กาลครั้งสิบเก้า
เจ็บปวดระบมไปทุกส่วน มันร้าวไปหมดจนไม่อยากขยับ ไม่อยากรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วหลับไปอีกครั้ง แต่ผมคงนอนนานเกินไปร่างกายถึงได้ปฏิเสธคำขอ
ผมลืมตาขึ้นท่ามกลางความมืด รอจนตาปรับการมองเห็นได้ถึงได้เห็นว่ามีคนนอนอยู่บนโซฟาข้างเตียง ผมยังรู้สึกมึนงง อยากถามออกไปเหมือนกันว่าที่นี่ที่ไหน แต่ความเจ็บปวดที่กำลังเล่นงานร่างกายอยู่ได้ตอบในสิ่งที่ผมอยากรู้แล้ว
ขอบคุณที่ผมยังสามารถตื่นขึ้นมาได้อีกครั้ง
เส้นผมยาวๆ ที่โผล่พ้นผ้าห่มออกมาบอกให้ผมรู้ว่าคนที่นอนอยู่ตรงนั้นคือใคร ผมพยายามจะส่งเสียงเรียก ทว่าลำคอนั้นแห้งผาก มันรู้สึกเหนื่อยล้าเกินกว่าจะเค้นแรงให้มากกว่านี้
ขณะที่หัวกำลังปวดตุบๆ ประตูห้องก็เปิดออก มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามา ผมมองไม่ออกว่าเขาเป็นใครเลยพยายามเพ่งมอง ก่อนไฟในห้องจะถูกเปิดทำให้ผมต้องหลับตาลงอีกครั้ง
"กาลฟื้นแล้วเหรอลูก" เสียงของพ่อเอ่ยถามแต่มันยากเกินที่จะลืมตา ผมขยับมือบอกเป็นสัญญาณ แล้วทันใดนั้นภายในห้องก็เกิดความวุ่นวายขึ้นทันที
หลังจากหมอเข้ามาตรวจอาการผมก็หลับไปอีกรอบ ตื่นอีกทีสิบเอ็ดโมง ตอนที่พ่อเห็นว่าผมฟื้นแล้วเล่นตะโกนเรียกหมอซะเสียงดังลั่นทั้งที่เขามีปุ่มให้กดเรียกพยาบาล แม่เองก็ตกใจตื่น ไม่กี่วินาที่ต่อมาหมอกับพยาบาลก็เข้ามาล้อมเตียงผม แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามขั้นตอน
ตื่นขึ้นมาอีกทีเป็นลิขิตที่นั่งอยู่บนโซฟา มันหลับแบบหมดสภาพ คิดว่าหลังจากผมถูกหามส่งโรงพยาบาลทุกคนคงเหนื่อยกันน่าดู เป็นห่วงจนไม่ได้หลับได้นอน ไอ้ดื้อเองป่านนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้าง
เห็นพี่ชายกำลังหลับผมเลยไม่อยากกวน เปลี่ยนมาคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้ทุกอย่างจะดูเลือนรางก็ตามที แต่เหมือนว่าโชคชะตาจะยังไม่อยากให้ผมใช้ความคิด เพราะอยู่ๆ ลิขิตมันก็สัปหงกจนสะดุ้งตื่นแล้วหันมาสบตากับผม ไอ้พี่ชายเบิกตากว้างก่อนจะคว้าสายกดมากดเรียกพยาบาลก่อนจะได้ทักทายผมเสียอีก
การตรวจเช็กอีกครั้งผ่านพ้นไปไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ลิขิตกลับเข้ามาในห้องหลังจากขอตัวออกไปโทรหาพ่อกับแม่เพื่อบอกอาการของผม เมื่อกลับเข้ามามันก็นั่งลงข้างเตียง รอยยิ้มโล่งใจปรากฏบนใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้านั้น
"กูนึกว่าจะกลายเป็นลูกคนเดียวซะแล้ว"
