OWAZA ตอนจบ (7/6/64)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: OWAZA ตอนจบ (7/6/64)  (อ่าน 29136 ครั้ง)

ออฟไลน์ uniko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: OWAZA ตอนที่ 17 (14/01/64)
«ตอบ #210 เมื่อ14-01-2021 19:34:08 »

เย้ๆ เย้ๆ มาแล้ววววว



 :mew1:  :mew1:


แปะไว้ก่อน


เดี๋ยวกลับมาอ่านน๊า


 :3123:


ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: OWAZA ตอนที่ 17 (14/01/64)
«ตอบ #211 เมื่อ14-01-2021 20:59:30 »

ยังคงซับซ้อน มีเรื่องให้ลุ้นตลอด

ออฟไลน์ uniko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: OWAZA ตอนที่ 17 (14/01/64)
«ตอบ #212 เมื่อ15-01-2021 17:07:24 »

อืม ก็สงสัยมาหลายตอนว่าทำไมพี่ลุคไม่จัดการนางปิศาจแมงมุมที่ควบคุมเบสก่อน




 :serius2:




มาตอนนี้พอพี่ลุคอธิบายให้พี่บลูฟัง เราก็เลย อ้อ...เข้าใจล่ะ อย่างงี้นี่เอง ต้องค่อยเป็นค่อยไป




 :เฮ้อ:       ใจร้อนไปกับพี่บลูด้วยอ่ะ




ตอนนี้มีตัวละครใหม่ด้วย เด็กน้อยกระดิ่งแก้ว

เป็นใคร อะไร ยังไงฮะพี่จัสติน ตอบด้วยยยยย



 :katai2-1: 



อ่านมาตั้งนาน ไม่ยักรู้ว่ามือปราบวาติกันอย่างพี่ลุค พี่จัสติน ต้องมีวีซ่าด้วย 555 เชงเก้นด้วยน๊า




แล้วตอนทำพาสปอร์ต เจ้าหน้าที่เค้าไม่ตกกะใจเหรอฮะว่าพี่ๆ อายุหลายร้อยปีเลย 



 :hao3:



ตอนหน้าไปสวีเดนกันแล้ว ตัวละครไหนจะโผล่ออกมาบ้างนะ อยากรู้จัง



ติดตาม ติดตาม  :impress2:



ขอบคุณสำหรับตอนใหม่นี้นะฮะ  :pig4:



ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
Re: OWAZA ตอนที่ 17 (14/01/64)
«ตอบ #213 เมื่อ27-01-2021 13:56:29 »



ในขณะที่พวกลุคต้องค่อยๆตามสืบเสาะไปแบบนี้


แต่ทุกอย่างดูเหมือนจะเข้าแผนของพวกปีศาจพวกนั้นซะจริง


นกฮูกเราที่ช่างจ๊อกๆแจ๊กกๆ ข้างๆลุคแบบนี้ค่อยอุ่นใจ คือยังไงก็รู้สึกว่าน้องจะไม่เป็นอันตราย




แต่ ........... คนที่จัสตินคอยปกป้องในบ้าน ตอนนี้ น่าติดตามจุง  :katai2-1:  :katai2-1:



ขอบคุณค่า

 :L2:  :L2:



ออฟไลน์ MyTeaMeJive

  • MyTeaMeJive
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1894
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3313/-9
OWAZA ตอนที่ 18 (16/02/64)
«ตอบ #214 เมื่อ16-02-2021 12:49:17 »

ตอนที่ 18

บลูไม่ได้อยากให้ลุคตามไปด้วยทุกที่ แต่การหนีจากลุคในเวลานี้มันก็อาจทำให้กลายเป็นผู้ต้องสงสัย
“นายมีเรื่องให้ทำตั้งมากมายไม่ใช่หรือ ทำไมไม่ไปทำ”
ภายในห้องสีขาวที่มีเครื่องเรือนของลุควางอยู่ บลูกำลังยืนเท้าเอว ท่าทางเอาเรื่องคนที่ใช้เวลามากกว่ากันแค่ 10 นาทีในการเดินทางมาถึงห้องนี้
คาดว่าที่ช้าน่าจะเป็นเรื่องการหาที่จอดรถ กับรอลิฟท์ ไม่ใช่เรื่องการจราจร
“ก็เผื่อว่ามีอะไรให้ช่วย”
“ไม่มีอะไรให้ช่วย บอกไว้เลยว่า ไอ้แสงขาว ๆ จากนายน่ะมันคือสัญญาณเรียกศัตรู”
“แต่ตอนนี้เก็บไปแล้ว” ลุคผายมือ ขณะที่เดินเข้ามาใกล้
...เออ จริง ไอพลังงานของมือปราบถูกเก็บหายไปตั้งแต่ตอนที่อยู่ในบ้านไม้กลางบึงน้ำหลังนั้น น่าจะหายไปพร้อม ๆ กับตอนที่จัดการปีศาจตนนั้นเสร็จ
ลุคเหลียวมองไปรอบห้อง “นายจะย้ายของในห้องนี้ไปที่ไหน”
บลูเงียบ ไม่ตอบคำถาม ลุคก็เลยพยักหน้า “แล้วพวกเตียงกับเครื่องครัวของฉันล่ะ นายย้ายไปด้วยหรือเปล่า”
บลูพยักหน้า “พรุ่งนี้บริษัทขนย้ายจะมาย้ายไป เสร็จเรียบร้อยจะบอก มันออกจะยุ่งยากสักหน่อย”
สีหน้าท่าทางของบลูดูลำบากใจที่จะเล่าอย่างแท้จริง และลุคก็เข้าใจ
“หมายความว่า ในระหว่างวันพรุ่งนี้และวันถัดไปจะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ห้ามฉันตามนายถูกต้องไหม”
บลูพยักหน้า
“สัญญาได้ไหม ว่าในเวลาที่ฉันไม่ได้ตามนาย นายจะไม่เอาตัวไปเสี่ยงอันตราย”
“ลุค เมอร์ฟี่ นายไม่เบื่อบ้างหรือไง ที่ต้องพูดประโยคนี้ซ้ำอยู่ทุก ๆ 5 นาทีน่ะ”
“ไม่นะ ครั้งก่อนที่พูดคำนี้ มันนานกว่า 10 ชั่วโมงแล้ว” ลุคเดินเข้ามากอดแล้วแนบคางไว้กับผมนิ่ม
“นายมันสสารน่าเบื่อ” บลูบ่นเบา ๆ “นายจะอยู่ในห้องนี้ต่อก็ได้นะ แต่ฉันต้องนอนพักแล้ว”
ลุคก้มลงหอมที่ขมับ “นอนพักให้สบาย ฉันจะเป็นการ์ดให้นายเอง รับรองว่าจะไม่มีใครรบกวนการนอนพักของนาย”
...
เบส ข้าวโพด และนทีกลับจากการเที่ยวเกาะในแบบที่ไม่ได้รู้สึกว่า ‘มีเรื่องสนุก ๆ ที่จะไปเล่าอวดให้คนที่ไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันฟังมากมายหลายเรื่อง”
มีก็แต่รูปถ่ายมากมายที่นทีถ่ายและอัพโหลดใส่ไดรฟ์คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กไว้ เพราะที่เกาะไม่มีอินเทอร์เน็ต แล้วในระหว่างที่กำลังนั่งรถกลับมาเบสก็ถามถึงรูปภาพเหล่านั้น นทีจึงเปิดโน้ตบุ๊กให้ดูรูปอยู่ด้วยกันที่เบาะด้านหลัง
นทีถ่ายรูปมาเยอะ แต่มันก็ไม่ได้มากมายถึงขนาดที่ต้องใช้เวลาดูนานมากอย่างที่เบสกำลังเป็นอยู่ในตอนนี้
รูปในตอนที่ออกเดินทาง ไปจนตอนที่ขึ้นเรือไม่เท่าไหร่ มีอยู่รูปสองรูปที่เบสจะจ้องมองรูปอยู่นิ่ง ๆ แต่รูปที่ถ่ายบนเกาะอินนี่ถือว่า เบสพิจารณามากเป็นพิเศษ ถึงขั้นที่ซูมเข้าซูมออกไปยังบางจุดในรูป
บางรูปดูผ่านไปแล้ว แต่ก็ยังกลับมาดูมาวิเคราะห์ใหม่ก็มี
ชัดเจนเลยว่า เบสกำลังค้นหาบางสิ่งบางอย่างในภาพ
นทีอยากถามใจจะขาด แต่ยอมรับกลัวคำตอบ พยายามส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากข้าวโพดก็ไม่น่าจะถูกต้อง เพราะข้าวโพดขับรถอยู่
ตอนแรกก็พยายามจ้องมอง และสังเกตภาพตามเบสไปด้วย แต่ผ่านไปได้ไม่ถึง 15 นาทีนทีก็เปลี่ยนมาสังเกตท่าทีของเบสแทน
ข้าวโพดแวะปั๊มน้ำมัน เพื่อแวะซื้อขนมและเข้าห้องน้ำ เบสถึงได้เงยหน้าขึ้นมา
“เอาอะไรไหมเบส”    นทีถาม
“ขอชามะนาวไม่หวาน” เบสบอก “เดี๋ยวเราเฝ้ารถ พอข้าวโพดหรือนทีกลับมา เราค่อยไปห้องน้ำ”
ทั้ง 2 คนพยักหน้าตามนั้น
ข้าวโพดเข้าห้องน้ำเสร็จ ก็ไปซื้อชามะนาวมาให้เบสก่อน ส่วนนทีไปซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อขนม
เบสไม่ได้พักหน้าจอโน้ตบุ๊ก เพราะคิดว่าไปเข้าห้องน้ำแค่ไม่กี่นาที แต่ภาพที่เบสกำลังดูอยู่เป็นภาพตอนที่กำลังเดินเที่ยวในหมู่บ้านชาวประมง
ข้าวโพดพยายามเพ่งมองหาคน หรือ เงาที่อาจเป็นสิ่งที่เบสกำลังพยายามมองหา แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรในรูปนี้ที่น่าสงสัย
จากเรื่องที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดจนถึงตอนนี้ ข้าวโพดรู้สึกระแวงและไม่ไว้ใจใครหลายคนบนเกาะนั้น แต่ถ้าจะถามถึงสถานที่ที่รู้สึกไม่ไว้ใจ ก็แทบจะทุกพื้นที่บนเกาะนั้นเหมือนกัน ไม่ว่าจะหมู่บ้านประมง หมู่บ้านโบราณหรือแม้แต่ที่บ้านพัก
ตั้งแต่ตอนที่ลุคฝังเข็มเล่มเล็กไว้เหนือหัวใจ ข้าวโพดก็บอกกับตัวเองมาตลอดว่าควรไปเรียนมวย หรือการต่อสู้อะไรสักอย่างเพิ่มเติม แต่จะไปอย่างไรในเมื่อในใจกำลังเป็นกังวลที่เบสกำลังกลายไปเป็นใครอีกคนที่ไม่รู้จัก
เบสกลับมาที่รถอย่างรวดเร็ว และถามขึ้นทันทีที่เปิดประตูรถเข้ามา แล้วนั่งลงที่เดิม
“เป็นอะไร ขับรถไหวหรือเปล่า”
“ไหว ไม่ได้เป็นอะไร”
“เห็นหน้าซีด”
“แล้วถ้าเราไม่สบาย เบสจะขับรถไหมล่ะ นทียังไม่มีใบขับขี่”
“เออ นี่ ตกลงนทีขับรถเป็นหรือไม่เป็นกันแน่”
“เป็น เคยขับรถกระบะของที่บ้าน แต่ไม่รู้ทำไม มันขับรถคนอื่นไม่ได้ เห็นนานาพยายามจะให้มันไปเรียนขับรถจะได้ไปทำใบขับขี่ แต่ก็ไม่สำเร็จ”
เบสทำหน้ายู่ แล้วดื่มชามะนาว ขณะที่ข้าวโพดดื่มน้ำอัดลม
“เบสบอกให้นทีมันแชร์รูปมาให้สิ แล้วไปดูที่หน้าจอใหญ่ที่บ้านดีกว่ามาเพ่งแบบนี้”
“รู้หรือไงว่าเรากำลังหาอะไร”
“ไม่รู้หรอก รู้แต่ว่าถ้าเป็นเรื่องที่เบสสนใจ หรือชอบ เราก็ตามใจเบสอยู่แล้ว”
เบสส่ายหน้าแล้วหันไปมองข้างนอก
“หิวหรือเปล่า”
“ยังไม่หิว ข้าวโพดหิวหรือไง”
“ไม่เท่าไหร่ จากตรงนี้ยิงยาวถึงบ้านเลยก็ได้”
นทีเคาะประตูก่อนที่จะเปิดประตูรถ “อ้าวยังไงกันคุณ มาอยู่เบาะหลังกันหมด จะให้ผมขับรถหรือครับ ไม่รับประกันความปลอดภัยนะครับ”
ข้าวโพดลุกจากที่นั่งด้านหลัง ย้ายไปที่นั่งคนขับ
“ทำไมนทีขับรถกระบะที่บ้านได้ แต่ขับรถคนอื่นไม่ได้” เบสถามเมื่อนทีเข้ามาประจำที่แล้วส่งถุงขนมให้
“รถส่งน้ำแข็งที่บ้านน่ะเหรอ ขับด้วยความจำเป็นไง เพราะต้องทำงาน แต่ก็ใกล้ ๆ ละแวกบ้าน ขับทุกครั้งก็เครียดเหงื่อตกทุกครั้ง แล้วจะให้ไปขับรถคนอื่นเหรอ ไม่เอาหรอก ไม่มีเงินซ่อมให้เขา” นทีอธิบายยาว
“ไม่เห็นมันจะต่างกันเลย”
“มันต่างกันครับ ต่างกันมาก” นทียืนยัน
ข้าวโพดเลี้ยวรถออกจากปั๊มน้ำมันเข้าสู่ถนนใหญ่ “ที มึงอย่าลืมแชร์รูปให้กูด้วยนะ”
“ไม่ลืม” ข้าวโพดหันไปค้นกระเป๋า “แต่กูว่ากูมีแฟลชสำรอง 32 กิ๊กติดอยู่ก้นกระเป๋าอันนึง แต่ขอหาก่อน โหลดใส่แฟลชไปเลยดีกว่า”
ในที่สุดนทีก็หาแฟลชไดร์ฟสีแดงที่อยู่ก้นกระเป๋าจนเจอ จัดการฟอร์แมทแล้วอัพโหลดรูปทั้งหมดให้เบส
ระหว่างนั้นเบสก็เลือกดูขนมที่นทีซื้อมา
“มีโตเกียว มึงป้อนข้าวโพดสิ” นทีแนะนำขณะที่กำลังโหลดภาพ
เบสพยักหน้า หยิบขนมโตเกียวป้อนให้ข้าวโพด
“ย้ายไปนั่งข้างหน้าดีกว่าไหม” เพราะตอนนี้เบสที่นั่งอยู่เบาะหลังต้องยื่นมือไปป้อนข้าวโพดที่ขับรถ
เบสพยักหน้าอีกครั้ง แล้วจะก้าวข้ามช่องว่างระหว่างเบาะไปหาข้าวโพดจริง ๆ
“เดี๋ยวเบส ใจเย็น ขอเอารถเข้าข้างทางก่อน” ข้าวโพดเตือน
“อ้าว” เบสดูงุนงง แต่ก็รอจนข้าวโพดบอกให้ข้ามมาได้ ถึงได้ข้ามมาหา จากนั้นข้าวโพดก็ออกรถต่อไป
“คิดว่าจะเลือกโหลดไปเฉพาะรูปที่มีแต่มึง 2 คนเสียอีก เห็นที่เกาะไม่ค่อยได้ถ่ายรูปกัน ไม่คิดว่าจะเอาทั้งหมด ไม่งั้นก็โหลดให้ตั้งแต่แรกแล้ว”
ตลอดเวลาที่อยู่บนเกาะข้าวโพดกับเบสใช้โทรศัพท์ส่วนตัวถ่ายรูปไปเพียง 5 รูป คือรูปเดี่ยวของทั้งคู่กับรูปวิวอีก 3 รูป ก็สมควรที่นทีจะคิดอย่างนั้น
“ก็กูเห็นมึงถ่ายรูปตั้งแต่ขาไปยันกลับ ก็คิดว่าไว้บอกเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วไปกัน 3 คนก็ต้องมีรูปทั้ง 3 คนเป็นที่ระลึกสิวะ” ข้าวโพดบอก
“แหม ๆ ไปกัน 3 คน” นทีทำน้ำเสียงกระแนะกระแหน “มึง 2 คนตัวติดกันตลอด รู้หรือเปล่าเหอะ ตอนที่กูไปจีบลูกชายเจ้าของรีสอร์ทน่ะ”
“นที” เบสหันมาดุ
นทีแกล้งทำเป็นตกใจ “อะไร แค่นี้ต้องดุด้วย”
“นานาล่ะ”
“กูแหย่เล่น กูเปรียบเทียบ กูพร่ำไปเรื่อย กูไม่ได้พูดจริง โอเคป้ะ”
เบสส่ายหน้าขำ ๆ ไม่ได้ว่าอะไร
“กูควรอธิบายอะไรต่ออีกสักหน่อยไหม”
ข้าวโพดเหลือบตามองกระจกมองหลัง “มึงอยากอธิบายอะไรก็พูดมาเหอะ ปล่อยรถเงียบ เดี๋ยวกูเผลอหลับใน”
“ตบปากก่อนเลยมึง” นทีขยับตัว “ชี้แจงก่อนเลยนะครับคุณเบส กระผมมิได้จีบลูกชายเจ้าของรีสอร์ท คุณก็เห็นว่าพอถึงฝั่งโทรศัพท์มีสัญญาณ กระผมก็โทรหานายหญิงนานาเป็นคนแรกเลยนะ”
“รู้แล้ว” เบสพยักหน้า “นี่ถ้าย้ำมาก ๆ จะคิดว่าจีบจริงละนะ”
“กลัวคิดว่าจริงแล้วจะเอาไปฟ้องนายหญิงน่ะสิ” นทีทำสีหน้าขอความเห็นใจ “นี่กูเปล่าย้ำนะ กูแค่ทำความเข้าใจ”
“เข้าใจแล้ว” เบสหันไปป้อนขนมให้ข้าวโพด ที่หันมาหาทำให้ต้องดุกันอีกคน “อ้าปากอย่างเดียว ไม่ต้องหันมา”
“โดน...” นทีชี้เพื่อนแล้วหัวเราะ
“แหมมึง พอกูโดนดุแล้วมีความสุขนะ”
“ถูกต้องครับผม” นทีบอกแล้วส่งแฟลชไดร์ฟ ที่โหลดเสร็จแล้วให้กับเบส
ตั้งแต่ออกเดินทางจากบ้านไปเที่ยวเกาะอิน จนกลับมา ทั้ง 3 คนเพิ่งได้คุยกัน หัวเราะกันอย่างผ่อนคลายก็ตอนนี้เอง
ข้าวโพดและเบสไปส่งนทีถึงหน้าบ้าน ทั้งลงไปสวัสดีแม่ของนที ส่วนพ่อยังอยู่ที่โรงน้ำแข็ง
เมื่อกลับขึ้นมาบนรถ เบสก็ชวนคุย ในแบบที่ข้าวโพดรู้ว่าเบสกำลังพยายามที่จะไม่ปล่อยให้เกิดช่วงเงียบอย่างที่ข้าวโพดบอกไว้ก่อนหน้านี้ จนมาถึงหัวข้อเรื่องที่ข้าวโพดต้องคิดให้รอบคอบก่อนที่จะตอบ
“ถ้าเมื่อวานนี้พวกเราไม่ไปเกาะอิน ข้าวโพดจะทำอะไร”
“คงไปช่วยชมรมใดชมรมหนึ่งในมหาวิทยาลัยน่ะแหละ”
“แต่เราไม่ชอบไปชมรมนี่”
ข้าวโพดพยักหน้า “เรารู้ แต่ก่อนนี้เราเป็นยังไง เบสก็คงเห็นอยู่ แต่ในเมื่อเวลานี้พวกเราอยู่ด้วยกัน ถ้าเรายังทำอะไรแบบเดิมทั้งที่รู้ว่าเบสไม่ชอบ มันก็จะทำให้เบสรู้สึกไม่ดีใช่ไหม”
“แสดงว่าฝืนใจไปเที่ยวกับเราสินะ”
“เบสรู้ดีว่าเราไม่ได้ฝืนใจ เราอยากไปเที่ยวกับเบส แล้วทำไมต้องพูดอะไรแบบที่จะทำให้ตัวเองต้องอารมณ์ไม่ดีแบบนั้น”
เบสนิ่งเงียบหันไปมองทางอื่น ข้าวโพดก็เอื้อมมือมาจับศีรษะ
“อย่าคิดมาก แล้วถ้าอยากไปไหนก็บอก”
“ข้าวโพดมักจะตามใจคนอื่นอยู่ตลอดเวลา สักวัน ตัวตนของข้าวโพดจะหายไป”
“คนอื่นที่ไหนล่ะ เราตามใจเบสต่างหาก ถ้าไม่ใช่เบส เราก็ไม่ตามใจหรอก”
เบสไม่เห็นด้วย “แต่จากที่เราเห็น มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นสักหน่อย ข้าวโพดดีกับทุกคน ตามใจทุกคน”
“ตามใจ กับช่วยเหลือกัน มันคนละเรื่องกันนะเบส เราตามใจเบสเพราะอยากให้เบสมีความสุข ส่วนเรื่องเพื่อนหรือเรื่องชมรมเนี่ยเราไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องช่วยเหลือหรืออะไร คิดแค่ว่าถ้าเป็นเรื่องที่เราทำได้เราก็อยากทำ”
“ถึงจะทำไม่ได้ ก็อยากจะไปเรียนเพื่อทำให้ได้ใช่ไหม”
ข้าวโพดหัวเราะ เพราะก่อนหน้านี้เพิ่งคิดเรื่องไปเรียนการต่อสู้อยู่พอดี
“ก็เพื่อนกัน รุ่นพี่ รุ่นน้องมีอะไรที่ช่วยกันได้ก็ช่วยกัน เราเองก็ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไง เราอาจต้องเป็นคนที่ต้องการความช่วยเหลือในสักวันหนึ่งก็ได้”
“แล้วถ้าเขาไม่ช่วยล่ะ”
“ก็ไม่เป็นไร อะไรที่ให้ไปแล้ว ถ้าจะไม่ได้รับกลับมาก็ไม่เป็นไร”
เบสหันไปมองใบหน้าด้านข้างของข้าวโพด คิดว่าคำที่ข้าวโพดบอกออกมามีความหมายมากกว่าเรื่องการช่วยเหลือคนอื่น
“ข้าวโพดเป็นคนดี”
“เบสเคยเรียกเราว่าเป็นอาสาไม่ต้องสมัคร” ข้าวโพดเหลือบตามองคนที่ไม่มีท่าทีว่าจะจำคำพูดของตัวเองได้ “แถมยังทายไว้ว่า ถ้ามีแฟนก็ไม่น่าจะคบกันได้ยืดเพราะเราไม่น่าจะมีเวลาเหลือให้แฟน”
ดังนั้นข้าวโพดจึงตามใจ และให้เวลากับเบสก่อนเสมอ
“เรารู้ว่าข้าวโพดดีกับเรามาก...” เบสพูดแล้วนิ่งเงียบ สีหน้าแววตาเหมือนกำลังต่อสู้กับตัวเองอยู่วินาทีหนึ่งแล้วก็หายไป “เอาเป็นว่า ทำทุกอย่างเหมือนเดิมก่อนที่เรา...จะมาอยู่ด้วยกัน แต่ถ้าจะไปไหน ก็อยากให้บอกกันไว้บ้างก็ดี เผื่อเราจะได้ตามไปกินซาลาเปาข้างตึกกิจกรรม”
“ได้ ขอบใจนะ”
มือที่จับพวงมาลัยรถแน่นกว่าเดิม
ไม่เคยเลยสักครั้งที่ข้าวโพดจะไม่บอกกับเบสว่าจะไปไหน กับใคร และจะทำอะไร เบสอยู่ในสถานะพิเศษมาตั้งแต่วันแรกที่พบกัน
แต่เมื่อเลี้ยวรถเข้าซอยมาได้ไม่ถึง 50 เมตรก็เห็นคนซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งถีบรถมอเตอร์ไซค์อีกคันจนตกข้างทาง ข้าวโพดกดแตรรถลากยาวเสียงดัง ทำให้รถมอเตอร์ไซค์คันแรกหันมามองแล้วรีบหนีไป
“เบส”
“หือ”
“ขออนุญาตไปช่วยคนนะ”
เบสพยักหน้า มองตามข้าวโพดที่จอดแล้วรีบลงไปช่วยคนเจ็บ ขณะที่มีรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างอีก 2 คันแวะมาช่วยแต่คนเจ็บถูกรถทับและหมดสติ ทำให้ทั้ง 3 คนไม่กล้าดึงคนเจ็บออกมา
เบสคว้าโทรศัพท์มาส่งให้ข้าวโพด “เรียกตำรวจกับเรียกรถฉุกเฉินสิ”
ข้าวโพดรับโทรศัพท์มากดแจ้งเหตุทันที ไม่ถึง 5 นาทีรถฉุกเฉินก็มาถึง ตามมาด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ เบสจึงถอยมายืนอยู่ข้างประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับ มองดูข้าวโพดพูดคุยกับตำรวจทั้งกลับมาดูภาพจากกล้องหน้ารถว่ามองเห็นป้ายทะเบียนของรถมอเตอร์ไซค์คันที่เป็นฝ่ายถีบหรือไม่ แล้วกลับไปบอกกับตำรวจว่า จะกลับไปโหลดไฟล์ภาพจากกล้องหน้ารถที่บ้านแล้วส่งเมล์ไปให้ที่สถานีตำรวจ
เมื่อญาติผู้บาดเจ็บมาถึงก็แบ่งกลุ่มกันคนหนึ่งไปกับรถกู้ภัยเพื่อพาคนเจ็บไปโรงพยาบาล ส่วนที่เหลือยืนคุยอยู่กับตำรวจ
ช่วงเวลาที่วุ่นวายนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาประมาณ 10 นาทีเท่านั้น แต่เป็นช่วงเวลาที่คนกอดอกยืนมองมีรอยยิ้มอ่อนเกิดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
เรียกว่าข้าวโพดอยู่จนกระทั่งตำรวจและญาติหันมาบอกขอบคุณ ข้าวโพดถึงได้กลับมาที่รถ
“เรียบร้อยแล้วหรือ”
“ยังหรอก ต้องกลับไปโหลดคลิปช่วงที่โดนถีบแล้วส่งไฟล์ให้ตำรวจกับญาติเขา”
“ขอเมลมาแล้วหรือ”
“ให้มาทั้งเมล ทั้งเบอร์โทรฯและไลน์” ข้าวโพดยักคิ้ว “เผื่อลืม ลบไฟล์ทิ้งก็ยังมีสำรอง”
ความสุขของข้าวโพด-จิรกร คุณสิริกร คือการได้ช่วยเหลือผู้อื่น และยิ่งมีความสุขมากขึ้นเมื่อหันมาเห็นว่าเบสชื่นชม
“ตอนที่กดแตรรถเสียงดัง ไม่คิดหรือว่าถ้าอีกฝ่ายมากันหลายคน หรือมีอาวุธเขาอาจจะหันมาทำร้ายเรา”
ข้าวโพดเลิกคิ้วขึ้นสูงขณะที่ส่ายหน้า “ไม่คิดหรอก ถ้าคิดก็จะไม่ได้ช่วยคน”
เบสเห็นด้วย “ก็จริงนะ แต่ถ้าตอนนั้นข้าวโพดไม่กดแตรในทันทีที่เกิดเหตุขึ้น คนพวกนั้นก็อาจจะตามไปซ้ำคนเจ็บก็ได้ ทำดีแล้ว”
ข้าวโพดยิ้มกว้าง ความยินดีและความภูมิใจที่ฉายออกมาทางแววตาชัดเจน
ตัวตนของข้าวโพดไม่ได้หายไปไหน ยิ่งเขาช่วยเหลือ ดูแลคนอื่นมากเท่าไหร่ ตัวตนของเขาก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ
...
ลุคผู้ไม่มีความจริงจังในการขัดใจบลู ก็ยังคงไม่มีความจริงจังอยู่เช่นนั้น เพราะสุดท้ายก็ยอมมาดูข้าวโพดและเบสที่บ้านว่ากลับมาหรือยัง และเป็นอย่างไรบ้างตามที่บลูต้องการ แต่การตามใจครั้งนี้ต้องมีเงื่อนไข
เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกพบเห็น และต้องอยู่ห่างจากแมงมุมดำตัวนั้น บลูเลือกที่จะแฝงตัวและรออยู่ที่คาเฟ่สัตว์เลี้ยง แล้วให้ลุคไปดูที่บ้าน
แต่ที่รอต้อนรับลุคที่หน้าบ้านหลังใหญ่ คือวิญญาณชายหนุ่มคนหนึ่งที่สวมเสื้อยืดคอกลมสีขาว กับกางเกงขายาว เป็นวิญญาณที่ยังอยู่ในสภาพที่ดีมาก หากไม่เพราะเงาสีดำที่ปกคลุมอยู่ตั้งแต่เข่าลงไปที่บ่งชี้ว่ามีพ่อมดใช้คาถาตรึงเขาไว้ที่นี่ ลุคก็จะคิดว่านี่คือวิญญาณทั่วไป
ชายหนุ่มทั้งกลัว และยินดีที่ได้พบกับลุค
“...คุณคือลุค เมอร์ฟี มือปราบวาติกันใช่ไหมครับ...”
ลุคพยักหน้า ตลอดเวลาที่ทำหน้าที่นี้มาอย่างยาวนานมีวิญญาณที่ถามแบบนี้ไม่เกิน 5 ครั้ง
“...เขาบอกว่า คุณสามารถปลดปล่อยและส่งผมไปจากที่นี่ได้ แต่ทันทีที่คุณปล่อยผมไป เขาก็จะรู้ว่าคุณมาที่นี่...”
“แล้วนายอยากไปจากที่นี่ไหม”
วิญญาณตนนั้นยอมรับ “...แต่คนที่ผูกผมไว้ที่นี่ดูน่ากลัวมากเขาใส่เสื้อคลุมตัวใหญ่ และมีปีศาจอยู่กับเขาด้วยตัวหนึ่ง มันมีรูปร่างคล้ายกบผสมเต่า ผมบรรยายรูปร่างไม่ถูก แต่ที่เห็นชัดเลยก็คือมันมีลิ้นยาวและเหม็นมาก...”
ชายหนุ่มคนนี้ตอนที่เป็นมนุษย์คงจัดอยู่ในกลุ่มพลเมืองดี เมื่อตายไปแล้วก็ยังคงพยายามช่วยเหลือลุคอย่างเต็มที่ 
“ขอบใจ ฉันพอจะนึกออกแล้ว ว่าคนที่ตรึงนายไว้ที่นี่เป็นใคร”
“...แล้วเขาเอาผมมาเป็นเหยื่อล่อคุณเพราะอะไร...”
“เพราะพวกเราต้องสู้กัน”
“...แต่เขามีผู้ช่วยเป็นปีศาจ คุณควรไปหาคนมาช่วย...”
ลุคยิ้มอ่อน “ชอบใจที่เป็นห่วง แต่โดยหน้าที่ การปล่อยวิญญาณผู้บริสุทธิ์แบบนายคือสิ่งแรกที่ฉันต้องทำ ไม่ใช่การเรียกผู้สนับสนุน”
“...คุณไปหาคนช่วยก่อนก็ได้ เขาคงไม่ทำอะไรผมหรอก...”
ลุคส่ายหน้า “เขาจะทรมานนายอย่างเหี้ยมโหดอย่างหนักต่างหาก” ชายหนุ่มพับแขนเสื้อขึ้น อักขระบนปลอกข้อมือแอเรียสเปล่งประกาย
“นายไม่มีหน้าที่เป็นยามเฝ้าบ้านใคร ดังนั้นฉันจะส่งนายไปอีกฝั่ง”
“...ขอบคุณครับ...”
“แต่ก่อนจะทำอย่างนั้น ฉันขอถามก่อนว่านายเห็นแมงมุมสีดำตัวใหญ่กลับมาหรือยัง”
“...กลับมาแล้วครับ พร้อมกับลูกชายเจ้าของบ้าน...”
เพราะการถูกตรึงอยู่ในที่นี้ ก็มองเห็นเพียงเท่านี้ การสอบถามต่อไปมีแต่จะเสียเวลาเปล่า ลุคจึงเริ่มการส่งวิญญาณ
“เล่าให้ฉันฟัง นายรู้ได้อย่างไรว่าตายแล้ว”
“...ผมถูกฆ่า จำได้แค่ว่านั่งกินเหล้าอยู่กับเพื่อน แล้วผมก็หลุดออกมา มองเห็นตัวเองล้มลงไปกับโต๊ะ มองเห็นรอยเลือดเต็มหลัง...” วิญญาณชายหนุ่มบิดตัวให้ดูด้านหลัง ยังมองเห็นคราบเลือดที่ด้านหลัง “...แล้วก็ได้ยินเสียงลมแรงมาก เลยรีบหนี ตอนนั้นคิดแต่ว่าต้องหนีไปให้ไกล ๆ แต่ก็ถูกดึงมาที่นี่...”
ลุคพยักหน้า เสียงลมแรงอาจเป็นไปได้ทั้งยมทูต หรืออาจเป็นผู้ที่จะมาชิงวิญญาณของเขา แต่ผู้ที่มาชิงวิญญาณพบชายหนุ่มคนนี้ก่อน จึงส่งมาให้พ่อมดเพื่อตรึงไว้ที่นี่ ซึ่งนั่นหมายความว่าพ่อมดตนนี้ควบคุมได้ทั้งปีศาจและวิญญาณ
“นึกย้อนกลับไปตอนที่นายกำลังกินเหล้าอีกครั้ง นายนั่งกินเหล้าอยู่ที่ไหน เพื่อนที่นั่งกินเหล้าอยู่ด้วยกัน กำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่ นายเดินทางมาที่ร้านเหล้านั้นอย่างไร งานที่นายทำเมื่อบ่ายวันนี้ ...”
เมื่อร่างวิญญาณของชายหนุ่มเริ่มชัดเจนขึ้น ลุคจึงคลายคาถาที่ตรึงวิญญาณชายหนุ่มไว้ แต่ทันทีที่วิญญาณของชายหนุ่มหายไป เงาปีศาจสีดำก็ปรากฏขึ้นจากทางด้านหลัง
นั่นเป็นเงาสีดำของสัตว์ที่มีรูปร่างคล้ายกบผสมเต่าอย่างที่วิญญาณบอกเมื่อครู่
ปลอกข้อมือแอเรียสส่งดาบสั้นคู่ออกมาให้ ซึ่งทำให้ลุคลอบยินดีอยู่ในใจเพราะนี่คืออาวุธที่แอเรียสส่งออกมาให้ใช้บ่อยที่สุด จนมีความชำนาญ
เงาปีศาจส่งเสียงแหลมแล้ว ‘กระโดด’ เข้ามาหา ลุคหมุนตัวแล้วฟันดาบเฉียงลง เงาปีศาจที่ถูกผ่าออกตามแนวดาบกรีดร้อง แล้วถอยออกไปรวมร่างใหม่
“ดาร์ท” ลุคยังอยู่ในท่าเตรียมพร้อม ดวงตายังไม่ละจากปีศาจที่อยู่ตรงหน้า “ส่งลูกสมุนออกมาก่อนแบบนี้ ดูจะไม่เหมาะสมกับตำแหน่งเฮ้นช์แมนเลยนะ”
มีแสงสว่างวาบเหมือนพลุขนาดเล็กจากนั้นพ่อมดในชุดสีน้ำเงินเข้มเกือบดำปรากฏขึ้น
นี่คือดาร์ท พ่อมดผู้มีคางคกพิษเป็นเครื่องราง จึงเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องพิษของคางคก แต่ในเวลานี้รูปร่างหน้าตาของดาร์ท แทบไม่ได้ต่างอะไรจากปีศาจคางคกตัวหนึ่ง
ดาร์ทสะบัดไม้กายสิทธิ์ในมือ เปลวไฟสีม่วงพุ่งออกมาจากปลายไม้ตรงเข้าหามือปราบวาติกันที่กระโดดหลบ กลิ่นฉุนจากเปลวไฟบ่งบอกว่านอกจากจะเป็นไฟพ่อมดแล้ว ไฟนี้ยังมีพิษอีกด้วย
ดาร์ทควบคุมไฟไล่ตามลุค ปลอกข้อมือแอเรียสเรียกกำแพงแก้วขึ้นมากั้นแล้วผลักดันเปลวไฟสีม่วงออกไปด้านข้าง สะเก็ดเปลวไฟที่ถูกกำแพงบ้านกัดเซาะ เป็นรอยลึก
“กี๊ซซซซซซซซซซซซซซซซซ”
มีเสียงร้องแหลมเล็กดังมาจากในบ้าน ตามมาด้วยร่างสีดำที่อยู่บนหลังบ้าน ทำให้มองเห็นดวงตาสีแดงอย่างชัดเจน และที่พิเศษไปกว่านั้นก็คือไอสีดำที่แผ่กระจายจากร่างนั้น
นั่นไม่ใช่ไอหรือพลังงานชีวิต แต่มันคือการข่มขู่ผู้ที่อยู่นอกรั้วบ้าน
ลุคกำลังจะคิดว่าแมงมุมดำอารันญ่ากำลังข่มขู่ตนเอง แต่เมื่อหันไปหาดาร์ทและปีศาจคางคกยักษ์ ปรากฎว่าทั้งคู่กลับรีบหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
เฮ้นช์แมนทั้ง 4 ของซอว์นีย์ไม่น่าจะต้องมีใครกลัวใคร แต่ดาร์ทยอมหลบให้กับอารันญ่าโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ
ลุคหันไปมองแมงมุมสีดำตัวใหญ่ขนาดเกือบเท่าหลังคาบ้าน แล้วก้มลงมองกำแพงที่มีรอยไหม้ จากนั้นก็เหลียวมองไปรอบตัว
“ถ้าไม่ว่าอะไร ขอล้างพิษที่รั้วนี่ได้ไหม”
อารันญ่ายังไม่ได้อนุญาตหรือปฏิเสธ ลุคก็ยกข้อมือขึ้นมาสั่งการ “แอเรียส ช่วยส่งอะไรสักอย่างออกมาล้างพิษที่รั้วนี่หน่อยเถอะ ถ้าชาวบ้านแถวนี้มาโดนเข้าจะเป็นอันตราย”
สิ่งที่ปลอกข้อมือส่งออกมาคือน้ำเย็นจัดที่จับพิษร้ายลงมาจากกำแพง แล้วสลายไปก่อนที่จะตกกระทบพื้น ถึงร่องรอยของกำแพงที่ถูกกัดเซาะจะแก้ไขไม่ได้ แต่การที่ไม่มีพิษตกค้างอยู่ต้องถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วในเวลานี้
ตลอดเวลาที่ลุคจัดการกับพิษคางคกที่กำแพง แมงมุมสีดำตัวนั้นยังคงเฝ้ามอง และไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามาหา
มีความเข้าใจกันโดยที่ไม่ต้องเอ่ยเป็นคำพูดออกมา
ลุคพยักหน้า แล้วเดินกลับไปที่รถมอเตอร์ไซค์ แต่ไม่พบบลูที่คาเฟ่สัตว์เลี้ยงที่นัดกันไว้ ที่แน่ใจว่าบลูไม่ได้อยู่จริง ๆ ก็เพราะปลอกข้อมือแอเรียสที่สงบนิ่งไม่ได้ส่งสัญญาณเตือนว่ามีปีศาจอยู่ในละแวกใกล้เคียง ลุคจึงกลับมาที่โบสถ์เชอริชของสาธุคุณฌ็องส์ ซึ่งพบว่าจัสตินยังรออยู่ที่นี่
ชายชาวเยอรมันนั่งหลังตรงหลับตาสำรวมตนอยู่ที่มุมห้อง จนกระทั่งลุคเดินเข้ามาในห้องจึงได้ลืมตาขึ้น จากนั้นจึงเป็นเสียงเปิดประตูห้องนอนที่ชั้นบน และสาธุคุณเดินลงมาหา
“ต้องการนมอุ่นสักแก้วหรือไม่” เจ้าของบ้านถาม
ลุคส่ายหน้าแล้วเดินไปล้างหน้า “ขอบใจมาก ขอน้ำสักแก้วก็พอ”
สาธุคุณเดินไปรินน้ำมาวางไว้บนโต๊ะ ขณะที่จัสตินหันไปมองนอกบ้านแล้วมองกลับมาที่ลุคที่เดินออกมาจากห้องน้ำ
“นายให้เขาไปรอที่ไหน”
“เขาหายไป”
จัสตินกับสาธุคุณขยับนั่งตัวตรงรอฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างตั้งใจ หลังจากที่ลุคเล่าเรื่องโดยย่อผ่านไปรอบหนึ่ง ทั้งหมดจึงกลับมาช่วยวิเคราะห์ความผิดปกติมากมายที่เกิดขึ้นที่หน้าบ้านของอัจฉราค่ำวันนี้
“อารันญ่าที่ควบคุมเบสไว้ และมีข้าวโพดคุมเธออยู่อีกที เธอรู้อยู่แล้วว่ายังไงฉันก็ต้องไปดูเบสกับข้าวโพด” เพราะลุคก็มักไปดูทั้งคู่เป็นระยะมาตลอด แต่เธอไม่เคยแสดงตน “ตอนที่ฉันคุยกับวิญญาณผู้ชายคนนั้น และสู้กับดาร์ท เธอก็ไม่ออกมา จนกระทั่งไฟพิษของดาร์ทไปถูกกำแพงเธอจึงปรากฏตัวขึ้น ฉันคิดว่าเธอกำลังรักษาอาณาเขตของตัวเองไม่ให้ดาร์ทและฉันเข้าไปวุ่นวาย”
(มีต่อครับ)

