__เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสุดท้าย__[28/03/63]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสุดท้าย__[28/03/63]  (อ่าน 11527 ครั้ง)

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

เรื่องยาว
เหวี่ยง ซบ พบ(รัก)เธอ [จบแล้ว]
ความน่ารักชนะทุกอย่าง [จบแล้ว]
8 วัน 7 คืน [จบแล้ว]
To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว[จบแล้ว]
อยากให้เธอฝันยามหนุน [จบแล้ว]
My Egg #ไข่ต้มเพื่อนผม [จบแล้ว]
P H O T O (X) ความลับในภาพถ่าย [จบแล้ว]
เหนือลิขิต [จบแล้ว]


เรื่องสั้น
★  สองแถวกับสองเรา
★  อยากบอกว่าชอบเธอ
★  พรหมลิขิตไม่มีอยู่จริง


======================


เหนือกาล

ผมเคยฝันร้าย
เป็นช่วงเวลายาวนานติดต่อกันนับปี
ทว่าเมื่อคืนฝันร้ายของผมมันกลับ...หายไป


#เหนือกาล



Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-03-2020 18:37:40 โดย kinsang »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เรื่องของแฝดอีกคนมาแล้ว

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

กาลครั้งหนึ่ง


            ผมเคยฝันร้าย เป็นช่วงเวลายาวนานติดต่อกันนับปี ทว่าเมื่อคืนฝันร้ายของผมมันกลับ... หายไปแล้ว

            ตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ด้วยความสดใสที่ได้นอนเต็มอิ่ม แต่แล้วกลับต้องมานั่งงงว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทำไมถึงได้หลับสนิทยันเช้าโดยไม่ฝันอะไรทั้งสิ้น ปกติเวลานอนคนเดียวผมต้องโดนฝันร้ายเล่นงานจนสะดุ้งตื่นกลางดึกทุกที มันแปลกประหลาดจนเกิดเป็นความสงสัยทำให้ต้องมาคิดย้อนกลับไปว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่

            เกิดอะไรขึ้นกับความฝันของผม

            หยิบมือถือขึ้นมากดดูไลน์ที่คุยกับพี่ชายฝาแฝดเมื่อคืนแล้วหัวคิ้วก็ขมวดเข้าหากัน เป็นการคุยกันสั้นๆ ที่อีกฝ่ายดูไร้เยื้อไยกับผมเสียเหลือเกิน ทั้งที่ปกติถ้ายกประเด็นนี้ขึ้นมาคุยลิขิตมันไม่เคยเมินผมขนาดนี้มาก่อน และไม่มีทางที่มันจะปล่อยให้ผมนอนคนเดียวอย่างเมื่อคืนแน่นอน

            ‘คืนนี้กูไม่กลับนะ ค้างห้องพุด’

            ‘อะไรวะ จะปล่อยให้กูนอนคนเดียวเหรอ’

            ‘หัดนอนคนเดียวได้แล้วมึงน่ะ’

            พิมพ์มาแค่นี้แล้วมันก็ไม่ตอบอะไรกลับมาอีกเลย ขนาดโทรไปตื๊อก็ยังไม่รับ

            สิ่งที่น่าแปลกอีกอย่างคือทำไมพุดตานแฟนของลิขิตถึงไม่ไล่ให้ไอ้พี่ชายฝาแฝดกลับมาหาผม ทั้งที่รู้ว่าผมมีอาการประหลาดที่ชอบฝันร้ายเวลานอนคนเดียว ปกติพุดตานไม่เคยยอมให้ลิขิตค้างด้วยแท้ๆ แต่ทำไมครั้งนี้ทุกคนถึงได้ทำเหมือนกับว่าลืมเรื่องเรื่องฝันร้ายของผมไป เมินเฉยเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่เคยรับรู้มาก่อน แล้วก็ดันลืมได้ถูกจังหวะเสียด้วย เพราะเมื่อคืนฝันร้ายไม่ได้มาเยี่ยมเยือนผมจริงๆ

            ทุกอย่างมันดูแปลกและน่าข้องใจไปเสียหมด

            ขณะที่กำลังนั่งตบตีกับความคิดตัวเองโทรศัพท์ในมือก็แผดเสียงร้องดังลั่น เป็นเหนือลิขิต พี่ชายฝาแฝดของผมที่โทรมาหา แต่ถึงจะขึ้นชื่อว่าแฝดหน้าตาของพวกเรากลับไม่ได้เหมือนกันเท่าไรนัก แถมพี่ชายที่เกิดก่อนแค่ไม่กี่นาทีอย่างมันยังตัวเตี้ยกว่าผมอีก แม้จะแค่สองเซนต์ก็เถอะ

            [ไง นึกว่ากลัวผีจนนอนไม่หลับไปแล้ว]

            "ผีห่าอะไรล่ะ แล้วยังไง เมื่อคืนพุดไม่ไล่มึงกลับเหรอวะ"

            [แล้วทำไมต้องไล่] เสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัยถามผ่านมาตามสาย ดูเหมือนว่ามันจะกำลังงง ผมเองก็งงกับมันเหมือนกัน

            "ปกติไม่เห็นพุดให้มึงนอน"

            [ก็มึงไงตัวงอแง]

            "กูเหรอ"

            [เออ]

            มันตอบกลับมาน้ำเสียงนักแน่น กลายเป็นว่ายิ่งคุยกลับยิ่งทำให้งงมากกว่าเดิม ผมเนี่ยนะไปงอแงอะไรกับแฟนลิขิตมันนัก ปกติพุดตานออกจะเป็นคนดีเข้าใจหัวอกเพื่อนมนุษย์ด้วยกันตลอด ขนาดไม่รู้สาเหตุของฝันร้ายบ้าๆ ของผม พุดตานยังไม่เคยจี้ถาม แค่เห็นท่าทางเป็นห่วงเป็นใยที่ลิขิตมันแสดงออกต่อผมบ่อยๆ ก็เข้าอกเข้าใจ ไม่เคยต้องรอให้ผมงอแงใส่ มีแต่ไอ้ลิขิตนั่นแหละที่งอแงแล้วโดนแฟนไล่กลับมาห้องทุกที

            [แล้วมึงจะกลับบ้านเลยมั้ย]

            "ว่าจะกลับพรุ่งนี้เย็นๆ ต้องเข้ามอไปเคลียร์งานก่อน แล้วมึงอ่ะ"

            ปิดเทอมแล้วก็ได้เวลากลับไปอยู่บ้านยาวๆ ให้พ่อแม่หายคิดถึง แต่กับเราสองพี่น้องแล้วเวลาเดือนนิดๆ คงอยู่บ้านจริงๆ แค่ไม่กี่วัน ลิขิตติดแฟน ผมก็เป็นพวกธุระเยอะ ไม่ว่าจะงานที่มหา'ลัย งานสังสรรค์บ้างประปราย รวมถึงภารกิจประจำสัปดาห์ที่ผมตั้งใจว่าจะเลื่อนมาเป็นภารกิจรายวันถ้าทำได้

            [ยังไม่แน่ใจ เดี๋ยวดูอีกที]

            "ติดแฟนไม่อยากกลับบ้านว่างั้น"

            [พุดตานจะกลับบ้านสวน กูเลยคิดอยู่ว่าจะเอาไงดี]

            บ้านสวนที่ลิขิตมันพูดถึงคือมรดกจากปู่ที่ตอนนี้อาพิทักษ์เป็นคนดูแลอยู่ เป็นสถานที่ที่ตอนปิดเทอมสมัยประถมพ่อพาพวกเราไปเล่นบ่อยๆ ส่วนพุดตานเป็นหนึ่งในลูกของคนงานในสวน เป็นเพื่อนสมัยเด็กที่ตอนนี้กลายมาเป็นแฟนพี่ชายผมเรียบร้อย แถมมันยังหลงมากด้วย

            "ก็เลยจะไปอยู่ด้วยกันทั้งเดือนว่างั้น"

            [ความคิดดี]

            "มึงคิดจริงดิ"

            [ไปอยู่จริงกูคงโดนโอนให้ไปเป็นลูกอาพิทักษ์เลย อยู่สวนไปเลยยาวๆ]

            "มึงน่าจะชอบ"

            [เอาที่ไหนมาชอบ เปิดเทอมเดี๋ยวพุดก็กลับมามั้ยวะ แล้วกูจะไปอยู่สวนเพื่อ] มันบ่นใส่อารมณ์ เป็นเรื่องของพุดตานทีไรต้องจริงจังตลอด ทีก่อนเป็นแฟนล่ะตีกันได้ทุกวัน

            "แล้ววันนี้มึงจะกลับห้องมั้ย" ผมชวนเปลี่ยนเรื่องก่อนมันจะออกทะเลไปไกลกว่านี้

            [เดี๋ยวกูกลับเย็นนี้ งั้นแค่นี้นะ]

            "เฮ้ย เดี๋ยวดิ เดี๋ยวๆ" หมดเรื่องที่อยากพูดลิขิตมันก็ตั้งท่าจะวางสายหนีผมทันที ใจคอไอ้พี่ชายคนนี้มันจะไม่ถามถึงอาการฝันร้ายของผมเลยเหรอวะ ทั้งที่เรื่องนี้เป็นหัวข้อสนทนาประจำวันของเราเลยด้วยซ้ำ หรือมันจะลืมจริงๆ

            [อะไรอีก]

            "เมื่อคืนกูไม่ฝันร้ายแล้วนะ โคตรแปลกเลย ทั้งที่นอนคนเดียว"

            [ฝันร้ายอะไรวะ]

            "ถามจริง!" ลิขิตมันทำผมโมโหจนอยากจะด่า แต่ผมก็เลือกที่จะหยุดปากเอาไว้แค่นี้แล้วกลิ่นคำว่า ‘ไอ้สัด’ ที่ตั้งใจจะพ่นใส่มันลงคอไปก่อน ลองคิดๆ ดูแล้วเรื่องนี้ต้องมันมีอะไรไม่ชอบมาพากล น้ำเสียงมันไม่เหมือนคนที่กำลังแกล้งกัน อีกอย่างไอ้ลิขิตไม่ใช่คนที่ชอบล้อเล่นไปเรื่อยด้วย

            [มึงเป็นอะไรหรือเปล่าวะ ทำตัวแปลกๆ] หลังจากที่เหมือนคุยกันคนละเรื่องอยู่สักพักน้ำเสียงมันก็เริ่มฟังดูเป็นห่วงผมขึ้นมา

            "เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร"

            [อย่าคิดมากดิวะ ห้องนี้ก็อยู่กันมาเป็นปีแล้วไม่เห็นมีอะไรเลย เวลามึงทิ้งกูให้นอนคนเดียวกูยังไม่ว่าอะไร หรือมีแมวมาอีก]

            ดูเหมือนว่าลิขิตมันจะยังคิดว่าผมกลัวผี ซึ่งจริงๆ ผมก็ไม่ได้ถูกกับเรื่องพวกนี้เท่าไร แต่ก็ไม่ได้กลัวจนนอนคนเดียวไม่ได้ พูดไปพูดมาแล้วก็ลามไปถึงเรื่องที่ผมชอบออกไปสงสรรค์กับเพื่อนฝูงแล้วทิ้งให้มันอยู่ห้องคนเดียวอีก เรื่องนี้ผมยอมรับ ที่ผ่านมามันก็ไม่เคยว่าอะไร แล้วก็เรื่องสุดท้ายที่ว่ามีแมวมาหา มันคงหมายถึงเมื่อบางครั้งที่เคยมีแมวมาร้องที่ระเบียง ผมกลัวแมว เลยใช้ชีวิตได้ไม่ค่อยปกติสุข ส่วนลิขิตมันชอบแมวแต่ดันชอบแมว ผมก็ห่วงมันด้วยกลัวว่าจะไปคว้าแมวมาเล่นจนเกิดเรื่อง แต่ตอนนี้หายห่วง มีแฟนเหมือนแมวขนาดนั้นมันคงไม่อยากเล่นแมวตัวอื่นอีกแล้วมั้ง

            "ไม่มีแมวตัวไหนมาทั้งนั้นอ่ะ"

            [แล้วสรุปมึงเป็นอะไรวะ]

            "กูแค่จะบอกว่าเมื่อคืนกูนอนหลับสบายมาก แค่นี้แหละ ไปนอนกอดแมวของมึงต่อไป"

            พูดจบผมก็วางสาย คราวนี้เป็นลิขิตที่ตามตื๊อผมบ้างเพราะมันยังไม่หายคาใจเลยไลน์มาหารัวๆ ผมก็ได้แต่ตอบมันไปว่าสบายดี เพิ่งตื่นเลยเบลอๆ เพราะถึงแม้จะคุยกันไปยืดยาวมันก็จำไม่ได้อยู่ดีว่าผมต้องฝันร้ายทุกคืนเวลานอนคนเดียว ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้อาจจะมีบางคืนที่เวลานอนด้วยกันลิขิตมันแอบหนีออกไปกลางดึกตอนผมไม่รู้ตัวแล้วไม่ฝัน ต่างกับเมื่อคืนที่ถึงแม้จะรู้ตัวว่าอยู่คนเดียวผมก็ไม่ฝันอะไรเลย

            ไม่ฝันถึงเหตุการณ์เลวร้ายครั้งอดีตที่ผมเป็นหนึ่งในต้นเหตุ



            ฝันร้ายที่หายไปทำให้สมองของผมทำงานหนักทั้งวัน ตอนจดจ่อกับงานยังพอมีสมาธิอยู่บ้าง แต่ถ้าเผลอเมื่อไรก็มักจะนึกถึงเหตุผลที่ทำให้ฝันร้ายของผมหายไปเสมอ ลองถามไอ้ลิขิตเพิ่มก็ไม่ค่อยได้เรื่อง พอนานเข้าก็เหม่อบ่อยจนเพื่อนทัก ออกมาจากแล็ปอีกทีแบตเตอรี่สมองก็ขึ้นขีดแดง

            เพื่อนที่คณะไม่มีใครรู้ว่าผมมีอากรฝันร้ายที่ทำยังไงก็รักษาไม่หายแม้จะไปพบแพทย์มาแล้วหลายครั้ง ทุกครั้งที่ผมนอนคนเดียวจะเริ่มฝันถึงเหตุการณ์เลวร้ายในอดีต เหตุการณ์ที่ผมเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้มันเกิดขึ้น เหตุการณ์ที่ทำให้คนสำคัญของผมไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติได้ เป็นเหตุการณ์เลวร้ายที่ผมอยากลืมแต่มันกลับฝังลึกอยู่ในความทรงจำ ผมรู้ว่าต่อให้พยายามยังไงก็ไม่มีทางลืมได้ แต่เมื่อไม่ฝันถึง ผมกลับรู้สึกเหมือนกับว่ามันกำลังจะเลือนหายไปจากความทรงจำผมในไม่ช้านี้

            ขับรถออกจากมหาวิทยาลัยผมก็แวะศูนย์อาหารทางผ่านหอเจ้าประจำ โดยปกติถ้าไม่ไปสังสรรค์ต่อกับเพื่อนที่ไหน ผมจะเป็นคนซื้อข้าวเย็นกลับไปกินกับพี่ชายฝาแฝด แวะซื้อที่นี่บ้างร้านข้าวใกล้หอบ้าง แต่หลังจากพุดตานได้หอใหม่แล้วย้ายออกไปหลังจากมาอาศัยอยู่ด้วยกันร่วมเดือนลิขิตมันก็ไม่ค่อยอยู่ติดห้องเท่าไร ขยันเทียวไปหาไม่ก็พาพุดตานมาที่ห้อง ช่วงนี้ผมเลยต้องกินข้าวเย็นคนเดียวเป็นประจำ

            "เอาคะน้าหมูกรอบครับป้า"

            "สามเลยมั้ย"

            "วันนี้กล่องเดียวครับ"

            "โดนพี่ชายทิ้งอีกแล้วเหรอ"

            "ประจำนั่นแหละครับมันน่ะ"

            ป้าแกยิ้มให้ ผมถอยมานั่งรอที่โต๊ะหน้าร้าน หยิบมือถือขึ้นมาตอบไลน์ลิขิตที่ส่งมาก่อนหน้านี้ วันนี้มันก็ไม่กลับห้องอีกแล้ว ทั้งที่เพิ่งคุยกันเมื่อเช้าว่าเย็นนี้จะกลับ

            ‘ไหนว่าจะกลับวะ กลับห้องมานอนกับน้องบ้างเถอะ กู...’

            "เหี้ย!" พิมพ์ยังไม่ทันจบประโยคอยู่ๆ ก็มีแก้วน้ำโคล่าตกมาบนโต๊ะที่ผมนั่ง เพราะนั่งเอาหลังพิงโต๊ะไว้มันเลยเปื้อนหลังผมเต็มๆ

            "เฮ้ย! ขอโทษนะครับ มันหลุดมือ"

            ผมไม่ใช่คนชอบโวยวายในที่สาธารณะ แต่สายตากับสีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่พอใจอย่างมากก็ทำให้คู่กรณีชะงัก หยุดท่าทีกระวนกระวายเป็นยืนสงบนิ่งอย่างคนทำอะไรไม่ถูก แต่เมื่อได้มองหน้าอีกฝ่ายชัดๆ กลับเป็นใจผมเองที่อยู่ๆ ก็อ่อนยวบลง

            เพราะคนคนนี้...มันไม่น่าจะเป็นไปได้

            "ผมขอโทษนะครับ คือมีแค่ผ้าเช็ดหน้า" คนตรงหน้าค่อยๆ ยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้พร้อมกับเอ่ยบอกด้วยเสียงขาดๆ หายๆ อย่างหวาดกลัว ขณะที่ผมกำลังสับสนอย่างหนัก

            คนคนนี้ดูภายนอกแล้วเหมือนกับพุดตานอย่างกับฝาแฝด แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือขี้แมลงวันตรงแก้มซ้าย กับแววตาซุกซนคู่นั้น ผมเคยเจอกับเขาแล้วเมื่อปีก่อนในสถานการณ์แบบเดียวกันนี้ ยืนทำหน้าสำนึกผิดพร้อมยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้ แต่มันไม่มีทางเป็นไปได้ที่เหตุการณ์ซึ่งเหมือนกับตอนนั้นจะเกิดขึ้นได้อีก เพราะคนคนนั้นที่ผมรู้จักเขาไม่มีทางมายืนอยู่ตรงนี้ได้

            มันไม่มีทางเป็นไปได้

            "ผมขอโทษจริงๆ นะครับ ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ แก้วมันหลุดมือ ก็เลย..."

            "ดื้อ"

            "ครับ? ผมเหรอ" เขาถามพร้อมกับชี้หน้าตัวเอง

            เห็นท่าทางที่คนตรงหน้าแสดงออกยิ่งทำให้สับสนว่าตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตผมกันแน่

            ไอ้ดื้อเป็นชื่อที่ผมใช้เรียกคนคนนั้นที่คล้ายกับเขา หากเขาจำผมได้คงทักทายกันแบบคนรู้จักกันไปนานแล้ว จึงสรุปได้ว่าเขาไม่ใช่ไอ้ดื้อ และเราไม่รู้จักกัน แต่ความรู้สึกของผมกลับไม่ได้บอกแบบนั้น สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ก็ด้วย

            "แค่ทำน้ำหกใส่เองอ่ะ อย่าโกรธกันเลยนะ นี่ผ้าเช็ดหน้านะครับ ยังไงก็ขอโทษอีกที"

            หลังจากเราเงียบใส่กันต่างฝ่ายต่างก็มีท่าทีที่สับสน พอเริ่มตั้งสติได้เขาก็รัวใส่ผมก่อนวางผ้าเช็ดหน้าไว้บนโต๊ะแล้วหันหลังเดินจากไป

            "เดี๋ยว!"

            "น้องกาล คะน้าหมูกรอบได้แล้วนะ" กำลังจะเดินตามไปป้าร้านข้าวก็เรียกพอดี

            มองคนที่เดินออกไปสลับกับร้านป้าก่อนตัดสินใจเดินไปเอาข้าวก่อน จ่ายเงินเสร็จกำลังจะพุ่งตัวออกไปเขาคนนั้นก็ขึ้นแท็กซี่หายไปแล้ว

            สุดท้ายก็ตามไม่ทัน

            ผมยืนเคว้งคว้างอยู่กับถุงข้าวกล่อง ได้ยินเสียงป้าร้านข้าวถามถึงเสื้อที่เปียกโคล่าไปครึ่งตัวแต่สมองมันเบลอจนลืมตอบคำถาม ทำเพียงหันไปยิ้มให้แล้วเดินกลับไปขึ้นรถ

            เกิดคำถามมากมายที่ผมตอบกับตัวเองไม่ได้สักอย่าง ฝันร้ายหายไปเพราะอะไร ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร ใช่ไอ้ดื้อของผมหรือเปล่า หรือจะเป็นแค่คนหน้าคล้าย เหมือนที่พุดตานเองก็คล้ายกับไอ้ดื้อจนน่าตกใจ รวมถึงเหตุการณ์ที่เหมือนกับตอนที่ผมเจอไอ้ดื้อครั้งแรกแป๊ะๆ นี้อีก มันพอจะบอกอะไรได้บ้างว่าตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตผม

            แล้วไอ้เหตุการณ์บ้าๆ ทั้งหลายนี้ มันต้องการอะไรจากผมกัน

           

            เมื่อไม่ถึงชั่วโมงก่อนหน้านี้ลิขิตมันเพิ่งไลน์มาบอกว่าไม่กลับห้อง แต่พอผมมาถึงกลับเจอมันนั่งหน้าสลอนอยู่กับพุดตานที่โซฟา พี่ชายฝาแฝดหันมายิ้มให้ เห็นแบบนี้แล้วผมชักจะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิดๆ

            "ไหนบอกไม่กลับ"

            "กูเปลี่ยนใจละ" มันมองผมโดยไม่พูดอะไรเพิ่ม แต่ด้วยความเป็นฝาแฝดหรือความสนิทสนมก็ตามแต่ จากสายตาที่ผมอ่านได้เหมือนมันอยากจะบอกว่าที่กลับมาก็เพราะเป็นห่วง

            ผมวางกล่องข้าวไว้บนโต๊ะ หันมองพุดตานที่ยิ้มให้ แล้วหน้าของใครบางคนก็ซ้อนทับขึ้นมา ครั้งแรกที่ได้เจอพุดตานอีกครั้งผมยังจำได้ดี ความคล้ายกันจนเกือบจะเหมือนคนเดียวกันทำเอาผมกับลิขิตอึ้งไปชั่วขณะ แต่มันก็เป็นแค่เรื่องบังเอิญ คนบนโลกนี้หน้าเหมือนกันเยอะแยะไป แต่จะมีคนที่เหมือนกันขนาดนั้นได้ถึงสามคนเลยเหรอ

            "จ้องซะ กูรู้ว่าสเป็กเราน่ะเหมือนกัน แต่อย่าได้คิด" ลิขิตดักขึ้นมาแบบทีเล่นทีจริง แต่ด้วยอารมณ์หงุดหงิดที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ผมเลยเผลอตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยน่าฟังเท่าไรออกไป

            "คิดห่าอะไรล่ะ กูก็มีไอ้ดื้ออยู่แล้วมั้ย"

            "แซวเล่นมั้ยวะ แค่นี้โมโห แล้วไอ้ดื้อนี่ใคร หรือมึงแอบมีแฟนไม่บอกกู"

            คำถามของลิขิตทำให้ความหงุดหงิดของผมเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งระดับ แต่ผมไม่อยากโวยวาย ไม่เคยโวยวายใส่มันด้วย เวลาโกรธเราจะคุยกันด้วยเหตุผลมากกว่า มันเองก็ดูเหมือนจะจับบรรยากาศไม่ดีที่ออกมาจากตัวผมได้ พุดตานเองก็ด้วย

            "เรากลับก่อนดีกว่า"

            "มึงกินข้าวไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวกูลงไปส่งพุดก่อน"

            พุดตานยิ้มให้ผมอีกรอบก่อนเดินตามลิขิตออกจากห้อง แปลกที่วันนี้มันไม่ทำตัวงอแงเหมือนทุกทีเวลาแฟนจะกลับหอ แต่ที่แปลกกว่าคงเป็นความบ้าบอของสิ่งต่างๆ ที่ผมเจอมาตลอดทั้งวัน และถ้ายังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าอะไรเป็นอะไร ไอ้เรื่องบ้าๆ นี้ต้องทำให้ผมเครียดจนเสียสติแน่ๆ



            ลิขิตกลับขึ้นมาหลังจากหายไปไม่กี่นาที คะน้าหมูกรอบที่ซื้อมายังอยู่ในกล่องเหมือนเดิม ผมนั่งรอมันที่โซฟา มองผ้าเช็ดหน้าที่คู่กรณีที่ร้านข้าวให้ไว้ เสื้อที่ถูกโคล่าหกใส่ก็ยังไม่ได้เปลี่ยน

            "สรุปเป็นอะไรวะ แปลกๆ ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วนะมึง"

            "กูแปลกเหรอวะ"

            "เออดิ"

            "กูก็คิดว่ามึงแปลกเหมือนกัน ทุกอย่างแม่งแปลกไปหมด กูสับสนไปหมดแล้วไอ้เหี้ย" ผมเหนื่อย เหนื่อยมากจนไม่อยากจะคิดอะไรแล้ว แต่สมองมันกลับหยุดคิดไม่ได้เลย

            ลิขิตนั่งลงข้างผม สีหน้ามันดูจริงจังขึ้นมา เรานิ่งกันไปหลายนาทีท่ามกลางความตึงเครียด กระทั่งลิขิตเป็นฝ่ายเอ่ยขอออกมาก่อน

            "เล่าให้กูฟังหน่อย ทุกอย่างที่แปลกไปสำหรับมึง"

            หลังจากนี้คือการเปิดใจ ผมเล่าทุกอย่างที่ทำให้ชีวิตวันนี้สับสนให้ลิขิตฟัง ตั้งแต่เรื่องฝันร้ายที่มันคิดว่าผมกลัวผี รวมถึงคนที่หน้าเหมือนไอ้ดื้อกับเหตุการณ์ที่เหมือนกับตอนผมเจอไอ้ดื้อครั้งแรก หน้าตาของพุดตานกับไอ้ดื้อที่เหมือนกันจนนึกว่าเป็นฝาแฝด แล้วมันก็ยืนยันหนักแน่นว่าไม่รู้เรื่องฝันร้ายของผม และไม่รู้จักไอ้ดื้อของผมทั้งที่มันควรรู้จัก

            ฟังเรื่องราวทั้งหมดจบลิขิตมันก็ยิ้มบางๆ เป็นการแสดงออกที่ชวนให้รู้สึกหงุดหงิดเพิ่มขึ้นเล็กๆ มันจะเชื่อผมมั้ย หรือคิดว่าผมเป็นบ้าไปแล้ว จะคิดว่าผมแต่งเรื่องทั้งหมดขึ้นมาหลอกมันหรือเปล่า แต่ก่อนที่ผมจะคิดไปเองมากกว่านี้มันก็พูดในสิ่งที่ผมไม่เข้าใจออกมาอีกครั้ง

            "เวลาของมึงคงมาถึงแล้วมั้ง"

            "เวลาอะไรของมึง"

            "ของมึงต่างหาก มึงจำเรื่องที่ปู่เคยเล่าให้ฟังได้มั้ย ที่กูเคยถามมึงก่อนหน้านี้"

            ยิ่งฟังผมก็ยิ่งสับสน เวลาของผมกับเรื่องเล่าของปู่งั้นเหรอ ลิขิตมันอยากจะบอกอะไรกันแน่

            "มึงจะบอกอะไรวะ พูดมาให้ชัดๆ เลยดีกว่า"

            "เรื่องแปลกประหลาดที่สุดในชีวิต"

            "เออใช่ มันเป็นเรื่องประหลาดของกู มึงก็จะว่ากูประหลาดด้วยใช่มั้ย"

            "กูไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น มึงลองนึกดีๆ ก่อน ตอนนี้มึงอาจจะเหนื่อยเลยยังคิดอะไรไม่ออกหรือลืมไป แต่ลองนึกดูดีๆ ว่าตอนเด็กๆ ปู่เคยบอกอะไรกับพวกเรา" มันบอกอย่างใจเย็น ปล่อยให้ผมลองใช้ความคิดอีกครั้ง

            ตอนเป็นเด็กปู่เคยเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้พวกผมฟังหลายอย่าง สอนเรื่องต่างๆ ก็เยอะ มีทั้งเรื่องที่จำได้และลืมไปบ้าง แต่ถ้าหากพูดถึงเรื่องแปลกประหลาดในชีวิต พอลองนึกดูดีๆ ปู่เองก็เคยเล่าให้ฟังอยู่เหมือนกัน มันจะเกิดขึ้นกับครอบครัวเราเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม มีบางอย่างผิดแปลกไปและต้องทำมันให้ถูกต้อง และเราจะได้สิ่งที่พิเศษที่สุดกลับคืนมา ถ้าถามว่าชีวิตของผมวันนี้แปลกพอแล้วหรือยัง มันก็แปลก แต่ก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าสิ่งที่ผมคิดไว้ทั้งหมดเป็นความจริง

            "ไง พอจะคิดออกยัง" ถามขึ้นมาหลังจากให้เวลาผมคิด สีหน้าลิขิตมันดูสนุกจนผมนึกหมั่นไส้

            "ก็พอนึกอะไรออก แต่มึงทำหน้าเหมือนรู้อะไรเลยว่ะ"

            "สำหรับเรื่องของมึงกูไม่รู้หรอก"

            "หมายความว่ายังไงวะ"

            "มึงต้องเผชิญกับมันและแก้ปัญหาด้วยตัวเอง แต่ปรึกษากูได้ตลอดนะ"

            "พูดเหมือนเคยผ่านมาแล้วก็"

            "ก็ใช่"

            "ถามจริง"

            "เออ เรื่องของกูมันจบแล้ว ต่อจากนี้ก็ถึงเวลาของมึง เรื่องราวของมึงกำลังจะเริ่มขึ้น"

            "ขอรายละเอียดกว่านี้" บอกตามตรงว่าผมโคตรงง ลิขิตมันเคยผ่านเรื่องแปลกๆ ที่ว่ามาแล้ว แต่ทั้งที่ผมก็อยู่กับมันตลอดเวลาแล้วทำไมผมไม่รู้ว่ามันคือเรื่องอะไร

            "มึงเคยจำได้นะกาล แต่ตอนนี้มึงลืมไปหมดแล้ว เหมือนที่กูลืมเรื่องไอ้ดื้อของมึงล่ะมั้ง"

            "มันจะเป็นไปได้ไงวะ"

            "เดี๋ยวมึงก็รู้เอง กูบอกได้แค่ว่ามันเป็นเรื่องดี อีกอย่าง มึงคือเหนือกาล เหนือ-กาล"

            "กูรู้ชื่อตัวเอง จะย้ำทำไม"

            "ย้ำให้มึงจำขึ้นใจเฉยๆ"

            ผมกำลังเครียด แต่เหมือนลิขิตมันกำลังสนุก

            ผมพยายามถามต่อแต่ลิขิตมันไม่ยอมอธิบายอะไรเพิ่ม ย้ำแค่ว่าผมต้องหาทางเองแต่ปรึกษามันได้ตลอด จะช่วยเต็มที่เท่าที่ช่วยได้ แต่เรื่องที่มันช่วยผมได้ดีที่สุดคือการเล่าทุกอย่างให้ผมฟังอย่างละเอียดไม่ใช่หรือไง พอถามกลับเอาแต่ยิ้มบอกให้ผมหาทางแก้ด้วยตัวเอง

            หลังจากพยายามเค้นถามอยู่นาน ตะล่อมเท่าไรก็ไร้คำตอบสุดท้ายผมเลยเป็นฝ่ายยอมแพ้ พยายามจะเชื่อว่ามันต้องเป็นเรื่องดี ถ้าไม่จบด้วยการที่ผมเครียดจนเส้นเลือดในสมองแตกตายเสียก่อน

            บางทีเรื่องนี้มันอาจจะเป็นแค่ฝันร้าย เป็นฝันซ้อนฝันที่เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม

            "วันนี้ต้องให้กูนอนเป็นเพื่อนมั้ย" มันถามตอนผมเดินหนีเข้าห้อง

            "ไม่ต้อง"

            "แล้วนั่นเสื้อไปโดนอะไรมาวะ"

            "เสือก"

            "เอ้า! นี่กูถามดีๆ นะ แล้วข้าวจะกินมั้ย"

            ปัง!

            "ถ้าไม่กินกูกินนะ" ได้ยินเสียงมันตะโกนบอกหลังประตูปิดลง

            เออ จะกินก็กินไป วันนี้ผมขอหงุดหงิดใส่มันหนึ่งวัน โทษฐานที่ไม่ยอมพูดอะไรให้มันชัดเจน


tbc


หลังจากเหนือลิขิตจบไป ก็ถึงเวลาของเหนือกาลแล้ววววว
เรื่องนี้เนื้อหาจะเครียดกว่าของลิขิตนิดนึงนะคะ แค่นี้ดเดียว
ยังไงก็ฝากแฝดน้องคนนี้ด้วยน้า
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า


ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เหนือ-กาล

ความพิเศษ คงเป็นเรื่องการเดินทางข้ามเวลามั้งสินะ

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เกี่ยวกับเวลาแน่ๆ

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

กาลครั้งสอง


            คืนที่สองแล้วที่ผมไม่ฝันถึงเหตุการณ์เลวร้ายในวันนั้น แต่ก็ใช่ว่าคืนที่ผ่านมาจะได้นอนเต็มอิ่ม ในหัวผมเอาแต่คิดถึงเรื่องบ้าๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน รวมถึงเรื่องราวความแปลกประหลาดในชีวิตที่ได้ฟังมา ซึ่งไม่มีคำตอบไหนช่วยคลายความสงสัยที่ผมมีอยู่ได้อย่างชัดเจน

            หลังจากนอนคิดอยู่หลายตลบผมก็ได้ข้อสรุปกับตัวเองว่าเรื่องแปลกประหลาดครั้งนี้อาจเป็นการที่ผมได้กลับมาเจอไอ้ดื้ออีกครั้ง เป็นการเริ่มต้นใหม่ ได้ทำความรู้จักกันใหม่ และอาจจะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับชื่อของผมเพราะลิขิตมันพยายามย้ำอยู่เมื่อวาน

            เหนือกาล

            ย้อนอดีตข้ามกาลเวลา ในเมื่อมันคือเรื่องราวสุดแปลกประหลาดก็ย่อมเกิดขึ้นได้ แต่ปฏิทินยังบอกวันเวลาปัจจุบันไม่ได้ลดหรือเพิ่มไปไหน จะว่าสมองผมกระทบกระเทือนจนจำวันผิดก็ไม่ใช่อีก แต่ถ้าเครียดจนคิดอะไรไม่ออกอันนี้ก็ไม่แน่

            แต่สารภาพตามตรงว่าผมไม่ค่อยอยากเชื่อเรื่องราวประหลาดที่ลิขิตมันเล่าให้ฟังนัก แม้จะจำได้แล้วว่าตอนเด็กๆ เคยได้ยินปู่เล่าให้ฟังอยู่บ้าง แต่มันจะเป็นไปได้จริงๆ น่ะเหรอ

            คนที่นอนติดเตียงมาแรมปี อยู่ๆ จะกลับมาใช้ชีวิตปกติได้จริงๆ งั้นเหรอ

            ด้วยความข้องใจหลังเสร็จงานที่มหาวิทยาลัยแทนที่จะรีบกลับบ้านผมขับรถไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง มันเป็นสถานที่ที่ เมื่ออาทิตย์ก่อนผมก็ยังแวะมา มาทุกวันหยุด มาเพื่อพบกับใครบางคนที่ไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างคนปกติได้ คนที่ไม่สามารถพูดคุยและทำอะไรหลายๆ อย่างด้วยกันได้อีกแล้ว

            เด็กดื้อที่ชื่อเอิร์ธ

            ผมจอดรถที่หน้ารั้ว กดกริ่งไม่นานก็มีคนชะเง้อมองจากประตูบ้าน เธอเดินเข้ามาหา จนอยู่ในระยะการสนทนาผมจึงรีบยกมือไหว้และเอ่ยทักทาย

            "สวัสดีครับแม่"

            "สวัสดีจ้ะ มาหาใครเหรอ"

            คำถามจากอีกฝ่ายทำเอาชะงัก ทั้งที่ทำใจมาบ้างแล้วว่าอาจจะเป็นแบบนี้ แต่อีกใจกลับยังคิดว่าเรื่องราวบ้าๆ ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ไม่ใช่ความจริง มันคือความผิดพลาด และไม่ใช่ว่าผมกดกริ่งบ้านผิดหลังแน่ๆ ที่ทำให้ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้จักผม

            "มาหาเอิร์ธครับ"

            "เพื่อนที่มหา'ลัยเหรอ"

            "ครับ"

            สายตาแม่มองผมอย่างไม่ไว้ใจนัก หากจะอิงตามเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น ครั้งแรกที่ผมเจอไอ้ดื้อคือตอนน้องอยู่ปีหนึ่ง ซึ่งมันก็ผ่านมาครบปีพอดี ถ้าหากเรื่องราวได้ดำเนินไปตามปกติไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงที่ทำให้ไอ้ดื้อต้องนอนเป็นเจ้าชายนิทรา ตอนนี้น้องต้องเรียนอยู่ปีสอง ซึ่งมันจะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าผมไม่แน่ใจ

            "เอิร์ธยังไม่กลับเลยจ้ะ ไม่ได้โทรคุยกันเหรอ"

            "ก็...คุยครับ เห็นบอกว่ากำลังกลับบ้านสักพักแล้ว ผมก็เลยนึกว่าถึงแล้ว" โกหกออกไปคำโต คิดว่าจะเนียน แต่สีหน้าแม่ดูไม่ค่อยเชื่อ

            "แม่ไม่คุ้นหน้าเราเลย"

            "เอ่อ...คือ" โดนทักมาแบบนี้แล้วผมควรจะแก้ตัวยังไง

            "แม่!"

            ระหว่างที่ผมกำลังคิดหาข้อแก้ตัวเสียงคุ้นหูก็ดังขึ้น ผมกับแม่หันไปมองพร้อมกัน คนที่กำลังเดินตรงมาหาก็ชะงักเท้าไว้ทันที

            ผมเองก็ลืมคิดไป มาเจอหน้ากันจังๆ แบบนี้จากที่ผมควรจะได้คำตอบที่ชัดเจนและสบายใจขึ้น อาจจะกลายเป็นว่าทำให้เรื่องมันยุ่งยากกว่าเดิมก็ได้

            ไอ้ดื้อก้าวขาข้างหนึ่งถอยหลังตั้งท่าจะวิ่งหนี มันไม่เหมือนกับการพบกันครั้งที่สองของเราในอดีต แต่ถ้าเป็นท่าทางกับสีหน้าหวาดกลัวเล็กๆ นั่นล่ะก็ใช่ เพราะเจอผมทำหน้าโหดตอนทำน้ำหกใส่ครั้งนั้นไอ้ดื้อเลยเหมือนเด็กที่กลัวผมไปเลย

            "นี่มาเอาเรื่องกันถึงบ้านเลยเหรอ แค่ทำน้ำหกใส่เองนะ สะกดรอยตามหรือว่ายังไง แสดงว่าแอบตามมาตั้งแต่เมื่อวานเลยใช่มั้ย เหี้ยเอ๊ย! แม่งจะน่ากลัวเกินไปแล้ว!"

            พูดมาก ขี้โวยวาย ชอบเล่นใหญ่ ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ

            ผมไอ้แต่ยืนอ้าปากมองไอ้ดื้อชี้หน้าโยนคำถามใส่เป็นชุด หน้าตาขึงขังพร้อมสู้ ทั้งที่ตัวเองเป็นแค่เด็กตัวกระเปี๊ยก ปากดื้อๆ ขยับพูดไม่หยุด จมูกรั้นๆ นั้นยิ่งทำให้ดูน่ามันเขี้ยวเข้าไปใหญ่ ผิดกับคนเมื่ออาทิตย์ก่อนที่ร่างกายซูบผอมนอนนิ่งๆ อยู่บนเตียง เสียงเจื้อยแจ้วที่ไม่ได้ยินมานานทำขอบตาผมร้อนผ่าว

            คิดถึงชะมัด

            "อย่าเงียบดิวะ"

            "สรุปหนูเป็นใครเนี่ย"

            ทั้งแม่ทั้งลูกเริ่มเค้นผม ใจอยากจะอยู่ตรงนี้ให้นานอีกสักหน่อย แต่สมองที่ถูกใช้งานหนักมานานหลายชั่วโมงมันคิดไม่ทันว่าควรจะรับมือกับสถานการณ์นี้ยังไงเลยต้องยอมแพ้

            "ไม่มีอะไรครับ"

            บอกแล้วกลับขึ้นรถขับออกมา ผ่านเด็กดื้อที่จ้องตามหน้าตาพร้อมมีเรื่องทั้งที่ไม่เคยสู้ได้แท้ๆ เป็นคนปากเก่งแต่ก็มักจะยอมให้ผมตลอด เป็นคนกล้าและขี้โวยวายแต่กลับกลัวด้านนิ่งๆ ของผม เป็นคนที่เหมือนจะแสดงความรู้สึกออกมาตรงๆ แต่ไม่ใช่ เป็นเด็กดื้อที่ในอดีตผมทำให้เขาต้องเจ็บปวดและช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย

            มันเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อที่ผมยอมปักใจเชื่อข้อสันนิษฐานของตัวเองไปแล้วร้อยเปอร์เซ็นต์หลังจากได้พบกันครั้งที่สอง

            เด็กคนนี้คือเอิร์ธ คือไอ้ดื้อคนในอดีตของผมจริงๆ



            ผมขับรถกลับบ้าน ระหว่างการเดินทางมีหลากหลายความรู้สึกผสมปนเปกัน ความเครียดและสับสนลดลงบ้างแล้ว แทนที่ด้วยความสุขอันน้อยนิดที่แทรกเข้ามาเมื่อลองคิดถึงสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้น ทุกวันผมเฝ้าภาวนาให้ไอ้ดื้อกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขเหมือนเดิม แล้วความฝันนั้นก็เป็นจริง ไม่มีเรื่องราวมหัศจรรย์ไหนบนโลกที่จะทำให้ผมดีใจได้เท่านี้ อาจจะน่าเสียดายไปสักหน่อยที่ทุกอย่างย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นอีกครั้ง แต่การทำให้เราสองคนกลับมารักกันอีกไม่ใช่เรื่องยาก ที่ยากคือการรักษามันเอาไว้ต่างหาก

            ในกรณีที่ความรู้สึกของไอ้ดื้อยังคงเหมือนเดิม

            เปิดประตูลงจากรถแม่ก็เดินเข้ามาสวมกอด ผมกอดตอบแน่น หอมแก้มแม่อีกหนึ่งที ในช่วงเวลาที่หนักหน่วงแบบนี้ยังมีครอบครัวที่อยู่ข้างผมเสมอ

            "ไปกินข้าวไป แม่ทำกับข้าวไว้ให้เยอะเลย" แม่บอกแล้วเดินกอดเอวผมพาเข้าบ้าน

            บนโต๊ะอาหารมีกับข้าวหลายอย่างที่แม่ทำเตรียมไว้ให้ ความจริงพ่อกับแม่ตั้งใจจะรอผมกลับมาก่อนแล้วกินพร้อมกัน แต่ด้วยการจราจรแสนโหดร้ายของเมืองหลวงเลยไม่อยากให้รอ ตอนผมออกมาจากบ้านไอ้ดื้อก็หกโมงกว่าแล้ว เจอรถติดเข้าไปอีก กว่าจะถึงก็ใช้เวลาชั่วโมงครึ่งเลยทีเดียว

            "พี่ชายเราเขาไม่คิดจะกลับบ้านบ้างเหรอ" แม่ถามหาลูกชายคนโตหลังจากนั่งมองผมกินข้าวจนเกือบหมด มันได้คุยกับแม่บ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้

            "มันไม่ได้บอกแม่เหรอ"

            "เห็นแต่บอกว่าจะกลับบ้านสวน"

            "งั้นเดี๋ยวก็คงแวะมา ช่วงนี้มันโคตรติดพุดตานเลย"

            "ลิขิตก็บอกว่ากาลน่ะติดเพื่อน ไม่ชอบนอนห้อง" ตั้งใจจะฟ้องเรื่องไอ้ลิขิตติดแฟนแต่กลับโดนดักทางซะงั้น เพิ่งรู้ว่ามันก็ขี้ฟ้องเหมือนกัน

            "เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้ออกแล้วแม่ แค่เรียนก็เหนื่อยแล้ว"

            "แล้วที่บอกจะมาคุยกับพ่อด้วยนี่เรื่องอะไร บอกแม่ได้มั้ย"

            ผมเป็นคนที่คุยกับแม่บ่อยอยู่แล้ว มีปัญหาอะไรจะบอกตลอด แต่ไอ้เรื่องประหลาดที่กำลังเกิดขึ้นผมยังไม่ได้บอกแม่สักคำ เคยโทรหาพ่อจะปรึกษาครั้งเดียว พอเห็นว่าไหนๆ ก็ปิดเทอมแล้วพ่อเลยบอกให้กลับมาคุยกันที่บ้าน และก็คงเป็นพ่อเองที่หลุดปากบอกแม่ไปว่าผมกำลังมีปัญหาชีวิต

            "จริงๆ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน" แต่กับปัญหานี้น่ะ ผมเองก็ไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกัน

            "มันยังไงหืม"

            "ลิขิตมันบอกว่าให้ถามพ่อ"

            "เรื่องของลูกผู้ชายงั้นสิ"

            "ก็คงประมาณนั้นมั้งครับ" บอกตรงๆ ผมก็สับสน เรื่องนี้บอกใครได้บ้างก็ไม่รู้ ไอ้พี่ชายที่ทำตัวเหมือนเคยผ่านเรื่องบ้าๆ นี้มาแล้วก็ไม่ยอมบอกรายละเอียด จากที่คุยกันลิขิตมันเอ่ยแค่ชื่อปู่กับพ่อ ผมเลยไม่รู้ว่าควรจะบอกแม่เรื่องนี้ดีหรือเปล่า

            "ทำไม มีแฟนแล้วเหรอ"

            "ยังหรอกแม่ แต่เร็วๆ นี้อาจจะมี"

            "แสดงว่ากำลังจีบใครอยู่ใช่มั้ย"

            ผมฉีกยิ้ม ทำเป็นกั๊กไปอย่างนั้นให้แม่ตื่นเต้นเล่นๆ ผมไม่เคยพาใครเข้าบ้าน ตั้งแต่เข้ามหา'ลัยก็เที่ยวเล่นไปเรื่อยไม่เคยคบใครจริงจัง เรื่องของไอ้ดื้อครอบครัวไม่เคยได้รับรู้ มันคือความผิดที่ผมไม่กล้าสารภาพ

            "ถ้ามีอย่าลืมพามาให้แม่รู้จักบ้างนะ" แม่ยิ้มให้ และผมไม่ปฏิเสธคำขอนี้

            "ครับ"

            จบมื้ออาหารผมก็ช่วยแม่ยกจานไปเก็บ ก่อนจะโดนไล่ออกมาตอนแม่จะล้างจาน ทิ้งตัวบนโซฟาที่ห้องนั่งเล่นได้แป๊บเดียวพ่อที่น่าจะเพิ่งอาบน้ำเสร็จก็เดินลงบันไดมาพอดี

            พ่อเดินมานั่งข้างผม ริมฝีปากยกยิ้มบางๆ ทำเหมือนกับว่ารู้ปัญหาของผมแล้วยังไงยังงั้น ก็หน้าผมมันเคร่งเครียดขนาดนี้นี่นะ มีแต่คนรอบข้างผมนี่แหละที่ยังดูสบายใจ

            "ยิ้มขนาดนี้พ่อพูดมาให้หมดเลยดีกว่าว่ามันยังไง"

            ทั้งพ่อทั้งลิขิตต่างทำเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ไม่ต้องทำอะไรตอนจบมันก็จะออกมาสวยงามอยู่ดี ผิดกับผมที่เครียดจนเหมือนแก่ขึ้นไปอีกสามสิบปี เดินไปส่องกระจกดูอีกทีผมอาจจะขาวทั้งหัวแล้วก็ได้

            "เรื่องของกาลพ่อจะไปรู้ได้ไง"

            "พูดงี้พ่อไม่ต้องให้ผมกลับมาคุยที่บ้านก็ได้นะ" ผมทำเป็นหงุดหงิดซึ่งพ่อก็รู้นั่นแหละว่ามันคือการแสดงถึงยังยิ้มได้อยู่

            "ใจเย็นๆ พ่อแค่อยากให้กาลกลับบ้าน" แล้วพ่อก็เปิดเผยเหตุผลที่แท้จริงออกมา ทำให้ผมอยากลับบ้านโดยการเอาเรื่องแปลกประหลาดนั้นมาล่อ

            "แล้วสรุปว่าไอ้เรื่องแปลกประหลาดนี่มันคือยังไงอ่ะพ่อ ลิขิตมันบอกพอเรื่องของมันจบเรื่องของผมก็จะเริ่มขึ้น ต้องทำสิ่งผิดให้ถูกต้อง" ผมยิงตรงเข้าประเด็น ฟังแล้วสีหน้าพ่อไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลยสักนิด

            "ก็อย่างที่ลิขิตบอกนั่นแหละ"

            "มันไม่ได้บอกอะไรกาลเลยนะ"

            "กาลต้องหาด้วยตัวเอง"

            "ตอนนี้เครียดจนเหมือนเส้นเลือดในสมองจะแตกแล้วครับ"

            "มันไม่ยากขนาดนั้นหรอก" พ่อยังคงบอกด้วยยิ้ม

            "แล้วผมต้องแก้มันยังไง"

            "พ่อไม่รู้หรอก"

            "อ้าว"

            "มันเป็นเรื่องของกาล ก็มีแค่กาลเท่านั้นที่รู้"

            "งั้นเดี๋ยวกาลเล่าให้พ่อฟัง"

            "ไม่ต้องเล่าหรอก ถึงเล่าไปพ่อก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี"

            ให้มันได้อย่างนี้สิ

            ยอมรับว่าผมไม่ได้รู้สึกว่ามันหมดหนทาง ในหัวพอจะมีวิธีการอยู่บ้างว่าจะรับมือและแก้ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นนี้ยังไง แต่ผมแค่ต้องการกำลังใจ ต้องการความเชื่อมั่นว่ามันจะสำเร็จและผ่านไปด้วยดี ผมไม่อยากเผชิญหน้ากับปัญหาเพียงคนเดียว ไม่อยากเผชิญกับเรื่องเลวร้ายนั้นอีกแล้ว

            "อย่าทำหน้าเครียด ลูกคือเหนือกาลนะ ลูกพ่อเก่งอยู่แล้ว" พ่อพูดขึ้นมาเมื่อเห็นว่าผมไม่ตอบอะไร รอยยิ้มยังคงแต้มอยู่บนริมฝีปาก คล้ายกับต้องการยืนยันว่าคำพูดเมื่อครู่คือความจริง

            "เหนือกาลคนเก่งก็เครียดเป็นนะครับ"

            "งั้นไหนลองเล่ามาซิ" สุดท้ายพ่อก็ยอม

            ผมเริ่มต้นด้วยเรื่องฝันร้ายที่หายไป พูดถึงคนคนหนึ่งที่ปัจจุบันไม่มีทางใช้ชีวิตแบบคนปกติได้ แต่กลับได้มาเจอกันอีกครั้งในฐานะคนไม่รู้จัก เหตุการณ์มันเหมือนกับครั้งแรกที่ได้รู้จักกัน แต่เขาคนนั้นจำผมไม่ได้ คนที่เกี่ยวข้องกับเขาไม่มีใครจำผมได้ และคนที่เกี่ยวข้องกับผมก็ไม่มีใครจำเขาได้เช่นกัน

            "พ่อเคยรู้จักเขามั้ย"

            "ไม่ครับ"

            "ถ้าอย่างนั้นจบเรื่องแล้วอย่าลืมพาเขามาทำความรู้จักกับพ่อนะ"

            คำตอบจากพ่อมีเพียงเท่านี้ก่อนเราจะปิดประเด็น พ่อไม่ตอบอะไรอีก เป็นจังหวะเดียวกับที่แม่เข้ามาพอดี ทั้งคู่เริ่มจดจ่อกับสิ่งน่าสนใจในจอทีวี ทิ้งให้ผมจมอยู่กับความคิดของตัวเอง

            คิดไปคิดมาแล้วเรื่องราวสุดแปลกประหลาดบ้าๆ นี้ก็คือโอกาสครั้งที่สองของผม จะผิดหรือถูก เรื่องราวจะดำเนินเหมือนครั้งก่อนไหมผมไม่รู้ แต่ครั้งนี้ทุกอย่างต้องจบลงด้วยดี ไม่อย่างนั้น ผมคงไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้อีกเลย

           

            ทิ้งตัวลงบนเตียงตอนตาใกล้จะปิดผมถึงได้หยิบมือถือมาตอบไลน์ลิขิต พิมพ์กลับไปสั้นๆ ว่า ‘อยู่บ้านแล้ว’ ก่อนปิดไฟนอน แต่หลับตาได้ไม่ถึงนาทีเสียงเรียกเข้าก็ดัง

            เป็นใครไม่ต้องเดาให้เสียเวลา

            "ว่า"

            [ถามไปตั้งแต่เย็น]

            "ก็ตอบแล้วนี่ไง"

            [ตอนจะห้าทุ่มแล้วเนี่ยนะ โทรก็ไม่รับ ดีนะแม่บอกกูก่อน]

            "กูบอกมึงไปแล้วไงว่าจะกลับบ้าน"

            [แต่ติดต่อไม่ได้ กูก็ห่วงมั้ย ช่วงนี้มึงยิ่งเครียดๆ อยู่]

            "ขอโทษๆ ปลอดภัยดี"

            [แล้วได้คุยกับพ่อยัง]

            "คุยแล้ว"

            [พ่อว่าไง]

            "ก็บอกเหมือนมึงอ่ะ"

            [แล้วมึงโอเคขึ้นยัง ยังเครียดอยู่ปะวะ]

            "ก็เออ ดีขึ้นมั้ง ก็ดีขึ้นนิดนึง" อย่างน้อยก็ไม่เครียดและสับสนเท่าเมื่อวาน

            [มันจะผ่านไปด้วยดีเชื่อกู มึงอาจจะต้องขอบคุณก็ได้ที่เกิดเรื่องแบบนี้ แม้เรื่องของกูมันจะไม่ค่อยน่าให้อภัยนักก็เถอะ แต่กูก็คิดว่าดีแล้ว อย่างน้อยมันก็ทำให้กูมองเห็นสิ่งรอบตัวมากขึ้น]

            "พูดซะกูอยากรู้เลย"

            [กูบอกไปแล้วไงว่ามึงเคยรู้ แต่ลืมเองว่ะช่วยไม่ได้]

            "ก็เล่าให้กูฟังอีกรอบไม่ได้เหรอวะ"

            [ไม่ว่ะ เสือกลืมเอง]

            "เออ ไอ้สัด"

            ปลายสายหัวเราะกลับมา ดูมีความสุขเสียเหลือเกิน

            "แล้วนี่มึงอยู่ไหน"

            [อยู่ห้องดิ]

            "กับพุดตาน"

            [ก็รู้นี่หว่า]

            "ไม่กลับบ้านจริงอ่ะ"

            [เดี๋ยวกลับ]

            "เออๆ ไปนอนไป กูก็จะนอนแล้ว"

            [อย่าเครียดนะมึง]

            "เออ"

            ผมชิงวางสายก่อน ซุกหน้าลงกับหมอนและหยุดคิดทุกเรื่องที่ชวนให้ปวดหัว

            จากนี้ต่อไปฝันร้ายจะไม่กลับมา มันดีแล้ว เป็นเรื่องราวแปลกประหลาดที่มาพร้อมกับเรื่องดีๆ

            เป็นโอกาสที่จะทวงคืนฝันดีของผมกลับมา



            ได้กลับมาอยู่บ้านช่วงปิดเทอมยาวๆ ทั้งที ใจอยากนอนตื่นสายๆ แต่ร่างกายไม่ปฏิบัติตาม แม้ไม่ฝันร้ายก็ใช่ว่าจะได้นอนเต็มอิ่ม เพราะสมองทำงานไม่หยุด เอาแต่คิดนั่นคิดนี่สุดท้ายก็เก็บไปฝันอยู่ดี ฝันเป็นเรื่องเป็นราวที่ดูเละเทะไปหน่อย ผสมปนเปกันจนปะติดปะต่อไม่ถูกว่าเรื่องมันควรเป็นยังไง แต่สิ่งที่ผมจำได้แม่นคือในความฝันนั้นมีไอ้ดื้ออยู่ด้วย เป็นไอ้ดื้อที่ยังสุขภาพแข็งแรงดี

            เดินลงมาข้างล่างก็เจอพ่อกำลังเตรียมตัวไปทำงาน แม่กำลังตากผ้าอยู่หลังบ้าน ได้กลิ่นไอของความเป็นครอบครัวลอยมานิดๆ หลายเดือนแล้วที่ผมไม่ได้ตื่นนอนแต่เช้าตอนอยู่บ้านแบบนี้

            "ตื่นเช้าเชียว" พ่อทัก ในมือถือกระเป๋ากับกุญแจรถเตรียมพร้อม

            "เมื่อคืนกาลนอนเร็วมั้ง"

            "แม่ทำต้มจืดไว้ มีน้ำเต้าหู้ด้วย พ่อไปทำงานแล้วนะ"

            "ครับ"

            พ่อโบกมือให้ก่อนเดินออกจากบ้านไป

            เช้าในวันที่ไม่มีเรียนแบบนี้ผมไม่ค่อยอยากอาหารเท่าไร ทิ้งตัวลงบนโซฟาเปิดข่าวเช้าดู ช่วงนี้ก็มีแต่เรื่องเครียดๆ ไม่จรรโลงใจสักนัก จดจ่ออยู่กับข่าวได้พักเดียวก็กลับมาจมอยู่กับความคิดตัวเองอีกครั้ง

            ชีวิตผมตอนนี้ก็เหมือนถูกนำเรื่องในอดีตมาฉายซ้ำ แต่เรื่องราวจะดำเนินไปในทิศทางใดนั้นย่อมขึ้นอยู่กับตัวละครหลักอย่างผม ซึ่งได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เดินเรื่องตามรูปแบบเดิมและเปลี่ยนตอนจบใหม่

            รายละเอียดเรื่องราวต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นผมยังจำได้ ครั้งแรกที่ได้เจอ และครั้งสุดท้ายที่ได้พูดคุย แม้ระหว่างทางจะเลือนรางไปบ้างก็ตาม

            ครั้งแรกผมกับไอ้ดื้อเจอกันที่ร้านข้าว ส่วนครั้งที่สองคือหลังจากนั้นสองวัน ณ สถานที่เดิม แม้อยากจะเลือกเส้นทางที่แตกต่าง แต่ผมยังไม่รู้ว่าควรทำยังไงกับจุดเริ่มต้นมันถึงจะออกมาดีที่สุด ซึ่งการเดินตามบทเดิมก่อนมันก็คงไม่แย่นัก จับทางได้แล้วจึงค่อยเริ่มเดินด้วยตัวเอง



            ตอนเย็นผมขับรถมาที่ร้านข้าวร้านเดิม สั่งข้าวตามสั่งป้าร้านประจำนั่งกินที่ร้าน ผมจำได้แม่นว่าครั้งที่สองที่เราได้เจอกันเป็นยังไง เพราะมันคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมมองเด็กคนนี้ใหม่ แม้ละครบทใหม่นี้ความประทับที่ไอ้ดื้อมีต่อผมอาจจะเปลี่ยนไปจากการที่ผมบุกไปหาถึงบ้านก็เถอะ

            กินข้าวไปผมก็คอยมองรอบข้างไป ความจริงผมก็ไม่ค่อยมั่นใจนักว่าทุกอย่างจะเหมือนเดิมร้อยเปอร์เซ็นต์หรือเปล่า ตอนนั้นเราพบกันด้วยความบังเอิญอีกครั้ง และผมไม่ได้นั่งกินข้าวรออยู่แบบนี้ บางทีการที่ผมมาปรากฏตัวแบบนี้มันอาจจะดูจงใจเกินไป

            ขณะที่กำลังคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆ คนที่คุ้นเคยก็เดินเข้ามาในระยะสายตา เราสบตากัน อีกฝ่ายชะงักไปชั่วครู่ แต่สุดท้ายก็เดินตรงมาหาด้วยท่าทางที่ยังดูลังเล

            ปัจจุบันยังคงเหมือนในอดีต

            ไอ้ดื้อเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม สายตาคู่นั้นดูล่อกแล่ก แต่ยังคงไว้ซึ่งความซุกซนที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัว เอกลักษณ์ที่ตอนนี้ยังถูกซ่อนเอาไว้เมื่ออยู่ต่อหน้าผม

            "เรื่องวันนั้นอ่ะ ขอโทษนะ" พูดเข้าประเด็นโดยไม่มีการเกริ่นนำแต่อย่างใด มันยังเหมือนเดิม ไอ้ดื้อเป็นฝ่ายเข้ามาขอโทษผม

            "อืม"

            "แต่เราก็ไม่คิดนะเว้ยว่านายจะโกรธถึงขั้นตามไปที่บ้านเราอ่ะ วันนี้เราเลยอยากมาเคลียร์ คือถ้าวันนั้นนายทำอะไรแม่เราขึ้นมา..."

            "เดี๋ยวก่อน" ผมต้องรีบเบรกก่อนคนตรงหน้าจะจินตนาการเป็นเรื่องเป็นราวไปไกลกว่านี้

            "เราซีเรียสนะ มีอะไรก็มาลงที่เรา อย่าไปยุ่งกับแม่เรา"

            "ก็บอกว่าเดี๋ยวไง"

            "นายต้องการอะไรว่ามาเลย เคลียร์ให้มันจบๆ ไป"

            เอาล่ะ ผมรู้แล้วว่าปัจจุบันกับอดีตนั้นมันต่างกันยังไง ตอนนั้นไอ้ดื้อเข้ามาขอโทษผม เราคุยกันและเริ่มทำความรู้จักกัน แต่ครั้งนี้เหมือนผมกำลังถูกลูกหมาตัวเท่าข้อเท้าท้าต่อย มันเป็นความผิดผมก็จริงที่ทำให้ไอ้ดื้อมีความคิดแบบนี้ แต่ใจเย็นหน่อยเถอะไอ้หนู

            "นั่งก่อนมั้ย คุยกันก่อน" ผมดึงเก้าอี้พลาสติกออกให้พร้อมทั้งผายมือเชื้อเชิญ

            ไอ้ดื้อดูลังเล อีกฝ่ายยังไม่ไว้ใจผมข้อนี้เข้าใจดี เราเล่นจ้องตากันอยู่สักพัก พอรู้ว่าสู้ไม่ได้แน่ๆ อีกฝ่ายถึงได้ยอมนั่ง

            "นี่ผ้าเช็ดหน้า ขอบคุณมาก" เมื่อรู้ตัวว่าต้องเป็นฝ่ายยอมอ่อนให้ก่อนผมก็เริ่มผูกมิตร ใช้น้ำเสียงอ่อนโยน ไม่ขึงขังเหมือนอดีต ยื่นผ้าเช็ดหน้าที่อีกฝ่ายทิ้งไว้คืนให้

            เด็กดื้อตรงหน้ารับไป เหลือบตามองผมแล้วยัดใส่กระเป๋าลวกๆ และก่อนที่อีกฝ่ายจะเปิดฉากพูดเรื่องผิดๆ ในจินตนาการออกมาอีกรอบผมก็ชิงอธิบายออกมาก่อน

            "เรื่องที่ทำน้ำหกใส่วันนั้นไม่ติดใจอะไรนะ อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ ขอโทษแล้วก็จบๆ กันไป ส่วนที่ตามไปที่บ้าน อันนี้อาจจะเชื่อยากหน่อย คือเราน่ะ เอ่อ หมายถึงนายน่ะ หน้าตาคล้ายคนที่พี่ เอ้ย! คล้ายคนที่เรารู้จัก เลยแอบตามไป"

            สีหน้าคนฟังบอกชัดว่าไม่เชื่อ เหตุผลของผมยังไม่เนียนพอ บวกกับการใช้สรรพนามแปลกๆ อีก เพราะมันติดปากเลยเผลอพูดไปแบบนั้น

            "คล้ายคนที่รู้จักเหรอ"

            "ใช่ คล้ายจนเหมือนเป็นพี่น้องกันเลย อยากเจอมั้ยล่ะ" เรื่องนี้ผมไม่ได้โกหก เพราะพุดตานกับไอ้ดื้อหน้าเหมือนกันมากกว่าฝาแฝดอย่างผมกับลิขิตเสียอีก

            "เหมือนกำลังโดนล่อลวง"

            "เฮ้ย ไม่ใช่ แค่อยากยืนยันเฉยๆ"

            "แล้วนายรู้ชื่อเราได้ไง แถมเมื่อกี้แทนตัวเองว่าพี่" อยู่ๆ คู่สนทนาก็เปลี่ยนน้ำเสียง สีหน้าและแววตาจริงจังขึ้น

            เรื่องนี้ผมไม่ได้คิดข้อแก้ตัวมา แม้จะรู้อนาคต รู้ความรู้สึกของอีกฝ่าย แต่การรู้ชื่อคนที่เพิ่งเจอกันย่อมเป็นเรื่องแปลกในสายตาอีกฝ่าย จะโกหกไปว่าเพราะพุดตานเป็นน้องก็ไม่ได้ ในอนาคตยังไงสองคนนี้อาจมีโอกาสได้เจอกัน สุดท้ายต้องโดนจับได้อยู่ดี ผมไม่อยากให้เราต้องมีเรื่องบาดหมางใจกันตั้งแต่ตอนนี้แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยก็ตาม ต้องเคลียร์ให้สบายใจหมดทุกเรื่อง

            จังหวะที่กำลังคิดหาข้อแก้ตัวผมก็เหลือบไปเห็นพวงกุญแจที่ห้อยอยู่ตรงกระเป๋าอีกฝ่ายพอดี แม่ไอ้ดื้อคงเล่าให้ฟังหมดแล้วว่าผมถามถึงตอนไปหาที่บ้าน และเหตุผลที่ทำให้ผมรู้ชื่อเด็กดื้อคนนี้ได้นั้นก็เพราะคำที่อยู่บนพวกกุญแจ โชคดีแค่ไหนที่น้องมันใช้กระเป๋าใบเดิม

            "เดาเอา น่าจะชื่อเดียวกับพวงกุญแจ"

            เจ้าของพวงกุญแจรีบคว้ามันมาดู ก่อนจ้องกลับมาเหมือนผมเป็นโรคจิตยังไงยังงั้น

            "ส่วนที่แทนตัวเองว่าพี่เพราะนายหน้าเด็ก แล้วจริงๆ นายเรียนอยู่ปีไหน"

            "ปีหนึ่ง"

            คำตอบที่ได้ฟังชวนให้ชะงัก เวลาผ่านมาเกือบปีแล้วแต่ไอ้ดื้อยังเรียนอยู่ปีหนึ่งเหมือนตอนที่เราเจอกันครั้งแรก แสดงว่าเวลาของผมยังเดินไปตามปกติ แต่เวลาของอีกฝ่ายได้ย้อนกลับสู่อดีต

            "งั้นก็น้องจริงๆ เราชื่อเหนือกาล หรือเรียกพี่กาลก็ได้ อยู่ปีสาม เราเรียนที่ไหน" หลังจากตั้งสติได้ผมก็ใช้โอกาสนี้แนะนำตัว

            "เอยู"

            "มอเดียวกัน"

            "ครับ" ไอ้ดื้อยังใช้สายตาเหมือนมองสิ่งแปลกประหลาดสักอย่างมองผม ต่างจากสายตาในอดีตที่ค่อนข้างดูหวาดกลัวผมมากกว่า ซึ่งก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีกว่าครั้งก่อนล่ะมั้ง

            "จะมาซื้อข้าวใช่มั้ย"

            "อืม"

            "งั้นเดี๋ยวพี่เลี้ยง ขอโทษที่ทำให้ตกใจ"

            "ไม่เป็นไรครับ ถือว่าหายกันก็ได้" รีบปฏิเสธ พอรู้ว่าเป็นรุ่นพี่ก็พูดเพราะขึ้นมาทันที

            "งั้นก็แล้วแต่"

            "เคลียร์แล้วนะครับ งั้นผมไปก่อนนะ"

            ผมพยักหน้าให้ ไม่รั้งเอาไว้เพราะรู้ว่ายังไงเราต้องได้เจอกันอีก

            ไอ้ดื้อลุกขึ้นยืน เหลือบมองกันด้วยสายตาไม่ไว้วางใจอีกครั้ง ผมส่งยิ้มกลับไปให้ อีกฝ่ายนิ่งไปชั่วครู่แถมไม่ยอมยิ้มตอบ เบนสายตามองทางอื่น ก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินหนีไป

            แล้วเจอกันใหม่นะเด็กดื้อ


tbc.


ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ยังไงกันนะ  :ling2:

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

กาลครั้งสาม


            ปิดเทอมแล้วผมก็กลับมาอยู่บ้านทำตัวเป็นลูกชายที่ดี ส่วนลิขิตพี่ชายผู้ไม่เอาไหนนั้นหนีพาแฟนกลับบ้านสวนไปแล้วแต่ช่วงบ่าย ยังดีที่มันอุตส่าห์แวะมาบ้านก่อน แต่ที่ไม่ดีคือมันเอารถผมไป แม้ความจริงแล้วรถคันนั้นที่บ้านซื้อไว้ให้ใช้ด้วยกันก็เถอะ แต่เพราะก่อนหน้านี้ลิขิตไม่ยอมขับ มันเลยกลายเป็นรถของผมมาตลอด

            ตั้งแต่เริ่มคบกับพุดตานลิขิตมันก็หัดขับรถอย่างจริงจังทั้งที่เมื่อก่อนเอาแต่บ่นว่าขี้เกียจ เหตุผลข้อเดียวที่มันบอกคือจะได้พาแมวไปเที่ยว หรือก็คือพาพุดตานกลับบ้านสวนได้บ่อยๆ นั่นแหละ เห็นว่าพ่อจะซื้อรถคันใหม่ให้มันด้วย ซึ่งก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องแย่งกันใช้

            "กาล ไปซื้อของเข้าบ้านกัน"

            แล้วการที่ลิขิตมันเอารถผมไปก็ทำให้เกิดความลำบากขึ้นมาก็ตอนนี้ เมื่อคุณหญิงแม่เกิดอยากจะซื้อของใช้เข้าบ้านขึ้นมา

            "ไปไงอ่ะแม่ ไม่มีรถ"

            "แท็กซี่ไง บิ๊กซีอยู่แค่นี้"

            "ลำบากอ่ะ"

            "ไปช่วยแม่หิ้วหน่อย อย่างอแง" เห็นผมทำหน้างอหน่อยแม่ก็รีบดักทันที ปฏิเสธไม่ได้เลยแบบนี้

            ผมทำเป็นลีลา ปกติแม่จะนั่งแท็กซี่ไปซื้อของคนเดียวอยู่แล้ว แต่พอลองนึกดูอีกที...

            ปิดเทอม

            ไปซื้อของกับแม่

            ที่ล็อกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป...

            "ก็ได้ครับ"

            ครั้งนี้ผมต้องไป ยังไงก็ต้องไป ทำไมตอนแรกถึงลืมไปได้กันนะ



            ยี่สิบนาทีต่อมาผมกับแม่ก็มาเดินอยู่ในบิ๊กซีสาขาใกล้บ้าน ทำหน้าที่ลูกชายที่ดีเข็นรถตามคุณหญิงแม่ ถูกถามอะไรก็เออออไปด้วยหมด เพราะปกติผมไม่ค่อยรู้เรื่องของใช้ในบ้านสักเท่าไร มีอะไรก็ใช้อันนั้น ส่วนของใช้ที่หอผมมักจะไปซื้อกับลิขิตช่วงวันหยุด โดยเน้นของลดราคาหรือไม่ก็ของที่ใช้เป็นประจำอยู่แล้วเป็นหลัก

            ขาเดินตามแม่แต่ในหัวกำลังนึกถึงลำดับเหตุการณ์ในอดีต ครั้งที่สามที่ผมได้เจอไอ้ดื้อคือตอนออกมาซื้อของกับแม่ เทียบแล้วก็คงเป็นตอนนี้ เป็นอีกครั้งที่เราจะได้เจอกันโดยบังเอิญ

            "กาลไปดูมาม่านะแม่"

            "หยิบเผื่อลิขิตด้วยนะ"

            "ครับ"

            ทิ้งรถเข็นไว้กับแม่ที่โซนเครื่องปรุงแล้วผมก็เดินมาล็อกข้างๆ ที่มีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหลากหลายยี่ห้อวางเรียงราย ยังไม่ทันได้เดินเข้าไปในล็อกก็เห็นผู้ชายหน้าดื้อยืนเลือกของอยู่ เพียงแค่นี้ก็ทำให้ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นมา

            เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นแล้วกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง

            ผมเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ข้างๆ ทำทีเป็นเลือกซื้อของของตัวเอง ต่างกันเพียงในอดีตผมไม่ได้สนใจว่าคนที่เลือกของอยู่ก่อนเป็นใคร ส่วนครั้งนี้ผมรู้ เพียงแต่ทำเป็นไม่สนใจ

            ยื่นมือไปหยิบยำยำรสหมูสับซองสีเขียวที่อยู่ตรงหน้าคนข้างๆ มาถือไว้ก็ถูกมองตาม ผมทำทีเป็นหันไปสบตา ก่อนจะแสร้งตกใจให้เหมือนกับที่อีกฝ่ายกำลังทำอยู่

            "เฮ้ย! พี่"

            "น้องเอิร์ธ"

            ไอ้ดื้อชะงักค้างทันทีเมื่อผมเรียกชื่อ เหมือนตอนนั้นแป๊ะ ผมเดาเอาเองว่าอีกฝ่ายคงไม่ชิน อยู่ๆ ก็ไปเรียกเขาว่าน้องทั้งที่ไม่กี่วันก่อนยังจะตีกันอยู่เลย

            "เรียกน้องเลยนะ"

            "ก็เป็นน้องไม่ใช่เหรอ"

            "เรียกชื่อเฉยๆ ก็ได้ครับ"

            "เรียกน้องนี่แหละเหมาะดี" มันเหมาะจริงๆ ผมไม่ได้แกล้งพูดหยอด แม้ในอดีตที่เรียกไปแบบนั้นเพราะอยากแกล้งจริงๆ ก็เถอะ เป็นนิสัยของคนที่ชอบหว่านเสน่ห์ใส่คนอื่นไปเรื่อย

            ไอ้ดื้อทำหน้าแปลกๆ ใส่ผมก่อนจะหลบหน้า จะว่าไม่ชอบใจก็ไม่ใช่ หรือจะบอกว่าชอบที่เรียกแบบนั้นก็ไม่ใช่อีก เป็นสีหน้าที่ตัวผมในอดีตเริ่มมองออกว่าอีกฝ่ายอยากสื่อความรู้สึกแบบไหน

            "พี่ก็มาซื้อของเหรอ"

            "ใช่"

            "บ้านอยู่แถวนี้?"

            "ก็ใช่"

            "งี้ก็ตามไปที่บ้านได้อ่ะดิ ผมจะได้ไม่ระแวงที่พี่รู้บ้านผมคนเดียว"

            "ไปได้นะ"

            "ใครจะไป" ก่อนหน้านี้ล่ะเก่ง ทีแบบนี้ล่ะเริ่มปฏิเสธซะเร็วเชียว

            หากถามว่าผมคนเก่าที่ดูเป็นคนน่ากลัวในสายตาไอ้ดื้อหยอกกันเล่นแบบนี้บ่อยไหน คำตอบคือถ้าเป็นตอนอารมณ์ดีผมก็เล่นได้หมด ไม่อย่างนั้นน้องคงไม่กล้าทำตัวแสบสันใส่ผมจนได้ฉายานี้มา

            ดื้อเก่ง แต่ก็เป็นเด็กดีเก่ง

            มือหยิบของแต่สายตาไม่ยอมละจากคนข้างๆ ตัวผมในอดีตเวลาอยู่กับไอ้ดื้อไม่ค่อยได้ทำตัวอ่อนโยนนัก กับปัจจุบันผมก็ไม่ได้คิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเองจนกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือขนาดนั้น ไม่อยากหลุดจากความเป็นตัวเองจนเกินไป แต่จะใส่ใจและอ่อนโยนให้มากกว่าที่ผ่านมา

            มองคนที่ทำทีเป็นเลือกของไม่ยอมมองหน้ากันแม้กระทั่งตอนคุยแล้วอยากดึงเข้ามากอดให้หายคิดถึง แต่สำหรับคนที่เจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง ยังรู้จักกันไม่ดีพอ การกระทำแบบนั้นย่อมไม่เหมาะสม

            ปล่อยให้เงียบเสียนานเพราะผมมัวเอาแต่มองไอ้ดื้อเลยเหล่มองกลับบ้าง ไล่สายตาตั้งแต่หน้าลงมาจบที่ของในมือผม

            "พี่มาซื้อของคนเดียวเหรอ"

            "เปล่า มาเป็นเพื่อนแม่ เอิร์ธล่ะ"

            "มาคนเดียวครับ"

            "มาตุนเสบียงหรือไง" เดาจากตะกร้าที่วางอยู่ข้างๆ ซึ่งมีแต่ของกินทั้งนั้น

            "ประมาณนั้น"

            "แต่บ้านเราไม่ได้อยู่แถวนี้นี่"

            "มาปาร์ตี้บ้านเพื่อน"

            "แล้วเพื่อนล่ะ"

            "ผมทางผ่านเลยแวะซื้อ"

            "แล้วกลับยังไง เอารถมาเหรอ"

            "เดี๋ยวเพื่อนมารับ พี่นี่ก็ถามเก่งเนอะ" ว่าผมนะแต่ไม่ยอมหันหน้ามามอง

            "ก็อยากรู้ไง"

            หากเป็นเมื่อก่อนโดนว่าแบบนี้ผมคงดุกลับ แต่เป็นเพราะคนพูดคือคนที่กำลังสนใจ ประเด็นเล็กน้อยเหล่านี้จึงถูกมองข้าม แม้คำว่ากำลังสนใจของตัวผมในอดีตกับปัจจุบันจะต่างกันอยู่มากก็ตาม

            สนใจที่แปลว่าอยากได้มาแก้เบื่อ กับสนใจที่แปลว่าอยากได้มาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

            "ว่าแต่สายปาร์ตี้เหรอเรา" แต่ก่อนผมก็สายนี้ แต่เป็นปาร์ตี้คนละอย่างกับน้อง

            วิธีดึงความสนใจได้ผลเมื่อไอ้ดื้อหันมามองผมหน้าสลับกับของในตะกร้าตัวเอง มีแต่ของกินน่ารักๆ ทั้งนั้น

            "มั้งครับ ปาร์ตี้ขนมกับมาม่า"

            "ชอบหมูสับเหรอ" เห็นซองสีเหลืองในมือที่ถือค้างไว้ตั้งแต่ผมเดินมาเลยถาม หยิบรสเดียวกันกับผมแต่คนละยี่ห้อ

            "ครับ"

            "ไม่ลองของยำยำ อร่อยนะ"

            "เคยลองแล้ว แต่ชอบอันนี้มากกว่า"

            "อันนี้ออกจะเข้มข้น"

            "ลิ้นใครลิ้นมันดิพี่" ไอ้ดื้อก็คือไอ้ดื้อ ความแสบไม่เคยเป็นลองใคร เถียงแต่ไม่ยอมมองหน้าเหมือนเคย

            "ก็แล้วแต่"

            รอบนี้ผมยอมให้ ไอ้ดื้ออมยิ้ม วางมาม่ารสหมูสับแพ็กหกซองใส่ตะกร้า เลือกของที่ล็อกนี้เสร็จแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมไปไหน

            เราสบตากัน เหมือนน้องจะรอให้ผมเลือกของเสร็จแล้วเดินไปก่อน แต่ผมยังไม่อยากไปไหน ยังอยากอยู่ด้วยกันตรงนี้ แม้จะจำรายละเอียดเกี่ยวกับบทสนทนาในอดีตได้ไม่ค่อยแม่นเท่าไร แต่ตอนนั้นเราคุยกันเยอะกว่านี้

            "จริงๆ ผมก็คุ้นหน้าพี่อยู่นะ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอแล้ว เหมือนเคยเห็นที่ไหน"

            คำบอกเล่าที่เอ่ยขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทำให้ผมเริ่มใจเต้น จะว่าไปก็พอคุ้นกับประโยคนี้ขึ้นมาบ้าง ในใจผมแอบคิดไปแล้วว่าไอ้ดื้ออาจจะจำผมได้หรือเปล่า ผมอยากให้น้องจำตัวผมได้ แต่ไม่อยากให้น้องจำเหตุการณ์เลวร้ายนั้นได้ ซึ่งมันเป็นความคิดที่ค่อนข้างเห็นแก่ตัว

            "เรียนมอเดียวกันคงเคยเดินสวนกันมั้ง" แกล้งเดาออกไปทั้งที่รู้ว่ามันไม่จริง

            "เออใช่ เพจมอเคยลงรูปพี่" อีกคนก็เล่นตามน้ำ พูดออกมาเสียงดัง ทำหน้าดีใจแถมยังยิ้มกว้าง

            ผมมองรอยยิ้มของคนตรงหน้าแล้วในใจมันก็รู้สึกตื้นตันขึ้นมา นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้เห็นรอยยิ้มสดใสแบบนี้ ดวงตาที่เปล่งประกาย สายตาคู่นั้นที่มองผมพร้อมกับรอยยิ้มที่มอบให้

            "ก็พี่มันคนดังน่ะนะ"

            "ไม่ถ่อมตัวหน่อยเหรอครับ"

            "คนเราต้องหัดรู้จักยอมรับความจริง"

            "เพิ่งรู้ว่าพี่เป็นคนแบบนี้"

            "ก็แบบนี้แหละ แล้วเราคิดว่าพี่เป็นคนแบบไหน"

            ไอ้ดื้อตอบ แต่ผมไม่ได้ยินว่าน้องพูดว่าอะไร มันเป็นเสียงพึมพำที่เบามาก คล้ายกับอีกฝ่ายอยากกระซิบบอกใครสักคนที่ไม่ใช่ผม

            "อะไรนะ"

            "หล่อคร้าบ เป็นคนหล่อ" ตอบแล้วหันหน้าหนี จะใช่คำตอบเดียวกับที่พูดก่อนหน้านี้หรือเปล่าผมไม่รู้ แต่พอถูกชมแม้อีกฝ่ายอาจจะอยากกวนประสาทกันมากกว่ามันก็อดยิ้มไม่ได้

            ยื่นมือออกไปหวังจะลูบหัวคนที่เพิ่งเบือนหน้าหนีกัน ผมรู้ดีว่าตอนนี้คนคนนี้รู้สึกยังไง ทุกการกระทำที่แสดงออก ทั้งสายตาและคำพูด การพบเจอกันครั้งที่สามคือจุดเริ่มต้นของความรู้สึกที่ชัดเจนขึ้น ความรู้สึกที่ครั้งนั้นทำให้ผมเริ่มเข้าใจ ว่าเพราะเหตุใดอีกฝ่ายถึงไม่กล้าสบตา

            "กาล"

            มือที่ยื่นออกไปชะงักก่อนดึงกลับ ผมหันไปมองแม่ที่เข็นรถผ่านมา ก่อนหันกลับไปมองคนข้างๆ ที่เผลอหันมาสบตากันก่อนอีกฝ่ายจะเบือนหนีอีกครั้ง

            "พี่ไปก่อนนะ"

            "ครับ"

            วางมือลงบนผมสีช็อกโกแลตอย่างอดไม่ไหว ไอ้ดื้อรีบหันกลับมามอง ผมยิ้มให้ ก่อนจะเดินจากมา

            "เพื่อนเหรอ" แม่ถามถึงทันทีเมื่อผมกลับไปหา วางบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสหมูสับแต่คนละยี่ห้อกับเด็กดื้อลงในรถก่อนจะตอบ

            "รุ่นน้องครับ"

            "หน้าคล้ายพุดตานมากเลย เมื่อกี้แม่ตกใจนึกว่าพุดตาน" แม่มองตามไอ้ดื้อที่เดินออกไปอีกฝั่ง

            "แสบกว่าพุดตานเยอะครับคนนี้"

            "วันหลังลองพามาเจอกันสิ"

            "ไว้กาลจะลองชวนครับ"



            ผมกำลังนอนคิดว่าเรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นยังไง มนุษย์เราไม่สามารถจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตได้ทั้งหมด กับช่วงเวลาที่ผมไม่เคยคิดว่ามันจะกลายเป็นสิ่งสำคัญในอนาคตจึงทำให้มันยิ่งดูเลือนราง แต่ก็ใช่ว่าจะจางหายไปทั้งหมดเสียทีเดียว

            หลังจากบังเอิญเจอกันที่ห้างเมื่อตอนกลางวันแล้วจากนั้นเป็นยังไงต่อ จนถึงตอนนี้ผมก็ยังนึกไม่ออก

            นอนเล่นมือถือเข้าทุกโซเชียลมีเดีย ไล่ดูรายชื่อเพื่อนและคนที่ติดตามไว้ รวมถึงเบอร์มือถือ ทว่าทุกช่องทางติดต่อของไอ้ดื้อที่เคยมีกลับหายไปหมด ทุกอย่างหวนกลับสู่จุดเริ่มต้น

            แม้ช่องทางติดต่อเหล่านั้นจะหายไปแต่ผมยังจำได้ ทั้งชื่อ ไอดี กระทั่งเบอร์โทรศัพท์ ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้คิดถึงช่องทางเหล่านี้สักเท่าไร พอเครียดแล้วเหมือนสมองมันตันไปหมด แค่คิดว่าจะแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยังไง จากนี้จะทำยังไงต่อก็รู้สึกเหมือนหัวจะระเบิดทุกที

            กดพิมพ์ตัวอักษรที่ทำได้ขึ้นใจลงไปในช่องค้นหาของเฟซบุ๊ก ในอดีตนั้นไอ้ดื้อเป็นฝ่ายขอเป็นเพื่อนผมก่อน แต่ในเมื่อนี่คือการเริ่มต้นใหม่ จึงไม่จำเป็นที่เรื่องราวจะต้องดำเนินไปตามแบบแผนเดิม และผมไม่ได้ต้องการให้มันเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว

            ชื่อของคนที่กำลังค้นหาโชว์ขึ้นแม้จะยังพิมพ์ไม่ครบทุกตัว นิ้วจิ้มไปที่ชื่อพร้อมกับแจ้งเตือนจากอีกแอปที่เด้งขึ้นมาในจังหวะเดียวกัน

            maearth started following you

            นิ้วเลื่อนจากชื่อที่กำลังค้นหาไปจิ้มที่แจ้งเตือนแบบอัตโนมัติ ใจผมเริ่มเต้นแรง ความทรงจำที่เลือนรางเริ่มชัดเจนขึ้นทีละนิด

            ผมกดติดตามกลับทันที ไล่ดูโพสต์ทั้งหมดที่มีแค่สิบกว่ารูป ส่วนใหญ่เป็นรูปวิวตอนไปเที่ยว ซึ่งผมเคยเห็นมันมาหมดแล้ว

            กดที่รูปสองทีหัวใจใต้โพสต์ก็เปลี่ยนเป็นสีแดง ผมไล่กดไลค์ทุกรูป แจ้งเตือนอีกฝ่ายไปในตัวว่าผมกำลังจะจู่โจม จากนั้นก็กดเข้าข้อความส่วนตัว แต่ยังไม่ทันได้พิมพ์อะไรลงไปก็ถูกไอ้ดื้อตัดหน้าพิมพ์ส่งมาหาเสียก่อน

            'ไม่รู้เลยว่าส่อง'

            'ก็อยากให้รู้ไงว่าส่อง'

            'พี่แม่งน่ากลัวว่ะ'

            มาแล้วสำนวนแบบไอ้ดื้อ ต่อหน้าล่ะพูดเพราะ พอไม่เจอหน้าล่ะเก่งขึ้นมาเลย

            'แม่งเลยนะ'

            'ก็น่ากลัวจริง'

            'เป็นเด็กดีหน่อยดิ'

            'ทำไมผมต้องดีกับพี่อ่ะ'

            อ่านแล้วก็เผลอยิ้ม ไม่โกรธ ไม่มีความขุ่นเคืองเล็กๆ ไม่เหมือนในอดีตที่ถ้าหากคนเด็กกว่าไม่เชื่อฟังผมจะดุทันที ตอนนี้ผมมีความสุขมากจริงๆ ผ่านมาเป็นปีที่เราไม่ได้คุยกัน สำหรับคนที่ชีวิตเหมือนถูกรีเซ็ตใหม่ย่อมจำไม่ได้ แต่สำหรับผม คล้ายกับความทรมานที่แบกไว้มานานมันกำลังค่อยๆ สลายไป

            'แล้วมาฟอลพี่ทำไม'

            'มือไปโดน'

            'เหรอ'

            'ใช่'

            'แต่พี่ตั้งใจฟอลนะ ทุกรูปที่ไลค์ก็ด้วย'

            เว้นจังหวะเพื่อรอผลตอบรับ แต่อีกคนกลับเงียบไปเสียอย่างนั้น

            ผมชักจะรู้สึกเมื่อยปากขึ้นมานิดๆ เพราะหุบยิ้มไม่ได้ เมื่อครั้งอดีตผมออกจะหงุดหงิดเล็กๆ ตอนได้คุย ไอ้ดื้อยั่วโมโหกวนให้ผมอารมณ์เสียได้สำเร็จ แล้วก็แปลกที่ผมดันอยากเอาคืน ทั้งที่จะเลิกคุยไปก็ได้ เป็นเด็กดื้อที่ผมอยากปราบพยศ แต่กลายเป็นผมที่โดนปราบซะเองในตอนสุดท้าย

            'เงียบ'

            'ก็ไม่มีอะไรจะคุยแล้วไง'

            'ให้จริง'

            รู้ว่าโกหก ไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรจะคุยหรือไม่อยากคุย สำหรับไอ้ดื้อเจอผมพุ่งเข้าใส่ขนาดนี้ไม่มีทางที่จะไม่เขิน ไม่อย่างนั้นคงกล้าสบตาผมตรงๆ แล้ว

            'พี่ว่างเหรอ'

            'แล้วเราไม่ว่างเหรอ'

            'กวนอ่ะ'

            'ไม่กวนๆ'

            'หมายถึงกวนตีนเว้ย'

            จากที่ยิ้มเฉยๆ กลายเป็นหัวเราะ อีกฝ่ายเองก็น่าจะกำลังยิ้มแก้มแตกอยู่เหมือนกัน

            'พรุ่งนี้จะทำอะไร มีแผนไปไหนมั้ย'

            'ถามทำไมอ่ะ'

            'ก็แค่อยากรู้'

            'นัดเพื่อนไว้'

            'ที่ไหน'

            'พี่จะอยากรู้ไปทำไม'

            'ก็แค่อยากรู้ไง'

            'ไม่บอก'

            'โอเค'

            ไม่บอกก็ไม่บอก เพราะถึงไม่บอกผมก็รู้อยู่แล้วว่าพรุ่งนี้ไอ้ดื้อจะไปไหน

            'แล้วเจอกัน'

            '?'

            ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปอีก รู้ด้วยว่าไอ้ดื้อไม่มีทางถามต่อเพราะยังอยู่ในช่วงวางฟอร์ม อยากรู้ให้ตายแต่ต้องทำเป็นนิ่งเอาไว้ก่อน แสดงความรู้สึกออกมาให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ได้ แต่ไม่ควรมากเกินความจำเป็น



tbc


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสาม__[11/01/63]
« ตอบ #9 เมื่อ: 11-01-2020 20:33:43 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ kratai_rabbit

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสาม__[11/01/63]
«ตอบ #10 เมื่อ11-01-2020 20:55:08 »

ติดตามมค่าา :mew1:

ออฟไลน์ Chucream.nabi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสาม__[11/01/63]
«ตอบ #11 เมื่อ11-01-2020 23:37:47 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

เรื่องของกาลต้องน่ารักแน่ๆ...ถึงจะมีแววมาม่านิดนึงก็เถอะ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสาม__[11/01/63]
«ตอบ #12 เมื่อ12-01-2020 18:54:42 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

แหม่...อาคุณแม่

แค่เห็นหน้า(ว่าที่)ลูกสะใภ้   

ก็บอกให้ลูกชายพาไปดูตัวที่บ้านเลยนะ  อิอิ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสาม__[11/01/63]
«ตอบ #13 เมื่อ12-01-2020 21:39:13 »

รอติดตามค่ะ  :mew1:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสาม__[11/01/63]
«ตอบ #14 เมื่อ13-01-2020 01:31:38 »

อยากรู้จุดเปลี่ยนเลย TT

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5
Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสี่__[18/01/63]
«ตอบ #15 เมื่อ18-01-2020 21:24:50 »


กาลครั้งสี่


          ที่บอกว่า 'แล้วเจอกัน' ผมไม่ได้พูดเล่น สยามสแควร์วันชั้นสี่ เวลาบ่ายสามนิดๆ ไอ้ดื้อกับเพื่อนอีกสามคนกำลังเพลิดเพลินกับอาหารที่ไม่รู้ว่าเป็นมื้อไหนของวัน ผมยืนอยู่หน้าร้าน มองไม่เห็นหรอกว่าข้างในมีใครอยู่บ้าง แต่ที่รู้เพราะความทรงจำในอดีตบอกมา

          ในสถานการณ์นี้เมื่อราวๆ หนึ่งปีที่แล้วผมไม่ได้ยืนอยู่ที่นี่ ตอนนั้นยังไม่มีความพิศวาสเด็กดื้อคนนี้มากมายนัก เป็นคนประเภทหล่อไม่ชอบเลือก ทักมาก็คุย ไอ้ดื้อเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ผมสนใจเลยยอมคุย แต่ก็เลิกนิสัยแบบนั้นไปนานแล้ว

          หลังจากรู้ช่องทางติดต่อกันผมมักจะถูกอีกฝ่ายทักมาชวนคุยบ่อยๆ แต่จะเรียกว่าคุยก็ไม่ถูกนัก ต้องบอกว่าไอ้ดื้อชอบมาเล่าเรื่องต่างๆ หรือมาอวดนั่นอวดนี่กับผมถึงจะถูก เป็นคนที่ในแชตค่อนข้างเก่งต่างกับตัวจริง ผมก็ตอบกลับไปตามประสาหนุ่มฮอตมารยาทดี ความรู้สึกตอนนั้นคุยกับไอ้เด็กนี่ก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไร เรื่องที่นัดเจอเพื่อนวันนี้อีกฝ่ายก็เอามาเล่าให้ฟังเหมือนกัน

          ผมไม่รู้ว่าไอ้ดื้อกับเพื่อนนั่งโต๊ะไหน จะให้เดินเข้าไปมองหามันก็จะดูโรคจิตเกินไปหน่อย จึงเลือกที่จะยืนรออยู่ด้านนอกแทน นานเข้าหน่อยเลยลองทักไปหาเล่นๆ

          'อยู่ไหน'

          นิสัยไอ้ดื้อไม่ค่อยชอบเล่นมือถือเวลาอยู่กับเพื่อน ทักไปก็ไม่รู้ว่าจะตอบมั้ย แต่จังหวะที่ผมเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอประตูร้านก็เปิดออกพอดี

          ริมฝีปากยกยิ้มอัตโนมัติ ไอ้ดื้อมองผมตาค้าง แต่เพื่อนอีกสามคนที่มาด้วยกันดูเหมือนจะอึ้งกว่า

          "อ้าว น้องเอิร์ธ" ทักด้วยเสียงสองจากระยะห่างหลายเมตร ถ้าไอ้ลิขิตได้ยินมันต้องด่าผมตอแหลแน่ๆ

          ทั้งกลุ่มหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เป็นกลุ่มที่ผมไม่คุ้นหน้าใครสักคน เพื่อนสนิทของไอ้ดื้อที่ผมพอจะรู้จักไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะเวลาของไอ้ดื้อย้อนกลับ เลยมีแค่น้องที่ต้องกลับมาใช้ชีวิตเป็นเด็กปีหนึ่งอีกรอบ และเพื่อนทุกคนที่อยู่ที่นี่คือคนที่เรื่องราวแปลกประหลาดเลือกมาใส่ความทรงจำใหม่ให้

          เพราะอีกฝ่ายมัวแต่ลีลาผมเลยเดินเข้าไปหา ทั้งกลุ่มยกมือไหว้ทักทายคงเพราะไม่รู้จะทำยังไงกับบรรยากาศน่ากระอักกระอ่วนนี้ ไม่น่าแปลกใจเท่าไรที่ทุกคนจะรู้จักผม ถ้าไม่ใช่เพราะผมดัง ก็คงมาจากเด็กดื้อหนึ่งเดียวที่ไม่ได้ยักมือไหว้คนนี้

          "พี่กาลมาทำอะไร" ถามไปคิ้วขมวดไป เสียงอ้อมแอ้มไม่เต็มปากเต็มคำ

          "ก็หามาเอิร์ธไง"

          "มาหา... ได้ไง" เจ้าเด็กตรงหน้างงหนัก กลุ่มเพื่อนข้างหลังยิ่งงงกว่า คงอยากหันไปซุบซิบกันเต็มแก่แต่ทำไม่ได้

          "ก็เมื่อวานบอกแล้วไงว่าเจอกัน"

          "พี่ตามมาเหรอ"

          "ไม่ได้บอกสถานที่ใครจะตามมาถูก"

          "แล้วรู้ได้ไง"

          เครื่องหมายคำถามแปะอยู่กลางหน้าผากคู่สนทนา ไอ้ดื้อขมวดคิ้วไม่เลิก มองผมด้วยสายตาหวาดระแวงคล้ายกับตอนที่ผมบุกไปหาที่บ้าน ทั้งตลก ทั้งน่าเอ็นดู

          "ก็แค่บังเอิญ"

          บอกแล้วยังทำหน้าไม่เชื่อ แต่ไม่เชื่อก็ถูกแล้ว เพราะเรื่องไอ้เรื่องประหลาดที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความบังเอิญเลยสักนิด

          "ไม่เชื่อเหรอ"

          "เชื่อก็ได้"

          "พี่นัดเพื่อนแถวนี้ เดินเล่นรอมัน แล้วก็มาเจอเรานี่ไง"

          ไอ้ดื้อพยักหน้ารับ แต่จะยอมเชื่อจริงหรือเปล่าผมไม่รู้

          ใจอยากประวิงเวลาเพื่ออยู่ด้วยกันให้นานอีกสักนิด แต่ถ้าทำแบบนั้นมันจะผิดสังเกต ถ้าไอ้ดื้อไม่ได้มากับเพื่อนผมคงลักพาตัวไปเดินเล่นด้วยกันแล้ว ส่วนตอนนี้คงต้องปล่อยตัวไปก่อน แค่มาป่วนพอเป็นพิธี

          "งั้นพี่ไปก่อนนะ" ยิ้มบอกลาแล้วเดินจากมา

          ผมไม่ได้หันกลับไปมองข้างหลัง ไม่ได้รอให้อีกฝ่ายบอกลากลับ แต่ก็เดาได้ไม่ยากหรอกว่าเหตุการณ์หลังจากผมเดินออกมาแล้วจะเป็นยังไง

          หากจำลองเหตุการณ์เมื่อครู่เป็นฉากหนึ่งในหนังรัก อยู่ๆ รุ่นพี่สุดหล่อคนดังที่เพื่อนแอบชอบก็เข้ามาคุยกับเพื่อนคุณอย่างสนิทสนม ในฐานะที่เป็นเพื่อนสนิทคุณจะทำยังไง ถ้าเป็นผู้หญิงคงพากันกรี๊ด กับผู้ชายแล้วอาจไม่ได้แสดงออกมากมายอะไร แต่ไม่ว่าจะหญิงหรือชายคงโดนเพื่อนซักจนขาวไม่ต่างกันว่าแอบไปทำความรู้จักกันตอนไหน

          ผมรอเวลาที่ไอ้ดื้อจะมาโวยวายในแชตอย่างใจจดใจจ่อเลย



          ‘สรุปแอบตามมาจริงๆ ใช่มั้ย’

          อีกหนึ่งชั่วโมงให้หลังไอ้ดื้อก็ทักมา หรืออาจจะตอบคำถามที่ผมถามไว้ก่อนหน้านี้ แต่เป็นการตอบด้วยคำถามอีกที

          ‘ใครตาม’

          ‘ยอมรับมา ทักมาก่อนแล้วก็เจออยู่หน้าร้าน จะให้คิดว่าไง’

          ‘ก็ไม่ต้องคิดอะไร’

          ‘ผมจริงจังนะพี่กาล พี่ทำตัวเหมือนสตอล์กเกอร์อ่ะ’

          ‘ขนาดนั้นเลย’

          ‘ยังต้องให้บอกอีกเหรอ’

          จริงๆ ไม่ต้องบอกผมก็รู้ตัว เล่นตามขนาดนี้ใครไม่รู้สึกตัวก็แปลกแล้ว

          ‘ตอนนี้อยู่ไหน แยกกับเพื่อนแล้วเหรอ’

          ผมเลือกที่จะไม่ตอบ หมายถึงยังไม่ตอบในตอนนี้

          ‘แยกแล้ว พี่ตอบคำถามเมื่อกี้ของผมก่อน’

          ‘กลับหรือยัง’

          ‘กำลังจะกลับ พี่จะไม่ตอบผมจริงดิ’

          ‘อยากรู้ก็มาหาดิ อยู่สตาบัค’

          ‘ได้’

          ผมวางมือถือบนโต๊ะมองความวุ่นวายด้านนอกผ่านกระจกร้าน นึกเอ็นดูเด็กดื้อที่ตอบตกลงทันทีแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง เพราะความสงสัยทำให้ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง

          ไม่กี่นาทีต่อมาผู้ชายผิวขาวหน้าตาดื้อๆ ก็เปิดประตูเดินเข้ามาในร้าน ผมยกมือให้พร้อมรอยยิ้ม อีกฝ่ายหันมามองก่อนเดินหน้าตึงเข้ามาหา จะยิ้มทักทายกันสักหน่อยก็ไม่ได้

          "ไหนพี่บอกนัดเพื่อน" ยังไม่ทันนั่งก็ยิงคำถามใส่ผมเลย

          "กลับกันไปหมดแล้ว"

          "จริงจัง"

          "นั่งก่อนมั้ย"

          ลากเก้าอี้ออกแล้วนั่งลงตามคำบอก มองผมแล้วทำหน้าระแวงไม่เลิกแต่ก็ยังยอมมาหา มันทำตัวขัดแย้งกันนักนะไอ้เด็กคนนี้

          "กินอะไรมั้ย พี่เลี้ยง"

          "ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมซื้อเอง" พูดจบก็ลุกออกไป กลับมาอีกทีพร้อมชาเขียวปั่น

          มองคนตรงหน้าเปิดฝาแก้วตักวิปครีมกินปากผมก็ยกยิ้มอัตโนมัติ มันคิดถึง ทุกสีหน้าท่าทางและการกระทำ แม้จะผ่านมาหลายวันแล้วก็ยังรู้สึกเหมือนกำลังฝันที่เรากลับมาพูดคุยกันได้แบบนี้

          "ชอบชาเขียวเหรอ" ถามทั้งที่รู้อยู่แล้ว ถ้าเป็นเครื่องดื่มต้องชาเชียวเท่านั้น

          "ก็ชอบ เออ พี่ตอบผมเลย ตามมาจริงดิ" เปิดประเด็นเรื่องอื่นได้ไม่ทันไรไอ้ดื้อก็ดึงกลับเข้าเรื่องที่รีบหามาผมทั้งที่กำลังจะกลับบ้านแล้ว

          "ก็บอกว่าไม่ได้ตาม"

          "ใครจะไปเชื่อ จะบอกว่าบังเอิญ?"

          "เราบังเอิญเจอกันกี่ครั้งแล้ว" ผมถามแล้วยิ้มให้ เด็กดื้อที่กำลังจะอ้าปากเถียงก็หลบสายตา แพ้ขนาดนี้เลยนะรอยยิ้มกับสายตาของผม

          "ก็เมื่อวานพี่บอกเจอกัน แล้ววันนี้ดันเจอจริง จะให้คิดว่าไง"

          "บังเอิญนั่นแหละบังเอิญ"

          ไอ้ดื้อยังใช้สายตาไม่ไว้ใจมองผมขณะปิดฝาแก้ว ทำตัวเหมือนจะต่อต้านแต่ไม่เคยผลักไสกันจริงๆ จังๆ สักครั้ง ไม่ว่าปัจจุบันหรืออดีต

          "แล้วถ้าพี่อยากเจอจริงๆ ไม่ได้หรือไง"

          "แบบนั้นน่ากลัวนะ"

          ผมหัวเราะ ไม่ได้อยากให้อีกฝ่ายมีความคิดแบบนี้ แต่ทุกอย่างที่ทำลงไปเป็นเพราะผมอยากทำ อยากสร้างเรื่องราวแบบใหม่ที่คิดว่าดีกว่าเดิม อยากเป็นฝ่ายสารภาพรักก่อนบ้าง อยากรีบเข้าหาและมอบความรู้สึกต่างๆ ที่เก็บมาตลอดเกือบหนึ่งปีให้ แม้จะรู้อยู่แล้วว่าการขยับสถานะของเราตอนนี้มันยังเร็วไป

          ไอ้ดื้อเหลือบมองผมหลายครั้ง น่าหวั่นใจอยู่บ้างที่ไม่สามารถรู้ได้ว่าเหตุการณ์ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรเพราะผมไม่ได้เลือกที่จะเดินตามเนื้อเรื่องเดิม แต่การเขียนเรื่องราวใหม่ขึ้นมามันก็น่าสนุกกว่าเป็นไหนๆ แทนที่จะมัวแต่กังวลกับอดีต สู้เผชิญหน้ากับสิ่งที่ยังไม่เคยเกิดดีกว่า

          "เนี่ย ทำตัวแบบนี้จะคิดว่าพี่ชอบผมแล้วนะ" พูดโดยที่ไม่ยอมมองหน้า แต่กล้าพูดขนาดนี้ความหวาดกลัวที่มีต่อผมคงลดลงเยอะแล้วสินะ

          ในอดีตคำพูดแบบนี้ไม่เคยออกมาจากปากไอ้ดื้อเลยสักครั้ง ประโยคเดียวที่ผมมักถูกถามซ้ำๆ คือ ‘พี่ชอบผมบ้างหรือยัง’ แต่ผมไม่สามารถให้คำตอบได้

          กลับกันการที่ไอ้ดื้อกล้าถามออกมาแบบนี้คือการแสดงออกถึงสัญญาณที่ดี และมันทำให้ผมอารมณ์ดีมากๆ มากจนไม่อยากบังคับริมฝีปากที่ทำท่าจะยกยิ้มตลอดเวลาให้กลับมาเหยียดตรง แต่ถ้าปล่อยให้ยิ้มค้างนานๆ เดี๋ยวจะโดนหาว่าเป็นบ้าเอา

          "แล้วชอบไม่ได้เหรอ"

          "ผมไม่เล่นนะ" สวนกลับมาทันที รู้ว่าไม่เล่น ผมก็ไม่คิดจะเล่นเหมือนกัน

          "ตอนนี้ก็คุยๆ กันไปก่อนแล้วกัน"

          "ฮะ"

          "ฮะอะไร"

          "คือแบบไหนอะไรยังไง" ทำหน้างงหนักถามกลับมา ผมคงรุกเร็วเกินไป

          "มีแฟนหรือยัง"

          ไอ้ดื้อส่ายหน้าตอบ ทำหน้านิ่งจ้องกลับมาแต่หูแดงแป๊ด

          "เหมือนกัน"



          เราออกจากร้านอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา บทสนทนาที่ชวนให้ใจเต้นจบลงเพียงเท่านั้นเมื่อไอ้ดื้อไม่ถามอะไรผมต่อ คล้ายกับต่างคนต่างรู้และปล่อยให้มันเป็นไปตามความรู้สึกที่ควรจะเป็น

          จากสตาร์บัคส์เดินมานิดเดียวก็ถึงสถานีรถไฟฟ้า เราขึ้นรถไฟขบวนเดียวกัน ผมลงสุดสายและต้องต่อรถอีกหลายต่อ ส่วนไอ้ดื้อลงระหว่างทาง

          ช่วงเย็นของวันหยุดแบบนี้ในขบวนรถนั้นอัดแน่นไปด้วยผู้คน ผมเดินนำไอ้ดื้อเข้ามาด้านในจะได้ไม่ขวางทางคนอื่น จับห่วงไว้คนละอันหันหน้าเข้าหากัน

          "พรุ่งนี้ว่างมั้ย"

          "ก็ว่าง ทำไมอ่ะ"

          "จะชวนไปกินข้าว"

          "ต้องเจอกันทุกวันเลยเหรอ"

          "ไม่อยากเจอ?"

          "เปล่า" ตอบแล้วหลบตา คนชอบสบตาคู่สนทนาอย่างผมก็พยายามจ้องเข้าไปสิ

          "เดี๋ยวไป..." เกือบจะหลุดปากออกไปแล้วว่าจะไปรับ ลืมไปว่าลิขิตมันเอารถไปใช้ แล้วเมื่อไรจะกลับมาก็ไม่รู้ คนขยันออกจากบ้านอย่างผมก็ลำบากไปสิ

          "วันจันทร์ได้มั้ย ออกจากบ้านทุกวันแม่บ่น"

          วันนี้วันเสาร์ ถ้างั้นจะเว้นให้วันอาทิตย์หยุดอยู่บ้านหนึ่งวันก็ได้

          "ได้ดิ"

          "โอเค เจอกันที่ไหนดี"

          "เดี๋ยวพี่นัดอีกทีแล้วกัน"

          "ครับ"

          เวลาที่รถใช้วิ่งผ่านสองสถานีช่างแสนสั้น ผมยิ้มให้ยกมือโบกลา ไอ้ดื้อยิ้มตอบ โบกมือกลับแบบเขินๆ ก่อนหันหลังเดินไปที่ประตู ก้าวออกไปโดยไม่หันมามองกันอีก แล้วประตูรถไฟฟ้าก็ปิดลง

         

          กว่าผมจะถึงบ้านท้องฟ้าก็เปลี่ยนสี พิมพ์บอกใครบางคนที่ไม่ได้คุยกันอีกเลยตั้งแต่แยกกันบนรถไฟฟ้าว่าถึงบ้านแล้ว นับแล้วมันก็แค่ประมาณสองชั่วโมง แต่ห่างกันแค่นี้ก็ทำให้ผมคิดถึงได้ เมื่อไรจะกอดเด็กดื้อได้สักทีก็ไม่รู้

          กินมื้อเย็นที่แม่ทำไว้เสร็จเรียบร้อยผมก็ขึ้นห้องนอน นั่งพิงหัวเตียงเล่นมือถือรอคนมาตอบแชต จะว่าไปยังไม่ได้ขอไลน์กับเฟซบุ๊กเลย แม้ความจริงไม่จำเป็นต้องขอเพราะผมจำได้ แต่ถ้าแอดไปเลยจะโดนมองน่ากลัวอีกมั้ย ประเด็นนี้ค่อนข้างน่าคิด

          งั้นเอาไว้ขอก่อนค่อยแอดไปก็แล้วกัน

          มือถือสั่นพร้อมกับแจ้งเตือนจากแอปสีเขียวที่เด้งมาด้านบนทำผมดีใจเก้อนึกว่าคนที่รอตอบกลับมา ที่ไหนได้ดันเป็นคำทักทายจากพี่ชายฝาแฝด อีกอย่างผมยังไม่มีไลน์ไอ้ดื้อเลย จะคิดว่าน้องไปหาไลน์ผมมาได้แล้วแอดมาก็ไม่มีทางเป็นไปได้เหมือนกัน ในเมื่อตอนนี้คุยกันทางไอจีมันสะดวกกว่า

          ‘เป็นไงบ้าง หายเครียดยัง’

          ‘ก็ดี วันนี้ก็ไปเจอกันมา’

          ‘เรื่องแปลกประหลาดของมึงอ่ะเหรอ’

          ‘ก็เออดิ’

          ‘โอเคใช่มั้ย’

          ‘มั้งนะ’

          ‘ทำไมมั้ง‘

          ‘ก็มันเพิ่งเริ่มต้น กูยังไม่รู้เลยว่าจะจบยังไง’

          ‘เดี๋ยวมันจะค่อยๆ ดีขึ้น เชื่อกู’

          ผมเชื่ออยู่แล้วเพราะยังไงลิขิตมันก็เป็นผู้มีประสบการณ์ตรง แต่จะดีกว่านี้ถ้ามันยอมเล่ารายละเอียดเรื่องของมันให้ผมฟังบ้าง ถึงมันจะบอกว่าผมเคยจำได้ก็เถอะ และจะยิ่งดีกว่านี้ถ้าไอ้ดื้อตอบข้อความผมสักที

          ‘ที่บ้านสวนเป็นไง’

          ‘สนุกดี แต่มาแต่ละทีไม่เคยได้กินผลไม้ดีๆ เลยว่ะ มีแต่กล้วย’

          ‘มึงไปผิดช่วงเอง’

          ‘แต่ได้อยู่กับพุดกูก็มีความสุขละ’

          พิมพ์บอกไม่พอมันยังส่งรูปมาให้ผมอิจฉาเล่นๆ ด้วย พุดตานยิ้มกว้างอยู่กับน้องโบตั๋น ติดเสี้ยวหน้าลิขิตมาด้วยนิดหน่อย ท่าทางมีความสุขกันดี เห็นแล้วก็นึกถึงเด็กดื้อของตัวเอง อีกไม่นานผมกับเอิร์ธคงได้ถ่ายรูปด้วยกันแบบนี้บ้าง

          ‘มึงจะกลับวันไหน’

          คิดถึงรถเลยต้องถาม กับคนที่ขับรถไปไหนมาไหนตลอดอย่างผมพอไม่มีรถแล้วมันโคตรลำบาก

          ‘วันศุกร์หน้า’

          ‘พุดกลับด้วยมั้ย’

          ‘ไม่ๆ กูกลับคนเดียว’

          ‘เออดี รีบๆ กลับมากูอยากใช้รถ มึงเอาไปก็ไปจอดไว้เฉยๆ ปะ น่าจะทิ้งไว้ให้กู’

          ‘กูก็ขับพาพุดกับน้องโบไปเที่ยวอยู่นะ’

          กำลังจะพิมพ์ตอบกลับไปว่า ‘กูก็อยากขับรถพาไอ้ดื้อไปเที่ยวเหมือนกัน’ แต่พอเห็นชื่อคนที่รอแจ้งเตือนขึ้นมาก็เปลี่ยนใจ เถียงกับมันไปเดี๋ยวยาวเลยตอบกลับไปแค่ว่า ‘เออ’ เป็นอันจบการสนทนาของเราสองพี่น้อง

          ออกจากไลน์รีบกดเข้าข้อความส่วนตัวในไอจี เป็นการตอบกลับที่คงความกล้าหาญไม่เหมือนเวลาอยู่ต่อหน้า ที่แม้แต่สบตาตรงๆ ยังทำไม่ได้

          ‘ต้องรายงานด้วยเหรอ’

          ไม่รู้ว่าตั้งใจกวนหรือถามให้เข้าใจตรงกันเพื่อความสัมพันธ์ที่ดีในอนาคต แต่ผมคิดว่าน่าจะเป็นอย่างแรกมากกว่า

          ‘ทำอะไรอยู่ ทำไมเพิ่งตอบ กลับถึงบ้านแล้วใช่มั้ย’

          ‘มาเป็นชุดเลย กลับถึงนานแล้ว พอดีเล่นเกมอยู่’

          ประโยคที่พิมพ์ตอบกลับมาอาจจะดูเหมือนไม่ค่อยใส่ใจ แต่เชื่อเถอะว่าไอ้ดื้อกำลังยิ้มอยู่แน่ๆ

          ‘เกมอะไร’

          ‘พับจี เล่นด้วยกันมั้ย’

          ‘ไม่อ่ะ’

          ไอ้ดื้อยังชอบเล่นเกมเหมือนเดิม ส่วนผมก็ยังเป็นคนที่เล่นเกมไม่ได้เรื่องเหมือนเดิม เคยลองแล้วแต่ไม่รอดเลยล้มเลิกมันไปซะให้สิ้นเรื่อง

          ‘งั้นไปก่อนนะเพื่อนรออยู่ ดึกๆ เดี๋ยวมาคุย ถ้าพี่กาลไม่หลับก่อน’

          ‘ครับ’

          ถ้าบอกว่าดึกรับรองว่าผมหลับก่อนทุกที ในอดีตผมไม่เคยใส่ใจและไม่เคยคิดจะรอ ปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นคนไล่ตามตลอด แต่ครั้งนี้ผมจะเป็นฝ่ายไล่ตามเอง

          กดเข้าหน้าโฮมเห็นสตอรี่ของคนที่เพิ่งคุยกันก็กดเข้าไปดู เวลาขึ้นว่าเพิ่งลงเมื่อหนึ่งนาทีที่แล้ว เป็นภาพแชตที่ไม่เห็นรูปโปรไฟล์กับชื่อของคู่สนทนา แต่บทสนทนานี้ผมรู้ดีว่าเป็นของใคร

          ‘มีคนมารายงานตัว’

          กล้าอวดคนอื่นแล้วสินะ เรื่องของผมคนนี้ที่ในอดีตไม่เคยได้อวดใคร


tbc.


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า


ออฟไลน์ Chucream.nabi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสี่__[18/01/63]
«ตอบ #16 เมื่อ18-01-2020 21:46:10 »

 :-[ :-[ :-[

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสี่__[18/01/63]
«ตอบ #17 เมื่อ19-01-2020 00:54:13 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสี่__[18/01/63]
«ตอบ #18 เมื่อ19-01-2020 02:19:25 »

เอาใจช่วยพี่กาล

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5
Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งห้า__[02/02/63]
«ตอบ #19 เมื่อ02-02-2020 19:36:10 »


กาลครั้งห้า


            ในอดีตผมไม่เคยนัดไอ้ดื้อออกมากินข้าว ไม่ค่อยได้ชวนออกไปไหนด้วยกัน มักจะเป็นอีกฝ่ายมากกว่าที่เอ่ยปาก แน่นอนว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะทำให้เรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นเปลี่ยนไปอย่างมาก กับอนาคตที่ผมไม่คิดจะวางแผนการเดินระหว่างทางเอาไว้ ปล่อยให้ใจทำในสิ่งที่ต้องการแต่นั่นต้องอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสมกับสถานะปัจจุบันของเรา

            การนัดเจอกันแบบส่วนตัวครั้งแรก หรือจะเรียกว่าเดทครั้งแรกของเราก็ได้ มันไม่ได้ดูยิ่งใหญ่หรือหรูหราอะไรนัก ผมให้ไอ้ดื้อเป็นคนเลือกร้าน แล้วดูน้องมันเลือกมา แต่จะว่าไปก็เหมาะกับเราทั้งคู่ดี

            ศูนย์อาหารเจ้าประจำของผม หรือก็คือร้านที่เราเจอกันครั้งแรก

            "พี่กาลจะกินอะไร"

            เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากกับการเลือกเมนูจากหนึ่งในสิบร้านไม่ต่างกับเวลายืนเลือกของกินในเซเว่น แต่ร้านประจำของผมก็มีแค่ไม่กี่ร้าน ถ้าหากเป็นไอ้ดื้อคนในอดีตน้องต้องเดาถูกแน่ๆ ว่าผมอยากกินอะไร

            "ตามสั่งมั้ง คงคะน้าหมูกรอบ เอิร์ธจะกินอะไร"

            "ผมอยากกิน..."

            "ข้าวมันไก่ทอด" แย่งตอบเพราะอยากอวดให้อีกฝ่ายรู้ว่าผมน่ะรู้ใจเขาขนาดไหน

            ไอ้ดื้อทำตาโตใส่ ผมยักคิ้วกลับไปให้ สำหรับศูนย์อาหารที่นี่เมนูโปรดของน้องคือข้าวมันไก่ทอด โดยเฉพาะน้ำซุปที่โปรดปรานเป็นพิเศษ ชอบถึงขนาดพูดให้ผมฟังทุกครั้งที่แวะมากิน

            "พี่รู้ได้ไง"

            "เคยเห็นซื้อ"

            "เห็นด้วยเหรอ เราเคยเจอกันที่นี่แค่สองครั้งเองนะ"

            "จำได้ด้วยว่าเจอกันกี่ครั้ง"

            "ก็แล้วทำไมจะจำไม่ได้"

            "พี่ก็เลยจำได้เหมือนกันไง" ผมยิ้มให้ โมเมเอาว่าประโยคก่อนหน้านี้ของไอ้ดื้อคือความใส่ใจ แม้มันจะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่อยากจำยังไงก็ต้องจำได้อยู่ดีก็เถอะ

            "ไม่เห็นจะเกี่ยว" พึมพำแล้วหลบตา เมื่อไรกันที่ไอ้ดื้อเริ่มกล้าสบตาผมตรงๆ ถ้าเป็นในอดีต ก็คงหลังจากคืนนั้นล่ะมั้ง

            "เกี่ยวดิ ปกติเราก็มาที่นี่กันประจำ ต้องมีเจอกันบ้าง" แกล้งพูดให้อีกฝ่ายร้อนตัวเล่นๆ

            "หรือว่าพี่เป็นสตอล์กเกอร์จริงๆ เจอผมที่นี่บ่อยๆ แล้วก็ตามไปที่บ้าน ที่รู้ชื่อก็เพราะสืบข้อมูลมาแล้วอย่างดี น่ากลัวอ่ะ" แม้จะทำหน้าเลิ่กลั่กแต่ไอ้ดื้อก็ยังแก้ตัวได้

            "ไปกันใหญ่แล้ว แค่เดาเฉยๆ"

            "ก็พี่พูดให้คิด"

            "งั้นพี่ถามบ้าง ก่อนหน้านี้เราไม่เคยเห็นพี่บ้างเหรอ"

            "แล้วพี่เคยเห็นผมมั้ยล่ะ"

            "ไม่"

            "ผมก็เหมือนกัน"

            "โอเค"

            ผมไม่ตื๊อต่อเพราะรู้นิสัยอีกฝ่ายดี ถ้าไม่อยากบอกให้ตายยังไงก็ไม่ยอมบอก ผมไม่รู้ว่าความทรงจำก่อนเจอกันถูกเขียนใหม่ให้เป็นยังไง แต่ในอดีต วันนั้นที่เราเจอกัน ไม่ใช่วันแรกที่ไอ้ดื้อรู้จักผม

            "งั้นเราแยกกันไปซื้อแล้วมานั่งโต๊ะนี้นะ"

            ผมนัดแนะ ไอ้ดื้อพยักหน้ารับ ก่อนเราจะแยกกันไปยังร้านโปรดของตัวเอง



            การได้นั่งมองคนที่รักกินข้าวเป็นอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมมีความสุข นานแล้วที่ผมไม่ได้เห็นไอ้ดื้อดูเจริญอาหารขนาดนี้ ปากที่กำลังเคี้ยวตุ้ยๆ สีหน้ามีความสุขตอนได้ซดน้ำซุป เห็นแล้วผมอยากจะเหมาข้าวมันไก่ให้ทั้งร้าน

            "กินข้าวมันไก่บ่อยๆ ไม่เบื่อเหรอ"

            ได้ยินคำถามคนที่กำลังมุ่งมั่นกับการแบ่งสัดส่วนไก่กับข้าวให้พอดีคำก็เงยหน้าขึ้นมอง

            "รู้ได้ไงว่ากินบ่อย"

            "เดาเอา" ก็แต่ก่อนเห็นบอกว่ากินทุกอาทิตย์ขนาดนั้น

            "ไม่เบื่อ มันอร่อยนะ พี่กาลยังไม่เคยกินเหรอ"

            "ไม่อ่ะ"

            "งั้นคราวหน้าต้องลอง"

            "ได้ครับ" ไม่จำเป็นต้องขยายความเพิ่ม หมายความว่าครั้งหน้าเราจะมากินข้าวมันไก่ด้วยกัน

            "แล้วปกติพี่กินแต่ตามสั่งเหรอ"

            "ไม่อ่ะ ก็เปลี่ยนบ้าง บางที่ก็ซื้อไปฝากลิขิตมันด้วย"

            "ลิขิต?" ทำเป็นเลิกคิ้วทำหน้าสงสัย

            "พี่ชายฝาแฝด"

            "อ๋อ พี่เหนือ เคยเห็นในเพจ ในไอจีพี่กาลก็มี แต่หน้าตาไม่เห็นเหมือนกัน" ข้ออ้างที่ว่ารู้จักจากเพจมอยังถูกนำมาใช้อย่างต่อเนื่อง แต่ถึงขั้นเรียกลิขิตว่าพี่เหนือเนี่ย

            "เรียกมันว่าพี่เหนือ แล้วไม่เรียกพี่ว่าน้องเหนือบ้างล่ะ" อีกหนึ่งเรื่องแปลกในมหา'ลัยคือเพื่อนจะเรียกผมกับลิขิตว่าเหนือ แต่เพื่อไม่ให้เป็นการสับสนเลยใส่พี่กับน้องนำหน้า กลายเป็นพี่เหนือกับน้องเหนือ ทั้งที่เรียกว่าลิขิตกับกาลน่าจะง่ายกว่าแท้ๆ

            "เรียกได้เหรอ"

            "ก็แล้วแต่"

            เหลือบตามองแล้วก้มหน้า ตักน้ำซุปกินแล้วอมยิ้ม ทำหน้าแบบนี้ต้องวางแผนร้ายไว้ในใจแล้วแน่ๆ เป็นเด็กดื้อที่ทำเป็นกลัวแต่ในอดีตกลับเรียกผมว่าน้องเหนือตั้งหลายครั้ง พอโดนดุก็ทำเป็นหงอ

            "เอิร์ธ หอพี่อยู่แถวๆ นี้ ว่าจะแวะไปเอาของ ไปด้วยกันหน่อยดิ" เห็นข้าวในจานใกล้หมดผมก็ชวน หลังจากกินข้าวเสร็จเรายังไม่ได้คุยกันว่าจะทำอะไรต่อ แต่ผมน่ะมีแผนอยู่ในใจ

            "ทำไมผมต้องไปอ่ะ"

            "ไปด้วยกันหน่อย เพิ่งเจอกันเอง จะกลับแล้วเหรอ"

            "ก็เปล่า"

            "งั้นไปนะ"

            "จะล่อลวงกันจริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย"

            "คิดไปนู่น"

            "เอ้า! ก็อยู่ๆ มาชวนไปหอ พี่กาลโคตรน่ากลัวเลยรู้ตัวเปล่า ตอนไปที่บ้านก็ครั้งนึงละ" เด็กดื้อเริ่มแผงฤทธิ์ เวลาเถียงเนี่ยไม่กลัวที่จะสบตาผมเลย

            "น่ากลัวแต่เราก็ยอมออกมาด้วยอ่ะนะ"

            "ก็..." เถียงไม่ออกเพราะคือความจริง

            "ไปเถอะพี่ไม่ทำอะไรหรอก เสร็จแล้วไปสวนกัน"

            "สวนเหรอ"

            "ใกล้ๆ หอมีสวนสาธารณะ ไปนั่งเล่นกัน" บอกแล้วว่าผมวางแผนมา วันนี้จะกักตัวไว้ทั้งวันเลย

            "แล้วจะกลับกี่โมงอ่ะ"

            "ห้าหกโมงก็ได้ เดี๋ยวนั่งแท็กซี่ไปส่ง" ชีวิตตอนไม่มีรถขับมันก็ลำบากแบบนี้ คิดแล้วก็อยากให้พ่อออกรถคันใหม่ให้พรุ่งนี้เลย คันเก่าก็ยกให้ลิขิตมันไป

            คนตรงหน้าแอบขำ ต้องเป็นเรื่องที่ผมบอกจะนั่งแท็กซี่ไปส่งแน่ๆ แต่สุดท้ายก็ยอมพยักหน้าตกลง

           

            จากศูนย์อาหารมาหอผมใช้เวลาไม่กี่นาที จ่ายค่าแท็กซี่ลงรถได้ไม่กี่ก้าวคนที่เดินข้างๆ ก็สะกิด เงยหน้าจากกระเป๋าที่กำลังค้นคีย์การ์ดหันไปมองก็เห็นแบงค์ยี่สิบสองใบยื่นมาให้

            "ค่าแท็กซี่"

            "ไม่เอาอ่ะ"

            "หารกันดิ"

            "ไม่เป็นไร"

            "เอาไปเลย ทอนด้วยห้าบาท" ยัดเงินใส่มือผมแล้วสรุปเอาเอง นิสัยที่ต้องหารทุกอย่างไม่ยอมให้ผมเลี้ยงฝ่ายเดียวยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

            ผมยัดแบงค์ยี่สิบสองใบใส่กระเป๋าไว้ลวกๆ แล้วหยิบเหรียญห้าทอนให้ ได้เงินทอนแล้วก็ยิ้มพอใจ เป็นอีกหนึ่งมุมเล็กๆ ที่ผมชอบ

            สแกนคีย์การ์ดเปิดประตูรอให้ไอ้ดื้อเดินเข้ามาแต่น้องกลับยืนนิ่ง มันยังไงอีก ยังกลัวผมล่อลวงอยู่หรือไง

            "เดี๋ยวผมรอตรงนี้ก็ได้ เอาของแป๊บเดียวใช่มั้ย"

            "ไม่แป๊บอ่ะ น่าจะสักพัก"

            "รอได้"

            "ขึ้นมาด้วยกัน"

            "จะดีเหรอ"

            ดูพูดจาเข้า ผมว่ามันเริ่มกวนตีนแล้ว ไหนจะสีหน้าท่าทางเหมือนคนเขินอายนั่นอีก ใช่คนเดียวกับไอ้คนที่กลัวผมล่อลวงก่อนหน้านี้แน่เหรอ

            "เร็ว" ผมเร่ง ยังไงก็อยากให้ขึ้นไปด้วยกัน ได้กลับมาสถานที่ที่ในอดีตได้มาบ่อยๆ เผื่อจะมีส่วนใดส่วนหนึ่งของความทรงจำที่คุ้นชินขึ้นมาบ้าง

            ก็แค่เศษเสี้ยวเล็กๆ ที่ผมยังหวัง

            ไอ้ดื้อยอมเดินเข้ามา พอมายืนข้างกันแบบนี้แล้วโคตรรู้สึกมันเขี้ยว อยากจะยีผมสีช็อกโกแลตที่เสียฟูจนเหมือนไม้กวาดนี้สักที แต่ก่อนจะได้ลงมือทำอะไรประตูลิฟต์ก็เปิดออก

            ห้องผมอยู่ชั้นสาม ไขกุญแจเข้ามาข้างในเปิดไฟแล้วหันไปดูปฏิกิริยาคนที่พามาด้วย ไอ้ดื้อยังยืนอยู่ตรงประตู กวาดตามองรอบห้องไม่กล้าขยับไปไหนโดยที่ผมยังไม่ได้สั่ง

            "ห้องกว้างจัง"

            "ถอดรองเท้าไว้ตรงนั้นแหละ เข้ามาดิ" พยักพเยิดบอก ผมวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะหน้าประตู ก่อนเดินไปเปิดตู้ครัวกับตู้เย็นว่ามีของกินอะไรเหลืออยู่บ้าง

            ก้มลงเปิดตู้ปุ๊บก็มีเสียงขัดหูดังให้ได้ยิน เป็นนิสัยเสียของไอ้ดื้อที่ในอดีตโดนผมดุอยู่บ่อยๆ

            "อย่าเดินลากเท้า"

            แล้วเสียงนั้นก็หยุดลงทันที

            ผมหันกลับไปมอง ไอ้ดื้อหยุดอยู่ข้างโซฟา มองผมเหมือนเด็กที่ทำอะไรไม่ถูก เหมือนในอดีตตอนมาห้องผมครั้งแรกไม่มีผิด เกรงใจ ไม่รู้จะยืนจะนั่งตรงไหน ยิ่งโดนดุยิ่งทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่

            "นั่งเลย เปิดทีวีก่อนก็ได้"

            หลังจากได้รับคำอนุญาตก็หย่อนตัวนั่งบนโซฟา และทำการมองสำรวจห้องอีกครั้ง

            เห็นแขกเริ่มผ่อนคลายผมก็ค้นของในตู้ต่อ หยิบขนมปังมาดูวันหมดอายุ  เปิดตู้หาแยม ช็อกโกแลต ไส้กรอกที่ซื้อเอาไว้ ไข่ก็ยังมีเหลือ ขาดก็แค่ผักแต่ไม่เป็นไร

            ขนทุกอย่างที่มีอยู่ในตู้มาวางบนโต๊ะ ไอ้ดื้อก็ขมวดคิ้วมองตาม

            "พี่กาลเอาออกมาทำอะไรอ่ะ"

            "ของที่จะเอาไปนั่งเล่นด้วย"

            "ของกินเนี่ยนะ เพิ่งกินกันมา"

            "ว่าจะทำแซนวิชพกไปด้วย"

            "ไปซื้อขนมเอาไม่ง่ายกว่าเหรอ กว่าจะทำเสร็จ"

            "ทำแซนวิชมันยากตรงไหน"

            "พี่กาลทำอะไรแบบนี้เป็นด้วยเหรอ"

            ผมยิ้มให้ ไม่รู้ซะแล้วว่าฝีมือการทำอาหารของผมร้ายกาจขนาดไหน ถ้าได้ลองแล้วจะติดใจ แม้ครั้งนี้จะเป็นแค่แซนวิชง่ายๆ ก็เถอะ

            "ต้องลอง"

            ไอ้ดื้อมองของบนโต๊ะแล้วยิ้มแปลกๆ ตอนนี้น้องอาจจะยังไม่เชื่อใจ ที่ผ่านผมไม่เคยทำอะไรแบบนี้ให้เสียด้วย แต่หลังจากนี้รับรองได้เลยว่าไอ้ดื้อต้องติดใจฝีมือการทำอาหารของผมอย่างแน่นอน

            "มาช่วยกันทำเร็ว" ดึงแขนให้ลุกมาช่วยกัน แต่สายตาน้องยังมองวัตถุดิบบนโต๊ะอย่างไม่ไว้ใจ

            ผมผละออกไปหยิบเครื่องปิ้งขนมปังมาเสียบปลั๊ก เตรียมจานกับพายสำหรับทาแยมมาให้ ใจอยากจะลองทำแซนวิชที่มันอลังการอยู่เหมือนกัน แต่วัตถุดิบที่มีไม่เอื้ออำนวย

            "อยากกินไส้อะไรจัดการเลย"

            "เอาจริงดิ"

            "จริง"

            "จะกินได้ใช่มั้ย" บอกด้วยน้ำเสียงติดระแวง เปิดถุงหยิบขนมปังออกมาหนึ่งแผ่น ถือไว้ในมือแล้วถึงได้หาวันหมดอายุข้างถุง เช็กจนพอใจแล้วก็มาทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่วัตถุดิบอย่างอื่นต่อ

            "จะใช้อะไรหยิบได้เลย" ผมปิ้งขนมปังไปแล้วสองแผ่น ไอ้ดื้อยังลังเลอยู่เลย

            ในบรรดาของกินผมรู้ว่าข้าวมันไก่คือเมนูโปรดของไอ้ดื้อ แต่กับแซนวิชผมไม่รู้จริงๆ ว่าอีกฝ่ายชอบกินอะไร ไม่เคยเห็นตอนกินและไม่เคยพูดถึงมาก่อน

            "ผมไม่เก่งเรื่องในครัวอ่ะ" แต่สำหรับเรื่องนี้ผมพอจะรู้อยู่

            "แค่แซนวิช ทาเนยทาแยมก็จบ"

            "แต่อยากกินทูน่า"

            "ก็ใส่เลย"

            "มันใส่ได้เลยเหรอ"

            "อืม ตักใส่เลย"

            มองคนข้างๆ ตักทูน่าทาบนขนมปังด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ แล้วผมก็ยิ้มค้าง ไม่ว่าไอ้ดื้อจะทำอะไร จะแสดงสีหน้าแบบไหน อาจจะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่ผมกลับมีความสุขมากที่ได้เห็น

            "มันจะกินได้ใช่มั้ย" วางแผ่นแรกลงบนจาน แม้จะยังดูกังวล แต่แววตาซุกซนนั่นดูสนุกกับสิ่งที่กำลังทำขึ้นมาบ้างแล้ว

            "กินไม่ได้ก็ทิ้ง"

            "เสียดาย"

            "งั้นก็กินให้หมด"

            "ก็เยอะไปอีกอ่ะ แล้วพี่นึกยังไงมาชวนทำแซนวิชเนี่ย เอ้ยไม่ดิ หลอกมาต่างหาก"

            "พูดบ่อยขนาดนี้อยากโดนหลอกจริงๆ ใช่มั้ย"

            "ไม่เอา อย่าเลย"

            แปลกที่ครั้งนี้ไอ้ดื้อไม่หลบตา มีรอยยิ้มบางๆ มอบให้ แต่ทำใจกล้าได้เพียงไม่กี่วินาทีก็หันหน้าหนีเหมือนเดิม

            การเริ่มต้นใหม่ครั้งนี้ไม่มีทางหลอกกันอีกเด็ดขาด ไม่อยากทำให้เสียใจอีกแล้ว อยากก้มลงกระซิบบอกประโยคนี้ที่ข้างหูให้มั่นใจ

            "แล้วอยู่ๆ ทำไมพี่อยากทำแซนวิชอ่ะ แค่จะเอาไปปิกนิกอ่ะนะ ดูเป็นกิจกรรมที่เหมาะกับอากาศประเทศไทยมาก" ด้วยความเป็นคนช่างถามช่างพูด ปล่อยให้ห้องเงียบได้ไม่นานไอ้ดื้อก็ชวนคุยต่อ

            "ปิดเทอมไง ไม่ค่อยได้อยู่ห้อง ของมันจะหมุดอายุ นึกได้เลยคิดว่าทำไปนั่งกินที่สวนน่าจะดี"

            "นึกว่ากินข้าวไม่อิ่ม"

            "มันก็แค่ขนม ถึงอิ่มก็ยังกินได้อยู่ดี"

            "แล้วจะใส่อะไรไป"

            คำถามนี้ทำให้ผมฉุกคิด กล่องหรือตะกร้าน่ารักๆ ที่จะใส่ให้ดูดีแน่นอนว่าไม่มี ปกติทำเสร็จก็กินเลย ที่พอจะใส่ไปได้ก็มีแค่...

            "เอาจริงดิ" ไอ้ดื้อถามแล้วขำ มองภาชนะที่เราจะใส่แซนวิชไปด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ

            "ก็มีแค่นี้ ปกติมันก็ทำหน้าที่ใช้ใส่ของอยู่แล้ว"

            รับของจากมือผมไปแล้วทำการสำรวจความสะอาด ไอ้ดื้อเหล่มองมา ผมเลยยิ้มหวานให้ แม้รูปโฉมไม่สวยงามแต่รับรองใช้งานได้แน่นอน

            "หมดราคาเลย" ไอ้ดื้อก็คือไอ้ดื้อ ยามไม่สบตามักจะเก่งเสมอ

            "บ่นเก่ง"

            ก็แค่ถุงพลาสติกธรรมดา วางแซนวิชเรียงไว้สวยๆ แล้วถือดีๆ ก็โอเคแล้ว

           

            เกิดมาจนอายุยี่สิบเอ็ดปีไม่เคยมีความคิดว่าอยากมาปิกนิกกับคนที่ชอบ แต่หลังจากเรื่องราวสุดแปลกประหลาดในชีวิตบ้าๆ นี้เกิดขึ้นผมก็เริ่มวางแผน คิดถึงสิ่งที่ทำแล้วน่าจะเกิดความทรงจำดีๆ มากขึ้น ทำให้ตอนนี้เรามานั่งอยู่ในสวนสาธารณะใต้ต้นไม้ใหญ่ด้วยกัน กับถุงก๊อบแก๊บที่ใส่แซนวิชทำเอง

            เป็นความรู้สึกดีแบบแปลกๆ

            หากจะถามหาความโรแมนติกท่ามกลางบรรยากาศร้อนจนแสบผิวของประเทศไทยแล้วบอกได้เลยว่าไม่มี ใต้ร่มไม้ร่มรื่นก็จริง แต่แทนที่จะเหมือนคู่เดทที่มาปิกนิกกัน ผมกลับรู้สึกว่าเราเหมือนเพื่อนที่มานั่งปรับทุกข์กันมากกว่า เมื่อเห็นคนข้างๆ กัดแซนวิชด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย

            "ไม่สนุกเหรอ" รู้อยู่แล้วแต่ก็อยากถาม

            "นั่งเฉยๆ จะให้สนุกยังไงอ่ะพี่"

            "เออเนอะ ไปเดินห้างน่าจะดีกว่า"

            "แต่มันก็ได้บรรยากาศอีกแบบนะ ผมยังไม่เคยมานั่งเล่นแบบนี้เลย"

            "แต่ดูเหมือนเราเบื่อ"

            "ไม่ใช่ว่าเบื่อ แค่ง่วงมากกว่า มันเย็นอ่ะ ลมปะทะหน้าบ่อยๆ แล้วตาจะปิด"

            "เย็นเหรอออกจะร้อน"

            "ก็ผมเย็นไง"

            "นี่มันฤดูหนาวนี่หว่าลืมไป" เดือนธันวาคมปีนี้ร้อนไม่ต่างจากช่วงกลางปีนัก

            ไอ้ดื้อกินแซนวิชจนหมดชิ้น ปัดเศษขนมปังที่ติดตามมือ ยืดสองขาไปข้างหน้า เอนตัวไปด้านหลังแล้วใช้สองแขนค้ำเอาไว้

            "อยากนอนเลย"

            "หนุนได้ไม่ว่า"

            "ไม่เอาอ่ะ" ปฏิเสธทันทีแล้วกลับมานั่งท่าเดิม

            "ต้องอยู่กันแค่สองคนใช่มั้ย"

            "อะไร"

            "เปล่า"

            เหลือบมองแบบจับผิดแต่ก็ทำได้เท่านั้น แค่ผมยิ้มให้ก็ยอมแพ้หลบตากันแล้ว

            นิสัยอีกอย่างของไอ้ดื้อคือไม่ชอบแสดงความรักต่อหน้าคนอื่นหรือในที่สาธารณะ ไม่มีความมั่นใจ ไม่กล้าแสดงความเป็นเจ้าของ กลายเป็นอีกหนึ่งเหตุผลของความสัมพันธ์ที่คลุมเครือของเรา ทำให้ในอดีตน้องไม่กล้าที่จะอวดผมกับใคร แต่นั่นก็อาจจะเป็นเพราะผมไม่เคยตอบรับความรู้สึกของอีกฝ่ายเลยก็ได้

            "เอิร์ธ"

            เจ้าของชื่อหันมา เราสบตากันได้ชั่วครู่ก่อนอีกฝ่ายจะหันหนีตามระเบียบ

            "เรียกทำไม"

            "ครั้งหน้ามาด้วยกันอีกนะ เดี๋ยวทำเมนูอร่อยๆ ให้กิน"

            "มานั่งเล่นที่สวนอ่ะนะ"

            "ไม่ดิ ไปที่หอ"

            ยังไม่มีคำตอบกลับมา ผมไม่เร่งเร้า ปล่อยให้สายลมเย็นๆ พัดผ่านไปช้าๆ ระหว่างรอเวลาคู่สนทนาตอบกลับ จะตกลงหรือปฏิเสธผมไม่คิดมาก เพราะยังไงก็จะตื๊อให้ครั้งหน้ายอมมาด้วยกันอีกอยู่ดี

            แต่สำหรับไอ้ดื้อน่ะ ไม่เคยปฏิเสธคำชวนของผมได้อย่างเด็ดขาดเลยสักครั้ง

            "ครับ"

           

            ผมนั่งแท็กซี่ไปส่งที่บ้านตามสัญญา ไม่ได้เข้าไปทักทายคุณแม่ แต่ฝากให้ลูกชายไปแก้ข่าวให้แล้วว่ารุ่นพี่สุดหล่อคนนี้เป็นใคร ครั้งหน้าจะมาพร้อมของฝากและเข้าไปทักทายแน่นอน

            เพราะการจราจรอันแสนโหดร้ายในช่วงเวลาเลิกงานของมนุษย์เงินเดือนกว่าผมจะกลับถึงบ้านก็ดึกดื่นค่ำมืด อาบน้ำอาบท่าทิ้งตัวลงนอน อยากทักไปหาคนที่คิดถึงก็โดนดักไว้ตั้งแต่ช่วงเย็นว่านัดเพื่อนเล่นเกม เลยได้แต่ส่องไอจีแบบเหงาๆ

            จะว่าไปไอ้ดื้อติดเกมกว่าแต่ก่อนหรือเปล่า

            กดดูสตอรี่ของคนที่คิดถึงซึ่งลงไว้ตั้งแต่ช่วงเย็นเป็นรอบที่เท่าไรแล้วไม่รู้ มองรูปไร้แคปชันใดๆ แต่แท็กชื่อตัวเล็กๆ เอาไว้แล้วยิ้มกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนตัดสินใจกดโพสต์สตอรี่นี้ลงไอจีตัวเอง

            รูปถุงแซนวิชกากๆ บนหญ้าสีเขียว



tbc.


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งห้า__[02/02/63]
« ตอบ #19 เมื่อ: 02-02-2020 19:36:10 »





ออฟไลน์ Chucream.nabi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งห้า__[02/02/63]
«ตอบ #20 เมื่อ02-02-2020 19:57:40 »

รุกจีบน้องแล้วใช่ป่าวววว

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งห้า__[02/02/63]
«ตอบ #21 เมื่อ02-02-2020 19:58:16 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

อ่าวววววว  ลิขิตกับกาล หน้าไม่เหมือนกันเหรอ?

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งห้า__[02/02/63]
«ตอบ #22 เมื่อ09-02-2020 03:05:55 »

เอาใหม่นะกาล

ออฟไลน์ PharS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งห้า__[02/02/63]
«ตอบ #23 เมื่อ09-02-2020 09:31:49 »

 :pig4:

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5
Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งหก__[09/02/63]
«ตอบ #24 เมื่อ09-02-2020 18:13:19 »


กาลครั้งหก


            ผืนหญ้าสีเขียว มีบ่อน้ำขนาดใหญ่ที่คล้ายทะเลสาบอยู่ด้านหน้าของบ้านไม้ทรงไทยประยุกต์ที่ตั้งอยู่บนเนิน เสียงสายลม เสียงนกร้อง และเสียงเด็กๆ ที่กำลังวิ่งเล่นดังอยู่รอบตัว ภาพที่เห็นคล้ายจะชัดเจนแต่ผมกลับมองไม่เห็นหน้าใครสักคน ยกเว้นก็แต่คุณปู่ที่กำลังส่งยิ้มมาให้

            ผมก้มลงมองมือตัวเองก่อนมองรอบตัวอีกครั้ง ที่นี่คือบ้านสวน สถานที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำวัยเด็กของผม กับตัวผมที่กลายเป็นเด็กอีกครั้ง และคุณปู่ที่ไม่น่าจะยืนอยู่ต่อหน้าผมแบบนี้ได้

            "ปู่ครับ" เรียกพลางก้าวเข้าไปหา

            ปู่ยังยืนอยู่ที่เดิม ทว่าภาพที่ผมเห็นกลับค่อยๆ จางลง รอยยิ้มบนใบหน้าที่แสนใจดีนั้นยังคงมอบให้กัน

            "กาล หลานต้องระวังทุกการกระทำของหลานนะ"

            "การกระทำอะไรครับ"

            ผมในวัยเด็กไม่เข้าใจ ปู่ไม่ตอบอะไร ฉากบ้านสวนค่อยๆ เปลี่ยนไปเหลือเพียงความมืด ทิ้งผมไว้กับความสงสัยในใจก่อนท่านจะหายไปต่อหน้าต่อตา

            ลืมตาขึ้น ตื่นจากฝันที่ไม่รู้ว่าดีหรือร้าย แสงแดดยามเช้าพอจะทำให้ห้องมืดๆ มีแสงสว่างขึ้นมาได้บ้างแม้จะมีผ้าม่านสีเข้มบดบัง ยันตัวลุกขึ้นขยับไปกดปิดแอร์ที่ทำให้อุณหภูมิห้องเย็นเฉียบ บรรยากาศแบบนี้ควรนอนต่ออีกสักนิด แต่เพราะความฝันแปลกๆ ทำให้หลับอีกไม่ลง

            เจ็ดโมงนับว่าเช้ามากทีเดียวสำหรับวันหยุดของผม ลุกจากที่นอนพับผ้าห่มวางไว้เรียบร้อย เปิดผ้าม่านดูวิถีชีวิตยามเช้าของคนละแวกเดียวกัน เห็นแม่วางของใส่บาตรไว้หน้าบ้านแล้วอยู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกอยากจะทำบุญขึ้นมาบ้างเหมือนกัน

            ฝันเห็นปู่มาหาขนาดนี้ แถมยังเตือนให้ระวังการกระทำอีก มันต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่ๆ

            เข้าห้องน้ำแปรงฟันล้างหน้าแล้วรีบลงไปหาแม่หน้าบ้าน คุณหญิงแม่ทำหน้าตกใจใหญ่ที่เห็นลูกชายตื่นเช้า ไม่พอยังจะขอใส่บาตรด้วยอีก

            "แปลกนะเนี่ย ปกติไม่เคยเห็นอยากใส่บาตร"

            "กาลตื่นแล้วไง เปิดม่านเห็นแม่เตรียมของมาพอดี"

            "งั้นเฝ้าไว้ก่อนนะ เดี๋ยวแม่ไปเตรียมของมาเพิ่ม"

            "ครับ"

            โดนมองจับผิดอยู่เสี้ยววินาทีแต่ไม่โดนซักอะไรเพิ่ม ก่อนแม่จะเดินเข้าไปในบ้าน

            ตั้งแต่มีอาการฝันร้ายผมไม่เคยฝันถึงเรื่องอื่นเลยจนกระทั่งมันหายไปเมื่อสัปดาห์ก่อน จะนับว่าครั้งนี้เป็นฝันเรื่องใหม่ในรอบปีก็ไม่ผิด แต่กลับเป็นฝันที่คลุมเครือ ไม่มีแววของฝันดีเลยสักนิด

            ผมไม่แน่ใจว่าที่ปู่มาหาในฝันแบบนี้ต้องการอะไร ที่ว่าให้ระวังการกระทำคือเรื่องไหน จะหมายถึงเรื่องแปลกประหลาดในชีวิตที่กำลังเกิดขึ้นหรือเปล่า พอคิดโยงเข้าเรื่องนี้ก็เริ่มจะเครียดขึ้นมา

            สิ่งที่ผมกำลังทำอยู่มันไม่ถูกต้องอย่างนั้นเหรอถึงได้มาเตือน



            'ฝันบ้าอะไรวะเนี่ย'

            กดเข้าเฟซบุ๊กโพสต์ของคนที่กำลังคิดถึงก็ขึ้นมาให้เห็นเป็นอันแรก ข้อความนี้ถูกโพสต์เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน ถ้าอยู่ในสถานการณ์ปกติผมคงเข้าไปแซว คนเราจะฝันคืนเดียวกันย่อมไม่แปลก แต่สำหรับผมทุกเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ต้องคิดเอาไว้ว่าเสมอมันต้องมีอะไรผิดแปลกไปแน่ๆ

            ด้วยความอยากรู้เรื่องความฝันของไอ้ดื้อเลยกดโทรหา อาจเพราะกำลังถือโทรศัพท์อยู่ปลายสายถึงได้กดรับตั้งแต่เสียงสัญญาณดังครั้งแรก

            [ตกใจ โทรมาซะเช้าเลย มีอะไรครับ] ไม่ต้องทักทายอะไรมากไอ้ดื้อก็ถามเข้าประเด็น

            "โทรหาเฉยๆ ไม่ได้เหรอ"

            [มันแปลกอ่ะ ถึงขั้นโทรมาต้องมีเรื่องด่วน] แล้วก็เดาถูกซะด้วย

            "อืม เห็นโพสต์เฟซว่าฝัน"

            [อ๋อ แค่เรื่องนี้อ่ะนะ]

            "เรื่องนี้แหละ อยากรู้"

            [ไม่เล่าได้มั้ย]

            เล่นปฏิเสธกันแบบนี้ผมว่าความฝันนั้นมันต้องมีอะไรบางอย่างที่อาจจะเชื่อมโยงกับความฝันของผมก็ได้ ยิ่งไม่อยากเล่ายิ่งน่าสงสัย หรือว่ามันจะเป็นฝันร้าย

            "มันร้ายแรงเหรอ"

            [ก็เปล่า แค่มันเป็นฝันแปลกๆ]

            "เล่าให้พี่ฟังไม่ได้เหรอ"

            [ทำไมพี่กาลต้องอยากรู้อ่ะ]

            "แล้วพี่อยากรู้เรื่องของเอิร์ธไม่ได้เหรอครับ"

            ปลายสายเงียบไปยิ่งทำให้ผมรู้สึกเป็นห่วง กลัวว่าสิ่งที่ผมพยายามจะเปลี่ยนมันจะกลับมา เพราะไม่อย่างนั้นปู่คงไม่มาเตือน

            [ก็...ฝันถึงพี่กาล]

            "พี่เหรอ"

            [ครับ ฝันว่าเคยรู้จักพี่กาล แค่นี้แหละ]

            สำหรับคนอื่นฝันว่าเคยรู้จักกันนั้นไม่แปลก แต่มันแปลกเพราะเราดันเคยรู้จักกันจริงๆ เมื่อหนึ่งปีก่อน

            "แค่นี้ แล้วทำไมถึงขั้นต้องโพสต์ว่าฝันบ้าอะไรวะเนี่ยด้วยล่ะ ไม่อยากฝันถึงพี่เหรอ"

            [เปล่า]

            ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าในความฝันนั้นต้องมีอะไรมากกว่านั้น

            "แล้วยังไงต่อ"

            [ทำไมพี่กาลต้องอยากรู้ขนาดนี้]

            "เมื่อคืนพี่ก็ฝันถึงเรา แต่มันเป็นเรื่องไม่ค่อยดี"

            [ฝันว่าอะไร]

            การหลอกล่อได้ผล ฝันถึงไอ้ดื้อคือเรื่องโกหก แต่ถ้าจะคิดให้มันเชื่อมโยงกันก็ทำได้ อีกอย่างเรื่องไม่ค่อยดีที่บอกไปนั้นผมคิดว่ามันอาจจะเป็นความจริง

            "เอิร์ธเล่ามาก่อนแล้วพี่จะบอก"

            [หลอกถามกันหรือเปล่า]

            "แค่เป็นห่วง"

            อีกครั้งที่ปลายสายเงียบ หลอกกันจริง แต่ก็เพราะเป็นห่วงจริงๆ ถ้าหากเรื่องมันเชื่อมโยงกันจริงรู้ล่วงหน้าก่อนจะได้หาทางรับมือและแก้ไขได้ทัน

            "ถ้าไม่อยากเล่างั้นให้พี่เดามั้ย" ลองเสนอทางเลือก ผมคิดว่าพอจะเดาออก และถ้าหากมันถูกต้องก็จะช่วยย้ำสิ่งที่ผมคิดไว้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

            [จะเดาถูกได้ไง]

            "แค่ลองดู"

            บางทีความฝันนั้นอาจจะเป็นความจริงที่เคยเกิดขึ้นในอดีตจริงๆ ก็ได้

            "ในฝันเอิร์ธชอบพี่ ใช่มั้ย"

            [ก็ใช่ ทำไมเดาถูก]

            "เพราะมันดูไม่ต่างจากตอนนี้เท่าไรมั้ง"

            [โหพี่กาล]

            "หรือไม่จริง"

            [ไม่จริง เพราะตอนนั้นพี่กาลไม่ได้ชอบผม]

            อยากจะต่อประโยคหลังให้ว่า 'แต่ตอนนี้รักมาเลยนะ' ทว่าในหัวผมกำลังสนใจความเป็นจริงในความฝันนั้นจนไม่ได้พูดออกไป แต่ถึงไม่พูดมันก็คือการยอมรับอยู่ดีว่าตอนนี้เรารู้สึกดีต่อกันทั้งคู่

            "แล้วเรื่องอื่นล่ะ"

            [หมายถึง?]

            "รายละเอียดอื่นๆ อย่างเช่นเอิร์ธรู้ได้ยังไงว่าพี่ไม่ได้ชอบ หรือสารภาพรักแล้วโดนปฏิเสธ"

            [มันเป็นความรู้สึกในฝันมากกว่า จะพูดยังไงดี รู้แค่ว่าไม่รัก พี่กาลไม่ได้สารภาพอะไร ผมก็ไม่ได้สารภาพตรงๆ แต่เราเอ่อ...หมายถึงการกระทำมัน...] เกริ่นมาให้ผมอยากรู้แล้วก็เงียบ

            บอกตามตรงว่าผมก็เดาไม่ค่อยออกหรอกว่าไอ้ดื้อจะฝันถึงฉากไหน แล้วการกระทำที่ไม่กล้าพูดออกมานั้นคืออะไร มีหลายอย่างที่ผมเคยทำไว้ทั้งเรื่องดีและไม่ดี เรื่องที่ไม่ค่อยได้ใส่ใจอีกฝ่ายก็เยอะ ถ้าจะไม่รู้สึกถึงความรักของผมก็ไม่แปลก

            "อย่าเงียบดิ"

            [ไม่ได้เงียบ]

            "ก็ไม่ยอมเล่าต่อ"

            [จบแล้วไง]

            "อย่ามาหลอก เมื่อกี้จะพูดอะไร การกระทำมันทำไม พี่ทำอะไรเรา"

            [ไม่มีอะไร]

            "เอิร์ธ"

            ยิ่งปิดไม่ยอมพูดยิ่งชักเป็นห่วง แต่ก็ไม่อยากบังคับให้ลำบากใจมากกว่านี้ ผมควรทำยังไงดี กลัวว่าความฝันของไอ้ดื้อจะเป็นลางบอกเหตุสักอย่างเหมือนกัน เพราะไม่อย่างนั้นปู่คงไม่มาหาผมแล้วบอกให้ระวังการกระทำ

            [ไม่มีอะไรหรอกพี่กาล ก็แค่ความฝัน]

            "มันไม่ใช่เรื่องไม่ดีใช่มั้ย พี่ทำอะไรให้เอิร์ธร้องไห้หรือเปล่า"

            [ไม่ใช่ แต่ถึงพี่ทำจริงมันก็แค่ความฝันไง ผมยังไม่เคยร้องไห้เพราะพี่กาลเลย กังวลเพราะฝันของพี่เหรอ เล่าให้ฟังบ้างสิ]

            "พี่ฝันว่าทำไม่ดีกับเอิร์ธ มันเป็นสาเหตุที่ทำให้เอิร์ธไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ พี่กลัวว่าเราจะฝันแบบนี้เหมือนกัน" เรื่องจริงที่กลายเป็นฝันร้ายของผม ผมไม่อยากให้ไอ้ดื้อฝันถึงเรื่องราวแบบนี้ ไม่อยากให้ใครต้องเจ็บปวดอีกแล้ว

            [มันน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอครับ]

            "มันน่ากลัว น่ากลัวมากๆ" อยู่ๆ ผมก็รู้สึกเหมือนหัวใจโดนควักออกไปจากอก อยากบุกไปหาคนที่กำลังคุยด้วยมันเสียตอนนี้แล้วคว้าตัวมากอดไว้แน่นๆ ความทรงจำที่เลวร้ายครั้งนั้น บาดแผลและเลือด ดวงตาที่ปิดสนิท เสียงที่ไม่ได้ยินอีกเลยตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา มีเพียงหยดน้ำตาที่ไม่สามารถทดแทนหรือเรียกคืนสิ่งที่เสียไปกลับมาได้

            น้ำตาที่ไหลออกมาอีกครั้ง

            [พี่กาล]

            "ครับ"

            [มันไม่มีอะไรจริงๆ นะ]

            "ครับ พี่เข้าใจแล้ว"

            ผมเลือกที่จะเลิกตื๊อ เลิกคิดเรื่องในอดีตและตั้งมั่นกับปัจจุบัน ถ้าไม่ทำผิดซ้ำสองเรื่องเลวร้ายนั้นก็จะไม่เกิดขึ้นอีก ยังไงตอนนี้ผมก็ระวังการกระทำของตัวเองอยู่แล้ว

            "เรากินข้าวหรือยัง"

            [พี่กาล]

            "ครับ"

            [มันก็แค่เรื่องน่าอาย อย่าคิดมากนะ]

            ผมรู้ว่าไอ้ดื้อเองก็ห่วงถึงได้พยายามบอกกันซ้ำๆ แต่ก็คล้ายกับน้องอยากจะทดสอบระดับเชาว์ปัญญาผม พอก่อนหน้านี้เดาถูกก็ให้มาแค่คีย์เวิร์ดสั้นๆ ที่ยากจะนึกออก

            จากที่ตั้งใจว่าจะชวนคุยเรื่องอื่นก็ต้องกลับมาคิดมากเรื่องความฝันของอีกฝ่ายอีกครั้ง

            มันก็แค่ ‘เรื่องน่าอาย’ หมายถึงผมอาย หรือไอ้ดื้ออาย ตลอดเวลาที่เคยอยู่ด้วยกันมาไม่เคยมีตอนไหนเลยที่ผมคิดว่าเป็นเรื่องน่าอาย อาจจะเพราะในอดีตไม่ได้สนใจรายละเอียดอะไรขนาดนั้น แต่ถ้าเป็นเรื่องที่อีกฝ่ายอายล่ะก็พอจะนึกออกอยู่บ้าง เป็นความอายที่เกิดเพียงแค่ครั้งแรกและครั้งเดียว เพราะหลังจากนั้นมันก็กลายเป็นเรื่องปกติของเรา

            "อ๋อ"

            [อ๋ออะไร รู้เหรอว่าหมายถึงอะไร]

            "ก็ไม่ยอมบอกรายละเอียดพี่ก็คิดของพี่เดาเองนี่แหละ"

            [คิดอะไร]

            "บอกดีมั้ยน้า"

            [น้องเหนือครับ บอกมา]

            "น้องเหนือเลยนะ" ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงดุ แต่ตอนนี้กลับชอบที่ได้ยินคำนี้

            [บอกมาเลยเร็วๆ]

            "พี่แค่เดาไงไม่รู้จะถูกหรือเปล่า"

            [พี่กาลอย่าเล่นตัวเยอะ]

            "ไม่เรียกน้องเหนือแล้วเหรอ"

            [น้องเหนือๆๆๆๆ] แต่แบบนี้เขาเรียกว่ากวนประสาท

            "พอครับน้องเอิร์ธ"

            ไอ้ดื้อเงียบตามที่บอก เงียบสนิทเหมือนสายตัด ผมยิ้มให้กับความว่านอนสอนง่ายแบบกวนๆ นี้ ก่อนจะตอบในสิ่งที่อีกฝ่ายอยากฟัง

            "จริงๆ พี่ว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายนะ มันเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ ทุกคนย่อมมีความต้องการกันทั้งนั้น"

            ปลายสายยังคงเงียบ เป็นการยืนยันคำตอบว่า ‘เรื่องน่าอาย’ ในความฝันนั้นผมสามารถเดาหมายความของมันได้ถูกต้อง

            ครั้งแรกที่เรามีความสัมพันธ์ทางกายเกิดขึ้นค่อนข้างเร็ว เพิ่งเข้าสัปดาห์ที่สองที่ผมกับไอ้ดื้อได้ทำความรู้จักกัน หากนับตามเวลาปัจจุบันก็ใกล้เคียงกับช่วงเวลานี้พอดี ตอนนั้นผมเป็นคนเอ่ยปากขอ เมื่ออีกฝ่ายไม่ขัดขืนคืนนั้นจึงจบลงที่เตียง สำหรับผมมันก็แค่เรื่องธรรมดาทั่วไป ไม่รู้สึกหรือพิศวาสอะไรเป็นพิเศษ ผิดกับอีกฝ่ายที่มีความต้องการอยู่ในใจ แต่ไม่เคยเรียกร้องอะไรเลย

            การที่ไอ้ดื้อฝันถึงความสัมพันธ์ครั้งก่อนของเราผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก จริงอยู่ที่ผมอยากให้น้องจำกันได้ แต่ถ้าเป็นความทรงจำที่ทำให้ต้องเจ็บปวดแบบนี้ให้มันหายไปตลอดกาลเลยยังจะดีเสียกว่า

            "ฝันเรื่องทะลึ่งนะเรา" เอ่ยแซวเพราะอยากผลักบรรยากาศเศร้าๆ ในใจออกไป

            [ทะลึ่งอะไรเล่า ไหนบอกเรื่องธรรมชาติไง]

            "ก็เราพูดเองว่ามันน่าอาย"

            [อยู่ๆ ก็ฝันแบบนั้นมันก็อายไง เราเพิ่งรู้จักกันเอง]

            "ไม่เห็นเกี่ยวเลยว่าต้องรู้จักกันนานแค่ไหน"

            [เออเนอะ เพราะเจอกันแค่ไม่กี่วันพี่กาลยังชอบผมเลย]

            "ต่อหน้ากล้าพูดให้ได้แบบนี้นะ"

            ไอ้ดื้อหัวเราะ ผมเองก็ไม่ปฏิเสธ แม้คำว่าชอบของผมจะใช้เวลานานมากกว่าสี่วันหลายเท่าก็ตาม

            [ไม่กล้าหรอก]

            "เรื่องนั้นน่ะเราก็อย่าไปคิดมากนะ มันก็แค่ความฝัน"

            [บอกตัวเองเถอะ]

            ผมหัวเราะกลับไปบ้าง โดนฤทธิ์ไอ้ดื้อเข้าอีกแล้ว แต่ก็จริงที่ก่อนหน้านี้ผมเป็นคนคิดมากอยู่ฝ่ายเดียว

            "แต่ถ้าฝันประมาณนี้อีกต้องมาเล่าให้ฟังนะรู้มั้ย"

            [ต้องเล่าด้วยเหรอ ไม่คิดว่าผมจะอายบ้างเหรอถ้าเกิดฝันแบบนี้บ่อยๆ อ่ะ]

            หลุดหัวเราะไปอีกรอบ ผมผิดเองที่พูดไม่เคลียร์และทำให้เข้าใจผิด

            "ไม่ได้เจาะจงเรื่องนั้น หมายถึงว่าถ้าฝันถึงพี่อีกมาเล่าให้ฟังด้วย"

            [อืม แต่คงไม่ฝันบ่อยๆ หรอกมั้ง] ตอบกลับมาเสียงเบาจนเหมือนกระซิบ อยากฝันถึงกันหรือเปล่าผมไม่คิดมาก แต่ถ้าฝันแล้วทำให้ไอ้ดื้อต้องรู้สึกแย่ก็อย่าฝันถึงกันเลยจะดีกว่า

            "ยังไม่ตอบเลยกินข้าวหรือยัง" อยากชวนเปลี่ยนประเด็นจากเรื่องเครียดๆ เลยพาย้อนกลับไปยังคำถามที่ผมถามค้างไว้ก่อนหน้านี้

            [กินแล้ว พี่กาลอ่ะ]

            "กินแล้ว วันนี้ตื่นเช้า ได้ใส่บาตรด้วย"

            [จะว่าไปไม่ได้ใส่บาตรนานแล้วเหมือนกัน]

            "งั้นพรุ่งนี้ไปทำบุญกันมั้ย" ได้โอกาสผมก็หาเรื่องชวนออกไปไหนมาไหนด้วยกัน ไปวัดทำบุญก็ดูเป็นความคิดที่เข้าท่าดี

            [ทำบุญด้วยก็ดีเหมือนกัน]

            "เสร็จแล้วก็กินข้าวดูหนังต่อเลย"

            [คนมันมีแผน]

            "หรือไม่อยากไป"

            [เปล่าครับ จะไปพรุ่งนี้เหรอ]

            "หรือมีนัดแล้ว"

            [ก็เปล่าอีก กี่โมงอ่ะ]

            "เก้าโมงดีมั้ย เสร็จแล้วห้างคงเปิดพอดี เดี๋ยวพี่ไปรับ"

            [จะนั่งแท็กซี่มารับเหรอ]

            "เออว่ะลืม ตอนนี้ไม่มีรถ"

            ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ผ่านมาตามสาย ผมก็ลืมไปว่าลิขิตมันยังไม่กลับมา

            [งั้นเจอกันที่วัดเลยก็ได้]

            "โอเคครับ"

            เราคุยรายละเอียดเรื่องเวลาและสถานที่กันอีกนิดหน่อยก่อนวางสาย ผมรู้สึกสบายใจขึ้นที่ได้เปิดใจคุยกัน แต่กับเนื้อหาของความฝันนั้นไม่มีความสบายใจใดๆ เลย เชื่อว่าเมื่อมีครั้งแรก ยังไงก็ต้องมีครั้งที่สอง ไอ้ดื้อต้องฝันถึงเรื่องราวที่เหมือนกับอดีตของเราอีกแน่

            เพิ่งจะหายเครียดไปไม่กี่วันเช้าวันนี้ก็ทำให้ผมกลับมาเครียดอีกครั้ง ไหนลิขิตมันบอกว่าเรื่องราวแปลกประหลาดนี้จะจบลงด้วยดี แต่ทำไมตอนนี้เหมือนมันจะยากขึ้นยังไงก็ไม่รู้



tbc.


สองเหนือหน้าไม่เหมือนกันค่ะ
เพราะคนที่หน้าเหมือนเป็นพุดตานกับน้องเอิร์ธแทน
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งหก__[09/02/63]
«ตอบ #25 เมื่อ09-02-2020 20:09:32 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

เอ.....คุณปู่มาเข้าฝันทำไม? 

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งหก__[09/02/63]
«ตอบ #26 เมื่อ10-02-2020 03:00:17 »

ให้ระวังการกระทำต่อจากนี้เหรอ
แต่เหนือกาลไวมากเลยน้าาาาาาา อาทิตย์เดียวเอง

ออฟไลน์ Chucream.nabi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งหก__[09/02/63]
«ตอบ #27 เมื่อ10-02-2020 18:24:16 »

 :katai1: เป็นเครียดดดดดดดด

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5
กาลครั้งเจ็ด


                ผมมาถึงก่อนเวลานัดสิบห้านาที แต่ไอ้ดื้อมาเร็วกว่า ลงจากรถแท็กซี่ก็เห็นน้องยืนก้มหน้าก้มตากดมือถือไม่มองใคร เครื่องในกระเป๋ากางเกงผมก็สั่นถี่ๆ เหมือนกัน

                เดินไปยืนตรงหน้าคนที่มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปจากที่เจอกันครั้งก่อน ตัวผมไม่ค่อยแปลกใจเท่าไร แค่ลองนับวันดูในใจก็พอนึกออก

                "สีม่วงเหรอ" ถามออกไปเมื่ออีกฝ่ายละสายตาจากหน้าจอเงยขึ้นมามอง

                "ม่วงอมชมพูต่างหาก"

                "ทำสีผมอะไรก็ดูเหมาะไปหมดเลยเนอะ"

                "อันนี้ชมใช่มั้ย"

                "ชมดิ" พอเปลี่ยนจากสีช็อกโกแลตมาเป็นสีนี้ทำให้คนตรงหน้ายิ่งดูน่ารักมากขึ้น ดูนุ่มนิ่มเหมือนสายไหม เห็นแล้วอยากลองชิมดูว่าจะหวานสักแค่ไหน

                "แต่พี่กาลทำสีอะไรก็เข้าเหมือนกันนะ" ผมเองก็เปลี่ยนสีผมบ่อย แต่ยังไม่เคยลองโทนสีชมพูมาก่อน

                "หรือว่าจะลองทำสีนี้บ้างดี"

                "ไม่เอาดิ อย่าตาม"

                "ไม่ทำหรอก ผมเป็นไม้กวาดหมดแล้วเนี่ย" ยีผมคนตรงหน้าเล่นก่อนจะโดนปัดออก ทั้งสากทั้งแข็งไม่มีความนุ่มลื่นเลยแม้แต่นิด เปลี่ยนสีบ่อยแต่ไม่ค่อยจะดูแล

                "พูดเวอร์ว่ะ"

                "บำรุงมันบ้างผมน่ะ"

                "รู้แล้ว ชวนมาทำบุญไม่ใช่เหรอ ไปดิ" เถียงไม่ได้ก็พาเปลี่ยนเรื่อง ทำหน้านิ่งเดินนำหน้า แล้วก็หันกลับมามองกันว่าได้เดินตามไปหรือเปล่า

                เปลี่ยนสีผมแล้วน่ารักขึ้น แต่ก็ยังดื้อเก่งเหมือนเดิม



                เพราะไม่ใช่วัดดังแถมยังเป็นวันธรรมดาทั้งวัดเลยเหมือนมีแค่เราสองคน ถอดรองเท้าไว้ด้านหน้าอุโบสถ หยอดกล่องบริจาคหยิบดอกไม้ธูปเทียนไว้พระ แล้วชวนกันถวายสังฆทาน พระท่านพรมน้ำมนต์และผูกสายสิญจน์ให้ที่ข้อมือ

                ผมถอยกลับมานั่งข้างหลังระหว่างรอพระท่านผูกสายสิญจน์ให้ไอ้ดื้อ นึกลุ้นอยู่ในใจว่าจะโดนทักอะไรบ้างหรือเปล่า หลวงพ่อจะรู้มั้ยว่ามีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นกับเราสองคน แต่สุดท้ายท่านก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่มองแล้วยิ้มให้เท่านั้น

                เราออกจากอุโบสถเดินไปยังริมน้ำที่มีท่าให้อาหารปลา ไอ้ดื้อมองหน้าผมอยู่หลายรอบ มือจับสายสิญจน์เล่น ดูเหมือนมีอะไรอยู่ในใจ

                "คิดอะไรอยู่"

                คนถูกถามหันมามองแล้วเลิกคิ้วถามกลับ

                "เราอ่ะเป็นอะไร เห็นมองพี่หลายรอบแล้ว"

                "ไม่รู้เหมือนกัน มันโหวงๆ แปลกๆ"

                "ยังไง"

                "อธิบายไม่ถูก"

                ได้ฟังแบบนี้ผมก็ชักรู้สึกวูบโหวงในใจขึ้นมาบ้าง เข้าวัดทำบุญก็ไม่ช่วยให้สบายใจขึ้นได้สินะ

                "เรื่องฝันหรือเปล่า"

                "ผมก็ไม่รู้"

                "เมื่อคืนได้ฝันอีกมั้ย"

                "ไม่ฝัน" ส่ายหน้าตอบเบาๆ

                "ถ้างั้นคงไม่มีอะไรหรอก"

                บอกไปอย่างนั้นแต่ใจผมกลับไม่ได้เห็นด้วย เรื่องความฝันก่อนหน้านี้เป็นผมเองที่กังวลจนถึงขั้นออกปากชวนให้มาทำบุญด้วยกัน ตอนคุยกันเมื่อวานไอ้ดื้อยังเห็นเป็นแค่เรื่องขำขัน แต่เวลานี้กลับเป็นฝ่ายกังวลขึ้นมาแทน

                ผมนึกไม่ออกเลยว่าจะมีเหตุผลอะไรที่อยู่ๆ ทำให้ไอ้ดื้อรู้สึกไม่ดีขึ้นมา หลวงพ่อก็ไม่ทักหรือพูดอะไร จะบอกว่าเป็นเพราะสายสิญจน์ก็ไม่น่าใช่ แม้แต่คนรู้สึกยังอธิบายไม่ได้ผมก็หมดปัญญาจะเค้นให้ได้ความ

                "ถ้ามีอะไรต้องบอกพี่รู้มั้ย เรื่องฝันด้วย" ก็ทำได้แค่ย้ำไปเรื่อยๆ เท่านั้น

                "รู้แล้ว ย้ำบ่อย"

                "ก็ห่วง"

                "ยังไม่ได้เป็นอะไรเลยเนี่ย จะมาห่วงทำไม"

                "ไม่ได้เป็นอะไรก็ห่วง ไม่อยากห่วงตอนมันเกิดอะไรขึ้นมาแล้วจริงๆ"

                "พี่กาลคิดมากว่ะ" ขมวดคิ้วทำหน้ายุ่งใส่แล้วเดินหนี แต่เพราะผมจ้องหน้าอยู่ตลอดเลยสังเกตเห็นว่าไอ้ดื้อแอบยิ้มก่อนจะเดินหนีไป

                วัดนี้อยู่ติดคลอง จึงมีศาลาเล็กๆ สำหรับให้อาหารปลา ด้านหน้ามีอาหารที่ตักแบ่งใส่ถังเล็กๆ ไว้ขาย ซื้อแล้วผมก็หิ้วเข้าไปหาไอ้ดื้อที่ยืนรออยู่ตรงริมน้ำ

                เราทำการยึดศาลาเมื่อไม่เห็นผู้ใจบุญคนอื่นๆ ความจริงแล้วตรงนี้มันเป็นเหมือนโป๊ะเรือเล็กๆ มากกว่า มีท่าที่ทำจากไม้ยื่นออกไปริมน้ำนิดหน่อย หันมองด้านหลังเพื่อเช็กอีกรอบว่าไม่มีใครมาเพิ่มก็ชวนกันนั่งลงจับจองพื้นที่ด้านหน้าสุด วางถังอาหารไว้ตรงกลาง มองปลาสลวยที่ว่ายกระจายกันอยู่ ก่อนจะกอบอาหารแล้วหว่านออกไป

                "โยนไปไกลๆ ดิ" ผมต้องโยกตัวหลบตอนปลาสวายฝูงใหญ่เข้ามารุมกินอาหารจนน้ำกระเด็นมาโดน ไอ้คนที่โปรยอาหารเมื่อกี้ก็เอาแต่ขำ

                "ปลาไปรุมตรงพี่กาลเต็มเลย"

                "ก็เราโยนมาทางพี่นี่หว่า นี่แกล้งใช่มั้ย"

                "เปล่า จะโยนให้มันกระจายๆ แต่หลุดมือ"

                "น่าเชื่อตายเหอะ"

                ไอ้ดื้อขำคิกคักไม่หยุด ถ้าเป็นเมื่อปีก่อนคงโดนผมดุจนหงอย แต่จะว่าไปในอดีตเราไม่เคยได้ทำอะไรแบบนี้ด้วยกันเลยสักครั้ง เดือนกว่าๆ ที่ได้รู้จักกันนั้นแสนสั้น และผมก็ใช้มันให้หมดไปอย่างเปล่าประโยชน์ กว่าจะรู้ตัวอีกทีทุกอย่างก็สายเกินแก้

                "โยนไปไกลๆ เลย เดี๋ยวมันก็กระโดดมางับ" ผมบอกอีกรอบ กำอาหารจากถังแล้วเหวี่ยงไปไกลๆ ให้เด็กมันดู

                "ปลาสวายไม่ใช่จระเข้"

                "แต่ตัวใหญ่กว่าขาเราอีก"

                "เวอร์มาก ขาผมก็ใหญ่เถอะ" ค้านอย่างไม่ยอมแพ้ ชันขาขวาขึ้นแล้วตีน่องที่อยู่ใต้กางเกงยีนให้ผมดู แต่ไม่ว่าจะดูยังไงก็เล็กนิดเดียว

                "เล็ก"

                "โอ้โห หยามมาก" กลับไปนั่งขัดสมาธิเหมือนเดิม กำอาหารปลาแล้วขว้างออกไปเหมือนระบายความโกรธ

                "คิดไปถึงไหน"

                "หมายถึงขาไง"

                "ก็เล็กจริง เอวก็แค่นี้" ผมดึงเสื้อโอเวอร์ไซซ์ที่อีกฝ่ายใส่จนแนบกับลำตัว ไอ้ดื้อเป็นคนรูปร่างเล็ก ซิกแพคก็ไม่มี มีแต่พุงกะทิน้อยๆ

                "ไม่แค่นี้ ซักผ้าได้เลยเถอะ"

                "อะไรซักผ้าได้"

                ผมทำหน้างงใส่ ไอ้ดื้อยิ้มเหมือนผู้ชนะ เล่นมุกอะไรทำไมผมไม่เข้าใจ

                "หน้าท้องพี่กาลซักผ้าได้เปล่า"

                "ใครจะเอาหน้าท้องไปซักผ้าบ้าปะ แต่ถ้าซิกแพคน่ะมี"

                "อย่ามาโม้ ตัวเองก็ผอมเถอะ"

                "ผอมก็ใช่ว่าจะไม่มี" ยักคิ้วให้อย่างคนเหนือกว่า

                พวกเราน่ะต่างเคยเห็นร่างกายของกันและกันมาหมดแล้ว ถ้าความทรงจำของไอ้ดื้อไม่หายไปน่าจะจำได้ดี แต่ถึงจะลืมไป สักวันเดี๋ยวก็จะได้รู้เอง

                "อยากเห็นมั้ยเดี๋ยวให้ดู"

                "จะทำอะไรเกรงใจหน่อย ที่นี่วัดนะ" ทำตัวเป็นคุณครูชี้นิ้วสอน

                "ใครบอกจะเปิดให้ดูที่นี่"

                "ไม่เอาอ่ะ ไม่อยากดู" แล้วก็ปฏิเสธกันดื้อๆ แบบนี้เลย

                เพราะยังเช้าอากาศจึงยังไม่ร้อนมาก ได้ร่มเงาจากต้นไม้ใหญ่ที่ปลูกอยู่ริมน้ำยิ่งทำให้บรรยากาศเย็นสบาย ผมหยิบอาหารปลาจากในถังทีละน้อยแล้วหว่านให้ไปเรื่อยๆ สลับกับชวนคนข้างๆ คุย เงียบบ้างเสียงดังบ้าง เป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่ผมรู้สึกดีจนไม่อยากลุกออกไปไหน จนกระทั่ง...

                ได้ยินเสียงท้องร้องจากเด็กดื้อแถวนี้

                เราหันมาสบตากันก่อนไอ้ดื้อจะค่อยๆ หันหน้าหนีไปทางอื่น ผมเกือบหลุดขำตอนเห็นหูแดงๆ ของคนที่กำลังทำเป็นไม่สนใจแล้วโยนอาหารให้ปลาต่อไปเรื่อยๆ

                "ยังไม่ได้กินข้าวเช้าเหรอ"

                "ยังอ่ะ" ตอบโดยไม่ยอมหันมามอง ก็แค่ท้องร้อง มันจะเขินอะไรขนาดนั้น

                "งั้นไปกินข้าวกัน" ผมเองก็ยังไม่ได้กิน ตรงหน้าวัดมีร้านขายข้าวแกงอยู่ กินเสร็จแล้วค่อยไปเดินห้างฯ กันต่อ

                ไอ้ดื้อยกถังที่ยังเหลืออาหารปลาอยู่นิดหน่อยเทจนเกลี้ยงแล้วลุกขึ้นทันที เชื่อแล้วว่าหิวมากจริงๆ

                ผมลุกขึ้นตาม หมุนตัวกลับไปก็เห็นคนที่ลุกไปก่อนหน้านี้นั่งยองๆ หันหลังให้ระหว่างทางเดินกลับเข้าศาลา ถังอาหารปลาวางอยู่ข้างตัว ได้ยินไอ้ดื้อพูดเสียงเล็กเสียงน้อยก่อนจะหันมายิ้มให้ ทำให้ผมเห็นเสี้ยวหนึ่งของสิ่งมีชีวิตที่โดนนั่งบังเอาไว้ตอนแรก

                "พี่กาลดูดิ น่ารักมากเลย เมื่อกี้มันเข้ามาอ้อน" บอกเฉยๆ ไม่พอยังขยับตัวออกให้ผมเห็นมันชัดๆ เจ้าสิ่งมีชีวิตขนเหี้ยนสีเทาจ้องมาที่ผม แล้วขนทั้งตัวก็พากันพร้อมใจลุกขึ้นยืน

                "แมว" บอกเสียงสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ขาขยับก้าวถอยหลังอัตโนมัติ มึงอย่าเกิดเข้ามาเด็ดขาดนะไอ้สัตว์หน้าขน อย่าเข้ามา!

                "ก็แมวไง เนี่ยอ้อนอีกแล้ว"

                เห็นไอ้แมวตัวนั้นเอาหัวไปถูขาไอ้ดื้อผมก็ขนลุกอีกรอบ รีบหน้าหนีแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ใจอยากจะวิ่งหนีออกไปจากตรงนี้ แต่โป๊ะเล็กๆ นี้แค่ไอ้ดื้อนั่งขวางอยู่ตรงกลางก็เกือบเต็มแล้ว

                "ไปแล้วนะ"

                ได้ยินเสียงไอ้ดื้อที่น่าจะบอกลาแมว ผมยังมองวิวรอบข้างเพราะรู้ดีว่าถ้าเผลอไปสบตากับไอ้แมวตัวนั้นอีกรอบต้องเกิดปัญหาขึ้นแน่ ที่ตรงนี้มันอันตราย จะกรี๊ดแล้วปลดปล่อยพลังทั้งหมดเหมือนตอนอยู่กับลิขิตสองคนก็ไม่ได้ด้วย

                "มาดิพี่กาล ยืนทำไร"

                ผมก้าวไปข้างหน้าโดยไม่มองพื้น ไม่รู้ไอ้แมวตัวนั้นมันไปหรือยัง แต่พอก้าวที่สองเท่าขาก็ไปชนเข้ากับอะไรบางอย่าง ใจน่ะรับรู้ว่ามันต้องเป็นไอ้ตัวที่ไม่อยากเห็นแน่ๆ แต่ตาดันเผลอเหลือบไปมองเสียอย่างนั้น

                "เมี้ยว"

                "เมี้ยวแม่มึงเซ่!" เกินกว่าจะควบคุมอาการตกใจของตัวเองได้ ผมก้าวถอยหลัง แล้วก็ไม่ได้ลืมด้วยว่าด้านหลังนั้นเป็นอะไร

                แต่จะให้ตั้งตัวตอนนี้มันก็ไม่ทันแล้ว

                "พี่กาล!"

                ตู้ม!        

               

                เหตุการณ์ที่ทำเอาทุกคนในบริเวณนั้นแตกตื่นผ่านมาเกือบสิบนาทีแล้ว ไอ้ดื้อนั่งทำหน้าเครียดอยู่ตรงหน้าผมที่มีผ้าขนหนูห่อตัวอยู่ ต้องขอบคุณหลวงพ่อที่เอามาให้ ลุงคนขายอาหารปลาที่มาช่วยดึงผมขึ้นจากน้ำก็กลับไปนั่งเฝ้าถังอาหารปลาของแกแล้ว

                ผมว่ายน้ำเป็น ตกน้ำแค่นั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังอันตรายอยู่ดี ปลาสวายที่รุมกินอาหารอยู่ก่อนหน้านี้ถึงกับวงแตก ไอ้ดื้อวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหา แต่ไอ้แมวตัวต้นเหตุน่ะหายไปไหนไม่รู้ ซึ่งก็ดีแล้วที่มันไม่นึกเป็นห่วงเป็นใยเข้ามาดูอาการผมอีกตัว

                "โอเคยัง" ไอ้ดื้อถามหน้าเครียด มองผมไม่ละสายตาตั้งแต่ขึ้นมาจากน้ำ

                "โอเคดิ ไม่ได้เป็นไรสักหน่อย"

                "เป็นดิพี่กาล ผมยังใจหายอยู่เลยเนี่ย"

                "โอ๋ๆ นะครับ ขวัญเอ๋ยขวัญมา" ยกมือหวังจะลูบหัวปลอบ แต่ดันโดนโยกหัวหลบซะนี่

                "ไม่ต้องมาจับเลย สกปรก" เป็นงั้นไป

                "แค่นี้รังเกียจ"

                "หายหนาวยัง ไปล้างตัวกัน" พยักหน้าชวน ที่จริงไอ้ดื้อชวนผมจะตั้งแต่ขึ้นมาจากน้ำแล้ว แต่พอบอกไปว่าหนาวน้องเลยให้นั่งพักก่อน ผ้าขนหนูที่ได้จากหลวงพ่อมาก็ช่วยได้เยอะ

                "ไปดิ"

                ห้องน้ำอยู่ไม่ไกลจากศาลาริมน้ำนัก พอเริ่มสายแดดก็เริ่มแรง เลยต้องเดินหลบไปตามเงาของต้นไม้ มีลมพัดมาเป็นระยะ ล้างตัวเสร็จมายืนตากแดดไม่กี่นาทีเสื้อผ้าคงแห้ง ส่วนผมน่าจะโดนย่างจนสุกพร้อมรับประทานได้เลย

                "พี่กาล"

                หันไปมองคนเรียกที่เดินอยู่ข้างกัน ไอ้ดื้อยังทำหน้าเครียดไม่เลิก

                "หรือที่ผมรู้สึกโหวงๆ ก่อนหน้านี้เป็นเพราะพี่จะตกน้ำวะ"

                "ทำไมคิดงั้น"

                "ไม่รู้ อาจจะเป็นลางบอกเหตุ"

                สำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้จะเชื่อไว้ก็ไม่เสียหาย ไอ้ดื้อรู้สึกไม่ดี แล้วหลังจากนั้นก็เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับผมจริงๆ แต่สาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ผมตกน้ำเป็นเพราะไอ้แมวตัวนั้นต่างหาก

                "เออยังไม่ได้ถามเลย แล้วทำไมอยู่ๆ ก็ถอยหลังลงน้ำอ่ะ ด่าแมวด้วย"

                กลัวแมว เป็นความจริงที่ผมไม่ค่อยอยากเล่าให้ใครฟังนัก ตอนมัธยมคนที่รู้เรื่องนี้มีแค่กลุ่มเพื่อนสนิท แต่พอขึ้นมหา'ลัยมันกลับถูกกระจายอย่างรวดเร็วจนทุกคนเขารู้กันหมดว่าสองพี่น้องเหนือไม่ถูกกับแมว คนพี่แพ้ ส่วนคนน้องกลัว

                "พี่กลัวแมว"

                "จริงดิ" ทำตาโตถามกลับ เหมือนในอดีตไม่มีผิด

                "ไม่งั้นจะถอยหลังลงคลองทำไม"

                "แล้วทำไมไม่บอก จะได้จับมันไปไว้ที่อื่น"

                "ก็ไม่คิดว่ามันจะเดินเข้ามาหา"

                "ทำเป็นเก๊กมากกว่า"

                "ก็เออ" อันนี้ยอมรับ กลัวสิ่งมีชีวิตที่คนอื่นคิดว่าน่ารักมันแปลกไง ได้เริ่มต้นใหม่ก็อยากทำให้มันดูเท่ๆ บ้าง แต่รู้ตัวแล้วว่าไม่รอด

                "สมน้ำหน้าดีมั้ยอ่ะ มาๆ เดี๋ยวราดน้ำให้" ไอ้ดื้อเดินนำเข้าไปในห้องอาบน้ำแล้วกวักมือเรียก

                ห้องน้ำวัดนี้ค่อนข้างสะอาด มีห้องน้ำสามห้อง ห้องอาบน้ำอีกสองห้อง ผมพาดผ้าขนหนูไว้บนกำแพง ยืนนิ่งๆ ให้ไอ้ดื้อตักน้ำราดให้ ล้างหน้าล้างตาแล้วก็ถอดเสื้อออกมาขยี้อีกที

                บิดเสื้อจนหมาดแล้วสลัดแรงๆ ใจอยากจะถอดกางเกงออกมาซักด้วยแต่เกรงว่าถ้าใส่กางเกงในตัวเดียวในวัดมันจะเสียมารยาทเกินไปหน่อย แต่ถ้าแค่ถอดออกมาบิดไม่น่าจะเป็นอะไร

                "ไหนบอกมีซิกแพค" ถูกทักตอนกำลังถอดเข็มขัด โดนเด็กแอบมองโดยไม่รู้ตัว

                "ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายมันเลยไม่ชัด"

                "พี่กาลขี้โม้ว่ะ"

                "เราอ่ะแอบดู"

                "ไม่ได้แอบเลย มาถอดต่อหน้าเอง แล้วเรื่องชุดจะเอาไงครับ จะรอตากให้แห้งก่อนเหรอ ลองไปยืมเสื้อหลวงพ่อมั้ย เผื่อมีให้ยืม"

                "จะให้พี่ใส่สบงเหรอ"

                "แล้วแต่เลย งั้นก็อยู่เปียกๆ แบบนี้ไปนี่แหละ" แหย่เล่นนิดหน่อยโดนทำหน้าจริงจังใส่ซะงั้น

                "คงกลับไปเปลี่ยนที่หอก่อน" ฝากเสื้อให้ไอ้ดื้อถือแล้วถอดกางเกงออกมาบิด แต่เพราะมันเป็นยีนเลยบิดโคตรยาก

                "จะกลับเลยเหรอ"

                "แค่ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเฉยๆ ยังไม่ปล่อยให้กลับบ้านหรอก" บอกแล้วยิ้มให้หนึ่งที วันนี้มีแผนยึดตัวไว้ทั้งวัน แม้จะกลัวแมวจนตกน้ำคลองก็ไม่มีทางยกเลิกแผนการเด็ดขาด

                ไอ้ดื้อไม่ว่าอะไร พอผมใส่กางเกงเสร็จก็ยื่นเสื้อมาให้ รีบกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้วพาเด็กไปหาข้าวกินดีกว่า ป่านนี้หิวจนกินวัวได้ทั้งตัวแล้วมั้ง หรือว่าจะกินข้าวก่อนแล้วค่อยกลับหอดี

                "กินข้าวก่อนมั้ย"

                "ตกใจจนลืมหิวหมดแล้ว แต่พอทักก็เริ่มหิวอีกละ"

                "ยังไง"

                "พี่กาลกลับไปอาบน้ำก่อนเหอะ เดี๋ยวซื้อขนมกินไปก่อนก็ได้ เสร็จค่อยกินทีเดียว"

                เป็นอันตกลงตามนี้

                ผมเอาผ้าขนหนูไปคืนหลวงพ่อ ตอนแรกเสนอจะเอาไปซักให้แต่ท่านบอกว่าไม่เป็นไร ขอบคุณร่ำลาท่านแล้วก็เดินมาโบกแท็กซี่หน้าวัด ใจกลัวว่าแท็กซี่จะไม่รับเพราะตัวผมเปียก แต่เดินฝ่าแดดแค่ไม่กี่เมตรเสื้อผ้าหมาดๆ ก็เริ่มแห้งจนดูไม่ผิดสังเกตอะไร

                สุดยอดไปเลยแดดประเทศไทย



               
----------ต่อด้านล่าง-------------


ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5


                พาไอ้ดื้อแวะเซเว่นหน้าหอก่อนขึ้นมาบนห้อง ปล่อยแขกให้เพลิดเพลินกับอาหารว่าง ส่วนผมก็รีบอาบน้ำ ได้ฟอกสบู่แล้วรู้สึกสบายตัวขึ้นเยอะ

                พันผ้าขนหนูเดินออกมาจากห้องน้ำ คนที่กำลังกดมือถืออยู่ก็หันมามอง แย้มรอยยิ้มแสนดื้อ ก่อนหันมือถือมาทางผม

                "จะทำอะไร"

                "ถ่ายรูปไง"

                "จะเก็บไว้ดูเหรอ"

                "จะเอาไปขาย"

                "กล้าเหรอ" เปลี่ยนเป้าหมายจากประตูห้องนอนเดินเข้าไปหาเด็กดื้อแทน เอิร์ธยังไม่ยอมลดมือถือลง ขณะที่รอยยิ้มค่อยๆ หายไป สีหน้าเปลี่ยนเป็นหวาดระแวง

                มือถือถูกเก็บลงเมื่อผมนั่งที่โซฟา ใช้แขนข้างหนึ่งค้ำไว้สร้างเป็นกรงขังไม่ให้อีกฝ่ายหนีแล้วโน้มตัวลงไปหา เด็กดื้อก็ดูเหมือนจะหมดฤทธิ์ทันที

                "ไม่ถ่ายแล้วเหรอ"

                "พี่กาลอย่าแกล้ง"

                "ไม่ได้แกล้ง แค่เดินมาให้ถ่ายใกล้ๆ" บอกด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเรียบนิ่ง อีกฝ่ายไม่กล้าเถียงอะไรอีก ไอ้ดื้อน่ะกลัวผมโหมดนี้ที่สุด

                "ไม่ชอบเหรอ"

                "หืม?"

                "ถ้าพี่กาลไม่ชอบก็บอก จะได้ไม่ทำ"

                "ยังไม่ได้พูดเลยว่าไม่ชอบ"

                "แสดงว่าแกล้งจริงๆ" เมื่อกี้ไอ้ดื้อคงคิดว่าผมไม่ชอบใจจริงๆ

                "ไม่ได้แกล้ง"

                ถ้าหากไม่ได้อยู่ในท่าที่เสียเปรียบไอ้ดื้อคงโวยวายใส่ผมไปแล้ว แต่ที่ไม่ยอมโวยวายเพราะหนีไม่ได้ นั่งตัวลีบติดพนักโซฟาซะขนาดนั้น ถ้าจะหนีต้องถีบผมอออกอย่างเดียว ซึ่งน้องมันไม่มีทางทำอยู่แล้ว

                "งั้นรีบลุกไปใส่เสื้อผ้าเลย"

                "แล้วถ้าไม่ไปล่ะ"

                "ไปเถอะ รู้สึกเหมือนหัวใจจะวายแล้ว"

                ในที่สุดก็ยอมสารภาพ

                "คิดอะไรลามกอ่ะดิ" ผมขยับเข้าไปใกล้จนปลายจมูกเราเกือบชนกัน เห็นปากดื้อๆ อยู่ตรงหน้าแล้วอยากจะจูบให้หายคิดถึง

                "พี่กาล" เรียกเสียงอ่อน ส่งสารว่าขอยอมแพ้ แต่ผมยังไม่อยากปล่อย

                "หน้าแดงหมดแล้ว"

                "ก็เออ พี่เล่นแบบนี้มันก็นึกถึงความฝันตอนนั้นไง แถมยังอยู่ในห้องพี่กาลอีก"

                "อ๋อ ที่นี่คือสถานที่เกิดเหตุนี่เอง"

                "เข้าใจก็ลุกออกไปเลย" ไอ้ดื้อผลักไหล่ผมออก มันเบาจนไม่สามารถเพิ่มระยะห่างระหว่างเราได้

                เพราะเหตุการณ์แบบนั้นเคยเกิดขึ้นมาแล้ว ภายในห้องที่อยู่ด้วยกันเพียงลำพัง มันคิดถึงจนอยากได้มาครอบครองอีกครั้งเร็วๆ อยากบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าความรู้สึกที่มีให้ตอนนี้มันมากแค่ไหน แต่ ณ เวลานี้ยังเร็วเกินไปผมรู้ดี

                ฝังจมูกลงบนแก้มข้างขวาที่ยังแดงปลั่งก่อนผละออกมา ยกยิ้มให้คนที่มองค้อนใส่ได้ไม่ถึงเสี้ยววินาทีก็หลบตาก่อนเดินเข้าห้องนอน จะได้แต่งตัวแล้วพาเด็กดื้อไปกินข้าวสักที

                เมื่อกี้น่ะผมห้ามใจตัวเองแล้ว แต่ทนได้เท่านี้จริงๆ

               

                กว่าจะออกจากห้องก็ได้เวลาห้างฯ เปิด จัดบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างมื้อใหญ่ คนที่กำลังหิวโซจัดการทั้งหมูและเนื้อหมดไปหลายถาดในเวลาอันรวดเร็ว ตามด้วยไอศกรีมอีกหลายถ้วยเป็นของหวานตบท้าย

                เป็นคนที่กินบุฟเฟ่ต์ได้คุ้มจริงๆ

                "อิ่มมากอ่ะ" ทำตาปรือนั่งเลื่อยไปกับเก้าอี้ เห็นไอ้ดื้อเจริญอาหารแบบนี้แล้วผมเป็นปลื้ม คล้ายกับว่าภาพคนป่วยตัวผอมแห้งนอนติดเตียงกำลังค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของผม

                "สั่งอะไรเพิ่มอีกมั้ย

                "กินไม่ไหวแล้ว พี่กาลอ่ะอิ่มเปล่า ย่างให้อย่างเดียวเลย"

                "แค่เห็นเรากินพี่ก็อิ่มแล้ว"

                "ไม่ได้ปะแบบนั้น" ดันตัวขึ้นนั่งตัวตรงแล้วทำหน้าจริงจังใส่

                "อิ่มแล้ว พี่ก็กินเยอะเถอะ"

                "แล้วจะไปไหนต่อ"

                "อยากทำอะไรต่ออ่ะ"

                "ง่วงแล้วอยากนอน"

                "งั้นกลับหอพี่มั้ย"

                "ไม่เอาอ่ะ" รีบปฏิเสธทันทีเหมือนคิดคำตอบมาจากบ้าน

                "ก็ไหนว่าอยากนอน"

                "หมายถึงอยากนอนที่บ้าน"

                "อยากกลับบ้านแล้วเหรอ"

                "ก็..." เหลือบมองผมแล้วก็ไม่ยอมตอบ

                ผมไม่ห้ามหรอกถ้าไอ้ดื้ออยากกลับบ้านจริงๆ ก็เล่นนัดเจอกันแต่เช้าจะอยากกลับบ้านเร็วก็ไม่แปลก แต่ใจผมยังไม่อยากให้กลับ ยังอยากใช้เวลาด้วยกันอีกนานๆ

                "ไปนอนเล่นห้องพี่กาลก่อนก็ได้" แล้วคำตอบที่ได้ก็ทำให้ผมประหลาดใจ

                "ไหนบอกไม่อยากไป"

                "พี่กาลทำหน้าแบบขอร้องให้อยู่ต่ออ่ะ"

                "พี่ทำตอนไหน"

                "เมื่อกี้เลย" เด็กดื้อเริ่มแผลงฤทธิ์ กล้าพูดกล้าแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา ยอมรับเลยว่าเมื่อกี้ทำสีหน้าแบบนั้นไปจริงๆ

                "แน่ใจนะ"

                "อย่าทำให้ลังเลดิ"

                "รู้งี้สั่งอะไรมากินที่ห้องดีกว่า จะได้ไม่ต้องออกมา"

                "ทำเหมือนห้องตัวเองอยู่ไกลอ่ะ แค่สิบนาทีเอง"

                ผมไม่ตอบอะไร ยิ้มให้เด็กดื้อที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก่อนหยิบมือถือขึ้นมา

                "จ่ายตังค์กัน มันต้องไปจ่ายที่เคาน์เตอร์ใช่มั้ย ไปกันพี่กาล" แต่ยังไม่ทันได้กดอะไรไอ้ดื้อก็คว้ากระเป๋ากับบิลค่าอาหารเดินไปที่เคาน์เตอร์ ผมเลยต้องยัดมือถือใส่กระเป๋ากางเกงไว้แล้วรีบเดินตามไป

                เหมือนเลี้ยงเด็กจริงๆ เดี๋ยวหิวเดี๋ยวง่วง กินเสร็จก็ต้องพาไปนอนกลางวัน



                กลับมาถึงห้องผมอีกครั้งตอนเที่ยงกว่า เพียงครั้งที่สามที่ได้มาไอ้ดื้อก็ดูจะเคยชินกับห้องของผมแล้ว เลิกนิสัยเดินลากเท้า ถอดรองเท้าได้ก็ทิ้งตัวบนโซฟา แล้วก็ทำท่าจะหลับมันซะตรงนั้น

                "เข้าไปนอนในห้องดิ"

                ไอ้ดือมองไปที่ประตูห้องแต่ไม่ยอมขยับ น้องมันรู้อยู่แล้วว่าห้องผมห้องไหน

                "นอนนี่แหละ"

                "มันไม่สบาย"

                "นอนได้"

                ไม่อยากยืนเถียงให้เสียเวลา ผมเข้าไปล็อกตัวเด็กดื้อแล้วลากเข้าห้องนอน มีการต่อต้านขัดขืนบ้าง แต่ไอ้ดื้อน่ะสู้แรงผมไม่ได้หรอก

                พาเข้ามาในห้องได้ก็ปล่อยตัว เดินไปปิดประตูห้อง เปิดแอร์ ถอดกระเป๋าวางบนโต๊ะก่อนปีนขึ้นเตียง เอนหลังพิงหัวเตียง ตบที่ว่างข้างๆ เรียกคนที่นั่งยืนนิ่งให้มาหา ก่อนหน้านี้ที่ตรงนี้เคยเป็นของไอ้ลิขิตพี่ชายผม แต่ตอนนี้มันกำลังจะมีเจ้าของคนใหม่แล้ว

                "มาเร็ว"

                เรียกอีกรอบไอ้ดื้อถึงยอมขึ้นเดินมา แล้วก็มานั่งมองหน้าผมไม่ยอมนอน

                "นอนดิ"

                "พี่กาลก็จะนอนเหรอ"

                "ก็คงงั้น เรานอนแล้วจะให้พี่ทำอะไร"

                "เปล่า"

                "นอนเป็นเพื่อนเฉยๆ นี่แหละไม่ทำอะไรหรอก"

                ไอ้ดื้อไม่พูดอะไรต่อ ยอมเอนตัวลงนอน กลายเป็นจุดทิ้งสายตาของผม น้องมันพยายามหลับตา แต่ผ่านไปแค่ไม่กี่วินาทีก็ลืมตาขึ้นมาจ้องกัน

                "ไหนพี่กาลบอกว่าจะนอน"

                "เราก็นอนไปดิ เดี๋ยวพี่ค่อยนอน"

                "แต่พี่กาลเล่นจ้องขนาดนี้ใครจะไปหลับลง"

                "อ้าว รู้สึกด้วยเหรอ"

                "ไม่รู้สึกก็บ้าแล้ว"

                ผมอาจจะตั้งใจมองไปนิดน้องมันถึงรู้ตัว ก็ในเมื่อมีสิ่งน่ามองอยู่ตรงหน้าขนาดนี้จะให้ผมสนใจอย่างอื่นได้ยังไง

                "นอนเถอะ" ช่วยเกลี่ยผมหน้าม้าที่ไม่เป็นทรงให้ เราสบตากันชั่วครู่ก่อนไอ้ดื้อจะหันหนี พลิกตัวนอนตะแคงหันหลังให้ผม

                ไร้การพูดคุยต่อจากนี้ ผมยังคงนั่งมองไอ้ดื้ออยู่อย่างนั้น เด็กน้อยหลับตาพริ้ม ขยับตัวยุกยิกอยู่พักหนึ่งก่อนจะนิ่งไป จังหวะการหายใจคงที่ ผ่านไปแค่ไม่กี่นาทีเด็กดื้อก็ดูเหมือนจะหลับสนิท

                เวลาไอ้ดื้อหลับมันโคตรน่าเอ็นดู มองแล้วเหมือนลูกหมาที่เวลาตื่นก็จะวิ่งซนไปทั่ว พอเล่นเหนื่อยแล้วก็ขดตัวหลับ ดูไร้พิษสง ไร้กำแพงป้องกัน เป็นครั้งแรกในรอบปีที่ผมรู้สึกสบายใจยามได้มองอีกฝ่ายขณะนอนหลับ เพราะผมสามารถปลุกเขาให้ตื่นขึ้นมาได้ ไม่ใช่คนที่กำลังหลับไปตลอดกาล

                ใช้เพียงสายตาเก็บภาพตรงหน้าอยู่สักพักในที่สุดก็ทนไม่ไหวต้องหยิบมือถือมาถ่ายรูป กดเข้าไอจีตั้งใจจะเพิ่มลงในสตอรี่อวดพี่ชายที่กำลังมีความสุขอยู่ที่บ้านสวนบ้าง แต่ก็สะดุดกับสตอรี่อันใหม่ของคนที่กำลังหลับอยู่เสียก่อน

                แอบไปลงอะไรไว้ตอนไหน

                กดเข้าไปดูเจอเพียงคำถามสั้นๆ บนพื้นหลังที่ขาวที่ชวนให้ยิ้ม คำถามนี้ตั้งใจถามใครไม่ต้องเดาให้ยากเลย

                'หอมใช่มั้ย'

                ถูกถามมาถ้าไม่ตอบกลับไปนับว่าเสียมารยาทอย่างมาก

                ความตั้งใจที่จะลงรูปคนหลับถูกพับเก็บ ผมพิมพ์คำตอบลงไปแทน คำตอบที่มีเพียงหนึ่งเดียว

                'หอมมากครับ'



                เฝ้าเด็กหลับได้ไม่นานผมก็หลับตาม ตื่นอีกทีตอนบ่ายสาม ล้างหน้าล้างตาแล้วก็ชวนกันกลับบ้าน ก่อนจะเย็นเกินไปจนรถติด

                เราเรียกแท็กซี่มารับที่หน้าหอ บ้านไอ้ดื้ออยู่ไม่ไกลจากหอผมมากนัก อีกฝ่ายไม่ได้ล่ำลาอะไรกันพิเศษก่อนลงจากรถที่หน้าบ้าน มีเพียงแค่รอยยิ้มเท่านั้นที่มอบให้

                แท็กซี่ขับออกมาจากบ้านไอ้ดื้อได้ไม่ไกลแจ้งเตือนจากข้อความส่วนตัวในไอจีก็เด้งขึ้นมา ผมกำลังคุยกับลิขิตอยู่พอดี อ่านจากแจ้งเตือนที่โชว์แล้วเกือบหลุดหัวเราะ

                'ไม่ต้องตอบก็ได้!!'

                ผมเลิกสนใจลิขิตแล้วเข้าไปอ่านข้อความของไอ้ดื้อแทน เป็นคนถามเองแท้ๆ แต่พอตอบกลับดันเขินซะงั้น เก่งไม่จริงนี่หว่า

                'ตอบไปแล้ว แค่นี้เขิน'

                'ไม่ได้เขิน'

                'เหรอ'

                'ก็แค่หอมแก้ม'

                'งั้นต่อไปจะหอมทุกครั้งที่เจอเลย'

                'ได้'

                คำตอบไม่ต่างจากที่ผมคิดเท่าไร ไม่อย่างนั้นผมคงไม่เรียกเอิร์ธว่าไอ้ดื้อ ไม่อย่างนั้นเมื่อครั้งอดีตเราคงไม่มีความสัมพันธ์ทางกายลึกซึ้งกันเร็วขนาดนั้น

                ผมชวนเปลี่ยนเรื่องคุย อยากเปิดเผยตัวตน อยากให้อีกฝ่ายได้รู้จักกันมากขึ้น ค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์โดยไม่ข้ามขั้น ไม่ใช่ว่าผมคิดว่าความสัมพันธ์ที่เป็นไปแบบนั้นมันไม่ดี แต่เพราะในอดีตผมเคยทำให้มันจบไม่สวย ฉะนั้นออกห่างจากความสัมพันธ์แบบนั้นย่อมดีกว่า


tbc.


จากนี้จะอัพสัปดาห์ละสองตอนนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด