OWAZA ตอนจบ (7/6/64)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: OWAZA ตอนจบ (7/6/64)  (อ่าน 29146 ครั้ง)

ออฟไลน์ uniko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: OWAZA ตอนที่ 13 (19/10/63)
«ตอบ #180 เมื่อ19-10-2020 18:16:12 »

มาแล้ว มาแล้วๆๆ :katai2-1:



ตอนนี้พี่ลุคกับจัสตินเท่ห์มากๆ อยากได้ปลอกข้อมือแอเรียสบ้าง  o18



 :impress2:



เบสถูกครอบงำไปแล้วจริงๆ ด้วย งื้อ มิสอรัญญานี่ร้ายมาก  :katai1:



แต่เพราะเรื่องนี้ ข้าวโพดก็เลยจำเรื่องในอดีตได้แล้ว  :hao5:



อยากรู้เหมือนพี่ลุคเลยว่าคุณกัลย์แม่บ้านเป็นตัวอะไรกันแน่ ไม่มีทั้งไอปิศาจ ไม่มีทั้งวิญญาญควบคุมอ่ะ



 :hao4:



แต่ละฝ่ายเริ่มลงสนามรบต่อสู้กันแล้ว รอติดตามตอนหน้าต่อไปว่าจะเปิดปมอะไรออกมาบ้าง



ตอนนี้ไม่มีน้องบลู คิดถึงน้องงงงง :mew1:



ยังคงติดตามและเป็นกำลังใจให้ทั้งพี่ไจฟ์และน้องทีเหมือนเดิมนะฮะ



 :3123:

ออฟไลน์ yupinka

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: OWAZA ตอนที่ 13 (19/10/63)
«ตอบ #181 เมื่อ19-10-2020 19:55:42 »

 :L2มาแล้ว มาแล้วๆ

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: OWAZA ตอนที่ 13 (19/10/63)
«ตอบ #182 เมื่อ21-10-2020 01:13:16 »

ลุ้นแทนลุค

ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
Re: OWAZA ตอนที่ 13 (19/10/63)
«ตอบ #183 เมื่อ24-10-2020 10:19:05 »


 :katai2-1: ว้าวววว ได้เห็นพลังเวทย์ที่ลุคใช้ปราบแล้ว   :katai2-1: 


       :L2:  ทีนี้ก็รอว่า บลู ใช้พลังอะไรแบบไหนสู้กับพวกพ่อมด  :L2:


            เข้มข้นขึ้นอีกแล้ว จนชักสงสัยลาสบอสคือใครแน่ แล้วก็หวั่นๆว่าถ้าบลูกับโอเวนอยู่ร่างเดียวกันนี่แหล่ะ


รอตามตอนต่อไปจ้า

 :pig4:





 
       






 

ออฟไลน์ MyTeaMeJive

  • MyTeaMeJive
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1894
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3313/-9
OWAZA ตอนที่ 14 (10/11/63)
«ตอบ #184 เมื่อ10-11-2020 12:19:34 »

ตอนที่ 14

ข้าวโพดซ้อนมอเตอร์ไซค์เพื่อนมาจากสโมสรนักศึกษา เห็นเบสนั่งรออยู่ที่ป้ายรถรางหน้าคณะวิทย์ก็รีบชี้บอกเพื่อนว่าให้จอดรถ
เบสเองพอเห็นว่าข้าวโพดซ้อนท้ายรถเพื่อนมาทางนี้ก็ลุกขึ้นยืนรอ
เบส มาทำอะไรถึงที่นี่” คณะวิทยาศาสตร์อยู่ห่างจากคณะบริหารมาก
เบสยังไม่ตอบคำถามของข้าวโพด แต่หันไปส่ายหน้าให้กับเพื่อนของข้าวโพดที่ถามว่าจะกลับคณะบริหารเลยหรือไม่ จะได้ซ้อนสามไปส่งที่คณะ ข้าวโพดก็เลยหันไปบอกกับเพื่อน ว่าเดี๋ยวจะนั่งรถรางกลับไปคณะ
อาจเพราะเรื่องเมื่อคืนก่อน ทำให้เบสดูแปลกไปและต้องการเวลาส่วนตัว ดังนั้นในตอนที่เบสบอกว่าจะไปธุระในตอนเที่ยง และจะไม่อยู่กินอาหารเที่ยงด้วย เสร็จธุระเมื่อไหร่จะโทรบอก ข้าวโพดถึงไม่ได้เซ้าซี้
จนเมื่อสัก 10 นาทีก่อน เบสโทรมาบอกว่า ตอนนี้อยู่ที่คณะวิทยาศาสตร์ ข้าวโพดที่กำลังช่วยจัดของอยู่ที่สโมสรนักศึกษาถึงต้องขอให้เพื่อนต่างคณะที่มีรถมอเตอร์ไซค์ช่วยขับรถมาส่ง
เมื่อ 10 นาทีถามไปแล้วรอบหนึ่งว่ามาทำอะไรที่นี่ แต่เบสไม่บอก เมื่อถามอีกครั้งก็ยังไม่ยอมบอกอยู่เหมือนเดิม
“มาทำอะไรถึงที่นี่” ข้าวโพดเหลียวมองไปรอบ ๆ “แล้วทำไมมานั่งรอตรงนี้ ร้อน น่าจะไปนั่งรอในคาเฟ่”
เบสจับที่แขนเสื้อของข้าวโพด “ไปดูกรงกระต่ายกัน”
เบสหมายถึงกระต่ายที่อยู่ในส่วนของภาควิชาชีวะวิทยา ที่จะเลี้ยงสัตว์ไว้หลายชนิด ทั้งกบ กระต่าย หนู และปลาเพื่อการศึกษาดูการเจริญเติบโต และการเจริญพันธุ์อะไรแบบนั้น แต่สัตว์เลี้ยงที่ภาควิชาชีวะวิทยา ไม่ได้มีจำนวนมาก และไม่ได้มีความหลากหลายอย่างที่คณะเกษตร ถ้าเบสอยากดูกระต่าย น่าจะไปดูที่คณะเกษตรมากกว่า
แถมคณะเกษตรยังอยู่ใกล้กว่าคณะวิทยาศาสตร์ด้วย
แต่ถึงที่ภาควิชาชีวะวิทยาจะเลี้ยงไว้น้อยกว่า แต่บางทีก็มีสาว ๆ จากคณะอื่นเอาอาหารมาเลี้ยงสัตว์ที่นี่เหมือนกัน รวมถึงตอนนี้ที่มีนักศึกษาหญิงกลุ่มหนึ่งกำลังเอาถั่วฝักยาวให้กระต่ายในกรง พอเบสเห็นว่าที่กรงกระต่ายมีคนอยู่และกำลังพูดคุยกันเสียงดัง ก็เดินไปทางบ่อปลาที่อยู่ด้านหน้าของโรงเลี้ยงที่ดัดแปลงมาจากตู้คอนเทนเนอร์ แต่ตอนนี้บ่อปลาและบ่อกบทั้งหมดว่างเปล่า
ขณะที่ทั้ง 2 คนกำลังยืนงง ก็มีนักศึกษาปี 4 หลายคนเดินออกมาจากโรงเลี้ยงและกำลังจะปิดประตู 
“พี่ ไม่เลี้ยงปลาแล้วหรือ” ข้าวโพดหันไปถาม
รุ่นพี่บอกว่า การเลี้ยงปลายุ่งยากและต้องคอยทำความสะอาด อาจารย์ก็เลยยกให้คณะเกษตรเลี้ยง และกำลังจะย้ายกระต่ายไปให้คณะเกษตรเลี้ยงเหมือนกัน กลุ่มนักศึกษาหญิงได้ยินเข้าก็เดินมาถามว่า ทำไม
“เพราะที่นั่นเขาก็เลี้ยงปลา เลี้ยงกระต่ายเหมือนกันน่ะสิ เลี้ยงหลายอย่างด้วย ถ้าใครจะทำวิจัยเรื่องนี้ ก็ไปดูที่ฟาร์มของเขาได้”
“คณะเกษตรอยู่ไกล” สาว ๆ บ่น
“แล้วกลุ่มที่อยู่ในโรงเลี้ยงนั่นจะย้ายด้วยหรือเปล่าครับ” เบสถาม
“ไม่หรอก เพราะว่ามีแต่หนู กับงู พวกเกษตรเขาไม่เลี้ยง”
สาว ๆร้องอี๋ แล้วก้าวถอย บอกว่าพวกเธอไม่ชอบสัตว์แบบนั้น
“เพราะอย่างนั่นแหละ เราก็เลยต้องเลี้ยงเอง” รุ่นพี่บอก แล้วถามเบสว่าจะเข้าไปดูหรือเปล่า
เบสหันมาถามข้าวโพด “ไปดูไหม”
“อ้าว เบสเป็นคนชวนนะ”
เบสหันไปถามรุ่นพี่ “พี่กำลังจะปิดห้องแล้วหรือครับ”
“ใช่ เพราะบ่ายไม่มีใครใช้ห้อง จะมาเปิดอีกทีก็ตอนเอากบมาให้งูตอนเย็น”
เบสส่ายหน้าพูดขอบคุณรุ่นพี่ แล้วหันมาชวนข้าวโพดกลับ
“มีเยอะไหมครับ” เบสถามต่อ
“อีกสักพักคงเยอะ เพราะตอนนี้มีงูเห่าที่ตั้งท้องอยู่ตัวหนึ่ง”
กลุ่มนักศึกษาสาวพากันกลับไปที่กรงกระต่ายเหมือนเดิม ส่วนเบสบอกว่าไม่เข้าไปแล้ว แล้วพูดขอบคุณรุ่นพี่ จากนั้นก็ชวนข้าวโพดกลับไปที่คณะ
ระหว่างที่เดินกลับมาที่ป้ายรถราง ข้าวโพดแวะซื้อน้ำเปล่ากับแซนด์วิชให้เบส
“ได้กินอะไรหรือยัง”
เบสพยักหน้า แต่ก็กินแซนด์วิชที่ข้าวโพดซื้อให้
“นึกยังไงถึงได้อยากมาดูกระต่ายที่ชีวะ”
“ที่นี่คนน้อยกว่าที่คณะเกษตรน่ะ”
“ยังไง” ข้าวโพดซัก
“ก็คณะเกษตรน่ะ มีกระต่าย มีปลาเยอะกว่าก็จริง แต่มีคนอยู่ตลอด ทั้งนักศึกษา อาจารย์ คนงานแล้วก็พวกคณะอื่นที่มาดูปลา ดูนก เราไม่ชอบ”
“อยากดูเงียบ ๆ หรือไง”
“ฮื่อ” เบสพยักหน้า “แต่ปรากฏว่าผู้หญิงพวกนั้นก็มาทำเสียงดังที่นี่เสียอีก พวกสัตว์น่ะไม่ชอบเสียงดังหรอก”
“ที่คณะเกษตรคนเยอะ แต่เขาไม่ได้เสียงดังนะ”
เบสส่ายหน้า “คนเยอะ วุ่นวาย ทำให้สัตว์ตกใจ”
“งั้น วันนี้เลิกเรียนแล้วเราไปเที่ยวสวนสัตว์กันไหม เดินเที่ยวเสร็จแวะกินข้าว แล้วกลับบ้าน ก็ไม่น่าจะดึกมาก”
“ได้ แล้วจะชวนนทีไปด้วยไหม”
“ก็แล้วแต่เบสสิ ถ้าอยากให้มันไปด้วยก็ชวน แต่ถ้าไม่ชวน ไอ้ทีมันก็ไม่ว่าอะไรหรอก”
“นทีกับนานาไม่ได้เป็นคนเสียงดัง ไม่วุ่นวาย ชวนไปก็ได้ แต่คนอื่น มักเสียงดัง พูดไม่หยุด ไม่ชอบ”
รถรางมาพอดีเบสเดินเอาขยะไปทิ้งแล้วเดินมาขึ้นรถราง
“มีอะไร” เบสหันมาถามข้าวโพดที่กำลังคิดอะไรบางอย่าง ทำให้คนที่ถูกถามต้องกลบเกลื่อน
“ก็กำลังคิดไง”
“คิดอะไรล่ะ”
“รู้จักกันมาตั้งนาน เพิ่งรู้ว่าเบสไม่ชอบคนเสียงดัง กับวุ่นวาย”
เบสหัวเราะ “แล้วมาบอกว่าชอบเรา เราไม่ชอบคนแบบไหนยังไม่รู้เลย”
“ตอนนี้รู้แล้วไง” ข้าวโพดบอก “กำลังคิดอยู่ว่าเราเสียงดัง แล้วก็วุ่นวายหรือเปล่า”
“ข้าวโพดไม่ได้เป็นคนเสียงดังหรอก แต่ค่อนข้างวุ่นวาย”
ข้าวโพดพยักหน้าช้า ๆ “จะแก้ไข...”
“ไม่ต้องหรอก เป็นตัวของตัวเองน่ะดีแล้ว ถ้าต้องมาเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้อีกคนถูกใจ จะทำให้อึดอัดไม่สบายใจเสียเปล่า ๆ”
รถรางวนรอบมหาวิทยาลัยกว่าจะกลับมาถึงคณะบริหารก็ใกล้จะถึงเวลาเรียน ข้าวโพดจึงโทรหานทีบอกให้เอาหนังสือเรียนไปรอที่ห้องเรียนให้ด้วย จากนั้นก็ชวนไปเที่ยวสวนสัตว์ด้วยกันหลังเลิกเรียน
ดังนั้นหลังเลิกเรียนตอนบ่าย 3 โมงครึ่ง นานาก็ขับรถตามรถของข้าวโพดมาที่สวนสัตว์ซึ่งตั้งอยู่ในสวนสาธารณะชานเมือง กว่าจะมาถึงก็ 4 โมงครึ่ง เหลือเวลาอีกประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง สวนสัตว์ก็จะปิดแล้ว
พอจอดรถเสร็จ เบสก็เดินมาหานที “ที่นี่มีสัตว์ป่าให้ดูจริง ๆหรือ”
“มีสิ กูเคยมา”
“มากับนานาหรือ”
“เฮ้ย” นทีโวยวายเสียงดัง ขณะที่นานาหัวเราะ “กูมากับเพื่อนตอนมัธยม มาเล่นสเก็ตกันที่สวนข้างนอก ตอนนั้นในสวนสัตว์มีแต่นก กับยีราฟ แล้วก็ช้าง แต่ตอนนี้เขาขยายพื้นที่ มีตัวอะไรหลายอย่างมาเพิ่ม”
“โอ้โห ทำการบ้าน นะมึง” ข้าวโพดแซวขณะที่เดินนำไปที่ซุ้มขายบัตร
“ก็เพิ่งเปิดดูในเว็บตอนที่มึงบอกนั่นแหละ ไม่แน่ใจว่ามีกระต่ายไหม แต่ที่นี่ไม่ต้องออกไปไกล แล้วใกล้ ๆ นี่ก็มีร้านอาหาร จะได้ไม่ต้องกลับดึก”
ระหว่างที่นทีบรรยายว่าในสวนสัตว์นี้มีอะไรบ้าง ข้าวโพดก็แยกไปซื้อบัตร
“มึงอยากดูกระต่ายหรือ”
“ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นกระต่ายเท่านั้น แต่ในมหาวิทยาลัย มันก็มีแต่แบบนั้นที่น่าดูใช่ไหมล่ะ จะให้ไปเล่นกับแมวแถวโรงอาหารหรือไง ฉีดยาหรือเปล่าก็ไม่รู้”
นานาเห็นด้วย
“ทำไมนทีมาเล่นสเก็ตบอร์ดที่นี่ล่ะ ไกลบ้านมากเลยนะ” เบสตั้งข้อสังเกต
“ไม่ไกลหรอก นั่งรถตู้ไปเล่นน้ำทะเลที่พัทยาแล้วกลับบ้านก็ทำมาแล้ว” นทีอวด แต่ข้าวโพดที่ซื้อบัตรเสร็จแล้วหันมาเบรก
“อันนั้น ใคร ๆ ก็ทำเหมือนกันไหมเพื่อน”
“เหรอ มึงก็ทำอย่างนั้นเหรอ”
“เออ”
“เบสไม่เคยเที่ยวแบบนี้แน่ ๆ”
เบสบอกว่าเคยนั่งรถไฟไปเที่ยวเมืองกาญจน์กับเพื่อน
“แล้วนี่อะไรเนี่ย นายหญิงหัวเราะอย่างเดียว” นทีหันมาโวยวายกับนานาที่หัวเราะอย่างเดียวจริง ๆ
“อะไร อยู่ ๆ ก็หันไปพาลกับนานา” ข้าวโพดท้วง
“ก็หัวเราะอย่างเดียวจริง ๆนี่นา” นทีเถียง
“แล้วมีช่องไฟให้เราพูดไหม” นานาบอก
“ไม่มีครับ” นทียอมรับ
ทั้งเบสและข้าวโพดถึงกับหัวเราะที่เห็นคนเกเรเปลี่ยนท่าทีมาเชื่อฟังคนสวยในทันที
“เข้าไปข้างในเถอะ เดี๋ยวจะปิดเสียก่อน” นทีบอก
ยีราฟที่นทีพูดถึง ทำหน้าที่ต้อนรับอยู่ที่คอกขนาดใหญ่ด้านหน้าของสวนสัตว์ ซึ่งมีซุ้มอาหารและร้านค้าขายของที่ระลึกอยู่ตรงข้ามกันทางแยกหนึ่งไปทางสวนกวาง ส่วนอีกทางคือทางที่จะไปที่กรงของสัตว์ประเภทลิง
“ไปทางไหนก่อนดี” นานาหันมาถามความเห็นเบส
“ไปทางกวางก่อนก็ได้ วนทวนเข็มนาฬิกากลับมาที่เดิม” เบสตัดสินใจ
สวนสัตว์ภายในสวนสาธารณะที่ไม่ได้มีสัตว์มากมาย แต่มีการจัดพื้นที่ว่างระหว่างสัตว์ในคอก และในกรง สลับกับสวนหย่อมอย่างสวยงาม ทำให้นานาขอหยุดถ่ายรูปเป็นระยะ นทีจึงบอกให้ข้าวโพดกับเบสล่วงหน้าไปก่อน
“กระต่ายน่าจะอยู่ในกลุ่มสัตว์ตัวเล็ก ไม่ก็น่าจะอยู่กับกวาง” ข้าวโพดเดา
“ดูไปเรื่อย ๆ ก็ได้” เบสชี้ไปที่จุดที่เป็นอาคารจัดแสดงสัตว์กลางคืน “ไปดูที่นี่กัน”
ข้าวโพดพยักหน้า แล้วหันไปบอกนทีว่าจะไปดูสัตว์กลางคืน นทีทำมือโอเค แล้วหันไปถ่ายรูปให้นานาอย่างตั้งใจ
เบสไม่ได้ตรงไปที่อาคารส่วนจัดแสดง แต่เดินดูไปเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อน จนกระทั่งมาถึงส่วนจัดแสดงเมื่อเปิดเข้าไปภายในอาคาร นอกจากเจ้าหน้าที่ ที่ประจำอยู่ตรงจุดด้านหน้าแล้วก็ไม่เห็นว่ามีนักท่องเที่ยวคนอื่น
เพราะเป็นสัตว์กลางคืน จึงตกแต่งด้วยหลอดไฟให้ความสว่างเฉพาะจุดที่เป็นป้ายให้ข้อมูลทางวิชาการด้านหน้าตู้เลี้ยง กับแสงไฟริบหรี่ตามทางเดิน
ข้าวโพดรู้สึกถึงเข็มเล่มเล็กเหนือหัวใจอุ่นขึ้นเล็กน้อย
...น่าจะเป็นการส่งสัญญาณเตือน
แต่สัญญาณนั้นหยุดลงทันทีที่เบสหันมามอง
มองตรงจุดที่เข็มเล่มนั้นถูกฝังอยู่ ข้าวโพดจึงเบี่ยงตัวหันข้างให้แล้วเดินไปก้มหน้าอ่านป้ายข้อมูลทางวิชาการ
“งูหลามแอฟริกา โห นายมาไกลนะเนี่ย”
“นางต่างหาก เขาเป็นผู้หญิง” เบสบอกขณะที่ก้าวมายืนข้าง ๆ
“รู้ได้ไง”
“รู้สิ เขาสวยขนาดนั้น”
ข้าวโพดหันไปมองงูตัวใหญ่ในตู้กระจกแล้วส่ายหน้า “ก็ดูเหมือน ๆ กันหมด แต่ก็ขอโทษนะเธอ ที่เรียกผิดคิดว่าเป็นผู้ชาย”
เบสหัวเราะ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “เขาเป็นผู้ชายน่ะถูกแล้ว”
“อ้าว เราก็หลงเชื่อ”
“แต่ที่จริงเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเขาหรือเธอ”
“อะไรเนี่ยเบส” ข้าวโพดบ่นแล้วหันมาอ่านข้อความที่ป้ายด้านหน้าตู้อีกครั้ง “เป็นตัวเมีย อย่างที่เบสบอกตอนแรกน่ะถูกแล้ว”
เบสยิ้มพลางพยักหน้า ทั้งหันไปส่งยิ้มให้กับงูตัวใหญ่ในตู้กระจกแล้วเลยไปที่ตู้ถัดไป
ข้าวโพดหายใจเข้าช้า ๆ รู้สึกได้เองว่าอาการประหม่าหายไป มีความมั่นใจว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ดีขึ้น
เบสหันมายิ้มแล้วเดินนำเข้าไปด้านใน จนถึงส่วนที่จัดแสดงแมงมุม
ที่นี่เงียบมาก ไม่มีแม้แต่เสียงเคลื่อนไหวใด ๆ จนกระทั่งเบสเดินเข้าไปใกล้แล้วแตะมือที่กระจกหนา
ด้านหลังกระจกคือแมงมุมตัวใหญ่ สีดำ-น้ำตาล
ข้าวโพดก้มลงอ่าน “ทารันทูล่า”
เบสพยักหน้า แต่ยังไม่ละมือจากกระจก
“เบสระวัง อย่าเอามือไปแตะกระจก”
เบสยิ้มอ่อนขณะที่ลดมือลง “ทารันทูล่าไม่ได้ฆ่าใคร แต่จะทำให้เจ็บปวดจนอยากตายมากกว่ามีชีวิตอยู่”
“ทารันทูล่าไม่ได้เป็นสัตว์กลางคืนทำไมเอาเขามาอยู่ที่นี่ น่าจะเรียกตรงนี้ว่าส่วนจัดแสดงสัตว์มีพิษมากกว่าสัตว์กลางคืนนะ”
“เพราะกลางคืนเป็นสัญลักษณ์ของความไม่รู้ พอไม่รู้ก็กลัวไง”
ข้าวโพดพยักหน้าคล้อยตาม “แต่เด็กนักเรียน ถ้ามาดูแบบนี้เขาอาจจะจำไปแบบผิด ๆ ก็ได้นะ”
เบสหยุดยืนอยู่ที่ตู้กระจกมองแมงมุมสีดำสนิท เครื่องหมายรูปนาฬิกาทรายสีแดงเด่นชัด
“แมงมุมแม่ม่ายดำ” ข้าวโพดอ่านป้ายข้อความด้านหน้าตู้ “อา...จักรวาลแห่งมาร์เวล”
เบสมีอาการเหมือนหลุดออกมาจากบางสิ่งหันมามองหน้าข้าวโพดงง ๆ “ข้าวโพดพูดอะไร”
“ก็แมงมุมแม่ม่ายดำ อเวนเจอร์ สกาเล็ตต์ โจแฮนสันไง”
เบสส่ายหน้าให้กับข้าวโพด “อยู่ดี ๆก็พูดถึงหนัง”
“ออกจะเข้ากัน” ข้าวโพดชี้ไปที่แมงมุมตัวใหญ่ในตู้กระจก “สวย แต่พิษร้าย เห็นแล้วเข้าใจเลยว่าทำไมถึงต้องเป็นสกาเล็ตต์”
เบสหันมากลอกตามองบน ที่ดูยังไงก็คือเบสกำลังคุยกับแมงมุมในตู้เกี่ยวกับมนุษย์ที่พูดไร้สาระ
“นี่เรากำลังชมเธออยู่นะ สกาเล็ตต์”
“เธอไม่ได้ชื่อสกาเล็ตต์”
“แล้วชื่ออะไร”
เบสหันมาทันที “ชื่อ...จะไปรู้ได้ไง”
ข้าวโพดหัวเราะ เดินต่อไปที่ล็อกถัดไปซึ่งเป็นค้างคาวที่อยู่ไม่ถึง 5 ตัวในตู้ขนาดใหญ่
“นี่สิ ตัวนี้ถึงจะเรียกว่าสัตว์กลางคืนตัวจริง”
เบสไม่มีความเห็นอะไร เดินผ่านออกมาเฉย ๆ จนข้าวโพดต้องหันกลับไปมองทางที่ไปยังตู้กระจกของบรรดาแมงมุมอีกครั้ง
เมื่อออกมาที่ด้านนอกนทีกับนานาก็มาถึงพอดี แต่พอทั้ง 2 คนรู้ว่าข้างในมีอะไรก็ไม่เดินเข้าไปดู แต่เดินต่อไปที่สวนกวาง และตรงไปที่ทางออกของสวนสัตว์ กว่าจะมาถึงก็คือได้เวลาปิดสวนสัตว์พอดี และเหลือเวลาอีกประมาณ 1 ชั่วโมงก็จะถึงเวลาปิดสวนสาธารณะ ทั้งหมดจึงชวนกันออกไปที่ร้านอาหารตามที่นทีอีกครั้ง
“หาในกูเกิ้ลอีกหรือเปล่า” ข้าวโพดถาม
“ใช่” นานาบอก “เพิ่งหาเมื่อกี้นี้เอง พิมพ์ร้านอร่อยใกล้ฉัน”
“อยากกินกุ้งถัง หมูกระทะ หรือสเต็ก” นทีภูมิใจนำเสนอ
“สเต็ก” เบสเลือก
“ได้เลย” นทีแชร์แผนที่ไปร้านเข้าโทรศัพท์ของข้าวโพด แล้วให้นานาขับรถตามมา
เพราะเป็นร้านสเต็กจึงมีเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ แต่ทั้ง 3 หนุ่มสั่งเบียร์คนละขวด ขณะที่นานาสั่งน้ำอัดลม
“ทำไมนทีไม่เรียนขับรถ จะได้ขับรถให้นานา” เบสถาม
นทียอมรับแต่โดยดี “มึงเข้าใจไหมเบส ว่าคนเราเนี่ย มันสามารถทำอะไรได้ร้อย พัน หมื่น แสนอย่าง แต่มันจะมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ให้ทำยังไงก็ไม่ได้”
“หมายถึงเคยไปเรียนแล้ว แต่ไม่ได้น่ะหรือ”
“ฮื่อ” นานาบอก “แค่ขับไปตรง ๆ ก็ยังแย่ ลงจากรถมาเหงื่อเปียกชุ่มหลังเลย ไม่รวมกับไปเบียดกำแพง ชนถังขยะ”
“ถ้ามันขนาดนั้นก็สมควรที่จะเหงื่อชุ่มหลังแล้วละ” เบสบอก
“มิน่า มึงถึงไม่เคยเล่าให้กูฟัง ว่าไปเรียนขับรถ”
“โห มึง ถ้าจะเล่าก็เล่าเรื่องดี ๆ ดีกว่าไหม” นทีบอก
“ทีเวลาที่มึงเล่าเรื่องใส่กางเกงในซ้ำกัน 7 วันไม่เห็นจะอาย”
ข้าวโพดเผาเพื่อนนิ่ม ๆทำให้นานาที่นั่งอยู่ข้างนทีขยับหนี ส่วนเบสที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ถอยหนีเหมือนกัน
“วันนี้เปลี่ยนแล้ว” นทีบอก “ไม่ต้องขยับหนีกันขนาดนั้นก็ได้”
เมื่ออาหารมาเสิร์ฟ สเต็กแบบดิบของเบสทำให้นานาและนทีหันมามองข้าวโพดพร้อมกัน แต่ข้าวโพดไม่ได้ทักอะไร ทั้ง 2 คนก็เลยชวนคุยเรื่องอื่น
“วันศุกร์นี้ ไปเลี้ยงวันเกิดไอ้เจษฎ์คณะวิศวะไหม” นทีถาม
ข้าวโพดส่ายหน้าตามคาด “ไม่ไปหรอก ศุกร์นี้กูมีนัดสู้กับมิสเตอร์วันอาย”
“อะไรนะ คนอะไร ทำไมชื่ออย่างนั้น” นานาไม่เข้าใจ
“ชื่อในเกมออนไลน์ไง” นทีบอก “เห็นว่าตัวจริงเป็นเด็กวิศวะ ม.เทคโนเยอรมัน ดวลกับไอ้ข้าวโพดมาหลายนัดแล้ว”
“ส่วนใหญ่ใครชนะ” นานาถาม
“เราชนะสิ”
นานามีสีหน้าไม่เชื่อ นทีก็เลยหัวเราะ ทำให้ทั้งนานาและเบสพลอยหัวเราะตามไปด้วย
“นี่ไม่เชื่อใช่ไหม”
ทั้ง 3 คนไม่ได้ตอบว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่นานาหันไปถามเบสว่า อาหารอร่อยหรือไม่ เบสพยักหน้า แล้วชวนคุยเรื่องอาหาร
ทำให้ข้าวโพดบ่นว่าทำไมถึงไม่มีใครเชื่อ
กว่าจะออกมาจากร้านก็เกือบ 2 ทุ่มทั้ง 2 คู่จึงแยกกันที่หน้าร้าน พอขึ้นรถได้ข้าวโพดก็บอกให้เบสหลับไปได้เลย แต่เบสนั่งนิ่ง ๆ มองตรงไปข้างหน้าโดยที่ไม่ได้พูดอะไร จนรถเลี้ยวเข้าบ้าน เบสถึงได้พูดขึ้น
“ข้าวโพดคิดว่าเราแปลกไปหรือเปล่า”
“ไม่นี่” ข้าวโพดตอบทันที
“ไม่คิดว่าแปลกหรือที่เรากินสเต็กแบบค่อนข้างดิบ”
“ไม่” ข้าวโพดย้ำคำเดิม “เรารักเบส เบสจะชอบอะไรก็ตามนั้นแหละ เราไม่มีหน้าที่ไปตัดสินว่ามันแปลกหรือว่าธรรมดา”
แม้ข้าวโพดจะไม่ได้หันไปมอง แต่จากหางตาก็ยังเห็นว่าเบสมีรอยยิ้มมุมปากแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เมื่อจะหันไปมองเต็มตา เบสก็ลงจากรถไปแล้ว
คืนนั้นเบสมานอนที่ห้องของข้าวโพดเหมือนในคืนก่อน และข้าวโพดที่ระวังเพราะกลัวว่าทำให้อีกฝ่ายเจ็บเพราะไปย้ำแผลก็ทำให้เบสอารมณ์ไม่ค่อยดี จึงพยายามเร่ง ทั้งยังมากกว่า 2 ครั้งที่เบสพยายามจะกัดริมฝีปากของข้าวโพด แต่ข้าวโพดก็หลีกเลี่ยงได้สำเร็จ
เลี่ยงได้สำเร็จ ทั้งทำให้เบสเสร็จไปก่อน แต่ตัวเองกลับเกิดอาการค้าง
และหลังจากที่ทำให้เบสเสร็จเป็นครั้งที่ 2 ข้าวโพดก็ขยับเข้าหาจากทางด้านหลัง เบสพยายามจะหมุนตัวกลับมา แต่คนที่อยู่ด้านบนกดข้อมือไว้แน่น ทั้งจูบไซ้ซอกคอ เมื่อเบสอ่อนลงก็เลื่อนมือลงมารูดให้
เป็นความพยายามที่ใช้เวลานานกว่าชั่วโมง จนหงาดเหงื่อสะท้อนแสงจันทร์เป็นสีเงิน
เบสเหน็ดเหนื่อยจนแทบขยับตัวไม่ไหว ยอมให้ข้าวโพดอุ้มไปล้างตัวแล้วกลับมาสวมชุดนอนให้จากนั้นก็หลับไปในทันที
ข้าวโพดจูบที่หน้าผากสวย
จะหลีกเลี่ยงการถูกกัดไปได้อีกสักกี่วัน...
...
(มีต่อครับ)

ออฟไลน์ MyTeaMeJive

  • MyTeaMeJive
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1894
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3313/-9
OWAZA ตอนที่ 14 (10/11/63)
«ตอบ #185 เมื่อ10-11-2020 12:26:48 »

(ต่อครับ)

จากถนนหลักเลี้ยวเข้าซอยมามากกว่า 15 กิโลเมตร ผ่านทั้งโรงงาน หอพัก ตลาดนัดทางแยกทางเลี้ยว ลุคและจัสตินก็เลี้ยวรถผ่านแนวรั้วทรุดโทรม กองดิน แล้วไปหยุดอยู่หน้าอาคารโรงงานร้าง
จากประสบการณ์ ผู้ที่พักในลักษณะนี้มักเป็นปีศาจหรือวิญญาณ 
แต่เจ้าพ่อมดไมค์ตนนั้น นำทางมาที่นี่
จัสตินลงจากรถแล้วกระชับดาบ 2 มือเตรียมพร้อมขณะที่เหลียวมองไปรอบ ๆ
จนถึงตอนนี้ชายชาวเยอรมันยังไม่มีคำถาม ส่วนลุคก็ยังไม่มีเวลาที่จะตอบ แต่นั่นไม่ได้ทำให้การทำงานมีอุปสรรค
ตั้งแต่ปากซอยมาจนถึงโรงงานร้างแห่งนี้ มีวิญญาณที่ทำหน้าที่เฝ้ามองอยู่ 3 ตน และในเวลานี้ทั้ง 3 ตนก็มารวมกันอยู่ตรงจุดที่เคยเป็นป้อมยาม
ส่วนภายในเขตโรงงาน ก็มีวิญญาณที่ลอบมองจากด้านหลังของต้นไม้ใหญ่ และในอาคาร แต่ทั้งหมดนี้คือวิญญาณที่ได้รับคำสั่งให้มาเฝ้ามอง ที่นี่ต้องมีหัวหน้าหรือนายวิญญาณที่ควบคุมวิญญาณเหล่านี้
แต่ลุคกำลังมองหาพ่อมดที่ชื่อไมค์ตนนั้น
ถ้านี่เป็นการหลอกล่อให้มาติดกับ ตอนนี้ทั้ง 2 คนก็เข้ามาติดกับแล้ว แต่ทำไมนายวิญญาณถึงยังไม่ปรากฏตัว
เมื่อลุคหันไปมองวิญญาณ 3 ตนที่ด้านนอกเขตโรงงาน ทั้งหมดก็หลบวูบไปอยู่ที่ด้านหลังเสาไฟฟ้าฝั่งตรงข้าม พอหันกลับมาหามองวิญญาณที่ในที่นี้ก็พากันถอยห่างออกไป
ลุครู้วิธีสร้างสร้างความไม่พอใจหลายร้อยวิธี แต่วิธีนี้ง่ายที่สุด
มีวิญญาณหญิงสาวตนหนึ่งหลบอยู่ใกล้เสาต้นแรกของลานจอดรถ ลุคใช้ปลอกข้อมือแอเรียสส่งเชือกไปมัดเธอไว้อย่างรวดเร็วแล้วดึงเข้ามาหา แต่เมื่อเข้ามาจนเหลืออีกเพียง 2 เมตรลุคก็ประกบนิ้วชี้และนิ้วกลางชี้ไปที่เธอแล้วส่งดวงวิญญาณของเธอออกไปในทันที
วิธีการนี้ยังได้ผลเหมือนเคย เพราะมีเสียงอื้ออึงที่เกิดจากความสับสนวุ่นวายดังขึ้นรอบตัว เมื่อวิญญาณที่ต้องการพ้นไปจากที่นี่ต้องการเข้ามาขอความช่วยเหลือจากลุค แต่ก็มีวิญญาณที่อยากออกไปแต่ยังหวาดกลัวผู้คุม และวิญญาณที่ขัดขวางดวงวิญญาณที่ต้องการขอความช่วยเหลือจากลุค
ที่หน้าต่างชั้นบนของอาคารโรงงาน มีเงาสีดำปรากฏขึ้น บรรดาวิญญาณทั้งหมดในที่นี้พากันถอยห่างออกไปอีกครั้ง
ลุคส่งเชือกจากปลอกข้อมือแอเรียสดึงวิญญาณที่อยู่หลังต้นไม้ใหญ่ออกมา เป็นวิญญาณชายวัยกลางคน ลุคส่งวิญญาณนั้นออกไปด้วยวิธีเดียวกัน
ร่างสีดำนั้นพุ่งตรงลงมาจากหน้าต่างชั้นบนของโรงงาน จัสตินเข้ามาขวางลุคไว้เพื่อหยุดร่างสีดำนั้น
เมื่อทุกอย่างสงบลงจึงมองเห็นร่างนั้นชัดขึ้น
นี่คือนายวิญญาณที่ลุคและจัสตินไม่เคยพบมาก่อน แต่มีสัญลักษณ์บางอย่างที่บ่งบอกว่า มีความเกี่ยวพันกับไมค์
จากวิญญาณที่มีพลังอ่อนด้อยจนถึงนายวิญญาณที่ถูกดึงลงมาอย่างง่ายดาย ทำให้คาดได้ว่าทั้งหมดนี้คือเบี้ยทหารเลวอีกตัวที่ซอว์นีย์วางไว้
แต่วางไว้เพื่ออะไร
ลุคต้องการจบเรื่องนี้ให้เร็ว
ดังนั้นซอว์นีย์จึงทำทุกอย่างเพื่อถ่วงเวลา!
เพื่ออะไร ในเมื่อพวกมันเข้าถึงตัวของเบสแล้ว!
สมองของลุควิ่งเร็วกว่าเดิมเมื่อนายวิญญาณที่ไม่รู้จักตนนั้นเอ่ยชื่อขึ้นมาก่อน
“ลุค เมอร์ฟี มือปราบแห่งวาติกัน”
“ไมค์ไปไหนแล้วล่ะ ถึงได้ทิ้งนายวิญญาณอย่างนายไว้ที่นี่”
“สำหรับมือปราบวาติกันที่ทำได้แค่ไล่จับวิญญาณอย่างนาย ไม่จำเป็นต้องให้ท่านไมค์ลงมาจัดการให้รองเท้าอันสวยงามของท่านต้องเลอะเทอะหรอก”
เสียง “เหอะ” ของจัสตินช่างเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม “นี่แสดงว่าไม่เห็นตอนที่ไอ้พ่อมดแมลงสาบนั่นวิ่งหนีพวกเรามาถึงที่นี่”
นายวิญญาณที่ชัดเจนว่าเป็นสมุนของพ่อมดแมลงสาบ...ไม่ใช่...พ่อมดที่ชื่อไมค์ เพราะมีสีหน้าท่าทางไม่พอใจอย่างชัดเจน
“พวกนายอยู่ที่นี่กันหรือ” คำถามของลุคดูเป็นมิตร “วิญญาณอยู่อย่างนี้ไม่แปลก แต่นายวิญญาณอยู่ที่นี่ด้วยมันดูอนาถาไปหน่อยนะ”
“แต่ฉันคิดว่า มือปราบลุคที่ใช้ถ้อยคำเสียดสีแบบนี้ดูอนาถายิ่งกว่าเสียอีก” พ่อมดไมค์ปรากฎตัวที่ประตูด้านหน้าของโรงงาน
แต่จากการหลบหนี และการที่ซ่อนตัวอยู่ใกล้ ๆ โดยที่ลุคและจัสตินไม่รู้ตัวต่างหากคือเรื่องที่ควรเป็นกังวลมากกว่าการต่อสู้กัน
ลุครอจนไมค์เดินเข้ามาอีกระยะหนึ่งแล้วจึงพูดขึ้น
“ไมค์ กาเล พ่อมดไร้ถิ่น ผู้หลบหนีออกจากฝรั่งเศสไปภักดีกับซอว์นีย์ แต่สุดท้ายก็เป็นได้แต่เบี้ยที่ถูกทิ้งลงมาให้เราต้องกำจัดออกไปจากเส้นทาง”
ไมค์ยกไม้กายสิทธิ์ขึ้นสูง พร้อมกันกับที่ปลอกข้อมือแอเรียสส่งกรงเล็บเหล็กขึ้นมาให้ใช้
นี่เป็นอาวุธโบราณของญี่ปุ่นที่เหมาะกับการต่อสู้แบบประชิดตัว
แต่เจ้าพ่อมดที่อยู่ข้างหน้ามีความถนัดเรื่องหนี
แอเรียสน่าจะมีปัญหาเสียแล้ว!
ลุคไม่มีเวลาให้วิเคราะห์อะไรมากมายนัก พุ่งตรงเข้าหาไมค์ แต่ไมค์เรียกก้อนหิน ก้อนกรวดรอบตัวขึ้นมาซัดตอบโต้เหมือนเม็ดฝน
กรงเล็บเหล็กประสานกันกลายเป็นโล่ขณะที่มือปราบในชุดหนังสีดำไม่ได้ลดความเร็วลงในการพุ่งตรงเข้าหาแล้ววาดมือออก กรงเล็บเหล็กกรีดชายเสื้อคลุมของไมค์ที่กระโดดถอยหลัง 
ลุคไล่ตามติด ไมค์เรียกวัตถุใกล้ ๆ ซัดเข้าใส่ลุคอีกครั้ง แต่เพราะเวลาอีกฝ่ายตามเข้ามาประชิดตัว วัตถุเหล่านั้นจึงหักเปลี่ยนเส้นทาง
กระบวนท่ากรงเล็บเหล็กยิ่งต่อสู้ยิ่งรวดเร็ว และหนักหน่วง
ขณะเดียวกัน จัสตินหันไปต่อสู้กับนายวิญญาณผู้มีศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยมต่อไมค์ แต่สิ่งที่นายวิญญาณผู้นี้ทำก็คือการถอยไปด้านหลังแล้วเรียกวิญญาณเหล่านั้นเข้ามารุมล้อมจัสติน
แต่วิญญาณเหล่านี้แทบไม่มีพลัง เพราะไม่มีความเคียดแค้น ไม่มีความหวงแหน หรือรู้สึกว่าลุคและจัสตินคือผู้บุกรุกที่ต้องขับไล่ออกไป
นี่จึงไม่ต่างจากการโยนตุ๊กตาหมีขนฟูใส่จัสติน
นายวิญญาณกางแขนออกกว้างแล้วเรียกพลังจากสิ่งมีชีวิตรอบตัวเข้ามาเสริมเพื่อให้วิญญาณเหล่านี้กล้าแข็งขึ้น และตรงเข้ามาสู้กับจัสติน
จัสตินคือผู้พิทักษ์ ไม่ใช่มือปราบ เมื่อเผชิญกับคู่ต่อสู้ สิ่งที่จัสตินทำคือการ ‘กำจัด’ ไม่ใช่การส่งไปยัง ‘อีกฝั่งหนึ่ง’ อย่างที่ลุคทำ
เสียงของวิญญาณที่กรีดร้องอย่างโหยหวน ดังก้องไปทั่วบริเวณ กระแสลมวนหมุนอยู่รอบตัวของจัสตินและเหล่าวิญญาณ
“จัสติน!” ลุคร้องเตือน
จะอย่างไรวิญญาณเหล่านี้ก็ไม่ได้เต็มใจที่จะรับการจองจำไว้ที่นี่ การทำแบบนี้คือการลงโทษเหยื่อชัด ๆ
เมื่อลุคหันไปเตือน ไมค์ก็ฉวยโอกาสหลบหนีไป ลุคจึงหันมาเรียกเชือกส่งวิญญาณจากปลอกข้อมือแอเรียส พุ่งเข้าหาวิญญาณที่อยู่ในสถานที่นี้
จัสตินหันไปสู้กับนายวิญญาณที่เฝ้าสถานที่นี้ ขณะที่เชือกสีขาวมัดวิญญาณเหล่านี้ไว้ด้วยกันทั้งหมด ลุคร่ายคาถาส่งวิญญาณทีละดวง แล้วจึงกลับมาหานายวิญญาณ
จัสตินก้าวถอยออกมาด้านหลัง เป็นผู้สนับสนุนให้ลุคเป็นผู้ต่อสู้กับนายวิญญาณ แต่เพียงแค่กระบวนท่าแรกกรงเล็บเหล็กก็สร้างบาดแผลตั้งแต่ไหล่ซ้ายลงมาถึงเอวขวา
นายวิญญาณซวนเซทรุดตัวลง กระอักเลือดออกมาครั้งหนึ่งร่างกายก็หลอมเหลวลง จนกลายเป็นเลือดเนื้อกองหนึ่งจากนั้นก็ละลายและไหลซึมลงสู่ผืนดิน
ลุคเข้าไปสำรวจในอาคารร้าง พบการเขียนสัญลักษณ์ไว้ในห้องต่าง ๆ ทั้งกางเขนกลับหัว ตัวเลข และดาวปีศาจ 5 แฉก ส่วนในห้องที่คาดว่านายวิญญาณยืนอยู่เมื่อครู่พบภาพของสัตว์มีพิษหลายชนิดอยู่ในห้องนั้นทั้งงู ค้างคาว และแมงมุม
ลุคบันทึกภาพทั้งหมดไว้ในความทรงจำแล้วหันมาพยักหน้ากับจัสติน จากนั้นก็เดินนำลงมาก่อน สตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่แล้วขับออกไป
นาทีถัดมาจัสตินจึงเดินตามลงมา แล้วขับรถตามออกไป เมื่อรถพ้นแนวรั้วโรงงาน มีไฟลุกไหม้จากภายในโรงงาน ผู้ที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงรีบโทรแจ้งเหตุไฟไหม้ แต่ไฟนั้นโหมไหม้อย่างรุนแรง เจ้าหน้าที่พยายามควบคุมเพลิงจนถึงเช้า ไฟจึงสงบลง
แต่โรงงานนั้นก็ถูกไฟเผาทำลายไปทั้งหมดแล้ว
...
ลุคขี่รถมอเตอร์ไซค์ตามรอยของไมค์ไปจนถึงคฤหาสน์หลังใหญ่ บริเวณรอบบ้านหลังนี้คือทุ่งหญ้า และป่ากก
พลังที่ปกคลุมบ้านหลังนี้คือพลังของกลุ่มซอว์นีย์อย่างชัดเจน
เป็นอีกครั้งที่กลุ่มซอว์นีย์ท้าทายให้มาต่อสู้กัน และในขณะที่ลุคขยับข้อมือแล้วปลอกข้อมือแอเรียสส่งดาบยาวแบบฝรั่งเศสออกมาให้ใช้ จัสตินก็ตามมาถึง
ชาวชาวเยอรมันมองดาบยาวในมือของลุคแล้วหันไปมองในบ้าน
“พร้อมแล้ว”
ทั้ง 2 คนกระโดดข้ามรั้วสูงเข้าไปในบ้าน เท้ายังไม่ทันจะแตะพื้น ฝูงแมลงมากมายก็บินเข้ามาปะทะ ดาบในมือของลุค อาบย้อมด้วยลูกไฟเมื่อวาดออกไปก็เผาแมลงทั้งหลายร่วงลง
เมื่อเท้าแตะพื้น ทั้งคู่ก็ดีดตัวพุ่งตรงเข้าไปถึงหน้าประตูบานใหญ่ ถีบบานประตูนั้นจนพังลง แล้วก้าวเข้าไป
สัญลักษณ์ดาวปีศาจห้าแฉกสีดำปรากฏชัดที่พื้นกลางห้อง ลุคร่ายคาถาขณะที่ปักดาบลงตรงจุดกึ่งกลาง เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นรอบตัว สร้างแรงกดดันให้คนได้ยินต้องคุ้มคลั่ง แต่จัสตินรีบประกบนิ้วชี้และนิ้วกลางเขียนรูปเครื่องหมายกางเขน สร้างเกราะคุ้มครองให้ลุคและตนเอง
ในความเป็นจริงเสียงกรีดร้องโหยหวนยังคงดังอยู่ เกราะนี้ช่วยลดระดับเสียงและผลกระทบจากเสียงนั้นลงไปมาก แต่กลับทำให้รับรู้การเคลื่อนไหวรอบตัวได้ชัดเจนกว่าเดิม โดยเฉพาะจำนวนค้างคาวภายในห้องโถงกลางที่เพิ่มมากขึ้นในทันที และพ่อมดไมค์ที่เรียกได้ว่า ‘วิ่ง’ ลงมาจากชั้นบนของบ้าน พร้อมกับการร้องตะโกนด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ลุค เมอร์ฟี่!”
ไม้กายสิทธิ์ในมือยกขึ้นสูง เรียกค้างคาวในห้องเข้ามาโจมตีทั้ง 2 คน
ค้างคาวที่พุ่งตรงเข้ามาเมื่อกระแทกกับเกราะคุ้มครองบ้างก็ร่วงลง บ้างก็กระเด็นกลับไป แต่ทั้งหมดจะบุกโจมตีเข้ามาใหม่
ค้างคาวเหล่านี้มีจำนวนมาก ทั้งยังอยู่ในเขตอำนาจของไมค์ จัสตินไม่สามารถใช้เกราะคุ้มครองอีกฝ่ายได้นานนัก แต่ก็ไม่สามารถเร่งให้ลุคจัดการทำลายเครื่องหมายที่พื้นได้เช่นกัน
ลุคไม่ได้สนใจความเคลื่อนไหวรอบตัว น้ำเสียงในการท่องคาถาเร่งขึ้น และหนักแน่นกว่าเดิม จากนั้นใช้คาถาล้างเวทย์มนตร์พร้อมกับลากปลายดาบไปตามภาพสัญลักษณ์ที่พื้น
ลายเส้นสีดำเปลี่ยนเป็นสีขาวกระทั่งสัญลักษณ์ดาวปีศาจห้าแฉกสีดำเปลี่ยนเป็นสีขาว แล้วลุกขึ้นยืนภาพสัญลักษณ์เลือนหายไป
จัสตินลดเกราะคุ้มครองลง ลุคก็กระโดดเข้าหาพ่อมดไมค์ อาวุธในมือกลับกลายเป็นกรงเล็บเหล็กฟาดเข้าใส่ค้างคาวที่พยายามเข้ามาขัดขวาง
จัสตินใช้ดาบในมือฟาดฟันใส่ฝูงค้างคาวอย่างรวดเร็ว ทุกตัวที่ถูกดาบจะร่วงลงเมื่อกระทบพื้นก็สลายไป เสียงกรีดร้องรอบตัวค่อย ๆเงียบลง
เหลือเพียงเสียงร้องตะโกนของไมค์ที่พยายามข่มขู่คู่ต่อสู้ ทั้งที่กำลังถอยกรูดไปจนเหลือเพียงก้าวเดียวก็จะติดกำแพง ลุคตามติดแล้วแทงผ่านซี่โครงผ่านอวัยวะภายใน 
กรงเล็บเหล็กยาวทะลุด้านหลังของไมค์สัมผัสกับผนังห้องพอดี
ดวงตาของพ่อมดเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อในทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น
มือปราบผู้นี้สามารถค้นหาและกำจัดพวกเขาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เขาก็ไม่ได้ทำ...
หรือว่าที่ลงมือในวันนี้ก็เพราะ...
การแทงในตำแหน่งนี้ไม่ได้ทำให้ตายในทันที แต่ทำให้หายใจลำบาก ร่างกายไม่มีแรง เมื่อลุคดึงกรงเล็บเหล็กออก ยังเห็นเลือดที่พุ่งตามกรงเล็บออกไป ทั้งยังสำลักเลือดออกมาอีกก้อนหนึ่ง จากนั้นจึงค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่งพิงผนัง ดวงตาเริ่มพร่ามัวลงในตอนที่มองตามการเคลื่อนไหวของมือปราบก้มลงดึงไม้กายสิทธิ์ออกมาจากมือแล้วหักครึ่ง ทั้งใจดีวางคืนให้บนหน้าขา
กรงเล็บเหล็กที่อาบเลือดวางลงบนศีรษะ หยดเลือดสัมผัสที่หน้าผาก ไหลผ่านแนวจมูก แล้วหยดลงปลายคาง
ไม่น่าเชื่อว่าการแทงเพียงครั้งเดียวจะทำให้กรงเล็บเหล็กต้องอาบเลือดได้มากถึงเพียงนั้น
แต่ความร้อนที่เกิดขึ้นทันทีนั้นต่างหากที่สร้างความทรมานอย่างถึงที่สุด ทั้งยังรับรู้ได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่ความร้อนที่เกิดขึ้นจากศีรษะลงมาจนถึงปลายเท้า ไฟที่เริ่มเผาไหม้จากเส้นผม ผิวหนัง กระดูก
จนกระทั่งลมหายใจสุดท้าย ไมค์ก็ยังไม่เชื่อว่าหลังจากที่ต้องใช้ชีวิตผ่านการหลบหนี และการทรยศหักหลังมาอย่างยาวนานจะต้องมาจบชีวิตด้วยน้ำมือของมือปราบวาติกันในลักษณะนี้
ลุคและจัสตินยืนมองจนกระทั่งร่างนั้นเผาไหม้ไปจนหมดจึงเดินสำรวจไปทั่วบ้าน เพื่อทำลายเครื่องรางที่อาจหลงเหลืออยู่
ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้เวลามากอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะลุคยืนยันให้ตรวจสอบซ้ำถึง 3 รอบ ก่อนที่จะออกมาจากบ้านหลังนั้น
หลังจากที่เสร็จเรื่องลุคและจัสตินกลับไปที่บ้านพักหลังหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้ร่มไม้ครึ้ม
จัสตินทำอาหารง่าย ๆ ระหว่างที่รอลุคอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ทำเสร็จก็วางไว้บนโต๊ะแล้วยืนกินส่วนของตนเองในครัว เสร็จแล้วก็ไปอาบน้ำ เมื่อกลับออกมาอีกครั้งเห็นลุคยังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ไม้ตัวยาว หันหน้าออกไปข้างนอก ขณะที่ปลอกข้อมือแอเรียสถอดวางอยู่ที่โต๊ะตัวเล็กข้างตัว ส่วนในมือถือขวดน้ำเปล่า
“ทำไมยังไม่ไปพัก” ลุคถามทั้งที่ไม่ได้หันมามอง
“กำลังจะพัก”
ลุคหันมามองหน้า จัสตินก็เลยชี้ไปที่เตียงไม้ในห้องที่สมควรจะเป็นห้องรับแขก แต่บ้านนี้ไม่มีห้องรับแขก มีแต่เก้าอี้ตัวยาวที่ลุคนั่งอยู่ กับเตียงไม้ตัวนี้ แล้วก็ห้องครัวที่ไม่มีเก้าอี้
อ้อ...มีห้องนอนใหญ่และ ห้องน้ำอยู่ที่ชั้นบน
“นายนอนตรงนั้นหรือ”
“ใช่”
ลุคพยักหน้า “ขอนั่งคิดอะไรตรงนี้อีกสักครู่”
จัสตินเดินมายืนเยื้องไปทางด้านหลัง ดวงตามองไปในทิศทางเดียวกันกับลุค
“เพิ่งรู้ว่านายรู้จักกังฟูด้วย”
ลุคส่ายหน้า “ไม่ใช่ฉัน” ปลายคางชี้ไปที่ปลอกข้อมือที่วางอยู่ “กรงเล็บเหล็กที่แอเรียสเรียกออกมาต่างหาก”
จัสตินหันมามองปลอกข้อมือ “นายไม่มีกรงเล็บเหล็กหรือ”
“ไม่มี” ลุคเงียบไปครู่หนึ่ง “ตอนแรกที่แอเรียสส่งกรงเล็บเหล็กออกมา ฉันก็แปลกใจ เพราะฉันไม่เคยสู้กับใครที่ใช้อาวุธ หรือมีเครื่องรางนี้ แต่พอสู้กับไมค์ก็เริ่มเข้าใจว่าทำไมแอเรียสถึงเลือกอาวุธนี้ออกมา”
จัสตินยืนกอดอกฟังลุคพูดเกี่ยวกับการต่อสู้ และวิชาที่เขาไม่เคยใช้มาก่อน
“นี่อาจเป็นอาวุธที่เจ้าของแอเรียสคนก่อนเก็บไว้”
“นายไม่ใช่เจ้าของแอเรียสคนแรกหรือ”   
“ฉันเชื่อมาตลอดว่าฉันคือเจ้าของคนแรก แต่หลังจากที่แอเรียสส่งหมุดเงิน กับกรงเล็บเหล็กออกมา ฉันก็เชื่ออย่างจริงจังมากขึ้น ว่าแอเรียสต้องเคยอยู่กับคนอื่นมาก่อน”
ชายชาวเยอรมันขมวดคิ้วแน่น เมื่อต้องทบทวนความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนานกว่า 350 ปีที่แล้ว
“แต่ที่ผ่านมา ที่เราสู้กับพ่อมด และปีศาจมานับครั้งไม่ถ้วน แอเรียสไม่เคยเรียกอาวุธที่ไม่ใช่ของนายออกมาเลยนะ”
ลุคยอมรับ และนั่นทำให้เขารู้สึกแปลก ๆกับปลอกข้อมือแอเรียสที่เป็นเครื่องรางประจำตัวมาอย่างยาวนานคู่นี้
ไม่ถึงกับไม่ไว้ใจ แต่หากแอเรียสส่งอาวุธที่ไม่รู้จักออกมาอีก แล้วยังเป็นผู้ควบคุมการเคลื่อนไหวของเขาอย่างที่กรงเล็บเหล็กควบคุมเขาในวันนี้ จะเกิดอะไรขึ้น
โดยเฉพาะหากในเวลาที่บลูกลับมาหา แล้วแอเรียสเรียกอาวุธออกมาเพื่อกำจัดบลู เขาจะทำอย่างไร
ปมปัญหาในอดีตที่พัวพันกันมาจนถึงปัจจุบันยากจะแก้ไข ตอนนี้ยังมีปัญหากับแอเรียสขึ้นมาเสียอีก
แต่ยังมีอีกเรื่องที่น่าจะจัดการได้
ซอว์นีย์...
“ก่อนนี้ฉันคิดว่าปีศาจที่กำลังพยายามกลืนกินเบสอาจอยู่ในประเภทเดียวกับปีศาจออร์ก้าจากไอริช”
จัสตินเลิกคิ้วสูง ลุคจึงอธิบายต่อ “เพราะเธอพยายามจะกัดข้าวโพด”
ออร์ก้าเป็นสตรี เธอแข็งแกร่งจนไม่ต้องอาศัยร่างของใคร ทั้งหากเป็นเธอจริง ก็น่าจะสูบเลือดและพลังชีวิตของเบสก่อน จากนั้นก็จัดการข้าวโพดเป็นรายต่อไป
“แอเรียสยังส่งหมุดเงินออกมาให้ใช้คุ้มครองข้าวโพด แทนที่จะให้เครื่องรางไปกำจัดปีศาจ และจากที่พวกเรากำจัดนายวิญญาณนั่น มาจนถึงไมค์ ฉันเชื่อว่า ปีศาจตนนั้นอาจเป็นสัตว์ร้าย”
“งู แมงมุม หรือค้างคาว อย่างนั้นซอว์นีย์ก็ไม่น่าจะอยู่ที่นี่”
“อาจอยู่หรือไม่อยู่ 50-50 พวกมันทิ้งเหยื่อลงมาทีละคน เพื่อศึกษาพวกเรา”
จัสตินใช้ลิ้นดุนแก้ม
ลุคบอกให้จัสตินไปพักผ่อน “เมื่อตื่นนอนเราจะกลับไปหาเครื่องหมายที่บ้านของผกากันอีกครั้ง และหลังจากนี้พวกเราอาจไม่ได้นอนอีกหลายวัน”

...จบตอนที่ 14...
ผมว่าเรื่องนี้ของป๋าก็มีความน่ากลัวและความสนุกสูสีกันดีนะ หวังว่าคุณผู้อ่านจะอ่านด้วยความสนุกสนานเช่นกัน
เข้าสู่หน้าหนาวแล้ว ดูแลสุขภาพนะครับ
น้ำชาครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-11-2020 12:31:55 โดย MyTeaMeJive »

ออฟไลน์ uniko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: OWAZA ตอนที่ 14 (10/11/63)
«ตอบ #186 เมื่อ10-11-2020 15:46:34 »

พี่ลุคคิกถึงน้องใช่มั้ย ตอนนี้เลยมาเร็ว


 :hao3:


แปะไว้ก่อน เดี๋ยวกลับมาอ่านจ้า

ออฟไลน์ uniko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: OWAZA ตอนที่ 14 (10/11/63)
«ตอบ #187 เมื่อ10-11-2020 21:22:02 »

ตอนนี้พี่ลุคก็เท่ห์อีกแล้ว   :katai2-1:




คราวนี้กำจัดสมุนพวกซอว์นีย์ไปได้หลายคนล่ะ แต่เหมือนเป็นแค่เหยื่อสังเวยถ่วงเวลาเลยอ่ะ  :ruready




ตอนที่แล้วอยากได้ปลอกข้อมือแอเรียส แต่อ่านตอนนี้แล้วแอบหลอนๆ เพราะแม้แต่พี่ลุคยังควบคุมมันไม่ได้แฮะ




อะไรกันนี่ๆๆๆ มาอีกหนึ่งปม :katai1:




เฮ้อ ดูเหมือนคู่ต่อสู้จะมีกำลังคนเยอะน่าดู การต่อสู้หลายร้อยปีจะสิ้นสุดลงได้จริงไหมนะ




เอาใจช่วยพี่ลุคกับน้องบลูให้ปลอดภัยกัน :call:




ขอบคุณพี่ไจฟ์น้องน้ำชา :pig4: เป็นกำลังใจให้เสมอค่า :3123:




ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: OWAZA ตอนที่ 14 (10/11/63)
«ตอบ #188 เมื่อ10-11-2020 22:10:59 »

ยังเดาไม่ถูกเลย

ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
Re: OWAZA ตอนที่ 14 (10/11/63)
«ตอบ #189 เมื่อ13-11-2020 09:38:41 »



ลองคิดว่ามันเป็นอนิเมะดูนะ มันต้องตื่นตากับฉาดความอลังของแสงสีต่างๆตอนสู้กัน เสียงตุ้มต้าม แฉ๊งฉ้าง อะไรงี้   :katai2-1:

ชักจะมีของมาให้สงสัยเพิ่มอีกแล้วว่าเจ้าของคนเก่า แอเรียส คือใครรร

แล้วบลูต้องหลบอยู่อีกนานแน่ กว่าจะจัดการหมดทุกคน เอะ หรือว่าบลูก็ไปจัดการคนอื่นๆได้


 o13 สนุกค่ะ  o13



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: OWAZA ตอนที่ 14 (10/11/63)
« ตอบ #189 เมื่อ: 13-11-2020 09:38:41 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: OWAZA ตอนที่ 14 (10/11/63)
«ตอบ #190 เมื่อ18-11-2020 19:51:47 »

ลุคอย่าเก็บตัวนานนะคะ..อ่านแล้ววาดภาพตามสนุกอะ

ออฟไลน์ MyTeaMeJive

  • MyTeaMeJive
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1894
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3313/-9
OWAZA ตอนที่ 15 (24/11/63)
«ตอบ #191 เมื่อ24-11-2020 13:53:15 »

ตอนที่ 15

   
ที่ต้นไม้ใหญ่ทางทิศเหนือของสุสาน มีนกฮูกสีเทาอายุมากตัวหนึ่งซุกตัวอยู่ในโพรงไม้ขนาดพอดีตัว มีใบไม้ กิ่งไม้ปิดซ้อนช่วยปิดบังแสงสว่าง
ในเวลากลางคืน เหล่าดวงวิญญาณล่องลอยอยู่ภายในสุสาน นกฮูกแก่ก้าวช้า ๆ ออกมาจากโพรงไม้ เพื่อหาอาหาร จากนั้นก็เกาะขอนไม้เหลียวมองไปรอบตัวแล้วหลับตาลงรับฟังเสียงรอบตัว
ยามดึกสงัด ได้ยินเสียงใบไม้ และเสียงสนทนากันของเหล่าวิญญาณเบาบางอยู่ในสายลม
จากที่ห่างไกล มีการเคลื่อนไหวผิดปกติกำลังตรงมาทางนี้
เป็นกลุ่มพลังงานที่พยายามปกปิดตนเองอย่างเต็มที่ แต่เจตนาร้ายที่เอ่อล้นออกมานั้นมีความชัดเจน จนทำให้วิญญาณในสุสานต่างขยับออกไปดู นกกลางคืนส่งเสียงร้องเตือน
นกฮูกแก่ลืมตาขึ้นมองก้าวขาขยับกลับไปในโพรงไม้ พลันสลายเป็นไอสีขาวพุ่งตรงไปในทิศทางตรงกันข้าม

ลุคสะดุ้งตื่นแล้วลุกขึ้นนั่งในสภาพที่หัวใจเต้นแรง มือทั้ง 2 ข้างกำลังสั่นด้วยความกังวล ความสับสน และความร้อนใจ
เมื่อเหลียวไปมองนาฬิกาที่เข้าสู่ตีสาม ก็ต้องรีบลุกขึ้นมาล้างหน้าแต่งตัว แต่ทุกสิ่งที่เห็นความฝันยังคงชัดเจน
ที่ห้องรับแขกชั้นล่างจัสตินที่เตรียมตัวพร้อมแล้ว กำลังยืนมองมาทางนี้
ท่าทางจะพร้อมมานานกว่า 3 ชั่วโมงแล้ว
“ขอโทษ ฉันไม่คิดว่าจะหลับไปนานขนาดนี้”
“นายตื่นเพราะฝันร้ายหรือ” จัสตินถาม
“ใช่” 
“อย่างนั้นก็ดื่มน้ำสักแก้วแล้วค่อยออกไปน่าจะดีกว่า”
น้ำแก้วนั้นไม่ได้ทำให้ภาพที่เห็นในความฝันจางลง แต่อย่างน้อยก็ทำให้สามารถจัดลำดับเรื่องที่จะต้องจัดการในคืนนี้ได้ดีขึ้น
บ้านของผกาและเบสตกอยู่ในความมืดสนิท
นี่เป็นเรื่องที่พอจะคาดเดาได้ เพราะเมื่อเจ้านายทั้ง 2 คนไม่อยู่ แล้วยังมีเรื่องแปลก ๆ หลายอย่างเกิดขึ้นกับคนที่ยังอยู่ในบ้าน โดยเฉพาะการที่แม่บ้านคนนั้นต้องตื่นขึ้นมาที่สนามหญ้าหน้าบ้าน ขณะที่ยามหลับสนิทไม่ได้รู้เรื่องอะไร ส่วนข้าวของในห้องของเจ้าของบ้านก็หายไป
ถึงอย่างนั้นลุคก็ยังไม่ไว้ใจแม่บ้านของผกา
คนที่ถูกส่งให้มาอยู่กับเป้าหมายคนสำคัญของเรื่องนี้ จะต้องไม่ใช่คนที่ถูกกำจัดอย่างง่ายดาย 
แต่ตอนที่มาถึงก็พบว่าไม่มีใครอยู่ในบ้านนี้จริง ๆ ทั้ง 2 คนสวมถุงมือยาง จากนั้นจัสตินก็ปลดล็อกประตูด้านข้างของบ้าน แล้วเดินนำเข้าไปก่อน
ในเวลาเกือบตี 4 ทั้งคู่เดินขึ้นไปสำรวจห้องด้านบนอีกครั้ง ห้องนอนและห้องแต่งตัวของของผกาโล่งไปมากเพราะลุคเผาของสะสมของเธอไปหลายชิ้น
แต่ถึงอย่างนั้นลุคก็ยังสำรวจอย่างละเอียด ถึงกับเลื่อนตู้ที่ตั้งไว้ชิดผนังออกมาดู และก้มลงไปสำรวจใต้ตู้ใต้เตียงด้วย
จัสตินเห็นอย่างนั้นก็หันไปรื้อลิ้นชักตู้ออกมา แล้วตรวจหาสัญลักษณ์ของพ่อมด หรือการบูชาปีศาจในบ้าน
ทั้งคู่จัดเป็นนักรื้อค้นระดับเซียนเพราะไม่ว่าจะรื้ออะไรออกมาก็จะเก็บกลับไปให้อยู่ในสภาพเดิมทุกอย่าง เพื่อที่เวลาที่เจ้าของบ้านกลับมาแล้วจะไม่พบความผิดปกติ
คำถามคือ พ่อมดหรือปีศาจที่ซ่อนสัญลักษณ์นี้ไว้ จะต้องมีความร้ายกาจขนาดไหนกันถึงสามารถลงสัญลักษณ์ที่ลุคและจัสตินหาไม่เจอ
ทั้งในห้องนอนของผกาและห้องนอนของเบส ไปจนถึงห้องพักแขก แม้กระทั่งห้องน้ำ ทั้งคู่ก็เข้าไปตรวจค้นแต่ไม่เจอ
จัสตินเอาลิ้นดุนแก้มขณะที่เดินตามลุคลงมาที่ชั้นล่างของบ้าน จากนั้นก็ส่ายหน้าให้กับตนเองเมื่อลุคชี้บอกให้จัสตินเข้าไปสำรวจจากครัวหลังบ้าน ส่วนตนเองจะสำรวจจากห้องรับแขกหน้าบ้านเข้ามา
ตลอดเวลาที่ทำหน้าที่นี้มาหลายร้อยปี นี่เป็นครั้งแรกที่ต้องสำรวจบ้านกันอย่างละเอียดขนาดนี้ และใช้เวลานานขนาดนี้
เวลาผ่านไปเกือบเที่ยงวัน ลุคยืนเท้าเอวหันไปมองทางห้องพักคนรับใช้ที่ด้านหลังบ้าน จากนั้นก็เดินนำไปก่อน ส่วนจัสตินก็ได้แต่เดินตามไปเหมือนเดิม
เป็นการค้นหาและจัดเก็บคืนไปที่เดิมซึ่งใช้เวลาทั้งสิ้น 24 ชั่วโมงพอดี ทั้งลุคและจัสตินต่างก็รู้สึกเครียด และเหนื่อย
“มันต้องอยู่ที่นี่สิ” ลุคพูดเสียงต่ำ ๆ ขณะที่มองไปรอบ ๆ แล้วเงยขึ้นไปที่หลังคาบ้าน
จัสตินกลอกตาอย่างประชดประชัน แล้วกระโดดขึ้นไปด้านบน แต่แค่แตะเท้าลงที่กระเบื้องหลังคาก็ต้องกลับลงมาในทันที
คนที่ดีใจคือลุค ที่ลอยตัวขึ้นสูงไปยังตำแหน่งที่จัสตินขึ้นไปดูเมื่อครู่
ชายชาวเยอรมันเรียกเกราะคุ้มครองบ้านหลังนี้ ขณะที่ลุคกำลังจัดการทำลายสัญลักษณ์ที่ถูกอยู่บนหลังคา
สัญลักษณ์ดาวปีศาจ 5 แฉกที่อยู่มุมหนึ่งของหลังคาบ้านมีขนาดเพียงครึ่งฟุตเท่านั้น แต่จากตำแหน่งนี้ถือได้ว่าชัดเจนเกินพอสำหรับการเป็นเป้าหมายของพ่อมดหรือแม่มดของกลุ่มซอว์นีย์ที่จะส่งวิญญาณหรือคาถามาที่นี่
มิน่าในตอนที่มาทำลายของที่ระลึกของผกาในรอบแรก พวกซอว์นีย์ถึงได้ยอมล่าถอยกลับไปง่ายนัก
ปลอกข้อมือแอเรียสส่งดาบออกมาให้ ลุคท่องคาถาแล้วปักดาบลงที่กึ่งกลางของสัญลักษณ์รูปดาว  มีป้ายโฆษณาขนาดใหญ่จากที่ไหนสักแห่งพุ่งเข้ามากระแทกเกราะที่จัสตินสร้างไว้ น้ำหนักและแรงกระแทกนั้นมีมากจนเกราะยุบตัวเข้ามาหา แต่ก็ดีดป้ายโฆษณานั้นกลับออกไป
จัสตินประสานนิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือทั้ง 2 ข้างเป็นรูปสามเหลี่ยม ขณะที่ท่องคาถาผู้คุ้มครองเพื่อเสริมความแข็งแรงให้กับเกราะ
พ่อมดผู้หลบซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งกำลังเรียกสิ่งของอีกหลายอย่างโยนเข้ามาที่บ้านหลังนี้อย่างต่อเนื่อง แต่จัสตินก็ส่งกลับคืนไปทางเดิมทั้งหมด จนกระทั่งเกราะทางทิศใต้เริ่มแตกร้าว ชายชาวเยอรมันจึงต้องเร่งเสริมเกราะทางนี้ แต่เกราะทางฝั่งตะวันตกก็เริ่มปริแตกออกอีกจุดหนึ่ง
ที่หลังคาบ้าน ประกายไฟเล็ก ๆ เริ่มขึ้นจากมุมหนึ่งของสัญลักษณ์รูปดาวแล้วลามไปจนเต็มรูปดาว จากนั้นจึงลามไปยังเส้นวงกลมที่ล้อมรอบอยู่ เปลวไฟนั้นแรงขึ้นวูบหนึ่งแล้วจางหายไป หลังคาบ้านกลับมาเป็นสีของกระเบื้อง ปราศจากร่องรอยที่บ่งชี้ว่าเคยมีการขีดเขียนสัญลักษณ์ไว้
ลุคหันกลับมาพร้อมกันกับที่จัสตินปลดเกราะคุ้มครองทั้งหมด
แม้ว่ายังมีสิ่งของมากมายที่พุ่งตรงเข้ามาหา แต่ลุคประสานดาบทั้ง 2 มือแล้ววาดออกอย่างรวดเร็ว สิ่งของเหล่านั้นพุ่งตรงกลับไปในทางเดียวกัน คือกลับไปหาผู้ที่ส่งมันมา
ลุคหันมาพยักหน้ากับจัสติน แล้วรีบออกมาขับรถจักรยานยนต์คันใหญ่ตามไปในทิศทางที่สิ่งของเหล่านั้นพุ่งตรงไปหา จนได้ยินเสียงโครมครามดังอยู่ไม่ไกลจึงเร่งเครื่อง
แต่เมื่อไปถึงก็พบเพียงขยะกองใหญ่ที่อยู่ในลานสนามกีฬาเก่า
ถึงจะไม่พบตัว แต่ทั้งลุคและจัสตินก็หันมายกนิ้วหัวแม่มือให้กัน 
...
หลายวันผ่านไป เพื่อนทุกคนในคณะเดียวกันก็เลิกถามแล้วว่า ตกลงข้าวโพดกับเบสคบกันจริงหรือเปล่า เพราะรวม ๆ แล้วทั้งคู่ก็ไม่ได้มีอะไรที่เปลี่ยนไปจากเดิม
ที่เปลี่ยนไปชัดเจนก็คือบรรดาเอฟซีของข้าวโพดแถวหน้าตึกเรียนที่พากันหายไปหมด
เช้านี้ พอทั้งคู่มาถึงคณะ ก็มานั่งอยู่ข้างกันที่หน้าตึกเรียนเพื่อรอเพื่อนที่ทยอยมาถึง 
ส่วนนที เช้านี้ซ้อนรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างมาถึงตึกเรียนแล้ว แต่ไม่ได้เดินเข้ามารวมกลุ่มเพื่อน ยังยืนรออยู่ห่าง ๆ จนเห็นรถของนานาผ่านไปที่ลานจอดรถข้างคณะก็รีบเดินไปหา
“โอเคไหม” นทีถามทันทีที่นานาเปิดประตูรถ
“โอเคสิ เราจะเป็นอะไรล่ะ” นานาสงสัย “แล้วมีอะไร ท่าทางมีความลับ”
นทีใช้วิธีดึงสายกระเป๋าสะพายของนานาให้เดินตามมาจนถึงมุมตึกก็ส่งตะกรุดข้อมือให้ แต่พอนานาจะรับมาชายหนุ่มก็เปลี่ยนเป็นผูกข้อมือให้เอง “เราขอพ่อมาให้เธอ”
นานายิ้มขำ ยอมให้นทีผูกข้อมือให้ “เพิ่งรู้ว่าเธอก็เชื่ออะไรแบบนี้”
“ก่อนนี้ก็เฉย ๆ นะ แต่หลังจากที่มีเรื่องอะไรแปลก ๆ ก็เลยขอพ่อมาให้เธอน่ะ” นทีชูข้อมือตัวเอง ขณะที่ใบหูแดงจัด “เราก็มีเหมือนกัน ถ้าใครถามก็บอกว่าเราให้ ใส่คู่กันนะ”
มันก็ถูกแล้วไม่ใช่หรือ แต่...
“ทีแรกก็อยากซื้อสร้อยข้อมือให้ ไปดูแล้วแหละ แต่พอจะกลับไปขอเงินแม่มาซื้อให้ เรารู้สึกแปลก ๆ ก็เลยคุยกับพ่อ พ่อบอกอันนี้ดีกว่า จะได้คุ้มครองด้วย” นทีหน้าเจื่อนลง ทำให้นานาหัวเราะ
“ขอบใจนะ ที่เป็นห่วง ช่วงนี้มีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นบ่อยจริงแหละ” และส่วนใหญ่จะเกิดกับเบส “แต่จะให้บอกคนอื่น จริง ๆหรือว่า เราใส่คู่กัน”
นทีลูบท้ายทอยพลางพยักหน้า “ถ้าเพื่อนถาม ขอให้เราเป็นคนตอบได้ไหม”
“มันก็ต้องอย่างนั้นอยู่แล้ว” นานาพยักหน้า “เราจะไปรู้เรื่องเครื่องรางของขลังของนทีได้ไง”
นทีขออนุญาตข้อที่ 3 “เราขอพักเรื่องเรียนขับรถไว้ก่อนได้ไหม ขอเว้นสัก เอ่อ 2 เดือนแล้วค่อยลองใหม่ อาจจะดีขึ้น”
“ตามใจเหอะ” นานาบอก “ไปได้หรือยัง จะเข้าเรียนแล้วนะ”
ตอนที่ทั้ง 2 เดินมาถึงเพื่อน ๆในคณะยังไม่ทันจะล้อ นทีก็รีบเดินไปหาข้าวโพด ที่ยืนรออยู่
“สายนะมึง”
“ไม่สายซะหน่อย อีกตั้ง 10 นาที” นทีบอก
แต่เพราะกลุ่มชายหนุ่มจะให้กลุ่มผู้หญิงเดินนำขึ้นบันไดไปก่อน และเพราะว่าสร้อยข้อมือตะกรุดที่ข้อมือของนานาไม่ได้เข้ากับบุคลิกและนิสัยของเธอเลยสักนิด ทำให้สร้อยนั้นโดดเด่นจนเพื่อนคนหนึ่งหันกลับมามองข้อมือของนที แล้วก็พากันชี้ จากนั้นก็หัวเราะ และพากันแซวว่า “นี่ถึงขนาดต้องเล่นของ มัดไว้ด้วยกันเลยหรือวะ”
“มึงอย่าทำเป็นพูดเล่นไป นี่ของศักดิ์สิทธิ์นะ พ่อกูให้มา”
“ชัดเลย ไปขอของพ่อมาให้แฟนนี่คือหมั้นกันเห็น ๆ”
“เร็วไป” นานาเตือนนิ่ง ๆ เพื่อนก็เลยเปลี่ยนไปแซวเรื่องอื่น
“ขอของพ่อมาให้แฟน แทนที่จะขอทองสัก 5 บาทไรงี้” เพื่อนอีกคนแซวขำ ๆ
“ทีแรกกูก็กะทำอย่างนั้นเหมือนกัน แต่กูยังไม่มีเงิน”
ทุกอย่างเป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ คือนทีทำหน้าที่ตอบคำถามของเพื่อน ขณะที่นานาได้แต่ยิ้ม
ส่วนเบสไม่ได้พูดอะไร แต่รอยยิ้มกดลึกที่มุมปากแบบนั้น ทำให้นทีจับข้อมือของข้าวโพดด้วยความกังวล
ข้าวโพดเองก็ไม่ได้รู้เรื่องพวกเครื่องราง และไม่ใช่นักเลงพระ แต่จากที่ได้คุยกับบลูและลุคมาก่อนหน้า ก็คิดว่า เครื่องรางของขลังน่าจะอยู่คนละสายกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้ 
รวมถึงบางสิ่งบางอย่างที่กำลังมีอิทธิพลกับเบสมากขึ้นเรื่อย ๆด้วย
“เพิ่งรู้ว่ามึงมาสายนี้ ไม่เข้ากับมึงเลย” ข้าวโพดพยายามบอกใบ้เพื่อน
“เปล่า” เพื่อนกันเข้าใจคำใบ้นั้น “กูไปถามพ่อว่าจะเอาอะไรให้...” นทีพยักหน้าไปทางนานาที่หันมามอง ส่วนเพื่อนคนอื่น ๆต่างก็หยุดคุยกันแล้วหันมาฟัง “แล้วพ่อกูเอามาให้ 2 เส้นกูเลยแบ่งให้...เส้นนึง”
ข้าวโพดไม่เข้าใจบางอย่าง “ทำไมมึงต้องเว้นวรรคด้วยวะ แค่เรียกชื่อแฟนมึงน่ะ”
“กูยังไม่ชิน” นทีเกาขมับตัวเอง ขณะที่หูแดงจัด
นานาเสียอีกที่ต้องหันไปสะกิดเพื่อนให้ขึ้นเรียน เมื่อแถวนักศึกษาเคลื่อนที่ไป ยังมีเสียงแซวจากใครบางคนในกลุ่มลอยมาให้ได้ยิน “เพิ่งสังเกตเหมือนกันนะเนี่ยว่านทีไม่เคยเรียกชื่อนานา”
อีกคนบอก “ขนาดชื่อยังไม่กล้าเรียก นานาเป็นโวลเดอร์มอร์หรือไง”
“บ้า” นานาบอก
เพื่อน ๆ แซวเรื่องนานากับนทีได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่กับคู่ของข้าวโพดกับเบสนี่ไม่รู้ว่าจะแซวอะไรดี ทั้งที่ทุกคนรู้ว่าข้าวโพดชอบเบสมานาน แล้วมาวันหนึ่งเบสก็ย้ายไปอยู่บ้านข้าวโพดเพราะที่บ้านมีปัญหา คือเข้าใกล้ชิดกันมากขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็น ๆ คบกันเห็น ๆ แต่ไม่รู้ว่าควรแสดงความเห็นยังไงดี
เพราะสาเหตุสำคัญคือเบสเปลี่ยนไปในแบบที่ทำให้ทุกคนรู้สึกกลัว และไม่อยากอยู่ใกล้นานนัก
เมื่อมาถึงหน้าห้องเรียน เบสไม่ได้เลี้ยวซ้ายเข้าห้องเรียน แต่เดินไปจนชิดราวระเบียง เพ่งมองไปที่ฝูงนกที่เกาะกิ่งต้นไม้ใหญ่ 
“ดูอะไรอยู่” ข้าวโพดถาม
เบสชี้ไปที่ฝูงนก “แถวนี้มีนกกาน้ำแดงด้วยหรือ”
“พวกมันหนีอากาศหนาวมาจากเมืองจีนน่ะ”
เบสพยักหน้า “อย่างนี้เอง” จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปในห้องเรียน
ข้าวโพดมองตามหลังคนที่เดินกลับเข้าเรียน แล้วหันไปมองฝูงอพยพ มองระดับความสูงของอาคารเรียน คิ้วเข้มขมวดแน่นขณะที่เดินตามมาเข้าห้องเรียน
ระหว่างที่นั่งฟังอาจารย์บรรยายจากหลังห้อง ข้าวโพดยกมือลูบตำแหน่งที่หมุดเงินเล่มนั้นฝังอยู่
เบสกลัวความสูง ขนาดที่ไม่กล้าเดินออกมาที่ระเบียงห้องนอนที่อยู่แค่ชั้น 2 แต่ห้องเรียนนี้อยู่ชั้น 5 เบสกลับยืนมองฝูงนกอพยพเหล่านั้นได้สบาย ๆ
คนที่อยู่ด้วยกันในเวลานี้ คือเบสที่ถูกครอบงำด้วยสิ่งลึกลับที่บลูและลุคกำลังต่อสู้อยู่ หรือเป็นคนอื่นที่มาสวมรอยเป็นเบสกันนะ...
เบสที่นั่งอยู่หน้าห้อง หันมามองข้าวโพด เมื่อสบตากันก็หันกลับไปมองหน้าห้องเรียนเหมือนเดิม
นทีสะกิดข้อศอกข้าวโพดทันที แต่ข้าวโพดยกนิ้วชี้แตะริมฝีปากเตือนว่าอย่าเพิ่งพูดอะไร
รอจนถึงพักเที่ยง ทั้ง 2 คนก็แยกไปช่วยงานที่อาคารกิจกรรมนักศึกษา
ที่ป้ายประกาศด้านหน้าของห้องสโมสรนักศึกษา ด้านหน้าอาคารมีกระดาษหลากสีติดอยู่ หนึ่งในนั้นเป็นของชมรม ‘หนูป่าในเมืองหลวง’ ที่เขียนถึงข้าวโพดว่าขอยกเลิกการติวภาษาอังกฤษในวันนี้ และขอให้ช่วยจัดของในห้องชมรมให้ด้วย เพราะประธานชมรมต้องไปซื้อของสำหรับจัดกิจกรรมพิเศษตอนเย็น
เมื่อขึ้นไปถึงหน้าห้องเจอกับรุ่นพี่ปี 3 อีกคนที่กำลังจะปิดห้อง แต่หันมาเห็นข้าวโพดกับนทีพอดี จึงบอกคร่าว ๆเกี่ยวกับงานที่ขอให้ช่วยจัดการในช่วงพักกลางวัน ว่าเป็นอุปกรณ์ที่ชมรม ‘อาสาพากันบันเทิง’ เอามาคืนแล้วทิ้งกระจัดกระจายอยู่ในห้อง จึงขอให้ช่วยจัดใส่กล่องกระดาษแล้วเขียนบอกไว้ที่หน้าด้านข้างของกล่องให้ด้วย เผื่อชมรมอื่นมายืมใช้ต่อจะได้หยิบได้ง่าย
“ส่วนพวกเครื่องดนตรีมีตะกร้าใส่ของอยู่แล้ว” รุ่นพี่บอกไว้แล้วก็รีบไป แล้วบอกว่าจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด
‘ชมรมหนูป่าในเมืองหลวง’ ก็คือชมรมของกลุ่มนักศึกษาที่มาจากต่างจังหวัดและรวมกลุ่มกันทำกิจกรรมช่วยเหลือกลุ่มเพื่อนที่มาจากต่างจังหวัดเหมือนกัน มีตั้งแต่ไปเล่นดนตรีเปิดหมวกรวบรวมค่าเทอม ค่าหนังสือ จนถึงรวมกลุ่มกันติวหนังสือ
ส่วน ‘ชมรมอาสาพากันบันเทิง’ เป็นชมรมที่มีกิจกรรมตามชื่อทุกถ้อยคำ หากชมรมใดจัดกิจกรรมแล้วต้องการคนไปสร้างเสียงเฮฮา ไปช่วยร้องเพลง สามารถเรียกพวกเขาไปเสริมให้งานครึกครื้นได้
แต่พวกเขาไม่ชอบการเก็บงาน ดังนั้นเมื่อชมรม ‘รักน้อง ต้องห่วงน้อง อย่าห่วงใคร’ จัดกิจกรรมในช่วงเช้านี้แล้วต้องการคนไปช่วยสร้างสีสัน พวกเขาก็พากันไปช่วย เสร็จแล้วก็พากันขนของมาคืนที่ห้องชมรม ‘หนูป่าในเมืองใหญ่’ ด้วยการทิ้งไว้เกลื่อนห้อง 
เมื่อเห็นสภาพห้องในวันนี้ นทีถึงกับส่ายหน้า
“ให้มันได้อย่างงี้สิ ไอ้พวกหนูนา ห่วงน้องพากันบันเทิง”
“หนูป่า” ข้าวโพดตบไหล่เพื่อน ที่ผสมชื่อชมรมจนกลายเป็นชมรมใหม่ “ปะ ของไม่ได้เยอะเท่าไหร่ แป๊บเดียวก็เสร็จ จะได้รีบกลับไปที่คณะ ไม่อยากฝากเบสไว้กับพวกนานานานเกินไป”
“ห่วงเบส หรือห่วงนานาถามจริง นานาแฟนกูนะ”
ข้าวโพดขว้างปอมปอมสีสดใสใกล้มือใส่นที “ทีอย่างนี้มาเรียกนานาแฟนกู ต่อหน้าเขาจะพูดชื่อยังไม่กล้า ไอ้หอยเอ้ย!”
นทีรับปอมปอมมาใส่กล่อง “ที่จริงกูก็เรียกชื่อเขานะ พวกมึงแหละล้อจนกูไม่กล้า”
ข้าวโพดยิ้มให้กับแผ่นกระดาษ ขณะที่เขียนข้อความ ‘กระดาษสี’ ไว้ข้างกล่องที่เก็บกระดาษสีไว้เต็มกล่องแล้วผลักเข้ามุมห้อง นทีก็ผลักกล่องที่ใส่ปอมปอมจนเต็มเข้ามาให้ ข้าวโพดเขียนข้อความใส่กระดาษอีกแผ่น ติดไว้ที่ข้างกล่องแล้ว วางเรียงต่อกัน
2 คนทำงานกันไปคุยกันไป
“แล้วตกลงเรื่องไอ้เบส นี่มันยังไงกันแน่วะ กูว่าพักนี้มันดูแปลก ๆ” นทีแยกกระโปรงที่ทำจากเชือกฟาง ออกจากกองปอมปอม แล้วใส่ที่กล่องอีกใบ “ที่ผ่านมาเบสมันไม่ใช่คนที่จะเครียดหรือดุใครแต่ไม่กี่วันมานี้มันดูเหมือนเป็นคนละคน”
“มันชัดขนาดนั้นเลยหรือ”
“ชัดสิ มึงเองก็เห็นว่ามันแปลกใช่ปะล้ะ มึงถึงเตือนกู ไม่ให้ทัก”
“กูไม่รู้หรอกว่า เกิดอะไรขึ้น แต่กูเป็นห่วง”
“อ้าว” นทีหน้าเหวอ
2 คนคุยกันแบบคนที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรสักอย่าง 
นทีสารภาพ “กูไม่อยากระแวงเบส แต่มันน่ากลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่วันที่มันอยากไปสวนสัตว์นั่นแล้ว กูจำได้นะ เรื่องที่มันที่มันไม่กินเนื้อวัวน่ะ แต่วันนั้นมันกินดิบ แล้วมึงคงไม่ได้สังเกต เบสมักจะชอบทำตาขวางใส่คนอื่น เหมือนมันไม่พอใจ มันโกรธ มีเรื่องที่มันไม่ชอบใจมาก ๆ มีความรู้สึกว่ามันพร้อมที่จะด่า หรืออาละวาดใส่คนที่ทำให้มันไม่พอใจได้ตลอดเวลา มันไม่เคยเป็นอย่างนั้นนะเว้ย เบสน่ะกับคนอื่นถ้ามันไม่ชอบ มันก็จะเดินหนี มีก็แต่กับมึงคนเดียวที่มันจะงอน จะโกรธ แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดพร้อมบวกขนาดนี้”
ข้าวโพดรับกล่องที่นทีใส่พวกกระโปรงฟาง กับหมวกมาแล้วเขียนกระดาษมาติดไว้ ยกขึ้นซ้อน แล้วหันไปคลี่กล่องกระดาษอีกใบส่งให้นที ส่วนตัวเองหันไปเรียงแผ่นชีทโค้ทใส่กล่อง
“กูอยากถามมัน ว่ามันมีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า แต่ก็แม่ง กลัวมันบวกว่ะ” ข้าวโพดหันมามองหน้า “กูหมายถึงถ้าจะบวกกับกู กูก็อยากรู้สาเหตุ แต่นี่มันไม่ใช่ ส่วนเรื่องตะกรุดที่ให้นานา ทีแรกกูก็อยากซื้อสร้อยข้อมือสวย ๆ ให้เขาน่ะแหละ ทีนี้จะไปขอเงินแม่มาซื้อของให้หญิงมันก็แปลกไปปะว้ะ กูก็เลยไปคุยกับพ่อ คุยไปคุยมา กูก็เล่าเรื่องบรรยากาศแปลก ๆ ในมหาวิทยาลัย พ่อกูก็จัดมาให้เลย เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเบสหรอก แล้วกูก็คิดว่าไม่ได้เกี่ยวกับที่เบสมันแปลกไปด้วย” นทีเอียงคอเพื่อนึกคำพูด “กูไม่รู้จะใช้คำยังไงถึงจะถูก รู้แต่ว่ามันไม่ปลอดภัย แล้วกูก็ไม่อยากอยู่เฉย พ่อให้มากูก็รับมาเลย”
นับว่านทีเป็นคนที่มีเซ้นส์แรงอยู่เหมือนกัน แต่เพราะเป็นเพื่อนกับเบส ก็เลยพยายามกันเพื่อนออกไปจากความรู้สึกผิดปกติเหล่านั้น
น่าเสียดายที่ข้าวโพดไม่มีคำตอบให้ ก็เลยเล่าเรื่องที่เบสเคยสงสัยเรื่องวิญญาณในมหาวิทยาลัย แต่ไม่ได้เล่าเรื่องป้ายประกาศ
“เรื่องผีในมหาวิทยาลัยนี่กูก็เคยได้ยินมาบ้าง ส่วนใหญ่ก็มาจากพวกที่ทำชมรมเลิกดึกเนี่ยแหละตัวดีเลย แม่งชอบเล่านัก” นทีตั้งข้อสังเกต “แต่จู่ ๆ เบสก็มาถามมึง ในเวลาเดียวกับที่มันเปลี่ยนไป แล้วกูก็รู้สึกว่าไม่ค่อยปลอดภัยหรือวะ”
“เบสไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ จู่ ๆ เขาก็สงสัย แล้วยังมีเรื่องที่บ้านเขาอีก”
“เออ กูว่าจะถามมึง แม่ของเบสเขาไปไหนวะ”
“กูก็ไม่รู้ ติดต่อไม่ได้”
“เรื่องใหญ่นะมึง แจ้งความหรือยัง”
ข้าวโพดส่ายหน้า “กูก็อยากทำอย่างนั้น แต่กูเป็นห่วงเบส”
“อะไรวะ” นทีไม่เข้าใจ “เพราะมึงห่วงเบส มึงก็ต้องไปแจ้งความที่แม่เขาหายไม่ใช่หรือวะ”
“กูก็อยากทำอย่างนั้น แต่ทุกครั้งที่ไปติดต่อกับที่บ้านเขา อาการของเบสจะแย่ลง” นทีถึงกับตาโตเมื่อข้าวโพดหลุดเรื่องนี้ออกมา แต่เพื่อการฟังอย่างราบรื่นต้องไม่ทัก ปล่อยให้ข้าวโพดเล่าออกมาเอง
“ตอนแรกเลยที่กูไปรับเขาที่บ้าน กูก็ไม่ได้รู้อะไร รู้แต่ว่าเบสไม่สบาย แล้วเขาก็มาโดยที่ไม่ได้บอกแม่ ยังคิดว่า แม่ลูกทะเลาะกัน พอมาถึงบ้านกู เขาก็ดีขึ้น แต่พอโทรศัพท์ไปบอกที่บ้านว่าจะไปเอาของที่ลืมไว้ เบสก็เริ่มไม่ค่อยดี แล้วแค่แวะหน้าบ้านเอาของที่แม่บ้านเขาเก็บไว้ให้ เบสก็ไม่สบายมากขึ้น ตอนที่ป่วยครั้งหลังสุด เขามาบอกกับกูทีหลังว่า เขาโทรกลับไปบ้านเพราะจะถามเรื่องแม่ จากนั้นเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป กูรู้ว่ากูต้องทำอะไรสักอย่าง แล้วทำอะไรล่ะ กูก็แค่นักศึกษาคนหนึ่ง รู้แต่ว่าเบสต้องอยู่ห่าง ๆ จากบ้านแล้วเขาจะดีขึ้น แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ทั้งที่เขาอยู่กับกูตลอด เขายังค่อย ๆเปลี่ยนไป กูไม่รู้ว่าความผิดพลาดมันอยู่ตรงไหน อะไรทำให้เขาเปลี่ยนไป แล้วก็กลัวว่าไอ้ความไม่รู้ห่าเหวอะไรสักอย่างของกูจะทำให้เขาแย่ลงไปกว่าเดิม ที่กลัวที่สุดคือกูกลัวว่าเขาจะหายไปอีกคนเหมือนแม่ของเขา”
นทีลูบหลังเพื่อนให้ใจเย็นลง “เออ กูเข้าใจแล้ว ขอโทษที่กดดันมึงมากไปหน่อย”
“เมื่อคืนนี้ กูถึงกับสะดุ้งตื่นกลางดึก แล้วเดินไปดูเขาที่ห้อง เห็นว่ายังหลับสบายถึงได้กลับมานอนต่อ”
นทีมองหน้าเพื่อน รับรู้ถึงความเครียด และความกังวลที่เก็บไว้ในใจ “ให้กูช่วยอะไรก็บอกนะ ให้กูย้ายไปนอนบ้านมึงอีกคนก็ได้ จะได้ช่วยกันดู”
“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก ลำพังแค่ที่มหาวิทยาลัย กับที่มึงไปเที่ยวด้วยกันก็ดีมากแล้ว ที่จริงกูก็รอพี่บลูเขากลับมา เขาน่าจะเป็นคนที่รู้เรื่องทั้งหมด และช่วยเบสได้ แต่เขาก็เป็นอีกคนที่หายไปเลย”
“อ้าวอะไรกันวะ” นทีผลักกล่องใบสุดท้ายให้ข้าวโพด แล้วหันไปยกกลองคองก้าไปไว้ที่มุมห้องอีกทาง “แต่ให้ยังไง กูก็ยังคิดว่า มึงต้องทำอะไรสักอย่างอยู่ดีแหละ ปล่อยไปเรื่อย ๆ รอไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ไม่ได้ เล่นหายไปแล้ว 2 คนอย่างนี้”
ข้าวโพดพยักหน้ายอมรับ หยิบแทมโบลีนไปใส่ตะกร้า แล้วมองหามาราคา “แต่ถ้าทำอะไรลงไปแล้ว มันส่งผลเสียกับเบส กูว่ารออีกหน่อยก็ได้”
   
(มีต่อครับ)

ออฟไลน์ MyTeaMeJive

  • MyTeaMeJive
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1894
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3313/-9
OWAZA ตอนที่ 15 (24/11/63)
«ตอบ #192 เมื่อ24-11-2020 13:57:44 »

(ต่อครับ)

อีกฝั่งหนึ่งของประตูห้องกิจกรรม เบสที่ยืนอยู่หน้าประตู ไม่ได้ผลักประตูห้องเข้าไป เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าขึ้นบันไดอาคารมาทางนี้ ก็เดินไปอีกทางหนึ่ง

“ไปเที่ยวกันไหม อย่างน้อยก็ได้เปลี่ยนบรรยากาศ” นทีชวน ขณะรื้อตะกร้าใส่แก้วน้ำพลาสติกแล้วหยิบมาราคาขึ้นมา “เหี้ยเอ้ย เอามาราคาใส่ในตระกร้าแก้วน้ำ มิน่ารุ่นพี่ถึงเกี่ยงให้มึงกับกูมาจัดของ”
“เอาแก้วไปล้างแล้วเอามาคว่ำวางไว้บนโต๊ะกลาง ให้พี่เขามาเก็บดีกว่า เกิดพรุ่งนี้เขาเอาไปให้น้อง ๆ ใช้จะพากันไม่สบาย”
นทีมีสีหน้าเบื่อหน่าย “น้องที่มึงพูดถึงน่ะ ปี 1 ไม่ใช่อนุบาล คงไม่ติดโรคมือเท้าปากแล้วละมั๊ง”
“เอาเหอะน่า เราจะได้ล้างมือล้างหน้าไปด้วยเลยไง” ข้าวโพดบอกแล้วเดินไปหยิบตะกร้าแก้วน้ำและมาราคาไปล้าง
   
ข้าวโพดกับนทีรีบลงมาจากอาคารกิจกรรม และเห็นว่าเบสยืนรออยู่หน้าอาคารอย่างที่โทรมาเรียกเมื่อ 1 นาทีก่อนจริง ๆ
“มีอะไรหรือมึง” นทีถาม “มาถึงที่นี่”
เบสทำปากยื่น “อยากกินซาลาเปาป้าแดงข้างตึกกิจกรรม”
“ห๊ะ อะไรนะ” นทีไม่อยากเชื่อ “โทรมาสั่งให้กูซื้อกลับไปฝากก่อนเข้าเรียนก็ได้ไหม”
“ก็อยากทำอย่างนั้นเหมือนกัน แต่นั่งรถรางตามมาดีกว่า อยากรู้ว่าทำอะไรกัน แต่รออยู่ตั้งนานไม่เห็นมีใครเดินขึ้นตึกสักที เลยโทรเรียกให้ลงมาหาดีกว่า”
นทีงงอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ร้องอ๋อ
เพราะเบสกลัวความสูง เวลาจะเดินขึ้นบันได เขาต้องเดินชิดผนัง แล้วให้เพื่อนหรือต้องมีคนอื่นเดินอยู่ด้านนอก
“อย่ามาฟอร์มอยากกินซาลาเปา มึงจะมาเช็คละสิ ว่าข้าวโพดมาหาใครแถวนี้”
“มีไหม” เบสหันไปหน้าตึงใส่ข้าวโพด
“ไม่มี” ข้าวโพดโบกมือวุ่นวาย “มาถึงก็ช่วยกับไอ้ทีจัดของลงกล่อง รุ่นพี่มาถึงก็สั่งเป็นชุดแล้วเขาก็ออกไปข้างนอก จะกลับมาตอนบ่าย”
เบสพยักหน้า นทีก็เลยแซว “แล้วตกลงซาลาเปาว่าไง”
“ก็...” เบส เคาะปลายเท้ากับพื้นถนน “งานเสร็จหรือยังล่ะ ถ้ายังไม่เสร็จเราขึ้นไปดูข้าวโพดทำงานได้ไหม”
“เหลือเก็บกวาดอีกนิดหน่อย” ข้าวโพดบอก “ขึ้นไปด้วยกันก็ได้”
เบสพยักหน้า เดินนำทั้ง 2 คนไปก่อนแล้วพอนึกขึ้นได้ก็รีบดึงมือข้าวโพดให้รีบเดินตามมา “เร็ว ๆสิเดี๋ยวก็หมดเวลาพัก”
นทีที่เดินตามรั้งท้าย แกล้งร้องว่าอยากกินซาลาเปาป้าแดง ทำให้เบสหันมาทำปากยื่นใส่
ระหว่างที่ข้าวโพดกำลังเช็คของในห้องอีกรอบ นทีก็เก็บกวาดฝุ่นผงในห้อง เบสเดินไปเกาะขอบหน้าต่าง มองออกไปที่ต้นไม้ด้านนอก ไล่ตามแนวต้นไม้ลงมาที่พุ่มไม้ด้านล่าง จากนั้นก็ถอยกลับมา ถึงได้เห็นว่าทั้งข้าวโพดกับนทีกำลังมองอยู่
“มองอะไร”
“ถ้ากลัว ก็อย่าฝืนเลย” ข้าวโพดบอก
“เดินมานั่งข้างในนี่” นทีบอก
เบสเดินมานั่งเก้าอี้ด้านในห้อง “เราอ่านในเว็บ เขาบอกว่ามันเกี่ยวกับความคิดล่วงหน้าของเราเอง”
“ยังไง” นทีถามขณะที่เทฝุ่นผงลงที่ถังขยะท้ายห้อง 
“ถ้าไม่คิดไปล่วงหน้า ไม่ตั้งใจ ก็ไม่เป็นไร”
“ยังไงนะ” นทีถามซ้ำ
“อย่างเมื่อกี้ พอมาถึงแล้วเงยหน้าเห็นระเบียงหน้าห้อง ไม่เห็นว่ามีใครขึ้นมาสักที เราก็เริ่มคิดว่าเราขึ้นมาคนเดียวไม่ได้หรอก ต้องขาสั่น ขึ้นมาไม่ได้ แล้วพอขึ้นมาบนนี้ มองออกไปข้างนอกก็ไม่ได้กลัว แต่พอเดินเข้าไปใกล้หน้าต่าง กลับเริ่มคิดว่าเราต้องกลัว เราก็กลัวขึ้นมาจริง ๆ” เบสสังเกตท่าทีของทั้ง 2 คน “หรือเราต้องลองใช้วิธีฮาร์ดคอร์ กลัวแต่ก็ต้องฝืนทำให้ได้แบบนั้น กลัวจนเลิกกลัว”
“เบสบอกว่า ถ้าไม่คิดไปล่วงหน้าก็ไม่เป็นไร เลือกวิธีนั้นดีกว่า เวลาที่เริ่มคิดกลัว ก็บอกตัวเองว่า ลองดูก่อน ถ้าไม่ไหวค่อยหยุด” ข้าวโพดแนะนำ หันไปมองรอบห้องว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี “เสร็จแล้ว ไปล้างมือล้างหน้าอีกรอบแล้วค่อยลงไปซื้อซาลาเปาแล้วกลับคณะกัน”
เบสเดินตามข้าวโพดออกไปรอบนอกห้อง ส่วนนทีบ่นว่าเพิ่งล้างมือไปตอนที่ล้างแก้วน้ำ จากนั้นก็เบ้ปาก
“ที่ต้องล้างมืออีกรอบก็เพราะเบสจะกินซาลาเปาละสิ”
“มึงจะไม่ล้างก็ได้ แต่ห้ามแดกซาลาเปา เดี๋ยวเชื้ออีโคไลระบาด”
“สัดเหอะ อีโคไล” นทีเถียงเพื่อนแต่ก็ยอมล้างมือตามที่เพื่อนบอก “เมื่อกี้คุยอะไรค้างอยู่นะ ก่อนที่จะมาถึงอีโคไลเนี่ย อ้อ กูจะบอกว่า เวลาที่มึงรู้สึกว่าไม่ไหวมึงก็โทรเรียกไอ้ข้าวโพดอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”
“เราไม่ได้โทรหาข้าวโพดทุกครั้งสักหน่อย” เบสเถียง
“แล้วเคยถึงกับเป็นลมไหม”
“ไม่เคย” เบสรู้สึกขำในความใส่ใจของนที “พอรู้สึกว่าไม่ค่อยดี จะหยุด ไม่ฝืน เราไม่ชอบถูกล้อเลียน”
“เข้าใจละ” นทีบอก “ถึงได้ไม่มีใครรู้”
“แล้วทำไมทีรู้”
“เพราะกูฉลาด” นทีเคาะที่ขมับตัวเองเบา ๆ “กูรู้จักคนที่กลัวความสูง ถึงจะไม่มากขนาดมึง แต่ก็เขาก็พยายามเลี่ยงคล้ายมึงนี่แหละ”
เบสหันมามองหน้า “แล้วตอนนี้เขายังกลัวอยู่ไหม”
เมื่อลงมาถึงชั้นล้าง ทั้ง 3 คนก็ตรงไปที่ร้านซาลาเปา ขณะที่การสนทนาเรื่องการกลัวความสูงยังไม่จบ
“ไม่รู้สิ ไม่เจอกันนานแล้ว ว่าแต่อาการนี้มันรักษาได้ด้วยหรือ”
“เราอ่านในเว็บ เขาว่าทำได้นะ”
“แล้วลองทำดูหรือยัง”
“ก็พยายายามอยู่ แต่ติดที่เราชอบคิดไปล่วงหน้านี่แหละ”
ข้าวโพดส่งซาลาเปาหมูสับลูกใหญ่ให้นที แล้วเป่าซาลาเปาหมูแดงที่เบสชอบ จากนั้นจึงส่งให้ รอจนเบสกัดคำแรกก็ถาม “อร่อยไหม”
เบสยิ้มแก้มพอง “อร่อย”
ระหว่างที่นั่งรอรถรางกลับไปที่คณะ เบสหันมาถามข้าวโพด “พรุ่งนี้จะมาที่ตึกกิจกรรมอีกหรือเปล่า”
“ไม่รู้สิ วันนี้ที่มาก็เพราะชมรมหนูป่านัดมาติวภาษาอังกฤษ แต่พวกเขามีกิจกรรมเย็นนี้ ก็เลยให้ช่วยเก็บของ”
“แล้วข้าวโพดก็เก็บของให้เขาจริง ๆ น่ะนะ” เบสมีน้ำเสียงห้วนขึ้นทันที แล้วก็เปลี่ยนเป็นทำหน้างอ “ก็เขานิสัยไม่ดี หลอกข้าวโพดมาทำงานนี่นา”
“เขามีกิจกรรม แล้วเราก็มาแล้ว เดี๋ยวเขาก็มาจัดการต่อ ไม่ได้เป็นเรื่องหลอกมาทำงานอะไรหรอก” ข้าวโพดคนดีบอก
“แล้วถ้าเขาโทรมาบอกให้มาช่วยอีกจะมาไหม”
“ดูก่อน” ข้าวโพดแบ่งรับแบ่งสู้
“เราอยากกินหมูกระทะ” เบสบอก “ครั้งก่อนโน้นที่ลองกินเนื้อวัว รู้เลยไม่ใช่ทาง ไม่อร่อยเลย วันนี้ไปกินหมูกระทะกัน”
ข้าวโพดพยักหน้าตามใจ ขณะที่นทีต้องพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้แสดงออกว่ากำลังรู้สึกเครียด
เมื่อรถรางใกล้เข้ามา นทีก็เห็นโอกาสดีที่จะได้ลดความเครียดลง “มึง ประธานเอ๋มาแล้วว่ะ”
ประธานเอ๋แห่งชมรมหนูป่าฯ ขนแพ็คน้ำขวดและแผ่นฟิวเจอร์บอร์ดขึ้นรถรางมาถึง ข้าวโพดกับนทีคนมีน้ำใจก็รีบเข้าไปช่วยยกของลงมา ส่วนเบสรีบขึ้นรถไปจองที่ แล้วนั่งมองทุกคนช่วยกันขนของลงจากรถไปพลางคุยกันไปพลาง
ข้าวโพดบอกว่า คราวหน้าถ้าจะขนของก็บอกได้ เพราะว่ามีรถ แต่รุ่นพี่บอกว่า ให้ 2 หนุ่มช่วยจัดของในห้องน่ะดีแล้ว
จากนั้นนทีก็รีบรายงาน ว่าจัดการของในห้องตามที่พี่ ๆ สั่งไว้เรียบร้อยแล้ว รวมเวลาทั้งหมดนี้ไม่เกิน 2 นาที 2 หนุ่มก็รีบขึ้นรถรางที่เคลื่อนที่ออกไป พร้อมกับการที่ประธานเอ๋แห่งชมรมหนูป่าตะโกนขอบใจตามหลังมา
“พี่เขากำลังจะมีกิจกรรมกันหรือ” เบสถาม
“พวกชมรมวิชาการน่ะ เขามีติวให้เด็กมัธยมตอนเย็น ประธานเอ๋ก็เลยไปช่วยซื้อของ ไม่รู้ว่าไปซื้อของเยอะขนาดนี้” ข้าวโพดบอก
นทีหันมาบ่น “อะไรของมึงวะ ก่อนนี้กูถาม มึงบอกว่าเขาเรียกมาติวภาษาอังกฤษ พอมาตอนนี้มึงรู้ว่าเขาไปขนของ ทำกิจกรรม แม่งรู้ทุกอย่าง แต่ไม่ยอมบอก”
“มีเด็กปี 1 ที่เขาจะให้กูมาติวจริง ๆ แต่เขาไม่ว่างอย่างที่มึงก็ได้ยินตอนที่มาถึง” ข้าวโพดอธิบาย “แล้วพี่ ๆ เขาก็บอกว่าเขากำลังจะไปเอาของ มึงก็ได้ยินพร้อมกูเหมือนกัน”
“ไม่สิ เรื่องติวเด็กมัธยมนี่ มึงรู้ก่อน”
“มึงก็รู้อยู่แล้ว”
“เออใช่” นทียอมรับ
เบสใช้หลังมือตีแขนข้าวโพดเบา ๆ “แล้วต้องมาติวด้วยหรือเปล่า”
“เปล่า ของชมรมวิชาการเขา” ข้าวโพดบอก
“อ้อ...” เบสลากเสียงยาว “พูดถึงวิชาการ เสาร์อาทิตย์นี้ไปเที่ยวกันไหมอยากไปดูบ้านเก่า ๆ ตึกเก่า ๆ นทีลองหาในเว็บให้หน่อยสิ ไปเที่ยวกัน ใกล้ ๆ”
นทีพยักหน้า ความเครียดในระดับเดิมกลับมาอีกครั้ง
...นี่ไม่ใช่เบส
ยิ่งพยายามปกปิดเท่าไหร่ก็ยิ่งชัดเจนว่าไม่ใช่เบส
แล้วเบสคนเดิมอยู่ที่ไหนกัน...

...จบตอนที่ 15...
ผมเป็นกลัวผี (จริงๆ ไม่จกตา) แต่กลับชอบฉากในสุสานของเรื่องนี้ ทั้งตอนแรกที่มีโจรขโมยศพ มาจนถึงสุสานที่บลูมาซ่อนตัว
บรรยากาศแบบเงียบ เย็น มีไอหมอก มันต้องสวยแน่ๆ เนอะ
คิดเห็นอย่างไร คุยกัน แนะนำกันได้นะครับ
น้ำชา

ออฟไลน์ uniko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: OWAZA ตอนที่ 15 (24/11/63)
«ตอบ #193 เมื่อ24-11-2020 15:35:06 »

 :impress2:

มาแล้วๆ  เดี๋ยวค่ำๆ กลับมาอ่านฮะ

ออฟไลน์ uniko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: OWAZA ตอนที่ 15 (24/11/63)
«ตอบ #194 เมื่อ25-11-2020 11:04:06 »

พี่ลุคมาไม่เยอะ แต่ยังคงคีพความคูลแอนด์คูลขึ้นเรื่อยๆ



 :mew1:



แอบสงสารที่นักเขียนให้พี่ลุคกับจัสตินวนหาสัญลักษณ์กันทั้งวันทั้งคืน


หาทั่วบ้าน หาทุกห้อง แต่สุดท้ายอยู่บนหลังคาที่เองงงงงง โถววววว :mew4:



สงสัยเหมือนข้าวโพดเลยว่าเบสตอนนี้เป็นเบสที่ถูกครอบงำ หรือว่าเป็นคนอื่นที่มาใช้ร่างเบสกันแน่


น่าหวั่นใจแทนข้าวโพดจัง ดูเหมือนใช่ แต่ก็ดูเหมือนไม่ใช่น้องเบสอ่ะ   :katai1:



ตอนนี้มีซีนแอบหวานของนทีกับนานาด้วย อะไรคือการให้ตะกรุดเป็นของขวัญแทนสร้อยข้อมือ 555 นทีนี่มันนทีจริงๆ


 o18


ตอนนี้ยังดีที่มีนทีคอยรับฟังข้าวโพดนะเนี่ย อ่านมาตั้งแต่ตอนแรกๆ คิดว่าเหล่าผองเพื่อนจะอยู่นอกวงของการรับรู้ซะอีก


หวังว่าเพื่อนๆ จะคอยช่วยข้าวโพดให้ผ่านเหตุการณ์นี้ไปให้ได้นะ



ตอน 15 นี้ พี่บลูก็ยังไม่ออกมา หนีไปซ่อนตัวที่ไหนนี่   :ling1:



คนอ่านคิดถึงแล้วน๊า  :ling3:




สุดท้าย ขอบคุณพี่ไจฟ์กับน้องน้ำชาสำหรับตอนที่ 15 นี้ด้วยจ้า เลิฟๆ


 :pig4:


ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: OWAZA ตอนที่ 15 (24/11/63)
«ตอบ #195 เมื่อ25-11-2020 21:36:09 »

นที เซ้นท์แรงจริงๆ

ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
Re: OWAZA ตอนที่ 15 (24/11/63)
«ตอบ #196 เมื่อ03-12-2020 09:33:07 »



ชักจะทำให้เป็นห่วงเบสตามนทีซะแล้วซิ  :mew2:


    เพี้ยงงง หวังว่าจะกลับคืนร่างเดิมโดยที่ไม่มีเรื่องไม่ดีกับน้อง


       ลุครีบมาหาน้องแทนบลูได้แล้ววว  :ling3:



(เอาจริงคืออ่านตั้งแต่วันที่อัพ และเม้นจากโทรศัพท์ไว้แต่...... ไม่ขึ้นอีกแล้ว  :katai1:  :katai1:)


ขอบคุณค่ะ ...ตั้งตารอบลูต่อไป  :กอด1:




ออฟไลน์ jj

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: OWAZA ตอนที่ 15 (24/11/63)
«ตอบ #197 เมื่อ07-12-2020 21:20:54 »

ขอบคุณค่าาาา   :L1:

ออฟไลน์ uniko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: OWAZA ตอนที่ 15 (24/11/63)
«ตอบ #198 เมื่อ08-12-2020 10:24:39 »

มารอตอนใหม่ฮะ



 :call:



ไม่อยากให้นางแมงมุมสิงร่างน้องเบสนานข้ามปี



 :katai1:



หวังว่าตอนหน้าพี่บลูนกฮูกน้ำเงินของเราจะแวะมาทักทายคนอ่านบ้าง



 :hao5:



คิดถึงแล้ววววววน้าาาาา



 :กอด1:



ฮึบๆ รอๆ



ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
Re: OWAZA ตอนที่ 15 (24/11/63)
«ตอบ #199 เมื่อ18-12-2020 15:54:20 »



    ก๊อกๆๆๆ เราแวะมารอน้องจ้า  :L2:



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: OWAZA ตอนที่ 15 (24/11/63)
« ตอบ #199 เมื่อ: 18-12-2020 15:54:20 »





ออฟไลน์ MyTeaMeJive

  • MyTeaMeJive
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1894
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3313/-9
OWAZA ตอนที่ 16 (19/12/63)
«ตอบ #200 เมื่อ19-12-2020 20:03:41 »

ตอนที่ 16

เช้ามืดวันเสาร์ก่อนที่จะออกจากบ้าน ข้าวโพดโทรศัพท์ไปหานที บอกว่าจะไปรับที่บ้าน แต่นทีบอกว่าให้รับที่ป้ายรถเมล์หน้าปากซอยสะดวกกว่า 
“อ้าวเฮ้ย ยังไงเนี่ย มึงอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วหรือไง” ข้าวโพดแปลกใจมาก
“นายหญิงโทรมาปลุกกูน่ะสิ เดี๋ยวไปเล่าต่อในรถละกัน” นทีพูดแล้ววางสาย เพราะนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้เก็บสายชาร์ตกับแบตสำรองใส่กระเป๋า
เป้าหมายการท่องเที่ยวในวันนี้ คือ ‘เกาะอิน’ ตั้งอยู่ในเขตอ่าวไทย ซึ่งไม่ได้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับครอบครัว และค่อนไปทางการเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ อย่างหมู่บ้านของชาวเรือต่างชาติในยุคสำรวจ และแน่นอนว่าต้องมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเรื่องลึกลับ ที่ทำให้นทีบอกกับนานาอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่อยากให้ไปด้วย
นานานิ่งเงียบไป
“เราเอารถข้ามฝั่งไปที่เกาะไม่ได้ ต้องเอารถไปฝากไว้ แล้วนั่งเรือข้ามฝั่งไป ค้างคืนนึง แล้วก็จะกลับมา”
“แล้วทำไมถึงต้องไปที่นั่น”
“เบสอยากไป ข้าวโพดก็ตามใจ แล้วเราก็ไม่อยากให้มันไปกันตามลำพัง 2 คน” ไม่ได้หมายความว่าจะไปเป็นอุปสรรคความรักของทั้งคู่หรอกนะ แต่นี่เป็นเรื่องจำเป็น
เป็นความรู้สึกว่าจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นที่นั่น และนานาจะปลอดภัยมากกว่าถ้ารออยู่ที่นี่
“มีเหตุผลอื่นอีกไหม”
“เรา ข้าวโพด เบส ผู้ชาย 3 คนนอนห้องเดียวกันได้ แต่จะให้นานานอนคนเดียวหรือไง”
“นานาชวนเพื่อนของนานาไปด้วยก็ได้”
“แล้วคิดว่าเบสมันจะโอเคไหม”
นานาคิดแค่วินาทีเดียวก็พยักหน้าเห็นด้วยเพราะในช่วงหลายวันมานี้ เบสชักสีหน้าเหม็นเบื่อใส่เพื่อนของนานาโดยเฉพาะปายกับแหม่มอยู่บ่อย ๆ ในตอนแรกแหม่มก็คิดว่าเป็นเพราะเธอชอบข้าวโพดอยู่เหมือนกัน แต่พอหันไปเห็นว่าเพื่อนอีกหลายคนในคณะก็ถูกเบสตีสีหน้าใส่แบบเดียวกัน ก็เลยเลิกคิดเยอะ
“มีเหตุผลอื่นอีกไหม” นานาถามคำถามเดิมอีกครั้ง
นทีส่ายหน้าด๊อกแด๊ก “แค่นี้แหละ จริง ๆ นะ คราวนี้ขอไป 3 คนก่อน นานาไปดูว่าอยากไปเที่ยวที่ไหน นัดกับปายแล้วก็แหม่มไว้เลยก็ได้”
นานาไม่ได้เชื่อเหตุผลของนทีสักเท่าไหร่ ตั้งแต่ประโยคแรกจนถึงประโยคสุดท้าย มีเรื่องที่ปิดบังไว้อยู่ทุกประโยค แต่คงเพราะไม่อยากให้ไปด้วยจริง ๆ ถึงต้องอ้างเรื่องนั้นเรื่องนี้
นานาอยากรู้ความจริง แต่บางทีพวกผู้ชายก็อยากมีความลับ ถ้าซักถามมากไปอาจทำให้ทะเลาะกันได้ จึงพยักหน้า
“นานาเชื่อที่นทีบอก ยังไงก่อนจะลงเรือข้ามฝั่งไป ถ่ายรูปสวย ๆ แล้วส่งมาให้ดูหน่อยก็ดี เพราะที่เกาะอาจไม่มีสัญญาณเน็ต”
นทีสัญญาว่าจะทำตามที่บอกทุกอย่าง นานาก็ย้ำอีกที
“นที พวกเขาเป็นแฟนกัน ถ้ามีห้องว่างอีกห้อง ก็แยกออกมาเหอะนะ ไปนอน 3 คนแบบนั้นมันเสียมารยาท”
“นานา พูดอะไรเนี่ยแก่แดดนะเรา” นทีทำเข้ม
นานาเล่นตาม “เรื่องแบบนี้เด็กอนุบาลยังรู้ นทีติดเพื่อนมากไปไม่ดีนะรู้ไหม”
“รู้คร้าบบบบ”

จากนั้นเช้ามืดวันเสาร์ นานาก็ยังเป็นคนที่โทรมาปลุก และย้ำกับนทีว่าอย่าลืมของสำคัญ แต่นทีก็ยัง ‘เกือบ’ ลืมของสำคัญอยู่ดี
ออกมารออยู่ที่หน้าปากซอยได้ไม่ถึง 10 นาทีข้าวโพดก็มาถึง
“รอนานไหม” เบสหันมาถามนทีที่เบาะหลัง
“ไม่หรอก นี่กำลังคิดว่าจะเดินไปซื้อชานมที่เซเว่น มึง 2 คนก็มาพอดี”
“งั้นแวะเซเว่นถัดไปไหม” ข้าวโพดถามเพื่อน แล้วหันไปถามเบส “เบสจะเอาขนมหรือเปล่า”
“เอา แต่ซื้อที่ซูเปอร์ในปั๊มที่ข้าวโพดแวะเติมน้ำมันดีกว่าจะได้ไม่ต้องแวะหลายที่”
คำตอบของเบสคือคำตอบสุดท้าย
“โอเคครับ แวะปั๊มเติมน้ำมัน แล้วค่อยซื้อชานม” นทีสรุป
ข้าวโพดแวะเติมน้ำมันก่อนเข้าสู่ถนนเลี่ยงเมือง จากนั้นก็มุ่งตรงไปถึงจังหวัดชายทะเลในตอนที่สาย แวะพักกินอาหารจากนั้นก็ตรงไปที่ท่าเรือ เพื่อยืนยันที่นั่งเรือที่จะไปถึงเกาะอินซึ่งมีกำหนดออกเรือในเวลา 11.00 น. เสร็จแล้วถึงได้เอารถไปฝากไว้กับบ้านที่เขารับฝากรถ จากนั้นก็ช่วยกันขนของกลับมานั่งรอเรืออยู่ที่ท่าเรือ
นทีใช้เวลาว่างด้วยการสอบถามว่าในบรรดานักท่องเที่ยวที่มีจำนวนเกิน 100 คนในเวลานี้ว่าไปเที่ยวที่ไหนกัน
คำตอบคือทั้งหมดจะไปเที่ยวที่ ‘เกาะงาม’ ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง ส่วนคนที่จะไป ‘เกาะอิน’ นอกจากนที ข้าวโพดและเบสแล้ว ก็มีอีก 2 คน คนหนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่เอายาไปส่งให้กับผู้ใหญ่บ้านที่อยู่บนเกาะ อีกคนคือคนขนส่งของ
หมายความว่าทั้ง 2 คนแค่เอาของไปส่งให้กับคนบนเกาะ แล้วก็จะกลับมาพร้อมกับเรือเลย
ทำไมถึงมีคนไปเกาะอินน้อยนัก
“ส่วนใหญ่เขาจะพักที่เกาะงาม แล้วนั่งเรือเล็กไปเที่ยวเกาะอิน ไม่ได้ค้าง เพราะที่เกาะนั้นไม่มีที่พักสวย ๆ” คนงานที่ท่าเรือบอก
“ที่จริงเกาะนั้นสวยมากนะ” คนส่งของบอก “น้ำทะเลก็สวย เล่นน้ำก็ได้ แต่นักท่องเที่ยวก็มักจะกลับมาเล่นน้ำที่เกาะงามกัน”
“ผมอ่านในเว็บ เขาแนะนำว่าเป็นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และโฮมสเตย์ของชาวเกาะพื้นบ้าน” ข้าวโพดบอก
“ในเว็บเขียนแบบนั้นหรือ ก็ใช่นะ ถ้าชอบท่องเที่ยวแบบพื้นบ้านจริง ๆ ก็แนะนำที่นี่แหละ” คนงานที่ท่าเรือบอก 
“เป็นนักศึกษาหรือ” เจ้าหน้าที่สาธารณสุขถามบ้าง
“ครับ” ข้าวโพดบอก
เมื่อลงเรือไปด้วยกัน เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจึงเล่าว่า ที่เกาะอินมีชายหาดที่สวยงาม และมีสถานที่สำคัญให้ท่องเที่ยว ขณะที่มีชาวบ้านอยู่ประมาณ 100 คน ซึ่งใช้ชีวิตแบบดั้งเดิม พร้อมไปกับการพยายามอนุรักษ์สถานที่สำคัญนั้นไว้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องมีค่าใช้จ่าย เมื่อทางจังหวัดมาแนะนำเรื่องการเปิดสถานที่สำคัญให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว มีเจ้าหน้าที่ของการท่องเที่ยวและกรมศิลป์ เข้ามาให้คำแนะนำ พวกเขาจึงตอบรับแบบไม่ค่อยเต็มใจ และทำให้ทั้งเกาะจึงมีบังกะโลที่พักเพียงแห่งเดียวที่เป็นของผู้ใหญ่บ้าน    
ข้าวโพดเล่าว่า ที่เลือกมาเที่ยวที่นี่ก็เพราะว่าดูจากเว็บไซต์ ที่โฆษณาว่ามีความเงียบสงบ และอยากเห็นหมู่บ้านโบราณที่อยู่บนเกาะด้วย จึงจองที่พักล่วงหน้ากับโอนเงินค่าที่พักบางส่วนมาแล้ว
“คนที่จัดการเรื่องนี้น่าจะเป็นญาติของผู้ใหญ่ที่เขาอยู่เกาะงาม ทำร้านอาหารแล้วก็รีสอร์ทอยู่ที่นั่น” คนส่งของบอก “นักท่องเที่ยวหลายคนที่จองที่พักไว้ที่เกาะอิน แต่ย้ายไปนอนที่เกาะงามก็เยอะ เพราะว่าที่นี่กลางคืนเงียบเกิน”
“ก็เขาอยู่กันแบบนั้น” สาธารณสุขบอก
เรือแวะส่งนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ลงที่เกาะงาม จากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่เกาะอิน
นทีก้มลงมองโทรศัพท์ ที่ไม่มีสัญญาณเมื่อเรือออกจากฝั่ง จากนั้นก็กลับมามีสัญญาณเมื่อเรือเทียบท่าเกาะงาม จึงได้รีบส่งภาพและข้อความไปหานานารอบหนึ่ง แล้วก็เป็นอย่างที่คาด เพราะหลังจากที่ออกจากท่าเรือเกาะงามได้ไม่ถึง 5 นาที การสื่อสารก็ถูกตัดขาด
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขมองเหมือนรู้ใจ “ที่เกาะงามมี 4จีให้ใช้ แต่ที่เกาะอินไม่มี เวลาเขาจะติดต่อกันระหว่างเกาะกับฝั่ง ส่วนใหญ่จะใช้คลื่นวิทยุแบบเก่า แบบที่ชาวเรือเขาใช้กัน”
“เขามีโทรทัศน์ไหมครับ” นทีชักเป็นกังวล
“มีสิ แต่คงเพราะคนน้อย เห็น ๆ กันอยู่ว่าใครเป็นยังไง เขาก็เลยไม่คิดว่าจำเป็นต้องติดตั้งเครือข่ายการสื่อสาร อะไรที่ไม่จำเป็น”
นทียกโทรศัพท์ขึ้นมองอีกครั้งแล้วตัดสินใจเก็บใส่กระเป๋า หยิบกล้องถ่ายภาพขึ้นมาถ่ายรูปทะเล ขณะที่ฟังข้าวโพดคุยกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและคนส่งของต่อไป
ส่วนอีกคนไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่ลงเรือ
นทีหันไปมองใบหน้าซีกหนึ่งของคนที่มองออกไปด้านนอก ดวงตาภายใต้แว่นดำที่มองออกไปในทะเลเป็นแบบไหนกัน
ชายหนุ่มบันทึกภาพนั้นไว้ แล้วเลื่อนมาบันทึกภาพของข้าวโพด
เบสหันมามอง แล้วหันกลับไปทางเดิม

ท่าเรือของเกาะอินอยู่ปากทางของอ่าวแคบประมาณถนน 6 เลน เมื่อมองลึกเข้าไปด้านในจะมีทั้งเรือประมงขนาดเล็กของชาวบ้านผูกอยู่ที่ท่าเรือซึ่งไม่แข็งแรง กับยังมีซากความเสียหายของบ้าน และท่าเรือ ให้มองเห็นอยู่ทั่วไป
“ได้ยินว่าเมื่อหลายวันก่อนมีพายุเข้า ไม่คิดว่าจะหนักขนาดนี้” คนส่งของบอก
สภาพของเกาะหลังจากที่ต้องเผชิญกับพายุ ยิ่งทำให้ไม่น่าท่องเที่ยวมากกว่าเดิม
ที่ท่าเรือของเกาะอินมีผู้ใหญ่โอมกับอรรถซึ่งเป็นลูกชายมารอรับทั้งนักท่องเที่ยวทั้ง 3 คน ขณะที่มีคนเฒ่าคนแก่อีกหลายคนมาอยู่ที่ศาลาใกล้กับท่าเรือ เพื่อรอพบเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หลังการทำความเคารพ ผู้ใหญ่ก็บอกให้ลูกชายพาทั้ง 3 คนไปที่บังกะโลที่พัก เพราะตัวผู้ใหญ่บ้าน กับชายอีกคนอายุรุ่นเดียวกับอรรถต้องอยู่ช่วยเจ้าหน้าที่สาธารณสุข
แต่อรรถกับคนส่งของต้องเอาของกลับไปเก็บไว้ที่ร้านก่อน จึงขอให้ทั้ง 3 คนตามไปที่ร้านค้า จากนั้นจะพาไปที่บังกะโล
ดีที่ร้านนี้อยู่ถัดเข้ามาจากท่าเทียบเรือไม่กี่ก้าว แต่สามารถยึดเป็นหลักได้ว่าตรงจุดนี้คือปากทางของหมู่บ้าน ทั้งเกาะนี้มีร้านโชห่วยอยู่ร้านเดียว ซึ่งยังเป็นทั้งร้านขายยา ร้านกาแฟ เป็นทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงที่ทำงานของผู้ใหญ่โอม
อรรถจ่ายเงินค่าของ จากนั้นคนส่งของก็กลับไปที่ท่าเรือ รอสาธารณสุขจ่ายยาตามอาการให้กับคนเฒ่าคนแก่ แล้วนั่งเรือกลับไปรับคนที่เกาะงามกลับเข้าฝั่งพร้อมกัน 
ชายหนุ่มผิวคล้ำแดดยังไม่จัดของที่ร้าน ก็หันมาพาทั้ง 3 คนไปที่บ้านบังกะโลที่พัก
“ไม่ต้องเฝ้าร้านหรือพี่” นทีถามด้วยความเป็นห่วง แต่อรรถบอกว่าไม่เป็นไร
“มีแต่คนกันเอง ไม่ต้องเฝ้าหรอก”
 ชายหนุ่มพาเดินไปในทิศทางตรงจข้ามกับหมู่บ้านชาวประมง ทั้งต้องเดินผ่านแปลงผัก และสวนเล็ก ๆ จากนั้นจึงเป็นบ้านหลังเล็ก ด้านหน้ามีโต๊ะอาหาร 2 โต๊ะกับครัวเล็กๆ ที่บ่งชี้ว่าเป็นร้านอาหาร อรรถแนะนำสตรีสูงวัยที่รออยู่ที่ร้านอาหาแนะนำว่านี่คือแม่ติ๊ก ที่จะมาช่วยดูแลนักท่องเที่ยว จากนั้นอรรถก็พาทั้ง 3 คนไปที่บังกะโลที่อยู่ห่างออกไปอีกประมาณ 10 เมตร
มีบ้านบังกะโลอยู่ 5 หลัง แต่ละหลังห่างกันประมาณ 3 เมตร ทั้งหมดหันหน้าไปทางทะเล อรรถหันมาบอกกับข้าวโพด “ที่จองไว้คือหลังริมนอกสุด” ชายหนุ่มชี้ไปที่หลังขวาสุด “อยากเปลี่ยนไหม”
“ไม่ละ หลังนี้ก็ดีแล้ว” นทีตอบแล้วถามต่อ “เล่นน้ำหน้าบ้านได้ไหมพี่”
อรรถพยักหน้าขณะที่เดินไปไขกุญแจเปิดบ้านให้ “ตรงนี้เล่นน้ำได้”
บ้านบังกะโล ระเบียงกว้างแบบ 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ
“ที่จริงเราติดโซลาร์ที่หลังคา แล้วก็มีลานแผงโซลาร์ด้วย แต่เมื่อวันพุธมีพายุเข้า แผงเสียไปทั้งแถบ แจ้งช่างไปแล้ว แต่ก็ยังไม่มา”
สภาพของท่าเรือ บ้านเรือน รวมถึงต้นไม้ใหญ่ที่เห็นตอนที่มาถึงบ่งบอกได้ชัดเจน ว่าพายุนี้หนักขนาดไหน
“แล้วช่วงนี้ต้องใช้ไฟจากตะเกียงหรือพี่” นทีถาม
“ช่วงนี้เรากลับมาใช้ไฟจากเครื่องปั่นไฟ แต่บรรดาพ่อแก่เขาก็ไม่ชอบ บ่นว่าเสียงดัง พ่อก็เลยจะปั่นไฟตั้งแต่ 5 โมงเย็นไปถึง 3 ทุ่มเท่านั้น ถ้าจะชาร์ตโทรศัพท์ หรือใช้คอมพ์ก็ต้องช่วงนั้นแหละ หลังจากนั้นก็จะดับเครื่อง ถ้าจะอ่านหนังสือก็ต้องใช้ไฟตะเกียง” อรรถดูเกรงใจ “ถ้าไม่ไหวก็บอกได้นะ จะขับเรือไปส่งที่เกาะงาม มีรีสอร์ทของอาอยู่ที่นั่น”
“ไม่เป็นไร” เบสพูดขึ้นเป็นคำแรก “เราอยากไปเดินเที่ยวแล้ว เพราะว่าค้างที่นี่แค่คืนเดียว พรุ่งนี้ก็กลับแล้ว”
อรรถพยักหน้า “จะพาไปนะ แล้วนี่เที่ยงแล้ว กินอะไรมาหรือยัง กินข้าวก่อนแล้วค่อยเดินไปดูก็ยังทัน”
นทีรีบบอก “ขอเป็นข้าวผัดหมู 3 จานกับต้มยำกุ้งละกัน”
“เอาแกงจืด ไม่กินเผ็ด” เบสบอก
“ตามนั้นเลยพี่” นทีบอกแล้วนึกขึ้นได้ “ไม่มีไฟ แล้วจะใช้ตู้เย็นเก็บกุ้งยังไง”
“ใช้โอ่งซ้อนกัน” อรรถอธิบายด้วยภาษามือวุ่นวายเพราะไม่รู้ว่าจะเรียกภูมิปัญญาท้องถิ่นนี้ว่าอะไรดี
“อ๋อ นึกออกละ เคยเห็นในสารคดี” ข้าวโพดบอก “เที่ยวอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน ได้ความรู้กลับไปด้วย”
“แล้วเรากินข้าวที่ระเบียงนี้ หรือต้องไปกินที่ร้าน” นทีถาม
“กินที่นี่ก็ได้ อาบน้ำพักผ่อนกันก่อน เดี๋ยวยกมาให้”
ทั้ง 3 คนอาบน้ำยังไม่ทันจะเสร็จ อรรถก็ยกอาหาร และน้ำดื่มมาวางไว้ที่โต๊ะเล็กตรงระเบียง
ข้าวโพดกับเบสที่อาบน้ำเสร็จก่อน เดินออกมานั่งรอนที
“แล้วมื้อเย็นอยากกินอะไร พวกทะเลเผาก็มีนะ” อรรถบอก “จะไปเอาที่เรือปลามารอไว้”
เบสยิ้ม “งั้นขอปลา กุ้ง ปลาหมึก แล้วก็ปูละกัน”
ข้าวโพดพยายามมองหากระดาษที่เป็นรายการอาหาร “ไม่มีเมนูหรือครับ”
“อ๋อ ไม่มีหรอก จะดูราคาอาหารหรือ”
ข้าวโพดพยักหน้า แม้จะรู้ดีว่ามาถึงขั้นนี้คงเลือกมากไม่ได้ก็ตาม
“ผมไม่ได้กดเงินสดมามาก เพราะคิดว่าจะจ่ายแบบโอนเงินสด หรือใช้บัตรได้”
อรรถโบกมือ “ไม่ต้องคิดมาก พ่อให้รวมไปในค่าที่พักแล้ว” ทั้ง 2 คนแปลกใจมาก “บ้านเราไม่ได้สะดวกอย่างเกาะอื่นเขา มาพักก็ดีใจแล้ว เดี๋ยวกินข้าวเสร็จจะมาเก็บจานแล้วจะพาไปเดินเที่ยว”
ข้าวโพดขยับจะพูดบางอย่างแต่เบสขัดไว้ บอกว่าหิวแล้ว ข้าวโพดจึงให้เบสกินก่อนได้เลย อรรถจึงขอตัวกลับไปที่ร้าน
เบสกินข้าวผัดในแบบที่ไม่ได้บ่งบอกว่าหิวเลยสักนิด
ส่วนนทีที่เพิ่งออกมา หลังจากที่ได้ฟังเรื่องจากข้าวโพดก็แสดงความเห็น “ยังไงเราก็ต้องไปเช็คเอ้าท์ที่ร้าน แวะไปกินมื้อเที่ยงที่ร้านแล้วให้เงินกับแม่ของเขาก็ได้ หรือไม่ก็ไปเดินเล่นตรงเรือปลาที่พี่เขาบอก แล้วค่อยอุดหนุนซื้อของของเขาก็ได้”
“ที่ร้านเขาน่าจะไปซื้อจากเรือปลามาทำให้เรานะ” ข้าวโพดบอก “หรือไม่แน่ เรือปลาก็อาจเป็นของผู้ใหญ่บ้านเองเหมือนกัน”
“เป็นไปได้” นทีใช้ช้อนชี้หน้าเพื่อนแล้วตักข้าวผัดคำใหญ่เข้าปาก
เบสกินอิ่มแล้ว ก็ขยับออกมานั่งพิงราวระเบียงมองทะเล ขณะที่ฟังทั้ง 2 คนคุยกัน
อีก 1 ชั่วโมงถัดมา อรรถก็มาพร้อมกับปัดซึ่งเป็นน้องสาว ทั้งคู่ช่วยกันเก็บจานชามใส่ถังแล้วให้ปัดถือกลับไป ส่วนอรรถพาทั้ง 3 คนเดินกลับไปที่หมู่บ้านชาวประมง ระหว่างทางอรรถเตือนเรื่องการถ่ายรูปชาวบ้าน ซึ่งเหมือนกับที่เคยได้ยินคำเตือนมาก่อนหน้านี้
“ก็ไม่ได้ถึงกับห้ามถ่ายรูปนะ แต่ในเมื่อคุณใช้กล้องถ่ายรูป คุณก็อยู่ห่าง ๆ แล้วซูมเข้าไปหาก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเอากล้องไปจ่อติดหน้าเขาเพื่อถ่ายรูป”
“ไม่ได้เป็นเพราะไม่ชอบนักท่องเที่ยวใช่ไหมครับ” ข้าวโพดถามย้ำ
“เขาก็ไม่ชอบที่ถูกถ่ายภาพแบบนั้น แล้วนักท่องเที่ยวบางคนก็เดินเข้าไปถึงในบ้าน ไปหยิบจับข้าวของของเขา”
“แบบนั้นมันก็เกินไป” ข้าวโพดบอก
“ก็เลยมาคุยกันว่า เวลามีนักท่องเที่ยวมาต้องให้มีคนนำทาง จะได้คอยบอก”
เมื่อเดินกลับมาผ่านร้านค้าของผู้ใหญ่บ้าน เข้าสู่เขตหมู่บ้านชาวประมง กล้ามเนื้อบริเวณที่หมุดตรึงอยู่เหนือหัวใจกดลงเบา ๆ แต่เพราะเป็นอาการที่เกิดขึ้นในทันที ทำให้ข้าวโพดหยุดชะงัก ยกมือขึ้นมาสัมผัสบริเวณที่หมุดตรึงอยู่
เบสหันมามองข้าวโพดแล้วหันไปมองรอบตัว จากนั้นก็หันมาหาข้าวโพดอีกครั้ง
“เป็นอะไร” อรรถถาม “ไม่สบายหรือเปล่า นั่งพักก่อนไหม”
“ไม่เป็นไร” ข้าวโพดตอบ แล้วบอกให้อรรถเดินนำต่อไป
นทีถามย้ำ เมื่อข้าวโพดตอบแบบเดิมก็หันไปถามอรรถว่าสามารถถ่ายภาพจากตรงที่ยืนอยู่นี้ได้หรือไม่
“ไม่ต้องเครียดขนาดนั้น” อรรถหันไปบอก แล้วช่วยแนะนำเรื่องการถ่ายภาพ พร้อมไปกับการอธิบายเรื่องราว ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน
(มีต่อครับ)

ออฟไลน์ MyTeaMeJive

  • MyTeaMeJive
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1894
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3313/-9
OWAZA ตอนที่ 16 (19/12/63)
«ตอบ #201 เมื่อ19-12-2020 20:11:18 »

(ต่อครับ)

แต่อาการที่เกิดขึ้นกับข้าวโพดยังไม่หายไป กล้ามเนื้อที่เปลี่ยนเป็นการกระตุกเบา ๆ ตามการเต้นของหัวใจ ทำให้คาดเดาได้ว่าเป็นการส่งสัญญาณเตือน เพราะไม่ได้ทำให้รู้สึกเจ็บปวด และทำให้รู้สึกกังวลใจจนต้องจับข้อมือของเบสไว้ ให้เดินอยู่ข้างกัน
“ถ้าเหนื่อยหรือเพลียขึ้นมาอีกก็บอกนะ”
เบสส่ายหน้า บางอย่างในดวงตาบ่งบอกว่า ข้าวโพดควรใส่ใจตนเองมากกว่า
เมื่อต้องเดินต่อไป ข้าวโพดก็กันให้เบสเดินอยู่ฝั่งที่อยู่ติดกับทะเล ส่วนตัวเองเดินทางฝั่งที่เป็นบ้านเรือนของชาวประมง สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความระวังภัย ทั้งดึงมือให้เบสยืนอยู่ห่างจากชาวบ้านที่กำลังซ่อมแซมความเสียหายด้วย
การเดินเที่ยวใช้เวลานานอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะนอกจากอรรถจะต้องคอยตอบคำถามของนทีแล้ว ยังต้องคอยตอบคำถามชาวบ้านเรื่องอุปกรณ์ก่อสร้างที่จะนำมาใช้ในการซ่อมแซมบ้าน เพราะของที่เรือข้ามฟากขนส่งมาให้เป็นพวกสินค้าจำเป็นทั่วไป ส่วนเรือที่จะส่งวัสดุก่อสร้างจะเข้ามาในช่วงบ่าย
พายุผ่านไปหลายวันแล้ว มีเรือหลายลำเข้ามาเทียบท่า แต่วัสดุที่จะใช้ซ่อมแซมยังไม่มาสักที ทั้งบ้านและเรือต่างก็รอการซ่อมแซมทั้งนั้น ก็สมควรที่จะมีความไม่พอใจเกิดขึ้นทั่วไป
หลายครั้งที่เบสยืนอยู่ด้านหลังของข้าวโพด มองเห็นลำคอ และไหล่แข็งแรงอยู่ข้างหน้าแล้วต้องหันไปมองทางอื่น
ถัดจากบ้านเรือนที่ปลูกอยู่ผืนทะเล อรรถพาเดินต่อไปที่ส่วนของหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนเกาะ ขณะที่อธิบายว่า บ้านเรือนบนฝั่งได้รับความเสียหายเล็กน้อยจากพวกกิ่งไม้ และต้นไม้ใหญ่ที่ล้มลงมาเกี่ยวหลังคาบ้าน แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้เสียหายอะไร
จู่ ๆ อาการเตือนที่เหนือหัวใจก็กลายเป็นเจ็บจี๊ดขึ้นมา แต่เพราะข้าวโพดเฝ้าระวังอยู่แล้วจึงได้แต่นิ่วหน้าขณะที่กวาดตามองไปรอบ ๆ เมื่อเดินต่อไป อาการนั้นก็บรรเทาลง แล้วจู่ ๆ ก็กลับรุนแรงขึ้นมาใหม่อีกรอบ
จากหางตาเห็นคนในชุดสีเข้มเดินลับหายไปทางด้านหลังของบ้านหลังหนึ่ง ข้าวโพดก้าวมายืนขวางเบสไว้ในทันที
นทีกับอรรถที่กำลังคุยกับเกี่ยวกับเรื่องถ่ายภาพหันมาถาม “มีอะไร”
ข้าวโพดส่ายหน้า แต่ทั้ง 2 คนต่างก็รู้ว่าต้องมีความผิดปกติเกิดขึ้น อรรถจึงชวนพาไปดูหมู่บ้านโบราณของชาวไอริชที่ตั้งอยู่ตอนในของเกาะ
พื้นที่ด้านหลังของหมู่บ้านคือแปลงของแผงโซลาร์เซลหลักของหมู่บ้านที่เสียหายอย่างหนัก จากนั้นก็เป็นทางเดินเข้าไปยังพื้นที่ตอนในของกาะ พื้นที่ 2 ข้างทางเป็นสวนผักผลไม้ของชาวบ้านที่ช่วยกันปลูกไว้ กับธารน้ำจืดที่มาจากอ่างเก็บน้ำซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่สูงตอนในของเกาะ แต่ทั้งในหมู่บ้านมาจนถึงสวน ก็ยังพบถังเก็บน้ำเป็นระยะอยู่ทั่วไป
“เคยมีนักท่องเที่ยวมาแล้วทักว่าถังน้ำจืดพวกนี้ไม่สวยเลย คุณคิดว่าไง”
ข้าวโพดแนะนำ “ทำกราฟฟิตี้ดูสิ”
“ต้องขออนุญาตพวกผู้ใหญ่ในหมู่บ้านอีกก่อนหรือเปล่า” นทีถาม อรรถก็พยักหน้าทันที
“ว่ากันว่าเมื่อก่อนเกาะนี้มีขนาดใหญ่กว่าที่เป็นอยู่ แต่เพราะน้ำทะเลกัดเซาะก็เลยทำให้เกาะเล็กลง” อรรถอธิบาย “พายุเมื่อหลายวันก่อนทำที่เก็บน้ำจืดเสียหายไปหลายถัง แต่ยังดีที่เกาะไม่ได้มีคนอยู่มาก แล้วก็มีฝนตกอยู่เรื่อย ๆ แบบชายทะเลน่ะ ก็เลยพออยู่กันได้”
อรรถเล่าประวัติของเกาะแห่งนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมองเห็นปลายแหลมของหลังคาอาคารที่โผล่พ้นยอดไม้
“หมู่บ้านไอริชครับ”
ข้าวโพดเห็นยอดแหลมของหลังคาพร้อมกันกับทุกคน แต่ทันทีที่อรรถพูดขึ้น อาการเจ็บแปลบในบริเวณที่หมุดตรึงอยู่ก็เกิดขึ้น
เบสหันมามองหน้าโดยที่ไม่ได้พูดอะไร แต่พลิกมือมาจับข้อมือหนาของข้าวโพดไว้แน่น
“ไหวไหม อยากกลับไปที่พักก่อนไหม”
“ไม่เป็นไร เบสอยากมาดูหมู่บ้านไอริชไม่ใช่หรือ เที่ยวก่อนก็ได้”
ปลายทางด้านหน้ามีประตูไม้โปร่งความสูงแค่เอว กับรั้วไม้ที่ยอดยาวออกไปทั้ง 2 ด้าน ทางฝั่งขวามือมีป้ายข้อความเขียนไว้ว่าหมู่บ้านไอริช 
อรรถเปิดประตู แล้วเดินนำเข้าไปที่หมู่บ้านขณะที่เล่าเรื่องราวต่อไป
เมื่อนานกว่าร้อยปีที่แล้วมีชาวยุโรปเดินเรือเพื่อมาค้าขาย ส่วนหนึ่งแวะพักเรือที่เกาะนี้ แล้วเข้าไปยึดครองที่ดินตรงส่วนกลางของเกาะ มีการปลูกสร้างบ้านเรือน รวมถึงโบสถ์อยู่ที่นี่
ระบบประปา และการทำประมงที่ชาวบ้านใช้กันอยู่ในปัจจุบันไม่ได้เป็นการเรียนรู้จากท้องถิ่น แต่คือความรู้ที่สืบทอดมาจากชาวต่างชาติกลุ่มนี้
“เราเรียกพวกเขาว่าไอริช แต่นักประวัติศาสตร์ที่มาสำรวจบอกว่าพวกเขามีหลายสัญชาติ” อรรถไปที่โบสถ์ และห่างไปทางด้านหลังคือสุสานที่มีหินสลัก ที่มีสภาพไม่สมบูรณ์
ขณะที่ไม่มีบ้านเรือนของชาวต่างชาติหลงเหลืออยู่ แต่โบสถ์หลังนี้ยังอยู่ที่นี่เพื่อทำหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ใต้กรอบหน้าต่างทางฝั่งขวามือของโบสถ์ คือภาพวาดสีปูนที่บอกเล่าเรื่องราวตั้งแต่พวกเขามาถึง จนถึงวันที่พวกเขาเริ่มล้มป่วย และจากไป
“มีนักวิชาการมาดูภาพเหล่านี้ แล้วบอกว่าเป็นภาพดั้งเดิมที่พวกเขาเขียนไว้”
หลังจากที่ชาวต่างชาติเหล่านี้มาพักอยู่ได้ประมาณ 50 ปีก็เริ่มล้มป่วยและเสียชีวิตไปด้วยโรคไข้ป่า
อรรถพากลับออกมาที่สุสานทางด้านหลังของโบสถ์
ข้าวโพดเจ็บบริเวณที่หมุดกดตรึงอยู่ เป็นความเจ็บรุนแรงเหมือนจะบอกว่านี่คือคำเตือนครั้งสุดท้าย
“ที มึงจะไปถ่ายรูปใช่ไหม กูจะออกไปคอยตรงหน้าโบสถ์นะ” ข้าวโพดบอกกับเพื่อน แล้วหันมาหาเบส “ออกไปนั่งเล่นข้างหน้าด้วยกันไหม”
เบสกลับบอกว่าอยากเดินดูรอบ ๆนี้ก่อน ทำให้ข้าวโพดไม่มีทางเลือกนอกจากการเดินออกมาให้พ้นจากรั้วกั้นพื้นที่ สุสานแล้วเดินตามเบสอยู่ห่าง ๆ
เตือนอะไรก็ไม่รู้ กำลังเจอกับอะไรอยู่ก็ไม่รู้...ข้าวโพดได้แต่เหลียวมองไปรอบ ๆ
พ้นจากเขตสุสาน ต้องเดินผ่านเศษอิฐ เศษปูนของสิ่งปลูกสร้างที่ยังหลงเหลืออยู่ อรรถบอกว่าคาดเดากันว่าน่าจะเป็นพวกร้านค้า หรือตลาดเก่า และยังมีถังเก็บน้ำที่เป็นต้นแบบของถังเก็บน้ำที่ชาวบ้านใช้อยู่ในปัจจุบันแต่ในเวลานี้เหลือเพียงส่วนฐาน
อีก 1 ชั่วโมงถัดมา อรรถก็พาทั้ง 3 คนออกมาจากหมู่บ้านไอริช และกลับมาถึงที่พักในช่วงเย็น ทั้ง 3 คนสั่งอาหารค่ำ ส่วนอรรถก็ย้ำเรื่องช่วงเวลาที่จะมีไฟฟ้าใช้อีกครั้งแล้วกลับไป
เบสบอกขณะที่มองทะเลข้างหน้า “เล่นน้ำกัน”
การเล่นน้ำทะเลให้บรรยากาศที่ไม่แตกต่างจากการเดินเที่ยวบนเกาะ จนนทีรู้สึกว่าการไม่พานานากับเพื่อนคนอื่นมาด้วยเป็นความคิดที่ถูกต้องแล้ว
ทั้งที่เบสคือคนต้นคิดที่จะมาที่นี่ แต่กลับเป็นคนที่พูดน้อยที่สุด ส่วนข้าวโพดก็มีอาการเหมือนคนขวัญผวา มักจ้องมองไปทางหลังบ้าน หรือในสวนจากนั้นก็ส่ายหน้า
จนถึงเวลาที่ผู้ใหญ่บ้านจะปิดเครื่องปั่นไฟ ทั้ง 3 คนยังใช้ไฟฟ้าจากแบตสำรองเพื่อดูภาพยนตร์ที่ดาวโหลดไว้จนจบนทีก็แยกไปเข้าห้องนอน จากนั้นเบสกับข้าวโพดก็ปิดไฟแล้วเข้านอนบ้าง
เบสหันมามองหน้าข้าวโพดที่ลงนอนข้าง ๆ จากนั้นก็หันหลังให้
การมาเที่ยวทะเลแล้วได้นอนก่อนเที่ยงคืน ทั้งไม่ได้แตะเหล้าเบียร์สักหยด ไม่ได้เล่นกีตาร์ร้องเพลง ทั้งหมดนี้ว่าแปลกแล้ว ความเงียบรอบตัวยังแปลก เพราะข้าวโพดไม่ได้ยินเสียงอะไรอย่างอื่น นอกไปจากเสียงคลื่น
จริงอยู่ที่บังกะโลหลังนี้อยู่ห่างออกมาจากหมู่บ้าน แต่ความเงียบแบบนี้มันผิดปกติ
ข้าวโพดชะโงกมองเบสเห็นว่าหลับอยู่ก็ลุกขึ้นมา หยิบไฟฉายอันใหญ่ ใส่รองเท้าแล้วเดินออกมาจากที่พัก
จากหน้าบ้านหากเดินไปทางขวามือ คือบ้านของแม่ติ๊กและปัด น้องสาวของอรรถ ส่วนทางซ้ายมือคือป่า
ข้าวโพดกำลังคาดหวังว่าจะได้พบกับคนชุดดำที่พบในหมู่บ้านวันนี้ แต่เพราะไม่มีอาการเจ็บแปลบในบริเวณที่หมุดตรึงอยู่หัวใจ ทำให้พอจะรู้ตัวว่าคงไม่มีใคร หรืออะไรที่เป็นอันตราย ถึงอย่างนั้นข้าวโพดก็ยังถือไฟฉายเดินดูรอบบังกะโล
ในตอนที่กำลังเดินไปทางบังกะโลหลังที่อยู่ติดกัน ข้าวโพดมองเห็นแสงสีขาวเคลื่อนที่ผ่านไป แต่เมื่อวิ่งตามไปยังไม่ถึง 5 ก้าว เบสก็เรียกไว้
“ข้าวโพด อย่าตามไป!”
ข้าวโพดหันมามองเบสด้วยความตกใจ แล้วหันกลับไปทางด้านแสงสีขาวที่หายไป เบสเดินเข้ามายืนอยู่ข้าง ๆ
“รู้หรือเปล่าว่านั่นคืออะไร”
ข้าวโพดส่ายหน้า หมุดเหนือหัวใจส่งสัญญาณในแบบที่เป็นความปวดและตึง คงที่อยู่อย่างนั้น
ในรอบวันนี้ข้าวโพดได้เรียนรู้ว่าหมุดเงินที่ลุคให้ไว้นั้นทำหน้าที่อะไร และในบรรดาสัญญาณเตือนหลากหลายรูปแบบที่ส่งมานั้น ข้าวโพดไม่รู้หรอกว่าหมายถึงอะไร จึงเลือกที่จะระวังไว้ก่อน ไม่ว่ากำลังจะทำอะไรต้องหยุด และออกมาห่างจากที่ตรงนั้น
แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ปวดแบบนี้ และเป็นครั้งแรกที่ข้าวโพดแน่ใจว่า หมุดกำลังบอกอะไร โดยเฉพาะการที่เบสมายืนอยู่ข้างหน้า
ดวงตาคู่สวยสะท้อนแสงจันทร์วาววับ
“ไม่รู้แล้วก็ยังจะตามไปอีก มันอันตรายนะ”
“เหรอ...” ข้าวโพดมีคำตอบที่ดีกว่าคำตอบโง่ ๆ แบบนี้ แต่หมุดเงินกำลังทำหน้าที่ควบคุมคำพูดของเขา และข้าวโพดก็วางใจให้หมุดเงินทำหน้าที่นั้น
“ข้าวโพดได้เห็นหรือเปล่าว่ามันเป็นตัวอะไร”
ข้าวโพดส่ายหน้า
เบสเหลียวมองไปรอบ ๆ “อย่างนั้นเขาบอกอะไรข้าวโพดบ้าง”
“ใคร บอกอะไร”
เบสชักสีหน้าไม่พอใจ ขณะที่กอดอก ซึ่งเป็นท่าทีที่กดดันคู่สนทนาเป็นอย่างมาก
“คนที่ชื่อลุคคนนั้นไง เขาบอกอะไร”
“ไม่นี่”
เบสเอียงคอมอง เหมือนกำลังหยั่งความคิด
“เราต่างก็รู้อยู่แก่ใจ ว่ามีเรื่องลึกลับเกิดขึ้นหลายอย่าง เขาเป็นสาเหตุของเรื่องพวกนั้น แล้วมันก็ส่งผลต่อพวกเรา”
“แล้วแสงสีขาวนั่นเกี่ยวอะไรกับเขา”
“มันต้องเกี่ยวกับเขาสิ แล้วนั่นก็อาจจะเป็นพี่บลูก็ได้ เขาเป็นนกฮูกสีขาวนะ”
ข้าวโพดแปลกใจในความจริงเรื่องนี้ แต่ปากถามไปอีกอย่าง
“เบสอยากพบพี่บลูไม่ใช่หรือ”
เบสเหลียวมองไปรอบ ๆ “เราบอกว่าอาจเป็นพี่บลู หรืออาจไม่ใช่ก็ได้ ถึงได้ถามว่าเห็นหรือเปล่าว่ามีรูปร่างเป็นยังไง”
ข้าวโพดเงียบ
“มีเรื่องที่อธิบายไม่ได้เกิดขึ้นเยอะแยะ อย่างเรื่องที่พวกเรามาที่นี่ก็เหมือนกัน”
“แต่เบสคือคนที่เลือกจะมาที่นี่นะ”
“เราไม่ได้เลือก แต่เราก็อธิบายไม่ถูก เหมือนเราถูกควบคุมให้เลือกมาที่นี่” เบสลูบแขนตัวเอง “หลาย ๆ ครั้งเราก็ควบคุมตัวเราเองไม่ได้”
“ไม่สบายหรือ เข้าไปในบ้านก่อนไหม”
“ไม่” เบสเสียงดัง “คุยกันตรงนี้ให้รู้เรื่องไปเลยดีกว่า”
ข้าวโพดปล่อยให้เบสพูดต่อ
“เขากับพี่บลูเป็นชาวสกอต พวกเขาเคยมีชีวิตอยู่เมื่อนานกว่า 400 ปีที่แล้ว เขาเคยบอกเรื่องนี้หรือเปล่า”
ข้าวโพดหันไปมองทางตำแหน่งที่ตั้งของหมู่บ้านไอริชที่อยู่ตอนในของเกาะ เรื่องที่ว่าไม่ใช่มนุษย์ ก็รู้มาตั้งแต่แรก ทั้งการฝังหมุดยังทำให้จำเรื่องราวในอดีตได้มากมาย
“เพราะฉะนั้นการที่เรามาที่นี่ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมเราถึงต้องมาที่นี่”
หมุดเงินบังคับให้ข้าวโพดเงียบ และรอฟังที่เบสพูด
“แล้วเราก็อยากรู้ ว่าเขาบอก เขาทำอะไรกับข้าวโพด” เบสกลับไปที่คำถามแรก
“ไม่ได้บอก”
“ข้าวโพดปิดบังเรา เขาต้องทำอะไรบางอย่างแน่ ๆ”
“แต่เบสคือคนที่รู้จักพวกเขานะ”
“พวกเขากำลังหลอกใช้พวกเรา และทำให้พวกเราเป็นเหมือนกับพวกเขา””
“ทำไม”
“เพราะมันคือความจริง ข้าวโพดดูที่เราสิ ก่อนที่จะรู้จักกับพวกเขา เราเป็นยังไง แล้วหลังจากที่รู้จักพวกเขา เราเป็นยังไง เราไม่สบาย จากนั้นก็คุมตัวเองไม่ได้ กลายเป็นคนที่ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้”
ข้าวโพดเข้าใจแล้วว่า ทำไมหมุดเงินถึงปล่อยให้เบสพูดไปเรื่อย ๆ เพราะยิ่งพูด ความไม่พอใจก็ยิ่งชัดเจนขึ้น
“ที่เราถามก็เพราะเราไม่อยากให้ข้าวโพดต้องเปลี่ยนไป แล้วก็เป็นเหมือนเรา”
“พี่บลูเขาดีกับเบสไม่ใช่หรือ”
เบสย้ำคำพูด “เรา-คิด-ว่าเขาดีไง ถึงได้ไว้ใจ เขากลับทำร้ายเรา เราพยายามต่อต้านแล้ว แต่มันไม่เป็นผล ยิ่งนานไปก็ยิ่งแย่ลงไปเรื่อย ๆ เขาก็ต้องทำอะไรสักอย่างกับข้าวโพดแน่ ๆ เพราะข้าวโพดน่ะ เปลี่ยนไปมาระยะหนึ่งแล้ว แต่มันชัดเจนมากขึ้นตั้งแต่ตอนที่มาถึงที่นี่ เพราะฉะนั้นการมาที่นี่ก็ต้องเป็นหลุมพรางอะไรสักอย่าง”
“เราไม่ได้เปลี่ยน และเราไม่ได้เป็นอะไร”
“แต่วันนี้ ที่ข้าวโพดต้องหยุดเดินเป็นระยะนั่นคืออะไร เรารู้นะว่าข้าวโพดเจ็บข้างในอกใช่ไหม  ต้องเป็นฝีมือของลุคอยู่แล้ว”
ข้าวโพดส่ายหน้า “เข้าไปข้างในบ้านกันเถอะ”
เบสคว้าข้อมือของข้าวโพดไว้ “ทำไมต้องหลีกเลี่ยง ทำไมไม่บอก ถ้าไม่บอกเราจะช่วยข้าวโพดได้ยังไง”
“เราไม่ได้เป็นอะไร เข้าไปข้างในบ้านก่อนเถอะ”
“ข้าวโพดจะปกป้องเขาไปทำไม”
“เราปกป้องใครไม่ได้หรอก” ลำพังตัวเองยังแทบเอาตัวไม่รอดเลย
“ไม่ใช่อย่างนั้น เราหมายถึง เราไม่อยากให้ข้าวโพดเป็นเหมือนเรา” เบสร้อนใจ เมื่อข้าวโพดไม่ยอมบอกอะไรเลย
“เข้าไปคุยต่อในบ้านดีกว่า”
เบสยอมให้ข้าวโพดเดินจูงมือเข้ามาในบ้าน แต่การพยายามซักถามต่อจากนั้นก็ยังคงเหมือนเดิม
“พรุ่งนี้พวกเราก็จะกลับไปแล้ว ไม่มีอะไรหรอก” ข้าวโพดบอก
...
นกฮูกสีขาวแฝงตัวอยู่ภายในช่องว่างเล็กๆ ภายใต้หลังคาของโบสถ์โบราณมองวิญญาณชาวตะวันตกในชุดเสื้อผ้าแบบโบราณล่องลอยอยู่ภายในสุสาน ทั้งชาย หญิง เด็กและคนชรา
วิญญาณที่ถูกทิ้งไว้ในที่ห่างไกลจากบ้านเกิด
ยิ่งมีแสงสว่างมากขึ้น ก็ยิ่งมองเห็นเลือนรางลงไป
แต่ภาพสะท้อนของชีวิตที่ผ่านไป คือภาพในอีกซีกโลกหนึ่งยังคงอยู่ในความทรงจำ
แว่วเสียงสัญญาณเรือที่กำลังจะเข้าเทียบท่า เหล่าวิญญาณจึงจางหาย นกฮูกสีขาวก้าวถอยเข้าไปซ่อนตัวอยู่ภายใน หูฟังการเคลื่อนไหว เส้นประสาทต่าง ๆ คอยตรวจสอบระวังภัย
ชายชราในชุดผ้าย้อมสีดำ ดวงตาแข็งกร้าวคนหนึ่งเดินมาที่สุสาน มือเหี่ยวย่นแตะที่ป้ายสุสานที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุด
“ปีศาจร้ายเรียกหาบริวารมาถึง หลบซ่อนตัวให้มิดชิด อย่าได้ออกมา”
นกฮูกสีขาวรู้สึกถึงไอสีดำนั้นเช่นกัน ซึ่งที่ผ่านมา ทันทีที่ประสาทรับรู้ว่าศัตรูกำลังใกล้เข้ามาก็จะรีบหนีไป แต่ในครั้งนี้กลับมี ‘ความรู้สึก’ ว่าเบสกำลังมาที่นี่ จึงอยู่รอ
พยายามไม่เคลื่อนไหว สะกดตัวเองให้เป็นเหมือนท่อนไม้เล็กๆ ตั้งใจว่าจะรอให้ค่ำลงจึงจะออกไปดูให้แน่ใจ แต่ในบ่ายวันนั้นเองที่เบส ข้าวโพดและนทีมาที่โบสถ์
ไอปีศาจที่นำทางมาก่อน กดดันวิญญาณทุกดวงให้หนีห่าง แต่นกฮูกสีขาวไม่สามารถหนีไปได้
เพราะหากหนีไปในเวลานี้ก็เท่ากับเปิดเผยตนเอง จึงได้แต่ควบคุมตนเองให้เป็นเพียงท่อนไม้เล็ก ๆ ชิ้นหนึ่ง และต่อให้ทั้ง 3 คนกลับไปแล้ว นกฮูกสีขาวก็ยังไม่ยอมคลายการควบคุมตนเอง
รอจนถึงเวลากลางคืนมาถึง นกฮูกสีขาวเปลี่ยนเป็นนกกลางคืนสีดำตัวเล็ก แทรกตัวอยู่ท่ามกลางนกตัวอื่นในเขตป่าหลังบ้านพัก
เห็นว่าข้าวโพดเดินออกมาจากบังกะโล แล้วเดินไปทางบังกะโลอีกหลัง ห่างจากจุดที่คอยซุ่มมอง จากนั้นก็มีแสงสีขาวพุ่งผ่านไป ข้าวโพดขยับเท้าจะวิ่งตาม แต่เบสเดินออกมา
เงาสีดำแปดขาที่อยู่เหนือร่างของเบสทำให้เจ้านกกลางคืนทั้งโกรธและเป็นกังวลในเวลาเดียวกัน ยิ่งเมื่อได้ฟังเสียงสนทนาก็ยิ่งเป็นกังวล
เมื่อทั้ง 2 คนกลับเข้าไปในที่พักแล้ว นกกลางคืนตัวเล็กไปที่บ้านพักของชายคนที่ไปแจ้งเตือนเหล่าวิญญาณที่สุสานเมื่อตอนกลางวัน
ชายชราที่กำลังนั่งเรียงเปลือกหอยโบราณรูปร่างแปลกตาเงยหน้าขึ้นมามองนกตัวเล็กที่บินเข้ามาทางหน้าต่าง แล้วยืนอยู่บนเบาะที่นั่งฝั่งตรงข้าม
ชายชราพยักหน้า “จะมีเรือประมงเข้าฝั่งตอนรุ่งเช้า”
ใกล้สว่าง เรือประมงชาวบ้านเข้ามาเทียบท่า เรือเล็กอีกลำออกเดินทางเข้าสู่ชายฝั่ง ละอองสีขาวจางไหลเอื่อยไปพร้อมกับสายลม กลับเข้าสู่ชายฝั่ง

....จบตอนที่ 16 ....(สถานที่สมมุติ ไม่มีอยู่จริง)

ทั้งโรคระบาดทั้งสภาพอากาศ อย่าลืมดูแลสุขภาพนะครับ
ขอบคุณที่ติดตามเรื่องนี้นะครับ

น้ำชา



ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
Re: OWAZA ตอนที่ 16 (19/12/63)
«ตอบ #202 เมื่อ19-12-2020 22:15:12 »

  สารภาพ แวบแรก ว่าจะไปเสริซหาเกาะนั้น 55555555 จนมาเจอประโยคสุดท้าย


....  :ling3: แอบกลัวนะ แบบกลัวน้องๆจะเป็นอันตราย ยิ่งเจอเซ้นต์นทีตอนแรก อ่านๆหยุดๆ กันเลย


งานนี้ต้องเอาใจช่วยบลู ไม่ให้ทำอะไรเกินตัว



ขอบคุณสำหรับตอนใหม่นี้จ้า


 :L1:




ออฟไลน์ uniko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: OWAZA ตอนที่ 16 (19/12/63)
«ตอบ #203 เมื่อ20-12-2020 18:02:12 »

เหมือนความเห็นบนค่ะ คิดว่าจะไปเสิร์ชดูชื่อเกาะเหมือนกัน 555 (อดเลย)




 :laugh:





มิสแมงมุมควบคุมจิตใจเบสให้มาถึงที่นี่ ต้องการอะไรกันแน่นะ สงสัยๆ




 :katai1:





พี่บลูของเราก็มาอยู่ที่นี่ด้วย แสดงว่าต้องมีปมเชื่อมโยงอะไรซักอย่าง

(ออกนิดเดียว ฮือๆ)




ที่นี้พี่บลูก็รู้แล้วว่า มีปิศาจแมงมุมชักใยควบคุมเบสอยู่ แต่จะช่วยน้องยังไงดีละ :ling3:




เป็นห่วงน้องๆ กับพี่บลูจัง มากันแค่นี้กลัวจะถูกหลอกล่อจนเกิดอันตรายกัน




 :เฮ้อ:




ขอให้เดินทางออกจากเกาะได้อย่างปลอดภัย :call: หรือเปล่านะ 555





มาลุ้นกันเถอะว่าตอนหน้าว่าจะเป็นยังไงต่อ  :hao3:





ขอบคุณสำหรับตอนนี้ด้วยค่า :3123:







ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: OWAZA ตอนที่ 16 (19/12/63)
«ตอบ #204 เมื่อ20-12-2020 20:05:10 »

ซับซ้อนกันจริง

ออฟไลน์ uniko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: OWAZA ตอนที่ 16 (19/12/63)
«ตอบ #205 เมื่อ11-01-2021 18:44:07 »

 ฮึบ ฮึบ ฮึบ   :katai5:





แวะมาดัน




แวะมารอตอนใหม่





 :mew3:





wfh กันไป อยากคลายเคลียดก็เข้ามาอ่านนิยายกัน  :hao3:






รอพี่ลุคพี่บลูนะฮัฟ คนอ่านคิดถึงแล้ววว





 :ling3:





ขอให้ทุกคนปลอดภัย และมีสุขภาพแข็งแรงกันน๊า





 :mew1:



ออฟไลน์ Yarkrak

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
Re: OWAZA ตอนที่ 16 (19/12/63)
«ตอบ #206 เมื่อ11-01-2021 19:44:46 »

 :mew1:

ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
Re: OWAZA ตอนที่ 16 (19/12/63)
«ตอบ #207 เมื่อ13-01-2021 15:35:55 »


 :L2:

   :กอด1:

      มาจ้า เราอยู่ตรงนี้ \ยกมือสูงๆ/ ยังรอคอยเสมอจ้า

 :L1:  :L1:  :L1:



ออฟไลน์ MyTeaMeJive

  • MyTeaMeJive
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1894
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3313/-9
OWAZA ตอนที่ 17 (14/01/64)
«ตอบ #208 เมื่อ14-01-2021 18:53:48 »

ตอนที่ 17

การตามหาลุค เมอร์ฟี กับจัสติน ฮอฟมันน์ ไม่ได้เป็นเรื่องยากเพราะทั้งคู่ใช้วิธีการพรางตนแบบครึ่งหนึ่ง จากที่โดยทั่วไปจะใช้การพรางตนแบบสมบูรณ์ในเวลาที่ทำงานสำคัญ ทำให้พ่อมด หรือปีศาจที่เป็นเป้าหมายรู้ตัวก็คือทั้ง 2 คนมายืนอยู่ข้างหน้าแล้ว
แต่คราวนี้ทั้งคู่ต้องการให้พ่อมดและปีศาจที่มีพลังเข้มแข็งในระดับหนึ่งรับรู้ว่าทั้งคู่กำลังเร่งจัดการลงมือในเรื่องราวบางอย่าง ทำให้ต้องบุกไปจัดการปีศาจ ผู้คุมวิญญาณ และพ่อมดอย่างต่อเนื่อง
ตอนที่ปีศาจนกฮูกตาสีฟ้ากำลังตามหาว่าลุคอยู่ที่ไหน จู่ ๆ ก็สามารถรับรู้ถึงไอที่เป็นพลังงานสีขาวของมือปราบวาติกัน แต่เมื่อไล่ตามไปเป็นระยะทางเกือบ 1 กิโลเมตรถึงได้เห็นทั้งคู่อยู่ข้างหน้า
นี่เป็นพลังที่แปลก และทำให้รู้สึกสับสนเพราะไม่ว่าจะตอนอยู่ในระยะห่าง 1 กิโลเมตร หรือห่างแค่ 1 เมตร พลังสีขาวที่เป็นความเย็นและสว่างก็ชัดเจนอย่างสม่ำเสมอ
ไอชีวิตของเบสกับข้าวโพดจะเป็นอีกแบบหนึ่ง ที่ยังมีความเหลื่อมของสี บ่งชี้ของความมีชีวิต
แต่ไอที่เป็นพลังงานของลุคและจัสตินจะมีความคงที่แบบคนดีที่ชวนให้รู้สึกขัดใจ
แต่ก่อนที่จะเข้าไปถึงระยะ 1 เมตรจากทั้งคู่ บลูพบกลุ่มก้อนสีดำที่ไม่สามารถแยกได้ว่าร่างเดิมคืออะไรคอยติดตามอยู่ห่าง ๆ
ทั้งบลูและเจ้าก้อนสีดำนั่น ไม่มีไอหรือพลังงานใด ๆ เป็นเพียง ‘สิ่งหนึ่ง’ ที่ยังอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลบางอย่าง และบลูคิดว่า หากตนเองสามารถรับรู้ถึงกลุ่มก้อนสีดำนั่นได้ ทั้งลุคและจัสตินก็น่าจะรู้เหมือนกัน แต่ทั้งคู่ก็ทำเป็นไม่รู้
พวกเขากำลังทำอะไรอยู่นะ แต่การตามกันเป็นทอด ๆ แบบนี้มันอันตรายเกินไป บลูยังมีเรื่องที่ต้องจัดการ หรืออย่างน้อยก็ต้องให้ 2 คนนี้ไปจัดการ
หรือควรไปรอที่ร้านกาแฟ หลบอยู่ที่ห้องชั้นบนรอให้ลุคกลับมา ก็ที่นั่นเป็นบ้านของเขาไม่ใช่หรือ
แต่บลูก็ไม่ได้ทำตามที่ตั้งใจไว้ เพราะทั้งจอร์จและแอนนา...เจตน์และแอนยังอยู่ที่นั่น
มีไอมนุษย์อยู่ทั่วไปในร้าน ที่แสดงให้เห็นว่าทั้งคู่พักอยู่ที่นี่มาตลอด 
ดีแล้ว...และเราไม่ควรเข้าไปที่นั่นเพื่อทำให้ทั้งคู่ตกอยู่ในอันตราย
บลูกลับไปที่ห้องพักในคอนโดฯที่ปิดทึบ ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีความเป็นไปได้น้อยที่สุดที่ลุคและจัสตินจะตามมาพบ   บลูใช้ดวงตาที่สามมองเคลื่อนไหวในอดีต เห็นว่าจัสตินกับสาธุคุณอีกคนหนึ่งที่น่าจะเป็นคนที่ชื่อฌ็องส์ กำลังช่วยกันเคลื่อนย้ายเครื่องเรือนของลุคเข้ามาวางไว้ที่ห้องด้านนอก และพยายามที่จะเข้าไปในห้องนอนของบลู แต่พวกเขาเข้าไปไม่ได้ เมื่อจัดห้องเสร็จทั้งคู่ก็กลับไป
หนุ่มในชุดสีขาวหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องนอน ประตูก็เปิดออกเอง ภายในห้องที่ถูกผนึกไว้หลายชั้นอย่างแน่นหนา ของสำคัญที่เก็บไว้ยังอยู่ในที่เดิม
แต่ด้วยประสบการณ์หลายร้อยปี ทำให้บลูรู้ว่าวันหนึ่งทั้ง 2 คนจะเข้ามาในห้องนี้ได้ และหากพวกเขาทำได้ คนอื่น ก็จะทำได้เหมือนกัน
“เออ ใช่” บลูเก็บของสำคัญไว้ที่เดิม แล้วออกมาจากห้อง ปิดประตูทั้งปิดผนึกอย่างแน่นหนา ใช้ดวงตาที่สาม มองตามการเคลื่อนไหวของทั้ง 2 คนภายในห้องนี้ แล้วตามชายชาวเยอรมันออกไปจากห้อง
มันออกจะเสี่ยงไปสักหน่อย แต่ก็ดีกว่าการรอคอยไปเรื่อย ๆ
ลุคและจัสตินเป็นคนดี พยายามดึงพวกพ่อมดแม่มดให้อยู่ห่างจากคู่สามีภรรยาที่ร้านกาแฟ และไปอาละวาดห่างจากบ้านของผกา กับอัจฉรา แต่ในเมื่อบุคคลเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องกับโอเวน บรรดาสมุนของซอว์นีย์จึงวางดวงวิญญาณไว้ใกล้สถานที่ทั้ง 3 แห่งเพื่อคอยส่งข่าวหากบลูกลับมาที่นี่
แต่ยังมีอีกที่หนึ่ง ที่บลูไม่แน่ใจว่าจะปลอดภัยหรือไม่ แต่ก็อย่างที่บอก ว่าอย่างน้อยก็ยังดีกว่ารอไปเรื่อย ๆ
จัสตินเป็นผู้พิทักษ์ที่เดินทางไปทั่ว ทั้งร้านขายของเก่า โบสถ์ของสาธุคุณฌ็องส์ และร้านกาแฟของลุค แต่สุดท้ายแล้วเขาต้องกลับไปเซฟโซนของเขาเอง
บลูตามร่องรอยจัสตินอยู่ครึ่งวันจนมาถึงบ้านไม้ 2 ชั้นหลังเล็กที่อยู่นอกเมือง เงาของจัสตินที่ขี่รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่แล่นผ่านเขตป้องกันโปร่งใส เข้าไปในเขตรั้วบ้านหลังนี้
ลุคมีที่พักเป็นร้านกาแฟที่อยู่ในเขตเมืองเก่า บ้านของจัสตินหลังนี้ก็เป็นบ้านเก่าภายใต้ต้นไม้ใหญ่ร่มครึ้ม ที่ต่างกันก็คือร้านกาแฟของลุคมีวิญญาณที่ได้รับคำสั่งให้มาเฝ้ามอง แต่ในรัศมี 200 เมตรของบ้านหลังนี้ ไม่มีวิญญาณแปลก ๆ แม้แต่ตนเดียว
บลูไม่เห็นว่า การวางเขตป้องกันไว้ 2 ชั้นของจัสตินจะดีกว่าการวางเขตป้องกันแค่ชั้นเดียวของลุคตรงไหน ดูจะระแวดระวังจนน่าสงสัยมากกว่าเดิม และเป็นการเสียพลังงานไปเปล่า ๆ
นกฮูกสีขาวสแกนดิเนเวีย เกาะกิ่งไม้ที่พ้นมาจากรั้วบ้าน แล้วเดินอย่างระมัดระวังเข้าไปใกล้เขตที่จัสตินวางเขตป้องกัน ใช้ปีกแตะที่เขตป้องกัน
...ไม่มีประกายไฟ หรือแรงผลักกระเด็นออกมา แต่รู้สึกได้ถึงความยืดหยุ่นของผนังบาง ๆ ที่กั้นอยู่
“...เฮ้ ฉันอยู่หน้าบ้านนายแล้ว บอกลุคให้มาที่นี่ภายใน...ครึ่งชั่วโมง เพราะถ้านานกว่านี้ พวกที่ตามฉันอยู่อาจมาทัน...”
บลูเข้าไปซ่อนตัวอยู่ใต้หลังคาของบ้านอีกหลัง แฝงตัวอยู่ในมุมมืดที่สุด และให้ความรู้สึกว่าไม่สบายตัวที่สุด ดีที่ภายในเวลาไม่กี่นาทีหลังจากนั้น บลูก็สัมผัสถึงการเคลื่อนที่ของลุคที่ใกล้เข้ามา
ตอนที่อยู่ในการต่อสู้ ไอพลังงานของลุคเป็นวาติกันของแท้ แต่ตอนนี้เป็นพลังงานแบบ ‘ลุค เมอร์ฟี’
เสียงของหัวใจที่กำลังเต้นแรงด้วยความร้อนใจ ที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งเมื่อมาถึงในระยะหนึ่ง บลูยังแทบจะได้ยินเสียงลมหายใจของอีกฝ่าย
รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่แล่นผ่านเขตป้องกันเข้าไปในบ้าน และเมื่อจัสตินเปิดประตูบ้าน แสงสีขาวพุ่งผ่านมือเข้าไปในบ้านก่อน ทันทีที่ประตูปิดลงอีกครั้งชายหนุ่มในชุดขาว ดวงตาสีฟ้าก้าวออกมาจากมุมมืดที่สุดของบ้าน และพูดขึ้นทันที
“ปีศาจแมงมุม ตัวใหญ่อยู่กับเกรซ”
ทั้งลุคและจัสตินนิ่งเงียบ ขณะที่จัสตินหันไปมองทางอื่น
“พวกนายรู้แล้ว” บลูตรงเข้ามากระชากคอเสื้อของลุค “นายบอกว่าจะจัดการเรื่องนี้ ให้ฉันไปซ่อนตัว แล้วทำไมนายไม่ช่วยเกรซ ปล่อยให้แมงมุมตัวนั้นมันควบคุมเกรซ”
“เราทำแล้ว” จัสตินบอกขณะที่จับข้อมือของบลูเพื่อให้ปล่อยลุค แต่ลุคกลับส่ายหน้าให้กับจัสติน
ชายชาวเยอรมันปล่อยมือ กลอกตาแล้วเดินไปรินน้ำดื่ม หันหลังให้กับทั้ง 2 คน
“นายทำอะไร แล้วทำไมแมงมุมตัวนั้นมันถึงได้อยู่กับเกรซ”
“เชสมีเครื่องราง” ลุคบอก
“ช่างหัวเชส! ฉันไม่สนใจ! ฉันถามถึงเกรซต่างหาก พวกที่มันต้องการตัวโอเวน มันไม่สนใจน้องของนายหรอก นายไม่เข้าใจหรือไง”
ลุคกอดคนที่กำลังร้อนใจไว้
“ใจเย็น ๆ คิดตามที่ฉันบอกนะ”
เพราะหัวใจที่กำลังเต้นแรง ไอร้อนที่บ่งบอกถึงความมีชีวิตทำให้บลูไม่ได้ผลักอีกคนออกไป
คน ๆ นี้เลือกที่จะมีชีวิตแบบนี้เพราะใคร...
“พวกมันควบคุม แต่จะไม่กลืนกิน” ลุคพยายามอธิบาย “พวกมันต้องการตัวประกัน เพื่อให้แน่ใจว่านายจะไม่เผาคาร่าไปก่อนที่มันจะได้สิ่งที่พวกมันต้องการ”
“แต่ฉันอยากให้นายไปช่วยเกรซ”
“เราต้องช่วยเกรซอยู่แล้ว แต่เราก็ต้องเอาคาร่าออกมาด้วย เพราะว่าเกรซกับคาร่าในเวลานี้มีความผูกพันกันมากกว่าที่เราคาดคิด ทั้งต้องไม่ให้พวกมันพบนายด้วย”
“ลุค เมอร์ฟี เพราะนายช้าอย่างนี้ พวกมันถึงได้เข้าถึงตัวเกรซ นายต้องไปช่วยเกรซออกมาก่อน”
การที่บลูยังคงเรียกชื่อเดิมในอดีต คือการปฏิเสธที่จะยอมรับว่ามีเงื่อนไขบางอย่างที่ทำให้การเผาคาร่าในเวลานี้เป็นเรื่องที่ทำได้ยากกว่าเดิม
“ตอนนี้ทั้งสองคนไม่ได้เป็นคาร่ากับเกรซที่แทบจะไม่เคยพูดคุยกัน พวกเธอคือผกากับเบสที่มีความผูกพันระหว่างแม่ลูก การที่พวกมันครอบงำและชักจูงผกาก่อน แล้วส่งผลมาถึงเบสคือคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้ว เรื่องที่ฉันให้เครื่องรางคุ้มครองไว้กับข้าวโพดไม่ใช่แค่คุ้มครองข้าวโพดเพียงอย่างเดียว แต่เพราะว่าข้าวโพดอยู่กับเบส เครื่องรางนั้นจะช่วยคุ้มครองทั้งสองคน”
“ไม่เข้าใจ”
จัสตินกลอกตาหนึ่งรอบให้กับความไม่พยายามทำความเข้าใจอะไรเลยของบลู
“ไม่อยากฟังเรื่องทางฝั่งนี้บ้างหรือไง” จัสตินถาม
“ไม่” บลูตอบทันที “เป้าหมายของฉันไม่ได้ครอบจักรวาลเหมือนพวกนาย ฉันต้องการแค่เผาคาร่า ฟอกซ์เท่านั้น”
“แต่ถ้านายเผาผู้หญิงคนนั้นในตอนนี้ เบสก็จะกลายเป็นเหยื่อโดยสมบูรณ์แบบ ถูกแมงมุมตัวนั้นกินในทันที” จัสตินเถียง “ทีนี้นายก็ต้องรอกันไปอีกกี่ปีก็ไม่รู้ กว่าที่คาร่าจะกลับมาเกิดใหม่อีกรอบ เพื่อให้นายตามไปเผาเธอ เล่นเกมตามล่าวนไปวนมาไม่รู้จบ หรืออย่างเลวร้ายที่สุด ก็คือคราวนี้ถูกทำลายไปพร้อมกับน้องของนาย แล้วคาร่าก็จะกลับมาเกิดใหม่ โดยที่นายไม่สามารถเผาเธอได้อีกแล้ว”
“เพราะอะไรนายถึงคิดอย่างนี้” บลูหันไปหาจัสติน
“ก็เพราะลำดับเรื่องราวมันเป็นแบบนี้ไง”
“นั่นแหละ ทำไมนายถึงรู้ว่ามันคิดแบบนี้”
“ให้ตายเหอะ นายนี่มันเกินจะเยียวยาแล้วจริง ๆ” จัสตินรู้สึกอยากหักคอเจ้าปีศาจนกฮูกตัวนี้เต็มที
ลุคลูบแผ่นหลังบางเพื่อให้บลูใจเย็นลง พูดในสิ่งที่เคยพูดมาแล้วหลายครั้งเพื่อให้ทั้งสองคนหยุดทะเลาะกัน
การตามไปเผาคาร่าในครั้งนี้แตกต่าง และมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียอีกหลายชีวิตไปด้วย บลูเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี ถึงได้ไม่ไล่ตามหาคาร่าแล้วเผาเธอเหมือนกับที่เคยทำมาแล้วหลายครั้ง แต่ยอมที่จะหลบหนี แล้วที่กลับมาก็เพราะเห็นว่ามีแมงมุมสีดำควบคุมเกรซอยู่
เมื่อเล่าเรื่องเดิม ๆ จบลงลุคก็ถาม “นายไปเจอเบสที่ไหน”
“ที่เกาะเล็ก ๆ ชื่ออิน หรือ จิน หรืออะไรสักอย่างคล้าย ๆ แบบนี้ ที่นั่นมีสุสานชาวไอริชอยู่ด้วย” ดวงตาสีฟ้าเหลือบตามองลุค “ฉันอยู่ที่สุสานนั้น”
นี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจ “นั่งลงแล้วเล่าเรื่องเกาะนั้นกันตั้งแต่ต้นดีกว่า” จัสตินบอก การคุยกับคนที่ไม่ยอมเข้าใจอะไรเลยทำไมมันถึงได้ยากอย่างนี้นะ “เสียเวลาคุยกันอีกสักชั่วโมง หรือ 2 ชั่วโมง ก็ไม่น่าจะมีผลอะไร เพราะเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดของเรื่องนี้ก็คือการที่พวกมันยังหานายไม่เจอ แต่ทั้งที่นายหนีไปตั้งไกลขนาดนั้น แล้วทำไมถึงได้ไปเจอกันได้”
เมื่ออยากให้เล่า บลูก็เล่า เรื่องราวของบลูในช่วงนานกว่าสองสัปดาห์มานี้ คือการที่ย้ายสถานที่หลบซ่อนแทบจะทุกวัน
“ฉันคิดว่า ฉันคือฝ่ายที่ถูกพวกมันตามล่า แต่เพราะนายย้ำหลายครั้งว่าให้หนี ฉันก็หนี แต่ว่าที่ผ่านมา ฉันไม่เคยต้องหนีหัวซุกหัวซุนแบบนี้มาก่อนเลยนะ แบบที่เข้าไปอยู่ในบ้านร้างได้ยังไม่ทันข้ามคืนฉันก็ต้องรีบหนีออกมาในตอนรุ่งเช้าก็ยังมี มันเป็นการไล่ตามที่เหมือนกับว่าฉันมีสัญญาณบอกตำแหน่งติดอยู่ที่ข้อเท้า จนกระทั่งเมื่อคืนเดือนมืดฉันถึงได้ตามเรือลำหนึ่งออกไปกลางทะเลเพราะคิดว่าไม่น่าจะมีพ่อมด หรือนายวิญญาณที่ไหนตามไปเจอ ที่เกาะนี้มีหมู่บ้านประมง แต่ตรงพื้นที่ด้านในของเกาะคือหมู่บ้านโบราณ วิญญาณที่นั่นเป็นพวกที่เดินทางมากับเรือ แต่เพราะมีปัญหาอะไรหลาย ๆ อย่างก็มาปลูกบ้านอยู่ที่นี่แล้วก็ตายไป แต่อยู่ที่นั่นได้แค่ 2 คืนปรากฏว่าเกรซ กับเชสแล้วก็เพื่อนสนิทของเชสน่ะมาที่เกาะ”
“เพื่อนของ...ข้าวโพดน่ะหรือคนไหน”
“ชื่อนทีหรือทีอะไรเนี่ยแหละ”
เมื่ออีก 2 คนพยักหน้า บลูก็เล่าต่อ ว่าเห็นแมงมุมตัวใหญ่อยู่กับเบส ก็รีบออกมา
“มันต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” บลูสรุป “พวกมันตั้งใจที่จะทำให้ฉันเห็นว่า เกรซอยู่ในกำมือของพวกมันแล้ว”
“พวกมันเคยเห็นนายอยู่กับพวกเรา จากนั้นนายก็หายไป แล้วทางนี้ก็เปิดเกมสู้กับพวกพ่อมดไปทั่ว ยึดเครื่องรางได้เท่ากับทำงานหนึ่งปี พวกมันก็ต้องไปเร่งทางน้องของนายอยู่แล้ว” จัสตินเสียดสีลุคอย่างตรงไปตรงมา
ลุคส่ายหน้าให้กับ 2 คนที่พร้อมจะทะเลาะกันได้ทุกเมื่อ
“ในเมื่อรู้อยู่แล้ว นายก็ยิ่งไม่ควรเดินเข้าไปหา เพื่อให้พวกมันล้อมจับนาย”
“แต่ถ้ามันเป็นทางเดียวที่จะช่วยเกรซ”
“นายจะช่วยเบสและใครไม่ได้เลย แม้แต่ตัวนายเอง” ลุคย้ำ “ไม่ว่านายจะเผาคาร่าอีกสักกี่ครั้ง แต่เธอจะกลับมาใหม่ เกรซก็เหมือนกัน ไม่ว่าชาตินี้เธอจะจากไปด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม แต่เธอจะกลับมาอีก แต่นายไม่เหมือนกัน”
ถ้าบลูถูกทำลาย ก็คือการทำลายโอเวนไปตลอดกาล ซึ่งจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ หากบลูถูกทำลาย ทั้งเบส และคนอื่น ๆ ก็จะไม่ปลอดภัยไปด้วย
บลูลูบหน้าแรง ๆ “ทำไมจู่ ๆพวกเราถึงได้ติดอยู่ในวงล้อมของพวกมันได้นะ”
“ขอเวลาอีก 3 วันได้ไหม” ลุคพยายามอีกครั้ง “ฉันคิดว่าแมงมุมตัวนั้น น่าจะเป็นปีศาจแมงมุมดำที่ชื่ออารันญ่า”
บลูเม้มริมฝีปากเมื่อพยายามคิดทบทวน
“รู้จักไหม” จัสตินถาม
“กำลังคิดอยู่ นายก็รู้ว่าฉันไม่ผูกมิตรทำความรู้จักกับใคร นอกจากฟังพวกวิญญาณคุยกัน แต่เหมือนจะเคยได้ยินใครพูดถึงชื่อนี้เมื่อนานมาแล้ว นานมาก แล้วก็ไม่ใช่ที่นี่ด้วย น่าจะเป็นแถว...” บลูหลับตานึกทบทวน “สุสาน หิมะ มีต้นสนสูงเสียดฟ้า...สวีเดน”
“ผกา เพิ่งกลับมาจากสวีเดน” ลุคบอก
“ฉันคิดว่า การตามล่าซอว์นีย์อยู่ที่นี่ไม่ถูกต้อง หากนายต้องการกำจัดพวกมันที่ต้นตอ นายต้องกลับไปยุโรป” บลูเสนอขึ้น “ถึงแม้ว่าทุกคนที่เราต้องการปกป้องจะอยู่ที่นี่ รวมถึงคนที่ฉันต้องการจะเผาด้วย แต่ถ้าเงื่อนไขของนายคือการกำจัดซอว์นีย์ให้ได้ก่อนเป็นลำดับแรก ก็ต้องทำอย่างนี้แหละ”
คนตาสีฟ้าหันไปมองทั้ง 2 คนที่หันไปมองหน้ากัน “ทำไม รีบ ๆ ไปจัดการให้ได้สักทีเหอะ ฉันอยากเผาคาร่าจะแย่อยู่แล้ว”
“แต่เราไม่รู้ว่าคาร่าอยู่ที่ไหน ส่วนเรื่องแมงมุมดำอารันญ่า ก็ยังเป็นแค่การสันนิษฐาน หากไม่ใช่อารันญ่า เป็นแมงมุมดำตัวอื่นการคุ้มครองที่วางไว้ก็อาจไม่ได้ผล ที่สำคัญคือ หากเป็นอารันญ่าจริง ฉันก็อยากเจอมัน แล้วจัดการมันที่นี่”
แววตาของลุคแข็งกร้าวขึ้นเมื่อกล่าวถึงความตั้งใจ
“แมงมุมดำตัวนี้ เคยทำอะไรนายหรือ”
“อารันญ่า เป็นหนึ่งในสี่ของเฮ้นช์แมน เอ่อ คนสนิทของซอว์นีย์” อารันญ่าเป็นปีศาจแมงมุมดำ การเรียกว่าคนสนิทออกจะไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าใกล้เคียงกับความจริงที่สุดแล้ว
“โอย อะไรกันเนี่ย ตกลงแล้วอะไรเป็นตัวอะไรกันเนี่ย ข้าม ๆ ไปแล้วไปช่วยเบสเลยไม่ได้หรือไง”
จัสตินกลอกตามองเพดาน ขณะที่ลุคยังคงพยายามอย่างหนักเพื่อให้บลูใจเย็นลง
“ซอว์นีย์ที่พวกเราเรียกมันว่าพ่อมด มีเฮ้นช์แมนอยู่ 4 คน คืออารันญ่าที่เป็นปีศาจแมงมุมดำ ไวเพอร์ซึ่งเป็นพ่อมดจากแอฟริกาที่ควบคุมพวกงูพิษ ดาร์ทพ่อมดพิษสีน้ำเงิน แล้วก็อูซุสเป็นพ่อมดตัวใหญ่เหมือนหมี”
บลูอ้าปากค้างลืมตัวหันไปรับนมอุ่นจากจัสตินทั้งกล่าวขอบใจ
“ตัวหนึ่งเป็นปีศาจ อีก 3 เป็นพ่อมดที่ถูกเวทย์มนตร์ของตัวเองกลืนกินงั้นหรือ”
“ใช่” ลุคย้ำ “เราพบเจอพวกพ่อมด แม่มด รวมถึงพวกนักเล่นแร่ที่นี่ในจำนวนที่มากจนผิดปกติ เหตุผลเดียวก็คือนาย พวกมันกำลังแข่งกันว่าใครจะพบนายก่อน แล้วการที่อารันญ่าที่เคยอยู่ในยุโรปมาปรากฎตัวที่นี่ทั้งเข้าควบคุมเบสแล้วแบบนี้ ไม่แน่ว่า ไวเพอร์ ดาร์ท แล้วก็อูซุส หรือแม้แต่ซอว์นีย์ก็อาจจะมาที่นี่แล้ว”
บลูนิ่งเงียบขณะที่จิบนมอุ่น
“เอาอย่างนี้ ฉันขอเวลา 3 วัน ตรวจสอบให้แน่ใจ ถ้าเป็นอารันญ่าจริง ๆ ฉันต้องการกำจัดมันก่อน แต่ถ้ามีคนอื่นมาด้วย พวกเราก็อาจต้องดึงพวกมันทั้งหมดกลับไปที่สวีเดน”
“ต้องทำวีซ่าไหม” จัสตินถามขึ้น
“เดี๋ยวนะ วีซ่าอะไร” บลูถาม
“เชงเก้นไง ลุคถือหนังสือเดินทางยูเคอยู่ ของฉันเยอรมัน ไม่ต้องขอวีซ่า”
บลูทำหน้างง ขณะที่ลุคส่ายหน้าก่อนที่จะอธิบาย “พวกเราหายตัวไม่ได้ เวลาจะข้ามแดนก็ต้องทำตามกฎหมาย”
“อะไรกันเนี่ย นอกจากจะมีศัตรูเป็นกองทัพ พวกนายก็ยังมีเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ต้องจัดการอีกล้านแปดเรื่อง ตกลงนอกจากฉันจะช่วยเกรซไม่ได้ ฉันยังต้องปล่อยให้คาร่าแก่ตายไปเองด้วยใช่ไหม”
“เอาเป็นว่า ยังไงก็ไปภายในวันสองวันนี้ไม่ได้น่ะแหละ เดี๋ยวให้ฌ็องส์ไปจัดการเรื่องการเดินทางให้” ลุคมีสีหน้าขอโทษ
บลูรู้สึกอยากคุ้มคลั่ง “ทำไมเรื่องเยอะขนาดนี้นะ”
จัสตินกระแทกเสียงในลำคอ แล้วหันไปหาลุค “ไหน ๆก็กลับมาบ้านแล้ว ฉันจะทำอาหารเที่ยง พวกนายกินอาหารก่อนแล้วค่อยไปพัก ค่ำค่อยออกไปใหม่ดีกว่า”
ลุคพยักหน้าแล้ว คว้าเสื้อหนังไปแขวนไว้แล้วหันมาถาม
“ว่าไง อยากไปล้างหน้าล้างตัวก่อนไหม จัสตินทำอาหารไม่นานหรอก แล้วที่นี่ก็เงียบมาก นายน่าจะนอนหลับสนิทไม่ตื่นมาปวดหัว”
บลูหันไปมองจัสติน “แต่ว่า...”
“นายต้องหลบหนีมาตลอดหลายวันไม่ใช่หรือไง ตอนนี้มีโอกาสได้พักก็ควรจะพักสักหน่อย”
ผู้มีดวงตาสีฟ้าเดินตามลุคขึ้นมาที่ห้องชั้นบนทั้งที่ยังรู้สึกขัดใจ
ห้องนอนที่ลุคกำลังลดแสงสว่างในห้องนี้ให้เหลือน้อยที่สุด มีทั้งหนังสือและสิ่งของหลายอย่าง “พวกนายอยู่ที่นี่มานานแล้วหรือ ของถึงได้มากขนาดนี้”
“นานกว่า 1 ปีแล้ว พอครบกำหนดฌ็องส์ก็ไปทำเรื่องขอต่อวีซ่าให้ พวกเราไม่ต้องทำอะไร”
บลูยกมือ “โชคดีชะมัดที่ฉันเป็นปีศาจ ไม่ต้องทำอะไรอย่างนั้น”
ลุคส่ายหน้าแล้วเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตัวก่อน ขณะที่บลูเดินไปรอบห้องแล้วหยุดมองหนังสือปกหนังเดินขอบทองเล่มใหญ่ ตัวหนังสือภาษาอาหรับที่หน้าปกเป็นถ้อยคำสรรเสริญพระเจ้า
การตามล่าแม่มดกลุ่มหนึ่งจำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องเลยหรือ
...พวกซอว์นีย์ไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น
และบลูก็ไม่ได้สนใจหนังสือเล่มนั้น
หนุ่มตัวเล็กหันไปมองสิ่งของที่วางอยู่บนชั้น ส่วนใหญ่คือดาบและอาวุธจำลอง แต่บลูรู้ว่าอาวุธเหล่านี้สามารถใช้งานได้จริง และมันคืออาวุธที่เจ้าของสามารถเรียกใช้จากที่ห่างไกลได้
เพียงแต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่ไม่เข้าพวก
กระดิ่งแก้วแบบที่มีด้ามจับ ทั้งตัวกระดิ่งจนถึงด้ามจับเชื่อมต่อเป็นเนื้อเดียวกัน และมี ‘สีเทาใส’ สีเดียวกับดวงตาชาวเยอรมันคนนั้น...
“...เฮ้ หลับอยู่หรือเปล่า คุยกันหน่อยสิ...”
เด็กผู้ชายตัวเล็กผมสีทอง ดวงตาสีเทาใสปรากฏตัวนั่งอยู่ข้างกระดิ่งแก้ว ชุดที่เด็กชายสวมใส่ยังเป็นชุดเสื้อสีขาวกับกางเกงขาสั้นสีน้ำตาล
บลูคลี่ยิ้ม เด็กผู้ชายคนนี้คือสาเหตุที่ทำให้จัสตินคุ้มครองบ้านหลังนี้อย่างแน่นหนา
...
ลุคเปิดประตูห้องน้ำออกมา มองเห็นแต่ด้านหลังของบลู
“อาบน้ำ ล้างหน้าสักหน่อยไหม แล้วเมื่อกี้จัสตินขึ้นมาหรือ”
“เปล่า” บลูหันมา
“เหมือนได้ยินนายกำลังคุยกับใคร”
“คุยกับใครล่ะ ฉันกำลังบ่นว่าห้องนี้มันรกมากต่างหาก”
ลุคมองตามคนที่เดินสวนไปเข้าห้องน้ำ แล้วหันไปมองตำแหน่งที่บลูยืนอยู่เมื่อครู่
กระดิ่งแก้วสีเทาใสใบนั้น
...
ในระหว่างมื้ออาหารบลูตั้งคำถามมากมายที่บ่งบอกว่า นกฮูกตาสีฟ้าตัวนี้จดจ่ออยู่แค่การแก้แค้นเป็นอย่างมาก จนแทบจะไม่ได้สนใจความเปลี่ยนแปลงในแต่ละยุคสมัย
“ฉันไม่ได้เป็นนกฮูกที่ไม่ได้สนใจความเปลี่ยนแปลงขนาดนั้น ฉันรู้จักไอ้พวกเอกสารหรืออะไรที่นายพูดกัน แค่ลืมไปว่าพวกนายต้องใช้มัน”
จัสตินรู้สึกขำเวลาที่เห็นสายตาของลุคเวลาที่มองเจ้าปีศาจนกฮูกตัวนี้เล่าเรื่อง แต่การที่ต้องอยู่ใกล้กับปีศาจในระยะไม่เกิน 3 เมตรแบบนี้ดูเป็นการทดสอบความอดทนที่มากเกินไปสักหน่อย
“ฉันคิดว่า พวกนายควรขึ้นไปพักข้างบน นอนหลับสักหลายชั่วโมง เพราะเรายังออกไปตอนนี้ไม่ได้”
เมื่อจัสตินบอก บลูก็ลุกขึ้นยืน พยายามเงี่ยหูฟังเสียงรอบตัว
“มีอะไร ฉันไม่เห็นได้ยินอะไรเลย”
“ถ้าออกไปตอนนี้น่ะมีแน่” จัสตินพยักหน้าใส่ลุค “พาเด็กน้อยของนายไปนอนได้แล้ว”
ลุคที่ไม่สามารถหุบยิ้มได้ ลุกขึ้นยืนและเดินนำขึ้นไปข้างบน
“เดี๋ยวนะ” บลูดึงมือลุคไว้ “ฉันไม่อยากนอนในห้องที่นายพาขึ้นไปครั้งแรก”
ลุคกับจัสตินหันไปมองหน้ากัน แล้วพยักหน้าพาขึ้นไปที่ห้องนอนเล็กที่มีเบาะนอนแบบพับกับผ้าห่มวางอยู่ จัสตินตามขึ้นมาด้วยเพื่อขนผ้าห่มมาลดแสงในห้องนี้
ไม่เคยมีใครมาพักในห้องนี้ พวกเครื่องนอนในห้องนี้คือเครื่องนอนของจัสตินที่จะยกลงไปนอนที่ห้องข้างล่าง ในเวลาที่ลุคมาพักที่นี่
บลูยืนมองจัสตินแล้วหันไปมองทางห้องนอนอีกด้านของผนัง จนกระทั่งลุคหันมาถามว่าแสงสลัวระดับนี้พอหรือไม่
“พอแล้ว” บลูบอก แล้วหันไปหาจัสติน “นายไม่ได้อยู่ที่นี่ตลอดเวลา” บลูพูดแล้วเม้มริมฝีปากลังเลว่าจะพูดต่อดีไหม แล้วก็ตัดสินใจพูดต่อให้จบ “การวางคาถาป้องกัน การทำให้ที่นี่เป็นเรื่องลึกลับมันยิ่งทำให้ที่นี่เป็นจุดสนใจ และทำให้เขาเป็นอันตราย”
จัสตินชะงัก เดินเข้ามาตบไหล่เบา ๆ แล้วเดินออกไปจากห้อง
“เคยคุยกันเรื่องนี้แล้วใช่ไหม”
ลุคพยักหน้า กอดไหล่บางพาให้ไปนอนพัก
จัสตินเข้าใจเรื่องอันตรายเป็นอย่างดี  แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการเพิ่มการคุ้มครองมากขึ้นไปอีก
สำหรับจัสตินแล้ว กระดิ่งเงินใบนั้นเป็นมากกว่าเครื่องราง   
“นี่”
“หืม”
“ใช้คาถากั้นเสียงและอะไรทุกอย่างในห้องนี้ได้ไหม ฉันไม่อยากให้เขาได้ยิน”
ลุคยกนิ้วชี้ขึ้นแล้วหมุนเป็นวงกลม ทุกสรรพเสียงรอบตัวก็อยู่ห่างไกลออกไป 
ชายหนุ่มไม่ได้ตัดห้องนี้ออกจากสภาพแวดล้อมทั้งหมด เพราะยังจำเป็นต้องติดตามความเคลื่อนไหวรอบตัวเหมือนกับบลูที่ต้องเฝ้าระวังว่าจะมีศัตรูไล่ตามเข้ามาหรือไม่ การป้องกันเสียงจึงทำได้แค่ ‘หรี่’ เสียงในห้องนี้ และเสียงจากรอบตัวเท่านั้น
...ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย...
บลูยักไหล่ขณะที่เดินไปนอน ส่วนลุคเดินตามมานั่งพิงฝาผนังห้อง เหยียดขา อีกคนก็ขยับตัวมานอนหนุนตัก ขอให้เล่าเรื่องของเฮ้นช์แมนทั้ง 4 ของซอว์นีย์ให้ฟังอีกครั้ง
ตั้งแต่ตอนที่อยู่บ้านร้านกาแฟ บลูก็มักจะขอให้ลุคเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง และนั่นเป็นเพียงช่วงเวลาเดียวที่บลูจะทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี มีการซักถามและแสดงความเห็นที่น่าสนใจ คราวนี้ก็เหมือนกันที่บลูสรุปว่า
“ทุกคนต่างก็มีคนสำคัญที่ต้องการปกป้อง พวกมันก็เลยพยายามเข้าถึงคนสำคัญของพวกเราให้ได้ แต่สิ่งที่พวกมันไม่ได้เรียนรู้ก็คือ คนสำคัญเหล่านี้แหละที่ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น และพยายามมากขึ้นที่จะปกป้องพวกเขา”
คนที่เล่าเรื่องก้มลงมาหาแล้วจูบ
...คนสำคัญที่อยากปกป้อง ทั้งที่เขาไม่ได้ต้องการให้ปกป้อง
มือเล็ก ๆ ตีที่ไหล่หนา “ฉันไม่ได้ให้นายกั้นเสียงเพื่อทำเรื่องนี้นะ”
แต่ลุคหัวเราะเบา ๆ จับให้บลูนอนหนุนหมอน ส่วนตัวเองเลื่อนลงมาคร่อมตัวแล้วจูบ มือใหญ่จับมือเล็กให้มาสัมผัสเหนือหัวใจ
ลุครู้ว่าบลูหลงใหลความมีชีวิต ลมหายใจอุ่นและกล้ามเนื้อหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะ
แต่ความคิด ความรู้สึกที่สื่อผ่านดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นต่างหากที่บ่งบอกถึงความมีชีวิตได้ชัดเจนที่สุด
“ลุค เมอร์ฟี คืนนี้ไปดูที่บ้านของคาร่ากันอีกสักรอบ ฉันรู้ว่ามันอาจเป็นกับดัก แต่ฉันต้องทำอะไรสักอย่าง ฉันรออยู่อย่างนี้ไม่ได้จริง ๆ”
“ฉันเคยไปสำรวจบ้านนั้นแล้ว และทำลายพวกเครื่องราง และสิ่งของที่มีวิญญาณติดตามมาด้วยไปหลายชิ้น หลังจากที่ผกาออกจากบ้านไปในคืนที่พวกเราไปที่คลินิกเถื่อน เธอก็ไม่ได้กลับมาอีก ส่วนแม่บ้านที่ชื่อกัลย์เธอถูกปีศาจครอบงำอยู่ ฉันจัดการปีศาจตัวนั้นไปแล้ว ตอนนี้ที่บ้านของผกาไม่มีใครอยู่แล้ว”
บลูขยับตัวจะลุกขึ้นนั่ง แต่ลุคจับให้นอนหนุนแขน
ดวงตาสีฟ้าดูจะไม่พอใจอยู่หน่อย ๆ แต่แล้วก็ยอมตามใจ ลุคที่พอใจท่าทีนี้พลิกตัวตามลงมาจูบหน้าผาก
“บ้านที่ไม่มีคนอยู่ สุดท้ายแล้วก็จะกลายเป็นที่อยู่ของวิญญาณเร่ร่อน” ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ทั้งลุค และบลู จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
“ตอนนายเรียกฉันกลับมา ฉันกำลังจะไปสำรวจบ้านเก่าหลังหนึ่งที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของเมือง ถ้าไม่อยากรออยู่เฉย ๆ คืนนี้พวกเราไปด้วยกันก็ได้ ฉันจะจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จ แล้วพวกเราไปสวีเดนด้วยกัน”
“ถ้าเราไปสวีเดน แล้วแมงมุมตัวนั้นมันจะทำอะไรเกรซไหม”
“คนที่พวกมันต้องการคือนาย ไม่ใช่เกรซหรือคาร่า”
“แต่มันก็ยังมีความเป็นไปได้ที่พวกมันจะทำร้ายเกรซเพื่อขัดขวางไม่ให้พวกเราไปสวีเดน หรือเพื่องบังคับให้พวกเรากลับมาจากสวีเดน”
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันก็ต้องตรวจสอบว่าพวกมันรู้เรื่องที่พวกเราจะไปสวีเดนได้ยังไง”
“เออจริง” บลูขยับตัวกอดเอวหนาไว้ “ในเมื่อฉันยอมตามใจนายเรื่องที่นายจะไปกำจัดซอว์นีย์ก่อนให้ได้ นายก็ต้องรักษาสัญญาเรื่องที่จะช่วยเกรซให้ได้เหมือนกัน”
“แน่นอน”
...
(มีต่อครับ)

ออฟไลน์ MyTeaMeJive

  • MyTeaMeJive
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1894
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3313/-9
OWAZA ตอนที่ 17 (14/01/64)
«ตอบ #209 เมื่อ14-01-2021 18:56:52 »

(ต่อครับ)

บลูตื่นนอนในตอนเกือบสองทุ่ม เพราะได้กลิ่นอาหารมื้อค่ำที่จัสตินเตรียมไว้
“ขอโทษ ฉันหลับสนิทเลย”
บลูพยายามทำสีหน้าเรียบเฉย ทั้งที่ในใจกำลังรู้สึกอาย เพราะในฐานะที่เป็นปีศาจนกฮูกที่บรรดาพ่อมด หมอผีมากมายต่างก็ต้องการตัว สมควรที่จะรู้สึกตัวตื่นนอนตั้งแต่ตอนที่ลุคตื่น แต่นี่กลับไม่รู้สึกตัวจนกระทั่งได้กลิ่นอาหาร
แย่ชะมัด!
“จัสตินทำสเต็ก มากินก่อนสิ เสร็จแล้วจะได้ออกไปจัดการเป้าหมายคืนนี้กัน”
บลูมองจานอาหารใบใหญ่ที่มีเนื้อชิ้นใหญ่ กับเครื่องเคียงมากมาย แล้วหันไปมองหน้าคนทำอาหาร
“จะว่าอะไรไหม ถ้าฉันจะกินไม่หมด”
คือมันเยอะมากสำหรับนกฮูก แต่มันอาจเป็นปริมาณที่พอเหมาะสำหรับมนุษย์ตัวใหญ่อย่างทั้ง 2 คน
จัสตินพยักหน้าเชิงบอกว่าตามสบาย แต่บลูยังมีข้อสังเกตเมื่อเปรียบเทียบเนื้อสเต็กในจานของตัวเองที่ค่อนข้างดิบกว่าอีก 2 จาน
“ตอนที่เป็นนกฮูก ไม่ว่าจะกินหนอน หรือเมล็ดถั่ว ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะต่างกัน แต่พอมาอยู่ในร่างมนุษย์ไม่ว่าจะกินอะไร ก็มักจะรู้สึกว่าอาหารคือสิ่งมหัศจรรย์ยิ่งการทำอะไรออกมาสวย ๆ แบบนี้”
“แล้วมันดีไหม” ลุคถาม
“ดี อย่างน้อยนี่ก็คืออาหารที่มีคนทำให้กิน ไม่ใช่บินออกไปไล่จับมากินเอง” บลูเล่าแล้วส่ายหน้า “ถ้าบรรยายออกมา นายต้องกินไม่ลงแน่ ๆ”
“แล้วถ้าเทียบกับแซนด์วิชและนมอุ่นที่ร้าน นายชอบแบบไหน”
บลูทำปากยื่นชกที่ไหล่หนาเบา ๆ ไม่ได้บอกว่าชอบอาหารที่ไหนมากกว่ากัน
...
บลูยังคงใช้วิธีแฝงตัวไปกับไอความร้อนจากรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของลุคที่มุ่งตรงไปที่เป้าหมาย
ถนนลูกรังสายนี้มีความกว้างพอให้รถวิ่งสวนทางกันได้ เมื่อพ้นจากบ้านหลังสุดท้ายที่มีลักษณะเป็นเพิงพักที่ไม่แข็งแรง เส้นทางระยะมากกว่า 10 เมตรถัดไปจะมีสภาพที่เป็นหลุมเป็นบ่อเป็นระยะไปตลอดทาง
ตั้งแต่ตอนที่อยู่ห่างจากเป้าหมายมากกว่า 10 เมตร บลูก็รู้สึกถึงไอปีศาจที่ข่มขู่ว่าอย่าเข้ามาใกล้ แต่คนที่ขับรถมอเตอร์ไซค์ทั้ง 2 คันก็ไม่เห็นจะสนใจ พุ่งตรงไปหาที่หมายอย่างแน่วแน่
สรุปว่า วันนี้พวกเขามาหาปีศาจ ไม่ได้มาหาพ่อมด ทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกเขาไล่ล่าพ่อมดแม่มดจนสามารถยึดเครื่องรางได้มากมายจนผู้พิทักษ์ชาวเยอรมันคนนั้นต้องบ่นไม่ใช่หรือไง
จากตำแหน่งที่รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ 2 คันจอดอยู่ ถัดไปคือประตูบานเล็กขนาดความกว้างเท่ากับสะพานไม้ที่ทอดไปหาบ้านไม้ 2 ชั้นสภาพไม่แข็งแรงที่ปลูกอยู่กลางบึงน้ำ
ทุกสิ่งทุกอย่างในที่นี้ดูน่ากลัว และไม่น่าเข้าใกล้ ต่อให้ไม่มีเงาปีศาจสีดำดวงตาสีแดงที่ยืนจ้องมองลงมาจากหน้าต่างบ้านที่ชั้น 2 นั่นก็ตาม
ท่ามกลางความมืด ที่มองเห็นก็มีแต่ดวงตาสีแดงคู่นั้น กับความรู้สึกว่าถูกเกลียดชังเป็นอย่างมากจนสงสัยตัวเองว่ารู้จักกับเจ้าปีศาจตนนี้ด้วยหรือ แล้วไปทำร้ายเขาอย่างไร ตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงได้ถูกเกลียดขนาดนี้
ยังมีความเคลื่อนไหวในบึงน้ำ ฟองที่ผุดขึ้นมาดึงความสนใจจากชั้น 2 ของบ้านลงมาที่ระลอกคลื่นและกลิ่นเหม็นรุนแรง 
ในตอนแรกยังคิดไปว่านี่คือกลิ่นน้ำที่เน่าเสีย แต่เมื่อลุคแตะที่ประตูไม้กลิ่นนั้นก็ชัดเจนขึ้น บลูคว้าชายเสื้อของลุคไว้แน่น เมื่อเห็นร่างที่ผุดขึ้นมาอยู่เหนือน้ำ
“อีกแล้วหรือ”
น้ำเสียงของบลูนั้นเบาจนแทบจะไม่พ้นจากริมฝีปาก แต่ทำให้ลุคก้าวถอยออกมา แล้วบอกให้บลูถอยไปรออยู่ที่รถ ขณะที่จัสตินที่ถือดาบสั้นปลายแหลมแบบเยอรมันเข้ามายืนแทนที่ลุคเมื่อครู่
บลูพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ก้าวถอยไปยืนรออยู่ที่รถ แต่ยังคงจ้องมองร่างเล็ก ๆ นับสิบ ที่ผุดขึ้นมาจากบึงน้ำแล้วส่งเสียงกรีดร้องเพื่อสร้างความหวาดกลัว
“เด็ก เยอะ เลย”
“รออยู่ตรงนี้นะ”
ลุคกำชับอีกครั้ง จากนั้นก็หันหลังให้ ขณะที่เดินกลับไปที่ประตูบ้านหลังนั้นก็สะบัดข้อมือทั้ง 2 ข้าง ปลอกข้อมือแอเรียสเรียกแส้หนังสีแดงเหมือนกับดวงตาเจ้าปีศาจตนนั้นออกมา
ในตอนที่ลุคสะบัดแส้ กลับแผ่ความเย็นเหมือนเกล็ดน้ำแข็ง ที่เสียดแทงลึกเข้าไปถึงในกระดูก บลูที่อยู่ด้านหลังถึงกับยกมือกอดอก แต่เมื่อลุคหันมามอง บลูก็รีบส่ายหน้า
“ฉันไม่เป็นไร นายไปจัดการธุระของนายเหอะ”
จัสตินผลักเปิดประตูนำเข้าไปก่อน แล้ววาดดาบในมือ แสงสีขาวจากปลายดาบแผ่กระจายตัดร่างเล็ก ๆ เหล่านั้นออกเป็นสองท่อนแล้วสลายไป ขณะที่ลุคฟาดแส้ลงกับพื้นกลายเป็นแรงส่งให้ดีดตัวขึ้นไปหาปีศาจที่อยู่บนบ้าน
ตอนที่จัสตินวาดดาบตัดร่างเล็ก ๆ เหล่านั้นบลูถึงกับสะดุ้งเฮือก ทั้งเกือบจะร้องตะโกนต่อว่า แต่เมื่อมวลอากาศสีดำปรากฎขึ้นมาแทนที่แล้วรวมกลุ่มขึ้นมาใหม่ บลูก็ได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่
วิญญาณเด็กในบึงน้ำ กลายเป็นกลุ่มก้อนสีดำพุ่งตรงเข้ามาหาจัสตินในลักษณะที่พร้อมจะเข้าครอบคลุมแล้วกัดกิน แต่ก็ถูกจัสตินวาดดาบตัดกลุ่มก้อนสีดำนั้นจนแตกกระจาย เพื่อที่จะกลับมากลับมารวมตัวใหม่เป็นกลุ่มก้อนสีดำ 2 ก้อนที่แยกย้ายกันเข้ามาหาอีกครั้ง
นั่นเป็นการเปลี่ยนรูปร่างของวิญญาณที่มีความโหดร้ายมาก
ขณะที่ลุคซึ่งกระโดดขึ้นไปหาปีศาจที่ชั้น 2 ฟาดแส้ 1 ครั้งเพื่อสลายมวลอากาศสีดำแห่งความเกลียดชังที่ปีศาจตนนั้นสร้างขึ้นเพื่อทำร้ายผู้บุกรุกเข้ามาหา จากนั้นฟาดแส้ครั้งที่ 2 เพื่อผลักดันให้ปีศาจนั้นถอยห่างจากหน้าต่าง เปิดช่องว่างให้ลุคเข้ามาในบ้านได้ แต่เมื่อจะผ่านกรอบหน้าต่างเข้ามาก็ต้องเผชิญกับมวลอากาศสีดำแห่งความเกลียดชังที่ถูกเรียกขึ้นมาใหม่และพุ่งเข้ามาหา ทั้งยังมีวิญญาณที่หลงลืมตนเองไปแล้วจนกลายเป็นเงาสีดำที่ไร้รูปร่างถูกเรียกขึ้นให้ต่อสู้กับลุคอีก
เงาสีดำเหล่านี้ ไม่ได้ถูกเรียกขึ้นมาจากบึงน้ำ แต่มาจากที่ใดที่หนึ่งในบ้านหลังนี้ 
ชายหนุ่มฟาดแส้สลายวิญญาณที่พุ่งเข้ามาหา และผลักให้ทั้งปีศาจและวิญญาณล่าถอยออกไปอยู่ใกล้หน้าต่างฝั่งตรงข้าม เปิดช่องว่างให้เข้ามาอยู่ภายในบ้านได้สำเร็จ
ปีศาจตาสีแดงแผ่ร่างให้กว้างกว่าเดิมแล้วพุ่งเข้ามาหา ลุคฟาดแส้ในมือชิ้นส่วนที่ถูกฟาดจนขาดยังพุ่งเข้ามาหา ชายหนุ่มสะบัดแส้อีกครั้ง ชิ้นส่วนเหล่านั้นก็แตกสลาย แต่ตัวตนของปีศาจที่อยู่ในฝั่งตรงข้ามกลับมาสมบูรณ์ดังเดิม
ท่ามกลางประกายแส้สีแดงที่วิ่งวนล้อมรอบห้องในชั้น 2 ของบ้านที่เป็นเพียงห้องโล่งเพียงห้องเดียว ปีศาจตาสีแดงยืนอยู่ด้านข้าง สิ่งของเพียงชิ้นเดียวที่อยู่ในห้องนี้คือรูปถ่ายชายคนหนึ่งในกรอบสีเงิน ที่ติดอยู่ที่ฝาผนัง
รูปขาวดำนั้นถ่ายไว้นานแล้ว ทั้งด้วยความมืดสลัว ทำให้มองเห็นได้ไม่ชัด ลุคดีดนิ้วเรียกเปลวไฟจากปลายนิ้วมือส่งเข้าไปหารูปภาพ
แต่ภาพนั้นไม่มีชื่อบุคคลในภาพ ไม่มีอะไรสักอย่างที่จะบ่งชี้ว่าเขาคือใคร
ทั้งปีศาจและวิญญาณในห้องนี้เคลื่อนไหวช้า ๆ เพื่อที่จะถอยห่างจากแสงสีแดงจากแส้แอเรียส แต่จะหนีไปที่ไหนได้ในเมื่อแสงนั้นล้อมรอบห้องนี้
ชายหนุ่มหมุนแส้ในมือช้า ๆ ขณะที่กล่าวถ้อยคำ
“ไม่ว่าเวลาปัจจุบันเจ้าจะอยู่ในสถานะอะไร มีความรู้สึกอย่างไร เรื่องราวที่เป็นสาเหตุนั้นล้วนผ่านไปแล้ว จงปล่อยมันไป”
ปีศาจตนนั้นต่อต้านด้วยการกรีดร้องเสียงดัง จนทำให้บ้านทั้งหลังสั่นสะเทือน ลุคฟาดแส้อีกครั้งแต่ปีศาจตนนั้นปัดออกทั้งควบคุมวิญญาณผู้หลงลืมตัวตนเหล่านั้นเข้ามาทำร้าย แต่เมื่อเข้ามาใกล้ลุคก็ฟาดแส้ออกไปวิญญาณเหล่านั้นแตกกระจัดกระจายแล้วกลับมารวมเป็นร่างเดียวกันดังเดิม
เสียงกรีดร้องทั้งในบ้านและนอกบ้านสร้างความหวาดกลัว ทั้งส่งผลต่อจิตใจให้ผู้ที่ได้ยินมีความเกลียดชังเพิ่มขึ้นจนอาจต้องคุ้มคลั่งแล้วหันไปทำร้ายผู้อื่น
แต่เสียงนี้ไม่มีผลต่อลุคและจัสติน
ลุคหมุนแส้ในมือขณะที่ท่องคาถาเพื่อให้ปีศาจสงบลง แล้วกลับมาสู่ร่างวิญญาณเพื่อที่จะส่งกลับไป 
นี่เป็นขั้นตอนที่ลุคต้องใช้พลังเป็นอย่างมาก เพื่อควบคุม และสลายสาเหตุที่ทำให้วิญญาณของผู้ที่เดินทางมาไกล ต้องกลายไปเป็นปีศาจ ทั้งยังต้องใช้เวลานานจนบลูที่รออยู่ข้างนอกรู้สึกกังวล และต้องเปลี่ยนกลับไปเป็นนกฮูกซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้
เวลาผ่านไปจนใกล้สว่าง เงาสีดำที่บึงน้ำถูกจัสตินสลายไปหมด บลูจึงรีบเข้ามาหาแล้วเปลี่ยนร่าง
“เรียบร้อยแล้วใช่ไหม”
จัสตินเช็ดรอยเปื้อนที่เสื้อพลางพยักหน้า
“นายส่งเด็ก ๆ ที่สู้กับนายไปในที่ดี ๆ หรือแค่กำจัดพวกเขา”
จัสตินเหลือบตามองดวงตาสีฟ้า ไม่ได้ตอบคำถามนั้นแล้วเดินนำเข้าไปที่บ้าน ทิ้งให้บลูคาดเดาคำตอบเอาเอง
ผู้ที่มีดวงตาฟ้ามองไปรอบ ๆ แล้วก็เดินตามเข้าไปในบ้านอีกคน
บ้านหลังนี้เป็นบ้านเปล่า ๆ ที่ประกอบไปด้วยฝาผนัง 4 ด้าน ไม่มีเครื่องเรือน ประตูบ้านผุพัง ช่องหน้าต่างบางช่องยังมีบานหน้าต่างอยู่ ส่วนที่ไม่มีก็เพราะว่าผุพังลงมา ไม่ใช่เพราะมีผู้บุกรุกเข้ามางัดแงะขโมยของ
ลุคกำลังก้าวลงบันไดอย่างระมัดระวัง เพราะบันไดบางขั้นหายไป
“ต้องสะสมความเกลียดไว้มากขนาดไหนถึงเปลี่ยนคนให้เป็นปีศาจ” บลูพูดขึ้นมาลอย ๆ ทำให้อีก 2 คนหันมามอง
“ทำไมต้องมองอย่างนั้น ความเกลียดของเจ้าตัวสีดำนั่นมันชัดเจนเสียขนาดนั้น”
จัสตินกับลุคกำลังส่งสัญญาณบางอย่างให้กัน ที่ทำให้บลูรู้สึกไม่สบายใจ
“ถ้ามีความลับแล้วพาฉันมาทำไม”
ลุคพยักหน้าเรียกให้ทั้ง 2 คนเดินตามขึ้นมาที่ด้านบน แล้วชี้ไปที่รูปที่ฝาผนัง
บลูเอียงคอมอง แล้วหันมาหาลุค “อธิบายมาเถอะ” นายก็รู้ว่านอกจากเผาคาร่าแล้ว ฉันทำอย่างอื่นไม่เป็น
“บรรพบุรุษของเขาคือเฒ่าเลียมหัวหน้าคนสวนที่บ้านของฉันในเบ็ตตี้ เมื่อนานกว่า 400 ปีที่แล้ว” ลุคหันมามองบลูที่กำลังทบทวนความทรงจำเมื่อหลายปีก่อน “เรารู้ว่าซอว์นีย์ คือกลุ่มพ่อมด แม่มดที่ควบคุมปีศาจ ขณะที่ทายาทคนนี้ของเฒ่าเลียมกลายเป็นปีศาจด้วยอำนาจที่ถ่ายทอดมาทางสายเลือด และเมื่อเขาตกอยู่ในความเกลียดชังเป็นอย่างมาก เขาใช้อำนาจนั้นในทางที่ผิดทำให้เขากลายเป็นปีศาจในแบบเดียวกัน”
บลูเข้าใจไม่ถึงครึ่ง “เฒ่าเลียมคือพ่อมด หรือเป็นคนควบคุมปีศาจของคาร่า”
ขณะที่จัสตินกลอกตามองบน ลุคก็ต้องเริ่มอธิบายตั้งแต่แรก
“ฉันไม่รู้ พวกเราตามหาซอว์นีย์จากหลายทาง หนึ่งในนั้นคือการตามหาบันทึกการไต่สวนเพื่อหาตัวคนที่กล่าวหา หรือเป็นพยานในคดีที่เกิดขึ้นในเบ็ตตี้ รวมถึงครอบครัวไร้ท์ แต่เราไม่เจอชื่อใครสักคนอยู่ในบันทึก ไม่มีแม้แต่ชื่อของคาร่า ทั้งที่เราทุกคนรู้ว่าเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรง เรารวบรวมรายชื่อของคนในบ้านของฉัน รวมถึงคนในหมู่บ้าน แล้วก็มาวิเคราะห์พฤติกรรมของพวกเขา ว่ามีใครเข้าข่ายว่าจะเป็นพ่อมด หรือผู้ควบคุมปีศาจ”
ช่างเป็นการทำงานที่กว้างมาก และต้องใช้เวลาในการติดตามการเคลื่อนไหวของแต่ละครอบครัวเป็นเวลานาน
“แต่เมื่อย้อนกลับไปนึกถึงเฒ่าเลียมในเวลานั้น ฉันไม่คิดว่าเขาจะเป็นพ่อมด หรือเป็นผู้คุมวิญญาณ เพราะเขาอยู่ที่บ้านมาก่อนที่คาร่าจะเข้ามาที่บ้าน เป็นคนไม่มีความลับ เขาอาจจะมีความไม่พอใจใครบางคน แต่ก็ไม่ใช่คนที่มีอารมณ์รุนแรง หรือมีอะไรให้ต้องสงสัยว่าจะเกี่ยวกับเรื่องนี้ สรุปคือในตอนแรกที่ฌ็องส์บอกว่ามีผู้สืบเชื้อสายของคนงานในบ้านคนหนึ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ ฉันก็ยังไม่คิดว่าจะเป็นทายาทของเฒ่าเลียม”
“นายคิดสงสัยใคร”
“ฉันคิดถึงพวกคนงานในครัว หรือโรงฆ่าสัตว์ ไม่ก็พวกกลุ่มคนแก่ที่เป็นผู้นำหมู่บ้านที่มักจะไปที่โบสถ์”
บลูละสายตาจากภาพถ่ายแล้วหันมาหาลุค “เอาเป็นว่า เมื่อรู้ว่าปีศาจตัวนี้คือทายาทของเฒ่าเลียมแล้วจะจัดการยังไงต่อไป”
สาธุคุณฌ็องส์คือผู้พบเบาะแสว่ามีบุคคลที่สืบเชื้อสายมาจากชาวเบ็ตตี้คนหนึ่งย้ายมาอยู่ที่นี่เมื่อ 80 ปีก่อน และมีครอบครัว ลุคกับจัสตินจึงตามมาพบ เพื่อหาเบาะแส แต่กลับพบว่า คนผู้นี้กลายเป็นปีศาจไปนานหลายปีแล้ว
จัสตินพูดขึ้น “ดูจากช่วงเวลาที่มา น่าจะเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาอาจเป็นคนที่ถูกส่งมายังอีกซีกโลกหนึ่งด้วยเหตุผลบางอย่าง”
“เราต้องให้ฌ็องส์สืบต่อ ว่ายังมีใครในครอบครัวของเฒ่าเลียมที่เป็นปีศาจอีกหรือไม่” ลุคชี้ไปที่รูปภาพ “ที่ฉันสามารถบอกกับนายในตอนนี้ได้ก็คือ สำหรับมนุษย์โดยทั่วไป จะมีหลายสาเหตุที่สามารถเปลี่ยนให้เขากลายไปเป็นปีศาจได้ แต่จะมีปีศาจอยู่รูปแบบหนึ่งที่จะเกิดขึ้นกับคนที่เคยเป็นพ่อมด หรือเคยควบคุมปีศาจ”
ลุคกำลังพูดถึงหลักฐาน ที่บลูรู้ว่าการที่ลุคเล่าเรื่องมาตามลำดับอย่างระมัดระวัง ก็เพื่อไม่ให้คนฟังอาละวาดขึ้นมาก่อนที่จะเล่าเรื่องจบ
แต่เพราะต้นเรื่องราวที่เกี่ยวกับปีศาจตนนี้มีความเกี่ยวข้องกับการใส่ร้ายครอบครัวไร้ท์ ดังนั้นบลูจึงต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมากเพื่อที่จะฟังเรื่องที่อีกคนกำลังอธิบายให้จบ
“ปีศาจแบบที่เราเจอวันนี้ มีชื่อเรียกกว้าง ๆ ว่าเฟโอ”
“น่าเกลียดน่ะหรือ” บลูถาม
“ใช่” ปีศาจที่เกิดจากความเกลียดชัง ชื่อว่าน่าเกลียดก็ถูกแล้ว “จากที่ต่อสู้กันและส่งวิญญาณเมื่อครู่ เฟโอตัวนี้ไม่ได้ติดต่อสื่อสารกับพ่อมด หรือปีศาจตนอื่น เขาอยู่ที่นี่มาตลอดตั้งแต่ก่อนที่จะเป็นปีศาจ และเมื่อเป็นปีศาจไปแล้ว เขาใช้พลังอำนาจจากความเกลียดชังนั้นผลักดันคนและสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ให้ออกไป”
บลูกำมือแน่น “หมายความว่า เจ้าตัวนี้มีความเป็นพ่อมดหรือความสามารถในการควบคุมปีศาจอยู่ในสายเลือด เหมือนกับบรรพบุรุษของเขา โดยที่ไม่ได้รู้เรื่องในอดีตเลย แต่เพราะความเกลียดชังบางสิ่งบางอย่าง ทำให้เขาค่อย ๆกลายเป็นปีศาจ แถมเขายังอยู่ที่นี่อย่างโดดเดี่ยว แล้ววิญญาณเด็ก ที่ผุดขึ้นมาจากน้ำพวกนั้นล่ะ เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา”
“นั่นเป็นเด็กที่เขาเป็นคนฆ่าแล้วทิ้งศพไว้ที่นี่ ฉันเห็นภาพไม่ชัดว่า เป็นลูกหลานของเขา หรืออาจเป็นเด็กที่เขาขโมยมา”
บลูหันไปทำตาขวางใส่จัสติน “พวกเขาถูกฆ่าและถูกกักขังวิญญาณไว้ที่นี่ แต่นายก็กลับไม่ส่งวิญญาณพวกเขาไปที่ดี ๆ”
“คนที่ทำเรื่องนั้นได้คือมือปราบ ไม่ใช่ผู้พิทักษ์อย่างฉัน” จัสตินกอดอกเถียงด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท
บลูเดาะลิ้นหันไปพาลใส่ลุคทันที “สรุปคือเราได้อะไรจากการมาที่นี่”
“ได้รู้ว่ามีคนในบ้านของฉันเอง ที่เป็นคนสนับสนุนคาร่า และได้รู้ว่าคนที่ดูเปิดเผย และมีความเป็นไปได้น้อยที่สุดที่จะเป็นพ่อมดก็ยังสามารถเป็นพ่อมด หรือผู้ควบคุมปีศาจได้เหมือนกัน”
บลูส่ายหน้า “นี่จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังนึกหน้าเฒ่าคนนี้ไม่ออก แล้วพวกนายจะไปที่ไหนกันต่อ”
จัสตินบอก “ฉันต้องไปหาฌ็องส์ บอกเรื่องที่บ้านนี้ และเรื่องที่พวกเราต้องเดินทาง”
“ฉันมีเรื่องต้องไปจัดการเหมือนกัน” บลูบอก “ฉันต้องไปทำเรื่องย้ายของออกจากคอนโดฯน่ะ”
ลุคเลิกคิ้วสูง แต่บลูชี้บอก “อย่าหวังว่าฉันจะบอก”
“ไม่บอกก็ได้ แต่ฉันไม่มีอะไรทำพอดี ดังนั้นวันนี้ฉันจะตามนายไปทุกที่”

จบตอนที่ 17
ฮัลโหล ยังมีใครอยู่บ้าง ตอบไลน์ อ๊ะไม่ใช่ ขอช่วยตอบข้อความเป็นกำลังใจกันสักนิดนะครับ
ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันในวันที่เงี๊ยบเงียบเนอะ
น้ำชา

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด