[END] [Mpreg] ☆YOUniverse☆ .. #พี่ภูของผม (2020-09-28 : Universe - Special Ch)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END] [Mpreg] ☆YOUniverse☆ .. #พี่ภูของผม (2020-09-28 : Universe - Special Ch)  (อ่าน 51678 ครั้ง)

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ก็แค่เปิดใจแล้วมูฟออนออกจากความรู้สึกเดิม ๆ ที่ไม่ดีก็แค่นั้นนะคะพี่ภู

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
มาต่อได้แล้วสน้าาา
รออ่านอยู่นะ

ออฟไลน์ Pe_no

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 375
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ติดตามนะคะ เอาใจช่วยไนล์ :mew2:

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
Universe 13th : บางอย่างที่ต่างออกไป


‘ไนล์ วันนี้พี่จะเข้าไปหาไอ้ภูที่คอนโด รอเจอพี่ด้วยนะครับ พี่คิดถึง'


ผมอ่านข้อความที่พี่เทมส์ส่งมาให้ด้วยความดีใจ ผมมาอยู่กับพี่ภูได้ครึ่งเดือนแล้ว และก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหน เพราะพี่ภูไม่ค่อยอนุญาต เขาบอกผมว่าอยากได้อะไรก็ให้บอกป้าแม่บ้านให้ซื้อเข้ามาให้ และพี่ภูก็จะให้เงินไว้ทุกครั้ง แต่ผมก็ไม่เอามาใช้หรอก ผมเก็บเงินพี่ภูไว้ แล้วใช้เงินของตัวเองแทน ส่วนหนึ่งก็เพราะเกรงใจ มาอยู่บ้านพี่ภู รบกวนพี่ภู แล้วยังจะใช้เงินพี่ภูอีกผมก็ทำไม่ลง ส่วนอีกใจผมไม่อยากให้พี่ภูฝังใจว่าผมมาปอกลอกหรือหาผลประโยชน์จากเขา

พี่ภูรู้สึกแย่กับเรื่องนี้เพราะคนรักเก่ามามากพอแล้ว ผมไม่อยากจะไปตอกย้ำปมในใจอะไรของเขาอีก ผมอยากให้เขาหายดี และมองโลกในแบบที่เขาเคยมองได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจใดๆ อย่างเคย

“ป้ามลครับ ไนล์รบกวนป้ามลไปซื้อของสดให้ไนล์หน่อยได้ไหมครับ วันนี้ไนล์อยากทำแกงส้มเป็นอาหารเย็น”

ป้ามลหันมายิ้มให้ผมอย่างใจดี “ได้สิคะ แต่ขอป้าเอาผ้าที่รีดแล้วเข้าตู้ก่อนนะคะ เดี๋ยวป้าไปให้”

ผมรีบเดินเข้าไปหาป้ามล พร้อมกับยื่นเงินให้จำนวนหนึ่งก่อนจะเอ่ยปากบอกป้ามลอย่างเอื้อเฟื้อ

“เดี๋ยวไนล์ทำให้ก็ได้ครับ ป้ามลไปเลยเถอะ ถ้าไปสายกว่านี้แล้วแดดจะร้อน”

ผมสารภาพตามตรงว่าออกจะเป็นห่วงป้ามลไม่น้อย เพราะแกก็อายุไม่น้อยแล้ว ถ้าเกิดเป็นลมเป็นแล้งไปเพราะออกไปซื้อของให้ผม ผมต้องรู้สึกไม่ดีไปตลอดแน่ๆ

“โถ่ คุณไนล์คะ แดดร้อนแค่นี้เองป้าไม่เป็นอะไรหรอก ให้ป้าจัดการตรงนี้เองเถอะนะคะ เกรงใจคุณไนล์แย่แล้ว ตั้งแต่คุณไนล์มาอยู่ที่นี่ งานป้าน้อยลงเยอะเลย แถมเงินก็ยังได้เท่าเดิมอีก อย่าให้ป้าเอาเปรียบคุณไนล์กับคุณภูเลยนะคะ”

“ป้ามลอย่าคิดแบบนั้นสิครับ ไนล์ไม่ได้คิดแบบนั้นสักหน่อย แล้วที่ไนล์ช่วยก็ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงอะไรเลยนะครับ”

ผมยู่หน้าใส่ป้ามลงอนๆ เพราะตั้งแต่มาอยู่ผมก็ไม่ค่อยได้ทำอะไรมาก นอกจากดูแลเรื่องส่วนตัวของพี่ภูกับเข้าครัวเป็นหลัก ส่วนเรื่องทำความสะอาดบ้าน รีดผ้า ซักผ้า ป้ามลก็ยังเป็นคนทำเหมือนเดิม เว้นเสียแต่แกไม่ว่างหรืองานล้นมือ ผมถึงจะได้ช่วยหยิบช่วยจับเป็นบางคราว แต่แทนที่ป้ามลจะมีท่าทีแบบอื่น แกดันหัวเราะออกมาเสียแบบนั้น

“คุณไนล์น่ารัก อีกหน่อยคุณภูจะต้องดีขึ้นแน่ๆ”

ป้ามลพูดพลางยิ้มให้ผม แต่แทนที่ผมจะดีใจผมกลับรู้สึกกระอักกระอ่วนแปลกๆ เพราะถึงแม้ว่าตอนนี้พี่ภูจะไม่ค่อยได้ดุหรือเสียงดังใส่ผมเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ใช่ว่าเราจะคุยอะไรกันมากขึ้น ถ้าจะดีหน่อยก็คือได้นั่งกินข้าวด้วยกันเงียบๆ โดยไม่มีเสียงพี่ภูดุผม ความคืบหน้าอะไรมากกว่านี้ไม่มีหรอก

“ไนล์กลัวว่าพี่ภูจะเบื่อ ทุกวันนี้แค่พี่ภูไม่ดุ ไม่ว่า ไนล์ก็ดีใจจะแย่แล้ว”

“เชื่อป้านะคะคุณไนล์ สักวันคุณภูต้องมองเห็นความหวังดีของคุณไนล์ ควาพยายามของคุณไนล์จะไม่สูญเปล่าค่ะป้ามั่นใจ”

ผมหันไปยิ้มให้ป้ามลเป็นการขอบคุณแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่ป้ามลพูดคงไม่มีทางเกิดขึ้นง่ายๆ บางทีมันอาจจะนานจนเวลาที่ผมมีให้พี่ภูไม่เพียงพอที่จะให้รอต่อได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ.. ยังไงผมก็จะพยายามทำในส่วนของผมให้เต็มที่และดีที่สุดแล้วกัน


Rrrr


และในขณะที่ผมกับป้ามลกำลังคุยกันอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น พอเห็นเบอร์ที่โชว์อยู่หน้าจอก็ได้เห็นว่าคุณแม่ของพี่ภูเป็นคนโทรมา ผมกดรับสายด้วยรอยยิ้มกว้าง เพราะกำลังคิดถึงท่านอยู่พอดี

“สวัสดีครับคุณแม่”

ผมกรอกเสียงลงไปอย่างระมัดระวังหลังจากหันซ้ายหันขวาแล้วเห็นว่าพี่ภูไม่ได้อยู่แถวนี้ เดี๋ยวเกิดเขาได้ยินขึ้นมา ความแตกละจะเป็นเรื่องใหญ่ ส่วนป้ามลเองพอเห็นผมรับสายจากคุณแม่แกก็ขยับปากบอกว่าขอตัวไปซื้อของตามที่ผมสั่งแล้วก็ปลีกตัวออกไป

(น้องไนล์ เป็นไงบ้างคะลูก? ทุกอย่างโอเคดีไหม?)

คุณแม่ส่งเสียงถามผมอย่างเป็นห่วง ทำเอาผมอดยิ้มตามไม่ได้เมื่อได้ยินความเอื้ออาทรที่อีกฝ่ายมีให้

“โอเคดีครับ ไนล์สบายดี ส่วนพี่ภูก็.. ดีขึ้นบ้างครับ เดี๋ยวนี้ดุไนล์น้อยลง”

(แบบนี้เขาเรียกเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายค่ะ แม่ว่าไม่น่าจะดีขึ้นเท่าไหร่นะ) คุณแม่ว่าเสียงงอนๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมายาวเหยียดจนผมนึกเป็นห่วง

“คุณแม่มีเรื่องไม่สบายใจอะไรรึเปล่าครับ บอกไนล์ได้นะ เผื่อไนล์จะช่วยแบ่งเบาคุณแม่ได้บ้าง”

(จะว่ามีก็มี แต่แม่ไม่รบกวนน้องไนล์ให้ช่วยดีกว่า เพราะแค่ทุกวันนี้ที่น้องไนล์ไปดูแลพี่ภูให้ แม่ก็เกรงใจจะแย่แล้ว)

ปลายสายพูดอย่างเกรงใจ ให้ผมต้องยิ้มบางก่อนจะตอบอย่างจริงจัง

“ไนล์ยินดีช่วยนะครับคุณแม่ อะไรที่ไนล์พอทำได้ทั้งเพื่อคุณแม่ ทั้งเพื่อพี่ภู ไนล์ไม่มีปัญหา”

(ถ้าจะให้พูดกันตรงๆ) คุณแม่ดูลังเลเล็กน้อย แต่ผมคิดว่าท่านคงหาทางไหนไม่ได้แล้ว ถึงได้มาเอ่ยปากพูดกับผม (แม่กลุ้มใจที่พี่ภูไม่ยอมมาช่วยงานที่บริษัทสักทีนี่แหละค่ะ .. แม่แก่แล้ว จะไหวไปถึงวันไหนก็ไม่รู้ เลยอยากให้พี่ภูเข้ามารับช่วงต่อไวๆ)

“คุณแม่ยังไม่แก่ขนาดนั้นสักหน่อยครับ” ผมรีบพูดแก้ ไม่ได้จะเอาใจท่าน แต่คุณแม่ของพี่ภูที่ผมเห็นดูเด็กกว่าอายุจริงอยู่มากจริงๆ “แต่ไนล์ก็เข้าใจนะครับ เรื่องที่คุณแม่อยากให้พี่ภูไปช่วยงาน”

ผมลังเลอยู่อึดใจหนึ่ง คิดว่าจะพูดเรื่องที่เห็นเมื่อวันก่อนไปดีไหม เพราะลึกๆ แล้วผมก็ไม่รู้ว่าที่ผมเห็นพี่ภูอ่านเอกสารต่างๆ ของบริษัทเพราะอยากจะเข้าไปช่วยงานหรือเปล่า แต่เท่าที่คิดทบทวนผมก็มองว่าผลลัพธ์มันน่าจะออกมาในทางบวกมากกว่าทางลบ จึงตัดสินใจบอกคุณแม่ไปตามตรง

“อันที่จริงแล้ว เมื่อวันก่อนไนล์ก็เห็นพี่ภูเขาเอาเอกสารงานต่างๆ ของบริษัทมาอ่านอยู่นะครับ แต่ที่ไนล์ยังไม่กล้าบอกคุณแม่ เพราะไนล์เองก็ไม่แน่ใจว่าพี่ภูคิดยังไง แต่ถ้าให้ไนล์มอง ไนล์คิดว่าพี่ภูเองก็คงมีความคิดอยากไปช่วยงานคุณแม่อยู่บ้างไม่มากก็น้อย แต่อาจจะต้องกระตุ้นพี่ภูบ้าง.. ยังไงคุณแม่ลองพูดกับพี่ภูดูนะครับ”

(จริงเหรอคะน้องไนล์?) น้ำเสียงของแม่พี่ภูเปลี่ยนไปเป็นสดใสขึ้นมาทันที แต่ประโยคต่อมาของคุณแม่นี่สิที่ทำเอาผมห่อเหี่ยวแทน (แต่แม่ว่าให้แม่ไปกระตุ้นคงไม่ได้ผลหรอก รายนั้นน่ะ หัวดื้อกับแม่จะตาย แม่ว่าให้น้องไนล์ไปคุยกับพี่ภูดีกว่า ไม่แน่พี่ภูอาจจะยอมฟังน้องไนล์มากกว่าแม่ก็ได้นะคะ)

ผมส่ายหน้าหวือปฏิเสธทั้งที่คุณแม่มองไม่เห็นนี่แหละ

“ไม่มีทางหรอกครับที่พี่ภูจะฟังไนล์ เผลอๆ ได้ดุว่าไนล์ไปยุ่งเรื่องของพี่ภูอีกแน่ๆ”

(น้องไนล์ก็ลองดูก่อนสิคะ เชื่อแม่ แม่มั่นใจว่าพี่ภูคงจะอ่อนลงให้น้องไนล์ไม่น้อยแล้วล่ะตอนนี้)

“ทำไมล่ะครับ” ผมถามอย่างสงสัย ไม่แน่ใจว่าทำไมคุณแม่ถึงมั่นใจขนาดนั้น

(ก็เดี๋ยวนี้น่ะ พี่ภูไม่โทรมาบ่นกับแม่แล้วว่าอึดอัดอย่างนั้น เบื่ออย่างโน้น รำคาญอย่างนี้ ต่างกับช่วงแรกๆ ลิบลับ โทรมาก็คุยเรื่องอื่น ไม่บ่นเรื่องน้องไนล์เหมือนเมื่อก่อนแล้ว)

ผมหัวเราะแหะๆ ไม่แน่ใจว่าตัวเองควรรู้สึกอะไรก่อนดี คือควรเศร้าไหมที่ก่อนหน้าพี่ภูดูรังเกียจผมมากขนาดนั้น หรือควรดีใจที่ปัจจุบันพี่ภูไม่ได้รังเกียจผมเท่าตอนแรกแล้ว?

แต่ผมก็พยายามปลอบใจตัวเองแหละว่าอย่างน้อยมันก็เป็นไปในทิศทางบวกมากขึ้น เพราะปัจจุบันเวลาอยู่ด้วยกันก็พี่ภูก็ดุผมน้อยลง มองผมตาขวางน้อยลง อย่างร้ายก็มีหงุดหงิดบ้างตามประสา เวลาที่เขาต้องการทำสมาธิอะไรเงียบๆ แล้วผมเข้าไปขัดจังหวะหรือทำให้เขาเสียสมาธิไป นอกนั้นผมก็ไม่เคยถูกดุอะไรอีก

“แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพี่ภูจะฟังไนล์นะครับคุณแม่ .. คนไม่ชอบขี้หน้ากัน ยังไงก็ไม่ชอบกันวันยังค่ำแหละครับ”

ผมเผลอตัดพ้อด้วยความน้อยอกน้อยใจโดยไม่รู้ตัว ให้คุณแม่ต้องส่งเสียงร้องปลอบเบาๆ ด้วยความเอ็นดู

(โถ น้องไนล์ น้อยใจพี่เขาหรอคะ?) คุณแม่ถามตรงๆ ทำเอาผมแทบไปไม่เป็น

“คะ.. ครับ ก็ ก็นิดหน่อยครับ แต่ที่จริงไนล์ก็ไม่มีสิทธิ์น้อยใจอะไร ที่ได้อยู่ใกล้ชิดพี่ภูแบบทุกวันนี้ก็ดีมากพอแล้วครับคุณแม่”

ผมพยายามปรับน้ำเสียงให้มั่นคง แต่คนปลายสายก็จับได้อยู่ดี ผมเลยตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะไม่อยากถูกคาดคั้น แต่นขณะที่กำลังจะเอ่ยปากถามนั้น เสียงเรียกของพี่ภูก็ดังแว่วมาให้ได้ยินเสียก่อน

“ไนล์ ไนล์ ไนล์!! เสื้อยืดตัวที่ฉันใส่บ่อยๆ อยู่ไหนเนี่ย นายเอาไปเก็บไว้ไหนทำไมหาไม่เจอ?”

เสียงโวยวายจากเจ้าของคอนโดดังลั่นคับห้อง ทำเอาผมต้องรีบวางสายจากคุณแม่เพื่อไปช่วยพี่ภูหาเจ้าเสื้อยืดตัวที่ว่า ซึ่งคุณแม่เองก็คงได้ยินที่ลูกชายโวยวายเลยขำคิก ก่อนจะรีบบอกอย่างเข้าใจ

(ไปเถอะค่ะน้องไนล์ แม่ฝากพี่ภูด้วยนะคะ แล้วถ้ามีโอกาสยังไง น้องไนล์ลองคุยกับพี่ภูให้แม่หน่อยนะลูก ไม่ได้ผลก็ไม่เป็นไร ถือว่าลองดูเล่นๆ ละกัน)

“ครับ ถ้าไนล์มีโอกาส ไนล์จะลองช่วยพูดนะครับ แต่ไนล์คงไม่กล้ารับประกันเพราะยังไงไนล์ก็คิดว่าพี่ภูไม่น่าจะฟังไนล์ขนาดนั้น”

ผมแบ่งรับแบ่งสู้ในขณะที่คุณม่ก็ดูมันใจเหลือเกินว่าผมจะช่วยพูดกับพี่ภูได้

(เอาเถอะจ้ะ แม่เชื่อมือน้องไนล์ฝากด้วยนะคะ)

“ครับๆ งั้นแค่นี้ก่อนนะครับคุณแม่ สวัสดีครับ”

(สวัสดีจ้า ดูแลตัวเองนะลูก มีอะไรโทรมาหาแม่ได้ตลอดนะ) คุณแม่ไม่วายกำลับให้ผมยิ้มได้

“ครับ”

ผมกดวางสาย และยังไม่ทันจะตั้งตัว พี่ภูก็เปิดประตูห้องผมพร้อมกับพรวดพราดเข้ามาทั้งที่ท่อนบนยังคงเปลือยเปล่า มีแต่กางเกงขาสามส่วนเท่านั้นที่ใส่ติดตัวอยู่

“มัวแต่ทำอะไรอยู่ ฉันบอกว่าฉันหาเสื้อไม่เจอไง นายเอาไปเก็บไว้ที่ไหนห๊ะ?”

ผมเบือนหน้าไปอีกทางไม่กล้ามองพี่ภูแม้แต่นิด หนำซ้ำตอนนี้แก้มก็ร้อนขึ้นจนคาดว่ามันจะต้องออกสีแดงในเร็วๆ นี้ พอรู้ตัวว่าจะออกอาการแปลกๆ ใส่อีกฝ่าย ผมเลยรีบก้มหน้าก้มตาตอบพี่ภูเสียงค่อย

“พะ.. พอดีเมื่อกี้ไนล์หาของอยู่ครับเลยออกไปช้า ยังไงเดี๋ยวไนล์ไปดูที่ป้ามลรีดให้พี่ภูก่อนนะครับ อาจจะเพิ่งรีดเสร็จยังไม่ได้เอาไปใส่ตู้เสื้อผ้าให้”

“หึ!”

ผมได้ยินเสียงพี่ภูหัวเราะในลำคอเบาๆ แต่ไม่กล้าเงยมอง และไม่กล้าเบี่ยงตัวขอทางเดินด้วย ได้แต่ภาวนาขอให้พี่ภูหลีกทางไวๆ แต่ดูเหมือนคำภาวนาของผมจะไม่เป็นผลเท่าไหร่ เพราะจู่ๆ พี่ภูก็ตรงเข้ามาประชิดตัวแล้วเดินไล่ต้อนจนผมถอยหลังไปติดกำแพงห้อง

“หน้าแดงแบบนี้คืออะไร? ชอบ? หึ..” พี่ภูเดินเข้ามาจนชิด ร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่าชิดอยู่ตรงใบหน้าผม ด้วยความที่ผมเตี้ยกว่า ทำให้พี่ภูกักผมไว้ด้วยร่างกายของเขาเองได้สบายๆ ในขณะที่ผมได้แต่ก้มหน้างุด ผมไม่เคยใกล้ชิดกับใครมากขนาดนี้มาก่อนยกเว้นกับพี่ชายตัวเอง

“พะ.. พี่ภู เอ่อ ไนล์ ไนล์จะไปหาเสื้อให้ครับ” ผมตะกุกตะกักบอก แต่ดูเหมือนพี่ภูจะไม่ได้ฟังที่ผมบอกเลยสักนิด แถมยังยื่นหน้ามาจนใกล้ผมแทนอีกต่างหาก

“ตอบมาก่อนว่าหน้าแดงทำไม คิดอะไรลามกกับฉันใช่ไหมไนล์?”

ผมเงยหน้าเบิกตากว้างขึ้นสบกับพี่ภูเพราะตกใจในข้อกล่าวหาที่จู่ๆ ก็ถูกอีกฝ่ายยัดเยียดให้ แต่ดูเหมือนจะเป็นการกระทำที่ผิดมหันต์ เพราะตอนนี้แววตาคมของพี่ภูพราวระยับราวกับถูกใจที่ได้แกล้งผม

“นะ ไนล์เปล่า... เปล่าครับ ไนล์ไม่ได้คิด” ผมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ใส่คนตรงหน้า แต่พี่ภูกลับหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างชอบใจ

“ไม่ได้คิดแล้วหน้าแดงทำไม หรือว่านี่เป็นแผนของนาย.. นายเอาเสื้อฉันไปซ่อนเพราะอยากเห็นฉันเปลือยท่อนบนเดินไปเดินมาในบ้านใช่ไหม”

“ใช่ที่ไหนล่ะครับ.. โถ่พี่ภู เลิกแกล้งไนล์เถอะนะ เดี๋ยวไนล์ไปหยิบเสื้อมาให้” ผมพูดไปยู่ปากไป เพราะติดนิสัยที่มักจะทำแบบนี้เวลางอนพี่เทมส์ โดยลืมตัวไปว่าคนที่ผมอยู่ด้วยตอนนี้คือพี่ภูไม่ใช่พี่เทมส์

ผมเงยหน้ามองพี่ภูอีกครั้ง ตั้งใจจะรวบรวมความกล้าขอร้องอีกสักรอบให้พี่ภูปล่อย เพราะขืนอยู่กันแบบนี้ต่อไปนานๆ ผมหัวใจวายแน่ แต่แล้วผมก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นสายตาที่พี่ภูมองมา โดยเฉพาะแววตาคมปราบที่จ้องริมฝีปากผมไม่กะพริบ

ผมเตรียมจะเม้มปากทันทีตามสัญชาตญาณ แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อจู่ๆ พี่ภูก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ แล้วประทับริมฝีปากตัวเองลงบนริมฝีปากผมเบาๆ

เขาไม่ได้รุกล้ำ แค่แตะริมฝีปากลงมาแนบเฉยๆ ... แต่แค่นั้นก็ทำเอาหัวใจดวงน้อยๆ ของผมเต้นรัวจนแทบจะหลุดออกจากขั้ว


พี่ภูจูบผม ... จูบแบบที่เขามีสติและรู้สึกตัวดี


พี่ภูจูบแช่อยู่พักหนึ่งก่อนที่เขาจะผละออก แววตาคมคู่นั้นเต็มไปด้วยความสับสน เขาสะบัดศีรษะแล้วหันมามองผมอย่างไม่พอใจ ก่อนที่จะพูดในสิ่งที่ผมได้ยินแล้วยอมรับว่าเจ็บไม่น้อย

“นายยั่วฉัน นายอยากให้ฉันจูบ เลยทำทางแบบนั้นใส่ฉัน.. ร้ายนักนะ”

ผมเม้มปากแน่น นึกเสียใจที่ถูกกล่าวหาแบบผิดๆ “ไนล์เปล่า ไนล์ไม่ได้..”

“หยุดพูด! ฉันไม่อยากฟัง” พี่ภูชี้หน้าผม “จำไว้ว่าฉันจะไม่ยอมโดนนายปั่นหัวอย่างแม่ อย่างไอ้เทมส์แน่ ไอ้หน้าไร้เดียงสาแบบนี้น่ะ ฉันรู้ทันหรอกว่าไม่ได้ใสซื่ออย่างที่เห็น”

พี่ภูพูดแค่นั้นแล้วก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ผมยืนน้ำตาคลอกับคำพูดต่อว่าที่ผมไม่ได้เป็นคนทำเลยสักนิด

.

.

.

Kirin’s Part


นี่มันโคตรจะงี่เง่า งี่เง่ามากๆ

ผมเผลอจูบเด็กนั่นไป ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าโน้มหน้าตัวเองลงไปตอนไหน พอรู้อีกที ริมฝีปากของเราสองคนก็สัมผัสกันแล้ว

และแน่นอนว่ามันรู้สึกดีไม่ต่างจากครั้งที่แล้วสักนิด

ซึ่งนั่นทำให้ผมหงุดหงิด และเผลอโทษว่าเป็นความผิดของไนล์ ทั้งที่ไนล์ไม่ทันจะได้ทำอะไรด้วยซ้ำ

แต่แล้วยังไงล่ะ? จะให้ผมยอมรับงั้นหรอว่าตัวเองรู้สึกต้องการมากๆ ต้องเห็นไนล์ยู่ปากด้วยท่าทางน่าเอ็นดูขนาดนั้น ในใจผมตอนนั้นได้แต่คิดว่าอยากจะแนบริมฝีปากลงไปสัมผัส ผมรู้ดีว่ามันจะรู้สึกดี เพราะผมเคยจูบริมฝีปากเล็กๆ นั่นมาแล้ว เคยสัมผัสมาแล้ว และรู้ว่ามันหอมหวานจนยากจะห้ามใจขนาดไหน

และที่สำคัญสิ่งที่ทำให้ผมขาดสติจนต้องทำแบบนนั้นก็คือ ‘ความรู้สึกคุ้นเคย’

ตอนที่ไนล์ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ มันมีภาพเด็กผู้ชายนั่งตาแดงๆ น้ำตาคลอดูน่ารังแกและน่าปกป้องไปพร้อมๆ กันปรากฎเข้ามาในหัวจนทำให้ผมเผลอลืมตัว ทำในสิ่งที่ลึกๆ หัวใจตัวเองต้องการและอยากทำออกไป


‘เด็กขี้แย แล้วมาบอกว่าไม่ได้ร้องไห้ น้ำตานี่อะไรกัน หื้ม?’


และนั่นก็คือสาเหตุที่ทำให้ผมโน้มหน้าลงไปประทับริมฝีปากตัวเองลงไปบนอวัยวะเดียวกันที่แสนจะจิ้มลิ้มของอีกฝ่าย

แต่หลังจากที่ได้สัมผัสแล้ว พอสติกลับมาครบถ้วนผมก็เกิดหงุดหงิดความไม่ได้สติของตัวเองจนเผลอโทษไปว่าเป็นความผิดของไนล์ เอาจริงผมก็รู้แหละว่าครั้งนี้มันเกิดจากผมเต็มๆ แต่ไนล์เองก็มีส่วน เขาจงใจทำท่าทางแบบนั้น เขาเอาจุดเด่นของตัวเองมาหลอกล่อผม โดยเฉพาะไอ้ความไร้เดียงสาปลอมๆ นั่น เลยทำให้ผมเจ็บใจมากที่สุดที่ยอมตกลงไปในหลุมพรางที่อีกฝ่ายขุดขึ้น

มันถึงโคตรจะงี่เง่า งี่เง่ามากๆ ยังไงล่ะ

และในขณะที่ผมกำลังโกรธและหงุดหงิดไปกับอารมณ์ที่แปรปรวนของตัวเองนั้นเสียงเตือนข้อความเข้าของโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น


‘วันนี้ตอนเย็นจะแวะเข้าไปหาที่คอนโด มีโปรเจ็คใหม่จะให้มึงช่วยดู เป็นโปรเจ็คร่วมระหว่างบริษัทพ่อกูกับบริษัทแม่มึง โดยมีมึงกับกูเป็นหัวหน้าทีมร่วม รายละเอียดอื่นค่อยคุยกันเย็นนี้’

ผมขมวดคิ้วมองประโยคยืดยาวที่ไอ้เทมส์ส่งมาด้วยความสงสัย ทำไมต้องเป็นผมกับมันเป็นหัวหน้าทีมร่วม ทั้งๆ ที่แม่ก็รู้ว่าผมยังไม่พร้อมเข้าไปทำงานในบริษัท

แต่ก่อนที่จะคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเสียงเคาะประตูที่หน้าห้องก็ดึงความสนใจของผมไปได้เสียก่อน


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


“พี่ภู.. จะเที่ยงแล้วครับ ทานข้าวครับ”

เสียงของไนล์ที่เรียกอยู่หน้าห้องทำให้ใจผมปั่นป่วนขึ้นมาอีกรอบ แต่สุดท้ายก็ต้องบอกให้ตัวเองสงบลง ผมจะงี่เง่าต่อเนื่องแบบนี้ไม่ได้ ผมจะไม่ยอมให้ไนล์มามีอิทธิพลเหนือความคิดและความรู้สึกของผมแบบนี้ไปเรื่อยๆ แน่

ผมตัดสินใจเปิดประตูออกมา แต่ก็พบว่าคนที่เรียกไม่ได้อยู่ที่หน้าประตูห้องแล้ว ไนล์กำลังเดินตรงดิ่งกลับไปที่ครัวเร็วๆ เขาเหลือบมองผมนิดหน่อยตอนยกกับข้าวที่ทำเสร็จแล้วมาวางที่โต๊ะ และพอผมเดินเข้าไป เขาก็ถอยกรูดเตรียมจะหันกลับเข้าห้องนอนทันที และเพราะการกระทำแบบนั้นเลยทำให้ผมต้องรีบคว้าต้นแขนเล็กๆ นั่นไว้ไม่ให้หนีไปได้ทัน

“จะไปไหน?”

ผมจ้องใบหน้าเล็กๆ ที่ประกอบด้วยเครื่องหน้าจิ้มลิ้มน่ามองอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ไนล์กลับก้มหน้านิ่งไม่ยอมให้ผมสบตา ผมเลยต้องใช้มือตัวเองจับคางของคนตัวเล็กกว่าเชิดขึ้น และเป็นครั้งแรกที่ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาเต็มอก ตอนที่ผมเห็นใบหน้าของไนล์เต็มๆ

ดวงตากลมโต และปลายจมูกเล็กๆ ของเด็กตรงหน้าแดงก่ำ ไม่บอกก็รู้ว่าต้องเพิ่งร้องไห้มาแน่ๆ แถมต้องนี้น้ำใสๆ ที่คลออยู่ในหน่วยตาก็ทำท่าจะปริ่มขึ้นมาอีกรอบ เมื่อเห็นผมจ้องหน้าไม่ยอมปล่อยให้เขาได้ขยับหนีไปไหน

“ไนล์.. ไนล์กำลังจะเข้าห้อง พี่ภูจะได้...”

“แล้วกินข้าวแล้วเหรอถึงจะเข้าห้องน่ะ?”

ผมถามสวนขึ้นไปโดยไม่รอให้ไนล์พูดจบ ผมนึกรู้ว่าไนล์จะพูดว่าอะไร ยังไงก็คงหนีไม่พ้นประโยคเทือกๆ ‘พี่ภูจะได้กินข้าวแบบสะดวกใจ ถ้าไม่ต้องเห็นหน้าไนล์’ อะไรแบบนั้นแน่ๆ

แต่ก็เข้าใจได้แหละว่าทำไมไนล์ถึงคิดแบบนั้น เพราะช่วงแรกๆ ที่เราอยู่ด้วยกันผมจะพูดอะไรแบบนี้ใส่ไนล์บ่อยมาก แต่ไนล์ก็มักจะรับฟังอย่างสงบ ไม่เคยเถียง ไม่เคยชักสีหน้า ทำตามโดยที่ไม่เคยปริปากอะไรเลยสักคำ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอาจจะด้วยความรู้สึกผิดหรืออะไร แต่หลังๆ ผมก็ไม่ได้ไล่หรือพูดอะไรแบบนั้นกับไนล์แล้ว เราสามารถนั่งกินข้าด้วยกันเงียบๆ ได้ ตราบเท่าที่ไนล์ไม่งี่เง่าใส่ และไม่ทำอะไรให้ผมขวางหูขวางตา ผมก็ว่าผมรับได้ที่จะมีเขาวนเวียนอยู่ใกล้ตัว

เพิ่งจะมีวันนี้นี่แหละที่ผมกลับมาเป็นผีบ้า อารมณ์แปรปรวนขึ้นอีกครั้ง และที่สำคัญครั้งนี้ไม่ใช่ความผิดของไนล์ด้วย ไอ้ครั้นผมจะใจร้ายไล่ให้เขาเข้าไปนั่งหิวรอในห้องจนกว่าผมจะกินเสร็จแล้วค่อยให้เขาออกมากินทีหลังนี่ก็น่าจะเกินไปหน่อย

ผมเลยตัดสินใจที่จะรั้งเขาไว้ เพื่อซ่อมแซมความรู้สึกเสียใจของเขาและความรู้สึกผิดของตัวเอง

... ความรู้สึกผิดที่ทำให้ใจผมหวั่นไหวแต่ผมกลับไม่ยอมรับความเป็นจริง

“เดี๋ยวไนล์ค่อย..”