ออฟไลน์ MyTeaMeJive

  • MyTeaMeJive
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1894
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3313/-9
OWAZA ตอนที่ 18 (16/02/64)
«ตอบ #215 เมื่อ16-02-2021 12:51:38 »

(ต่อครับ)

ผู้ฟังทั้งคู่พยักหน้าเห็นพ้อง
“ส่วนการที่ดาร์ทไปดึงวิญญาณของหนุ่มคนนั้นมารอฉันที่หน้าบ้าน เพื่อให้เป็นสัญญาณเรียกมันมาสู้กับฉันยิ่งไม่สมเหตุสมผล”
“ดาร์ทรู้ว่าอารันญ่าหวงอาณาเขต แต่มันอยากสู้กับนาย มันจึงต้องทำอย่างนี้” สาธุคุณแสดงความเห็น “คือ มันอยากสู้ แต่ถ้ามารออยู่ใกล้ ๆ อาจทำให้อารันญ่าไม่พอใจได้”
ผู้ฟังอีก 2 คนส่ายหน้า
“สู้เพื่ออะไร” จัสตินถาม
“ดาร์ทและอารันญ่าเป็นเฮ้นช์แมนเหมือนกัน ไม่เคยได้ยินว่าภายในกลุ่ม 4 คนนี้จะมีการจัดลำดับอะไร ฉันคิดว่าการทำอย่างนี้มันต้องมีเบื้องหลัง”
“อย่างนั้นก็กลับมาที่คำถามของฉัน” จัสตินท้วง “ดาร์ทสู้กับนายเพื่ออะไร”
“เพื่อที่จะเปลี่ยนตัวผู้ควบคุมเรื่องนี้จากอารันญ่า มาเป็นมัน” สาธุคุณคาดเดา
“ก็ต้องจัดการอารันญ่า ไม่ใช่มาท้าสู้กับลุค” จัสตินให้เห็นผล “แถมยังหนีไปทันทีที่เธอออกมา”
สาธุคุณหมดข้อโต้แย้ง “วิญญาณหนุ่มคนนั้นอายุประมาณเท่าไหร่”
“ประมาณยี่สิบเศษ”
“ก็ใกล้เคียงกับข้าวโพดตอนนี้”
“ความคิดของเขาก็คล้ายกับข้าวโพด” ลุคใช้นิ้วชี้ขีดเส้นลงบนโต๊ะ เพื่อทำความเข้าใจกับอีก 2 คน “ดาร์ทดึงวิญญาณชายหนุ่มคนนั้นมารอฉันอยู่ที่หน้าบ้านหลังนั้นนานประมาณ 4 วันแล้ว เพราะก่อนหน้านั้นพวกเราก็เพิ่งจะแวะไปดูที่นั่น แต่ไม่เจอวิญญาณ ถ้าดาร์ทอยากสู้กับฉัน เขาสามารถทำอย่างนั้นได้ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องฆ่าคนที่คล้ายข้าวโพดแล้วตรึงเขาไว้ที่นั่น มันต้องการส่งข้อความบางอย่าง ข้อสันนิษฐานอีกข้อของฉันก็คือ ช่วงที่มันดึงวิญญาณนั้นมาคือบลูไปหลบซ่อนตัวอยู่ แล้วบลูอาจกลับมาหาเบส แต่จากที่วิญญาณบอกว่า ฉันคือคนที่จะปล่อยเขาได้ แล้วทันทีที่ฉันปล่อยเขาไป ดาร์ทก็จะมา”
“เขาต้องการพบนาย ไม่ใช่บลู” สาธุคุณช่วยสรุป
“ก็กลับไปที่คำถามเดิมอีกนั่นแหละ”
“ข้อสันนิษฐานถัดมา ก็คือพวกมันคิดว่า ฉันกับบลูยังติดต่อกันตลอด และจะไปที่นั่นด้วยกัน จริงอยู่ที่ฉันส่งวิญญาณได้ แต่มันก็เผื่อว่าบลูจะอยู่ใกล้ ๆด้วย แล้วเมื่อพบว่าบลูไม่ได้อยู่ด้วย ดาร์ทจึงสู้กับฉันแล้วหนีไปในทันทีที่อารันญ่าออกมา”
“อันนี้มีความเป็นไปได้” สาธุคุณกล่าวแล้วหันไปหาจัสตินที่พยักหน้าเห็นด้วย “แต่บลูที่รออยู่ในคาเฟสัตว์เลี้ยงอาจจับการเคลื่อนไหวของดาร์ทได้ จึงหนีไป”
ความเห็นของสาธุคุณในข้อนี้ทำให้ลุคคลายความกังวลลงไปได้เล็กน้อย
“ฉันก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น”
สาธุคุณเคาะนิ้วลงกับโต๊ะ “ขอเบรกตรงนี้ก่อน หมายความว่า บลูจับการเคลื่อนไหว ของพ่อมด แม่มด ปีศาจ อะไรพวกนี้ได้หมด แต่นายกลับไม่รู้ว่าดาร์ทรอนายอยู่อย่างนั้นหรือ”
ลุคยอมรับ “ฉันเห็นเงาดำที่บ้านของอัจฉรา ซึ่งเป็นเงาของอารันญ่าแน่นอน แต่ไม่เห็นเครื่องหมายอะไรของดาร์ทเลย”   
“แย่แล้ว...” สาธุคุณส่ายหน้า “ทีนี้เด็ก 2 คนนั่นก็ยิ่งน่าเป็นห่วงมากกว่าเดิมขึ้นไปอีก”
“ที่จริงในตอนที่ดาร์ทหนีไป และอารันญ่ามองดูฉันทำความสะอาดพิษคางคก ฉันยังคิดอยู่เลยว่า หรือว่าที่จริงแล้วเธอคือซอว์นีย์”
สาธุคุณรีบสนับสนุน “จำคุณพ่อโจนส์ที่เวลส์ได้ไหม ท่านเคยแสดงความเห็นไว้ว่า ซอว์นีย์น่าจะเป็นแม่มดที่ถูกเครื่องรางปีศาจของตนเองครอบงำ ทำให้เธอเปลี่ยนร่างได้ เธอถึงอยู่มานานหลายร้อยปีโดยที่ไม่เคยมีใครเคยเห็นตัวจริง ขณะที่พ่อมด แม่มดในกลุ่มเฮ้นช์แมนมีการเปลี่ยนแปลง”
ลุคกอดอก “ถ้าอารันญ่าคือซอว์นีย์ตัวจริง เรื่องนี้ก็จะได้ข้อสรุปสักที แต่มันจะวนกลับไปที่คำถามของจัสตินอีกครั้ง ก็ในเมื่อซอว์นีย์คุมเบสไว้แล้ว ดาร์ทจะมาสู้กับฉันเพื่ออะไร ก็แค่เอาเบสกับข้าวโพดมาขู่ฉันให้ส่งตัวบลูไปให้ ไม่ง่ายกว่าหรือ”
สาธุคุณโต้เถียง “นายไม่มีวันส่งบลูไปให้พวกมัน เพราะสำหรับทุกคนแล้ว พวกเขากลับมาใหม่เมื่อถึงวันเวลาของพวกเขา แต่บลูจะหายไปตลอดกาล”
นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้ดี
จัสตินที่นั่งฟังมานานพูดขึ้นบ้าง “ที่โปแลนด์เมื่อประมาณ 100 ปีก่อนตอนที่เรากำจัดแม่มดวีซ ที่ใช้เขาของกระทิงสีแดงเป็นเครื่องราง” เธอคือ 1 ใน 4 ของเฮ้นช์แมนของซอว์นีย์ในช่วงเวลานั้น “เธอเรียกซอว์นีย์ว่าเจ้านาย และแม้ว่าเราแทบจะไม่มีข้อมูลเรื่องนี้ เพราะในกลุ่มซอว์นีย์เองก็มีอยู่ไม่ถึง 10 คนที่รู้ตัวตนที่แท้จริงว่าเขาคือใคร  ไม่ว่าอารันญ่าจะเป็นซอว์นีย์ตัวจริงหรือไม่ พวกเราก็ต้องหาทางเอาเธอออกมาจากเบส แล้วก็กำจัดเธอเหมือนกัน”
นั่นคือเรื่องยากอีกเรื่องหนึ่ง ที่ลุคยังไม่ตัดสินใจ สาธุคุณจึงถามในเรื่องที่น่าจะได้ข้อสรุปในคืนนี้ “แล้วเรื่องสวีเดนว่าไง”
“เอาไว้ก่อน” ลุคตอบทันที “ถ้าไม่เจอบลู ฉันจะไม่ไปที่ไหนทั้งนั้น เรื่องที่จะไปสวีเดนก็เพราะเราคาดว่า รังใหญ่ของมันอาจอยู่ที่นั่น  เราจึงต้องดึงพวกมันทั้งหมดกลับไปเพื่อกำจัดที่รังใหญ่ แต่ตอนนี้เราไม่มีอะไรที่จะดึงพวกมันกลับไปได้เลย”
“ลุค” สาธุคุณมีท่าทีจริงจังมากกว่าเดิม “ฉันสงสัยตั้งแต่ตอนที่จัสตินบอกว่า นายจะพาบลูไปสวีเดน นายจะทำอย่างนั้นจริง ๆ หรือ”
“จริง”
“นายจะใช้เขาเป็นเหยื่อล่อให้พวกมันทั้งหมดตามไปสวีเดนใช่ไหม” สาธุคุณถาม
“ฉันไม่ได้อยากทำอย่างนั้นนะฌ็องส์ ฉันต้องการปกป้องเขา แต่มันไม่มีวิธีอื่นแล้ว”
สาธุคุณส่ายหน้า “เขาอาจมีอย่างน้อย 50 วิธีที่จะแฝงตัวหรืออะไรสักอย่างเพื่อตามนายไป แต่ระยะทางไม่ใช่ใกล้ ๆ มีความเสี่ยงที่จะถูกจับได้ตลอดเวลา ในขณะที่เราแทบไม่รู้เรื่องของพวกมัน แต่พวกมันรู้ว่าเรากำลังจะทำอะไร”
“สำหรับฉันแล้ว การหาบลูให้เจอคือเรื่องที่สำคัญที่สุด เรื่องอื่นค่อยมาคุยกัน รวมถึงเรื่องสวีเดน ค่อยคิดอีกที เพราะถ้าพวกมันมาอยู่ที่นี่กันพร้อมหน้า เราสามารถจัดการเรื่องนี้ได้”
“เรา 3 คนน่ะนะ จะจัดการพวกซอว์นีย์”
“นั่นคือหน้าที่ของพวกเรา” จัสตินดุ
สาธุคุณผู้หลงลืมหน้าที่ของตนเองไปชั่วครู่ กล่าวขออภัยแล้วยื่นข้อเสนอ “ฉันจะขอให้สำนักในนอร์ดิกช่วยตรวจสอบเรื่องป่าสนในสวีเดน ในระหว่างที่พวกเราจัดการเรื่องทางนี้”
ลุคพยักหน้า แล้วขอให้สาธุคุณหาหนังสือแผนที่มาให้ สาธุคุณก็รีบไปจัดการให้ในทันที
ชายหนุ่มไม่ได้ต้องการหาแผนที่ และไม่เคยรำคาญทั้งสาธุคุณและจัสติน หลายครั้งหลายหนที่ทั้งคู่มีข้อสังเกตที่ดีแต่เวลานี้เขาต้องการความเงียบชั่วครู่เพื่อรวบรวมสมาธิกลับมาที่งานหลัก แต่ความกังวลทั้งหมดกลับยังวนเวียนอยู่ที่บลู และโอเวน จนต้องยกมือลูบหน้าแรง ๆ
“เพราะเขาจับการเคลื่อนไหวของดาร์ทได้ จึงหนีไปงั้นหรือ”
ในตอนที่สาธุคุณกลับมาอีกครั้งพร้อมกับหนังสือแผนที่เล่มหนา ก็เห็นว่าลุคกำลังยืนมองท้องฟ้าตอนกลางคืน ขณะที่จัสตินกำลังเช็ดดาบคู่มือ
สาธุคุณฌ็องส์วางหนังสือลงบนโต๊ะ ยังไม่ทันจะแสดงความเห็นอะไร ลุคก็บอกให้กลับไปพักผ่อน แต่ผู้ที่อ่อนอาวุโสที่สุดในที่นี้ยังมีเรื่องที่สงสัยอีกหลายเรื่อง
“ลุค นายพบร่องรอยอะไรเกี่ยวกับการที่บลูหายไปหรือไง”
“ไม่มีร่องรอยอะไรเลยต่างหาก”
“ฉันอยากให้นายเชื่อมั่นว่าบลูจะไม่เป็นอะไร แล้วเขาก็จะกลับมาหานายเองเหมือนทุกครั้งก่อนหน้านี้” สาธุคุณต้องการให้กำลังใจ “ที่ประเทศนี้ก็มีป่าสนที่อยู่ทางเหนือ แต่ไม่แน่ใจว่าจะมีสุสานหรือไม่ แทนที่จะออกไปหาเรื่องทะเลาะกับพ่อมด แม่มดตามใบสั่งของวาติกัน นายลองไปค้นหาดูไหม”
...
ตั้งแต่กลับมาถึงบ้าน เบสนั่งดูรูปทั้งหมดอยู่ในห้องนอน จะหยุดพักก็ตอนที่อัจฉรากลับมาถึงบ้าน และกินอาหารเย็นพร้อมกัน จากนั้นก็จะกลับมาอยู่ในห้องจนเกือบ 3 ทุ่มถึงได้เข้ามาที่ห้องนอนของข้าวโพด
ชายหนุ่มเบาเสียงภาพยนตร์ที่กำลังดูอยู่ แล้วหันไปทัก
“ว่าไง”
“ไม่ว่าไง” เบสบอกแล้วเดินไปนอนหงายบนที่นอน “ดูหนังอยู่หรือ”
“ใช่ ดูรูปหมดแล้วหรือ”
“ฮื่อ”
“ดูเหนื่อย ๆ”
เบสหัวเราะ “เล็งหาจนปวดตา”
“เบสหาอะไร”
“พี่บลู”
เบสตอบตามตรงจนข้าวโพดชะงัก “พี่บลูอยู่ที่เกาะนั้นหรือ”
“เราคิดว่าเขาอยู่ที่นั่น”
“แล้วเจอไหม”
เบสส่ายหน้า แล้วถอนหายใจ “มันมีเงาขาว ๆ อยู่บางจุด แต่พอขยายก็ไม่เห็นมีอะไร”
“ทำไมเบสถึงคิดว่าพี่อยู่ที่นั่น” ข้าวโพดเรียงลำดับใหม่ “เราหมายถึง เบสรู้ว่าเขาอยู่ที่นั่นถึงได้ไปหา หรือว่าเจออะไรบนเกาะ ถึงได้คิดว่าเขาอยู่ที่นั่น”
“เพราะชื่อหมู่บ้านโบราณบนเกาะ ทำให้เราคิดว่าเขาอยู่ที่นั่น แล้วพอไปถึง เราก็แน่ใจว่าเขาอยู่ที่นั่น เขาคอยมองเราอยู่ แต่ยังไม่รู้อะไรแน่ชัดข้าวโพดก็วิ่งตามอะไรก็ไม่รู้ออกไปข้างนอก แบบนั้นมันอันตราย”
เบสบ่นแบบนี้ตั้งแต่คืนที่อยู่บนเกาะแล้ว แล้วก็กลับมาบ่นใหม่เมื่ออยู่ด้วยกันในห้องนอน
“ขนาดเบสยังไม่รู้แล้วเราจะรู้ได้ยังไง”
เบสลุกขึ้นมานั่งกอดหมอน “เราอยากเจอพี่บลู เขาหายไปนาน อาจเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเขา”
“เรื่องไม่ดีแบบไหน คือ เราหมายถึง เขาไม่ได้เป็นเหมือนพวกเรา จะมีใครทำอะไรเขาได้”
“จะไปรู้หรือ เขาเคยมาหาเราตลอด แล้วจู่ ๆ ก็หายไป” เบสส่ายหน้า แล้วล้มตัวลงนอนห่มผ้า “คืนนี้เราจะนอนห้องนี้ ถ้าข้าวโพดจะดูหนังก็ตามสบาย เรานอนได้”
เมื่อเบสพลิกตัวนอนหันหลังให้ ข้าวโพดก็หันมาดูหนังต่อจนจบถึงได้ปิดไฟแล้วนอนข้างกัน เบสก็พลิกตัวกลับมานอนกอดแขน
“อ้าว คิดว่าหลับไปแล้วเสียอีก”
“ยัง แต่กำลังจะหลับแล้ว”
เกือบเที่ยงคืน คนทั้งบ้านหลับไปแล้ว แต่เบสนอนลืมตาท่ามกลางความมืด ฟังเสียงสนทนาและการเคลื่อนไหวที่หน้าบ้าน เมื่อการต่อสู้เริ่มต้นขึ้น เงาสีดำแปดขาก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืดในห้องแล้วหายไป เสียงแหลมเล็กที่ดังก้องทำให้การต่อสู้ที่หน้าบ้านหยุดลง
ผ่านไปอีกครู่หนึ่งเงาสีดำแปดขาจึงกลับเข้ามา แล้วแฝงตัวเข้ากับความมืดภายในห้อง

จบตอนที่ 18
ใกล้จบแล้วนะจ๊ะ
ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอด
ไจฟ์กับที

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: OWAZA ตอนที่ 18 (16/02/64)
«ตอบ #216 เมื่อ16-02-2021 17:05:37 »

 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ uniko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: OWAZA ตอนที่ 18 (16/02/64)
«ตอบ #217 เมื่อ16-02-2021 19:12:21 »


มาแล้วๆๆๆๆ  :katai2-1: :katai2-1:




พี่บลูหายไปไหนอีกล่ะเนี่ย





เพิ่งกลับมาจากเกาะ หายไปอีกแล้ว :katai1:





ใกล้จบแล้วเหรอเนี่ย แล้วพี่ลุคกับจัสติน สาธุคุณจะสู้พวกนั้นไหวมั๊ย :เฮ้อ:





ติดตามเอาใจช่วยทีมพี่ลุคกัน





ขอบคุณสำหรับตอนนี้ค่า  :pig4: :L1:


 :mew1:

ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
Re: OWAZA ตอนที่ 18 (16/02/64)
«ตอบ #218 เมื่อ23-02-2021 16:06:01 »



อ๊ากกก !!!! [ :katai1:] บลูหายไปไหน พึ่งจะดีใจที่เค้าอยู่ใกล้ๆกับลุค


ใจแรกก็คิดว่า บลูอยู่ในสายรอดเสมอคงไม่เป็นไร เหมือนที่สาธุคุณบอกให้เชื่อมั่น


แต่อีกใจก็กังวล เพราะลุคดูกังวล  :ling3:


และที่กลัวอีกอย่างคือ เบสจะโดนครอบงำจนไม่อาจช่วยเหลือได้


 :katai1:  :katai1:  :katai1: ลุ้นนนนนน มาก




ขอบคุณค่า รอตอนต่อไปเสมอ  :L2:


ออฟไลน์ KOWPOON

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1
Re: OWAZA ตอนที่ 18 (16/02/64)
«ตอบ #219 เมื่อ25-02-2021 14:27:04 »

ลุ้นนนนนน อ่าาาาาาาาาาาาาา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: OWAZA ตอนที่ 18 (16/02/64)
« ตอบ #219 เมื่อ: 25-02-2021 14:27:04 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ MyTeaMeJive

  • MyTeaMeJive
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1894
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3313/-9
OWAZA ตอนที่ 19 (04/03/64)
«ตอบ #220 เมื่อ04-03-2021 17:25:50 »

ตอนที่ 19

ลุคและจัสตินเดินทางขึ้นเหนือเพื่อตามหาบลูเป็นเรื่องหลัก และทิ้งให้สาธุคุณฌ็องส์รับหน้าที่ตอบคำถามที่มาจากวาติกัน ศาสนจักร หรือจากที่ใดก็ตาม
ใกล้เที่ยงวัน ลุคและจัสตินจอดพักที่จุดชมวิวอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ชายชาวเยอรมันเปิดกล่องท้ายรถมอเตอร์ไซค์หยิบกล่องอาหารและเครื่องดื่มออกมาส่งให้ แล้วนั่งกินอาหารอยู่ข้างกัน จากนั้นก็ออกเดินทางกันต่อ เมื่อต้องแวะเติมน้ำมัน จัสตินก็ไปซื้ออาหารและเครื่องดื่มมาเตรียมไว้สำหรับมื้อต่อไป
ค่ำนั้นทั้งคู่ได้ที่พักเป็นบ้านพักหลังเล็กในรีสอร์ทเชิงเขา จัสตินเป็นคนลงชื่อเข้าพัก ขณะที่ลุคยืนรออยู่ด้านหน้าสำนักงาน จากนั้นก็ขับรถตามพนักงานของรีสอร์ทไปถึงหน้าบ้านพัก
สถานที่ในลักษณะนี้ย่อมต้องมีดวงวิญญาณ แต่ปรากฏว่าบรรดาวิญญาณทุกดวงต่างพากันหลีกเลี่ยงพลังงานสีขาวของลุคจนไม่เหลือ ‘ใคร’ ให้ซักถาม
บ้านพัก 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ กับห้องโถงกลางที่จัสตินตรงเข้าไปจับจองเป็นที่นอนในคืนนี้
ลุคดื่มน้ำจนหมดขวดถึงได้เลือกห้องนอนใหญ่ เมื่อเดินเข้าไปในห้อง แล้วได้ยินเสียงปิดประตูห้องนอนเล็กที่อยู่ติดกันจึงคาดว่าจัสตินคงเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเหมือนกัน
หลังจากที่อยู่ในเมืองร้อนมานานกว่า 2 ปี ลุคและจัสตินก็เริ่มติดนิสัยรำคาญเหงื่อของตัวเองและอาบน้ำวันละ 2 ครั้ง
เมื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่รีสอร์ทเตรียมไว้ให้ จัสตินก็มาเคาะประตูห้อง เพื่อเอาชุดที่ใส่ในวันนี้ไปซักที่สำนักงาน พอลุคส่งให้ ชายเยอรมันก็ออกไปในทันที
“ลุค เมอร์ฟี” เสียงเรียกดังมาจากทางด้านหลัง ภายในห้องนอน ทำให้เจ้าของชื่อรีบปิดประตูห้องนอนแล้วหันกลับมาหาคนที่ถามในทันที
“นายกำลังจะไปไหน”
ผู้ที่อยู่ในชุดสีขาวยืนอยู่ตรงมุมห้องยืนกอดอกสีหน้าท่าทางมีความไม่พอใจอยู่มาก แต่ลุคตรงเข้าไปกอดไว้แน่นด้วยความดีใจ
“เป็นอะไร” น้ำเสียงเปลี่ยนไปเป็นความกังวล ขณะที่แตะแผ่นหลังหนาเบา ๆ “ใครเป็นอะไรหรือไง”
“ฉันตามหานาย”
“ฉันต่างหากที่ตามนาย แต่นายก็เอาแต่ขี่มอเตอร์ไซค์ยักษ์ แล้วก็ส่งไอ้พลังห้ามเข้าใกล้นั่นมาตลอดทางจนฉันไม่มีโอกาสโผล่ออกมา”
ลุคแปลกใจมาก “พลังห้ามเข้าใกล้ มันเป็นยังไง”
บลูกลอกตาตบแผ่นหลังหนา “ปล่อยก่อนแล้วค่อยคุยกัน”
พอลุคคลายอ้อมกอด บลูก็เดินไปนั่งบนเตียง “นายกำลังจะไปไหน ตามหาฉันทำไม”
“นายบอกให้ฉันไปดูว่าเบสเป็นยังไงบ้าง ฉันก็ไป แต่พอกลับมาแล้วนายหายไป”
“อ๋อ...” บลูลากเสียงยาว “ก็นายบอกว่าจะไปสวีเดน ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ ฉันก็เลยไปทำเรื่องย้ายบ้าน แล้วกลับไปรอนายอยู่ที่หน้าบ้านของคนเยอรมัน”
“แล้วทำไมไม่เรียก”
“ก็ครั้งก่อนตอนที่เรียก พวกนายกำลังตามล่าปีศาจอยู่ไม่ใช่หรือไง ถ้าคราวนี้เรียก ฉันจะไปขัดขวางการทำงานของนายอีกหรือเปล่า ก็เลยรอ แต่รอนานไม่ได้ต้องหลบออกมา แล้วกลับไปใหม่ ไม่เห็นพวกนายกลับมาสักที ชักเริ่มไม่ค่อยปลอดภัย คิดว่านายกำลังตามอะไรกันอยู่แน่ ๆ ก็เลยหาสุสานเพื่อซ่อนตัว แต่ระหว่างทางฉันจับร่องรอยของนายได้ ก็เลยตามมา แต่นายก็กลับส่งพลังนั่นผลักฉันออกมาตลอดทาง”
ลุคลูบใบหน้าแรง ๆ แล้วทิ้งตัวลงนอน พลังที่บลูพูดถึงอาจเป็นความเครียดและความกังวลที่บลูหายไป จัสตินเองก็คงจับความรู้สึกนี้ได้ ถึงได้ติดตามมาเงียบ ๆตลอดทาง
แต่มันกลายเป็นการผลักบลูออกไป จนกระทั่งเข้าพักและความเครียดผ่อนคลายลง บลูถึงออกมาหาได้
“นายกำลังตามหาฉันจริงหรือ แล้วนายจะไปตามหาฉันที่ไหน”
“ฌ็องส์บอกว่า มีป่าสนอยู่ทางเหนือ ก็คิดว่าจะลองไปตามหานายที่นั่น”
“บอกแค่มีป่าสนอยู่ทางเหนือ นายก็ไปเลยหรือ นายเชื่อฟังเขาขนาดนั้น”
ลุคมองแผ่นหลังคนในชุดขาวแล้วดึงให้ลงมานอนข้าง ๆ
“ไม่ใช่อย่างนั้น พอนายหายไป ฉันกับจัสตินก็ตามหานายไปทั่วเมืองหลวง และสถานที่ที่คิดว่านายจะไป ทั้งร้านกาแฟ บ้านจัสตินก็ไป คิดว่าเราน่าจะคลาดกัน ยังมีที่มหาวิทยาลัยของเบสกับข้าวโพด สุสานใกล้เมืองหลวง หาอยู่ 2 วันยังไม่เจอนาย ฉันจึงคิดว่านายอาจหลบหนีไปที่ป่าสนทางเหนือ เพราะก่อนหน้านี้นายพูดถึงป่าสน”
“ฉันพูดถึงป่าสนที่สวีเดนต่างหาก นายเป็นคนบอกเอง ว่าป่าสนที่ฉันพูดถึงมันอยู่ที่สวีเดน” บลูย้ำ รู้สึกหงุดหงิดที่ลุคเชื่อฟังชายชาวฝรั่งเศสคนนั้น
“ตามหาฉันทำไม”
“ฉันเจอดาร์ทที่หน้าบ้านของผกา”
“ดาร์ทคือใคร”
“ดาร์ทคือ 1 ใน 4 ของพ่อมดที่ซอว์นีย์ไว้ใจมากที่สุด” บลูพยักหน้าให้ลุคเล่าต่อ “มันใช้วิญญาณมาเป็นสัญญาณเรียกฉันแบบไม่จำเป็น และสู้กับฉันแบบไม่มีเหตุผลให้ต้องสู้ เพราะมันสามารถออกมาท้าสู้กับฉันได้ทุกเมื่อ แล้วการต่อสู้ก็จบลงเพราะอารันญ่าออกมา โดยที่เรายังไม่รู้ผล” ไม่ได้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์เลยสักอย่าง 
“แม่มดที่ควบคุมเกรซน่ะหรือ แล้วยังไงต่อ” บลูสนใจตรงจุดนี้มาก
“เธอส่งพลังอ่อน ๆ บอกกับฉันตั้งแต่ไปถึงว่าเธออยู่ในบ้าน โดยทั่วไปในเวลาที่มีพ่อมดตนหนึ่งออกมา จะมีพ่อมดที่อยู่ใกล้เคียงเข้ามาสมทบเพื่อรวมกลุ่มสู้กับฉัน แต่คราวนี้อารันญ่าออกมาในตอนที่พิษของดาร์ทไปถูกกำแพงบ้าน”
“ห๊ะ” ผู้มีดวงตาสีฟ้าไม่เข้าใจ
นั่นเป็นหนึ่งในหลายเรื่องที่ลุคเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
“เธอแค่ปรากฏตัวออกมาแล้วก็อยู่ภายในเขตรั้วบ้าน แต่พอเธอออกมาดาร์ทก็หนีไป ฉันก็เลยล้างพิษที่มันเลอะบริเวณนั้น”
“ตอนที่นายล้างแม่มดตนนั้นทำอะไร”
“ไม่ทำอะไร ยืนมองดูเฉย ๆ  พอฉันจัดการเรื่องที่หน้าบ้านเสร็จก็กลับออกมาหานายที่จุดนัดพบ แต่ก็ไม่พบ ฉันกังวลว่า มันเป็นกับดักเพื่อที่จะจับนายไป เพราะการที่มีทั้งอารันญ่า และดาร์ท มันก็มีความเป็นไปได้ว่าไวเพอร์ กับอูซุส รวมถึงซอว์นีย์เองก็น่าจะมาอยู่ที่นี่”
ลุคดึงบลูลงมากอดแล้วก้มลงจูบหน้าผาก
“ดีที่นายไม่ถูกพวกมันจับตัวไป”
“เดี๋ยว ๆ ไวเพอร์ กับอูซุสคือใคร อ๋อ ลูกน้องอีก 2 คนของซอว์นีย์” บลูถามเองตอบเอง “ความสามารถพิเศษของฉันคือการหนี นายลืมไปแล้วหรือ”
“อย่าประมาท ลูกน้องของซอว์นีย์ไม่ได้มีแค่ 4 ในรอบหลายร้อยปีมานี้ มีมือปราบวาติกันหลายคนที่สามารถสังหารพ่อมด แม่มดที่เป็นพวกเฮ้นช์แมนของซอว์นีย์ แต่สุดท้ายแล้วก็จะมีเฮ้นช์แมนคนใหม่ขึ้นมาแทนที่เสมอ ที่สำคัญคือไม่เคยมีใครเจอซอว์นีย์”
“ซอว์นีย์อาจไม่มีตัวตน”
“มี” ลุคบอก “มีพ่อมด หรือแม้แต่นายวิญญาณหลายคนที่เวลาจะสู้กับฉัน จะยกซอว์นีย์ขึ้นมาขู่”
บลูหัวเราะเบา ๆ “มันไร้ความสามารถขนาดยกหัวหน้าขึ้นมาขู่เลยหรือ กระจอกชะมัด”
นิ้วมือใหญ่เกลี่ยหน้าผาก และแก้มสีซีดขาว “ฉันดีใจที่นายไม่เป็นอะไร”
“นายน่ะคิดเยอะมาก แล้วหลังจากนี้จะทำยังไง จะเชื่อฟังชายฝรั่งเศสคนนั้นเดินหน้าหาป่าสนทั้งที่ฉันอยู่ตรงนี้ หรือจะไปสวีเดนตามที่ตั้งใจไว้”
“บลู”
“อะไร”
“นายดูไม่พอใจเรื่องที่ฌ็องส์ให้คำแนะนำ”
บลูตาขวาง หน้างอ
“ไม่ใช่สิ นายไม่พอใจที่ฉันฟังคำแนะนำของเขา”
บลูไม่ตอบ
“เขาเป็นส่วนหนึ่งของทีม หน้าที่ของเขาคือสนับสนุนข้อมูล และให้คำแนะนำ”
“ข้ามไปเลยเหอะ” สีหน้าแววตาชัดเจนว่าไม่อยากฟังคำอธิบายนี้ “ฉันไม่สนใจเรื่องป่าสนไม่ว่าจะที่ไหนทั้งนั้นแหละ ที่ฉันอยากรู้ก็แค่ เมื่อไหร่ฉันจะได้เผาคาร่าสักที”
“เรายังไม่มีเบาะแสว่าคาร่าอยู่ที่ไหน และยิ่งไม่รู้ว่าซอว์นีย์อยู่ที่ไหน”
บลูไม่เชื่อ
ลุคมักทำเหมือนกับว่าเขาทำงานกันอยู่ 2 หรือ 3 คนทั้งที่มีมือปราบวาติกันจำนวนนับร้อยคนทั่วโลก ที่เฝ้าติดตามและกำจัดพ่อมด แม่มดนอกรีตมากมายหลายกลุ่มมาเป็นเวลานานหลายร้อยปี เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะขับรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ไปที่นั่นที่นี่ โดยไม่มีเบาะแสอะไรเลย
แต่ถ้าลุคอยากให้เชื่อแบบนั้น...
“นายไม่มีเบาะแส แต่นายมีเหยื่อนะ แค่ฉันเดินออกไป...”
“ไม่ได้!” ลุคจริงจังมาก “ห้ามทำอย่างนั้นอย่างเด็ดขาด ฉันตามล่าพวกมันไปจนถึงวันสิ้นโลกเลยก็ได้ แต่ห้ามนายทำอย่างนั้น อย่างเด็ดขาด!”
ดวงตาสีฟ้าจ้องมองมานิ่ง ๆ สิ่งที่ชัดเจนที่สุดในบรรดาเรื่องราวทั้งหมดคือความกังวลใจของคน ๆ นี้
บลูจูบที่ริมฝีปากหนา “ลุค เมอร์ฟี ฉันไม่มีเวลานานขนาดนั้น หน้าที่หลักของนายคือการกำจัดซอว์นีย์ ไม่ใช่การคุ้มครองฉัน” ปีศาจตาสีฟ้าพยายามโน้มน้าวให้ลุคเร่งมือทำงาน “ตั้งแต่อดีต มีผู้คนมากมายที่ถูกพวกมันใส่ร้ายว่าเป็นแม่มดทำให้ต้องตายอย่างทรมาน จนถึงตอนนี้พวกมันก็ยังคงใช้คาถาเพื่อหลอกลวงคนอื่น เพื่อกลืนกินวิญญาณ ในเมื่อนายพยายามโน้มน้าวฉันอยู่ทุกครั้งที่เจอกัน ไม่ให้ฉันใจร้อน นายก็ควรทำหน้าที่ของนายให้เรียบร้อย ไม่ต้องห่วงฉัน ถึงฉันจะไม่สามารถตามนายไปได้ทุกที่ แต่ก็ขอให้ไว้ใจความสามารถของฉันเรื่องหนี และเรื่องพรางตัว”
ลุคขยับตัวขึ้นนั่ง มีท่าทีลังเลที่จะพูดต่อ
“มีอะไร”
“มันมีวิธีที่จะทำให้ฉันสามารถรู้ได้ว่านายยังอยู่หรือไม่”
บลูกัดริมฝีปากแล้วพยักหน้า
“นายรู้วิธีหรือ”
บลูพยักหน้าอีกครั้ง
ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง การผูกพันด้วยร่างกายและหัวใจทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายรู้ว่าอีกฝ่ายยังอยู่หรือตายไปแล้ว แต่กรณีนี้ฝ่ายหนึ่งคือปีศาจนกฮูก และอีกฝ่ายหนึ่งคือมือปราบวาติกันที่ซ่อมแซมตนเองได้
มันก็คงจะเป็นวิธีที่ใช้การได้จริงอย่างที่ลุคต้องการ แต่หลังจากนี้ ปีศาจกับมือปราบจะเป็นอย่างไรต่อไป
“แล้ว...นายโอเคไหม”
“นายก็พยายามจะทำให้ฉันเป็นของนายมาตลอดไม่ใช่หรือไง”
“ฉันจึงถามว่านายตกลงที่จะเป็นของฉันไหม”
“ถ้า เราผูกพันกันด้วยร่างกายแล้ว แต่ใจเรายังสื่อถึงกันไม่ได้ มันก็แปลว่า ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ให้ใจใช่ไหม”
ลุคพยักหน้า
“นายไม่กลัวหรือว่า เราอาจสื่อใจกันไม่ได้ เพราะ...ฉัน...”
ลุคช้อนคางสวยให้เงยหน้าขึ้นมามอง
“อย่างนั้นก็ขึ้นอยู่กับนายแล้ว ว่าจะให้ใจฉันไหม เพราะว่าใจของฉันน่ะยกให้นายคนเดียวมาตลอด”
บลูแตะที่อกหนา “ลุค เมอร์ฟี นายสับสนอีกแล้ว ฉันไม่ใช่...”
ลุครั้งเอวบางเข้ามาหาแล้วกดจูบปิดคำพูด
เป็นจูบที่เต็มไปด้วยความตั้งใจและจริงจังมาก ถึงขนาดที่มือใหญ่กดแน่นอยู่ที่เอวบางไม่ได้ขยับไปไหน สุดท้ายคือบลูต้องตีที่ไหล่หนาให้ปล่อยก่อน แล้วพอลุคคลายออก บลูก็หลุดหัวเราะร่วน ทำให้ลุคต้องทิ้งตัวลงนอนลูบหน้าแรง ๆ อีกครั้ง
“ฉันรู้ว่า ในเวลาที่นายจริงจัง นายจะเป็นคนที่จริงจังมากกว่าคนทั่วไปเป็น 100 เท่า” แล้วหัวข้อที่คุยกันก่อนที่จะมาถึงเรื่องนี้มันก็ดูเป็นการหักมุมอย่างแรง จนไม่น่าจะมีอารมณ์อยากกอดกัน “แต่เวลาที่เราจูบกันมันต้องจริงจังขนาดนี้เลยหรือ” บลูพูดไปหัวเราะไป
“บลู หยุดหัวเราะได้แล้ว”
แต่บลูยังไม่หยุดหัวเราะ ลุคจึงดึงแขนบลูให้ลงมานอน ขณะที่ตัวเองพลิกตัวขึ้นคร่อม ดวงตาสีฟ้าสว่างที่มองมายังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
มือใหญ่ปลดกระดุมเสื้อสีขาวทีละเม็ด
ในที่สุดบลูก็หยุดหัวเราะ ทั้งยังไม่สามารถละสายตาจากดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น รู้แต่เพียงว่าลุคค่อย ๆถอดเสื้อผ้าออกให้ทีละชิ้นจนร่างกายเปลือยเปล่า
รับรู้ถึงปลายนิ้วที่สัมผัสแก้มใส ปลายคาง เรื่อยลงไปถึงอก และหน้าท้อง
บลูกลืนน้ำลาย ความรู้สึกแปลกก่อตัวขึ้นภายในช่องท้อง ความรู้สึกยามเมื่อถูกจูบคราวนี้ไม่ได้ทำให้คิดว่านี่เป็นเรื่องน่าหัวเราะอีกต่อไป ในทางตรงข้าม นี่เป็นจูบที่พาให้รู้สึกลุ่มหลง และทำให้ต้องการมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อลุคต้องถอนจูบเพื่อถอดเสื้อ บลูถึงกับผวาตาม ดวงตาสีฟ้าจับจ้องริมฝีปากหนาที่ห่างออกไป แล้วตอบรับในทันทีที่ลุคจูบอีกครั้ง นิ้วมือขาวแทรกที่เส้นผมเรียกร้องให้ลุคตามใจ
ไอร้อนจากร่างกายสูงใหญ่ และลมหายใจที่เป่ารดแก้มยังคงมีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดอยู่เช่นเดิม บลูไม่สนใจอะไรนอกไปจากการถูกคน ๆ นี้กอดจูบ 
มือใหญ่ลูบไล้อยู่ที่เอวเลื่อนลงไปที่สะโพกแล้วบีบเคล้น กล้ามเนื้อแน่นเต็มฝ่ามือชวนให้ลงมือหนักกว่าเดิม ทั้งท้าทายให้สำรวจร่างกายส่วนอื่น ๆ ต่อไปอีก เมื่อกดปลายนิ้วลากมาที่สะดือ คนตัวเล็กก็ถึงกับสะดุดลมหายใจ แล้วดูดริมฝีปากแลกลิ้น
ลุคเลื่อนมือลงหาแก่นกายสีอ่อน กอบกุมแล้วรูดช้า ๆ จนเริ่มอุ่นร้อน ก็ละจูบริมฝีปากบางลงมาที่ปลายคางแล้วไซ้ซอกคอขาว
บลูส่งเสียงครางที่บ่งบอกว่านี่คืออีก 1 ในจุดอ่อนไหว มือที่กำลังรูดแท่งเนื้อเลื่อนขึ้นมาบีบเคล้นยอดอกจนแข็งก็เลื่อนลงมาใช้ริมฝีปากดูดเม้ม
ไม่มีถ้อยคำบอกกันว่าชอบหรือไม่ ต้องการให้ทำแบบไหน แต่ลุครู้คำตอบทั้งหมดจากเสียงจากในลำคอ และเสียงหอบหายใจที่บ่งบอกถึงความรู้สึกทั้งหมดอย่างชัดเจน
ริมฝีปากหนาเลื่อนลงมาหาหน้าท้อง บลูก้มลงมองแล้วต้องหันหน้าหนีเมื่อดวงตาสีเข้มช้อนมองขณะที่แตะลิ้นที่ส่วนปลาย โลมเลียตลอดแท่งแล้วจูบ รูดริมฝีปากช้า ๆ
สะโพกบางยกขึ้นตามริมฝีปาก เล็กบางกดจิกอยู่ที่ไหล่หนา
ลุคดูดแรงแล้วรูดริมฝีปากถอนออก มือใหญ่รองรับสะโพกบางที่กล้ามเนื้อด้านหลังกำลังรัดตัว
ลุคขยับตัวยกสะโพกบางขึ้นสูง มือหนึ่งรูดท่อนเนื้อที่ด้านหน้า อีกมือหนึ่งต้องช่วยประคองร่างผอมบางไว้ ขณะที่ก้มลงจูบที่ผลแฝด
ในตอนที่สัมผัสผลแฝด กล้ามเนื้อของบลูยิ่งเคร่งเครียดกว่าเดิม
“ไม่ชอบหรือ”
“อือ”
ลุคต้องจับให้บลูคว่ำหน้าแล้วยกสะโพกขึ้นสูง ใช้ทั้ง 2 มือบีบเคล้นก้นกลม แล้วก้มลงจูบที่รอยบุ๋มที่เอว
“บลู”
“หือ” ดวงตาสีฟ้าหันมามองด้วยความงุนงง เมื่อจู่ ๆก็ถูกเรียก
“เคยได้ยินเรื่องวีนัสโฮลไหม”
บลูส่ายหน้า
“จากตำแหน่งที่อยู่ตรงข้อต่อกระดูกเชิงกราบแบบนี้” ลุคก้มลงจูบที่รอยบุ๋มตรงเอวทั้ง 2 ด้าน “นอกจากจะเซ็กซี่มากเป็นพิเศษ ยังทำให้คนที่มีเสร็จเร็วด้วย”
บลูจะพลิกตัวกลับมาหา แต่ลุคกดไหล่ไว้แล้วก้มลงจูบที่เอว
“มาลองดูกันหน่อยไหม ว่ามันจริงหรือเปล่า”
คนตัวเล็กส่ายหน้าขณะที่หัวเราะเบา ๆ “อยู่ดี ๆก็จะมาทดสอบ”
“นายตกลงแล้วนะ ว่าจะเป็นของฉัน”
บลูหันมาค้อน “มาถึงขั้นนี้แล้ว”
ลุคตีก้อนงอนเบา ๆ แต่ก็ยังทำให้บลูสะดุ้ง เกร็งกล้ามเนื้อที่เอวรับริมฝีปากหนาที่พรมจูบเอว ขณะที่อีกมือหนึ่งลูบไล้ที่ต้นหาแล้ววนอ้อมมากอบกุมแก่นกายอุ่นที่ด้านหน้า
ลุคคาดหวังว่าการพูดเล่นเมื่อครู่ จะทำให้บลูผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่เคร่งเครียดลงบ้าง แต่ทั้งหมดนั้นไม่มีผลเลยสักนิด
ชายหนุ่มขยับตัวขึ้นจูบที่ไหล่บาง ขณะที่ยังคงอ้อมมือไปรูดให้ช้า ๆ ทำให้แก่นกายของตนเองเบียดเข้ากับต้นขาของอีกฝ่าย
บลูหันมาดึงใบหน้าของลุคให้เลื่อนขึ้นมาจูบพลิกตัวนอนหงาย ส่วนอีกมือเลื่อนลงไปที่ใต้สะดือ
“เดี๋ยวก่อนก็ได้”
ลุคบอกแล้วดึงมือขาวออก เอาใจคนที่ชักสีหน้ายามที่ถูกขัดใจด้วยการกดจูบไซ้ซอกคอชาว แล้วก้มลงใช้ฟันขบเบา ๆ ที่ยอดอกบาง
บลูตีที่ไหล่หนา แล้วบอกตามตรง “อย่าใช้ฟัน ไม่ชอบ”
ลุคพยักหน้า แล้วเปลี่ยนเป็นริมฝีปากและปลายลิ้นโลมเลียที่ยอดอก ทำให้บลูถึงกับหัวเราะเบา ๆ ดึงลุคขึ้นมาจูบอีกครั้ง
ยังคงเป็นจูบที่พาให้ลืมตัวได้อย่างง่ายดาย แม้จะรู้ว่ามือใหญ่เลื่อนไปที่ก้นกลมอีกครั้ง  และสัมผัสที่รอยจีบ
บลูหลับตา 2 เอียงคอรับจูบไซ้ที่ใบหูและต้นคอ 
นิ้วมือใหญ่เกลี่ยที่รอยจีบแล้วเบียดแทรกนิ้วกลางลงไปก่อน แต่ได้เพียงแค่ข้อนิ้วแรกกล้ามเนื้อที่บีบรัดแน่นก็กลับไม่ยอมให้ไปต่อ
“บลู นายต้องยอมให้ฉันเตรียมพร้อมให้นาย”
...หรือว่า...
ลุคขยับลงมาจูบที่หน้าท้องแล้วใช้ปากและลิ้นทำรักให้ พร้อมไปกับการบีบนวดสะโพกกลม หลีกเลี่ยงการสัมผัสผลแฝดที่บลูบอกแล้วว่าไม่ชอบ จนรู้สึกถึงน้ำรสชาติปร่าลิ้นที่หยดจากส่วนปลายก็เปลี่ยนมาใช้มือรูดเบา ๆ จนบลูยกสะโพกตามมือ
ลุคที่ยังไม่ยอมให้บลูไปถึงฝั่งโดยง่าย ฝังใบหน้าอยู่กับหน้าท้องแบนราบ ขณะที่ใช้หยดน้ำลายผสานกับน้ำหล่อลื่นของบลูอาบที่ปลายนิ้วจนชุ่มเพื่อเกลี่ยที่รอยจีบทางด้านหลัง แล้วแทรกปลายนิ้วลงอีกครั้ง
ริมฝีปากหนาเพิ่มน้ำหนักจูบที่หน้าท้อง เมื่อคนผอมบางกระตุกเอวครั้งหนึ่งก็สอดนิ้วเข้าไปอีก แล้วถอยออกมาเล็กน้อยจากนั้นก็สอดลึกกว่าเดิม
ฝ่ามือเล็กดันศีรษะให้ลงไปหาที่แก่นกาย ลุคเงยหน้าขึ้นมองดวงตาสีฟ้าที่ร้องขอแล้วก้มลงใช้ปากทำรักให้ ทั้งที่กล้ามเนื้อภายในรัดแน่น แต่ลุคก็แทรกนิ้วชี้เพิ่มลงไปอีกนิ้ว
มือเล็กข้างหนึ่งยังคงประคองศีรษะเพื่อบอกถึงตำแหน่งที่พอใจ แต่อีกมือหนึ่งทึ้งหมอนไว้แน่น
ลุคเพิ่มนิ้วนางอีกหนึ่งนิ้วแล้วขยับเร็วขึ้น
“ลุค ลุค...” เสียงเรียกชื่อที่อ่อนหวาน “ให้ฉัน ทำให้ นาย...”
บลูหมุนตัวลงมาหาแก่นกายสีเข้ม ใช้มือรูดให้ก่อนจากนั้นจึงใช้ปาก ลุคที่อยู่อีกด้านจึงทำในแบบเดียวกันพร้อมไปกับการเตรียมพร้อมช่องทางด้านหลัง
ในเวลาที่ลุคกดย้ำที่จุดอ่อนไหวภายใน บลูตอบรับด้วยการจิกนิ้วลงที่ต้นขาใหญ่แน่นขึ้น แต่พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ฟันครูดแก่นกาย แต่ครู่หนึ่งบลูก็ถอนริมฝีปากออก ร่างกายเคร่งเครียดขึ้นแล้วกระตุกสะโพกเบา ๆ ลุครับหยาดน้ำสีขาวขุ่นที่เอ่อล้นไว้ 
เมื่อลุคถอนนิ้วออกบลูก็ถึงกับพลิกนอนหลายผ่อนลมหายใจ แล้วส่งเสียงประหลาดใจเมื่อลุคจับให้นอนหนุนหมอน แล้วยกสะโพกบางให้สูงขึ้น คายน้ำของบลูลงที่ช่องทางด้านหลัง
ชายหนุ่มไม่ปล่อยโอกาสนี้ผ่านไปโดยง่ายจากนิ้วที่ 1 เป็นนิ้วที่ 2 และ 3 อย่างรวดเร็ว ทั้งกดย้ำจุดที่ทำให้บลูถึงฝั่งเมื่อครู่
เมื่อช่องทางด้านหลังอ่อนนุ่มและมีความพร้อม ลุคก็จับให้บลูพลิกคว่ำ ใช้น้ำรักของบลูเป็นน้ำหล่อลื่นให้กับแก่นกายสีเข้มที่ใกล้จะระเบิด แล้วกดเข้าหาจากทางด้านหลัง
มือใหญ่ลูบแผ่นหลังบางที่เกร็งเครียดเมื่อสอดใส่ รอจนผ่อนคลายลงก็ค่อย ๆกดเข้าหา มือใหญ่อ้อมไปด้านหน้าบีบเคล้นยอดอกบาง ขยับสะโพกถอยออกเพียงเล็กน้อยแล้วขยับเข้าหาลึกกว่าเดิม เป็นความฝืดที่อาจหมายถึงการที่บลูยังไม่พอใจสักเท่าไหร่
ลุคก้มลงจูบที่ไหล่ ช้อนปลายคางให้หันมารับจูบ เมื่อกล้ามเนื้อผ่อนคลายลงก็กดเข้าหาจนสุดแล้วหยุดนิ่ง
หยดเหงื่อจากไรผมหยดกระทบแผ่นหลัง
ลุคถึงกับสูดปากด้วยความรู้สึกเสียว
มีถ้อยคำลามกมากมายเกิดขึ้นในสมอง แต่จากนิสัยของอีกคน หากพูดถ้อยคำเหล่านี้ออกไปอาจทำให้ความพยายามที่ใช้เวลานานนับชั่วโมงครั้งนี้ต้องจบลงอย่างไม่เป็นท่า
สะโพกแกร่งขยับหมุนหาจุดอ่อนไหวภายใน ดึงข้อศอกบางให้บลูเหยียดตัวขึ้นมาหา แล้วถอยออกมาเพียงเล็กน้อยแล้วกดย้ำ
กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งเกร็ง แท่งเนื้อสีอ่อนที่อ่อนลงไปแล้วกลับมาแข็งขึงอีกครั้งเมื่อจุดอ่อนไหวภายในถูกกระตุ้น กล้ามเนื้อภายในตอบรับการบุกรุก
“ลุค...” น้ำเสียงในยามที่ร้องขอเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกหวามไหว
มือใหญ่อ้อมไปบีบเคล้นแก่นกายอุ่นร้อน เร่งมือรูดสอดรับกับการขยับสะโพก
ข้อมือหนาถูกคว้าจับไว้แน่น แต่ช่องทางด้านหลังรัดแน่นกว่า ทั้งยังรู้สึกถึงน้ำหล่อลื่นจากภายในที่ไหลซึม ลุคก้มลงจูบไหล่บาง บลูเกร็งตัวแล้วถึงจุดสูงสุดไปอีกครั้ง
ลุคถอนออกแล้วจับให้บลูนอนหงาย แยกเรียวขาออกกว้าง ยกสะโพกขึ้นสูงแล้วสอดใส่
“นาย อึด เกินไปแล้ว”
บลูโอดครวญด้วยน้ำเสียงเหน็ดเหนื่อยแต่ช่องทางด้านหลังกลับยังคงตอบรับเป็นอย่างดี
ดวงตาสีฟ้าหรี่ปรือที่มองมา 2 แขนที่ยกขึ้นมาหาเรียกร้องให้โอบกอด ริมฝีปากฉ่ำหวานในยามจูบ ร่างกายที่สอดประสานเป็นหนึ่งเดียว
ลุคเร่งเร้าโถมเข้าใส่แล้วหลั่งข้างใน ในยามที่ถอนออกแล้วลงนอนด้านข้างยังมีน้ำสีขาวขุ่นหยาดหยดตามออกมา
บลูพลิกตัวหันมา แล้วซุกใบหน้าลงกับต้นแขนหนา
“เหนื่อยกว่าตอนที่หนีเจ้าตัวพวกนั้น อย่างเทียบกันไม่ติด”
ลุคหัวเราะเบา ๆ ขณะที่ก้มลงจูบหน้าผาก
“พักก่อนนะ อย่าเพิ่งไปไหน”
(มีต่อครับ)

ออฟไลน์ MyTeaMeJive

  • MyTeaMeJive
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1894
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3313/-9
OWAZA ตอนที่ 19 (04/03/64)
«ตอบ #221 เมื่อ04-03-2021 17:27:30 »

(ต่อครับ)

บลูเหนื่อยจริงอย่างที่บอก และหลับสนิทจนถึงรุ่งเช้าที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าคนที่นอนกอดกันอยู่เมื่อคืนไม่อยู่แล้ว
นี่ถ้าหากเมื่อคืนมีใครบุกรุกเข้ามา ปีศาจนกฮูกตัวนี้ก็คงเหลือแต่ชื่อ
เมื่อออกมาที่นอกห้อง ก็เห็นว่า ลุคและจัสตินกำลังกินอาหารเช้าอยู่ด้วยกัน และมีนมอุ่นกับขนมปังวางอยู่ตรงตำแหน่งข้างขวาของลุค
บลูพยายามบังคับสายตาไม่ให้มองจัสติน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมองอยู่ดี แล้วจัสตินก็รู้ตัวว่าถูกมองทั้งที่ไม่ได้หันหน้ามาทางนี้
“พวกนาย 2 คนทำให้ฉันต้องออกไปนอนนอกบ้านอยู่ครึ่งคืน”
ลุคหัวเราะเบา ๆ ทำให้บลูเดินไปชกต้นแขนหนา 1 หมัด แล้วหันไปขอโทษจัสตินด้วยน้ำเสียงที่แทบไม่พ้นคอ
ชายชาวเยอรมันยังมีสีหน้าเรียบตึงในเวลาที่พูด “เมื่อคืนนายก็ทำเสียงแบบนี้เวลาอยู่กับลุคหรือเปล่า มิน่า...”
บลูมีอาการหน้าชาไร้ความรู้สึกไปชั่วครู่ แล้วก็กลายเป็นรู้สึกร้อนผ่าว นั่งลงตรงเก้าอี้ที่คิดว่าน่าจะเป็นของตนเอง
“พอแล้ว” ลุคเตือนทั้งที่กำลังยิ้มกว้างให้กับออมเล็ตในจาน
“ตื่นนานแล้วหรือ ฉันหลับสนิทเลย”
“ตื่นนานแล้ว ดีแล้วที่นายหลับสนิท” ลุคตอบ
“อันนี้” บลูชี้ที่แก้วนม “ของฉันใช่ไหม”
“ใช่ ดื่มสิ”
บลูจิบนมสดแล้วถาม “พวกนายคุยเรื่องอะไรกันอยู่”
“เรื่องไปสวีเดน”
บลูพยักหน้า แสดงว่ายกเลิกการไปป่าสนทางเหนือแล้ว “สวีเดนเคยเป็นเป้าหมายหลักของนายมาก่อนหรือเปล่า ฉันหมายถึง นายเคยบอกว่า พวกนายค้นหาซอว์นีย์มานานหลายปี แล้วนายเคยมีเบาะแสอะไรที่ชี้ไปที่นั่นมาก่อนหรือเปล่า”
“มีเบาะแสมากมายที่ชี้ไปที่นั่น รวมถึงเรื่องเล่าเกี่ยวกับป่าลึกลับ ที่มีนักท่องเที่ยวหายไป เราเคยค้นหาที่นั่นมาแล้วหลายครั้ง เรียกว่าค้นที่นั่นมาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 จนถึงครั้งล่าสุดคือเมื่อ 2 ปีก่อน และจนถึงตอนนี้เราก็มีคนคอยเฝ้าระวังอยู่”
แสดงว่าป่าสนแห่งนั้น คือสถานที่ต้องสงสัยมาตลอด
“แล้วตอนนี้นายก็กำลังจะกลับไปที่นั่นอีกครั้ง เพราะมีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการที่คาร่ากลับมาจากสวีเดนพร้อมกับเครื่องรางบางอย่างที่มีวิญญาณร้ายกลับมาด้วย รวมกับเรื่องที่ฉันได้ยินคนพูดถึงอารันญ่าที่ป่าสนในสวีเดน นายคิดว่าพวกมันซ่อนคาร่าไว้ที่นั่นหรือไง”
ลุคพยักหน้า “แค่สงสัย ไม่มีหลักฐานอะไรเลย”
“ช่างมีเวลาเหลือเฟือ” บลูประชดแล้วเอียงคอ “นึกบางอย่างขึ้นมาได้”
ผู้ฟังทั้ง 2 คนพยักหน้าให้บลูพูดต่อ
“วันที่คาร่ากลับมาจากสวีเดน เธอพูดกับแม่บ้าน ผู้หญิงที่ดูอึมครึมคนนั้น”
“เธอชื่อกัลย์” ลุคบอก
“คนนั้นแหละ บอกเรื่องเอาของสำคัญไปฝากธนาคาร การที่นายไปรื้อค้นบ้านเธอก่อนหน้านี้แล้วไม่ได้เบาะแสอะไร อาจเพราะของไม่ได้อยู่บ้าน”
ลุคพยักหน้า “เบสน่าจะเป็นอีกคนที่รู้เรื่องนี้ไหม”
บลูทบทวนแล้วส่ายหน้า “ฉันไม่รู้ เพราะว่าพอเกรซกลับมาถึงบ้าน คาร่าก็ไม่ได้พูดอะไรเรื่องนี้ แต่คิดว่า ถ้าเธอจะเอาของไปไว้ที่ธนาคารก็น่าจะเป็นวันถัดมา เพราะในวันนั้นฉันเฝ้าอยู่ทั้งวัน คิดไปคิดมา ฉันน่าจะเผาคาร่าเสียตั้งแต่ตอนนั้น จะได้ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนี้”
ดวงตาสีฟ้ามองขนมปังในมือ “นายอาจมีเหตุผลมากมายที่จะเดินทางไปทั่วโลก แต่มีคำถามเกี่ยวกับการที่นายยอมละทิ้งเป้าหมายที่นี่ไปง่าย ๆ ทั้งที่นายย้ำกับฉันอยู่เสมอว่า ให้ฉันอยู่เฉย ๆ และนายยังสงสัยว่าซอว์นีย์และพวกอยู่ที่นี่”
ลุคเลิกคิ้วขึ้นสูง ขณะที่จัสตินวางแก้วกาแฟ
บลูจ้องดวงตาสีเข้มเมื่อพูดต่อ “โอเค ไม่ต้องบอกก็ได้ อย่างนั้นฉันจะบอกกับนายในเรื่องที่เกี่ยวกับฉัน สิ่งที่ฉันจำได้ ฉันคือนกฮูกสแกนดิเนเวีย ถิ่นกำเนิดของฉันคือสวีเดน แต่ฉันกลายเป็นแบบนี้ที่สกอตแลนด์ ที่ร็อกไซด์นั่นแหละ ทุกอย่างเกิดขึ้นในยุโรป ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับเอเชีย จนกระทั่งวันหนึ่งฉันถูกพวกล่าปีศาจไล่ตามในแบบที่เลวร้ายกว่าในตอนนี้ ฉันทำได้แค่หนีมาเรื่อย ๆ จนมาถึงที่นี่ แล้วมาเจอกับเกรซ เอาจริงนะ ตอนที่เจอก็ยังงงอยู่เหมือนกัน ฉันซ่อนตัวอยู่ในสวนสาธารณะ แล้วเขาผ่านมา คือมันแบบ...” บลูทำมือไม้วุ่นวาย “จู่ ๆเขาก็วิ่งออกกำลังกายผ่านต้นไม้ที่ฉันซ่อนตัวอยู่ หลังจากนั้นก็คือการที่นายพาฉันไปพบกับครอบครัวไร้ด์ ฉันฟังในสิ่งที่นายพูดนะลุค แล้วฉันก็เชื่อที่นายบอกว่า เรื่องทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มีอันตรายอยู่รอบตัวพวกเขา โดยเฉพาะการที่อารันญ่าควบคุมเกรซอยู่อย่างนี้ ดังนั้นฉันก็จะสรุปอีกครั้ง ว่านายอยากจะจัดการซอว์นีย์ที่ไหนก็แล้วแต่นาย แต่ถ้านายไปสวีเดน ฉันขอรออยู่ที่นี่ ฉันไม่อยากห่างจากเกรซ แล้วก็ช่วยจัดการให้เร็วหน่อยเถอะ เวลาของฉันเหลืออีกไม่มากแล้ว”
ลุคนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้น “ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องตามล่าแม่มด มีการล่าปีศาจแลกเงินรางวัลจากศาสนจักร เมื่อเวลาผ่านไปทั้งนักล่าและปีศาจก็เปลี่ยนรูปแบบของตนเอง นักล่าหลายคนทำงานขึ้นตรงกับศาสนจักร ปีศาจจำนวนมากกลายมาเป็นเครื่องมือของพ่อมด”
บลูขยับตัวนั่งหลังตรง
“ทั่วโลกมีเรื่องบันทึกเกี่ยวกับพ่อมด เวทย์มนต์และปีศาจเป็นหมื่น ๆ เรื่อง แต่บันทึกที่เกี่ยวกับซอว์นีย์หายากยิ่งกว่าการงมเข็มในมหาสมุทร แต่ถ้าเรื่องที่นายบอกว่า นายเป็นแบบนี้ที่สกอตแลนด์ ฉันคิดว่า มันอาจเกี่ยวข้องกับการทำพิธีกรรมของพ่อมดในสุสาน”
ผู้มีดวงตาสีฟ้าอ้าปากค้าง “นายมักจะอยู่ในสุสานใช่ไหม”
บลูพยักหน้า
“แล้วฉันก็คิดว่า พ่อมดคนนั้นอาจเป็นซอว์นีย์”
“หา...”
“ถ้าเป็นซอว์นีย์จริง มันจะเป็นเหตุผลในแง่ที่ว่าเขากำลังทำพิธีกรรมเกี่ยวกับเครื่องราง อาจกำลังเปลี่ยนอะไรสักอย่างให้เป็นเครื่องรางของเขา แล้วเขาก็ทำได้สำเร็จ แต่กลับทำให้นายที่อยู่ในสุสานในเวลานั้นพอดีต้องกลายเป็นแบบนี้”
“อันนี้คือการคาดเดาใช่ไหม”
“ฉันกำลังหาเหตุผลมารองรับการที่นายกลายเป็นแบบนี้ นายคิดว่ายังมีพ่อมดคนไหนที่ทำได้อีก”
บลูส่ายหน้า “ฉันลืมเรื่องในคืนนั้นไปแล้ว จำได้แค่ตอนที่จอร์จเก็บฉันกลับมาบ้าน กับเรื่องหลังจากนั้น”
“ในช่วงเวลาที่พวกเรายังเด็ก พ่อมดกลุ่มนี้ยังอยู่อย่างกระจัดกระจาย ซอว์นีย์เองก็มักทำตัวลึกลับมาตลอด ในช่วงแรกเราเคยตรวจค้นสถานที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นที่หลบซ่อนของซอว์นีย์ ก็มักจะเป็นบ้าน หรือกระท่อม”
“แต่นายบอกว่าเขามีลูกน้อง เขาน่าจะอยู่ในสถานที่ที่มันมีพื้นที่กว้างสักหน่อยไหม”
“เราเคยตรวจค้นปราสาทของพวกขุนนางเก่า แต่ทุกที่จะมีบางอย่างเหมือนกัน คือมีไอของพ่อมดและปีศาจจาง ๆ ซึ่งหมายความว่า เขาเคยมาที่นั่น แต่ไม่ได้อยู่ที่นั่น”
“การตรวจค้นพวกนั้นเกิดขึ้นหลังจากที่ครอบครัวไร้ท์ตายไปแล้วมากกว่า 10 ปี” จัสตินเสริม 
“ในยุคล่าแม่มด ศาสนจักรเองก็ยังมีความเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับเรื่องแม่มด และการล่าแม่มด แล้วก็ยังมีเรื่องราวในส่วนของกลุ่มนักล่าที่ไม่ใช่พวกที่ไล่จับผู้ต้องสงสัยไปเผา พวกเราถูกเรียกใหม่ว่ามือปราบวาติกันที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนหลายอย่างเพื่อให้มีความเข้มแข็งขึ้น และต้องมีจำนวนเพิ่มขึ้น เพื่อให้สามารถกระจายกันออกไปค้นหาพ่อมดแม่มดในหลายประเทศ ฉันไม่ได้เป็นคนที่ขอย้ายจากฝรั่งเศสมาที่นี่ แต่ที่มาก็เพราะมีผู้ทำนายที่วาติกันบอกว่าครอบครัวไร้ท์ปรากฎขึ้นที่นี่อีกครั้ง ฉันจึงมาและพบว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาซับซ้อน ฉันสามารถแยกออกมาได้แค่เจตน์กับแอน 2 คน ฉันออกห่างจากภารกิจตามล่าซอว์นีย์ตั้งแต่มาถึงที่นี่ หน้าที่ของฉันคือการจัดการพวกปีศาจ หรือวิญญาณที่เข้ามาใกล้พวกเขา จนกระทั่งผกากลับมาจากสวีเดนและฉันเจอนาย”
“นี่! อย่ามาโทษกันนะ บอกแล้ว”
“ไม่ได้โทษ แต่กำลังอธิบาย และเชื่อมโยงเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง”
บลูส่ายหน้า “ลุค เมอร์ฟี นายอาจไม่รู้ตัวว่านายมักหลีกเลี่ยงการพูดความจริงกับฉันด้วยการอธิบายแบบอ้อมโลก พูดเรื่องที่ฉันไม่สนใจอยู่ครึ่งวัน เพื่อให้ฉันลืมคำถาม นายบอกว่าเรื่องมันเครียด บอกให้ฉันอยู่ห่าง ๆ พอฉันห่าง นายก็จัดการอะไรมากมาย พอฉันกลับมา นายก็หยุดการทำงานทุกอย่าง ที่จริงแล้วนายอยากให้ฉันอยู่หรือไปกันแน่”
จัสตินหัวเราะหึ แล้วลุกขึ้นเก็บจาน และแก้วกาแฟไปล้าง
“ไปกันใหญ่แล้วบลู” ลุคจับมือขาวซีดของบลูไว้ “ฉันพยายามหาซอว์นีย์และผกาอยู่ตลอด แต่ฉันไม่เจอเบาะแสอะไรเลย อย่างซอว์นีย์ เราควรตามหามันได้จากการที่พวกลูกสมุนรายงานผลการทำงานกลับไป หรือไม่ก็ต้องมีการรวมกลุ่มทำพิธีกรรมอะไรบางอย่าง แต่ในช่วง 5 ปีมานี้พวกมันจะปรากฏตัวออกมาแล้วอยู่กับที่อย่างอารันญ่า หรือออกมาสู้กันแล้วหายไปอย่างดาร์ท และพ่อมดอีกหลายคน ขณะที่การตามรอยผกายิ่งยากมากกว่าเพราะแม้แต่รถยนต์คันที่ผกาใช้อยู่ตลอดก็หายไปด้วย”
ดวงตาสีฟ้าเปล่งประกาย “นายให้เชสช่วยดูว่าอารันญ่าติดต่อใครอยู่ใช่ไหม”
ลุคพยักหน้า
“แต่อารันญ่าก็ไม่ได้ติดต่อกับใครเลย ตอนที่เจอกับดาร์ท พวกมันยังไม่พูดกันสักคำ”
“เพราะมันรู้น่ะสิ ว่านายต้องวางเครื่องรางอะไรไว้ มันก็เลยระวังตัว”
ลุคยอมรับ
“มีอะไรอีก” บลูคาดคั้น “มาถึงขั้นนี้แล้ว นายยังมีอะไรที่ปิดบังอยู่อีก”
คนตัวใหญ่กอดอกไม่ยอมพูด ซึ่งเท่ากับการสารภาพว่ามีเรื่องปิดบังอยู่จริง ๆ
“ลุค เมอร์ฟี ถ้านายไม่พูด ฉันจะไปหาเบสที่บ้านจริง ๆ นะ ฉันไม่สนแล้วว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น แต่มันต้องเป็นปัญหาใหญ่ของนาย แน่ ๆ”
“อันที่จริงฉันรอคืนเดือนมืดของเดือนหก” ซึ่งก็คืออีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ “ซอว์นีย์อาจทำพิธีกรรม”
“ทำไมต้องเดือนมืด และเดือนหก” บลูถาม
“จากพิธีกรรมที่สุสานในร็อกไซด์เมื่อนานกว่า 400 ปีที่แล้ว และพิธีกรรมที่เกิดขึ้นอีกหลายที่ ที่คาดว่านั่นคือเวลาที่ซอว์นีย์จะทำพิธีกรรม”
“ขอเดานะ” นี่คือการคาดเดาจริง ๆ “นายกำลังคิดว่าซอว์นีย์น่าจะทำพิธีกรรมในเดือนหน้า ที่ป่าสนในสวีเดนใช่ไหม แต่ที่จริงเขาสามารถทำพิธีกรรมที่สุสานไหนก็ได้ไม่ใช่หรือ”
“ใช่สุสานไหนก็ได้ที่อยู่ใกล้ป่า แต่ฉันเดาว่า คราวนี้ในที่นั้นจะต้องมีผกา”
ลุคจึงไปที่ป่าสนทางเหนือ เพราะคิดว่าพวกซอว์นีย์อาจไม่ได้พาผกาเดินทางข้ามประเทศกลับไปสวีเดน
“พวกมันวางกับดักฉัน เป็นกับดักที่แบบ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันอยู่ที่ไหน แต่นายห้ามไว้ก่อนว่างั้น”
“แต่นายก็จะดื้อตามไปจนได้”
บลูยักไหล่ “อย่างนั้นอีกไม่นานพวกมันก็คงจะส่งคนมาบอกนายเองแหละ ว่าจะให้ไปที่ไหน จะเดินทางให้เหนื่อยทำไม” คนตาสีฟ้าหันมาจ้องหน้ามือปราบชาวสกอต “หรือว่า...นายรู้ว่าซอว์นีย์จะต้องทำแบบนี้ ดังนั้นในระหว่างที่รอพวกมันส่งคนมาบอก นายก็เลยให้ฉันไปซ่อนตัว และการที่ยกเรื่องสวีเดนขึ้นมาพูด ก็เพื่อที่วันหนึ่งนายต้องออกไปเจอพวกมัน ฉันที่ซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งก็จะคิดว่านายไปสวีเดน”
จัสตินเดินกลับมามองหน้าลุค เพราะจากที่บลูพูดมาแสดงให้เห็นว่าทั้งตนเองและสาธุคุณฌ็องส์ก็ถูกลุคหลอกและปิดบังเหมือนกัน
ลุคลูบหน้าแรง ๆ “ขอโทษนะบลู”
“นายต้องขอโทษฉันด้วย” จัสตินท้วง “ฉันคือผู้พิทักษ์ของนาย ตามนายไปทั่วโลก แต่นายกลับหลอกฉัน”
“ขอโทษ”
จัสตินหันมาหาบลู “ขอบใจนะ ที่ผ่านมาใช่ว่าฉันจะไม่สงสัยที่ทำไมเขาถึงมักจะบอกให้พวกเราแยกกันทำงาน หรือแม้แต่เรื่องบ้านพัก พวกเราก็ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันอย่างมือปราบกับผู้พิทักษ์คู่อื่น แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วว่า เขาตั้งใจจะจัดการกับซอว์นีย์ตามลำพังมาโดยตลอด”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน่า” ลุคพยายามจะอธิบาย “ตอนที่ต้องมาที่ประเทศนี้เพราะครอบครัวไร้ท์ปรากฏขึ้นที่นี่ ฉันก็คิดว่ามันค่อนข้างเป็นเรื่องส่วนตัว การให้นายมาจัดการเรื่องส่วนตัวของฉันมันไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่"   
บลูหันไปหาจัสติน “คิดว่าประโยคนี้เชื่อได้ไหม”
“คิดว่าควรเชื่อ เพราะจากการกระทำทั้งหมดของเขามันบ่งชี้ไปอย่างนั้น” ผู้พิทักษ์ชาวเยอรมันตอบ
“พูดขึ้นมาแล้วก็นึกขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง” วันนี้บลูมีพรรคพวกแล้ว “นายเคยทำเป็นฟอร์มว่าไม่เก่ง”
“แล้วนายก็เชื่อด้วยหรือ เขาเป็นมือปราบแห่งวาติกันเชียวนะ” จัสตินไม่ได้พูดช่วยลูกพี่เลยสักนิด
“เชื่อสิ ก็เขาบอกว่าเขาไม่ได้เป็นนักบวช ฉันก็คิดว่าอาจจะไม่เท่าไหร่ แต่ที่ไหนได้” บลูส่ายหน้า “ไม่รู้จะทำให้มันซับซ้อนไปทำไม ในเมื่อสุดท้ายแล้ว ตัวนายเองนั่นแหละที่ต้องเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา”
โดนถึงขนาดนี้ลุคกลับยังดูไม่เดือดร้อนสักเท่าไหร่ ทั้งรู้สึกดีที่บลูกับจัสตินสามารถกลายเป็นฝ่ายเดียวกัน จนปล่อยให้ทั้ง 2 คนต่อว่าโดยไม่คิดจะชี้แจงหรืออธิบายอะไร
 
สายวันนั้นลุคและจัสตินออกเดินทางอีกครั้ง โดยมุ่งหน้าไปทางป่าสนทางเหนือตามที่มีการวางแผนไว้ตั้งแต่แรก เนื่องจากทั้ง 3 คนเห็นพ้องกันว่า ซอว์นีย์จะต้องส่งปีศาจ หรือดวงวิญญาณติดตามลุคมา หากจู่ ๆ ลุคเดินทางกลับอาจทำให้เกิดความสงสัย
“ไหน ๆ ลุค เมอร์ฟีก็เดินแผนหลอกทั้งกลุ่มซอว์นีย์และคนกันเองมาตั้งนาน จะมาทำอะไรตรงไปตรงมาตอนนี้ มันก็จะผิดวิสัย เพราะฉะนั้น ฉันเห็นด้วยที่นาย 2 คนจะเดินทางต่อไป” บลูแสดงความเห็นในแบบที่ทำให้คนฟังอยากดึงจมูกเล็ก ๆ นั่นสักที

จบตอนที่ 19  (Venus Hole ถ้าเป็นชายเรียก Apollo holes)

ออฟไลน์ uniko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: OWAZA ตอนที่ 19 (04/03/64)
«ตอบ #222 เมื่อ04-03-2021 19:02:21 »

ตอนใหม่มาแล้ว ปรบมือรัวๆ :mc4:



แปะไว้ก่อน เดี๋ยวกลับมาอ่านนํา



 :mew1:

ออฟไลน์ uniko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: OWAZA ตอนที่ 19 (04/03/64)
«ตอบ #223 เมื่อ05-03-2021 16:58:57 »


แหมๆๆๆๆๆ พี่ลุค  :hao7:




 :pighaun:  :pighaun:  :pighaun:




สงสารจัสติน ต้องย้ายหนีเลยทีเดียว แต่พี่ลุคเค้าก็รอมานานอ่ะนะ เข้าใจเค้าหน่อย  :hao3:




เอาล่ะ ผสานจิต ผสานกายกันแล้วก็ไปลุยกันต่อ



 :katai2-1:




ตอนนี้เข้าใจกันมากขึ้นแล้ว พี่ลุคเปิดเผยเรื่องที่เก็บไว้มากขึ้น น้องบลูกับจัสตินจะได้ไม่ต้องกังวลมากเนอะ




ตอนหน้า ลาสบอสซอว์นีย์จะปรากฎตัวไหมนะ ได้ยินแต่ชื่อ แต่ยังไม่เผยตัวซะที




 :hao4:



หวังว่าตอนหน้าจะมีฉากพี่ลุคกับน้องบลูอีก แค็กแค็ก ฉากต่อสู้กับพวกวิญญาณร้ายอีก




ขอบคุณสำหรับตอนนี้ค่า รอลุ้นตอนหน้ากันต่อไป คึคึ



 :3123:


ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: OWAZA ตอนที่ 19 (04/03/64)
«ตอบ #224 เมื่อ05-03-2021 22:15:34 »

เย้ ผูกพันกันแล้ว

ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
Re: OWAZA ตอนที่ 19 (04/03/64)
«ตอบ #225 เมื่อ10-03-2021 09:52:23 »


 :z1:  :z1:   :z1:   :z1:   :z1:


เอาล่ะ ตกลงข้อพิสูจน์ของลุคว่าบลู มีวีนัสโฮล ก็เป็นจริงซินะ


 :z1:  :z1:   :z1:   :z1:   :z1: 


เราควรโฟกัสเรื่องเค้าต้องไปต่อสู้ใช่ป่ะ  ไม่อ่ะ

ตอนนี้ได้รู้ว่าต่อไปลุคจะไม่ต้องกังวลว่าบลูจะหายไปก็ดีต่อใจแระ



ขอบคุณค่ะสำหรับตอนใหม่ กับความรู้ใหม่เรื่อง Venus holes ถึงกับไปหาข้อมูลตามเลยทีเดียว   o18


 :L2:  :L2:  :L2:










ออฟไลน์ MyTeaMeJive

  • MyTeaMeJive
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1894
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3313/-9
OWAZA ตอนที่ 20 (31/3/64)
«ตอบ #226 เมื่อ31-03-2021 19:47:10 »

ตอนที่ 20
   
ลุคและจัสตินยังคงขับรถไปตามจุดหมายเดิม ตามที่ตั้งใจไว้ จากเขตเมือง เข้าสู่ชนบท และหมู่บ้านของชนพื้นเมือง
หัวหน้าหมู่บ้านลอบมองชายชาวต่างชาติทั้ง 2 คนด้วยความหวาดระแวง
หมู่บ้านชนบทมักแฝงไว้ด้วยเวทมนตร์ ภูตผีทั้งดีและร้าย แต่ลุคก็เลือกที่จะไม่แตะต้องเรื่องราวเหล่านั้นซึ่งทำให้จัสตินผู้มีความซื่อตรงต่อหน้าที่ออกจะผิดหวังอยู่เล็กน้อย ยังดีที่ลุคขอเช่าบ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่งเป็นที่พักก่อนที่จะเดินทางเข้าสู่เขตป่า ซึ่งทำให้จัสตินพอจะมองข้ามเรื่องราวที่ทำให้ไม่พอใจเหล่านั้นไปได้
ก่อนที่ฟ้าจะมืด ชายเจ้าของบ้านนำอาหารค่ำและน้ำดื่มมาให้ ทั้งกำชับเรื่องการปิดประตูหน้าต่างให้ดี ทั้ง 2 คนก็ทำตามคำแนะนำ ปิดประตูหน้าต่าง เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดลง
แต่ในทันทีที่ลุคปิดหน้าต่างบานสุดท้าย บลูก็ปรากฏตัวตรงมุมห้อง
“ที่นี่มีเวทมนตร์แปลก ๆ ล้อมไว้ทั้งหมู่บ้าน ฉันเลยต้องหลบอยู่ข้างนอก”
“แล้วมันมีผลต่อนายหรือเปล่า” ลุคถาม
“ไม่รู้เหมือนกัน เห็นว่านายกำลังปิดบ้าน ก็พุ่งตรงเข้ามาเลย ถ้าจะเป็นอะไร ก็น่าจะเป็นแล้ว” บลูก้มลงมองมือ และแขนขาตัวเองจากนั้นก็พยักหน้าด้วยความพอใจ
“แล้วได้กินอะไรหรือยัง” ลุคถาม “ชาวบ้านเขาทำอาหารพื้นเมืองมาให้ ฉันเก็บผลไม้ไว้ให้นาย”
บลูหันไปมองหน้าจัสติน แล้วหันกลับมาหาลุค “นายกล้ากินอาหารที่ชาวบ้านทำให้ด้วยหรือ”
“เขาไม่ได้ใส่อะไรมาในอาหารหรอก หรือต่อให้ใส่มา จัสตินก็ปลดออกได้” ลุคบอก
บลูเห็นว่าจัสตินมักเป็นคนเตรียมอาหารให้ลุค แต่เพิ่งรู้ว่าจัสตินสามารถปลดพิษหรือคาถาในอาหารได้
“ที่จริงฉันกินมาแล้ว แต่ในเมื่อนายตรวจสอบผลไม้ตรงนี้แล้วฉันก็ไม่เกรงใจละนะ” บลูหยิบลูกสาลี่ขึ้นมา
“ตอนที่นายตามมา เจออะไรไหม” ลุคถาม
บลูเหลือบตาขึ้นมองคนถาม “ก็มีวิญญาณที่ตามนายมา ไม่ใช่ มันเป็นแบบ ส่งต่อกันมาเป็นทอด ๆ น่ะ วิญญาณที่ตามอยู่ตอนนี้เป็นคนละตัวกับที่ตามนายตอนที่ออกมาจากเมือง นายก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
ลุคพยักหน้า “เผื่อว่าจะมีอย่างอื่นอยู่อีก”
“อย่างอื่นเหรอ” บลูหน้าตาเหรอหรา ขยับตัวเตรียมพร้อมจะหลบหนีทันที
“ไม่ต้องหนีหรอก ฉันวางตาข่ายคุ้มครองบ้านนี้ไว้แล้ว”
“ฉันกินต่อได้นะ”
“อืม” ลุคบอกแล้วหันไปหาจัสตินที่กำลังทำความสะอาดอาวุธ “นายเองก็นอนพักได้ ไม่ต้องเฝ้ายามหรอก”
บลูถาม “มือปราบกับผู้คุ้มครองคู่อื่น เขาดีต่อกันแบบนาย 2 คนหรือเปล่า”
“แน่นอน”
ดวงตาสีฟ้ามอง 2 คนสลับไปมา แล้วก้มมองผลไม้ในมือ “ดีแล้ว”
ท่ามกลางสายลมเย็นในเวลากลางคืน มีเสียงดนตรีพื้นเมืองดังแทรกขึ้นมา ทำให้ทั้ง 3 คนที่กำลังพูดคุยกันหยุดฟังเสียงเพลง
“เพราะดีนะ” บลูบอก
จัสตินหันมาบอก “ฉันจะออกไปนั่งที่ด้านนอก”
“ไม่ต้องเฝ้ายามหรอก”
“พวกนายอาจมีเรื่องที่อยากคุยกัน” ชายชาวเยอรมันพูดจบก็เดินออกไปนั่งอยู่ที่ระเบียง
บลูกัดผลไม้ป่าลูกเล็กสีม่วงเข้ม “นี่มันลูกอะไร หวานนิด เปรี้ยวหน่อย”
ลุคหัวเราะเบา ๆ พลางส่ายหน้า “ไม่รู้เหมือนกัน”
เป็นคำตอบที่ทำให้บลูชะงักมือ แล้วเปลี่ยนไปหยิบลูกสาลี่ “ลุค เมอร์ฟีมีเรื่องที่ไม่รู้ด้วยหรือ”
“ฉันมีเรื่องที่ไม่รู้มากมาย”
บลูทำหน้ายู่ เปลี่ยนหัวข้อพูดคุยทันที “แล้วนายไม่ต้องทำความสะอาดอาวุธหรือไง ฉันไม่เคยเห็นนายทำความสะอาดเลย แต่คนเยอรมันจะทำความสะอาดอาวุธ 3 ใน 5 ครั้งที่เจอกัน”
“อาวุธของพวกเราไม่เหมือนกัน”
“นายเคยเล่าเรื่องอาวุธของนายให้ฉันฟังหรือยัง”
“เคยพูดไปนิดหน่อย”
บลูพยักหน้า
“อยากฟังหรือเปล่า”
“ถ้านายอยากเล่า” บลูกัดสาลี่ผลที่ 2 “นายอยากเล่าเรื่องไหน ฉันก็อยากฟังเรื่องนั้นแหละ”
ลุคเอื้อมมือไปจับศีรษะเล็ก ๆ แล้วเล่าเรื่องเกี่ยวกับการที่ปลอกข้อมือแอเรียสรวบรวมอาวุธจากนักสู้ พ่อมด และปีศาจไว้ แล้วจะส่งออกมาให้กับลุคในเวลาที่พบคู่ต่อสู้
บลูกินผลไม้หมดไป 2 ลูกก็ดื่มน้ำ นั่งฟังลุคเล่าเรื่องอาวุธไปเรื่อย จนกระทั่งนกกลางคืนส่งเสียงร้องขึ้นมา บลูจึงเหลียวไปมองทางที่มาของเสียง แล้วบอกลุคให้เรียกจัสตินเข้ามาในบ้าน
ชายชาวเยอรมันเดินเข้ามาในบ้านตามที่ลุคเรียก จากนั้นบลูจึงแปลการสื่อสารของนกกลางคืนให้ฟัง
“ฉันไม่รู้ว่าพวกนาย หรือคนที่นี่เรียกพวกเขาว่าอะไร พวกเขาคือวิญญาณของคนที่ตายในละแวกนี้ ในป่านี้ ที่กำลังจะผ่านไป ถ้านายยังนั่งอยู่ข้างนอก เกิดวิญญาณตนหนึ่งตนใดหันมาเห็น แล้วแตกออกมาจากแถว เขาก็จะพลัดหลงกับวิญญาณอื่น ๆ”
“ไม่อยากให้ฉันส่งพวกเขาหรือ” ลุคถาม
บลูคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้า “พวกนั้นไม่ได้เป็นวิญญาณร้าย คือจะบอกว่าหลงทางก็ไม่น่าใช่ อธิบายไม่ถูก แต่เขาจะไปกันเป็นกลุ่มใหญ่ รอให้ข้างบนมารับไปเท่านั้น นายไม่ต้องสิ้นเปลืองพลังงานเพื่อส่งพวกเขาหรอก” มือเล็กขยี้ตาท่าทางเริ่มง่วง “อีกอย่าง กว่านายจะส่งวิญญาณไปได้ทั้งหมดอาจนานข้ามวัน เพราะนายต้องคุยทีละคน นานชะมัด”
ลุคหัวเราะ ขณะที่จัสตินแค่ยิ้มขำให้กับคำบ่นปนง่วง
“ง่วงแล้วหรือ ขอโทษทีลืมไปว่านายนอนกลางวัน ตื่นกลางคืน วันนี้พวกเราเดินทางตลอด ทำให้นายไม่ได้นอน”
“ตอนแรกก็ไม่ง่วงหรอก แต่พอนึกถึงตอนที่นายคุยกับวิญญาณแล้วง่วง” บลูแก้ตัว
“พวกนายไปนอนพักเถอะ ฉันจะอยู่ในห้องนี้”
ถึงแม้ว่าจัสตินจะเป็นคนยืนยันเรื่องนี้ด้วยตัวเอง และบลูก็เชื่อตามนั้น แต่ยังรู้สึกไม่ไว้ใจ หันไปมองผ่านหน้าต่างที่ปิดสนิทออกไปข้างนอก
“ไม่ต้องห่วง ฉันส่งวิญญาณไม่ได้ แต่สลายให้มันหายไปได้” ชายชาวเยอรมันดูพอใจที่เห็นว่าบลูตั้งท่าจะอาละวาด “แต่ถ้าลุคไม่สั่ง ฉันก็จะนั่งอยู่เฉย ๆ ในห้องนี้”
บลูหน้างอ หันไปกระตุกชายเสื้อของลุค “บอกเขาสิ เขาเป็นลูกน้องนายนะ”
ลุคตามใจทุกคน “ฉันอยากให้นายพักผ่อนเหมือนกัน พวกเรายังต้องเดินทางกันอีกนาน”
บลูหันไปมองจัสตินเชิงบังคับให้ชายชาวเยอรมันรับปาก แต่จัสตินก็แกล้งด้วยการส่งเสียงตอบรับในลำคอสั้น ๆ แล้วเดินมาเก็บโต๊ะอาหาร
ลุคจับมือเล็ก จูงไปล้างหน้าล้างมือ “อยากล้างตัวก่อนนอนสักนิดไหม”
บลูอ้าปากจะกล่าวปฏิเสธ แต่นึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้อยู่ในร่างมนุษย์ ก็เลยพยักหน้า
“ที่นี่มีห้องน้ำเพียงห้องเดียว รออยู่ที่นี่ก่อน จะไปเอาเสื้อนอนมาให้”
จัสตินที่กำลังจะล้างถ้วยชามหยุดการทำงาน แล้วเดินไปยืนอยู่ใกล้กับประตูด้านหน้า กาง 2 มือออกท่าทางเตรียมพร้อมที่จะเรียกอาวุธออกมาได้ทุกเมื่อ บลูจึงได้รู้สึกตัวว่า ทุกอย่างรอบตัวหยุดนิ่ง เสียงนกกลางคืนเงียบหายไป แม้แต่สายลมเย็นในเวลากลางคืนก็ยังหยุดนิ่ง
“ไม่เป็นไร” บลูเป็นกังวล “อย่าทำอะไรพวกเขา เดี๋ยวเขาก็ผ่านไป”
แต่จัสตินยังคงเตรียมพร้อม
ในตอนที่บลูบอกให้ฟัง ยังคิดว่าอย่างมากก็สัก 5 ดวงวิญญาณ แต่จากแรงกดดันที่กำลังใกล้เข้ามา ทำให้คาดเดาได้ว่าจะมีมากกว่านั้นหลายเท่าตัว
ลุคเดินออกมาจากห้อง โอบไหล่บลูไว้
ทั้ง 3 คนที่ยืนอยู่ในบ้านต่างมองเห็นด้วยดวงตาที่ 3 เมื่อร่างโปร่งใส ทั้งที่อยู่ในชุดพื้นเมือง ชุดในยุคสมัยปัจจุบัน เด็ก คนหนุ่มสาว และคนชรา ทั้งหญิงและชายเคลื่อนผ่านหน้าบ้านไปอย่างช้า ๆ
เสียงพูดคุยกันของดวงวิญญาณแผ่วเบาจนไม่สามารถจับถ้อยคำได้
วิญญาณแม่กับลูกสาวคู่หนึ่งที่สวมชุดในยุคสมัยปัจจุบันหยุดที่หน้าบ้าน แล้วหันมามอง
บลูละสายตาจากดวงวิญญาณที่ด้านนอกกลับมาที่ด้านหลังของจัสตินที่ยืนขวางอยู่ ไม่เข้าใจว่าทำไมทั้ง 2 คนจึงมีท่าทีเตรียมพร้อม ในเมื่อบอกไปแล้วว่าพวกเขาไม่ใช่วิญญาณร้าย แต่คนที่ยืนขวางอยู่ข้างหน้าก็พร้อมที่จะเรียกอาวุธออกมาอยู่ทุกวินาที ส่วนน้ำหนักมือของอีกคนหนึ่งที่โอบไหล่ไว้ ก็ชัดเจนว่าจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้าย
ดวงวิญญาณมากมายเลื่อนผ่านไป จนมาถึงดวงวิญญาณสุดท้ายที่เป็นชายรูปร่างสูงใหญ่ในชุดพื้นเมือง ที่เมื่อมาถึงวิญญาณคู่แม่ลูกก็มีการพูดคุยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับสายลม วิญญาณของคู่แม่ลูกหันกลับหาชายผู้นั้น แล้วเคลื่อนที่ตามกลุ่มดวงวิญญาณอื่น ๆ ต่อไป โดยมีชายผู้นั้นปิดท้ายขบวน
เมื่อดวงวิญญาณทั้งหมดห่างออกไปบลูก็ผ่อนลมหายใจยาว
“ไปอาบน้ำนอนได้แล้ว” ลุคบอก
บลูหันไปคว้าเสื้อแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไร พอออกมาอีกทีลุคก็ชี้มือไปทางห้องนอนใหญ่ทางขวามือ “พวกเรานอนที่ห้องนั้น”
บลูหยุดชะงักหันไปมองหน้าจัสติน จากนั้นรีบโบกมือกับลุค “ไม่มีอะไร ง่วงนอนมากไปคิดไม่ทัน”
“คิดอะไร” ลุคถาม
“เมื่อกี้นายพูดว่าพวกเรา ฉันก็เลยคิดว่านอนห้องเดียวกัน 3 คนแล้วก็นึกได้ว่าไม่ใช่”
ลุคยิ้มขำ ขณะที่จัสตินส่ายหน้าขณะที่ปูผ้าผืนหนาลงบนเตียงไม้ ตามด้วยหมอนและผ้าห่ม
   “ไปนอนดีกว่า” บลูบอกแล้วเดินนำไปที่ห้องนอน โยนเสื้อผ้าชุดเดิมไว้ที่เก้าอี้ที่วางอยู่ข้างประตู แต่พอลุคจะหยิบมาคลี่แล้ววางพาดให้ใหม่ก็รีบแย่งมาทำเอง
“แล้วนายไม่อาบน้ำล้างตัวหรือไง”
ลุคพยักหน้า แล้วเดินกลับไปล้างหน้าล้างตัวตามคำสั่ง
ตอนที่เดินออกมาอีกรอบ จัสตินที่กำลังจะเอียงตัวลงนอนถึงกับลุกขึ้นนั่งทันทีด้วยความสงสัย
“แค่ออกมาล้างหน้า นายนอนไปเถอะ”
จัสตินหัวเราะพลางส่ายหน้า แต่ยังนั่งรอจนกระทั่งลุคอาบน้ำล้างหน้าเสร็จแล้วกลับออกมา ถึงได้ล้มตัวลงนอน ส่วนคนที่อยู่ในห้องนอนก็นั่งรออยู่บนที่นอน
“มีอะไรหรือเปล่า” ลุคถาม
บลูส่ายหน้าชี้บอกให้ปิดไฟ แล้วถึงได้เข้าไปนอนด้านในให้ลุคนอนใกล้ประตู
“นายคิดว่า ถ้าเราคุยกัน เขาจะได้ยินไหม” บลูบอกขณะที่ขยับตัวศีรษะนอนหนุนแขนใหญ่
“ไม่รู้สิ มีอะไรหรือ”
“ไม่ได้สำคัญอะไรหรอก แต่คิดถึงตอนครั้งก่อน ที่เขาบอกว่าเราทำให้เขาต้องออกไปนอนข้างนอก”
ลุคหัวเราะเบา ๆ
“หัวเราะทำไม”
คนที่หัวเราะไม่ตอบแต่กลับดันคางสวยให้เงยหน้าขึ้นมารับจูบ บลูก็เลยตีมือไป 1 ที
“ลุค เมอร์ฟี รู้จักอายบ้างไหม”
“ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดนี่”
“แต่ผู้พิทักษ์ของนายอยู่ข้างนอก เขาอาจได้ยิน”
“เขามีอายุมากกว่า 350 ปีแล้ว เขารู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
ลุคตอบแล้วก้มลงจูบอีก แต่บลูเบี่ยงหน้าหลบทำให้ริมฝีปากกดลงที่ใบหู
ความรู้สึกเหมือนถูกกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ เป็นแบบนี้เอง
“เวลาที่นายทำแบบนี้เขาก็อยู่หน้าห้องเสมอเลยหรือ”
“ก็ไม่ทุกครั้งหรอก”
บลูจับมือที่กำลังสอดเข้าใต้เสื้อนอน “เดี๋ยวนะ” สีหน้าท่าทางเหมือนกำลังทำใจ “นายก็อายุเอ่อ 400 กว่าปี เป็นไปไม่ได้ที่นายจะนอนกับฉันเป็นคนแรก แต่มันก็เออ รู้สึกแปลก ๆ”
“ยังไง” ริมฝีปากหนาจูบไซ้ที่ลำคอขาว
“ไม่รู้อธิบายไม่ถูก แต่ก็ช่างเหอะ สสารบ้าพลังอย่างนาย ไม่น่าจะเก็บน้ำเชื้อไว้ให้มันเน่าเสียอยู่แล้ว”
บลูไม่ได้หึงหวง และรู้มาตลอดว่าลุค เมอร์ฟีต้องมีประสบการณ์ในแบบคนหนุ่ม อาจไม่ถึงกับนักรัก แต่ลึกลงไปในใจก็ยังมีความรู้สึกกึ่งอิจฉา หญิงหรือชายที่ลุคเคยกอดเหล่านั้น
มือใหญ่เลื่อนขึ้นมากอบกุมอกบาง
“ฉันรู้ว่าฉันเป็นคนแรกของนาย” ต่อให้นายแกล้งทำเป็นว่ามีประสบการณ์ แต่ปฏิกิริยาบางอย่าง และนิสัยที่ติดตัวมาตลอดเวลายาวนาน บ่งบอกว่า ปีศาจนกฮูกตนนี้ไม่เคยมีความสัมพันธ์กับผู้ใด
มือที่จับข้อมือซุกซนสั่นเบา ๆ จนลุคต้องหยุดลวนลาม
“บลู”
“เอ่อ...ขอโทษ”
“ขอโทษทำไม”
“ก็...คือ...ฉันมักจะอยู่ตามลำพัง คือมันแบบ...ก็ ไม่เคย ไม่รู้ว่า...”
“ชู่ว” ลุคจูบที่หน้าผากสวย “นั่นไม่ใช่ความผิดอะไรเลย”
“ฉันไม่เก่ง”
“ไม่ได้บอกคำนั้นเลยนะ” ลุคให้กำลังใจ “ที่ฉันสนใจก็คือนายชอบเวลาที่ฉันกอด จูบนาย ทำรักกับนายหรือเปล่า”
บลูหลบตาขณะที่พยักหน้า “ฉันคิดว่าที่นายตั้งใจมาก และไม่ชอบให้ฉันทำให้ ต้องเป็นเพราะว่าฉันทำได้ไม่ดี”
“ไม่ใช่เรื่องนั้น” ลุคจูบแก้มใส “ที่ฉันตั้งใจมาก เพราะว่าฉันกอดนายอยู่ อยากให้นายรู้สึกดี ไม่เป็นกังวล ส่วนฉันทำให้นาย หรือนายจะทำให้ฉันมันขึ้นอยู่กับความต้องการของเราในเวลานั้น”
 ริมฝีปากหนากดจูบไซ้ที่ใบหู
“ฉันเข้าใจสถานการณ์ของนายที่ต้องอยู่ตามลำพัง และดีใจที่วันนี้เราได้อยู่ด้วยกัน มันสำคัญมากกว่าอะไรทั้งหมดแล้ว”
“ฉันก็ดีใจ แต่เวลาที่จูบกัน ฉันมักคิดว่า นายเก่ง แต่ฉันยังไม่ได้เรื่อง”
“ขอบใจที่บอกว่าฉันเก่ง แต่ฉันชอบที่นาย...เอ่อ...ฉันดีใจที่นายไว้ใจ ให้ฉันเป็นคนแรกของนาย”
บลูไม่กล้าสบตาขณะที่พยักหน้า “ฉันไว้ใจ”
“ขอบใจ” ลุคจูบที่ริมฝีปากสวย
มือใหญ่ถอดเสื้อนอนให้บลู ตามมาด้วยกางเกงนอน
บลูหันมาถอดเสื้อนอนของลุค แต่ลุคขอถอดกางเกงนอนของตัวเอง จากนั้นก็ขยับให้บลูขยับเข้ามาใกล้
ลุคจับมือเล็กให้มาสัมผัสที่ตำแหน่งของหัวใจ
จังหวะการเต้นของหัวใจที่ส่งมาถึงปลายนิ้ว ทำให้ใบหน้างดงามคลี่ยิ้มแล้วก้มลงจูบที่หัวใจ
ลุคช้อนคางสวยให้เงยหน้าขึ้นมารับจูบ ขณะที่อีกมือดึงมือเล็กลากผ่านหน้าท้องลงไปหาแท่งอุ่น บลูชะงักมืออยู่เสี้ยววินาทีแล้วหัวเราะเบา ๆให้กับตนเอง
“ขอโทษ” บลูบอกกับลุคอย่างเก้อเขิน “ฉันรู้ความหมายของนาย” แท่งอุ่นร้อนที่เหยียดตรงรับมือที่ลดลงมาหา จะสื่ออะไรได้นอกจากความมีชีวิต แต่การที่เจ้าแท่งอุ่นร้อนนี้มีปฏิกิริยาทักทายกันในทันทีต่างหากที่ทำให้แปลกใจ
ลุคอดใจไม่ไหวดึงเข้ามาจูบฟัดริมฝากบางและแก้มใส มือใหญ่ฟอนเฟ้นอกบาง เรื่อยไปหาแผ่นหลังและสะโพกกลม ริมฝีปากหนากดจูบหน้าท้องบาง แล้วครอบครองด้วยริมฝีปาก นิ้วมือใหญ่บีบนวดสะโพกบาง เมื่อเกลี่ยนิ้วที่ช่องทางด้านหลัง กล้ามเนื้อแน่นกระตุกรับ ต้องจับให้ร่างผอมบางพลิกคว่ำ จูบที่ก้นกลมแล้วลงลิ้นที่ช่องทางด้านหลัง
บลูหันมามอง แล้วดึงต้นแขนของลุคให้ขึ้นมา
“ไม่ชอบหรือ”
“อือ” ดวงตาสีฟ้าช้อนมอง “ฉันชอบให้นายจูบฉันที่ปากมากกว่าตรงนั้น”
ลุคจะก้มลงจูบที่ริมฝีปากสวยอย่างที่บลูบอกว่าชอบ แต่บลูกลับผลักหน้าออก “ฉันไม่จูบก้นตัวเอง”
...เข้าใจแล้ว...
การที่บลูเปิดเผยตัวเองมากขึ้น ทำให้ลุคอารมณ์ดีและตั้งใจใช้นิ้วเตรียมพร้อมช่องทางด้านหลัง จนกระทั่งบลูพยักหน้าและขอให้เข้ามาหา
ช่องทางด้านในของบลูทั้งคับแน่นและตอดรัด ชายหนุ่มขยับสะโพกสอดรัดกับมือที่รูดให้ จนกระทั่งบลูถึงจุดสูงสุดก่อน ช่องทางด้านหลังรีดเค้นให้ลุคถึงจุดสูงสุดตามไปด้วย
บลูจะลุกไปล้างตัวแล้วนึกขึ้นมาได้ว่า จัสตินอยู่ข้างนอก แม้ลุคจะบอกไว้ก่อนหน้านี้ ว่าชายชาวเยอรมันไม่ใช่เด็ก ๆแล้วแต่ก็ยังรู้สึกอายอยู่ดี
ลุคไม่สนใจจับสวมกางเกงให้แล้วพาเดินจูงมือออกมาจากห้องนอน จัสตินขยับตัวลุกขึ้นมามองแล้วก็ล้มตัวลงนอนหันหลังให้
พอล้างตัวเสร็จกลับออกมาอีกรอบ จัสตินไม่ได้หันมามองแล้ว แต่ทั้ง 2 คนทางนี้ก็รู้อยู่ดีว่าชายชาวเยอรมันไม่ได้หลับ
“ขอโทษนะ” บลูบอกแล้วรีบวิ่งเข้าห้องนอน
พอล้มตัวลงนอนความง่วงก็เข้ามาหาในทันที ลุคลูบศีรษะเล็ก ๆ ที่ซุกอยู่ที่ต้นแขน
“ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า”
“ไม่”
ยิ่งอยู่ด้วยกัน ตัวตนที่แท้จริงของบลูก็ยิ่งปรากฏออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ
“บลู”
“หืม”
“ในตอนที่เราทำอะไรกัน บางทีในสมองฉันก็มีแต่คำพูดลามกเต็มไปหมด”
บลูเงยหน้าขึ้นมอง “นายมันคนลามก ก็คิดแต่เรื่องลามก”
ลุคยอมรับ
“อย่าพูดออกมานะ ไม่ชอบ”
...โอเวน ไร้ท์ เด็กหนุ่มที่หายไปจากคุกใต้ดินคนนั้น แม้ว่าจะเป็นลูกของชาวสวน แต่เขาก็เป็นคนที่มีมารยาทดี ไม่พูดคำหยาบคายพร่ำเพรื่อ ไม่ทะเลาะกับใคร ไม่หาเรื่องใคร ทั้งเมืองเบ็ตตี้ คนที่โอเวนจะต่อปากต่อคำด้วย ก็เห็นจะมีแต่สองพี่น้อง ลุค และเชส เมอร์ฟีเพียง 2 คน
การโต้เถียงกันเหล่านั้น คำพูดเหล่านั้น มีความหมายว่านี่คือคนที่เขาไว้ใจ และเชื่อใจ...
“ลุค เมอร์ฟี ถ้าตอนเช้านายตื่นมาไม่เจอฉัน ก็ไม่ต้องห่วงนะ นายเดินทางต่อได้เลย ฉันจะตามนายไปห่าง ๆ ถ้าสามารถมาหานายได้เมื่อไหร่ ฉันจะมาเอง”
“โอเค”
...ลุครู้ว่าความไว้ใจและเชื่อใจเหล่านั้นถูกทำลายไปแล้ว และต้องใช้เวลาในการทำให้กลับมาเชื่อใจกันอีกครั้ง
ลุคก้มลงจูบหน้าผากสวย และขยับริมฝีปากโดยที่ไม่เปล่งเสียงออกมา
...ฉันรักนายนะ โอเวน ไร้ท์...

(มีต่อครับ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-03-2021 20:09:09 โดย MyTeaMeJive »

ออฟไลน์ MyTeaMeJive

  • MyTeaMeJive
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1894
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3313/-9
OWAZA ตอนที่ 20 (31/3/64)
«ตอบ #227 เมื่อ31-03-2021 19:52:46 »

(ต่อครับ)
ตลอดวันถัดมา ลุครู้สึกถึงความกังวล ความไม่สบายใจที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในใจบอกให้เดินทางกลับ แต่สมองสั่งการให้มุ่งหน้าเดินทางไปตามที่วางแผนไว้ ยิ่งเดินทางต่อไปก็ยิ่งมีแต่ความสงสัยในการกระทำของตนเอง
ทำไมลุค เมอร์ฟี มือปราบวาติกันต้องเดินทางมาที่ป่าสนทางเหนือที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องใดเลย
นี่เป็นการเดินทางที่ไม่เคยอยู่ในแผนการทำงานใด ๆ มาตั้งแต่แรก
ทำไมจู่ ๆ ถึงมีเรื่องเกี่ยวกับป่าสนทางเหนือเกิดขึ้นมา
เมื่อแนวเขาสูงซึ่งเป็นตำแหน่งของเขตป่าสงวนซึ่งเป็นป่าสนอยู่ข้างหน้า ลุคก็จอดรถแล้วหยุดยืนมอง จัสตินก้าวลงมายืนอยู่ข้าง ๆ
“นายจะไม่ไปต่อแล้วใช่ไหม”
“อืม” ลุคยอมรับ “จะเป็นไรไหม ถ้าตอนที่พวกเราเดินทางกลับ ฉันจะไม่แวะพัก”
“เป็น” จัสตินเป็นผู้พิทักษ์ที่ดี “อย่างน้อยในเวลาที่พักเติมน้ำมัน พวกเราจะต้องได้พักครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงแล้วค่อยเดินทางต่อ รถนี่เป็นเครื่องจักร ฉันเป็นคน เราต้องการหยุดพักสักเล็กน้อยแล้วค่อยไปต่อ”
ลุคส่ายหน้า “กลับกันเถอะ ขอโทษที่ทำให้เสียเวลาไปโดยไม่จำเป็น” 
ความกังวลเมื่อดำเนินไปถึงจุดหนึ่งก็กลายเป็นความระแวง ขณะที่ทั้ง 2 คนแวะพักรถและเติมน้ำมันรถในช่วงเวลาเกือบ 4 ทุ่ม ลุคเดินแยกออกไปทางด้านหลังของปั๊มน้ำมันที่เป็นสวนผลไม้ ใช้กำไลแอเรียสส่งข้อความออกไป เมื่อหันกลับมาพบว่าจัสตินยืนหันหลังให้ในลักษณะที่คอยเฝ้าระวังทางด้านหลัง เหมือนเคย
“นายไม่ได้เครียด จนส่งพลังไล่พวกวิญญาณอะไรออกมาอีกใช่ไหม”
“ถ้าจะส่งออกมาจริง ฉันก็ไม่รู้ตัวหรอก แต่รู้สึกไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่”
“นอกจากที่หมู่บ้านนั้น พวกเราก็ไม่ได้เจอกับวิญญาณอะไรอีกเลย มันแปลก และสมควรแล้วที่นายจะรู้สึกไม่ค่อยดี”
ตลอดการเดินทางที่เข้าสู่คืนที่ 3 ในคืนนี้ ในแง่ของการทำความเข้าใจกับบลู ถือว่าอยู่ในระดับยอดเยี่ยม แต่ในแง่ของการทำงาน...
มันต้องมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น
ลุคแน่ใจว่าสิ่งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับบลู แต่อาจเกิดขึ้นกับเบสและข้าวโพด ที่ก่อนหน้านี้อารันญ่าไม่มีทีท่าว่าจะทำร้ายทั้งคู่
อะไรทำให้ลุค เมอร์ฟีทิ้งทั้ง 2 คนไว้อย่างนั้น
การเดินทางในเวลากลางคืนผ่านไป จนถึงเวลากลางวัน และในช่วงสายของวันถัดมา ทั้งคู่จึงเข้าใกล้เขตเมืองหลวง ทันทีที่แวะพักรถเพื่อเติมน้ำมัน จัสตินก็ตรงเข้ามาจับข้อมือไว้
“ตรงไปที่บ้านของฉันก่อน”
ลุคพยักหน้า
เมื่อมองจากภายนอกบ้านของจัสติน ทุกสิ่งทุกอย่างดูเรียบร้อยดี แต่จัสตินรีบตรงขึ้นไปที่ห้องนอนด้านบน  “เบล!”
เสียงของจัสตินในยามที่เรียกเครื่องรางดังมากจนลุคต้องตามขึ้นมาดู
ใบหน้าของชายชาวเยอรมันซีดเผือดเมื่อหันมาหาลุค “เบล ไม่อยู่ มีคนเข้ามาเอาเขาไป โดยที่ฉันไม่รู้ คาถา เครื่องคุ้มครองของฉัน สกัดมันไม่ได้ แล้วมันก็ไม่ได้เรียกฉันด้วย”
ลุคใช้นิ้วชี้แตะที่หน้าผากเพื่อเปิดดวงตาที่ 3 จัสตินมองภาพที่เกิดขึ้นไปพร้อมกัน
ภาพที่ปรากฏคือกลุ่มควันสีดำที่ก่อตัวขึ้นจากด้านนอกของรั้วบ้าน พุ่งตรงผ่านเกราะคาถาที่จัสตินวางไว้ที่รั้วบ้าน อย่างง่ายดาย แล้วหยุดอยู่ที่หน้าต่างบ้านที่ปิดสนิท
กล่องเหล็กใบเล็กที่ถูกซ่อนอยู่ใต้หลังคาห้องร่วงหล่นลงมา
ฝากล่องเปิดออก
จากนั้นกระดิ่งแก้วสีฟ้าใสก็ลอยขึ้นมา แล้วหายไป
กลุ่มควันสีดำนั้นถอยกลับไปอยู่นอกรั้วบ้านแล้วหายไป
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นภายในเวลาไม่ถึงครึ่งนาที ต่อให้จัสตินอยู่ในระยะ 50 เมตรจากบ้านหลังนี้ก็ไม่สามารถกลับมาได้ทัน 
“ซอว์นีย์! ต้องเป็นมัน!” จัสตินแน่ใจ
ลุคเองก็แน่ใจอย่างนั้นเหมือนกัน
“ไปดูที่บ้านของข้าวโพด!”
....
ที่หน้าบ้านของข้าวโพดมีวิญญาณชายวัยรุ่นตนหนึ่งรอลุคอยู่
จัสตินจะก้าวไปยืนขวางแต่ลุคแตะไหล่ไว้ แล้วก้าวไปหาดวงวิญญาณนั้น
...หากซอว์นีย์ต้องการจะสื่อสารกับบลู มันจะเลือกวิญญาณผู้หญิงกับเด็ก
...และหากซอว์นีย์ต้องการสื่อสารกับลุค มันจะเลือกวิญญาณของวัยรุ่นชาย
“...ลุค เมอร์ฟี...”
“ใช่ ฉันเอง”
“...มีปีศาจคางคก ตรึงผมไว้ที่นี่ และให้บอกกับคุณว่า เด็กผู้ชาย 2 คนไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว...”
ดวงวิญญาณวัยรุ่นชายยื่นกระดาษแผ่นเล็ก ที่มีภาพของสถานที่แห่งหนึ่ง
ลุคใช้ดวงตาที่ 3 มองเข้าไปในบ้านก็ไม่เห็นว่าเบสกับข้าวโพดจะอยู่ในบ้านจริง
“...นักบวชคนนั้น ก็ไม่ได้อยู่ที่บ้านของเขาเหมือนกัน...”
“อะไรนะ” ลุคถามซ้ำ
หากดวงวิญญาณนั้นสามารถก้าวถอยได้ ก็คงจะทำไปแล้ว แต่ที่ทำได้คือรีบยก 2 มือขึ้น
“...คางคกตัวนั้น สั่งให้ผมบอกคุณแค่นี้ บอกให้คุณตามไปยังสถานที่ในรูป...”
จัสตินเดินเข้ามาขอกระดาษแผ่นนั้นไปดู
“ฉันรู้จักที่นี่”
ลุคพยักหน้า หันมาหาดวงวิญญาณแล้วส่งวิญญาณดวงนั้นให้เดินทางข้ามไป
เป็นการส่งวิญญาณที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เพราะทั้ง 2 คนทางนี้มีเรื่องร้อนให้ต้องเร่งไปจัดการ
...
จัสตินนำทางไปออกไปนอกเขตเมืองหลวงมุ่งหน้าสู่เมืองชายแดนทางฝั่งตะวันตก
ถ้าไม่ใช่เพราะต้องพักเติมน้ำมันรถ ทั้ง 2 คนก็คงจะไม่ได้หยุดพัก และคุยกัน
“นายเคยไปที่นั่นหรือ”
“เป็นทางผ่านน่ะ ตอนนั้นฉันข้ามแดนไปอีกฝั่งเพื่อไปเอาของที่สถานกงสุลที่นั่น”

ลุคพยักหน้าเมื่อจำได้ว่า เมื่อครึ่งปีก่อน ทางสำนักวาติกันส่งตราสัญลักษณ์อันใหม่มาให้โดยส่งผ่านมาทางสถานกงสุลในประเทศเพื่อนบ้าน แทนที่จะส่งมาให้กับสถานกงสุลในประเทศนี้ แล้วเมื่อลุคหันไปเห็นว่าจัสตินกำลังมีสีหน้าเบื่อหน่าย ชายหนุ่มก็ส่งกล่องตราสัญลักษ์อันเดิมให้กับจัสติน แล้วบอกให้นำไปแลกกับอันใหม่ที่สถานกงสุลในประเทศเพื่อนบ้าน
จัสตินไม่พอใจที่ได้รับหน้าที่นี้ แต่การจะให้สถานกงสุลส่งมาทางผู้ให้บริการไปรษณีย์ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ จะให้พนักงานของโบสถ์ไปรับก็ไม่เหมาะ
5 วันถัดมาจัสตินก็กลับมาพร้อมกับตราสัญลักษณ์อันใหม่ และสีหน้าบึ้งตึง
ผู้พิทักษ์ชาวเยอรมันไม่พอใจทุกครั้งที่ต้องอยู่ห่างจากมือปราบวาติกันชาวสกอต เพราะหน้าที่ของเขาคือการพิทักษ์ หากต้องอยู่ห่าง ๆ จะทำหน้าที่พิทักษ์ได้อย่างไร
   
จัสตินกอดอกแน่น ขณะที่พูด “ขอโทษที่ฉันต้องพูดอย่างตรงไปตรงมา ที่ผ่านมาพวกเราจะอยู่รอบ ๆ คนที่เราต้องคุ้มครอง แต่เพราะการเดินทางไกลไปป่าสน นานข้ามวันข้ามคืน ทำให้พวกมันได้คนที่เราต้องคุ้มครองไปทั้งหมด”
ลุคมองตรงไปข้างหน้า ขณะที่จัสตินพูดต่อ
“ฉันไม่เคยที่จะไม่ไว้ใจเขา แต่ยิ่งคิดทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้น ฉันกลับยิ่งรู้สึกสงสัย”
“เขาแค่พูดถึงสถานที่หนึ่งขึ้นมา และฉันคือคนที่ตัดสินใจที่จะไป เพื่อตามหาบลู และยังคงเดินทางต่อไป ทั้งที่พบบลูแล้ว เพราะคิดว่าซอว์นีย์อาจทำพิธีบวงสรวงที่นั่น”
จัสตินพยักหน้า “เดินทางกันต่อเถอะ เมื่อไปถึงที่พวกมันบอกไว้ พวกเราก็จะรู้เอง ว่าความจริงคืออะไร”
จากทางหลวงฝั่งตะวันตกมีป้ายทางแยกไปทางเขตป่าสงวน จัสตินนำทางต่อไป ผ่านจากหมู่บ้านก็เข้าเขตที่เป็นทุ่งนา แต่เมื่อถึงป้ายที่บ่งชี้ว่าคือป่าสงวน จัสตินก็นำทางไปอีกทาง
มีสัญลักษณ์ที่บ่งชี้ว่ากำลังเข้าสู่เขตของพ่อมด และปีศาจชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งจัสตินมาหยุดอยู่ที่ปากทางของถนนที่พุ่งตรงไปอีกมากกว่า 400 เมตรข้างหน้าคือประตูเหล็กที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้ไม้เลื้อย สองข้างของประตูนี้คือแนวต้นไม้ใหญ่ที่ปลูกเรียงรายทั้งภายในก็ยังมีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมจนมองไม่เห็นว่าหลังแนวรั้วนี้คืออะไร แต่จากที่มองในระยะไกล นั่นเป็นสถานที่ที่อาจชวนให้เข้าใจผิดได้ว่าเป็นพื้นที่ประเภทสวนป่า ที่มีการปลูกไม้มีค่าทางเศรษฐกิจ
จัสตินบอกโดยที่ไม่ได้หันมามอง
“ครั้งก่อนฉันผ่านเข้าเขตป่าสงวน ไปจนถึงด่านชายแดน ไม่ได้มาทางนี้”
ลุคพยักหน้า ตั้งแต่ทางแยกไปเขตป่าสงวนก็ “มีแต่ไอปีศาจ แต่ไม่เห็นสักตัว”
“คงทิ้งเป็นสัญญาณเพื่อบอกว่า เรามาถูกทางแล้ว”
เมื่อต่างคนต่างก็ไม่ประสบความสำเร็จในการผ่อนคลายความกังวล ก็ถึงเวลาที่ต้องเดินหน้าเพียงอย่างเดียว “ฉันจะช่วยพวกเขาให้ได้”
จัสตินพยักหน้า แล้วบอกให้ลุคขี่รถนำเข้าไปก่อน จนถึงหน้าประตูรั้ว ทั้ง 2 คนต้องจอดรถไว้ที่ด้านนอกของประตูรั้ว เพื่อมองหาทางที่จะเข้าไป
ตอนที่มองจากระยะไกล เห็นว่านี่คือประตู แต่เมื่อมาถึงกลับเห็นแต่ไม้เลื้อย ไม่รู้ว่าจะต้องเปิดที่ตรงไหน
   ซอว์นีย์ไม่ได้เป็นแค่พ่อมดที่มีพลังควบคุมทั้งพ่อมดและปีศาจมากมาย แต่ยังเป็นพ่อมดที่รู้วิธีทรมานคนอื่น หลังจากที่ปล่อยให้ใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายมาระยะหนึ่งก็จะเข้ามากดดันสร้างความตึงเครียด จากนั้นก็สร้างความสับสนลังเล หลงทาง เพื่อเข้ามาแย่งชิงคนสำคัญไป แล้วมาถึงตอนนี้ก็ยังจะมาทำให้ร้อนใจเพิ่มขึ้นอีก
แน่นอนว่า ซอว์นีย์ต้องไม่ลืมที่จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าตนเองโง่มาก
มีเสียงฝีเท้าดังจากฝั่งตรงข้ามเดินเข้ามาใกล้จากนั้นเหล็กและไม้เลื้อย ‘ส่วนหนึ่ง’ ก็ขยับตัวและเปิดเป็นช่องประตูบานเล็ก
คนที่ยืนอยู่ในฝั่งตรงข้ามมีเพียงคนเดียว นี่คือเบส ชายหนุ่มผิวขาวตัวเล็ก คนที่บลูเป็นห่วงมากที่สุด กับร่างสีดำ 8 ขาของแมงมุมเป็นเงาดำสูงใหญ่ปกคลุม
ว่ากันว่า อารันญ่ากลายเป็นหนึ่งเดียวกับแมงมุมของเธอไปแล้ว
ตอนที่เธอปรากฏตัวที่หลังคาบ้านของผกา เธอแสดงให้เห็นว่าเธอเป็นหนึ่งเดียวกับแมงมุมของเธอจริง ๆ แต่การที่เวลานี้เธอควบคุมเบส แม้จะเป็นการควบคุมเพียงครึ่งหนึ่ง และให้เบสตัดสินใจเองครึ่งหนึ่ง มันแสดงให้เห็นว่าเธอมีความมั่นใจว่าเบสจะทำในสิ่งที่เธอต้องการ
การควบคุมในลักษณะนี้ กับคนที่เป็นกุญแจสำคัญของเรื่อง ทำให้ลุคและจัสตินได้แต่ทำตามในสิ่งที่เบสบอก
“คุณมาเร็วมาก เข้ามาเถอะครับ”
และเมื่อทั้ง 2 คนก้าวผ่านประตูเข้ามา เหล็กและไม้เลื้อทางด้านหลังก็ขยับตัวอีกครั้งเพื่อเลื่อนเข้ามาประสานกันกลายเป็นประตูบานใหญ่ปิดทึบที่มองไม่เห็นฝั่งตรงข้าม
เบสหมุนตัว เดินนำไปตามทางเดินเล็ก ๆ  ภายใต้ซุ้มไม้ ผ่านทางเลี้ยวทางแยกหลายครั้งจนกระทั่งมาสิ้นสุดที่หน้าประตูกระท่อมหลังหนึ่ง
นี่เป็นกระท่อมในแบบที่พบเห็นอยู่ในทั่วไปในเขตชนบทของเมืองเบ็ตตี้
ความกังวลและลางสังหรณ์ที่ซ่อนไว้ที่ก้นบึ้งของความคิดกำลังส่งเสียงร้องเตือนว่า ทุกความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุดกำลังจะเกิดขึ้น
เบสก้าวขึ้นบันได 3 ขั้นแล้วผลักเปิดประตูไม้เข้าไปในบ้าน
ทางฝั่งขวาของห้องโถงกลางของบ้าน มีเตียงไม้ยาว เมื่อมองเห็นคนที่นอนอยู่ลุคก็ตรงเข้าไปหาในทันที
“ข้าวโพด!
เบสเดินเข้ามายืนตรงปลายเตียง
“เกิดอะไรขึ้น” ลุคหันมาถาม
“ผมว่าคุณน่าจะรู้ดีกว่าผม”
จัสตินขยับจะเข้ามายืนขวางระหว่างลุคกับเบสในทันที แต่ลุคยกมือห้าม ขณะที่ถามเบสซ้ำอีกครั้ง
“เขา เป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
เบสขมวดคิ้วก่อนที่จะเล่าเรื่อง “ผมคงต้องย้อนไปถึงตอนที่เขาหลบผมกับนที ออกไปหาคุณที่คณะเกษตร”
“อารันญ่า” ลุคเตือนด้วยน้ำเสียงต่ำ ๆ ที่ทำให้เบสยกยิ้มมุมปากด้วยความพอใจ น้ำเสียงในเวลาที่กล่าวคำต่อมา มีน้ำเสียงของผู้หญิงดังผสานออกมาพร้อมกัน
“ตอนที่เราไปเที่ยวเกาะ ข้าวโพดมักจะมีอาการเจ็บ เสียดภายใน ไม่แน่ใจว่าเขาเจ็บที่ส่วนไหน เพราะมักจะงอตัว อาการนี้จะเกิดขึ้นเสมอเวลาที่พวกเราอยู่ใกล้กับปีศาจ หรือวิญญาณ แต่เขาไม่มีปัญหาอะไรเวลาที่อยู่ใกล้ผม/ฉัน”
จู่ ๆ สีหน้าของเบสก็กลับมาแสดงความวิตกกังวลอย่างชัดเจน
“ตั้งแต่ตอนที่พวกเราออกเดินทางมาที่นี่ เขาก็มีอาการไม่ค่อยดี แต่พอมาถึงตรงประตูหน้า เขาก็ทรุดแล้วหมดสติไป เราเลยให้เขาพักอยู่ที่บ้านหลังนี้ ไม่ได้...เข้าไปข้างใน”
หนุ่มตัวเล็กหันกลับมาหาลุค “ที่เขาเป็นอย่างนี้ก็เพราะเครื่องรางที่คุณ/นายฝังไว้ คุณ/นายต้องเอามันออกมา ไม่อย่างนั้นข้าวโพดคงต้องตาย”
ลุคส่ายหน้า “ฉันเอามันออกมาไม่ได้”
“ทำไมถึงเอาออกมาไม่ได้”
“เอาออกมาไม่ได้” ลุคย้ำ “ถ้าเอาออกมา เขาก็ต้องตายเหมือนกัน”
“ทำไมคุณ/นายถึงได้ทำอะไรที่ทำให้เขาอยู่ในอันตรายแบบนี้ เขาเป็นคนสำคัญของคุณ/นายไม่ใช่หรือไง”
“ใช่” ลุคลูบเส้นผมสั้นของน้องชายในอดีต ที่ยังคงเป็นน้องชายที่รักและเป็นห่วงมากอยู่เสมอ “บลูมองว่าเขาคือสาเหตุของเรื่องราวทั้งหมด และต้องการฆ่าเขา ฉันจึงให้เครื่องรางไว้ เพื่อส่งสัญญาณเตือนหากมีปีศาจ หรือดวงวิญญาณที่คิดร้ายอยู่ใกล้ ๆ เขาจะได้รู้ตัว”
“รู้ตัวก็ควรที่จะมีแรงหนีด้วย ไม่ใช่เจ็บจนหมดสติ แบบนี้มันก็คือการนอนรอให้ถูกทำร้ายต่างหาก”
การที่เบสและอารันญ่าต่างก็มีความรู้สึกที่ดีต่อข้าวโพด ทำให้ลุคและจัสตินรู้สึกเบาใจและมองเห็นช่องทางในการจัดการเรื่องราวส่วนนี้

บลูประกาศตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ว่าข้าวโพดเป็นอีก 1 เป้าหมายล้างแค้น ในเวลานั้นลุคยังคิดว่าสามารถจัดการเรื่องนี้ได้ แต่เมื่ออารันญ่าเข้ามาควบคุมเบสที่อยู่กับข้าวโพดแทบจะตลอดเวลา จึงจำเป็นที่จะต้องใช้เครื่องรางเพื่อคุ้มครอง   อารันญ่าใช้ร่างของเบสในยามที่มีความสัมพันธ์กับข้าวโพด เรื่องนี้ ในตอนแรกย่อมหมายถึงการที่แมงมุมตัวเมียจะกำจัดตัวผู้หลังจากที่มีเพศสัมพันธ์ แต่เพราะข้าวโพดมีความระมัดระวังตัว ทั้งยังมีเครื่องรางจึงอยู่รอดปลอดภัย
เพียงแต่ยิ่งใช้เวลาด้วยกันนานขึ้น ความผูกพันทางกายก็ส่งผลมาถึงจิตใจ ยิ่งการที่ได้รับรู้ว่าข้าวโพดรักเบสจากใจจริง ต่อให้รู้ว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนไปในทางที่ดูน่ากลัวมากขึ้น แต่ข้าวโพดก็ไม่ได้คิดจะหนีไปไหน ทั้งยังดีต่อเบสมากกว่าเดิม
การเป็นเฮ้นช์แมนของซอว์นีย์สำคัญคือการทำงานให้สำเร็จตามคำสั่ง แต่ในเมื่ออารันญ่าทำไม่ได้ จึงเลือกที่จะบอกเล่าเรื่องราวในอดีตให้เบสฟัง และลดการควบคุมลง เพื่อหวังให้เบสช่วยเหลือไม่ให้ต้องถูกลงโทษ

“ซอว์นีย์ รออยู่ข้างในใช่ไหม”
เบสพยักหน้า
“อย่างนั้นก็ให้ข้าวโพดอยู่ที่นี่ และฉันอยากพบกับซอว์นีย์”
“คุณ/นายต้องได้พบกับเจ้านายอยู่แล้ว” เบสหันไปมองข้าวโพด แล้วหันกลับมาหาลุค “ที่เอาคนและเครื่องรางสำคัญของทั้ง 2 คนมาที่นี่ก็เพราะเจ้านายต้องการเช่นนี้ แต่พวกเราอยากให้ช่วยจัดการเรื่องของข้าวโพดก่อน”
“ฉันจัดการอะไรเรื่องของข้าวโพดไม่ได้ จึงขอให้เขาพักอยู่ที่นี่” ลุคบอก
“หมายถึงถ้าเขาอยู่ห่างจากปีศาจที่มุ่งร้ายต่อเขา เขาจะดีขึ้นอย่างนั้นหรือ”
“ใช่”
เบสหลับตาลง กำมือแน่นแล้วคลายออก
“อย่างนั้น ผม/ฉัน ขออาวุธของพวกคุณ/พวกนาย” มือขาวชี้ไปที่ข้อมือของลุค และอาวุธของจัสติน
ลุคบอก “คุณปลดอาวุธเขาได้ แต่ผมถอดปลอกข้อมือออกมาไม่ได้”
เบสเลิกคิ้วขึ้นสูง เอียงหน้าเหมือนกำลังเอียงหูฟังคำสั่ง
“คุณ/นาย ถอดปลอกข้อมือได้”
“ไม่ได้”
เบสส่ายหน้า “คุณ/นายถอดมันได้ อย่าบังคับให้เราทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ”
“เสียใจด้วย”
ประตูบ้านเปิดออกเด็กหนุ่มเชื้อสายเอเชียตัวเล็กที่เหมือนคนอายุไม่ถึง 15 ปีเดินเข้ามา ดวงตาเรียวยาวจับจ้องอยู่ที่ลุค
“ที่นี่มีสถานการณ์ที่จัดการไม่ได้อยู่สินะ”
“ไวเพอร์”
นี่คือ 1 ใน 4 ของเฮ้นช์แมนซอว์นีย์ ที่เคยพบกับลุคเมื่อนานมาแล้วที่เมืองซือริชในเยอรมนี  แต่ในเวลานั้นไวเพอร์เป็นฝ่ายที่หลบหนีออกมาก่อน จึงไม่ได้ต่อสู้กัน
“มีเรื่องหนึ่งที่ฉันอยากบอกกับนายมานานกว่า 50 ปี” นั่นคือช่วงเวลาที่พบกัน “ที่ฉันออกมาจากการต่อสู้ที่ซือริช ก็เพราะเจ้านายสั่ง”
“มีอะไร” เบสหันไปถามพ่อมดในร่างเด็กที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องพิษงู
ไวเพอร์ยักไหล่ “เจ้านายสั่งให้ฉันมาตัดแขนมือปราบ”
จัสตินขยับเข้ามายืนขวางไว้ทันที ทำให้ไวเพอร์ส่ายหน้า “ไม่ต้องทำท่าอย่างนั้น ลืมไปแล้วหรือไง ว่านี่เป็นแค่ด่านแรกเพื่อที่จะไปพบกับคนสำคัญ เครื่องรางสำคัญของพวกนาย”
แต่บังเอิญว่า คนสำคัญที่ลุคต้องการปกป้องอยู่ที่นี่
“ถ้ามือปราบอยากเจอเจ้านาย  แต่ถอดอาวุธไม่ได้ ก็ต้องตัดมือ...แบบนี้...” ดวงตาเรียวยาวมองที่ข้อมือของลุค “น่าจะตัดเกือบถึงข้อศอกเลยนะ”
“มันจะเกินไปแล้ว” จัสตินพูดเสียงดัง
ไวเพอร์ยักไหล่อีกครั้ง “แค่ตัดแขน เขาไม่ตายหรอก เดี๋ยวก็งอกออกมาใหม่”
ลุคตัดสินใจ ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว “นายตัดเถอะ”
“ลุค!” จัสตินหันไปมองด้วยความตกใจ
เบสก็ตกใจเหมือนกัน
“แค่ตัดแขน ฉันไม่ตาย แล้วแขนมันงอกออกมาใหม่ได้จริง ๆ อย่างที่เขาว่า”
ไวเพอร์มีรอยยิ้มที่บ่งบอกว่ารู้อยู่แล้วว่า ลุคจะตัดสินใจอย่างนี้
หลังจากที่ตามหากันมานานถึง 400 ปี สูญเสียไปมากมายทั้ง 2 ฝ่าย ลุค เมอร์ฟีจะไม่ยอมปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไปโดยง่าย
ไวเพอร์เรียกดาบยาว 1 ฟุตออกมา
ทั้งตัวด้ามและดาบมีสีดำเลื่อมเงาเป็นสีม่วงออกดำ เหมือนกับสีเสื้อผ้าที่ไวเพอร์สวมใส่อยู่
“ยื่นมือออกมา”  ไวเพอร์บอก
ลุคหันไปมองข้าวโพดที่ยังหลับสนิท แล้วยื่น 2 แขนออกไปข้างหน้า
หนุ่มน้อยชาวเอเชียยิ้มกว้าง แล้วตวัดดาบลงมา
เสียงทึบในยามท่อนแขนร่วงหล่นลงมาพร้อมกับปลอกข้อมือแอเรียสดังก้อง
เลือดสีแดงฉีดพุ่งจากบาดแผล
ความเจ็บปวดพุ่งจากปากแผลตรงเข้าสู่หัวใจ
ไวเพอร์คือสุดยอดแห่งงูพิษ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าต้องเล่นงานด้วยยาพิษ แต่ลุค เมอร์ฟีก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริง ๆ นอกจากการยอมให้ถูกทำร้าย เพื่อให้ได้เจอกับซอว์นีย์
จัสตินเข้าไปประคองร่างกายสูงใหญ่ที่ค่อย ๆ ทรุดลง แล้วหมดสติไป
....
ลุค เมอร์ฟี รู้สึกตัวตื่นบนแท่นหินสีเทาเย็นเฉียบ ที่มีความกว้างและความยาวพอดีกับตัว กลิ่นควันไฟจาง ๆ ปะทะจมูก ความเจ็บปวดจากปากแผลทั้ง 2 ข้างย้ำเตือนว่า ร่างกายยังซ่อมแซมตัวเองไม่เสร็จ บาดแผลยังไม่สมานกัน และแขนก็ยังไม่งอกกลับมา
ที่ข้อเท้า 2 ข้างคือโซ่ตรวนเส้นใหญ่ ที่โยงไว้กับหมุดที่พื้น คาดว่าจะเป็นเพราะการตัดมือจนเกือบถึงข้อศอก ทำให้ต้องล่ามกันไว้แบบนี้
“ลุค” เสียงของจัสตินและสาธุคุณฌ็องส์ร้องเรียก ทำให้ลุคเหลียวมองหา และขยับตัวขึ้นนั่ง
ภายในห้องกว้างที่มีแสงสว่างไม่มากนัก จัสติน และสาธุคุณฌ็องส์ถูกขังอยู่ในกรงขังคนละกรง อยู่ห่างกันเกือบ 2 เมตร กับยังกรงที่ 3 ซึ่งคนที่อยู่ในกรุงคือคาร่า ที่มีสีหน้าท่าทางดูหวาดกลัว พูดจาพึมพำพอให้จับความได้ว่าเธอยังไม่อยากตาย 
“เบลอยู่ทางนั้น” จัสตินชี้ไปอีกทางหนึ่ง 
ข้างเก้าอี้ไม้ตัวใหญ่สีดำ คือกระดิ่งแก้วแบบมีด้ามจับของจัสตินที่ถูกผนึกไว้ภายในครอบแก้ว และวางอยู่บนโต๊ะตัวเล็กสีดำ
ดาร์ทที่กลายเป็นหนึ่งเดียวไปกับคางคกพิษสีน้ำเงินของตนเอง เวลานี้คือชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมสีน้ำเงิน ทำหน้าที่ควบคุมทั้งหมดในห้องนี้ เมื่อเห็นว่าลุคฟื้นแล้วก็เดินออกไปจากห้อง แล้วเดินกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับไวเพอร์ จากนั้นชายชาวรัสเซียตัวสูงใหญ่ก็เดินตามเข้ามา
ทั้ง 3 คนต่างมองมือปราบวาติกันที่ลุกขึ้นนั่งอยู่บนแท่นปูนกลางห้อง แต่ไม่สามารถขยับไปไหนได้
“นายคืออูซุส”
ชาวรัสเซียพยักหน้า
ความเงียบที่เข้าปกคลุมทำให้ทั้งหมดรู้ว่า เฮ้นช์แมนทั้ง 3 กำลังรอใครบางคน
เสียงฝีเท้าสม่ำเสมอก้าวเข้ามาใกล้
คนที่ก้าวเข้ามาสวมเสื้อสีขาว กางเกงสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้างดงามอยู่เดิม ยิ่งงดงามและอ่อนหวานเมื่อเจ้าตัวมัดผมรวบครึ่งศรีษะ
คาร่าที่อยู่ในกรงกรีดร้องเสียงดังเมื่อเห็นคนผู้นั้น เงาสีดำที่อยู่มุมหนึ่งของห้องพุ่งเข้าหาทำให้เธอตกใจกลัว และเงียบเสียงลง
“โอเวน”
“ใช่ ฉันเอง ลุค เมอร์ฟี”
   
จบตอนที่ 20
:o12: ทำไมป๋า ถึงทำกับเราเช่นนี้
ใกล้จบแล้ว ชอบหรือไม่ชอบอะไร บอกกันสักนิดนะฮะ
น้ำชา

ออฟไลน์ uniko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: OWAZA ตอนที่ 20 (31/3/64)
«ตอบ #228 เมื่อ01-04-2021 13:50:29 »

 :katai1:        อ๊า ค้างๆๆๆๆ 



ลุคกับจัสตินมาตามข้อความให้มาพบซอว์นีย์ไม่ใช่เหรอ แล้วโอเวนโผล่มาได้ยังไงเนี่ย



ทำไมถึงเรียกชื่อโอเวน แทนที่จะเรียกชื่อบลูล่ะ สงสัยๆๆๆ   :ling1:



แต่ตอนนี้พี่ลุคถูกตัดแขน แถมยังถูกล่ามโซ่ด้วย  แงงงงงงงง สงสารพี่



:hao5:



ในเมื่อทุกคนถูกจับมาอยู่ที่นี่กันหมดแล้ว คงใกล้จะเฉลยปมทุกอย่างแล้วสินะ



ลาสบอสคนสุดท้ายคือใครกันแน่ โอ๊ย ลุ้นมากๆๆๆ 



อดทนรอเฉลยปมตอนหน้าไหวมั๊ยเนี่ย  :serius2:



ขอบคุณสำหรับตอนที่ทำให้สุดจะตกกะใจนี้นะคะ



 :pig4:   :3123:



ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
Re: OWAZA ตอนที่ 20 (31/3/64)
«ตอบ #229 เมื่อ01-04-2021 15:21:28 »

รวดเดียวจบ นึกสงสัยอยู่ละเชียววว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: OWAZA ตอนที่ 20 (31/3/64)
« ตอบ #229 เมื่อ: 01-04-2021 15:21:28 »





ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: OWAZA ตอนที่ 20 (31/3/64)
«ตอบ #230 เมื่อ03-04-2021 02:00:15 »

เซอร์ไพรส์อีกล่ะ

ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
Re: OWAZA ตอนที่ 20 (31/3/64)
«ตอบ #231 เมื่อ05-04-2021 16:37:33 »



 :katai1:   :katai1:   :katai1:




หูยยย อุตส่าห์เจอฉากน่ารักๆของคู่นี้


ตอนนี้มันก็มีแต่คำถามชวนสงสัยในหัวตามาเต็มไปหมด  :katai4:  :katai4:  :katai4:



ทำไมเป็น โอเวน  แล้วตกลงสาธุคุณคือหักหลังพวกลุคจริงหรือ


เอาล่ะ มาลุ้นกันตอนต่อไป


 :pig4::L1:








ออฟไลน์ MyTeaMeJive

  • MyTeaMeJive
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1894
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3313/-9
OWAZA ตอนที่ 21 (20/4/64)
«ตอบ #232 เมื่อ20-04-2021 12:37:28 »

ตอนที่ 21

ลุคมองตามโอเวนที่เดินเข้ามาหาแล้วหยุดยืนใกล้กับปลายเท้าของตนเอง เก้าอี้หนาหนักจากริมผนังห้องเลื่อนเข้ามาหาและรองรับในทันทีที่นั่งลง
สายตาของลุคที่มองมาเต็มไปด้วยความผิดหวัง 
“ทำไม...”
....ทุกความพยายามที่ผ่านมาจึงไม่เป็นผล
ทำไมคำอธิษฐานจึงไม่เป็นดังหวัง
ทำไมโอเวนถึงได้เป็นซอว์นีย์ พ่อมดผู้ชั่วร้ายคนนั้น...
โอเวนหันไปมองคาร่าและสาธุคุณฌ็องส์แล้วหันกลับมาหาลุค ยังไม่ตอบคำถาม ทำให้ลุคถามซ้ำ
“โอเวน ทำไม ถึงได้ เป็นนาย ทำไม”
โอเวนส่ายหน้า “นายตั้งคำถามในสิ่งที่นายรู้อยู่แล้ว”
“ไม่ ฉันไม่รู้ ซอว์นีย์อาจเป็นใครก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่นาย”
พิษของดาร์ทรุนแรงกว่าที่คิดและทำให้การฟื้นตัวของลุคทั้งสร้างความเจ็บปวด และใช้เวลานานกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
“การที่นายทำให้พวกเราเสียเวลาไปนานหลายเดือน มันบ่งบอกอยู่แล้วว่านายรู้ และพยายามทำให้ฉันเปลี่ยนใจ”
ลุคส่ายหน้า “ต้องไม่ใช่นาย”
“ถ้านายคิดว่าไม่ใช่ ฉันก็ต้องไม่ใช่อย่างนั้นหรือ ฉันอยู่ในฐานะของคนที่ต้องฟังคำสั่งของนายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“นายไม่ต้องฟังคำสั่งของฉัน ฉันขอร้อง ถ้านายเป็นซอว์นีย์จริง...”
“ฉัน คือ ซอว์นีย์ พ่อมดที่ศาสนจักร นักล่า และพ่อมดทั่วโลกต้องการกำจัด”
“โอเวน ฉันรู้ว่านายต้องการแก้แค้นคนที่ฆ่าครอบครัวของนาย แต่...แต่ มันไม่มีเหตุผล...”
...ถ้าโอเวนคือพ่อมดซอว์นีย์แล้วทำไมจึงปล่อยให้ครอบครัวถูกฆ่า แล้วทำไมถึงได้กลับมาล้างแค้น
หรือซอว์นีย์ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุไม่ใช่โอเวน อย่างนั้นโอเวนก็เพิ่งจะเป็นซอว์นีย์
แต่ซอว์นีย์คือพ่อมดที่ถือว่าอยู่เบื้องหลัง เรื่องเลวร้ายทั้งหมด
เกิดอะไรขึ้น...
“จับพวกเรามาทำไม”  สาธุคุณฌ็องส์ตะโกนถาม เพราะตั้งแต่ถูกจับตัวมายังไม่มีใครบอกเรื่องราวให้ฟังเลยสักคน
โอเวนยกยิ้มมุมปากเพียงเล็กน้อย แต่ยังไม่ละสายตาจากคนที่นอนอยู่บนแท่นหินเย็นเฉียบ
รู้ว่าลุคมีข้อสงสัย และกำลังคาดเดาเรื่องราวที่ตนเองยังไม่ต้องการจะตอบในเวลานี้
“ในเมื่อนายอยากเป็นคนที่ออกคำสั่งกับฉัน ฉันจะให้โอกาสนั้น อยากให้ฉันตอบคำถามของเขาไหม”
ลุคส่ายหน้าด้วยความรู้สึกเจ็บปวดใจ และอาการเจ็บปวดในยามที่ร่างกายพยายามรักษาตัวเอง ที่ยิ่งนานก็มีแต่จะยิ่งเจ็บปวดมากขึ้น 
“นายดูย่ำแย่มาก ซึ่งเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว ดาร์ท นายทำได้ดี” โอเวนหันไปชื่นชมดาร์ท ที่ยืดอกรับคำชมนั้นด้วยความภาคภูมิใจ
ดวงตาคู่สวยกวาดตามองต่อไปทางด้านหลังของแฮนช์แมนทั้ง 3 คนแล้วถามถึงผู้ที่ไม่อยู่
“ทำไมอารันญ่าไม่อยู่ที่นี่”
ไวเพอร์รีบตอบคำถามนี้
“นางอยู่ที่กระท่อมต้นไธม์ คอยดูแลน้องชายในอดีตชาติของมือปราบ”
“ไปดูมันทำไม ยังไงมันก็ต้องตายอยู่แล้ว!”
“โอเวน” ลุคท้วงขึ้น
โอเวนที่หันหลังให้ กางมือออก ร่างก็ลุคก็ลอยขึ้นจากแท่น ตรงเข้ามาหา ลำคอหนาอยู่ในฝ่ามือของผอมบาง
“ลุค เมอร์ฟี เวลานี้ ที่นี่ มีทั้งคาร่า ไบรเดน เมอร์ฟี และเชส เมอร์ฟี ฉันจะไม่รออะไรอีกแล้ว ในวันพระจันทร์เต็มดวงอีก 3 วันข้างหน้า พวกแกทั้งหมดจะต้องชดใช้”   
ผการ่ำร้องอ้อนวอนเสียงดัง  “อย่า! ได้โปรด! เจ้านาย! ไม่ว่าในอดีตที่ผ่านมา ดิฉันทำอะไรลงไป ดิฉันเสียใจ และได้โปรดไว้ชีวิต!”

ผกาพบเครื่องรางของคาร่า ซึ่งเป็นสร้อยเพชรสีเขียวจากสวีเดนแล้วนำกลับมาพร้อมกับสิ่งของอีกหลายชิ้นที่มีวิญญาณอาศัยอยู่ วิญญาณเหล่านี้ถูกควบคุมโดยบรรดาพ่อมด และแม่มดของซอว์นีย์ เมื่อรวมพลังกันทำให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น กลายเป็นเงาดำลึกลับภายในบ้านที่คอยกระซิบบอกเรื่องราวในอดีตให้ผการับรู้ ทั้งควบคุมผู้คนในบ้าน และกัดเซาะพลังวิญญาณของเบสจนอ่อนแอเพื่อให้อารันญ่าเข้ามาควบคุมได้โดยง่าย
หลังจากที่ถูกนำตัวมาที่นี่ อูซุสพ่อมดจากอเมริกาเหนือที่ได้รับมอบหมายให้ควบคุมดูแลสถานที่แห่งนี้ ก็บอกกับเธอว่า ‘เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เจ้านายซอว์นีย์จะมาจัดการกับเธอด้วยตัวเอง’
การที่ถูกกดดันให้อยู่ท่ามกลางความกลัว ความกังวลมาเป็นเวลานาน ทำให้ผกาในวันนี้จึงอยู่ในสภาพที่เหมือนเส้นด้ายที่พร้อมจะขาดอยู่ตลอดเวลา

“ไม่ว่า ในอดีต ผกา กับ เบส จะเป็นใคร แต่ในวันนี้ พวกเขา เป็นแม่ลูกกัน ถ้านายฆ่าผกา เบสจะต้องไม่ให้อภัยนายแน่”
ในเวลานี้ คนแรกที่โอเวนอยากฆ่าที่สุดก็คือลุค เมอร์ฟี คนที่คุกเข่าอยู่แทบเท้า ขณะที่ลำคออยู่ในฝ่ามือ แต่เพราะคนผู้นี้ไม่ตาย สิ่งที่ทำได้ก็คือการทำให้เจ็บปวดมากกว่าเดิม
“ดาร์ท”
“ขอรับ”
“หยอดพิษที่ปากแผล”
พูดจบโอเวนก็ปล่อยมือ ขณะที่ผู้ช่วยของดาร์ท 2 คนตรงเข้ามาจับยึดลุคไว้ คนหนึ่งยกแขนข้างที่ถูกตัดขาดและแผลยังปิดไม่สนิทขึ้นมา
“โอเวน ไร้ท์ นายมันคนไม่รู้จักแยกแยะ ทั้งที่ลุคตามหานาย คอยดูแลครอบครัวของนายมาตลอด!” สาธุคุณฌ็องส์ร้องตะโกน
“หุบปาก!” เสียงของอูซุสในเวลาที่ออกคำสั่งดังก้องไปทั้งห้องกว้าง
ไวเพอร์เดินไปหาสาธุคุณ “สภาพแบบนี้ยังกล้าพูดทวงบุญคุณคน ถ้าเขาดูแลจริง เรื่องก็คงไม่มาถึงขั้นนี้หรอก เตรียมตัวพบกับวาระสุดท้ายของพวกนายดีกว่า”
ดาร์ทใช้เล็บของตนเองกรีดแผลเล็กที่ปลายนิ้ว แล้วหยดเลือดสีม่วงเข้มจนเกือบดำลงมาที่ปากแผล
ลุคไม่ได้สนใจว่าดาร์ทกำลังทำอะไร
ดวงตาสีเข้มจ้องมองดวงตาสีน้ำตาลอ่อนงดงามที่กำลังมองกลับมา มีภาพจำมากมายในอดีตที่ยังชัดเจนอยู่เสมอ 
แต่ทันทีที่โอเวนหันไปมองทางอื่น ลุคก็หมดสติไปด้วยความเจ็บปวด 
โอเวนหันไปบอกกับลูกน้อง “เอาผ้าเช็ดเท้านั่นกับผู้หญิงไปที่คุกใต้ดิน เอาลุค เมอร์ฟีไปที่ห้องมืด” จากนั้นก็หันกลับมาหาจัสติน “ฉันยังมีเรื่องที่ต้องคุยกับนายก่อน”
เมื่อเฮนช์แมนทั้ง 3 คนช่วยกันนำทั้ง 3 คนออกไป ในห้องนี้เหลือเพียงเงาร่างสีดำที่อยู่ตามมุมห้อง ซึ่งโอเวนไม่มีทีท่าว่าจะไล่ออกไป
โอเวนหงายมือขึ้น แก้วหนาที่ครอบกระดิ่งเครื่องรางของจัสตินซึ่งวางอยู่บนโต๊ะก็เปิดออก เด็กน้อยตาสีเดียวกับจัสตินปรากฎขึ้นแล้วเดินมายืนอยู่ข้างโอเวน
เมื่อจัสตินพยักหน้า เด็กน้อยก็พยักหน้ารับ
“นายไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ แต่เพราะว่าผ้าเช็ดเท้านั่นอยู่แต่ในโบสถ์ ไม่ยอมออกมา ฉันก็เลยต้องใช้เครื่องรางของนายไปเรียกเขาออกมา ขอโทษด้วย”
“ฉันเป็นผู้พิทักษ์ของลุค เมอร์ฟี การที่นายทำร้ายเขามันก็คือการเป็นศัตรูกับฉัน”
“นายไม่ควรท้าทายฉัน ทั้งที่เครื่องรางสำคัญของนายอยู่กับฉัน”
จัสตินมองเด็กน้อยด้วยความรู้สึกผิด แม้โดยทั่วไปหากเครื่องรางถูกทำลาย จัสตินก็จะต้องตายไปด้วย
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ หากเขาตายไป วาติกันก็จะส่งผู้พิทักษ์คนอื่นมาให้ลุค แต่สิ่งสำคัญคือเขาไม่อยากให้เครื่องรางนี้ถูกทำลาย
“ฉันมีเรื่องบางอย่างที่อยากรู้”
จัสตินนิ่งเงียบ
“ลุค เมอร์ฟี กำลังตามหาเครื่องรางอะไร”
ชายชาวเยอรมันเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง สีหน้าเย้ยหยัน “นายไม่รู้”
“พวกนายเดินทางไปทั่ว กำจัดพ่อมดและปีศาจในแบบที่นายสามารถจะจัดการพวกมันแบบนั้นเมื่อไหร่ก็ได้ และยังมีอีกหลายครั้ง ที่พวกนายเจตนาปล่อยพวกมันไป”
“เขาไม่ได้ตามหาเครื่องราง ไม่ได้อยากกำจัดพ่อมดหรือปีศาจมาตั้งแต่แรก” จัสตินบอกตามตรง “เขาตามหานาย”
โอเวนนิ่งอึ้งไปครู่ แล้วหันไปลูบศีระษะเด็กน้อยเบา ๆ “เด็กน้อยคนนี้ เป็นอะไรกับนาย”
“น้องชายของฉัน”
“ทำไมถึงเอาเขามาเป็นเครื่องราง”
จัสตินให้คำตอบที่โอเวนพอจะคาดเดาได้ “เขาตายตอนที่อายุ 6 ขวบ ฉันผนึกวิญญาณของเขาไว้เพื่อให้เป็นเครื่องรางของฉัน ฉันอยู่ เขาอยู่”
เด็กน้อยยิ้มให้กับจัสตินแล้วหันมายิ้มให้กับโอเวนที่ถอนหายใจ เปลี่ยนเด็กน้อยให้กลับไปเป็นเครื่องรางวางอยู่-บนฝ่ามือ และเมื่อพลิกมือเครื่องรางนั้นก็หายไป
“ตึกศิลา ดูดซับไอปีศาจไว้มากเกินไป ฉันจะพาเขาไปอยู่ที่อื่น รับรองว่าปลอดภัย” จากนั้นเรียกให้คนที่อยู่ข้างนอกเข้ามาย้ายจัสตินไปที่ห้องใต้ดินของตึกนี้ รวมถึงสาธุคุณฌ็องส์ และคาร่า

ภายใต้ร่มไม้ครึ้ม โอเวนที่มีเงาวิญญาณสีดำติดตาม เดินมาที่บ้านไม้หลังเล็กที่ถูกเรียกว่ากระท่อมต้นไธม์ ไวเพอร์ ดาร์ท และอูซุส ก็ปรากฎตัวขึ้นทางด้านหลังในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่ยังไม่ทันจะก้าวขึ้นบันได อารันญ่าที่อยู่ในร่างของเบสก็รีบเปิดประตูออกมาก่อน ทั้งทำท่าว่าจะให้คุยกันที่ด้านนอก แต่โอเวนก็สะบัดมือออก ผลักร่างของอารันญ่าจนเซถอยไปหลายก้าวแล้วทรุดตัวลงกับพื้น
อารันญ่าที่ยังอยู่ในร่างของเบสก้มตัวเช็ดเลือดที่มุมปากขณะที่เบี่ยงตัวหลบให้โอเวนก้าวเข้ามาข้างใน
ไวเพอร์ไม่ปิดบังความพึงพอใจเมื่อเห็นว่าอารันญ่าถูกลงโทษ ขณะที่อีก 2 คนไม่ได้แสดงออกอะไร แต่ดาร์ทชี้เตือนให้โอเวนมองดูปลอกข้อมือแอเรียสที่ตกอยู่กับพื้นกลางห้อง
ปลอกข้อมือที่เป็นอาวุธสำคัญของลุค เมอร์ฟี แต่ในเวลานี้ไม่มีท่อนแขนของลุคแล้ว
“ตอนที่ตัดออกมา มันยังมีแขนติดอยู่” ไวเพอร์รีบอธิบาย
โอเวนพยักหน้า “ที่สลายไปมันก็ถูกต้องอยู่แล้ว สำหรับแขนอายุ 400 ปี”
พ่อมด แม่มดทั้ง 4 คนหันมามองหน้ากันเพราะไม่เข้าใจ โอเวนจึงตั้งคำถาม
“กิ่งไม้ที่ถูกตัดออกจากต้นไม้ ร่วงหล่นลงพื้น สุดท้ายเป็นอย่างไร”
อูซุสตอบ “แห้งตายไป”
“ซากศพอายุ 400 ปีควรเป็นอย่างไร”
“ย่อยสลายไป” อูซุสตอบ
โอเวนพยักหน้า “แขนข้างนั้น ประกอบไปด้วยเลือด เนื้อ กระดูกที่หล่อเลี้ยงด้วยหัวใจ พอถูกตัดขาด ถูกแยกออกจากหัวใจ แขนก็เหี่ยวแห้ง สลายไป ซึ่งมันใช้เวลาน้อยกว่าการที่แขนของเขาจะงอกออกมาใหม่หลายเท่าตัว พวกนายก็เห็นแล้ว”
เมื่อหันไปมอง ก็พบว่ามีแต่เพียงอูซุสอีกเช่นเดิมที่เข้าใจในสิ่งที่พูด ขณะที่อีก 2 คนยังคงสนใจแต่การทำให้ ‘เจ้านาย’ พึงพอใจ ส่วนอารันญ่ายังคอยหันไปมองข้าวโพดที่มีอาการกระตุกเกร็งด้วยความทรมาน
“ดูเหมือนว่า เธอจะให้ความสนใจกับมันมาก”
“ไม่ใช่ เพราะที่ผ่านมา เขาดีต่อพวกเรามาก” น้ำเสียงในยามที่กล่าวคำเป็นเสียงของอารันญ่า ไม่ใช่เบส
“พวกเรา?”
“ขะ ข้า หมะ หมายถึง ข้า และ เบส” อารันญ่าตะกุกตะกัก เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นที่หน้าผาก
โอเวนเดาะลิ้นขณะที่เดินเข้ามาหา
“อารันญ่า เจ้าไม่ควรโกหกเรา เพราะถึงแม้ว่าเบสจะมีดวงจิตของเกรซ แต่เขาก็ไม่ใช่เกรซ” มือสะบัดมือเพียงเล็กน้อย ร่างของอารันญ่าก็ปลิวไปกระแทกกับฝาผนังห้อง
“เราให้เจ้าควบคุม ไม่ใช่คอยปกป้องพวกมัน! ถ้าทำไม่ได้ เราจะให้ดาร์ทมาควบคุม”
“เจ้านาย เจ้านาย” อารันญ่าลนลานคลานเข่าเข้ามาหา “ข้าจะควบคุม ได้โปรดให้โอกาสด้วย”
โอเวนหันไปหาดาร์ท “เก็บปลอกข้อมือสิ”
“ทำ ทำไม่ได้ขอรับ”
“อะไรคือ ทำไม่ได้”
อีก 3 คนก็ช่วยกันยืนยันว่าทำไม่ได้จริง ๆ 
“ตั้งแต่ตอนที่ตัดออกมา ก็จะเก็บ นำไปมอบให้กับเจ้านาย แต่ก็ทำไม่ได้ขอรับ” ไวเพอร์บอก
โอเวนชี้บอกให้ไวเพอร์เก็บปลอกแขนนั้นขึ้น แต่สิ่งที่พ่อมดผู้เชี่ยวชาญเรื่องพิษงูทำก็คือการขยับเข้าไปใกล้ แล้วก้มตัวจะใช้มือหยิบขึ้นมา แต่เมื่ออยู่ห่างประมาณ 1 ฟุต หนามแหลมสีดำก็ปรากฏขึ้นมารอบปลอกแขนจนดูเหมือนเม่นขนโลหะ พร้อมด้วยไอพิษปกคลุม ทำให้พ่อมดแม่มดทั้ง 4 คนก้าวถอย ใช้แขนเสื้อปิดจมูก
โอเวนก้าวไปยืนอยู่เหนือปลอกแขน กางมือผอมบางออกแล้วหงายมือขึ้น ปลอกแขนทั้ง 2 ข้างก็วางอยู่บนมือ
พ่อมด และแม่มดทั้ง 4 ต่างแสดงความชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง
“ท่านผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีเวทย์มนต์ใดจะมีอำนาจเหนือท่าน”
โอเวนพลิกมืออีกครั้งปลอกข้อมือทั้ง 2 ข้างหายไป เฮ้นช์แมนทั้ง 4 ประสานเสียงยกยออีกครั้ง
“พิษของเขาดัดแปลงมาจากสารเคมี”
โอเวนยกมือห้ามก่อนที่ทั้ง 4 จะแย่งชิงกันกล่าวคำเยินยออีกครั้ง ดวงตาสวยหันไปมองข้าวโพดที่นอนงอตัวอยู่บนเตียงด้วยความทรมาน
“รอให้แขนของลุค เมอร์ฟี งอกออกมาใกล้จะสมบูรณ์ แล้วค่อยเอาน้องชายในอดีตของเขาที่อยู่ในสภาพแบบนี้ ไปให้เขาดู”
เมื่อโอเวนก้มลงแตะที่แขนข้างขวาของข้าวโพด หนุ่มนักศึกษาก็กระตุกแรง แล้วดีดตัวเองไปชนกับผนังห้องอีกด้านหนึ่งของที่นอน ทำให้โอเวนหัวเราะอย่างสนุกสนาน
“เขาควรได้เห็นกับตาตัวเอง ว่ายิ่งเขาพยายามมากเท่าไหร่ ยิ่งเพิ่มการคุ้มครองมากขนาดไหน น้องชายของเขาก็ยิ่งต้องทรมานมากขึ้นเท่านั้น”
....
ผกา และสาธุคุณฌ็องส์ถูกพาลงไปภายในคุกใต้ดินที่อยู่ภายในอาคารหลังเดียวกันนั้นเอง และถูกปล่อยให้ออกมาอยู่นอกกรง ที่เหมือนกรงนกทรงสูงนั่น
นี่เป็นคุกใต้ดินที่สะอาดมาก มีแสงสว่างจากไฟบริเวณทางเดิน ไม่มีหน้าต่างให้แสงสว่างส่องเข้ามา แต่ก็ไม่มีกลิ่นอับใด ๆ แม้แต่ภายในห้องก็ยังมีเตียงนอนที่เป็นแท่นหินสูงขึ้นมา ฉากกั้นส่วนที่ใช้อาบน้ำ ทำธุระส่วนตัวสูงถึงเอว
สาธุคุณหันกลับไปมองที่นอนอีกครั้ง นี่เป็นแท่นหินในลักษณะเดียวกันกับที่ลุคนอนด้านบน
ฝาผนังทั้ง 4 ด้านรวมถึงเพดานและพื้น คือแผ่นหินสีเทาดำ ซี่กรงด้านหน้าของห้องขัง ไม่ได้ทำด้วยไม้ หรือโลหะ แต่มันคือแท่งหินเหมือนกัน
เหมือนการสร้างสถานที่แห่งนี้ด้วยการเจาะลึกลงไปในก้อนหินก้อนใหญ่
ความเย็นในสถานที่แห่งนี้ เป็นความเย็นที่เสียดลึกเข้าไปถึงกระดูก การที่ลุคนอนอยูบนเตียงที่ทำให้ด้วยหินชนิดนี้ ทำให้การฟื้นตัวของเขายิ่งทรมานมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว
“หินลาควิไคต์” สาธุคุณพูดขึ้น ทำให้ผกาที่ถูกขังอยู่ในห้องตรงข้ามกันเดินมาเกาะหา
“ท่านพูดว่าอะไรนะ”
“หินลาควิไคต์ แต่พอมาคิดอีกทีไม่น่าใช่” สาธุคุณหันมาเห็นว่าอีกคนยังตั้งใจฟัง จึงอธิบายต่อ “เป็นหินที่ส่งเสริมพลังทางเวทมนตร์ ขับไล่พลังงานในทางลบ ซึ่งจากสิ่งที่เรากำลังเจออยู่ ฉันว่า พวกเขาน่าจะเลือกใช้แร่ที่ส่งเสริมพลังทางลบมากกว่า”
ผกาส่ายหน้า ดวงตาสิ้นหวัง ขณะที่ทรุดตัวลงนั่งพิงลูกกรง “ฉันเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานอะไรกับฉันหรอก แค่อยากได้พบกับลูกอีกสักครั้งเท่านั้น”
ขณะที่สาธุคุณกำลังคิดว่า ผกาอาจไม่เข้าใจเรื่องของหินเวทมนตร์ เธอก็พูดขึ้นมาก่อน ด้วยน้ำเสียงที่เลื่อนลอย
“เนื้อแท้ของหินก็แค่แร่ธาตุ หินสีคู่กับความเชื่อ เพราะเชื่อถึงได้มีพลัง หากไม่เชื่อก็เป็นแค่แร่ธาตุ เพชรก็เป็นแค่แร่ธาตุหายาก เชื่อกันว่าเพชรมีพลังอำนาจให้ได้รับชัยชนะ แต่หลังจากที่ฉันพบเข็มกลัดเพชรสีเขียว ทั้งที่ฉันชอบมาก แต่ชีวิตฉันก็มีแต่ทรุดกับพังเท่านั้น”
สาธุคุณนั่งลงฟังที่ผกาพูดแล้วคิดตาม
การถูกครอบงำด้วยวิญญาณร้ายที่คอยกระซิบบอกเรื่องราวในอดีต และหลอกหลอน สลับกับการข่มขู่ว่าวาระสุดท้ายกำลังใกล้เข้ามา โดยที่ไม่รู้ว่าจะรอดพ้นจากสถานการณ์นี้ไปได้อย่างไร ทำให้ผกาสูญสิ้นความหวังว่าจะมีชีวิตต่อไป
“เพชรสีเขียว เครื่องรางของคาร่าใช่ไหม”
ผกาพยักหน้าช้า ๆ ดูเลื่อนลอย และไม่แน่ใจ “คงจะใช่ เพราะพวกเขาบอกกับฉันแบบนั้น บอกให้ฉันไปเอาเครื่องรางนั้นออกมาจากธนาคารมาให้เจ้านาย...ก็คงจะทำลายเพชรไปพร้อมกับฉัน”
“เธอจะยอมตายอย่างนั้นหรือ”
“แล้วฉันจะทำอะไรได้ ฉันเป็นแค่มนุษย์ที่ถูกกำหนดให้ต้องตายมาตั้งแต่แรก” ผกาหันมามองสาธุคุณให้ถนัดขึ้น “ท่านเองก็มีบาดแผลที่ดูเหมือนคนที่เคยถูกไฟลวก”
สาธุคุณพยักหน้า “เมื่อหลายปีก่อน ที่ฝรั่งเศส ฉันตกอยู่ในการต่อสู้ระหว่างมือปราบกับพ่อมด และได้รับความช่วยเหลือจากลุค ฉันจึงกลายมาเป็นผู้สนับสนุนงานของเขา”
มีเสียงดังจากอีกด้านของประตู จากนั้นประตูก็เปิดออก จัสตินผู้มีสีหน้าเรียบเฉยเดินตามพ่อมดคนหนึ่งเข้ามา แล้วถูกคุมขังอยู่ในห้องติดกับสาธุคุณ ทำให้มองไม่เห็นกัน
“จัสติน”
“อืม”
“เป็นอย่างไรบ้าง”
“รู้สึกโง่มาก เป็นการติดกับดักที่โง่เง่าที่สุดในชีวิตแล้ว”
ทั้งผกาและสาธุคุณต่างเดินไปหาจัสติน พยายามให้อยู่ใกล้ที่สุดเท่าที่จะทำได้
“เครื่องรางของนายอยู่ที่ไหน”
“อยู่กับ...ซอว์นีย์แล้ว”
“จัสติน ขอฉันถามอะไรโง่ ๆ อีกสักข้อเถอะ”
“อืม”
“ตอนที่บลูไปบ้านของนาย นายไม่มีความรู้สึกระแวง ไม่ไว้ใจอะไรเลยหรือ”
“...”
“เอาเถอะ ถ้าไม่อยากตอบ”
“ลุค ไว้ใจเขา”
สาธุคุณเข้าใจ “ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ก่อนหน้านี้ฉันก็ไม่ได้คิดสงสัยอะไร และเข้าใจตามที่ลุคบอกมาตลอดว่า ฉันควรหลีกเลี่ยงการเจอกับบลู เพราะเขาคือนกฮูกปีศาจ ส่วนฉันคือนักบวช แต่พอมาถึงวันนี้ ตอนที่เจอกับเขาฉันถึงได้เข้าใจ ว่าฉันเคยเจอเขา” สาธุคุณหันไปหาผกา “ฉันไม่ได้บังเอิญระลึกชาติขึ้นมาได้ หรือมีอะไรหรอกนะ แต่ในตอนที่เขาเดินเข้ามา จะมีความรู้สึกว่าฉันถูกเกลียดมาก แค้นฉันมากชนิดที่ต่อให้ฆ่าฉันให้ตายเขาก็ยังไม่พอใจ ทั้งที่เขาก็แทบจะไม่ได้หันมามองฉันตรง ๆ แต่ตลอดเวลา ฉันรู้สึกอย่างนี้ตลอดเวลา ฉันเคยรู้สึกอย่างนี้ เมื่อหลายปีก่อนที่ฝรั่งเศส ตอนนั้นมีการต่อสู้กัน แล้วฉันถูกไฟของพ่อมด แล้วลุคก็มาช่วยฉันไว้”
ผู้ฟังทั้ง 2 คนเงียบไป
“ฉันเคยสงสัย แต่ไม่กล้าถามกับลุคตามตรง ว่าฉันคือใครในกลุ่มคนที่ทำร้ายครอบครัวไร้ท์”
“ไบรเดน เมอร์ฟี” จัสตินบอก “นายคือคนที่สั่งประหารครอบครัวไร้ท์”
...    
(มีต่อครับ)

ออฟไลน์ MyTeaMeJive

  • MyTeaMeJive
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1894
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3313/-9
OWAZA ตอนที่ 21 (20/4/64)
«ตอบ #233 เมื่อ20-04-2021 12:39:33 »

(ต่อครับ)

โอเวนยืนมองข้าวโพดที่ยังคงนอนหลับตา แต่ร่างกายบิดเบี้ยวด้วยความทรมาน เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดตามหน้าผาก
ข้าวโพดไม่ได้ฝัน เป็นการหลับโดยที่รับรู้ถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น แต่ไม่สามารถสะดุ้งตื่นให้หลุดออกมาได้
“ไวเพอร์”
“ขอรับ”
“ดูแลเขา ส่วนอารันญ่า ตามฉันมา”
แต่คนที่เดินตามออกมายังมีดาร์ท และอูซุสด้วย ส่วนที่ด้านหน้าบ้านพักก็ยังมีแม่มดชราอีก 1 คนยืนรออยู่
“เจ้านาย”
“กลั่นยาเสร็จแล้วหรือ” โอเวนถามแม่มดชรา
“เสร็จแล้วเจ้าค่ะ” แม่มดชราส่งขวดแก้วใบเล็กบรรจุน้ำยาปราศจากสีและกลิ่นให้ขวดหนึ่ง
“ยังมีอีกกี่ขวด”
“3 เจ้าค่ะ”
“เอาไปให้ 3 คนในคุกใต้ดิน แล้วเอาที่เหลือไปไว้ที่บ้านพักของเรา”
แม่มดชรารับคำสั่ง
ทั้งหมดเดินตามโอเวนมาระยะหนึ่งเมื่อทางแยก ก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย จนเหลือเพียงอารันญ่าที่เดินตามมาจนถึงหน้าบ้านที่ปลูกด้วยไม้ซุง ตัวบ้านสูงกว่าทางเดินครึ่งเมตร ระเบียงหน้าบ้านมีเก้าอี้ยาววางอยู่เพียงตัวเดียว
ขณะที่ก้าวขึ้นบันไดขั้นแรกโอเวนจึงกล่าวขึ้น
“อารันญ่า ถอยออกไปก่อน”
หญิงสาวในชุดสีแดงก้าวถอยออกจากร่างของหนุ่มในชุดนักศึกษา
“พี่” เบสทักขึ้น แล้วเดินตามโอเวนขึ้นมา
“เป็นอย่างไรบ้าง”
เบสส่ายหน้า เดินตามไปนั่งลงข้าง ๆ
การที่อารันญ่าเปิดการรับรู้ของเบสไว้ ทั้งคอยบอกเรื่องราวหลายอย่างให้ฟัง ทำให้ชายหนุ่มมีการเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ตรงหน้าเป็นอย่างดี
“หิวหรือยัง” โอเวนหันไปเรียกวิญญาณผู้รับใช้ ให้เตรียมอาหารมาให้กับเบส
“เมื่อกี้พี่ซัดผม” เบสชี้ไปที่หน้าท้อง “ในปากยังรู้สึกถึงเลือดอยู่เลย”
โอเวนยิ้มอ่อนโยน “เดี๋ยวก็หาย อารันญ่า ไม่ปล่อยให้นายเจ็บอยู่แล้ว”
เบสที่กำลังจะส่ายหน้าเปลี่ยนใจเป็นพยักหน้าเพราะกลัวว่าอารันญ่าจะถูกลงโทษอีก
…พี่ซัดเต็มแรงอย่างนั้น จะไม่เจ็บเลยเป็นไปไม่ได้
วิญญาณรับใช้ตนหนึ่งถือถาดอาหาร ส่วนอีกตนหนึ่งถือโต๊ะเล็กที่มีขนาดพอดีกับถาดออกมาวางข้างหน้าของเบส
“กินสิ”
เบสมองซุปข้นกับปลาทอดในจาน แล้วเปลี่ยนไปหยิบน้ำส้มค้นสด
“ไม่ชอบหรือ”
“ตั้งแต่พี่รับผมมาที่นี่ ผมก็กินแต่อาหารแบบนี้ทุกมื้อ...”
โอเวนมือขึ้นเพียงเล็กน้อย วิญญาณรับใช้ทั้ง 2 ตนถูกกระชากจากด้านหลัง เข้ามาอยู่ห่างจากเบสเพียง 2 เมตร ต่างฝ่ายต่างบีบคออีกฝ่ายไว้แน่น แม้สีหน้าจะเจ็บปวดทรมาน แต่ก็ยังไม่กล้าที่จะส่งเสียงร้องออกมา
“น้องไม่ชอบอาหารแบบนี้ ไปทำอย่างอื่นมา!” โอเวนออกคำสั่ง
เบสตกใจลนลานรีบกินอาหารในจาน “ผม ผม กินได้ พี่ อย่าทำอะไรเขา”
เมื่อโอเวนลดมือลง วิญญาณรับใช้ทั้ง 2 ทรุดตัวลงคุกเข่าเพื่อรอฟังคำสั่ง
“บอกเขาสิ ว่านายอยากกินอะไร”
“ขอเป็นแบบ 3 มื้อไม่เหมือนกันก็พอครับ” วิญญาณทั้ง 2 คนรับคำสั่งและกำลังจะถอยออกไป เบสก็รีบบอกต่อ “ขอแบบสุก ๆ นะครับ ผมไม่กินของดิบ”
โอเวนยิ้มอ่อน โบกมือให้วิญญาณรับใช้กลับออกไปได้
เบสเหลียวไปมองตาม แล้วหันมาหาโอเวน “แล้วพี่ไม่กินหรือ”
“ไม่”
“ผมมีเรื่องอยากคุยกับพี่ด้วย”
“กินให้เสร็จก่อน แล้วเข้าไปคุยข้างใน”
อารันญ่ารับทราบคำสั่งนั้นของผู้เป็นนาย เธอเดินเข้าไปในบ้านเพื่อจัดเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่และเตรียมที่นอนให้กับเบส เสร็จแล้วก็ออกมาบอกทั้ง 2 คน
“เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
 ภายในบ้านที่โอเวนใช้คาถาตัดขาดสรรพเสียงและการเคลื่อนไหวภายนอกอย่างสิ้นเชิง ทำให้เบสรู้สึกกลัวตั้งแต่ในวันแรกที่มาถึง จึงไม่ต้องการที่จะอยู่ที่นี่ตามลำพัง โอเวนจึงให้กินข้าวที่ระเบียงด้านหน้า จากนั้นอารันญ่าจะพาเบสออกไปอยู่กับข้าวโพดเกือบตลอดทั้งวัน
แสงจากโคมไฟที่หัวเสาทำให้เกิดเงาในแบบที่ทำให้เบสไม่แน่ใจว่านั่นคือเงาของตนเอง หรือเป็นเงาสีดำที่คอยติดตามพี่ไปทุกที่
“อารันญ่า เล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อน ที่หมู่บ้านในสกอตแลนด์ ผมจำอะไรในตอนนั้นไม่ได้ ถึงตอนนี้จะมีความกลัวบางอย่างติดมา แต่มันก็ไม่ได้ถึงขนาดที่จะทำให้ผมใช้ชีวิตอย่างคนทั่วไปไม่ได้ ผมคิดว่า การที่ผมตายไป แล้วเกิดใหม่ก็เพื่อล้างความทรงจำที่เลวร้าย แต่พี่ กับลุค คือคนที่อยู่กับความทรงจำที่เลวร้ายในวันนั้น ผมไม่กล้าคิดแทนพี่หรือลุค ผมแค่อยากบอกสิ่งที่ผมคิด ผม...ไม่ได้ต้องการการล้างแค้นในส่วนของผม”
“เกรซ!”
“พี่ ผมเข้าใจ หากเปลี่ยนกัน ในวันนั้นผมคือคนที่ต้องมองดู เป็นคนที่ถูกทรมานอย่างหนัก ผมก็คงจะแค้นมาก แต่...” เบสเช็ดน้ำตา “แต่ตอนนี้ คนหนึ่งคือแม่ของผม อีกคน ก็เป็นคนรัก”
“พอแล้ว ตอนนี้ดึกมากแล้ว นายควรจะเข้านอน”
“พี่” เบสเช็ดน้ำตา แต่ก็ยอมเดินกลับเข้าไปในห้องนอนแต่โดยดี
เมื่อประตูห้องนอนปิดลง ไฟทุกดวงในห้องนี้ก็ดับลง เงาดำที่มุมห้องก่อเป็นร่างโปร่งใสในชุดสีขาว ดวงตาสีฟ้า เดินเข้ามาหา
โอเวนเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งยกมือขึ้นนวดขมับตนเอง ร่างโปร่งใสนั้นเดินมานั่งลงตรงข้าม
“ไหวไหม”
“ไหวสิ ตอนนี้ก็เหลืออีกแค่ 2 คืนแล้ว”
บลูพยักหน้า หันไปมองประตูห้องนอนของเบส “อยากให้ฉันไปดูจอร์จ กับแอนนาทั้ง 2 คนไหม”
“อย่าเลย ถ้าไปก็จะตกเป็นเป้าหมายไปด้วย พวกเขามีชะตาชีวิตเป็นของตัวเองแล้ว”
“นั่นมันก็จริง แต่แอนนาน่ะ แยกดวงจิตออกเป็น 2 คืออัจฉรากับแอนแบบนี้ กลายเป็นว่า ร่างหนึ่งเป็นห่วงข้าวโพด ลูกชายที่หายไป กับอีกร่างหนึ่งคือแอน ก็ต้องมาเป็นห่วงลุค เจ้านายที่หายไป แบบนี้ มันเท่ากับเรากำลังทำร้ายแอนนาอยู่หรือเปล่า”
“นายเป็นอีกคนที่พยายามทำให้ฉันยกโทษให้เชสใช่ไหม”
“ไม่ได้ขอให้ยกโทษ” น้ำเสียงของบลูอ่อนลง “ฉันพร้อมที่จะสนับสนุนทุกอย่างที่นายทำอยู่แล้ว แต่เรื่องของเชสมันออกจะหักมุมแรงไปสักหน่อย”
โอเวนกอดอกหันหน้าไปอีกทาง แต่ไม่ได้บอกให้บลูหยุดพูด
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราตามแก้แค้นคาร่ากับทหารพวกนั้น พวกเราพยายามจะเผาเจ้าเมืองเบ็ตตี้ แม้แต่ลุค เมอร์ฟี ก็ยังมีช่วงที่นายเกลียดเขามาก เพราะว่าสร้อยที่เขาให้มามันคือหลักฐานมั่ว ๆ ที่คาร่าเอามากล่าวโทษ แต่กับเชส ฉันไม่เข้าใจว่า ทำไมจู่ ๆ นายถึงได้เกลียดเขามาก ตอนนี้นายเกลียดเขามากกว่า คาร่าและทุกคนรวมกันเสียอีก” บลูเท้าแขนลงกับโต๊ะ “อิจฉาหรือ”
“ไร้สาระน่า”
บลูส่ายหน้า มองคนที่เหมือนกันทุกอย่างเว้นแต่สีของดวงตา “โอเวน ร่างฉันจิตนาย ร่างนายจิตฉัน พลังของฉันความแค้นของนาย พวกเราเป็นหนึ่งเดียวกันมานาน คอยเฝ้ามองและเผาคนเหล่านั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้านายไม่ยอมรับความจริงเรื่องความรู้สึกของนาย แล้วกลายเป็นการเพิ่มปัญหาขึ้นมา พวกเราจะทำงานสำเร็จตามเป้าหมายได้อย่างไร”
“เป้าหมายของฉันไม่ได้มีอะไรมากนอกจากการตามเผาคาร่าไปจนถึงลมหายใจสุดท้ายของฉัน”
บลูหัวเราะเบา ๆ “โอเวน ไร้ท์ ฉันคือใคร ฉันคือนกฮูกปีศาจของนายนะ เพราะอะไรลุคจึงต้องให้เครื่องรางให้เชส ก็เพราะเขารู้ว่านายเคยพยายามฆ่าพ่อของเขา แล้วนายยังประกาศว่าจะฆ่าน้องชายของเขา”
 แม้โอเวนจะฟังที่บลูพูด แต่ก็ยังมีท่าทีดื้อรั้น
“ภายในกลุ่มของเกรซ เชส คาร่า จอร์จ และแอนนา มีสายใยของคำว่าครอบครัว มันก็ยากอย่างที่ลุคบอกกับนายมากกว่า 5 ครั้ง...”
ทั้งโอเวนและบลูหยุดการสนทนาหันไปทางประตูด้านหน้าของสวนป่าแห่งนี้พร้อมกัน
“ลาการ์ วิด้า” บลูบอก
เรื่องที่กำลังคุยกันอยุ่ต้องพักไว้ก่อน “มาเร็วจริง” โอเวนบอกแล้วขมวดคิ้ว หันมาหาบลูที่หัวเราะเบา ๆพลางส่ายหน้าเหมือนเคย
บลูเปลี่ยนเป็นเงาสีดำติดตามโอเวนที่เปิดประตูบ้านออกไป วิญญาณรับใช้ที่ด้านนอกตรงเข้ามาหา
“ไปเรียกอารันญ่ามา”

วิญญาณรับใช้หายไปครู่หนึ่ง อารันญ่าก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า 
“ควบคุมเกรซไว้ อย่าให้เขารับรู้อะไร พาไปอยู่กับเชสที่กระท่อมต้นไธม์อย่าให้ออกไปจากบ้านจนกว่าฉันให้คนไปเรียก”
“เจ้าค่ะ เจ้านาย”
เมื่ออารันญ่ารับคำสั่งแล้วเข้าไปในบ้าน ดาร์ท ไวเพอร์ และอูซุสก็ปรากฏตัวขึ้น 
“เจ้านาย ลาการ์ วิด้า พ่อมดสแปนิชกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ขอรับ” ดาร์ทรายงานในทันที
โอเวนพยักหน้า ก้าวลงจากบ้าน “ไปเอาลุค เมอร์ฟี กับคนเยอรมันออกไปหาฉันที่กระท่อมเดฟเน่”
ดาร์ทรับคำสั่ง แล้วหันไปหาไวเพอร์กับอูซุสให้ไปช่วยกัน แต่ทั้งคู่ต้องการอยู่กับโอเวนมากกว่า
“อูซุสตามฉันมา”
อูซุสยักคิ้วข้างหนึ่ง สีหน้าภาคภูมิใจ ขณะที่เดินตามเจ้านายไปที่กระท่อมเดฟเน่
...
กระท่อมเดฟเน่เป็นกระท่อมไม้ทรงสี่เหลี่ยม ไม่มีระเบียง แต่ที่ล้อมรอบบ้านคือดอกไม้เล็ก ๆ สีม่วงกลิ่นหอมที่เต็มไปด้วยพิษร้าย
เหล่าวิญญาณรับใช้ และปีศาจเคลื่อนที่เข้ามารวมกันอยู่ที่ด้านหน้าของกระท่อม
ภายในกระท่อมเป็นเครื่องเรือนอย่างโต๊ะ เก้าอี้ และตู้ไม้โบราณที่ทำด้วยไม้หนาหนัก ฝาผนังว่างเปล่า ในชั้นวางของ หรือบนโต๊ะ ไม่มีเครื่องรางใด ๆ
ตะเกียงที่แขวนอยู่ตรงหัวเสาจุดไฟขึ้นเองเมื่อโอเวนเดินผ่านแล้วไปนั่งที่เก้าอี้ไม้ตัวหนึ่ง  หันหน้ามาทางประตู อูซุสเดินตามมายืนทางขวามือ
ทั้งดาร์ทและไวเพอร์ต่างรีบเร่งนำตัวทั้ง 2 คนตามมาที่กระท่อมด้วยการหายตัวแล้วมาปรากฎตัวอยู่ที่ด้านหน้าของกระท่อมจากนั้นดันไหล่ให้เดินเข้ามา
จัสตินมีท่าทีพร้อมสำหรับการต่อสู้อยู่เสมอ ขอเพียงให้ลุคออกปาก ส่วนลุคแม้ว่าแขนทั้ง 2 ข้างยังไม่สมบูรณ์ แต่การออกมาอยู่ในกระท่อมไม้กลับส่งผลดีต่อการฟื้นตัว และไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดที่ปากแผลมากนัก
โอเวนโบกมือให้ดาร์ทและไวเพอร์ก้าวถอยออกมา ปล่อยให้ทั้งคู่ยืนอยู่กลางห้อง
“รู้จักพวกลาการ์ วิด้าไหม”
“พ่อมดสเปน”
โอเวนพยักหน้า “พวกพ่อมดที่น่ารำคาญ มารออยู่ข้างนอกนั่น ฉันต้องการให้พวกนายจัดการ”
“ทำไม นายก็จัดการเองได้ไม่ใช่หรือ” จัสตินถาม
“ใช่ แต่มันไม่สนุก” โอเวนบอก “ฉันต้องการให้นายจัดการพวกมันแบบเด็ดขาด ไม่ให้พวกมันฟื้นกลับมาได้แม้แต่คนเดียว แลกกับ เชส”
“แต่ว่า...” จัสตินชี้ไปที่ข้อมือของลุค
โอเวนลุกขึ้นยืน เมื่อหงายมือขึ้น ปลอกข้อมือแอเรียสทั้ง 2 ข้างวางอยู่บนมือขาว ทั้งยังสะท้อนประกายแสงไฟในเวลากลางคืน
แม้จะรู้ว่าเรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลัง แต่ลุคก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตกลง
โอเวนชี้มาที่แขนของลุค แขนทั้ง 2 ข้างก็ยกขึ้นมาเอง ทั้งงอกออกมาสมบูรณ์พร้อมด้วยปลอกข้อมือแอเรียส
ดาร์ท ไวเพอร์ และอูซุสส่งเสียงชื่นชม แม้แต่จัสตินก็ยังประหลาดใจ
“ขอบใจมาก”
โอเวนยกยิ้มมุมปาก ขณะที่หงายมือขึ้นอีกครั้ง ถ้วยไม้ 2 ใบ ลอยอยู่เหนือฝ่ามือขาว และเคลื่อนที่มาหาลุคและจัสตินคนละใบ
“ดื่ม”
เมื่อลุคหยิบถ้วยไปดื่มโดยง่าย จัสตินก็ทำตาม
“เอาอย่างนี้ ในเมื่อพวกนายรับเงื่อนไขโดยดี ฉันก็จะให้ดาร์ท กับไวเพอร์ไปช่วย”
โอเวนคิดว่าลุคจะต่อรองให้ยอมปล่อยตัวสาธุคุณฌ็องส์ หรืออดีตเจ้าเมืองเบ็ตตี้ แต่การที่ไม่ได้ต่อรอง อาจเพราะลุคชะล่าใจ หรือไม่ก็คิดอะไรมากมายหลายเรื่อง จนกลายเป็นการมองข้ามเรื่องสำคัญ
โอเวนเรียกอาวุธของจัสตินออกมาให้ แล้วสั่งให้ทั้ง 4 คนออกไป ทั้งเดินตามออกไปยืนส่งที่หน้ากระท่อม แต่ทันทีที่ทั้งหมดหายไป ชายหนุ่มก็ออกคำสั่ง
“เตรียมกองไฟที่หน้าตึกศิลา เอาผู้หญิงคนนั้นกับผ้าขี้ริ้วออกมา”
อูซุสและเหล่าวิญญาณรับใช้ที่รออยู่ด้านหน้ารับคำสั่งแล้วหายไปในทันที
โอเวนเงยหน้ามองท้องฟ้า
คืนนี้ไม่ใช่คืนพระจันทร์เต็มดวง แต่การจะเผาใครสักคน ไม่ได้เกี่ยวกับพระจันทร์ มันเกี่ยวกับเมื่อถึงเวลาที่จะต้องจัดการ ก็ต้องจัดการ
เมื่อโอเวนเดินมาถึงหน้าบ้านสีดำ ทั้งคนและสิ่งของต่าง ๆ ก็เตรียมพร้อมหมดแล้ว
สาธุคุณฌ็องส์ และผกาต่างก็ถูกมัดอยู่กับเสา รายล้อมไปด้วยไม่ฟืน และหญ้าแห้งท่วมจนถึงเข่า
“ทำงานได้ดีมาก” โอเวนเอ่ยชมอูซุส แล้วหันไปถามผู้ที่ถูกมัดไว้ “ไม่อ้อนวอนให้ไว้ชีวิตแล้วหรือ”
ทั้ง 2 คนต่างส่ายหน้า
แม้สาธุคุณฌ็องส์จะเพิ่งได้รู้ว่าตนเองคือใคร แต่จากการสืบค้นเรื่องราวในอดีตของครอบครัวไร้ท์มานานหลายปีก็ทำให้เข้าใจเรื่องราวได้โดยตลอด  ขณะที่ผกาก็ถอดใจยอมแพ้ เมื่อได้รับฟังเรื่องราวอีกครั้งในระหว่างที่อยู่ในคุกใต้ดิน
เธอไม่ได้ต้องการตาย แต่ไม่เห็นหนทางที่จะรอดพ้นจากวันนี้ไปได้ และรู้ตัวแล้วว่าจะไม่ได้พบกับลูกชายอีก
“เราแค่อยากถามว่า เจ้าจะทำแบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่” สาธุคุณฌ็องส์ถาม
โอเวนไม่ตอบ เมื่อชี้ไปทั้งกองฟืน ไฟก็เริ่มลุกไหม้
ผการ้องบอก “ท่าน ท่านคะ ฝาก ฝากบอกเบสด้วย ว่าแม่รักเบส แม่อาจเป็นแม่ที่ไม่ดีนัก แต่แม่ก็รักลูกมาก”
โอเวนกำมือแน่น ไฟของพ่อมดโหมแรงลุกท่วมร่างของทั้งคู่ เปลวไฟที่โหมแรงเผาไหม้จนเหลือเพียงฝุ่นผงกองหนึ่ง และเมื่อสายลมพัดมา ฝุ่นผงกองนั้นก็หายไป

จบตอนที่ 21
อีกนิดเดียวก็จะจบแล้วนะ
น้ำชาครับ

ออฟไลน์ uniko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: OWAZA ตอนที่ 21 (20/4/64)
«ตอบ #234 เมื่อ20-04-2021 19:07:50 »


ง้าาาาา   :sad4:




ไม่คิดว่าบอสใหญ่จะเป็นโอเวนเลยนะเนี่ย




พวกพ่อมดระดับบอส ทั้งอารัณญ่า พออยู่ต่อหน้าโอเวน กลายเป็นลูกน้องผู้เชื่อฟังไปเลยทีเดียว




แต่ว่า เฮ้อ สงสารพี่ลุคจัง  :hao5:




จะมีโอกาสทำให้โอเวนใจอ่อนได้ไหมนะ




อย่างที่เบสพูด คนที่กลับมาเกิดใหม่ก็ไม่มีความทรงจำในอดีตแล้ว




มีแค่ลุคกับโอเวนที่ติดอยู่กับความเจ็บปวดในอดีต ฮือๆ  ปวดตับจัง




 :เฮ้อ:




ว่าแต่ตอนหน้าจะมีหักมุมให้ตกใจอีกมั๊ยเนี่ย  :hao7:




ขอบคุณสำหรับตอนนี้ด้วยฮับ :pig4:



ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: OWAZA ตอนที่ 21 (20/4/64)
«ตอบ #235 เมื่อ20-04-2021 23:56:08 »

อึ้งไปเลย

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
Re: OWAZA ตอนที่ 21 (20/4/64)
«ตอบ #236 เมื่อ21-04-2021 23:58:01 »

เห้อออออ!!

ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
Re: OWAZA ตอนที่ 21 (20/4/64)
«ตอบ #237 เมื่อ23-04-2021 10:41:25 »

 :sad4:   :sad4:   :sad4:   :sad4:


 เอ๋ออออ!!!!!! ผิดจากที่คาดเดาทุกอย่าง 55555555555555555555555555555555555


 หักมุมอารมณ์ ปุ๊บปั๊บฉึบฉับมาก


 ตอนนี้ได้แต่รอแล้วล่ะว่าสุดท้าย โอเวน จะเป็นอย่างไร


 แต่นะ....อ่านมาตอนนี้ไม่รู้แล้วว่าแค่ที่ว่า "รัก" ของลุค จะช่วยได้มากแค่ไหน  :mew2:



.......ได้แต่หวังว่า ทั้งลุคกับโอเวน จะได้อยู่ด้วยกัน



รอลุ้นมากเลยค่า  :L2:  :L2:


รอตอนต่อไป  :pig4:





 













ออฟไลน์ natalee22

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-3
Re: OWAZA ตอนที่ 21 (20/4/64)
«ตอบ #238 เมื่อ01-05-2021 12:17:41 »

สวัสดีค่ะคุณไจฟ์น้องที เราห่างหายจากเล้าไปนานมากๆๆๆๆๆๆ เกือบ 2 ปีได้มั้ง
กลับมาปุ๊บมองหานิยายของคุณไจฟ์น้องทีก่อนเลย อิอิ
เป็นกำลังใจให้นะคะ แล้วก็ขอบคุณที่ยังคงเขียนนิยายสนุกๆให้อ่านอยู่เสมอ  :pig4: :pig4:

ปล. จะค่อยๆทยอยๆอ่าน แล้วก็เข้ามาบ่อยๆขึ้นนะคะ

ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
Re: OWAZA ตอนที่ 21 (20/4/64)
«ตอบ #239 เมื่อ12-05-2021 10:00:31 »


 :กอด1:  :L2:  :กอด1:  :L2:


ทุกครั้งได้อ่านคำว่าใกล้จบแล้วทีไร


มันรู้สึกแอบเหงาเหมือนกันนะ


อาจจะไม่ได้เข้ามาบ่อยด้วยอะไรหลายๆอย่างตอนนี้


แต่อยากจะบอกว่ารอเสมอ ถึงแม้จะไม่อยากให้จบเล้ยย


ยังเป็นนักเขียน(คู่)ที่ติดตามอยู่เสมอจ้า


**** รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะทั่้งสองคนเราต้องฟันฝ่าวิกฤตแย่ๆนี้จนกว่าจะผ่านพ้นไปด้วยกัน***


 :กอด1:  :กอด1:








 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด