กาลครั้งสิบเอ็ด
สระน้ำหน้าบ้าน จานขนมที่วางบนโต๊ะ และบุคคลที่จากไปแล้ว
ผมมองภาพที่เห็นอย่างใช้ความคิดชั่วครู่ก่อนจะเข้าใจสถานการณ์ ตอนนี้ผมอยู่ที่บ้านสวน นั่งเล่นอยู่ชานบ้านกับจานขนมที่ป้าบุหงาน่าจะเตรียมมาให้ และปู่ บุคคลที่ไม่น่าจะอยู่ตรงนี้ได้ซึ่งนั่งอยู่ข้างกัน มองผมด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง หากแต่สายตาคู่นั้นดูกังวล
มันเป็นบรรยากาศที่ค่อนข้างน่าอึดอัดนิดหน่อย ผมไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เรากำลังพูดถึงเรื่องอะไร หรือทำอะไรกันอยู่ ทำไมผมถึงมาอยู่ที่บ้านสวน และทำไมปู่ถึงนั่งอยู่ตรงนี้
“ปู่ครับ”
“ปู่เคยเตือนหลานแล้วให้ระวัง”
ผมหยุดความคิดต่างๆ ที่กำลังตีกันในหัว แล้วเริ่มครุ่นคิดถึงสิ่งที่ปู่บอกแทน เรื่องที่เคยเตือน ปู่เคยเตือนผมเรื่องอะไรกัน
“หมายถึงเรื่องอะไรครับ”
“เราไม่สามารถรู้ความคิดของคนอื่นได้ ฉะนั้นจงระวังคนรอบข้าง ระวังการกระทำของตัวเองให้ดี อย่าทำให้คนที่รักเสียใจ”
“ครับ” ผมขมวดคิ้วถามเสียงสูงกลับไป แต่ไม่มีคำตอบใดๆ กลับมาอีก
เรายังนั่งกันอยู่ที่เดิมโดยไม่มีใครพูดอะไร ความอึดอัดที่มีก่อนหน้านี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงไม่ยอมถาม ทำไมถึงนั่งบื้อทั้งที่ไม่เข้าใจในสิ่งที่ปู่พูดมา ปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ มันเนิ่นนานจนรู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างเราเริ่มดีขึ้น กำลังจะอ้าปากถาม แต่แล้วทุกอย่างก็ดับวูบไป
ภาพสีดำหายไปกลายเป็นแสงสว่างเข้ามาแทนที่เมื่อผมลืมตา ถอนหายใจเบาๆ กับความฝันอันแสนงงงวย ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์ผมก็ฝันถึงปู่อีกครั้ง กับการมาตอกย้ำคำเตือนจากความฝันครั้งที่แล้ว จนชักสงสัยว่าผมทำอะไรผิดพลาดไปอย่างนั้นเหรอ
ยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วเริ่มทบทวนการกระทำของตัวเองในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ‘คนที่รัก’ ที่ปู่พูดถึงแน่นอนว่าคือไอ้ดื้อ แล้วผมทำอะไรให้น้องเสียใจงั้นเหรอ เรื่องถุงยางก็เคลียร์แล้ว หรือเพราะเรื่องเมื่อคืนก่อน
หยิบมือถือขึ้นมากดส่งไลน์เมื่อรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดี สัปดาห์ที่แล้วผมฝันถึงปู่ ไอ้ดื้อเองก็ฝันถึงเรื่องในอดีต ในเมื่อครั้งนี้ผมฝันอีกครั้ง ไอ้ดื้อก็ต้องฝันเหมือนกัน ฝันครั้งที่สามเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตที่เคยเกิดขึ้น
‘เมื่อคืนฝันอะไรมั้ย’
เวลาที่กดส่งขึ้นเก้าโมงสามนาที ผมรอคำตอบอยู่สักพัก เมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบกลับมาเลยเข้าเฟซบุ๊กส่องไอจีเผื่อน้องจะมาบ่นอะไรบ้าง แต่สุดท้ายก็ไม่มี
กดล็อกมือถือวางไว้บนเตียงออกไปล้างหน้าแปรงฟัน ตอนเดินออกจากห้องน้ำเจอลิขิตออกมาจากห้องของมันพอดี เดินก้มหน้ากดโทรศัพท์ คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจากกำลังคุยกับพุดตาน
“มึง”
“ว่า” เงยหน้าขึ้นมาตอบ มันเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม
“ตอนเกิดเรื่องของมึงอ่ะ ปู่มาเข้าฝันมึงบ้างมั้ย” เป็นเรื่องที่ชวนให้สงสัย ก่อนหน้านี้ลิขิตพูดแค่ว่าเรื่องราวประหลาดพวกนี้ปู่เป็นคนเล่าให้ฟังและผมเองก็รู้เรื่องดี ส่วนเรื่องความฝันไม่เคยพูดถึง แต่ถ้าปู่มาบอกผม ก็น่าจะบอกเราทั้งคู่
“ไม่นะ ทำไม ปู่มาหามึงเหรอ”
“อืม ในฝัน”
“ปู่ว่าไง” มันเก็บมือถือ สีหน้าดูจริงจังขึ้นมา
“มาเตือน กูเลยสงสัยว่าปู่จะเคยมาบอกมึงเหมือนกันมั้ย”
“ตอนนั้นไม่มีใครเตือนอะไรกูสักคน มีแต่พ่อที่บอกว่าเรื่องมันจะจบด้วยดี”
“แล้วทำไมปู่ถึงมาเตือนกูวะ หรือว่ากูทำอะไรผิด”
“ตอนนี้สถานการณ์มันดูไม่ดีเหรอ”
“ก็ไม่” ผมยังนึกไม่ออกว่าเรามีเรื่องผิดใจอะไรกันอีก ไอ้ดื้อกำลังคิดอะไร แล้วคนรอบข้างผมกำลังทำอะไร ทุกอย่างที่ผมรับรู้ไม่มีความผิดปกติใดๆ เลย
“งั้นก็อย่างเพิ่งเครียด”
“เครียดไปแล้วว่ะ กูนึกไม่ออกว่าทำอะไรไม่ดีไว้หรือเปล่า”
“งั้นก็ลองนึกดูใหม่ดีๆ ว่ามึงไปทำอะไรไว้หรือเปล่า หรือถ้าไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรก็ถามคนที่มึงคิดว่าเขาน่าจะรู้”
“เขาจะตอบเหรอวะ”
“ก็ต้องลองก่อนมั้ย”
“เออๆ”
“มันต้องจบด้วยดี เชื่อกู” ลิขิตยังคงบอกแบบเดิม มันตบไหล่ผมเบาๆ ส่งกำลังใจตามประสาพี่ชาย
“อืม”
“กินข้าวกัน” พูดจบมันก็กอดคอผมพาเดินลงไปข้างล่างด้วยกัน
‘ทักมาเหมือนรู้ล่วงหน้า’
กลับขึ้นมาบนห้องหยิบมือถือมาดูก็เจอคำตอบของคำถามที่ผมถามไอ้ดื้อไปก่อนหน้านี้ มันไม่ใช่คำตอบที่ชัดเจนก็จริง แต่ก็เดาได้ไม่ยาก
ผมกดโทรหาเพราะคิดว่ามันคือเรื่องสำคัญ สัญญาณครั้งแรกดังยังไม่ทันจบปลายสายก็รับ
[ถึงกับโทรมาเลย]
“อยากคุย”
[พี่กาลดูเครียดมากเลยเรื่องความฝัน] ไอ้ดื้อตรงเข้าประเด็นโดยไม่รอให้ผมเปิดก่อน
“เรื่องฝันก็เครียด แต่ไม่คิดว่าพี่โทรหาเพราะอยากได้ยินเสียงบ้างเหรอ”
[ไม่ต้องมาจีบ] นึกภาพเด็กดื้อทำปากมุบมิบบ่นแล้วชวนให้ยิ้ม แต่อารมณ์ดีได้ไม่กี่วินาทีก็ต้องเข้าโหมดซีเรียสต่อ
“แล้วเมื่อคืนฝันว่าอะไร”
[พี่กาลลองเดาดู]
“ทำไมต้องให้พี่เดา”
[ไม่รู้ดิ มันมีความรู้สึกว่าพี่กาลต้องรู้ยังไงไม่รู้ ครั้งที่แล้วก็เดาถูก]
“แต่ครั้งที่แล้วเราใบ้พี่มาก่อนนะ”
[ถ้างั้นทำไมพี่กาลถึงรู้ล่ะว่าผมจะฝัน]
ทุกประโยคที่ไอ้ดื้อถามผมรับรู้ได้ถึงความหวาดระแวงจากอีกฝ่าย มันให้ความรู้สึกคล้ายความสัมพันธ์เมื่อครั้งก่อน ความรู้สึกที่น้องมีต่อผม ไม่เชื่อใจ ไม่มั่นคง แต่ไม่คิดจะทำอะไร ไม่คิดอยากจะไขว่คว้ามาเป็นของตัวเอง มองดู และจงรักภักดีอยู่ฝ่ายเดียว
“พี่แค่ถามว่าเราฝันมั้ย ไม่ได้รู้ว่าเราจะฝัน”
[แต่ก็ทักมาเหมือนรู้ไง ครั้งนี้ผมไม่ได้โพสต์เฟซด้วย ไม่ได้บอกใครเลย]
“โอเคครับโอเค” ผมยอมแพ้ไม่ดื้อแถต่อ
[เล่ามา]
“เอิร์ธจำได้มั้ยว่าครั้งที่แล้วพี่ก็ฝัน”
[จำได้]
“ครั้งนี้พี่ก็ฝันอีก ก็เลยคิดว่าเราน่าจะฝันเหมือนกันแค่นั้น”
[จริงๆ เหรอ]
“หมายถึงยังไง”
[แค่นี้จริงๆ เหรอ]
“ไม่เชื่อพี่เหรอ”
[ผมเองก็ไม่รู้]
ผมเข้าใจความสับสนที่เกิดขึ้น หากจะให้อธิบายเรื่องราวทั้งหมดแน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ ไอ้ดื้อคงไม่เชื่อ และผมไม่รู้ว่ามันจะทำให้ปัจจุบันของเราเปลี่ยนแปลงไปอีกหรือเปล่า
[แล้วพี่กาลฝันว่าอะไร]
"เหมือนครั้งที่แล้ว" และผมก็เลือกที่จะไม่พูดความจริงเหมือนเดิม
[เรื่องที่ผมไม่สามารถใช้ชีวิตแบบปกติได้น่ะเหรอ]
"ใช่ครับ"
[มันเป็นยังไงเหรอพี่กาล บอกผมเพิ่มอีกนิดได้มั้ย พี่กาลทำอะไร แล้วทำไมถึงเป็นแบบนั้น]
"พี่ก็ไม่รู้ มันน่ากลัว" ผมไม่กล้าเล่า ไม่อยากบอกว่าจริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้น เพราะยังไงไอ้ดื้อก็คงฝันถึงมันในสักวัน
[พี่กาลครับ]
"พี่เห็นเอิร์ธนอนอยู่บนเตียง ยังหายใจได้ แต่ไม่มีวันตื่นขึ้นมาอีกแล้ว" ผมเลือกที่จะตอบเพียงเท่านี้
มีเพียงความเงียบที่ได้ยิน ผมไม่สามารถเดาได้เลยว่าไอ้ดื้อกำลังคิดอะไรอยู่กับฝันร้ายที่ผมบอกออกไป
"เอิร์ธ"
[ครับ ฟังอยู่]
"โอเคใช่มั้ย"
[โอเคดิ มันก็แค่ความฝัน เขาว่าฝันร้ายมักจะกลายเป็นดี ผมว่าพี่กาลน่าจะคิดมากไปกว่าดี ยิ่งเป็นคนเครียดง่ายๆ อยู่]
"ก็คงงั้น เพราะห่วงเรา"
[ผมไม่เป็นอะไรหรอก]
“พี่บอกไปแล้ว ตาเอิร์ธเล่าความฝันตัวเองบ้าง เคยสัญญากันไว้แล้วไงว่าถ้าฝันอีกจะเล่าให้พี่ฟัง”
[รู้แล้วครับ ไม่ต้องทวงสัญญาก็ได้]
“พี่จะไม่ขัดแล้วนะ เล่ายาวๆ มาเลย”
ผมเงียบรอปลายสายพร้อม เหมือนได้ยินเสียงบ่นพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์ แต่คงไม่พ้นบ่นผมนั่นแหละ
[ฝันว่าพี่กาลนอกใจ]
บอกมาแค่นี้แล้วก็เงียบ ผมยังรอฟังเรื่องราวต่อจากนั้นตามที่บอกไป แต่กลายเป็นว่าเราต่างฝ่ายต่างเงียบใส่กันเสียอย่างนั้น
[ไม่ถามอะไรหน่อยเหรอ]
“ก็บอกแล้วไงว่าจะเงียบฟัง”
[ตกใจมั้ย]
“ขอฟังเรื่องทั้งหมดก่อน เล่าต่อดิ”
ผมไม่แปลกใจเลยกับความฝันครั้งนี้ เพราะมันตรงกับสิ่งที่ผมเดาเอาไว้ ไม่สิ ต้องบอกว่ามันตรงกับความเป็นจริงในอดีตต่างหาก แม้คำพูดที่ไอ้ดื้อเลือกใช้มันจะผิดไปสักหน่อย เพราะในเมื่อเราไม่ได้เป็นแฟนกัน จะเรียกว่าผมนอกใจคงไม่ได้
[จริงๆ จะเรียกว่านอกใจได้มั้ยไม่รู้ มันเหมือนเป็นความฝันที่ต่อเนื่องกับครั้งที่แล้ว พี่กาลได้ผม แล้วก็แปลกที่เป็นตอนกลับจากร้านเหล้าพอดีเหมือนกันอีก ผมรักพี่ แต่พี่ไม่รักผม ได้แล้วคบแบบทิ้งๆ ขว้างๆ มันอาจจะผิดที่ผมเองด้วยที่เลือกจะยืนตรงนั้น ทั้งๆ ที่รู้ว่าพี่ไม่รัก แต่ผมดันรักพี่มากเลยยอม]
“มันก็แค่ความฝัน” ผมได้แต่บอกย้ำคำเดิมที่พูดออกไปแล้วไม่รู้กี่รอบ บอกเพื่อหนีความจริงที่ตามมาหลอกหลอนในรูปแบบความฝัน บอกเพื่อให้อีกคนไม่คิดหลงเชื่อ
[แต่พี่ดันเครียดกว่าผมอีก]
“ต้องเครียดดิ ครั้งก่อนเราก็เชื่อว่ามันคือฝันบอกเหตุ"
[ก็มันดันตรงไง]
"ตอนนี้พี่ไม่ใช่คนแบบนั้นแล้วนะ”
[แต่อดีตเป็น]
"เอิร์ธ" ใจผมมันหวิวๆ ยังไงไม่รู้ ยิ่งปู่มาเตือนยิ่งรู้สึกไม่ดี
[อืม ผมรู้ เพราะพี่ได้ผมแล้วแต่ก็ยังติดต่อมาหาแบบนี้ไง ไม่ใช่ให้ผมตามตื๊ออยู่ฝ่ายเดียว]
“อย่าเบื่อพี่ก่อนแล้วกัน”
[ถ้าเบื่อคงเบื่อไปนานแล้ว]
ก็คงจะจริงอย่างที่ไอ้ดื้อว่า เพราะตั้งแต่ได้รู้จักกันอีกครั้งผมก็ตามอีกฝ่ายต้อยๆ นัดให้ออกมาเจอกันแทบทุกวัน ถ้าจะเบื่อ ก็คงเป็นน้องนั่นแหละที่เบื่อผม ถึงผมจะเป็นฝ่ายถูกชอบก่อนก็เถอะ
[แล้วแบบนี้ต้องไปทำบุญกันอีกมั้ย หรือต้องให้หมอดูทำนายฝันให้หรือเปล่า]
“คิดว่าไม่น่าจะช่วยอะไร”
ตั้งแต่ไปทำบุญรอบที่แล้วผมว่าไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ซ้ำยังซวยกว่าเดิมอีก ไหนจะตกน้ำเพราะกลัวแมว โดนเข้าใจผิดเรื่องถุงยาง แล้วมาได้กันทั้งที่คิดว่าจะค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์ ซึ่งทุกอย่างที่ว่ามานั้นบาปบุญไม่น่ามีส่วนเกี่ยวข้อง มันเกิดขึ้นเพราะตัวผมเองล้วนๆ การกระทำของผมที่ปู่อยากให้ระวัง ผมคิดว่าเรื่องที่ปู่อยากเตือนก็คงเป็นเรื่องพวกนี้
“ไปหาได้มั้ย ตอนนี้”
[ปีใหม่แล้วอยู่กับครอบครัวบ้าง]
เมื่อคืนเป็นวันสิ้นปี เป็นปีที่ผมไม่ได้ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนแต่อยู่บ้านฉลองกับครอบครัวแทน และเป็นปีแรกที่ผมได้นับถอยหลับขึ้นปีใหม่กับไอ้ดื้อ แม้จะเป็นทางโทรศัพท์ก็ตาม
“อยากเจอ”
[วันนี้ไปวัดกับที่บ้านไง เมื่อคืนบอกไปแล้ว]
“กลับบ่ายใช่มั้ย เดี๋ยวพี่ไปหาก็ได้ อยากเจอจริงๆ”
[ทำไมงอแง]
“อยากเจอครับ"
ปลายสายเงียบไปคล้ายจะทนกับความงอแงเอาแต่ใจของผมไม่ไหว แต่เชื่อเถอะว่าไอ้ดื้อไม่มีทางรำคาญผมหรอก
[ก็ได้ครับ ยังไงเดี๋ยวผมบอกอีกทีนะ]
เรานัดเจอกันที่สยาม ใช้วันหยุดไปกับการกินข้าวดูหนังเหมือนคนอื่นๆ ไอ้ดื้อเช่าพระให้ผมเป็นของขวัญปีใหม่ บอกว่าองค์นี้พุทธคุณเด่นด้านป้องกันภูติผีปีศาจ แถมยังอวยพรให้แคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งปวง ไอ้เด็กนี้มันคิดว่าผมโดนวิญญาณร้ายตามรังควานอยู่หรือไง
ผมเองก็มีของขวัญให้น้อง แอบมาเดินหาซื้อก่อนเวลานัด เพราะกล่องค่อนข้างใหญ่เลยเอามาเก็บไว้ในรถ กินข้าวเสร็จตอนทุ่มกว่า ออกปากขอไปส่งที่บ้าน ขึ้นรถแล้วก็เอี้ยวตัวไปหยิบของขวัญที่เบาะหลังยื่นให้
"อะไรอ่ะ หูแมว ของเล่นเหรอ"
"ลองแกะดู"
ไอ้ดื้อดูตื่นเต้นและงงงวยไปพร้อมๆ กันขณะแกะกล่องของขวัญ เจ้าสิ่งนี้คือหูแมววัดอารมณ์ที่บังเอิญเจอเข้าที่ loft มันน่ารักและน่าจะเข้ากับอีกฝ่ายดีผมเลยซื้อมา ความจริงก็มีเป้าหมายอยู่ในใจนิดหน่อย
"ลองใส่ดูดิ"
"ต้องใส่ตอนนี้เลยเหรอ"
"อยากเห็น ซื้อถ่านมาให้ด้วย"
"เตรียมพร้อมมาก"
"มา เดี๋ยวช่วย"
ผมแกะถ่านใส่ประกอบนู่นนี่ไอ้ดื้อก็หยิบคู่มือมาอ่าน ก่อนจะวางไว้เหมือนเดิมเมื่อเห็นว่ามันเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่ไม่ต้องห่วง ผมอ่านรีวิวศึกษามาแล้วเรียบร้อย
"มันใช้ทำอะไรอ่ะ"
"เป็นหูแมวขยับได้ ใช้วัดอารมณ์ได้ด้วย"
"จะแอบจับผิดกันเหรอ"
"ไม่ใช่ มันน่ารักเลยซื้อมา"
ผมช่วยใส่หูแมวให้ มันหมุนหนึ่งรอบก่อนหูข้างหนึ่งจะพับลงแสดงการปรับค่าให้ตรงกับคลื่นสมอง จากนั้นหูทั้งสองข้างก็พับลง ส่วนคนใส่ก็น่ารักอย่างที่ผมคิดไว้
"หูขยับออกอ่ะ กำลังสนใจอะไรอยู่เหรอ" ถามเพื่อยืนยันว่าอารมณ์จริงๆ กับสิ่งที่หูแมวแสดงนั้นตรงกัน
"สนใจมันนี่แหละ ไม่เคยเห็นอ่ะ"
ไอ้ดื้อขยับตัวมาส่องกระมองหลัง หันซ้ายหันขวาส่องแต่ละข้างหูแมวก็ยิ่งขยับ เป็นมุมน่ารักๆ ที่ผมไม่เคยเห็นจนต้องถ่ายรูปเก็บไว้
"เออ แล้วแบบนี้พี่กาลไม่กลัวเหรอ" อยู่ๆ ก็หันขวับมาถาม
"แมวปลอมอ่ะกลัวทำไม"
"ก็แมวนะ ดูดิ หูกระดิกได้ด้วย"
"แต่แมวตัวนี้น่ารักไง กลัวไม่ลง"
"แมวตัวอื่นก็น่ารักเถอะ" หูทั้งสองข้างกระดิกขึ้นลงบอกว่าคนใส่กำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
"คิดอะไรอยู่น่ะเรา"
"คิดว่าทำไมพี่กาลปากหวานจัง"
"จะไม่พูดนะว่าเคยชิมมาแล้ว"
เด็กดื้อแยกเขี้ยวใส่ ทำให้ผมนึกภาพออกเลยที่ลิขิตมันเคยบอกว่าพุดตานชอบแยกเขี้ยวใส่แล้วร้องเงี้ยวๆ น่ารักเหมือนแมวมันเป็นยังไง ถ้าแมวทุกตัวบนโลกน่ารักเหมือนแมวที่ชื่อเอิร์ธตัวนี้ผมไม่มีทางกลัวแน่
"ถึงบ้านค่อยถอดนะ"
"ไม่..."
แรงสั่นจากแจ้งเตือนดึงความสนใจเราทั้งคู่ให้หันมองมือถือของผมที่วางอยู่หน้าเกียร์ แอพสีเขียวขึ้นข้อความจากพี่รหัสผมที่ชอบทักมาคุยเป็นปกติ แต่เพราะตอนนี้อยู่กับคนสำคัญผมเลยเลือกที่จะยังไม่ตอบ
"เมื่อกี้เอิร์ธว่าอะไรนะ"
"ถอดนะ"
"อย่างเพิ่งถอดดิ ใส่จนถึงบ้านไม่ได้เหรอ"
"มันหนัก"
หูแมวกระดิกขึ้นลงไม่หยุด แต่ถึงไม่มีเจ้านี้ช่วยบอกอารมณ์อีกฝ่ายก็สังเกตได้ว่าไม่ปกติ ถามคำตอบคำ บรรยากาศชวนให้รู้สึกอึดอัดขึ้นมา
ไอ้ดื้อจะถอดหูแมวออกแต่ผมรวบมือทั้งสองมากุมไว้ อยู่ๆ ก็เป็นอะไรขึ้นมา ไม่พอใจหรือระแวงอะไรกันอีก
"เอิร์ธเป็นอะไรครับ คิดมากอะไรอยู่บอกพี่ได้มั้ย มีอะไรที่พี่ทำให้ไม่พอใจหรือเปล่า"
คนตรงหน้าหลบตา สูดลมหายใจเข้าเบาๆ แล้วค่อยๆ ผ่อนออก หูแมวยังคงขยับขึ้นลง
"กับพี่ณดานี่สนิทกันขนาดไหนเหรอ" หันกลับมาสบตาอีกครั้งแล้วเอ่ยถาม เฉลยทุกคำตอบที่ผมสงสัย
"เพราะคนนี้เหรอ"
"คนนี้แหละ"
ไม่แปลกถ้าคนที่ไม่รู้จักผมกับพี่ณดามองแล้วจะเข้าใจผิด พี่ณดาเป็นพี่รหัสผมและเป็นผู้หญิงที่สวยมากๆ คนหนึ่ง เราค่อนข้างสนิทกัน เล่นถึงเนื้อถึงตัวกันได้ แต่ก็เป็นแค่พี่น้องไม่มีอะไรเกินเลย ในเมื่อคุณพี่เธอมีคนคุยในสต็อกเยอะแยะขนาดนั้น มีบ้างที่ถูกเชียร์แต่เราทั้งคู่ไม่สามารถข้ามเส้นความเป็นพี่น้องไปได้ แล้วก็เป็นความผิดของผมเองที่ไม่เคยเก็บเรื่องนี้มาคิด และไม่เคยได้อธิบายให้ไอ้ดื้อฟัง
"ไปเห็นมาจากที่ไหนทำไมคิดมาก ปิดเทอมพี่แทบไม่ได้เจอพี่ณดาเลย แล้วเรารู้จักพี่ณดาได้ไง" พอจะเดาได้แต่ก็อยากถาม ในอดีตไอ้ดื้อรู้จักพี่ณดาได้ยังไง ตอนนี้ก็คงไม่ต่าง
"ในเพจมอก็เคยลงรูปคู่ไง คนก็เชียร์กันเยอะแยะ"
"แค่นั้นเหรอ"
"ไม่ใช่แค่นั้นดิ"
"อ๋อ" ผมแกล้งลาวเสียงยาว นอกจากสาเหตุที่อีกฝ่ายบอกมาก็พอจะนึกได้อีกข้อ เป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ที่ผมไม่เคยคิดกังวล
"อย่าอ๋อแล้วเงียบดิ"
"ขอโทษที่ถึงเนื้อถึงตัวกันเกินไป แต่พี่ณดาเมาไงตอนนั้น ไม่รู้ว่าเราก็เห็น"
"ก็เลยไม่บอกเหรอ"
"ก็เพราะไม่รู้ไงเลยไม่ได้บอก พี่ไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ ระหว่างพี่กับพี่ณดามันคือเรื่องปกติ ไม่มีอะไรต้องคิดมาก"
"ถึงเนื้อถึงตัวกันได้ขนาดนั้นไม่ให้คิดมากได้ไง"
"แค่สนิทกันเฉยๆ"
"แต่คนเห็นคิดมากไง"
"คนเห็นที่ชื่อเอิร์ธ อ๋อ" ผมอ๋ออีกรอบทำเอาไอ้ดื้อกดตามองต่ำอย่างไม่ไว้ใจ หูแมวที่ใส่อยู่ก็ขยับไม่หยุด
"อ๋ออะไรอีก"
"เพราะงั้นคืนนั้นถึงได้อยากมาห้องพี่ใช่มั้ย"
"รู้ตัวช้าจริง" ตอบแล้วหลบตา ทำเป็นเมินใส่เพราะเขิน หูที่เริ่มแดงนั่นไม่เคยปิดความรู้สึกของเจ้าของมันได้เลย
"มานี่มา" ผมรั้งไอ้ดื้อให้เข้ามาหาแต่มันก็ออกจะทุลักทุเลไปนิด กอดไว้จากด้านหลังแล้วกดจมูกที่ขมับไปหนึ่งที
เพราะก่อนหน้านี้ผมไม่รู้ถึงสาเหตุทำให้เรื่องมันกลับไปคลับคล้ายคลับคลากับอดีต เพราะอยากรั้งไว้ไอ้ดื้อเลยยอมให้ผมมาเรื่อยๆ แม้จะรั้งได้เพียงร่างกายก็ยังยินยอมที่จะทำ
"ตอนนี้พี่มีแค่เอิร์ธนะ มีแค่เอิร์ธคนเดียวจริงๆ อย่าคิดมากอีกได้มั้ย อย่าไปเชื่อความฝัน อย่าไปเชื่อคนอื่น เชื่อแค่พี่คนเดียวก็พอ ได้มั้ยครับ"
"รู้แล้ว"
ผมถอดหูแมวแสนเกะกะนี้ออกก่อนกดจูบที่ขมับอีกครั้งแล้วกระชับกอดให้แน่นขึ้น ไอ้ดื้อเอนหลังมาพิง ตอบรับคำขอโดยการจับมือผมที่กำลังโอบกอดเอาไว้ ก่อนพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
"ตอนนั้นผมกลัวนะ เพราะความฝันด้วย เพราะเมาด้วยมั้งอารมณ์มันเลยอ่อนไหวเป็นพิเศษ แต่ก็ยอมให้พี่เอง ไม่โทษใครหรอก ถึงโดนฟันแล้วทิ้งก็ไม่คิดโทษใคร"
"ใครจะไปทิ้ง"
"แค่พูดถึงเฉยๆ รักนะถึงยอม อะไรแบบนี้" พูดอ้อมแอ้มเสียงเบา ก้มหน้าหนีเหมือนไม่อยากให้ผมเห็นหน้าตอนพูด
"ไม่มีทาง"
"รักหรือหลง"
"อาจจะทั้งสองมั้ง"
"เหมือนกัน แล้วแบบนี้พอจะรั้งไว้ได้มั้ย"
"หืม" ผมก้มหน้าไปหา ที่ถามซ้ำไม่ใช่ว่าได้ยินไม่ชัด แต่อยากฟังคำถามให้แน่ใจอีกที
"เรื่องคืนก่อนพอจะรั้งให้พี่กาลไม่ไปไหนได้มั้ยครับ"
ฟังคำถามอีกรอบแล้วผมอยากจะจับคนให้อ้อมกอดใส่ปากเคี้ยวๆ กลืนให้รู้แล้วรู้รอด ประเด็นก่อนหน้านี้อาจจะมีส่วนที่ทำให้คำถามนี้หลุดออกมา แต่เมื่อฟังจากน้ำเสียงแล้ว ถามแบบนี้เพราะอยากจะอ้อนกันมากกว่า
"ไม่ต้องทำแบบนี้ก็ไม่ไปไหนอยู่แล้ว แต่พอทำแล้วกลายเป็นไปไหนไม่รอดไปเลย"
"หลงกันนี่หว่า"
"ไม่เถียง"
ไม่ปฏิเสธ แล้วก็ไม่อยากปล่อยออกจากอ้อมกอดง่ายๆ ด้วย ไหนๆ ก็หลงขนาดนี้แล้ว ขอฟัดให้หายมันเขี้ยวก่อนส่งกลับบ้านสักหน่อยก็แล้วกัน
tbc.
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า