กาลครั้งสอง
คืนที่สองแล้วที่ผมไม่ฝันถึงเหตุการณ์เลวร้ายในวันนั้น แต่ก็ใช่ว่าคืนที่ผ่านมาจะได้นอนเต็มอิ่ม ในหัวผมเอาแต่คิดถึงเรื่องบ้าๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน รวมถึงเรื่องราวความแปลกประหลาดในชีวิตที่ได้ฟังมา ซึ่งไม่มีคำตอบไหนช่วยคลายความสงสัยที่ผมมีอยู่ได้อย่างชัดเจน
หลังจากนอนคิดอยู่หลายตลบผมก็ได้ข้อสรุปกับตัวเองว่าเรื่องแปลกประหลาดครั้งนี้อาจเป็นการที่ผมได้กลับมาเจอไอ้ดื้ออีกครั้ง เป็นการเริ่มต้นใหม่ ได้ทำความรู้จักกันใหม่ และอาจจะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับชื่อของผมเพราะลิขิตมันพยายามย้ำอยู่เมื่อวาน
เหนือกาล
ย้อนอดีตข้ามกาลเวลา ในเมื่อมันคือเรื่องราวสุดแปลกประหลาดก็ย่อมเกิดขึ้นได้ แต่ปฏิทินยังบอกวันเวลาปัจจุบันไม่ได้ลดหรือเพิ่มไปไหน จะว่าสมองผมกระทบกระเทือนจนจำวันผิดก็ไม่ใช่อีก แต่ถ้าเครียดจนคิดอะไรไม่ออกอันนี้ก็ไม่แน่
แต่สารภาพตามตรงว่าผมไม่ค่อยอยากเชื่อเรื่องราวประหลาดที่ลิขิตมันเล่าให้ฟังนัก แม้จะจำได้แล้วว่าตอนเด็กๆ เคยได้ยินปู่เล่าให้ฟังอยู่บ้าง แต่มันจะเป็นไปได้จริงๆ น่ะเหรอ
คนที่นอนติดเตียงมาแรมปี อยู่ๆ จะกลับมาใช้ชีวิตปกติได้จริงๆ งั้นเหรอ
ด้วยความข้องใจหลังเสร็จงานที่มหาวิทยาลัยแทนที่จะรีบกลับบ้านผมขับรถไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง มันเป็นสถานที่ที่ เมื่ออาทิตย์ก่อนผมก็ยังแวะมา มาทุกวันหยุด มาเพื่อพบกับใครบางคนที่ไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างคนปกติได้ คนที่ไม่สามารถพูดคุยและทำอะไรหลายๆ อย่างด้วยกันได้อีกแล้ว
เด็กดื้อที่ชื่อเอิร์ธ
ผมจอดรถที่หน้ารั้ว กดกริ่งไม่นานก็มีคนชะเง้อมองจากประตูบ้าน เธอเดินเข้ามาหา จนอยู่ในระยะการสนทนาผมจึงรีบยกมือไหว้และเอ่ยทักทาย
"สวัสดีครับแม่"
"สวัสดีจ้ะ มาหาใครเหรอ"
คำถามจากอีกฝ่ายทำเอาชะงัก ทั้งที่ทำใจมาบ้างแล้วว่าอาจจะเป็นแบบนี้ แต่อีกใจกลับยังคิดว่าเรื่องราวบ้าๆ ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ไม่ใช่ความจริง มันคือความผิดพลาด และไม่ใช่ว่าผมกดกริ่งบ้านผิดหลังแน่ๆ ที่ทำให้ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้จักผม
"มาหาเอิร์ธครับ"
"เพื่อนที่มหา'ลัยเหรอ"
"ครับ"
สายตาแม่มองผมอย่างไม่ไว้ใจนัก หากจะอิงตามเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น ครั้งแรกที่ผมเจอไอ้ดื้อคือตอนน้องอยู่ปีหนึ่ง ซึ่งมันก็ผ่านมาครบปีพอดี ถ้าหากเรื่องราวได้ดำเนินไปตามปกติไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงที่ทำให้ไอ้ดื้อต้องนอนเป็นเจ้าชายนิทรา ตอนนี้น้องต้องเรียนอยู่ปีสอง ซึ่งมันจะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าผมไม่แน่ใจ
"เอิร์ธยังไม่กลับเลยจ้ะ ไม่ได้โทรคุยกันเหรอ"
"ก็...คุยครับ เห็นบอกว่ากำลังกลับบ้านสักพักแล้ว ผมก็เลยนึกว่าถึงแล้ว" โกหกออกไปคำโต คิดว่าจะเนียน แต่สีหน้าแม่ดูไม่ค่อยเชื่อ
"แม่ไม่คุ้นหน้าเราเลย"
"เอ่อ...คือ" โดนทักมาแบบนี้แล้วผมควรจะแก้ตัวยังไง
"แม่!"