"ปากเสียไอ้สัด"
คนโดนว่าหัวเราะ มันคือการแสดงออกถึงความดีใจที่ผมยังไม่จากมันไปไหน
"เดี๋ยวแม่มาตอนบ่ายนะ ส่วนพ่อมาหลังเลิกงาน"
"มึงมาเฝ้ากูเมื่อเช้าเหรอ"
"เออ แม่โทรหาก็ตาสว่างเลย แต่พอมาถึงมึงก็หลับไปแล้ว เลยให้พ่อกับแม่กลับไปพัก"
ผมพยักหน้ารับ ใจกำลังนึกถึงใครอีกคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ก่อนจะได้เอ่ยถามลิขิตมันก็บอกขึ้นมาเองอย่างกับรู้ความคิดของผม
"ส่วนเอิร์ธน่าจะมาตอนบ่ายเหมือนกัน"
"น้องสบายดีใช่มั้ยวะ"
"เออ สบายดี แต่จะไม่สบายเพราะอยู่ๆ มึงก็ขับรถออกจากบ้านไปแล้วดันโดนซ้อมจนปางตายนี่แหละ มึงออกไปทำไมวะ ตอนนี้กูยังไม่เข้าใจเลย" มันบ่นยาวเหยียด การติดสินใจของผมทำให้คนรอบข้างลำบากไปด้วย แต่ผมไม่เคยคิดเลยว่าผลจะออกมาเป็นแบบนี้
"ใครเป็นคนพากูมาโรงบาลวะ"
"ให้เดา"
"เอิร์ธเหรอ"
"เออ"
ลำดับเหตุการณ์ที่ชวนสงสัยทำให้ผมรู้สึกปวดหัวหนักกว่าเดิม คิ้วขมวดหน้าตาเหยเก พี่ชายแสนดีที่จับสังเกตได้เลยยื่นข้อเสนอบางอย่างออกมา
"เอางี้ กูจะเล่าเรื่องฝั่งกูให้ฟังก่อน แล้วมึงค่อยเล่าว่าออกไปเจอพวกมันทำไม"
ไม่มีเหตุผลที่ต้องปฏิเสธ เมื่อผมตอบตกลง จากนั้นลิขิตมันก็เริ่มเล่าเหตุการณ์ที่ผมไม่รู้ให้ฟัง
"ที่มึงกลับขึ้นไปบนห้องแล้วลงมาถามกูว่าเอิร์ธไปไหน พอกูบอกว่าเอิร์ธออกไปเดินเล่นมึงก็ตามออกไปใช่มั้ย แต่แค่แป๊บเดียวมึงก็กลับเข้ามาแล้วขับรถออกไป กูถามอะไรก็ไม่ตอบ งงกันทั้งบ้าน เอิร์ธก็งง"
"เดี๋ยว เอิร์ธอยู่ในบ้านเหรอ" ผมรีบเบรกก่อนมันจะได้เล่าต่อ
"เออไง"
"แต่มึงบอกน้องออกไปเดินเล่น"
"ก็เอิร์ธบอกกูว่าแบบนั้น แต่พอมึงขับรถออกไปน้องก็ออกมาจากห้องน้ำ คือยังไม่ได้ออกไปไหน"
"แม่งเอ๊ย" ผมล่ะอยากเอาหัวโขกกำแพง เพราะความใจร้อนทำให้ผมโง่จนลืมตรวจสอบสิ่งต่างๆ ให้รอบคอบ หรือเป็นเพราะเรื่องแปลกประหลาดที่ทำให้ผมเป็นแบบนั้น
"ไหนๆ ก็ขัดแล้วงั้นก็ตอบมาเลยว่ามึงขับรถออกไปทำไม" มันขมวดคิ้วถาม
"เพราะเรื่องแปลกประหลาด ที่จริงวันนั้นเป็นวันที่กูรู้สึกว่าเรื่องทุกอย่างกำลังจะจบ มันจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกูถึงได้พาน้องมาอยู่ด้วยกัน มาอยู่ในสายตามึงกับแม่ ตอนกูขึ้นไปตามน้องเราเถียงกันนิดหน่อย กูปล่อยให้น้องคลาดสายตา กูคิดว่าน้องหนีไปแล้ว กลัวว่าเรื่องร้ายๆ ในอดีตจะเกิดขึ้นอีกเลยรีบตามน้องออกไป"
"ทั้งที่ไม่รู้ว่าน้องออกไปจริงๆ หรือเปล่า"
"อดีตมันชี้นำกูไงลิขิต กูเลยตัดสินใจแบบนั้น"
ลิขิตพยักหน้ารับอย่างเข้าใจไม่ได้ว่ากล่าวอะไรผมเพิ่ม มันเองก็เคยผ่านประสบการณ์แบบนี้ย่อมเข้าใจความรู้สึกผมดี แม้เรื่องราวอาจจะต่างกันก็ตาม
"แล้วยังไงต่อ" ผมทวงให้มันเล่าต่อ
"พอมึงขับรถออกไปทุกคนก็งง พวกกูวิ่งตามออกไปดูแต่ก็ไม่รู้ว่ามึงจะไปที่ไหน ลองโทรหาก็ไม่รับ จนกูเห็นมือถือมึงวางอยู่บนโซฟา จะขับรถตามไปก็ไม่ทัน กูทักไปหาเพื่อนมึงแต่ไม่มีใครรู้เรื่องซักคน จนเพื่อนเอิร์ธทักมาถึงได้รู้ว่ามึงไปหาไอ้แฮม แล้วก็โดนซ้อมจนมีสภาพแบบนี้"
"เพื่อนน้องเหรอวะ"
"จริงๆ กูก็ไม่รู้แค่เดาเอา เอิร์ธบอกแค่ว่ามึงอยู่ที่ไหน"
"ที่นั่นไม่มีเพื่อนน้องกูจำได้ แล้วคนที่ซ้อมกูก็ไม่ใช่ไอ้แฮม"
"เออ พวกกูรู้ เอิร์ธจัดการหมดแล้ว"
"เอิร์ธเหรอวะ" อีกครั้งที่ผมถามด้วยความแปลกใจ
"ก็พี่รหัสน้องไงที่ซ้อมมึง"
"ไอ้ปอนด์"
"เออ ไอ้นั่นแหละ ตอนไปถึงพวกมันยังนั่งกันอยู่ที่ร้านครบแก๊ง ใครสักคนในกลุ่มเป็นคนคอยบอกเอิร์ธ ตั้งแต่เห็นมึงไปโผล่ที่ร้าน เห็นพวกไอ้ปอนด์เดินตามมึงไป พอกลับมาก็หัวเราะคิกคักไม่รู้เกิดเรื่องอะไรหรือเปล่า ตอนไปถึงเอิร์ธก็เข้าไปคุยดีๆ นะ แต่ไอ้ปอนด์แม่งยั่วโมโหบอกมึงน่าจะตายไปแล้วเลยเกือบมีเรื่อง"
"พวกมึงไปกันกี่คนวะ ไม่กลัวหรือไง" เห็นสิ่งที่มันทำกับผมแล้วก็หวั่นใจขึ้นมา แม้พี่ชายผมจะยังดูปลอดภัยดีก็เถอะ
"สามคนรวมพุดตาน จริงๆ กูก็กลัวนะ แต่คนคอยรายงานช่วยกดกันอีกแรง ไอ้แฮมก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนฝั่ง แม่งเมาหรือยังไงไม่รู้ โวยวายใหญ่ว่าไอ้ปอนด์ทำอะไรมึง แบบมันมีสิทธิ์ฆ่ามึงได้คนเดียวอะไรแบบนี้"
อยากจะหัวเราะแต่ก็รู้สึกปวดตามร่างกาย อยู่ๆ ไอ้คนที่เคยร้ายกลับกลายเป็นคนดีขึ้นมาเสียอย่างนั้น ไอ้เรื่องราวสุดแปลกประหลาดนี้มันเล่นงานผมหนักหน่วงเสียจริง
"แล้วไงต่อ"
"พวกไอ้ปอนด์เลยจะหนี มีกันสามคนมั้ง อีกสองคนไม่ใช่เด็กมอเรา พวกไอ้แฮมเลยช่วยจับไว้ คนที่คอยรายงานเอิร์ธเลยพาพวกกูเดินออกมาหามึง เห็นรถจอดอยู่เลยช่วยกันหาใกล้ๆ แล้วก็เจอมึงนอนอยู่ในซอย ใจกูแม่งร่วงไปอยู่ตาตุ่ม มือสั่นไปหมด เอิร์ธยิ่งแล้วใหญ่ มือสั่นเสียงสั่น เรียกมึงไปน้ำตาไหลไป พามาส่งโรงบาลแล้วก็นั่งเฝ้าหน้าห้องฉุกเฉินไม่ยอมไปไหน จนอาการมึงปลอดภัยย้ายมาห้องพักฟื้นแล้วถึงได้ยอมกลับบ้าน มึงหลับไปหนึ่งวันเต็มๆ เลย"
ผมนึกภาพไอ้ดื้อออกว่าเป็นยังไง มันเหมือนกับภาพซ้อนทับของผมในอดีต ในหัวหนักอึ้งทำอะไรไม่ถูก มันเหมือนหัวใจถูกควักออกไป ทั้งตื่นตระหนกและเหม่อลอยตอนรู้ข่าว
"แล้วพวกไอ้ปอนด์..."
"ส่งให้ตำรวจจัดการไปแล้ว เดี๋ยวตำรวจจะมาสอบปากคำมึงด้วยนะ"
ได้แต่พยักหน้ารับ
แม้เรื่องราวบทใหม่จะจบไม่เหมือนเดิม ผมปกป้องไอ้ดื้อไว้ได้ แต่คนที่ถูกทำร้ายจิตใจมากที่สุดยังคงเป็นน้องอยู่ดี
"แล้วทำไมไอ้ปอนด์มันถึงเล่นงานมึงวะ"
"กูเองก็ไม่รู้" ยังเป็นเรื่องที่ผมหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ในอดีตตัวละครนี้แทบจะไร้บทบาท หรืออาจจะเป็นเพราะผมไม่ได้รู้จักคนรอบตัวไอ้ดื้อเท่าที่ควร ไม่รู้ว่าคนอื่นๆ คิดกับน้องยังไง และไม่เคยคิดสนใจว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับตัวเองเหมือนกัน
"ไหงเป็นงั้น"
"กูคงไปทำอะไรให้มันเกลียดโดยไม่รู้ตัวมั้ง อาจจะเป็นเรื่องในอดีต ตัวกูตอนนั้นก็ใช่ว่าจะดีเท่าไร"
"แต่มึงเป็นน้องที่ดีสำหรับกูนะ โคตรดีใจเลยที่มึงไม่เป็นอะไร"
"กูก็ดีใจเหมือนกัน"
บทสนทนาอันเคร่งเครียดของเราจบเพียงเท่านี้ ลิขิตรินน้ำให้ผมดื่ม ใกล้เที่ยงพยายามก็เอาข้าวกับยามาให้ มันช่วยป้อนทั้งที่มือผมยังใช้การได้ดี โดยให้เหตุผลว่าอยากดูแลผมบ้างตอบแทนที่เคยที่ทำอาหารให้กินแม้จะนานๆ ครั้ง
ประตูห้องเปิดออกอีกครั้งตอนบายโมงกว่า คนที่ผมอยากเจอที่สุดในตอนนี้เดินเข้ามาพร้อมผลไม้ที่น่าจะเป็นของเยี่ยม และรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าซูบโทรม
ตอนนี้ลิขิตไม่ได้อยู่ในห้อง มันบอกจะลงไปซื้อกาแฟ โดยบอกล่วงหน้าไว้แล้วว่าใครจะมา
ของเยี่ยมถูกวางไว้บนโต๊ะ ไอ้ดื้อลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง รอยยิ้มบางๆ ยังคงแต่งแต้มบนใบหน้า ขณะที่สายตาไม่ละจากกันไปไหน
"ยังเจ็บตรงไหนอยู่มั้ยครับ"
"เจ็บตรงนี้" ผมแตะที่หัวใจเพื่อตอบคำถาม
"ผมก็เหมือนกัน"
มือผมถูกดึงปกุมไว้ รอยยิ้มก่อนหน้านี้หายไป ไอ้ดื้อแนบหน้าลงกับมือผมก่อนเอ่ยโทษตัวเองออกมา
"ขอโทษนะพี่กาล เพราะผม..."
"เพราะมันต่างหาก"
"เพราะมันเป็นพี่รหัสผม"
"เพราะปอนด์ ไม่ใช่เพราะเอิร์ธ" หรือจะบอกว่าเพราะเรื่องราวสุดประหลาดในชีวิตผมก็ได้ อย่างน้อยก็ต้องขอบคุณมันที่ทำให้ผมมีโอกาสแก้ตัว และขอบคุณตัวผมเองที่ยังไม่ตาย
"ครับ ยอมก็ได้"
ผมปล่อยให้ไอ้ดื้อจับมือผมไว้อย่างนั้น เราบีบมือกันเบาๆ คล้ายกับต้องการบอกอีกคนว่าอย่าจากกันไปไหน ต่อจากนี้ขออย่าให้มีเรื่องที่ต้องทุกข์ใจแบบนี้อีก
"พี่เหนือเล่าให้ผมฟังหมดแล้วนะ ทำไมตอนนั้นถึงได้คิดว่าผมจะไปหาพี่แฮมล่ะ"
"ก็ใครจะไปคิดว่าเราจะเข้าห้องน้ำ"
"ตอบไม่ตรงคำถาม" ไอ้ดื้อทำหน้าจริงจังใส่
ลิขิตมันคงไม่รู้จะอ้างถึงเรื่องราวแปลกประหลาดของพวกเรายังไงเลยปัดให้น้องมาถามผมเอง
"เพราะความฝัน เพราะกลัวว่ามันจะเกิดขึ้น เราเถียงกันด้วยแล้วพี่ก็หาเอิร์ธไปเจอ เลยคิดไปเองว่าเราจะไปหาไอ้แฮม เพื่อไปเคลียร์อะไรทำนองนั้น" มันเป็นคำให้การที่ไอ้แฮมบอกไว้ในอดีต เอิร์ธไปหามันเพราะมีเรื่องอยากจะคุยด้วย แต่กลับจบด้วยการทำร้ายร่างกายซึ่งมันพยายามปฏิเสธข้อกล่าวหา
"แล้วมันก็เกิดขึ้นจริง"
ไอ้ดื้อมองผมด้วยแววตาเศร้าสร้อย ผมไม่ค่อยเข้าใจความหมายในสิ่งที่อีกฝ่ายบอกนัก ในเมื่อความฝันนั้นไม่เป็นจริง ทำไมถึงได้บอกว่ามันเกิดขึ้น
"พี่กาลจำที่ผมเคยบอกตอนเล่าเรื่องความฝันให้ฟังได้มั้ย ความรู้สึกที่เหมือนว่าพี่กาลจะหายไป ผมกลัวจริงๆ นะ"
ผมจำได้แต่ไม่ได้ใส่ใจ เพราะใจผมห่วงเรื่องของเด็กดื้อมากกว่าจะคิดถึงเรื่องตัวเอง
"ที่ผมบอกว่ามันเกิดขึ้นจริงคือความรู้สึกของผม ความจริงแล้วในฝันอาจจะไม่ใช่ผม แต่เป็นพี่กาลก็ได้"
'ไม่ใช่หรอก' ผมเถียงอยู่ในใจ ในฝันนั้นเป็นไอ้ดื้อจริงๆ ส่วนความรู้สึกที่ว่านั้น ปัญหาคงอยากจะเตือนเรา เหมือนอย่างที่ปู่มาเตือนผม
"ถ้าพี่หายไปจริงๆ ผมจะทำยังไงดี"
"ตอนนี้พี่ก็อยู่ตรงนี้แล้วไงครับ"
ไอ้ดื้อกำลังพยายามกลั้นน้ำตา ผมเข้าใจดีว่าช่วงเวลาแบบนี้มันแย่แค่ไหน ในหัวเอาแต่นึกถึงสาเหตุแล้วโทษตัวเองอยู่ซ้ำๆ ตกอยู่ในวังวนของความทรมาน แม้ในตอนนี้ผมจะไม่เป็นอะไร แต่บาดแผลบนตัวผมยังตอกย้ำอีกฝ่ายให้คิดอยู่ดี
"ร้องไห้ก็ได้นะ"
"ร้องจนน้ำตาจะหมดแล้ว" ถึงไอ้ดื้อจะบอกอย่างนั้นแต่น้ำตาก็ไหลออกมา เป็นเด็กดื้อที่ขี้แยกว่าที่คิด
ผมเช็ดน้ำตาให้ สิ่งยิ้มเพื่อบอกให้อีกฝ่ายทำตาม ก่อนจะได้รอยยิ้มอาบน้ำตากลับมาคืนมา เป็นรอยยิ้มที่ผมเห็นความสุขเล็กๆ ซ่อนอยู่ในแววตาคู่นั้น
"เอิร์ธเล่าเรื่องปอนด์ให้พี่ฟังได้มั้ย" เอ่ยขอในสิ่งเดียวที่ยังสงสัย
"มันโดนตำรวจจับไปแล้ว"
"ไม่ใช่เรื่องนี้ดิ หมายถึงเหตุผลที่มันซ้อมพี่"
"เพราะเมา และเพราะเกลียด" บอกเหตุผลข้อสองที่เสียงแผ่ว ไอ้ดื้อยังกุมมือผมไว้แน่น แต่ผมไม่เป็นไร ก็แค่ฟังเหตุผลที่ถูกเกลียดมันคงไม่เลวร้ายนักหรอก
"เล่ามาเถอะ"
"พี่สาวของพี่ปอนด์เป็นหนึ่งในคนที่พี่กาลเคยคบแล้วทิ้ง"
บอกแค่นี้ผมก็พอเข้าใจ หลายคนชอบผม อีกหลายคนก็เกลียดผมเหมือนกัน ทุกครั้งที่ตัดสินใจสานสัมพันธ์กับใครผมจะขีดเส้นไว้ชัดเจน แต่บางคนก็ไม่ได้อยากยืนอยู่แค่เส้นกั้นตรงนั้น
"พี่มันชื่อปิ๋ม"
"จำได้"
"พี่ปอนด์ไม่ชอบที่มีกาลคบคนไปทั่ว ทั้งผู้ชายผู้ชายไม่เลือก พอพี่มันรู้ว่าผมชอบพี่เหมือนกันก็ยิ่งเกลียดเข้าไปใหญ่ มันเคยเตือนว่าพี่กาลไม่ใช่คนนิสัยดี แต่กับพี่กาลคนที่ผมได้รู้จักจริงๆ ไม่ใช่คนแบบนั้นผมเลยไม่เชื่อ นอกจากนั้นพี่มันก็ไม่เคยแสดงท่าทีอะไรให้ผมสงสัยเลย เรื่องพี่สาวมันผมเองก็เพิ่งรู้เพราะพี่แฮมเล่าให้ฟัง"
"เกลียดถึงขนาดต้องทำร้ายกันเลยนะ"
"พี่ปอนด์มันรักพี่ปิ๋มมันมากนะพี่กาล ตอนที่โดนพี่ทิ้งได้ข่าวว่าเฮิร์ทอยู่เป็นเดือน ไหนจะโดนพี่แฮมเป่าหูมาตลอดอีก เพราะเมาด้วยเลยทำลงไปโดยไม่ทันคิด แต่ยังไงการทำร้ายคนอื่นจนปางตายมันก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยอยู่ดี"
ความรู้สึกของไอ้ดื้อคงสับสนปนเปน่าดู คนหนึ่งก็แฟน คนหนึ่งก็พี่รหัส เข้าใจแต่เข้าข้างไม่ได้เพราะผิดก็ต้องว่าไปตามผิด หากผมตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้คงเครียดจนป่วยไปแล้วแน่ๆ
"ว่าแต่เราไปคุยกับไอ้แฮมมันด้วยเหรอ"
"ก็ต้องคุยดิ พี่แฮมก็มาเยี่ยมพี่กาลนะ"
"แต่มันบอกใครห้ามฆ่าพี่เพราะมันจะฆ่าเอง"
"คนเมาก็พูดไปงั้นแหละ พี่แฮมมันไม่กล้าทำอะไรหรอก ขนาดผมเอาไม้กวาดฟาดหัวพี่มันยังไม่ทำอะไรผมเลย"
"ก็ไม่แน่หรอกคนเมา" เพราะถ้าหากมันเป็นคนดีจริงเรื่องในอดีตคงไม่เกิด
"อคติอ่ะ"
"ก็ใช่ไง เพราะพี่กับมันเป็นศัตรูกัน"
ไอ้ดื้อส่ายหน้าใส่ ปล่อยมือผมหันไปหยิบส้มมาปลอก จากนั้นไม่นานแม่กับลิขิตแล้วก็พุดตานก็มาพอดี
คำว่า 'อดติ' ที่ไอ้ดื้อบอกยังดังก้องอยู่ในหัวผม ไอ้แฮมอาจจะเป็นคนดีจริง แต่ฤทธิ์แอลกอฮอล์นั้นเปลี่ยนคนได้มานักต่อนัก หากในอดีตถ้าไม่ใช่ไอ้แฮมที่ทำ แล้วจะเป็นใครไปได้อีก
ความฝันกลับมาเยี่ยมเยือนอีกครั้งเมื่อรัตติกาลมาถึง มันพาผมกลับมายังสถานที่อันคุ้นเคยในความฝันครั้งเก่า ความจริงผมไม่ได้อยู่ที่นี่ในวันเกิดเหตุ แต่ตามมาหลังจากได้ยินคำบอกเล่า รวมถึงเหตุการณ์ที่ผมฝันถึง มันเป็นเพียงจินตนาการที่ถูกสร้างขึ้นมา จำลองเหตุการณ์เองขึ้นในหัวว่าวันนั้นไอ้ดื้อถูกกระทำยังไงจากคำบอกเล่าของผู้คน แล้วมันก็กลายเป็นภาพความโหดร้ายที่กลายเป็นความฝันของผมตลอดมา
และในคืนนี้หลายอย่างดูไม่ต่างจากฝันร้ายที่หายไปของผมนัก ชวนให้สงสัยว่ามันจะกลับมาเล่นงานผมอีกแล้วงั้นหรือ ทั้งที่เรื่องราวสุดแปลกประหลาดในชีวิตน่าจะจบลงไปแล้ว
ระหว่างที่ผมกำลังตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความฝันของตัวเองอยู่อีกฝั่งของถนน รถแท็กซี่คนหนึ่งก็ขับมาเทียบหน้าร้านเหล้าที่ผมเพิ่งบุกไปหาไอ้แฮมมาเมื่อวันก่อน ไอ้ดื้อลงมาจากแท็กซี่คนนั้นก่อนเดินเข้าไปในร้าน แล้วอยู่ๆ ภาพรอบตัวผมก็เปลี่ยนไป
"พี่แฮม"
"มานั่งก่อนๆ"
ผมเข้ามาอยู่ในร้านเหล้า ยืนอยู่ข้างโต๊ะแต่เหมือนจะไม่มีใครสังเกตเห็น มองไอ้ดื้อที่ขมวดคิ้วแน่นขณะคุยกับไอ้แฮมที่กำลังเมาได้ที่ การสนทนาจึงเป็นไปอย่างไม่ค้อยราบรื่นนัก
ไอ้ดื้อพยายามจะคุยกับไอ้แฮมเพื่อขอให้อีกฝ่ายตัดใจและเลิกเข้ามาวุ่นวาย น้องไม่ได้พูดถึงผมสักคำเพราะเรื่องของเรายังเป็นแค่ความสัมพันธ์ลับๆ ในตอนนั้น แต่เป็นไอ้แฮมที่พูดชื่อผมออกมา แล้วการพูดคุยก็ดูจะเลวร้ายลงเมื่อมันประกาศชัดเจนว่าเกลียดขี้หน้าผม ไอ้ดื้อยังคงพยายามปกป้อง แต่ในเมื่อคนมันเกลียดคำด่าว่าเสียๆ หายๆ เลยหลุดออกมาทุกครั้งที่ได้ยินชื่อผม
คงเพราะหมดความอดทนไอ้ดื้อถึงได้ล้มเลิกความตั้งใจที่จะคุยด้วย ลุกขึ้นเดินไปยังอีกโต๊ะที่อยู่ไม่ไกลกัน โต๊ะที่ไอ้ปอนด์นั่งอยู่ คนที่ผมจำไม่ได้ว่าเมื่อในอดีตอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วย
ผมเดินตามไปยืนข้างๆ แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นคนอื่นๆ ที่นั่งร่วมโต๊ะ ทั้งโต๊ะมีไอ้ปอนด์คนเดียวที่อยู่ในกลุ่มเพื่อนน้องแต่กลับไม่ใช่คนเดียวในโต๊ะที่ผมรู้จัก เพราะไอ้สองคนที่ผมซ้อมก็นั่งอยู่ตรงนี้เหมือนกัน
"เรื่องมึงกับไอ้กาลสรุปยังไง"
"มึงเป็นคนบอกพี่แฮมเหรอ แล้วรู้เรื่องกูกับพี่กาลไอ้ไง"
"ตอนไปกินเหล้าเดินออกไปด้วยกันขนาดนั้นกูคงไม่เห็นมั้ง แล้วไง มันยังเก็บมึงไว้เล่นอยู่อีกเหรอ"
"ไม่พูดแบบนี้ได้มั้ยวะ"
"ทำไม หรือรับไม่ได้ บอกไว้ก่อนเลยนะว่ากูโคตรเกลียดมันเลย"
"ทำไมวะ"
"เพราะแม่งเลวไง"
ไอ้ดื้อไม่ตอบและไม่ได้แก้ตัวอะไรให้ผม มันคือความจริงที่น้องยอมรับและยอมยืนอยู่ในความสัมพันธ์นั้น เป็นความจริงที่ผมเองก็ไม่อาจปฏิเสธเช่นกัน
"กูขอเตือนนะ มึงเลิกยุ่งกับมันเถอะ"
"ขอเวลาอีกนิดได้มั้ยวะ กูรักเขาไปแล้วว่ะ"
ไอ้ปอนด์แสยะยิ้มด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย ยืนแก้วให้คนที่นั่งข้างๆ เติมเบียร์ให้ เป็นจังหวะที่ผมเพิ่งได้สังเกตว่าไอ้ชั่วสองคนนั้นมันกำลังมองไอ้ดื้อด้วยสายตาแบบไหน สายตาที่น่าขยะแขยง
"มันไม่ได้รักมึงจริงเหรอ สันดานมันใครๆ ก็รู้"
"แต่กูรู้สึกเหมือนเขากำลังรักจะรักกูนะ" พูดเบาๆ ไร้ซึ่งความมั่นใจ เป็นประโยคที่ชวนให้หัวเราะสำหรับคนฟัง
"มึงฝันอยู่เหรอ"
"กูรู้สึกแบบนั้นจริงๆ"
"งั้นก็แล้วแต่มึงเถอะ"
คนฟังดูไม่ค่อยพอใจนัก ไอ้ดื้อเองก็เหมือนจะจับบรรยากาศได้จึงเลือกที่จะบอกลาแล้วเดินออกมา
ผมหันหลังกลับตั้งใจจะเดินตามไอ้ดื้ออกไป แต่กลับได้ยินบทสนทนาที่น่าสนใจเข้าเสียใจก่อนจึงหยุดฟังอยู่ที่เดิม
"คนนั้นแฟนคนที่มึงเกลียดเหรอ"
"งั้นมั้ง"
"ดูนึกอะไรดีๆ ออก ถ้ามึงอยากจะเอาคืนไอ้ห่านั่น"
"ยังไง"
"เพื่อนมึงก็น่าสนใจดี"
"ถ้าไอ้เหี้ยนั่นมันรักเพื่อนมึง ของรักของหวงโดนทำอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็ต้องมีรู้สึกกันบ้าง"
"ไอ้สัดนั่นเพื่อนกู"
"แต่กูอยากได้ว่ะ"
ไอ้ปอนด์ไม่ได้ห้ามตอนที่ไอ้ชั่วสองคนลุกขึ้นแล้วเดินออกมาจากร้าน บทสนทนาที่ได้ฟังชวนให้โมโหแต่ผมกลับทำอะไรไม่ได้ ไม่ว่าจะร้องห้ามหรือเอาตัวไปขวางพวกมันเอาไว้ ทำได้เพียงเดินตามไปดูว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้เท่านั้น
ไอ้ดื้อออกมายืนรอรถอยู่จุดเดิมที่ลงรถ แต่เมื่อเห็นไอ้ชั่วสองคนนั้นเดินมาน้องกลับเดินหนี ห่างออกมาจากจุดที่มีผู้คนทั้งที่ไม่ควรทำแบบนั้น น้องก้าวเร็วๆ คงตั้งใจจะเดินออกไปที่ถนนใหญ่ แต่เมื่อผ่านหน้าซอยมืดก็ถูกพวกมันรั้งตัวเอาไว้ได้ทัน
พวกมันสองคนเอ่ยขอแสดงความต้องการออกไปตรงๆ แต่เมื่อไอ้ดื้อขัดขืนมันก็ปิดปากช่วยกันลากน้องเข้าไปในซอย ผมรีบตามเข้าไปแม้จะรู้ว่าทำอะไรกับความฝันครั้งนี้ไม่ได้ แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสิ่งที่พวกมันกำลังทำ
ไอ้ดื้อถูกจบกดลงกับพื้น พวกมันพยายามจะคุกคามแต่เมื่อเหยื่อดิ้นรนจนน่าหงุดหงิดจึงเปลี่ยนเป็นการทำร้ายร่างกายแทน สิ่งของใกล้มือถูกนำมาใช้เป็นอาวุธ คนหนึ่งกระทืบ อีกคนใช้ก้อนหินที่อยู่แถวนั้นมาทุ่มใส่ โหดร้ายจนผมทนไม่ได้ วิ่งพุ่งเข้าไปหาแต่ผ่านเลยมาเหมือนสิ่งที่เห็นนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา
เป็นเรื่องง่ายที่ผู้คนทำร้ายกัน แต่กลับเป็นเรื่องยากที่จะทำความเข้าใจว่าเพราะเหตุใด
เมื่อเหยื่อแน่นิ่งพวกมันก็ทิ้งอาวุธแล้ววิ่งหนีลึกเข้าในซอย ผมยังยืนอยู่ที่เดิมด้วยจิตใจที่เหม่อลอย ก่อนสติที่ใกล้เลือนหายจะกลับมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ใครบางคนปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าผม เขามองคนที่นอนอยู่ตรงหน้าด้วยความตื่นตระหนก
เมื่อคนคนนั้นทรุดลงข้างไอ้ดื้อผมถึงได้เห็นหน้าเขาชัดๆ มือคู่นั้นสั่นเทา ไม่กล้าแตะใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด เขาหันมองก้อนหินที่ใช้เป็นอาวุธก่อนหยิบมันขึ้นมา พึมพำกับตัวเองว่าใครคือคนที่ทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้
"พี่แฮมทำอะไร"
ก้อนหินร่วงจากมือเจ้าของชื่อเมื่อเสียงนั้นดังขึ้นจากด้านหลัง ไอ้ปอนด์เดินนำเข้ามาก่อนจะทำหน้าตกใจเมื่อเห็นภาพตรงหน้า รวมถึงคนอื่นๆ ที่ตามเข้ามาทีหลังก็ดูตื่นตระหนกไม่แพ้กัน
"พี่ทำเอิร์ธเหรอ"
"ไม่ใช่พี่"
ไม่มีคำพูดใดตอบกลับมา ไอ้ปอนด์เข้ามาดูไอ้ดื้อด้วยสีหน้าเป็นกังวล หลังจากนั้นก็เกิดความวุ่นวายขึ้นแต่เสียงที่ผมได้ยินนั้นเบาลงเรื่อยๆ ก่อนภาพตรงหน้าจะหายไป
ผมเดาไม่ถูกว่าจริงๆ ไอ้ปอนด์รู้สึกยังไงเมื่อเห็นเพื่อนสนิทตัวเองอยู่ในสภาพนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้คือไอ้แฮมบริสุทธิ์อย่างที่มันยืนยันจริงๆ
tbc.
เฉลยแล้ว ตอนหน้าจบแล้ววว และหนังสือก็วางขายแล้ววว
ขอบคุณทุกคนที่ตามกันมาจนถึงตอนนี้นะคะ รักมากๆ
เจอกันตอนจบค่า