Personal Driver : คนขับ(รัก)ส่วนบุคคล | นิยาย Y ตอนที่ 40 P.12 @11/11/20
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Personal Driver : คนขับ(รัก)ส่วนบุคคล | นิยาย Y ตอนที่ 40 P.12 @11/11/20  (อ่าน 43469 ครั้ง)

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
Personal Driver : คนขับ(รัก)ส่วนบุคคล

ตอนที่ 29. ภาพของเรา [ตอนพิเศษ #4]
             ผมสะดุ้งตื่นแต่เช้า สำรวจตัวเองว่ามีอาการบาดเจ็บตรงไหนก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อรู้ว่ายังสบายดีก็รีบลุกไปข้างนอกเพื่อชมบรรยากาศของยอดเขา ไอหนาวลอยเอื่อยกระทบผิวจนขนตามตัวลุกชันไปหมด ดีนะที่เตรียมหมวกไหมพรมมาด้วย ไม่งั้นน้ำค้างคงตกจนหัวเปียก ทรงผมที่เพิ่งตัดให้เลี่ยนเตียนมาเหมือนเด็กมัธยมคงไม่มีอะไรช่วยป้องกันน้ำค้างเอาไว้ได้ เสียงหยดน้ำจากยอดไม้ตกเปาะแปะที่ผ้าใบเต็นท์เหมือนเป็นเสียงขับกล่อมให้หลับสนิททั้งคืนยังคงไหลเอื่อย หยดน้ำเกาะไปทั่วยอดหญ้าสีเขียวราวกับหยาดฝนเป็นสิ่งที่ตอกย้ำถึงความหนาวในยามนี้ พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น แต่บรรยากาศในยามนี้ก็ไม่มืดมิด เป็นสัญญาณว่าต้องรีบไปที่ผานารายณ์ได้แล้ว

“คุณต่อ เร้ว” ผมเร่งคนที่นอนอุตุ พยายามปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น สงสัยจะเพลียจากการเดินขึ้นเขาเมื่อวาน สองขาคงเปลี้ยไปแล้วแน่นอน

“อื้อ ม่ายอาว” ยังกะเด็กน้อย

“เร้ว ถ้าช้าจะไม่ได้เห็นวิวสวยๆนะ”

“ไม่ไป” พลิกตัวกลับไปนอนขดอีกละ ผมล่ะเซ็ง

“โห อุตส่าห์จะกอดแฟนดูพระอาทิตย์ขึ้นซะหน่อย เสียดายจัง” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเบา ก่อนแกล้งเดินห่างออกตามทางที่ลูกศรชี้ว่าไปผานารายณ์ ไม่นานเสียงวิ่งตุบๆไล่หลังมาอย่างกับวัวกระทิงไล่ขวิด ไม่ต้องเดานะครับว่าเสียงใคร

“พี่เอก รอด้วย”

“ไม่” ผมรีบจ้ำ ไม่อยากให้อีกคนได้ใจ

“คิดว่าจะหนีรอดเหรอ” แหม...ถ้าคิดจะหนีคงไม่แค่เดินหรอก คงวิ่งไปจนถึงยอดผาโน่นแล้วป่านนี้

“...”

“นี่แน่ะ” หืมมมมมมมมมมมมม....วิ่งมาถึงแล้วจับมือไว้ แถมรั้งให้ยืนนิ่งอีกต่างหาก “แฮ่กๆ แป๊บ วิ่งแล้วเหนื่อย”

“เห้อ นี่ยังไม่ 30 เลยนะ” ผมแซว แฟนหนุ่มที่ห่างกัน 5 ปี...แต่ทำไมตูเหมือนพ่อเลยวะ

“ก็ผมวิ่งมานี่ แถม...โอย หายใจลำบาก” เจ้านายหนุ่มบ่น คงเพราะอากาศที่นี่ล่ะมั้ง ทำให้ต้องออกแรงหายใจหนักหน่วงกว่าเก่า

“ปล่อยมือก่อน ค่อยๆเดินไปด้วยกันก็ได้ พี่ไม่ได้หนีซะหน่อย”

“ไม่หนี แต่ออกมาก่อนโดยไม่รอแบบนี้น่ะเหรอ” ท่าทางจะไม่ยอมปล่อยมือง่ายๆซะละ

“ก็เพราะใครล่ะครับ ปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น พอบอกว่าจะให้กอดเนี่ยรีบพุ่งมาเลยนะ” ผมมองสภาพแฟนหนุ่มที่ตอนนี้ปล่อยให้หัวฟูฟ่องไปหมด ยังดีที่ใส่เสื้อแขนยาวและกางเกงผ้าขาวยาวสีเทาแบบสมัยนิยมพอกันหนาวได้ แต่...ไอ้ที่ตุงๆน่ะ คืออะไร

“จ้องอะไรขนาดนั้นพี่เอก”

“ห๊ะ เอ่อ” จะตอบไงดีวะเนี่ย เผลอจ้องเป้าหมายจนเจ้าตัวจับได้ซะละ จะไม่ให้มองได้ไง เพราะมันตุงเด่ขนาดนั้น พอนึกถึงของจริงที่พยายามยัดเข้ามาเมื่อคืนก็ยิ่งหน้าแดงไปอีก “ทะ ทำไมไม่ใส่กางเกงในมา”

“ก็ผมรีบอะ พี่เอกบอกว่าถ้าไม่มาด้วยจะไม่ให้กอด” อ้าว...โดนย้อน

“ไปใส่กางเกงในก่อนมั้ยอ่า” ถึงแม้คนไม่เยอะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะปลอดคนไปเลยนะ

“ทำไม พี่เอกหวงเหรอ” น้ำเสียงล้อเลียนส่งมาถาม ผมรีบเบือนหน้าหนี

“เปล๊า แล้วแต่ ไม่เปลี่ยนก็ไปเลยละกัน” ผมสะบัดมือให้หลุดออกและเดินนำหน้าไปตามทางโดยมีจอมกวนประสาทตามมาไม่ห่าง เบื่อกับข้ออ้างและคำถามล้อเลียนมากๆ ณ จุดนี้ ... ปากบอกว่ารีบ แต่ดันไม่ลืมกล้องถ่ายรูป หมายความว่าไงฟระ!!

             วันนี้เหมือนบรรยากาศจะไม่เป็นใจเท่าไหร่ เพราะอากาศหนาว หมอกลงหนาจัดแถมบดบังก้อนเมฆจนแทบไม่เห็นเส้นขอบฟ้า นักท่องเที่ยวคณะใหญ่มาทีหลังและจับจองหาที่นั่งไม่ใกล้ไม่ไกล ตรงนี้เรียกว่าผานารายณ์ อย่าถามที่มาที่ไปกับผมเลยนะครับ อันนี้ไม่ได้อ่านรายละเอียดอะไรเลย รู้แต่ว่ารูปทรงของชะง่อนผาเหมือนกบกำลังยืนนิ่ง ปลายปากยื่นออกไปยอดเหว น่ากลัวแต่วิวดันสวยมาก แสงแดดยังไม่มา สองหนุ่มที่กำลังนั่งอยู่ก็ได้แต่กอดอกตัวสั่นด้วยความหนาว ยิ่งคนหัวกระเซิงสวมกางเกงวอร์มบางๆไร้กางเกงในนี่สิ นอกจากจะไม่มีหมวกไหมพรมแล้ว เวลานั่งลงโขดหินเย็นเฉียบก็สะดุ้งตัวจนน่าขำ

“หัวเราะอะไรพี่เอก” หะ เห็นด้วยเรอะ

“เปล๊า”

“หึ เสียงสูง” คนตัวใหญ่มองซ้ายมองขวา หวังจะหาอะไรมารองนั่ง แต่ก็ไม่เป็นผล หยดน้ำเกาะหน้าผากไม่รู้ว่าเป็นเหงื่อจากการเดินมาหรือเพราะน้ำค้างตกใส่กันแน่ คิ้วยาวหนาเรียงตัวสวยขับใบหน้าขาวๆโดดเด่น ดวงตาเล็กแต่เปี่ยมด้วยประกายของความหล่อเหลาสว่างจ้ายิ่งกว่าแสงอาทิตย์ที่เผยตัวช้าๆหลังม่านหมอกเมฆ แสงสีส้มแดงฉาบทั่วอาณา บรรยากาศรายรอบไม่ได้อุ่นขึ้น หมอกหนายังไหลเอื่อยอย่างไม่รีบร้อนคล้ายจะโอบกอดหุบเขานี้ไว้ตลอดกาล

“พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว” ผมรีบเปลี่ยนเรื่องโดยการชี้ไปทางทิศตะวันออก แฟนหนุ่มจับจ้องแสงแรกอย่างไม่วางตาราวกับว่าไม่เคยสัมผัสมันมาก่อน ริมฝีปากเจ้ากรรมคลี่ยิ้มน้อยๆอย่างห้ามไม่ได้...บ้าจริง

“สวยจัง ขอบคุณนะครับพี่เอกที่พาผมมา” ถึงแม้หมอกจะหนาบดบังไปเสียเยอะ แต่ผมเชื่อครับว่าที่คุณต่อพูดนั้นมาจากใจจริงๆ

“พี่ก็ดีใจที่คุณต่อชอบ”

“บอกให้เรียกน้องต่อ” อ่าว...นึกว่าเรื่องนี้จบไปแล้วนะ ผมหน้ามุ่ยเพราะขี้เกียจเถียง เลยดึงหมวกของตัวเองไปสวมปิดหน้าคนที่นั่งข้างๆจนหมด

“มองไม่เห็น” คุณต่อบ่นอู้อี้ ก่อนปรับหมวกให้พอดี “พี่เอกไม่หนาวเหรอครับ”

ผมส่ายหัว อาจเป็นเพราะอยู่ข้างๆคุณต่อด้วยแหละมั้งเลยทำให้หน้าร้อนแปลกๆ “ไม่หนาวครับ คุณต่อใส่เถอะ”

แชะ

“อื้อ ถ่ายอะไรคุณต่อ”

“ก็ถ่ายรูปแฟนผมไง แฟนผมน่ารัก”

“โอย ถ่ายวิวไปเถอะครับ อย่ามาถ่ายพี่เลย สู้วิวสวยๆไม่ได้หรอก” ผมหลุบตามองไปเบื้องล่างแทน ลมหนาวกรูพัดยังไม่ทำให้หน้าหายร้อน นึกอยากกระโดดลงไปข้างล่างให้รู้แล้วรู้รอดจะได้ไม่ต้องสบตาคนๆนี้

“มากับแฟน แต่ไม่ได้ถ่ายรูปแฟน จะมาทำไมล่ะครับ” ย้อนอีก

“พี่น่ะถ่ายเมื่อไหร่ก็ได้ แต่วิวแบบนี้อะ เราไม่ได้มาเห็นกันบ่อยๆนะ”

“รูปที่มีแต่วิวเขา หมอกขาว มันสวย แต่มันไม่สวยเท่ากับถ่ายคนที่เรารักหรอกครับ”

งื้ออออออออออออออออ..... “งั้น เอามานี่” ผมคว้ากล้องที่คล้องคอและถ่ายเขากลับ

“ไม่เอาพี่เอก ถ่ายทำไมเนี่ย” รายนี้ชอบถ่ายแต่ไม่ชอบโดนถ่ายครับ

“ก็...ถ้าไม่ได้ถ่ายแฟนเรา รูปมันก็ไม่สวยไง”

“...” หืมมมมมมมมมมมมมม เขินหน้าแดงเป็นด้วย คุณต่อเกาหัวแกรกๆ หน้าแดงก่ำนั้นมองมาอย่างมีความหมาย เราสบตากันเนิ่นนานอย่างไม่พูดอะไร ปล่อยให้แสงแดดยามเช้าทอถักทั่วท้องฟ้า

“ขอโทษนะครับ รบกวนถ่ายรูปหมู่ให้หน่อยได้ไหมครับ” เสียงจากหนึ่งในนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่หันมาขอความช่วยเหลือกับผมที่กำลังควงกล้องคุณต่ออยู่

“อะ เอ่อ ได้ครับ” ผมตอบและหันไปสบตาแฟนหนุ่ม “คุณต่อถ่ายให้เค้าหน่อยสิ คุณต่อถ่ายรูปสวยกว่าผม”

“ได้สิ” เจ้านายหนุ่มยิ้มก่อนก้าวฉับไปที่คนร้องขอ แผ่นหลังกว้างนั้นดูบึกบึนยามที่ถ่ายรูปคนกลุ่มนั้น ผมมองอย่างชื่นใจ ... นี่กูหลงผู้ชายคนนี้หัวปักหัวปำเลยเหรอวะเนี่ย

“ขอบคุณมากครับ” ชายหนุ่มหัวหน้าทัวร์พูด “ให้ผมถ่ายรูปคู่คุณสองคนไหม” เขาเสนอ

“มะ..”

“ยินดีครับ” แฟนผมชิงตอบตัดหน้า ก่อนจะก้าวขากลับมายืนข้างๆแถมยังโอบไหล่จนตัวติดกัน

“ขอโทษนะครับ พวกคุณเป็นแฟนกันเหรอครับ” หืมมมมมมมม ถะ ถาม ทำไมวะ

“ใช่ครับ” ไอ้คุณต่อ ตอบเสร็จก็ยิ้มแป้นหน้าไม่อาย

“แอร๊ยยยย พวกแก ใช่จริงด้วย” หญิงสาวในกลุ่มกรี๊ดกร๊าด เห็นเล็งๆมานึกว่าสนใจไอ้เอก โถ่...

“รักกันไปนานๆนะคะ สาววายอย่างพวกเราหนับหนุน”

“หะ”

“ครับ” ยิ้มทำไมฟระ โอยยยยยยยยยย ไอ้เอกปวดหัว

“พี่ๆชิดๆกันหน่อยสิคะ กรี๊ดๆ” โอย ไอ้คุณต่อ ทำไมต้องทำตามสาวๆด้วยฟระ

“น่ารักอะแก”

“อื้อๆ คนนึงก็หล่อขาวตี๋ อีกคนก็เข้มๆ ฟินง่ะ”

“อยากถ่ายรูปคู่ด้วยจัง”

“ไม่เอาสิแก ถ้าเค้าไม่เปิดเผยล่ะ”

“หืมมมม นั่นสิ แต่แอบเสียดายนะ หล่อทั้งคู่เลย” สาวๆกลุ่มเดิมพูดถึงพวกเราตอนเดินลงจากโขดหินไปตามทางกลับลานกางเต็ฯท์ พอได้ยินคำว่าหล่อ กระผมก็ยิ้มย่องสิครับ ให้รู้ซะบ้างว่าเบ้าหน้าเราดี แต่ขอเถอะ คุยกันเบาหน๊อยยยย ผมเขินนนนนนนนนน

ตึ๊ง...ห๊ะ เสียงมือถือ ผมนึกว่าไม่มีสัญญาณนะเนี่ยบนนี้

             ผมหยิบมือถือเครื่องหรูที่คุณต่อให้ในตอนแรกที่เข้ามาทำงาน ได้เขานี่แหละสอนผมใช้โปรแกรมไลน์ ดาวโหลดเฟสบุ๊ค อินสตาแกรมเอาไว้ แถมยังแอบแชร์โลเคชั่นบนมือถือผมไว้ที่เครื่องตัวเองอีก...คิดแล้วเจ็บใจไม่หายที่โดนตามไปเจอตอนไปหาน้องๆ

“คุณต่อ อะไรเนี่ยยยยยยยยยย” ผมโวยวายเมื่อเปิดรูปใน Facebook ขึ้นมา ด้านหลังเป็นวิวหมอกหนา พวกเรายืนทำมุมเฉียงให้หน้ารับแสงอาทิตย์ เพราะถ้าหันหลังให้ รูปจะออกมามืดเพราะเป็นการถ่ายย้อนแสง ในรูปคือผมมองออกไปที่วิวด้านนอกเพราะกำลังเขินที่โดนสาวๆแซว แต่ไอ้คนตัวสูงที่ยืนกอดคอผมอยู่นั้นสิ จ้องหน้าอย่างหวานซึ้ง...

แค่รูปน่ะ ธรรมดา แต่แคปชั่นน่ะสิ...

‘ไม่อยากเป็นคนรักพี่เอกข้างเดียว แต่อยากเป็นคนรักเดียวข้างๆคุณ’ เสี่ยวชิบ แถมไม่ได้ซาบซึ้งกินใจอะไรเล้ยยยยยยยยย

ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง...อ้าวเห้ย เสียงเตือนดังรัวๆเลยวะ

วี๊ดวิ้วววว หวานจัง คอมเม้นต์จากคุณพัน

พี่กูขายออกแล้วโว้ย ไอ้โท น้องชายตัวแสบ

พี่เอกแม่งเจ๋งว่ะ ไอ้หนึ่ง หลานชายตัวแสบไม่แพ้น้องชายผม

เยี่ยม เดี๋ยวๆๆๆ พี่สาวคุณต่อก็เอาด้วยเหรอวะ

Congrats!!! คุณตงมาสั้นๆ

เปิดตัวแรงเลยเหรอวะ คุณกร...โอยยยยยยยยยย จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนวะกู

และอื่นๆอีกมากมาย พร้อมยอดไลค์ 300 ภายในเวลาไม่กี่นาที

ซีด....

“คุณต่อ” ผมตะโกนอย่างร้อนหน้า “ลบเดี๋ยวนี้นะ”

“ไม่ลบ ลบทำไมล่ะ”

“ผมอายนี่ครับ เอามือถือมานี่” ส่งรูปจากกล้องไปที่มือถือไวปานนี้ แถมลงรูปไม่ปรึกษากันซักคำ น่าเตะจัง

“อายทำไมพี่เอก”

“โว้ยยยยยยยยยย เอามานี่” มือไล่คว้า แต่เขาไวกว่า รีบพุ่งลงจากเนินหินลงไปข้างล่าง

“ไม่ให้”

“คุณต่อ โวะ ...” ผมวิ่งกวด แต่ไม่ทันเขาหรอกครับ ขายาวกว่า แถมยังหนุ่มกว่าอีก ไล่ไปก็ไม่ทันหรอก เหนื่อยเสียเปล่าๆ สู้เดินเงียบๆดีกว่า

หมับ... หืม... แขนหนักๆทาบลงที่ไหล่ คงเพราะเดินมองพื้นหญ้าเพลินจนไม่ทันสังเกตว่าใครบางคนวิ่งกลับมา

“พี่เอกรู้ตัวมั้ยว่าพี่เอกน่ารักที่สุดเลย” มาไม้ไหน

“หะ...”

จุ๊บ .... เร็วปานสายฟ้า ริมฝีปากเย็นๆก็แตะที่แก้มสากๆของผม เห้ย...มาขโมยหอมแก้มกันง่ายๆแบบนี้ได้เหรอวะ โอยยย ร้อนหน้าไปหมดแล้ววววว

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
งานนี้ น้ำตาลยอมแพ้

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
 :o8: :o8: :o8:
เขินแทนพี่เอกเลยงานนี้

ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
หวานกันมากกก อิจฉา

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
หวานกันจังน้อ   o18

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
สักขีพยานเยอะเลยนะครับพี่เอก :m20:

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
Personal Driver : คนขับ(รัก)ส่วนบุคคล

ตอนที่ 30. งานเข้า

             หลังจากรูปถ่ายบนยอดเขาพร้อมแคปชั่นเปิดตัวแบบอลังการงานสร้างแพร่ออกไป ตอนนี้คนทั้งบริษัทเลยรับรู้สถานะของคุณต่อพงษ์ รองประธานบริษัทกับนายเอกภพ คนขับรถส่วนตัวกันหมดแล้วว่าหัวหรือก้อย จากที่มีคนเริ่มเกรงใจอยู่แล้วก็กลายเป็นว่าไม่มีใครกล้าใช้งานหรือไหว้วานให้ช่วยงานอะไรอีก ร้อนถึงตัวเองนี่แหละครับเพราะเอาแต่นั่งๆนอนๆรอเวลาที่แฟนตัวเองเลิกงานก็ค่อนข้างน่าเบื่อ อ่านหนังสือ ทำรายงานส่งอาจารย์เสร็จไปหลายรอบแล้วก็ยังไม่หาย

“คุณต่อ” ผมถือวิสาสะเข้าไปประชิดตอนที่แฟนหนุ่มนั่งทำงานหน้าจอโน้ตบุ๊คขนาดเล็กที่ผมเคยเอามาใช้งานแล้วต้องเพ่งสายตาเนื่องจากตัวอักษรและรูปภาพต่างๆมันกระจิริดไปหมด สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ เก็บเงินซื้อโน้ตบุ๊คตัวใหม่ที่หน้าจอใหญ่บึ้มมาใช้งานเอง แม้จะต้องทนกับน้ำหนักที่มากกว่าก็ตาม

“หืม ว่าไงครับพี่เอก”

“คือ...” คืออะไรดีล่ะ มันเบื่ออะ มันเหมือนคนว่างงานนั่งเฉยๆจนจะกลายเป็นง่อยอยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้ไม่มีใครกล้าไหว้วานอะไรก็ยิ่งว่างเปล่าไปกันใหญ่ แต่จะพูดยังไงดีให้คนที่นั่งหน้าเคร่งขรึมเข้าใจและไม่งอนนี่สิ ยากกว่า

“ครับ” แฟนหนุ่มละสายตาและมองมาทางนี้ยิ่งทำให้หายใจติดขัด คนอะไรวะจะหล่อได้ทุกซอกมุมขนาดนี้ จากที่ไม่เคยคิดอะไรก็หวิวๆในใจไม่น้อย ตอนที่นอนก่ายกอดยังไม่รู้สึกเคอะเขินเพราะโดนกระทำมาจนชิน แต่หลังกลับมาจากกางเต็นท์ สุดหล่อคนนี้ก็ลากผมไปอาบน้ำด้วยทุกวัน แถมยังลงทุนซื้ออ่างอาบน้ำมาอีก วันไหนว่างๆก็จะพากันนั่งแช่อ้อยอิ่งอยู่ไม่ไปไหน ไอ้แค่อาบน้ำด้วยกันคงไม่อึดอัดหรอก สายตาก็เริ่มชินกับหอไอเฟลที่แกว่งไกวไปมาแล้ว ถึงแม้จะอายนิดหน่อยที่สู้ไม่ได้ แต่ก็ไม่ถึงขั้นสู้หน้าไม่ติด แต่เรื่องที่สุดแสนจะอึดอัดก็คือการที่ต้องนั่งแช่น้ำในอ้อมกอดคุณแฟนนี่แหละ ที่ยังไม่ชินซะที

             ลองคิดภาพผู้ชายสองคนที่รูปร่างใหญ่ ความสูงไม่ได้ต่างกัน คนหนึ่งแตะร้อยแปดสิบ กล้ามแน่น หุ่นดี ผิวขาวเนียนทุกรูขุมขน ร่องกล้ามหน้าอกและซิกแพ็กที่ชวนวาบหวาม กับอีกคนที่สูงร้อยเจ็ดสิบปลายๆ น้ำหนักแปดสิบกิโลกรัม ผิวสีเข้ม กล้ามเนื้อหนา หน้าท้องไม่ได้มีกล้ามแต่ก็แน่นไร้ไขมัน เวลานั่งแช่น้ำก็เหมือนยักษ์สองตนเข้าไปแล้ว แต่ผมยังต้องโดนอีกฝ่ายนั่งคร่อมอีก สองขาแหกกว้างให้ผมแนบก้นชิดกับหอไอเฟลขนาดเบ้อเริ่ม จะออกห่างก็ไม่ได้ โดนลากไปชิด ดิ้นเยอะก็ไม่เป็นผลดี เพราะมันเกิดขยายใหญ่งานจะงอกอีก... นึกถึงตอนที่อาบน้ำด้วยกันครั้งแรกบนเขาหลวงแล้วยังเจ็บไม่หาย

             มันจะดีกว่านี้ และผมคงปรับตัวได้ง่ายกว่านี้อีกเยอะ ถ้าไม่ใช่เพราะเวลาที่อาบน้ำด้วยกันหรือตอนเข้านอน เจ้านายในคราบแฟนจะพยายามสานต่อเรื่องวันนั้นอย่างไม่ลดละความพยายาม

“...ไม่สบายเหรอพี่เอก ทำไมหน้าแดง”

“ปะ เปล่าครับ” โอ้ยยยย เชี่ย อยากเขกกบาลตัวเองชิบหาย ดันไปนึกถึงตอนที่ต่อพงษ์น้อยพยายามดึงดันเข้ามาในตัวเองซะได้ กว่าจะหาข้ออ้างเพื่อรักษาพรหมจรรย์ตัวเองได้แต่ละครั้งก็แทบจะตกเป็นเมืองขึ้นคุณต่อหลายต่อหลายรอบ

“ตัวก็ไม่ร้อนนี่นา” แฟนหนุ่มเอื้อมมือมาแตะหน้าผาก ไอ้เราก็ได้แต่นิ่ง ไม่กล้าหนีไปไหนเพราะแพ้ทางใบหน้าและแววตาที่ห่วงใยจนออกนอกหน้าเช่นนี้ แล้วก็ต้องหายใจแรงขึ้นเมื่อหลังมือใหญ่นั้นไล้เรื่อยมาที่โหนกแก้ม แตะแผ่วเบาลงมาจนใกล้ริมฝีปากที่ขมิบยกใหญ่เพราะอยากกลืนน้ำลายที่เหนียวหนืดในคอ

ก๊อก ๆๆๆ

“ไอ้ต่อ มีประ... เอิ่ม เดี๋ยวกูมาใหม่ก็ได้” แฟนหนุ่มไม่ได้มีท่าทางตกใจ ผิดกับผมที่รับสะบัดหน้าออกทันทีที่เสียงเปิดประตูพร้อมร่างใหญ่ของคุณกรที่ส่งเสียงมาพูดเรื่องงาน

“มีอะไร พูดมาเลย” น้ำเสียงทุ้มตอบกลับพลางขยิบตาอย่างมีความนัย ผมรีบลุกไปนั่งที่เดิมด้วยความอายจนร้อนหน้าไปหมด

“มึงจัดการตรงนี้ให้เสร็จก่อนก็ได้ กูไม่รีบ หรือจะให้เปิดห้อง”

“พอๆไอ้กร สงสารพี่เอกอายหน้าแดงหมดแล้วนั่น” คุณต่อปกป้อง แต่กลับไม่ได้รู้สึกดีขึ้นแม้แต่น้อย “มีอะไรวะ”

“ก็เรื่องออกบูธงานมหกรรมอาหารเดือนหน้าไง มึงไม่ได้อ่านเมล์กูรึ”

“โทษทีว่ะ แป๊บ”

“มัวแต่หลงแฟนจนลืมงานเลยนะ” ไอ้คุณกรแม่งก็แซวไม่หยุด ผมแทบจะเอาหน้ามุดโซฟาเหมือนนกกระจอกเทศแล้วนะ คุณต่อก็เพ่งอ่านเนื้อหาในอีเมล์ที่ได้รับ ใบหน้าหล่อใสเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้ว

“ได้ไงวะ แม่ง”

“เออสิวะ กูจองพื้นที่ไว้หมดแล้ว ทุกอย่างคอนเฟิร์ม แต่ตอนนี้ดันกลายเป็นว่าเจ้าอื่นเอาของเราไป”

“ใครดูแลงานนี้วะ” ผมหูผึ่ง อยากรู้เรื่องกับเขาด้วย

“แป๊บ” คุณกรกดมือถือถามลูกน้องในทีม ก่อนจะตอบออกมา “บริษัทลูกของคุณเทพบดินทร์ว่ะ”

             ผมละขนลุกซู่ นึกถึงเหตุการณ์ในคืนวันนั้นขึ้นมาเลยครับ ผู้ชายหน้าตาดี รูปร่างสูงโปร่ง แต่งตัวมีระดับที่ชื่อเทพบดินทร์มาทักและขอชนแก้วในงานเปิดตัวสินค้ายี่ห้อหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ นอกจากจะพูดจากรุ้มกริ่ม ยังมือไวเป็นปลาหมึกอีกต่างหาก ถ้าผมจำไม่ผิด รายนั้นเป็นเจ้าของบริษัทนำเข้าส่งออกนี่นา แต่ทำไมถึงมาเกี่ยวข้องกับงานนี้ด้วย

             งานมหกรรมอาหารนั้นจัดมาต่อเนื่องและยาวนาน โดยจะมีตัวแทนของภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันในการชวนผู้ประกอบการด้านอาหารนำสินค้าและนวัตกรรมใหม่ๆของตนเองมาจัดแสดง พร้อมทั้งหาลูกค้าใหม่ที่เดินทางมาจากทั่วโลก ซึ่งทุกปีจะมีการจ้างออแกไนซ์เซอร์ชื่อดังมาเป็นแม่งานในการรังสรรค์งานให้ออกมายิ่งใหญ่และดูดีที่สุดเพื่อดึงดูดความสนใจ มีการยิงโฆษณาทางสื่อต่างๆพร้อมกับจดหมายเชิญชวนลูกค้าของแต่ละบริษัทที่ไปออกงานโดยพร้อมเพรียง

             ปกติแล้ว บริษัทของคุณต่อไปออกงานปีเว้นปี เนื่องจากสินค้าเป็นที่รู้จักอยู่แล้วและขายได้อย่างดี แต่จะไปร่วมงานนี้เพราะอยากนำเสนอสินค้าใหม่ๆหรือเพื่อสร้างการรับรู้เรื่องแบรนด์ (Brand awareness) กับลูกค้า เนื่องจากสเกลการจัดงานมันใหญ่ ทำให้โอกาสที่จะได้ลูกค้านั้นมีไม่มาก แค่เดินชมงานอย่างเดียวก็ใช้เวลาครึ่งค่อนวัน จึงเป็นไปได้ยากที่ผู้ร่วมงานจะสามารถเดินชมงานและพูดคุยเรื่องธุรกิจกันจบภายในระยะเวลาอันสั้น ดังนั้นพื้นที่จัดแสดงงานนั้นสำคัญมาก ถ้าอยู่ซอกหลืบลึกๆ โอกาสที่ลูกค้าจะย่างกรายมาหายิ่งยากมากขึ้น ทางคุณต่อจึงให้ทีมการตลาดจองพื้นที่ล่วงหน้าเป็นปีก่อนจะถ่ายโอนมาอยู่ใต้ความรับผิดชอบของคุณกรในตอนนี้

“เชี่ย” คำสบถหลุดมาจากปากแฟนผมเองครับ คงจะรู้ตัวว่าเป็นเพราะอะไรแล้วล่ะ ผมอ่านจากสายตาที่พวกเราสบกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ท่าทางคุณเทพบดินทร์จะไม่ค่อยพอใจที่โดนคุณต่อหักหน้าเรื่องคืนนั้นเท่าไร แต่คนที่รู้สึกแย่ยิ่งกว่าก็คือผมนี่แหละ เห้อ!

“จะเอาไงดี โทรไปคุยก็บอกไม่สะดวก” คุณกรเล่า

“เออ เดี๋ยวจัดการเอง ขอเวลาหน่อย” คุณต่อรับปากก่อนปล่อยให้เพื่อนสนิทที่มีฐานะเป็นลูกน้องเดินออกจากห้องไป

“คุณต่อ คือผม...” หน้าจ๋อยเลยครับ เพราะอยู่ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ แถมเราเป็นต้นเรื่องอีก ตอนนี้ไม่ว่าใครที่มาหาคุณต่อชินกับการที่มีผมนั่งฟังอยู่ไม่ห่างแล้วครับ ถึงแม้จะมีตะขิดตะขวงใจกันบ้างก่อนหน้านี้ แต่พอรู้สถานะที่เปิดออกไปแถมพ่อตัวดียังอนุญาตให้ผมรับฟังเรื่องงานอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ ไอ้เอกภพเลยเหมือนได้อภิสิทธิ์รู้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้น

“นั่งก่อนพี่เอก” คุณต่อใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้บีบที่หว่างคิ้ว สันจมูกโด่งรับใบหน้าเกิดรอยแดง แววตาเหนื่อยล้าเผยให้เห็นอย่างไม่ปิดบัง ผมหย่อนตูดลงบนเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

“ไม่เอา มานั่งตรงนี้” ชิชะ! คิดว่าเป็นใคร มากล้าสั่งไอ้เอกไปนั่งตรงนั้น ... ตรงที่ฝ่ามือใหญ่กำลังตบตุบๆที่หน้าขา ... คิดเหรอว่าจะไป

“ครับ” อ้าวกู รับคำง่ายๆแล้วไปนั่งบนตัก ทำอย่างกับเป็นหญิงสาววัยแรกแย้ม

             คือ บอกตรงๆว่าไม่ชินครับ แต่พอจะรู้ว่าถ้าตอนไหนคุณต่อเครียดหรือไม่สบายใจมากๆ แกจะชอบให้ผมมานั่งตักและใช้สองแขนกอดรัดจนแน่น ใบหน้าหล่อจะซุกที่อกผมพักใหญ่จนกว่าลมหายใจจะราบเรียบเป็นการยืนยันว่าสงบสติอารมณ์ได้แล้วถึงจะปล่อยตัวผมให้เป็นอิสระ ... อย่าคิดว่าไอ้เอกภพจะชินนะครับ ไม่มีทางหรอก ไม่ได้อยากนั่งด้วย กลัวแฟนขาหัก ตอนแรกๆก็โวยวายแหละ แต่พอเห็นอาการของอีกฝ่ายก็ได้แต่ใจอ่อน ปล่อยให้เขาซึมซับอะไรก็แล้วแต่ที่ต้องการจนหนำใจได้อย่างเต็มที่

“ขอบคุณนะ” น้ำเสียงอ้อนแบบเด็กน้อยพูดขึ้น ผมก็ได้แต่อมยิ้มปล่อยให้แขนล่ำกอดอยู่เช่นนี้ไปเรื่อยๆ

             คุณต่อใช้เวลาตลอดช่วงบ่ายในการพยายามติดต่อคุณเทพบดินทร์ที่ยุ่งเสียเต็มประดา ผมได้แต่มองตาปริบๆอย่างไร้ประโยชน์เพราะไม่รู้จะช่วยอย่างไรได้บ้าง เลยทำได้แต่ตรวจเอกสารที่ทางเลขาคนสวยมาวางไว้ให้เพื่ออนุมัติ พลันก็นึกได้ว่าเอกสารที่อนุมัติแล้วจะถูกสแกนและเก็บในไดรฟ์กลางของบริษัท เลยถือวิสาสะเปิดเข้าไปไล่หาเอกสารที่ต้องการอย่างเร่งรีบ ให้รู้ซะบ้างว่าผมเป็นใคร ตั้งแต่ซื้อโน้ตบุ๊คใหม่มา เจ้านายก็สั่งให้ฝ่ายไอทีลงโปรแกรมให้ แถมยังอนุญาตให้เข้าถึงไฟล์งานที่แชร์ในไดรฟ์กลางได้ทุกแผนก (ไดรฟ์กลางของบริษัทก็คล้ายๆพวกที่เก็บข้อมูลแบบคลาวด์เลยครับ เพียงแต่ว่าเราจะออนไลน์แค่ภายใน ไม่ได้ฝากไว้กับผู้ให้ผู้บริการภายนอกอย่าง ไอคลาวด์ อะไรเทือกนั้น)

“โป๊ะเชะ!” ขนาดดีใจยังต้องร้องเบาๆเลย ไม่ได้กลัวนะ แค่ไม่อยากให้แฟนรู้ว่าจะทำอะไร ผมเคาะเม้าส์เปิดไฟล์ขึ้นมาอ่าน เป็นรายละเอียดของงานที่มีปัญหาตอนนี้ ในนั้นบอกที่มาที่ไป วัตถุประสงค์ของงาน งบประมาณและข้อมูลต่างๆครบครัน ไหนๆก็ว่างจัดขนาดนี้แล้ว ลองอ่านและทำความเข้าใจตัวโครงการนี้ก่อนละกัน

“คุณอ้อย เรียกการตลาดประชุมด่วน” น้ำเสียงคุณต่อไม่สู้ดีนัก สงสัยจะหัวเสียที่โดนแกล้งจากฝั่งโน้นที่ย้ายพื้นที่จัดบูธของบริษัทไปซะไกลลิบ ทำเลตรงนั้นคือถูกปิดจากบูธอื่นแน่นหนา ถ้าจะจัดแสงสียิ่งใหญ่คงจะเพิ่มงบอีกเกือบเท่าตัว

“คุณต่อ” ผมทัก แต่ท่าทางจะโมโหจนสงบอารมณ์ไม่ทัน

“เดี๋ยวผมมา” ว่าแล้วร่างใหญ่ก็ก้าวออกจากห้องไปปล่อยให้ประตูปิดกระแทกดังโครมลั่น

             ร้อนใจถึงไอ้เอกภพที่ต้องมานั่งเครียดแทนว่าจะช่วยหาทางออกได้ยังไงมากกว่า ในเมื่อรู้กันดีว่าคุณเทพบดินทร์น่ะแค้นฝังหุ่น แถมรายละเอียดงานบอกว่าไม่ได้จ่ายเงินจองพื้นที่หรือทำสัญญาก่อนเพราะถือว่าเป็นคอนเน็กชั่นเก่าแก่ ตอนนี้เลยกลายเป็นช่องว่างให้อีกฝ่ายโจมตีจนแทบดิ้น เพราะบริษัทออแกไนซ์เซอร์เจ้าเดิมขาดสภาพคล่องจนคุณเทพบดินทร์ต้องมาอุ้มแทน จากที่ไม่ต้องกังวลอะไร กลับเกิดเป็นปัญหาใหญ่ ... เบื่อหน้าตาหล่อๆของตัวเองชะมัด [เอกภพคิดเองเออเอง]

             ผมสะบัดหัวไปมาไล่ความคิดไร้สาระเมื่อกี้ ในมือถือบุหรี่ที่เหลือแค่ก้นกรองไว้อย่างนั้น พื้นที่สูบบุหรี่ของบริษัทว่างเปล่า ทั้งๆที่เมื่อกี้คนยังอยู่กันเต็มก็ตาม แต่พอไอ้เอกภพมาแค่นั้นแหละ พากันแตกฮือไปหมด นี่คนนะ ไม่ใช่ขี้ ทำท่าหวาดกลัวอะไรปานนั้น ผมไม่ใช่คนขี้ฟ้องนะ จะได้เอาไปเล่าให้แฟนตัวเองฟังว่าเจอใครมาแอบอู้งานสูบบุหรี่บ้าง ... ในเมื่อครอบครองพื้นที่ด้านนอกอาคารคนเดียวแบบนี้ ใจผมก็สงบร่มเย็นลงไปบ้าง แต่อากาศก็ร้อนจนแทบไหม้ เหงื่อไหลอาบแผ่นหลังจนเปียกโชก ตั้งแต่มานั่งออฟฟิศ นิสัยรักสบายก็เริ่มถามหา จากแต่ก่อนไม่ต้องอยู่ในห้องแอร์ก็รู้สึกสบายๆ ตอนนี้กลับเหนียวเหนอะตัวไปหมด ... อะไรจะคุณชายได้ขนาดนี้วะไอ้เอก

             กลับมาที่โต๊ะร่วม 15 นาที ก็ยังไม่มีวี่แววว่าคุณแฟนจะประชุมเสร็จ ท่าทางจะเคร่งเครียดพอดู คิดแล้วสงสารเด็กๆทีมการตลาด เพราะน่าจะโดนเอ็ดตะโรชุดใหญ่ที่ประมาทเลินเล่อไม่ทำสัญญาให้เป็นลายลักษณ์อักษร ผมสั่งปรินท์เอกสารออกมาอ่านอีกครั้งก่อนจะวางไว้บนโต๊ะ

         คุณเทพบดินทร์ ... นึกชื่อนั้นย้ำๆในใจไปมา คนเราจะแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวให้ออกจากกันไม่ได้เลยเรอะ คิดแล้วหัวเสีย ผมเปิดปิดโต๊ะทำงานดังโครมก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ได้นามบัตรเขามานี่หว่า จากนั้นก็ลงมือรื้อค้นลิ้นชักเป็นการใหญ่ ถ้าจำไม่ผิดผมเก็บเอาไว้นะ แต่ไม่รู้ว่าไว้ตรงไหน เพราะตอนนั้นคุณต่อหึงโหดจนไม่กล้าเก็บให้เห็นคาตา

“เชี่ย” ผมเจอแล้วล่ะ แต่นามบัตรมันยับเยิน หมายเลขโทรศัพท์สิบหลักหายไปสอง แถมอยู่คนละตำแหน่งอีกด้วย ถ้าจะลองจับคู่หมายเลข 0-9 ก็ต้องลองโทรออกไม่ต่ำกว่า 100 ครั้งแน่นอน ... ไม่ใช่เซียนหวยซะด้วยสิ เอาไงดีวะ

ปวดกบาลโว้ยยยยยยยยยยยยยย!!! ผมฟุบหน้าลงบนโต๊ะ

ติ๊ง!

   เสียงอีเมล์ดังมาจากคอมพิวเตอร์แลปท็อปขนาดจิ๋วของเจ้านายที่ตั้งตระหง่านอยู่บนโต๊ะทำงาน ผมถึงขั้นบรรลุโสดาบันรีบพุ่งไปเปิดหน้าจอทันที ลากนิ้วบนหน้าจอแทนการพิมพ์รหัสเข้าเครื่องอย่างคล่องแคล่ว จากการใช้งานก่อนหน้านี้มานานเดือน

“เฮือก” สะดุ้งสิครับ ไอ้เจ้านายตัวดีแอบมาเปลี่ยนรูปพื้นหลังหน้าจอเป็นตอนที่เราไปเที่ยวกันที่เขาหลวง ไม่รู้มาติดใจอะไรกันนักหนา แต่ที่ไม่เข้าใจมากกว่าคือ ทำไมกูต้องยิ้ม!

             ผมเปิดอีเมล์ส่วนตัวของคุณต่อพงษ์ ทุกอย่างที่สำคัญอยู่ในนี้หมด ถ้าแอบเอาไปขายให้คู่แข่งคงรวยเละ ... เอ่อ ไม่ได้ๆๆๆ สติเอก สติ ... ผมกดปุ่มแว่นขยายเพื่อหาชื่อคุณเทพบดินทร์และรอ โชคดีที่ระบบประมวลผลมันค่อนข้างเร็วเลยทำให้มีข้อมูลและอีเมล์เก่าที่เคยติดต่องานกันโผล่ขึ้นมา สุ่มเคาะอีเมล์หนึ่งฉบับออกมาอ่าน ไล่เรื่อยลงไปจนถึงข้อความสุดท้ายก่อนมาจบที่ลายเซ็นที่บ่งบอกชื่อ ตำแหน่ง และหมายเลขโทรศัพท์ติดต่ออย่างละเอียด

             ผมกดหมายเลขทั้ง 10 นั้นอย่างหวั่นๆ หวังว่าเขาจะรับโทรศัพท์ และหวังว่าคุณต่อจะไม่รู้ หรือถ้ารู้ก็หวังว่าจะเข้าใจความหวังดีของไอ้เอกภพคนนี้บ้างนะครับ เอาวะ กูหน้าด้าน เรื่องแค่นี้จิ๊บๆ ไม่เห็นจะต้องกลัวอะไรเลย หน้าตาหื่นๆของคุณต่อตอนที่พยายามจับกดยังน่ากลัวกว่าอีก เสียงรอสายดังตู๊ดๆเป็นจังหวะช้าๆ ผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นรัว นึกในใจอย่างห้าวหาญว่า

อย่ารับนะ อย่าเพิ่งรับ ขอตั้งสติก่อน ...

[ฮัลโหล เทพบดินทร์ครับ]

เย็กเคร็ก! มึงจะรับสายทำม๊ายยยยยยยยยยยยยยยยย

เอกภพจะบ้าตาย....

##### #####

             ตอนนี้ผมนั่งแกร่วที่ร้านกาแฟหรูในห้างแถวบางนา มองไอร้อนที่แผ่ออกจากแก้วลอยอ้อยอิ่งและจางหายไปจนกระทั่งมันเย็นเยียบ คนที่นัดก็ยังไม่มา ความจริงผมดื่มกาแฟมาแล้วสองแก้ว ครั้นจะมานั่งในร้านเฉยๆก็ดูไม่ดี แต่จะให้สั่งอะไรสักอย่างนอกเหนือจากกาแฟร้อนผมก็ทำไม่เป็น ทำไมจะต้องนัดที่หรูๆแบบนี้ด้วยวะ

             เวลาผ่านไปร่วม 15 นาทีหลังจากนั่งรอ ร่างสูงมาพร้อมกับรอยยิ้มหล่อเหลา ผมลุกยืนและยกมือไหว้ก่อนที่ชายหนุ่มรูปหล่อที่แต่งตัวเหมือนจะไปเดินแบบที่ไหนสักงานรับไหว้และนั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม นับหนึ่งถึงสามสิบแล้วยังไม่มีใครเอ่ยปากพูด สายตาเล้าโลมที่ส่งมาชวนขนลุก ถึงจะมีแฟนเป็นผู้ชาย แต่ผมก็ไม่ได้พิศวาสตัวผู้ทุกตัวนะเออ

“คือ...” มันอึดอัดจนเกินไป ต้องรีบทำลายความเงียบ เพราะแอบหนีคุณต่อออกมาโดยไม่ได้บอก อาศัยจังหวะประชุมเครียดนั่นแหละ

“รอแป๊บนึงนะ” คุณเทพบดินทร์ยกโทรศัพท์มือถือกดรับสายก่อนที่จะมีผู้ชายร่างสูงอีกคนหนึ่งเดินมาที่โต๊ะของเรา

“นี่คุณยิ่งเทพ” ผมยกมือไหว้คนที่ดูเหมือนจะเด็กกว่า คุณยิ่งเทพนั้นหน้าตาถือว่าหล่อเหลาแบบไทยแท้ ผิวสีแทนรับกับใบหน้าคมราวกับพระเอกหนังสมัยก่อน แม้แต่การแต่งตัวที่ไม่ค่อยเป็นทางการเช่นวันนี้ยังไม่อาจกลบรัศมีได้เลยสักนิด ผมมองเสื้อโปโลสีน้ำเงินเข้มคู่กับกางเกงยีนส์รัดรูปสีดำและรองเท้าหนังราคาแพงอย่างนึกอิจฉา ทั้งๆที่พวกเราก็มีหน้าตาออกโทนเดียวกันแท้ๆ (หมายถึงดำๆล่ำๆนะครับ) แต่ความหล่อต่างกันราวฟ้ากับเหว

“ครับ ผมขอเข้าเรื่องเลยละกัน จะได้ไม่เสียเวลา” น้ำเสียงคนมาใหม่นุ่ม ทุ้ม แต่ออกแนวดุดัน ผมนั่งนิ่งหลังตรงอย่างลืมตัว เพราะมักจะได้ยินเสียงโทนนี้ตอนที่ออกฝึกกลางแจ้งในค่ายทหารมากกว่า ไม่ค่อยจะมีใครเปล่งน้ำเสียงแบบนี้เลยตั้งแต่ตอนนั้น

“คุณเอกภพใช่มั้ยครับ”

“เอ่อ ครับ” เรียกซะเต็มยศเลยโว้ย

“คุณเทพบดินทร์คงแจ้งเหตุผลที่นัดคุณมาแล้วใช่ไหม” ผมพยักหน้ารับ ตอนที่คุยโทรศัพท์กัน ผมพยายามขอร้องให้ทางคุณเทพบดินทร์ช่วยเหลือเรื่องพื้นที่จัดแสดงสินค้าของบริษัทคุณต่อ แต่ทางนั้นยืนยันว่าช่วยอะไรไม่ได้ เพราะว่ามีบริษัทอื่นจ่ายเงินมัดจำเรียบร้อยแล้ว พอผมตื๊อนานๆเข้า ก็เลยได้มานั่งตรงนี้กันทั้งสามคน

             ยิ่งเทพ เป็นนักธุรกิจหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงในบริษัทคู่แข่งของคุณต่อ ไม่รู้เหมือนกันว่าไปตกลงกันท่าไหน บริษัทของคุณยิ่งเทพเลยปาดหน้าชิงพื้นที่จัดแสดงสินค้าจากแฟนผมเสียได้

“ถ้าพี่เอกยอม ผมจะช่วย” ข้อเสนอของคุณเทพบดินทร์ยังก้องอยู่ในหัว เดิมทีผมคิดว่าจะไม่รับ แต่เพราะงานนี้ค่อนข้างสำคัญต่อแผนขายของบริษัท ทำให้การตัดสินใจแค่เสี้ยวนาทีหลุดจากปากผมเสียอย่างนั้น

“ดีครับ ผมยินดีจะคืนพื้นที่จัดแสดงสินค้าให้ ถ้าพี่เอกยอมช่วย” หืมมมม ทำไมเรียกซะสนิทเลยล่ะ ทีแรกยังทำเป็นเช้มอยู่เลยมั้ย

“จะให้ผมช่วยยังไงเหรอครับ” นี่แหละเป็นสาเหตุที่ต้องมา เมื่อไม่มีใครบอกข้อเสนอทางโทรศัพท์ เอกภพจึงต้องออกโรงเอง ถึงแม้ตอนนี้ในใจจะตุ๊มๆต่อมๆ ก็ตาม คงจะไม่ใช่แบบที่คิดไว้หรอกนะ ที่จะให้ผมใช้เรือนร่างเพื่อแลกเปลี่ยน ถึงจะเป็นผู้ชายก็เถอะ คิดในแง่ดีมันก็ไม่มีอะไรบุบสลายไม่ใช่เหรอ ก็แค่ร่างกาย แถมเป็นผู้ชายด้วยกันอีก แต่คิดอีกที ในใจก็ยังหวั่นๆ ถ้าเกิดทั้งสองคนเกิดซาดิตส์หรือชื่นชอบกิจกรรมหมู่ขึ้นมาล่ะ ผมจะต้องเจอกับอะไรบ้างเนี่ย คนเรานี่มองแค่ภายนอกไม่ได้จริงๆแฮะ คุณยิ่งเทพอะไรนี่ก็ดูจะมีรสนิยมและมาดแมนอยู่ไม่น้อย จะยอมลดตัวมา xxx กับเรือนร่างผมเหรอ

...คิดแล้วก็รู้สึกใจคอไม่ดีเลย คอแห้งชิบ!

“พี่เทพยังไม่ได้บอกเหรอ” คุณยิ่งเทพไม่ค่อยมีหางเสียง ครับ เวลาพูด เหมือนเป็นเด็กที่ถูกตามใจจนเคยตัวเอามากๆ

“ยังครับ พี่รอให้คุณยิ่งเทพพูดต่อหน้าเองดีกว่า” สายตาโลมเลียหายไปจากแววตาคนที่เพิ่งตอบคำถาม ผมใจเต้นตึกๆตักๆไม่เป็นจังหวะรออยู่แล้ว ร้านกาแฟที่เปิดแอร์จนเย็นเฉียบยังไม่ช่วยให้เหงื่อผมหยุดไหลได้เลย

“โอเค งั้นผมจะบอกเอง” คุณยิ่งเทพยื่นซองเอกสารในมือมาให้ ผมหยิบและเปิดอ่านคร่าวๆ มันเป็นสัญญาการเช่าพื้นที่ฉบับจริงและเอกสารโอนกรรมสิทธิ์ “นี่เอกสารตัวจริง ผมเอามาแล้ว มีเอกสารยกเลิกสัญญาและใบโอนสิทธิ์มาด้วย แค่พี่เอกช่วยเหลือผมแค่อย่างเดียว”

“อะ อะไรครับ” โอยยยยยยยยยยย ลุ้น จะต้องเสียตัวในเร็ววันนี้แล้วแน่ๆกู ไม่น่าเลย ไม่น่าเลย เอาไงดีวะ จะหนีกลับตอนนี้จะทันไหม หันไปอีกทางก็เจอกับแววตาหวานเยิ้มจากคุณเทพบดินทร์ส่งมาจนสยองยิ่งไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้น

“ข้อเสนอของผมไม่ยาก” คุณยิ่งเทพเซ็นลงเอกสารที่เตรียมมาทุกแผ่นต่อหน้า ก่อนยิ่นให้คนที่นั่งใกล้กันลงนามและรวบเก็บเข้าในซองเดิม “ถ้าพี่เอกรับปาก เอกสารทั้งหมดนี้ผมยกให้”

..เอา เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ... พ่อแก้วแม่แก้วช่วยลูกด้วยนะ ขอให้ทั้งสองคนเป็นรับด้วยเถอะ ลูกจะได้ไม่เจ็บมาก

“ครับ” ผมกลั้นหายใจ จะลีลาอีกนานมั้ย

“ดีครับ สิ่งที่ผมจะขอ ไม่ยากจริงๆ” ยิ่งเทพมองมาด้วยแววตาไร้อารมณ์ แต่น้ำเสียงนั้นกลับหนักแน่นจนขนลุก

“พี่เอกต้องลาออกจากบริษัทของต่อพงษ์” หืม.... ผมหน้าซีด

“และ...” ยังไม่หมดอีกเรอะ แค่บอกให้ลาออกก็อึ้งละนะ ทำไมต้องลาออกด้วยวะ ไม่เข้าใจ

“พี่เอกกับต่อพงษ์เป็นแฟนกันใช่ไหม”

“ครับ” โอยยยยยยย จะยื้อเวลาอะไรกันนักหนา

“ดี” ใบหน้าหล่อยกยิ้มแบบผู้ร้ายในละครหลังข่าว ผมตัวลีบอย่างลุ้นระทึก ก่อนจะได้ยินประโยคที่อีกคนเปล่งออกมาอย่างหนักแน่นว่า

“ผมเคยเรียนที่เดียวกับต่อพงษ์ ผมรักเขามานานแล้ว ถ้าพี่เอกเลิกกับต่อพงษ์และไม่ติดต่อกันอีก หลีกทางให้พวกเราได้สานสัมพันธ์กัน... ผมยอมยกเลิกสัญญาทั้งหมด” เจ้าตัววางซองเอกสารลงบนโต๊ะอย่างแรงจนลมกระพือ ผมอ้าปากค้างมองทั้งสองคนที่นั่งตรงข้ามในท่าไขว่ห้าง

เฮือก......... นี่ไม่ได้เกี่ยวกับเรือนร่างกูเลยสักนิด!

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

นั่นไงหล่ะ

เจ้ายิ่งเทพกะเคลมต่อพงษ์  ส่วนอิตาเทพบดินทร์ก็คงกะเคลมตาเอกสินะ

สองคนร่วมมือกันเพื่อวินวินซิทูเอชั่น  หุหุ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ลุงเอก......สู้โว้ยยยย

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
แล้วพี่เอกจะทำอย่างไรต่อไปนะ

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
ท่าจะเรื่องใหญ่นะพี่เอก เจอดับเบิ้ลเทพเข้าไปเนี่ย ห้ามทิ้งคุณต่อนะ.   :katai1:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
พี่เอกอย่าทำให้ปัญหามันใหญ่โตไปกว่านี้นะครับ ปรึกษาคุณต่อก่อนดีกว่า

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
Personal Driver : คนขับ(รัก)ส่วนบุคคล

ตอนที่ 31. ธีมงานแต่งสีเขียว ใครเป็นคนคิดฟะ!!!

             อีกเรื่องหนึ่งที่ผมไม่เคยคิดว่าจะได้มีโอกาสเข้ามาสัมผัสแบบใกล้ชิด นั่นคือพิธีแต่งงานริมชายหาด ... พวกเราสวมชุดสูทเข้าธีมงานและต้องยืนสะเทิ้นแดดสะเทิ้นลมอย่างไม่รู้ร้อนตั้งแต่เช้าจนสาย หากใครคิดอยากจะมีภาพสวยๆในวันแต่งงานริมชายหาดของตัวเองอยู่ละก็ ไอ้เอกภพคนนี้ขอร้องล่ะครับว่าคิดใหม่เถอะ เบื้องหน้าอาจจะดูดี แต่เบื้องหลังนี่เหงื่อหยดยันง่ามตูด ยิ่งช่วงไหนที่ลมละเทพัดกรูล่ะอย่าได้หวังพึ่งไอเย็นจากพัดลมไอน้ำเชียว นอกจากจะพัดไอทะเลเหนียวเหนอะหนะ ยังมีทรายเม็ดเล็กๆพ่วงมาเป็นของแถมอีกด้วย ใครดวงไม่ดีก็เจอฝุ่นทรายเข้าตาร้องจ๊ากตามๆกัน

             ก่อนจะถึงวันงานสามวัน เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลานรกของคุณแฟนสุดหล่อเป็นที่สุด ปกติรายนั้นจะทำตัวชิคๆคูลๆชิลๆไปมา ทำเหมือนว่าไม่มีงานอะไร แต่เปล่าเลย ถ้าไม่ได้มานั่งห้องทำงานเดียวกัน ผมคงได้เห็นหน้าอีกทีคือตอนนั่งรถกลับบ้านด้วยกันนั่นแหละ ด้วยตำแหน่งและหน้าที่ คุณต่อพงษ์จะประชุมเยอะมาก ทั้งบอร์ดบริหาร ผู้ถือหุ้น ประชุมฝ่ายโน่นนี่นั่น (ทั้งการตลาด การขาย บัญชี ฝ่ายจัดซื้อจัดจ้าง และอีกสารพัด) ทำให้เวลาที่ควรนั่งเท่ห์ทำงานจรดปากกาเซ็นเอกสารที่โต๊ะแทบจะเป็นศูนย์ ทางคุณอ้อย(เลขาคุณต่อ) ก็ยุ่งวุ่นวายจนแทบจะเอาตัวเองไม่รอด ทำให้ผมต้องคอยทำงานแทนมาสักระยะ ทั้งรับสายเข้า จัดตารางนัดหมาย และที่สำคัญ ขับรถพาคุณแฟนในคราบเจ้านายไปประชุมนอกสถานที่

“คุณต่อครับ ทางร้านโทรมาถามว่าชุดที่คุณต่อให้แก้เสร็จแล้วนะครับ จะเข้าไปเอาเลยไหม” คนที่ผมคุยด้วยนั่งพิงหลังแนบเบาะรถ ท่าทางจะเหนื่อยจนไม่มีแรงจริงๆ เป็นเราก็คงไม่ไหววิ่งไปประชุมมาตั้งสามที่

“รีบมั้ย ถ้าไม่รีบค่อยไปเอาวันหลัง”

“แต่อีก 2 วันจะถึงวันงานแล้วนะครับ” ผมท้วง งานแต่งงานทั้งที จะทำแบบขอไปทีคงไม่ได้ คุณต่อพงษ์จะต้องหล่อที่สุด รองลงมาก็หนีไม่พ้นผมนี่แหละ (ยอมหล่อน้อยกว่าแล้วนะ)

“อีก 2 วันเองเรอะ” เจ้านายหนุ่มทำเสียงตกใจ ท่าทางจะมุงานหนักจนลืมวันลืมคืน

“ครับ”

“แล้วเตรียมงานถึงไหนแล้วอะครับ” ถึงแม้พวกเราจะไม่ค่อยหวานกันในช่วงนี้ แต่เขาก็ยังสุภาพกับผมตลอด เสมอต้นเสมอปลายที่สุด

“คุณกรบอกว่าสถานที่เรียบร้อยแล้ว พวกเราไปค้างที่โรงแรมล่วงหน้าตั้งแต่พรุ่งนี้เลยก็ได้ แล้ว...” ผมร่ายรายละเอียดที่ได้รับฟังมาอย่างถี่ถ้วน

“ต้องไปพรุ่งนี้ แสดงว่าเราต้องไปเอาชุดวันนี้สินะ”

“ใช่ครับ” หมดทางเลือกแล้วล่ะครับคุณแฟน

“เฮ้อ” เสียงนุ่มถอนหายใจ การประชุมคงสูบพลังชีวิตไปเยอะ แม้ตอนนี้จะเพิ่งหกโมงเย็น แต่ท่าทางพ่องานก็อ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด “งั้นไปลองชุดกันเถอะพี่เอก”

             ห้องเสื้อที่พวกเราสั่งตัดชุดสำหรับงานแต่งงานนั้นมีเจ้าของชื่อว่าคุณชูชีพ ดีไซเนอร์และสไตลิสต์ชื่อดังของเมืองไทย และเป็นหนึ่งในแฟชั่นไอคอลของคนยุคใหม่ ยิ่งไปกว่านั้นคือ คุณชูชีพเนี่ยเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของคุณต่อพงษ์ เลยทำให้พวกเราเป็นแขกวีวีไอพี ไม่ต้องคอย ไม่ต้องเกรงใจ มาตอนไหนก็ได้ไม่มีเวลาปิดร้าน(สำหรับเรา) เพราะหลังจากฝ่ารถติดราวๆสามชั่วโมงก็มาถึงร้านหรูกลางใจเมือง แค่คิดว่าขับรถบนถนนสุขุมวิทช่วงหลังเลิกงานจากปลายบางนามาที่นี่ขาผมก็ชาเพราะต้องคอยเหยียบเบรก กว่าจะมาถึงร้านก็เกือบจะสามทุ่ม ยังดีที่เป็นแขกวีวีไอพี ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้มานั่งหน้าสลอนที่ห้องลองชุดหรอก

             ตีมของงานคือสีเขียว ดังนั้นชุดของพวกเราจึงต้องออกแบบให้ไม่หลุดจากนี้ คุณต่อพงษ์น่ะไม่เท่าไหร่หรอก เพราะเป็นคนผิวขาว ใส่สีอะไรก็ขึ้น แต่สำหรับผมนี่สิ ตัวดำขนาดนี้จะต้องใส่สีเขียวอีก นึกสภาพตัวเองไม่ออกเลยจริงๆ ดังนั้นการหาสีเขียวที่เหมาะกับพวกเราสองคนจึงคำนึงถึงผมเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้นเวลาใส่ในวันจริงคงไม่ต่างกับอีกาแน่ๆ เดิมทีผมนึกออกแค่ สีเขียวเข้ม สีเขียวอ่อน สีเขียวขี้ม้า สีเขียวทหาร แต่พอมากางแคตาล็อกสีในครั้งแรกก็ตาลายไปเลยครับ เพราะมันมีตั้งแต่สีเขียวธรรมดา สีเขียวสด สีเขียวแตงดอง สีเขียวลูกแพร์ สีเขียวต้นสน สีเขียวมรกต สีเขียวสาหร่าย และ บลา บลา บลา

“ตกลงเอาเขียวไหนดีจ๊ะ” น้ำเสียงของคำถามไม่ได้กดดันนะครับ แต่ไอ้เอกภพโคตรกดดันตัวเองเลย อยากใช้สิทธิ์เปลี่ยนคำถาม หรือไม่ก็ขอจอบกับเสียมเอาไปขุดดินถางหญ้ายังจะดีเสียกว่า

“คุณต่อว่าเขียวไหนดีอะครับ” ผมหันไปขอความช่วยเหลือ ใบหน้ายิ้มแย้มของคุณชูชีพทำให้ผมยิ่งลนลาน เกรงใจอะครับ คนมันเลือกไม่เป็นนี่นา

“สีผิวแบบพี่เอกควรเลือกเฉดสีที่ไม่สว่างและไม่เข้มจนเกินไปนะครับ จากผ้าตัวอย่างนี้ผมคิดว่า...” ตอนที่คุณชูชีพพูดและหยิบตัวอย่างสีผ้ามาทาบเนี่ย ผมมีอาการเหมือนคนหูดับ คือฟัง แต่เหมือนไม่ได้ยิน ได้ยิน แต่ก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาอธิบายมาหมายความว่าอะไร จนสุดท้ายก็เหลือสองเฉดสีให้เลือก

“สองเฉดนี้ใกล้กันมาก แต่ตัดออกมาแล้วจะสวย มันไม่หม่นหมองจนเกินไป แต่ก็ไม่ฉูดฉาดจนเกินงาม” คุณชูชีพพรีเซ้นต์แบบมืออาชีพ ผมมองผ้าตัวอย่างสีเขียวมรกตกับสีเขียวใบเตยในมือของคุณต่อแล้วเลือกไม่ถูก รายนั้นอยากได้สีเขียวมิ้นต์ แต่มันช่างสว่างจ้าจนขับความเข้มผมให้โดดเด่นเลยต้องพับโครงการไปก่อน หากจะเลือกคนละเฉดสีก็ไม่ได้อีก

“ก็งานแต่งงานทั้งทีจะแต่งให้ต่างกันทำไม” คำพูดของคุณแฟนตอนที่ผมบอกให้เราต่างคนต่างเลือกสี พอไม่ได้รับการอนุมัติ ความหนักใจก็เลยต้องมาอยู่ที่นี่ จะชี้ซ้ายก็เสียดายขวา นึกกร่นด่าว่าทำไมจะต้องเลือกธีมสีเขียวด้วยนะ ปวดกบาลชิบหาย

จ้ำ จี้ มะ เขือ เปราะ ... ผมชี้สลับไปมาโดยในหัวคิดถึงจ้ำจี้มะเขือเปราะที่เล่นกับหลาน วิธีนี้จะทำให้ได้เฉดสีที่เหมาะกับเรา (คิดเอาเอง)

วู้ ... ในหัวผมหยุดและมันก็ชี้ที่ เขียวใบเตย

“สีนี้ครับ” ผมทำท่าเหมือนคนมีภูมิ ทั้งที่จริงสุ่มเอาจากจ้ำจี้ นี่ถ้าคุณต่อรู้ผมคงโดนเอ็ดตะโรแน่ๆ

“ต๊ายยยย เลือกได้ดี สีนี้สว่างกว่า แมชต์ได้ทั้งผิวพี่เอกและไอ้ต่อ” คุณชูชีพดูเหมือนจะโล่งใจที่ผมเลือกสีได้ในที่สุด หลังจากนั้นก็ต้องวัดตัวเพื่อทำการตัดเย็บ ระหว่างนี้ห้ามใครกินเยอะหรือน้ำหนักขึ้น ไม่อย่างนั้นจะทำให้ชุดที่ได้ไม่พอดีตัว

แต่คุณต่อน้ำหนักลด เพราะโหมงานหนักก่อนงานแต่ง... มันเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ต้องแก้ไขชุดและมานั่งอยู่ที่นี่

             ผมไม่เข้าใจอยู่อย่างหนึ่ง ว่าทำไมเราต้องคิดธีมงานแต่ง ไอ้กระผมคนหนึ่งล่ะที่ไม่ได้เป็นตัวต้นเรื่อง งานแต่งงานมันไม่ใช่จุดจบของชีวิตเสียหน่อย มันเป็นแค่จุดเล็กๆของคนสองคนที่รักกันและพร้อมที่จะบอกกับสังคมแล้วว่านี่คือคนที่เราเลือกจะฝากชีวิตไว้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ... หันมามองประเทศไทยแป๊บ กฎหมายสำหรับคู่แต่งงานเพศเดียวกันก็ไม่มี ดังนั้นเรื่องที่ใหญ่กว่าธีมงานแต่งควรจะเป็นเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ ... อะ บ่นเป็นคนแก่อีกละตู

             ที่ต้องบ่นก็เพราะว่า ไอ้สีเขียวเนี่ยมันไม่ถูกโฉลกกับผมสักเท่าไหร่ แค่สูทกับกางเกงสแล็กสีเขียวก็ว่าเกินพอแล้ว แต่เสื้อเชิ้ตด้านในก็ยังต้องเป็นสีเดียวกันด้วย นี่ถ้าเอาหงอนนกแก้วมาสวม ติดปีกเสียหน่อย คงบินเพลินล่ะงานนี้

“พี่เอก เสร็จยังครับ” เสียงแฟนหนุ่มเรียกหาแล้วครับ ผมเปลี่ยนชุดช้าเพราะมัวแต่ทำใจอยู่

“เสร็จแล้วครับ” เอาวะ เป็นไงเป็นกัน งานนี้เขียวทั้งตัวไปเลย

ครืดดดด

             ผมเปิดผ้าม่านและเดินออกมายืนเบื้องหน้าหนุ่มหล่อในชุดสีเขียวเข้ารูป ทรงผมที่ถูกหวีเสยขึ้นเปิดหน้าผากยิ่งขับให้ความหล่อนั้นโดดเด่น ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจก็ตามว่าแฟนผมหล่อ แต่ยิ่งมาเห็นสวมชุดนี้ก็ยิ่งตอกย้ำ นึกว่าเห็นเทพบุตรชุดเขียว ผมยืนตะลึงอยู่อย่างนั้น ดื่มด่ำใบหน้าที่คุ้นเคยในชุดที่เหมือนกับออกแบบมาให้เจ้าตัวโดยเฉพาะ ร่างสูงนั้นยืนนิ่งราวกับรูปสลัก หัวใจผมเต้นแรงเหมือนจะหลุดออกมาจากอก รู้สึกตื่นเต้นเหมือนตอนที่โดนขอเป็นแฟนครั้งแรกก็ไม่ผิด

“จ้องกันขนาดนี้ ผมว่าไปเปิดห้องกันเถอะ” คนแซวไม่ใช่คุณต่อนะครับ แต่เป็นคุณชูชีพ เพราะตั้งแต่ที่ผมก้าวขาออกมาจากห้องลองเสื้อ และคุณต่อลุกขึ้นยืนมามอง เราสองคนก็ต่างเงียบกับไปพักใหญ่ ผมกำลังดำดิ่งชื่นชมความหล่อเหลาของแฟนตัวเอง แต่ไม่รู้ว่าอีกคนจะคิดยังไงกันแน่ นึกสงสารเขาเหมือนกันที่มาคว้าชายไทยผิวเข้มร่างบึกเหมือนหมีเป็นแฟน

“ขอจ้องหน่อยไม่ได้เหรอวะ แฟนกูหล่อซะขนาดนี้” หืมมมมม คุณต่อพูดว่าผมหล่อเหรอ นี่ตูหูฝาดไปรึเปล่าวะ

“เออ รู้แล้วว่าหล่อ แต่ก็ไม่ต้องจ้องขนาดนี้มั้ง ช่วยกันดูก่อนว่าต้องแก้ตรงไหนอีกรึเปล่า” คุณชูชีพเตือนสติ คุณต่อยิ้มหวานจนต้องหลบตา ใบหน้าที่เคยเหนื่อยล้าดูสดใสขึ้น

“ผมว่าของผมโอเคแล้วนะครับ” ไอ้เอกภพ หรือตัวผมเองเป็นคนตอบ ไม่อยากจะคิดดอะไรมาก เพราะตอนนี้เขียวไปทั้งตัวแล้ว

“แล้วมึงล่ะไอ้ต่อ”

“อืม ก็โอเคแล้วนะ ไม่ต้องแก้อะไรแล้ว”

“เห้อ ค่อยยังชั่วหน่อย นึกว่าจะต้องแบกจักร แบกเข็มกะด้ายไปงานแต่งด้วยซะแล้ว” หึหึหึ ประชดได้น่าหมั่นไส้มากครับ

“พูดมากเดี๋ยวสั่งแก้อีกหรอก”

“โอ๊ย พอเลยนะ แค่นี้ก็ปวดหัวจะแย่” คุณชูชีพตอบ ก่อนบอกให้เราไปเปลี่ยนชุด กว่าจะจบจากตรงนี้ก็สี่ทุ่มแล้ว กลับไปถึงบ้านก็เกือบเที่ยงคืนพอดี


##### #####

             คุณแฟนตัวดีถลาตัวพุ่งขึ้นเตียงทันทีที่ถึงห้องนอน ถ้าพุ่งคนเดียวจะไม่ว่าเลย แต่นี่คว้าแขนผมที่กำลังเอาชุดที่เพิ่งไปลองมาแขวนใส่ตู้เสื้อผ้าลงไปนอนด้วย จังหวะนี้เสียสูญไปเลยสิครับ แอร์ในห้องก็เพิ่งเปิด แต่ผู้ชายร่างใหญ่สองคนที่เนื้อตัวเหนียวเหนอะหนะกำลังก่ายกอดกันอยู่

“ไม่เอาคุณต่อ ร้อนนนนนน”

“บอกให้เรียกน้องต่อไง”

“อย่า โว้ยยย” ผมโวยวายเพราะโดนหนวดเคราที่ขึ้นครึ้มถูไถไปมาที่ซอกคอ รู้สึกเกลียดแฟนตัวเองมากๆที่รู้จุดอ่อนกันจนหมด เวลาที่โดนไรหนวดตรงนี้ทีไรร่างกายผมอ่อนปวกเปียกไร้แรงต่อสู้ แถมช่วงทีเผลอแบบนี้อีก อย่าได้หวังเลยว่าจะหาทางออกจากอ้อมกอดอุ่นจนร้อนนี้ไปได้โดยง่าย

“ยังไม่ชินอีกเหรอพี่เอก”

“ใครจะชินได้ล่ะ ดูที่คุณ เอ๊ย น้องต่อทำแต่ละอย่างสิ”

“เรียกแบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย ฟอดดดด” แล้วจมูกโด่งๆก็ชนแก้มผมสุดแรงเพื่อสูดกลิ่น(เหม็นบน)ใบหน้า ในระหว่างเวลาทำงาน พวกเราจะไม่ค่อยแสดงอาการแบบนี้กันเท่าไหร่ มีแต่น้อยมาก แต่พออยู่กันสองคนทีไร ผมเนี่ยขาดทุนทุกที อยากให้แม่มาเห็นจังเลยว่าไอ้การสนับสนุนลูกต่อสุดที่รักออกนอกหน้าเนี่ย จะทำให้ลูกชายแท้ๆของตัวเองเปลืองตัวขนาดไหน คุณต่ออายุเพิ่งจะ 26 ปีเอง ถึงแม้จะต้องทำงานและมีตำแหน่งใหญ่โต แต่พออยู่กันสองต่อสองก็จะกลายเป็นเด็กหนุ่มอายุ 16 ไปเสียทุกที คุณต่อที่ชอบแกล้ง ชอบกอด ชอบจูบ ก็ยังเป็นแบบนั้นเสมอ อาการติดแฟนมีเยอะขึ้นตั้งแต่ผมตกลงยอมคบด้วย เวลาที่อยู่ในห้องแบบนี้ก็เลยเป็นช่วงเวลาโปรดปรานของคนหนุ่มเขาล่ะ

“หอมอีกแล้ว แก้มพี่ช้ำหมดแล้วมั้ง” ผมหยอก แต่ไม่ได้ออกอาการขวยเขินหวงเนื้อหวงตัวหรอกนะครับ ไอ้ผมก็ผู้ชาย มองภายนอกก็แมนๆน่ะนะ การที่มีแฟนเป็นผู้ชายก็ไม่จำเป็นจะต้องสะดิ้งหรือต้องอ่อนยวบยาบในอ้อมอกไหมล่ะ (ถึงแม้จะตัวอ่อนตอนที่โดนไรหนวดก็เถอะ)

“ช้ำๆสิดี คนอื่นจะได้รู้ว่าพี่มีเจ้าของแล้ว”

“หน้าอย่างพี่ใครจะมาจีบ อย่างน้องต่อก็ว่าไปอย่าง” ผมทำเสียงเข้ม ตาขวาง แต่อีกคนมองไม่เห็นหรอกเนื่องจากเขากอดผมจากด้านหลัง เอาไรหนวดมาถูไถจนเป็นที่น่าพอใจก็สอดแขนขวาเข้ามาใต้คอผมที่นอนตะแคงอย่างรู้งาน และมือซ้ายของคุณต่อนั้นจับอยู่ที่....

“ใครจะมาจีบผมก็ไม่เอาทั้งนั้นแหละ ผมสนแค่พี่เอกคนเดียว”

“หรา” ผมล้อเลียน “แล้วคุณยิ่งเทพอะไรนั่นล่ะ” มือซ้ายของคุณต่อชะงัก ไอ้เอกเอ๊ย ดันไปสะกิดเรื่องเก่าๆอีกจนได้นะ

“พี่ขอโทษ โกรธเหรอ”

“เปล่าครับ”

“เปล่าแล้วทำไมเงียบอะ มือก็ไม่จับ”

“เปล่า” หึ! ปากบอกว่าเปล่า แต่มือซ้ายออกอาการนะ ... ใครที่ไม่เคยมีแฟน ผมจะขออธิบายภาพการนอนกอดของพวกเราให้ฟังอีกรอบนะครับ ถ้าหันหน้าเข้าเตียงเนี่ย คุณต่อจะนอนฝั่งขวา และผมจะนอนฝั่งซ้าย ส่วนใหญ่ผมจะชอบนอนคะแคงทับแขนขวา (นอนหันหลังให้คุณต่อนั่นแหละ) แรกๆก็พยายามให้ผมนอนหงายหรือไม่ก็หันหน้าเข้าหา แต่มันทำให้นอนไม่หลับ คุณต่อก็เลยต้องปรับตัวให้ชินโดยการสอดแขนขวาใต้คอและเหลือแขนซ้ายมาก่ายกอด หลังผมก็จะชนกับอกแข็งๆ และส่วนล่างของผมก็... นั่นแหละ มันชนกัน แล้วพวกเราก็ผู้ชายทั้งคู่ใช่ไหม ยิ่งคุณต่อด้วยแล้ว อายุเท่านี้ สะกิดนิดก็ ตะลึง!

             เห็นภาพแล้วสินะครับ พออีกคนมันออกอาการ คนที่ไหนจะทนไหว แต่ด้วยความที่ผมยังขยาดเรื่องที่เกิดขึ้นบนดอยครั้งกระโน้น เลยยังถือครองพรหมจรรย์เรื่อยมา เวลากอดกันและอะไรต่อมิอะไรมันผงาดขึ้นมาก็เป็นที่น่าสนใจ(มั้ง) มือซ้ายคุณต่อเลยหันมารูดซิปและจับ....เอาไว้ ตอนแรกผมไม่ได้ยินยอมหรอกนะครับ มันไม่ชิน เขินด้วย เกิดมาไม่เคยโดนใครแตะต้อง...ระยะประชิดเพียงนี้ ที่จำใจยอมเพราะสู้แรงไม่ได้ ไอ้ไรหนวดนั่นแหละทำเอาตัวอ่อน สุดท้ายพอเวลาผ่านไป การโดนคุณต่อกอดและจับ...ไว้มันก็ชินไปเอง

...แต่การที่ผละมือออกไปเนี่ย ต้องโกรธ หรือไม่ก็งอนแน่ๆ ปกติถึงจะเหม็นปลาเค็มขนาดไหนก็ไม่เคยจะปล่อยมือ

“พี่ขอโทษ พี่จะไม่พูดชื่อนี้อีกแล้วนะ” ว่าแล้วก็ส่ายหัวไปมาให้เส้นผมมันเสียดสีคางของอีกฝ่ายไปก่อน เวลาอ้อนแบบนี้ ได้ผลทุกครั้งแหละน่า

...หมับ... นั่นไง มือกลับมาที่เดิมละ

             หลายคนคงอยากจะรู้แล้วสินะครับว่า เรื่องของคุณยิ่งเทพกับไอ้เอกภพเนี่ย มันเป็นยังไงต่อ อันที่จริงแล้วผมก็ไม่ได้อยากจะรื้อฟื้นอะไรหรอกนะครับ แต่จะไม่พูดถึงเลยก็คงจะค้างคาใจกันไปอีกนานแน่นอน ผมยังจำวันนั้นได้ดี ที่อยู่ๆฝ่ายเด็กกว่าก็ยื่นข้อเสนอให้ผมเลิกยุ่งกับคุณต่อ ผมล่ะอึ้งไปเล็กน้อย (อึ้งกับข้อเสนอนะครับ เพราะคิดเอาเองว่าอีกฝ่ายอยากได้เรา) พอสบสายตาที่หนักแน่นของเด็กน้อยนั้นแล้วผมก็ยกยิ้ม งานนี้ผมเป็นต่อเห็นๆ เพราะ

(หนึ่ง) ผมไม่ใช่คนที่คิดไปเองแบบผู้หญิงหรือนางเอกละคร ที่พอได้ยินอะไรมาก็เอาไปคิดมาก คิดแทนพระเอกว่าจะต้องยอมตกลงตามที่เขาขอมา ไม่อย่างนั้นคนรักจะเสียหาย ดังนั้น ตัดประเด็นเรื่องนี้ออกไปเลย ผมไม่เก็บเอามาคิดเยอะแน่นอน

(สอง) ฝ่ายคุณยิ่งเทพ หรือน้องยิ่ง น้องเทพอะไรก็แล้วแต่ อายุเพิ่งจะ 25 ปี ถ้าจะวัดเรื่องประสบการณ์ชีวิต จริงอยู่ที่ผมไม่ได้เรียนต่างประเทศ ที่ไทยก็เรียนมาน้อย แต่ผมก็ไม่ได้โง่ ที่ไม่ได้เรียนเพราะขาดโอกาส แต่มั่นใจได้เลยว่าเรื่องเล่ห์เหลี่ยมไม่เป็นรองใครหรอก ประสบการณ์ขับรถแท็กซี่หลายปีดีดักมันก็สอนอะไรต่อมิอะไรให้กับผมเยอะแยะ อย่างน้อยก็เรื่องการมองคน

(สาม) อันนี้สำคัญ ถึงแม้ฝ่ายที่ยื่นข้อเสนอจะหล่อ จะรวย และมีสิ่งที่แฟนผมอยากได้ แต่...อย่าลืมนะครับว่าผมก็มีสิ่งที่เขาอยากได้ และสิ่งนั้นเองก็นอนกอดผมทุกคืน จูบกันทุกวัน เจอกันตัวติดกันแทบจะ 24 ชั่วโมง บอกรักผมเกือบทุกวัน แล้วอย่างนี้ทำไมจะต้องคิดว่าตัวเองตกเป็นรอง

“แล้วผมจะมั่นใจได้ยังไงว่า เอกสารพวกนี้เป็นของจริง” เริ่มจากสิ่งที่เห็นก่อน ผมไม่เคยเห็นเอกสารสัญญาระหว่างผู้จัดงานกับตัวแทนมาก่อน แค่กระดาษไม่กี่แผ่นพิมพ์ไม่นานก็สมอ้างได้แล้ว หยิบตราประทับบริษัทมาปั๊มเสียหน่อยก็ดูเหมือนจริงละ

“พี่เอกอ่านดูก่อนก็ได้” ผมเหลือบมอง แล้วทำท่านิ่งเฉย ทั้งที่ใจจริงอยากจะหยิบมาอ่านใจจะขาด

“ไม่ล่ะครับ ทำไมผมจะต้องแลกแฟนตัวเองกับกระดาษแค่ไม่กี่แผ่นด้วยล่ะ”

“เดี๋ยว” ได้ผลสินะ ยิ่งเทพร้องลั่นเมื่อผมทำท่าจะลุกหนี

“คุณเอกฟังข้อเสนอแล้วคิดดีๆก่อนไหมครับ” คุณเทพบดินทร์ที่เงียบมาสักพักเสริมทัพ ผมยังไม่เข้าใจเจตนาว่าทำไมเขาต้องออกหน้าช่วยเพื่อนรุ่นน้องขนาดนี้ เทพเดียวก็ว่าเหนื่อยแล้ว เจอสองเทพเข้าไปยิ่งหนัก คิดเอาเองว่าเทพแรกอยากได้ตัวผม อีกเทพอยากได้คุณต่อ สองเทพประสานเล่นงานคนที่คิดว่าอ่อนที่สุดในเกม นั่นก็คือผม

“ข้อเสนออะไรอีกล่ะครับ” ผมถามย้อน คิดจริงๆเหรอว่าเกมนี้ไอ้เอกจะเป็นจุดอ่อน มองผิดมองใหม่ได้นะครับ

“ก็เรื่องที่จัดแสดงสินค้าไงครับ ถ้าคุณเอกยอมตกลง บริษัทคุณต่อพงษ์ก็จะได้จัดบูธในพื้นที่ที่ต้องการได้” ผมมองแปลนงานจัดแสดงสินค้าแบบงงๆ ดูไม่ออกว่าทำเลไหนมันเป็นทำเลทองคำถึงขั้นจะต้องยอมเอาแฟนตัวเองไปแลก

“ถ้าบริษัทคุณต่อได้ที่ตรงนี้ คุณเทพบดินทร์คิดว่าคุณต่อจะได้อะไรกลับไปบ้างครับ”

“อะไรกันคุณเอก ก็ได้ยอดขายไง” น้ำเสียงไม่ได้น่าเชื่อถือเลยสักนิด

“คุณจะบอกว่า คุณต่อจะได้ยอดขายเพื่อแลกกับการเสียแฟนงั้นสินะครับ” ทั้งสองคนเงียบกริบ ยิ่งได้เห็นท่าทางเมิยเฉยของผมก็ยิ่งทำหน้าเจื่อน “ผมถามคุณยิ่งเทพหน่อยนะครับว่า คุณรักคุณต่อจริงๆเหรอ”

“ระ รักสิครับ”

“อื้อ ครับ ถ้างั้นผมถามต่อนะครับ ถ้ามีคนมายื่นข้อเสนอแบบนี้ให้ เป็นคุณจะตกลงไหม”

“เอ่อ...”

“ยังไม่ต้องตอบผมก็ได้นะครับ ขอผมขยายความอีกหน่อย ข้อเสนอที่ได้คือ ยอมเสียคนรัก เพื่อให้เขาได้งานที่คิดว่ายอดขายจะเข้ามา”

“...”

“คุณคิดว่างานนี้จะขายได้เท่าไหร่ครับ กี่แสน กี่ล้าน สิบล้าน หรือมากกว่านั้น...” ผมหันไปมองและสบตาทั้งสองคนที่นั่งเลิกลักอยู่ฝั่งตรงข้าม

“คุณคิดว่าจะขายได้เท่าไหร่เหรอครับจากงานนี้” ผมไม่รู้หรอกว่ามันขายได้เท่าไหร่ มันคงไม่มียอดเข้ามาทีละร้อยล้านหรอก เพราะเป้าขายทั้งปีของบริษัทยังอยู่ในระดับไม่กี่ร้อยล้าน แค่ออกงานครั้งเดียวคงไม่ทำให้เป้าแตกหรอกมั้ง

“คือ...” คุณเทพบดินทร์อ้ำอึ้ง นิ้วชี้สวมแหวนเพชรเม็ดเท่าฝาขวดน้ำดูไร้รสนิยมเอาการเลยนะ

“ขนาดคุณเป็นผู้จัดงานยังตอบผมไม่ได้เลย” ผมตอกหน้า “แล้วแบบนี้ข้อเสนอนี้มันน่าสนใจจริงๆงั้นเหรอ”

“น่าสนสิ...” ยิ่งเทพเป็นคนตอบ

“ถ้าน่าสน แล้วทำไมคุณยิ่งเทพไม่เปิดบูธตรงนี้เองล่ะครับ เอามันมาแลกกับแฟนผมทำไม” ผมเน้นคำว่าแฟนหนักๆ

“ก็ผมรัก...”

“คุณจะอ้างว่าคุณรักคุณต่อ เลยต้องจำใจเอาที่มาแลกเหรอ ตลกนะครับ ไม่น่าเชื่อเลยว่าระดับคุณจะคิดได้แค่นี้”

“คุณ...”

“ผมพูดไม่ผิดสินะครับ” ผมเลื่อนซองเอกสารกลับไปฝั่งเดิม “ถึงไม่ได้ออกบูธตรงนี้ บริษัทคุณต่อก็ไม่เจ๊งหรอกนะครับ ถึงต่อให้เจ๊ง คุณต่อเขาก็ไม่เลือกคุณหรอก เขาเลือกผม” ผมยืนเต็มความสูง มองสองคนนั้นอย่างเย็นชา

“คนที่เอาความรักมาเที่ยวแลกเปลี่ยนกับสิ่งของน่ะ เขาไม่ได้เรียกว่ารักหรอก” ผมหยุดพูด สายตาคงจะดุมากเพราะไม่มีใครกล้าสบตาผมเลยสักคน 

“เขาเรียกว่าเห็นแก่ตัว” จบแค่นั้น ไอ้เอกภพก็เดินตัวปลิวกับมาที่รถ ถอนหายใจอย่างหนักหน่วงก่อนจะตั้งสติลดความโกรธตอนที่นั่งระจำที่ฝั่งคนขับ แอร์ที่เย็นฉ่ำเปิดไว้ตั้งแต่มาที่นี่ทำให้คลายความเครียดไปได้บ้าง

“พูดได้ดีนี่ครับ” ผมกดวางสาย ก่อนที่จะหันไปมองใบหน้าหล่อๆที่กำลังยิ้มให้อย่างคนอารมณ์ดีจนน่าหมั่นไส้ ก่อนจะกดวางสายเช่นกัน

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

อ้าว....มีคนบอกบททางโทรจิต เอ้ยโทรศัพท์นี่เอง

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
โหยยยยย พี่เอกเล่นละครเนียนมากเลยนะครับเนี่ย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
แหม..พี่เอกมีเทรนเนอร์ดีอย่างนี้นี่เอง  :katai2-1:

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
คิดว่าพี่เอกใจกล้าขนาดนี้ ที่ไหนได้ มีคนกำกับบท
แต่ไหนว่ามาคนเดียวไง

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
อ้่าว มีบทด้วย ..

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
Personal Driver : คนขับ(รัก)ส่วนบุคคล

ตอนที่ 32. เหมือนมาพรีฮันนีมูนกันเลย

             ผมเปิดประตูห้องพักของรีสอร์ทหรูอย่างเชื่องช้าด้วยความเมา งานเลี้ยงหลังงานแต่งเต็มไปด้วยเครื่องดื่มหลากชนิด ที่สำคัญขาดไม่ได้คือบลูฮาวายที่ผมโปรดปราน(จนเกือบจะเสียตัวให้กับแฟนตัวเองหลายหน) ได้แต่คิดในใจเอาเองว่างานแต่งงานของพวกคนรวยนี่ดีจริงๆ เสิร์ฟพวกค็อกเทลอะไรแบบนี้ด้วย มีหลายครั้งที่ผมติดสอยห้อยตามคุณแฟนไปงานเลี้ยงที่เป็นผับหรือบาร์ คุณต่อจะสั่งให้ผมจิบๆแก้วหนึ่งพอให้ดับกระหาย ราคามันก็ตกแก้วละ 250 บาทหรือแพงกว่านั้น เพราะมันต้องมีภาษีอีก 7% บวกค่าบริการอีก 10% แค่ไอ้กระผมซดไป 10 แก้ว (สมมุตินะครับ ไม่ได้ดื่มจริง จริง จรี๊งงงงงงงงง...เอิ๊กกกกก) ก็ตก 2,500 บาท บวกๆเข้าไปละ ใส่ซอง 500 ก็คุ้มแล้ว

   ทางเดินจากห้องจัดเลี้ยงมาที่ห้องพักค่อนข้างมืด แม้จะมีโคมไฟประดับประดาอยู่แทบจะทุก 50 เมตรก็ตาม หรืออาจเป็นเพราะว่าผมกำลังเมาได้ที่ก็ไม่รู้ ก่อนหน้านี้แฟนหนุ่มสุดหล่อก็อาการร่อแร่ไม่ต่างกัน หลังจากโหมงานหนักมาสักระยะแล้วมาที่นี่ก็เรียกได้ว่าแทบจะหมดสิ้นพลังงานชีวิต ดีหน่อยที่ไม่ต้องขับรถเอง ตอนที่นั่งมาจากกรุงเทพก็ฟุบหลับตลอดทาง ยังดีนะที่สมัยนี้มีกูเกิ้ลแมพ ไม่อย่างนั้นคงจะหลงอยู่แถวๆหัวหินนานพอดู

             รีสอร์ทหรูนี้อยู่แถวปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นรีสอร์ทระดับสี่ดาวที่ตกแต่งหรูหราสมกับใช้เป็นสถานที่จัดงานแต่งแบบกลางแจ้ง ช่วงเช้าเราเหงื่อไหลไคลย้อยก็มาฉลองพิธีสมรสกันต่อช่วงเย็นในห้องจัดเลี้ยง ดื่มเต็มที่ไม่มีอั้น ใครจะฟุบหลับก็ไม่มีใครว่า ... ว่าได้ไงล่ะ แฟนเราก็หนึ่งในนั้น ผมเลยต้องมาตามดูอาการหน่อยว่าสภาพเละเทะแค่ไหน

“ห้อง 9 ห้อง 9” ผมต้องพึมพำกับตัวเองเพื่อไม่ให้ลืมหมายเลขห้อง คราวที่แล้วก็หลงไปห้องหมายเลข 6 ทีนึงละเพราะตัวเลขมันหลุดกลับหัว พยายามเอากุญแจมาไขก็เปิดไม่ออก สุดท้ายเจ้าของห้องเปิดมาด้วยสีหน้างวยงง

แกร็ก.... ไฟมืดสนิท

พรึ่บ...

“พี่เอก” ผมตาเบิกโพลง มองร่างใหญ่ที่เปลือยช่วงอกโดยมีร่างสูงใหญ่ของผู้ชายอีกคนคร่อมอยู่ เสียงนั้นบ่งบอกว่าตกใจมากที่ผมมาเห็นเข้าจนได้

“คุณยิ่งเทพ” ผมสูดลมหายใจลึกๆ มองเรือนร่างเปลือยเปล่าของคนที่ถูกเอ่ยชื่ออย่างไม่ชอบใจ



ก่อนหน้านี้ 1 วัน

             ผมจัดข้าวของออกจากกระเป๋าเดินทางให้เรียบร้อยก่อนจะลงไปนั่งพ่นลมหายใจที่โซฟาสีขุ่นในห้องพักของรีสอร์ทที่ทางคุณกรจองไว้ให้ งานแต่งงานจะเริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้เช้าตามฤกษ์ของพระอาจารย์โดยจะจัดงานแบบเรียบง่ายที่ชายหาดด้านหลังรีสอร์ทนี่เอง พวกเราทั้งสองคนยังไม่มีเวลาไปเดินสำรวจเลยตั้งแต่มาถึง เพราะคุณต่อที่ดูง่วงงุนเอาแต่นอนตลอดทางและก็ยังคงนอนอยู่บนเตียงอย่างหมดสภาพ เมื่อมนุษย์แฟนนอนไร้สติ เราก็ต้องช่วยเหลือตัวเอง ผมเป็นคนชอบเที่ยว แต่ไม่เคยพักโรงแรมหรือรีสอร์ทหรูระดับนี้มาก่อน เพราะสไตล์การท่องเที่ยวของผมคือเรียบง่ายติดดิน แต่เหตุผลหลักคือ ค่าเช่ามันแพง เลยทำให้ต้องประหยัดงบประมาณ ไม่อย่างนั้นคงชักหน้าไม่ถึงหลัง

             วันนี้เป็นวันธรรมดา เลยทำให้ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมาพัก คงจะมีแต่ญาติๆและคนสนิทที่มาร่วมงานวันนี้เท่านั้นที่ทะยอยกันเช็คอิน พนักงานบริษัทระดับผู้จัดการต่างก็มากันถ้วนหน้า ทุกคนต่างก็คุ้นหน้ากันอยู่แล้วเลยไม่เกร็งเท่าไหร่

“อ้าวคุณเอก มาเดินเล่นเหรอคะ” น้ำเสียงสดใสทักทาย ผมหันไปตามต้นเสียงก่อนจะปรี่ไปใกล้ๆ

“ใช่ครับ คุณแก้วเพิ่งมาถึงเหรอครับ” ผมตอบรับและถามกลับ คุณแก้วกานดา พี่สาวคนโตของตระกูลเพิ่งลงจากรถก่อนที่สมาชิกคนที่เหลือตามลงมาด้วย เธอเรียกผมว่าคุณเอกจนติดปาก ฟังแล้วเขินๆนะแต่ก็รู้สึกดีเพราะเป็นการให้เกียรติจากพี่สาวของแฟน

“สวัสดีครับลุงเอกรึยัง” เธอบอกสองหมูที่แต่งตัวในชุดเบนเทนสีสดใส

“สวัสดีครับลุงเอก” เสียงเจื้อยแจ้วของเจ้าฝาแฝดทักทายมา

“สวัสดีครับ แหมน่ารักจริงๆ” ผมยีหัวเจ้าสองหมู พวกเราก็ถือว่าสนิทกันไม่น้อยแล้วนะครับ เนื่องจากคุณต่อได้มีการพาผมไปนั่งเล่นที่บ้านใหญ่ในช่วงวันหยุดเพื่อทำความคุ้นเคยกับทุกคน เริ่มแรกก็เกร็งจนตัวแข็งแหละครับ ไหนจะท่านประธานและคุณนาย คุณพันธุน่ะไม่เท่าไหร่เพราะเจอกันทุกวันที่บริษัท คุณแก้วกานดาที่ดูจะหยิ่งในตอนแรกจนไม่กล้าทัก แต่ยังดีที่มีคุณตงฉินคอยสร้างบรรยากาศผ่อนคลายโดยการทะเลาะกับคุณต่อ นานวันเข้าผมก็สนิทกับครอบครัวนี้ไปโดยปริยาย

“แล้วนี่เจ้าต่อไปไหนซะล่ะ” คุณพันธุ สามีคุณแก้วกานดาเป็นคนถาม ผมปราดไปช่วยยกของจากท้ายรถอย่างรู้งาน

“คุณต่อหลับน่ะครับ”

“อะไรกัน มาเที่ยวทั้งทีเอาแต่นอน” คุณแก้วต่อว่า แต่เจ้าตัวคงไม่รับรู้หรอก น่าจะกำลังกรนได้ที่

“เอาน่าคุณ ไอ้ต่อมันเร่งเคลียร์งานเพื่องานแต่งโดยเฉพาะเลยนะ ไม่เหนื่อยสิแปลก”

“คุณก็เข้าข้างแต่เจ้าต่อ” น้ำเสียงตัดพ้อเล็กๆน่ารักไปอีกแบบ “คุณชายตงฉินคะ จะไม่ลงจากรถเหรอคะ”

“อ้าว คุณตงมาด้วยเหรอเนี่ย” ผมลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ผ่านรถยนต์บีเอ็มดับเบิ้ลยูคันหรูที่คุณพันธุขับมาในเวลาเดียวกับร่างสูงของดาราหนุ่มน้องชายคนสุดท้องอย่างตงฉินเปิดประตูรถมาพอดี

“พี่เอกไม่อยากให้ผมมาเหรอ งั้นผมกลับก็ได้”

“เปล่าครับ ผมนึกว่าคุณตงต้องยุ่งทั้งเรียนทั้งถ่ายละครซะอีก”

“ไม่ต้องห่วงครับ ผมฝากน้องชายและหลานชายพี่เอกเก็บชีทไว้ให้แล้ว” เออดีเนาะ เหมือนเป็นพรหมลิขิตเลยนะที่บ้านพวกเราจะสนิทชิดเชื้อกันแบบนี้ เราเดินจากรถมาถึงเค้าเตอร์เช็คอินผมก็ขอตัวออกไปเดินเล่น โดยมีคุณตงเดินตามมาติดๆ

“พี่ต่อนี่ไม่ไหวเลยนะครับ ปล่อยแฟนมาเดินคนเดียวแบบนี้” แสงแดดยามบ่ายมันร้อน ยิ่งเดินเลาะเลียบหาดทรายยิ่งชวนให้เหนียวตัว ผมตั้งใจจะมาเดินดูซุ้มดอกไม้สำหรับงานแต่งงานวันพรุ่งนี้

“ปล่อยคุณต่อพักผ่อนเถอะครับ ทำงานหนักมาทั้งเดือน”

“แก้ตัวแทนกันด้วยอ่า ถามจริงเถอะพี่ต่อมีอะไรดี พี่เอกถึงไปตกลงปลงใจด้วย” คุณตงครับ ถามผิดคนหรือเปล่าครับ คำถามนี้ควรไปถามเอากับพี่ชายตัวเองจะดีกว่านะครับว่าไอ้เอกภพมีอะไรดีถึงได้มาขอเป็นแฟนด้วยได้

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน่า” ผมตอบแก้เก้อ พี่น้องสองคนนี้หน้าตาไม่ค่อยเหมือนกันนะครับ คุณต่อน่ะออกแนวขาวตี๋สไตล์หนุ่มจีนแผ่นดินใหญ่ แต่คุณตงฉินผิวสีแทน(ที่น่าจะมาจากการอาบแดด) ใบหน้าตี๋ๆออกแนวคนจีนไต้หวันมากกว่า

“น่าอิจฉาจัง ผมล่ะอยากแต่งงานบ้าง” คุณตงบอกความในใจที่เหมือนจะอยากให้ผมมีส่วนร่วมกับสิ่งที่ตัวเองเพิ่งเอ่ยปาก ผมไม่ได้สนใจฟังเท่าไหร่หรอก ที่ผ่านมาคุณตงทำตัวเป็นหมาหยอกไก่แซวผมประปรายคล้ายจะกระตุ้นให้พี่ชายออกอาการหึงหวงมากกว่าจะคิดมาจีบจริงจัง อีกอย่างคุณตงฉินก็เป็นเพื่อนสนิทไอ้โทน้องชายแท้ๆของผม รวมไปถึงยังมีสถานะคลุมเครือกับไอ้หนึ่ง หลานชายผมอีกด้วย

             ซุ้มดอกไม้ยังไม่ได้ประดับเหมือนที่คิดไว้ คงเป็นเพราะอากาศที่ร้อนจัดทำให้ทางรีสอร์ทต้องชลอการตกแต่งออกไปก่อนเพื่อป้องกันไม่ให้ดอกไม้เหี่ยวเฉา เลยมีแต่โครงเหล็กดัดโค้งวางบนทรายโดยมีสมอบกที่ทำจากเหล็กขนาดใหญ่ช่วยยึดไม่ให้ล้ม ที่ว่างจากซุ้มเหล็กดัดยาวเรื่อยไปจรดเวทีเตี้ยๆน่าจะเอาไว้วางเก้าอี้ของแขกผู้มาร่วมงาน แผ่นไม้กระดานประดับด้วยริ้วผ้าสีเขียวเริ่มเป็นรูปร่าง ตรงกลางมีการตกแต่งด้วยชื่อบ่าวสาวและรูปหัวใจสีแดงสองดวง(แบบโบร๊าน โบราณ)

“อยากเปลี่ยนชื่อบนนั้นเป็น ตงฉิน กับ เอกภพจัง” นี่ก็หยอดเก่ง

“เปลี่ยนไม่ได้หรอกครับ คุณต่อหวง” ได้ผลครับ อีกคนหน้ามุ่ยไปเลย ไอ้ตัวทำลายบรรยากาศน่ะ เบอร์หนึ่งต้องยกให้ผม

“พี่เอกก็ชอบขัด” คุณตงฉินไหวไหล่ ก่อนจะลากแขนผมเดินไปทางรีสอร์ท “ตรงนี้ร้อนมากครับพี่ ระวังเป็นลมแดด”

“ห่วงผมเหรอครับ” ขอแซวเสียหน่อย

“ก็อยากห่วงอะ ได้มั้ยครับ” มีหยอดกลับ ใจคอจะไม่บริโภคคนนอกตระกูลไอ้เอกเลยเหรอครับผู้ชายบ้านนี้น่ะ เราเดินกลับมาทางรีสอร์ทแล้วครับ เหงื่อซึมจนรักแร้เปียก ถึงแม้ต้นไม้จะปลูกเรียงรายเต็มสองข้างทาง แต่ความร้อนก็ยังร้อนแรงเช่นเคย

“โหหหหห คนเราน้อ ใจคอจะกินทั้งพี่ จะกลืนทั้งน้อง” นั่นไง มลพิษทางเสียง เมื่อชายหนุ่มร่างสูงที่คุ้นหน้าคุ้นตาเหมือนจะจงใจเดินมาหา

“สวัสดีครับพี่เทพ มาร่วมงานเหมือนกันเหรอครับ” คุณตงฉินไหว้คุณยิ่งเทพที่เพิ่งมาถึง สรุปแล้วเขาชื่อยิ่ง หรือ เทพกันแน่วะ

“ใช่ครับ แต่นอกจากจะได้มาร่วมงานแต่งแล้วเนี่ย ยังได้มาเห็นอะไรดีๆอีกนะครับ” ผมอุตส่าห์ไม่ต่อความยาวสาวความยืดอะไรแล้วนะ แต่ดูเหมือนว่าอีกคนจะยังไม่ยอมลดราวาศอก ท่าทางจีบปากจีบคอจนผมหมั่นไส้นี่อีก ได้แต่มองคู่อริเก่าที่ผมตอกหน้าหงายเมื่ออาทิตย์ก่อนอย่างแกนๆ วันนั้นถ้าไม่ได้ปรึกษากับคุณต่อพงษ์ไว้ก่อน ผมคงไม่มีปัญญาจะไปต่อกรพวกสองเทพได้หรอกครับ รู้สึกดีที่ตัวเองเป็นคนขวานผ่าซาก มีอะไรคาใจก็เปิดปากคุยกับคุณแฟนให้เสร็จสรรพ ไอ้แผนที่ไปคุยที่ร้านกาแฟและให้เปิดสายคุยกันใส่กระเป๋าก็ไอเดียคนที่กำลังนอนนั่นแหละ

“เดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะครับ” ผมพูดให้ทุกคนได้ยิน ไม่สนใจท่าทางไม่เป็นมิตรนั้นสักนิด คุณตงที่สวมเสื้อเชิ้ตลายดอกแขนสั้นกับกางเกงขาสั้นสีขาวเลยหัวเข่ามาดูหล่อจนกลบรัศมีของคนปากไม่ดีจนผมไม่ได้สังเกตเลยว่าอีกคนแต่งตัวยังไง

“พี่เอกจะไปไหน ผมไปด้วย” ไอ้คุณตงเหมือนจะไม่สนใจบรรยากาศตึงๆเลยสักนิด เดินตามผมต้อยๆ

“ถ้าจะกินรวบขนาดนี้ ระวังตู๊ดจะพังเอานะครับ” น้ำเสียงนั้นพูดดังๆเหมือนจงใจให้ได้ยิน ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเกลียดตุ๊ดเลย แต่กับคนชื่อยิ่งเทพเนี่ย ขอเว้นไว้คนนึงละกัน

   ไอ้เราก็ศึกษามาบ้างล่ะเรื่องเพศภาพของผู้ชายที่รักเพศเดียวกันเนี่ย อย่างผมที่ไม่เคยมีแฟนมาก่อน ไม่เคยจีบสาว บทจะได้ก็เกรดพรีเมี่ยมนั้นให้อนุมานว่าเป็นเกย์ ซึ่งมันก็จะแบ่งได้อีกว่าเป็นฝ่ายรุก รับ หรือว่าได้ทั้งสองทาง คุณต่อพงษ์ก็ถือว่าเป็นเกย์ เพราะไม่ได้แสดงออกว่าอยากเป็นผู้หญิงหรือมีอาการตุ้งติ้งให้เห็น เกย์กับตุ๊ดจะต่างกันตรงที่ ตุ๊ดนั้นจะก้ำกึ่งระหว่างกะเทยกับเกย์ จะออกสาวก็ไม่สุด จะแต่งหน้าก็ประปราย แต่องค์รวมแล้วดูออกว่าไม่แมน แต่ก็ไม่ได้ไว้ผมยาว สวมวิก ผ่านม ผ่าจิ๊มิ บางทีก็อาจจะมาในรูปแบบของเกย์รับ แต่ตุ้งติ้งเกินเกย์ทั่วไป ส่วนกะเทยนั้น ก็คือผู้ชายที่อยากเป็นผู้หญิง อยากมีมดลูก อยากมีนมมีทุกอย่างเหมือนผู้หญิงทุกประการ ซึ่งเกย์ ตุ๊ดนั้นไม่ได้ถึงขั้นนั้น พวกนี้ไม่ได้อยากเป็นผู้หญิง แค่มีใจชอบหรือรักเพศเดียวกันเท่านั้น ... พูดมาซะเยอะเพื่อจะบอกว่า ผมจัดประเภทไอ้คุณยิ่งเทพอยู่กลุ่มตุ๊ดแล้วครับ

“เกิดอะไรขึ้นอะพี่เอก ทำไมพี่เทพต้องคอยพูดจาแบบนั้นกับพี่ด้วย” เอาแล้วไง จากเรื่องที่มันไม่ควรแพร่งพราย กลับกลายว่ามีคนที่ห้ามาพัวพัน (ไม่ใช่คนที่สามล่ะนะ เพราะมีผม คุณต่อ คุณเทพบดินทร์ และนังยิ่งเทพรู้เรื่องอยู่แล้ว)

“เอ่อ คือ..”

“ไม่ต้องเล่าหรอกพี่เอก ผมพอจะเดาได้” เดาได้แล้วจะถามให้ลำบากใจทำไมฟระ “พี่เอกโอเคมั้ยครับ”

“ทำไมพี่ต้องไม่โอเคด้วยล่ะครับ”

“อ้าว ก็พี่เทพน่ะ ชอบพี่ต่อมาก สมัยเรียนที่อเมริกาก็เทียวไปเทียวมาจีบแต่พี่ต่อไม่เล่นด้วย”

“แปลกจัง หน้าตาคุณเทพก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไรนี่ครับ” ผมลองตั้งข้อสังเกต เผื่อจะได้ข้อมูลอะไรดีๆ

“พี่เทพน่ะหล่อระดับนายแบบเลยพี่ แต่นิสัยไม่ค่อยดี อย่างที่พี่เห็นแหละ เอาแต่ใจ ปากร้าย ไม่ค่อยทำการทำงาน พี่ต่อไม่ชอบ”

“แค่นี้เองเหรอ” คนเราจะรู้นิสัยกันขนาดนี้ มันต้องรู้จักกันเชิงลึกมาก่อนสิ

“ก็ไม่เชิงหรอก แต่ถ้าผมเล่าแล้วพี่เอกห้ามบอกพี่ต่อนะว่าได้ยินมาจากผม”

“ถ้าเรื่องที่เล่ามันฟังขึ้น ผมรับปากก็ได้”

“คืองี้ พี่ต่อกับพี่เทพน่ะเคย xxx กันมาก่อน”

“ห๊ะ” เนื้อแนบเนื้อเลยเรอะ

“ใจเย็นๆนะครับพี่เอก คือพี่ต่อเนี่ยเมา แล้วเผลอไปมีวันไนต์สแตนด์ (one night stand) กับพี่เทพตอนสมัยเรียนที่โน่นน่ะ แต่พี่ต่อไม่ได้รักหรือชอบนะครับ มีอะไรกันแล้วก็จบๆไป แต่อีกฝ่ายไม่ยอมไง พี่เทพติดใจหรือไม่ก็หลงอะไรในตัวพี่ต่อนี่แหละ ตามติดแจเลย”

“แล้วคุณตงรู้เรื่องนี้ได้ไงอะครับ”

“พี่ต่อเล่าให้ฟังครับ ที่จริงไม่เชิงเล่าหรอก เรียกว่าปรึกษาดีกว่าว่าอยากสลัดใครสักคนออกไปต้องทำยังไง ผมเลยคาดคั้นให้เล่าเรื่องราวมาอย่างละเอียด” อืมมม ปรึกษาไม่ผิดคนจริงๆด้วยสินะ

“แล้วคุณตงแนะนำไปยังไงอะครับ”

“ผมก็ไม่ได้แนะนำอะไรหรอกครับ เพราะหลังจากนั้นพี่ต่อก็กลับมางานแต่งงานพี่แก้วแล้วเจอพี่เอก แกก็พร่ำเพ้อถึงแต่พี่เลยไม่ได้สนใจพี่เทพอะไรนั่นอีก รายนั้นคงจะเห็นว่าพี่เอกไม่สนใจใยดีมั้งครับ เลยต้องยอมออกห่าง ไม่อย่างนั้นจะเสียหน้าคนคูลๆ” ผมฟังแล้วก็พอจะเข้าใจเรื่องราวบ้างแล้วล่ะ แต่ทำไม...

“ทำไมคุณเทพถึงจะกลับมาทวงคุณต่อคืนล่ะ”

“ก็...” คุณตงมองหน้าผม ท่าทางอึกอัก

“ก็เพราะเห็นว่าผมไม่หล่อ เลยคิดว่าจะแย่งไปได้ง่ายๆ” ผมเป็นคนตอบ

“ไม่ใช่หรอกพี่เอก อย่าคิดมากสิ” ท่าทางกับน้ำเสียงไม่ได้ปลอบใจกูเลยสักนิดนะไอ้คุณตง

             มาถึงตอนนี้ ผมก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ครบถ้วนแล้วล่ะ คุณต่อเคยมีความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนกับคุณยิ่งเทพจนอีกฝ่ายติดใจอยากได้ แต่คุณต่อไม่เล่นด้วย เพราะดันมาเจอผมที่ช่วยคุณนายครั้งกระโน้นเลยตกหลุมรักไอ้เอกภพมาตลอด พอได้คบเป็นแฟนก็พาออกงาน แล้วไปเจอคุณเทพบดินทร์ที่ทำท่าจะมาจีบผมแต่โดนคุณต่อกันซีน ทั้งสองเทพเลยร่วมมือกันเพื่อพยายามแยกพวกเราออกจากกัน

             ผมสงสัยนะ ใครก็ได้ช่วยตอบที...ถ้าพวกเราเลิกกันจริงๆ หมายถึงคุณต่อกับผมน่ะนะ คิดเหรอว่าคุณต่อจะไปคบกับคุณยิ่งเทพ แล้วผมจะไปสนใจคุณเทพบดินทร์? ... ผมคิดว่าสองเทพไม่ได้คิดเรื่องนี้กันแน่ๆ

“พี่เอกโอเคมั้ยอะครับ” คิดในใจเพลินจนลืมไปเลยว่าผู้ให้ข้อมูลสุดหล่อยืนเด่นอยู่ตรงนี้

“ทำไมพี่ต้องไม่โอเคด้วยล่ะครับ” ผมถามอย่างสงสัย

“อ้าว... ผมก็นึกว่าพี่จะคิดมากเรื่องที่พี่ต่อไปมีอะไรกับพี่เทพ ... หึง อะไรแบบนี้อะครับ” หน้าตาคุณตงไม่ได้บ่งบอกเลยนะครับว่าเป็นห่วง เห็นมีแต่รอยยิ้มชวนให้คิดว่ากำลังแช่งให้พวกเราเลิกกันอยู่

“หึหึ พี่ไม่ใช่คนคิดมากหรอก เรื่องมันผ่านไปแล้ว ตอนนี้คุณต่อเป็นแฟนพี่แล้ว สำหรับคนโน้นก็คืออดีต”

“โหพี่เอกโคตรใจกว้าง” คุณตงเหมือนจะชมนะ แต่ผมว่าเป็นคำประชดมากกว่า แต่สำหรับเรื่องนี้ผมไม่คิดอะไรเลยด้วยซ้ำ ทุกคนมันก็ต้องมีอดีต ผมคงไม่นั่งว่างไปตามหึงย้อนหลังหรอก ขนาดเขาตามมาทวงคืนยิกๆ คนของผมยังช่วยวางแผนแหกหน้าเลย แบบนี้แล้วผมยังจะต้องมานั่งห่วงนั่งหึงไปทำไมกัน

##### #####

   พอตะวันคล้อยต่ำ คุณต่อก็ตื่นนอนด้วยสีหน้ามึนงง ท่าทางจะเพลียหนักเอาการ ตื่นมาแล้วยังมึนๆอยู่ เส้นผมชี้ฟูไปมาไม่เป็นทรง ใบหน้ายับยู่จากรอยหมอนที่นอนทับ ร่างสูงใหญ่ที่เต็มไปด้วยกล้ามแน่นขนัดนั่งบนที่นอนโดยมีมือข้างขวาขยี้ตาไปมาก่อนจะหาวยาวเหยียดหมดสภาพคนหล่อที่ทุกคนหลงใหล อยากให้คุณยิ่งเทพมาเจอสภาพนี้จังเลย อยากรู้นักว่ายังจะชอบอยู่มั้ย โทรมขนาดนี้

“ดื่มน้ำหน่อยนะครับ” ผมเทน้ำดื่มแช่เย็นใส่แก้วและยื่นให้ มือหนาหยิบไปกระดกจนหมดแก้วและวางไว้ที่โคมไฟข้างเตียง

             ห้องพักของพวกเราเป็นแบบบ้านเดี่ยว มีพื้นที่ใช้สอยครบครัน เมื่อเปิดประตูเข้ามาก็จะเป็นส่วนของโซฟารับแขกสีขุ่นวางชิดกันสามตัว มีโต๊ะกระจกวางอยู่เป็นศูนย์กลาง ถัดไปเป็นทีวีจอแบนขนาดไม่ต่ำกว่า 40 นิ้วแขวนติดผนัง ห้องรับแขกและห้องนอนไม่มีที่กั้น เราจึงเห็นเตียงนอนขนาดใหญ่วางเด่นอยู่ในห้อง ถัดไปอีกมุมเป็นห้องครัวที่มีที่กั้นเพียงอก ดีหน่อยที่มันอยู่มุมเกือบจะอีกฝั่งกับที่นอน ตรงนั้นจะพร้อมสรรพไปด้วยตู้เย็น ไมโครเวฟและอุปกรณ์สำหรับทำอาหาร ส่วนห้องน้ำจะติดกับห้องนอน มีแค่กำแพงอิฐสีครีมขนาดประมาณ 1x3 เมตรกั้นไว้ พอเดินไปสำรวจก็จะมีอ่างอาบน้ำวางเด่นอยู่ ไม่มีประตูกระจกหรือประตูใดๆกั้นอีกแล้ว หากใครกำลังอาบน้ำอยู่ก็สามารถเดินไปทักทายได้โดยง่าย

“กี่โมงแล้วอะครับ” น้ำเสียงทุ้มถามอย่างงัวเงีย

“หกโมงครึ่งแล้วครับ”

“นี่ผมหลับไปนานขนาดนี้เลยเหรอครับ” ใช่สิครับ เกือบหกชั่วโมงได้มั้ง

“เหวออออ” ผมร้องลั่นเมื่อโดนมือใหญ่ฉุดให้ลงไปนั่งในอ้อมอก ท่าทางงัวเงียเมื่อกี้คือการแสดงหรือไงครับ ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนเนี่ย คุณต่อชอบทำเหมือนผมเป็นคนตัวเล็กครับ นึกอยากดึงไปกอดก็ทำเลยแบบตอนนี้ แถมยังชอบเอาคางมาเกยไหล่เสียอีก ลมหายใจอุ่นร้อนก็ราดรดมาจนขนลุกเกรียวกราวเลย

“ขอโทษนะครับ อุตส่าห์ได้มาเที่ยวทั้งทีผมก็มาเอาแต่นอนซะอีก”

“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ แค่นี้สบายมากอย่าคิดเยอะ” ผมตอบความจริง ไม่ได้ตอบเพื่อทำให้อีกฝ่ายสบายใจ

“แต่ผมคิดอะ อุตส่าห์วางแผนจะไปโน่นไปนี่ จะถ่ายรูปกับพี่เอกเยอะๆ”

“พรุ่งนี้ไงครับ เรายังมีเวลา”

“พรุ่งนี้งานแต่งแต่เช้า ไม่รู้เสร็จกี่โมง” เออ จริงด้วย ลืมคิดไปเลย

“คุณต่อหิวยังครับ ออกไปหาอะไรรองท้องมั้ย”

“บอกให้เรียกน้องต่อ” งื้อออออ ไม่เอาไรหนวดมาถูไถกันสิ

“นะ น้องต่อ...” ก็ได้ฟระ เลิกเอาหนวดมาเบียดซะทีสิ

“กินพี่เอกได้มั้ย” นั่นไง

“ไม่ได้” ผมห้าม

“จริงอะ” ฮื้ออออออออ เกลียดน้ำเสียงแบบนี้จังเลยโว้ย เกลียดมือใหญ่ที่เชยคางผมให้ไปสบตาหวานๆ เกลียดตัวเองที่ยอมให้เขากดริมฝีปากลงประกบ เกลียดความร้อนวูบวาบที่แล่นพล่านไปมาทั่วตัวตอนที่ลิ้นสากเยิ้มฉ่ำเกี่ยวกระหวัดกวาดคว้านในโพรงปากอย่างช่ำชอง เกลียดที่ยอมให้มือใหญ่ทั้งสองข้างไล้เลื้อยเข้ามาใต้ชายเสื้อ ปลายนิ้วเขี่ยเลาะไปมาอย่างวาบหวามและมาหยุดที่เม็ดแข็งที่ทรวงอก

“อา...” ผมครางอย่างลืมตัว มันรู้สึกดีเกินไปแล้ว ทำไมจะต้องกดน้ำหนักลงมาด้วย ไอ้เราต้องถอยใช่มั้ย ถอยแล้วหลังก็แนบกับที่นอน เอาล่ะสิหมดทางหนีแล้ว แถมคนที่คร่อมตัวอยู่ก็เปลี่ยนมาไซร้ที่ซอกคออีก ไอ้ลิ้นเย็นๆนั่นจะเลี่ยที่ติ่งหูทำไมฟะ มันเสียวนะเว้ย แล้วกระดุมเสื้อเชิ้ตที่ผมใส่มามันหลัดออกไปหมดตั้งแต่ตอนไหนวะ อื้ออออ ทำไมจะต้องขบที่หัวนมผมด้วยวะ

“พี่เอกน่ากินขนาดนี้ จะไม่ให้ผมกินเลยเหรอ”

“บะ บ้า น่ากินที่ น่ะ ไหน พูดไปเรื่อย ฮ้า...” ร่างกายไม่มีแรงขัดขืนเลยครับตอนที่ลิ้นยาวๆเลียตั้งแต่ใต้ฐานนมไปจรดสะดือ มือใหญ่ก็พยายามปลดเข็มขัดอย่างแข็งขัน

แกร็ก

“ลุงต่อ ลุงเอก ไปกินข้าวกัน” เสียงสองหมูดังขึ้น พวกเราสองคนค้างสิครับ ผมนอนใต้ร่างเสื้อหลุดรุ่ย มีคุณต่อที่ไม่สวมเสื้ออยู่แล้วตอนนอนคร่อมอยู่ในท่าโน้มมาซุกที่หน้าท้อง สองมือกำลังปลดเข็มขัดออกมาได้

ชะงักงัน

ค้าง...

“ต๊ายยยย จะฮันนีมูนกันก็ไม่ล็อกห้องนะ เด็กๆออกไปก่อนไป” เสียงคุณแก้วกานดาครับ หมดกัน ภาพพจน์ที่สร้างมา

“ขอโทษที่ขัดจังหวะนะ” คุณพันธุยื่นหน้ามาพูดและปิดประตูให้

มะ ไม่จริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงง....

เอกภพอยากร้องไห้....

“ไหน พี่ต่อห้ามทำอะไรพี่เอกนะ” ไอ้คุณตงเปิดประตูพรวดเข้ามาอีก พวกเรายังอยู่ท่าเดิมเลยครับ ยังค้างอยู่

TT___TT

             อย่าให้ผมเล่าถึงสภาพตัวเองตอนนั่งกินมื้อเย็นกับพี่น้องคุณต่อเลยนะครับ เจ้าสองหมูน่ะไม่รู้เรื่องอะไรหรอก แต่คนพ่อกับแม่น่ะสิ ทำสายตากรุ้มกริ่มเหมือนพร้อมจะเอ่ยปากแซวได้ตลอดเวลา คิดดูนะครับว่าผมจะต้องสนิทกับคนบ้านนี้ถึงขั้นไหน คุณแก้วกับคุณพันธุถึงได้แซวกันอย่างไม่อายปาก ไอ้ตัวการน่ะไม่สะทกสะท้านหรอก มีแต่ยิ้มรับแถมเอาแขนมาโอบไหล่คว้าผมไปซบอีก เสียงโห่ของทุกคนดังจนพนักงานบริษัทที่นั่งโต๊ะอื่นต้องชะเง้อมาทางนี้ ผมหน้าแดงจนร้อน นึกอยากจะมุดคอลงแก้วน้ำหลบหน้าทุกคนให้รู้แล้วรู้รอดไป

“หวานกันขนาดนี้ แต่งแทนเลยมั้ยคะ” เอิ่ม ... ว่าที่เจ้าสาวส่งเสียงมาแซว

“มะ ไม่ดีมั้งครับคุณวีณา คุณกรไม่ใช่สเป๊ก” ในเมื่อคนตัวใหญ่ไม่ตอบ ผมก็เลยต้องออกโรงเอง แซวมาแซวกลับไม่โกง

“โหพี่เอก พูดแบบนี้ผมก็อกหักสิ โอ๊ย” นั่นไง โดนคุณวีณาว่าที่เจ้าสาวกระทุ้งชายโครงจนได้ พวกเราหัวเราะร่วน การได้มาที่นี่ก็เหมือนเป็นการพักผ่อนหลังจากผ่านการทำงานอย่างหนัก มื้ออาหารค่ำที่เจ้าภาพเหมารีสอร์ทไว้ก็ช่างถูกปาก แถมนั่งข้างคนถูกใจ ผมมองไปทางว่าที่คู่บ่าวสาวที่เหมาะสมกันอย่างรู้สึกดีใจด้วยไม่น้อย นึกอายตัวเองที่ตอนนั้นแอบคิดเอาเองว่าคุณกรเป็นเกย์และจะมาแย่งคุณต่อไปจากผม วันนี้ต้องมานั่งร่วมโต๊ะกับเขาในฐานะแขกของงานแต่งงานที่จะจัดริมชายหาดในวันพรุ่งนี้เสียอย่างนั้น

“พี่เอกตาถึงไง เลยเลือกกู” จะปล่อยให้เงียบไปก็ไม่ได้นะคุณต่อพงษ์ครับ (-___-)’’

“พอเลยพี่ต่อ เบื่อจะฟัง” คุณตงฉินกวนโอ๊ยกลับ ผมนั่งตรงกลางระหว่างสองพี่น้องนี้บนโต๊ะกลมขนาด 10 ที่นั่ง ถัดไปทางซ้ายมือของคนที่เพิ่งพูดก็คือครอบครัวคุณแก้วรวม 4 ชีวิต คุณกรนั่งติดกับคุณพันธุในฝั่งตรงข้ามกับผมโดยมีคุณวีณาคนสวยนั่งอยู่ไม่ห่าง เหลือที่นั่งว่างไว้ข้างคุณต่อซึ่งเดิมทีจัดให้เป็นของคุณยิ่งเทพ แต่พอทางเจ้าภาพรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเลยย้ายเพื่อนสนิทของเจ้าสาวไปนั่งร่วมโต๊ะกับพ่อแม่ของบ่าวสาวแทน

“พอเลยสองคนนี้นี่ จะทะเลาะอะไรกันตั้งแต่เด็กจนโต” นั่นไง ร้อนถึงพี่สาวต้องออกโรงห้ามทัพซะแล้ว ผมมองซ้ายทีขวาทีอย่างนึกขัน คนหนึ่งก็หล่อ ยิ้มทีชวนใจละลาย อีกคนก็มีเสน่ห์น่าดึงดูดใจจนนึกอยากอวตารให้ตัวเองมีฝาแฝด จะได้ครบคู่

“หยุดความคิดไว้ตรงนั้นเลยนะพี่เอก”

ชิบ! นี่เราคิดดังหรือว่าคุณต่อมีพลังพิเศษเลยอ่านใจได้วะเนี่ย

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:


ถ้าพี่เอกฟิเจอริ่งกับน้องตง  ใครจะตกเป็นเบี้ยล่างกันหล่ะนั่น?

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
น้องตงฉินควรมีคู่แบบจริงจังได้แล้วนะครับ :-[

ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ลุงเอก กับน้องต่อ    หายไปเกือบเดือน

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
ล่อแหลมกันอีกแระ  แถมมารมาพจญอีก  :laugh:

น้องตงฉินน่าจะเหงาเนอะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด