คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต
บทพิเศษ
ดีสมกัน
---------
สังคมมนุษย์มีเรื่องปกติอยู่เรื่องหนึ่ง คือบทสนทนามักเป็นเรื่องของผู้อื่น เรียกอย่างง่ายว่า นินทา
เมืองตะวันออกเป็นเมืองของมนุษย์ เรื่องนินทาจึงเกิดขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน
“ข้าได้ยินว่าลูกชายร้านมธุรตรัยเลิกกับเมีย!”
“แต่ข้าได้ยินว่าเมียหนี”
“เมียติดพนันไม่ใช่รึ? จะเลิกไปหรือหนีไปก็ดีทั้งนั้น ขืนยังอยู่ด้วยกัน มีหวังล่มจม จำตาแก่สุระได้ไหมเล่า นั่นก็เมียติดพนัน จากร่ำรวย กลายเป็นยากจน แก่ตายไร้ญาติแหน่ะ!”
“ผัวเมียนี่นะ จับคู่ถูกจึงจะเจริญ จับคู่ผิดล่ะก็...เห็นมานักต่อนักแล้ว ถ้าอยู่ไม่ยืด ก็ทนอยู่กันไปให้ชีวิตกันและกันเป็นอัปมงคล!”
“จริง! ดูอย่างผัวเมียอหัสกรนั่นซี จับคู่ถูก! แต่ก่อนนี้อหัสกรร่อแร่ พอแต่งกับรติเท่านั้น มีทั้งร้านยาทั้งร้านสมุนไพร”
“ฮ้า! แต่คู่นี้ ยายแก่อมราก็จับคู่ให้ใช่ไหม ไม่ได้รักกันแต่แรก”
“เฮ้ย! หากไม่รัก หมอตรัสจะยอมแต่งโดยดีหรือ?! แต่งแล้วยังพาเมียไปช่วยงานที่ร้านยาอีก ถ้าไม่รู้สึกอะไร จะพาออกหน้าออกตาทำไมกัน”
“พูดไป! ถ้ารัก ทุกวันนี้จะเป็นเช่นนี้รึ?!”
คนทั้งโต๊ะหันมองคนพูดที่ยิ้มกระหยิ่มปานผู้รู้
“เอ้า! พวกเจ้านี่ตาบอด! ผัวเมียอหัสกรน่ะ วันๆทำแต่งาน มองหน้ากันเกินอึดใจหนึ่ง หรือก็ไม่ เดินด้วยกันที่ตลาดก็ไม่เห็นจะกระหนุงกระหนิง ข้าว่าไม่ได้รักกันหรอก! อยู่กันยืดเพราะต่างคนต่างทำมาหากินของตัวเองมากกว่า!”
คนฟังพากันไตร่ตรอง ก่อนที่คนในโต๊ะผู้หนึ่งจะเอ่ยขึ้นมาคล้ายเอนเอียง
“จะว่าไป ข้าก็ไม่เคยเห็นเมียสกุลไหนทำงานหนักเท่ารติ เมื่อวานนี้วิ่งไปมาระหว่างร้านยากับร้านสมุนไพร ไหนจะช่วยจัดยา ไหนจะขายผงสมุนไพร เห็นแล้วสงสาร หมอตรัสก็เหลือเกิน ตรวจคนไข้ไม่ออกมาช่วยเมีย หรืออาจจะจริงอย่างที่เจ้าว่า...อยู่กันยืดเพราะต่างคนต่างทำมาหากิน”
คนในวงนินทาทุบโต๊ะดังปั่ก หน้าตาหงุดหงิดขึ้นมาทันที
“อย่างนี้น่ะไม่ใช่สามีเลี้ยงดูภรรยาแล้ว! ต่างคนต่างทำงานก็ไม่เห็นต้องแต่งกันก็ได้จริงไหม ปล่อยรติไปอยู่กับสกุลที่เลี้ยงดูได้จะดีกว่า!!”
“พูดอย่างนี้จะยุให้เขาเลิกกันนี่! ข้ารู้นะว่าเจ้าอยากได้รติไปเป็นลูกเขยใจจะขาด”
“ได้คนขยันขันแข็งอย่างรติเข้าสกุล ไม่ว่าจะเขยหรือสะใภ้ก็มงคลทั้งนั้น!”
“พูดอย่างกับผัวเมียอหัสกรจะเลิกกัน ถึงจะอยู่กันโดยไม่รัก แต่ถ้าหมอตรัสยอมเลิกกับรติ ข้าจะไม่ไปรักษาที่ร้านยาอหัสกรอีกเลย! เพราะถือว่าเป็นหมอโง่!”
คนทั้งโต๊ะทำหน้าเหมือนเห็นพ้อง แต่คนผู้หนึ่งมิได้เห็นพ้อง
ตรัส อหัสกรนั่งอยู่ที่โต๊ะหนึ่ง อีกฝั่งของฉากกั้น จึงได้ยินบทสนทนาทั้งหมด
แม้จะเข้าใจว่าธรรมชาติของมนุษย์นั้นชื่นชอบการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของผู้อื่น แต่สีหน้าของเขาก็ไม่ใคร่พอใจ
นายทหารหนุ่มผู้ป็นสหายรักที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย หัวเราะเบาๆในคอพลางหยอก
“หวังว่าเจ้าจะไม่เป็นหมอโง่นะตรัส”
---------
ตรัสกลับมาที่ร้านยาหลังจากออกไปพบสหาย และนับตั้งแต่นั้นก็ดูเหมือนจะไม่มีใครเข้าหน้าติดสักคน
บ่าวผู้หนึ่งถูกตะเพิดออกมาเพราะเห็นใบหน้าถมึงทึงของเจ้าของห้องตรวจ แล้วเผลอทำเครื่องมือหล่น เดือดร้อนรติที่อยู่ร้านข้างๆ ถูกขอให้เข้าไปช่วยดูอารมณ์ของสามี
แต่การที่จู่ๆจะเข้าไปโดยไม่มีกิจใดก็เห็นจะแปลก แต่บ่าวไพร่ถูกดุเช่นนี้ก็ปล่อยไว้ไม่ได้ รติให้คนต้มน้ำชาให้กาหนึ่ง แล้วยกเข้าไปเป็นใบเบิกทาง
‘ข้าให้คนต้มน้ำชามาให้ ข้างนอกอากาศเย็น ดื่มน้ำชาร้อนๆ จะได้อบอุ่น’
ภรรยาดูจะเป็นคนเดียวที่พอตรัสพบหน้า อารมณ์คุกรุ่นก็คลายตัวลง
แต่...เพียงแค่คลายตัวเท่านั้น
‘ขอบคุณ’ เขาตอบสั้น มิได้เอ่ยปากเกี่ยวกับต้นเหตุของความถมึงทึง รติเองก็ไม่อยากละลาบละล้วง วางถาดน้ำชาแล้วก็ออกจากห้องมากำชับบ่าวไพร่ว่าถ้าเป็นไปได้ก็ไม่ต้องเข้าไป ปล่อยให้ตรัสอยู่เพียงลำพัง
โชคดีที่วันนี้ไม่มีคนไข้แวะมารักษาอีกแล้ว มีเพียงคนไข้ผู้หนึ่งมาขอซื้อยาเพิ่มเนื่องจากทำยาหาย บ่าวหัวไว แทนที่จะเข้าไปบอกตรัส กลับวิ่งไปหารติ รติก็จำต้องทิ้งร้านสมุนไพรมาดูแลร้านยาอหัสกรเสียก่อน จัดยาชุดเดิมให้คนไข้แล้ว ก็เป็นอันธุระลุล่วงไปหนึ่งเปราะ
ตกเย็น ตรัสก็ยังไม่ออกจากห้องตรวจ รติเป็นคนดูแลปิดร้านสมุนไพรและร้านยาอหัสกรจนเรียบร้อยแล้ว จึงเคาะประตูเข้าไปในห้องทำงานของสามี
เจ้าของห้องยังนั่งเฉยอยู่ที่เก้าอี้ตัวประจำ ท่าทีของเขาคล้ายไม่รู้เนื้อรู้ตัว ทว่าหัวคิ้วกลับขมวดมุ่น ราวกับตกอยู่ในภวังค์ของความเครียดขึง
“ตรัส...” รติส่งเสียงเรียกเบาๆ เมื่อนั้นตรัสจึงเหมือนรู้ตัว พอหันมาเห็นคนเรียก หัวคิ้วก็คลายลง
“มีคนไข้หรือ”
รติส่ายหน้า แม้กระทั่งเวลา ตรัสยังไม่รู้เลย บางที เขาอาจะตัดสินใจผิดที่ปล่อยอีกฝ่ายไว้เพียงลำพังโดยไม่เข้ามาสอบถาม
“เย็นแล้ว ถึงเวลากลับเรือนแล้ว”
ตรัสชะงัก ไม่คิดว่าตนเองจะนั่งขุ่นมัวจนลืมเวลา
หมอหนุ่มแห่งร้านยาอหัสกรสูดลมหายใจลึกเพื่อตั้งสติ แล้วเอ่ย
“อ้อ...อย่างนั้นหรือ ข้าจะออกไปปิดร้าน”
“ข้าปิดให้แล้ว”
ตรัสนิ่งไป หัวใจบีบหน่วง เรื่องที่ได้ยินมาเมื่อกลางวันยังดังก้องอยู่ในหัว แม้เดิมทีไม่ใช่คนเก็บคำพูดว่าร้ายของผู้อื่นมาใส่ใจ แต่เพราะคราวนี้เป็นเรื่องของรติ...รติที่แสนดี รติที่น่าจะสุขสบายกว่านี้ หาก...ไม่ได้แต่งกับเขา
ตอนที่กำลังจะกลับเข้าสู่ภวังค์ที่แสนทุกข์ตรมนั้น ความอบอุ่นก็กอบกุมมือของตรัสอย่างอ่อนโยน
เขารู้สึกตัว เห็นรติยืนอยู่ตรงหน้า กุมมือเขาเอาไว้ นัยน์ตาที่มีเฉดสีประหลาดมีแววห่วงใย แต่ริมฝีปากขยับยิ้มหมายจะให้เขาสบายใจ
“กลับเรือนกันเถอะ กลับไปร่วมโต๊ะมื้อเย็นกับท่านอมราและระพีกัน”
คำชวนที่แสนอบอุ่น มาพร้อมกับการกระชับมือของตรัส
เย็นนั้น มีภาพหนึ่งที่ไม่คุ้นตาผู้คนในเมืองตะวันออก
สองสามีภรรยาอหัสกรที่เดิมทีมักจะเดินเคียงกันโดยไม่มีส่วนใดเกาะเกี่ยว มาวันนี้ สามีภรรยากลับเดินจูงมือ…ไปจนถึงเรือนอหัสกร
----------
[/b]
ตรัสไม่ได้เคร่งเครียดเท่าตอนอยู่ที่ร้านยา กระนั้น เขาก็เคร่งขรึม แม้แต่ระพียังมองเขาอย่างหวาด
หลังมื้อเย็น รติแยกไปสอนหนังสือระพี ส่วนตรัสดูแลท่านอมรา สองสามีภรรยาไปพบกันอีกครั้งที่โรงครัวเพื่อเตรียมผงสมุนไพรไปขายในวันพรุ่งนี้ ทุกอย่างแล้วเสร็จจึงค่อยกลับเรือนพักผ่อน
ตรัสให้ภรรยาไปอาบน้ำก่อนโดยบอกว่าตนต้องทำบัญชีรับจ่าย รติไม่ขัดใจ อาบน้ำแล้วก็ค่อยโผล่หน้าไปเรียกตรัสที่นั่งอยู่ในห้องทำงาน
ทว่า...แม้จะมีบัญชีรับจ่ายวางอยู่บนโต๊ะ แต่ตรัสกลับใจลอย
“ตรัส...” ไม่ใช่การเรียกครั้งแรก แต่รติเรียกเป็นครั้งที่สาม จนเดินถึงตัวแล้ว ตรัสจึงเพิ่งรู้สึกตัว
“ห้องอาบน้ำว่างแล้ว”
“อ้อ...” ฝ่ายสามีเพียงรับคำแล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องพักผ่อนเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
รติมองตามอย่างห่วงใย แต่ก็มิได้ก้าวก่ายเวลาส่วนตัว เขาปล่อยให้ตรัสอาบน้ำ ส่วนตนเองเข้าโรงครัวต้มน้ำสมุนไพรที่ช่วยให้ผ่อนคลาย เห็นขนมชิ้นเล็กในตู้ไม้ก็จัดใส่จานมาด้วย กลับมาก็พอดีกับที่ตรัสออกมาจากห้องอาบน้ำด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่
“ข้าต้มน้ำสมุนไพรมาให้” ภรรยาแสนดีพูดพลางยิ้ม ก่อนจะวางถาดกาน้ำสมุนไพรลงบนโต๊ะใกล้ๆ
หัวใจของตรัสบีบรัดหนักกว่าเก่า รติทำงานทั้งวัน กลับมาถึงเรือน ดูแลระพีและเตรียมผงสมุนไพรไว้ขายวันพรุ่งนี้แล้ว ก็ยังดูแลเขาอีก สามีที่ปล่อยให้ภรรยาทำงานหามรุ่งหามค่ำเช่นนี้ อย่ากล่าวเพียงว่าเป็นสามีที่ไม่เลี้ยงดูภรรยาเลย ควรเรียกว่าสามีไม่เอาไหน
“ตรัส...ท่าน...บอกข้าได้ไหมว่าเป็นอะไร” รติเห็นอีกฝ่ายยืนนิ่งก็ยิ่งเป็นห่วง รีบก้าวเท้าเข้าไปหา
“...เมื่อตอนบ่าย ท่านออกไปพบท่านอิษวัต มีเรื่องไม่สู้ดีหรือ”
อิษวัตแวะมาที่เมืองนี้ครั้งคราว บางครั้งรติก็ติดตามตรัสไปพบปะด้วย แต่คราวนี้มาอย่างกะทันหัน ตรัสจึงออกไปหาเพียงลำพัง ส่วนรติดูแลร้านสมุนไพรและร้านยา แต่ก็ฝากขนมและผลไม้จำนวนหนึ่งไปกับตรัส
น้ำใจนี้ หาได้มีเพียงครั้งเดียว แต่รติเผื่อแผ่อยู่เสมอ และมิได้ตกเพียงอิษวัตเท่านั้น เพราะเขานำไปแจกจ่ายลูกน้องในสังกัด พร้อมบอกว่าได้รับจากสามีภรรยาอหัสกร เคยมีครั้งหนึ่ง ลูกน้องของอิษวัตถึงกับขอติดตามมาพบหน้าสองสามีภรรยาคู่นี้ให้จงได้ เพราะหวังว่าสักวันจะตอบแทนน้ำใจได้โดยตรง แน่นอนว่ารติปฏิเสธ น้ำใจที่มอบให้เป็นเพียงมิตรไมตรี หวังเพียงอยากให้คนรู้จักที่มาจากต่างถิ่นได้ชิมของดีของอร่อยของเมืองตะวันออกก็เท่านั้น
ความอ่อนโยนที่แสนซื่อตรงนี้ แน่นอนว่าย่อมทำให้ผู้พบเห็นประทับใจ แต่เหนืออื่นใดคือคนข้างกายเช่นตรัสก็ยิ่งหลงรักภรรยาแสนดีของเขามากขึ้นทุกวัน
แต่...ยิ่งรติแสนดีมากเพียงใด...ตรัสก็กลับรู้สึกว่าเขาช่างไม่คู่ควร...
“ไม่ใช่เรื่องของวัตหรอก...” คำตอบของตรัสชวนให้ฉงน ยังไม่ทันถามเพิ่ม ตรัสก็ถามขึ้นมา
“เจ้า...เหนื่อยไหม”
“หือ? ข้าน่ะหรือ?”
“ไหนจะงานที่ร้าน ไหนจะงานในเรือน เหนื่อยไหม” คนถาม มีสีหน้าทั้งกังวลทั้งเศร้าใจ รติไม่ใช่คนพูดเรื่องทุกข์ยากให้ผู้อื่นฟัง แต่ตรัสเป็นสามีผู้อยู่ใกล้ชิดภรรยา มีหรือจะไม่รู้ว่ารติทำงานหนักเพียงใด การปกปิดความจริง ยิ่งจะทำให้ตรัสเป็นทุกข์
“เหนื่อยสิ” ปากว่าเหนื่อย แต่กลับยังยิ้ม ดวงตามิได้มีแววทุกข์ยาก
“แต่ทำงานที่ร้านก็สนุก งานในเรือนก็ทำให้มีความสุข ถึงจะเหนื่อย แต่ข้าก็อยากทำ”
“แต่เจ้าไม่ควรทำงานหนักถึงเพียงนี้”
“แล้วใครสมควร?” รติย้อนถาม ทำหน้าทะเล้น “สามีภรรยา ไม่ใช่ว่าใครเป็นชายหรือเป็นหญิง ไม่ใช่ว่าใครต้องรับผิดชอบใคร ไม่ใช่ว่าใครต้องดูแลใคร แต่เราควรจะต้องรับผิดชอบกัน ดูแลกัน แบ่งเบาภาระกันไม่ใช่หรือ”
“แต่เจ้า...ควรจะสุขสบายกว่านี้...” ถ้าเทียบกับการที่รติตัวคนเดียว ไม่ต้องมีภาระใด ไม่ต้องมีอหัสกรห้อยท้ายเช่นนี้ รติคงจะสุขสบาย หากจะค้าขายสมุนไพรก็ทำเพียงค้าขาย ไม่ต้องดูแลผู้อื่นอีก
รติยิ้ม
“เท่านี้ก็สุขสบายแล้ว”
“แต่...”
“การที่ได้อยู่กับท่าน คือความสุขสบายของข้า”
“ข้า...ทำให้เจ้ามีความสุขถึงเพียงนั้นหรือ”
“มากกว่าที่คิดด้วยซ้ำ”
“ข้า...เป็นสามีที่ดีพอแล้วหรือ”
“ยิ่งกว่าดีพออีก”
สีหน้าของตรัสยังเศร้า รติจึงขยับเข้าหา โอบสองแขนรอบเอวของอีกฝ่าย ขยับกายเข้าแนบชิด คนขี้หนาว ร่างกายมิได้ร้อนผ่าว กระนั้นก็ยังอยากสร้างความอบอุ่นให้กับคู่ชีวิต
รติเอ๋ยรติ...รติผู้แสนดี รติผู้พยายาม
กายอุ่นเบียดชิด พาให้หัวใจของตรัสคลายตัวคล้ายความกังวลค่อยๆสละออกไปทีละส่วน ทว่า...นี่ไม่ใช่ความพยายามเพียงอย่างเดียวของรติ
ฝ่ามือลูบไล้แผ่นอกหนา รติเม้มปาก แม้จะไม่ใช่คนใจกล้า แต่เวลานี้มีเพียงพวกเขาสองสามีภรรยา หากจะใจกล้าขึ้นสักหน่อย เพื่อปลดเปลื้องความทุกข์ในใจของตรัส มันก็คุ้มค่าไม่ใช่หรือ
“พิสูจน์ไหม ว่าท่านดีพอแล้ว...”
เสียงของรติดังขึ้นเบาๆ นัยน์ตาสีประหลาดที่มีประกายทั้งเขิน ทั้งรักใคร่เหลือบขึ้นสบ ก่อนจะยืดกายขึ้นเล็กน้อย เพื่อมอบสัมผัสอุ่นให้แก่ริมฝีปากของตรัส
น้อยครั้งที่ภรรยาผู้ขี้อายจะเริ่มก่อน แต่คราวนี้ภรรยากลับใจกล้า...เพื่อสามี
ริมฝีปากของภรรยาผละออกห่างอย่างเชื่องช้า รติก้าวถอยหลัง เข้าไปยังห้องพักผ่อนด้านใน แต่ดวงตายังไม่ละจากสายตาของตรัส ราวกับเชิญชวนและชักจูงให้เขาก้าวเท้าตามเข้าไป
รตินั่งลงบนเตียง ยกขาข้างหนึ่งอ้ากว้างเผยเนื้อหนังที่ไร้อาภรณ์ สายตายังทอดมองสามี ทั้งเขินทั้งอาย อยากหุบสองขาเข้าหากันเต็มที แต่...ทำได้เพียงสูดลมหายใจลึก ในเมื่อใจกล้าแล้ว ก็ต้องใจกล้าต่อไป
เขาเกี่ยวสาบเสื้อข้างหนึ่งให้เผยยอดอก แตะปลายนิ้วเกลี่ยไล้ไปมาจนมันชูชัน อารมณ์หวามไหวเริ่มไหลซ่านไปตามเนื้อตัวจนส่งเสียงเครือออกมาอย่างไม่ตั้งใจ กระนั้น...รติก็ยังไม่หยุด ยอดอกชูชันล่อสายตาแล้ว ก็ไล้ปลายนิ้วลงสู่หน้าท้อง ลงไปยังหว่างขาเปล่าเปลือย
เพียงเท่านั้น...ตรัสก็ก้าวเข้าหาทันที!
--------
รติเป็นคนขี้อาย การจะอ้อล้อใกล้ชิดกับตรัสต่อหน้าผู้คนไม่เคยอยู่ในความคิดของเขาเลย ในขณะที่ตรัสเองก็ไม่ใช่คนแสดงออกโจ่งแจ้ง แม้จะรักใคร่อีกฝ่ายปานใด แต่เมื่อเห็นภรรยาขี้อาย ก็ไม่สร้างความลำบากใจ ผลคือสามีภรรยาไม่เคยใกล้ชิดกันต่อหน้าผู้อื่น
ทว่าเมื่อปิดประตูอยู่ในเรือนเพียงสองคนแล้ว ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่รติเป็นคนขี้อาย ต่อให้อยู่กับตรัสเพียงสองคน ก็ใช่จะเชี่ยวชาญเก่งกาจ ทว่า...แม้จะไม่มีลูกเล่นแพรวพราวนัก รติก็ยังพยายาม
อ้าขาเปิดเผยเชิญชวน
บดบี้ยอดอกตนเองล่อสายตา
ยามอีกฝ่ายบดริมฝีปากลงขยี้ก็หยัดใบหน้าขึ้นตอบรับ
ปลายลิ้นเกี่ยวกวัด ไม่หลบเลี่ยง
ยามริมฝีปากนั้นผละจากก็เรียกหาเพียงชื่อของคู่ชีวิต
ครั้นถูกชำแรกเข้าสู่ภายในที่ร้อนผ่าวก็ตอดรัดถี่ยิบ
ยามแก่นกายถอนออกห่าง ก็ไขว่คว้าร่ำร้องให้แนบชิด
แม้นตรัสรุนแรงหนักหน่วง รติก็ไม่หนี หยัดกายขึ้นรับทุกสัมผัสและความรู้สึกของคู่ชีวิต คราวหนึ่งเขากระแทกกระทั้นดันทุรัง รติก็ยอมให้เขาทำตามใจ พอเขารู้ตัว ปลอบประโลมด้วยสัมผัสละมุนละไม ต่อให้จะสร้างความวาบหวามจนหายใจติดขัด รติก็ยินดี
ค่ำคืนนี้รติโอบกอดร่างของตรัสเอาไว้ ใช้ร่างกาย หัวใจ และความรู้สึกทั้งหมดที่มี ทำให้อีกฝ่ายมั่นใจว่าตรัสคือคนที่มอบความสุขที่พอดี ตรัสคือคนที่เป็นทั้งสามีและคู่ชีวิตที่ดี หาได้มีใครอีกแล้วที่จะพอดีกับรติได้เท่าตรัส อหัสกร
---------
ค่อนคืนของความสัมพันธ์ที่แสนร้อนแรง เสียงหอบจางลงแล้ว แต่สองร่างเปลือยเปล่ายังอิงแอบกันบนเตียง
ตรัสโอบอีกฝ่ายให้ขึ้นมานอนบนอกเขา รติไม่ค้านสักคำ อกเปลือยแนบกัน ตรัสวนเวียนจูบข้างขมับบ้าง แก้มบ้าง ในขณะที่รตินอนเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ฟังเสียเพลิน ดูแล้วเจ้าตัวก็ยังไม่อยากหลับ ตรัสเองก็ไม่ง่วงสักนิด ตอนหนึ่งของเรื่องเล่าของภรรยา เป็นเรื่องเกี่ยวกับเขา
“ท่านรู้ไหม คนอื่นชมท่านให้ข้าฟังอย่างไร”
ตรัสส่ายหน้า
“บอกว่าท่านให้เกียรติข้า สนับสนุนให้ข้าทำงาน เปิดร้านสมุนไพรใช้เงินทองไปตั้งเท่าไรก็ยอม แล้วยังบอกว่าท่านซื่อสัตย์ ข้าเป็นชาย มีลูกให้ไม่ได้ แต่ท่านก็ไม่เคยข้องแวะกับหญิงใด นอกจากนั้นท่านยังขยันทำมาหากิน ข้าวของหรูหราฟุ้งเฟ้อไม่อยู่ในความสนใจ ไม่ติดสุรา ไม่ยุ่งเกี่ยวการพนัน อีกทั้งยังมีคุณธรรม รุจีมิใช่น้องสาวของท่าน ไม่ใช่คนของอหัสกรก็ยังส่งเสียนางเรียนหนังสือ พวกบ่าวไพร่ไม่ว่าจะคนใหม่คนเก่าท่านก็จุนเจือพวกเขาตามสมควร เป็นหมอที่ดี เป็นสามีที่ดี เป็นผู้นำสกุลที่ดี” รติพูดแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เหนือสิ่งอื่นใดคือสายตาที่ทอดมองคู่ชีวิตนั้นเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
“ท่าน...เป็นความภาคภูมิใจของข้านะ ตรัส”
คำกล่าวใดของผู้อื่นล้วนไม่สำคัญอีกแล้ว
การได้ยินได้ฟังว่าตนเป็นความภาคภูมิใจของภรรยา มิต่างจากประโยคบอกรัก
“ข้าโชคดี ที่ได้สามีเช่นท่าน”
ในเวลาที่สองร่างเปลือยเปล่าแนบชิด การพูดจาเช่นนี้ ยิ่งทำให้ตรัสไม่อาจปล่อยให้อีกฝ่ายนอนสบายได้อีกแล้ว
เขาพลิกกายภรรยาลงนอนราบใต้ร่าง กักสองแขนโอบล้อมรติเอาไว้
“ให้ข้าพิสูจน์ความโชคดีของเจ้าอีกครั้งไหม”
รติหัวเราะสดใส
“หลงตัวเองก็เป็นด้วยหรือ ตรัส อหัสกร”
ตรัสยิ้มจาง นึกเขิน แต่ก็สารภาพตามตรง
“ข้าเคยคิดมาตลอดว่าตนเองอาภัพ จนกระทั่งได้เจ้าเป็นภรรยา”
“แต่ตอนแต่งงานกับข้าก็น่าจะเรียกว่าอาภัพไม่ใช่หรือ”
“แต่ตอนนี้หาเป็นเช่นนั้นไม่”
สายตาของตรัสมิใช่เพียงทอดแววหวานด้วยความรัก แต่ยังเทิดทูนภรรยาในอ้อมแขนอย่างที่สุด
“เจ้าเองก็เป็นความภาคภูมิใจของข้าเช่นกัน รติ อหัสกร”
หัวใจคนฟังเต็มตื้น รอยยิ้มบนใบหน้าทำให้ดวงตาหยีจนเป็นเส้นโค้ง ตรัสก้มลงมอบจุมพิตดูดดื่ม รติก็ตอบรับอย่างยินดี
สามีภรรยาที่สร้างความภาคภูมิใจให้แก่กัน ไม่เรียกว่าโชคดีที่ได้ครองคู่ ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว
---------
ร้านสมุนไพรรติยังคงมีลูกค้าอยู่เนืองๆ วันนี้ลูกค้าขาประจำของร้านแวะมาเพราะพาสามีมาหาหมอ นางจึงเดินผ่านประตูเชื่อมมาเลือกซื้อผงสมุนไพรด้วย รติเห็นเข้าก็ตรงรี่มาอำนวยความสะดวกเพราะคุ้นเคยกันดี
“ข้าอยากได้ผงสมุนไพรสำหรับบำรุงร่างกายสักหน่อย สามีข้าน่ะซี ทำงานไม่หลับไม่นอน เมื่อเช้านี้เป็นลมหน้าคะมำ ตกบันไดจนแข้งขาหัก!” ลูกค้าหญิงร่างอวบบ่นน้ำเสียงหงุดหงิด แต่ดูก็รู้ว่าเพราะเป็นห่วง นางหันมาทางรติแล้วก็ถาม
“หมอตรัสดื่มอะไรเป็นพิเศษไหม”
“ตรัสทำงานหนัก แต่เข้านอนเป็นเวลา เรื่องการพักผ่อนของเขาไม่น่าห่วงนัก จึงเพียงแค่ชงสมุนไพรบำรุงกำลังเท่านั้นขอรับ ส่วนเรื่องอาหาร ก็ต้องให้ครบถ้วน อีกอย่างคือการออกกำลังกายต้องทำให้เป็นนิสัย”
“เฮ้อ! เรื่องออกกำลังกายนั่นไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้เวลาจะนอนยังไม่มี! คนบ้างาน ก็ทำหามรุ่งหามค่ำ เข้านอนไม่เป็นเวล่ำเวลา!”
“แล้วหลับสนิทไหมขอรับ”
ลูกค้าทำหน้านึก ก่อนจะส่ายศีรษะ “คงเพราะเหนื่อย บางคืนเลยเหมือนจะหลับๆตื่นๆด้วย”
“ถ้าเช่นนั้น ดื่มสมุนไพรที่ช่วยเรื่องการนอนหลับดีไหมขอรับ หากนอนไม่เป็นเวลา อีกทั้งยังนอนน้อย ก็ควรหลับให้สนิท”
ลูกค้าฟังแล้วก็เห็นด้วย จึงสั่งผงสมุนไพรที่รติแนะนำ ตอนจ่ายเงิน รติไม่ลืมมอบของกำนัลเป็นผงสมุนไพรที่เพิ่งคิดขึ้นใหม่ให้นำไปลองดื่มด้วย
“นี่เป็นผงสมุนไพรช่วยให้เจริญอาหารขอรับ เผื่อท่านจะชงให้สามีของท่านดื่ม”
ลูกค้าคนนั้นหัวเราะเบา มองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างเอ็นดู
“เจ้านี่ช่างคิดช่างค้น”
“ข้าอยากให้ลูกค้ามีตัวเลือกหลากหลายนี่ขอรับ”
“ตรัสต้องภูมิใจที่มีเจ้าเป็นภรรยา ทั้งฉลาด ทั้งขยัน”
รติมองลูกค้าคนนั้นแล้วก็ยิ้มอ่อนโยน กล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง
“ข้าเองก็ภูมิใจที่มีตรัสเป็นสามีขอรับ”
ราวกับคนถูกพูดถึงจะรู้ตัว เพราะเดินออกจากห้องตรวจพร้อมกับคนไข้ซึ่งเป็นสามีของลูกค้าผู้นั้น
ตรัสช่วยพยุงคนไข้พาออกมานั่งรอที่โถง ประตูเชื่อมระหว่างร้านยาอหัสกรและร้านสมุนไพรรตินั้นกว้างขวางพอจะทำให้เห็นหมอหนุ่มโค้งกายลงพูดคุยกับคนไข้อย่างสุภาพ
ภรรยาของคนไข้ผู้นั้นมองภาพเบื้องหน้าแล้วก็หันมามองรติอีกครั้ง ก่อนจะยิ้ม
“พวกเจ้าสมกับเป็นความภาคภูมิใจของกันและกันแล้ว”
รติหันกลับมามองนาง
“...เป็นสามีภรรยาที่ดีสมกัน” นางสำทับ ก่อนจะรับผงสมุนไพรที่ซื้อมาจากรติ แล้วเดินเข้าไปหาสามีซึ่งเป็นคนไข้ของตรัส พูดคุยกันอยู่ไม่กี่ประโยค ตรัสก็ให้บ่าวในร้านช่วยเรียกรถม้าเพื่อพาคนไข้และภรรยากลับเรือน
แต่ก่อนที่สามีภรรยาคู่นั้นจะออกจากร้านไป ไม่ทราบว่าพูดกับตรัสเรื่องใด ตรัสยิ้มแล้วค้อมศีรษะรับทีหนึ่ง เมื่อเขาเลื่อนสายตามาเห็นรติมองอยู่ ชายหนุ่มก็เพียงยิ้มจางแล้วเดินกลับเข้าห้องตรวจไป
รติเห็นว่าในร้านมีบ่าวดูแลลูกค้าแล้ว จึงเข้าไปในห้องทำงานของตนที่มีประตูเชื่อมถึงห้องตรวจของตรัส เพื่อสอบถามว่าเมื่อครู่นี้ภรรยาของคนไข้ของตรัสกล่าวสิ่งใด
แต่ไม่ทราบว่าได้คำตอบหรือไม่ เพราะทั้งห้องตรวจของหมอตรัสและห้องทำงานของรติต่างปิดประตูเงียบ
ไม่มีคนไข้มาให้ตรัสตรวจรักษา และรติก็มิได้ออกมาดูแลลูกค้า
พักใหญ่ๆ มีคนไข้แวะมาที่ร้านยาอหัสกร บ่าวของร้านยาไปเคาะประตูห้องตรวจ ก็คล้ายได้ยินเสียงปิดประตูจากด้านใน ก่อนที่ตรัสจะส่งเสียงอนุญาตให้พาคนไข้เข้ามา
ไม่กี่อึดใจหลังจากนั้น ลูกค้าในร้านสมุนไพรก็ถึงได้เห็นรติออกมาเตร็ดเตร่หน้าร้าน
ชีวิตอันแสนเรียบง่ายของสามีภรรยาอหัสกรนั้น ดูแล้วไม่น่าสนใจอย่างยิ่ง กระนั้น หากพวกชาวเมืองไม่มีเรื่องใดให้พูดถึงแล้วไซร้ ก็มักจะวนไปที่เรื่องของสามีภรรยาอหัสกร
“ข้าได้ยินรติพูดเองเต็มสองหู ว่าภูมิใจที่มีหมอตรัสเป็นสามี!”
“จะว่าไปก็สมควรภูมิใจหรอก อหัสกรก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ มีร้านยาใจกลางเมือง มีตำรายาเป็นของตนเอง หมอตรัสเองก็นับว่าเป็นคนฉลาด สอบได้ใบประกอบตั้งแต่อายุยังน้อย ทั้งที่ไม่ได้เรียนโรงเรียนแพทย์ พอแต่งงานกันแล้ว ข้าก็ไม่เคยได้ยินว่าหมอตรัสจะข้องแวะหญิงชายคนใดอีก พูดก็พูดเถอะ เรื่องเมียสอง เมียสาม ใช่ว่าจะมีไม่ได้ จะว่ารติเป็นชายหน้าตาสะสวยไม่มีชายใดเทียบก็ไม่ใช่ แล้วยังมีลูกให้ไม่ได้ เป็นคนอื่นคงมีเมียน้อยนานแล้ว!”
“นั่นซีๆ ข้าว่าหมอตรัสรักรติมากเชียวล่ะ!”
“เอ?...ผัวเมียอหัสกรก็ไม่ยักหาทางมีลูก ข้าได้ยินว่ามีคนเคยไปขอลูกจากเทพแล้วได้ไม่ใช่รึ เป็นผู้ชายทั้งคู่อย่างหมอตรัสและรตินี่ล่ะ!”
“คงไม่อยากมีกระมัง...”
“แต่น้องชายของรติที่หน้าเหมือนหมอตรัสนั่นก็ใช้สกุลอหัสกรแล้วไม่ใช่หรือ”
“หน้าเหมือนแต่ก็เป็นคนอื่น!”
“แต่ข้าว่าไม่ใช่คนอื่นหรอก หน้าเหมือนหมอตรัสอย่างกับโขลก! คงเป็นลูกลับของหมอตรัสแน่!”
“เฮ้ย! พูดไป เด็กคนนี้ รติพามาไม่ใช่หรือ?!”
“พวกอหัสกรน่ะความลับแยะ! มีที่ไหน เด็กถูกพามาจากที่อื่น กลับหน้าคล้ายหมอตรัสอย่างกับแกะ!”
“จะอย่างไรก็เถอะ ข้ากล้าพนันว่าหมอตรัสไม่มีลูกกับหญิงอื่นแน่!”
“ถ้าอย่างนั้นรติก็โชคดีแล้ว ได้สามีตั้งใจทำมาหากิน เหล้ายาไม่ยุ่ง เมียน้อยไม่มี การพนันไม่ต้องพูดถึง เพราะไม่นิยม คู่ชีวิตเช่นนี้...ได้มาก็เหมือนถูกรางวัล”
“ได้รติเป็นคู่ชีวิตก็ถูกรางวัลเหมือนกันแหละหน่า!”
“เจ้านี่ช่างอวยรติจริง แต่...รติเองก็ดีสมกับที่เจ้าอวยนั่นล่ะ ผัวเมียอหัสกรน่ะ...ดีสมกันแล้วจริงๆ!”
คำนินทาของพวกชาวเมืองนี้ ดีร้ายปะปน บ้างเข้าหูตรัส บ้างเข้าหูรติ แต่ไม่ว่าผู้ใดจะพูดถึงสามีภรรยาอหัสกรเช่นไร พวกเขาก็ยังคงใช้ชีวิตคู่ เรียบง่ายและมีความสุข
เป็นคู่ชีวิตที่ ‘ดีสมกัน’ ที่สุดคู่หนึ่งในเมืองตะวันออกนั่นเอง
จบ
---------
#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต
ธ ม น
THAMON926
---------
พวกชาวเมืองตะวันออกนี่ขี้นินทามากๆ ฮ่าฮ่า คุยเรื่องคนอื่นเป็นวรรคเป็นเวรเลย
แต่ก็เพราะเรื่องนินทาไปถึงหูตรัสเนอะ รติก็เลย...
(อยากอุ้มรติหนีตรัสแล้วค่ะ ไม่อยากยกให้ตรัสแล้วจริงๆ ฮ่าฮ่า)
ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านเสมอเลยค่ะ ขอบคุณที่แวะมาอ่านงานของนักเขียน (นามปากกา) ใหม่คนนี้นะคะ ^^