ระหว่างที่ผมกำลังคิดหาข้อแก้ตัวเสียงคุ้นหูก็ดังขึ้น ผมกับแม่หันไปมองพร้อมกัน คนที่กำลังเดินตรงมาหาก็ชะงักเท้าไว้ทันที
ผมเองก็ลืมคิดไป มาเจอหน้ากันจังๆ แบบนี้จากที่ผมควรจะได้คำตอบที่ชัดเจนและสบายใจขึ้น อาจจะกลายเป็นว่าทำให้เรื่องมันยุ่งยากกว่าเดิมก็ได้
ไอ้ดื้อก้าวขาข้างหนึ่งถอยหลังตั้งท่าจะวิ่งหนี มันไม่เหมือนกับการพบกันครั้งที่สองของเราในอดีต แต่ถ้าเป็นท่าทางกับสีหน้าหวาดกลัวเล็กๆ นั่นล่ะก็ใช่ เพราะเจอผมทำหน้าโหดตอนทำน้ำหกใส่ครั้งนั้นไอ้ดื้อเลยเหมือนเด็กที่กลัวผมไปเลย
"นี่มาเอาเรื่องกันถึงบ้านเลยเหรอ แค่ทำน้ำหกใส่เองนะ สะกดรอยตามหรือว่ายังไง แสดงว่าแอบตามมาตั้งแต่เมื่อวานเลยใช่มั้ย เหี้ยเอ๊ย! แม่งจะน่ากลัวเกินไปแล้ว!"
พูดมาก ขี้โวยวาย ชอบเล่นใหญ่ ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ
ผมไอ้แต่ยืนอ้าปากมองไอ้ดื้อชี้หน้าโยนคำถามใส่เป็นชุด หน้าตาขึงขังพร้อมสู้ ทั้งที่ตัวเองเป็นแค่เด็กตัวกระเปี๊ยก ปากดื้อๆ ขยับพูดไม่หยุด จมูกรั้นๆ นั้นยิ่งทำให้ดูน่ามันเขี้ยวเข้าไปใหญ่ ผิดกับคนเมื่ออาทิตย์ก่อนที่ร่างกายซูบผอมนอนนิ่งๆ อยู่บนเตียง เสียงเจื้อยแจ้วที่ไม่ได้ยินมานานทำขอบตาผมร้อนผ่าว
คิดถึงชะมัด
"อย่าเงียบดิวะ"
"สรุปหนูเป็นใครเนี่ย"
ทั้งแม่ทั้งลูกเริ่มเค้นผม ใจอยากจะอยู่ตรงนี้ให้นานอีกสักหน่อย แต่สมองที่ถูกใช้งานหนักมานานหลายชั่วโมงมันคิดไม่ทันว่าควรจะรับมือกับสถานการณ์นี้ยังไงเลยต้องยอมแพ้
"ไม่มีอะไรครับ"
บอกแล้วกลับขึ้นรถขับออกมา ผ่านเด็กดื้อที่จ้องตามหน้าตาพร้อมมีเรื่องทั้งที่ไม่เคยสู้ได้แท้ๆ เป็นคนปากเก่งแต่ก็มักจะยอมให้ผมตลอด เป็นคนกล้าและขี้โวยวายแต่กลับกลัวด้านนิ่งๆ ของผม เป็นคนที่เหมือนจะแสดงความรู้สึกออกมาตรงๆ แต่ไม่ใช่ เป็นเด็กดื้อที่ในอดีตผมทำให้เขาต้องเจ็บปวดและช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย
มันเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อที่ผมยอมปักใจเชื่อข้อสันนิษฐานของตัวเองไปแล้วร้อยเปอร์เซ็นต์หลังจากได้พบกันครั้งที่สอง
เด็กคนนี้คือเอิร์ธ คือไอ้ดื้อคนในอดีตของผมจริงๆ
ผมขับรถกลับบ้าน ระหว่างการเดินทางมีหลากหลายความรู้สึกผสมปนเปกัน ความเครียดและสับสนลดลงบ้างแล้ว แทนที่ด้วยความสุขอันน้อยนิดที่แทรกเข้ามาเมื่อลองคิดถึงสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้น ทุกวันผมเฝ้าภาวนาให้ไอ้ดื้อกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขเหมือนเดิม แล้วความฝันนั้นก็เป็นจริง ไม่มีเรื่องราวมหัศจรรย์ไหนบนโลกที่จะทำให้ผมดีใจได้เท่านี้ อาจจะน่าเสียดายไปสักหน่อยที่ทุกอย่างย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นอีกครั้ง แต่การทำให้เราสองคนกลับมารักกันอีกไม่ใช่เรื่องยาก ที่ยากคือการรักษามันเอาไว้ต่างหาก
ในกรณีที่ความรู้สึกของไอ้ดื้อยังคงเหมือนเดิม
เปิดประตูลงจากรถแม่ก็เดินเข้ามาสวมกอด ผมกอดตอบแน่น หอมแก้มแม่อีกหนึ่งที ในช่วงเวลาที่หนักหน่วงแบบนี้ยังมีครอบครัวที่อยู่ข้างผมเสมอ
"ไปกินข้าวไป แม่ทำกับข้าวไว้ให้เยอะเลย" แม่บอกแล้วเดินกอดเอวผมพาเข้าบ้าน
บนโต๊ะอาหารมีกับข้าวหลายอย่างที่แม่ทำเตรียมไว้ให้ ความจริงพ่อกับแม่ตั้งใจจะรอผมกลับมาก่อนแล้วกินพร้อมกัน แต่ด้วยการจราจรแสนโหดร้ายของเมืองหลวงเลยไม่อยากให้รอ ตอนผมออกมาจากบ้านไอ้ดื้อก็หกโมงกว่าแล้ว เจอรถติดเข้าไปอีก กว่าจะถึงก็ใช้เวลาชั่วโมงครึ่งเลยทีเดียว
"พี่ชายเราเขาไม่คิดจะกลับบ้านบ้างเหรอ" แม่ถามหาลูกชายคนโตหลังจากนั่งมองผมกินข้าวจนเกือบหมด มันได้คุยกับแม่บ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้
"มันไม่ได้บอกแม่เหรอ"
"เห็นแต่บอกว่าจะกลับบ้านสวน"
"งั้นเดี๋ยวก็คงแวะมา ช่วงนี้มันโคตรติดพุดตานเลย"
"ลิขิตก็บอกว่ากาลน่ะติดเพื่อน ไม่ชอบนอนห้อง" ตั้งใจจะฟ้องเรื่องไอ้ลิขิตติดแฟนแต่กลับโดนดักทางซะงั้น เพิ่งรู้ว่ามันก็ขี้ฟ้องเหมือนกัน
"เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้ออกแล้วแม่ แค่เรียนก็เหนื่อยแล้ว"
"แล้วที่บอกจะมาคุยกับพ่อด้วยนี่เรื่องอะไร บอกแม่ได้มั้ย"
ผมเป็นคนที่คุยกับแม่บ่อยอยู่แล้ว มีปัญหาอะไรจะบอกตลอด แต่ไอ้เรื่องประหลาดที่กำลังเกิดขึ้นผมยังไม่ได้บอกแม่สักคำ เคยโทรหาพ่อจะปรึกษาครั้งเดียว พอเห็นว่าไหนๆ ก็ปิดเทอมแล้วพ่อเลยบอกให้กลับมาคุยกันที่บ้าน และก็คงเป็นพ่อเองที่หลุดปากบอกแม่ไปว่าผมกำลังมีปัญหาชีวิต
"จริงๆ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน" แต่กับปัญหานี้น่ะ ผมเองก็ไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกัน
"มันยังไงหืม"
"ลิขิตมันบอกว่าให้ถามพ่อ"
"เรื่องของลูกผู้ชายงั้นสิ"
"ก็คงประมาณนั้นมั้งครับ" บอกตรงๆ ผมก็สับสน เรื่องนี้บอกใครได้บ้างก็ไม่รู้ ไอ้พี่ชายที่ทำตัวเหมือนเคยผ่านเรื่องบ้าๆ นี้มาแล้วก็ไม่ยอมบอกรายละเอียด จากที่คุยกันลิขิตมันเอ่ยแค่ชื่อปู่กับพ่อ ผมเลยไม่รู้ว่าควรจะบอกแม่เรื่องนี้ดีหรือเปล่า
"ทำไม มีแฟนแล้วเหรอ"
"ยังหรอกแม่ แต่เร็วๆ นี้อาจจะมี"
"แสดงว่ากำลังจีบใครอยู่ใช่มั้ย"
ผมฉีกยิ้ม ทำเป็นกั๊กไปอย่างนั้นให้แม่ตื่นเต้นเล่นๆ ผมไม่เคยพาใครเข้าบ้าน ตั้งแต่เข้ามหา'ลัยก็เที่ยวเล่นไปเรื่อยไม่เคยคบใครจริงจัง เรื่องของไอ้ดื้อครอบครัวไม่เคยได้รับรู้ มันคือความผิดที่ผมไม่กล้าสารภาพ
"ถ้ามีอย่าลืมพามาให้แม่รู้จักบ้างนะ" แม่ยิ้มให้ และผมไม่ปฏิเสธคำขอนี้
"ครับ"
จบมื้ออาหารผมก็ช่วยแม่ยกจานไปเก็บ ก่อนจะโดนไล่ออกมาตอนแม่จะล้างจาน ทิ้งตัวบนโซฟาที่ห้องนั่งเล่นได้แป๊บเดียวพ่อที่น่าจะเพิ่งอาบน้ำเสร็จก็เดินลงบันไดมาพอดี
พ่อเดินมานั่งข้างผม ริมฝีปากยกยิ้มบางๆ ทำเหมือนกับว่ารู้ปัญหาของผมแล้วยังไงยังงั้น ก็หน้าผมมันเคร่งเครียดขนาดนี้นี่นะ มีแต่คนรอบข้างผมนี่แหละที่ยังดูสบายใจ
"ยิ้มขนาดนี้พ่อพูดมาให้หมดเลยดีกว่าว่ามันยังไง"
ทั้งพ่อทั้งลิขิตต่างทำเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ไม่ต้องทำอะไรตอนจบมันก็จะออกมาสวยงามอยู่ดี ผิดกับผมที่เครียดจนเหมือนแก่ขึ้นไปอีกสามสิบปี เดินไปส่องกระจกดูอีกทีผมอาจจะขาวทั้งหัวแล้วก็ได้
"เรื่องของกาลพ่อจะไปรู้ได้ไง"
"พูดงี้พ่อไม่ต้องให้ผมกลับมาคุยที่บ้านก็ได้นะ" ผมทำเป็นหงุดหงิดซึ่งพ่อก็รู้นั่นแหละว่ามันคือการแสดงถึงยังยิ้มได้อยู่
"ใจเย็นๆ พ่อแค่อยากให้กาลกลับบ้าน" แล้วพ่อก็เปิดเผยเหตุผลที่แท้จริงออกมา ทำให้ผมอยากลับบ้านโดยการเอาเรื่องแปลกประหลาดนั้นมาล่อ
"แล้วสรุปว่าไอ้เรื่องแปลกประหลาดนี่มันคือยังไงอ่ะพ่อ ลิขิตมันบอกพอเรื่องของมันจบเรื่องของผมก็จะเริ่มขึ้น ต้องทำสิ่งผิดให้ถูกต้อง" ผมยิงตรงเข้าประเด็น ฟังแล้วสีหน้าพ่อไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลยสักนิด
"ก็อย่างที่ลิขิตบอกนั่นแหละ"
"มันไม่ได้บอกอะไรกาลเลยนะ"
"กาลต้องหาด้วยตัวเอง"
"ตอนนี้เครียดจนเหมือนเส้นเลือดในสมองจะแตกแล้วครับ"
"มันไม่ยากขนาดนั้นหรอก" พ่อยังคงบอกด้วยยิ้ม
"แล้วผมต้องแก้มันยังไง"
"พ่อไม่รู้หรอก"
"อ้าว"
"มันเป็นเรื่องของกาล ก็มีแค่กาลเท่านั้นที่รู้"
"งั้นเดี๋ยวกาลเล่าให้พ่อฟัง"
"ไม่ต้องเล่าหรอก ถึงเล่าไปพ่อก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี"
ให้มันได้อย่างนี้สิ
ยอมรับว่าผมไม่ได้รู้สึกว่ามันหมดหนทาง ในหัวพอจะมีวิธีการอยู่บ้างว่าจะรับมือและแก้ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นนี้ยังไง แต่ผมแค่ต้องการกำลังใจ ต้องการความเชื่อมั่นว่ามันจะสำเร็จและผ่านไปด้วยดี ผมไม่อยากเผชิญหน้ากับปัญหาเพียงคนเดียว ไม่อยากเผชิญกับเรื่องเลวร้ายนั้นอีกแล้ว
"อย่าทำหน้าเครียด ลูกคือเหนือกาลนะ ลูกพ่อเก่งอยู่แล้ว" พ่อพูดขึ้นมาเมื่อเห็นว่าผมไม่ตอบอะไร รอยยิ้มยังคงแต้มอยู่บนริมฝีปาก คล้ายกับต้องการยืนยันว่าคำพูดเมื่อครู่คือความจริง
"เหนือกาลคนเก่งก็เครียดเป็นนะครับ"
"งั้นไหนลองเล่ามาซิ" สุดท้ายพ่อก็ยอม
ผมเริ่มต้นด้วยเรื่องฝันร้ายที่หายไป พูดถึงคนคนหนึ่งที่ปัจจุบันไม่มีทางใช้ชีวิตแบบคนปกติได้ แต่กลับได้มาเจอกันอีกครั้งในฐานะคนไม่รู้จัก เหตุการณ์มันเหมือนกับครั้งแรกที่ได้รู้จักกัน แต่เขาคนนั้นจำผมไม่ได้ คนที่เกี่ยวข้องกับเขาไม่มีใครจำผมได้ และคนที่เกี่ยวข้องกับผมก็ไม่มีใครจำเขาได้เช่นกัน
"พ่อเคยรู้จักเขามั้ย"
"ไม่ครับ"
"ถ้าอย่างนั้นจบเรื่องแล้วอย่าลืมพาเขามาทำความรู้จักกับพ่อนะ"
คำตอบจากพ่อมีเพียงเท่านี้ก่อนเราจะปิดประเด็น พ่อไม่ตอบอะไรอีก เป็นจังหวะเดียวกับที่แม่เข้ามาพอดี ทั้งคู่เริ่มจดจ่อกับสิ่งน่าสนใจในจอทีวี ทิ้งให้ผมจมอยู่กับความคิดของตัวเอง
คิดไปคิดมาแล้วเรื่องราวสุดแปลกประหลาดบ้าๆ นี้ก็คือโอกาสครั้งที่สองของผม จะผิดหรือถูก เรื่องราวจะดำเนินเหมือนครั้งก่อนไหมผมไม่รู้ แต่ครั้งนี้ทุกอย่างต้องจบลงด้วยดี ไม่อย่างนั้น ผมคงไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้อีกเลย
ทิ้งตัวลงบนเตียงตอนตาใกล้จะปิดผมถึงได้หยิบมือถือมาตอบไลน์ลิขิต พิมพ์กลับไปสั้นๆ ว่า ‘อยู่บ้านแล้ว’ ก่อนปิดไฟนอน แต่หลับตาได้ไม่ถึงนาทีเสียงเรียกเข้าก็ดัง
เป็นใครไม่ต้องเดาให้เสียเวลา
"ว่า"
[ถามไปตั้งแต่เย็น]
"ก็ตอบแล้วนี่ไง"
[ตอนจะห้าทุ่มแล้วเนี่ยนะ โทรก็ไม่รับ ดีนะแม่บอกกูก่อน]
"กูบอกมึงไปแล้วไงว่าจะกลับบ้าน"
[แต่ติดต่อไม่ได้ กูก็ห่วงมั้ย ช่วงนี้มึงยิ่งเครียดๆ อยู่]
"ขอโทษๆ ปลอดภัยดี"
[แล้วได้คุยกับพ่อยัง]
"คุยแล้ว"
[พ่อว่าไง]
"ก็บอกเหมือนมึงอ่ะ"
[แล้วมึงโอเคขึ้นยัง ยังเครียดอยู่ปะวะ]
"ก็เออ ดีขึ้นมั้ง ก็ดีขึ้นนิดนึง" อย่างน้อยก็ไม่เครียดและสับสนเท่าเมื่อวาน
[มันจะผ่านไปด้วยดีเชื่อกู มึงอาจจะต้องขอบคุณก็ได้ที่เกิดเรื่องแบบนี้ แม้เรื่องของกูมันจะไม่ค่อยน่าให้อภัยนักก็เถอะ แต่กูก็คิดว่าดีแล้ว อย่างน้อยมันก็ทำให้กูมองเห็นสิ่งรอบตัวมากขึ้น]
"พูดซะกูอยากรู้เลย"
[กูบอกไปแล้วไงว่ามึงเคยรู้ แต่ลืมเองว่ะช่วยไม่ได้]
"ก็เล่าให้กูฟังอีกรอบไม่ได้เหรอวะ"
[ไม่ว่ะ เสือกลืมเอง]
"เออ ไอ้สัด"
ปลายสายหัวเราะกลับมา ดูมีความสุขเสียเหลือเกิน
"แล้วนี่มึงอยู่ไหน"
[อยู่ห้องดิ]
"กับพุดตาน"
[ก็รู้นี่หว่า]
"ไม่กลับบ้านจริงอ่ะ"
[เดี๋ยวกลับ]
"เออๆ ไปนอนไป กูก็จะนอนแล้ว"
[อย่าเครียดนะมึง]
"เออ"
ผมชิงวางสายก่อน ซุกหน้าลงกับหมอนและหยุดคิดทุกเรื่องที่ชวนให้ปวดหัว
จากนี้ต่อไปฝันร้ายจะไม่กลับมา มันดีแล้ว เป็นเรื่องราวแปลกประหลาดที่มาพร้อมกับเรื่องดีๆ
เป็นโอกาสที่จะทวงคืนฝันดีของผมกลับมา
ได้กลับมาอยู่บ้านช่วงปิดเทอมยาวๆ ทั้งที ใจอยากนอนตื่นสายๆ แต่ร่างกายไม่ปฏิบัติตาม แม้ไม่ฝันร้ายก็ใช่ว่าจะได้นอนเต็มอิ่ม เพราะสมองทำงานไม่หยุด เอาแต่คิดนั่นคิดนี่สุดท้ายก็เก็บไปฝันอยู่ดี ฝันเป็นเรื่องเป็นราวที่ดูเละเทะไปหน่อย ผสมปนเปกันจนปะติดปะต่อไม่ถูกว่าเรื่องมันควรเป็นยังไง แต่สิ่งที่ผมจำได้แม่นคือในความฝันนั้นมีไอ้ดื้ออยู่ด้วย เป็นไอ้ดื้อที่ยังสุขภาพแข็งแรงดี
เดินลงมาข้างล่างก็เจอพ่อกำลังเตรียมตัวไปทำงาน แม่กำลังตากผ้าอยู่หลังบ้าน ได้กลิ่นไอของความเป็นครอบครัวลอยมานิดๆ หลายเดือนแล้วที่ผมไม่ได้ตื่นนอนแต่เช้าตอนอยู่บ้านแบบนี้
"ตื่นเช้าเชียว" พ่อทัก ในมือถือกระเป๋ากับกุญแจรถเตรียมพร้อม
"เมื่อคืนกาลนอนเร็วมั้ง"
"แม่ทำต้มจืดไว้ มีน้ำเต้าหู้ด้วย พ่อไปทำงานแล้วนะ"
"ครับ"
พ่อโบกมือให้ก่อนเดินออกจากบ้านไป
เช้าในวันที่ไม่มีเรียนแบบนี้ผมไม่ค่อยอยากอาหารเท่าไร ทิ้งตัวลงบนโซฟาเปิดข่าวเช้าดู ช่วงนี้ก็มีแต่เรื่องเครียดๆ ไม่จรรโลงใจสักนัก จดจ่ออยู่กับข่าวได้พักเดียวก็กลับมาจมอยู่กับความคิดตัวเองอีกครั้ง
ชีวิตผมตอนนี้ก็เหมือนถูกนำเรื่องในอดีตมาฉายซ้ำ แต่เรื่องราวจะดำเนินไปในทิศทางใดนั้นย่อมขึ้นอยู่กับตัวละครหลักอย่างผม ซึ่งได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เดินเรื่องตามรูปแบบเดิมและเปลี่ยนตอนจบใหม่
รายละเอียดเรื่องราวต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นผมยังจำได้ ครั้งแรกที่ได้เจอ และครั้งสุดท้ายที่ได้พูดคุย แม้ระหว่างทางจะเลือนรางไปบ้างก็ตาม
ครั้งแรกผมกับไอ้ดื้อเจอกันที่ร้านข้าว ส่วนครั้งที่สองคือหลังจากนั้นสองวัน ณ สถานที่เดิม แม้อยากจะเลือกเส้นทางที่แตกต่าง แต่ผมยังไม่รู้ว่าควรทำยังไงกับจุดเริ่มต้นมันถึงจะออกมาดีที่สุด ซึ่งการเดินตามบทเดิมก่อนมันก็คงไม่แย่นัก จับทางได้แล้วจึงค่อยเริ่มเดินด้วยตัวเอง
ตอนเย็นผมขับรถมาที่ร้านข้าวร้านเดิม สั่งข้าวตามสั่งป้าร้านประจำนั่งกินที่ร้าน ผมจำได้แม่นว่าครั้งที่สองที่เราได้เจอกันเป็นยังไง เพราะมันคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมมองเด็กคนนี้ใหม่ แม้ละครบทใหม่นี้ความประทับที่ไอ้ดื้อมีต่อผมอาจจะเปลี่ยนไปจากการที่ผมบุกไปหาถึงบ้านก็เถอะ
กินข้าวไปผมก็คอยมองรอบข้างไป ความจริงผมก็ไม่ค่อยมั่นใจนักว่าทุกอย่างจะเหมือนเดิมร้อยเปอร์เซ็นต์หรือเปล่า ตอนนั้นเราพบกันด้วยความบังเอิญอีกครั้ง และผมไม่ได้นั่งกินข้าวรออยู่แบบนี้ บางทีการที่ผมมาปรากฏตัวแบบนี้มันอาจจะดูจงใจเกินไป
ขณะที่กำลังคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆ คนที่คุ้นเคยก็เดินเข้ามาในระยะสายตา เราสบตากัน อีกฝ่ายชะงักไปชั่วครู่ แต่สุดท้ายก็เดินตรงมาหาด้วยท่าทางที่ยังดูลังเล
ปัจจุบันยังคงเหมือนในอดีต
ไอ้ดื้อเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม สายตาคู่นั้นดูล่อกแล่ก แต่ยังคงไว้ซึ่งความซุกซนที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัว เอกลักษณ์ที่ตอนนี้ยังถูกซ่อนเอาไว้เมื่ออยู่ต่อหน้าผม
"เรื่องวันนั้นอ่ะ ขอโทษนะ" พูดเข้าประเด็นโดยไม่มีการเกริ่นนำแต่อย่างใด มันยังเหมือนเดิม ไอ้ดื้อเป็นฝ่ายเข้ามาขอโทษผม
"อืม"
"แต่เราก็ไม่คิดนะเว้ยว่านายจะโกรธถึงขั้นตามไปที่บ้านเราอ่ะ วันนี้เราเลยอยากมาเคลียร์ คือถ้าวันนั้นนายทำอะไรแม่เราขึ้นมา..."
"เดี๋ยวก่อน" ผมต้องรีบเบรกก่อนคนตรงหน้าจะจินตนาการเป็นเรื่องเป็นราวไปไกลกว่านี้
"เราซีเรียสนะ มีอะไรก็มาลงที่เรา อย่าไปยุ่งกับแม่เรา"
"ก็บอกว่าเดี๋ยวไง"
"นายต้องการอะไรว่ามาเลย เคลียร์ให้มันจบๆ ไป"
เอาล่ะ ผมรู้แล้วว่าปัจจุบันกับอดีตนั้นมันต่างกันยังไง ตอนนั้นไอ้ดื้อเข้ามาขอโทษผม เราคุยกันและเริ่มทำความรู้จักกัน แต่ครั้งนี้เหมือนผมกำลังถูกลูกหมาตัวเท่าข้อเท้าท้าต่อย มันเป็นความผิดผมก็จริงที่ทำให้ไอ้ดื้อมีความคิดแบบนี้ แต่ใจเย็นหน่อยเถอะไอ้หนู
"นั่งก่อนมั้ย คุยกันก่อน" ผมดึงเก้าอี้พลาสติกออกให้พร้อมทั้งผายมือเชื้อเชิญ
ไอ้ดื้อดูลังเล อีกฝ่ายยังไม่ไว้ใจผมข้อนี้เข้าใจดี เราเล่นจ้องตากันอยู่สักพัก พอรู้ว่าสู้ไม่ได้แน่ๆ อีกฝ่ายถึงได้ยอมนั่ง
"นี่ผ้าเช็ดหน้า ขอบคุณมาก" เมื่อรู้ตัวว่าต้องเป็นฝ่ายยอมอ่อนให้ก่อนผมก็เริ่มผูกมิตร ใช้น้ำเสียงอ่อนโยน ไม่ขึงขังเหมือนอดีต ยื่นผ้าเช็ดหน้าที่อีกฝ่ายทิ้งไว้คืนให้
เด็กดื้อตรงหน้ารับไป เหลือบตามองผมแล้วยัดใส่กระเป๋าลวกๆ และก่อนที่อีกฝ่ายจะเปิดฉากพูดเรื่องผิดๆ ในจินตนาการออกมาอีกรอบผมก็ชิงอธิบายออกมาก่อน
"เรื่องที่ทำน้ำหกใส่วันนั้นไม่ติดใจอะไรนะ อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ ขอโทษแล้วก็จบๆ กันไป ส่วนที่ตามไปที่บ้าน อันนี้อาจจะเชื่อยากหน่อย คือเราน่ะ เอ่อ หมายถึงนายน่ะ หน้าตาคล้ายคนที่พี่ เอ้ย! คล้ายคนที่เรารู้จัก เลยแอบตามไป"
สีหน้าคนฟังบอกชัดว่าไม่เชื่อ เหตุผลของผมยังไม่เนียนพอ บวกกับการใช้สรรพนามแปลกๆ อีก เพราะมันติดปากเลยเผลอพูดไปแบบนั้น
"คล้ายคนที่รู้จักเหรอ"
"ใช่ คล้ายจนเหมือนเป็นพี่น้องกันเลย อยากเจอมั้ยล่ะ" เรื่องนี้ผมไม่ได้โกหก เพราะพุดตานกับไอ้ดื้อหน้าเหมือนกันมากกว่าฝาแฝดอย่างผมกับลิขิตเสียอีก
"เหมือนกำลังโดนล่อลวง"
"เฮ้ย ไม่ใช่ แค่อยากยืนยันเฉยๆ"
"แล้วนายรู้ชื่อเราได้ไง แถมเมื่อกี้แทนตัวเองว่าพี่" อยู่ๆ คู่สนทนาก็เปลี่ยนน้ำเสียง สีหน้าและแววตาจริงจังขึ้น
เรื่องนี้ผมไม่ได้คิดข้อแก้ตัวมา แม้จะรู้อนาคต รู้ความรู้สึกของอีกฝ่าย แต่การรู้ชื่อคนที่เพิ่งเจอกันย่อมเป็นเรื่องแปลกในสายตาอีกฝ่าย จะโกหกไปว่าเพราะพุดตานเป็นน้องก็ไม่ได้ ในอนาคตยังไงสองคนนี้อาจมีโอกาสได้เจอกัน สุดท้ายต้องโดนจับได้อยู่ดี ผมไม่อยากให้เราต้องมีเรื่องบาดหมางใจกันตั้งแต่ตอนนี้แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยก็ตาม ต้องเคลียร์ให้สบายใจหมดทุกเรื่อง
จังหวะที่กำลังคิดหาข้อแก้ตัวผมก็เหลือบไปเห็นพวงกุญแจที่ห้อยอยู่ตรงกระเป๋าอีกฝ่ายพอดี แม่ไอ้ดื้อคงเล่าให้ฟังหมดแล้วว่าผมถามถึงตอนไปหาที่บ้าน และเหตุผลที่ทำให้ผมรู้ชื่อเด็กดื้อคนนี้ได้นั้นก็เพราะคำที่อยู่บนพวกกุญแจ โชคดีแค่ไหนที่น้องมันใช้กระเป๋าใบเดิม
"เดาเอา น่าจะชื่อเดียวกับพวงกุญแจ"
เจ้าของพวงกุญแจรีบคว้ามันมาดู ก่อนจ้องกลับมาเหมือนผมเป็นโรคจิตยังไงยังงั้น
"ส่วนที่แทนตัวเองว่าพี่เพราะนายหน้าเด็ก แล้วจริงๆ นายเรียนอยู่ปีไหน"
"ปีหนึ่ง"
คำตอบที่ได้ฟังชวนให้ชะงัก เวลาผ่านมาเกือบปีแล้วแต่ไอ้ดื้อยังเรียนอยู่ปีหนึ่งเหมือนตอนที่เราเจอกันครั้งแรก แสดงว่าเวลาของผมยังเดินไปตามปกติ แต่เวลาของอีกฝ่ายได้ย้อนกลับสู่อดีต
"งั้นก็น้องจริงๆ เราชื่อเหนือกาล หรือเรียกพี่กาลก็ได้ อยู่ปีสาม เราเรียนที่ไหน" หลังจากตั้งสติได้ผมก็ใช้โอกาสนี้แนะนำตัว
"เอยู"
"มอเดียวกัน"
"ครับ" ไอ้ดื้อยังใช้สายตาเหมือนมองสิ่งแปลกประหลาดสักอย่างมองผม ต่างจากสายตาในอดีตที่ค่อนข้างดูหวาดกลัวผมมากกว่า ซึ่งก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีกว่าครั้งก่อนล่ะมั้ง
"จะมาซื้อข้าวใช่มั้ย"
"อืม"
"งั้นเดี๋ยวพี่เลี้ยง ขอโทษที่ทำให้ตกใจ"
"ไม่เป็นไรครับ ถือว่าหายกันก็ได้" รีบปฏิเสธ พอรู้ว่าเป็นรุ่นพี่ก็พูดเพราะขึ้นมาทันที
"งั้นก็แล้วแต่"
"เคลียร์แล้วนะครับ งั้นผมไปก่อนนะ"
ผมพยักหน้าให้ ไม่รั้งเอาไว้เพราะรู้ว่ายังไงเราต้องได้เจอกันอีก
ไอ้ดื้อลุกขึ้นยืน เหลือบมองกันด้วยสายตาไม่ไว้วางใจอีกครั้ง ผมส่งยิ้มกลับไปให้ อีกฝ่ายนิ่งไปชั่วครู่แถมไม่ยอมยิ้มตอบ เบนสายตามองทางอื่น ก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินหนีไป
แล้วเจอกันใหม่นะเด็กดื้อ
tbc.
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า