“นั่ง” ผมชี้นิ้วที่ไปที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “ไปยกจานมาอีกชุดแล้วมานั่งกินด้วยกัน”


(อ่านต่อด้านล่าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-05-2020 21:10:06 โดย Gade_ka »

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
(ต่อจากด้านบน)


ไนล์มองผมด้วยสายตาแปลกใจ แต่ผมก็ทำเป็นหลบเลี่ยงไม่รู้ไม่ชี้ เพราะเอาจริงผมเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำอะไรอยู่ แต่เอาเถอะเพราะพอทำออกมาแล้วผมก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไร ตรงกันข้ามผมรู้สึกดีด้วยซ้ำที่ได้ทำอะไรดีๆ บ้าง แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตามที

“แต่ไนล์ว่า...”

“อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำสอง” ผมแกล้งทำเสียงดุ แค่นั้นไนล์ก็ก้าวเท้ายาวๆ เดินไปที่ครัวแล้ว “รีบหยิบจานมานั่งกิน ฉันหิวแล้ว”

ผมว่าพลางทรุดลงนั่งตรงเก้าอี้ตัวที่ไนล์จัดจานไว้ให้ อีกไม่กี่อึดใจไนล์ก็ตามมานั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามติดๆ ในขณะที่ใบหน้าน่ารักยังคงดูตื่นตกใจไม่หาย

ก็แหงล่ะ ใครจะไปทนสภาพผีเข้าผีออกอย่างผมได้ ตอนเช้าเป็นอีกอย่าง พอตกเที่ยงเป็นอีกอย่าง บางทีผมก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเพราะอะไร

เราสองคนนั่งลงมือกินข้าวกันเงียบๆ ซึ่งมันก็เป็นกิจวัตรปกติของเราทั้งคู่อยู่แล้ว เนื่องจากไม่มีอะไรจะคุย แล้วเราก็ไม่ได้สนิทกันถึงขนาดนั้นด้วย


... แต่ในวันนี้มันต่างออกไป เหมือนกับว่าผมอยากจะให้บรรยากาศบนโต๊ะมันไม่เงียบเหงา อยากให้ดูแตกต่างจากเคยสักนิดก็ยังดี ...


“ทำไมนายถึงอยากมาอยู่ดูแลฉัน”

ผมตัดสินใจถามขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ ก็อย่างที่บอก ว่าผมไม่ใช่คนช่างพูดชวนคุย แต่ครั้งนี้ผมกลับเป็นคนเริ่ม และอีกเหตุผลที่ผมไม่อยากจะยอมรับก็คือผมอยากรู้จักเด็กผู้ชายตรงหน้าเพิ่มขึ้นอีกสักนิด

“คะ คือ” ไนล์ก็ยังคงตะกุกตะกักตามประสา เขาดูไม่ค่อยมั่นใจ แต่อีกนัยเขากลับกล้าเข้ามาอยู่อาศัยกับผู้ชายอย่างผมหน้าตาเฉย โดยไม่เห็นจะได้ทันคิดเผื่อเลยว่าถ้าเกิดผมคิดไม่ดีไม่ร้ายทำอะไรเขาขึ้นมา เขาจะทำยังไง


และนี่คือส่วนที่ผมไม่เข้าใจในตัวไนล์มากที่สุด มันดูขัดแย้ง และทำให้ผมไม่กล้าวางใจในตัวเขาสักที


“คือไนล์อยากแบ่งเบาภาระครอบครัวครับ อยากช่วยพี่ชายหาเงินสักทางหนึ่งก็ยังดี”

“นายมีพี่ชายด้วยหรอ? “ผมถามอย่างแปลกใจเพราะไม่เห็นว่าไนล์หรือคุณแม่จะพูดสักทีว่าครอบครัวไนล์มีพี่ชายอีกคน

“มีครับ ก็ช่วยกันทำงานหาเงิน พ่อกับแม่แก่แล้ว ไนล์อยากให้พวกท่านได้พัก”

ไนล์พูดเรื่อยๆ ตามประสาซื่อ และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมสัมผัสได้ถึงความเป็นตัวตนของไนล์จริงๆ เขาดูรักครอบครัวมาก แค่เอ่ยถึงพ่อแม่และพี่ชายริมฝีปากของเขาก็ประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ ไม่เลือนหาย แถมประกายในแววตากลมโตยังดูเต็มไปด้วยความสุขอีกต่างหาก

และก็เป็นครั้งแรกที่ทำให้ผมรู้สึกอยากวางมือลงบนหัวเล็กๆ ทุยๆ นั่น แล้วลูบเบาๆ สักครั้งอย่างเอ็นดู

ผมสะบัดศีรษะปัดความคิดประหลาดๆ นั่นออกจากหัวเบาๆ และก็ได้ทันเห็นคนที่นั่งตรงข้ามทำท่างึกๆ งักๆ เหมือนมีอะไรสักอย่างจะพูดกับผมแต่ก็ไม่กล้าพูดออกมาสักที

“มีอะไรจะพูดก็พูดออกมา อย่ามาทำอึกอัก”

ผมเอ่ยถามตามตรงราวกับเปิดโอกาสแต่ก็ไม่ได้กดดัน เพราะถึงแม้ผมจะถามออกไปอย่างนั้นแต่ผมก็ยังคงตักกับข้าวเข้าปากกินสบายๆ ... จะว่าไปเรื่องกับข้าวนี่ก็ต้องชมเจ้าตัวเล็กนี่นะ เห็นท่าทางบอบบางเหมือนจะหยิบจับอะไรไม่ถนัดนี่ ความจริงแล้วทำอาหารเก่งน่าดู เก่งถึงขั้นที่ว่าผมแทบจะลืมรสมือป้ามลที่เคยทำให้กินประจำไปเลยทีเดียว

“คือพี่ภูอย่าหาว่าไนล์ละลาบละล้วงเลยนะครับ.. แต่แบบพี่ภูได้ลองคิดๆ เรื่องกลับไปช่วยงานคุณท่านบ้างหรือยังครับ?”

ผมวางช้อนทันทีเมื่อได้ยินไนล์ถามแบบนี้ ใบหน้าของผมเรียบตึง และในขณะจะเอ่ยปากต่อว่าที่ไนล์ยุ่งเรื่องส่วนตัวของผมไม่เข้าเรื่องผมก็ต้องชะงัก เมื่อภาพตอนที่ไนล์ยิ้มนิดๆ แล้วตอบผมว่า ‘พ่อกับแม่แก่แล้ว ไนล์อยากให้พวกท่านได้พัก’ ก็แว่บเข้ามาในหัว

และจากที่โมโหก็แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกผิดที่ถาโถมเข้ามาในใจแทน

ในขณะที่ไนล์ดูน่าจะเด็กกว่าผมอยู่หลายปี แถมตัวเล็กกว่าผมเกือบจะครึ่ง เขายังมีใจอยากจะดูแลพ่อแม่ อยากให้พ่อแม่ได้พักผ่อน แต่ผมอายุที่มากขนาดนี้แต่กลับไม่มีหัวคิด ปล่อยให้แม่ทำงานหนักและหนำซ้ำช่วงที่อยู่เมืองนอกก็ไม่ได้ดูแลอะไรท่านเท่าไหร่ นี่กลับมาแล้วนอกจากจะยังไม่เข้าบริษัทไปช่วยหยิบจับอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน บางครั้งยังสร้างเรื่องวุ่นวายให้แม่ต้องหนักใจอีก นี่ผมเป็นลูกประเภทไหนกันเนี่ย

“เอ่อ.. พี่ภูครับ พี่ภู”

เสียงเรียกของไนล์ทำให้ผมถูกปลุกจากภวังค์ เด็กที่นั่งอยู่ตรงข้ามหน้าเสียเล็กน้อย และดูเหมือนเขาจะรู้ตัวว่าเขาเผลอล้ำเส้นผมเข้าให้ แม้จะเป็นการล้ำเส้นเพราะความหวังดีก็ตาม

“....”

“ไนล์ขอโทษนะครับที่ยุ่มย่ามเกินไป” เขาพุ่มมือยกขึ้นไหว้ตอนที่เอ่ยขอให้ผมอภัย “ไนล์ไม่ได้ตั้งใจ แต่ไนล์แค่อยากลองถามพี่ภูดูเผื่อพี่ภูเปลี่ยนใจขึ้นมาแล้วบ้าง”

เด็กไนล์พูดไปยิ้มแห้งๆ ไป และก็เพราะไอ้รอยยิ้มแห้งๆ ของเจ้าตัวเล็กนี่แหละที่ทำให้ผมดุไม่ลง และในความเป็นจริง เรื่องกลับไปช่วยงานแม่ผมก็มีคิดๆ มาแล้วบ้าง แต่ยอมรับเลยว่าสภาพจิตใจมันยังไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่ เพราะการกลับเข้าไปทำงานที่บริษัทนั่นหมายถึงการที่ผมต้องกลับเข้าไปในฐานะทายาท ไม่ใช่แค่พนักงานธรรมดา ซึ่งไอ้ความพร้อมเรื่องต่างๆ ของบริษัทน่ะผมพร้อมมานานมากแล้ว เพราะถึงแม้ผมจะอยู่ต่างบ้านต่างเมืองแต่ผมก็หมั่นหาข้อมูล ดูความเป็นไปในกิจการของครอบครัวมาตลอด ผมไม่ได้คิดจะทิ้งขว้างเพราะรู้ดีว่ายังไงวันหนึ่งผมก็ต้องกลับมารับช่วง แต่ไอ้ที่ไม่พร้อมจริงๆ ก็คือหัวใจ ผมยังเปิดรับเรื่องของความสัมพันธ์ไม่ได้ และบางครั้งมันอาจจะทำให้ไปกระทบกับการทำงานด้วย นั่นต่างหากคือสิ่งที่ผมกังวล

“แล้วทำไมนายถึงคิดว่าฉันเปลี่ยนใจอยากจะไปทำงานแล้วล่ะ ฉันทำอะไรให้นายรู้สึกแบบนั้น หื้ม?”

ไนล์ยิ้มแหะๆ อีกครั้ง ก่อนจะอ้อมแอ้มสารภาพ “ก็เมื่อวันก่อนผมเห็นพี่ภูเอาเอกสารอะไรไม่รู้มาอ่านเยอะแยะ ก็เลยเดาๆ ครับว่าเป็นเกี่ยวกับเรื่องงาน”

ผมประมวลข้อมูลที่ได้รับไว้ในใจอย่างเงียบงัน และก็มีบ้างที่รู้สึกแปลกๆ แต่ก็พยายามไม่คิดอะไร พยายามไม่สงสัยว่าทำไมไนล์ถึงรู้ว่าเอกสารพวกนั้นที่ผมเอามาอ่านเป็นข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับบริษัท ทั้งๆ ที่มันเป็นภาษาอังกฤษล้วน...

ถ้ามองในอีกแง่ ไนล์ก็แค่อาจจะเดา และผมก็ไม่สามารถหาคำตอบในแง่อื่นได้ ผมไม่ได้ดูถูกเรื่องการศึกษา แต่ศัพท์ภาษาอังกฤษที่อยู่ในเอกสารต่างๆ นั้นมันเป็นศัพท์เฉพาะเกี่ยวกับโปรเจ็คก่อสร้างต่างๆ ผมเอาไม่ออกเลยว่าไนล์จะอ่านคำพวกนั้นออกโดยไม่สะดุดได้ยังไง

นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ผมเห็นไนล์อยู่กับภาษาอังกฤษ ครั้งแรกก็ในมือถือของเจ้าตัวนั่น และครั้งนี้เป็นเอกสารของผมเอง

“อ้อ..” ผมแสร้งรับคำเมื่อเห็นไนล์เริ่มขมวดคิ้วและเอียงคอ เขาคงสงสัยว่าทำไมผมไม่ตอบสักที “ก็อ่านเอกสารของบริษัทนั่นแหละ เรื่องที่จะกลับไปทำงานก็มีคิดๆ อยู่ ไม่นานคงจะตัดสินใจได้ว่าจะเอายังไง”

ไนล์ยิ้มกว้างจนตาหยีทันทีเมื่อได้ยินผมบอกแบบนั้น เขาดูดีใจมากเพียงแค่ผมจะลองเก็บเรื่องนี้ไปคิด เขาดูดีใจที่ผมกำลังจะมูฟออนไปข้างหน้าอีกก้าว

“ดีจังครับพี่ภู ถ้าคุณท่านรู้ต้องดีใจแน่ๆ” ไนล์พูดเจื้อยแจ้วพร้อมกับมีรอยยิ้มประดับอยู่ที่ริมฝีปากจิ้มลิ้มอย่างอารมณ์ดี ทำเอาผมต้องแกล้งเบือนหน้าหนีไปอีกทางเพราะกำลังจะหลุดยิ้มตาม

“อะแฮ่ม..” ผมแกล้งกะแอมกระไอเพราะไม่อยากให้ไนล์เห็นพิรุธ “แล้วไม่ต้องรีบเอาไปบอกแม่ล่ะ เดี๋ยวเรื่องนี้ฉันจัดการเอง ขอคิดอีกสักวันสองวัน”

ผมรีบกำชับเพราะไม่อยากให้แม่มากดดันเพราะถ้าท่านรู้ว่าผมมีแพลนจะกลับไปทำงาน ท่านต้องตามตื๊อผมให้เข้าบริษัทเช้าเย็นไม่เลิกแน่ๆ แล้วมันจะกลาเป็นทำให้ผมหมดกำลังใจไป ดังนั้น กันไว้ดีกว่าแก้ รอให้ผมเป็นคนบอกแม่เองดีกว่า

“ได้ครับ ไนล์จะไม่ปริปากบอกใครเลย .. รอให้พี่ภูไปบอกคุณท่านด้วยตัวเอง"

เจ้าตัวเล็กยังคงยิ้มระรื่นและตักข้าวเข้าปากอย่างมีความสุข ทำเอาผมสงสัยว่าไนล์มีความสุขเรื่องอะไร ถ้าเขามีความสุขเพราะเรื่องที่ผมจะกลับไปทำงานนี่มันก็ประหลาดมากนะ เขาจะยินดีกับผมมากขนาดนั้นเลยหรอ? เกิดมาจนอายุจะสามสิบผมยังไม่เคยเห็นใครหวังดีกับใครด้วยใจจริงได้เลยสักคน

“อืม กินข้าวไป รีบกินรีบเก็บล้าง” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง เพราะกลัวตัวเองจะหลุดยิ้มตามเจ้าตัวเล็กที่ยังคงยิ้มแฉ่งจนตาปิดอยู่

“ครับ”

“เอ้อ แล้วก็.. เย็นนี้เพื่อนฉันจะมาหา ทำกับข้าวเผื่อมันด้วย”

และก็เป็นอีกครั้งที่ไนล์ยิ้ม พร้อมกับรับปากรับคำอย่างดี “ได้เลยครับ ไนล์ให้ป้ามลไปซื้อของสดมาให้แล้ว ว่าจะทำแกงส้มชะอมทอด พี่ภูอยากท่านอะไรเพิ่มไหมครับ”

ผมส่ายหน้า แต่ก็ต้องอดคิดถึงความบังเอิญที่กำลังเกิดขึ้นไม่ได้

วันนี้ไนล์จะทำแกงส้มชะอมทอด ในขณะที่แกงส้มชะอมทอดก็คือหนึ่งในของโปรดของไอ้เทมส์เหมือนกัน

.

.

.

“หายเหมือนตายห่า นี่มึงไปอยู่ไหนมาเนี่ย”

คำทักทายแรกที่ได้ยินจากเพื่อนสนิทหลังจากเปิดประตูให้มันเข้ามาในห้องก็ทำให้ผมต้องหลุดขำ เพราะตั้งแต่กลับมายังไม่มีวันไหนเลยที่มันจะไม่ด่าผม มันด่าผมทุกวัน บางวันต่อให้มันยุ่งไหนมันก็จะหาเวลาขอแค่ให้ได้โทรมาด่าผมก็ยังดี

“กูก็เตร็ดเตร่ไปเรื่อย ตามประสาคนโสด มึงเสือกไรด้วย” ผมยื่นมือไปตบบ่าเพื่อนสนิทเบาๆ เพราะเทมส์สูงกือบจะเท่าผม หุ่นและรูปร้างก็คล้ายๆ กัน สมส่วนไปหมด “ว่าแต่กูแล้วมึงล่ะ หายไปเลยเหมือนกัน งานเยอะหรอวะ เรียกออกมาให้เลี้ยงข้าวก็ไม่มา"

“ก็เยอะแหละ โดยเฉพาะโปรเจ็คที่จะร่วมทุนกับบริษัทมึง” ไอ้เทมส์พูดขึ้นแต่ผมก็ยังงงๆ อยู่ดี

“โปรเจ็คอะไรวะ? ทำไมจู่ๆ แม่กูถึงเกิดอยากจะร่วมทุนกับบริษัทพ่อมึงขึ้นมา อันนี้กูงงนะเนี่ยปุบปับมาก”

ไอ้เทมส์มองหน้าผมก่อนจะยิ้มเหยียดแบบตั้งใจกวนประสาท ให้ผมต้องส่ายหัวแอบขำด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ

“ก็เพราะงี้ไง มึงถึงควรกลับไปช่วยงานที่บริษัทแม่มึงได้แล้ว มึงจะได้รู้ความเป็นไปต่างๆ บ้าง จะดึงถ่วงเวลาไปถึงไหนวะ?” ไอ้เทมส์เริ่มบ่นเป็นลุงแก่ๆ ให้ผมต้องนั่งแคะขี้หูด้วยความเบื่อหน่าย

“นี่มึงเป็นเพื่อนกูหรือเป็นพ่อกูกันแน่วะ ขี้บ่นชิบหาย”

ผมเย้าเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ ให้ไอเทมส์ด่าผมด้วยคำหยาบคายแบบไม่ออกเสียง ซึ่งผมเองก็ได้แต่นั่งขำ อาจจะเพราะด้วยความที่เราสองคนสนิทกันมาก รู้ไส้รู้พุงเพราะคบกันมาเป็นสิบปี เลยทำให้ได้รู้ว่าภายใต้คำหยาบคาย ภายใต้คำบ่นคำด่าทอก็มาจากเพราะมันรักและหวังดีกับผมทั้งนั้น เพราะถึงแม้มันจะพูดจาไม่ดีกับผมยังไง คนที่ไม่เคยทิ้งผมไปไหนนอกจากแม่ก็คือไอ้เทมส์

“ถ้ากูเป็นพ่อมึง คงตบมึงกะโหลกยุบไปแล้ว ไม่เอามึงไว้หรอก”

“ฮ่าๆๆๆ”

ผมหัวเราะร่วนเมื่อได้ปะทะริมฝีปากเล็กๆ น้อยๆ กับเพื่อนสนิท และหลังจากที่เรากำลังจะเริ่มคุยอะไรบางอย่างต่อ ร่างเล็กๆ ของเด็กแคระประจำบ้านก็ปรากฎ ไนล์เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มกว้างพร้อมกับถาดใส่แก้วน้ำสองใบในมือ

เอาอีกแล้ว ไอ้อาการคันยุบยิบๆ ในใจมันมาอีกแล้ว

“น้ำครับ”

เจ้าตัวเล็กวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะพร้อมกับหันไปมองไอ้เทมส์ที่กำลังส่งยิ้มอ่อนโยนให้ ยิ้มในแบบที่ผมไม่ค่อยเห็นมันยิ้มให้ใครสักเท่าไหร่ แต่ไนล์กลับได้รอยยิ้มนี้ไป

มันยังไงกันแน่วะ?

จากที่อารมณ์ดีๆ ตอนนี้จิตใจผมก็เริ่มขุ่นมัวอีกครั้ง ถ้าจะให้ผมเดา ผมว่ามันต้องเป็นเพราะผมรู้สึกว่าเด็กไนล์ต้องทำอะไรที่เป็นการปั่นหัวเพื่อนสนิทผมแน่ๆ ไม่งั้นไอ้เทมส์ไม่มีทางเป็นแบบนี้หรอก และเพราะเหตุนี้เลยทำให้ผมทำใจให้เชื่อว่าไนล์เป็นคนไร้เดียงสา ไม่มีพิษมีภัยไม่ได้จริงๆ

“ขอบใจมาก.. ว่าแต่เราเป็นไงบ้าง?”

ไอ้เทมส์ถามไนล์ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะยกมือลูบหัวเล็กๆ ของเด็กนั่นเบาๆ ทำเอาผมเผลอถอนหายใจแรงๆ ออกมาด้วยความหงุดหงิด แถมยังมองภาพความสนิทสนมของคนทั้งสองตาขวางด้วยความไม่พอใจ

ไนล์ยิ้มแห้งส่งมาให้ผม ก่อนจะขยับตัวถอยห่างออกจากไอ้เทมส์เพราะคงจับอาการไม่พึงพอใจของผมได้ ในขณะที่ไอ้เพื่อนสนิทที่ยังไม่รู้ตัวว่าโดนปั่นหัวกลับมองผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามแบบกวนตีนๆ ตามประสามัน

“นะ.. เอ่อ ผมสบายดีครับคุณเทมส์” ไนล์ถอยฉากออกไปก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอาวรณ์นิดๆ “ถ้ายังไงผมขอตัวไปทำอาหารต่อนะครับ ถ้าอยากได้อะไรพี่ภูกับคุณเทมส์ตะโกนเรียกได้ตามสบายเลยนะครับ”

ไนล์พูดด้วยรอยยิ้มกว้างที่มองแล้วยังไงก็ดูน่าเอ็นดู และในขณะที่ไอ้เทมส์กำลังจะเอ่ยปากรับคำ ผมก็พูดสวนขึ้นมาเสียก่อน

“โอ..”

“ไม่ต้อง นายทำอาหารไป ถ้าฉันหรือไอ้เทมส์เรียกจะเอาอะไรก็ให้ป้ามลออกมา ส่วยนายไม่จำเป็นไม่ต้องเสนอหน้าเข้ามา เห็นแล้วหงุดหงิด”

ไอ้เทมส์หันมามองผมตาขวางพอผมพูดด้วยเสียงดุๆ ใส่ไนล์ออกไป เจ้าตัวเล็กหน้าเสีย แต่ก็ยอมทำตามไม่มีบิดพริ้ว

“ได้ครับ งั้นเดี๋ยวไนล์จะบอกป้ามลให้”

“อืม ออกไปได้แล้ว”

ผมกำชับไนล์ด้วยสายตาอีกรอบ เจ้าตัวเล็กเดินออกไปด้วยท่าทางจ๋อยๆ และก็เป็นอีกครั้งที่ผมต้องหงุดหงิดตัวเองที่อารมณ์รู้สึกผิดของผมตีตื้นขึ้นมาในขณะที่ผมก็หงุดหงิดเพียงเพราะเห็นท่าทีของไอ้เทมส์ที่มีต่อไนล์ด้วย

“มึงจะตายหรอไอ้ภู ถ้าพูดดีๆ กับไนล์น่ะ”

“มึงก็จะตายหรอไอ้เทมส์ ถ้าไม่ได้เข้าข้างเด็กนั่นน่ะ กูเห็นปกป้องจัง ว่าอะไรไม่ได้”

ผมพูดใส่เพื่อนสนิทด้วยท่าทีฮึดฮัดไม่พอใจ ไอ้เทมส์ทำท่าเหมือนจะเถียงอะไรสักอย่างใส่ผม แต่โทรศัพท์มันมีเสียงเตือนข้อความเข้าแทรกเข้ามาเสียก่อน มันเลยหยิบมือถือขึ้นมาอ่านข้อความที่ว่าก่อนจะสบถพึมพำบ่นหัวเสียนิดหน่อย แต่ก็ยอมลงให้ผมก่อน แล้วตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องคุยในที่สุด ซึ่งเอาเข้าจริงผมก็แปลกใจไม่น้อย แต่ด้วยความที่ไม่อยากจะทะเลาะกับมันก็เลยเออๆ ออๆ เลิกทะเลาะกันไปเสียเฉยๆ แบบนั้น

งี้แหละครับมิตรภาพลูกผู้ชาย ทะเลาะกันแปปๆ ถ้าไม่ใช่เรื่องจริงจังอะไรเดี๋ยวก็ลืม มันเล็กน้อยเกินกว่าจะเก็บเอามาใส่ใจขนาดนั้น และผมก็คิดว่าผมกับมันสนิทกันมากพอที่จะไม่เอาเรื่องของเด็กไนล์นั่นมาเป็นประเด็นทะเลาะกันเล็กๆ น้อย

ซึ่งตอนหลังผมก็ได้รู้ว่าผมคิดผิดถนัด

“เออ จะทำอะไรก็เรื่องของมึงเถอะ วันนี้กูจะมาคุยเรื่องงาน”

ไอ้เทมส์ว่าก่อนจะกางแล็บท็อปแล้วคลิกนั่นคลิกนี่ให้ผมดูก่อนจะอธิบายอย่างเป็นการเป็นงานซึ่งผมเองก็ตั้งใจฟังเต็มที่

“บอร์ดบริหารของมึงกับของกูเขาประชุมร่วมแล้วผุดโปรเจ็คใหม่ขึ้น เพราะทางบริษัทกูได้ที่ดินมาใหม่ผืนนึง ซึ่งเป็นที่ดินที่มีรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดินกำลังจะสร้างตัดผ่าน ทางบอร์ดกูเขาก็มองว่าถ้าเราสามารถเปิดเป็นโครงการมิกซ์ยูสได้น่าจะทำกำไรได้ไม่น้อย เพราะทำเลตรงนั้นแม่งโคตรดี”

ไอ้เทมส์ว่าในขณะที่ผมก็คิดตามอย่างเห็นด้วย เพราะตอนนี้มิกซ์ยูสยังไม่ค่อยแพร่หลายในไทยเท่าไหร่ จากที่เห็นก็ดูเหมือนจะมีอยู่แห่งเดียวแถวๆ สามย่าน ถ้าสามารถเปิดโครงการได้ตรงที่ไอ้เทมส์ว่า น่าจะได้รับความสนใจไม่น้อย

“และจากที่คุยกันทางบอร์ดกูก็ไม่ค่อยอยากร่วมลงทุนกับต่างชาติเท่าไหร่ อยากให้เป็นโครงการของประเทศเราเพียวๆ เลยมากกว่า คิดไปคิดมาคุยไปคุยมา จนทางบอร์ดของบริษัทแม่มึงเขารู้ข่าวก็เลยเข้ามาคุย พอดีลเรื่องเงื่อนไขอะไรต่างๆ ได้ลงตัวก็เลยเปิดโปรเจ็คนี้ขึ้น โดยที่บอร์ดของทั้งสองบริษัทเสนอชื่อมึงกับกูให้ดูแลร่วม เพราะคิดว่าน่าจะทำออกมาได้ดีทั้งในฐานะเพื่อนสนิท และในฐานะพาร์ทเนอร์ที่ต้องร่วมงานกัน”

“แล้วมึงอะคิดยังไง เพราะเอาเข้าจริงกูก็ยังไม่เคยจับงานอะไรของบริษัทเป็นจริงเป็นจังเลยนะ พูดตรงๆ กูคิดว่าถ้าไม่ใช่เพราะกูคือ คีริน อคิระไพบูลย์ ใครหน้าไหนจะกล้าให้กูจับโปรเจ็คใหญ่ขนาดนี้วะไอ้เทมส์”

ผมบ่น ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจที่ได้รับความไว้วางใจจากคนอื่น แต่ที่ผมไม่โอเคก็คือพวกเขายังไม่เคยได้รู้ได้เห็นเลยว่าผมเป็นคนยังไง ทำงานดีหรือแย่แค่ไหน ทำไมถึงกล้าจับงานใหญ่ขนาดนี้มายัดใส่ในมือเด็กเมื่อวานซืนอย่างผม

นี่มันบริษัทที่พ่อกับแม่ผมสร้างมากับมือเชียวนะ

ไอ้เทมส์ขำเบาๆ พอเห็นผมหัวเสียขนาดนั้น มันตบบ่าผม ก่อนที่จะอธิบายให้ฟังด้วยน้ำเสียงราบเรื่อย ไม่ได้มีวี่แววว่าจะกดดันอะไร

“แล้วแต่มึงนะภู กูไม่บังคับ มึงอยากทำมึงก็ทำ ไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ แต่ถ้ามึงไม่อยากทำเพราะเหตุผลงี่เง่าที่มึงว่ามาเมื่อกี้กูขอให้มึงคิดใหม่นะ” มันมองหน้าผมนิ่ง ก่อนจะพูดต่อ “มึงคิดว่าบอร์ดทั้งหลายเขาไม่มีความคิดหรอวะ มึงคิดว่าเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมึงเลยงี้หรอ คิดว่าจู่ๆ ก็ยัดงานมาให้มึงโดยไม่ได้สนลมฟ้าลมฝนเลยงี้ใช่ป้ะ? ถ้ามึงคิดนั้น มึงก็คิดผิดนะกูบอกแค่นี้"

“คิดผิดยังไงวะ?”

“ผลงานของมึงตอนอยู่อเมริกาน่ะ ทางนี้เขารับรู้กันหมดแหละ ต่อให้มึงจะทำตัวต่ำต้อยติดดินแค่ไหน แต่มึงก็ยังเป็นลูกชายของคุณครินยา อคิระไพบูลย์ มึงคิดว่าแม่มึงเขาจะไม่พรีเซ้นต์ความสามารถของทายาทคนถัดไปให้บอร์ดรู้เลยหรอ .. ไร้สาระน่าไอ้ภู เรื่องของการทำธุรกิจมึงย่อมรู้ดี”

ผมถอนหายใจเมื่อได้คิดตามถึงสิ่งที่ไอ้เทมส์พูด เพราะมันก็ไม่แปลกถ้าแม่ผมจะอวยผมให้บอร์ดคนอื่นๆ รู้เพราะตอนอยู่อเมริกาผมก็ถือเป็นคนมีความสามารถคนหนึ่งของวงการออกแบบ ผลงานของผมเป็นเอกลักษณ์และไม่น้อยหน้าใคร เลยมักจะถูกพูดถึงบ่อยๆ ดังนั้นก็คงไม่แปลกเลย ถ้าพวกบอร์ดบริหารจะตัดสินใจเลือกผมจากผลงานที่ผ่านมา

“เออๆ เอาๆ มาหากูถึงคอนโดขนาดนี้ ไม่บังคับก็เหมือนบังคับแล้วป่าววะ”

ไอ้เทมส์ขำตอนผมพูดใส่มันหน้ายุ่ง “จะไม่ทำก็ได้นะ แต่ถ้ากูโกงบริษัทมึง มึงจะมาว่ากันทีหลังไม่ได้นะเว้ย”

“สันดานจริงๆ มึงเนี่ย” ผมชี้หน้าคาดโทษ แต่มันก็ขำไม่เลิก “แล้วสรุปจะเริ่มโครงการเมื่อไหร่”

“ก็น่าจะอาทิตย์หน้า ซึ่งถ้ามึงยังไม่เข้าบริษัท...”

ก๊อก ก๊อก

ไอ้เทมส์ยังพูดไม่ทันจบ เสียงเคาะตรงประตูห้องนั่งเล่นก็ดังขึ้น เป็นป้ามลที่น่าจะมาตามผมไปทำอะไรสักอย่าง คงไม่พ้นเรื่องกินข้าว เพราะผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าท้องฟ้าข้างนอกมืดแล้ว

“ทานข้าวค่ะคุณภู คุณเทมส์ คุณไนล์ทำอาหารเย็นเสร็จแล้ว”

ผมยักหน้ารับ “ขอบคุณครับป้า” ก่อนจะไล่ให้ไอ้ภูไปก่อน “กูเข้าไปล้างหน้าแปป มึงไปรอที่โต๊ะอาหารหน้าห้องครัวเลยก็ได้”

ไอ้เทมส์ไม่รอให้ผมพูดจบด้วยซ้ำ มันเดินตัวปลิวออกจากห้องไปด้วยสีหน้าระรื่น ทำเอาผมรู้สึกคันยุบยิบในหัวใจอีกรอบ ก่อนจะรีบผละเข้าห้องน้ำไปทำธุระส่วนตัว เพราะไม่อยากให้ไอ้เทมส์อยู่กับไนล์ตามลำพังนานเกินไป

.

.

.

“แกงส้มของไนล์น่ะหอมที่สุด พี่ชอบ”

เสียงพูดกระซิบกระซาบเคล้าเสียงหัวเราะดังแว่วๆ มาจากห้องครัว ให้ผมต้องค่อยๆ ย่องเข้าไปแบบไม่ให้มีเสียงเพราะอยากรู้ว่าเด็กที่บ้านกับเพื่อนสนิทคุยอะไรกัน

“พี่เทมส์ก็พูดไปเรื่อยเปื่อย ชอบแกล้งไนล์ตลอด”

พี่เทมส์... ไนล์... สรรพนามนี้มันใช่หรอวะ? ไม่ใช่ว่าไนล์ใช้กับผมคนเดียวหรอ? ก่อนหน้ายังคุณเทมส์กับผมอยู่เลยนี่

ผมระบายลมหายใจออกมาอย่างหุดหงิด นึกรู้ว่าสองคนนี้สนิทกันกว่าที่ผมเห็น โดยเฉาะสายตาอบอุ่นที่มองกัน ไหนจะรอยยิ้มเอ็นดูของไอ้เทมส์อีก และที่ร้ายที่สุดก็คือไนล์ยอมให้มันลูบหัวเล่นพร้อมกับส่งยิ้มกว้างให้...

ไม่ใช่มีแค่ผมคนเดียวหรอวะ? ที่ได้รอยยิ้มนั่น ได้ลูบหัวลูบแก้มโดยที่เด็กไนล์ทำได้แต่เขินกับพยายามไม่ให้ผมแตะต้องน่ะ

นี่มันอะไรทำไมกับไอ้เทมส์ถึงได้ไม่มีท่าทีเขินอายอะไรสักนิด มันเหมือนเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นบ่อยๆ จนคนทั้งคู่เคยชินงั้นล่ะ

ผมจ้องเขม็งด้วยความไม่พอใจ โกรธทั้งไนล์ โมโหทั้งเพื่อนตัวเอง นี่สนิทกันถึงขั้นไหนแล้ววะ หรือจะเป็นเพราะไอ้เทมส์กำลังโดนไนล์ปั่นหัวเล่น?

ผมตัดสินใจเดินเข้าไปแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง แต่ไนล์ก็ตาดีมองเห็นผมก่อนที่ผมจะถึงตัวเสียอีก มือของไอ้เทมส์ที่เคยวางอยู่บนหัวไนล์ก่อนหน้าก็ถูกลดลงมาข้างตัวด้วยใบหน้าเรียบเฉย เหมือนมันไม่ได้สะทกสะท้านสักนิดที่เห็นว่าผมเข้ามา ในขณะที่ไนล์เลิกลั่กไปหมด ทำตัวมีพิรุธสุดๆ

“พี่ภูมาแล้วเหรอครับ?” เด็กไนล์ถามเสียงค่อย กุลีกุจอเดินไปตักข้าวใส่จานให้ผมโดยที่ไม่ต้องมีใครบอก

“ก็เห็นอยู่ว่ามาแล้ว จะถามทำไม? หรือว่ามัวแต่สนใจอ่อยผู้ชายอยู่เลยไม่ได้คิดจะดูแลหรือใส่ใจอย่างที่ปากเคยพูด”

ไนล์ก้มหน้างุดตอนถูกผมต่อว่า ในขณะที่ไอ้เทมส์มองผมนิ่งสลับกับมองไนล์ด้วยแววตาที่ต่างออกไป แววตาในแบบที่ผมไม่ชอบให้มันใช้มองเด็กในปกครองของผม

ไอ้เทมส์ไม่ได้พูดอะไร แต่มันเลือกที่จะเลื่อนเก้าอี้แล้วนั่งลงเงียบๆ ปล่อยให้ผมเป็นหมาบ้าอาละวาดอยู่คนเดียว และทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าตัวเองเป็นหมาบ้าแต่ผมก็ยังคงหยุดไม่ได้ รู้สึกควบคุมตัวเองไม่ได้ยังไงไม่รู้ เลยพาลใส่ไนล์อีกรอบ

“ไปกินในครัวกับป้ามลไป อย่าปล่อยให้ป้าเขากินข้าวคนเดียว” ผมไล่เด็กตรงหน้าเมื่อเห็นว่าไนล์ตักข้าวและเอามาวางให้ผมเรียบร้อยแล้ว

“ครับพี่ภู เดี๋ยวไนล์ไป แต่ขอตักข้าวให้...”

“ไม่ต้อง” ผมพูดสวนก่อนที่ไนล์จะพูดจบเสียอีก “ไอ้เทมส์มันตักเองได้ ไปได้แล้ว ฉันบอกนายแล้วไงว่าเห็นหน้านายแล้วหงุดหงิด อยากให้กินข้าวไม่ลงหรือไง”

ผมลอบสังเกตใบหน้าไอ้เทมส์ที่ตอนนี้ดูไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด แต่มันก็เลือกจะนิ่ง เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมา มันเอาแต่มองไนล์อย่างเป็นห่วงเป็นใยและนั่นยิ่งทำให้ผมหงุดหงิด

ผมหันไปมองไอ้เทมส์อีกรอบหลังจากที่ไนล์เดินเข้าไปในครัวแล้ว มันเองก็มองผมตอบเราสองคนต่างไม่พอใจกันข้อนี้ผมรู้ดี แต่เราสองคนก็เลือกที่จะไม่ทะเลาะกันออกมาตรงๆ เพราะเราเป็นเพื่อนสนิทที่นิสัยเหมือนกันมากเกินไป

เราเงียบกันอยู่อย่างนั้น จนไอ้เทมส์ตักข้าวขึ้นกินพร้อมกับเลือกที่จะชิมแกงส้มเป็นอย่างแรก และประโยคต่อมาของมันที่พูดขึ้นมาคล้ายจะลองใจก็ทำให้ผมตัดสินใจได้

“แกงส้มอร่อยดีว่ะ สงสัยกูต้องมาหามึงที่คอนโดบ่อยๆ ละไอ้ภู รสมือไนล์นี่เด็ดขาดจริงๆ” มันยิ้มกวนตีนให้ผม ก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงกวนประสาทกลั้วหัวเราะ “แต่ก็นะ ยังไงกูก็ต้องมาคุยเรื่องงานกับมึงที่นี่อยู่แล้วเพราะมึงยังไม่สะดวกเข้าบริษัท เข้าทางกู...”

“มึงไม่ต้องมา” ผมพูดเสียงเครียดแทรกเพื่อนสนิทโดยไม่รอให้มันพูดจบด้วยซ้ำ ความหงุดหงิดในใจตีรวนจนผมยั้งตัวเองไม่ได้ กระโจนลงหลุมที่เพื่อนขุดขึ้นอย่างโง่เง่า ซึ่งไอ้เทมส์เองก็โคตรกวนประสาท มันทำเป็นมองผมและเลิกคิ้วเป็นเชิงสงสัยว่าทำไมแบบกวนตีนๆ

“เพราะตั้งแต่วันจันทร์หน้าเป็นต้นไปกูจะเข้าไปช่วยงานแม่ที่บริษัท มีอะไรไปคุยกันที่นั่น ไม่ต้องสะเออะมาคอนโดกูโดยไม่จำเป็น”

“อ้อ ได้สิ... หึๆ” ผมได้ยินไอ้เทมส์รับคำด้วยน้ำเสียงกวนประสาท แถมเสียงหัวเราะนั่นยังยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าผมมันโง่แค่ไหนที่ตกหลุมพรางของเพื่อนตัวเอง

เออ! ผมยอมรับก็ได้ว่าไม่อยากให้ไอ้เทมส์เจอไนล์ ก็บอกแล้วไงว่าผมจะไม่ยอมให้เพื่อนสนิทตัวเองถูกเด็กนั่นอ่อยและปั่นประสาทให้หลงจนโงหัวไม่ขึ้น ยังไงผมก็ไม่มีวันยอมเด็ดขาด และก็เป็นผมเองนี่แหละจะเป็นคนเข้าแทรกและจับสองคนนั้นแยกออกจากกันเอง

ก็แค่ต้องเข้าไปช่วยงานแม่ที่บริษัทเร็วขึ้นกว่ากำหนดเดิมนิดหน่อย แค่นั้นจะเป็นอะไร มันไม่ได้ยุ่งยากหรือคอขาดบาดตายสักนิด

.

.

.

To Be Continue

----------------------------------------------------------------------

นังพี่ภู... หลอกตัวเองสนุกมั้ยนั่น พี่เทมส์บอก กูมองมาจากดาวอังคารยังรู้เลย ทำไมมึงโง่ 5555555555555

ฝากติดแท็ก #พี่ภูของผม ในทวิตด้วยนะคะ ขอโทษที่เมื่อวานไม่ได้ลงให้ พอดีวันนี้ต้องเข้าออฟฟิศมาเคลียร์งานเลยมีอะไรต้องทำนิดหน่อยยย ยังไงถ้าไม่ติดอะไร อาทิตย์หน้าอาจจะลงให้วันจันทร์เหมือนเดิมนะคะ ^^

ยังไงฝากคอมเม้นท์ติ-ชมได้เหมือนเดิมเน้อ เรารออ่านคอมเมนท์ของทุกคนเสมอ แรงใจที่ดีที่สุดในโลกสำหรับเราาา แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ขอบคุณทุกคลิก ทุกไลค์ ทุกคอมเม้นท์ ทุกยอดวิว อยู่แบบนี้ไปด้วยกันนานๆ เลยนะคะ

แล้วเจอกันใหม่อาทิตย์หน้าา ขอบคุณค้าบบบ ... รักฉะเหมอ <3

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
หวงน้องก็บอกมาเหอะ อีพี่ภู

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
รีบจำให้ได้เถอะพี่ถู

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
เออแผนนี้ดี ใช้ได้ๆ ไปทำงานนะไอ้พี่ภูคนซึน จะได้ไม่มานั่งว่างหงุดหงิดงุ่นง่านใส่คนอื่นบ่อยๆ  5555555 เลิกสับสนตีกันกับความรู้สึกตัวเองเมื่อไหร่ เราคงฟินอะนะ (ฮา) สู้ต่อไปไนล์ จะดีขึ้นละ นิดดดดดดดดดดดดดนึง หรอ? 555 สนุกค่ารอตอนต่อไปเลย ขอบคุณนะคะที่มาต่อให้ได้อ่านยาวๆเลย   :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
Universe 14th - หวง


“นั่งยิ้มอยู่ได้ ไม่มีอะไรทำรึไง?”

พี่ภูเหลือบมองผมที่ยังคงจ้องหน้าเขาทั้งที่มีรอยยิ้มติดอยู่ที่ริมฝีปาก หลังจากที่ได้รับข่าวดีจากเจ้าตัวว่า เขาจะเริ่มเข้าไปทำงานที่บริษัทวันจันทร์หน้า

หลังจากที่พี่เทมส์มาหาเมื่อวันนั้น พี่ภูโทรก็ไปบอกกับคุณแม่ด้วยตัวเองว่าพร้อมจะเข้าไปช่วยงานแล้ว แต่เห็นว่ายังไม่อยากให้เปิดตัวหรืออะไร เพราะตั้งใจจะทำโปรเจ็คร่วมกับบริษัทพี่เทมส์ให้สำเร็จก่อน เพื่อที่อย่างน้อยจะได้มีผลงานให้บอร์ดบริหารท่านอื่นๆ เห็น จะได้ไม่มีใครว่าได้ว่าพี่ภูเข้าไปทำงานเพราะมีอำนาจของคุณแม่เป็นคนผลักดัน

ซึ่งทางคุณแม่เองก็ยินดีจะตามใจพี่ภูเต็มที่ ขอแค่เพียงพี่ภูยอมเข้าไปช่วยงานที่บริษัท เท่านั้นท่านก็พอใจแล้ว

เอาเข้าจริงคุณแม่เองก็แอบมากระซิบถามผมอยู่เหมือนกันว่าทำไมพี่ภูถึงเปลี่ยนใจ แต่ผมเองก็หาคำตอบให้ท่านไม่ได้ เพราะก็เพิ่งจะมารู้จากคุณแม่นี่แหละว่าพี่ภูยอมเข้าไปช่วยงานแล้ว แต่ถ้าให้เดาก็คงเพราะพี่เทมส์ช่วยพูดมั้ง เพราะเย็นวันนั้นหลังจากพี่เทมส์กลับไป ก็ดูเหมือนพี่ภูจะโทรเข้าไปแจ้งเรื่องที่จะเข้าไปเริ่มงานอาทิตย์หน้าให้คุณแม่ทราบทันที

แต่ก็ช่างเถอะ... ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรที่ทำให้พี่ภูยอมเข้าไปช่วยงานที่บริษัทผมก็ไม่สนหรอก ที่ผมสนก็คืออย่างน้อยตอนนี้พี่ภูเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นแล้ว นั่นทำให้ผมพอยิ้มออกได้บ้าง เพราะเวลาที่ผมเหลือที่จะอยู่กับพี่ภูไม่ได้มีมากเท่าในตอนแรกแล้ว .. จะว่าไปตอนนี้ก็ผ่านไปหนึ่งเดือนเต็มพอดี และมันก็น่ายินดีที่อย่างน้อยเรื่องที่ผมตั้งใจอยากจะให้เกิดก็เป็นจริงขึ้นมาแล้ว ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม

“มีครับ ไนล์กำลังจะไปรีดเสื้อให้พี่ภู วันเริ่มงานวันแรกพี่ภูจะใส่เชิ้ตสีอะไรดีครับ ไนล์จะได้ไปจัดการให้”

ผมถามพี่ภูด้วยรอยยิ้มกว้างจนตาปิด ในขณะที่พี่ภูเองตอนหันมาเห็นผมเขาก็ชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะกระแอมกระไอแล้วหันไปทางอื่น

... เอ พี่ภูจะไม่สบายหรือเปล่านะ เห็นท่าทางแปลกๆ ตั้งแต่เช้าแล้ว

“จะรีดตัวไหนก็รีด หรือเอาที่ป้ามลรีดไว้ในตู้มาใส่ก่อนก็ได้ เชิ้ตมันมีอยู่ไม่กี่ตัวหรอกที่ดูเรียบร้อย เดี๋ยวค่อยไปซื้อเชิ้ตสีอ่อนๆ มาเพิ่ม”

“ครับ”

ผมรีบเดินเข้าไปในห้องแต่งตัวของพี่ภูด้วยท่าทางร่าเริง ผมยิ้มจนปวดแก้มไปหมด ดีใจที่อย่างน้อยๆ พี่ภูก็ยอมลงให้คุณแม่แล้วหนึ่งเรื่อง

“วันนี้ไม่ต้องทำกับข้าวนะ กลางวันจะออกไปหาอะไรกินข้างนอก”

ผมที่กำลังง่วนอยู่กับการค้นหาเสื้อเชิ้ตที่ดูเหมาะกับการเข้าไปทำงานในวันแรกของพี่ภูต้องหันไปรับคำคนที่เดินเข้ามาเบียดอยู่กับผมในห้องแคบๆ แบบงงๆ

“อ่า.. ได้ครับ”

“ได้ครับอะไร?” ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจในคำถามของพี่ภูสักนิด

“ได้ครับก็คือไม่ทำกับข้าวครับ ตามที่พี่ภูสั่ง”

“แล้วจะอยากกินอะไรล่ะ? หมายถึงกลางวันนี้น่ะ”

พี่ภูยังคงถามในสิ่งที่ผมไม่เข้าใจ ก็เขาบอกผมว่าจะไปกินข้าวนอกบ้าน ไม่ให้ผมทำกับข้าว แล้วจู่ๆ มาถามผมทำไมว่ากินอะไร เหมือนอย่างกับจะชวนผมไปกินด้วยงั้นแหละ

แต่.. เดี๋ยวนะ

“คือ... พี่ภูหมายถึงว่าจะให้ไนล์ออกไปกินข้าวข้างนอกกับพี่ภูด้วยเหรอครับ”

ผมถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นที่แทบจะเก็บไว้ไม่อยู่ นาทีนี้ต่อให้ถูกพี่ภูดุว่าดี๊ด๊าเกินหน้าเกินตาผมก็ไม่สนแล้วล่ะ ผมดีใจจะตายที่พี่ภูตั้งแง่กับผมน้อยลง

ช่วงเวลานี้ช่างเป็นเวลาที่ดีสำหรับผมจริงๆ

“ก็ใช่น่ะสิ ถามก็ให้ตอบ ไม่ใช่มาถามกลับ” พี่ภูทำเสียงดุ แต่ใบหน้าและแววตาเขาไม่ได้ดุขนาดนั้น ถ้าผมไม่เข้าข้างตัวเองเกินไป ผมคิดว่าพี่ภูติดจะเอ็นดูผมมากกว่าด้วยซ้ำ “ก็พูดอยู่เมื่อกี้ว่าจะออกไปซื้อเสื้อเชิ้ต อายุก็น้อยทำไมความจำไม่ดี"

ผมฉีกยิ้มกว้างเพราะรู้สึกมีความสุขมากๆ เพราะผมไม่ได้คาดหวังเลยสักนิดว่าพี่ภูจะชวนผมออกไปซื้อของด้วย ผมคิดว่าพี่ภูก็ออกไปนั่นนี่ตามประสาพี่ภู แล้วให้ผมอยู่เฝ้าคอนโดเหมือนเคย แต่วันนี้กลับต่างออกไป เพราะนอกจากจะได้กินข้าวนอกบ้านกับพี่ภูแล้ว ผมยังได้ไปช่วยพี่ภูเลือกซื้อของอีก ... เป็นวันที่ดีที่สุดในโลกชะมัด

สำหรับคนอื่นเหตุการณ์ดาษๆ ธรรมดาแบบนี้ อาจจะดูทั่วไปจนไม่เห็นว่าจะมีอะไรน่าดีใจหรือน่าจดจำ แต่สำหรับผม ผู้ที่รอคอยคนที่ผมรักมานานนับสิบปี ผู้ที่ฝันถึงภาพเหตุการณ์ในร้านไอศครีมที่เรานั่งคุยกันมาเป็นร้อยๆ พันๆ ครั้งนั้น

การที่ได้ออกไปนั่งกินข้าวนอกบ้านกับพี่ภู มันเป็นอะไรที่ใกล้เคียงกับความทรงจำในอดีตของผมมากที่สุดแล้ว ดังนั้นมันจึงเลยไม่น่าแปลกใจสักนิดที่ผมจะดีใจออกนอกหน้านอกตาขนาดนี้

“ไนล์จำได้ครับ แต่แค่ไม่คิดว่าพี่ภูจะชวนไนล์ออกไปด้วย”

ผมตอบคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงมีความสุขมากๆ ไม่ว่าพี่ภูจะชวนผมไปเพราะเขาไม่มีเพื่อนไปด้วย หรือชวนผมไปเพราะจะให้ผมไปถือของให้ผมก็ไม่สนหรอก ขอแค่เขาอนุญาตให้ผมไปด้วย ไม่ว่าจะในฐานะไหน ผมก็ดีใจทั้งนั้น แต่ยังไม่ทันจะได้คุยอะไรต่อโทรศัพท์ของพี่ภูก็ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน


Rrrr


พี่ภูมองหน้าจอมือถือสลับกับเหลือบมองผมเล็กน้อย ก่อนที่จะทำสัญลักษณ์ด้วยมือว่าเขาจะออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกห้องแต่งตัว

“ว่าไงครับ แพ็ตตี้”

มือที่กำลังจะเลือกเสื้อของผมชะงักกึก เพราะแม้พี่ภูจะเดินออกไปนอกห้องแต่งตัวแล้ว มันก็ยังไม่พ้นรัศมีการได้ยินของผมอยู่ดี

“อ๋อ เอาสิ ผมจะออกไปธุระข้างนอกพอดี เดี๋ยวแพ็ตตี้ไปเจอผมที่ห้าง T แล้วกันนะ”

ผมได้ยินพี่ภูเงียบไปครู่หนึ่ง พร้อมๆ กับใจผมที่ฟีบลงเหมือนถูกเป่าลมออก ... พี่ภูมีเพื่อนไปข้างนอกด้วยแล้ว เดี๋ยวเขาคงเข้ามายกเลิกไม่ให้ผมออกไปด้วยแน่ๆ

“แต่ผมพาเด็กที่บ้านไปด้วยนะ.. อือ ไนล์นั่นแหละ .. เอ๊ะ ว่าแต่แพ็ตตี้รู้จักไนล์ได้ยังไง? แพ็ตตี้ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง เดี๋ยวแพ็ตตี้ ฮัลโหล ฮัลโหล...”

ผมได้ยินพี่ภูโวยวายแถมบ่นพึมพำอะไรไม่ได้ศัพท์หลังจากที่คุณแพ็ตตี้ตัดสายไป ซึ่งผมเองก็ไม่ได้มีสมาธิจะฟังหรืออะไรเท่าไหร่หรอก แต่กำลังหุบยิ้มไม่ได้หลังจากได้ยินพี่ภูบอกคุณแพ็ตตี้ว่าจะพาผมไปด้วย ผมดีใจมาก คิดว่าจะถูกพี่ภูเทไม่พาไปด้วย เพราะมีไปเป็นเพื่อนแล้ว

“ไนล์ ไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ เพราะเดี๋ยวต้องไปเจอเพื่อนฉันอีกคน”

“คุณแพ็ตตี้หรอครับพี่ภู?”

พี่ภูขมวดคิ้วมุ่นพร้อมกับจ้องหน้าผมเขม็งหลังจากผมถามคำถามนั้นจบ ทำเอาผมหน้าเสียเพราะเพิ่งรู้ตัวว่าล้ำเส้นพี่ภูมากจนเกินไป

ผมไม่ได้อยู่ในฐานที่จะละลาบละล้วงถามอะไรได้ขนาดนั้น อาจจะเป็นเพราะลืมตัวที่คุณแพ็ตตี้เคยให้ความสนิทสนมและเห็นว่าเธอใจดีเลยพลั้งปากถามออกไป ผมลืมคิดไปว่าพี่ภูอาจจะไม่ได้คิดแบบคุณแพ็ตตี้ พี่ภูอาจจะกำลังคิดว่าผมพยายามตีสนิทผู้หญิงที่อาจจะขยับความสัมพันธ์กับเขาในอนาคตก็เป็นได้

“นายรู้จักแพ็ตตี้ได้ยังไง ไปเคยได้คุยกันตอนไหน” พี่ภูถามเสียงเข้ม แถมแววตายังดูคาดคั้นไม่ให้ผมโกหกด้วย “เมื่อกี้ก็ทีนึงละ แพ็ตตี้พูดเหมือนสนิทสนมกับนาย ไปรู้จักกันตอนไหนห๊ะ?”

พี่ภูสืบเท้าเข้ามาใกล้ให้ผมต้องถอยหลังหนี แล้วห้องแต่งตัวมันก็แคบแค่นี้ ถอยไปไม่กี่ก้าวหลังผมก็ชนกับกำแพงแล้ว และที่ร้ายไปกว่านั้นพี่ภูยังตามมากางแขนกักตัวผมไว้ไม่ให้หนีอีก

“กะ ก็.. ก็ตอนนั้นไงครับ” ผมรีบละล่ำละลักตอบเพราะไม่อยากอยู่ในท่าล่อแหลมแบบนี้นานๆ หัวใจผมเต้นแรงจนเจ็บไปหมดเลย “ตอนที่พี่ภูเมากลับมา คุณแพ็ตตี้เธอพามาส่ง ไนล์ก็เลยมีโอกาสได้คุยตอนนั้น”

ผมพูดรวดเดียวจบ พี่ภูหรี่ตามองนิดหน่อย พอเห็นว่าแววนัยตากลมของผมไม่หลบสายตาคมปราบของเขาสักนิด พี่ภูก็ลดมือที่กางกักตัวผมไว้ลง ให้ผมขยับหนีเขาได้เนียนๆ

“อย่าให้รู้นะว่าไปหลอกล่ออะไรแพ็ตตี้”

พี่ภูคาดโทษ ทำเอาผมต้องก้มหน้างุดเม้มปากแน่น นึกน้อยใจเพราะไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ภูไม่มองผมในแง่ดีเลยสักนิด ขนาดคุณแพ็ตตี้ยังไม่คิดกับผมแบบนี้เลย

“ครับ ไนล์ไม่กล้าหรอกครับ”

ผมอ้อมแอ้มตอบ น้อยใจจนน้ำตาพาลจะไหล ผมไม่ได้อิจฉาหรือโกรธเคืองอะไรคุณแพ็ตตี้ เพราะเธอเป็นผู้หญิงที่ดีและน่ารัก และถึงแม้ตอนนี้สองคนเป็นแค่เพื่อนกัน แต่ถ้าในอนาคตเธอกับพี่ภูจะคบกันผมก็เชื่อได้ว่าคุณแพ็ตตี้จะทำให้พี่ภูมีความสุข แต่ที่ผมจะร้องไห้ เพราะผมน้อยใจที่พี่ภูที่ทำท่าเหมือนจะใจดีกับผมเมื่อกี้กลับกลายไปเป็นแบบเดิมอีก แสดงว่าระหว่างเรายังไม่ได้มีอะไรดีขึ้นจริงๆ จังๆ เลยสักนิด

“ดี!” พี่ภูผละออก ก่อนจะงึมงำอะไรสักอย่างที่ผมไม่ได้ยิน เพราะเขาเดินออกไปก่อน “แค่ไอ้เทมส์คนเดียวก็ปวดประสาทเกินพอ”

พี่ภูเดินออกไปแล้วทิ้งให้ผมยืนเงียบๆ อย่างไม่เข้าใจ แล้วแบบนี้จะชวนผมไปด้วยทำไมกัน

.

.

.

เรามาถึงห้าง T แถวๆ คอนโดในช่วงสายของวัน และหลังจากยืนรออยู่ไม่นานคุณแพ็ตตี้ก็มาถึง เธอร้องเรียกผมเสียดังลั่น ก่อนจะโถมเข้ากอด และประกบมือทั้งสองข้างบี้แก้มผมเล่นอย่างลืมตัว

“คุณไนล์ แพ็ตคิดถึง!”

ผมยืนตัวแข็งทื่อตาโต ใขณะที่พี่ภูที่ยืนอยู่ข้างมองผมกับคุณแพ็ตตาขวางไม่หยุด และในขณะที่ผมทำไม่ถูกนั้น จู่ๆ พี่ภูก็ดึงแขนผมเข้าหาตัว ให้ผมหลุดจากการเกาะกุมของคุณแพ็ต

“อ๊ะ!” ผมเผลอร้องออกมาเบาๆ เพราะทั้งเจ็บทั้งตกใจ แต่ก็ไม่กล้าโวยวายอะไรมากเพราะพี่ภูในตอนนี้ดูกลับมาหงุดหงิดอีกแล้ว

“อะไรกันครับแพ็ต ไม่คิดจะทักผมก่อนหน่อยหรอ?”

คุณแพ็ตหันมองพี่ภูด้วยความแปลกใจ สลับกับมองมือพี่ภูที่จับต้นแขนผมไม่ยอมปล่อย ก่อนที่เธอจะยิ้มออกมาบางๆ แล้วถามคำถามที่ทำเอาผมตกใจจนตาโต

“อันนี้อิจฉาหรือหึงคะ?” ผมมองหน้าคุณแพ็ตที พี่ภูที จะถอยหนีก็ไม่ได้เพราะพี่ภูจับต้นแขนอยู่ ผมรู้สึกผิดที่ผิดทางยังไงไม่รู้

ในขณะที่พี่ภูเองก็ชะงัก เขาปล่อยแขนผมอย่างรวดเร็ว ก่อนจะทำเนียนไม่ตอบคุณแพ็ตแต่เลี่ยงไปเรื่องอื่นแทน ทำเอาผมหน้าจ๋อย คิดในใจว่าไม่น่ามาเลย แทนที่จะให้พี่ภูได้อยู่ตามลำพังกับคุณแพ็ต เพราะถ้าไม่มีผมมาด้วยคุณแพ็ตก็คงไม่ถามคำถามนี้ออกมา ก็อย่างที่บอกกการที่ทั้งคู่เป็นเฟรนด์วิทเบเนฟิทกันไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีโอกาสพัฒาความสัมพันธ์สักหน่อย ยิ่งได้ยินมาถามกันแบบนี้ผมยิ่งคิดว่ามันยิ่งมีสิทธิ์เป็นไปได้สูงมาก แล้วนี่ถ้าทั้งคู่ทะเลาะกันเพราะผมขึ้นมาจะทำยังไง

“แพ็ตอยากทานอะไร ผมให้แพ็ตเลือก”

คุณแพ็ตยิ้มกว้างก่อนจะขยับมายืนข้างผม แล้วยกมือของตัวเองมาคล้องแขนผมไว้ และอาจจะด้วยเพราะผมตัวเตี้ย ส่วนคุณแพ็ตเองก็เป็นผู้หญิงที่สูงพอสมควร พอเรามายืนข้างกันมันเลยไม่ต้องมีใครฝืน เพราะตัวเท่ากันไปหมด

“แพ็ตให้คุณไนล์เลือกค่ะ คุณไนล์อยากทานอะไรคะ? เอาที่แบบทานได้เยอะๆ เลยนะ” เธอหัวเราะคิกคัก ก่อนจะยื่นนิ้วชี้มาจิ้มแก้มผมอย่างชอบใจ “แก้มจะได้ป่องๆ น่ารักๆ”

“คุณแพ็ต..” ผมครางเสียงอ่อย พยายามทำหน้าขอร้องให้เธอพอ เพราะผมเองก็ไม่อยากเสียมารยาทด้วยการดึงแขนตัวเองออกจากการเกาะกุมของคุณแพ็ต เพราะถึงยังไงเธอก็เป็นผู้หญิง แม้เราจะตัวเท่าๆ กันก็เถอะ “ปล่อยผมเถอะนะครับ พี่ภูมองตาขวางแล้ว”

ผมพูดกับคุณแพ็ตเสียงค่อย พยายามจะขอความเห็นใจ แต่เธอกลับยิ้มอย่างพออกพอใจ ก่อนจะตอบเสียงใสจนผมสะดุ้ง เพราะคิดว่าพี่ภูต้องได้ยินแน่ๆ

“ก็ปล่อยให้ภูมองไปสิคะ ในเมื่อเขาทำได้แค่มอง แต่ไม่คิดจะทำอะไรมากกว่านี้ก็ช่างเขา แพ็ตไม่สนใจหรอก” เธอว่า ก่อนจะกระชับแขนที่คล้องผมอยู่ในแน่นขึ้น “ไปกันเถอะค่ะ วันนี้แพ็ตจะเป็นเพื่อนเดทให้คุณไนล์เอง”

“คุณแพ็ต .. คุณแพ็ตผมว่าไม่ดีหรอกนะครับ โถ่... คุณแพ็ตครับ”

ผมได้แต่ครางเสียงอ่อนก่อนจะถูกคุณแพ็ตลากให้ออกเดิน ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าที่คุณแพ็ตพูดหมายความว่ายังไง เธออาจจะกำลังตัดพ้อพี่ภูก็ได้ เธออาจจะอยากให้พี่ภูสนใจเธอมากกว่านี้ เลยตั้งใจจะควงผมประชด แต่ก่อนที่จะได้เดินห่างจากพี่ภูไป ก็เป็นอีกครั้งที่แขนข้างที่ว่างของผมถูกพี่ภูดึงเอาไว้อย่างแรง และเที่ยวนี้ผมก็เผลอร้องออกมาดังลั่นเพราะไม่ทันได้ตั้งตัวว่าจะเจ็บขนาดนี้

“โอ๊ย!!” คุณแพ็ตหันขวับมองผมทันทีที่ห็นว่าผมร้อง พร้อมกับปล่อยแขนข้างที่คล้องผมอยู่อย่างอัตโนมัติ ทำให้พี่ภูดึงผมเข้าหาตัวได้โดยง่าย เธอจ้องพี่ภูตาเขม็ง ดูก็รู้ว่าไม่พอใจที่พี่ภูทำแบบนี้

ผมก้มหน้างุดด้วยความรู้สึกผิด เป็นเพราะผมเป็นต้นเหตุอีกแล้ว พี่ภูต้องไม่พอใจแน่ที่เห็นคุณแพ็ตลากผมไปต่อหน้า ทั้งที่ก่อนออกจากคอนโดพี่ภูก็กำชับมาแล้วว่าไม่ให้ผมไปวุ่นวายกับคุณแพ็ต แต่ผมกลับทำไม่ได้และโทษทัณฑ์ของการไปยุ่งกับผู้หญิงของพี่ภู เขาก็เลยดึงผมให้ออกจากคุณแพ็ต เพราะคงเห็นแล้วว่าคุณแพ็ตคงไม่หยุดลากผมไปทางนั้นทีทางนี้ทีแน่ๆ

ก็เข้าใจได้แหละ พี่ภูอาจจะอยากให้คุณแพ็ตให้ความสำคัญกับเขามากกว่าส่วนเกินที่พามาให้ช่วยถือของอย่างผม

“ภู ทำอะไรคะ? ไม่คิดหรือไงว่าคุณไนล์จะเจ็บ”

“เด็กนี่ไม่เจ็บหรอก” พี่ภูหันมาจ้องผมดุๆ เหมือนบังคับให้ผมตอบอย่างที่เขาอยากได้ยิน

“ครับ คุณแพ็ต ผมไม่เจ็บหรอก พี่ภูไม่ได้ดึงแรงหรืออะไรเลย”

“ไม่เจ็บได้ยังไงกันคะ ภูกระชากแรงขนาดนั้น” คุณแพ็ตหันมาพูดกับผมด้วยสีหน้าเป็นห่วง ก่อนจะหันไปดุพี่ภูอีกรอบ “ภู.. ภูทำแบบนี้ไม่ได้นะคะ”

“ทำไมล่ะ? ก็แพ็ตบอกผมเองไม่ใช่หรอว่าผมไม่คิดจะทำไร นี่ผมก็ทำแล้วไง แพ็ตไม่เห็นหรอ?”

“คีริน!”

“ครับ?”

พี่ภูตอบกลับคุณแพ็ตด้วยท่าทีสบายๆ แต่สายตานี่ฟาดฟันกันมากๆ ผมรู้สึกไม่ดีเลยที่ทำให้พี่ภูกับคุณแพ็ตทะเลาะกัน พี่ภูต้องหวงคุณแพ็ตมากจนไม่อยากให้ผมเข้าใกล้แน่ๆ แต่คุณแพ็ตเธอก็คงเอ็นดูผมตามประสา มันไม่มีอะไร แต่พี่ภูคงไม่ชอบใจจริงๆ

“คุณแพ็ตครับ พี่ภูครับ ให้ผมกลับก่อนก็ได้นะครับ คือว่า...”

“ไม่ต้อง!/ไม่ต้องค่ะ!”

ผมพยายามจะหาทางออกโดยการเสนอตัวกลับก่อนแต่คุณแพ็ตกับพี่ภูก็ดูเหมือนจะไม่ยอมอีก ผมได้แต่มุ่ยหน้าด้วยความจนใจ ไม่รู้จะทำยังไงให้ถูกใจทั้งสองคนสักที

“แพ็ตให้นายเลือกว่านายจะกินอะไร นายก็เลือกมา วุ่นวายอยู่ได้กับอีเรื่องแค่นี้เนี่ย” จู่ๆ พี่ภูก็พูดขึ้นหลังจากที่ผมทำหน้าเสียเพราะไม่รู้จะจัดการตัวเองยังไงกับสถานการณ์แบบนี้ “เลือกมาสักร้าน ทั้งฉันทั้งแพ็ตหิวกันแล้วเนี่ย เดี๋ยวต้องไปซื้อของต่ออีก”

ผมหันไปมองหน้าคุณแพ็ต พอเห็นเธอพยักหน้าพร้อมยิ้มให้เป็นการสนับสนุนคำพูดของพี่ภูผมก็รีบเลือก เพราะกลัวพี่ภูกับคุณแพ็ตจะหิวเพราะต้องมารอผมตัดสินใจ

“ทานก๋วยเตี๋ยวร้านนั้นได้ไหมครับ?” ผมชี้มือไปตรงร้านที่อยู่ไม่ไกล มันเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวน้ำตกที่ผมอยากกินมานานแล้ว แต่พี่เทมส์ไม่ค่อยชอบให้กิน เพราะกลัวว่ากระเพาะผมจะรับอะไรแบบนี้ไม่ได้

“ก๋วยเตี๋ยวน้ำตกนั่นหรอคะ? คุณไนล์อยากทานหรอ?” คุณแพ็ตถามด้วยสีหน้ายิ้มๆ “ไม่อยากทานอะไรที่หรูๆ ดีๆ แพงๆ กว่านี้หน่อยหรอคะ? อย่างอาหารญี่ปุ่นอะไรแบบนี้”

“คุณแพ็ตอยากทานอาหารญี่ปุ่นหรอครับ?” ผมรีบถามตาโต ลืมคิดไปว่าพี่ภูกับคุณแพ็ตออาจจะไม่ชอบทานอะไรแบบนี้

คุณแพ็ตยิ้ม พร้อมกับเหลือบมองพี่ภูนิดหน่อยก่อนจะตอบผมอย่างใจดี

“เปล่าค่ะ แพ็ตถามเฉยๆ เพราะปกติถ้าให้คู่ควง เอ๊ย ถ้าให้คนที่ภูพามาด้วยเลือกทาน เขาก็ทานอะไรที่หรูๆ แพงๆ ตลอด ไม่เห็นมีคนไหนเลือกทานก๋วยเตี๋ยวแบบคุณไนล์สักคน”

คุณแพ็ตว่าก่อนจะเหลือบมองพี่ภูอีกครั้ง ผมที่ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าคุณแพ็ตหมายความว่ายังไงก็ได้แต่มองคุณแพ็ตสลับกับพี่ภูงงๆ ก่อนที่คุณแพ็ตจะเอื้อมมือมาหยิกแก้มผมเบาๆ อย่างหมั่นเขี้ยว ซึ่งพี่ภูก็จับมือคุณแพ็ตออกจากแก้มผมทันทีอีกเหมือนกัน คุณแพ็ตก็เลยได้แต่ฮึดฮัดใส่พี่ภูไม่เลิก

“อ๋อ ผมเป็นแค่คนดูแลพี่ภู ทานแค่ก๋วยเตี๋ยวดีกว่าครับ.. อีกอย่าง ผมก็อยากทานก๋วยเตี๋ยวจริงๆ ด้วย แหะๆ”

คุณแพ็ตทำท่าจะพุ่งเข้าหาผมอีกรอบตอนที่ผมตอบเธอยิ้มๆ อายๆ ให้พี่ภูต้องลากผมออกเดิน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดุๆ

“จะกินก็ไปกิน มัวแต่คุยกันอยู่ได้”

ผมเดินตามแรงลากของพี่ภูไป เพราะเขาไม่ยอมปล่อยผมเลย น่าจะเป็นเพราะเขาคงกลัวว่าผมจะไปยุ่งวุ่นวายกับคุณแพ็ตอีก ในขณะที่คุณแพ็ตก็พยายามจะรีบเดินตามมาพร้อมกับเสียงบ่นพึมพำ แต่เดินเท่าไหร่คุณแพ็ตก็ตามผมกับพี่ภูไม่ทันสักที เพราะพี่ภูก้าวเท้ายาวมาก ในขณะที่ผมที่ถูกลากตามก็แทบจะวิ่งตามอยู่แล้ว และพอผมเดินช้าพี่ภูก็จะหันมาดุด้วยสายตาตลอด จนผมต้องซอยเท้ายิกๆ เพื่อให้ทันกับที่พี่ภูเดิน โดยมีเสียงคุณแพ็ตบ่นตามหลังมาไม่หยุด

เฮ้อ.. นี่ผมมาเดินห้าง หรือมาสงครามกันแน่เนี่ย ผิดที่ผิดทางจริงนทีธัชช์

.

.

.

(อ่านต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
(ต่อจากด้านบน)


“ถ้าไม่มีฉันอยู่ด้วย นายห้ามไปเจอกับแพ็ตเด็ดขาด”

ตอนนี้ผมกับพี่ภูแยกกับคุณแพ็ตแล้ว เรากำลังจะกลับบ้านหลังจากที่ทานก๋วยเตี๋ยวกันเสร็จและพี่ภูเองก็เข้าช็อปแบรนด์เสื้อผ้าเจ้าประจำที่พี่ภูชอบซื้อใส่บ่อยๆ แล้วเลือกซื้อเสื้อเชิ้ตสีพื้นๆ อ่อนๆ มาเกือบทุกแบบ จากนั้นก็แยกย้ายกับคุณแพ็ต โดยที่พี่ภูไม่ยอมให้ผมเข้าใกล้กับคุณแพ็ตอีกเลยหลังจากออกจากร้านอาหาร

ผมเข้าใจดีว่าพี่ภูคงไม่อยากให้คุณแพ็ตมายุ่งหรือคลุกคลีอะไรกับผมสักเท่าไหร่ อย่างวันนี้คุณแพ็ตกับพี่ภูก็ทะเลาะกันตลอด บางทีแค่คุณแพ็ตแค่จะแตะตัวตัวผม พี่ภูก็มองตาขวางแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจ ผมเองก็เลยต้องพยายามดึงๆ ตัวเองให้ออกห่างคุณแพ็ต เพื่อที่พี่ภูจะได้ไม่ต้องหงุดหงิดเพราะพาคนนอกอย่างผมมา ทำให้ตัวเขากับคุณแพ็ตเดทด้วยกันไม่สนุก

“ครับ ต่อไปไนล์จะไม่เจอคุณแพ็ตอีกครับ ถ้าพี่ภูไม่อนุญาต”

“นั่นแหละ ฉันไม่อนุญาต บอกไว้ตอนนี้เลย จะได้ไม่ต้องหาทางไปเจอกันลับหลังฉัน”

พี่ภูพูดพลางละสายตาจากถนนมาจ้องผมเขม็ง ให้ผมต้องหดตัวให้ลีบเล็กลงกว่าเดิมไปอีก เพราะไม่อยากถูกพี่ภูดุ

“ครับ ไนล์เข้าใจแล้วครับ”

“เข้าใจก็ดี” พี่ภูพูดต่อพลางขับรถไปเรื่อยๆ ก่อนจะหันมาสั่ง “แล้วเสื้อผ้านี่ เดี๋ยวโทรเรียกให้ป้ามลเข้ามาเอาซักแล้วก็รีดให้เรียบร้อยด้วยนะ เสื้อเชิ้ตฉันมีไม่กี่ตัว ใส่ได้สองสามวันก็หมดตู้แล้วมั้ง.. ไม่รู้ทำไมที่ไทยถึงเคร่งเรื่องการแต่งตัวนัก น่าเบื่อจริงๆ”

ประโยคหลังพี่ภูพึมพำกับตัวเองให้ผมต้องลอบอมยิ้ม นั่นเพราะทั้งตู้เสื้อผ้าของพี่ภูแทบจะมีแต่ชุดสบายๆ ไปรเวท แต่ที่จริงจะใช้ใส่ไปทำงานก็ได้ แต่มันก็ไม่ค่อยเป็นทางการเท่าไหร่นัก ซึ่งอาจจะดูไม่เหมาะหากว่าพี่ภูต้องเริ่มงานด้วยตำแหน่งที่สูงกว่าคนอื่นพอสมควรแบบนี้

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวกลับไปไนล์ซักให้พี่ภูเลยก็ได้ เผื่อพรุ่งนี้แห้งทัน ไนล์จะได้รีดให้”

ผมบอกพี่ภูทั้งที่ริมฝีปากยังติดรอยยิ้ม ในใจผมมีความสุขมากแค่คิดว่าจะได้ทำอะไรเพื่อพี่ภูแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ตามที

“ไม่เบื่อหรอ?”

“หือ? ครับ?” ผมหันไปเอียงคอมองพี่ภูด้วยความสงสัยเพราะไม่เข้าใจในคำถาม

“ฉันถามว่านายไม่เบื่อเหรอ? ต้องมานั่งทำนู่นทำนี่ให้ฉัน ดูแลฉัน ทั้งที่ฉันก็ใช่ว่าจะดีกับนายสักเท่าไหร่”

“ไม่เบื่อครับ” ผมส่ายหน้าตอบทั้งที่ยังคงยิ้ม “ไนล์เต็มใจ และไนล์ก็เข้าใจ เพราะบางครั้งไนล์ก็ทำตัวให้พี่ภูรำคาญจริงๆ พี่ภูจะดุไนล์บ้างก็ไม่แปลกหรอกครับ”

ผมตอบคำถามของพี่ภูในจังหวะที่พี่ภูเลี้ยวรถเข้ามาถึงคอนโดและจอดในที่ประจำพอดี เขาหันมาจ้องผมนิ่ง พร้อมกับโน้มใบหน้าลงมาแล้วประกบริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากผมแรงๆ เขาทั้งขบ ทั้งเม้ม และดูดกลีบปากล่างของผมย้ำๆ โดยที่ผมก็ทำได้แค่เบียดตัวเองเข้าหาเบาะรถจนแทบจะจม ไม่กล้าขยับตัว ไม่กล้าทำอะไรทั้งนั้น ทำได้แค่เบิกตาโพลง เพราะตกใจที่จู่ๆ พี่ภูก็มีท่าทีแบบนี้ใส่ผม

พี่ภูจูบผมจนหนำใจแล้วถอนริมฝีปากออก เขาจ้องหน้าผมอยู่ชั่วขณะหนึ่งก่อนจะก้มลงมาจูบแรงๆ เร็วๆ ลงบนปากผมอีกครั้ง ก่อนจะทิ้งประโยคอันชวนเข้าใจยากให้ผมสับสนมากขึ้นไปอีก

“ใช่ นายมันทำตัวน่ารำคาญ น่ารำคาญมากจริงๆ”

“....”

พี่ภูพูดแค่นั้นแล้วก็ก้าวลงจากรถไป ทิ้งให้ผมยังคงนั่งงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ไม่น้อย และพอเขาเห็นผมยังคงนั่งนิ่งไม่ยอมขยับตัว เขาก็เปิดประตูรถฝั่งตัวเองแล้วพูดเร่งผม

“ไม่ลงรึไง? หรืออยากถูกจูบอีก?”

แค่เท่านั้นผมก็สะดุ้งตาโต รีบก้าวพรวดพราดลงจากรถจนแทบจะสะดุดขาตัว ก่อนจะเดินลิ่วๆ ไม่ได้รอให้พี่ภูพูดหรือทำอย่างที่เขาขู่ได้อีก

ผมยอมรับตามตรงว่ารู้สึกดี แม้นี่จะไม่ใช่จูบครั้งแรกของเราสองคน แต่กลับเป็นจูบที่ทำให้ผมใจเต้นแรงกว่าทุกครั้ง อาจจะเป็นเพราะท่าทีของพี่ภูหลังจากที่เราจูบกัน

เขาไม่ได้ต่อว่า เขาไม่ได้หาว่าผมยั่วยวน และเขายอมรับด้วยตัวเองว่าเขาตั้งใจจูบผม แม้จะไม่ใช่การยอมรับตรงๆ ก็ตาม

และเพียงเขาทำแค่นี้หัวใจผมก็สั่นเป็นกลองรัว แล้วแบบนี้ผมจะหาวิธีหยุดรักเขาได้ยังไงกัน

.

.

.

Kirin’s Part


‘อย่าหวงคุณไนล์ไว้คนเดียวสิภู! ทำแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะ’


ผมอ่านข้อความที่แพ็ตตี้ส่งมาแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เธอส่งอะไรแบบนี้มาก่อกวนผมได้สองวันติดแล้ว เพราะหลังจากที่ผมกำชับไนล์ไปว่าห้ามติดต่อแพ็ตตี้โดยที่ผมไม่อนุญาต ไนล์ก็เป็นเด็กดีทำตามที่ผมสั่งอย่างดี และกลายเป็นแพ็ตตี้ที่หงุดหงิดเพราะโทรไปหาไนล์แล้วไนล์ไม่ยอมรับสาย

ก็ถูกแล้วนี่ที่ไนล์ทำแบบนั้น เพราะเด็กนั่นเป็นสมบัติของผม จะมาให้แพ็ตตี้หยิกแก้มเล่น กอดแขนเล่น หรือทำหวานๆ ใส่เล่นตามใจชอบได้ยังไง

แล้วก็ปล่อยให้ไนล์เข้าใจไปแบบนั้นแหละว่าผมหวงแพ็ตตี้ไม่อยากให้ไนล์เข้าใกล้ แม้ว่าความจริงสถานะมันจะสลับๆ กันอยู่ก็ตาม

อย่างที่เคยบอกไปว่าความสัมพันธ์ของผมกับแพ็ตตี้มันหยุดอยู่ที่แค่เพื่อนนานแล้ว และไม่มีวันจะพัฒนาไปมากกว่า อาจจะเป็นเพราะเราสองคนจะสนิทกันมากเกินไป การที่จะข้ามขั้นความสัมพันธ์มาเป็นคนรักจึงเกิดขึ้นได้ยากกว่าคนทั่วๆ ไป

ซึ่งในตอนแรกผมก็ชอบใจในความสนิทสนมของเราสองคนนะ เพราะมันทำให้เราเข้าใจกันดี โดยที่ไม่ต้องมีเงื่อนไขและข้อจำกัดอะไรมากนัก แต่ตอนนี้ผมกลับไม่ค่อยประทับใจความสนิทของผมกับเธอสักเท่าไหร่ เพราะแพ็ตตี้กำลังใช้ประโยชน์จากความสนิทสนมของเราสองคนมาจับผิดผม และดูเหมือนว่าเธอจะทำได้ดีเสียด้วย

เธอมองออกว่าผมหวงไนล์ ไม่ว่าจะหวงในฐานะอะไร แต่เธอก็พอรู้ว่าผมหวง หวงถึงขั้นสั่งห้ามไม่ให้ไนล์เข้าใกล้เธอเลยด้วยซ้ำ

จะบอกว่าเธอเข้าใจผิดก็ไม่ใช่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าใจถูกเสียทีเดียว วันนั้นผมหวงไนล์มากจริงๆ ยิ่งไนล์ทำตัวน่ารักผมยิ่งหวง หวงจนไม่สนใจจะยับยั้งความรู้สึกอยากครอบครองของตัวเอง หวงจนเผลอจูบไนล์ทั้งที่มีสติครบถ้วน จนหาข้อแก้ตัวลำบาก

เพราะสำหรับผมแล้วไนล์เหมือนสมบัติที่ผมกำลังครอบครองอยู่ และแน่นอนว่าเมื่อเขาเป็นสมบัติในครอบครองของผม สิทธิ์ขาดก็ควรจะมีแค่ผม และผมก็ไม่ชอบให้ใครมาแย่งหรือยุ่งวุ่นวายกับของที่ผมเป็นเจ้าของ

ดังนั้น ผมจะหวงไนล์ไว้คนเดียวก็ไม่แปลก เพราะเราสองคนอยู่ในสถานะที่ผมได้เป็นผู้ครอบครองและไนล์ก็เป็นสิทธิ์ขาดที่ผมได้รับ


‘เลิกเอาชนะภูได้แล้วแพ็ต ยังไงแพ็ตก็ไม่มีวันสู้ภูได้หรอก’


ผมกดส่งข้อความด้วยรอยยิ้มบางๆ แอบมั่นใจว่าหลังจากที่แพ็ตตี้เห็นข้อความ เธอจะต้องกรีดร้องจนบ้านพังแน่ๆ แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรผิดสักหน่อย ผมพูดความจริงทั้งนั้น เพราะสำหรับไนล์แล้ว ผมคือที่สุดสำหรับเขา ไม่ว่าผมจะทำหรือพูดอะไรเขาก็พร้อมเชื่อฟังและทำตามทันที

ผมรีบปิดเครื่องมือถือเมื่อเห็นไอ้เทมส์เดินมาพร้อมคุณแม่แต่ไกล วันนี้เรามีการประชุมร่วมกันเป็นครั้งแรกระหว่าง ทีเอ็น พร็อพเพอร์ตี้ กับ เคทู คอนสตรัคชั่น เพื่อเป็นการเปิดตัวโปรเจ็คเมเนเจอร์ร่วมของทั้งสองบริษัท ซึ่งก็คือไอ้เทมส์ตัวแทนจากทีเอ็น พร็อพเพอร์ตี้ และผมตัวแทนจาก เคทู คอนสตรัคชั่น

และแน่นอนว่าวันนี้ก็เป็นวันแรกด้วยที่ผมเข้ามาทำงานในบริษัทของแม่ หรือกิจการของครอบครัวเรา ผมเองก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรเท่าไหร่ มันก็เป็นการทำงานเหมือนที่ผ่านๆ มา เพียงแต่อาจจะถูกจับจ้องจากคนหลายฝ่าย หลายกลุ่มก็เท่านั้น แต่ผมก็ไม่คิดจะเอามากดดันตัวเอง คิดแค่ว่าทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดและเต็มที่ก็พอ

แต่คนที่ตื่นเต้นที่แท้จริงกลับเป็นเด็กไนล์ ที่เมื่อเช้าวุ่นวายกับผมไม่หยุด ทั้งเรื่องข้าวเช้า ทั้งเรื่องเสื้อผ้า ทั้งเรื่องเอกสาร กว่าจะออกจากคอนโดได้ ผมนี่แทบจะไมเกรนขึ้น เพราะไนล์เอาแต่ทวนย้ำจนผมแทบจะวิตกจริตไปด้วย


‘พี่ภู ทานข้าวอิ่มไหมครับ เอาอีกไหม เดี๋ยวไนล์ตักให้’

… ทั้งที่ไนล์เพิ่งจะตักข้าวให้ผมพูนจาน แถมกับข้าวที่ทำมายังเหมือนกินกันประมาณห้าคนอิ่ม ทั้งที่มีผมกินอยู่คนเดียว เจ้าเด็กคนทำไม่ยอมกิน เห็นบอกกับผมว่าตื่นเต้นแทนผมจนกินไม่ลง


‘พี่ภู จะไม่ผูกไทด์จริงเหรอครับ แต่เอ๊ะ ถ้ามีไทด์มันก็จะดูทางการเกินไปจริงๆ นั่นแหละ ไม่ผูกไปน่าจะดีกว่า’

… แล้วไนล์ก็งึมงำพึมพำกับตัวเอง โดยที่ผมยังไม่ตอบอะไรสักคำ


‘พี่ภู.. เอกสารเอาไปครบหรือยังครับ พี่ภูเช็คก่อนนะ เผื่อไนล์เตรียมให้พี่ภูขาด จะได้ไม่ต้องย้อนกลับมาเอาอีกรอบ’

... ทั้งที่ไนล์ก็เป็นคนเช็คเอกสารผมเป็นสิบรอบตั้งแต่เมื่อคืน และเอกสารที่เกี่ยวกับงานนี้ทั้งหมดก็แทบจะไม่หลงเหลืออยู่ในคอนโดแล้ว ผมก็ไม่รู้ว่าไนล์จะให้ผมเช็คอะไรอีก


‘พี่ภูครับ...’

‘พอได้แล้วไนล์ ฉันเช็คทุกอย่างหมดแล้ว ข้าวก็อิ่มแล้ว ไทด์ก็ไม่ต้องผูก เอกสารก็ไม่เหลือเลยสักแผ่นในห้อง นายเลิกวิตกจริตได้แล้ว ฉันแค่เริ่มงานวันแรกไม่ได้ไปรบ’


ผมพูดใส่เจ้าเด็กขี้ตื่นจนคนที่กำลังว้าวุ่นถึงกับชะงัก ผมรู้ว่าไนล์หวังดี แต่ไม่อยากให้ไนล์ตื่นเต้นจนขนาดนี้ แต่เพราะผมก็เป็นของผมแบบนี้ ผมไม่ได้จะดุ แต่เสียงมันแข็งแบบปกติไนล์ก็เลยหน้าเสีย คงคิดว่าผมกำลังต่อว่าว่าเขาวุ่นวายเกินไป


‘ขอโทษครับพี่ภู ไนล์ไม่ได้ตั้งใจจะทำตัววุ่นวาย’


พอผมได้ยินอีกฝ่ายเสียงอ่อย ใจผมก็อ่อนลงไปกว่าครึ่ง เด็กคนนี้บทจะหงอยก็ทำหางลู่หูตกเสียจนน่าสงสาร ผมเลยต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงที่อ่อนลงอีกนิด


‘ไม่ได้จะว่าอะไร แค่อยากให้นายใจเย็นๆ ไม่ต้องกังวล เพราะฉันเตรียมพร้อมหมดแล้ว’


ไนล์ยังคงก้มหน้า เพราะคิดว่าผมยังโกรธเขาอยู่ ผมเลยตัดสินใจยกมือใหญ่ๆ ของตัวเองลูบศีรษะกลมทุยเบาๆ ให้เจ้าเด็กขี้คิดมากเงยหน้ามองผมด้วยสีหน้าที่ดีขึ้นกว่าเดิมอีกนิด ผมเลยต้องย้ำให้เจ้าตัวมั่นใจ และส่งยิ้มกว้างจนตาหยีกลับมาแทน


'ฉันไม่ได้จะว่า..'


ใช่... ผมไม่ได้จะว่า เพราะอันที่จริงผมก็แอบคิดว่าที่ไนล์ทำน่ะ.. มันน่ารักดี

“ไอ้ภู! มานานยังวะ?”

เสียงไอ้เทมส์ร้องทักเลยให้ผมหลุดจากภวังค์ที่ตัวเองสร้างขึ้น มันเดินมาพร้อมกับคุณหญิงแม่ของผมที่ดูจะภูมิอกภูมิใจในตัวของมันมากเหลือเกิน จนผมนึกสงสัยว่าตกลงแล้วระหว่างผมกับไอ้เทมส์นี่ใครเป็นลูกแม่มากกว่ากัน

“สักพัก” ผมหันไปตอบมัน ก่อนจะหันไปกอดสาวสวยที่หน้าตาละม้ายคล้ายผม แล้วยกมือขึ้นไหว้ท่านด้วยท่าทีออดอ้อนเท่าที่คนห่ามๆ อย่างผมจะทำได้ “สวัสดีครับแม่ ภูคิดถึง”

ผมช้อนตามองมารดา แม้ว่าท่านจะทำท่าเหมือนไม่สนใจในสิ่งที่ผมพูด แต่ก็แอบเห็นได้ว่าท่านอมยิ้มน้อยๆ ตอนที่ผมบอกว่าคิดถึง

“พี่ภูไม่ต้องมาปากหวาน แม่ไม่เชื่อหรอก ดูสิเนี่ย คิดถึงแม่ภาษาอะไร เล่นหายต๋อมไปเลย นี่ถ้าพี่เทมส์ไม่ไปมัดมือชกตามมาทำงานนะ แม่ก็คงไม่ได้เห็นหน้าพี่ภูหรอก”

ผมหัวเราะเบาๆ ตอนที่แม่ยกมือขึ้นมาลูบแก้มผมอย่างอ่อนโยน แม้ว่าปากท่านกำลังจะบ่นผมก็ตาม

“ก็นี่ไงครับ ภูมาช่วยงานแม่แล้ว อีกหน่อยก็จะมาให้แม่เห็นหน้าทุกวัน เอาให้แม่เบื่อหน้ากันไปเลย”

ผมยังคงอ้อนแม่จนไอ้เทมส์ที่อยู่ข้างๆ ถึงกับทนไม่ไหวส่ายหน้าและกลอกตาใส่ผมไม่หยุด

“พูดไปเรื่อยแหละลูกคนนี้” แม่บ่นผมไม่จริงจัง ก่อนจะเอ่ยถามถึงเจ้าเด็กน้อยที่บ้าน “ว่าแต่ไนล์เป็นไงบ้างลูก? พี่ภูห้ามใจร้ายกับไนล์นะ ถ้าไนล์มาฟ้องแม่ว่าพี่ภูทำตัวไม่ดีใส่ พี่ภูจะต้องโดนดีแน่ๆ”

แม่ผมยกมือจิ้มที่ไล่ผมเบาๆ เป็นการคาดโทษ และพอผมเหลือบหางตาไปมองทางไอ้เทมส์ก็เห็นมันตั้งใจแอบฟังหูผึ่ง .. ไม่มีพิรุธเลยมั้ง ซึ่งพอผมเห็นแบบนั้นผมเลยแกล้งเปลี่ยนเรื่องดื้อๆ ให้มันหงุดหงิดใจเล่นที่ไม่ได้รู้ความเป็นไปของเด็กไนล์ ซึ่งมันก็ดูหงุดหงิดน่าดูเชียว

“ผมจะไปทำอะไรคนโปรดของแม่ได้ล่ะครับ.. ว่าแต่ ประชุมเที่ยวนี้คือเปิดตัวผมเลยใช่ไหมครับแม่ หรือว่ายังไง”

“ไอ้ภู .. แม่ถามเรื่องไนล์”

นั่นไง! ไอ้เทมส์มันดูสนใจเด็กไนล์จริงๆ นั่นแหละ ขนาดผมวกเข้าเรื่องงานแล้วมันยังวนกลับไปถามถึงเจ้าเด็กตัวเล็กนั่นอีก

“กูก็ตอบแม่ไปแล้วไง แล้วมึงจะถามย้ำอะไรอีก” ผมหันไปมองมันอย่างจับผิด “ตกลงเป็นแม่หรือมึงกันแน่ที่อยากรู้เรื่องไนล์”

“มึงอย่าหาเรื่องดิไอ้ภู”

“กูไม่ได้หาเรื่อง แต่กูสังเกตมานานแล้วว่ามึงดูอยากรู้เรื่องเด็กไนล์จังวะ? .. มันมีอะไรนักหนา ติดใจเด็กนั่นเหรอ?”

ผมตัดสินใจถามตรงๆ ซึ่งก็เหมือนจะทำให้ไอ้เทมส์หัวเสียอยู่ไม่น้อย

“กูก็แค่ถามเฉยๆ มึงจะเดือดทำไม? หรือหวง? หรือถามถึงไม่ได้?” ดูก็รู้ว่ามันตั้งใจกวนประสาทผม ซึ่งผมก็ใช่ว่าจะยอม ตั้งท่าจะอ้าปากด่าแต่แม่ขัดขึ้นมาก่อนเลยต้องยอมถอย

“นี่เราสองคน โตจนป่านนี้แล้วยังทะเลาะกันเป็นเด็กๆ สมัยหวงของเล่น แย่งของเล่นกันอีก” แม่ยอกมือขึ้นฟาดที่ต้นแขนผมกับไอ้เทมส์เบาๆ คนละที “ไปๆ เลิกเถียงกันได้แล้วค่ะ แม่ปวดหัว ไปเตรียมตัวประชุมได้แล้วทั้งคู่นั่นแหละ”

ผมกับไอ้เทมส์ด่ากันผ่านสายตาต่ออีกสี้ยววินาที จนแม่ส่งเสียงปรามดุๆ นั่นแหละผมกับมันถึงได้เลิกตีกันจริงจังๆ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่มีหญิงสาวคนหนึ่ง รูปร่างหน้าตาจัดไปทางค่อนข้างดีเดินตรงมาทางพวกเราสามคน

“สวัสดีค่ะคุณครินยา คุณนทีบดี และนี่คุณ ...”

“คีรินครับ ผมคีริน อคิระไพบูลย์ เป็นโปรเจ็คเมเนเจอร์ร่วมกับไอ้.. เอ่อ ผมหมายถึงคุณนทีบดีน่ะครับ”

หญิงสาวตรงหน้าผมหัวเราะเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการ

“สวัสดีค่ะ ดิฉันวิรัลพัชร เรียกสั้นๆ ว่ารันก็ได้ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะคุณคีริน พอดีรันเป็นตัวแทนจากทีมโปรเจ็คเมเนเจอร์ที่เคยทำโครงการมิกซ์ยูสโครงการที่ผ่านมาน่ะค่ะ พอดีทางคุณนทีบดีเคยติดต่อไปให้ทางทีมรันมาเป็นที่ปรึกษา รันก็เลยมาร่วมประชุมและก็อาจจะต้องร่วมงานกับคุณทั้งสองด้วย”

ผมหันไปมองหน้าไอ้เทมส์ พอเห็นมันพยักหน้ารับน้อยๆ ก็หันไปค้อมศีรษะให้คุณวิรัลพัชรอย่างให้เกียรติ

“อ่า.. ถ้ายังไงผมกับเทมส์ เอ่อ หมายถึงนทีบดีน่ะครับ ขอฝากตัวกับคุณรันด้วยนะครับ ทางนี้อาจจะต้องขอคำปรึกษาและข้อมูลเยอะเลย”

“ยินดีค่ะคุณคีริน.. เอ่อ รันว่ามันดูทางการไปสักนิด รันสามารถ...”

“ผมภูครับ ส่วนนทีบดีชื่อเทมส์ คุณรันเรียกเราสั้นๆ แบบนี้ก็ได้ครับ”

พอเห็นท่าทีของคุณรัน ผมก็รีบเสนอทางออกที่น่าจะง่ายที่สุดให้ ชื่อผมน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ชื่อไอ้เทมส์คือยาวมาก ใครจะเรียกมันด้วยชื่อเต็มๆ ขนาดนั้นได้ตลอด และพอผมบอกชื่อเล่นของผมกับไอ้เทมส์ไปคุณรันก็มีท่าทีผ่อนคลายขึ้น ในขณะที่ไอ้เพื่อนรักเพื่อนแค้นของผมจ้องหน้าคุณรันไม่เลิก และพอมันเห็นว่าคุณรันเอาแต่มองผมและส่งยิ้มหวานให้ มันก็เหลือบตามองผม และจากหางตา ผมก็รู้ว่ามันกำลังคิดอะไร

และก็ใช่ เพราะผมเองก็เห็นในสิ่งที่มันเห็นเหมือนกัน

สายตาที่คุณรันมองผม เป็นสายตาแบบที่ผมเห็นมาแล้วทั้งชีวิต แต่ตราบเท่าที่เธอยังสงวนท่าทีและไม่ก้าวก่ายจนเสียงาน ผมก็ว่าผมน่าจะพอควบคุมอยู่

ว่าก็ว่าเถอะนะ ถึงพักหลังผมจะเจ้าชู้ฟาดไม่เลือก แต่กับเรื่องงานผมจะไม่เอาเรื่องชู้สาวมาปนเด็ดขาด ยิ่งเป็นงานที่เกี่ยวพันกับธุรกิจครอบครัว ผมจะยิ่งไม่เอามาทับซ้อน ถ้าเจอกันข้างนอกผมไม่ปฏิเสธ แต่ถ้าเจอกันในออฟฟิศเมื่อไหร่ ผมมีให้ได้แค่ความเป็นเพื่อนร่วมงานเท่านั้น

อีกอย่างเท่าที่สังเกตดูคุณวิรัลพัชรเองก็ดูจะเรียบร้อยอยู่พอตัว ไม่น่าจะทำอะไรรุ่มร่ามใส่ให้ผมต้องปวดหัว เพราะฉะนั้นคงไม่มีอะไรน่ากังวล แม้สายตาที่ไอ้เทมส์ส่งมาจะดูไม่เห็นด้วยกับผมขนาดนั้นก็ตาม

.

.

.

To Be Continue

-------‐---------------------------------------------

วิรัลพัชร เธอจะมาดีรึมาร้ายกันแน่ยยยยย์ รอลุ้นเนาะ! ตอนนี้ปล่อยให้อิพี่ภูหลอกตัวเอง เพราะเดี๋ยวจัดให้ได้เจอแน่ 5555555555

ฝากติดแท็ก #พี่ภูของผม ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ทุกคอมเม้นท์ และกำลังใจทุกกำลังใจที่ให้มา สัญญาค่ะว่าจะทำให้ดีที่สุด

สามารถคอมเม้นท์ติ-ชม ได้ตลอดเลยยย เราจะได้เอามาปรับปรุงแก้ไข และหวังว่าจะอยู่ด้วยกันแบบนี้จนนิยายจบเลยนะคะ

ขอบคุณทุกคนมากๆ อีกครั้งนะคะ เจอกันอาทิตย์หน้า ตอนหน้าค่าาา .. รัก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
ขอเพิ่มอีกขอยาวอีกได้ไหมมมมม

น่าติดตามมากกก

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
จะมาดีมาร้าย ไนล์ก็บ่ยั่นจ้า และถ้าจะหวงเขาขนาดนั้นอะนะ 5555 ไนล์ทำตัวจะเป็นคุณแม่เข้าไปทุกทีแล้ว เป็นแม่เป็นเมียที่ดีแน่นอน ดูแลดีขนาดนี้ ก็นะ คนมันรักมากมายอ่ะ อิอิ ขอบคุณที่มาต่อยาวๆให้อ่านค่า สนุก รอตอนหน้าเลย โปรเจกต์นี้จะล่มหรือจะร่วง 5555  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Pe_no

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 375
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
หวงแบบนี้เป็นแฟนกันไปเลย  :mew2:

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
** Warning: เนื้อหาในบางฉากบางตอนของแช็ปเตอร์นี้มีการใช้ภาษาไม่เหมาะสม และมีความรุนแรงทางเพศและการใช้อารมณ์ ขอให้ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณด้วยนะคะ**



Universe 15th : จุดเปลี่ยน


‘ไอ้ภูไม่อยู่ใช่ไหม เดี๋ยวเย็นนี้พี่แวะเข้าไปหานะ จะซื้ออะไรอร่อยๆ ไปให้กิน’

ผมอ่านข้อความที่พี่เทมส์ส่งมาบอกแล้วก็ต้องยิ้ม ผมรู้ว่าเขาคิดถึงผมมาก เพราะปกติเราสองคนพี่น้องจะค่อนข้างตัวติดกัน แม้ว่าจะมีบางช่วงที่พี่เทมส์อาจจะยุ่งกับเรื่องเรียนหนักๆ หรือทำงานหนักๆ แต่เราก็มักจะกลับมาเจอกันที่บ้านเสมอ ผมเข้าไปนอนอ้อนพี่เทมส์บ้าง พี่เทมส์มาขอนอนห้องผมบ้าง เราสองคนพี่น้องเลยไม่เคยห่างกันจริงๆ จังนานเกินสามสี่วันสักที แต่นี่มันเกือบจะเดือนแล้วที่ผมมาอยู่กับพี่ภู ดังนั้นการพี่เทมส์จะอยากงอแงมาเจอผมก็เลยไม่ใช่เรื่องแปลกสักเท่าไหร่ เขาคงอยากกินข้าว อยากพูดคุย อยากไถ่ถามความเป็นไปของผมนั่นแหละ เขาห่วงผมจะตาย ที่ผมรู้นั่นก็เพราะผมเองก็ห่วงเขาไม่ต่างกัน


‘ไม่อยู่ครับ เห็นว่าจะไปงานเลี้ยงกับคุณแม่ น่าจะกลับดึกๆ นู่นเลย พี่เทมส์มาสักห้าหกโมงนะครับ จะได้อยู่ด้วยกันนานๆ’


ผมกดส่งข้อความหาพี่เทมส์ และยังไม่ทันจะพ้นนาทีดีด้วยซ้ำ พี่ภูก็โทรเข้ามา ทำเอาผมตื่นเต้นจนแทบจะทำโทรศัพท์หล่น เพราะนี่ถือเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่พี่ภูโทรหาผมแบบนี้ ส่วนใหญ่เขาจะใช้การส่งข้อความมาหาผมมากกว่า

“ครับพี่ภู”

เสียงปลายสายดูเงียบๆ ทำเอาผมต้องเอาโทรศัพท์ออกห่างจากหูเพื่อดูว่าพี่ภูวางสายไปหรือยัง แต่แล้วก็ต้องรีบดึงกลับมาแนบหูอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงพี่ภูเรียกตัวเองแว่วๆ

(ไนล์...)

“ครับพี่ภู ไนล์ฟังอยู่ครับ”

(เห็นโน็ตเมื่อเช้าแล้วใช่ไหม ฉันติดไว้ที่ตู้เย็น)

พี่ภูถามเสียงเรียบจนแทบจะเดาอารมณ์ไม่ได้ ทำเอาผมต้องรีบตอบเพราะไม่อยากให้พี่ภูดุหรือโกรธ

“เห็นครับ ไนล์เห็นพี่ภูติดไว้ที่ตู้เย็น” ผมนึกถึงโพสท์อิทที่พี่ภูติดไว้ที่ตู้เย็นก็ต้องอมยิ้ม หวนให้นึกถึงโน็ตที่เราส่งหากันก่อนที่พี่ภูจะไปอเมริกา มันดูเดจาวูสุดๆ “ขอโทษทีนะครับที่เมื่อเช้าไนล์เข้าไปอาบน้ำ เลยลำบากให้พี่ภูต้องเขียนโน็ตทิ้งไว้แทน”

(ไม่เป็นไร มันไม่ยากอะไรก็แค่เขียนไม่กี่บรรทัด.. นี่ฉันก็แค่จะโทรมาเช็คเฉยๆ ว่านายได้รับข้อความฉันแล้ว)

“ได้รับแล้วครับ” ผมรีบบอกอย่างรวดเร็ว

(อืม ดี.. หาข้าวหาปลากินไปเลยไม่ต้องรอ ฉันคงกลับดึก)

ผมยิ้มเมื่อรับรู้ได้ว่าพี่ภูโทรมาย้ำเพราะเป็นห่วงกลัวผมจะรอแล้วไม่ได้กินอะไรจนว่าพี่ภูจะกลับ .. อย่างที่ผมเคยบอกว่าพี่ภูน่ะใจดีและก็อ่อนโยนจะตาย

“ครับ พี่ภูไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ไปงานกับคุณท่านให้สบายใจได้เลย ไนล์ดูแลตัวเองได้”

(ใครว่าฉันห่วง.. เลอะเทอะ แค่นี้แหละ)

พี่ภูทำเสียงโวยวายใส่แล้วก็กดวางสายไป ให้ผมต้องหัวเราะออกมาเบาๆ .. เขายังปากแข็งไม่เปลี่ยนไปเลย

ผมยิ้มให้กับโทรศัพท์แม้ว่าพี่ภูจะวางสายไปนานแล้วก็ตาม

อย่างน้อยเวลาเกือบเดือนที่ผมเอาตัวมาผูกติดกับเขาก็ไม่เสียเปล่า เพราะดูเหมือนพี่ภูจะเปิดใจให้ผมมากขึ้น ดุผมน้อยลง และก็ยังใจดีกับผมแม้จะเป็นการใจดีแบบแข็งๆ เพราะไม่อยากให้ผมได้ใจก็เถอะ

สำหรับผมเท่านี้ก็ถือว่าดีมากพอแล้ว และผมก็หวังว่ามันจะดีมากขึ้นกว่านี้เรื่อยๆ สำหรับเวลาสองเดือนกว่าๆ ที่ผมยังเหลืออยู่ ไม่ต้องให้เขารักผมก็ได้ แค่ขอให้พี่ภูกลับมาเป็นพี่ภูคนเดิมก็พอ

.

.

.

ผมเหลือบมองนาฬิกาที่ตอนนี้บอกเวลาห้าโมงกว่าหลังจากวางสายจากพี่เทมส์ที่โทรมาบอกว่าใกล้จะถึงแล้ว ผมเตรียมเอาจาน เอาแก้วน้ำออกมารออาหารที่พี่ชายกำลังจะซื้อเข้ามาให้ ผมตื่นเต้นมากที่จะได้กินข้าวร่วมกับพี่เทมส์หลังจากที่เราห่างกันมาได้พักใหญ่ นั่นเป็นเพราะผมมีเรื่องจะเล่าให้พี่เทมส์ฟังเยอะแยะเต็มไปหมด บอกตามตรงว่าผมไม่ค่อยสะดวกคุยกับพี่เทมส์เลยไม่ว่าจะทางไหน หากพี่ภูอยู่ด้วย เพราะทุกครั้งที่ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถือไว้ไม่ว่าจะด้วยเพราะเหตุผลใด พี่ภูจะมองตามตาขวางตลอด

ผมก็ได้แต่สงสัยว่ามันเป็นเพราะอะไร หรือพี่ภูอาจจะไม่ชอบให้ผมมัวแต่พะวงกับโทรศัพท์จนไม่ได้ทำงานทำการหรือดูแลบ้านก็ได้ เพราะฉะนั้นผมก็เลยได้แต่ส่งข้อความคุยกับพี่เทมส์สั้นๆ ก่อนเข้านอนเท่านั้น เนื่องจากผมเองก็ง่วง พี่เทมส์เองก็เหนื่อย เราเลยทำได้แค่อัพเดทเรื่องราวประจำวันให้กันฟัง ไม่ได้คุยลึกอะไรละเอียดขนาดนั้นหรอก


ติ๊งหน่อง ~


หลังจากคิดอะไรเพลินๆ เสียงออดหน้าประตูห้องก็ดังขึ้น ผมรีบถลาไปเปิด แล้วก็ต้องยิ้มกว้างเมื่อเห็นเจ้าของรูปร่างสูงใหญ่คุ้นตายืนยิ้มหล่อพร้อมกับยกถุงกับข้าวให้ผมดู

“ของโปรดของไนล์ทั้งหมด... พี่ซื้อมาฝากครับ”

“ไนล์คิดถึงพี่เทมส์”

ผมโผเข้ากอดพี่เทมส์เต็มรักด้วยความคิดถึง ในขณะที่พี่ชายผมก็หัวเราะร่วนด้วยความชอบใจ เขาใช้มือข้างที่ไม่ได้ถืออะไรโอบกอดผมไว้แน่น พลางจูบลงบนขมับย้ำๆ พร่ำบอกว่าคิดถึงผมไม่ต่าง

“พี่ก็คิดถึงไนล์ เจ้าเด็กดื้ออยู่ที่นี่ถูกไอ้ภูมันรังแกหรือเปล่า หื้ม?”

ผมเลิ่กลั่กทันทีที่ได้ยินพี่ชายเอ่ยถาม โชคดีที่เรากอดกันอยู่แบบนี้ พี่เทมส์เลยไม่ทันได้เห็นพิรุธที่แสดงผ่านทางสีหน้าผมเท่าไหร่ ผมพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะดันตัวเองอกจากอ้อมกอดของพี่เทมส์ แล้วตอบเสียงใส

“ไม่สักหน่อย พี่ภูเขาแทบไม่อยากจะเข้าใกล้ไนล์ด้วยซ้ำ จะมารังแกอะไรไนล์เล่า”

ผมแอบไขว้นิ้วไว้ข้างหลัง แต่พูดก็พูด ผมไม่ได้โกหกจริงๆ นะ พี่ภูไม่เคยรังแกหรือทำให้อะไรให้ผมเอามาใช้เป็นประเด็นได้เลย


ยกเว้น.. เรื่องจูบ


เอ่อ ก็ดูเหมือนพักหลังพี่ภูจะชอบจูบผมบ่อยขึ้น บางครั้งผมก็รู้ตัวทัน บางครั้งผมก็ไม่รู้ตัว จูบเสร็จแล้วพี่ภูก็ทำเฉยๆ ทำนิ่งๆ ผมเองก็ไม่ค่อยจะกล้ามองหน้าเขาเท่าไหร่เลยเดาไม่ถูกว่าเขาจูบผมเพราะอะไร และทำไมถึงจูบ หรือจูบไปแล้วรู้สึกยังไง ผมไม่อาจรู้ได้เลย เพราะผมจะก้มหน้าก้มตาหลบเขาทุกครั้งหลังจากที่เราจูบกันเสร็จ

แต่จะโทษพี่ภูฝ่ายเดียวก็ดูจะไม่ถูกต้องเท่าไหร่นัก เพราะแท้ที่จริงแล้ว ผมก็ยอมให้เขาจูบเอง เรียกว่าเข้าขั้นเต็มใจเลยด้วยก็ได้มั้ง ผิดกับแรกๆ ที่มีตกใจบ้าง แต่หลังๆ มันเป็นความรู้สึกดี รู้สึกดีจนผมไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่าผมเองก็ชอบเวลาที่ถูกพี่ภูสัมผัสแบบนี้

“ถ้ามันทำอะไรต้องรีบบอกพี่นะเข้าใจไหม ห้ามปิดบัง ห้ามโกหก เพราะถ้าไนล์ทำแบบนั้นพี่จะเสียใจมากๆ รู้ใช่ไหมครับ”

ผมพยักหน้ารัวเร็วอยู่ตรงอกพี่เทมส์ ผมไม่กล้าสบตาเขาสักเท่าไหร่ เพราะกลัวว่าถ้าพี่ชายเห็นหน้าและสายตาผมแล้วจะรู้ว่าผมเริ่มที่จะโกหกเข้าให้แล้ว

และหลังจากที่เรากอดกันอยู่พักใหญ่ พี่เทมส์ก็ดันตัวผมออก ก่อนจะชี้ชวนให้ไปกินอาหารที่เขาซื้อมาให้ ก่อนที่มันจะเย็นเสียก่อน

“กินข้าวกันดีกว่า พี่ซื้อมาเยอะแยะเลย”

“ครับ”

ผมรับถุงอาหารมากมายจากพี่เทมส์ก่อนจะเอาไปเทใส่จานแล้วมานั่งกินด้วยกันพลางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้กันและกันฟังอย่างสนุกสนาน ส่วนใหญ่เรื่องที่พี่เทมส์เล่าก็จะเป็นเรื่องที่พ่อกับแม่บ่นคิดถึงผมทุกวัน รวมไปถึงลมด้วย ลมร่ำๆ ทำท่าจะแหกกฎบินไปหาผมที่ออสเตรเลียตั้งหลายรอบ ให้พี่เทมส์ต้องเอ่ยปากปรามกึ่งบังคับว่าห้ามลมทำผิดสัญญาที่ให้ไว้ ซึ่งพอถูกพี่เทมส์ดุ ลมก็ยอมทำตามอย่างดี

แต่ต้องแลกกับการที่ผมต้องพยายามหาเวลาแอบโทรหาลมโดยที่ไม่ให้พี่ภูสงสัย จากที่เคยบอกไว้ว่าอาทิตย์ละครั้ง ผมก็ขยับเป็นอาทิตย์ละสองครั้ง โดยเลือกช่วงกลางวันที่พี่ภูไม่อยู่ คุยแปปๆ แล้วก็วาง ซึ่งก็ทำให้ผมได้รู้ว่าลมยังคงรอผมอยู่เสมอย่างมั่นคง แต่ในขณะเดียวกันผมก็ดันรู้สึกกับพี่ภูมากขึ้นกว่าเดิมด้วย ทุกอย่างมันดูผกผันไปคนละทิศละทางจนผมชักจะเริ่มหนักใจ ผมไม่มั่นใจเลยว่าหากพ้นช่วงสามเดือนไปแล้ว ถ้าความสัมพันธ์ของผมกับพี่ภูไม่คืบหน้าก็ใช่ว่าผมจะตัดใจเพื่อไปหาลมได้ ยิ่งอยู่ใกล้ชิดกัน ผมก็ยิ่งรักพี่ภูมากขึ้นทุกที มากจนผมไม่รู้ว่าจะหาวิธีหยุดรักพี่ภูยังไง

“คิดอะไรอยู่ล่ะเรา กับข้าวเย็นหมดแล้วนะ”

พี่เทมส์ทักขึ้นพอเห็นผมเหม่อลอยไม่ยอมแตะอาหาร ผมได้แต่ยิ้มบางๆ ให้พี่ชายแล้วบอกปัด เพราะไม่อยากกังวลกับเรื่องที่ยังมาไม่ถึง

“ไม่มีอะไรครับ ไนล์แค่กำลังคิดว่าจะกินยังไงให้หมดนี่ดี ของโปรดไนล์ทั้งนั้นเลย”

พี่เทมส์ยกมือขึ้นมาลูบศีรษะผมเบาๆ เขารู้ว่าผมโกหก แต่ก็ไม่คิดจะคาดคั้นหรือบังคับให้ผมพูดแต่อย่างใด .. พี่เทมส์รู้ดีว่าผมจะพูดก็ต่อเมื่ออยากพูด ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่ตอนนี้

“งั้นก็กินเยอะๆ ครับ มาอยู่นี่ทำไมผอมลง ไอ้ภูมันแกล้งไม่ให้ไนล์กินข้าวหรอ ไหนบอกพี่ซิ?”

“ไม่ใช่สักหน่อย” ผมยู่ปากด้วยความเคยชิน เมื่อถูกพี่เทมส์แกล้ง “ไนล์ก็กินปกติ แต่มันไม่อ้วนเองนี่ครับ”

“ฮ่าๆ เราน่ะมันเจ้าตัวเล็ก” พี่เทมส์ว่าพลางยื่นมือมาหยิกแก้มผมอย่างมันเขี้ยว “ตัวน่ะไม่อ้วน แต่แก้มนี่ล้นจนน่าบีบให้ช้ำจริงๆ”

“พี่เทมส์อ่ะ ไนล์เจ็บนะ”

พอผมว่าเข้าให้พี่ชายก็หัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ เราสองคนพี่น้องคุยกันสัพเพเหระไปเรื่อย โดยที่พี่เทมส์บอกข่าวดีกับผมว่าช่วงนี้อาจจะแวะมาหาผมได้บ่อยขึ้น เพราะตอนนี้พี่เทมส์กับพี่ภูมีโปรเจ็คใหญ่ที่ต้องทำร่วมกัน เป็นโครงการมิกซ์ยูส ที่เกิดจากการร่วมมือกันระว่างบริษัทของคุณพ่อพวกเรากับบริษัทของคุณแม่พี่ภู ผมเองก็เลยได้ยิ้มหน้าบาน เพราะดีใจที่จะได้เจอพี่เทมส์บ่อยๆ แม้จะเป็นการเจอในฐานะเด็กรับใช้กับเพื่อนเจ้านายก็ตาม

“ว่าแต่เรากับไอ้ภูไปถึงไหนแล้ว มันทำตัวดีขึ้นบ้างรึยัง หื้ม?”

ตอนนี้เราสองคนพี่น้องกำลังยืนช่วยกันล้างจานกันอยู่ในครัว และพอพี่ภูเปิดประเด็นนี้ขึ้นมาผมก็ยิ้มกว้างตอบพี่ชายอย่างภูมิอกภูมิใจ

“พี่ภูไม่ค่อยดุหรืออารมณ์เสียใส่ไนล์แล้วครับเดี๋ยวนี้ อาจจะไม่ได้ยิ้มแย้มพูดดีจ๊ะจ๋า แต่พี่ภูก็ใจดีขึ้น มีเป็นห่วงบ้าง เมื่อกี้ก่อนพี่เทมส์จะมาพี่ภูก็โทรมาบอกให้ไนล์กินข้าวเลยไม่ต้องรอ ถึงเขาจะพูดห้วนๆ แต่ไนล์ก็รู้ว่าเขาไม่อยากให้ไนล์หิ้วท้องหิวๆ รอเพราะเขาจะกลับดึก”

“โอ้โห มันพูดมาแค่นี้ ไนล์ก็ตีความไปได้ขนาดนี้เลยหรือไง หื้ม?” พี่เทมส์ใช้นิ้วชี้จิ้มปลายจมูกผมเบาๆ ด้วยความหมั่นไส้ปนๆ เอ็นดู

“พูดแค่นี้ก็เยอะแล้วครับ” ผมย่นจมูกใส่พี่ชายก่อนจะบ่นกระปอดกระแปดไปเรื่อย “เมื่อก่อน ตอนไนล์มาใหม่ๆ นะ ทำหน้ายักษ์ใส่ไนล์ทุกวัน แถมยังเอาแต่พูดเสียงแข็งใส่ด้วย ... เนี่ยถือว่าดีขึ้นครับ”

ผมยิ้มกว้างให้พี่ชายหลังจากบอกเล่าถึงความเป็นไปในทางที่ดีขึ้นของพี่ภู โดยที่แทบไม่ได้สังเกตอาการของตัวเองเลยว่ามันบ่งบอกถึงความรักที่ผมมีให้อีกฝ่ายว่ามันมากแค่ไหน

“ตอนนี้พี่ภูไม่ดุไนล์แล้ว แถมยังเรียกให้ไนล์กินข้าวด้วยกันตลอด และที่ดีที่สุดเลยก็คือพี่ภูยอมไปทำงาน ไม่รู้ว่าคุณแม่พูดอะไรกับพี่ภูไป แต่ก็ดีจังที่ผลออกมาเป็นแบบนี้ ไนล์น่ะดีใจมากๆ เลยนะพี่เทมส์”

ผมเจื้อยแจ้วเล่าเรื่องพี่ภูให้พี่ชายตัวเองฟัง โดยที่ไม่ได้ทันสังเกตเลยว่าพี่ชายผมแสดงอารมณ์หรือท่าทางแบบไหนตอนได้ยิน รู้แค่ว่าพี่เทมส์พึมพำอะไรออกมาสักอย่างที่ผมได้ยินไม่ถนัดเอาเสียเลย

“หึ มันยอมไปทำงานก็เพราะเรานั่นเจ้าตัวเล็ก!”

“หือ? พี่เทมส์ว่าไงนะครับ”

“เปล่าครับ พี่บ่นเฉยๆ ว่าได้เวลาต้องกลับแล้ว”

ผมเหลือบมองนาฬิกาหลังจากที่พี่เทมส์พูดจบ ก็เห็นว่าตอนนี้มันทุ่มกว่าแล้ว และอีกไม่นานพี่ภูก็คงกลับ ทางที่ดีรีบให้พี่เทมส์กลับไปก่อนดีกว่า เดี๋ยวเกิดพี่ภูมาเจอว่าพี่เทมส์อยู่กับผมก็จะเป็นเรื่องใหญ่อีก ไอ้ที่เริ่มจะใจดีกับผมขึ้นมาบ้างก็คงจะกลับไปหงุดหงิดใส่ผมแบบเดิมอีก

“ฮื่ออ ไนล์ยังไม่หายคิดถึงพี่เทมส์เลย อยากให้อยู่ต่ออีกสักหน่อย” ผมโผเข้ากอดคนเป็นพี่ ให้อีกฝ่ายได้หัวเราะชอบใจลูบหลังลูบไหล่ผมไม่หยุด

“งั้นพี่ไม่กลับดีไหม ไอ้ภูมาก็ช่างมัน”

ผมรีบดันตัวออกจากอ้อมกอดพี่ชายก่อนจะส่ายหน้าหวือ “ไม่ดีครับ!”

“อ้าว! ยังไงกันล่ะเด็กคนนี้ สรุปอยากให้พี่อยู่ต่อหรือกลับ?” พี่เทมส์ถามด้วยน้ำเสียงติดจะหัวเราะ ดูก็รู้ว่าต้องกำลังแกล้งผมอยู่แน่ๆ

“ก็.. วันนี้กลับไปก่อนไงครับ แล้ววันหลังพี่เทมส์มาใหม่ มาอยู่กับไนล์นานๆ”

คนเป็นพี่ยื่นมือมาหยิกแก้มผมทันทีพอได้ยินคำต่อรองของผม เขายิ้มกว้าง บ่งบอกว่าทั้งรักและเอ็นดูผมมากแค่ไหน

“เจ้าเล่ห์นักนะเรา” เขาก้มลงมาจูบหนักๆ ที่หน้าผากผม ก่อนจะเดินไปหยิบสูทที่วางพาดอยู่บนเก้าอี้ที่เรานั่งทานข้าวด้วยกัน “ป่ะ! กลับก็กลับ จะไปส่งพี่ไหมครับตัวเล็ก”

“ไปครับ ไนล์ไปส่ง” ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะถลาเข้าไปกอดแขนพี่ชายแน่น ก่อนที่เราสองคนพี่น้องจะพากันเดินออกไปจากห้องพี่ภู

.

.

.

(อ่านต่อด้านล่าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-05-2020 20:13:23 โดย Gade_ka »

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
อ่านต่อด้านล่างอยู่ที่ไหนมายังเอ่ยย

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
(ต่อจากด้านบน)


“พี่ภู กลับมาแล้วหรอครับ”

ผมถลาไปที่หน้าประตูทันทีที่มันเปิดออก ก่อนจะกุลีกุจอรีบเข้าไปช่วยพี่ภูถือกระเป๋าใส่เอกสารและเสื้อสูทตัวนอกอย่างรู้หน้าที่

“พี่ภูอยากทานอะไรอีกไหมครับ ทานมากับคุณท่านอิ่มไหม ไนล์จะได้ไปทำให้เพิ่ม หรือว่า...”

“ไม่ต้อง! หลีก! ฉันจะไปอาบน้ำ”

ผมชะงักกึก กลืนทุกคำถามลงคอเมื่อได้ยินพี่ภูตัดบทมาแบบนั้น ตอนนี้ดูเหมือนว่าพี่ภูจะอารมณ์ไม่ดีมากๆ ผมไม่แน่ใจว่าเขาเป็นอะไร หรืออาจจะเครียดเรื่องงาน เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่เขาโทรหาผมยังดีๆ อยู่เลย

พี่ภูเดินเข้าไปในห้องตัวเองโดยที่ไม่มองหน้าผมเลยสักนิด ผมได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดอีก สุดท้ายเมื่อหาคำตอบไม่ได้ ก็เลยเดินตามพี่ภูเข้าไปเก็บกระเป๋าเอกสารในห้อง และตั้งใจว่าจะเอาผ้าในตะกร้าพี่ภูออกมาซัก แต่กลายเป็นว่าจังหวะของผมมันไม่ดีเอาเสียเลย ผมที่คิดว่าพี่ภูคงเข้าห้องน้ำไปแล้ว แต่ดันกลายเป็นว่าพี่ภูเพิ่งจะถอดเสื้อเชิ้ตออก มีเพียงกางเกงแสล็คขายาวติดตัว และก็เป็นอีกครั้งที่พี่ภูหันมามองผมตาขวาง

“เข้ามาทำไม? ฉันอนุญาตให้นายเข้ามาหรอ? หรือจะเข้ามาอ่อย?” พี่ภูเดินตรงเข้ามาหาผมอย่างคุกคาม ในขณะที่ผมได้แต่ถอยหนีอย่าลนลานจนชนเข้ากับกำแพงห้อง “ของขาดหรอ? หรือยังไม่สะใจจนต้องมาขอเพิ่มจากฉัน ห๊ะ??”

พี่ภูตวาดผมลั่นให้ผมได้แต่หลับตาปี๋ด้วยความตกใจ แต่กลายเป็นว่าผมยืนเป็นเป้านิ่งให้พี่ภูตามมากักร่างผมไว้ด้วยสองแขนและร่างกายของเขาที่ใหญ่กว่าผมเกือบเท่าตัว

“นะ ไนล์ ไนล์ขอโทษครับ ไนล์ไม่รู้ ไนล์..ไนล์คิดว่าพี่ภูเข้าไปอาบน้ำแล้ว”

“โกหก! นายน่ะมันก็ดีแต่โกหก ตีหน้าใสซื่อแต่ความจริงแล้วทำตัวร้ายกาจ อ่อยผู้ชายไปทั่ว” พี่ภูจับคางผมเชิดขึ้น ก่อนจะบีบแรงๆ จนผมเจ็บ “ถามจริงๆ เถอะนะ ว่าทำเพราะอยาก หรือว่าทำเพราะเห็นแก่เงิน?!”

ผมเบิกตาโพลงด้วยความตกใจไม่คิดว่าพี่ภูจะพูดแบบนี้ออกมา พี่ภูที่ผมเห็นในตอนนี้ดูเกรี้ยวกราดและโมโหร้ายยิ่งกว่าพี่ภูตอนที่กลับมาจากอเมริกาแรกๆ เสียอีก ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เลยได้ละล่ำละลักปฏิเสธ เพราะไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าพี่ภูกำลังพูดเรื่องอะไร

“พี่ภู .. พี่ภูหมายความว่ายังไงครับ นะ ไนล์ ไม่เข้าใจ”

“หึ! ไม่เข้าใจ? แน่ใจหรอว่าไม่เข้าใจ?” พี่ภูบีบคางผมแรงกว่าเดิม และโดยที่ไม่ต้องเดา ผมว่าตอนนี้มันต้องขึ้นรอยแดงแล้วแน่ๆ “แกล้งทำเป็นไร้เดียงสา แต่ที่จริงฟาดผู้ชายไม่เลือก!”

หลังจากประโยคร้ายกาจหลุดออกมาจากปากของคนที่ผมรักและเทิดทูนมาเป็นสิบๆ ปี ในใจผมก็รู้สึกแย่ไปหมด ผมไม่เข้าใจว่าพี่ภูที่ดีขึ้นมากแล้วทำไมกลับมาเป็นแบบนี้อีก หนำซ้ำเที่ยวนี้คือเป็นมากกว่าเดิมอีก แล้วยิ่งถ้อยคำแย่ๆ ที่หลุดออกมาให้ผมได้ยิน ทำให้ผมเลือกที่จะหนีมากกว่ามาทนรองรับอารมณ์พี่ภูอยู่แบบนี้

ผมแค่ไม่อยากรู้สึกแย่มากยิ่งไปกว่าเดิมแค่นั้นเอง

“ไนล์พูดจริงๆ ครับ.. ไนล์ไม่รู้ แล้วก็ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าพี่ภูพูดเรื่องอะไร” ผมพยายามบิดตัวเองออกจากการกักรั้งของพี่ภู “ถ้าการมีอยู่ของไนล์มันรกหูรกพี่ภู พี่ภูปล่อยไนล์เถอะครับ ไนล์สัญญาไนล์จะไปอยู่เงียบๆ คนเดียวไม่ออกมาให้พี่ภูเห็นให้รำคาญใจอีก”

แต่แทนที่พอผมพูดออกไปแบบนั้นแล้วสถานการณ์จะดีขึ้น กลับกลายเป็นว่าพี่ภูกลับโมโหผมมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เขาใช้แขนข้างที่ว่างรั้งผมเข้ามาใกล้ จนลำตัวที่แนบสนิทของเราใกล้กันจนแทบจะไม่เหลือช่องว่าให้อากาศผ่าน แววตาแข็งกร้าวและดุดันของพี่ภูจ้องมาที่ผมนิ่ง ก่อนที่เจ้าของแววตาคู่ที่กำลังมองผมอย่างเชือดเฉือนจะเอ่ยกล่าวหาผมอย่างใจร้ายใจดำ

“ใช่ นายน่ะมันน่ารำคาญรกหูรกตา! แต่ฉันไม่ปล่อยนายไปให้โง่หรอก.. หึ! นายยอมพาตัวเองเข้ามาหามาคลุกคลีกับฉันอยู่ที่นี่ คิดว่าฉันไม่รู้หรอว่านายอยากได้อะไรจากฉัน”

พี่ภูขยับโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ผมยิ่งกว่าเดิม รวมถึงถ้อยคำรุนแรงที่ทวีความร้ายกาจมากยิ่งขึ้นก็ถูกปล่อยออกมาจากริมฝีปากหยักที่เคยโอ๋เคยปลอบโยนผมเมื่อนานมาแล้วอย่างไม่หยุดหย่อน

“นายน่ะ! มันอยากได้ฉันจนตัวซีดตัวสั่น แต่พอเห็นฉันไม่เล่นด้วยก็เลยเบนเป้าหมายใหม่ไปหาไอ้เทมส์” พี่ภูก้มลงมากัดริมฝีปากผมแรงๆ จนผมร้องโอดโอยออกมาด้วยความเจ็บ “อย่าคิดว่าฉันจะยอมให้นายเอาท่าทางใสซื่อนี่มาหลอกเพื่อนฉัน ... คนที่เหมาะสมกับนายคือฉันนี่ อยากได้ฉันนักไม่ใช่เหรอ? มา! ฉันจะสนองนายให้ถึงใจเลย จะได้เลิกยุ่งวุ่นวายกับไอ้เทมส์มันสักที!!”

ผมตาเหลือกโตด้วยความตกใจเมื่อเห็นพี่ภูคิดเตลิดไปไกลจนแทบกู่ไม่กลับ ผมพยายามดิ้นรน และก็คิดไปด้วยว่าเพราะอะไรถึงทำให้พี่ภูคิดไปได้ว่าผมกำลังอ่อยพี่เทมส์ ในเมื่อการนัดกันของเราสองคนพี่น้องไม่มีใครรู้เลยด้วยซ้ำ แม้กระทั่งคุณแม่ก็ไม่รู้

แต่ดูเหมือนว่าการจะพยายามดิ้นให้หลุดจากอ้อมกอดที่ทั้งแน่นทั้งบีบบังคับนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะไม่ว่าผมจะออกแรงสะบัดให้หลุดมากแค่ไหน ก็ดูเหมือนจะสู้แรงพี่ภูที่กำลังโมโหไม่ได้เลยสักนิด แล้วยิ่งพอผมดิ้นมากๆ เข้าเขาก็โน้มหน้าลงมากัดริมฝีปากผมอย่างแรงจนผมเผลอเปิดปากร้องว่าเจ็บ และพี่ภูก็ใช้จังหวะนั้นประทับริมฝีปากลงมา พร้อมๆ กับสอดลิ้นเข้ามาอย่างจาบจ้วงและหยาบคาย

ผมได้แต่ร้องอื้ออึงอยู่ในลำคอ เพราะไม่สามารถปฏิเสธจูบจากพี่ภูได้เลยไม่ว่าจะในทางไหน เขาบดคลึงริมฝีปากผมอย่างแรง ไม่มีความอ่อนโยนสักนิดในการกระทำ และจูบครั้งนี้ก็เป็นจูบที่เลวร้ายที่สุดตั้งแต่ผมเคยถูกพี่ภูสัมผัสมา

พี่ภูยังคงตั้งตาตั้งตาจูบผมโดยไม่เปิดโอกาสให้ผมได้หายใจ เขาแนบริมฝีปากลงมาแนบแน่นในขณะที่เรียวลิ้นร้อนของเขาก็กวาดต้อนไปทั่วโพรงปากของผม และยังเกี่ยวกระหวัดลิ้นตัวเองมาที่เรียวลิ้นเล็กของผมที่พยายามจะขยับหนีอย่างจนตรอก สุดท้ายผมก็สู้แรงของพี่ภูไม่ไหว ผมปล่อยให้เขาจูบตามอำเภอใจ ในหูได้ยินแต่เสียงเฉอะแฉะของน้ำลาย และแรงบีบคั้นที่มือของพี่ภูที่ตะปบไปตามเอวและสะโพกของผมจนเจ็บไปหมด

ผมภาวนาขอให้พี่ภูจูบผมจนพอใจแล้วปล่อยผมไป เพราะสิ่งที่ภูทำกับผมในวันนี้มันแย่เสียจนใจผมแทบรับไม่ไหว แต่ดูเหมือนว่ามันจะเลวร้ายกว่าที่ผมจินตนาการได้อีก เพราะเมื่อผมรู้สึกโล่งใจที่ในที่สุดพี่ภูก็ยอมปล่อยริมฝีปากผมเป็นอิสระ ผมก็ต้องตระหนกตกใจขึ้นมาอีกครั้งเมื่อพี่ภูจับต้นแขนผมแล้วลากเข้าไปใกล้กับเตียงกว้าง แล้วเหวี่ยงผมที่ไม่ทันตั้งตัวลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่กลางเตียง ก่อนที่เขาจะตามมาคร่อมร่างผมไว้อย่างรวดเร็ว ไม่รอให้ผมได้ทันตั้งตัวหรือได้ทันขยับหนีเขาเลยสักนิด

พี่ภูจับแขนผมทั้งสองข้างตรึงไว้กับเตียงแน่น ในขณะที่สายตาที่เขามองมานั้นทั้งแข็งกร้าว ดุดัน และเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เขาก้มลงมาซุกไซ้ที่ซอกคอ จูบไล่ตามแนวไหปลาร้าและทั่วหน้า เขาประทับริมฝีปากลงมาบนปากผมย้ำๆ ทั้งกดทั้งขบ และทุกการกระทำล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยความหยาบกระด้างผม ราวกับจะลงโทษ

ผมได้แต่นอนตัวสั่น หวาดกลัวไปหมด ราวกับว่านี่เป็นพี่ภูที่ผมไม่รู้จักสักนิด ความรู้สึกเมื่อสิบปีที่แล้วตอนที่ถูกคนใจร้ายที่โรงเรียนพี่เทมส์รุมล้อมเริ่มไหลเข้ามาในสมอง ความกลัวก่อตัวขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันกลับเกิดขึ้นเพราะคนที่เคยช่วยชีวิตผมไว้ในตอนนั้นแทน

“พี่ภู .. ฮึก อึก.. ไนล์ ไนล์ขอโทษครับ ไนล์ทำอะไรผิดไป ไนล์ ฮึก.. ไนล์ขอโทษนะครับ พี่ภูปล่อยไนล์ไปเถอะนะ”

ผมเริ่มร้องไห้และขอร้องคนที่กำลังจ้องมองผมด้วยแววตาที่แปลกไปเสียงสั่น ซึ่งนั่นก็ทำให้พี่ภูหยุดทุกการกระทำและยอมผละออก แต่พี่ภูยังคงนิ่ง นิ่งจนผมเดาอารมณ์เขาไม่ถูกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

“นายมันร้ายกาจ นายใช้ใบหน้าซื่อๆ กับความไร้เดียงสามาหลอกลวงฉัน.. ฉันจะไม่ยอมเป็นไอ้โง่ให้นายหลอกแน่ๆ .. ฉันโดนหลอกมามากพอแล้ว และฉันจะไม่มีวันยอมโดนหลอกอีก”

พี่ภูกัดสันกรามแน่นจนนูนดูก็รู้ว่าเขากำลังข่มอารมณ์และกำลังกล่อมตัวเองให้เชื่อในสิ่งที่เขากำลังคิด

“ไนล์เปล่านะครับ ฮึก.. ไนล์ไม่ .. ไนล์ไม่ได้ทำ” ผมปล่อยให้น้ำตาไหล เมื่อพบว่ามันอาจจะเป็นทางสุดท้ายที่พอจะทำให้พี่ภูใจอ่อนได้ “ไนล์ไม่ได้ทำอะไรจริงๆ นะครับพี่ภู ไนล์ไม่รู้เลยว่าพี่ภูไม่พอใจไนล์เรื่องอะไร พี่ภู.. ฮึก พี่ภูปล่อยไนล์ก่อนเถอะนะครับ ไนล์ขอร้อง ไนล์กลัว ..ฮือออ”

ผมปล่อยโฮและร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับตัวเองเป็นเด็ก ผมยอมรับว่าตอนนี้ใจผมรับไม่ไหว ผมไม่สามารถเข้มแข็งและหลอกตัวเองว่าไม่กลัวได้ พี่ภูในตอนนี้น่ากลัวและอันตรายเกินไป ผมสู้ไม่ไหว และผมกำลังร้องขอเขาอย่างจนตรอก

“โกหก.. นายมันจอมโกหก..”

พี่ภูยังคงพึมพำ แววตาที่เคยแข็งกร้าวในตอนนี้ดูอ่อนลงและปนความสับสนเล็กน้อย ในขณะที่ตากลมของผมถูกกลบไปด้วยน้ำใสที่ไหลคลอหน่วย ผมก็เห็นลางๆ ว่าพี่ภูกำลังจ้องผมนิ่ง ใบหน้าหล่อเหลาของเขาคลายความตึงเครียดลง แต่ที่เห็นชัดเจนมากที่สุดก็คงเป็นความแปลกใจ ความแปลกใจพอๆ กับความสับสนที่ดูเหมือนจะเกิดขึ้นฉับพลันหลังจากที่เขาเห็นผมร้องไห้

“พี่ภู.. พี่ภูปล่อยไนล์เถอะนะครับ ฮึก.. ไนล์เจ็บ ไนล์เจ็บมากจริงๆ” ผมร้องขอเขาทั้งที่ยังร้องไห้ “ไนล์ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด .. ฮือ แต่ไนล์สัญญา สัญญาว่าไนล์จะไม่ทำให้พี่ภูโกรธอีก ไนล์สัญญา แต่พี่ภูปล่อยไนล์ไปเถอะนะครับ ไนล์กลัวแล้ว ฮือออออ”

ผมยังคงร้องไห้ ในขณะที่แรงรัดที่ข้อมือเริ่มคลายออก แต่ผมก็ยังไม่กล้าสะบัดหรือพลิกตัวหนี เพราะกลัวจะทำให้พี่ภูโกรธอีก แต่ลึกๆ ผมรู้ดีว่าพี่ภูกำลังอ่อนลง เขาที่ได้สติกำลังจะกลับมา เพียงแต่ผมจะต้องใจเย็น และไม่ทำอะไรที่จะเป็นการกระตุ้นให้เขาโมโหอีก

ผมได้แต่นอนสะอื้นเงียบๆ ในขณะที่พี่ภูเองก็ยอมปล่อยมือที่ตรึงข้อมือผมไว้ทั้งสองข้างออก ก่อนจะยกขึ้นมาลูบหน้าตัวเองแทนแรงๆ

“โธ่เว้ย!”

พี่ภูสบถลั่น ก่อนที่จ้องหน้าผมอย่างสับสนอีกครั้งและในช่วงเวลาแห่งการวัดใจ .. ในที่สุดพี่ภูก็ยอมผละออกจากการคร่อมผมไว้แล้วไปทรุดลงนั่งบนเตียงข้างตัวผมแทน ให้ผมต้องลุกขึ้นนั่งพรวดแล้วรีบกลัดกระดุมบนเสื้อเชิ้ตของตัวเองอย่างเร่งรีบ ผมไม่รู้ว่าพี่ภูปลดออกตอนไหน แต่ตอนนี้ถ้าจะให้ปลอดภัย ผมต้องรีบออกจากห้องก่อนที่พี่ภูจะโมโหขึ้นมาอีกรอบ

“นะ.. ฮึก ไนล์ขอโทษครับพี่ภู ขอโทษทุกเรื่องเลยครับที่ทำให้พี่ภูไม่พอใจ ฮึก..”

พอพูดจบผมก็รีบวิ่งออกจากห้องของพี่ภูไปเข้าห้องตัวเองทันทีพร้อมกับล็อคห้องอย่างแน่นหนา โดยที่ไม่ได้ทันเห็นเลยว่าสีหน้าของพี่ภูตอนนี้มันย่ำแย่และสับสนแค่ไหนกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ที่ผมรู้คือผมต้องหนีไปตั้งหลักก่อนเท่านั้น แล้วจากนี้จะว่ายังไงกันก็ค่อยคิดอีกที

.

.

.

Kirin’s Part


ผมสับสน ผมสับสนมากๆ นับวันกับไนล์ผมยิ่งสับสน บางครั้งผมก็รู้สึกคุ้นเคย บางครั้งผมก็รู้สึกผูกพัน แต่บางครั้งไนล์ก็ทำให้ผมหงุดหงิดและโมโหอย่างไม่มีสาเหตุได้อย่างน่าประหลาด

ผมโคตรไม่เข้าใจว่าไอ้ความรู้สึกพวกนี้มันคืออะไรกันแน่

วันนี้ผมจำเป็นต้องไปงานเลี้ยงกับแม่ เลยอดห่วงไนล์ที่ต้องอยู่บ้านคนเดียวไม่ได้ เพราะเด็กนั่นมักจะให้ความสำคัญกับผมก่อนตัวเองตลอด ไม่ว่าจะเรื่องอะไร โดยเฉพาะเรื่องกิน ถ้าไม่รอให้ผมกินก่อน อย่างน้อยก็ต้องกินพร้อมผม ซึ่งก็ต้องให้ผมอนุญาตก่อนด้วย ไม่งั้นก็กินไม่ได้ เขาชอบเอาใจผมโดยเฉพาะเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่สุดท้ายมันก็กลายเป็นความเคยชิน

จากที่เคยรำคาญในตอนแรก พอได้อยู่ด้วยกันสักพัก บางอย่างมันก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น

และที่ผมอยากปฏิเสธแทบตาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยนั่นก็คือ ไนล์ทำให้ผมเอ็นดู ... เขามีบางอย่างที่ผมคุ้นเคย ยิ่งอยู่ด้วยกันนานวันยิ่งเห็นชัดเจน

อย่างที่ผมเคยบอกว่าไนล์มักจะให้ความสำคัญกับผมเป็นอันดับแรก เขามักจะร้องเรียกผมด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่ก็สดใสน่าฟัง


'พี่ภูอยากทานอะไรครับ'

'พี่ภูจะกลับดึกไหม'

'พี่ภูจะให้ไนล์รอไหมครับ เผื่อพี่ภูอยากได้อะไรเพิ่ม'


เขามักจะถามผมซ้ำๆ ด้วยคำถามเดิมๆ ที่แรกๆ มันก็ฟังดูน่ารำคาญ แต่นานไปมันก็กลายเป็นความเคยชิน และเพราะผมเพิ่งจะเริ่มเข้าทำงานในบริษัท อะไรหลายอย่างก็ยังไม่ค่อยลงตัว ไม่ว่าจะเป็นเวลากิน เวลานอน หรือเวลาพักผ่อน แต่ไนล์ก็จะพยายามเข้ามาดูแลในส่วนนี้ให้ผมคลายความกังวลลงไปได้บ้าง

เขามักจะตื่นนอนก่อนผมเสมอ และเข้านอนเมื่อผมเข้าห้องเรียบร้อยแล้ว

ผมเลยไม่เคยไปทำงานสาย ได้กินข้าวเช้าก่อนไปทำงานตลอด เสื้อผ้าที่ใส่ก็เรียบกริ๊บ แถมยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ซึ่งเป็นกลิ่นเดียวกับที่ผมได้กลิ่นจากไนล์เสมอ

เขาทำให้ผมใจเย็นมากขึ้น ไนล์ไม่เคยเถียง ไม่เคยก้าวร้าว ไม่ว่าผมจะหงุดหงิดหรือโมโหใส่เขาก็จะรับฟังอย่างใจเย็นเสมอ

และนั่นทำให้ผมเผลอเปิดใจให้เด็กคนนั้นโดยไม่รู้ตัว

และเพราะว่าผมไม่รู้ตัว วันนี้ผมจึงกระวนกระวายแปลกๆ เมื่อไม่ได้กลับไปกินข้าวที่บ้าน หลังจากที่กลับไปกินทุกวันได้ราวเกือบสองสัปดาห์

และนั่นก็คือสาเหตุที่ทำให้ผมตัดสินในโทรหาเจ้าเด็กหน้าซื่อนั่นเพราะกลัวว่าไนล์จะรอให้ผมกลับ และไม่ยอมกินข้าวก่อน


‘ไนล์...’

‘ครับพี่ภู ไนล์ฟังอยู่ครับ’

'เห็นโน็ตเมื่อเช้าแล้วใช่ไหม ฉันติดไว้ที่ตู้เย็น’

‘เห็นครับ ไนล์เห็นพี่ภูติดไว้ที่ตู้เย็น ... ขอโทษทีนะครับที่เมื่อเช้าไนล์เข้าไปอาบน้ำ เลยลำบากให้พี่ภูต้องเขียนโน็ตทิ้งไว้แทน’

‘ไม่เป็นไร มันไม่ยากอะไรก็แค่เขียนไม่กี่บรรทัด.. นี่ฉันก็แค่จะโทรมาเช็คเฉยๆ ว่านายได้รับข้อความฉันแล้ว’

‘ได้รับแล้วครับ’

‘อืม ดี.. หาข้าวหาปลากินไปเลยไม่ต้องรอ ฉันคงกลับดึก’

 ‘ครับ พี่ภูไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ไปงานกับคุณท่านให้สบายใจได้เลย ไนล์ดูแลตัวเองได้’

‘ใครว่าฉันห่วง.. เลอะเทอะ แค่นี้แหละ’


และหลังจากโทรให้เด็กไนล์รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้ว ผมก็กลับมาใจจดจ่ออยู่ในงานเลี้ยงต่อ แต่มันกลับน่าเบื่อมากกว่าที่คิด แม้จะมีคุณวิรัลพัชร เป็นเพื่อนคุยก็ไม่ได้ทำให้ความน่าเบื่อในงานนี้ลดลงไปได้เลย

"คุณภูเบื่อหรอคะ? ดูเซ็งๆ"

ผมหัวเราะนิดหน่อยก่อนจะพยักหน้ารับ "ชัดเจนขนาดนั้นเลยหรอครับ ผมว่าผมเก็บอาการแล้วนะ"

คุณวิรัลพัชรยิ้มให้คำพูดผม ก่อนที่เราจะพูดคุยกันต่อนิดหน่อยแต่ผมก็ยังคงเบื่อมากอยู่ดี และสุดท้ายผมก็ทนไม่ไหว เมื่อคิดได้ว่าบางทีไนล์อาจจะรับปากว่าจะกินข้าวไปอย่างนั้น แต่ไม่ยอมกิน จนกว่าจะได้เห็นผมกลับบ้าน ก็ได้

เอาจริงเห็นแบบนั้นคือไนล์เองก็ดื้อใช่ย่อยเลยนะ บางทีก็ทำงงทำมึนดื้อตาใสไม่ยอมทำตามที่ผมบอกเสียแบบนั้น

ซึ่งพอคิดได้แบบนั้น ไอ้ความห่วงที่อยู่ลึกๆ ก็กลับมาอีก ประจวบเหมาะกับเห็นแขกในงานเริ่มบางตาลงบ้างแล้ว ผมเลยตัดสินในไปชวนแม่กลับบ้าน

"ขอตัวกลับก่อนนะครับคุณรัน"

"อ่าว ทำไมคุณภูจะกลับไวล่ะคะ? งานเพิ่งเริ่มได้สักพักเองนะคะ"

"พอดีผมนึกได้ว่ามีธุระต่อ ยังไงลาคุณรันตรงนี้เลยแล้วกันนะครับ ไว้เจอกันที่ออฟฟิศครับ"

เธอพยักพยักหน้ารับ ก่อนที่ผมจะรีบเดินไปตามหาแม่ที่ตอนนี้หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ และพอเจอมารดา ผมก็ตรงดิ่งชวนเธอกลับบ้านทันที

"กลับกันเถอะครับแม่ เดี๋ยวภูไปส่ง"

"อ่าว ทำไมจะรีบกลับล่ะคะพี่ภู เราเพิ่งจะมาเองนะ แม่ว่าอยู่ต่อเถอะ มีนักธุรกิจอีกมากที่แม่อยากให้พี่ภูรู้จักเยอะแยะเลยนะ

ผมถอนหายใจ เพราะไม่ค่อยอยากจะทำความรู้จักใครสักเท่าไหร่ แต่ดูท่าแม่จะไม่ยอม ยังคะยั้นคะยอให้ผมอยู่ต่อ

ผมเลยตัดสินใจ พูดกับแม่ไปตามตรงเพราะแม่ก็ดูเอ็นดูเด็กไนล์อยู่น้อย

"ผมว่าจะกลับไปดูคนโปรดของคุณแม่สักหน่อย ไม่รู้ทิ้งให้อยู่คนเดียวจะกินอะไรรึยัง"

"พี่ภูหมายถึงไนล์หรอคะลูก"

"จะมีใครซะอีกล่ะครับ คนโปรดที่สุดของคุณแม่ ก็มีอยู่คนเดียว"

"อ่าว แล้วทำไมไม่บอกแม่ตั้งแต่แรกล่ะคะพี่ภู ไปค่ะกลับๆ"

...แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะมากขนาดนี้ เพราะคุณแม่เล่นตรงดิ่งไปขึ้นรถทันทีไม่มีต่อรอง แถมยังเร่งให้ผมรีบขับไปส่งท่าน และไล่ผมกลับคอนโดทันที ทั้งที่เมื่อกี้แทบจะรั้งแล้วรั้งอีกให้ผมอยู่ต่อ

พอผมถามว่าทำไมแม่ต้องรีบไล่ให้ผมกลับขนาดนี้ ท่านก็ตอบให้ได้ชื่นใจทันทีว่า กลัวเด็กไนล์จะยังไม่ได้กินอะไร

ซึ่งนั่นก็คือเหตุผลทั้งหมดที่ทำให้ผมกลับจากงานเลี้ยงเร็วขึ้นก่อนเวลาปกติอยู่เกือบชั่วโมง

และแทนที่เรื่องระหว่างผมกับไนล์ที่ดีขึ้นมากแล้วจะดีขึ้นไปอีก เพราะอะไรต่างๆ ที่เปลี่ยนไป มันก็กลับไม่เป็นแบบนั้น เพราะเมื่อผมกลับมาถึงคอนโดแล้วพบว่า เด็กที่ผมเป็นห่วงเป็นใยกำลังหน้าระรื่นเดินกอดแขนกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทของผม ลงมาจากคอนโด

ไนล์กำลังเดินไปส่งไอ้เทมส์ที่รถ ที่ริมฝีปากของคนทั้งคู่มีรอยยิ้ม ไอ้เทมส์ยิ้มให้ไนล์อย่างอบอุ่น ในขณะที่ไนล์เองก็ยิ้มหวานจนตาหยีส่งให้ไอ้เทมส์เหมือนกัน ทั้งคู่ดูสนิมสนมกันมากกว่าที่ผมคิด แต่ไม่ใช่ความสนิทสนมกันในแง่เจ้านายลูกน้อง แต่เป็นความสนิทสนมกันในแง่ที่ใครก็ต้องมองออกว่ามันไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่ปกติธรรมดา

ดูเหมือนว่าไอ้เทมส์จะแวะมา .. แวะมาทั้งๆ ที่ผมไม่อยู่ มีเด็กนี่อยู่คอนโดแค่คนเดียว มันจะมีเหตุผลอะไรได้ ถ้าไม่ใช่ทั้งคู่นัดแนะจะมาเจอกันลับผลังผม

ผมยอมรับว่าผมโมโหมาก ผมอยากจะเดินตรงเข้าไปกระชากแขนไนล์ให้ถอยออกห่างจากไอ้เทมส์ แต่ก็ต้องข่มอารมณ์ไว้ และทำได้แค่มองดูภาพความสนิมสนมของคนทั้งสอง เพราะผมรู้ดีว่าถ้าผมเข้าไปตอนนี้ สุดท้ายก็หนีไม่พ้นตรงที่ไอ้เทมส์เข้าข้างไนล์แบบค้างๆ คูๆ แล้วเด็กนั่นก็จะได้คะแนนความสงสารจากเพื่อนผมมากขึ้นไปอีก และผมยอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้

ผมปล่อยให้ไอ้เทมส์กับไนล์ร่ำลากันเสียให้พอ ส่วนตัวเองก็มานั่งคิดหาวิธีว่าจะทำยังไงกับเด็กมากเล่ห์คนนี้ดี อยู่กับผมก็ทำเป็นใสซื่อไร้เดียงสา ตีหน้าน่าสงสาร แต่พออยู่กับไอ้เทมส์นี่ระรื่นมาก ยิ้มจนปากแทบฉีกถึงหู ซึ่งก็ดูแล้วว่าไอ้เทมส์คงเอ็นดูอยู่ไม่น้อย แต่ผมจะไม่มีวันยอมให้เพื่อนสนิทของตัวเองตกหลุมพรางของเด็กนั่นเด็กขาด ผมจะเป็นคนดึงไนล์ออกมาจากเพื่อนสนิทของผมเอง แต่จะด้วยวิธีไหนหรือยังไงผมก็ยังคิดไม่ออก

จนกระทั่งผมกลับเข้ามาที่คอนโด แล้วไนล์ก็ทำให้ผมโกรธจนสติหลุด

เด็กนั่นทำเป็นใสซื่อ ทำเป็นไม่มีเล่ห์เหลี่ยมแต่กลับตามเข้ามาอ่อย มาให้ท่าผมถึงในห้อง ผมยอมรับว่าผมขาดสติเพราะลึกๆ ตัวผมเองก็พอใจในตัวไนล์อยู่ไม่น้อย ผมจะไม่ปฏิเสธความจริงในข้อนี้ ข้อที่ว่าผมถูกใจไนล์ตั้งแต่แรกเห็น และผมก็รู้ด้วยว่าไนล์เองก็ชอบผมอยู่บ้าง ผมไม่ได้หลงตัวเอง แต่โตมาจนป่านนี้แล้วทำไมผมจะมองสายตาที่ไนล์ใช้มองผมไม่ออก แต่เพราะอะไรหลายๆ อย่างในตัวเด็กคนนี้ที่ดูไม่ชัดเจนเลยสักอย่างในช่วงแรกๆ เลยทำให้ไม่อยากจะพาตัวเองไปเกี่ยวข้องด้วย

เพิ่งจะมีระยะหลังที่ผมลดการ์ดป้องกันตัวเองลง เพราะคิดว่าไนล์ไม่ใช่เด็กเลวร้ายอะไร และความไว้ใจก็ทำให้ผมมองคนพลาดอีกครั้ง เมื่อข้อพิสูจน์ของวันนี้ทำให้ผมเห็นว่าผมมองไนล์ผิดไป ไนล์ไม่ได้ใสซื่อและไร้เดียงสาเลยสักนิด

และฟางเส้นสุดท้ายของผมก็ขาดลงเมื่อไนล์ตามเข้ามาหาผมถึงในห้อง

สมองผมตอนนั้นได้แต่คิดว่าในเมื่อเด็กมันอยาก ผมก็จะสนองให้อย่างถึงอกถึงใจ คงจะอยากได้ทั้งผม ทั้งไอ้เทมส์ถึงได้ทำตัวแบบนี้ ซึ่งผมจะไม่มีวันยอมให้ไนล์สมหวัง เพราะผมตั้งใจแล้วว่าถ้าผมได้ครอบครองเด็กคนนี้เมื่อไหร่ ผมจะเปิดโปงความเหลวแหลกของไนล์ให้ไอ้เทมส์รู้มันจะได้เลิกหน้ามืดตามัวสักที

และอีกอย่างลึกๆ ที่ผมไม่อยากจะปฏิเสธ แต่ก็รู้สึกแย่เกินกว่าที่จะยอมรับออกมาตามตรง นั่นก็คือ ผมอยากได้เด็กคนนั้น ผมพอใจ ผมปรารถนา และส่วนลึกในใจของผมก็ร่ำร้อง คิดว่าถ้าได้เชยชมเด็กมากเล่ห์นั่นสักครั้งแล้วผมอาจจะลบความต้องการที่ฝังแน่นนี่ไปสักทีก็ได้

ดังนั้นการที่ไนล์ตามผมเข้ามาถึงในห้องก็ทำให้ความยับยั้งชั่งใจของผมหมดลง ผมไร้สติประกอบกับปล่อยให้อารมณ์โกรธเข้าครอบงำ ผมเลยเผลอปล่อยให้ตัวเองทำตามใจที่ต้องการอยู่ลึกๆ ผมทั้งจูบ ทั้งซุกไซ้ สูดดมเอาความหอมของกลิ่นกายเด็กนั่นอย่างมัวเมา ยิ่งได้สัมผัส ได้ชิดใกล้ ได้ครอบครองตัวเด็กคนนั้นยิ่งทำให้ผมขาดสติ

แต่แล้วทุกอย่างก็หยุดชะงัก เมื่อไนล์ร้องไห้ และขอร้องผมทั้งน้ำตาอย่างน่าสงสารว่าให้หยุด

สติที่ขาดหายไปของผมกลับมาอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นน้ำตาที่ไหลลงมาไม่หยุดของเด็กใต้ร่าง เขาทั้งร้องไห้ ทั้งตัวสั่น นัยน์ตาเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก ภาพของไนล์ที่ผมเห็นตรงหน้าทำให้ผมชะงักอย่างที่ไม่เคยเป็น ผมคุ้นเคยและรู้สึกเหมือนเห็นภาพแบบนี้มาก่อน และนั่นทำให้ใจผมเจ็บไปหมด เพราะแทบจะรับรู้ได้เลยว่าไนล์หวาดกลัวมากแค่ไหน ผมรู้ผมดูออกว่ามันไม่ใช่การแกล้งทำ ไนล์ดูหวาดกลัวและตกใจมากจริงๆ เขาขอร้องผมอย่างน่าสงสารว่าให้หยุดและปล่อยเขาไป

ผมคลายมือที่กำแน่นจากการกำต้นแขนของไนล์และผละออกจากร่างเล็กอย่างสำนึกผิด เด็กคนนั้นตะกายลงจากเตียงและวิ่งหนีเข้าห้องตัวเองไปทันทีเมื่อได้รับอิสระจากพันธนาการของผม

ในขณะที่ผมเองก็ได้แต่มองเด็กคนนั้นไปด้วยแววตาสับสน ภาพที่ไนล์กอดแขนเทมส์พร้อมยิ้มอย่างร่าเริงซ้อนทับกับไนล์ที่นอนน้ำตาไหลอย่างน่าสงสาร ทำให้ผมต้องยกมือขึ้นมาทึ้งศีรษะด้วยความปวดหัวเพราะไม่เข้าใจว่าที่จริงแล้วไนล์เป็นเด็กยังไงกันแน่

แต่แล้วความคิดบางอย่างก็สว่างวาบเข้ามาในหัว .. หรือว่าไนล์จะชอบไอ้เทมส์ ท่าทีที่ไนล์มีต่อมันจึงไม่เหมือนกับเวลาที่ไนล์อยู่กับผม

ผมส่ายหน้าอย่างไม่ยอมรับ ความรู้สึกหวงแหนแล่นพล่านขึ้นมาในอก แต่ผมก็ยังคงพร่ำบอกตัวเองว่าผมไม่เชื่อ ผมไม่ยอมรับ ผมรู้ดีว่าคนที่ไนล์ชอบและแอบรักอยู่คือตัวผมเอง ไม่งั้นไนล์จะมาอยู่กับผมทำไม และผมก็พยายามบอกกับตัวเองว่าสิ่งที่ไนล์แสดงอกกับไอ้เทมส์ต่างหากนั่นคือสิ่งที่หลอกลวง และผมก็มีหน้าที่ที่ต้องช่วยไม่ให้เพื่อนตัวเองตกหลุมพรางที่เด็กคนนั้นสร้างขึ้น

ผมจะเอาไนล์มาเป็นของตัวเองให้ได้ และผมก็จะต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ว่า การที่ไนล์เข้ามาหาพาตัวเองเข้ามาอยู่ในชีวิตผมครั้งแล้วครั้งเล่านั่นก็เพราะเขาแอบรักผมอยู่

มันก็เหมือนกับที่มีคนบอกนั่นแหละว่าเรื่องบางเรื่อง หรือการกระทำบางอย่างนั้นไม่ควรเริ่มหรือทำให้เกิดขึ้นถ้ารู้ว่าตัวเองจะห้ามใจไม่ได้ ซึ่งผมได้ก้าวข้ามผ่านเส้นที่ว่านั่นมาแล้ว เพราะเมื่อผมได้แตะต้องไนล์หนึ่งครั้ง ความต้องการที่ผมมีต่อเขาก็กลับมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

แต่ผมไม่ใช่คนจนตรอกที่จะต้องบีบบังคับให้เขามาเป็นของผม และผมก็มีหนทางที่แยบยลกว่านั้นที่จะทำให้เขาเต็มใจเป็นของผมให้ได้ เพราะไม่ว่ายังไงผมก็ต้องดึงไนล์ออกจากไอ้เทมส์ ผมจะไม่มีวันยอมให้เพื่อนของผมถูกเด็กนี่หลอก หรือถูกปอกลอกให้ต้องเสียใจ

และผมจะเป็นคนหยุดทุกอย่างเอง ไม่ว่าไนล์จะเป็นเด็กยังไงก็ตาม

ผมไม่จำเป็นต้องหาคำตอบ เพราะสุดท้ายแล้วผลลัพธ์ของผมมีเพียงแค่ ผมไม่ต้องการให้เพื่อนสนิทถูกหลอกเด็ดขาด และผมก็จะทำทุกทางเพื่อดึงเด็กไนล์ออกมา โดยเอาตัวเองนี่แหละเป็นเป้าหมายของเด็กนั่นแทน

.

.

To Be Continue

-------------------------------------------------------

**ย้ำอีกครั้งนะคะ เนื้อหาในบางฉากบางตอนของแช็ปเตอร์นี้มีการใช้ภาษาไม่เหมาะสม และมีความรุนแรงทางเพศและการใช้อารมณ์ ขอให้ผู้อ่านใช้วิจารณญาณด้วยนะคะ**

มันก็จะสวิงๆ เหมือนอารมณ์คนวัยทองหน่อยนะคะ ก่อนจะเข้าช่วงที่ผีบ้าออกจากร่างอิพี่ภู น่าจะอีกสองสามตอน ก็จะเข้าช่วงพีค อยากบีบมือทุกๆ คนให้อดทนไปพร้อมๆ กับเรา 5555555555

อย่าเพิ่งเทกันน้าาา เดี๋ยวก็ดีขี้นแน้ววว รอจั๊กกะติ๊ดจั๊กกะหน่อย ปล่อยให้พี่ภูนางเป็นผีบ้าผีบอไปก่อนเนาะ 555555555

ฝากติดแท็ก #พี่ภูของผม ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ สำหรับคอมเม้นท์เรายังคงรออ่านความเห็น คำติ-ชมจากทุกคนอยู่เสมอเด้อ ถ้ามีอะไรให้แก้ไขปรับปรุง บอกได้นะคะ เรายินดีรับฟังแล้วเอาไปพัฒนา (แต่ขอแบบซอฟต์ๆ หน่อยนะคะ อย่าว่าหนูแรง หัวใจหนูบอบบาง 555555)

ยังไงเจอกันตอนหน้าค้าบบ ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์และทุกกำลังใจนะคะ รักพวกคุณมากๆ อยู่ด้วยกันไปจนจบเรื่องเลยน้าาา .. เริ้บๆ

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
อ่านต่อด้านล่างอยู่ที่ไหนมายังเอ่ยย

ลงให้แล้วค้าบบบ

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
อยากอ่านอีก
อยากอ่านอีก

อิตาพี่ภู​ รีบจำน้องได้สักทีนะ

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
"....โดยเอาตัวเองนี่แหละเป็นเป้าหมายของเด็กนั่นแทน.... 555555555 ทำเนียนๆ ยอมตกหลุมเขาเลยสิ ดึงไม่ขึ้นนะ มีแต่หัวปักหัวปำ แล้วจะรู้เองละ 55555 พี่ภูผีบ้าจริงๆ แต่ก็แอบเข้าใจความผีบ้าของแกนะ เมื่อไม่รู้ ไม่มีใครบอก ก็คิดไปโน้นเลย ไปดาวอังคาร ไม่แปลกที่จะไม่พอใจหรือเข้าใจผิด เดี๋ยวเถอะๆพอรู้ความจริงจะหงายเงิบ 5555 ช่วยอย่าร้ายกับไนล์ได้ไหม เห็นละเหนื่อยแทน เหนื่อยแทนแกเนี้ยไอ้พี่ภู ย้อนแย้งในตัวเองสุด 55555 อยากอ่อนโยน เอ็นดู ต้องการเขานะแต่ก็ร้ายใส่ ถ้าเหนื่อยก็ทำตามใจเถอะอยากดีกับเขาก็ทำดี ไม่อยากร้ายก็ไม่ต้องร้ายนะคุณพี่ภู อย่างน้อยพี่แกก็ดีนะ ไม่ฝืนขืนใจไนล์ต่อ เอ้อจ้ารอให้เขาเต็มใจนะ มันถึงจะดี อิอิ สนุกกกกกกมากค่า อ่านต่อกันยาวเลย ขอบคุณนะคะที่แต่งมาต่อ รออ่านเสมอค่ะ รอตอนหน้าเลยจะไอ้พี่ภูจะมีความผีบ้าอะไรอีก จบ3เดือนไนล์ต้องไปพบจิตแพทย์ไหมเนี้ย ชักเริ่มห่วง 55555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ bpyt

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1340
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
อยากเอาน้ำมนต์​มาสาดผีบ้าในตัวพี่ภู

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
กลืนน้ำลายตัวเองแล้วพี่ภู

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
มาลองตามดู

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
Universe 16th :  ตัวแปร


ผมไม่กล้าเข้าใกล้พี่ภูอีกนับตั้งแต่วันนั้น

ผมพยายามพาตัวเองออกมาให้ห่างจากเขามากที่สุด ผมรู้ว่าลึกๆ แล้วพี่ภูไม่ใช่คนใจร้ายอะไร ไม่งั้นวันนั้นเขาคงไม่ปล่อยให้ผมรอดมาได้ทั้งๆ ที่เขามีโอกาสจะทำอะไรต่อมิอะไรก็เถอะ แต่ถึงแม้จะรู้อย่างนั้นผมก็อดกลัวเวลาพี่ภูโมโหจนขาดสติไม่ได้อยู่ดี ดังนั้น การอยู่ให้ถูกที่ถูกทางและห่างพี่ภูมากที่สุดนั่นแหละถึงจะเป็นสิ่งที่ผมควรทำในเวลานี้

แต่ที่น่าแปลกก็คือ กลับกลายเป็นพี่ภูที่พยายามจะเข้าหาผมแทน ซึ่งในเช้าวันนี้ก็เหมือนกัน

“ไนล์ ไปเอาจานมากินพร้อมกัน ไม่ต้องไปกินแยกในครัว”

ผมเหลือบมองคนพูดด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นัก อยากปฏิเสธแต่ก็ไม่กล้า เพราะประโยคที่พี่ภูพูดไม่ใช่ประโยคบอกเล่า แต่ดูเหมือนจะเป็นประโยคคำสั่งมากกว่า ผมเลยตัดสินใจเอาป้ามลมาอ้างว่าจะไปกินเป็นเพื่อนแก แต่พี่ภูก็ใช่ว่าจะยอม

“แต่ว่าป้ามล...”

“ฉันสั่ง! ไปหยิบจานมา”

พี่ภูพูดเสียงเรียบแถมยังมองผมด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกอีกต่างหาก ให้ผมต้องก้มหน้าเดินไปหยิบจานช้อนและแก้วน้ำอีกชุดมานั่งตรงข้ามกับพี่ภู และหลังจากตักข้าวใส่จานตัวเองเรียบร้อย ผมก็นั่งทานเงียบๆ พยายามทำตัวให้ล่องหนที่สุด เพราะไม่อยากให้พี่ภูหงุดหงิดใจ

“กินเสร็จแล้วจะพาไปห้าง ไปซื้อของใช้ในบ้าน แล้วก็ไปซื้อของใช้ให้นายด้วย”

และหลังจากที่นั่งทานไปได้พักใหญ่ พี่ภูก็พูดขึ้นให้ผมต้องเลิ่กลั่กเพราะไม่คิดว่าตัวเองจะต้องออกไปไหนกับพี่ภู

“พี่ภูไปกับป้ามลดีกว่าไหมครับ ป้ามลน่าจะพอรู้ว่ามีของอะไรบ้างที่หมดแล้วต้องซื้อ เดี๋ยวไนล์จะซักผ้าแล้วก็ทำความสะอาดบ้าน..”

“ฉันว่า ฉันเพิ่งพูดว่าจะพานายไปซื้อของนะ” พี่ภูพูดพลางจ้องหน้าผมนิ่ง ให้ผมต้องรีบก้มหน้าหลบตาทันที “มันมีตรงไหนเข้าใจยากเหรอไนล์”

“ครับ ไนล์เข้าใจแล้ว”

“เดี๋ยวให้ป้ามลเช็คของใช้ในบ้าน แล้วนายก็จดมาว่าต้องซื้ออะไรบ้าง รวมทั้งของที่นายต้องใช้ด้วย ซื้อมาให้เสร็จ”

พี่ภูร่ายยาว ในขณะที่ผมตั้งท่าจะอ้าปากบอกว่าไม่ต้องซื้อของของผมก็ได้ พี่ภูก็พูดขัดขึ้นมาเสียก่อน

“อย่าเถียง” เขาจ้องหน้าผมดุๆ ทำเอาผมต้องหุบปากลงอัตโนมัติ “ส่วนเรื่องซักผ้ากับทำความสะอาดบ้านก็ให้ป้ามลเขาทำไป มันเป็นหน้าที่เขาอยู่แล้ว ไม่ต้องเหมามาทำเองเสียทุกอย่าง”

“ครับ”

“รีบๆ กิน จะได้รีบไป เดี๋ยวบ่ายกว่าแล้วห้างจะคนเยอะ”

“ครับพี่ภู”

ผมได้แต่นั่งกินข้าวเคล้าด้วยความไม่สบายใจ พักนี้พี่ภูพยายามพาตัวมาติดกับผมมากจนผมหวั่นๆ ไม่ใช่ว่าผมอึดอัดหรือไม่ชอบใจอะไร เพียงแต่ผมแค่ไม่ชินและก็รู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทางก็เท่านั้น

อีกอย่างผมก็รู้สึกว่าพี่ภูแปลกๆ ด้วย บางครั้งเขาก็ชอบมองหน้าผมแล้วก็ดูมีอะไรในใจ แต่ก็นั่นแหละ บางทีผมอาจจะคิดมากไปเองก็ได้

.

.

.

“อยากได้อะไรก็หยิบเอา แล้วค่อยไปจ่ายเงินทีเดียว”

พี่ภูสั่งตอนที่เข็นรถเดินตามผมที่กำลังเลือกซื้อของตามโพยที่ป้ามลจดมาให้ ตอนแรกผมบอกว่าผมจะเข็นเองพี่ภูก็ไม่ยอม เขาหาว่าผมขาสั้นแล้วก็เดินช้า ถ้าทั้งเข็นทั้งหยิบวันนี้มีหวังได้ถึงบ้านเที่ยงคืนแน่ๆ

เราสองคนเถียงกันอยู่นาน เพราะผมเองก็ไม่ยอมให้พี่ภูเข็น แหงล่ะจะให้ยอมได้ยังไงในเมื่อพี่ภูอยู่ในฐานะนายจ้างของผม จะให้นายจ้างมาทำอะไรแบบนี้ให้ลูกน้อง ผมก็ว่ามันออกจะประหลาดไปสักหน่อย

และในขณะที่ผมก็ดึงดัน พี่ภูเองก็ดุใส่ ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน แต่สุดท้ายก็เป็นผมที่แพ้เมื่อพี่ภูพูดกับผมด้วยสีหน้านิ่งๆ ว่า


‘จะให้ฉันเข็นแล้วไปซื้อของดีๆ หรือจะต้องถูกจูบตรงนี้ก่อนถึงจะยอมได้ หื้อ?’


เท่านั้นล่ะ ผมปล่อยมืออกออกจากรถเข็นแล้วเดินลิ่วนำพี่ภูเข้าห้างทันที พร้อมกับแก้มและหน้าที่ร้อนฉ่าและขึ้นริ้วสีแดงเถือก

มันอดยอมรับไม่ได้จริงๆ ว่าคำพูดพวกนี้ของพี่ภูมักจะทำให้ผมใจเต้นแรง แม้พี่ภูจะพูดออกมาอย่างนั้นเอง เขาไม่ได้คิดอะไรด้วยซ้ำตอนพูด แต่ถึงอย่างนั้นผมก็อดเอามาเขินไม่ได้ ... ก็อย่างที่บอกแหละว่าความรู้สึกมันไม่เท่ากัน ยังไงคนที่รู้สึกมากกว่าก็เสียเปรียบวันยังค่ำอยู่แล้ว

สุดท้ายเรื่องก็ลงเอยตรงที่ว่าพี่ภูได้เป็นคนเข็นรถ ส่วนผมก็เป็นคนหยิบของลงรถ ตามคำสั่งของคุณผู้ชายของบ้าน

“ไม่เป็นไรครับ ไนล์ยังไม่มีอะไรต้องซื้อ ไว้เดี๋ยวถ้าของของไนล์หมด ไนล์ค่อยออกมาซื้อเองก็ได้ครับ”

พี่ภูหันมองผมดุๆ ก่อนจะพูดในสิ่งที่ทำให้ผมต้องลอบถอนหายใจ “ซื้อไปนั่นแหละ อย่าให้ต้องพูดหลายรอบ”

ผมที่กำลังจะอ้าปากเถียงก็ต้องหุบปากลงเมื่อเห็นว่าพี่ภูยังคงใช้สายตาดุดันมองผมไม่เลิก ผมตัดสินใจหยิบแชมพู ครีมนวดผม และโลชั่นที่ใช้ไปอย่างละขวด ตั้งใจว่าซื้อไปก่อน อะไรที่เป็นของส่วนตัวจริงๆ ค่อยมาซื้อทีหลัง ไม่ใช่เพราะอยากจะทำลิงหลอกเจ้าใส่พี่ภู แต่ของใช้บางอย่างของผมเป็นยี่ห้อที่เด็กไนล์หลานของแม่บ้านบ้านพี่ภูไม่น่าจะมีปัญญาซื้อใช้แน่ และถ้าขืนหบิยไปตอนนี้ มีหวังพี่ภูได้สงสัยจนเกิดเรื่อง

เราสองคนเดินเลือกซื้อของอยู่พักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ผมกับพี่ภูก็ต้องชะงัก และหาเจ้าของเสียงหวานๆ ที่จู่ๆ ก็ร้องเรียกพี่ภูมาจากฝั่งตรงข้ามโซนของที่เราเลือกซื้อไม่ใกล้ไม่ไกล

“คุณภูคะ.. คุณภู”

ผมหันมองตามสายตาพี่ภูจนไปหยุดที่ผู้หญิงคนหนึ่ง เธอตัวสูง หุ่นดี และที่สำคัญก็คือสวยมากๆ สวยพอๆ กับคุณแพ็ตตี้เลย แต่ถึงแม้เธอจะดูดีเทียบเท่าคุณแพ็ตตี้แต่ผมว่าเธอมีบรรยากาศบางอย่างที่แตกต่างกับคุณแพ็ตตี้ของผมโดยสิ้นเชิง

เธอยิ้มหวานให้พี่ภูที่เดินเข้าไปทักทาย และตัวพี่ภูเองก็มีรอยยิ้มบางๆ ที่แสนสุภาพประดับอยู่บนริมฝีปากหยักด้วยเช่นกัน พี่ภูมองเธออย่างอ่อนโยน และเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงที่ผมไม่ได้ยินมานานแล้ว ... น้ำเสียงที่อบอุ่นของพี่ภู

“สวัสดีครับคุณรัน มาซื้อของเหรอครับ”

“ใช่ค่ะ พอดีวันนี้ว่าง รันก็เลยมาซื้อของเข้าคอนโดสักหน่อย พักหลังยุ่งจนไม่มีเวลา ตอนนี้แทบจะเหลือแต่น้ำเปล่าติดตู้เย็น”

ผู้หญิงที่พี่ภูเรียกว่าคุณรันตอบพี่ภูเสียงหวาน สายตาที่เธอใช้มองพี่ภูดูก็รู้ว่าเธอพึงพอใจในตัวเขามากแค่ไหน แต่ผมก็ไม่ได้รู้จักหรอกว่าคุณรันนี่คือใคร รู้แค่ว่าพี่ภูค่อนข้างให้เกียรติและดูอบอุ่นมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อเริ่มพูดคุยกับเธอ

ผมยืนมองทั้งสองคุยกัน โดยที่ไม่รู้ว่าพี่ภูลืมไปแล้วหรือยังว่าผมยังยืนอยู่ตรงนี้ แต่ผมก็ไม่กล้าเอ่ยทักหรือขัดจังหวะอะไร มันไม่ใช่หน้าที่ของเด็กรับใช้ที่จะเอ่ยแทรกเจ้านายได้ ดังนั้น ผมเลยได้แต่ยืนก้มหน้ารอเงียบๆ ยืนฟังเขาสองคนคุยกันอย่างออกรส

“ผมไม่แปลกใจเลยครับที่ว่าคุณรันยุ่ง เพราะจากที่คุณรันให้คำปรึกษาเรื่องโปรเจ็คมิกซ์ยูสมา ทำให้ผมกับเทมส์ทำงานง่ายขึ้นมาก รู้เลยว่าทำไมคุณรันถึงได้เป็นโปรเจ็คเมเนเจอร์ของมิกซ์ยูสโครงการที่แล้ว”

“โถ่คุณภู” ผมเหลือบมอง ก็เลยทันได้เห็นคุณรันยื่นมือแตะที่แขนพี่ภูเบาๆ แล้วก็ต้องใจแฟบ เพราะพี่ภูไม่ได้ดึงแขนหนี แถมยังยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยนด้วยซ้ำ “รันก็ไม่ได้เก่งอะไรขนาดนั้นหรอกค่ะ อาศัยว่าศึกษาและทำงานกับโครงการนี้มานาน ก็เลยค่อนข้างที่จะรู้อะไรมากกว่าคนอื่น”

“นั่นแหละครับ คุณรันช่วยผมกับทีมได้มากเลย คุณแม่เองยังเอ่ยปากว่าสงสัยถ้าไม่ได้คุณรันมาช่วยเราคงแย่... ถ้ามีอะไรให้ผมกับบริษัทช่วยเหลือคุณรันได้บ้างทางเราก็ยินดีนะครับ”

“รันไม่มีอะไรให้คุณภูช่วยหรอกค่ะ แค่เลี้ยงข้าวรันสักมื้อ รันก็ดีใจแล้ว”

ผมยังคงยืนอยู่ตรงนั้นและได้ยินหมดทุกบทสนทนาระหว่างพี่ภูกับผู้หญิงคนนั้น และสิ่งหนึ่งที่ผมสัมผัสได้ก็คือพี่ภูเองก็ดู.. พอใจและประทับใจในตัวคุณรันอยู่ไม่น้อย เห็นได้จากการที่เขาแทบจะลืมไปเลยว่าผมยังคงยืนรออยู่ตรงนี้

และด้วยความที่พี่ภูกับคุณรันยืนอยู่ตรงติดทางที่เกือบจะเลี้ยว ทำให้กลายเป็นผมที่ต้องยืนอยู่ตรงมุมเลี้ยวอย่างเลี่ยงไม่ได้ และมันก็ไม่มีพื้นที่อื่นให้ผมยืนรอแล้วนอกจากตรงนี้ ซึ่งผมก็โดนคนเข็นรถชนแขนไปสองสามรอบแล้ว แต่ก็ยังคงไม่กล้าบอกพี่ภูเพราะกลัวโดนพี่ภูดุที่พูดแทรกขึ้นมาในขณะที่กำลังคุยกับแขกอยู่

“ได้สิครับ ยินดีมาก คุณรันว่างเมื่อไหร่ก็บอกผมได้เลย เดี๋ยวผมกับเทมส์เป็นเจ้ามือเลี้ยงข้าวคุณรันเอง”

“แต่เหมือนรันจะว่างวันนี้...” คุณรันแขกของพี่ภูเหลือบมองมาทางผมนิดหน่อย ให้พี่ภูต้องมองตาม “เอ่อ ว่าแต่นี่ใครหรอคะ? รันก็คุยเพลินเลย ลืมถามคุณภู .. น้องชายคุณภูหรอคะ?”

เธอยิ้มหวานดูเป็นมิตรให้ผม ผมเลยยิ้มตอบ นึกโล่งใจที่เธอเองก็ดูเป็นมิตรไม่น้อย ทำให้ผมคิดได้ว่าเธอคงใจดีไม่แพ้คุณแพ็ตแน่ๆ ซึ่งเอาจริงผมดีใจนะ ที่ผู้หญิงที่อยู่รอบๆ ตัวพี่ภูตอนนี้มีแต่คนน่ารัก เผื่อถ้าพี่ภูไม่มองหรือไม่สนใจผม แต่อย่างน้อยผมก็พอสบายใจได้ว่าทั้งคุณรันและคุณแพ็ตจะเป็นตัวเลือกที่ดี ที่ทำให้พี่ภูลืมคนรักเก่าได้

เพราะตั้งแต่กลับมาก็ไม่บ่อยนักหรอกที่ผมจะเห็นพี่ภูดูสุภาพและอ่อนโยนขนาดนี้

“อ๋อ...เปล่าหรอกครับ นี่เด็กที่ช่วยดูแลบ้านน่ะครับ พอดีวันนี้เขาจะออกมาซื้อของผมเลยพามา”

แต่พอหลังจากจบคำที่พี่ภูแนะนำ สีหน้าคุณรันที่เคยยิ้มแย้มก็เปลี่ยนไป เธอมองผมด้วยสายตาที่ไม่เหมือนเดิม แถมยังกวาดมองไปทั่วตัวจนผมรู้สึกไม่ค่อยดี

“คุณภูหมายถึงเด็กรับใช้หรอคะ?”

“เอ่อ.. อ่อ ก็ทำนองนั้นครับ”

ผมก้มหน้าจนชิดอกเมื่อได้ยินพี่ภูบอกอีกฝ่ายไปแบบนั้น มันไม่ใช่ความรู้สึกน้อยใจหรืออะไร แต่มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนกำลังถูกตัดสินจากผู้หญิงคนนั้นยังไงไม่รู้

“คุณภูใจดีจังนะคะ พาเด็กรับใช้ที่บ้านมาเดินซื้อของด้วย ถ้ารันได้เจ้านายแบบนี้นี่ดีใจตายเลย”

เธอพูดหยอกล้อด้วยน้ำเสียงสดใส แต่สายตาที่มองผมกลับเหยียดหยามจนผมรู้สึกชาไปทั้งตัว และเพราะมัวแต่จดจ่ออยู่กับสายตาของคุณรันเลยทำให้ผมไม่ทันระวัง เมื่อจู่ๆ ก็มีเด็กน้อยเข็นรถเข็นแล้วเลี้ยวออกมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะชนเข้าที่แขนและมือผมเข้าอย่างแรง

“โอ๊ย!”

ผมเซจนเกือบจะหงายหลัง โชคดีที่พี่ภูหันมาทันเห็นจังหวะที่ผมโดนรถกระแทกพอดีเลยผวาตัวรั้งผมที่กำลังจะล้มไว้ได้ทัน

“ไนล์!”

พี่ภูรับผมไว้ได้พร้อมกับมองผมตาโต ผมเองที่มักจะเจ็บตัวง่ายแม้แค่โดนอะไรกระแทกเบาๆ ก็ขึ้นรอยแดงที่แขนทันทีแต่รอยแดงที่แขนก็ยังไม่น่ากลัวเท่าที่มือเพราะดูเหมือนมันจะแดงช้ำมากกว่ามาก ผมพยายามเอามืออีกข้างไปปิดไว้ แต่พี่ภูก็ยังคงมองเห็น พร้อมกับหันไปดุเด็กคนนั้นด้วยเสียงที่น่ากลัว

“นี่! พ่อแม่เราอยู่ไหน ทำไมปล่อยให้เราเล่นซนจนทำคนอื่นเจ็บตัวขนาดนี้! นี่ถ้าพี่เขาล้มหัวแตกมา จะรับผิดชอบไหวมั้ย ห๊ะ?”

เด็กน้อยที่น่าจะไม่ถึงสิบขวบดีถึงกับหน้าซีดพอเจอพี่ภูตวาด ให้ผมต้องรีบเอ่ยห้าม เพราะกลัวว่าเดี๋ยวจะเกิดปัญหาบานปลาย

“พี่ภูครับ ไนล์ไม่ได้เจ็บเท่าไหร่หรอกครับ น้องเขาคงไม่ได้ตั้งใจ”

“ต้องรอให้หงายหลังหัวแตกก่อนหรือไงถึงจะเจ็บ ห๊ะ? ใจดีอะไรไม่เข้าเรื่อง นายนี่มัน.. ฮึ่ย”

ผมอมยิ้มบางๆ เพราะถึงแม้ว่าพี่ภูจะดุผม แต่เขาก็ยื่นมือมาลูบเบาๆ ตรงรอยแดงที่แขนผมอย่างอ่อนโยน แถมสายตาของเขายังเต็มไปด้วยความห่วงใย จนใจผมเต้นแรงไปหมด

“เดี๋ยวซื้อของเสร็จแล้วไปหาหมอ ไม่รู้กระดูกแตกมั้ย นายมันยิ่งเจ็บตัวง่ายอยู่ นิดหน่อยก็แดง นิดหน่อยก็เขียว”

ท้ายประโยคเขาบ่นงึมงำ แต่ผมก็ยังคงได้ยินชัดเจน ตอนนี้ใจผมฟูจนคับอก นี่เป็นครั้งแรกที่พี่ภูดูเป็นห่วงผมจนออกนอกหน้าขนาดนี้

และในขณะที่พี่ภูกำลังดูอาการผมอยู่นั้น เด็กน้อยที่เข็นรถมาชนผมก็พูดแทรกขึ้นอย่างน่าสงสาร

“พี่ครับ ผมขอโทษครับ ผมไม่ทันได้มอง ผมไม่ได้ตั้งใจ”

พี่ภูตวัดสายตาดุๆ หันไปมองเด็กน้อย จนเด็กกลัวหัวหด ให้ผมต้องรีบเอ่ยแทรกก่อนที่พี่ภูจะองค์ลงอีกรอบ

“ไม่เป็นไรครับ เราไปเถอะ แต่ทีหลังอย่าเข็นรถเล่นซนในห้างแบบนี้อีกนะครับ มันอันตราย”

“ครับพี่ ผมจะไม่ทำอีกแล้ว ผมขอโทษนะครับ” เด็กน้อยยกมือไหว้ก่อนจะวิ่งออกไปอีกทาง ทิ้งให้ผมอยู่กับพี่ภูที่มองมาด้วยสายตาอ่อนใจ

“เป็นงี้ทุกที ใจดีอะไรไม่เข้าเรื่อง น่าจะดุให้ร้องไห้ไปฟ้องแม่ จะได้จำแล้วไม่ทำอีก”

“โถ่ พี่ภูครับ ไนล์ไม่เป็นอะไรจริงๆ นะครับ แดงแบบเดียวเดี๋ยวก็หาย หาซื้อยาทาก็น่าจะพอแล้ว”

ผมบอกปัด เพราะอันที่จริงมันก็เจ็บนิดหน่อย ผมไม่อยากไปโรงพยาบาลให้มันวุ่นวาย เกิดเขาถามชื่อถามนามสกุล เดี๋ยวจะบานปลายไปกันใหญ่ แค่ทายาก็น่าจะพอ

“ไม่...”

“คุณภูคะ”

และในขณะที่พี่ภูกำลังจะแย้งผม คุณรันที่ยืนมองเหตุการณ์มาโดยตลอดก็ขัดขึ้น เธอชวนพี่ภูอีกครั้ง และครั้งนี้มันก็ค่อนข้างชัดเจนว่าเธอ ‘ไม่ค่อยชอบผม’ เท่าไหร่ ไม่ชอบผมทั้งที่ผมไม่ได้ทำอะไรให้นี่แหละ

“เขาบอกว่าไม่เป็นอะไรก็ไม่น่าจะเป็นอะไรหรอกมั้งคะ เพราะส่วนใหญ่ที่รันเห็น เด็กรับใช้ที่บ้านรันนี่ค่อนข้างจะแข็งแรงเลยนะคะ เขาไม่น่าจะเจ็บอะไรมาก”

พี่ภูดูลังเล แต่คุณรันก็ไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปง่ายๆ

“ยังไงวันนี้รันขอทานข้าวกับคุณภูสักมื้อได้ไหมคะ รันเองก็ว่างแค่วันนี้พอดีด้วย และถ้ามีโอกาสก็จะได้คุยเรื่องโปรเจ็คที่ค้างไว้ต่อได้เลยด้วย”

พี่ภูดูลำบากใจนิดหน่อย และก็เป็นผมเองที่ไม่อยากให้พี่ภูเสียโอกาสเพราะเห็นว่ามีเรื่องงานเข้ามาเกี่ยวด้วย

“ไม่เป็นไรครับพี่ภู พี่ภูไปกับคุณรันเถอะครับ เดี๋ยวไนล์นั่งแท็กซี่กลับเอง ไนล์กลับได้”

“แต่ว่า...”

“ไปกันเถอะค่ะภู เด็กรับใช้ที่บ้านภูบอกว่ากลับเองได้ ก็ไม่น่าจะยากอะไรหรอกมั้งคะ”

พี่ภูยังคงลังเล และพอเขาหันไปทางคุณวิรัลพัชร ผมก็ต้องก้มหน้านิ่ง ยอมรับว่าลึกๆ ในใจคาดหวังว่าเขาจะไม่ปล่อยทิ้งผม แต่แล้วยังไงล่ะ ในสถานะแบบนี้ผมมีสิทธิ์คาดหวังอะไรได้มากมายกัน

“เอางี้ได้ไหมครับคุณรัน” ผมเงยหน้าขึ้นทันที เมื่อได้ยินพี่ภูเกริ่นแบบนั้น “คุณรันรังเกียจไหมครับถ้าผมจะเลี้ยงข้าวเย็นคุณรันที่คอนโดผม ผมไม่อยากให้ไนล์เอาของเยอะแยะกลับบ้านเอง กลัวจะไปล้มลุกคลุกคลานกลางทาง”

“ไนล์ก็ไม่ได้ซุ่มซ่านขนาดนั้น” ผมบ่นอุบพุมพำให้พี่ภูได้หันมามองดุๆ อีกรอบ

“แล้วเดี๋ยวผมจะโชว์ฝีมือทำกับข้าวให้คุณรันทานเอง ถือเป็นการขอบคุณไปในตัวเลย”

ใจผมเสีย... ผู้หญิงคนนี้น่าจะทำให้พี่ภูรู้สึกดีจริงๆ ไม่งั้นเขาคงไม่ชวนไปที่คอนโดและเข้าครัวด้วยตัวเองแบบนี้หรอก

“เอาสิคะ รันอยากชิมฝีมือคุณภูอยู่พอดีเลย เคยเห็นคุณครินยาเล่าให้ฟังบ่อยๆ ว่าคุณภูทำอาหารอร่อย .. โอกาสประจวบเหมาะพอดี ไงรันรวบกวนคุณภูสักมื้อนะคะ”

“ได้สิครับ”

ต่างฝ่ายต่างยิ้มให้กันทำเอาผมพูดไม่ออก ตอนแรกก็รู้สึกแย่ที่ตัวเองอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้พี่ภูไม่ได้ไปเดทกับคุณรันตามลำพัง แต่กลายเป็นว่าผมกลับสร้างโอกาสที่จะทำให้คุณรันกับพี่ภูได้ทำความรู้จักสนิทสนมกันได้มากกว่าเดิมด้วยมื้อเย็นที่คอนโด

น่าแปลกที่ผมควรจะดีใจที่พี่ภูเริ่มเปิดรับใครใหม่ เพื่อที่เขาจะได้ลืมแฟนเก่าที่ทำร้ายเขาไปสักที แต่ทำไมใจผมมันถึงกลับเจ็บมากขนาดนี้ มากขนาดที่ว่าแผลที่แขนและมือไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกอะไรได้เลยสักนิด เพราะความเจ็บทั้งหมดมันถูกถ่ายไปที่หัวใจแทน

.

.

.

(อ่านต่อด้านหลัง)

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
(ต่อจากด้านบน)


Kirin’s Part


ผมแอบถอนหายใจด้วยความอึดอัดเมื่อแยกมาขึ้นรถกับไนล์หลังซื้อของและตกลงกับคุณรันเสร็จ เพราะเธอเอารถมาด้วย ผมเลยเสนอให้เธอขับตามผมมาเพื่อที่จะได้ไม่ต้องย้อนกลับมาเอารถทีหลัง ตอนแรกเธอก็ไม่ยอมดึงดันจะมากับผมให้ได้ ผมนี่ต้องตะล่อมแล้วตะล่อมอีก เพราะแค่ที่ยอมให้เธอไปทานข้าวที่คอนโดด้วยนี่ ผมก็ถือว่าผมยอมมากเกินไปแล้วนะ ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้เจ้าตัวเล็กที่อยู่ข้างๆ นี่ ผมก็คงเลี่ยงและพาคุณรันไปเลี้ยงข้าวเย็นสักมื้อเพื่อตัดรำคาญไปแล้ว แต่นี่ไนล์ดันมาถูกรถเข็นชนแขนเสียก่อน ผมเลยไม่วางใจจะให้เขากลับคนเดียว ไหนจะของพะรุงพะรังมากมายที่ซื้ออีก

ส่วนคุณรันเองผมก็ไม่คิดว่าเธอจะตื๊อไม่เลิกขนาดนี้ ปกติผมเป็นคนไม่ชอบผู้หญิงที่วุ่นวายแบบนี้สักเท่าไหร่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอคือคนที่ช่วยให้ผมกับไอ้เทมส์ทำงานได้ง่ายขึ้น เพราะประสบการณ์ที่เธอเคยทำโปรเจ็คมิกซ์ยูสมาก่อนนั้นช่วยผมกับไอ้เทมส์ได้มาก ดังนั้นการรักษาคอนเนคชั่นและความสัมพันธ์กับเธอไว้เป็นสิ่งที่ผมหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเธอขอให้ผมเลี้ยงข้าว ผมก็เห็นว่ามันไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงอะไร เลี้ยงไปให้จบๆ เพื่อที่ในอนาคตเธอจะได้เกรงใจและไม่ขอในสิ่งที่ผมทำให้ไม่ได้ หรือลำบากใจที่จะทำอีก แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือทำไมต้องวันนี้เย็นนี้ และในเมื่อมันเลือกที่เลี่ยงลำบาก และผมก็ปล่อยให้ไนล์กลับคนเดียวไม่ได้ สุดท้ายก็อย่างที่เห็น

ผมต้องยอมให้คุณรันรุกล้ำความเป็นส่วนตัวที่ผมค่อนข้างจะหวงแหน เพรียงเพราะไม่อยากให้เด็กไนล์ที่กำลังเจ็บตัวหิ้วของพะรุงพระรังกลับคอนโดคนเดียว


‘แบบนี้เราควรเชิญคุณเทมส์มาด้วยดีไหมคะ?’


ผมหงุดหงิดทันทีตอนที่ได้ยินคุณรันถามแบบนั้น ผมเหลือบมองไนล์นิดหน่อยก็เห็นเด็กนั่นหลุกหลิกหลบหูหลบตาจนความไม่พอใจตีเข้ามาในอกผมเป็นระลอกๆ ก่อนที่ผมจะตัดสินใจบอกปัด เพราะยังไม่อยากเจอไอ้เพื่อนตัวปัญหาตอนนี้ ซึ่งผมค่อนข้างแน่ใจเลยว่าถ้าชวนมันมา ผมคงได้อารมณ์เสียจนทำเสียเรื่อง เสียบรรยากาศแน่ๆ


‘ไม่ต้องหรอกครับ ช่วงนี้มันไม่ค่อยว่าง เดี๋ยวไว้คราวหน้าถ้ามีโอกาสเราค่อยไปพร้อมกันอีกรอบก็ได้ แล้วให้เทมส์มันเป็นเจ้ามือ’


คุณรันหัวเราะชอบใจทันทีที่ผมพูดจบ เธอส่งสายตาสื่อความหมายมาให้และผมก็ไม่ได้โง่มากจนมองไม่มอง ผมเดาว่าเธอคงคิดว่าที่ผมไม่ชวนไอ้เทมส์มาเพราะไม่อยากจะให้เป็นก้างขวางคอระหว่างเธอกับผม แม้ในความเป็นจริงแล้วมันจะไม่ใช่ แต่ผมก็ไม่ได้มีหน้าที่หรือความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปแก้ความเข้าใจผิดให้เธอ แค่รักษาความสัมพันธ์ไว้ในฐานะเพื่อนร่วมงานก็พอแล้ว ผมไม่คิดจะเกินเลยกับเธอมากไปกว่านี้แน่

“ที่จริงพี่ภูไปกับคุณรันก็ได้นะครับ ไนล์กลับเองได้”

เจ้าตัวเล็กที่นั่งข้างๆ ผมเอ่ยขึ้นอย่างรู้สึกผิด ผมรู้ดีว่าไนล์ไม่อยากทำตัวเป็นภาระ ซึ่งเขาก็ไม่ได้ทำตัวเป็นภาระอะไร แต่เป็นผมเองที่ตัดใจให้เขากลับบ้านเองไม่ลง

“พูดมากน่า ฉันแค่อยากจะพาคุณรันไปทานข้าวที่คอนโด ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนายสักหน่อย”

ผมชะงัก นึกหงุดหงิดตัวเองที่ชอบทำตัวปากไม่ตรงกับใจ ในขณะเองที่ไนล์ก็เงียบไปอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าน่ารักที่มักจะยิ้มแย้มเสมอในเวลานี้กลับสลดลง ก่อนที่เจ้าตัวจะปรับสีหน้าให้ดีขึ้น และพยายามพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่ใกล้เคียงกับคำว่าปกติที่สุดเท่าที่เจ้าตัวจะทำได้

“ขอโทษครับ ไนล์เข้าใจผิดไปเอง งั้นเดี๋ยวพอถึงคอนโดแล้วไนล์จะให้ป้ามลช่วยเตรียมของให้พี่ภูนะครับ”

“แล้วนายจะไปไหน?” ผมถามที่จู่ๆ ไนล์จะให้ป้ามลมาช่วย เพราะปกติช่วงหลังมานี้เจ้าตัวเล็กแทบจะทำหน้าที่ผูกขาดในครัวแล้วด้วยซ้ำ

“ไนล์จะไปจัดของที่ซื้อมาครับ”

“ไม่ต้อง” ผมห้าม นึกไม่ชอบใจที่ไนล์ทำเหมือนจะหลบหน้าผม “นายมาช่วยฉัน ส่วนของน่ะให้ป้ามลเก็บ”

“แต่ว่า...”

“ไม่มีแต่ ฉันสั่ง ก็เอาตามนี้แหละ”

“ครับ”

ไนล์ทำหน้าหงอย ทำเอาผมที่พยายามจะใจเย็นต้องหงุดหงิดขึ้นมาอีกรอบ กับอีแค่ให้ช่วยในครัวทำไมต้องทำท่าเหมือนจะเป็นจะตายด้วย ไม่เห็นระริกระรี้เหมือนตอนอยู่กับไอ้เทมส์เลยสักนิด

และพอคิดมาถึงตรงนี้ ความพลุ่งพล่านที่อยู่ในใจก็ปะทุขึ้นมาอีกรอบ

“แล้วเดี๋ยวเย็นนี้กินข้าวพร้อมกันกับฉัน กับคุณรัน ไม่ต้องแยกไปกินให้วุ่นวาย จะได้เก็บล้างทีเดียว”

และเพราะอยากจะแกล้ง อยากจะดัดนิสัยผมเลยแกล้งออกคำสั่งให้ไนล์มากินข้าวพร้อมกับผมกับคุณรัน จะว่าไปก็ไม่ได้จะแกล้งไนล์สักทีเดียวหรอก แต่ผมอยากจะแค่มีไม้ไว้กั้นเวลาเกิดเหตุฉุกเฉินก็ด้วย

“แต่ว่า...”

“วันนี้นายจะพูดคำว่าแต่ว่าอีกสักกี่รอบกันไนล์ ฉันสั่งให้นายทำ นายก็ทำแค่นั้น มันจะยากอะไรนักหนาแค่กินข้าวพร้อมกันเนี่ย”

“ไม่ใช่นะครับ ไนล์ไม่ได้จะเรื่องมากหรืออะไร แต่ไนล์ไม่แน่ใจว่าคุณรันเธอจะโอเคหรือเปล่าที่จะให้เด็กรับใช้อย่างไนล์ไปนั่งร่วมโต๊ะด้วย .. เอ่อ เธออาจจะไม่ชอบใจ”

ผมถอนหายใจ เพราะเอาเข้าจริงผมก็พอมองออกอยู่บ้างว่าเธอดูจะไม่โอเคกับไนล์เท่าไหร่ แต่ถ้าคุณรันยังไม่แสดงท่าทีชัดเจนอะไร ผมก็ไม่อยากให้ไนล์ไปตัดสินเธอผิดๆ แบบนั้น มันค่อนข้างจะกล่าวหาเธอเกินไปสักหน่อย

“นายอย่าตัดสินคนอื่นแบบนี้” ผมปราม ไม่ได้ตั้งใจจะดุ แต่แค่อยากสอนอีกฝ่ายก็เท่านั้น “คุณรันเธอยังไม่ได้แสดงท่าทีอะไรแบบนั้นเลย อย่าคิดไปเองแล้วกล่าวหาคนอื่นแบบนั้น มันดูนิสัยไม่ดี”

ไนล์หน้าถอดสี ผมถึงเพิ่งได้รู้ตัวว่าตัวเองใช้คำที่ค่อนข้างแรงออกไป แต่ครั้นจะให้เรียกคืนตอนนี้ก็คงไม่ได้ เลยได้แต่หวังว่าไนล์จะเข้าใจเจตนาที่ผมอยากจะสอนมากกว่าจะตำหนิติเตียน

“ไนล์ขอโทษครับ” คนตัวเล็กกว่ายกมือไหว้อย่างมีมารยาท “ไนล์จะไม่คิดหรือพูดถึงคุณรันแบบนี้อีกครับ”

“ดี งั้นเย็นนี้ก็มากินข้าวพร้อมกัน เดี๋ยวฉันจะเป็นคนบอกคุณรันเอง”

“ครับ พี่ภู”

ผมลอบยิ้ม รู้สึกพอใจที่ไนล์เป็นเด็กว่าง่ายและเข้าใจอะไรได้ดี โดยที่ผมเห็นแต่ฉากหน้าเท่านั้น จึงไม่ได้รู้เลยว่าลึกลงไปแล้วนั้นข้างในของไนล์มันแตกสลายเพียงไหนกับคำพูดที่ไม่ทันได้คิดเพียงไม่กี่คำของผม

.

.

.

หลังจากทำอาหารเสร็จ คุณรันที่พอขึ้นรถได้ก็เกิดจะเปลี่ยนใจ โทรมาบอกผมว่าอยากจะขอกลับคอนโดไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วจะมาให้ทันมื้อเย็นที่คอนโดผม ซึ่งเธอก็เดินทางมาถึงก่อนเวลาทานอาหารเย็นนิดหน่อย และคุณรันก็ทำให้ผมต้องลอบยิ้มอย่างอ่อนใจเมื่อรู้ตัวว่าเสียรู้ให้เธอเต็มเปา

“ต้องขอโทษด้วยนะคะที่รันมาช้านิดหน่อย พอดีรถรันเกิดงอแงน่ะค่ะ เป็นอะไรไม่รู้สตาร์ทไม่ติด รันก็เลยต้องนั่งแท็กซี่มาแทน เลยมาถึงช้ากว่าที่คิดไปนิด”

ผมรู้ว่าเธอโกหก ที่เธอไม่เอารถมาเพราะว่าเธอจะได้มีข้ออ้างให้ผมไปส่ง แต่ผมก็ต้องตามน้ำทำไม่รู้ไม่ชี้ไป ก็อย่างที่บอกว่าผมต้องรักษาความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับเธอเอาไว้ก่อน เพราะเธอยังมีประโยชน์กับทีมเราไม่น้อย

“คุณรันก็ไม่น่าต้องลำบากเลยครับ คุณโทรมายกเลิกนัดผมแล้วเราค่อยไปทานอาหารกันวันหลังก็ได้ ผมไม่ซีเรียสอะไรอยู่แล้ว”

“ได้ไงคะ รันนัดคุณภูแล้วก็ต้องเป็นนัดสิคะ จะมายกเลิกหรือเทกันทิ้งกลางทางนี่รันไม่ทำเด็ดขาด” เธอยิ้มหวานพลางส่งสายตาให้ผม “แล้วเดี๋ยวไว้รันค่อยคิดเรื่องหาทางกลับ มันคงไม่น่าจะยากอะไร”

ผมเงียบ พร้อมกับส่งยิ้มบางๆ ให้เธอ ตัดสินใจไม่ตอบรับหรือปฏิเสธอะไรทั้งนั้น เพราะรู้ดีว่าที่เธอไม่ได้เอารถมานั้นไม่ใช่ว่ารถเสียหรืออะไร แต่น่าจะเป็นเพราะเธออยากให้ผมไปส่งมากกว่า ซึ่งผมว่าผมเข้าใจไม่ผิด แต่ที่ผมเลือกจะเฉยๆ ไปนั้นเพราะผมไม่แน่ใจว่าหลังจากมื้ออาหารแล้วผมจะยังรักษาความสัมพันธ์ในฐานะเพื่อนร่วมงานกับเธออยู่หรือเปล่า ซึ่งถ้าเธอรุกหนักมากเกินไป ผมก็คงต้องขอบาย แต่ถ้าไม่ ผมก็ยังพอที่จะคีพคอนแทคกับเธอในเรื่องงานต่อไปได้ ดังนั้น ผมเลยเลือกที่ยิ้มและเงียบไว้เป็นการดีที่สุด

“งั้นเชิญที่โต๊ะอาหารดีกว่าครับ ไนล์น่าจะจัดโต๊ะเสร็จแล้ว”

ผมเชื้อเชิญคุนรันที่ตอนนี้กำลังสำรวจคอนโดผมเงียบๆ ไปที่โต๊ะอาหารที่อยู่ถัดเข้าไปด้านใน ไนล์ที่เพิ่งจะจัดโต๊ะเสร็จเรียบร้อยก็ถอยเข้าไปยืนอยู่ในครัวอย่างรู้หน้าที่เมื่อเห็นคุณรันมาถึง และพอทรุดลงนั่งกันเรียบร้อย ผู้หญิงหนึ่งเดียวของที่นี่ก็พูดขึ้นอย่างน่าฟัง

“อาหารที่คุณภูทำดูน่าทานจังเลยนะคะ”

“คงต้องให้คุณรันลองชิมดูก่อนครับ ไม่รู้จะถูกปากรึเปล่า” ผมเลื่อนจานอาหารไปใกล้ๆ เธอ พร้อมกับพูดต่อ “แต่ผมอยู่เมืองนอกมานาน อาหารที่ทำเลยจะรสชาดไม่ค่อยจัดแบบที่คนไทยชอบทานสักเท่าไหร่ โชคดีที่ได้ไนล์ช่วยทำ รายนั้นเขาเก่งเรื่องอาหารไทยหลายอย่างอยู่ครับ”

ผมแสร้งทำเป็นไม่เห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของคุณรัน ผมรู้ว่าเธอตั้งใจจะชมผม แต่ก็อย่างที่บอกจะให้ผมเทกเครดิตคนเดียวมันก็จะดูประหลาดเกินไปสักหน่อย ในเมื่อคนที่ลงมือทำส่วนใหญ่เป็นเจ้าตัวเล็กที่ยืนตัวลีบอยู่ในครัวนั่น ผมต่างหากที่เป็นแค่ลูกมือช่วยไนล์

“นั่นแหละค่ะ ก็คงต้องลองชิมดู” คุณรันพูดออกมาอย่างเสียไม่ได้ “แต่ถ้ามีคุณภูลงมือช่วยด้วย ยังไงรันก็คิดว่าต้องอร่อยมากแน่ๆ”

แต่สุดท้ายเธอก็จบสถานการณ์กระอักกระอ่วนนี้ได้ลงด้วยการหันมายิ้มหวานให้ผม ซึ่งผมเองก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากยิ้มตอบเธอไป แต่แล้วก็มีเหตุให้คุณรันต้องหน้าหงิกอีกรอบ เมื่อผมเรียกไนล์ให้มาร่วมโต๊ะด้วยกัน

“ไนล์.. มาสิ มากินพร้อมกัน”

“ครับ” ไนล์พยักหน้ารับพร้อมกับเดินตัวลีบๆ เข้ามาอย่างว่าง่าย น่าจะเป็นเพราะถูกผมดุไปก่อนหน้าด้วยมั้ง ไนล์เลยไม่อยากอิดออดอีก

“เอ่อ.. คุณภูคะ คุณภูจะให้คนรับ เอ่อ.. ให้ไนล์มาทานอาหารร่วมโต๊ะกับเราด้วยหรอคะ?”

“อ่อ ครับ” ผมยิ้มให้คุณรันที่ตอนนี้เห็นได้ชัดเลยว่ามีสีหน้าติดจะไม่พอใจขึ้นมา “เพราะปกติไนล์กับผมก็ทานอาหารร่วมโต๊ะกันอยู่แล้ว หรือคุณรันไม่สะดวกยังไงหรือเปล่าครับ ผมจะได้ให้ไนล์ไปทานแยก”

ผมถามสุภาพสตรีหนึ่งเดียวตรงนี้อย่างสุภาพ เพราะรู้ดีว่าถ้าคุณรันอยากจะเอาใจผม เธอจะไม่มีวันปฎิเสธให้ไนล์นั่งแยกออกไปแน่ๆ ในเมื่อผมเกริ่นมาถึงขนาดนี้แล้ว แต่ผมกลับไม่ทันได้สังเกตเห็นเลยว่าสายตาอีกคู่ที่มองมายังผมนั้นเศร้าหมองแค่ไหน เมื่อเห็นว่าผมให้ความสำคัญแก่คุณรัน จนถึงขั้นให้เป็นผู้ตัดสินใจแทน

“ไม่ค่ะ รันไม่ได้ไม่สะดวกหรืออะไร รันแค่สงสัยเฉยๆ เพราะปกติที่บ้านรันไม่ได้ให้เด็กรับใช้มานั่งทานข้าวด้วยสักเท่าไหร่” คุณรันยังคงรักษาทีท่าได้ดีอย่างที่ผมคาด “กลัวอาหารจะไม่ถูกปากเขากันน่ะค่ะ กลัวจะทานอาหารแบบเราๆ ไม่ได้”

ผมยิ้มบาง “ไนล์ทานง่ายครับ ผมทานอะไรเขาก็ทานได้”

ผมมองไนล์ด้วยสายตาและพยักเพลิดให้เขามานั่งที่เก้าอี้ตัวข้างๆ เพราะตรงข้ามผมตรงที่ที่ไนล์นั่งประจำนั้น คุณรันนั่งอยู่ ไนล์ก็เลยเดินอ้อมมานั่งข้างผมแทน

คุณวิรัลพัชรไม่ได้พูดว่าอะไร ซึ่งผมก็ถือว่าเธอเก็บอาการได้เก่งและรักษามารยาททางสังคมได้ดีพอตัว ดังนั้น หากเธอไม่ล้ำเส้น ผมเองก็ยินดีที่จะรักษาความสัมพันธ์ทางธุรกิจนี้ไว้ เพราะยังไงก็ถือว่าคุณรันเป็นอีกหนึ่งในมือโปรทางด้านโครงการมิกซ์ยูสที่บริษัทแม่ผมและบริษัทพ่อไอ้เทมส์ทำร่วมกันอยู่

มื้ออาหารมื้อนั้นผ่านไปได้ด้วยดี แม้จะมีอึดอัดบ้างแต่ก็ไม่ได้แย่อะไร ที่แย่มากหน่อยก็เห็นจะเป็นเจ้าตัวเล็กที่เกร็งจนแทบไม่เป็นตัวของตัวเอง และในขณะที่ไนล์กำลังเก็บจานเก็บชามและอุปกรณ์การกินต่างๆ เข้าครัวนั้น ตัวผมกับคุณรันก็นั่งคุยกันเรื่องโปรเจ็คงานเรื่อยเปื่อย โดยที่ผมก็เหลือบมองนาฬิกาเป็นระยะ และพอเห็นว่าถึงเวลาที่คุณรันควรจะกลับ ผมก็เลยคิดจะอ้าปากเตือน แต่เธอกลับขอบคุณสวนขึ้นมาเสียก่อน

“รันขอบคุณคุณภูมากเลยนะคะ วันนี้อาหารอร่อยมาก และถูกปากรันมากๆ ด้วย”

“ไม่เป็นไรครับคุณรัน ผมยินดี แล้วก็อย่างที่ผมบอกไป มื้อนี้หลักๆ ก็ไนล์เป็นคนทำ เขาทำอาหารเก่งผมเองก็ยังชอบทาน”

ผมเหลือบมองเจ้าตัวเล็กที่ตอนนี้กำลังก้มหน้าก้มตาเก็บจานงุด แต่ดูจากตรงนี้ยังเห็นเลยว่าแก้มแดงก่ำ ท่าทางว่าจะได้ยินที่ผมชมแล้วก็เขินอยู่ไม่น้อย แต่คงแกล้งทำเป็นหูทวนลม เหมือนไม่ได้สนใจในสิ่งที่ผมกับคุณรันคุยกัน

“งั้นหรอคะ? ดีจังเลยนะคะ คุณภูดูใจดีกับไนล์มากๆ” เธอยิ้มบางๆ แต่สายตาไม่ได้สื่อความหมายอะไร ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นยิ้มกว้างพอพูดประโยคถัดมา “แต่ถึงยังไงก็ต้องขอบคุณคุณภูอยู่ดีค่ะที่เชิญรันมาทานข้าวเย็น สงสัยวันหลังอาจจะได้มาขอฝากท้องอีกหลายมื้อ”

ผมลอบหัวเราะในใจ ไม่น่าเชื่อว่าคุณรันจะหาทางลงได้แนบเนียนจนผมปฏิเสธไม่ออก สุดท้ายเลยต้องตกปากรับคำไป

“ได้สิครับ ผมยินดี” ผมยิ้ม “คราวหน้ามากันทั้งทีมโปรเจ็คเลยก็ได้ จะได้สร้างความสนิทสนมกันด้วย”

คุณรันถึงกับหุบยิ้มไปหนึ่งจังหวะ แต่จากนั้นเธอก็ยิ้มรับพร้อมกับเออออ

“ดีเลยค่ะ ว่าแต่... ตอนนี้รันขอชาร้อนสักแก้วได้ไหมคะคุณภู ทานของคาวแล้วอยากได้จะชาอุ่นๆ จิบล้างปากสักหน่อย”

“อ่อ.. ได้ครับ สักครู่นะครับเดี๋ยวผมไปหยิบมาให้”

ผมทำท่าจะลุกขึ้น แต่คุณรันกลับรั้งข้อมือผมไว้ แล้วพอผมเหลือบไปมองไนล์ ก็เห็นว่าเด็กคนนั้นกำลังมองอยู่ และด้วยความอยากจะลองใจว่าสิ่งที่ผมคิดนั้นจริงเท็จมากน้อยแค่ไหน ผมเลยตัดสินใจปล่อยเลยตามเลยให้คุณรันจับอยู่แบบนั้น

“รันอยากจะคุยเรื่องปรเจ็คกับคุณภูต่ออีกหน่อยน่ะค่ะ พอดีกำลังติดลม คุณภูให้เด็กรับใช้ไปเตรียมชามาให้รันแทนได้ไหมคะ?”

ผมหันไปมองไนล์เต็มตา เพื่อดูว่าเจ้าตัวที่ถูกเอ่ยพาดพิงจะทำตัวยังไง แต่ไนล์ก็ยังคงเป็นไนล์ เขาวางทุกอย่างในมือ ก่อนจะหันมารับคำสั่งด้วยสีหน้ายินดี

“ได้ครับ เดี๋ยวผมไปเตรียมชามาให้คุณรัน ว่าแต่พี่ภูจะรับด้วยไหมครับ?”

“ไม่ล่ะ ฉันอิ่มแล้ว นายเอามาให้คุณรันคนเดียวก็พอ”

ผมบอกปัดก่อนที่ไนล์จะเดินเข้าไปในครัว ผมได้ยินเจ้าตัวเล็กจับนั่นหยิบนี่อีกนิดหน่อยก่อนจะเดินออกมาพร้อมกับถาดที่มีถ้วยชากับจานรองแก้วไว้ในมือ

ไนล์เดินถือชามาให้คุณรันอย่างระมัดระวัง และถ้าดูจากควันที่พุ่งออกมาจากแก้วแล้วนั้น น้ำน่าจะร้อนไม่น้อย และในจังหวะที่ไนล์ค้อมตัวลงหันข้างให้ผม พลางละมือข้างหนึ่งออกจากถาดมายกถ้วยชาพร้อมจานรอง เพื่อวางให้คุณรันที่นั่งอยู่บนโซฟานั้น จู่ๆ ถ้วยชาก็คว่ำลงบนถาดจังหวะเดียวกับที่คุณรันยื่นมือไปรับถ้วยชา ทำเอาเธอกรีดร้องลั่นเพราะดูเหมือนชาร้อนๆ จะลวกมือเธอเข้าเต็มๆ ในขณะที่ไนล์เองก็สะดุ้งเฮือกและเผลอปล่อยถาดลงบนพื้นโครมใหญ่

“กรี๊ดดดด โอ๊ยยยย ร้อนค่ะ ร้อน!!”

ผมผลักไนล์ที่ตกใจหน้าซีด ยืนกุมมือขวางทางออกไปทันที ไนล์ล้มลงบนพื้นข้างๆ ที่ถาดเพิ่งจะหล่นลงไป ผมไม่ได้สนใจเลยว่าเด็กนั่นจะเจ็บตัวหรือจะโดนน้ำร้อนลวกใส่ หรือจะโดนแก้วบาดอะไรมั้ย เพราะพฤติกรรมที่ไนล์เพิ่งทำลงไปมันเป็นอะไรที่เกินจะรับได้

มองมาจากมุมนี้ยังไงผมก็เห็น ว่าไนล์ตั้งใจผลักแก้วชาให้ล้มเพื่อโดนมือคุณรัน

ผมโกรธมาก ก่อนที่จะตรงเข้าไปประคองคุณรันอย่างร้อนใจ ผมเธอร้องไห้สลับพึมพำว่าร้อนๆๆ ไม่หยุด ผมจับมือเธอขึ้นมาดูอย่างโล่งใจเมื่อเห็นว่ามันไม่ได้เป็นรอยแดงหรือรอยน้ำร้อนลวกอะไรขนาดนั้น โชคดีที่มันไม่โดนมือคุณรันตรงๆ ไม่งั้นผมคงรู้สึกผิดมาก ที่ปล่อยให้เด็กร้ายกาจอย่างไนล์แกล้งคุณรันด้วยวิธีอันตรายภายใต้หน้าตาใสซื่อแบบนี้

ผมตวัดสายตาหันไปมองไนล์ด้วยความโกรธจัด ในขณะที่เด็กนั่นยังคงทำหน้าตาใสซื่อได้อย่างแนบเนียน นี่ถ้าก่อนหน้าไม่มีเหตุการณ์ตอนคุณรันจับมือผม ผมก็พอจะเชื่ออยู่หรอกว่าไนล์ไม่ได้ตั้งใจหรือไนล์ไม่ได้ทำ นี่คงจะหึงหวงและอิจฉาคุณรันที่ได้ใกล้ชิดผมมากจนขาดสติ ถึงได้ทำอะไรร้ายกาจแบบนี้

“ไนล์!!!!!”

ไนล์ทำท่าจะลุกขึ้น แต่ผมผลักไหล่เด็กนั่นให้หงายลงไปอีกรอบ

“พี่ภูครับ นะ ไนล์ ไนล์ไม่ได้ทำ นะ.. ไนล์ไม่รู้ ไม่ได้ตั้งใจ ..ฮึก”

ไนล์เริ่มร้องไห้ และกุมมือทั้งสองข้างของตัวเองเอาไว้แน่น แต่แทนที่ผมจะสงสารผมกลับรู้สึกโมโหยิ่งกว่าเดิมที่โดนเด็กนี่ใช้หน้าตาซื่อๆ หลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้

“หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ!! ก่อนที่ฉันจะโมโหนายไปมากกว่านี้!!”

ผมตวาดลั่นจนไนล์กลัว คนตัวเล็กกว่าถอยหลังไปช้าๆ เพราะเห็นว่าท่าทีของผมเริ่มไม่ปกติ

“พี่ภู... ครับ นะ ไนล์.. ฮึก”

“ร้องไห้ทำไม?? ทำคนอื่นแล้วร้องไห้ทำไม? นายนี่มัน...”

ผมหลับตากัดฟันอย่างข่มใจ ก่อนจะได้ยินเสียงร้องไห้และเสียงร้องเจ็บของคุณรันที่ผมประคองอยู่ผ่านเข้ามาในหู

“คุณภูคะ รันเจ็บค่ะ ฮึก.. ฮือออ”

“โอเคครับคุณรัน ผมขอโทษนะครับที่ปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น” ผมค่อยๆ ประคองเธอลุกขึ้นช้าๆ “คุณรันลุกไหวไหมครับ เราไปโรงพยาบาลกัน แล้วเดี๋ยวผมจะไปส่งคุณรันที่บ้านเอง”

“รันลุกไหวค่ะ แต่.. ฮึก รัน.. รันตกใจ” เธอยังคงสะอึกสะอื้นและดูขวัญเสียมาก ผมเลยตัดสินใจช้อนตัวเธอขึ้นอุ้มแทน

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมอุ้มคุณรันไป.. เราไปโรงพยาบาลกันนะครับ ให้หมอดูว่าเป็นอะไรมากรึเปล่า”

“ฮือออ รันขอบคุณนะคะคุณภู” เธอเอนหน้าเข้าซบอกผม แต่ผมเป็นห่วงเธอเกินกว่าจะมาคิดเล็กคิดน้อย “มันร้อนมากๆ เลยค่ะ แล้วก็ชาด้วย”

เธอโอดครวญอย่างน่าสงสารจนผมนึกโมโหเลยปรายตาไปมองเด็กร้ายกาจนั่นที่ถอยไปแอบอยู่แถวๆ พื้นใกล้โซฟา

“ผมสิครับต้องขอโทษคุณรัน ขอโทษด้วยนะครับที่คนของผมทำคุณรันเจ็บตัวขนาดนี้” ผมพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะหันไปมองไนล์ตาขวางพร้อมกับพูดคาดโทษให้เด็กนั่นได้ยิน “ผมสัญญาครับคุณรัน ว่าผมจะจัดการลงโทษคนผิดให้สาสม คุณรันไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจัดการให้คุณรันแน่ๆ ผมสัญญา”

ไนล์นั่งตัวสั่นน้ำตาไหล หลังจากได้ยินสิ่งที่ผมพูดเต็มสองหู เด็กนั่นยังคงกุมมือตัวเองไว้แน่น ไม่รู้ว่ารู้สึกผิดที่ทำคนอื่นเจ็บด้วยสองมือนั่น หรือพยายามจะปกปิดผมกันแน่ว่าเป็นเพราะสองมือนั้นนั่นแหละที่ทำคนอื่นเจ็บตัว

“ไปครับเราไปหาหมอกัน”

ผมอุ้มคุณรันเดินออกมาจากห้องผ่านไนล์ที่นั่งอยู่ที่พื้นข้างโซฟาอย่างไม่ไยดี เด็กนั่นทำตัวแย่ และผมก็จะไม่คิดจะใจอ่อนสักนิดในการหาวิธีมาลงโทษให้ไนล์สำนึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองทำ

.

.

.

To Be Continue

----------‐-----------------------------------------

น้องไนล์รึป่าวววว น้องไนล์ไม่น่ารักรึป่าววววว 55555555555

แชปเตอร์หน้าแม่น้องไนล์ต้องกำปืนไว้แน่นๆ นะคะ สปอยล์มากไม่ได้ เอาเป็นว่าถ้าไม่มีอะไรติดขัดจะมาลงให้วันศุกร์หรือไม่ก็วันเสาร์ละกันเนาะ ปล่อยไว้ให้ค้างคานานมันไม่ดี อิอิ

ไม่ขออะไรมากกก ขอแค่คนละหนึ่งเม้นท์หนึ่งกะลังใจ ไฟมันมาตอนเข้ามาอ่านที่ทุกคนคอมเม้นท์นี่ล่ะค่ะ อย่างที่เคยบอกไปละยืนยันคำเดิม ว่าพวกคุณคือกำลังใจที่ดีที่สุดในโลกของเรา ขอบคุณมากๆ นะคะ

ติ-ชมได้เหมือนเดิมค้าบ หนูพยายามจะเอาไปพัฒนาและปรับปรุง .. เจอกันตอนหน้าค้าบบบบ เริ้บๆ

ออฟไลน์ psychological

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
รอมาตั้ง7วัน​ น้ำท่วมค่ะอีพีนี้
ไม่มีโมเม้นพี่ภูกับน้องเลยยยย

อีกอย่างพระเอกบทจะโง่ก็โง่เอาๆ

ไนล์กลับบ้านเถอะลูก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด