นเครือก็ยังคงแตกพร่าเช่นเดียวกับหัวใจที่แหลกลาญ



          ธีร์ดึงแก้วเข้าไปกอดไว้อย่างนุ่มนวล ทั้งสัมผัส ความร้อน กลิ่นอาย ทุกอย่างเหมือนกับที่จดจำได้ไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแต่ครั้งนี้มันแตกต่างไปจากทุกทีแล้ว



          “แต่ก็ไม่ทันแล้วสินะ” ธีร์กระซิบ ฝังปลายจมูกเข้ากับเรือนผมสีเข้ม เขาจดจำได้ว่ารสชาติของหยดน้ำตามันเค็มปร่า แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่ามันขมจนปวดใจ



          แม้จะไม่มีเสียงสะอื้นฮักเหมือนกับคนในอ้อมแขนที่จิกกำเสื้อเชิ้ตของเขาไว้แน่นก็ตาม



          แต่ความปวดร้าวที่ได้สัมผัสไม่ต่างกันเลยแม้แต่น้อย



          มวนบุหรี่ถูกคนตัวใหญ่กว่าคว้าไปขยี้ทิ้งใส่ที่เขี่ยให้เมื่อตัวคนสูบเอาแต่ซุกหน้าร้องไห้อยู่ในอกเขา ธีร์เคยเห็นแก้วร้องไห้ แต่ก็เกิดขึ้นนานมากจนจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายคือเมื่อไหร่ อาจจะเป็นช่วงมัธยมปลายที่อีกฝ่ายเสียพ่อไป เพราะหลังจากนั้นแก้วก็มักจะเก็บความซ่อนรู้สึกเอาไว้ เข้มแข็งเกินไปทั้งที่ไม่จำเป็น คนเก่งของเขาจึงไม่เคยร้องไห้ฟูมฟายอีกเลย



          แต่ดูเหมือนว่าความชราจะทำให้คนเราเปราะบางลง หรือไม่ก็แข็งแกร่งขึ้นจนแสดงความเจ็บปวดออกมาได้อย่างซื่อตรงด้วยหยดน้ำตา



          แก้วกับธีร์ พวกเขาต่างก็เติบโตขึ้นมาก ผ่านวันเวลาที่ฝากร่องรอยเอาไว้มากมายจนกลายเป็นชายวัยกลางคน แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยคือในสายตาของคนทั้งคู่ พวกเขาต่างมองกันราวกับเวลาถูกหยุดเอาไว้เมื่อนานแสนนานมาแล้ว



          แก้วยังคงเป็นเด็กหนุ่มม.ปลายที่มีดวงตาเฉยชา ยังคงเป็นหนุ่มมหาวิทยาลัยที่ไว้ผมยาวเคลียบ่า ยังคงเป็นชายหนุ่มที่พ่นควันบุหรี่ใส่หน้า แล้วจูบเขาเป็นการไถ่โทษอย่างหยอกล้อ ความซุกซนที่ซ่อนอยู่ใต้ท่าทีเย็นชาที่ทำให้ธีร์ไม่อาจถอนสายตาหรือหัวใจไปไหน



          เช่นเดียวกับที่ธีร์ยังคงเป็นเด็กหนุ่มที่เอ่ยทักแก้วก่อนด้วยน้ำเสียงสดใส เป็นชายหนุ่มที่บอกกับเขาในอุโมงค์อควาเรียมว่าม้าน้ำจะจับคู่เพียงครั้งเดียว ก่อนจะมอบจูบแสนหวานประทับฝังสัมผัสลงในหัวใจ ยังคงเป็นผู้ชายคนเดิมที่มีรอยยิ้มเจิดจ้า สว่างไสวแสนอ่อนโยนที่แก้วตกหลุมรัก



          ยังคงเป็นแก้วคนนั้นเสมอมา และยังคงเป็นธีร์คนนั้นไม่เปลี่ยนแปลง



          พวกเขายังคงรักกันอยู่



          แต่ก็รู้ว่าเรื่องราวของพวกเขาคงอยู่ได้เพียงในอดีต



          ธีร์ไม่คิดจะช่วงชิงแก้วมาจากปัจจุบัน ยิ่งไม่คิดเมื่ออนาคตของทางนั้นอยู่กับเด็กชายที่เขารักมากมายไม่ต่างกัน ตลอดเวลาที่ผ่านมาแก้วรอเขาอยู่เสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะสักกี่ครั้ง แต่เขาก็ยังคงจากไปซ้ำๆ แล้วเขามีสิทธิ์อะไรถึงจะมาเห็นแก่ตัวเรียกร้องเอาในวันที่อีกฝ่ายตัดสินใจได้ว่าจะไม่รอเขาอีกต่อไปแล้ว



          “โชคดูแลมึงดีไหม”



          “ดี...ดีมาก”



          “งั้นก็ดีแล้ว”



          ธีร์อยากให้แก้วมีความสุข แม้ว่าความสุขนั้นจะไม่ได้มาจากเขาก็ตาม



          ...แต่ตอนนี้ ขอเพียงชั่วขณะเดียวนี้ ขอให้เขาได้กอดแก้วเอาไว้ให้เนิ่นนานกว่านี้อีกนิด เหมือนกับที่แก้วอยากยืดเวลาในอ้อมแขนนี้ต่อไปอีกหน่อย สัมผัสความรู้สึกที่ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยกว่าที่ใดในโลกใบนี้ให้นานขึ้นอีกสักนาที ก่อนที่จะไม่ได้สัมผัสกับมันอีกต่อไปแล้ว



          ทว่าดูเหมือนเวลาจะเดินเร็วเหลือเกินในชั่วขณะที่เราไม่ต้องการ



          เมื่อแก้วหยุดสะอื้น ก็ถึงเวลาที่ต้องปล่อยมือ



          ใบหน้าหล่อเหลาแม้ผ่านวันเวลาแต่ก็ไม่โรยราแม้แต่น้อย เช่นเดียวกับรอยยิ้มที่ไม่เคยหม่นแสง แก้วทาบมือลงบนแก้มชายผู้เป็นดวงอาทิตย์ของเขา ฉายแสงเจิดจ้าส่งให้ไม้ชอบแดดอย่างแก้วเติบโตจนหยั่งรากลึกมั่นคง หากไม่มีธีร์ เขาก็คงไม่ได้เป็นเขาอย่างทุกวันนี้ อาจจะยังคงแหลกสลายอยู่ในสักแห่งระหว่างเส้นทางชีวิต



          “ธีร์ ขอบใจ”



          “อา ขอบใจเหมือนกัน ...แก้ว”



          ...แม้ในวันนี้ เสียงยามเอ่ยเรียกชื่อตนที่แก้วชอบที่สุดก็ยังคงเป็นเสียงของธีร์



          ชายหนุ่มผู้มาเยือนเพียงชั่วคราวโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ เพียงอากาศเบาบางที่จางหายไปเมื่อแนบชิด แต่ไม่ใช่ที่ริมฝีปาก ธีร์กดจูบนุ่มนวลเนิ่นนานบนหน้าผากแก้ว ก่อนจะถอนถอยห่างออกไปเมื่อเวลาที่สมควรมาถึง โดยไม่มีสัญญาณใดเตือนบอก แค่รับรู้กันได้เองในความรู้สึก



          เวลาของพวกเขาหมดลงแล้ว...






          โชคกลับถึงบ้านตอนสี่โมงกว่า เขารีบบึ่งกลับมาทันทีที่ส่งงานเสร็จ ในหัวสมองว่างเปล่า คิดอะไรไม่ออกทั้งนั้น ตอนตรวจแบบเขาตอบคำถามได้อย่างไม่มีปัญหา แต่กลับจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าทำได้อย่างไร สิ่งเดียวที่วนเวียนอยู่ในใจคือต้องรีบกลับไปให้เร็วที่สุด แต่เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว เขาก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าควรทำอะไร



          น้าแก้วหลับไปแล้ว หลงเหลือดวงตาบวมแดงที่บอกให้รู้ว่าผ่านการร้องไห้อย่างหนัก และอาธีร์ก็ยังนั่งอยู่ตรงนั้น ดวงตาคู่คมจับจ้องคนข้างกาย ช่องว่างระหว่างคนทั้งสองมีพอสมควร แต่ถูกจับจองด้วยมือที่วางทิ้งไว้ใกล้ๆ กัน... ห่างเพียงชั่วปลายนิ้วสัมผัส



          และทั้งที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่โชคก็รับรู้ได้ว่ามันห่างไกลจนไม่อาจเอื้อมถึงกันได้อีกต่อไปแล้ว



          ธีร์หันมาสบตากับโชค ส่งยิ้มอ่อนโยนทั้งที่ดวงตาเศร้าสร้อย แต่ก็เป็นรอยยิ้มจากใจ ชายร่างสูงใหญ่ขยับลุกขึ้นมา บอกลาช่วงเวลาแสนสุขที่จะได้เฝ้ามองคนที่ครองหัวใจเขามาตลอดเกือบสามสิบปี



          “อาขอโทษนะโชค” ฝ่ามือใหญ่ที่ยังคงอุ่นร้อนไม่ต่างจากในความทรงจำวางลงบนหัวชายหนุ่ม ลูบไล้แผ่วเบาก่อนผละจากไป เขาไม่ได้ถามแก้วเรื่องความสัมพันธ์ของเจ้าตัวกับคนตรงหน้า ไม่ถามว่าเริ่มต้นจากตรงไหน เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ....เขาเชื่อว่าแก้วคงคิดมาดีแล้วก่อนตัดสินใจ และคงทำอะไรๆ อย่างถูกต้องตามสมควร



          ชายหนุ่มไม่ได้ทำหน้าที่ส่งแขกแทนเจ้าของบ้านอีกคนที่ยังคงหลับอยู่ หัวใจเขาบีบตัวรัดแน่นขึ้นมาจนชาดิก ทั้งที่น้าแก้วบอกให้เขาเชื่อใจและคงทำตามที่ปากว่า แต่มันกลับเจ็บปวดเสียจนทรมานเมื่อเห็นรอยร้าวในดวงตาของอาธีร์



          ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเป็นครอบครัว และในตอนนี้ก็ยังถูกยึดโยงด้วยสายสัมพันธ์นั้นอยู่ แม้จะมีการแปรผันสถานะจนยุ่งเหยิงวุ่นวาย แต่โชคก็ยังเจ็บปวดเมื่อคนที่เขารักเจ็บปวด เขารู้ว่าคนทั้งสองต่างก็เสียใจ ในเมื่อต่างคนต่างก็ยังคงรักกัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อยากเป็นคนที่เดินออกไป



          ...ความรักก็เป็นเช่นนี้ เปลี่ยนคนเราให้เห็นแก่ตัว



          โชคเดินมาทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นตรงหน้าแก้ว ฉวยมือเรียวข้างนั้นมากอบกุมไว้อย่างทะนุถนอม กระทั่งเจ้าตัวตื่นแล้วก็ยังไม่ยอมปล่อย



          “โชค?” ไม่มีเสียงขานรับ โชคซบหน้าลงกับตักแก้ว ลูบไล้วนตามข้อนิ้วของอีกคนไปมา



          “น้าแก้ว”



          “ว่าไง”



          “อาธีร์มาทำไม”



          “...ธีร์หย่ากับเนตรแล้ว”



          “...น้าแก้ว



          “หืม”



          “น้าแก้ว”



          “อืม”



          “แก้ว”



          “ฉันอยู่นี่ โชค ฉันอยู่กับเธอ”



          “ครับ”



          หลังจากนั้นโชคก็ตัวสั่นไหว ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา และก็ไม่ยอมให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาเช่นกัน แก้วยกมือข้างที่ว่างขึ้นลูบแผ่นหลัง ก่อนจะโน้มตัวลงซบใบหน้าลงบนนั้น โอบกอดอนาคตที่เขาเลือกเอาไว้ แล้วภาวนาให้ไม่มีวันนึกเสียใจ



          ...ไม่มีวันนึกเสียใจที่เลือกโชคในวันนี้







          คืนนั้นพวกเขายังคงเข้านอนด้วยกัน และทั้งที่ไม่ได้ทะเลาะ แต่กลับรู้สึกเหมือนมีหมอกมัวสีจางกั้นขวางเอาไว้ แก้วหลับสนิทด้วยความล้า ต่างจากเจ้าของอ้อมแขนที่โอบกอดเขาไว้ โชคนอนลืมตามองผนังห้อง ไม่อาจกำจัดความรู้สึกที่ติดอยู่ในใจออกไปได้หมดเสียที สุดท้ายก็ค่อยๆ ลุกจากเตียงกลับไปห้องนอนของตัวเองที่ตอนนี้เอาไว้ใช้เวลาทำงานโต้รุ่ง



          เจ้าของห้องนั่งลงบนเตียง มองรอบตัวที่แสนคุ้นตาอย่างเลื่อนลอย จนกระทั่งไปหยุดที่โต๊ะหนังสือ บานหน้าต่างตรงนั้นยังคงเปิดกว้างมองเห็นเงาต้นแก้วโยกไหวในความสลัวรางจากแสงไฟนีออนข้างถนน และที่ใต้โต๊ะก็มีกล่องลังที่อัดแน่นไปด้วยกล่องของขวัญที่เขาไม่เคยเปิดออกดู



          โชคขยับย้ายตัวเองลงไปนั่งบนพื้น มือเอื้อมดึงเอากล่องใบนั้นออกมาเปิดฝา มองดูของขวัญที่มีจำนวนเท่าวันเกิดและคริสต์มาสที่ผ่านพ้นมาตลอดห้าปี... ของขวัญเก้าชิ้นจากอาธีร์ และภายในปลายเดือนนี้ก็จะมีอีกชิ้นที่ถูกส่งมา



          ชายหนุ่มไล่แกะห่อกระดาษออกทีละห่อ เปิดดูของข้างในที่ถูกเลือกมาตามวาระโอกาส ให้เหมาะกับเขาในช่วงวัยนั้นๆ อย่างตั้งใจ กับการ์ดอวยพรที่เขียนด้วยลายมือเพราะเขาไม่ยอมแม้แต่จะรับสายฟังเสียงคนให้



          ‘สุขสันต์วันเกิดนะโชค ขอให้เป็นอีกปีที่เธอยิ้มมากกว่าร้องไห้’



          ‘Merry Christmas หวังว่าจะชอบของขวัญชิ้นนี้’



          ‘Happy Birthday อาเห็นรูปเราจากที่แก้วส่งมาให้ดูแล้วนะ โตขึ้นเป็นหนุ่มหล่อเชียวนะเรา’



          ‘โชค สุขสันต์วันเกิดครบยี่สิบปี เป็นผู้ใหญ่แล้วนะปีนี้ เติบโตขึ้นมาได้ดีจริงๆ เลย’



          ยิ่งอ่านเท่าไหร่ แต่ละตัวอักษรยิ่งพร่าเบลอเท่านั้น หยดน้ำตาเอ่อล้นจนหยดลงบนแผ่นกระดาษ บางสิ่งท่วมท้นขึ้นมาจนแทบหายใจไม่ออก เหมือนกำลังจมลงก้นทะเลลึก ไม่มีแสง ไร้ซึ่งเสียง มีเพียงความรู้สึกที่ไม่มีชื่อเรียก



          ...อาธีร์อาจจะเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดแล้วสำหรับน้าแก้ว



          ความรักก็เป็นเช่นนี้ มันทำให้คนเราเห็นแก่ตัว หรือไม่ก็ยอมเสียสละ



          และโชคกำลังเป็นคนเห็นแก่ตัวที่พยายามจะเสียสละ







          รุ่งสางวันเสาร์ โชคยังคงไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืน เขากลับเข้าไปในห้องนอนใหญ่ ปีนขึ้นเตียงไปกอดเจ้าของห้องไว้ แก้วรู้สึกตัวตื่นหลังจากนั้นไม่นานเพราะถูกกอดรัดจนแทบหายใจไม่ออก



          “โชค กอดแน่นไปแล้ว” เสียงงึมงำเอ่ยบอกทั้งที่ยังตื่นไม่เต็มตา



          “น้าแก้ว” โชคยอมผ่อนแรงแขนลง แต่ก็ยังคงกอดไว้แน่นอยู่ดี



          “หืม เป็นไรไป” คนถูกก่อกวนยามเช้าพลิกตัวหันไปหา ลูบเสยผมที่ตกลงมาปรกหน้าขึ้นให้อย่างอ่อนโยน และราวกับภาพซ้ำ แต่เป็นคนละคนกับในอดีต



          ...ดวงตาคู่สวยที่จ้องมองมาแฝงความร้าวรานเจ็บปวด แต่ทว่ายังคงลังเลอยู่มาก



          โชคจูบแก้วโดยไม่พูดอะไร จูบแล้วผละออกมองตา ก่อนจะพรมจูบไปทั่วใบหน้าจนพอใจแล้วจึงค่อยถอยห่างออกไป มากพอที่จะทำให้หัวใจวูบโหวง



          “น้าแก้ว” เสียงของโชคทำให้แก้วหวั่นใจ ยิ่งเสียงนั้นมั่นคงแค่ไหน แก้วก็ยังสั่นไหวเท่านั้น “คิดถึงใครอยู่เหรอครับ”



          “หมายถึงอะไร” ความง่วงงุนจางหายไปทันตา แต่ความสับสนปนหวาดกลัวบางอย่างผุดขึ้นมาแทนที่



          “เวลาที่ผมจูบแก้ว...” โชคพูดต่อ ขณะที่ไล้มือเกลี่ยผิวแก้มของคนตรงหน้าอย่างเลื่อนลอย ทว่าดวงตากลับจ้องตรงลึกเข้าไปยังนัยน์ตาสีเข้ม “เวลาที่ผมกอดแก้ว เวลาที่เราอยู่ด้วยกัน น้าแก้วคิดถึงใครเหรอครับ”



          “...เธอไง” แก้วขมวดคิ้วตอบ ยกมือขึ้นมากุมทับมือโชคไว้แล้วบีบแน่นโดยที่ไม่รู้ตัว



          “คิดถึงผมคนเดียว...” เพียงแค่เห็นแววตาในจังหวะที่เว้นไป แก้วก็เข้าใจทุกอย่าง “หรือมีอาธีร์อยู่ด้วยครับ”



          “...” เขาไม่ได้ตอบ แต่ก็ไม่ได้หลบตา เป็นฝ่ายคนถามเองที่ชิงหนีไปก่อนด้วยการดึงรั้งเขาเข้าไปกอดไว้แนบอก



          “ที่ผมเคยบอกว่าไม่ต้องรักผมเท่าอาธีร์ก็ได้ไม่เป็นไรน่ะ ตอนนี้ผมทำไม่ได้แล้วนะครับ ผมอยากให้แก้วรักผม รักผมคนเดียว” ในอ้อมกอดที่ได้ยินเพียงเสียงหัวใจที่เต้นอย่างสับสน แก้วรู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองหยุดเต้นไปชั่วขณะหนึ่ง “แต่ถ้าน้าแก้วทำไม่ได้ ถ้าเลิกรักอาธีร์ไม่ได้...”



          ชั่วขณะที่โชคพูดคำนั้นออกมา



          “น้าแก้วเลิกกับผมก็ได้นะครับ”







TBC...



          ความสัมพันธ์ที่ราบรื่นมาเกือบสามปีเริ่มสั่นคลอนแล้วค่ะ การตัดสินใจของน้องโชค กับคำตอบของน้าแก้วจะเป็นเช่นไร ไว้ติดตามกันในตอนต่อไปนะคะ

          ปล.ตอนต่อไปเราจะเจอกันวันพฤหัสบดีเลยนะคะ เพราะรีนกำลังจะไปต่างจังหวัด แล้วก็คงไม่ได้ยกโน๊ตบุ๊กไปด้วย ขอโทษที่คงทำให้ต้องค้างกันนานสักหน่อย แง้
          ปล.2 ขอโทษที่มาอัพช้าอีกแล้วค่ะ ตอนนี้รีนกำลังเดินทางอยู่ เพิ่งจะได้มีเวลาว่างมาลง :mew6:



          ขอบคุณทุกคนที่ยังคงอ่านนิยายเรื่องนี้อยู่มากๆ เลยนะคะ

          ทั้งคนที่ติดตามอ่าน ทั้งคนที่คอยคอมเมนต์ ทั้งคนที่ส่งกำลังใจให้อยู่เสมอ

          ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ



          ขอให้คุณมีวันที่ดี มีปลายอาทิตย์ที่สดใส และอย่าลืมนอนหลับพักผ่อนกันให้เพียงพอด้วยนะคะ



          See You on Thursday


ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
สายไปแล้วจริงๆอาธีร์ แต่ก็ยังว่าเป็นเพื่อนกันได้ มากกว่านี้คงไม่แล้ว ไม่ต้องหวั่นไหวไปนะโชค น้าแก้วเลือกแล้ว เลือกคนที่รักเรา ดูแลเราดีกว่า ตั้งใจเรียน จบทำงานแล้วมาเลี้ยงน้าแก้วแทนละนะ 5555  :-[ :katai2-1: รอตอนต่อไปเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 38

 

          ต้นสนพลาสติกถูกรื้อออกมาจากห้องเก็บของอีกครั้งเมื่อคริสต์มาสกำลังจะมาถึง โชคแขวนของประดับพร้อมพันสายไฟตามกิ่งก้านอย่างช่ำชองอยู่ที่มุมประจำข้างชั้นวางทีวี โดยมีมะลินอนเลียอุ้งเท้าอยู่ไม่ห่าง ท่ามกลางกองสายรุ้งหลากสี คอยก่อกวนไล่ตะปบเส้นของตกแต่งเวลาที่ชายหนุ่มหยิบจับขึ้นมา

 

          ภาพบรรยากาศแสนคุ้นเคย แต่กลับห่างไกล

 

          แก้วคว้าซองบุหรี่กับไฟแช็กแล้วลุกเดินออกไปนอกบ้าน จุดไฟที่ปลายมวนกระดาษแล้วสูดควันเข้าปอดอยู่บนขั้นบันไดเฉลียง ลมหนาวพัดมาไล้ผิว เขาไม่ได้สวมเสื้อคลุมออกมา ถึงรับรู้ได้ว่ามันหนาวเย็น... เสียจนรู้สึกอ้างว้าง

 

          ‘ถ้าเลิกรักอาธีร์ไม่ได้... น้าแก้วเลิกกับผมก็ได้นะครับ’

 

          ‘เธออยากเลิกเหรอ’

 

          ‘ไม่ครับ ...น้าแก้วล่ะ’

 

          ‘ฉันก็ไม่’

 

          ‘งั้น... เลิกติดต่อกับอาธีร์ได้ไหมครับ’


 

          ผ่านมากว่าครึ่งเดือนแล้วหลังจากวันนั้น ที่แก้วเงียบงันไม่ตอบรับคำขอ กับโชคที่ค่อยๆ ผละจากไป เหลือทิ้งไว้แค่เสียงบานประตูที่ปิดลงพร้อมกับหัวใจปริแตก

 

          หลังจากนั้นพวกเขาก็แยกห้องนอน...

 

          “น้าแก้ว” เจ้าของชื่อหันไปหาต้นเสียง โชคเดินออกมาพร้อมเสื้อคลุมตัวอุ่นที่วางลงบนไหลชายหนุ่มอย่างนุ่มนวล ก่อนจะกลับเข้าบ้านไปเก็บของตกแต่งส่วนเกินใส่ลังเตรียมยกไปเก็บ

 

          “โชค” แก้วเรียกรั้ง พ่นควันฝาดเฝื่อนเหมือนความรู้สึกที่ตกค้างอยู่ในหัวใจ รอคอยให้ดวงตาคู่สวยหันมาตอกย้ำให้รสขมจัดเข้มข้นชัดขึ้นไปอีก “ขอบใจ”

 

          “ครับ”

 

          ถึงแม้จะไม่ได้เลิกกัน แต่ความสัมพันธ์กลับห่างเหินเกินกว่าจะย้อนกลับไปเป็นเหมือนในวันวาน

 

 

 

          ค่ำคืนก่อนวันคริสต์มาส กิจกรรมหนังรอบดึกยังคงมีอยู่ คนสองคนในบ้านนั่งอยู่คนละฝั่งโซฟา ใต้ผ้าห่มคนละผืน ถูกคั่นด้วยมะลิที่กำลังท้องนอนม้วนขดตัวอยู่ตรงกลาง จนกระทั่งเลยเที่ยงคืนไปเกือบรอบ โทรทัศน์จึงถูกปิดลงเมื่อถึงเวลาเข้านอน

 

          แก้วขึ้นไปก่อนแล้ว ส่วนโชคอุ้มแม่แมวไปส่งถึงที่นอนใต้บันได ลูบขนอุ่นนุ่มเป็นการบอกราตรีสวัสดิ์แล้วจึงค่อยขึ้นบ้านไปบ้าง

 

          “น้าแก้ว” โชคเรียกคนที่ยืนอยู่ข้างบานหน้าต่างสุดทางเดินที่เปิดกว้าง ลมหนาวกลางดึกหอบเอากลิ่นดอกไม้อ่อนจางเข้ามาด้วย

 

          คนข้างหน้าต่างไม่ได้พูดอะไร แค่รอให้โชคเดินเข้าไปหา ก่อนฝังผิวแก้มเย็นเฉียบลงข้างคอชายหนุ่ม โอบกอดแนบแน่นจนรับรู้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจ

 

          “ปิดหน้าต่างไหมครับ” โชคยกแขนกอดตอบ ส่วนอีกข้างเอื้อมไปดึงบานไม้พับเข้ามาหวังจะกันลมหนาว เพิ่งปิดไปได้ฝั่งเดียวก็ถูกคนในอ้อมกอดจู่โจมด้วยจูบวาบหวาม

 

          ไม่ยากเลยที่จะทำให้คนหนุ่มไฟติด แก้วรู้เสมอว่าต้องเร้าอารมณ์อีกฝ่ายอย่างไร พวกเขาจูบกัน สัมผัสลูบไล้เรือนกายผ่านเนื้อผ้าที่สวมใส่ ก่อนผละออกห่างทั้งที่ร่างกายยังเหนี่ยวรั้งกันเอาไว้

 

          “ทำต่อได้ไหมครับ” โชคเอ่ยถาม และแก้วพยักหน้า เขาเตรียมตัวมาแล้วสำหรับคืนนี้ ...คืนที่ไม่อยากอยู่คนเดียวบนเตียงโล่งว่างที่กว้างเกินกว่าที่เขาเคยจดจำได้

 

 

 

          โชคอยู่กับแก้วจนฟ้าสว่าง หลังจากการร่วมสัมพันธ์ทางกายที่ลึกซึ้ง เขาก็ยังอยู่บนเตียงของแก้ว นอนหลับไปเคียงข้างกัน แต่ไม่ได้โอบกอดร่างเปลือยเปล่าที่อุ่นร้อนแม้ปลายเท้าเย็นเฉียบเอาไว้แนบอกเหมือนกับทุกที

 

          ระยะห่างเพียงแค่พลิกตัวไปถึงกลับรู้สึกห่างไกล ราวกับว่าเตียงของเขามันกว้างใหญ่ขึ้นกว่าเก่า ...ว่างเปล่าเสียยิ่งกว่าคืนที่ต้องอยู่เพียงลำพัง

 

          เป็นครั้งแรกที่แก้วรู้สึกอยากกรีดร้องโวยวายใส่ใครสักคน ใครสักคนที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ แต่ก็รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำเช่นนั้น

 

          เขาโตเกินกว่าจะเรียกร้องความรัก... ความรักที่เขาให้กลับไปอย่างเท่าเทียมกันไม่ได้ตั้งแต่แรก

 

          ชายวัยสี่สิบห้าพลิกตัวตะแคงอีกฝั่ง หลับตาลงแล้วจมลงไปในความเหน็บหนาว สั่นสะท้านจนรู้สึกถึงรสเค็มปร่า

 

          กาลเวลาทำให้คนเปราะบาง ดูท่าว่าคำนั้นจะเป็นเรื่องจริง

 




 

          พลุไฟเบ่งบานย้อมราตรีกาลให้สว่างไสว แต่หน้าบ้านไม้สีขาวกลับหม่นครึ้มด้วยม่านความรู้สึกสีเทา

 

          แก้วสูบบุหรี่ มองท้องฟ้าประดับประดาแสงไฟหลากสีด้วยแววตาว่างเปล่า โชคเองก็ไม่ต่างกัน เขายืนอยู่เหนือลมแต่กลับได้กลิ่นขมฝาดเฝื่อน ดอกไม้ไฟตรงหน้าซีดจางไร้สีสัน ทั้งที่ยืนอยู่ข้างกันแต่กลับเอื้อมไปไม่ถึง

 

          ...อีกแล้ว

 

          โชคไม่ชอบช่วงเวลาแบบนี้เลย ช่วงเวลาที่เขาคว้ามือคู่นั้นมากอบกุมเอาไว้ไม่ได้ หลังจากที่เขาออกจากห้องไปในเช้าวันนั้น มันก็เหมือนมีกำแพงมากั้นขวางไว้ไม่ให้เขาล่วงล้ำกลับเข้าไปใกล้ชิดกับแก้วได้อีก

 

          แต่ก็ไม่ชอบเลยจริงๆ

 

          “น้าแก้ว” ชายหนุ่มเอ่ยเรียก เจ้าของดวงตาสีเข้มจึงหันมาสบตา ไอควันลอยออกจากริมฝีปาก พัดพาหายไปกับสายลมเย็นเฉียบ

 

          “ว่าไง”

 

          “ผมรักน้าแก้วนะ รักเหมือนเดิม”

 

          “ฉันก็รักเธอ โชค”

 

          จูบขมปร่าของใบยาสูบมอดไหม้ ช่วยเยียวยาหัวใจแห้งแล้งให้ชุ่มชื้นขึ้นมาเล็กน้อย

 

          พวกเขาอยู่รับเช้าแรกของปีด้วยกันในห้องนั่งเล่น อิงซบกันอยู่บนโซฟา แผ่นหลังแนบชิดกับแผ่นอก โชคกอดแก้วไว้ขณะที่ไล้มือไปตามข้อนิ้วของคนในอ้อมแขน กดจูบลงบนกลุ่มผมยาวระท้ายทอยซ้ำๆ ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาในลำคอของเจ้าตัว...

 

          จนแสงสีทองยามเช้าสาดส่องเข้ามา อาบไล้ให้อุ่นจนเริ่มร้อน เสียงบอกราตรีสวัสดิ์จึงดังขึ้น บนโถงทางเดินหน้าห้องนอนที่ต่างคนต่างแยกกันเข้าไป





 

          นิสิตคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ในช่วงชั้นปีที่สาม เปิดฉากชีวิตเทอมสองอย่างวุ่นวายด้วยงานท้วมท้นตั้งแต่ต้นภาคเรียน โชคกลับถึงบ้านค่ำ บางวันก็พลาดมื้อเย็น ไหนจะการหมกตัวทำงานโต้รุ่งจนเวลากินนอนผิดเพี้ยน คาบเรียนในแต่ละวันก็เวลาไม่ตรงกัน ทำให้การได้เจอหน้าแก้วที่กิจวัตรประจำวันเป็นวงจรนั้นแทบนับครั้งได้ในหนึ่งสัปดาห์



          “ยังไม่นอนเหรอครับ” คืนกลางสัปดาห์เวลากว่าห้าทุ่มแล้วโชคเพิ่งถึงบ้าน สภาพดูทรุดโทรมอย่างคนนอนน้อย แก้วที่เคยผ่านมันมาแล้วไม่ได้แปลกใจสักเท่าไหร่ แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี



          “ยัง มีงานอีกรึเปล่า” ตอบคำพร้อมถามกลับ พลางตบหน้าขาเบาๆ เป็นการสัญญาณเรียก



          โชคส่ายหน้าขณะที่เดินไปทิ้งตัวลงบนโซฟา ฟุบหน้าลงบนตักน้าแก้วของเขาแล้วผ่อนลมหายใจยาวพรืด



          “พรุ่งนี้มีเรียนกี่โมง”



          “บ่ายครับ แต่เขายกคลาสเลยว่างทั้งวัน” มือใหญ่ของชายหนุ่มเริ่มขยับเลื่อนไปหลังสะโพกเจ้าของตักที่เขาหนุนนอน พวกเขาไม่ได้ใกล้ชิดกันมาพักใหญ่แล้ว



          “ไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ฉันมีประชุมตอนเช้า” แก้วตบเบาๆ บนต้นแขนข้างที่กำลังลวนลามตนอยู่เป็นเชิงปฏิเสธ ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำ แต่สภาพของอีกฝ่ายในตอนนี้ควรไปพัก อีกทั้งร่างกายของเขาเองก็ไม่ได้แข็งแรงขนาดที่จะทำกิจกรรมบนเตียงแล้วตื่นเช้าอย่างสดใสพร้อมไปทำงานได้เหมือนพวกคนหนุ่มสาว



          ค่ำคืนในเดือนมกราของคนทั้งสองจบลงด้วยจูบแผ่วเบาก่อนแยกย้ายกันไปเข้านอน







          ปลายเดือนแรกของปีมะลิคลอดลูกอีกครอก แต่เพราะสุขภาพของแม่แมววัยย่างสิบสี่ ลูกในท้องจึงเหลือรอดเพียงตัวเดียว สิ่งมีชีวิตแรกเกิดตัวเล็กจิ๋วสีควันบุหรี่ เจ้าของบ้านทั้งสองจึงตัดสินที่จะเลี้ยงลูกแมวน้อยตัวนั้นเอาไว้ ...และให้ชื่อว่าโมก



          หนึ่งในเจ้าของบ้านนั่งอยู่บนเฉลียงไม้หน้าบ้านกับคุณแม่มือฉมังที่ว่างจากการดูแลลูกน้อย โมกลืมตาแล้วเมื่อผ่านไปพ้นสัปดาห์ แต่ยังคงนอนทั้งวันอยู่บนเบาะผ้าใต้บันได



          แก้วเอนตัวพิงเสาไม้ ทั้งที่วันนี้เป็นวันเสาร์เขาก็ยังไม่ได้เจอหน้าโชคที่ออกไปทำงานกลุ่มตั้งแต่เช้า และกว่าจะกลับมาก็คงดึกดื่น วันหยุดดูไร้ความหมายเมื่อบ้านไม้สีขาวเงียบสงบจนชวนให้รู้สึกเหงาขึ้นมา



          ตลอดชีวิตสี่สิบกว่าปีเขาไม่เคยเกลียดความเงียบเลย ไม่เลยจนกระทั่งวันนี้



          ชายหนุ่มรุ่นใหญ่หยิบโทรศัพท์ออกมา กดพิมพ์ข้อความส่งไปถามคนรักอ่อนวัยกว่าของเขาว่าจะกลับมาทันกินข้าวเย็นไหม และคำตอบคือ ‘ไม่น่าจะทันนะครับ น้าแก้วกินไปก่อนเลย’



          ความรู้สึกหงุดหงิดรบกวนจิตใจ เหมือนกับที่ช่วงนี้เขานอนไม่ค่อยหลับ ตอนแรกแก้วคิดว่าอาจจะเพราะเครียดกับงาน ต่อมาก็คิดได้ว่ากำลังเข้าสู่วัยทอง แต่จนแล้วจนรอดต้นตอความวุ่นวายในจิตใจของเขาก็ชัดเจนเหลือเกินว่ามาจากโชค



          หนุ่มวัยทองจุดบุหรี่ พ่นลมหายใจเจือไอควันกรุ่นออกมาก้อนใหญ่ ไม่เคยคิดเลยว่าสักวันคนใจเย็นอย่างเขาจะกังวลใจด้วยเรื่องแบบนี้ ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าตัวเองในวัยใกล้ห้าสิบปีจะมีคนรักที่เด็กกว่าเกือบเท่าตัวอย่างในตอนนี้...



          วันเวลาเปลี่ยนแปลงผู้คน เช่นเดียวกับที่ความรักทำ







          ความสัมพันธ์ระหว่างแก้วกับโชคคงตัวอยู่ในระดับที่เรียกว่าเป็นคนรัก แต่ห่างไกลกับคำว่าคู่ชีวิตอย่างที่เคยเป็นมา แม้บรรยากาศจะกลับมาดีขึ้นกว่าช่วงแรกที่ระหองระแหงกันมากแล้ว แต่ก็ยังคงมีช่องว่างที่ทำให้รู้สึกกลวงเปล่าคั่นกลางอยู่ดี



          และช่องว่างนั้นก็ดูจะฉีกถ่างระยะห่างให้มากขึ้นไปอีกในวันนี้



          10 กุมภาพันธ์ วันเกิดของธีร์



          เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาและรอยยิ้มเจิดจ้าไม่ได้โผล่หน้ามาสร้างความลำบากใจ และแก้วก็ไม่ได้ออกไปหาเจ้าตัว มีเพียงแค่โทรศัพท์หนึ่งสายที่แก้วเป็นคนกดโทรออกไป กล่าวคำอวยพรเหมือนกับทุกปีที่ผ่านมา พูดคุยถามไถ่เรื่องราวชีวิตกันเล็กน้อยแล้วก็วางสาย



          ...ถึงจะเพียงแค่นั้นก็ทำให้โชคไม่พอใจอยู่ดี



          หากมองเผินๆ อาจดูขี้หึงและใจแคบ แต่สำหรับโชคแล้วมันมีนัยยะสำคัญอยู่... มันแสดงให้รู้ว่าคำขอของเขาถูกปฏิเสธ



          “โชค” แก้วเอ่ยเรียกคนที่กลับมาถึงบ้านพอดีกับที่เขากำลังคุยโทรศัพท์ สีหน้าเรียบเฉยเดินผ่านเขาไปอย่างไม่คิดทักทาย จัดการเทกับข้าวที่ซื้อกลับมาใส่จานให้เรียบร้อยเสร็จสรรพแต่ไม่คิดจะร่วมโต๊ะด้วย



          โทรศัพท์ถูกวางทิ้งส่งๆ ไว้บนโต๊ะข้างที่เขี่ยบุหรี่ ขณะที่แก้วลุกเดินตามมาถึงหน้าบันได คว้าข้อมืออีกฝ่ายไว้ทั้งที่ไม่รู้เหมือนกันว่าอยากจะพูดอะไร



          “...” ในความเงียบงัน ดวงตาสองคู่ที่จ้องมองกันฉายแววแตกต่าง แก้วกระวนกระวาย ส่วนโชคแหลกสลาย



          “โชค”



          “ครับ”



          “ฉันขอโทษ”



          ดวงตาคู่สวยปิดลงอย่างข่มความรู้สึกบางอย่าง และพอเปิดขึ้นมาอีกครั้งแก้วก็เข้าใจว่ามันรู้สึกอย่างไรที่ถูกปฏิเสธ



          “ผมไม่ได้อยากให้น้าแก้วขอโทษ”



          เจ็บปวด...



          “ผมอยากให้น้าแก้วรักผม... ผมแค่คนเดียว”



          จนชาหนึบไปทั้งหัวใจ







          สามวันต่อมาคนในบ้านใช้ชีวิตโดยที่ไม่ได้พูดคุยกันเลยแม้แต่คำเดียว มีเพียงแก้วกระเบื้อง กระปุกกาแฟและโหลน้ำตาล กับกาน้ำร้อนที่เสียบปลั๊กไว้ให้ในวันที่โชคตื่นเช้ากว่า



          แก้วชงกาแฟ ด้วยความรู้สึกมากมายที่ลอยวนอยู่เหนือวังน้ำวนที่จมลงสู่ก้นแก้ว ความรู้สึกอยากอาหารที่มีอยู่น้อยนิดลดลงไปอีกแล้ว



          วันนั้นทั้งวันเขาไม่ได้แตะอาหารเลยสักมื้อ



          พอตกกลางคืนก็นอนไม่หลับ พลิกตัวไปมาอย่างว่างเปล่าทั้งที่ในหัวเต็มแน่นจนไม่แน่ใจว่ากำลังคิดอะไรอยู่ มีเพียงอย่างเดียวที่รู้แน่ชัดคือมันเป็นเรื่องของโชคเสียส่วนใหญ่



          ยามเช้ามาถึงโดยที่แก้วยังไม่ได้หลับ เขาลงจากบ้านมานั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น เอนลำตัวพิงพนักโซฟา ดวงตาจับจ้องออกไปนอกหน้าต่าง นานแล้วที่ไม่ได้ทำเช่นนี้ ด้วยเพราะปกติจะมีตัวป่วนมากวนให้เขาต้องสนใจจนไม่มีเวลาได้เหม่อมองท้องฟ้าอย่างเลื่อนลอยเช่นนี้



          รั้วสีขาว สวนสีเขียว ต้นมะม่วง ชิงช้าที่นานๆ ทีจะมีคนใช้งานแต่ยังแข็งแรงอยู่ กับดอกกุหลาบสีแดงเบ่งบานชูช่ออยู่ริมหน้าต่าง...



          “น้าแก้ว” เจ้าของต้นกุหลาบลงจากบ้านมาพอดี นั่นเป็นประโยคแรกที่พวกเขาได้คุยกันหลังผ่านมาสามวัน “กาแฟไหมครับ”



          “ก็ดี ขอบใจ”



          “ครับ”



          โชคชงกาแฟออกมาสองแก้ว หนึ่งของเขา และอีกหนึ่งของคนบนโซฟา ทว่ากลับไร้เงาคนที่เคยอยู่ตรงนั้น ชายหนุ่มเดาว่าอีกฝ่ายคงออกไปสูบบุหรี่อีกตามเคยเลยวางกาแฟเอาไว้ให้บนโต๊ะข้างที่เขี่ยสีใส ส่วนตัวเองตั้งใจจะรีบดื่มแล้วกลับขึ้นไปเอาเสื้อผ้ามาเตรียมอาบน้ำแล้วออกไปเรียน



          แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาออกจากห้องนั่งเล่น ไอควันจากกาแฟอุ่นร้อนยังคงลอยเอื่อยขึ้นสูง แก้วก็กลับเข้ามา พร้อมกับดอกกุหลาบสีสดในมือ

 

          ดวงตาสบมองกันอย่างเงียบงัน คนเด็กกว่าเพิ่งคิดขึ้นมาได้ว่าวันนี้เป็นวันอะไร

 

          ...วาเลนไทน์แห่งความรัก ที่เขาจะส่งดอกไม้ให้กับอีกคนในทุกๆ ปี

 

          ไม่มีคำพูดใด ชายหนุ่มแค่เดินเข้าไปหาความรักของเขา ที่แม้ตอนนี้จะขมฝาด แต่ก็ยังคงเป็นรักไม่เปลี่ยนแปลง ยกแขนโอบรวบตัวเข้ามากอด เกลี่ยปอยผมยาวปรกหน้าผากของอีกฝ่ายก่อนแนบริมฝีปากลงแผ่วเบา แก้วหลับตารับสัมผัส ซุกซบลงไปบนบ่ากว้างยามเมื่อโชคถอนจูบออกไป

 

          “คืนนี้กลับเร็วหน่อยได้ไหม” ฟังดูคล้ายคำถาม แต่กลับเป็นคำขอ แก้ววิงวอนผ่านแววตาที่ช้อนขึ้นสบ

 

          “ครับ” และโชคไม่ปฏิเสธ... ไม่อาจปฏิเสธ “เย็นนี้กินอะไรดีครับ”

 

 

 

          หลังมื้อเย็นที่เงียบงันของคนสองคน โชคเป็นฝ่ายที่ไปอาบน้ำก่อน แล้วขึ้นห้องไปทำงานอยู่นานสองนาน แก้วจึงตามขึ้นมาเคาะประตู หยดน้ำยังคงเกาะตามลำคอที่โผล่พ้นขอบเสื้อยืด เรือนผมชื้นฉ่ำกับไออุ่นร้อนรอบตัว บรรยากาศเชิญชวนทั้งที่หัวใจกลวงเปล่า

 

          โชคตอบรับด้วยร่างกายและความปารถนา บนเตียงกว้างในห้องนอนใหญ่ร้อนแรงแข่งกับเครื่องปรับอากาศ ทุกจังหวะการขยับสอดประสานอย่างคุ้นเคย นำอารมณ์พุ่งทะยานจนเสร็จสม แต่ก็ยังรู้สึกไม่พอ แม้ตักตวงมากมายเท่าไหร่ก็ไม่อาจเติมเต็มช่องว่างในอก...

 

          ความร้อน หยาดเหงื่อ ลมหายใจ เสียงหอบคราง

 

          แก้วมองหน้าคนที่ทาบทับอยู่ด้านบน โชคอยู่ในตัวเขา กอดรัดรึงแนบแน่น มอบจูบวาบหวามดูดดื่ม ทั้งที่สัมผัสกันลึกซึ้งถึงเพียงนี้ ทั้งที่ชัดเจนถึงเพียงนี้

 

          ...แต่กลับว่างเปล่าไร้ซึ่งความหมาย

 

          และทั้งที่แสนว่างเปล่า เขากลับหายใจไม่ออก

 

          “โชค” เสียงแหบแห้งกับมือที่ดันอกอีกฝ่ายออกห่าง

 

          “ครับ” เจ้าของชื่อขานรับ ยอมหยุดยั้งทุกอารมณ์ไว้อย่างรอคอย

 

          “เปล่า เปลี่ยนท่าเถอะ” แก้วว่า ก่อนจะเป็นฝ่ายขึ้นคร่อมทับอยู่ข้างบน กดสะโพกลงรับส่วนแข็งขึงเข้ามา เชื่อมโยงหลอมรวมเป็นหนึ่งอีกครั้ง ก่อนจะขยับเชื่องช้าราวกับจะยั่วเย้าให้คนใต้ร่างทรมาน

 

          คนโดนปลุกเร้าด้วยจังหวะเนิบช้าหยัดตัวขึ้นรวบตัวคนขี้แกล้ง โอบกอดประคองแผ่นหลังที่สั่นไหวน้อยๆ ไว้ขณะจัดท่าทางให้สะดวกกับการกระแทกสวนขึ้นไปจากเบื้องล่าง แก้วเกยคางบนบ่า โอบแขนยึดรอบลำคอของโชคไว้เมื่อจังหวะการสอดใส่กลายเป็นหนักหน่วง มันไม่ได้รุนแรงจนทำให้เจ็บ โชคยังคงเป็นชายหนุ่มที่ทะนุถนอมอ่อนโยนกับเขาเฉกเช่นวันวาน

 

          กระทั่งความร้อนเดือดพล่านจนปะทุหลั่งออกมาเป็นหยาดหยด โชคทิ้งตัวลงนอนพิงหมอน กำลังจะรั้งตัวคนข้างบนให้ซบลงมา แต่ทุกอย่างก็หยุดชะงักเมื่อน้ำตาหนึ่งหยดร่วงลงบนอกเขา ก่อนจะพรั่งพรูตามมาอีกมากมาย

 

          ...หยดแล้วหยดเล่า

 

          แก้วร้องไห้ ดวงตาเปียกชุ่มแดงก่ำ ริมฝีปากสีซีดและมีรอยฟันฝังลึกบ่งบอกว่าพยายามกลั้นเสียงมาเนิ่นนาน

 

          “ฉันขอโทษ” เสียงสั่นเครือแหบพร่าเอื้อนเอ่ย ก่อนสองมือยกจะขึ้นปิดซ่อนใบหน้า ทว่าร่างกายกลับสะท้านไหวตามแรงสะอื้น

 

          “น้าแก้ว...” โชคนิ่งค้าง ไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไรและยังไม่ทันได้คิดหาคำตอบ แก้วก็ชิงเป็นฝ่ายพูดต่อให้แทนแล้ว

 

          “ฉันไม่ชอบที่เราเป็นอยู่ตอนนี้” แก้วสูดลมหายใจเข้าลึก ปาดน้ำตาออกลวกๆ พยายามจัดการกับจังหวะการหายใจของตัวเองเพื่อพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา “ฉันขอโทษ... เรื่องธีร์ฉันไม่รู้ว่าฉันจะทำยังไง ฉันกับธีร์เป็นเพื่อนกันมานาน นานมากเลยโชค แล้วฉันก็รักธีร์มานานมากจนฉันไม่รู้ว่าจะเลิกรู้สึกแบบนั้นได้ยังไง”

 

          คำสารภาพทำเอารู้สึกจุกเสียด โชคได้แต่มองคนตรงหน้าอย่างเงียบงัน เห็นหยาดน้ำตาทะลักทะลายอาบสองแก้มแม้ดวงตาคู่นั้นจะยังคงซุกซ่อนไว้หลังฝ่ามือ และในตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งจะสังเกต ว่าตามนิ้วเรียวยาวขึ้นข้อชัดเจนแค่ไหน เช่นเดียวกับกระดูกไหปลาร้าที่นูนเด่นกว่าแต่ก่อน

 

          ...แก้วผ่ายผอมลงมาก กล้ามเนื้อที่เคยมีอ่อนยวบยาบ ไม่ได้ซูบโทรมจนแห้งเหี่ยว แต่ก็ดูเปราะบางเหลือเกินหากเทียบกับในวันวาน

 

          ในอกวูบโหวงและบีบรัดแน่นในเวลาเดียวกัน ความรู้สึกผิดตรงเข้ากัดกินหัวใจ ไม่ว่าจะมากหรือน้อยแค่ไหน แต่หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้แก้วต้องเป็นเช่นนั้นก็คงมีเขาด้วยอยู่ดี โชคยกมือขึ้นเกี่ยวรั้งมือเรียวให้พ้นจากดวงตาสีเข้ม จ้องสบอย่างต้องการปลอบโยน แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน สุดท้ายได้ทำได้เพียงจ้องมองดวงตาคู่นั้น รับฟังความในใจแสนสั่นเครือของแก้วต่อไป

 

          “ฉันรู้ว่ามันเห็นแก่ตัว ...ที่ฉันยังรักธีร์อยู่ แต่ฉันก็รักเธอด้วย ฉันอยากอยู่กับเธอ อยากให้เรากลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน ฉันคงเป็นคนโลภมากที่อยากได้ความรักที่มากมายขนาดนั้น... แต่ฉันมีความสุข โชค ฉันมีความสุขมากที่เธอรักฉันแบบนั้น มากจนฉันคงทนไม่ได้ถ้าเราอยู่ด้วยกันต่อไปแบบห่างเหินอย่างนี้...” ยิ่งพูดทั้งที่พยายามกลั้นน้ำตาลำคอก็ยิ่งเจ็บ ถึงอย่างนั้นก็ยังคงพูดต่อไปแม้เสียงเริ่มขาดหายจวนจะกลายเป็นเพียงลมหายใจหอบฮัก แก้วประคองเรียวคางคนหนุ่มไว้มั่น เฉกเช่นเดียวกับน้ำหนักของถ้อยคำ “ถ้าเธอไม่อยากอยู่กับฉันแล้ว... เราจะเลิก...”

 

          “ผมไม่เลิกหรอกครับ ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ...ผมอยากอยู่กับแก้ว” โชคไม่ได้รอให้แก้วพูดจนจบประโยค วางมือทาบทับมืออีกฝ่าย ขยับรั้งมาค้างไว้เหนือริมฝีปาก ก่อนจ้องมองเข้าไปยังนัยน์ตาสีเข้มอย่างซื่อตรง เอ่ยคำพูดที่ราวกับคำสัญญาอย่างหนักแน่น “ผมจะอยู่กับแก้วตลอดไปเลยนะครับ”

 

          แม้คำว่าตลอดไปจะไม่มีอยู่จริง แต่ครั้งนี้แก้วกลับเชื่อหมดใจว่ามันจะเป็นเช่นนั้น

 

          เขากับโชค... อยู่ด้วยกันตลอดไปในบ้านไม้สีขาวสองชั้นหลังนี้

 

          เสียงสะอื้นหนักขึ้น บางครั้งก็ขาดห้วงด้วยเพราะการหอบหายใจอย่างเหนื่อยล้า แก้วร้องไห้อยู่บนอกโชคเนิ่นนานจนน้ำตาแห้งเหือด ทว่าแผ่นหลังก็ยังคงสั่นไหวอยู่เช่นนั้นต่อไปอีกจนค่อนคืน เป็นครั้งแรกที่แก้วแสดงอารมณ์อ่อนไหวออกมามากมายขนาดนี้ต่อหน้าโชค

 

          อาจจะด้วยเพราะวัยและความเครียดสะสมที่ทำให้คนสุขุมสูญเสียความเยือกเย็น หรือไม่ก็เป็นเพราะความรักทำให้คนสติแตก แต่ไม่ว่าอย่างไหนโชคก็ไม่อยากเห็นน้าแก้วที่เปราะบางราวกับจะแหลกสลายลงไปท่ามกลางหยดน้ำตาแบบนี้อีกแล้ว ถ้าเพื่อให้แก้วยิ้มแล้วล่ะก็...

 

          “ไม่ต้องฝืนตัวเองให้เลิกรักอาธีร์ก็ได้นะครับ” โชคกระซิบแผ่ว ใช้นิ้วเกี่ยวเส้นผมคนในอ้อมอกเล่น เห็นบางเส้นก็เป็นผมหงอกแซมมา พลางคิดถึงช่วงเวลาที่อีกฝ่ายใช้รักผู้ชายคนนั้น

 

          ...ตั้งแต่ไว้ผมทรงนักเรียนกระทั่งมันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว ตัวเขาเองก็คิดภาพไม่ออกเหมือนกันว่าหากเป็นเขาจะถอนความรู้สึกนั้นอย่างไร แค่คิดว่าให้เลิกรักน้าแก้วตอนนี้ก็ยังไม่คิดว่าจะทำได้เลย

 

          “ไม่ต้องเลิกติดต่อกันก็ได้... แต่ว่าเลือกผมนะครับ เลือกผมแล้วอย่ากลับไปหาอาธีร์อีก ให้ผมเป็นคนรักคนเดียวของน้าแก้ว”

 

          “อือ” เสียงครางรับจากเจ้าตัวเบาหวิวจนโชคต้องย้ำคำ

 

          “นะครับ”

 

          “อืม เรื่องของฉันกับธีร์มันผ่านไปแล้วโชค มันจบแล้ว ...ฉันมีแค่เธอ”

 

          “ครับ”

 

          อาการเหน็บชาเริ่มคืบคลานประท้วงร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณหน้าขาที่รับน้ำหนักของคนข้างบนที่ยังคงเชื่อมต่อกันอยู่ โชคขยับพลิกตัวอย่างนุ่มนวลเพื่อถอนกายออกจากอีกฝ่าย แก้วรู้สึกตึงเล็กน้อยที่ปากทางเพราะความแห้งผาก แต่ก็ไม่ได้ทรมานมากนัก จนสุดท้ายก็ได้นอนกอดก่ายกันในท่าที่ถนัดและสบายกว่า

 

          “โชค” บทสนทนาก่อนนอนในความง่วงงุนแต่การรับรู้กลับแจ่มชัด

 

          “ครับ”

 

          “กลับมานอนกับฉันนะ” แก้วซุกตัวหนุนหัวบนไหล่กว้าง รู้สึกเหมือนเด็กอ้อนขอความรักทั้งที่ชีวิตเดินมาเกินกว่าครึ่งทางแล้ว “ถึงจะยุ่งแค่ไหน แต่ถ้ากลับมานอนด้วยกัน อย่างน้อยฉันก็จะได้เจอเธอทุกวัน”

 

          “ครับ ได้สิครับ” คนถูกอ้อนหัวเราะ ชอบเหลือเกินเวลาที่น้าแก้วทำท่าทางน่ารักและพูดขอสิ่งที่ต้องการอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้

 

          เวลาเดินตรงไปข้างหน้าด้วยจังหวะของมันอย่างไม่รีบร้อน ความเงียบงันไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดใจอีกต่อไปแล้ว ทว่าก่อนที่จะร่วงหล่นสู่ห้วงนิทรา ในเวลาที่สติกำลังเลือนราง เสียงกระซิบงึมงำก็ยังคงดังก้องชัดเจนอยู่ข้างหู

 

          “ผมอยากอยู่ข้างๆ น้าแก้วไปจนถึงวันที่ผมแก่...”

 

          “ถึงตอนนั้นฉันก็กลายเป็นตาแก่อายุเจ็ดสิบแล้วสิ”

 

          “ก็ใช่น่ะสิครับ... เพราะถึงวันนั้นก็ยังอยากอยู่ด้วยกัน”

 

          “อือ”

 

          “ผมรักน้าแก้วมากขนาดนั้นเลยนะครับ”

 

          “ฉันรู้”

 

          “เพราะงั้นผมไม่ไปไหนหรอก”

 

          “ฉันก็เหมือนกัน”

 

          “น้าแก้ว”

 

          “อือ ฉันก็รักเธอ”

 

          “ครับ”

 

          “ฝันดี”

 

          “ฝันดีครับ”

 

 

 

TBC...

          ตอนนี้ก็ได้เห็นน้าแก้วที่แสนเปราะบางกันไปแล้วนะคะ เป็นยังไงกันบ้างคะทุกคน หวังว่าจะยังไม่เบื่อกันน้า มันเป็นเรื่องที่ยาวนานในความรู้สึกเพราะกินเวลานานมากจริงๆ เลยกลัวว่านักอ่านจะเหนื่อยจนเดินจากกันไปเหลือเกิน และสำหรับทุกคนที่ยังตามอ่านอยู่ รีนขอบคุณมากๆ เลยนะคะ รีนน่ะรอให้พวกคุณมาอ่านอยู่ที่ตรงนี้เสมอเลยล่ะค่ะ แต่ถ้าช่วงไหนไม่ว่างหรือกำลังยุ่งกับการใช้ชีวิตอยู่ก็ไม่ต้องรีบร้อนมาอ่านหรอกนะคะ ขอให้พวกคุณได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะมีน้ำตาหรือรอยยิ้มมากกว่าก็ขอให้หัวใจที่แสนอ่อนโยนดวงนั้นไม่แตกสลาย ขอให้ไม่ลืมเลือนความเป็นตัวเองนะคะ 


          ทั้งนี้วันเวลาเปลี่ยนแปลงผู้คน เช่นเดียวกับที่ความรักทำ และอากาศก็ด้วยค่ะ

          อย่าลืมดูแลสุขภาพในช่วงอากาศเปลี่ยน ขอให้แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจเลยนะคะ

 

          ขอบคุณทุกการอ่าน คอมเมนต์ กำลังใจ

          ขอบคุณจากใจเสมอ


          เจอกันวันจันทร์นะคะ 

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
หืออออออ!! 3p ????? เอาสิ ก็ดีเหมือนกันนะ ลงตัวดี ไม่ต้องแยกจากใครมันสักคนอยู่กันสามคนนี้แหละ หนับหนุนๆ 55555  :katai2-1: :katai2-1: เจอกันตอนหน้าเลยค่ะ จะไปทางไหน  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 39

 

       เข้าสู่เดือนมีนาอากาศก็ร้อนจนแทบไม่เหลือร่องรอยของฤดูหนาว โชคยังคงยุ่งกับการเรียนและยิ่งเป็นช่วงใกล้สอบกลางภาค บางคืนก็อ่านหนังสือติวกับเพื่อนจนตีหนึ่งตีสอง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงกลับบ้านทุกวัน เพียงเพื่อให้ได้เห็นน้าแก้วก่อนตัวเองจะนอน และให้แก้วได้เจอหน้าเขาในตอนที่ตื่นขึ้นมา

 

       “ตื่นนานแล้วเหรอครับ” เช้าวันเสาร์ที่ไม่ต้องออกไปไหน โชคลืมตามาเจอคนข้างกายที่นอนมองเขาอยู่ก่อนแล้ว

 

       “สักพักแล้ว” แก้วตอบ หลับตาลงเมื่อชายหนุ่มของเขายื่นหน้ามากดจูบเร็วๆ บนริมฝีปาก

 

       “หิวไหมครับ”

 

       “ไม่ค่อยเท่าไหร่”

 

       “ไม่หิวก็ต้องกินครับ” คนเด็กกว่าพูดเสียงเข้มคล้ายกำลังดุ มือใหญ่กำรอบข้อมือที่เห็นข้อกระดูกปูดชัดแล้วดึงขึ้นไปใกล้ใบหน้า ใช้ปลายจมูกถูไถไปมาบนหลังมือเรียว “น้าแก้วผอมลงมากเลยนะรู้ไหม”

 

       “อืม มันไม่ค่อยหิวน่ะ บางทีก็ลืมกิน” เจ้าของมือที่ถูกยึดไว้พลิกมือกลับไปบีบจมูกเจ้าหมาตัวโตที่กำลังทำหน้ามุ่ย "คงเพราะวัยทองล่ะมั้ง”

 

       “อย่าลืมบ่อยสิครับ” โชคว่า ความเป็นห่วงฉายชัดทั้งในแววตาและน้ำเสียง

 

       “อือ” คนไม่กินข้าวครางรับ ขยับตัวหาท่าสบายแล้วตั้งใจจะหลับต่อในอ้อมแขนอุ่น แต่เจ้าของวงแขนกลับไม่ยอมให้เขาได้นอนพักเมื่อท้องยังคงว่างเปล่า

 

       “ลงไปกินข้าวกับผมก่อน”

 

       “...”

 

       “นะครับ”

 

       “อืม”

 

 

 

       เย็นวันอังคารแก้วเลิกงานกลับมาถึงบ้านตอนห้าโมงครึ่ง เห็นเด็กน้อยของเขากำลังเล่นกับแมวเด็กที่กำลังซน กระโดดตะปบของเล่นทั้งที่ขายังไม่แข็งแรงดี พอลงพื้นก็ทรุดก้มจ้ำเบ้าแต่ยังคงจับจ้องขนนกที่ปลายเส้นเอ็นโยกไหวไปมาตาไม่กระพริบ

 

       “กลับมาแล้ว” แก้วยิ้มให้ดวงตาสามคู่ที่จ้องมองมา มะลิเป็นคนแรกที่มาต้อนรับเขาโดยการถูตัวกับขา ต่อมาเป็นชายหนุ่มที่ลุกมารับของในมือไปเก็บให้ในห้องทำงาน และสุดท้ายก็เป็นสมาชิกคนล่าสุดของบ้านที่ค่อยๆ เดินมาดมปลายเท้าคนมาใหม่ที่นั่งลงบนโซฟา รับรู้กลิ่นคุ้นเคยก็ปีนขึ้นไปจับจองบนหลังเท้าราวกับเป็นที่นอนแสนสบาย

 

       แก้วยกเท้าข้างที่ลูกแมวนอนทับขึ้นเล็กน้อยอย่างหยอกล้อ มองสบดวงตาสีออกฟ้าต่างจากตัวแม่ที่ดูตื่นกลัวจนไม่กล้าขยับ “ว่าไงโมก ตัวหนักขึ้นอีกแล้วนะ”

 

       “ก็ดีแล้วนี่ครับ แสดงว่าสุขภาพดี” โชคกลับมานั่งกึ่งขัดสมาธิลงข้างน้าแก้ว วาดแขนข้างหนึ่งไปวางทิ้งไว้เหนือพนักพิงโซฟาด้านหลัง มองเจ้าสีควันแล้วไล่สายตามาที่คู่สนทนา “น้าแก้วก็เหมือนกัน กินให้เยอะๆ หน่อยสิครับ”

 

       “ฉันผอมแล้วไม่ดีเหรอ” แก้ววางลูกแมวน้อยลงพื้นอย่างปลอดภัยแล้วหันมาสบตากับเจ้าหมาตัวใหญ่

 

       “ดีตรงไหนล่ะครับ”

 

       “ก็...เอวบางร่างน้อย เด็กๆ รุ่นเธอชอบแบบนั้นกันไม่ใช่เหรอ” รอยยิ้มถูกจุดขึ้นมาบนใบหน้าของทั้งสองคน โชคหัวเราะผะแผ่วก่อนฝังจมูกลงบนหัวไหล่อีกฝ่าย

 

       “ไม่รู้สิครับ ผมชอบแก้วคนเดียวมาตลอดเลยไม่เคยมองคนอื่น” อยู่ๆ ก็ถูกจีบ แก้วหลุดขำออกมาอย่างเอ็นดู

 

       “แล้วพอฉันผอมก็ไม่ชอบแล้วเหรอ”

 

       “ก็ไม่ได้ไม่ชอบนะครับ” ดวงตาคู่สวยวาวระยับฉายแววซุกซน “แต่ผมชอบตอนมีเนื้อหนังมากกว่า เวลาจับแล้วเต็มมือดี”

 

       “แค่เพราะเรื่องนั้นเหรอ” แก้วยังคงไล่จี้ต่ออย่างนึกสนุก โชคเลยเล่นตามน้ำไปด้วย

 

       “อืม พอแก้วผอมเวลาผมกอดก็ทำแรงไม่ได้ด้วยอะดิ”

 

       “เกี่ยวกันตรงไหน”

 

       “กลัวตัวแก้วจะหัก”

 

       “ฉันไม่ได้บอบบางขนาดนั้นสักหน่อย”

 

       “ผมรู้” โชคว่า “แต่ผมก็กลัวอยู่ดี”

 

       “อืม งั้นฉันจะกินให้เยอะขึ้นแล้วกัน”

 

       “หืม”

 

       “เวลาเธอเอาฉันจะได้ไม่ต้องออมแรง”

 

       “น้าแก้ว...” คนเด็กกว่าลากเสียง รู้สึกขัดเขินขึ้นมากับคำพูดของแก้ว ส่วนเจ้าตัวนั้นหัวเราะร่า ยิ้มออกมากว้างกับดวงตาสุกใส ยกมือขึ้นประคองหน้าอีกฝ่ายแล้วดึงเข้ามาจูบเบาๆ

 

       “ฉันอยากทำกับเธอให้มากที่สุดในตอนที่ยังไหวอยู่” น้ำเสียงยังคงเจือความอารมณ์ดี แต่ถ้อยคำกลับจริงจังและชวนให้รู้สึกวูบโหวงขึ้นมา “อีกไม่นานฉันก็จะห้าสิบแล้ว ส่วนเธอตอนนั้นแค่ยี่สิบเจ็ด โชค ฉันเลยอยากให้เธอเก็บช่วงเวลานี้ไว้ให้ได้มากที่สุด”

 

       “...คืนนี้เลยไหมครับ” คำถามเย้าฟังดูเจ้าเล่ห์ โชคกอดแก้วเอาไว้ วางคางเกยบ่ากว้างที่ผอมบางลงมากนัก ขณะฟังแก้วบ่นเรื่องที่เขาเพิ่งจะทำไปเมื่อคืน แต่กลับคึกอะไรนักหนา แล้วสุดท้ายก็ตอบตกลงอยู่ดี

 

       โชคกระชับกอดแน่น... แม้ปากจะพูดไปอย่างนั้น แต่หัวใจเขากลับสั่นไหวเหลือเกิน

 



 

       วันหยุดสุดสัปดาห์ที่ไม่มีธุระนั้นแสนสงบ โชคตื่นขึ้นมาตอนสายไม่เห็นคนข้างกายเลยลงมาตามหาที่ชั้นล่าง เดินออกไปจนถึงหน้าบ้านก็ได้กลิ่นควันขมลอยมาตามลมโชยเอื่อย

 

       “น้าแก้ว” เอ่ยเรียกคนที่สูบบุหรี่หลับตาพริ้มอยู่บนชิงช้า แสงแดดแรงจ้าส่องสว่างแต่ไม่อาจผ่านพุ่มใบต้นมะม่วงลงมาเลียผิวคนใต้ร่มเงาได้ ค่อนข้างแปลกตาที่เห็นแก้วอยู่ตรงนั้น เพราะปกติที่ประจำในการสูบบุหรี่จะเป็นลานอิฐที่มีดอกแก้วโปรยเสียมากกว่า

 

       “ว่าไง” แก้วขยับปากพูดทั้งที่มวนกระดาษยังคาปาก มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ กับดวงตาที่ทอดมองมาอย่างอ่อนโยน

 

       “กินข้าวด้วยกันนะครับ”

 

       “อือ มีอะไรกินบ้างล่ะ”

 

       “ไม่รู้สิครับ ยังไม่ได้ทำ” โชคว่า ก่อนจะเอ่ยถาม “น้าแก้วอยากกินอะไร”

 

       “เธอทำอะไรมาฉันก็กินหมดนั่นแหละ”

 

       “กินให้หมดจริงๆ นะครับ”

 

       “อืม จะกินให้หมดเลย”

 

       โชคยิ้มร่า เดินกลับเข้าบ้านไปประจำตำแหน่งพ่อครัว จัดเตรียมอาหารมื้อใหญ่จนไม่คิดว่าเป็นปริมาณของสองคนกิน และสุดท้ายแก้วก็กินได้ไม่หมด ...แต่ถึงอย่างนั้นก็มากกว่าที่เคยแล้ว

 

 

 

       กลางดึกที่โชคเพิ่งกลับถึงบ้าน เขารีบอาบน้ำเพื่อจะได้ขึ้นบ้านนอนพักผ่อนเสียที พอเปิดประตูห้องนอนใหญ่เข้าไปก็พบว่าเจ้าของเตียงคนนั้นหลับไปแล้ว ชายหนุ่มเลยต้องค่อยๆ ย่องไปขึ้นเตียงอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะฝังตัวเข้าไปแนบชิดกอดอีกฝ่ายเอาไว้

 

       “กลับมาแล้วเหรอ” แก้วงัวเงียปรือตาหันกลับมามองผู้บุกรุกยามวิกาล

 

       “ผมทำให้ตื่นเหรอครับ” เอ่ยถามอย่างรู้สึกผิด แต่ไหนๆ เจ้าตัวก็ตื่นแล้วโชคเลยขโมยหอมแก้มไปฟอดใหญ่

 

       “อือ กี่โมงแล้ว” เสียงงึมงำยังคงพูดไปขณะพลิกตัวหันมาซุกกับอกอุ่น

 

       “ตีหนึ่งกว่าครับ” ชายหนุ่มตอบพลางกระชับอ้อมแขน จัดท่าทางให้นอนสบายแล้วแนบคางเกยศีรษะคนรักสูงวัยของตน บทสนทนาก่อนนิทราถูกกระซิบแผ่วเบา “เริ่มกลับมามีเนื้อมีหนังขึ้นแล้วนะครับ”

 

       “ฉันเหรอ”

 

       “ครับ”

 

       “แล้วดีไหม”

 

       “ก็กอดเต็มมือขึ้นเยอะเลย” เสียงหัวเราะแผ่ว ก่อนที่แก้วจะขยับตัวอย่างอึดอัดเล็กน้อย

 

       “ปล่อยฉันก่อน หายใจไม่ค่อยออกแล้ว” คนถูกกอดประท้วง ตบเบาๆ บนท่อนแขนที่โอบเอวตนไว้แน่นให้ผ่อนแรงลง

 

       โชคยอมทำตามอย่างว่าง่าย ทั้งยังปล่อยให้แก้วลุกขยับจัดท่านอนใหม่ตามใจ ซึ่งเจ้าตัวหยิบหมอนมาวางซ้อนให้สูงขึ้นเล็กน้อยก่อนนอนลงไป เสร็จแล้วค่อยดึงรั้งให้เขาเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนแนบกับแผงอก

 

       “น้าแก้ว...”

 

       “หืม”

 

       “ราตรีสวัสดิ์ครับ”

 

       “อา ราตรีสวัสดิ์โชค”

 

 

 

       ปลายเดือนมีนาอากาศร้อนขึ้นอย่างรุนแรง แก้วที่เหงื่อโทรมกายเพราะการตากผ้ากลางแจ้งเดินถือตะกร้ากลับเข้ามาในบ้าน โชครีบเอาเหยือกน้ำเปล่ากับแก้วออกมาให้

 

       “ผมบอกแล้วเดี๋ยวผมไปตากให้”

 

       “แค่ตากผ้าเอง เธอไปเก็บตู้เย็นต่อเถอะ เดี๋ยวเขาจะเอาตู้ใหม่มาส่งแล้ว” แก้วเอนหลังพิงพนักโซฟาปล่อยให้พัดลมช่วยเป่าไอร้อนบนผิว พร้อมไล่ให้เด็กน้อยจอมเอาใจใส่ที่ชอบแย่งงานบ้านไปทำเสียหมดให้ไปเก็บของออกจากตู้เย็นอายุหลายสิบปีที่เกษียณอายุการทำงานของตัวเองไปเมื่อเช้าต่อ เพราะใกล้ได้เวลาที่ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้านัดว่าจะเอาตู้ใหม่มาส่งให้แล้ว

 

       “ดื่มน้ำด้วยนะครับ” เอ่ยย้ำอีกครั้งก่อนจะยอมกลับเข้าครัวไป

 

       แก้วเลยได้แต่เทน้ำใส่แก้วแล้วยกดื่ม แต่เพิ่งกลืนไปได้อึกเดียวก็สำลักไอขึ้นมา จากนั้นก็ไอโขลกๆ อยู่นานจนโชคต้องกลับออกมาดู

 

       “น้าแก้ว โอเคไหมครับ” เอ่ยถามเสียงอ่อนพลางช่วยลูบหลังให้อย่างเป็นห่วง

 

       “อืม แค่สำลักเฉยๆ” เจ้าตัวว่าเมื่ออาการทุเลาลงแล้ว แม้จะยังคงแสบจมูกกับคันคออยู่เล็กน้อยก็ตาม

 

 

 

       วันที่ 1 เมษายนเป็นวันเกิดของเด็กชายที่ได้ชื่อตามเดือนเกิด ...น้องเมษาลูกชายอาธีร์

 

       แก้วโทรศัพท์ไปหาพ่อของเด็กชายเพื่อขอสายอวยพรเจ้าตัว โชคเองก็อยู่ด้วย นั่งซ้อนหลังโอบเอวแก้วไว้พลางแนบหูฟังเสียงใสของเด็กน้อยวัยสิบสองปีที่กล่าวขอบคุณและบ่นว่าคิดถึงป๊ะป๊าแก้วและพี่โชคของตนแค่ไหน

 

       “เมื่อไหร่จะได้เจอกันอีกอะครับ พี่โชคยุ่งเหรอ เนี่ยเจ้ปรางก็บอกว่าพี่โชคไม่ค่อยตอบแชทเจ้ปรางเลย”

 

       “พี่ปรางทักมาในไหนเนี่ย พี่ไม่เห็นเห็นเลย” โชครับช่วงคุยกับเด็กชาย ในขณะที่แก้วหยิบรีโมตทีวีมากดลดเสียงลงไปอีกเพื่อให้ไม่ดังเข้าไปแทรกบทสนทนาในสาย เขาไม่ได้สนใจฟังนักว่าเด็กๆ คุยอะไรกัน ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะคิกคักกับความสดใสของวัยเยาว์ที่แว่วมาเข้าหู ...จนกระทั่งได้ยินชื่อใครสักคนที่ทำให้รู้สึกยุบยิบในหัวใจขึ้นมา

 

       “อาธีร์ครับ”

 

       รับรู้ได้ถึงความเกร็งในน้ำเสียงของคนด้านหลัง แก้วเองก็เผลอเกร็งตัวขึ้นมาเช่นกัน แต่มือของโชคที่เอื้อมมาจับมือเขาแล้วบีบนวดเบาๆ ช่วยให้ผ่อนคลายลง เหมือนกับประโยคที่ชายหนุ่มพูดกับอีกคน

 

       “ขอบคุณนะครับ... ของขวัญที่ให้มาผมเปิดดูแล้วนะ ขอโทษที่ตอนนั้นผมไม่ยอมคุยด้วย ...อาก็เป็นแต่แบบนี้ไง ใจดีตลอดเลย” เสียงหัวเราะในลำคอดูฝืดฝืนอย่างประหม่า แต่แววตาก็อ่อนลงเช่นเดียวกับกำแพงที่เคยสร้างขึ้นมา “ไม่เป็นไรครับ คุยกับน้าแก้วไหม ...ผมบอกแล้วว่าไม่เป็นไร อย่ามาแย่งน้าแก้วไปจากผมก็พอ ...ครับ งั้นคุยกับน้าแก้วนะ”

 

       โชคยื่นโทรศัพท์คืนให้เจ้าของ ก่อนกดจูบหนักๆ ลงข้างขมับแล้วลุกผละจากไปเอาข้าวให้แมว ปล่อยให้แก้วได้มีเวลาพูดคุยกับเพื่อนสนิท

 

       “...” ความเงียบงันเกิดขึ้นจากทั้งสองฝั่ง เสียงลมหายใจยังคงดังลอดมาข้างหู จนกระทั่งหลุดหัวเราะกันออกมาทั้งคู่

 

       “โชคโตมาเป็นผู้ชายที่ดีนะ” ธีร์ว่า

 

       “อืม ส่วนนึงก็เพราะมึง” และแก้วบอก

 

       “...แก้ว”

 

       “หืม”

 

       “เปล่า ไม่มีอะไร”

 

       บทสนทนามีเพียงเท่านั้น แต่มันก็ยังคงชัดเจนเหลือเกินว่าเสียงของธีร์ยามเอ่ยเรียกชื่อแก้วยังคงเป็นเสียงที่เจ้าตัวชอบมากที่สุดอยู่เช่นเดิม ...เหมือนกับความรู้สึกที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป

 

       มือเรียวกดวางสายหลังจากเอ่ยลากัน เขาเงยหน้าไปสบตากับชายหนุ่มข้างฉากไม้โปร่งเข้าพอดี

 

       โชคยิ้ม... เป็นรอยยิ้มแสนเศร้าแต่แววตาเต็มไปด้วยความเข้าใจ

 

       เป็นอีกครั้งที่แก้วรู้สึกว่าเขาช่างถูกผู้ชายคนนี้รักมากมายเหลือเกิน

 



 

       กลางฤดูร้อนของเดือนเมษายน เทศกาลสงกรานต์ที่ร้อนแรงที่สุดในรอบปี ทั้งโชคและแก้วไม่ได้ออกไปไหน ไม่มีใครคิดฝ่าแดดออกไปเล่นน้ำให้เปียกโชกเมื่อพวกเขามีห้องแอร์

 

       เจ้าของบ้านนอนเอกเขนกอยู่บนเตียงกว้าง แก้วอ่านหนังสือนิยายสืบสวนที่โชคซื้อมาไว้ติดบ้านให้อ่านเล่น ส่วนเจ้าตัวคนที่สรรหามาเสียบหูฟังเปิดไมค์เล่นเกมออนไลน์ในโทรศัพท์กับมิกซ์ที่ตอนนี้อยู่ต่างจังหวัด โดยที่บนพื้นห้องมีอีกสองชีวิตแม่ลูกที่หนึ่งนอนแผ่อย่างสบายอารมณ์ กับอีกหนึ่งที่กำลังซนเดินสำรวจไปทั่วพื้นที่

 

       ผ่านไปเกือบชั่วโมงโชคก็เลิกเล่นเกม เพราะเพื่อนสนิทของเขาถูกมารดาเรียกให้ไปรดน้ำดำหัวไหว้ญาติผู้ใหญ่ ชายหนุ่มวัยใกล้ยี่สิบสามปีเลยว่างจนพลิกตัวไปก่อกวนอีกคนบนเตียงต่อ

 

       “น้าแก้ว”

 

       “หืม”

 

       โชคไม่ได้พูดอะไรแต่เริ่มสอดมือเข้าไปใต้เสื้ออีกฝ่าย ลูบไปตามหน้าท้องแบนราบที่นุ่มหยุ่นน้อยๆ เพราะชั้นไขมันตามวัย แก้วยอมวางหนังสือลง ปล่อยให้เจ้าหมาตัวโตมุดเข้ามาในเสื้อ ขมเม้มไล้เลียไปตามผิวเนื้อ ดูดดุนยอดอกกระตุ้นเร้าความต้องการให้ทะยานสูง

 

       แต่เพราะแก้วผ่านคืนวันมาเนิ่นนานแล้ว ร่างกายไม่ได้จุดไฟให้ติดได้ง่ายดายขนาดนั้น

 

       “โชค” แก้วผลักศีรษะที่ถูกเสื้อตัวใหญ่ของเขาคลุมทับเบาๆ เป็นการบอกให้คนซุกซนถอยออกไป และได้ดั่งใจตามคำสั่ง โชคยอมถอยออกมาแต่โดยดี

 

       “ครับ?”

 

       “ให้ฉันเตรียมตัวก่อน” คนโตกว่าบอก เตรียมจะลุกไปจัดการตัวเองในห้องน้ำที่ชั้นล่าง แต่อีกคนกลับไปยอมปล่อย กอดรั้งเอวเขาไว้แน่นด้วยเพราะร่างกายของคนหนุ่มกำลังร้อนได้ที่

 

       “แค่ข้างนอกก็ได้ครับ” เด็กน้อยต่อรอง ทว่าก่อนจะทันได้ขยับทำอะไรต่อ แก้วก็พูดประโยคที่ทำให้เจ้าตัวต้องยอมรอ แม้ว่าความอึดอัดที่ช่วงล่างจะยิ่งคับแน่นขึ้นไปอีก

 

       “แต่ฉันอยากให้เธอใส่เข้ามา”

 

 

 

       เซ็กส์กลางหน้าร้อนไม่ได้แย่นักเมื่ออยู่ในห้องแอร์เย็นฉ่ำ แต่แก้วกำลังรู้สึกกระดากเล็กน้อยเมื่อเผลอจ้องสบตากับโมกที่กระโจนขึ้นมาบนเตียง

 

       “โมก” โชคเรียกเสียงเข้มเมื่อแมวเด็กเยื้องย่างเข้ามาหาคนที่กำลังทรุดหมอบกอดหมอนแน่นอยู่เบื้องหน้าเขา ก่อนจะเอาหัวไปถูไถกับกลุ่มผมสีเข้มอย่างไม่อ่านบรรยากาศใดๆ

 

       “รู้สึกเหมือนกำลังทำอะไรไม่ดีอยู่เลย” แก้วพึมพำ ยกยิ้มอย่างขบขันขณะใช้ปลายนิ้วเกาใต้คางลูกแมวสีควันบุหรี่

 

       “น้าแก้ว...” พูดพร้อมกับโน้มลงมากัดสะบักขวา ตรงที่มีจุดขี้แมลงวันเล็กๆ แต้มอยู่อย่างเรียกร้องความสนใจ “สนใจผมหน่อย”

 

       “ก็สนใจอยู่” คนถูกอ้อนเอี้ยวคอมองข้ามไหล่มาสบตากับเจ้าหมาขี้อิจฉา และเป็นอันรู้กันโดยไม่ต้องพูดอะไร ทั้งสองคนก็พลิกเปลี่ยนท่าให้มองหน้ากันได้สะดวก ส่วนแมวเด็กก็ถูกโชคฉวยเอาไปปล่อยลงข้างเตียงอย่างนุ่มนวล

 

       แก้วยิ้มอย่างเอ็นดูระคนหวามไหว การมีแฟนเด็กมันทำให้รู้สึกจั๊กจี้หัวใจอย่างนี้นี่เอง

 

       สอบแขนโอบดึงคนด้านบนลงมาจูบ ในขณะที่สะโพกถูกยกขึ้นสูงส่งให้ร่างกายที่แทรกสอดเข้ามาได้ลึกยิ่งขึ้น ลึกจนรู้สึกแน่นขึ้นมาถึงอก การหายใจติดขัดเล็กน้อยก่อนที่จะรู้สึกถึงแรงดันที่กระทั้นขึ้นมาจนถึงคอ แก้วผละริมฝีปากออกก่อนจะไอโขลก โชครีบหยุดกระกระทำแล้วประคองอีกฝ่ายขึ้นนั่งพลางลูบหลังอย่างเป็นห่วง

 

       “น้าแก้วไหวไหม”

 

       “อือ” กลืนน้ำลายกลับลงคอไปอย่างยากลำบาก แต่ก็พยักหน้าบอกว่าไม่เป็นไรเมื่ออาการแน่นหน้าอกหายไปแล้ว “เดี๋ยวให้ชั้นอยู่ข้างบนแล้วกัน”

 

       “ครับ” เสียงตอบรับเบาหวิวเต็มไปด้วยความกังวล แต่แก้วก็ยิ้มปลอบบอกแค่ว่าท่าเมื่อกี้มันลึกเกินไปจนจุกเท่านั้น

 

       พวกเขาร่วมรักกันต่อจนเสร็จสม โดยที่แก้วไม่ยอมเปิดปากให้โชครุกล้ำเข้าไปได้อีกเลย จนกระทั่งลงไปอาบน้ำล้างตัวกันเสร็จ แก้วถึงได้จูบโชคอย่างลึกซึ้งดูดดื่มอีกครั้งก่อนจะนอนคุยกันจนหลับไปในตอนบ่ายแก่

 

 

 

       ก่อนเข้าพฤษภาคมที่โชคต้องสอบปลายภาค นิสิตหนุ่มไม่ค่อยมีเวลาอยู่บ้านสักเท่าไหร่ ทั้งเรื่องงานกลุ่มที่ทำร่วมกับเพื่อน และการอ่านหนังสือด้วยกันก่อนสอบ แม้ว่าแก้วจะช่วยให้คำปรึกษาเขาได้ในเรื่องวิชาชีพที่ใช้จริง แต่ก็มีหลายสิ่งที่ระยะห่างยี่สิบปีของหลักสูตรที่เพิ่มเติมขึ้นมาซึ่งแก้วไม่สามารถช่วยได้มากนัก สุดท้ายการจับกลุ่มติวจึงเป็นทางเลือกที่ดูเข้าท่าที่สุด

 

       “วันนี้น่าจะไม่ได้กลับนะครับ” เสียงเหนื่อยล้าจากปลายสายเรียกรอยยิ้มเอ็นดูขึ้นมาบนริมฝีปากผู้ฟัง

 

       “อ่านไปเถอะ เดี๋ยวสอบเสร็จก็ว่างแล้ว” แก้วพูดอย่างคนมีประสบการณ์อดนอนไปสอบมาก่อน

 

       “ตอนน้าแก้วเรียนหนักขนาดนี้ไหมครับ”

 

       “อืม ก็เหมือนกันแหละ ไม่ค่อยได้นอนหรอกก่อนสอบน่ะ”

 

       “อือ...” โชคลากเสียงยาว ดูง่วงงุนและหงุดหงิดเล็กน้อย “อยากกลับไปนอนกอดแก้วแล้ว”

 

       “อืม ไปอ่านหนังสือต่อไป”

 

       “ครับ ...ขอกำลังใจหน่อย”

 

       “จะเอาอะไร”

 

       “จุ๊บๆ” แก้วหัวเราะออกเสียง ก่อนจะทำเสียงจุ๊บเบาๆ ตามที่อีกฝ่ายเรียกร้อง พูดลาสองสามคำแล้วกดวางสาย

 

       ห้องนั่งเล่นกลับมาเงียบงันในความมืดมิดของช่วงเวลาเกือบเที่ยงคืนอีกครั้ง หลายวันมานี้แก้วครุ่นคิดถึงหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่าง

 

       เขารักโชค... รักมากกว่าที่ตัวเองคิด และมากกว่าที่โชคคิดนัก

 

       ช่วงเวลาสองเดือนที่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาง่อนแง่นเต็มไปด้วยระยะห่างแสนอึดอัด ทำให้แก้วตระหนักขึ้นมาว่าโชคมีอิทธิพลกับชีวิตของเขามากมายแค่ไหนในฐานะคนรัก

 

       ความรู้สึกหลากหลายที่ไม่เคยได้สัมผัส อย่างการต้องการความรักจนเห็นแก่ตัว ความหวาดกลัวที่จะต้องสูญเสีย ความสุขของการถูกรักและได้รักตอบ ความปารถนาที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกันในทุกๆ วัน สิ่งเหล่านั้นโชคเป็นคนที่ทำให้แก้วในวัยสี่สิบกว่าปีได้เรียนรู้ จากคนเฉยชาที่อยู่เพียงลำพังจนเคยชิน กลายเป็นคนที่เกลียดความเหงาขึ้นมา

 

       และเพราะได้รับมามากมายขนาดนั้น เขาถึงคิดว่ามันคงถึงเวลาที่จะทำอะไรเพื่อตอบแทน

 

       ชายวัยกลางคนลูบไฟแช็กสีทองในมือ ...ถึงเวลาที่เขาจะแตะต้องความรู้สึกที่ฝังรากลึกเสียที

 

       ดวงตาสีเข้มปรือปิดลงเมื่อในอกคับแน่น รับรู้ถึงความรู้สึกระคายที่ก่อตัวในลำคอ จนสุดท้ายร่างกายก็บังคับให้เขาไอออกมา ไอจนน้ำตาคลอ ไอจนแสบร้อนไปทั้งอก ไอจนทรมาน ...ไอจนได้กลิ่นคาวคลุ้งอยู่ในปาก

 

       โชคเป็นเหตุผลที่ทำให้แก้วอยากกลับบ้าน

 

       และเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาอยากมีชีวิตอยู่ให้เนิ่นนานขึ้นอีกหน่อย

 

       เสียงใสกังวานยามเปิดฝา เปลวไฟลุกโชนวูบไหวเผาไหม้ปลายมวนกระดาษ ส่งกลิ่นขมปร่าและม่านควันหม่นมัวปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง

 

       เวลาเดินต่อไปอย่างเชื่องช้า แก้วลิ้มรสฝาดเฝื่อนของใบยาสูบเป็นครั้งสุดท้ายก่อนมันมอดดับลง หลงเหลือทิ้งไว้เพียงกองขี้เถ้าใต้ก้นกรองบนพื้นผิวสีใสในที่เขี่ย

 

       แก้วจะตัดใจจากธีร์ เหมือนกับที่เขาจะเลิกสูบบุหรี่

 

 

 

TBC...

       ชีวิตคือรสขมที่แทรกปนด้วยความหวาน ตอนนี้เราก็กำลังจะเข้าสู่ช่วงท้ายของชั่วนิรันดร์กันแล้วนะคะ รีนรักนักอ่านทุกคนมากๆ เลย ขอบคุณจากใจจริงๆ ที่ติดตามอ่านกันมาจนถึงตอนนี้ และอีกสิ่งที่อยากจะบอกก็คือ... รีนเขียนต้นฉบับจบแล้วนะคะทุกคน สองตอนสุดท้ายที่ใช้เวลาเกือบสองเดือน ในที่สุดก็จบลงได้แล้วล่ะค่ะ  :katai2-1:

       ขอบคุณทุกกำลังใจที่ให้มาตลอดเลยนะคะ จากนี้ไปรีนก็จะทำการรีไรต์แก้คำผิด ปรับอะไรนิดๆ หน่อยๆ ตามสมควร แต่ไม่ส่งผลกับเส้นเรื่องแน่นอนค่ะ ไว้ถ้าจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วจะมาบอกอีกทีนะคะ เผื่อใครอยากย้อนอ่านทวนอีกครั้งในฉบับที่สมบูรณ์แล้ว และยังไม่หมดแค่นั้น รีนยังมีตอนพิเศษที่อยากจะเขียนมาให้ทุกคนได้อ่านอยู่อีกหนึ่งกระบุงโกย หวังว่าจะติดตามอ่านกันจนถึงตอนสุดท้ายที่ท้ายสุดกันเลยนะคะ  :katai4:

       ปล.ไม่ 3p น้าาาาา แง้ 55555 เรื่องนี้เป็นมิตรกับนักอ่านเกือบทุกวัย โดยผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปีควรได้รับคำแนะนำและทำความเข้าใจเนื้อหาอย่างมีวิจารณญาณค่ะ เพราะงั้นโปรดอ่านอย่างสบายใจได้เลย  :mew1:

 

       ขอบคุณทุกกำลังใจ คอมเมนต์ และการอ่านจากส่วนลึกสุดหัวใจเสมอ

       ขอบคุณมากๆ ค่ะ

 

       See You on Thursday!


ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ดีงาม  :katai2-1: :katai2-1: ไอ้เราก็แอบเชียร์3pเบาๆ 55555555 เอาใจช่วยให้เลิกบุหรี่ให้ได้นะ จากวันนั้นจนวันนี้ตามกันมายาวนานจริง สนุกและชอบความหน่วงมาก รอตอนต่อไปเลย ขอบคุณนะคะที่มาต่อให้สม่ำเสมอ เป็นกำลังใจในทุกตอนค่ะ  :L1: :pig4:  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 40

 

          แก้วเป็นมะเร็ง...

 

          หลังจากที่นิสิตหนุ่มสอบเสร็จหมดทุกตัวแล้ว แก้วก็บอกถึงความเป็นไปได้ที่ตัวเองจะป่วย จากนั้นพวกเขาก็ไปโรงพยาบาลด้วยกัน โชคนั่งรออยู่ที่เก้าอี้หน้าห้องตรวจแต่ละแผนกที่แก้วเข้าไป ถ้าห้องไหนสามารถเข้าด้วยได้ก็จะตามไปด้วย หลังจากนั้นก็กลับบ้าน กอดแก้วไว้ทุกคืน กุมมือรอคอยผลตรวจเกือบสัปดาห์ที่ออกมาว่ามีความเสี่ยง และไม่กี่วันต่อมาแก้วก็ต้องไปโรงพยาบาลอีกครั้งเพื่อทำการตัดชิ้นเนื้อออกไปตรวจยืนยันผล

 

          ...แก้วเป็นมะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็กในระยะจำกัด

 

          กลางเดือนพฤษภาคม หน้าร้อนจบลงในสายฝนพรำ โชคนอนหนุนตักแก้วอยู่บนโซฟาห้องนั่งเล่น ไม่มีแสงไฟ ไม่มีเสียงทีวี ไม่ได้เปิดพัดลม พวกเขาอยู่กันเงียบๆ อย่างนั้นตั้งแต่กลับจากโรงพยาบาล ปล่อยความคิดให้ทำงานของมันในความเงียบงันและอุณหภูมิอุ่นร้อนจากร่างกายที่แตะสัมผัสกัน ท่ามกลางอากาศชื้นกับลมที่หอบเอาละอองฝนผ่านซี่มุ้งลวดเข้ามาปะทะผิวเป็นระยะ

 

          “น้าแก้ว” เสียงแหบแห้งเบาหวิว สั่นเครือเหมือนกับดวงตาคู่สวยที่จ้องมองขึ้นมา “...ผมกลัว”

 

          “อืม ฉันรู้” แก้วตอบเสียงแผ่วเบาไม่ต่างกัน แต่กลับมั่นคงสงบนิ่ง เช่นเดียวกับนัยน์ตาสีเข้มที่หลุบมองลงมาสบ พร้อมมือเรียวที่ขยับลูบหัวคนบนตักอย่างปลอบประโลม

 

          “น้าแก้ว”

 

          “หืม”

 

          “ผม...” ถ้อยคำถูกกลืนกลับลงไปในคอเมื่อสุดท้ายแล้วก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาในเวลาเช่นนี้ดี

 

          “โชค ฉันอยู่นี่” แต่แก้วก็ยังคงเป็นแก้วคนนั้นเสมอ เอ่ยกระซิบคำปลอบโยนด้วยรอยยิ้มบางอย่างใจเย็น “ฉันยังมีเวลาอยู่กับเธอได้อีก... อย่างน้อยก็คงสักสองปี”

 

          “...ทำไมถึงใจเย็นได้ขนาดนี้ล่ะครับ” โชคมองรอยยิ้มบนใบหน้าแก้วด้วยหัวใจที่ค่อยๆ ปริแตกเป็นเสี่ยง ทั้งที่เขารักรอยยิ้มของคนตรงหน้าสุดหัวใจ แต่ในตอนนี้กลับทนมองไม่ไหวจนต้องหลบหนีไปซุกซ่อนสายตาอยู่กับหน้าท้องของเจ้าตัวแทน

 

          “มันยังอยู่ในระยะจำกัดนะโชค ยังรักษาได้อยู่”

 

          “แต่มันก็ยังแพร่กระจายได้นี่ครับ แบบเซลล์เล็กมันแพร่กระจายเร็ว...”

 

          “อืม แต่หมอบอกว่ามันตอบสนองกับคีโมแล้วก็การฉายแสงได้ดีนะ”

 

          “ก็ใช่ แต่ผมก็ยังกลัวอยู่ดี”

 

          “ไม่เป็นไร ค่อยๆ รักษาไป...นะ” สิ้นคำแก้ว โชคก็เริ่มร้องไห้ ก่อนจะสะอื้นจนตัวสั่น ทั้งโมโหทั้งเจ็บปวด เขาควรเป็นคนที่ให้กำลังใจแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นฝ่ายที่ถูกปลอบเสียเอง

 

          แก้วลูบหัวเด็กน้อยของเขา รู้สึกได้ถึงหยดน้ำตาที่เปียกเสื้อจนชุ่มเป็นวง อยู่ๆ ก็คิดถึงเรื่องในอดีตขึ้นมา คนขี้แยตรงหน้าเขาเคยเป็นเด็กชายที่ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงร้องทั้งที่ดวงตาแดงก่ำ มาวันนี้กลับแสดงความรู้สึกได้อย่างตรงไปตรงมา มีความสุขก็ร้องไห้ เศร้าเสียใจก็ร้องไห้ เจ็บปวดก็ร้องไห้

 

          ...ช่างเป็นการเติบโตที่ดีเหลือเกิน

 

          ชายผู้เลี้ยงเด็กชายคนนั้นให้กลายมาเป็นชายหนุ่มในวันนี้คลี่ยิ้มกว้างขึ้นอีกนิด ก้มลงไปฝังปลายจมูกไว้เหนือหูอีกฝ่าย ตระกองกอดพลางลูบไล้ศีรษะคนบนตักต่อไปอย่างอ่อนโยน แลกเปลี่ยนไออุ่นให้กันและกัน ขณะที่ปล่อยให้เสียงฝนช่วยชะล้างความกังวลให้เจือจางไป

 

พวกเขาทำอะไรไม่ได้นอกจากรอคอยนัดพบแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาขั้นต่อไปในอีกสองวันข้างหน้า

 



 

          หลังจากแพทย์สอบถามประวัติแล้วส่งไปตรวจร่างกายดูผลเลือดต่างๆ กับการเอ็กซ์เรย์ช่วงอกเพื่อดูตำแหน่งก้อนเนื้อ แผนการรักษาของแก้วก็ออกมาว่าจะเริ่มจากการใช้ยาเคมีบำบัด โดยจะเริ่มให้คีโมครั้งแรกต้นเดือนมิถุนายน

 

          ระหว่างทางกลับบ้านไม่มีใครพูดอะไรออกมา ท่ามกลางความโล่งใจที่แทรกเจือด้วยความตึงเครียด โชคบังคับพวกมาลัยรถด้วยมือขวา ส่วนมือซ้ายเอื้อมมากอบกุมมือแก้วไว้ บีบกระชับราวกับกลัวว่าหากปล่อยแล้วอีกฝ่ายจะหายไป เช่นเดียวกับแก้วที่บีบมือเขาตอบเบาๆ เพื่อช่วยยืนยันว่าตัวเองยังคงอยู่ตรงนี้ ...ยังคงไม่ได้หายไปไหน

 

          “ฉันรักเธอนะโชค” อยู่ๆ ถ้อยคำบอกรักก็หลุดออกมาตอนรถจอดติดไฟแดง รอยยิ้มแสนหวาน แววตาลึกซึ้ง ทว่าชวนให้รู้สึกเหงาเหลือเกิน

 

          “ผมก็รักแก้ว” โชคยกมือขวาของแก้วที่เขายึดไว้ขึ้นมาจูบแผ่วเบา ส่งผ่านความจริงใจในคำพูดที่กล่าวออกไป “จะรักตลอดไป”

 

          “ตลอดไปไม่มีจริงหรอกนะ”

 

          “งั้นก็ชั่วชีวิต”

 

          “ขอบใจ ...ฉันก็จะรักเธอไปชั่วชีวิตเหมือนกัน”

 

          “ครับ”

 

          ไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว สัญญาณบอกให้เคลื่อนตัวไปข้างหน้า โชคและแก้วยังคงต้องเดินทางต่อไปบนท้องถนนแม้ไม่รู้ว่ามันจะสิ้นสุดลงที่ตรงไหน แต่พวกเขาก็ตัดสินใจว่าจะกุมมือกันไปจนกว่าสุดสาย...

 

          ถนนยาวไกลแสนสั้นที่เรียกว่าช่วงชีวิต

 



 

          นิสิตหนุ่มรู้สึกว่าโชคดีที่ตอนนี้เขาอยู่ในช่วงปิดเทอม เขาคิดภาพไม่ออกเลยว่าถ้าการมาให้คีโมครั้งแรกของน้าแก้วเขาไม่ว่างมาด้วยเขาจะรู้กระวนกระวายมากแค่ไหน เพราะขนาดตอนนี้เขานั่งเฝ้าอยู่บนโซฟาสำหรับญาติฝั่งตรงข้ามที่มองเห็นกันตลอดเวลา เขายังรู้สึกทั้งกังวลทั้งร้อนรนในใจอยู่เลย

 

          “โชค” แก้วยิ้ม ทั้งที่แขนถูกเจาะสายระโยงรยางค์ต่อกับถุงยาเคมีบนเสา เพราะการให้คีโมกับผู้ป่วยมะเร็งปอดเป็นรูปแบบฉีดเข้าเส้นเลือดดำโดยตรง โชคไม่รู้ว่ามันเจ็บรึเปล่า แต่ภาพตรงหน้าก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนใจจะขาดอยู่ดี

 

          “ครับ น้าแก้วจะเอาอะไร” รีบขานรับทันที พร้อมกับเตรียมจะลุกไปหาทุกอย่างที่อีกคนต้องการมาให้ แต่แก้วส่ายหน้า รอยยิ้มยังคงติดอยู่บนริมฝีปากที่สีซีดจางลงเล็กน้อย

 

          “แค่จะบอกว่าฉันไม่เป็นไร เลิกทำหน้าแบบนั้นได้แล้ว” ชายหนุ่มไม่รู้ว่าในสายตาของน้าแก้วเขาทำสีหน้าแบบไหนอยู่ แต่ก็รู้ว่ามันคงดูแย่มากเลยทีเดียว “มันไม่ได้เจ็บขาดนั้นโชค ไม่เป็นไร”

 

          “ครับ” รับคำได้เพียงเท่านั้นแล้วนั่งลงที่เดิม พยายามฝืนกลืนก้อนน้ำตากลับลงคอแล้วยิ้มตอบ

 

          เขาก็ทำได้แค่นี้ ทำได้เพียงนั่งมองอยู่ตรงนี้ไม่ห่างไปไหน คอยให้กำลังใจในขณะเดียวกันก็ถูกปลอบโยนโดยคนตรงหน้า...

 

          คีโมครั้งแรกของแก้วกินเวลายาวไปจนถึงช่วงเย็น โชคพาคนป่วยที่อ่อนเพลียจนหลับไปตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลกลับบ้าน พลางทบทวนเรื่องการดูแลผู้ป่วยหลังได้รับยาเคมีบำบัดที่พยาบาลแนะนำซ้ำไปซ้ำมาในหัวตลอดทาง ทั้งเมนูอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง ผลข้างเคียงจากยาเคมี และภูมิคุ้มกันร่างกายที่จะอ่อนแอลง

 

          คืนนั้นแก้วหลับไปเกือบสิบหกชั่วโมง และพอตื่นขึ้นก็ยังคงเซื่องซึมเพราะความวิงเวียนในหัว ความอยากอาหารที่ก่อนหน้านี้น้อยอยู่แล้วก็ยิ่งน้อยลงไปอีก โชคต้มโจ๊กใส่ไข่มาให้ก็กินไปได้เพียงสามคำก่อนจะอ้วกออกมา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังพยายามกินเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหาร เหมือนกับที่โชคพยายามที่จะประคับประคองช่วยเหลือดูแลอีกฝ่ายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

          จนกระทั่งวันที่สาม...

 

          “น้าแก้ว น้ำครับ” โชคยื่นแก้วน้ำให้คนที่เพิ่งอ้วกจนหมดไส้หมดพุงอยู่หน้าชักโครก เพื่อให้ดื่มลดความแสบร้อนในลำคอ

 

          แก้วรับน้ำไปดื่ม เขาอ้วกเป็นรอบที่สี่ของวัน แตะอาหารไม่ได้เลยสักคำแม้จะเป็นแค่น้ำซุปก็ตาม สิ่งที่เขากินได้ในตอนนี้มีเพียงผลไม้กับน้ำเปล่า ความรู้สึกไม่สบายในตัวทำให้เขาหงุดหงิดจนเผลอพาลใส่โชคไปในตอนเช้า แต่ถึงอย่างนั้นโชคก็ยังคงอยู่ข้างๆ เขา ลูบหลังเช็ดหน้าให้อย่างอ่อนโยน

 

          “ขอโทษนะ”

 

          “อะไรเหรอครับ” คนที่ได้รับคำขอโทษกะทันหันงุนงงเล็กน้อย แต่ไม่นานก็เข้าใจว่าคงหมายถึงเมื่อตอนเช้าที่แก้วตวาดใส่เขาไปทีหนึ่ง โชคเลยหัวเราะออกมาแผ่วเบา โอบกอดคนตรงหน้าไว้หลวมๆ ก่อนพิงซบหน้าผากลงไปบนแผ่นหลังกว้างทว่าผอมบางลงจนเขารู้สึกหวั่นใจทุกครั้งที่จับต้อง “ถ้าเรื่องเมื่อเช้าก็... ครับ แต่ผมไม่ได้โกรธแก้วหรอกนะ”

 

          “อือ ขอบใจ”

 

          “ขอบคุณเหมือนกันนะครับ... ที่พยายาม”

 

          “อืม”

 

          คำขอโทษกับคำขอบคุณและคำตอบรับ ดังก้องอยู่ในห้องน้ำเล็กๆ ที่มีคนสองคนนั่งซบกอดกันเอาไว้ หน้าโถชักโครกไม่ใช่สถานที่ชวนให้รู้สึกโรแมนติกเลยสักนิด แต่มันก็ทำให้อุ่นใจ เหมือนกับในวันฝนตกที่โชคได้มือคู่นั้นช่วยสระผมให้เป็นครั้งแรก ...เมื่อเกือบสิบเจ็ดปีที่แล้ว

 

 

 

          ผ่านไปครบสัปดาห์แก้วก็อาการดีขึ้น กินอาหารได้มากขึ้น แม้จะยังพะอืดพะอมอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้อาเจียนออกมา ทว่ายังคงอ่อนเพลียเหนื่อยง่ายและหายใจลำบากอยู่

 

          โชคช่วยจัดหมอนหนุนให้สูงขึ้นเพื่อให้แก้วนอนสบาย ส่วนตัวเองก็นอนลงข้างๆ ไม่ได้ดึงรั้งอีกฝ่ายมากอดไว้เหมือนแต่ก่อน เพียงแค่จับมือกันเอาไว้หลวมๆ แค่ให้ร่างกายได้แตะสัมผัสกันก็อุ่นใจ

 

          “ฉันอยากกินก๋วยเตี๋ยว” อยู่ๆ แก้วก็พูดขึ้นมาในความมืดสลัวรางสีฟ้าของแสงไฟเครื่องปรับอากาศ เป็นประโยคธรรมดาแต่โชคกลับรู้สึกตื่นเต้น เพราะมันเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่ทำคีโมมาที่แก้วเอ่ยปากว่าอยากกินอะไรเป็นพิเศษ

 

          “ร้านไหนดีครับ กินเช้าเลยไหม เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมออกไปซื้อให้ เอาเส้นเล็กหรือเส้นหมี่ดี แต่มันจะเค็มไปรึเปล่า ให้ผมทำให้ไหม...” ชายหนุ่มรีบละล่ำละลักถามโดยไม่เปิดโอกาสให้เจ้าตัวตอบ จนแก้วต้องยกมือขึ้นมาปิดปากเด็กน้อยเพื่อให้เว้นจังหวะให้เขาได้พูดบ้าง

 

          “เธอทำก็ได้ ค่อยกินตอนเที่ยงกัน” ตอบง่ายๆ พร้อมรอยยิ้มขบขัน

 

          “แล้วตอนเช้าล่ะครับ”

 

          “...”

 

          “ไม่กินไม่ได้นะครับ”

 

          “ผลไม้ก็ได้”

 

          “เอาข้าวต้มด้วยไหมครับ”

 

          “ไม่ล่ะ แค่ผลไม้ก็พอ”

 

          “น้ำเต้าหู้?”

 

          “อืม ก็ได้”

 

          “โอเคครับ”

 

          เมื่อตกลงมื้อเช้ากับวางแผนเมนูอาหารของวันถัดไปได้ลงตัวก็ถึงเวลาเข้านอนเสียที โชคขยับเข้าไปใกล้แก้วขึ้นอีกนิด ให้มากพอที่ไออุ่นร่างกายส่งผ่านถึงกัน ฟังเสียงลมหายใจสม่ำเสมอที่บ่งบอกว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้ว หลับไป... และเมื่อยามเช้ามาถึงพวกเขาจะได้ตื่นมาเจอกันอีก

 

          บางทีมะเร็งอาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เขาคิดกลัวเอาไว้ก่อน

 



 

          เข้าสู่อาทิตย์ที่สาม แก้วกลับมาใช้ชีวิตได้เกือบเป็นปกติ ยังเหลือเวลาอีกหลายวันก่อนที่จะต้องไปรับยาชุดต่อไป นายสถาปนิกเลยตัดสินใจแวะไปที่ทำงาน สะสางงานในช่วงที่เขาลาหยุดไปโดยที่มีโชคตามติดมาด้วย

 

          คนหนุ่มคุ้นชินกับที่ทำงานของน้าแก้วดี ตอนเด็กๆ สมัยที่ยังเรียนเทควันโด้อยู่ก็มาแทบทุกอาทิตย์ พอเลิกเรียนไปก็แวะมาบ้างเป็นครั้งคราว จนกระทั่งตัดสินใจจะเข้าเรียนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ โชคก็ได้แวะเวียนมาบ่อยครั้งขึ้นทั้งด้วยเหตุผลเรื่องที่ว่าพอเรียนจบแล้วก็คงไม่แคล้วได้มาทำงานที่นี่ และอีกหนึ่งเหตุผลที่ดูจะสำคัญกว่าคือโชคแวะมาหาคนรักของเขา ส่งข้าวส่งน้ำบ้าง มาหารอรับกลับบ้านบ้าง ...แม้ว่าในสายตาคนอื่นโชคจะยังคงเป็นแค่ลูกบุญธรรมของแก้วอยู่ก็ตาม

 

          “น้องโชคกินลูกชุบไหมคะ” พี่สาวที่ทำงานช่วยกันขุนชายหนุ่มมาตั้งแต่เห็นหน้า จากนั้นก็ยังคอยส่งขนมของกินเล่นมาให้ไม่ขาดสาย สำหรับพวกเธอแล้วโชคเหมือนน้องชายข้างบ้านที่เห็นมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยจนอดเอ็นดูไม่ได้ แม้ทุกวันนี้เจ้าตัวจะโตจนไม่รู้จะโตยังไงแล้วก็ตาม

 

          “เออ เอานี่ไปให้พี่แก้วด้วย แอปเปิ้ลนี่กินได้ใช่ไหมอะ” พี่สาวอีกคนยัดถุงผลไม้ที่ซื้อติดมาหลังออกไปพักเที่ยงใส่มือโชคฝากไปให้เจ้านาย พลางถามไถ่อาการแก้วอย่างเป็นห่วง “แล้วมาทำงานแบบนี้ได้เหรอ ไม่ต้องนอนพักรึไง”

 

          “ก็ยังมีอาการจากผลข้างเคียงอยู่ครับ แต่ดีขึ้นมากแล้ว แล้วน้าแก้วก็บอกว่าอยู่บ้านแล้วมันทำให้อยากนอนตลอดเลยอยากออกมาทำงานมากกว่าน่ะครับ”

 

          “เหรอ แต่ถ้าไม่ไหวก็ลาไปเถอะนะ พี่เก่งก็บอกว่าให้หยุดไปยาวๆ เลยก็ได้ เรื่องงานไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ยังไงพี่แก้วก็เป็นเจ้าของบริษัทนี้ครึ่งนึง”

 

          โชคยืนคุยกับพวกพนักงานสาวต่ออีกนิดหน่อยแล้วจึงค่อยกลับเข้าไปในห้องทำงานแก้วพร้อมกับของเต็มมือ

 

          “ได้อะไรมาตั้งเยอะน่ะ” คนที่โต๊ะทำงานยิ้มบาง รู้ดีว่าเจ้าหมาของเขาตอนเด็กเป็นขวัญใจมหาชนที่นี่แค่ไหน แต่ไม่คิดว่าจนโตแล้วก็ยังได้ขนมจากพี่ๆ อย่างนี้อยู่อีก

 

          “ลูกชุบ ขนมเบื้อง ข้าวเกรียบปากหม้อ สาคูหมู แล้วก็แอปเปิ้ลของน้าแก้วด้วย” คนส่งของสาธยายรายการอาหารว่างให้ฟัง พลางวางสิ่งที่คิดว่าแก้วจะกินได้ลงบนโต๊ะ

 

          “มีของฉันด้วยเหรอ”

 

          “ครับ พี่จิ๋วฝากมา” แก้วดึงถุงแอปเปิ้ลไปจากกองแค่ถุงเดียวเป็นอันว่าเขาเลือกของที่จะกินแค่นั้น นอกนั้นให้คนเด็กกว่าเอาไปจัดการได้เลย

 

          “อ่อ บอกขอบใจจิ๋วด้วย”

 

          “บอกแล้วครับ”

 

          “อืม”

 

          จากนั้นในห้องก็เงียบลง ได้ยินเพียงเสียงถุงของกินดังกรอบแกรบ แก้วมองเด็กน้อยของเขาที่กำลังเคี้ยวสาคูไส้หมูตุ้ยด้วยความรู้สึกหลากหลาย

 

          เวลาเดินไวเสมอสำหรับพ่อแม่ที่มองลูกโต

 

          เช่นเดียวกับที่มันจะผ่านไปในพริบตาเมื่อลูกมองพ่อแม่จากไป

 

          “โชค” เสียงเรียกนุ่มนวล ดวงตาฉายแววอบอุ่น แก้วรู้ว่าสิ่งที่เขาพูดไปจะทำให้โชคคิดมากแล้วก็อาจจะซึมอีก แต่เขาก็ต้องเตรียมพร้อมเอาไว้ “พอฉันตาย หุ้นของที่นี่ก็จะเป็นของเธอเหมือนกับทรัพย์สินอย่างอื่นของฉัน ไว้กลับบ้านไปฉันจะบอกอีกทีนะว่ามีอะไรบ้าง”

 

          “น้าแก้ว...” สาคูในปากฝาดลิ้นขึ้นมา โชคกลืนมันลงคอไปอย่างยากลำบาก ไม่แน่ใจนักว่ากำลังรู้สึกอย่างไร แต่มันคงมีความอ้างว้างปนอยู่ไม่น้อยเลย “ไหนบอกว่ายังอยู่กับผมได้อีกอย่างน้อยก็สองปีไงครับ”

 

          “ฉันก็อยากอยู่กับเธอนานๆ โชค แต่คนเราไม่รู้หรอกนะว่าจะตายเมื่อไหร่” แก้วยังคงรอยยิ้มบางไว้บนหน้า เป็นรอยยิ้มที่โชคไม่ชอบเอาเสียเลย

 

          เพราะมันเหมือนว่าแก้วเตรียมใจพร้อมที่จะจากเขาไปแล้ว

 



 

          วันเกิดครบรอบยี่สิบสามปีของโชค อาการของแก้วดีจนเกือบเป็นปกติ พวกเขากินมื้อเย็นด้วยกัน เป่าเค้กขณะฟังคำอวยพร พร้อมกับของขวัญเป็นรายการทรัพย์สินทั้งหมดที่แก้วมี

 

          ...ของขวัญมูลค่าสูง แต่กลับกลวงเปล่า โชครับไว้ด้วยหัวใจเบาหวิว

 

          “นอนเลยไหมครับ” โชคถามคนบนเตียงเมื่อเขาอาบน้ำเสร็จแล้วขึ้นมาถึงห้องนอน มือตั้งท่าจะกดสวิตช์ไฟข้างประตูเรียบร้อยแต่แก้วกลับส่ายหน้าปฏิเสธ “จะทำอะไรเหรอครับ”

 

          ชายหนุ่มเปิดไฟทิ้งไวขณะที่เขาเดินมาทิ้งตัวนั่งลงบนที่นอนฝั่งของตัวเอง แก้วขยับเข้ามาหา สอดแขนมากอดเอวโชคขณะที่ซุกจมูกลงบนท้ายทอย กดจูบไล่ไปตามไรผม ขบกัดติ่งหูอีกฝ่ายเบาๆ อย่างเชื้อเชิญ

 

          โชคหันหน้ากลับไปรับจูบที่คนรักของเขามอบให้ แต่นั่งตัวแข็งไม่โอนอ่อนตาม

 

          “ไหวเหรอครับ” เขาถาม

 

          “ไหว” อีกคนตอบ

 

          “น้าแก้ว” ดวงตาคู่สวยจ้องสบอย่างเต็มไปด้วยความลังเล จริงอยู่ที่ไม่ได้มีการห้ามมีเพศสัมพันธ์ระหว่างการรักษาด้วยคีโมในผู้ป่วยที่ยังไม่วิกฤติอย่างแก้ว แต่คนเด็กกว่าก็ยังคงเป็นห่วงอยู่ดี เพราะช่วงนี้แก้วเหนื่อยง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก และเซ็กส์ก็เป็นกิจกรรมที่ทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานสูงพอสมควร เขาอยากกอดแก้ว แต่ก็ไม่อยากให้แก้วต้องฝืนตัวเอง

 

          “ฉันไม่เป็นไร” แก้วจูบซับไปตามผิวแก้มคนขี้เป็นห่วง ราวกับจะปลอบโยนและเกลี้ยกล่อมให้ยอมเชื่อว่าเขาไม่เป็นไรจริงๆ ...เพราะเวลามันเหลือน้อยลงทุกที “ฉันเคยบอกเธอแล้วไงโชค ฉันอยากทำในตอนที่ฉันยังไหว อยากให้เธอจดจำช่วงเวลานี้ไว้ให้ได้มากที่สุด...ก่อนที่ฉันจะไป”

 

          “น้าแก้ว...”

 

          “แล้วฉันเองก็เหมือนกัน” มือเรียวทาบลงเหนือรอยจูบแทนที่ริมฝีปากที่ผละห่างออกมา นัยน์ตาสีเข้มจ้องตรงไปอย่างซื่อตรงลึกซึ้ง “ก่อนที่ฉันจะจากเธอไปในสักวัน ฉันอยากให้เธอกอดฉันตอนนี้เอาไว้”

 

          “...ครับ” โชคตอบรับ ทั้งที่รู้สึกถึงความฉ่ำชื้นรอบดวงตา จรดจูบลงบนปลายนิ้ว ไล่สัมผัสไปตามข้อกระดูกสู่หลังมือที่เขาจดจำได้ดีถึงครั้งแรกที่ได้สัมผัส ...อบอุ่นแสนอ่อนโยน

 

          การร่วมรักครั้งนั้นเป็นไปอย่างเนิบช้าและนุ่มนวล หวามไหวจนหยดน้ำตาร่วงรินออกมา แก้วหัวเราะ ลูบปาดมันออกจากใบหน้าของเด็กขี้แย... เหมือนกับครั้งแรกของพวกเขาไม่มีผิด

 

          โชคทะนุถนอมแก้วราวกับกำลังประคองฟองสบู่ แต่แก้วไม่ใช่ฟองสบู่ เขาไม่ได้ปริแตกง่ายดายขนาดนั้น สัมพันธ์แนบแน่นระหว่างสองกายจึงดำเนินต่อไปจนถึงฝั่ง จนกระทั่งจัดการทำความสะอาดร่างกายกันเสร็จแล้วก็ยังคงมีแรงเหลือพอจะนอกกอดก่ายพลางพูดคุยกันต่อไปได้อีก

 

          “แก้ว”

 

          “หืม”

 

          “ผมรักแก้ว”

 

          “ฉันรู้ ฉันก็รักเธอ”

 

          “ผมอยากอยู่กับแก้วไปจนผมแก่”

 

          “ฉันก็อยากอยู่ได้นานพอจะเห็นเธอแก่”

 

          “น้าแก้ว”

 

          “อืม ว่าไง”

 

          “น้าแก้ว”

 

          “อือ”

 

          “แก้ว”

 

          “อืม...” คนถูกเรียกขานกดจูบลงบนหน้าผากเด็กน้อยตัวโตในอ้อมแขน พลางคิดถึงนิทานก่อนนอนที่เขาเคยอ่านเพื่อส่งอีกฝ่ายเข้านอน “อยากฟังเรื่องวาฬสีน้ำเงินไหม”

 

          “ครับ”

 

          เรื่องราวของวาฬยักษ์แห่งท้องทะเลถูกเรียงร้อยออกมาเป็นถ้อยคำที่แตกต่างจากในหนังสืออยู่บ้าง ทว่าเนื้อเรื่องยังคงเป็นเช่นเดิม ทุกรายละเอียด ทุกใจความสำคัญ แก้วจดจำมันได้ดีแม้จะผ่านมาเป็นสิบปีแล้วก็ตาม

 

          เช่นเดียวกับโชคที่จดจำได้ดีว่าเสียงของแก้วในวันวานยามเล่านิทานกล่อมเขานอนนั้นเป็นเช่นไร มันทั้งสดใส เต็มไปด้วยชีวิตชีวาของวัยหนุ่ม ต่างกับตอนนี้ที่แหบแปร่งและอ่อนแรง แต่ก็ยังคงมีสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย

 

          ... ความอ่อนโยนที่เจือปนมากับเรื่องราวผจญภัยใต้ผืนน้ำสีครามที่เขาตกหลุมรัก

 



 

          หลังจากนั้นไม่กี่วันแก้วก็รับยาเคมีชุดที่สอง ในคืนเดียวกันเมื่อกลับมาที่บ้าน ตอนกลางดึกที่แก้วไข้ขึ้นสูง เจ็บหน้าอกหายใจลำบาก และอ้วกไม่หยุดจนโชคต้องรีบพากลับไปที่โรงพยาบาล

 

          ขณะที่ยืนอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน โชคก็ได้รู้ว่าเขาคิดถูก

 

          มะเร็งไม่ได้น่ากลัว

 

          ...ความตายต่างหาก

 

 

 

TBC...

          คิดว่ามาจนถึงตอนนี้ทุกคนก็คงมีรูปร่างของตอนจบปรากฏขึ้นมาในใจกันแล้วสินะคะ บางคนอาจจะเศร้า บางคนอาจจะไม่อยากอ่านต่อ และบางคนก็อาจจะสาปส่งรีนแล้ว แง้ แต่ก็อย่างที่บอกไปว่านิยายเรื่องนี้เล่าเรื่องราวตั้งแต่ 'เริ่มต้นจนวาระสุดท้าย' และรีนคิดว่ามันสวยงามมากจริงๆ เลยอยากให้ช่วยอ่านกันต่อไปด้วยนะคะ จากนี้ไปอีกสิบตอนอาจจะขมปร่าปนด้วยหยดน้ำตา แต่ก็เต็มไปด้วยสิ่งที่นิยายเรื่องนี้อยากบอกเล่าออกมาอย่างแท้จริง

          ช่วยเดินทางไปกับน้องโชคจนกว่าจะถึงตอนสุดท้าย ณ ที่หมายปลายทางแห่งนั้นกันด้วยนะคะ

 

          ขอบคุณทุกการอ่าน ทุกกำลังใจ ทุกคอมเมนต์

          ขอบคุณและขอให้คุณมีวันที่ดีอย่างที่ใจต้องการนะคะ


 

          See You on MONDAY!!!

 



ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
น้าแก้ว~~ :hao5: :hao5: ไม่เป็นไรนะแค่มะเร็งสู้กับมันไปเล้ย คีโมไม่กี่เข็มก็หายแล้ว กินไข่ขาวเยอะๆและเอนชัวร์นะจะได้ช่วยเพิ่มเม็ดเลือดขาว แม้ผมร่วงแต่ก็เป็นผู้ชายก็ไม่แปลกอะไร โชคอย่ากลัวไปเลย ไม่งั้นน้าแก้วจะพลอยเครียดและกังวลไปด้วย มันยังรักษาได้อยู่ได้อีกหลายปี ผ่านไปให้ได้  :mew6: ใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้คุ้ม เกษียณตัวเองแล้วให้โชคทำงานเลี้ยงนะน้าแก้ว ดูแลตัวเองดีๆ  :katai2-1: รอตอนต่อไปเลยค่ะ ขอบคุณนะคะที่มาต่อเอาใจช่วยทั้งผู้แต่งและน้าแก้วกับโชค  :katai2-1: :katai2-1: :pig4: :pig4: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด