ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 38 :: up! 2-10-63} #หน้า 8 ( ตอนจบ )
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 38 :: up! 2-10-63} #หน้า 8 ( ตอนจบ )  (อ่าน 43885 ครั้ง)

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ได้รู้อันดับชั้นวงค์วานวิฬาแล้ว น้องเมี่ยงมีแววโดนแมวคุมแล้ว  :laugh:

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
ชัดเจนกับความรู้สึกตัวเอง เคลียร์ตัวเองให้จบก่อนเด้อ ก่อนจะมายุ่งกะเมี่ยงอะ

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
ตอนที่ 11
‘น่ารักว่ะ’   ในที่สุดความคิดที่ไม่อยากให้ลอยเข้ามาในหัว  ก็ลอยเข้ามาจนได้ ผมถอนหายใจกับตัวเอง พลางกลั้นยิ้มที่อยากจะฉีกออกมากว้างในตอนที่ได้เห็นสภาพของคนตรงหน้านี้ แต่ก็ทำได้แค่ ทำทีเป็นมองไปทางอื่น 

“ ช่วยหลบหน่อย ” หลีกตัวตามคำพูดของคนตัวขาวที่ก็พยายามเอาของที่หอบมาเดินผ่านประตูหน้าของห้องผมเข้ามาด้านในให้ได้

ใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาก่อนหน้านี้เหือดแห้งไป เมี่ยงอาบน้ำแล้ว และกำลังอยู่ในชุดนอนลายลูกหมีแบบผ้าซาตินลื่นๆที่ดูใส่สบาย แขนข้างขวาของมันหนีบหมอนหนุนใบขนาดกลางสีขาว ส่วนแขนอีกข้างหนีบสิ่งที่ผมคิดว่าน่าเมื่อก่อนมันน่าจะเป็น ตุ๊กตาหมี แต่สภาพของมันตอนนี้นั้น ไม่น่าจะเรียกว่าอะไรแบบนั้นสักเท่าไหร่

“ นั่นคือเหี้ยอะไร ” เชิดหน้าไปทางตุ๊กตาตัวนั้น เมี่ยงก็ตาโตก่อนจะดึงมันมากอดไว้แน่น

“ มึงแม่ง อย่าว่าน้องกู ”

“ น้องเหี้ยอะไร โตขนาดนี้ยังติดตุ๊กตาเน่าอีกเหรอ ”

“ ไม่เน่า! ไอ้สัด ” อีกคนเถียงหน้าจริงจัง

“ แล้วสภาพมันคืออะไรก่อน ” ผมเชิดหน้าถาม คนที่อุ้มมันอยู่ก็ก้มหน้าลงมองตุ๊กตาตัวเอง เมี่ยงจูบลงไปบนหัวของสิ่งที่มันเรียกว่าน้อง แล้วก็หันมาย้ำกับผม

“ อย่าว่าน้อง น้องน่ารักจะตาย ”

“ น่ารักตรงไหน ดูแทบไม่ออกว่าตัวเหี้ยอะไร ” ว่าแบบนั้นแต่เหมือนคนเป็นเจ้าของจะยิ่งหงุดหงิด แววตาเรียวตั้งท่าเถียงกันด้วยใบหน้าที่แสนจะจริงจัง เหมือนเด็กตัวเล็กๆที่เวลาใครมาพูดถึงตุ๊กตาตัวเองให้เสียหาย

“ น้องคือตุ๊กตาหมี ” ยังคงย้ำกันแบบนั้น ก่อนจะชูเจ้าตัวที่มันเรียกว่าน้องให้ผมดู ด้วยหน้าตาแสนภูมิใจแล้วนั่น ก็ทำให้ผมหลุดยิ้ม กับสภาพของเจ้าตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลตัวย้วยที่ก็ใส่เสื้อยืดสีแดงที่ก็คงจะเป็นเสื้อของมันตอนเด็กๆ

“ น่ากลัว อย่าเอามาใกล้กูนะ ” บอกพลางดึงตัวเองออกห่าง เมี่ยงก็ถลึงตาใส่ “ ยังกับตุ๊กตาทำคุณไสย ”

“ มึงแม่ง อย่าว่าน้อง! ” ย้ำกันแบบนั้นเสียงดัง ผมก็ได้แต่ยิ้ม

“ เอาแม่งไปเก็บไป แล้วมาทำแผลให้กูได้แล้ว ”เชิดหน้าไปทางห้องนอนของตัวเอง ก่อนจะชูมือข้างที่โดนไอ้ตัวลายที่ตอนนี้กำลังวิ่งไล่จับกับคนสวยของผมที่ก็ดูท่าทางมีความสุขเหลือเกินจนชวนให้หงุดหงิด

แล้วโดยเฉพาะกับตอนนี้ที่แก้มหอมกำลังเลียขนให้อีกตัวซ้ำไปซ้ำมาด้วยความรักแบบออดอ้อนตามนิสัย ส่วนไอ้ตัวกวนตีนมันก็แค่จ้องหน้าผม ด้วยท่าทางแบบที่สองมือไขว่ทับกันอย่างเหนือกว่า

“ เดี๋ยวมึงจะโดน ” ผมบอกมันที่ก็ไม่มีความกังวลใด หนำซ้ำแค่ยังล้มลงนอนยาวส่ายหางไปมา ทำตัวตามสบายๆอย่างไม่สนใจ

“ เหมือนมันบอกมึงเลย ” เมี่ยงที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องพูดขึ้น ผมก็หันไปมอง อีกฝ่ายปิดประตูห้องนอนลงพลางยิ้มแห้งๆ “ เหมือนไอ้นายท่านกำลังตอบมึงว่า ‘อ๋อเหรอครับ’ ”

“ หรือกูควรเตะมึงแทนดี ”

“ เกี่ยวเหี้ยอะไรกับกู ” อีกคนถามตาโตก่อนจะเดินไปหยิบถุงยาที่วางอยู่บนโต๊ะในครัว แล้วเข้ามาหย่อนตัวลงนั่งบนพรมที่อยู่บนพื้นด้านล่าง มือขาวแบบมือขึ้นมาทางผม “ ขอมือ ” วางมือที่มีแผลลงบนมือนั้น แต่เมี่ยงกลับวางมือผมลง มันพูดซ้ำ “ ไหน ขออีกข้าง ”

“ เดี๋ยวมึงจะโดน ”

“ ฮ่าๆ ” อีกคนหัวเราะลั่น ก่อนจะเอียงหน้าแซว “ ไม่เชื่องเลยน้าพี่อาร์ม ”

“ อยากให้เชื่องเหรอ ” จ้องแววตาเรียวของคนที่นั่งอยู่ด้านล่าง ในวินาทีที่มองลึกลงไปในแววตาใบหน้าน่ารักก็เหมือนจะแดงขึ้นอย่างฉับพลัน เมี่ยงมันเหลือบตามองบนด้วยท่าทีแบบไม่รู้ไม่ชี้ พลางกับแอบมองผมอยู่เป็นระยะ คล้ายจะเช็คดู ว่าผมหยุดมองมันหรือยัง “ ไม่แน่จริงนี่หว่า ”

“ อะไร ? อะไรใครไม่แน่จริง ” ว่าแบบนั้นก่อนจะคว้ามือผมข้างที่มีแผลขึ้นมา “ ทำแผลเลยไอ้สัด พูดมาก เสียเวลาวุ้ย ”

“ ครับๆ ไม่มีใครเขินผมหรอก ” เมี่ยงเม้มริมฝีปากในวินาทีนั้น ก่อนจะจัดการทำแผลด้วยการทายาให้บางๆ แต่คืนนี้มันกลับไม่ได้ติดพาสเตอร์อะไรให้ “ ไม่ต้องติดพาสเตอร์นะ ให้แผลมันโดนลมบ้าง กูโทรไปถามแม่มาแล้ว แม่บอกว่า ตอนกลางคืนไม่ต้องติดก็ได้ ทาแค่ยา จะได้หายไวๆ ค่อยติดเฉพาะออกไปข้างนอก เพราะว่าข้างนอกมีเชื้อโรคเยอะ ”

“ อื้ม ”

“ แต่กูก็ถามแม่นะ แล้วถ้าคนที่เป็นแผล เป็นตัวเชื้อโรคอยู่แล้วจะทำยังไงดี แม่ก็บอก งั้นปล่อยให้มันตายไปเล๊ย ”

“ ตลกชิบหาย เหอะๆ ” ทำทีเป็นหัวเราะให้มัน แต่เหมือนอีกคนจะถูกใจเหลือเกิน เมี่ยงมันยิ้มกว้างก่อนจะถาม

“ ว่าแต่วันนัดฉีดวัคซีนมึงครั้งต่อไปคือวันที่เท่าไหร่นะ ”

“ อื้มม ” ผมทำทีเป็นนึก ก่อนคว้าเอากระเป๋าเงินของตัวเองที่วางไว้บนโต๊ะข้างหน้าขึ้นมา ใบนัดของทางโรงพยาบาลที่ให้ไว้เสียบอยู่ในช่องเสียบบัตร ผมหยิบมันออก ก่อนจะยื่นไปให้อีกคน

“ เราไปฉีดวันแรกคือเมื่อวานสินะ ” เมี่ยงทำท่าคิดก่อนจะหันมองซ้ายขวาแล้วหยุดสายตาลงบนปฎิทินแบบพับที่ตั้งอยู่ข้างทีวี มันลุกขึ้นไปหยิบ ก่อนจะคว้าปากกาเมจิที่วางอยู่แถวนั้นขึ้นมา “ กูขีดลงไปได้ใช่มั้ย ”

“ แล้วจะขีดลงไปทำไม ”

“ ก็จะได้รู้ไง ว่าวันไหนต้องทำอะไร ” บอกแบบนั้นวงกลมที่ไม่ค่อยกลมถูกวงรอบวันเอาไว้ เมี่ยงหยิบเอาปากกาขึ้นมาเขียนลงไปในช่องว่าง “ กูจะเขียนว่ามึงจะต้องไปฉีดวัคซีนวันไหนบ้าง อย่าเมื่อวานก็เขียนไว้ว่า ฉีดครั้งที่หนึ่ง ”

“ แล้วครั้งที่สองคือเมื่อไหร่ ”

“ วันมะรืน ” เมี่ยงบอก  “ ส่วนครั้งที่สามก็นู้น ถัดจากครั้งที่สองไปอีก สี่วัน ส่วนวันสุดท้ายคือเดือนหน้าเลย อีกตั้ง ยี่สิบวัน ”

“ ยังไงก็รับผิดชอบผมด้วยนะครับ ” ค้ำศอกลงกับโซฟาในตอนที่มองไปยังเสี้ยวใบหน้าที่กำลังเขียนประโยคนั้นอย่างตั้งใจ เมี่ยงหันมาถอนหายใจก่อนจะยิ้มกว้างแบบที่ตาปิดไปหมดให้ผม

“ แน่นอนอยู่แล้วสิครับ ไม่หนี ไม่หาย แต่ถ้าตายเดี๋ยวมาเข้าฝันน้า ”

รอยยิ้มที่ทำให้หัวใจมันสั่น ผมหันไปทางอื่นแทบจะทันทีในตอนนั้น และก็อดสบถออกไปไม่ได้เลย ‘ ร้ายกาจชิบหาย ’

เหมือนว่าพอมองมันน่ารักหนึ่งครั้งแล้ว
มันก็เหมือนจะน่ารักตลอดไป

“ แล้วนั่นมึงจะหันไปมองทางอื่นทำไม ” คนช่างสงสัยหันไปมองตามสายตาของผม เมี่ยงขมวดคิ้วน้อยๆก่อนจะหันมาจ้องหน้าผมอีกครั้ง ด้วยสายตาแบบเหล่มอง “ อย่าบอกน้า ว่ามึงตกหลุมรักรอยยิ้มน่ารักๆของกูแล้ว ”

“ หลงตัวเองชิบหาย ” ผมว่า

“ แต่ก็ดีกว่ามึงหลงกูก็แล้วกัน เพราะว่าถ้าเป็นแบบนั้นอะ แย่แน่เลยน้า ”

“ ยังไง ” ผมถามมันยิ้มๆ

“ ก็เพราะหลงทางยังมีทางออก แต่ถ้าหลงรักน้อง ต่อให้มีกี่สิบทางออก พี่ก็หามันไม่เจอหรอกน้า ” ลากเสียงแบบกวนตีนกัน

เอาจริงๆ ผมแม่งโคตรเกลียดรอยยิ้มขี้เล่นของมันเลย เพราะมันชอบทำให้ผมอดยิ้มตามไม่ได้ แล้วมันก็เหมือนกันกับตอนนี้ที่ผมต้องหลุดยิ้มออกมาในท่ายที่สุดอย่างอดใจไม่ไหว

“ ฮั่นแน่ ยิ้มอีก หวั่นไหวแล้วเปล่าพี่อาร์ม ”

“ กูแม่งน่าจะถ่ายหน้ามึงตอนร้องไห้ที่แมวหายเมื่อสองชั่วโมงก่อนไว้นะ ” ว่าแบบนั้นคนตรงหน้าก็ตีหน้างอน เมี่ยงแบะปากนิดหน่อย แต่แม่งก็ยังน่ารักมากอยู่ดี ผมถอนหายใจ “ ไอ้หน้าก้อนแป้งเปียกน้ำที่เอาแต่จับเสื้อข้างหลังกู แล้วงอแงเหมือนเด็กป.สอง ”

“ ไว้เมื่อไหร่มึงทำแมวกูหายบ้าง กูจะคอยดูหน้าคนอย่างมึง ” หลุดยิ้มออกมาก่อนจะส่ายหน้า ผมลุกขึ้นเต็มความสูง

“ ไม่มีทางหรอกครับ ” โค้งตัวบอกอีกคนที่ก็ยังมองกันนิ่งๆ สายตาเรียวนั้นบอกกันถึงความอาฆาตแค้น “ แล้วนั่นก็เพราะว่ากูไม่ใช่เด็กขี้แยแบบมึง ”

“ จ้า ” มันตอบรับผมแบบกัดฟันพูด “ เก่งจังจ้าไอ้สัด ”

“ แล้วนั่นจะนอนยัง กูไปนอนแล้วนะ ง่วง ”

“ นอนสิ! รอด้วย กูนอนกับมึงด้วย ” หยุดขาที่กำลังจะเดินต่อไปในตอนที่ได้ฟังคำนั้น ผมหันไปมองอีกคนที่ก็เดินตรงไปหาแมวของตัวเองที่นั่งกระดิกหางอยู่บนคอนโดแมว เคียงข้างด้วยแมวของผมที่นั่งอยู่ข้างๆกันแบบ ไม่ยอมห่าง

“ อย่าดื้อ อย่าซนกันอีกนะ เข้าใจมั้ย ทั้งคู่เลย นายท่านอย่าสร้างความเดือดร้อนนะ แก้มหอมขาด้วยนะ อย่าชวนนายท่านเล่นซนละนะ ”

“ เมี๊ยว ” เสียงขานรับเล็กๆ ตามธรรมดาเมื่อได้ยินคำว่าแก้มหอมขา เจ้าตัวขาวร้องรับจนชวนให้ผมหลุดยิ้ม

“ โอเค งั้นเมี่ยงไปนอนแล้ว ฝันดีนะเด็กๆ ” ลูบหัวเจ้าก้อนขนไปคนละที ก่อนที่ร่างขาวจะหันหลังกลับมาเตรียมจะเดินเข้าห้อง แต่มันก็ชะงักไปเมื่อเห็นผม  “ อ้าว คิดว่าเข้าห้องไปแล้ว ”

“ กูรอถามมึงอยู่ ” ผมว่า “ เห็นเมื่อกี้มึงบอกว่า กูนอนกับมึงด้วย  ก็เลยจะบอกไว้ก่อน ”

“ อะไร ” เมี่ยงเอียงหน้างง

“ กูไม่มีถุงยางนะ สดได้เปล่าละ ”

“ K ” คนตรงหน้าผมสบถด้วยรอยยิ้มกว้าง “ ไม่ใช่อย่างงั้นเลยไอ้หน้าเหี้ย ” 

บนเตียงที่เคยดูกว้างขวางแต่ตอนนี้กลับแคบลง นาฬิกาบอกเวลาเข้าสู่วันใหม่ไปแล้ว ผมเดินตรงมาจัดการเปิดเครื่องพ่นที่ใส่กลิ่นหอมอ่อนๆของยูคาลิปตัสไว้ตรงหัวเตียง พร้อมทั้งกดตั้งเวลาปิดไว้ที่อีกสามชั่วโมงต่อจากนี้

“ หื้มมมมม หอมอะ ” เมี่ยงมันว่าพลางขยับตัวนอนด้วยท่าทางสบายๆแบบที่ไม่ต่างอะไรกับห้องนอนตัวเองเลยสักนิด ไม่รู้ไปสนิทกับมันตั้งแต่เมื่อไหร่ถึงได้ไร้ความเกรงใจกันถึงขนาดนี้  มือขาวกอดเจ้าตุ๊กตาหมีที่สภาพดูไม่ได้นั้นไว้แนบอก มันหันมามองผม “ พี่สาวกูเคยบอกว่า เวลานอนห้องแอร์อากาศจะแห้งมาก แต่ถ้าเราเปิดเครื่องพ่นแบบนี้ไว้ มันก็ช่วยได้ดีมากเลย ตื่นมาผิวไม่แห้ง คอก็ไม่แห้งด้วย ”

“ อื้ม ” พยักหน้ารับคนช่างพูด ผมปิดไฟในห้องจนหมดเหลือไว้แค่เครื่องพ่นที่กำลังเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ในแววตาเรียวที่ดูแปลก ไม่ต่างอะไรกับแก้มหอมตอนที่เห็นของเล่นใหม่

มือผมดึงผ้าห่มขึ้นแล้วสอดตัวเข้าไปนอน ก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยพลางเหลือบมองอีกคนที่ก็มองดูกันอยู่ “ มองอะไร ”

“ เปล๊า ” เมี่ยงตอนเสียงสูง

“ อย่าคิดเอาตุ๊กตาคุณไสยนั่นเข้ามาใกล้กูนะ ”

“ บอกอีกทีแล้วว่าไม่ใช่ นี่น้อง น้องของกู ” เมี่ยงมันหันควับมาเถียงจริงจัง ก่อนจะยื่นตุ๊กตาตัวเองเข้ามาใกล้หน้าผมที่ก็ต้องดันเจ้าสิ่งน่ากลัวนั่นออกไป “ จัดการมันเลยน้องพี่ จัดการมัน ย๊ากกกกกกก ”

“ นี่ มึงอย่าปัญญาอ่อนให้มากนะ ” พยายามปรามมือขาวที่พยายามดันตุ๊กตาตัวเองให้บี้กับหน้าผม เสียงหัวเราะถูกใจของคนกระทำ ผมหลุดยิ้มก่อนจะจับมือข้อมือนั่นไว้แน่นแล้วดึงใบหน้าเข้าไปจ้องมองอีกฝ่าย “ ถ้ามึงยังไม่หยุด กูเขวี้ยงตุ๊กตาคุณไสยนี่ออกไปนอกห้อง แล้วก็จะดึงมึงเข้ามากอดแทน เพราะงั้นมึงจะหยุดไม่หยุด ”

“ หยุดครับหยุด ” เสียงอ่อนลงของอีกคนบอก แต่เหมือนว่ามือของผมจะยังจับอีกคนไว้แน่นแบบนั้นอย่างไม่อยากจะปล่อยขึ้นมาฉับพลัน “ นี่..”

“ อะไร ” ผมถาม

“ กูหยุดแล้ว เพราะงั้นอย่าเอาน้องกูเขวี้ยงออกไปทิ้งเลยนะ ” หลุดยิ้มออกมาเพราะไม่คิดว่ามันจะพูดเรื่องเด็กๆแบบนั้น ผมถอนหายใจออกมาก่อนจะปล่อยจากแขนของอีกคนทั้งที่ไม่ได้อยากทำอย่างงั้น

อยู่ๆก็คิดว่า เออ... หรือว่าทำจริงๆ ดีว่ะ เขวี้ยงหมีเน่านั่นออกไปซะ แล้วดึงอีกคนเข้ามากอดแทน   

“ สัดอาร์ม ”

“ อะไร ” สะบัดความคิดไร้สาระนั้นออกไป ผมก้มหน้าลงถามแววตาเรียวที่เงยหน้ามองกัน แต่เมี่ยงมันก็แค่ส่ายหน้า

“ ก็เห็นมึงเงียบไป กูเลยจะถาม พรุ่งนี้กูไม่เรียน พรุ่งนี้มึงมีเรียนมั้ย ”

“ ไม่มี ” ตอบรับไปแค่นั้นอีกคนก็พยักหน้ารับ

“ งั้นพรุ่งนี้เรากินอะไรกันดี ”

“ รู้สึกว่ามึงจะทำตัวเหมือนเมียกูเลยนะ ” หันไปเหล่มองคนพูดมากก่อนจะพลิกตัวไปจ้องหน้าอีกคนที่ก็พลิกตัวมองกันอย่างไม่ยอมแพ้

“ งั้นขอเป็นผัวได้มั้ย อยากเป็นผัว ” หลุดยิ้มออกมากับใบหน้าหวานที่กำลังยักคิ้วท้าทายกัน เมี่ยงก้มหน้าลงหอมเจ้าตุ๊กตาสภาพแย่นั้นไว้แน่น มันที่ทั้งกอดรัดแล้วก็เอาแก้มขาวไปเบียดบี้ด้วยความรักเสียเต็มประดา

“ มึงนี่ไม่อายเลยนะ ”

“ อายอะไร” คำถามที่ชวนให้งุนงงนั้น เมี่ยงก้มลงมองตุ๊กตาของตัวเองเพราะเห็นว่าผมมองอยู่ “ อายเพราะน้องกูน่ะเหรอ ”

“ อื้ม ”

“ แล้วทำไมต้องอายวะ ” อีกคนถามยิ้มๆ “ แค่เพราะสภาพมันไม่ได้ดูน่ารักเหมือนตุ๊กตาทั่วไป ในความคิดของคนอื่นๆน่ะเหรอ ”

“ ก็ใช่ แล้วมึงก็โตจนจะเป็นควายอยู่แล้ว ยังจะกอดตุ๊กตาอีก ไม่กลัวกูเอาไปเล่าให้ไอ้ดีนฟังหรือไง ”

“ ถ้ามึงจะเล่านะอาร์ม มึงคงเล่าไปนานแล้ว เพราะกูมีเรื่องน่าอายให้เล่าเป็นร้อย ” เมี่ยงหันมายักคิ้วบอกกัน ก่อนก้มลงมองตุ๊กตาหมีในอ้อมกอดของตัวเอง “ มันเป็นตุ๊กตาตัวแรกของกู แล้วกูก็รักมันมาก ถ้ามัวแต่อายก็คงไม่ได้กอดมัน เพราะงั้นกูเลยต้องหน้าด้านเข้าไว้ไง จะได้กอดมันอย่างงี้ ” กอดรัดฟันตุ๊กตาตัวนั้นด้วยรอยยิ้ม จมูกโด่งหอมลงบนเจ้าหมีเน่าเป็นสิบๆครั้ง

“ ก็จริงของมึง ” ตอบรับคนข้างกันเสียงเบา

อยู่ๆก็คิดถึงขึ้นมาอีกแล้วภาพของใครคนนั้นซ้อนทับขึ้นมา ภาพของคนที่นั่งอยู่ข้างกันก่อนหน้านี้ตรงลานจอดรถในผับ แววตาเรียวที่มองมามีเพียงความลำบากในแฝงอยู่ในช่วงเวลานั้น กับประโยคที่เอ่ยพูดกันออกมา ‘ กูไม่ได้รู้สึกกับมึงแค่เพื่อนหรอก แต่ว่าตอนนี้มันไม่ได้มากขนาดนั้น ไม่ได้มากขนาดที่มึงรู้สึกกับกู ’

ไม่ได้มากขนาดที่เมี่ยงรักเจ้าตุ๊กตาหมีน่าเกลียดนั่นด้วยซ้ำ
 
ไม่ได้มากขนาดอยากมีกันละกัน จนมองข้ามคำพูดของผู้คนไปได้

 ไม่ได้มากแบบที่อยากมีไว้ข้างๆ และไม่ได้มาก แบบผมที่กำลังรู้สึก ว่าอยากมีมันมากอดไว้ข้างกาย


ครืน ครืน ครืน


เสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่บนแท่นชาร์จนั้นสั่น ผมพลิกตัวไปมองมันก่อนจะนิ่งไปเมื่อเห็นว่าเป็นข้อความจากเจ้าของวันเกิดที่ส่งมาให้กัน มือที่คว้าขึ้นมาอย่างไม่รอช้า บนนั้นปรากกฏแจ้งเตือนว่ามีรูปภาพส่งเข้ามา

ภาพที่ชวนให้ผมนิ่ง มันเป็นภาพของดีนที่กำลังชูนิ้วกลางให้ผม และบนนิ้วกลางนั้นก็มีแหวนของผมอยู่ พร้อมกับข้อความที่ส่งเข้ามา ‘ ใส่แล้ว ขอบใจนะไอ้สัด ’

ก็น่าแปลกที่ผมไมได้ยิ้มเหมือนอย่างทุกที อาจจะเป็นเพราะคงชิน ดีนก็เป็นแบบนี้มาตลอด มันชอบให้ความหวังกัน หลังจากที่เขวี้ยงความรู้สึกของผมทิ้ง แล้วเหยียบซ้ำมันด้วยเท้าอย่างไร้เยื้อใย

“ นี่..” เสียงของคนที่นอนข้างกันเอ่ยขึ้นมา “ ยังไม่ตอบเลยว่าพรุ่งนี้เราจะกินอะไรกัน ”

“ ข้าวมันไก่รวมมั้ย ” กดปิดหน้าจอนั้นลง ผมไม่ได้ตอบอะไรแล้ววางมันลงบนแท่นชาร์จเหมือนเดิมขยับผ้าห่มคลุมร่างจนถึงคอ เตรียมตัวปิดตาหลับ

“ อะไรคือเข้าวมันไก่รวม ”

“ ก็คือข้าวมันไก่ที่มีทั้งไก่ทอดกรอบ หมูกรอบ หมูแดง แล้วก็ไก่ต้ม รวมกันหมดในห่อเดียว ”

“ ว้าว น่ากินจัง ” อีกคนว่านั้นก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงกลืนน้ำลายนั้นลงไปในคอ จนชวนให้หลุดยิ้มกว้างออกมา

ในที่สุดก็ต้องลืมตาขึ้นมาอย่างพ่ายแพ้ให้กับความน่ารักในแมทสุดท้ายของวัน “ มึงแม่ง..”

ก็นับว่าโชคดีที่ห้องทั้งห้องมันมืดมิด แล้วมีเพียงแสงของเครื่องพ่นอากาศ เพราะถ้ามันหันมาเห็นกันตอนนี้ ผมคงไม่รู้จะตอบอะไร นอกจาก แสงของเครื่องพ่นคงทำให้ตาลาย ผมไม่ได้ยิ้มแล้วก็หน้าแดงไปกับความน่ารักมากๆของมันสักหน่อย

แล้วนั่นก็ดูเป็นข้ออ้างที่ใช้ไม่ได้เลย ‘ห่วยแตกชิบหาย’



ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
แกร็ก แกร็ก เมี๊ยว เมี๊ยว แกร็ก แกร็ก


ดึงสติแล้วลืมตาตื่นขึ้นในตอนที่ได้ยินเสียงข่วนประตูสลับกับเสียงแมวที่ดังมาจากหน้าประตูห้อง ผมขมวดคิ้วแต่เหมือนจะช้ากว่าคนข้างกันที่ก็ลุกขึ้นจากที่นอนทันทีเมื่อได้ยินเสียงนั้น เมี่ยงมันเดินสะลึมสะลือไปที่ประตูก่อนเปิดออก เจ้าแมวตัวลายที่เป็นคู่อริก็เดินเข้ามาในตอนนั้น พร้อมกับเมี่ยงที่หันหลังกลับมาล้มตัวลงนอนตรงที่นอนเหมือนเดิม

“ นายท่าน ” อีกฝ่ายว่าแบบนั้น ก่อนจะเปิดผ้าห่มให้อีกตัวมานอนลงในอ้อมกอด ราวกับว่าปกติมันก็ทำแบบนี้ที่ห้องของตัวเอง

“ มึงอาจจะลืมไปว่านี่ไม่ใช่บ้านมึง ” บอกแบบนั้นคนที่นอนนิ่งอยู่ก็ลุกพรวดพราดขึ้นมานั่งด้วยหน้าตาตื่น

“ เชี้ย!! ขอโทษๆ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะอุ้มแมวของตัวเองขึ้นจากเตียง ร่างขาวชูมันไว้ไม่ต่างอะไรกับหนังในเรื่องไลอ้อนคิง จนไอ้นายท่านมองผมด้วยสายตาไม่สบอารมณ์เท่าไหร่

“ เมี๊ยว ”

“ อะไร ” ถามอีกตัวที่เหมือนกำลังกร่นด่าอย่างหาเรื่อง ก่อนจะเหล่มองเจ้าของแมวที่กำลังยิ้มแห้งๆ

“ ปกติเวลาอยู่ที่ห้องไอ้นายท่านมันจะเดินมาปลุกกูทุกเช้าเลย แล้วกูก็จะเดินไปเปิดประตูให้มันอย่างงั้น แล้วเราก็จะนอนต่อด้วยกัน..” ปลายเสียงที่เบาลงเรื่อยๆ เมี่ยงสบสายตานิ่งๆของผม “ ขอโทษครับ ”

“ ก็ยังไม่ได้ว่าอะไร ” พูดแบบนั้นก่อนจะล้มตัวลงนอนต่อ ส่วนเมี่ยงเองมันก็อ้าปากหาววอดออก มือที่ลดระดับลงอีกคนดึงเจ้าตัวลายเข้ามากอดพลางซุกใบหน้าเข้าไปกอดหอม ก่อนจะทำจมูกฟุตฟิต

“ นายท่าน ทำไมมึงเหม็นจังวะ ”

“ อาบน้ำครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ละ ”

“ เหมือนว่าจะตั้งแต่ที่ได้มาครั้งแรก ” เมี่ยงมันว่าก่อนจะเอียงตัวล้มลงนอน ส่วนนายท่านที่หลุดออกจากอ้อมกอดนั้น มันเดินมานอนลงระหว่างเราพลางเลียมือตัวเองไปมา ด้วยท่าทางที่เหลือบมองผมเป็นระยะ

“ ทำไม ” เอ่ยถามอีกตัว “ มึงเตรียมมือ พร้อมที่จะข่วนกูเหรอ ”

“ อย่านะ ” เมี่ยงมันว่าก่อนจะยื่นมือไปเคาะหัวเจ้าตัวเล็ก “ เพราะกูต้องรับผิดชอบเค้านะนายท่าน เข้าใจเปล่า มึงอย่าหาเรื่องให้มันมาก อันธพาลจริงๆ  ” ไม่มีเสียงตอบรับใดจากคนโดนเตือน ผมแบะปากน้อยๆใส่เจ้าแมวที่ก็นอนลงทันทีด้วยท่าทีเบื่อหน่าย “ ดูมันทำ ”

“ แล้วปกติมึงอาบน้ำแก้มหอมยังไง ”

“ ส่งเข้าร้าน ” ผมว่าก่อนจะเอื้อมมือไปจับตูดเจ้าตัวลายที่ก็หันมาตะบบกันเบาๆเหมือนเตือนว่ากรุณาอย่ามาแตะต้องตัวกระผม “ แก้มหอมขนมันยาว อีกอย่างถ้าเข้าร้านเค้าก็ตัดเล็บ ตัดขน เช็ดหูให้ด้วย ปกติก็อาทิตย์ละครั้งมั้งที่กูพาไป ”

“ น่าสนใจ แล้วราคาเท่าไหร่ ”

“ สี่ร้อย ”

“ สี่ร้อย ” คนฟังทวนคำพูดของผมก่อนจะกลืนน้ำลาย สายตาเหลือบขึ้นมองบนเหมือนกำลังคิดคำนวนถึงจำนวนเงินรายเดือนที่มันต้องเสียไปสำหรับการอาบน้ำเจ้าก้อนขน

" เดือนนึงก็คำนวนไปว่า สี่อาทิตย์ ก็ประมาน 1600 ”

“ กูอาบให้มึงเองก็ได้นายท่าน พันหกเอาไปจ่ายค่าข้าวค่าขนมดีกว่าเนอะ ” เมี่ยงมันยิ้มแห้งๆให้แมวตัวเอง พร้อมกับพูดเสียงเบาๆ “ ขอโทษนะน้องที่พี่มันจน ”

“ แล้วแน่ใจเหรอว่าจะอาบเอง ”

“ ก็ทำไมจะอาบเองไม่ได้ ง่ายจะตาย ”

“ มึงรู้ใช่มั้ยว่าแมวส่วนใหญ่มันไม่ชอบน้ำ ” คำถามนั้นทำให้ฟังถึงกับนิ่งไป เมี่ยงเหลือบมองแมวตัวเอง

“ แต่นายท่านน่าจะชอบ เนอะนายท่านเนอะ ”

“ ลองก่อนสิ ” ผมบอก “ เอามันไปโยนลงน้ำในอ่างถ้ามันไม่ตะเกียกตะกายขึ้นมาแสดงว่ามันก็คงชอบนั่นแหละ ”

“ K มึงจะฆ่าแมวกูหรือไง ” ตาโตเถียงกันก่อนจะดึงแมวตัวเองขึ้นมาเผชิญหน้า  สายตาเรียวที่สบกัน “ กูจะอาบน้ำให้มึงเองนายท่าน เชื่อมือได้เลย โอเค๊ ตัวมึงจะหอมฟุ้งไปหมื่นลี้เลยละ ”

“ ม๊าว ” เสียงขานรับที่ดูไม่ค่อยเต็มใจ ชวนให้ผมยิ้มก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง แล้วตรงเข้าไปในห้องน้ำ

“ จะอาบน้ำแล้วเหรอ ไว้อาบหลังจากที่จัดห้องกูแล้วก็ได้นะ ”

“ แค่จะแปรงฟัน แล้วก็ลงไปซื้อข้าวมันไก่รวมที่คุยกันไว้เมื่อคืนไง ” บอกเสียงเรียบๆก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ ตอนนั้นคนที่อุ้มแมวก็เดินตามมาด้วยสายตาโตแบบเด็กเห็นแก่กินอย่างปิดไม่มิด

“ ของกูขอพิเศษได้มั้ย กูชอบกินหมูกรอบเยอะๆ ”

“ งั้นก็สั่งข้าวหมูกรอบสิ ”

“ อยากกินไก่กรอบ แล้วก็หมูแดงด้วยงายยยยยย ”

“ กลัวแก้มอ้วนไม่พอเหรอไง ” คนตัวขาวยกมือขึ้นจับแก้มทันทีตอนที่ได้ยินคำนั้น เมี่ยงมันกระพริบตาปริบๆ “ ปกติแบบรวมมันก็พิเศษอยู่แล้ว ไม่ต้องเพิ่มหรอก ”

“ กูแค่คนมีแก้ม ไม่ได้แก้มเยอะเพราะอ้วนเลย หันมาดูรูปร่างกู กูผอมมากนะ ”

“ คิดไปเอง ” ผมว่า ก่อนจะบีบยาสีฟันลงบนแปรงแล้วในตอนนั้นก็หันมามองมันที่กำลังพิจารณาใบหน้ากลมๆของตัวเองอยู่กับหน้ากระจก “ เมื่อคืนตอนที่มึงนอน แก้มมึงบี้กับตุ๊กตา หน้าโคตรอ้วนเลยรู้มั้ย ”

“ สัด มันสัญลักษณ์ของความกินดีอยู่ดี ว่าไม่ได้นะ ”

“ เหรอออออออ ” ลากเสียงยาวก่อนจะหันกลับมาแปรงฟันกับหน้ากระจกอีกครั้ง แต่ทว่าคนที่คิดจะทำให้ผมตกหลุมรักก็เปลี่ยนสีหน้าหงุดหงิดเป็นรอยยิ้มที่ยกตรงมุมปากอย่างฉับพลัน เมี่ยงก้าวเดินตรงเข้ามาหากัน มันพิงเข้ากับกรอบประตูห้องน้ำที่ผมเปิดไว้ “ ว่าแต่น้า... นอนมองเค้าด้วยเหรอตะเองน่ะ คิดอะไรกับเค้าปะเนี้ย ”

“ คิดสิ ” ตอบอีกคนยิ้มๆ ก่อนจะหันกลับมามองกระจกตรงหน้าตามเดิม “ คิดว่าคนเหี้ยอะไรวะ ขนาดนอนยังน่ารักชิบหายเลย ”

แล้วนั่นก็คือความรู้สึกจริงๆของผม ตลอดทั้งคืนที่เอาแต่นอนมองคนข้างกันแล้วเอาแต่ยิ้มจนหัวใจเต้นแรงแบบชนิดที่กว่าจะสงบลงได้ก็ปาไปตั้งตีสามกว่าแล้ว

“ มึงแม่ง.. เอาชนะยากชิบหายเลยไอ้สัด ”

“ เหมือนกันนั่นแหละ ” ใครบอกมึงเอาชนะง่ายๆกันเมี่ยง

..........................................................

ร้านข้าวมันไก่เจ้าอร่อยอยู่ถัดไปจากคอนโดของเราอีกสองซอย ผมที่ยืนต่อคิวอยู่หน้าร้าน หันมองคนที่กำลังวิ่งเข้ามาหาด้วยรอยยิ้มกว้างไม่ต่างอะไรกับเด็กๆ ก่อนหน้านี้เมื่อประมานสิบห้านาทีก่อนผมกับเมี่ยงเดินออกมาด้วยกัน แต่เพราะระหว่างทางมีร้านที่ผมพาเจ้าแก้มหอมมาอาบน้ำประจำก็เลยแนะนำอีกคน แต่เมี่ยงที่หันไปเห็นขวดอาบน้ำแมวพอดี มันก็เลยขอตัวแวะก่อน

“ มึงกูได้มาแล้วละ ” ชูถุงที่ซื้อมาอย่างภาคภูมิใจ ในนั้นคือขวดแชมพูสำหรับอาบน้ำแมว “ กูถามพี่ที่ร้านขายว่าเค้าใช้ยาตัวไหนสระให้แก้มหอมขา เค้าก็แนะนำตัวนี้มา ”

“ อื้ม ”

“ แต่สิ่งที่กูจะนำเสนอมึง ไม่ใช่ขวดแชมพูอาบน้ำนายท่านหรอกนะ แต่เพราะมันคืออออออออออออ ” ลากเสียงยาวก่อนจะดึงออกมารวดเร็วเหมือนเด็กอวดของเล่น

“ เหี้ยอะไรของมึง ” ผมถามตอนที่เห็นสายยาวๆ ที่มันคล้ายกับว่าจะเป็นสายจูงของหมา

“ มันคือสายจูงแมว เอาไว้พาน้องแมวไปเดินเล่นไง ”

“ ใครเค้าพาแมวไปเดินเล่นบ้างวะ ” ถามกลับไปอีกคนก็ถอนหายใจออกมา พลางส่ายหน้า

“ มึงนี่เข้าไม่ถึงจิตใจที่แสนจะบอบบางของแมวเลยนะ  เมื่อวานที่มันหนีออกจากบ้านก็ดูออกแล้วว่ามันก็คงอยากจะไปเที่ยว กูก็เลยซื้อสายจูงมาไง จะได้พามันสองตัวออกไปเที่ยวบ้าง เป็นการเปิดหูเปิดตา ”

“ คือยังไม่หลาบจำ ” ผมจ้องตาอีกคนที่ก็ยิ้มแห้งๆ “ ถ้ามันหลุดสายจูงไปจะทำยังไง คราวนี้มึงอาจจะไม่ได้โชคดีเหมือนเมื่อวานนะ เพราะข้างนอก มันกว้างกว่าในชั้นของเรา ” อาจจะหามันไม่เจอแล้วก็ได้ ”

“ มึงก็อย่าไปคิดแง่ร้ายอะไรขนาดนั้น มึงก็ต้องเช็คสายรัดดีๆ แล้วก็จับไว้ให้มันแน่ๆสิวะ ”  เมี่ยงเถียง และก็คงชูสายจูงแมวขึ้นมานำเสนอผม “ กูซื้อมาสองสีเลยนะ มีเสื้อด้วย เพราะเค้าบอกว่าใส่เสื้อให้น้องก่อนแล้วใส่สายจูงมันจะแน่นกว่า สีชมพูของแก้มหอม สีดำของนายท่าน เป็นไงน่ารักปะ ”

“ ถามถึงอะไร มึง หรือว่า สายจูงแมว ”  เหล่มองอีกคนยิ้มๆ เมี่ยงมันก็ถอนหายใจ

“ สายจูงแมวสิไอ้สัด ”

“ งั้นก็เฉยๆอะ ” ผมตอบ “ แต่ว่ามึงอะ น่ารักนะ ” ยักคิ้วให้เป็นการตบท้ายก่อนจะเดินเข้าร้านไปเพราะได้ยินเสียงเรียกคิวที่รอมานานกว่าสิบนาที

“ ไอ้สัดเอ้ย วันนี้สองรอบแล้วนะ สองรอบแล้วววว ” คนตัวขาวที่กำลังกัดฟันกรอดว่าแบบนั้น “ ฝากไว้ก่อนเถอะมึง ”

“ จะเยอะเกินไปแล้วมั้ง เมื่อไหร่มึงจะมาเอาคืน ” ผมเดินนำอีกคนออกไปก่อนจะคว้าเข้ากับมือที่เดินตามหลังมา “ หยุดก่อน รถมา ”

รถกระบะที่กำลังจะออกจากซอยหยุดอยู่ตรงหน้าเรา คนขับที่กำลังจะหาจังหวะแทรกตัวเข้าถนนใหญ่ ในตอนนั้นผมก็จูงมืออีกคนให้เดินอ้อมด้านท้ายของตัวรถ ก่อนจะเดินขึ้นมาตรงทางเท้าที่เป็นทางกลับคอนโดของเรา

“ นี่ ปล่อยมือกูได้แล้วมั้งครับ” คนตัวขาวดึงมือของตัวเองที่ผมกุมอยู่ขึ้นมาบอก มันเลิกคิ้วมองกันเหมือนจะล้อ “เดี๋ยวใครเค้าจะหาว่าเราเป็นแฟนกันน้า แล้วถ้ามึงจะเสียหาย กูไม่รับผิดชอบนะบอกไว้ก่อน ”

“ กลัวมึงตายไปก่อนก็เท่านั้นแหละ” ผมว่า

“ ห่วงใยเก่ง ” เมี่ยงมันว่า “ แล้วนี่ตกลงจะเอายังไง ”

“ อะไรยังไง ”

“ เย็นนี้ยังไงก็ว่าง พาเจ้าสองตัวออกไปเดินเล่นกันมั้ย ”

“ ขี้เกียจ ”

ตอนนั้นที่ตอบออกไปแบบนั้น ดูเหมือนจะต่างไปจากตอนนี้ เพราะหลังจากที่หลับไปในช่วงเย็นเพราะหมดแรงกับการเก็บกวาดห้องข้างๆที่รกสุดขีดจากการรื้อค้น เสียงเคาะประตูจากหน้าห้องก็ดังปลุกกันในช่วงเวลาห้าโมงครึ่ง

แล้วในตอนที่เปิดออกดูนั้นผมก็ต้องพบกับคนตัวขาวในชุดเสื้อยืดกับกางเกงบอล พร้อมด้วยสายจูงสีชมพูที่ยื่นมาให้

“ ไปเดินออกกำลังกายกันมึง ”

ผ่อนลมหายใจออกมากับบรรยากาศที่มีแต่คนมองมา ทางเจ้าก้อนขนสองตัวที่เรียกว่าเล่นกันมากกว่าจะเดิน เพราะแค่สามก้าวที่ก้าวไปเจ้าสองตัวนั่นก็หยุด แล้วก็กระโจนกอดกันเสียอย่างงั้น

“ มันจะเดินได้รอบนึงมั้ยเนี้ยวันนี้ ถ้าพวกมึงมัวแต่เดินไปนิด แต่หยุดเล่นกันแบบไม่นิดอย่างนี้ ” เมี่ยงมันว่าก่อนจะจับแมวสองตัวแยกกัน “ เอ้า เดินตรงไปข้างหน้าครับเด็กๆ วิ่งๆ ”

“ มึงทำเหมือนมันเป็นหมา ทั้งๆที่มันเป็นแมว ” ผมว่า อีกคนก็ได้แต่ถอนหายใจเพราะแมวสองตัวที่มันเพิ่งดึงให้แยกออกจากกัน กลับนอนลงบนพื้นซะอย่างงั้น

“ พวกมึงนี่มัน.. ” มือขาวขยับไปมาคล้ายกับจะขยี้หัวไอ้สองตัวตรงหน้าแรงๆ ด้วยอาการมันเขี้ยว เมี่ยงมันกัดฟันแน่น ก่อนจะย่อตัวลง “ แล้วเมื่อวานพวกมึงจะหนีออกจากบ้านไปทำไม ถ้าพวกมึงไม่อยากจะออกไปเที่ยว แล้วถ้าพวกมึงอยากจะออกมาเที่ยว กูก็พามาแล้วนี่ไง เพราะงั้นก็ต้องเดินนะ ลุกๆ แหน่ะ ? กระดิกห่างใส่กูอีก  ” อีกคนถอนหายใจแล้วในตอนนั้นเจ้าสองตัวนั้นก็นอนลง “ เอ้า คราวนี้นอนเลย ”

“ ปัญญาอ่อน ” ส่ายหน้าไปมากับภาพที่เห็นแต่ยังไม่ทันจะได้เดินก้าวเข้าไปบอก คนที่เราไม่รู้จักที่เหมือนจะเดินออกกำลังกายอยู่ก็เดินเข้ามาทัก

“ ถึงจะบอกแบบนั้นมันก็ไม่เดินไปหรอกครับ ” ผู้ชายที่ตัวสูงพอๆกับผมยิ้มให้อีกคนก่อนจะย่อตัวลงนั่งตรงข้ามร่างขาว ใบหน้ายิ้มแย้มอย่างเป็นมิตรนั้นชวนให้ผมนิ่ง พลางขมวดคิ้วมองอย่างงุนงงไม่น้อยในการแทรกเข้ามาทักด้วยอย่างสนิทสนม

“ แมวน่ะมันรักความสงบ ถึงมันจะออกหนีไปเที่ยว แต่ไม่ได้หมายความว่า ถ้าเราใส่สายจูงมันจะเดินหรอกครับ ”

“ เหรอครับ ” อีกคนตอบรับยิ้มๆ  ผมก็ได้แต่ถอนหายใจ

‘ ก็นั่นแหละไอ้สัดที่กูจะบอกมัน ’

“ แต่ว่ามันก็มีนะครับ แมวที่ชอบเดิน แต่เหมือนเค้าจะฝึกแล้วก็พาออกมาเดินบ่อยๆ ” ไม่พูดเปล่าอีกคนว่าแบบนั้นก่อนจะเอื้อมมือมาจับหัวเจ้าแก้มหอมของผม “ แมวของคุณน่ารักจังเลยนะครับ ไม่ทราบว่ามันชื่ออะไรเหรอครับ ”

“ แก้มหอมครับ แต่มันไม่ใช่แมวผมหรอก แมวเพื่อนผมน่ะ ” ชี้มาทางผม คนที่จับหัวมันอยู่ก็หันมายิ้มให้ก่อนจะก้มหน้าทักทายกัน แต่ผมก็แค่เหลือบมองไปทางอื่นอย่างไม่สนใจ   “ แมวของผมคือเจ้าตัวนี้ครับ มันชื่อนายท่าน ”

“ ชื่อเท่จังเลยครับ ”

“ ขอบคุณครับ แต่ก็ตามสไตส์ของคนตั้งนั่นแหละครับ ” ไม่พูดเปล่าเมี่ยงมันยกมือขึ้นเก็กหน้าหล่อใส่อีกคนที่ก็เหมือนจะนิ่งไป ก่อนจะหลุดหัวเราะแล้วก็ยิ้มกว้างออกมา

“ ฮ่าๆ มีอารมณ์ขันนะครับ ”

“ แต่ยังไงก็ขอบคุณที่หัวเราะให้นะครับ ไม่งั้นต้องกร่อยมากแน่เลย ” อีกคนว่าพลางเกาหัวยิ้มๆ แต่เหมือนท่าทางนั้นจะทำให้คนที่นั่งคุยกับมันอยู่นิ่งไป ผมรู้สึกว่าอีกฝ่ายเหมือนจะยิ้มเพ้อ มันเป็นอาการของคนตกหลุมรัก

ครืน ครืน ครืน

เสียงโทรศัพท์สั่นขัดขึ้นในกระเป๋า ผมก้มลงมองดุมันก่อนจะเห็นเบอร์ที่โทรเข้ามา “ ไอ้สัดดีน ” พูดกับตัวเองเบาๆ อย่างงั้นก่อนจะหันไปเหลือบมองคนสองคนที่กำลังยิ้มแย้มให้กันตรงหน้า

“ ว่าแต่ ผมไม่เคยเห็นคุณออกมาเดินที่สวนนี่เลย ”

“ ไม่เห็นก็ไม่แปลกหรอกครับ ผมเพิ่งมาครั้งแรกน่ะ เพิ่งย้ายมาอยู่ที่คอนโดนั่น ” มือขาวที่ชี้ไปอีกคนก็พยักหน้ารับ

“ คอนโดเดียวกันเลย ” คนถามยิ้มกว้างแล้วในตอนนั้นด้วยแววตาที่มีหวัง จนชวนหงุดหงิด ผมกดตัดสายอีกฝ่ายไปอย่างไมใส่ใจ ก่อนจะยัดมือถือใส่ในกระเป๋า “ ผมเลี้ยงแมวด้วยนะครับ แล้วคุณชื่ออะไรครับ ”

“ เมี่ยงครับ คุณละ ” อีกคนตอบอย่างกระตือรือร้น ราวกับเจอพวกเดียวกัน

“ ต่อครับ ” อีกคนพูดพร้อมยิ้มกว้าง

“ ต่อ ฮอร์โมนเปล่าครับ ” คนตัวขาวแซวมุกที่ไม่คิดว่าคนคนนึงจะกล้าเล่นออกมา แต่เหมือนว่าคนตรงหน้าจะยิ่งหว่าถูกใจ เค้าหัวเราะลั่น

“ ฮ่าๆ ได้แบบนั้นก็ดีสิครับ ”

“ ว่าแต่ทำงานหรือว่าเรียนอยู่ครับ ผมจะได้เรียกถูก ”

ก็เพิ่งรู้ว่ามันเป็นคนเฟรนลี่ขนาดนี้ แต่ทว่าท่าทางที่ไม่ติดขัดแถมยังไม่มีอาการเคอะเขินอะไรทั้งนั้นก็ยิ่งชวนให้ผมขมวดคิ้ว ไม่ใช่เพราะมันไม่แนะนำผมให้รู้จักอีกฝ่ายทั้งๆที่เราก็ยืนด้วยกันหรอก แต่ผมแค่รู้สึกว่า มึงจะยิ้มให้กันทำไมนักหนา

“ เรียนอยู่ครับ ปีสี่วิศวะ ” คนที่ชื่อต่อตอบแบบนั้น อีกคนก็ตาโตก่อนจะยิ้ม

“ งั้นก็ต้องเรียกพี่ต่อ เพราะผมเรียนปีสองบริหารครับ ”

“ ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอคนที่คุยแล้วถูกคอขนาดนี้ที่นี่ ” ผมยกยิ้มในตอนที่ได้ยินประโยคนั้น “ ที่ห้องผมก็มีแมวครับ พันธุ์บิสติสชอร์ทแฮร์ สีน้ำตาล ”

“ เฮ้ยยยยยย ผมชอบพันธุ์นี้ เคยคิดจะซื้อมาเลี้ยงเหมือนกันครับ ”

“ เป็นตัวผู้ด้วยครับ แต่ขี้อ้อนมาก รับรองว่าต้องหลงรัก ถ้าว่างๆก็ไปดูได้นะ ”

“ จริงเหรอ ” สายตาที่ดูสนใจนั่น ยิ่งทำให้ผมหงุดหงิด “ ไว้ว่างๆไปแน่นอนครับ ”

“ ยินดีต้อนรับเลยครับ งั้นพี่ว่าเราแลกเบอร์กันมั้ย ”

“ ไม่ให้ ” ผมพูดขึ้นขัดบทสนทนานั้น ก่อนจะคว้าเอามือเล็กของร่างขาวนั้นมากุมไว้ พร้อมกับดึงให้มันเดินห่างออกมาจากคนคนนั้นที่ผมยิ่งมองก็ยิ่งทำให้รู้สึกหงุดหงิดอย่างไม่มีเหตุผลใดมากขึ้นทุกที

“ เฮ้ยๆ กูยังคุยกับเค้าไม่จบ ” เมี่ยงมันว่าขัดก่อนจะหันมองคนที่ยืนคุยด้วยสลับกับหน้าผมที่ก็พยายามดึงมันให้เดินตรงไปข้างหน้า

ไม่รู้ทำไม ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไรในตอนนี้

เหมือนมันก็แค่รู้สึก ว่าอยากจะพามันออกไปจากตรงนั้น ตรงที่มันทั้งยิ้ม หัวเราะ แล้วก็ดูมีความสุขกับใครคนอื่นที่ไม่ใช่ผม

“ ไอ้สัดอาร์ม พอแล้ว มึงจะลากกูไปถึงไหน เดินตามไม่ทันแล้วนะเว้ย ” หยุดขาที่กำลังเดินตรงไปอย่างไม่มีจุดหมายนั่นลง ก่อนจะเหลือบมองคนที่หอบน้อยๆเพราะต้องคอยก้าวเท้าให้ยาวเพื่อเดินตามผมให้ทัน “ เป็นเหี้ยอะไรของมึง อยู่ๆก็ลากกูออกมา กูกำลังคุยกับพี่เค้าอยู่ ”

“ คุยเหี้ยอะไรกัน แล้วมึงไม่บอกมันทำไมว่ามึงอยู่คอนโด ”

“ เอ้า! ” อีกคนสบถเสียงสูง “ ก็เค้าถามกูก็แค่ตอบ ”

“ แล้วไม่กลัวเลยเหรอว่ามันอาจจะมาหลอก หรืออาจจะเป็นโจร ”

“ แต่ท่าทางเค้าไม่ได้ดูเป็นโจร กูว่าเค้าดูดีนะ ”

“ ดูดีพ่อมึงสิ ” ผมตะโกนใส่อีกคน มันยิ่งหงุดหงิดตอนที่ได้ยินจากปากของอีกฝ่ายแบบนั้น “ โจรที่มันบอกมึงว่ามันเป็นโจร มันก็แต่งตัวดูดีทั้งนั้นแหละ มันจะล้วงความลับมึงแล้วบางทีก้อาจจะขึ้นไปขโมยของของมึงเลยก็ได้ ”

“ มึงตั้งสติก่อนไอ้สัด ” เมี่ยงมันว่า “ คอนโดเราความปลอดภัยมันต้องเหี้ยมากแหละ ถ้ามันปล่อยให้พี่ต่อเค้าขึ้นไปขโมยของในห้องกูได้อะ ”

“ เรียกมันว่าพี่ทำเหี้ยอะไร ”

“ แล้วมึงเป็นอะไรของมึงเนี้ย หงุดหงิดอะไรขนาดนั้น ”

ผมได้แต่เงียบไปอยู่ๆก็ตั้งคำถามกับตัวเองขึ้นมาในใจเหมือนกัน ‘ เออ.. แล้วกูจะหงุดหงิดอะไรขนาดนั้นวะ ไม่ได้เป็นกันสักนิด ’ แล้วตอนนี้กำลังรู้สึกอะไรอยู่ ทำไมต้องเป็นฝืนเป็นไฟขึ้นมาขนาดนี้

“ มึงนี่นะ เสียบรรยากาศสร้างมิตรภาพชิบหาย ”

“ กูก็ไม่รู้ ” ตอบออกไปแบบนั้นด้วยเสียงเบาๆ “ ที่มึงถามว่าทำไมกูเป็นแบบนี้ กูก็ไม่รู้เหมือนกัน ” ผมผ่อนลมหายใจออกมาก่อนจะหันไปมองร่างสูงของผู้ชายคนนั้นที่เหมือนยังคงมองมาทางเรา แล้วในวินาทีนั้นผมก็กระชับมือข้างนั้นไว้แน่น

“ สัดอาร์ม จับมือกูแน่นไปแล้ว ”

“ แต่เมื่อเช้ามึงบอกว่า ถ้าเราจับมือกัน  คนจะคิดว่าเราเป็นแฟนกันไม่ใช่เหรอ ” สบสายตาเรียวคู่นั้นที่มองไปทางไปมาซ้ายขวาอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่ผม คนที่จ้องมองมันอยู่กำลังพูดสักเท่าไหร่ “ กูก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่กูอยากจะจับมือมึงไว้ อยากให้ไอ้เหี้ยนั่น มันเข้าใจผิด คิดว่าเราเป็นแฟนกัน ”

“ คือ มึงหึงกูเหรอ ” คำถามสั้นๆที่ถามออกมาในตอนนั้นชวนให้ผมนิ่ง แล้วก็ต้องถามตัวเองด้วยคำถามนั้นย้ำซ้ำไม่ต่างอะไรกันกับที่คนตรงหน้าถาม

‘ เออ มึงหึงเมี่ยงเหรอวะ ’

“ หึงคือยังไง  ถ้าหึงคือการที่ไม่อยากให้ไอ้เหี้ยนั่นเข้ามาใกล้มึง แล้วก็ไม่อยากให้มึงยิ้ม แล้วก็หัวเราะให้มัน ถ้าหึงคืออะไรแบบนั้น ” ผมยิ้มให้คนตรงหน้าอย่างยอมแพ้  “ อื้ม งั้นกูคงหึงมึงจริงๆ ”

.................................................

ว้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย เทอหึงเค้า เทอหึงเค้าแล้ววววววววววววว
หึงก็บอกว่าหึง ใจๆกันหน่อย

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์
ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ในทวิตด้วยนะค้า  :กอด1: :L2: :3123: :L1:


ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

โถๆๆๆๆๆ อิพี่อาร์ม  ตกหลุมน้องเมี่ยงจนถึงขั้นหึงเลยหรา

รีบ ๆ เคลียร์ความรู้สึกนะจ๊ะ  ว่าจะเลือกใครดี ระหว่างน้องเมี่ยงกับสัดดีน

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
มีหึงด้วย ถ้าไอ้คนที่ได้แหวนไปรู้เข้า จะเป็นไงน่ะ  :hao4:

ออฟไลน์ minenat

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1678
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
ยังไม่ตัวเองเลยนะอาร์มมมม อย่ามายุ่งกับหนูเหมี่ยง

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
เคลียร์ตัวเองให้ชัดนะอาร์ม อย่าให้เมี่ยงต้องเสียน้ำตา ส่วนพี่ต่อ มาเพิ่มแรงหึงเยอะๆๆๆๆเลย

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
ตอนที่ 12


“ หึงคือยังไง  ถ้าหึงคือการที่กูไม่อยากให้ไอ้เหี้ยนั่นเข้ามาใกล้มึง แล้วก็ไม่อยากให้มึงยิ้ม หรือหัวเราะให้มัน ถ้าหึงคืออะไรแบบนั้น... อื้ม งั้นกูคงหึงมึงจริงๆ ”

มีแค่เพียงหัวใจที่เต้นแรง หลังจากจบประโยคนั้นสมองผมก็เหมือนจะโดนตัดออกจากโลกภายนอก คล้ายกับผู้ป่วยวิกฤติที่นอนแน่นิ่งอยู่ในห้อง ICU. แล้วตอนนี้สัญญาณชีพจรก็เหมือนจะกลายเป็นแค่เส้นขีดยาวที่มาพร้อมกับเสียงตี๊ด...ที่น่าสังเวทใจ

‘ แค่ประโยคเดียวของมึง กะจะเล่นเอากูให้ถึงตายเลยเหรอ ไอ้สัด ’ อยากจะตะโกนบอกอีกคนไปอย่างงั้นแต่สุดท้ายผมก็ทำได้แค่ผ่อนลมหายใจออกมา ก่อนจะมองไปทางอื่นอย่างคนใจไม่กล้าพอ

และก็อาจจะเพราะมือที่ถูกกุมจับอยู่ เริ่มชื้นเหงื่อของขึ้นมานิดหน่อยแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อย

เอาจริงๆ อาร์มไม่ผละสายตาออกไปจากการจ้องมองผมด้วยซ้ำ หนำซ้ำในตอนที่ผมอยากจะดึงมือออก อีกคนก็แค่กุมมันให้แน่นขึ้น แบบที่บอกกันว่า จะไม่ทางปล่อยไปไหนเด็ดขาดเลย

“ เอ่อ... คือ มึงหึงสมจริงไปแล้วมั้ง ” พูดหยอกเย้าตามธรรมดา ราวกับไม่รู้สึกอะไร ผมเหล่มองอีกคนทั้งๆที่ตอนนี้ไม่มีส่วนไหนของใบหน้าที่เรียกว่า ปกติ หูแดงจัด ทั้งหน้าและคอก็แดงไปหมด เหมือนเลือดจากทั้งร่างจัดชุมนุมโดยไม่ได้นัดหมายกันที่นี่

“ ตอแหลเหี้ยอะไร ” สายตาจริงจังพร้อมกับน้ำเสียงที่เข้าข้างตัวเองไม่ได้เลยว่าอีกฝ่ายโกหก  เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าตัวเองทำคะแนนขึ้นนำก็จริงๆ  แต่ก็น่าแปลก ที่ตัวผมตอนนี้กลับประคองสถานการณ์ไว้ไม่ได้เลย
 
ในสมองที่ควรตอบโต้อะไรออกไปด้วยความเหนือกว่า อย่างเช่นประโยคที่พูดว่า ‘ แหมมมม ชอบกูแล้วสิ ’ ‘ รักกูสินะ ’ หรือว่า ‘ สนใจกูละเช่ ’ ถูกกลืนหายไปหมด หลงเหลือไว้เพียงแค่ประโยคร้องขอชีวิตที่แสนจะวิงวอน ‘ จะตายแล้วไอ้ชิบหาย หยุดจริงจังทีได้มั้ย มึงกำลังทำให้กูคิดว่า มึงชอบกูจริงๆแล้วนะเว้ย ’ 

แล้วที่เหี้ยกว่านั้น คือกูก็รู้สึกยินดี

“ กูว่าเย็นแล้วนะ ” เงยหน้ามองฟ้าอย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อ  ผมหันไปยิ้มเกร็งให้อีกคนอย่างไม่เป็นตัวเองแบบที่สุด “ ท้องฟ้าดูเหมือนจะครึ้มๆ กูว่ารีบกลับคอนโดเรากันเถอะ ฝนตกขึ้นมาวิ่งอุ้มแมวกลับคอนโดกูว่าไม่น่าสนุก ”

“ อื้ม ” ตอบรับสั้นๆแค่นั้น แต่ในตอนที่ขากำลังก้าวเดินไปอีกคนกลับหยุดชะงักมันไว้แค่นั้น อาร์มหันมองผม ที่ตอนนั้นสบสายตามันก่อนจะก้มลงมองมือตัวเองที่ถูกจับกุมอยู่

“ คือ ปล่อยก่อนมั้ยจ้ะ ยังไงดี ” ยิ้มให้มันที่ก็นิ่งไป ร่างสูงยอมปล่อยมือกันด้วยท่าทางสีหน้าที่ผ่อนลมหายใจเสียดาย “ แหมมมมมมม น้องรู้ว่ามือน้องเล็กนุ่มนิ่ม แถมยังน่าจับ ไว้ว่างๆให้จับอีกก็ได้จ้า ไม่ต้องทำหน้าเสียดายอย่างงั้นก็ได้  ”

“ เห้อออออออ ” อีกคนถอนหายใจออกมา ก่อนจะเหลือบมองผมที่เอาแต่เลิ่กลั่กจนไม่รู้จะเอาสายตาหันไปมองทางไหนดี หัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ผมพยายามตั้งรับกับคำพูดหรือการกระทำที่อาจจะทำให้แน่นิ่งไปอย่างเมื่อครู่ แต่เหมือนอีกฝ่ายจะดูออก

อาร์มยกยิ้ม มันดึงมือขึ้นลูบหัวผมจนมันเอนไปด้านหลัง “ จะทำเป็นมองไม่ออกก็ได้  เอาอย่างที่มึงสบายใจแล้วกัน ”

“ งั้นเราก็ กลับบ้านกันเนอะ ” แล้วนั่นก็คือประโยคสุดท้ายที่ผมพูด ก่อนที่ทุกอย่างในระหว่างทางของเราจะกลายเป็นแค่ความเงียบ

เจ้าแมวสองตัวถูกยกขึ้นมาอุ้มแบบของใครของมัน แม้ผมจะเหลือบมองมันบ้าง แต่พอจับได้ก็ต้องเด้งสายตากลับมาเหมือนคนโดนของร้อน แล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อย่างไม่แนบเนียนที่สุด 

“ มีอะไร ” ในที่สุดคนข้างกันก็ทนไม่ไหวเอ่ยถามขึ้นมาในตอนที่เรากำลังยืนรอลิฟต์ขึ้นไปบนห้อง ผมเหลือบมองอีกคนก่อนจะส่ายหน้าไปมา พร้อมกับใบหน้าไม่รู้ไม่ชี้

“ ไม่มีนะ ”

“ ก็เห็นมึงมองคิดว่าจะถาม ”

“ ถามอะไรวะ ” ผมหันไปมองมัน “ ไม่มี๊ ” เสียงตอบปฎิเสธที่ดูสูงจนชวนให้อีกคนขมวดคิ้ว อาร์มมันยิ้มก่อนจะดึงสายตาของตัวเองลงมามองกัน  แล้วในยามที่ได้มองสบ ผิวหน้าของผมร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ แววตาสั่นไหวไปมา แต่ถึงอย่างงั้นปากก็ยังเอ่ยถามและโกหกออกไป “ อะ อะไรไอ้สัด บอกว่าไม่มีอะไรจะถามไง ”

“ งั้นเหรอ ” อาร์มยิ้มกว้างขึ้น อีกฝ่ายในตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับหมาตัวใหญ่ที่แม่งชอบรังแกหนูตัวเล็กๆ ด้วยการเหยียบหางไว้เบาๆไม่ให้ไปไหน แถมยังดูเป็นเรื่องสนุกที่ได้เห็นผมแสดงทีท่าที่ไม่เป็นตัวเอง “ งั้นกูคงเข้าใจผิด เพราะกูคิดว่ามึงคงอยากถาม ”

“ ถาม ? ถามอะไร ”

“ ก็อาจจะประมานว่า จริงมั้ยนะ เรื่องที่กูหึงมึง ”

‘ ไอ้สัด รู้ได้ยังไงวะ ’ สถบอยู่ในใจ ก่อนจะเลื่อนสายตาหันกลับมามองประตูลิฟต์ที่สะท้อนใบหน้าพ่ายแพ้ของตัวเองแบบจนแต้ม แก้มสองข้างของผมมันแดงกล่ำ

“ รู้มั้ยว่าลิฟต์มันสะท้อน บอกกูนะ ” อาร์มที่มองประตูลิฟต์อยู่เหมือนกันบอกกับผม ที่ก็เหลือบมองมันผ่านเงาสะท้อนนั้น

“ อะไร ”

“ หน้าแดงๆ ของมึงที่บอกกับกูไง ว่าทุกอย่างที่กูพูดมันคือเรื่องจริง ”

“ ไม่ต้องมายิ้มเลย ” พูดได้แค่นั้น ก่อนจะถอนหายใจแล้วหันไปกดปุ่มเรียกลิฟต์ถี่ๆ จนคนที่ยืนข้างกันต้องเอื้อมมือมาจับไว้ สายตาคมที่เหล่มองผมในตอนนั้น

“ กดทำไมหลายที ทีเดียวมันก็มาแล้ว ”

“ ก็กูอยากจะขึ้นห้องแล้ว ” ว่าแบบนั้นก่อนจะดึงมือตัวเองที่อีกคนจับอยู่ขึ้นมากอดกระชับตัวไอ้นายท่านไว้

“ แต่กูยังอยากจะอยู่กับมึงนะ ” เสียงเรียบที่เอ่ยบอกกัน อาร์มมองหน้าผม ผ่านเงาของประตูลิฟต์ที่สะท้อนอย่างจริงจัง แบบที่ผมใช้เป็นข้ออ้างกับตัวเองไม่ได้เลยว่านั่น อาจจะเป็นคำโกหกเพื่อทำให้ผมตกหลุมอย่างที่เคยเป็นมา

“ ยอมมึงแล้วไอ้สัด ” พูดออกไปอย่างงั้นอย่างอ่อนแรง ผมถอนหายใจหน่ายๆแบบชนิดที่ไม่มีคำพูดอะไรต่อกรกับมันได้อีก และตอนนี้ถ้าชีวิตผมมันเป็นเกมส์ ก็คงขึ้นหน้าจอดำมืดพร้อมกับประโยคสั้นๆ ‘ GAME OVER ’

พาร่างไร้วิญญาณและสติกลับมาที่ห้องของตัวเองจนได้ในที่สุด ผมล้มตัวลงนอนยาวบนโซฟาอย่างคนหมดแรงหลังจากยืนหน้าแดงอยู่ในลิฟต์แคบๆนั่นอยู่นาน กับอีกคนที่เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไม่รู้จะมีความสุขอะไรนักหนา

“ เห้ออออออ “ ถอนหายใจออกมาเสียงดัง ก่อนจะหันไปมองไอ้นายท่านที่หลังจากกระโดดออกไปจากอ้อมกอดของผมตั้งแต่เปิดประตูห้อง มันก็ตรงไปที่น้ำพุใส่น้ำของตัวเองทันที ท่าทางหิวน้ำแบบสุดๆชวนให้ผมยิ้ม ก่อนจะหุบยิ้มลงในตอนที่มันกินเสร็จแล้วไปนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่ประตูห้อง อย่างร้องเรียกที่จะออกไปอีกครั้ง

“ เมี๊ยว ”

“ ไม่ต้องมาเมี๊ยวเลย ไม่ออกไปเล่า ” ผมว่า แต่เหมือนอีกคนจะไม่ฟังกันสักเท่าไหร่ ไอ้นายท่านยังคงร้องต่อไปแบบที่ไม่สนอะไรใดๆ เหมือนหัวจิตหัวใจอยากจะอยู่กับสาวข้างห้องเท่านั้น

“ เมี๊ยว เมี๊ยว เมี๊ยว เมี๊ยว ”

“ โอยยยยยยยยยยย หยุดเลย หยุดเดี๋ยวนี้ ” ผมดึงหมอนอิงที่อยู่ตรงโซฟามาปิดหูตัวเอง ก่อนจะหลับตาแน่นทำทีเป็นไม่ได้ยิน  “ ไม่ กูไม่ได้ยิน ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น  ไมได้ยิน ไม่ได้ยิน ”

“ เมี๊ยว ” แต่เสียงที่ดังอยู่ไกลๆ ยิ่งท่องก็เหมือนจะยิ่งเข้ามาใกล้หู จนผมลืมตาขึ้นมามองตอนที่ได้ยินเสียงหายใจของแมวที่ดังอยู่ใกล้ๆ ไอ้นายท่านกระโดดขึ้นมานั่งบนโซฟาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ที่รู้ตอนนี้มันมานั่งอยู่ตรงหน้าผม แล้วก็ร้องเรียก “ เมี๊ยว ” ก่อนจะกระโดดลงไปแล้วเดินตรงไปที่ประตู “ เมี๊ยว ”

“ ไม่เปิด ไม่ไปแล้ว อยู่บ้านตัวเองบ้างเถอะมึงอะ มัวแต่จะหาสาว ใจแตกเหรอ เมื่อก่อนเห็นซึน ดูเหมือนจะไม่สนใจเค้าเลย เวลาเค้าร้องเรียกมึง เมี๊ยวๆ จะครบร้อยละ มึงยังไม่ตอบกลับเค้าสักคำ แต่ตอนนี้คือยังไง จะหาเค้าท่าเดียวเลยนะ ”

“ เมี๊ยว ” เสียงตอบกลับนั่น เหมือนว่าเจ้าตัวลายมันสวนผมกลับยังไงไม่รู้ในความรู้สึก ด้วยประโยคประมานว่า ‘ ก็เหมือนมึงนั่นแหละ ’ ที่เมื่อก่อนจะจีบเค้างั้นงู้นงี้ให้เค้าตกหลุมรัก แต่พอตอนนี้ เขาพูดว่าหึง พูดว่าอยากอยู่ด้วยกันเข้าหน่อย ก็เสือกหูแดงหน้าแดง เขินจนใบ้กิน เถียงไม่ออกสักคำ

“ โอยยยยย หยุดเต้นก่อนได้มั้ยวะ ไอ้สัดหัวใจนี่ก็ ” ซุกลงกับหมอนด้วยความหงุดหงิด ผมเผลอคิดถึงใบหน้าจริงจังของมันทั้งตอนที่บอกว่าหึงกันเพราะผมมัวแต่คุยกับพี่ต่อ  แล้วก็นตอนที่อยู่หน้าลิฟต์ ที่อีกฝ่ายบอกว่ายังอยากจะอยู่ด้วยกัน “ คือยังไงวะ ชอบกูเหรอ ”

“ เมี๊ยว ” เสียงร้องเรียกที่ดังอยู่ตรงโซฟาด้านล่าง ไอ้นายท่านกระโดดขึ้นมาบนโซฟาตรงหน้าผมอีกครั้ง “ เมี๊ยว ”

“ นายท่าน มึงว่ามันชอบกูมั้ย ไอ้อาร์มชอบกูเหรอ ”

“ เมี๊ยว ” เหมือนมีคำว่า ‘คงชอบแหละ’ หลุดออกมาจากในความคิดคนชอบเข้าข้างตัวเองอย่างผม ที่ก็กลั้นยิ้มกว้างกับตัวเองคนเดียว พร้อมกับซุกหน้าลงกับหมอนอีกครั้ง ขาตีเข้ากับโซฟาแบบที่อดตื่นเต้นไม่ได้ รู้สึกเหมือนตัวเองจะละลายหายไปกับโซฟาตัวที่นอน

“ บ้า มึงก็..พูดอะไรวะ โอ๊ยยยยยยย ”

“ เมี๊ยว เมี๊ยว ” 

เงยหน้าขึ้นมาตอนที่ได้ยินเสียงร้องนั้น ที่ก็กระโดดลงไปบนพื้นอีกครั้ง นายท่านส่ายหาง เหมือนบอกว่าจะให้ตามกันมา แล้วเปิดประตูให้มันหน่อย

“ เอ่อ...” จริงแล้วๆ มันคงไมได้ตอบอะไรผมอย่างที่รู้สึกหรอก เพราะในใจตอนนี้ของไอ้ตัวลายข้างหน้า คงมีแค่อย่างเดียวคือ ‘ น้องแก้มหอม ’ ผมผ่อนลมหายใจ ก่อนจะเดินตรงไปนั่งย่อตัวลงข้างๆมันที่นั่งส่ายห่างอยู่ตรงประตู

“ นี่ นายท่าน เราทีมเดียวกันนะเว้ย มึงแม่งจะทิ้งกูแบบนี้ได้เหรอ คือมึงไม่เห็นสภาพกูเลยอะ กูย่ำแย่มากเลยนะจากคำพูดของพ่อแก้มหอมอะ มันทำกูเขินมาก กูไปไม่เป็นเลยนะ เพราะงั้นกูไม่สามารถพามึงออกไปหาแก้มหอมคนสวยของมึงได้ในตอนนี้หรอก โอเค๊ ? ”

“ ม๊าว เมี๊ยว เมี๊ยว เมี๊ยว ” สองมือหน้าข่วนประตูอย่างเอาเป็นเอาตายจนทำได้แค่ถอนหายใจ

“ มึงนี่ สนใจกูหน่อยได้มั้ย ”

“ เมี๊ยว ” สายตาคมที่หันหันมาร้องบอกกันอย่างไม่ใยดี นายท่านหันกลับไปมองที่ประตูอย่างเดิม เหมือนเพราะผมไม่ใช่เจ้าแก้มหอมของมัน ก็เลยเหนื่อยหน่อยนะ ถ้าอยากจะให้มันให้ความสนใจ

 “ มึงแม่ง เห็นคนอื่นดีกว่ากูได้ยังไง กูคือคนให้ข้าวให้น้ำนะ ” ก้มลงไปใกล้อีกตัว แต่ในตอนที่จะพูดอะไรต่อ กลิ่นตุๆ จากเจ้าตัวลายก็ทำให้ผมยิ้ม “ กูรู้แล้วว่าทำยังไง มึงถึงเลิกสนใจประตูนี่ ”

ลุกเดินเข้าไปในห้องนอนหลังจากจบประโยคนั้น ผมหยิบผ้าขนหนูสีขาวผืนขนาดกลางของตัวเองหนึ่งผืนขึ้นมาพาดไหล่ ก่อนจะเดินออกไปจับเจ้าตัวลายที่ยืนข่วนประตูอยู่ขึ้นมา ผมเดินตรงเข้าไปในห้องน้ำ

“ อาบน้ำจ้า นายท่าน ”

“ ม๊าว!!! ” เสียงร้องตกใจที่โคตรจริงจังราวกับจะปฎิเสธ แต่ผมก็แค่ปล่อยมันไปแล้วทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น นายท่านถูกวางลงในอ่างอาบน้ำ ส่วนแชมพูแล้วก็ผ้าขนหนูถูกตั้งไว้ในที่ที่ง่ายต่อการจับ

“ แต่ เค้าแม่งเริ่มอาบน้ำแมวกันยังไงวะ ” ถามตัวเองแบบนั้นก่อนจะมองไอ้นายท่านที่ก็เหลือบมองผมแบบไม่ไว้ใจเท่าไหร่ “ ไม่ต้องมองกูอย่างงั้น เพราะเราจะผ่านมันไปด้วยกัน เอาละนะ! ”

ฉ่า!

“ ม๊าว!!!!!!! ” เสียงเปิดน้ำดังขึ้นพร้อมกับเสียงแมวที่ก็กระโดดหนีไปแทบจะทันทีที่น้ำโดนตัว แต่โชคดียังดีที่ผมปิดประตูไว้นายท่านเลยออกไปไม่ได้ แม้มันจะไม่สนิทเท่าไหร่ก็เถอะ

“ มึงจะหนีไปไหน มึงหนีไม่พ้นหรอก มาอาบน้ำ ”  ฉีดน้ำไปทางเจ้าแมวที่ข่วนประตูอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ ณ ขณะนั้น ผมปิดน้ำลงก่อนจะเดินมาเตรียมจะอุ้มมันขึ้น แต่เหมือนจะไม่ง่ายอย่างงั้น เพราะอีกตัวดันวิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต “ แล้วมึงจะหนีไปไหนเล่า มานี่เลย “

“ ม๊าว ม๊าว ” นายท่านซุกตัวอยู่ข้างมุมประตู มันแยกเขี้ยวใส่กันเหมือนว่าถ้ามึงเข้ามานะเมี่ยง กูจะข่วนมึงแบบไม่ให้เหลือเลย

“ อย่าคิดที่จะทำแบบนั้น กูพูดจริง มึงห้ามข่วนกูนะ ” ผมขู่มันก่อนจะค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ แต่อีกตัวก็แค่วิ่งหนีไปหลบที่อื่น “ นายท่าน เลิกกลัวก่อน กูแค่จะอาบน้ำให้มึงเอง แล้วการอาบน้ำนะ มันจำเป็นนะ มันจะทำให้มึงสะอาดขึ้น เข้าใกล้แก้มหอมเค้าก็จะไม่รังเกียจ เข้าใจมั้ย ” ย่อตัวพูดกับอีกตัวก่อนจะถอนหายใจ “ รู้มั้ยว่า ถ้าเราตัวหอมๆ สาวจะอยากเข้ามาใกล้ เข้ามาคลอเคลียนะ แก้มหอมเค้าหอมนุ่มขนาดนั้น มึงก็ต้องหอมด้วย เข้าใจที่พูดเปล่า ”

“ ม๊าววววววววววววววววววววววว ”

“ อาบน้ำ! ”

“ ม๊าว!!!!! ” เสียงร้องลั่นดังขึ้นหลังจากที่ผมบอก แต่คราวนี้มันวิ่งไปที่ประตูก่อนจะยกตัวขึ้นข่วนประตูเลื่อนที่ปิดไม่สนิทเท่าไหร่นั้น จนมันแง้มออกกว้างขึ้น

“ เชี้ย! อย่าออกไปนะ ” หลังจากตะโกนลั่นมือก็เอื้อมคว้าแต่ก็เหมือนจะช้ากว่าเจ้าตัวที่วิ่งออกไปแบบไม่คิดชีวิต เหมือนว่าจะเป็นตายร้ายดียังไงกูก็ต้องรอดออกไปจากการอาบน้ำครั้งนี้ให้ได้ “ ไอ้นายท่าน กลับมาเดี๋ยวนี้ ” ผมตะโกนออกไปก่อนจะวิ่งไล่มันจนอีกตัวขึ้นไปบนโต๊ะตรงส่วนครัวที่ผมตั้งแก้วน้ำไว้อยู่ นายท่านยกมือไปเขี่ยมัน “ อย่านะ! หยุดเดี๋ยวนี้  ” แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ มือนั้นปัดแก้วน้ำออกจากตก

เพล้ง!

“ ไอ้นายท่าน! ” ตะโกนออกไปแบบสุดเสียง ผมจ้องหน้ามัน แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าสนใจอะไร หนำซ้ำมันยังจ้องหน้าผมเขม็ง เหมือนจะบอกว่า ‘ ถ้ามึงยังจะก้าวเข้ามาอีก กูพร้อมจะทำลายทุกอย่าง ’ “ ทำไมมึงถึงอันธพาลแบบนี้ มึงมันแมวนิสัยไม่ดีเลย เดี๋ยวก็กูไม่รักเลยนะ ”

“ ม๊าว ”

“ ไม่ต้องมาเถียงเลย!! ไม่รักก็ไม่สนงั้นเหรอมึงน่ะ ” เจ้าตัวลายกระโดดลงจากโต๊ะในตอนที่ในตอนที่ผมพูด แล้วคราวนี้มันก็ขึ้นไปบนโต๊ะหน้าทีวีที่มีมือถือเพิ่งถอยใหม่ของผมวางอยู่ มือปุกปุยที่เคยน่ารักตะบบเข้ากับมือถือเครื่องนั้น มันหันมองผมอย่างท้าทาย ซึ่งแน่นอนว่าตอนนั้น แม้แต่คำว่า ‘อย่า’ ผมก็ยังไม่กล้าพูด

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ เมี่ยง ” เสียงเรียกคุ้นเคยที่ดังอยู่ตรงบานประตูทำให้ผมหันไปมอง ก่อนจะหันกลับมามองไอ้นายท่านที่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยมือออกจากโทรศัพท์ของผม มันช่างเป็นวินาทีที่ทุกอย่างเหมือนอยู่ในขั้นวิกฤต เพราะแค่มันผลักนิดเดียว มือถือซื้อใหม่ที่เพิ่งได้มาไม่ถึงสองเดือนก็พร้อมจะหล่นลงจากโต๊ะทันที

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ เมี่ยง ” คนด้านหน้าเคาะประตูพร้อมกับเรียกซ้ำอีกครั้ง

“ โอยยย มึงจะเคาะทำไมเนี้ย ” ถอนหายใจอย่างอ่อนแรงอย่างช่วยไม่ได้ ผมถอยหลังไปที่ประตูช้าๆอย่างไม่วางตาจากเจ้าตัวร้าย เปิดแง้มประตูห้องของคอนโดเบาๆ แล้วเงยหน้ามองคนข้างห้องที่กำลังอุ้มเจ้าแก้มหอมไว้อยู่อาร์มขมวดคิ้วให้กัน

“ เสียงดังชิบหาย เป็นเหี้ยอะไร ”

“ มึง ไอ้นายท่านมันก่อกบฏกับกู แล้วตอนนี้มันก็จับมือถือกูไว้ เพื่อข่มขู่ ” พูดออกไปเสียงเบาๆอีกคนก็ได้แต่เงียบ “ แต่กูไม่กล้าเจรจาต่อรองอะไรกับมันเลย เพราะเคยดูคลิปแมวมาที่พอเค้าบอกว่า อย่า มันแม่งก็ผลักแก้วลงตกจากโต๊ะเลย ”

“ ประสาท ” อาร์มมันว่าหน่ายๆ พร้อมกับถอนหายใจด้วยความรู้สึกเซ็งนิดหน่อยที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่แบบที่มันคิด

“ ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดแบบนี้นะเว้ยไอ้เหี้ย! ” ย้ำตรงท้ายประโยคกับอีกคนที่ก็แค่เหลือบมองไปทางอื่นอย่างอ่อนใจ ร่างสูงยิ้มจางๆ ก่อนจะหันมาพยักหน้ารับกับผมแบบยอมแพ้

“ ครับๆ ยอมแพ้คุณแล้ว ”

“ มือถือกูเพิ่งซื้อมาใหม่ ฟิล์มกันรอยก็ยังไม่ได้ใส่ แถมจากโต๊ะลงบนพื้นมันก็สูงอยู่นะ พื้นเป็นกระเบื้องอีก ยังไม่ได้ซื้อพรมมาใส่ มึง...” ผมลากเสียงอ่อนใส่อีกคน อย่างร้องขอความช่วยเหลือ “ ทำยังไงดี ”

“ คนอย่างมึงนี่มัน...” อาร์มเว้นเสียงไปก่อนจะถอนหายใจแล้วส่ายหน้าไปมายิ้มๆ “ ไม่มีสติกับทุกเหตุการณ์จริงๆเลยนะ ”

“ K ไม่ใช่เวลาที่มึงจะมาพูดแบบนี้มั้ย ตอนนี้มึงต้องช่วยมือถือของกูก่อนนะ ” พูดแบบนั้นก่อนจะหันมองแมวตัวเองที่อยู่ในห้อง สลับกับคนหน้าห้องที่กำลังลูบขนแมวตัวเองอยู่ “ กูคิดออกแล้ว ”

“ อะไร ”

“ ตามหลักปกติ เค้าต้องให้คนมากล่อม เพื่อให้มันยอมใช่มั้ย ”

“ คือบางทีมึงอาจจะดูหนังมากไป นี่แมวนะ ” อาร์มมันว่า ผมก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา

“ ไม่มากหรอก เพราะงั้นนะ กูขอยืมแก้มหอมหน่อย กูจำเป็นต้องมีทูตเพื่อเจรจา ”

“ ไร้สาระชิบหาย คือ ดูอะไรนี่ ” หันขวับไปหาคนที่พูดอย่างงั้น มือหนาจะกดเข้าที่กริ่งตรงหน้าห้อง แล้วในวินาทีต่อมาที่เสียงกริ่งดังขึ้นในห้อง เจ้าตัวร้ายที่ใช้อุ้งเท้าจับอยู่บนมือถือของผม ก็ดึงเท้าออกก่อนจะวิ่งปู๊ดขึ้นไปบนคอนโดตัวเองทันทีด้วยความตกใจ

“ เชี้ย! รอดแล้ว ” ผมวิ่งเข้าไปหยิบมือถือตัวเองเป็นอย่างแรก ก่อนจะเงยหน้ามองเจ้าตัวร้ายที่ตอนนี้มองผมลงมาจากคอนโดแมวของตัวเอง “ ไม่ต้องมามองเลย มึงนะมึงไอ้ตัวดี  มึงมันร้ายมาก ทำไมถึงเป็นแมวที่นิสัยไม่ดีได้ขนาดนี้ ไม่น่ารักเลย ”

“ เมี๊ยว ” ไม่ใช่เสียงตอบรับของนายท่าน แต่เป็นจากเจ้าแก้มหอมขาที่ก็กระโดดลงไปจากการกอดรัดของผม มันวิ่งขึ้นไปที่คอนโดแมวข้างๆกับนายท่าน ก่อนจะส่งเสียงเรียก พร้อมกับคลอเคลียไม่มีห่าง  “ เมี๊ยว ”

“ แล้วมึงไปทำอะไรมัน ทำไมมันถึงได้อาละวาดขึ้นมาขนาดนี้ ” หันไปมองคนที่เดินเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ สายตาคมที่หันมองเศษแก้วที่ตกแตกอยู่ อาร์มเหลือบมองผม

“ จับมันอาบน้ำ แต่ว่าคงจะผิดวิธีไปหน่อย มันก็เลยตกใจ แล้วก็วิ่งเตลิดออกมาเลย ” อธิบายให้อีกคนที่ก็ได้รับเพียงแค่การถอนหายใจใส่เบาๆ “ แหมมมมมึง กูก็ไม่เคยอาบน้ำแมวมั้ยละครับ ใครจะไปรู้ว่าแค่เปิดฝักบัวมันก็ตกใจ แล้วก็วิ่งหนีกูไปซะทั่วห้อง ยังกับคิดว่ากูจะฆ่ามัน ”

“ ก็ไม่ผิด บางทีมันอาจจะคิดว่าฝักบัวนั่นแหละคืออาวุธที่มีน้ำที่มันไม่ชอบไหลออกมา”

“ เหรอ ”

“ แล้วนี่อาบน้ำมันเสร็จยัง ”

“ มึงควรถามว่ากูทำให้มันเปียกได้ทั้งตัวยัง หรือไม่ก็ ได้เปิดฝาแชมพูยังครับเมี่ยง ” เสียงหัวเราะเบาๆของคนที่ยืนอยู่ข้างๆ แต่ในตอนที่ผมหันไปมอง มันก็เชิดหน้าไปกองแก้วแตก

“ ก่อนอื่นกูว่ามึงต้องทำความสะอาดไอ้เหี้ยนี่ก่อนมั้ย ”

“ เออ แปป ขอเก็บกวาด  มึงหลบหน่อยเดี๋ยวจะโดนบาดเอานะ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะกันอีกคนให้ถอยห่างออกไปไกลจากรัศมีที่คิดว่ามีเศษแก้วกระจายตัวไป ผมเดินไปหยิบเอาไม้กวาดที่อยู่ในห้องเก็บของออกมา แล้วลงมือกวาดมันอย่างสะอาด ตบท้ายด้วยการดูดฝุ่นอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ “ เสร็จละ ”

“ แล้วนี่ยังคิดที่จะอาบน้ำให้มันอยู่มั้ย ” อาร์มที่นั่งอยู่บนโซฟาในห้องเชิดหน้าไปทางแมวของผมที่ก็กำลังเลียขนตัวเองแต่งหล่อต่อหน้าสาวเต็มที่ ผมกลืนน้ำลายลงคอ

“ ก็อยากนะ แต่กลัวมันอาละวาดอีกน่ะสิ ”

“ กูช่วยมั้ยละ ” ใบหน้าคมที่เอียงหน้าถามกันอย่างงั้นยิ้มๆ ก่อนจะหันไปมองแมวตัวเองที่นั่งอยู่กับแมวของผม “ แก้มหอมเป็นแมวที่ชอบอาบน้ำมากๆ เค้ารักความสะอาด บางทีถ้าแมวมึงมันเห็นว่าไม่อันตราย มันอาจจะยอมให้อาบก็ได้ ”

“ อันนี้คือจริงจังใช่มั้ย ”

“ มันก็ต้องลองดู พอดีสิ่งที่กูเลี้ยงมันคือแมว ไม่ใช่อันธพาลซะด้วย ” ร่างสูงเหลือบมองแมวผมด้วยสายตาเอาเรื่อง แต่เหมือนเจ้าตัวลายของผมก็ไม่มีท่าทีเกรงกลัวอะไร  นายท่านจ้องไอ้อาร์มกลับ แต่อีกคนก็แค่ยิ้มในตอนที่เดินเข้าไปหาแมวตัวเอง “ แก้มหอมขา มาหาป๊านี่มา ” กางมือออกเหมือนขออุ้มเด็กเล็กๆ แก้มหอมเองก็แสนจะน่ารัก มันพาตัวเองเข้ามาให้อ้อมกอดของคนเป็นเจ้าของพร้อมทั้งคลอเคลียไม่ห่าง เป็นอะไรที่โคตรน่าอิจฉา

“ คอยดูกูบ้างแล้วกันนะ ” ผมบอกก่อนจะยักคิ้วให้อีกคน  “นายท่านขอรับ ” ผมกางมือออกไปหมายจะอุ้ม แต่ก็โดนมือเล็กๆนั่นผลักมือผมออกไปเหมือนบอกว่า ‘ไปไกลๆเลยมึง’ จนผมต้องบอกมันแบบกระซิบ “ นี่ ต่อหน้าคนอื่นนะ ช่วยทำตัวน่ารักๆหน่อยได้มั้ย แบบที่แมวดีๆเค้าเป็นกันอะ ”

“ บางทีมันอาจจะไม่เข้าใจก็ได้นะ ” อาร์มว่ายิ้มๆ “ ความหมายของคำว่า แมวที่ดีน่ะ ”

“ K ” หันไปบอกร่างสูงที่ก็ยักคิ้วให้กัน ผมหันมองนายท่านอีกครั้ง “ มึงแม่งไม่เจ็บใจเหรอวะ มันว่ามึงถึงขนาดนี้เลยนะ นี่ถ้าเป็นกู กูให้อุ้มเลยนะ ” บอกอีกตัวที่ก็แค่มองผมไม่วางตาราวกับยังไม่ไว้วางใจ

นายท่านกระโดดลงจากคอนโดแมว มันเดินผ่านผมไปด้วยท่าทางนวยนาดแบบเชิ่ดคอ ก่อนจะไปหยุดอยู่ตรงคนข้างผม เท่าปุหปุยเอาเท้าหน้าเหยียบบนเท้าไอ้อาร์มไว้อย่างหาเรื่อง จนอาร์มต้องก้มลงไปมองหน้ามัน สายตายียวนกวนประสาทสบกัน ก่อนที่เจ้าตัวร้ายจะเดินกลับมานอนลงข้างๆเท้าผม

“ มึงแม่งโคตรน่าเตะ ”

“ แต่ก็น้า มันสมเป็นนายท่านของกูเลยละ ” ก้มลงไปอุ้มอีกเจ้าแมวสุดกวนขึ้นมา ผมยักคิ้วให้อาร์มที่ก็เหลือบไปมองทางอื่น “ อย่าเกลียดมันไปนักเลยน่า เพราะอะไรรู้มั้ย ”

“ อะไร ” เสียงทุ้มหันมาเหลือบถาม ผมก็เหล่มองมันยิ้มๆ

“ ก็แม่กูเคยบอกไว้ว่า อย่าเกลียดอะไร เพราะเกลียดอะไรจะได้อย่างงั้น ระวังน้า บางทีมึงอาจจะได้ไอ้นายท่านเป็นลูกเขยก็ได้ ถ้ายังขืนเกลียดมันแบบนี้ ใช่มั้ยละครับ น้องแก้มหอมขา ”

“ เมี๊ยว ” เสียงใสที่ตอบรับอย่างน่ารัก เหมือนจะบอกกันว่า ‘ ใช่แล้วค่ะพี่เมี่ยงขา ’

“ ยังอยากจะอาบน้ำให้แมวมั้ย ไม่งั้นกูจะได้กลับบ้าน ” สายตาเซ็งๆที่เหลือบมองกัน ชวนให้ผมยิ้มก่อนจะก่อนจะก้มลงกระซิบแมวตัวเอง

“ ว่าที่พ่อตามึงแม่ง ดุชิบหาย ”


ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
เราเดินเข้ามาภายในห้องน้ำที่เจ้าแมวตัวร้ายที่ผมอุ้มแสดงท่าทางกลัวอย่างเห็นได้ชัด สองมือที่ตะขบเข้ากับเสื้อที่สวมอยู่พยายามอย่างมากที่จะปีนหนีไปให้ไกล แต่ผมก็แค่กอดมันไว้ก่อนจะลูบหลังเจ้าตัวที่อุ้มอยู่ในสงบลง

“ ขอโทษที่ทำให้มึงกลัวนะ แต่ไม่เป็นไรหรอก ก็แค่อาบน้ำเอง ” อาร์มเหลือบมองผมที่พูดแบบนั้น ตอนนั้นอีกคนเอาเจ้าแก้มหอมไอวางลงในอ่างน้ำ ที่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลัวอะไรเลย

“ เวลาเปิดน้ำอาบให้แมวมึงต้องค่อยเปิดเบาๆ ฝักบัวแรงดันน้ำมันจะเยอะเกินไปเวลาที่เปิดจนสุด เสียงน้ำแบบนั้นจะทำให้แมวกลัว ” เสียงน้ำที่ไหลออกจากฝักบัวเบาๆ ผมพยักหน้ารับก่อนจะสบสายตากับอีกคน “ เอาแมวมึงลงมายืนในอ่างสิ ”

“ ก็อยากอยู่หรอก แต่มันเกาะเสื้อกูแน่นเลยนี่สิ ไม่ยอมไปไหนเลย ” ยิ้มแห้งๆให้อีกฝ่าย ผมชูมือตัวเองขึ้นเพื่อบอกกับอีกคนว่าไม่ได้มีการจับกุมอีกตัวไว้แต่อย่างใด และในตอนนั้นเองที่อาร์มเดินเข้ามา มันดึงเล็บที่ยึดเสื้อผมไว้ของนายท่าน ก่อนจะอุ้มอีกตัวมายืนข้างๆแก้มหอมแมวของมัน ด้วยการจับที่คอเอาไว้ “ มึงอาบให้แก้มหอม กูจะอาบให้ไอ้นายท่าน ” 

“ เสนอตัวแบบนี้ ถ้าโดนข่วนอีกยี่สิบแผลก็คือไม่ใช่ความผิดกูถูกมั้ย ” เหลือบสายตาแซวมันนิดๆผมขยับตัวเองนั่งลงข้างอีกคน  อีกคนก็เปิดน้ำเบาๆ รดเจ้าตัวขนที่ก็เอ่ยร้องเสียงขัดใจอยู่ในคอตลอดเวลา เหมือนคำกร่นด่าที่ว่า ‘ อย่าให้กูรอดออกไปได้นะไอ้พวกเหี้ย ’

“ รดน้ำให้ทั่วทั้งตัวก่อน แล้วก็ค่อยเทแชมพูลงไปสระ ”

“ โอเค ” ผมบีบแชมพูลงบนมือของอาร์มที่รอรับ มันถูไปบนตัวของไอ้นายท่านที่ปกติก็ไม่ใช่แมวตัวอ้วนอะไรอยู่แล้ว ตอนนี้พอโดนน้ำมันก็ยิ่งเล็กลง เจ้าตัวขนสั่นหงึกหงึกไปหมด ส่วนผมเองก็หันมาสนใจคนสวยที่ยืนอยู่ตรงหน้าบ้าง ด้วยการใช้ฝักบัวรดน้ำไปบนขนสวยจนค่อยๆลีบแบนจนเหมือนเพียงแค่แมวตัวเล็กๆที่เหมือนจะมีแค่ตา ที่โตอยู่อย่างเดียว

“ ม๊าววว!!!!!!! ” เสียงร้องของไอ้นายท่าน เหมือนว่ามันตกใจในตอนที่หันมามองแก้มหอมอาบน้ำ แววตาเอาเรื่องสีเหลืองเบิกกว้าง เท้าที่ถอยลำตัวจนไปติดกับขอบอ่างชวนให้ผมกับอาร์มหันไปมองท่าทางกลัวๆของมันผมรู้สึกเหมือนมันคงตั้งคำว่า ว่าไอ้ขนเปียกน้ำนี่มันใคร

“ ตกใจอะไรของมึง นี่แก้มหอมคนสวยของมึงไงนายท่าน น้องแค่ขนลีบเพราะโดนน้ำเองนะ ”

“ เมี๊ยว ” เจ้าตัวขาวหันไปตอบรับอีกตัว ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ แต่ไอ้นายท่านก็แค่ถอยหลัง ผมส่ายหน้ากับท่าทางที่ไม่รู้จะกลัวอะไรของมัน

“ แก้มหอมคงถามไอ้นายท่านแน่เลยมึง ” ผมชวนอีกคนคุย ในตอนนั้นก็ไม่ลืมดัดเสียงให้เล็กเข้าไว้ “ นายท่านกลัวอะไร นี่แก้มหอมไง แก้มหอมเองน้า ”

“ ประสาท ”

“ เอ้า พูดจริง ” ผมตาโตบอกมัน “ แล้วท่าทางถอยหลังของไอ้นายท่านก็คือ ตัวเหี้ยอะไร อย่าเข้ามา ”

“ กูไม่ปลื้มนะ ” อาร์มมันมองแมวของผม “ ถ้าชอบลูกสาวกู ต้องชอบเค้าในทุกๆอย่างที่เค้าเป็น ”

“ ได้ยินปล่า” ผมบอกนายท่านยิ้มๆ “ ว่าที่พ่อตามึงบอกแล้วนะ เพราะงั้นใจสู้หน่อย นี่แก้มหอมเองเว้ย ”

“ ถ้ากูเป็นพ่อตา งั้นมึงเป็นอะไร แม่ยายเหรอ ”

“ ได้อยู่นะ ” ตอบรับมันไปแบบไม่ทันคิด ผมเทแชมพูลงบนฝ่ามือก่อนจะเอามาถูบนตัวเจ้าแก้มหอม ก่อนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ “ เดี๋ยวสิ แม่ยาย คือให้กรณีที่กูเป็นแม่ไอ้นายท่านนี่ แต่กูไม่ใช่นะ  กูเป็นพี่ชาย ต้องเรียกพี่เขยสิ ”

“ แล้วถ้าในกรณี ที่กูกับมึงเป็นแฟนกัน แล้วแมวก็เป็นกัน ตำแหน่งนั้นคืออะไร ”

“ ก็...” สายตาจริงจังที่หันมาถาม อาร์มมันยกคิ้วขึ้นยิ้มๆ ผมก็หันมาสนใจเจ้าแมวที่กำลังนิ่งให้อาบน้ำแบบที่ไม่รู้จะตอบอะไร เลยทำเป็นเงียบ

“ ว่าไง ”

“ ก็จะไม่รู้เหรอ มันมีบ้านไหน ที่คนเป็นผู้ปกคอรงแต่งงานกัน แล้วลูกก็เป็นแฟนกันบ้างละ ”

“ บางทีนะ ” อาร์มกันมองผม ในตอนนั้นสายตาที่หันไปมองสบ ผมทำได้แค่กลืนน้ำลาย  “ ก็อาจจะเป็นบ้านเรานี่แหละ บ้านแรก ”

ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างไม่รู้จะตอบอะไร ผมสูดลมหายใจเข้าปอดยาวๆ อย่างสะกัดกลั้นความตื่นเต้นที่ต้องทำทีเป้นไม่แสดงออก แต่ถึงอย่างงั้น คนที่อยู่ข้างกันก็เหมือนจะไม่ให้โอกาสได้หนีรอด

“ หน้าแดงนะ ”

“ ร้อนเว้ย ”

“ มุกตอบรับ อย่างเชยเลย ”

“ แล้วจะให้ตอบว่าออะไร ถึงจะไม่เชย ” สายตาหาเรื่องที่หันไปถามออะไร อาร์มยิ้ม

“ ยอมรับมันสิ ความรู้สึกของมึงอะ เท่ดีออก ”

“ K ” สบถออกมาแบบไม่ออกเสียง ผมผ่อนลมหายใจออกมาเซ็งๆ  “ คนเหี้ยอะไร นิสัยไม่ดีเลยไอ้สัด ” รอยยิ้มกกว้างของคนที่ยืนข้างกัน เรากลับมาเงียบอีกครั้ง เป็นนาทีที่ต่างฝ่ายก็ต่างช่วยกันอาบน้ำแมวที่อยู่ตรงหน้า

“ แก้มหอมนี่โคตรเชี่องเลยนะ อาบน้ำให้ก็โคตรจะนิ่ง ”

“ มันก็คือความแตกต่างระหว่างแมวผู้ดีกับแมวอันธพาลนั่นแหละ ”

“ งั้นก็ขอโทษทีนะที่ลูกกูมันแบดบอย ” ผมว่าก่อนจะเหลือบมองแมวตัวเงอที่ตอนนี้ถูกล้างน้ำสุดท้ายแล้ว อาร์มหยิบผ้าขนหนูห่อเจ้าตัวลายไว้ มันหันมาหาผม

“ ยื่นมือมา ”

“ ให้อุ้มเหรอ ”

“ ยื่นลงมาในอ่างสิ จะล้างให้มัน มึงจะได้อุ้มไอ้แมวนี่ออกไปเป่าขน ”

“ อ้อ อะเค ” ยื่นสองมือให้อีกคนในอ่างผมถูฟองที่อาบน้ำให้เจ้าแก้มหอมจนฟูฟ่องออกจนหมด ก่อนจะสะบัดน้ำแล้วก็หันมาอุ้มแมวของตัวเองที่ก็พอผมรับมา มันก็รีบตะเกียอกตะกายขึ้นมาเกาะกันที่ไหล่เหมือนรอดพ้นจากความตายยังไงอย่างงั้น “ ใจเย็นๆ ไอ้หนุ่ม ไม่เป็นไร อาบน้ำเสร็จแล้ว ”

“ ม๊าวววว ”

“ เออ รู้ว่ากลัว แต่คนข้างๆมึงก็แก้มหอม ไม่ต้องกลัวว่านั่นคือตัวอะไรหรอก ”

“ ม๊าวววว ม๊าว ม๊าว ” 

“ กูจะล้างตัวให้แก้มหอม แล้วเดี๋ยวจะตามออกไป ยังไงขอยืมผ้าเช็ดตัวผืนนึงนะ ”

“ ได้เลยครับผม ” ตอบรับอีกคนเสียงหนักแน่น ผมอุ้มนายท่านเข้าไปในห้องแต่งตัว ก่อนจะหยิบผ้าขนหนูของตัวเองออกมาอีกผืน แล้วแขวนไว้ตรงราวเพื่อให้อีกคนได้หยิบง่ายๆ “ แขวนอยู่ตรงนี้นะ ” พูดแบบนั้นอาร์มก็หันมาพยักหน้ารับ ผมหยิบไดร์ทเป่าผมของตัวเองติดมืออกมา ก่อนจะเดินออกไปนั่งลงที่หน้าทีวีจัดการเสียบสายปลั๊กกับเต้าเสียบที่มี ก่อนจะกดเปิดเครื่องเบาๆแล้วเป่าขนให้เจ้าตัวแสบที่อุ้มอยู่ในมือ “ ขอร้อง อย่ากลัวไดร์ทนะ ขี้เกียจวิ่งจับมึงแล้ว ”

“ ม๊าวววววววว ” เสียงลากยาวที่เหมือนจะแรงจะต่อกร นายท่านนั่งลงนิ่งๆในขั้นตอนของการเป่าขน ก็ถือว่าเป็นโชคที่มันชินกับเครื่องดูดฝุ่นก็เลยไม่มีค่อยอะไรเท่าไหร่กับไดร์ท ที่แม้จะเร่งความดังอีกสักหน่อย ก็ไม่มีสะเทือน หนำซ้ำยังเป่าแห้งได้ไวสุดๆ เพราะมันเป็นแมวขนสั้น

“ แห้งยัง ” อาร์มเดินออกมานั่งลงตรงข้ามกับผมที่กำลังลูบขนเจ้าตัวลายที่บอกเลยว่านุ่มน่าจับขึ้นเยอะมาก

“ แห้งไปประมาน 90% แล้ว แต่มึงแม่งอาบน้ำให้แก้มหอมช้ามากเลย แค่ล้างน้ำเองไม่ใช่แหรอ ”

“ แก้มหอมเป็นแมวขนยาว ต้องล้างให้สะอาด ” ผ้าขนหนูถูไปบนตัวเจ้าตัวขาวที่ตอนนี้ไม่ใช่แมวอ้วนอย่างที่เคยรู้สึกแต่อย่างใด มันกลายเป็นแค่แมวตัวผอมที่ผมอดใจเอื้อมมือไปไปลูบหัวด้วยความเอ็นดู

“ ใครว่าหนูอ้วน หนูแค่ขนฟูเท่านั้นแหละ เนอะแก้มหอมขา ”

“ เมี๊ยว ”

“ ขอยืมหน่อย ” แบมือมาขอไดร์ทเป่าผมที่ก็พอยื่นให้ไปอีกคนก็เปิดเบอร์ต่ำสุดเบาขนให้เจ้าแมวสุดที่รักที่ก็นั่งนิ่งอยู่ในตัก ผมนั่งมองดูขนสีขาวเปียกน้ำที่ค่อยๆฟูขึ้นตามความแห้ง

“ แล้วนี่เป็นอะไร ” อาร์มเชิดหน้ามองไอ้นายท่านที่นั่งเหมือนคนอาลัยชีวิต

“ คงหมดแรงมั้ง ไม่ก็ตกใจไอ้ตัวลีบที่อยู่ในห้องน้ำอะ แบบเมื่อกี้กูเจอใครก็ไม่รู้ น่ากลัวมากเลย เหมือนผี ” บอกอีกคนยิ้มๆ อาร์มก็หลุดยิ้มกว้างออกมา

“ ว่าลูกกู เดี๋ยวมึงจะโดน ” แลบลิ้นใส่อีกคพลางกับยกไหล่  ผมมองไดร์ทเป่าผมในมือหน้าที่เปลี่ยนเป็นเบอร์แรงสุด เพื่อเป่าขนยาวๆสีขาวรอบสุดท้ายให้อีกตัว แต่ไม่รู้เป็นเพราะเสียง หรือแรงพัดที่พัดจนขนของอีกตัวยุ่งเหยิงไปหมด ที่ทำให้ไอ้นายท่านที่อยู่ตรงหน้าผมค่อยๆลุกขึ้นนั่งแล้วเกร็งตัวขึ้นมากระทันหัน เท้าที่สาวเข้าไปใกล้อย่างเชื่องช้า ก่อนจะตะบบถี่ๆลงบนไดร์ทเป่าขนนั้นอย่างสุดแรง

“ ม๊าว!! ”

“ อะไรของมึงอีก แค่ไดร์ทเป่าผมเว้ย จะไปตบมันทำไม ” มือหนาสางขนแมวตัวเองเบา ในช่วงเวลานั้นผมเห็นอาร์มยิ้มใจดีให้กับเจ้าตัวเล็กในมือ มันที่ก้มลงไปหอมอีกตัวก่อนจะพูดอย่างอ่อนโยน

“ เสร็จแล้วค่ะคนสวยของป๊า ”

“ สุดจัด เห็นทีกูต้องทำตามบ้างซะแล้ว ” ไม่พูดเปล่าผมลูบขนไอ้นายท่านเบาๆแต่ยังไม่ทันจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ อีกตัวก็แค่เอื้อมมือมาตะบบปากของผมไว้ และแน่นอนสายตานั้นเหมือนจะบอกกันว่า ‘ อย่าเอาปากสกปรกของมึงมาแตะต้องเนื้อตัวของกู ’ แล้วหลังจากนั้นมันก็แค่เดินนวยนาดออกไปอย่างไม่สนใจอะไรกับผมอีก “ มึงแม่ง น่าเตะจริงๆด้วย ”

“ หึ ”  เสียงหัวเราะในคอของคนที่ผ่อนมือค้ำลงบนพื้นพร้อมกับหันมามองกัน ผมเผลอสบเข้ากับสายตาคมนั้นเข้าอย่างจัง ก่อนจะหันหลบอย่างไว เพราะดันคิดถึงช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกันที่สวน คำพูดคำนั้น แล้วก็ใบหน้าจริงจังของมันตอนที่อยู่ตรงหน้าประตูลิฟต์

“ เป็นอะไร ”

“ อะไรเป็นอะไร ” ผมเหลือบมองอีกคนที่ก็ถอนหายใจออกมา อาร์มขยับไปนั่งพิงโต๊ะหน้าทีวี มันเอาแต่มองผมไม่ได้ผละสายตาไปไหน มองด้วยสายตายิ้มๆเหมือนผู้ใหญ่ที่จับผิดเด็กตัวเล็กๆได้แล้ว และก็กำลังมองว่า เมื่อไหร่เด็กคนนั้นจะยอมรับสิ่งที่ตัวเองรู้สึกออกมาสักที “ มึงแม่ง.. มองอะไร ”

“ เขินกูใช่มั้ย ”

“ เขินเหี้ยอะไร!! ” ตวาดอีกฝ่ายออกไปที่ก็นิ่งไปทันทีในตอนที่ได้ยินเสียงนั้น ก่อนที่มันจะหลุดหัวเราะเสียงดังให้ไม่กี่วินาทีถัดมา

“ ฮ่าๆ มึงเขินกูจริงๆสินะ ”

“ หัวเราะเหี้ยอะไรของมึง กูไม่ได้เขินมึงสักหน่อย ” ผมบอกพลางมองไปทางอื่น

“ รู้มั้ย มันมีคำนึงที่เพื่อนกูชอบพูดนะ แล้วมันก็เข้ากับมึงตอนนี้มากเลย ”

“ อะไร ” ผมเหล่มองมันที่เปลี่ยนท่าทางให้ดูน่าหมั่นไส้ยิ่งกว่าเก่า อาร์มค้ำมืออยู่กับโต๊ะ มันจ้องมองกัน 

“ มองจากดาวอังคารยังรู้ว่าโกหก ”

“ K ” สบถไปอย่างงั้นก่อนจะก้มหน้าลงแล้วก็ถอนหายใจออกมา เหงื่อผมเริ่มซึม อากาศดูร้อนขึ้นทันตาแม้ว่าให้ห้องจะเปิดแอร์ไว้เย็นจัด มือของมันดูเกะกะไปหมดในวินาทีสั้นๆนี้ จนต้องจับเข้ากับกางเกงตัวที่ใส่อยู่อย่างไม่รู้จะเอามันไปตั้งไว้ตรงไหน

“ ตอนที่พูดออกไป กูรู้สึกอย่างงั้นจริงๆนะ ” เสียงทุ้มที่จริงจังท่ามกลางความเงียบงันนั้น ผมเงยหน้าขึ้นมมองคนที่จ้องมามองอย่างจริงจัง จนชวนให้ใจต้นแรงจนแทบไม่เป็นจังหวะ “ ไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องเดียวกับที่มึงคิดมั้ย แต่กูก็คิดว่าบางทีมึงอาจจะรู้สึกว่า กูทำให้มึงใจเต้นแรงเพื่อทำคะแนนเอาชนะใจหรือเปล่า แต่คำตอบของกูคือไม่นะ ”

“ เชี้ย.. ” ได้แต่สถบออกมาเบาๆในตอนที่ฟัง อาร์มมันยกยิ้ม

“ ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้ยังไงเหมือนกัน แต่ตอนนั้นกูหงุดหงิดจริงๆนะที่เห็นไอ้เหี้ยนั่นเข้ามาคุยกับมึง จนกูแม่งอยากจะพามึงออกไปให้ไกลจากมันเลย อารมณ์ตอนนั้นก็อย่างที่บอก ไม่อยากเห็นมึงยิ้มให้เค้า หัวเราะให้เค้า แล้วก็ทำท่าทางสนิทสนมแบบที่ทำกับกู เหมือนอยากจะให้ทำกับกูแค่คนเดียว ”

“ มึง..”

“ แล้วที่บอกว่า อยากอยู่ด้วยกันต่อตรงหน้าหน้าลิฟต์ กูก็รู้สึกจริงๆจากใจเลยนะ ไม่ได้โกหก แล้วที่ได้ยินเสียงของมึงโวยวาย เพราะฟังอยู่นะ โคตรเป็นห่วงเลยด้วย ตอนเคาะแล้วมึงแม่งไม่ตอบรับ”

“ มึง.. มึงหยุด ” มือที่ยกขึ้นห้ามอีกคนค่อนข้างสั่น ผมที่หน้าแดงจนแทบระเบิดในตอนนั้นมองคนตรงหน้า พลางกลืนน้ำลายอึกใหญ่ที่เหมือนจะค้างอยู่ในคอ หัวใจทำงานหนักราวกับวิ่งกินเวลายาวนานเป็นวัน ทั้งๆที่ก็แค่นั่งเฉยๆ อาการที่ไม่คิดว่าจะเป็นกับคนตรงหน้า วินาทีผมเป็นมันทั้งหมด จนสุดท้ายก็ต้องพูดไป คำที่ไม่คิดว่าจะพูด 

“ กูยอมแพ้แล้วไอ้สัด ตอนนี้มึงเขินจริงๆแล้ว เขินแบบเขินไม่ไหว หัวใจแม่งก็เต้นโคตรเร็ว เพราะงั้น..” ผมถอนหายใจออกมา “ หยุดก่อนเถอะนะ มึงเล่นพูดออกมาตรงๆขนาดนี้ หัวใจกูแม่งจะรับไหวได้ไง  ”

“ ก็มึงบอกเองไม่ใช่เหรอ ” ได้แต่ขมวดคิ้วมองอีกคนที่พูดคำนั้น

“ รู้สึกอะไรต้องพูดตรงๆ อ้อมค้อมไม่ได้หรอกสมัยนี่น่ะ ”

“ มึงทำหัวใจกูเต้นแรงเกินไป ขี้โกงมากนะ ไอ้สัด ” ท้ายประโยคที่ทำให้อีกคนยิ้มกว้าง อาร์มมันหันไปทางอื่น ก่อนจะถอนหายใจ ในตอนนั้นหูของอีกคนแดงกล่ำ

“ มึงแม่งก็ไม่ต่างกันหรอก ขี้โกง ” 

...........................................................................
ก็ถ้าจะขนาดนี้แล้ว
จริงๆ หนมจะข้ามการเขียนฉากนี้ไป แต่อยู่ๆ ก็มีความรู้สึกอยากจะเน้นย้ำอะไรบางอย่าง ไม่อยากให้มันดูฉายฉวยมากเกินไปนั่นแหละ ความสัมพันธ์ อาร์มเมี่ยงก็ยังคงเบลอๆ แต่ตอนหน้า อาจจะเห็นความเข้ารูปเข้ารอย มากกว่านี้
เป็นดอกไม้กำลังเริ่มผลิบาน ในฤดูร้อน

ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์

หนมมี่ค่ะ  :L2: :3123: :L1: :pig4:


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
เค้าจีบกันหรือยังคะ หรือแค่พูดเล่าสู่กันฟังน่ะ
เอ็นดูเหลือเกิน ขยันบอก ขยันตรงจัง

อาร์มจะตรงก็ตรงเกิ้น ก็ไม่บอกจะรู้ได้ไง แบบนี้หรอ
เมี่ยงก็ไม่น่ารอด ใจรับไม่ไหวไม่พอ ใจเต้นแรงก่อนเค้าไปอีก

แต่ชอบความซื่อตรงนี้ของทั้งคู่นะคะ
หวังว่าการอยู่คนละฝั่ง จะไม่ทำให้เป็นอุปสรรคใดๆ นะ

เจ้ยดูออกหรอ เหมือนโฮมก็ดูออกพอกัน

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
อาบให้แมวเสร็จแล้ว ต่อด้วยคนด่วน  :hao3:

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
ตอนที่ 13

 
ภายในห้องเรียนค่อนข้างเงียบ มันมีเพียงเสียงของอาจารย์ประจำภาควิชาที่ตอนนี้กำลังพูดอยู่หน้าห้อง เพื่อประกอบความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาบนสไลค์ที่ฉายอยู่บนจอซึ่งกว่าจะผ่านไปได้แต่ละอัน ก็เรียกได้เต็มปากเลยว่าเชื่องช้า  แต่ถึงอย่างงั้นผมที่ฟังอยู่ ก็ไม่ได้จดจำไว้แต่อย่างใด

เป็นเพียงคำพูดที่แค่ผ่านเข้ามาทางหูซ้ายแล้วทะลุออกไปทันทีในทางหูขวา  แล้วที่เป็นแบบนั้น ทุกอย่างก็เหมือนจะเพราะ ตัวผมยังคงติดอยู่ในช่วงเวลานั้น

ตรงช่วงเย็นของเมื่อวาน ที่นั่งเป่าขนให้เจ้าแมวสองตัวจนแห้ง กับคนข้างห้องที่บอกความจริงจากใจให้ฟังเสียยืดยาวถึงขั้นต้องบอกให้พักไปเสียก่อน เพราะหัวใจผมมันเกิดเต้นแรงเกินอัตราจะรับไหว หรือไม่ก็อาจจะเป็นช่วงเช้าก่อนจะออกมาเรียน ที่เราได้เจอกัน

“ ทำแผลจ้า ” หลังจากที่ทำใจอยู่หน้าห้องสักพักใหญ่ๆ ผมสูดลมหายใจเข้าปอดไปจนลึก ด้วยอารมณ์ฮึดสู้ ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมมือเคาะประตูของคนข้างห้องด้วยความร่าเริง รอยยิ้มฉีกกว้างที่ดูจากดาวอังคารยังดูออกว่าเกร็งจัด ผมชูมือขึ้นในตอนที่อาร์มเปิดประตูห้อง “ หวัดดีจ้า ”

“ กว่าจะเคาะได้นะ กูคิดว่ามึงรอฤกษ์ดีอะไรอยู่ ” ขมวดคิ้วงงเล็กน้อยในตอนที่อีกคนบอกแบบนั้น ผมเอียงหน้าให้มัน อาร์มก็ยกยิ้ม “ ท่าเหมือนแก้มหอมเลย ”

“ อะไรวะ ไม่เข้าใจ ” ผมถาม

“ เมื่อกี้กูจะเดินออกไปตามมึงมาทำแผลให้พอดี แต่พอมองผ่านตาแมว ก็เห็นมึงมายืนท่องเหี้ยอะไรอยู่หน้าห้องกูก็ไม่รู้ ” พูดไปพลางเหล่ผมไป “ ทำปากงุบงิบพูดคนเดียวอยู่นั่น ทำไม ? จะท่องมนต์สะกดให้กูหลงรักมึงเหรอ ”

“ Kเถอะ! ” หันไปพูดกับอีกคนที่ก็ยกยิ้มขึ้นมา ไม่รู้จะอารมณ์ดีออะไรนักหนา กูจะตายห่าอยู่แล้วกับแค่การจะเจอมึงสักครั้ง “ กูแค่พูดกับตัวเองเฉยๆ มึงไม่เคยพูดกับตัวเองเหรอ ”

“ พอดีกูไม่ได้บ้าเหมือนมึง ”

“ งั้นมึงจะยืนมองกูอยู่ทำไม ถ้าเห็นว่ากูยืนอยู่ ทำไมไม่เปิดประตูออกไปทัก ”

“ จำเป็นเหรอ ” ร่างสูงถามกลับยิ้มๆแบบที่ผมอยากจะเดินเข้าไปต่อยมันสักหมัด

อาร์มหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเข้าคู่กับโต๊ะกินข้าว พร้อมทั้งค้ำศอกข้างที่มีแผลโชว์ให้กันดู ส่วนผมที่ได้แต่กรอกมองบนนั้น ก็แค่ต้องเดินมานั่งลงข้างๆอย่างจำยอม พร้อมทั้งหยิบเอาถุงยาที่วางไว้อยู่แล้วบนโต๊ะมาทำแผลให้อีกคน

“ เมี๊ยว ” เจ้าตัวขาวเดินเข้ามาคลอเคลียกันที่เท้าถามนิสัยขี้อ้อน แก้มหอมกระโดดขึ้นมาบนตักผมที่ก็ลูบหัวเจ้าขนนุ่มไปสองสามครั้ง

“ แก้มหอม มีอะไรครับ ”  ไม่มีเสียงตอบรับอะไรจากอีกตัว แก้มหอมแค่นอนลงบนตักผม “ ให้พี่เมี่ยงทำแผลให้ป๊าเค้าก่อนนะ แล้วเดี๋ยวพี่เมี่ยงจะเล่นด้วยนะ ” บอกแบบนั้น ก่อนจะหันไปสบตากับเจ้าของแมวที่มองกันอยู่พอดี ผมเลิกคิ้ว “ ทำไม มีอะไรอีก อย่าบอกนะสัด ว่ากูเรียกมึงว่าป๊ากับแก้มหอมไม่ได้ ”

“ ร้อนตัว ยังไม่ได้พูดอะไรเลย ” อาร์มมันว่า ก่อนจะยื่นมือตัวเองเข้ามาวางไว้บนมือผมที่ก็จัดการล้างแผลที่ดูไม่เหมือนแผลสักเท่าไหร่ เพราะแผลที่ไอ้นายท่านทำไว้ตอนนี้เหมือนจะเริ่มแห้งจนตกสะเก็ดเป็นสีน้ำตาลแล้ว “ แล้วทำไมถึงคิดว่าว่ากูจะไม่โอเค ”

“ ก็เห็นมึงมองมา ”

“ แค่กำลังคิด ว่าจะบอกดีมั้ย ” เหลือบมองอีกคน ผมเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อยในตอนที่อาร์มพูดแบบนั้น

“ บอกอะไร ”

“ ก็เมื่อกี้มึงถาม ว่าทำไมกูเห็นมึงยืนอยู่หน้าห้องแล้วไม่ยอมเปิดประตูออกไป จะยืนมองมึงอยู่ทำไมตั้งนาน ”

“ เออ ทำไม ” ดึงมืออีกคนลงอย่างสนใจ ผมสบสายตาร่างสูงตรงหน้า

“ ก็ตอนนั้นมึงน่ารักมากเลย กูเลยต้องยืนมองไง ” บอกกันด้วยรอยยิ้มจางๆ เหมือนว่ามันเป็นแค่คำพูดธรรมดาที่ก็รู้สึก “ เอาจริงๆ ไม่อยากจะเปิดประตูเลยด้วยซ้ำ อยากจะยืนมองอยู่อย่างงั้นสักพักด้วยซ้ำไป”

“ อ่า...” เสียงครางเบาๆเปล่งออกไปอย่างไม่มีความหมายใด ผมคล้ายกับคนที่โดนสมองโดนตัดขาดทางความคิดไปชั่วขณะ และหลงเหลือไว้เพียงหัวใจที่เร่งอัตราขึ้นอย่างฉับพลัน “ กู น่ารักสินะ ” หลุดถามออกไปอย่างงั้น อีกคนก็ยักคิ้ว อาร์มพยักหน้ารับ

“ อื้ม ”

“ อื้ม ” ตอบกลับอีกคนไปเหมือนคนเหม่อลอยอย่างไม่รู้จะตอบอะไรได้อีก ผมก้มหน้าลงใบหน้าตอนนี้ร้อนจนคิดว่าถ้าเอากระทะใส่น้ำมันมาตั้งไว้ บางทีมันอาจจะทอดไข่ได้ด้วยซ้ำ เป็นวินาทีที่ไร้เรี่ยวแรงจนแทบอยากจะปล่อยมือที่กุมจับไว้ แต่ทว่ามือของอาร์มกลับกระชับมันให้แน่นขึ้น แต่นั่นก็ยิ่งแล้วใหญ่ ผมเลิ่กลั่กมองต่ำแบบซ้ายทีขวาที อย่างคนไปไม่เป็น “ เอ่อ.. คือ เอ่อ  ทำแผลเถอะเนอะ กูจะได้ไปเรียนอีก เรียนเช้าด้วยเนี้ย ถ้าช้าอยู่ ต้องไม่ทันแน่ๆเลย ”

“ แล้วใครบอกให้มึงมัวแต่เขิน ”

“ แล้วใครมันทำกูเขินละไอ้สัด ” เงยหน้าบอกอีกคนอย่างไม่กลัวตาย อาร์มสบสายตาผม จังหวะที่เราได้แต่เงียบนั้น มันถามแบบหาเรื่อง

“ กูเอง แต่แล้วมึงจะทำไม ”

ได้แต่กัดฟันไว้แน่นอย่างงั้น ผมที่ผ่อนหายใจออกมา ยกเอามือข้างที่ว่างทุบอกตัวเองอย่างม่รู้จะทำอะไรได้อีก เป็นความรู้สึกที่จะอยากด่า อยากกรี๊ดอัดใส่หมอน อยากเอามือไปขูดกำแพง อยากตะโกนว่า ‘ เหี้ยเอ้ย พอแล้ว ไอ้สัด ไม่ไหวแล้ว พอสักทีหน้าเหี้ย จะทำให้กูเขินไปถึงไหนกัน ’

แต่เพราะว่ามึงคงจะดูออกทั้งหมด ว่าผมสู้อะไรมันไม่ได้เลย ทุกอย่างก็เลยถูกจำกัดไว้แค่นั้น แค่ทุบอกตัวเอง แล้วผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ

ผมกลั้นความรู้สึกลึกๆเอาไว้ แบบที่คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะไม่รู้

“ ทำไมอีก ”  อาร์มมันถามยิ้มๆ

“ มึงเงียบ กูไม่มีสมาธิทำแผล ” ยกมือขึ้นห้ามอีกคน ผมสูดลมหายใจเข้าปอดแบบตั้งสติ ก่อนจะคว้าเอาที่ล้างแผลกับสำลีมา “ จะว่าไปไม่ต้องล้างแผลแล้วก็ได้นะ ไม่ต้องติดพาสเตอร์แล้วด้วย เพราะมันก็แห้งหมดแล้วอะ เริ่มตกสะเก็ดแล้วด้วย ”

“ ตกสะเก็ตแล้วไง มึงจะไม่มาทำแผลให้กูแล้วว่างั้น ” อีกฝ่ายถาม พลางเหล่มองกัน “ ไม่มีความรับผิดชอบเลยนะ ”

“ กูยังไม่ได้พูดเลยไอ้สัด แล้วพูดให้มันดีๆหน่อย ไม่มีความรับผิดชอบเหี้ยอะไร กูก็มาทำแผลให้มึงทุกวันอะ ”

“ แต่กูกลัวเป็นรอยแผลเป็นจัง ” มือข้างที่ว่างค้ำอยู่กับโต๊ะ ท่าทางยียวนกวนประสาทของมันแบบที่แบะปากน้อยๆเหมือนเด็กเล็กๆที่กำลังครุ่นคิด “ เพราะงั้นเจ้าของแมวที่ทำให้กูเป็นแผล ต้องรับผิดชอบด้วยการมาทายาให้กูทุกวันหรือเปล่านะ ”

“ บอกมาเลยตรงๆก็ได้ไอ้สัด ว่ากูต้องมาทาแผลให้มึงทุกวัน แม้มันจะเป็นแผลที่เล็กน้อยมากๆขนาดนี้  ”

“ พูดแล้วนะ ” อาร์มพูดยิ้มๆ ผมก็ได้แต่ถอนหายใจ เอาจริงๆมันก็อดบ่นเบาๆไม่ได้เลย

“ ก็แค่ทาแผลเอง แต่ยังเสือกทำเองไม่ได้ ”

“ คือมันต่างกันนะ ระหว่างทำเอง กับให้คนที่กูอยากเจอทุกวัน มาทำให้ ”

ถึงขั้นหยุดหายใจไปชั่วขณะ ผมพยักหน้ารับประโยคนั้นก่อนจะเก็บอุปกรณ์ทำแผลใส่ไว้ในถุงตามเดิมอย่างไม่รู้จะพูดอะไรออกไปอีก อาการเหมือนคนโดนยิงกลางหัวใจแบบหลายนัดติด ใกล้สิ้นชีวิตเต็มที แต่เหมือนอีกฝ่ายจะยิ้มอย่างอารมณ์ดี

“ งั้น งั้นตอนเย็น เดี๋ยว คือ เดี๋ยวกูซื้อยาทารอยแผลเป็นมาให้แล้วกัน ” คำพูดตะกุกตะกักมาพร้อมสายตาที่เหลือบไปมองทางอื่น ผมลุกขึ้นเต็มสูง พร้อมกับอุ้มเจ้าแก้มหอมที่อยู่บนตักนั้นขึ้นมาด้วย มือที่ลูบขนสวยๆ พยายามผ่อนคลายกับอาการที่เป็นอยู่ ก่อนจะถอนหายใจแล้วดึงหน้าตัวเองลงไปซบเจ้าตัวกลม พลางกับส่ายหน้าไปมา “ ไหนใครน่ารักที่สุดในโลก แก้มหอมละสิ แก้มหอมละสิ ”

“ หึ ” คนตรงหน้าที่หยุดยิ้ม ดึงให้สายตาของผมหันไปมองดู

“ ยิ้มเหี้ยอะไรอีก ”

“ เปล๊า ” อีกคนพูดเสียงสูงพลางยักไหล่แบบไม่ใส่ใจ แต่ผมก็ยังจ้องมองมันอยู่อย่างงั้นด้วยความรู้สึกไม่ไว้วางใจเท่าไหร่ “ ทำไม หรือว่ามึงอยากจะฟัง ว่ากูคิดอะไรอยู่ ”

“ ไม่อยาก! ” แทบจะเรียกว่าตะโกนบอกออกไป แต่อีกคนก็ยิ่งยิ้ม อาร์มมันเดินเข้ามาใกล้ผม ร่างสูงเอียงตัวเข้ามาบอกกัน

“ ไม่แน่จริงนี่หว่า ”

“ มึงว่าใครไม่แน่จริง ”

“ ใครที่ไม่กล้าฟังคำพูดของกู เพราะว่ากลัวว่าหัวใจจะเต้นแรง กูก็ว่าคนนั้น ” สายตาที่มองกันอย่างหาเรื่อง ผมทำได้แค่จ้องมองมันกลับไปอย่างไม่อยากจะเป็นผู้พ่ายแพ้

“ ใครหัวใจเต้นแรงไม่ทราบครับ กูก็แค่ไม่อยากฟังมันก็เท่านั้น ” ยกไหล่ใส่มันที่ก็แค่แบะปากกับท่าทางนั้น

“ ก็ดี เพราะจริงๆกูก็แค่อยากจะบอก ว่ามึงอย่าเข้าใจผิดให้มันมาก ” อาร์มพูดเสียงจริงจัง “ คนที่น่ารักที่สุดในโลกไม่ได้มีแค่แก้มหอม  เพราะแม่งมีมึงรวมอยู่ด้วยอีกคน ”

กระสุนคำพูดที่พุ่งตรงเข้าใส่หัวใจอย่างไม่ทันตั้งตัว ผมเบือนหน้าหนีไปมองไปทางอื่นอย่างฉับพลัน พร้อมกับกัดฟันที่อยากจะยิ้มกว้างไว้ให้แน่น และในตอนนั้นประโยคเดียวที่ผมอยากพูดกับอีกคน ก็เป็นแค่ประโยคสั้นๆ

“ มึงแม่ง ช่วยไว้ชีวิตกูหน่อย ”

“ ฮ่าๆ ”ทว่านั่นกลับทำให้อาร์มหัวเราะออกมาเสียงดัง อย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ร่างสูงที่ชอบตีหน้าเข้ม มันหัวเราะตัวโยแบบที่ต้องเอื้อมมือมาจับที่ไหล่ของผมแล้วยึดเอาไว้ไม่ให้ล้มลงไปกองด้วยความถูกอกถูกใจ พร้อมกับคำพูดเบาๆที่เหมือนจะหลุดออกมาจากความรู้สึก

“ คือมึงจะน่ารักไปไหนวะเมี่ยง ”

ที่ตอนนั้นมันก็คงไม่ทันสังเกตหรอก ว่าทำให้ผมหัวใจเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง

“ เห้ออออออ ” สุดท้ายก็ได้แค่นั่งถอนหายใจแบบไม่เป็นอันเรียนอยู่อย่างนี้ แล้วพอคิดว่าเย็นนี้ก็ต้องไปเจอมันอีก เพราะว่าเมื่อเช้าเจ้าแก้มหอมถูกเอามาฝากไว้ที่ห้องของผมเพื่อให้ได้เล่นกับนายท่าน ก็ไม่อยากจะให้เวลามันเคลื่อนผ่านไปเลยสักนิด

ชีวิตแม่งมาถึงจุดนี้ได้ยังไงก็ไม่รู้ จุดที่สมองมีแต่คำถามวกวนอย่างไร้คำตอบ จุดที่ไม่อยากจะเจอหน้าใครสักคนเพราะเขินจนทำตัวไม่ถูก จุดที่หัวใจเต้นแรงกว่าปกติในทุกครั้งที่สบตา รวมถึงจุดที่ไม่อยากจะฟังคำพูดคำจาอะไรของคนตรงหน้าคนนั้น เพราะรู้สึกสิ้นสภาพและตั้งรับไม่ไหว

“ เล่นกับไฟอยู่ชัดๆเลยกู เห้อออออออ ” ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ผมค้ำมือกับโต๊ะที่นั่งด้วยความรู้สึกที่ไม่รู้จะจัดการกับชีวิตต่อไปยังไง

“ ถอนหายใจอยู่ได้ เป็นเหี้ยอะไรของมึง ” ไอ้เจ้ยที่นั่งอยู่ข้างกันถามขึ้นก่อนจะยื่นปากกาที่ถืออยู่ เข้ามาเคาะบนหัวผม “ ตั้งใจเรียนหน่อย พ่อแม่อุตส่าห์ส่งควายอย่างมึงมาเรียน”

“ มึง ” เอ่ยถามอีกคนเสียงอ่อนแรง คนนั่งข้างกันที่กำลังจดคำอธิบายที่อาจารย์พูดอยู่บนหน้ากระดาษก็เหลือบมามองกัน

“ มีอะไร ” คำถามนั้นทำให้ผมเหลือบมองไอ้เบสที่นั่งอยู่ถัดไป มันที่กำลังตั้งใจเล่นเกมส์ในมือถือ ผมถอนหายใจออกมา “ ทำไม มึงจะนินทาไอ้สัดเบสเหรอ ”

“ เกี่ยวเหี้ยอะไรกับมัน ” บอกแบบนั้นด้วยสีหน้าตกใจที่เบิกตากว้าง ผมส่ายหน้า “ กูแค่อยากจะปรึกษาอะไรหน่อย ”

“ อะไร ”

“ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องของกูนะ ” คำพูดนั้นทำให้คนที่กำลังเขียนอะไรอยู่ถึงขั้นหลุดยิ้มกว้างแล้ววางปากกาลง เจ้ยมันหันมาหาผม

“ โอเค ”

“ คือ.. คือมันเป็นเรื่องของเพื่อนกู เพื่อนตอนเด็กๆ ”

“ คราวนี้เพื่อนตอนเด็กๆเนอะ ” มันว่าก่อนจะขยับตัวเข้ามาใกล้กันอย่างสนใจ “ ว่ามา ”

“ คือเพื่อนคนนี้ เป็นอริกับเพื่อนข้างห้องของมัน ” เกริ่นนำออกไปแบบนั้นก่อนจะนิ่งไปสักพัก ผมแค่กำลังคิดว่าจะเล่ายังไงเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่านั่นคือผม “ คือ..กูแม่งจะเล่ายังไงดีให้มึงเข้าใจ ”

“ เล่าความจริง ” บอกกันแบบนั้นผมก็ได้แต่เบิกตา

“ นี่แหละไอ้สัดเรื่องจริง กูไม่ได้โกหกนะ! ” ผมย้ำ แต่เหมือนอีกคนจะแค่ถอนหายใจออกมา คนข้างกันพยักหน้ารับยิ้มๆ

“ จ้าๆ ต่อเลยจ้ะ ”

“ มึงฟัง คือเพื่อนกูเป็นอริกับเพื่อนข้างห้องของมัน แต่เหมือนว่าคนสองคนต้องมาสนิทกัน ซึ่งต่างฝ่ายก็ต่างมีแผนที่อยากจะให้ฝ่ายตรงข้ามตกหลุมรัก ”

“ ก็คือ ตอนนี้ต่างคนก็ต่างจีบกันว่างั้น ”

“ คือไม่เชิงว่าจีบ ” ผมบอกก่อนจะนิ่งคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างผมดับอีกฝ่าย “ แต่มันก็เหมือนจีบว่ะ ”

“ ยังไงกันแน่ ”

“ ก็ต่างคนต่างทำให้อีกคนตกหลุมรักนั่นแหละ แต่ตอนแรกไม่คิดว่าจะรักกันจริงๆ มันเป็นแค่การต่อสู้เพื่อทำให้อีกฝ่ายตกเป็นรองเท่านั้น แบบว่าสมมุตินนะ สมมุติว่าถ้ากูกับไอ้อาร์ม....”

“ ห๊ะ ? ไอ้อาร์ม ”

“ คือ ไอ้อาร์มนามสมมุตินะ ” พูดออกไปเสียงจริงจังหลังจากที่เบิกตากว้างเพราะตกใจสุดขีดที่เผลอพูดออกไปอยย่างั้น แต่เหมือนคนที่ฟังอยู่จะไม่ได้อะไรมาก เจ้ยแค่ถอนหายใจออกมา มันกลั้นยิ้ม พร้อมกับยกมือขึ้นจับที่หน้าผากตัวเองเหมือนเหนื่อยใจกับอะไรสักอย่าง มันโบกมือแบบปัดๆ

“ โอเค เล่าต่อเลย ”

“ ยิ้มเหี้ยอะไรของมึง นามสมมุติไง ”

“ เออ ก็ไม่ได้ขำอะไร เล่าต่อๆ ” มันว่าแบบนั้นก่อนจะหันมามองผม “ มึงกับไอ้อาร์มนามสมมุติ ที่ไม่ถูกกันอยู่ห้องข้างกันแล้วต่างฝ่ายต่างก็พยายามทำให้ทำให้อีกคนตกหลุมรักแล้วยังไงต่อ สุดท้ายมึงกับไอ้อาร์มรักกันเหรอ ”

“ มึงแม่งช่วยต่อคำว่า ไอ้อาร์มนามสุมมติเข้าไปด้วยได้มั้ย พูดว่าอาร์มเฉยๆแล้วกูขนลุก เสือกไปคิดถึงไอ้เหี้ยอาร์มเพื่อนไอ้ดีน ” ผมบอกเสียงจริงจัง คนฟังก็ทำได้แค่เบิกตา ท่าทางเหมือนดูไม่ค่อยเชื่อที่ผมพูด “ กูพูดจริงนะ ”

“ อ่าเหรอ ” อีกคนก็พยักหน้ารับ “ โอเคๆ แล้วไงต่อ ”

“ ก็ไม่ไง แค่มันสองคนมีเรื่องกันนิดหน่อยเลยต้องมาใกล้ชิดกัน ก็จีบกันไปจีบกันมา ทำคะแนนให้อีกฝ่ายตกหลุมรัก แต่เหมือนหลังๆกูรู้สึกว่า มันไม่ได้แกล้งแล้ว ความรู้สึกกูมันบอกอย่างงั้น ”

“ หมายถึงความรู้สึกของเพื่อนมึง ” เจ้ยมันเย้าผมยิ้มๆ

“ เออ นั่นแหละ ”

“ แล้วอะไรที่ทำให้มึง. ” เจ้ยมันถามก่อนจะส่ายหน้าไปมา “ ไม่สิ เพื่อนมึง อะไรที่ทำให้เพื่อนมึงนามสมมุติคนนี้ถึงรู้สึกรู้สึกว่าไอ้อาร์มนามสมมุติมีใจให้ ”

“ ก็เพราะว่าไอ้อาร์มนามสสมุติมันหึงไง มันบอกตรงๆเลยนะว่ามันหึง แล้วคนที่ไม่ชอบมันจะไม่หึงกันจริงมั้ย ” ผมพูดด้วยเสียงจริงจัง แต่ถึงอย่างงั้นก็เผลอคิดถึงอยู่ดี

ใบหน้าคมในตอนที่พูดกับผม ในเย็นของเมื่อวานที่สวนสาธารณะนั้น สายตาจริงจังที่มองมาก่อนจะพูดในสิ่งที่ตัวเองรู้สึก “ ถ้าเราไม่คิดอะไรกับใคร แถมยังเป็นแค่คนคนนึงที่เป็นอริกันด้วยซ้ำ มันจะแคร์ทำไมจริงมั้ย ก็แค่กูไปคุยกับคนอื่น มันต้องเฉยๆมั้ยวะ แต่นี่มันถึงขั้นลากกูออกมา ตอนที่เค้าชวนกูไปที่ห้องของเค้า มันที่บอกว่าไม่ให้ไป แถมยังบอกว่าหงุดหงิดที่กูไปยืนคุย ยืนยิ้มให้คนอื่น เอาจริงๆ คนที่มันไม่ชอบกัน จะไม่ทำกันแบบนี้เปล่าวะ ”

“ อื้ม ”

“ มึงก็คิดเหมือนกันเปล่าวะ ว่าไอ้อาร์มมันชอบกู ” ผมนิ่งไปในตอนที่หันไปถามเพื่อนสนิท ไอ้เจ้ยมันยกคิ้วกับคำพูดนั้น ก่อนที่ผมจะปรับสีหน้าเป็นนิ่ง แล้วส่ายหน้าไปมาเหมือนคนกำลังจูนสมอง “ คือหมายถึง อาร์มนามสมมุติกับเพื่อนกู ”

“ ถ้าคิดตามที่มึงเล่านะ ”

“ อื้ม ” ผมพยักหน้ารับก่อนจะขยับตัวเข้าไปใกล้เพื่อฟังความเห็นของอีกฝ่าย

“ ถ้าถามว่าคนที่ไม่ชอบกันจะไม่หึงกันใช่มั้ย ก็ใช่ แต่ถ้าถามว่าไอ้อาร์มนามสมมุติมันชอบเพื่อนมึงนามสมมุติคนนี้มั้ย กูก็รู้สึกครึ่งๆนะ ”

“ เหรอ ” หัวใจผมราวกับหล่นไปในตอนที่ฟัง เหมือนจะเซ็งนิดหน่อยในตอนที่ได้ยินอย่างงั้น เพราะผมคิดแค่ว่าเจ้ยมันคงคิดเหมือนผม และคำตอบก็คงออกมาประมานว่า ‘ คงชอบเพื่อนมึงแน่ๆแล้วละ ’ แต่เหมือนว่ามันไม่ใช่

“ คือจะพูดยังไงดี ” เจ้ยมันเว้นเสียง ราวกับกำลังคิดคำง่ายๆ เพื่อให้ผมเข้าใจ “ พวกมันเริ่มต้นมาจากคำว่า แกล้งจีบกันเพื่อให้ฝ่ายใดฝ่ายนึงตกหลุมรักถูกมั้ย ซึ่งถ้าคิดจากตรงนี้ เราก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ไอ้อาร์มนามสมมุติมันทำกับเพื่อนมึง จะเป็นความรู้สึกจริงๆ หรือว่าความรู้สึกที่แค่จะเอาชนะ ”

“ นั่นก็จริง ” 

ผมถอนหายใจออกมา เพราะคำพูดของเจ้ยมันโคตรมีเหตุผล อาร์มไม่ใช่คนที่ผมจะเล่นด้วยได้ มันเป็นคนที่ดูไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าจริงๆรู้สึกอะไรอยู่ เป็นคนที่ไม่รู้เลยว่าหน้าแดงที่แสดงออกมาให้กัน จะเป็นจริง หรือแค่อยากจะเอาชนะ

“ เงียบไปเลย ”

“ เปล่า กูแค่คิดเฉยๆ ว่าที่มึงพูดมามันก็ถูก แต่ว่านะ..”

“ ยังไงอีก ”

“ มันก็ย้ำกูนะมึง ว่ามันรู้สึกอย่างงั้นจริงๆ มันย้ำด้วยแววตามั่นใจมากๆ แถมยังชอบทำอะไรให้หัวใจกูเต้นแรงด้วย แบบว่าพูดชมว่ากูน่ารักที่สุดในโลก คือถ้าเล่นๆมันจะเกินไปมั้ยวะ อันนี้มันแรงเกินไปนะ ”

“ ไม่แรงหรอก ก็พ้อยท์หลักของพวกมึงคือต่างฝ่าย ต่างพยายามทำให้อีกฝ่ายตกหลุมรักนี่ แล้วการตกหลุมรักมันก็ต้องประมานนี้กันทั้งนั้น มันต้องเล่นของแรง ไม่งั้นก็ไม่ตกหลุมรักหรอก ”

“ แต่ว่ามันบอกนะ ว่าอยากจะเจอกูทุกวัน คนที่ไม่รู้สึกอะไรกัน มันจะบอกแบบนั้นทำไม ”

“ เมี่ยง ” เจ้ยมันยิ้ม “ คือมึงเหมือนอยากจะให้กูพูดเลย ว่าไอ้อาร์มชอบมึง ” ได้แต่นิ่งค้างไปในตอนที่ได้ยินอย่างงั้น ผมส่ายหน้าไปมาทันทีตอนที่ได้สติ ก่อนจะยกสองมือขึ้นโบกไปมาใช้ท่าทางแสดงออกไปก่อนเพราะสมองคิดคำพูดอะไรไม่ออกทั้งนั้น

“ ไม่ใช่นะเว้ย ไม่ใช่ ” ผมว่าก่อนจะตีหน้าจริงจังใส่อีกคน “ แล้วกูพูดย้ำกี่ทีแล้ว ว่านี่คือเรื่องของไอ้อาร์มนามสมมุติกับเพื่อนกู ไม่ใช่เรื่องของกู ”

“ เออๆนั่นแหละ ” เจ้ยพยักหน้ารับก่อนจะถอนหายใจ มันจ้องหน้าผมอยู่สักพัก “ แล้วมึงว่ายังไง คิดว่ามันชอบเหรอ ”

“ ก็.. ”

“ แต่ถ้ามึงมั่นใจมึงก็คงจะไม่ถามกู เพราะงั้นมึงก็คงไม่มั่นใจเหมือนกันจริงมั้ย ”

‘ ไม่รู้เหมือนกันว่ะ ’ เพราะบางทีที่กูถามมันอาจจะแค่อยากได้ความมั่นใจก็ได้ แค่ความมั่นใจที่คนนอกจะมองแล้วรู้สึกเหมือนกันอย่างที่กูกำลังรู้สึกอยู่ ว่าใครคนนั้นก็กำลังชอบกู ชอบแบบที่ไม่ใช่เรื่องที่อยากจะเอาชนะ ชอบแบบที่ผมไม่ได้คิดไปเองคนเดียว

“ เงียบไปเลยไอ้สัด ” เจ้ยดึงตัวเองมาชนเข้ากับไหล่อีกฝ่ายยกยิ้ม “ เป็นเหี้ยอะไร ”

“ เปล่าๆ ” ผมส่ายหน้ายิ้มๆ

ก็แค่ไม่ได้ตั้งรับว่าจะได้รับคำตอบแบบนั้น ผมคิดมาตลอดว่าเจ้ยก็คงตอบแบบที่ผมคิด แต่ที่มันพูดมาก็ถูก มันเป็นไปได้ว่านั่นอาจจะเป็นแค่การแสดง ที่ก็แค่เพื่ออให้คนอย่างผม ตกหลุมรัก

“ แล้วเป็นเหี้ยอะไร ”

“ กูแค่รู้สึกโหวงๆในใจ ” ผมยิ้ม “ คือ.. กูคิดแทนเพื่อนกูน่ะ เพราะเพื่อนคนนั้นดูรู้สึกกับคนข้างห้องไปแล้ว แล้วพอกูคิดว่าถ้ามันเป็นอย่างที่มึงพูดขึ้นมาจริงๆ  กูก็อดสงสารมันไม่ได้เลย เพราะมันไม่ได้คิดเลยสักนิด ในเรื่องแบบที่มึงพูด แล้วพอคิดว่าอาจจะเป็นจริงก็ได้ กูก็รู้สึกเหมือนหัวใจกูมันหายไป ยังไงดีวะ ”

“ เสียใจ ” เจ้ยพูดสั้นๆ ผมก็ได้แต่นิ่งไป

อาจเพราะว่านั่นคือคำที่แทนใจความรู้สึกทั้งหมดที่ผมมี แต่แค่ไม่กล้าพูดออกมา

“ อื้ม.. คงงั้น ”

“ แต่ว่านะ..”

“ ช่างมันเถอะๆ ” ผมบอกปัดใบหน้าที่เริ่มจะจริงจังขึ้นมาของอีกคน ผมยิ้มให้มันตอนที่มองมา “ ยังไงก็ไม่ใช่เรื่องของกูจริงมั้ย  อย่าสนใจอะไรให้มากเลย ”

“ กูไม่ได้บอกว่า ไอ้อาร์มมันไม่ได้รู้สึกอะไรกับมึงนะ แต่ที่กูจะบอกคือ เพราะมึงเริ่มต้นความสัมพันธ์กันมาแบบนี้ ก็เลยอยากจะให้มึงระวังมันไว้หน่อยก็ดี เพราะก็เป็นไปได้หมด ทั้งที่ชอบมึงแล้วแบบจริงจัง แล้วก็อาจจะแสร้งทำเป็นว่าชอบเพื่อทำให้มึงตกหลุมรักนั่นก็เป็นได้ เพราะงั้นก็ลองหาวิธีอื่น จับสังเกตมันดู เพื่อความชัวร์น่าจะดีกว่า”

“ คือมึงหมายถึงไอ้อาร์มนามสมมุติกับเพื่อนกู ” พูดออกไปเสียงเบาๆ ไอ้เจ้ยมันก็ถอนหายใจ

“ เออ ”

“ แล้วไอ้การจับสังเกตมันเป็นยังไงวะ มึงแนะนำหน่อย คือ.. คือกูจะเอาไปบอกเพื่อนกู ” ผมยิ้มให้มันที่ก็ทำทีเป็นคิด

“ ก็ลองสังเกตสิ่งที่มันทำให้มึงแบบไม่ตั้งใจ ความเป็นธรรมชาติตอนที่อยู่ด้วยกัน อะไรที่มันแบบเป็นเรื่องเล็กๆ แต่เค้าก็ยังใส่ใจน่ะ ”

“ มันก็มีนะ ” ผมหันไปบอกคนข้างกัน “ อย่างเมื่อวานกู คือเพื่อนกูน่ะมันอยู่ที่ห้อง กำลังวุ่นวายอยู่กับแมวของมันที่ไม่ยอมให้อาบน้ำ แล้วสักพักไอ้อาร์มนามสมมุติมันก็มาเคาะประตู ถามว่าเป็นอะไรเปล่า แบบนี้มึงว่ามันแปลกมั้ย ถ้าไม่รู้สึกอะไรทำไมต้องเป็นห่วง ทำไมต้องคอยฟัง คอยสนใจว่าเค้าทำอะไรอยู่ ”

“ ก็จริง ”

“ ใช่มั้ย แล้วล่าสุดเพื่อนกูก็เล่าว่าตอนที่มันไปยืนเคาะประตูคนข้างห้อง ไอ้คนข้างห้องมันยืนอยู่หน้าห้องแล้วมองมันตั้งนาน แล้วพอถามว่ามองทำไม มันก็บอก ว่ามองเพราะน่ารัก ”

“ ไอ้อาร์มนามสมมุติอะนะ ”

“ อื้ม ” ผมพยักหน้ารับ “ แล้วแบบนั้นมึงจะไม่ให้กู... คือ เพื่อนของกู คิดได้ยังไงว่าคนคนนนั้นชอบมัน ”
“ นั่นก็จริง ” เจ้ยพยักหน้ารับ มันมองกันยิ้มๆ “ แล้วพื่อนมึงคิดยังไงละ ”

“ หมายถึง ”

“ ก็หมายถึงว่า เพื่อนมึงคิดยังไงกับไอ้อาร์มนามสมมุติคนนั้น ถ้ามันชอบขึ้นมาจริงๆจะทำยังไง สานต่อเหรอ หรือว่ายังไง ”

“ ใครจะสานต่อ ” ถามออกไปทั้งๆที่ตาเบิกกว้างแล้วหน้าก็แดง ผมเม้นริมฝีปากตัวเองก่อนจะเหลือบมองซ้ายขวา มันเหมือนใบ้กินไปชั่วขณะ

“ แต่เหมื่อกี้ยังบอกอยู่เลย ว่าเพื่อนมึงรู้สึกกับไอ้อาร์มนามสมมมุติไปแล้ว ”

“ รู้สึกแค่นิดหน่อยเว้ย! ” เถียงออกไปเสียงดังคนฟังก็ได้แต่ยกคิ้วสงสัย “ แค่มึงถ้าไม่รู้สึกก็ไม่ใช่คนแล้วเปล่า เพื่อนกูมันก็คนนะ โดนจีบเบอร์นั้นต้องหวั่นไหวบ้าง  อีกอย่างกู ไม่สิ เพื่อนกู ก็คงคิดว่าเป็นต่อแล้วมากกว่า เหนือกว่าแล้ว ก็เท่านั้นอะ ”

“ เหรออออออออออออ ” คนฟังลากเสียงด้วยหน้าตาที่ไม่เชื่อเท่าไหร่

“ จริงๆนะเว้ย คงไม่สานต่อหรอก แค่เหนือกว่าทำอะไรมันก็ง่ายกว่าจริงมั้ยละ ”

“ งั้นกูก็ขอภาวนาให้เพื่อนมึงประคับประคองหัวใจตัวเองไม่ให้หลงรักไอ้อาร์มนามสมมุติไปจริงๆก็แล้วกันนะ ” เจ้ยมันว่า “ แล้วกูก็ฝากเพื่อนมึงด้วยแล้วกันว่า คนที่ฉลาดจริงๆ เค้าไม่เล่นกับความรักหรอกจ้ะ ”

“ อื้มมมมมมมมมม ” ผมลากเสียงก่อนจะพยักหน้ารับ เอาจริงๆก็อยากจะตอบมันออกไปเหมือนกัน ว่ากูก็ไมได้ฉลาดเท่าไหร่หรอกเจ้ย “ แล้วคือ..”

“ อะไร ” อีกคนเลิกคิ้วถาม ตอนที่เห็นว่าผมไม่ได้พูดอะไรต่อ

“ แล้วถ้าชอบกันจริงๆ มึงคิดว่าดีมั้ย คือ.. ในฐานะที่มึงเป็นเพื่อนกับกู สมมุติว่ากูไปคบกับคนที่มึงไม่ชอบ มึงจะโอเคกับกูมั้ย ”

“ เอ้ ถามแปลกๆน้า มึงเนี้ย ” ผมเบิกตาขึ้นมองคนที่พูดขึ้นมาแบบจับผิด เจ้ยมันยิ้ม จนผมต้องเอาแต่ส่ายหน้าไปมารัวๆ

“ ไม่ใช่กูนะเว้ย แค่ถาม ถามเฉยๆ ”

“ ไม่ใช่เด็กแล้วไอ้สัด เพราะงั้น กูเป็นเพื่อนมึง อะไรที่มึงมีความสุข คนเป็นเพื่อนอย่างกูแม่งต้องยินดีสิ ยกเว้นแค่.. กูไม่ได้คิดกับมึงแค่เพื่อน อันนั้นก็คงไม่ยินดีด้วยหรอกนะ ” เจ้ยพูดยิ้มๆพร้อมกับยักคิ้วให้ผม ก่อนจะหันไปเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างกันอีกด้าน มันชี้ไปที่ไอ้เบส “ อ้อ ยกเว้นไอ้เหี้ยนี่ไว้ในอีกหนึ่งกรณีนะ  เพราะสมองยังแค่สามขวบ น่าจะไม่พอใจเท่าไหร่ แต่กูเชื่อว่ามันไม่ห้ามมึงหรอก ”

“ ไอ้สัด ” หลุดยิ้มออกมา ก่อนจะหันไปมองด้านหน้า แล้วอยู่ๆก็เหมือนจะคิดขึ้นมาได้ ถึงคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบก่อนหน้านี้ “ ว่าแต่มึงมีวิธีอะไร แจ่มๆบ้างวะ ไอ้ที่แบบว่า เราจะรู้ได้เลยว่า เค้าชอบเราอยู่ หรือไม่ชอบเราอยู่ ”

“ มันก็ไมได้รู้ได้ขนาดนั้น แต่มึงก็ลองส่งเพลงไปให้เค้าดูสิ เพลงที่เค้าอ่านไม่ออก ฟังไม่รู้เรื่อง เพลงที่มันต้องหาคำแปลด้วยเอง ”

“ ยังไงวะ ”

“ ส่งเพลงเกาหลีไป ถ้ามันสนใจมึงอยู่แล้ว มันต้องหาความหมายของเพลงเพราะอยากจะรู้ว่าคนที่มันชอบ ส่งเพลงอะไรมาให้มัน จริงมั้ย”

“ จริง ” ผมพยักหน้าลงยิ้มๆ “ โอเค ไว้กูจะบอกเพื่อนกูนะ ” ว่าแบบนั้นคนแนะนำก็ถอนหายใจ พลางผ่อนแผ่นหลังลงพิงกับเก้าอี้ตัวที่นั่ง

“ แต่กูว่ากูพอเดาออกแล้วนะ ว่าเพื่อนมึงชื่ออะไร ”

“ ไม่ต้องเดา มึงไม่รู้จักหรอกน่า ” ลากเสียงใส่อีกฝ่าย ผมส่ายหน้าไปแบบบอกปัด แต่ถึงอย่างงั้นคนข้างกันก็ยังดูมั่นใจ “ อะๆ มึงว่ามันชื่ออะไร ”

“  ชื่ออีเลา เรื่องที่มึงเล่า ต้องเป็นเรื่องของอีเลาแน่นอน ” สายตาที่หันมองกันอย่างมั่นใจ ผมที่ได้แต่เงียบไปในตอนนั้น

“ เจ้ย คือกูไม่มีเพื่อนชื่อเลา ”  แต่เหมือนคำตอบนั้นจะทำให้อีกคนผิดหวังอย่างหนัก ผมเห็นสีหน้าช็อคผ่านสายตานั้น ก่อนที่มันจะฟุบลงกับโต๊ะตัวที่นั่งไป

“ ไม่รู้จะด่ายังไงดีเลยกู ”  ผมที่ได้แต่ยิ้มกว้าง ในตอนนั้นมือมันก็เอื้อมไปจับไปไหล่อีกฝ่ายปลอบๆ

“ ก็บอกแล้วไง เพื่อนกูน่ะ มึงไม่รู้จักหรอกเจ้ย ”

..................................................................

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27

โรงอาหารในช่วงกลางวันนักศึกษาจะค่อนข้างเยอะเป็นพิเศษ โต๊ะที่เหลือว่างไม่มาก มีเพียงแค่โต๊ะเล็กๆ ที่ไอ้เบสถึงขั้นชะงักตัวเล็กน้อยในตอนที่เห็นว่าตรงข้ามกันนั้นเป็นโต๊ะของอริตัวอย่างไอ้ดีนที่ก็หันมายกยิ้มให้ทันทีในตอนที่เห็นหน้า

“ ไม่มีที่ที่มันดีกว่านี้แล้วเหรอวะ ” ร่างสูงว่าแบบที่จงใจให้คนที่นั่งกินข้าวอยู่ได้ยิน “ เห็นแค่หลังคนบางคน ก็แดกไม่ลงแล้วกู ”

“ งั้นลองแดกตีนกูมั้ย เผื่อว่าแดกอะไรๆจะคล่องคอขึ้น ” ไม่รอช้าไอ้ดีนสวนกลับอีกฝ่ายทันที พร้อมกับสายตาเรียวที่จ้องมองอีกฝ่ายอย่างหาเรื่อง แต่ไอ้เบสก็แค่แบะปาก มันหันไปมองทางอื่นด้วยท่าทางยียวนตามปกติเวลาที่เจอกัน

“ มึงไม่มีอะไรที่น่าแดกมากกว่าตีนเหรอ หรือว่าทั้งตัวมึง ตีนนี่น่าแดกสุดแล้ว ” ส่งสายตาเศร้าให้อีกคน “ น่าเศร้าจังเลย ก็ว่าทำไมสาวทิ้งบ่อย มีแค่ตีนที่น่าแดกนี่เอง ”

“ กูน่าแดกหลายอย่าง แต่คนอย่างมึง มันเหมาะกับตีนกูไอ้สัด ”

“ อ๋อเหรออออออออออ ” เสียงทุ้มที่ลากยาวเบสเดินเข้าไปใกล้อีกคนก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “ ไม่เชื่อหรอก เพราะงั้นกูต้องลองชิมเอง จะได้รู้ไง ว่ากูเหมาะกับอะไร ”

“ งั้นก็ลองตีนกูเลยแล้วกัน ” ร่างหนาเจ้าของแววตาเรียวพลิกตัวออกมาพร้อมกับเท้าที่หมายจะถีบอีกฝ่ายแต่เหมือนเพื่อนผมจะไวกว่า ไอ้เบสหลบทัน

“ ว๊าย ไม่โดนแหละ ”

“ มึงแม่ง..”

“ ดีน อย่า ” เสียงของอาร์มที่พูดขัดขึ้น คนที่เหมือนกำลังจะพูดอะไรต่อก็แค่หันกลับไปมองก่อนจะถอนหายใจออกมา สายตาคมเหลือบตาไปมองโดยรอบ ผมเพิ่งรู้ว่ามีคนหลายคนมองเราอยู่แล้วท่าทางก็ดูเหมือนว่าจะเตรียมหนีกันเต็มที่ ถ้าเกิดว่าเราจะปะทะ

“ เชื่อฟังกันจังเลย แต่อย่างว่าแหละเนอะ ” ทิ้งท้ายด้วยคำพูดยิ้มๆ เบสมันเหลือบมองไอ้อาร์มที่ก็จ้องมองมันอยู่ด้วยสายตาจริงจังที่เหมือนกับว่าถ้ามีมวยขึ้นมา ผมว่าคงไม่ใช่ไอ้ดีนกับไอ้เบสหรอก แต่น่าจะเป็นไอ้อาร์มกับไอ้เบสมากกว่า

“ ไปนั่งเถอะน่า มึงจะแดกมั้ยไอ้สัด กูหิวข้าวแล้วเนี้ย ” ไอ้เจ้ยว่าขัดไอ้เบสที่ในตอนนั้น มันแค่ยกยิ้มให้ไอ้อาร์มไอ้ดีน ก่อนจะนั่งลงตามแรงดึงของเพื่อนสนิทตัวเองที่จัดที่นั่งให้แบบหันหลังให้กับคู่อริ จะได้ไม่ต้องเห็นกัน ก่อนมันจะหันมาบอกผม “ มึงนั่งนั่นนะ ” เชิดหน้าไปตรงที่นั่งตรงกันข้าม ผมพยักหย้ารับ ยังไงก็ไม่เรื่องมากอยู่แล้ว

“ โอเค งั้นกูไปซื้อข้าวก่อนนะ ” เหลือบมองร่างสูงของอีกโต๊ะในระหว่างที่กำลังเดินไป แต่เพราะมันคงมานั่งสักพักแล้วอาหารที่กินไปก็เลยเหมือนจะใกล้หมดจนดูไม่ออกว่าก่อนหน้านี้มันสั่งอะไรมากิน

ครืน ครืน ครืน

มือถือที่สั่นอยู่ในกระเป๋าผมหยุดนิ่งในตอนที่ดึงมันขึ้นมา บนหน้าจอนั้นปรากฏข้อความไลน์ของคนที่ผมจ้องมอง เป็นชื่อสั้นๆที่มีตัวอักษรภาษาอังกฤษแค่สามตัว ‘ Arm ’

Arm:
บะหมี่ต้มยำทะเล
Mieng:
อะไร
Arm:
ก็เห็นมึงมองมา
เลยคิดว่าน่าจะอยากรู้
ว่ากูกินอะไร
Mieng:
ใครมองมึง
Arm:
มึง
Mieng:
ไม่ได้มองเว้ย
มึงนั่นแหละมองกู
ไม่งั้นจะรู้ได้ยังไงว่ากูมองมึง
Arm:
เออ
กูมองมึง
ทำไมมีปัญหาเหรอ
Mieng:
ไม่มีไอ้สัด
Arm:
ก็ดี
เพราะโลกนี้ไม่มีกฏห้ามมองคนที่อยากมอง
Mieng:
K

ถอนหายใจออกมาหลังจากที่พิมพ์ประโยคนั้น ผมพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด ตอนที่เหลือบมองไปตรงคนที่ยังคงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้หน้าจอมือถือที่ยังคงค้างไว้ซึ่งหน้าจอแชทระหว่างเรา

“ ยืนนิ่งเหี้ยอะไรขนาดนั้น ” ไอ้เบสที่เดินมากอดคอกันหันถาม “ มึงแดกไร ”

“ คือ.. บะหมี่ต้มยำ มั้ง ” ได้แต่ถอนหายใจออกมาในตอนนั้น ผมที่พลั้งปากไปได้แต่นิ่ง เอาจริงๆไม่ได้อยากกินเลย แต่สมองที่เอาแต่บอกว่า ‘อาร์มกินบะหมี่ต้มยำละ’ พอโดนถามแบบไม่ทันตั้งตัวเข้าหน่อย ปากก็เลยพูดออกไปซะงั้น “ Kเอ้ย ”

“ ห๊ะ ? ” เบสมันหันมาบอกผมงงๆ “ อะไรของมึง ไปๆ บะหมี่ต้มยำใช่มั้ย กูก็อยากกินพอดี ”

“ อ่า เค ” ตอบรับเสียงเบาๆ อย่าไม่มีข้อแม้ เราก้าวไม่ถึงสิบก้าวก็ถึงหน้าร้านที่มีแค่ไม่กี่คิว ผมสบสายตากับคนขายพอดี “ เอ่อ มีข้าวเปล่ามั้ยครับ ”

“ มีค่ะ ” ป้าเจ้าของร้านตอบ

“ งั้นเอาเกาเหลาต้มยำทะเลน้ำข้น กับ ข้าวเปล่าครับ ”

“ เหมือนกันครับ ”

หย่อนตัวลงนั่งตรงเก้าอี้หลังจากได้อาหาร ผมเพิ่งรู้สึกตัวว่าที่นั่งมันอยู่ตรงข้ามกับอีกฝ่ายพอดีก็ตอนที่สบสายตาคมคู่นั้นที่เอาแต่ยิ้มมองกันอยู่อย่างจัง ผมขมวดคิ้วตอนที่เห็นมันหัวเราะจนอดหยิบมือถือขึ้นมากดพิมพ์ไปถามไม่ได้

Mieng:
จะยิ้มเหี้ยอะไรของมึงนักหนา
Arm:
ทำไมต้องกินตามด้วย
ชอบกูเหรอ
Mieng:
ไมได้ชอบเว้ย
แล้วกินตามที่ไหน
ไม่เหมือนกันเลย
มึงกินบะหมี่แต่กูกินข้าวนะ
Arm:
แต่ก็ร้านเดียวกัน
ชอบกูแน่ๆเลย
เพราะกินตามคนที่ชอบ
Mieng:
ไม่ได้ชอบเว้ยไอ้สัด

พิมพ์ข้อความส่งออกไปหาอีกคนที่ก็แค่ยกคิ้วนมองกันอย่างท้าทาย ส่วนผมก็ได้แต่ถอนหายใจหงุดหงิดออกมา ก่อนจะก้มหน้ากินอาหารตรงหน้าอย่างไม่อยากจะใส่ใจ

“ เป็นเหี้ยอะไรของมึงถอนหายใจซะดัง ” เบสที่กำลังนั่งตักข้าวกินเหล่มองกันในตอนที่ถาม ผมที่ได้แต่ส่ายหน้า พลางเหลือบมองคนที่ส่งข้อความกวนตีนมาเมื่อครู่

“ ไม่มีอะไรหรอก ” ผมพูดเสียงดังแบบที่อยากจะให้คนที่ส่งข้อความมาได้ยิน “ แค่รำคาญคนหลงตัวเอง ”

“  ส่วนกูก็รำคาญมึง เงียบๆหน่อย ” ดีนที่หันมาบอกกัน ชวนให้นิ่งไปสักพักก่อนที่ผมจะยกยิ้มแล้วตอบกลับ

“ เสือก กูไม่ได้พูดกับมึง ”

“ เหย้ดเข้  ” ไอ้เบสถึงกับยกนิ้วให้กัน ผมยักคิ้วให้ไอ้ดีนที่ก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กเล็กๆที่ยืดอกภาคภูมิใจสุดตัวเวลาถูกชม

“ ขอกินข้าวสงบๆหน่อยได้มั้ย ” ไอ้เจ้ยที่เดินไปซื้อข้าวผ่านมาพูดขึ้นกับไอ้ดีนที่ยังคงมองผมไม่วางตา เหมือนว่าในความรู้สึก มันเองก็อยากจะต่อยผมสักทีให้หายหงุดหงิดเหมือนกัน แต่มันก็แค่หันกลับไปนั่งที่เดิมในตอนที่เพื่อนผมพูดแบบนั้น

“ ทำไมมันเกรงใจไอ้เจ้ยจังวะ ” ถามไอ้เบสออกไปเสียงเบาๆ ก็สังเกตมาหลายครั้งแล้วมันน่าแปลกที่พอเป็นเจ้ยทุกคนจะยอมกันง่ายๆ ทั้งๆที่บางทีเรื่องมันก็มาถึงขั้นที่จะต้องต่อยกันแล้วด้วยซ้ำไป

“ กูไม่เคยเล่านี่หว่า ไอ้เจ้ย ตอนม.ต้นมันอยู่ห้องเดียวกับไอ้อาร์มแล้วก็ไอ้ดีน เห็นว่าช่วยอะไรกันมาก็เยอะ เมื่อก่อนสัดเจ้ยเป็นถึงหัวหน้าห้องเลยนะ เห็นตัวเท่าลูกหมาอย่างงั้น ”

“ นินทาเหี้ยอะไรกู ” คนที่โดนพูดถึงนั่งลงตรงข้ามกัน ผมก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาแบบเร็วๆ ก่อนจะก้มหน้ากินข้าวต่อ แต่เหมือนว่าไอ้คนที่อยู่ตรงโต๊ะตรงข้ามมันยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

Arm:
ปากดีจัง
ไม่เห็นเหมือนตอนทำแมวหายเลย
คนที่จับเสื้อกูแล้วเอาแต่ร้องไห้คนนั้น
Mieng:
คือมึงจะพูดเรื่องนี้ไปจนกูมีเมียเลยมั้ย
Arm:
จะพูดจนกว่ามึงจะมีกู
Mieng:
K
เงียบปากไปได้มั้ย
คนจะกินข้าว
Arm:
ก็กินไปสิ
ใครห้ามปากมึง
แต่ช่วยตักคำเล็กๆหน่อยนะ
เดี๋ยวคนอื่นจะดูออกหมดว่าตะกละ
Mieng:
แสดงว่ามึงมองกูอยู่ตลอดเลยสินะ
ถึงรู้
Arm:
ใช่
แต่จะแปลกอะไร
กูมองคนที่ชอบ


ข้าวแทบพุ่งออกจากปากตอนที่ผมอ่านประโยคนั้น ผมเหลือบมองไอ้คนตัวปัญหาแต่ก็ยิ่งรู้สึกหัวร้อนมากกว่าเก่า ไอ้อาร์มนั่งไขว่ข้างดูดน้ำ ส่วนมืออีกข้างก็กดมือถือยิกๆ เหมือนอยากจะทดสอบความอดทนของผม แบบชนิดที่ต้องตะโกนออกไปกลางโรงอาหารว่า ‘หยุดจีบกูเดี่ยวนี้นะ’ มันถึงจะยอมหยุด

“ เออ ว่าแต่มึงบอกเรื่องนั้นกับเพื่อนมึงยัง ” เจ้ยที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันเอ่ยถาม “ เรื่องที่กูบอกว่าให้ส่งเพลงไปให้ไอ้อาร์มนามสมมุติคนนั้น ”

“ ยัง ” ผมส่ายหน้าไปมา อีกฝ่ายก็กลืนข้าวที่กินอยู่ลงคอไป

“ กูมีเพลงนึง มึงลองให้เพื่อนฟัง ถ้าความหมายตรงใจก็ลองส่งไปให้เค้าดู ” เจ้ยมันว่าแบบนั้นก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมา กดยุกยิกอยู่สองสามครั้ง ข้อความก็ปรากกฏขึ้นมาบนหน้าจอของผม ‘ See The Stars ’  “ อันนี้คือเพลงที่บอก ”

“ ขอกูอ่านคำแปลก่อน ” ว่าแบบนั้นมือก็กดเข้าไปในหน้าค้นหา ผู้หญิงสวยห้าคนเจ้าของเพลงปรากกฏขึ้นมาอย่างไม่คุ้นหน้ากับภาษาที่ไม่เข้าใจ พร้อมทั้งคำอ่านแล้วก็เนื้อหาที่แปลแล้วได้ใจแบบชนิดที่ชวนให้ใจสั่นตั้งแต่ประโยคแรก ‘ ใจของฉันสั่นไหวอีกแล้ว เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาของเธอที่กำลังจ้องมา ในทุกๆครั้งที่ได้มองหน้าเธอ ก็เผลอยิ้มออกมาทุกที มันเหมือนว่าฉันจะชอบเธอเข้าแล้วล่ะ ’

 “ เป็นไง ตรงมั้ย ”

“ ตรงตั้งแต่ประโยคแรก ” เงยหน้าบอกกับอีกคนแบบนั้น ก่อนจะส่ายหน้าไปมา “ หมายถึงตรงกับความรู้สึกของเพื่อนกูมาก ”

“ อื้ม ใช่มั้ย ”

“ มึงไปได้เพลงนี้มาจากไหนวะ ” ผมถามด้วยความอยากรู้ เอาจริงๆ หน้ามันไม่เหมาะกับการเป็นคนที่ชอบอะไรทางด้านนี้เลย

“ เมียกูติดหนังเกาหลีเรื่องนี้มาก มันเป็นเพลงประกอบหนังเกาหลีเรื่องนั้น แล้วกูชอบ มิ้งเลยเคยอ่านคำแปลให้ฟัง ”

“ เช่นนั้น ” พยักหน้ารับงึกงัก ก่อนจะเหลือบมองเป้าหมายที่กำลังนั่งมองมือถือตัวเองแบบไม่วางตา ผมก็ไม่รู้ว่ามันกำลังทำอะไรอยู่หรอก อาจจะรอข้อความของผมหรืออาจจะกำลังดูรูปไม่ก็ข่าวจากโปรแกรมไหนสักโปรแกรม

“ เป็นไง ส่งยัง ”

“ ยัง ” ผมส่าหน้าตอบก่อนจะยิ้ม “ อยู่ๆก็กลัวว่ะ กลัวว่าเค้าจะไม่สนใจ คืออยู่ๆก็รู้สึก ว่าไม่อยาก จะให้มันเป็นอย่างงั้น ”

“ ไอ้เมี่ยง..” เจ้ยถึงกับวางช้อนที่กำลังกินอยู่ มันกลืนน้ำลายของตัวเองในตอนที่มองผม

“ คือ กูหมายถึงเพื่อนกูมันบอก ว่ามัน ไม่อยากจะให้เป็นแบบนั้น ”

“ งั้นกูก็ขอฝากบอกเพื่อนมึงว่ากล้าๆหน่อย เอาให้รู้ไปเลย เพราะยิ่งมึงชัวร์ว่ามันไม่ชอบมึงเร็วเท่าไหร่ มึงก็ยิ่งตอบกลับได้เร็วเท่านั้น มันจะเป็นโชคดีของเพื่อนมึงนะ ”

“ นั่นก็จริง ” ตอบอีกคนไปแบบนั้น ผมผ่อนลมหายใจออกมาก่อนจะกดมือถือเข้าไปในหน้าจอแชทของอีกฝ่าย

Mieng:
มึง
มีเพลงจะให้
https://www.youtube.com/watch?v=n_AYF88AEqw
ลองฟังดู
‘ อ่านแล้ว ’ ตัวอักษรเล็กๆที่ขึ้นมาบนหน้าจอข้างๆกับเวลา ผมเหลือบมองคนที่ตรงข้ามกันที่ก็อดยิ้มไม่ได้เลยในตอนที่มันดึงเอาแอร์พอร์ตขึ้นมาจากในกระเป๋าเสื้อนักศึกษาของตัวเอง หูฟังที่เสียบลงไปบนหู ผมรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องสักเท่าไหร่ ข้าวที่ว่าอร่อยตรงหน้า บัดนี้ยังไม่ได้รับแม้แต่ความใส่ใจ

Arm:
นี่คือความรู้สึกของมึงที่มีให้กูเหรอ
อื้ม
เหมือนว่าฉันจะชอบเธอเข้าแล้วล่ะ
ตรงท่อนนี้คือจริงหรือเปล่า
Mieng:
มึงรู้คำแปลด้วยเหรอ

Arm:
ไปอ่านมา
Mieng:
มึงไปหามาด้วยเหรอ
Arm:
ก็มึงเป็นคนให้กู
ถ้าฟังไม่ออกก็ต้องหาคำแปลสิ
ว่าไง
อย่านอกเรื่องนาน
ตอบคำถามกูด้วย
เหมือนว่าฉันจะชอบเธอเข้าแล้วล่ะ
หมายความว่าไง
มึงชอบกูแล้วเหรอ
Mieng:
คือจริงๆอยากให้มึงสนใจความหมายของท่อนนี้มากกว่า
Arm:
ท่อนไหน
Mieng:
        ถ้าเธอเองก็ชอบฉันเหมือนกัน ก็ช่วยมาสารภาพความในใจให้ฉันรู้ทีนะ


ไม่มีประโยคตอบกลับจากคนที่อ่านข้อความนี้ ผมเงยหน้ามองอาร์มแต่เหมือนว่าตอนนั้นมันกลับไม่ได้มองผมอยู่ แล้วก็ไม่ได้มอง แม้แต่หน้าจอมือถือที่เป็นบทสนทนาของเรา อาร์มกำลังมองดีนอยู่ มองคนที่อยู่ตรงหน้าตรงนั้น ด้วยสายตาเศร้าจนชวนให้ผมนิ่งไป

ก็ลืมไปเลยว่าอาร์มกับดีนเป็นเพื่อนสนิทกัน แล้วแบบนั้นมันจะมาชอบผมคนที่เป็นศัตรูกับเพื่อนมันได้ยังไง จะมาชอบผม จะมารู้สึกกับผม แบบที่ผมรู้สึกกับมันได้ยังไง เพราะไม่ว่ายังไงเรื่องของเราก็เป็นแค่เกมส์ที่ต่างฝ่ายต่างพยายามทำให้อีกคนตกหลุมรักมันก็เท่านั้น

 “ เจ้ย มันเป็นอย่างที่มึงบอกเลยวะ ” ผมเอ่ยเรียกคนตรงหน้าที่ก็เงยหน้าขึ้นมองกัน “ ทุกอย่างมันเป็นแค่เกมส์ ”

แล้วดูเหมือนว่า กูจะแพ้ซะด้วย

...........................................................


ถ้าเธอไม่รักกัน ก็อย่ามาให้ความหวัง!
บีมมือน้องเมี่ยง แต่ยังไงก็รอฟังพี่อาร์มก่อนนะคะ
ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ด้วยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาและคอมเม้นท์  :hao6:


ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
IArm คนหลายใจ  :fire:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

สงสารน้องเมี่ยงจัง  แถยังไงก็ไม่วายถูกเพื่อนเจ้ยรู้ทันทุกเรื่อง

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
ส่งพี่ต่อมาด่วนเลย รำคาญอีอาร์ม บึยยยย

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
ตอนที่ 14

เสียงดนตรีที่กำลังฟังจบลงพร้อมกับผมที่ดึงสติของตัวเองขึ้นมาจากใบหน้าของคนที่เอาแต่จดจ้อง ดีน กำลังหัวเราะสนุกสนานอยู่กับเรื่องราวที่ไอ้จุ้นตัวโจ๊กประจำกลุ่มเล่าโดยที่ไม่ได้รู้เลยสักนิดว่าผมกำลังมองมันอยู่นาน

แต่นั่นก็เหมือนทุกครั้ง ที่อีกฝ่ายเป็น
ไม่มอง ไม่รู้ และถึงรู้ ก็ไม่สน

 ผมหันกลับไปมองเจ้าของบทเพลงที่มอบให้กัน แต่ทว่ามันคงจะช้าไป เมี่ยงไม่ได้นั่งอยู่ตรงนั้นแล้ว ทั้งๆที่อาหารที่สั่ง ก็มีเหลืออยู่เต็มจาน แถมยังกินไม่หมดด้วยซ้ำ

“ หายไปไหนของมัน ” พูดกับตัวเองแบบนั้น ผมมองไปรอบๆโรงอาหารที่ตอนนี้คนเริ่มบางตาลงแล้ว แต่ทว่ากลับไม่มีใครคนนั้นที่คิดว่าน่าจะไปยืนอยู่เลย ไม่ว่าจะเป็นฝั่งซ้ายหรือขวา

“ หาอะไรของมึง ” ดีนเอ่ยถามผม ที่ก็เหลือบมองมันก่อนจะส่ายหน้า

“ เปล่า ”

“ กลบเกลื่อนไม่เนียนเอาซะเล้ย ” ไอ้จุ้นคนขี้สอดว่าแบบนั้น มันยกน้ำที่ตั้งอยู่ตรงหน้าขึ้นมาดูด “ พวกมึงหันไปมองมึงตั้งนาน ดูจากดาวอังคาร ใครๆก็รู้ว่ามึงกำลังหาใครสักคนอยู่ ”

“ แล้วเสือกอะไรมึงด้วย ”

“ ว๊ายยยยยยย ” ทั้งไอ้ดีนไอ้โฮมถึงขั้นประสานเสียงให้อีกคนที่ก็ยกมือขึ้นทาบอก แต่ก็ไม่ลืมกร่อนด่าผมเบาๆ

“ ไม่อ่อนโยนกับกูเลยไอ้หน้าเหี้ย ” คำพูดที่ทำให้หลุดยิ้ม ก่อนจะก้มหน้าลงมองมือถือที่สั่นอยู่ในมือ มันมีข้อความใหม่เข้ามาแต่ไม่ใช่ข้อความของคนที่เมื่อครู่ผมแกล้งเย้ามันไปสารพัดเพราะชอบมองเวลาที่แก้มขาวนั่นขึ้นสีแดง กลับกัน มันเป็นข้อความของคนที่นั่งอยู่ข้างๆผม แล้วนั่นก็คือไอ้โฮม


Home:
คนที่มึงมองหา
เมื่อกี้กูเห็นเค้าเดินออกไปจากโรงอาหารแล้ว


ไม่ได้ตอบกลับข้อความนั้น ผมเพียงแค่อ่านมันก่อนจะปิดหน้าจอไปและทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น หยิบน้ำที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมากิน ก่อนจะวางมันลงแล้วลุกขึ้นเต็มความสูง

“ ไปเข้าห้องน้ำหน่อย เดี๋ยวมา ”

“ ทำไมพี่อาร์มของกูถึงชอบใช้ชีวิตคนเดียวนักนะ ” ดีนมันพูดแซว พลางใช้มือซ้ายข้างที่สวมแหวนของผมอยู่บนนิ้วกลางนั้นค้ำลงกับโต๊ะที่นั่ง ก่อนจะเอียงหน้าถามกันอย่างอยากจะให้เห็นมันชัดๆ

เพราะตั้งแต่ที่มันส่งข้อความมาให้คืนนั้น
เรายังไม่ได้คุยกันเลย เกี่ยวกับเรื่องแหวนที่สวมอยู่


 “ ทำไงได้ ก็ไอ้คนที่กูอยากจะใช้ชีวิตด้วย แม่งไม่อยากจะใช้ชีวิตร่วมกับกูนี่หว่า ” ตอบคนที่จ้องมองมาแบบเสียงเรียบด้วยรอยยิ้ม แต่มันอาจจะเป็นคำพูดที่ตรงไปสักหน่อย ดีนในตอนนั้นก็เลยได้แต่นิ่งไป สายตาเล็กมองผมราวกับตั้งคำถามว่าทำไมถึงพูดอะไรแบบนั้นออกมา ต่างจากไอ้โฮมที่ถึงขั้นเม้มริมฝีปากตัวเองแน่นในตอนได้ฟัง มันเหลือบมองผมสลับกับอีกคน

“ เฉียบสัด ”

“ งง ” ไอ้จุ้นเอียงหน้าสงสัย มันที่มองพวกเราด้วยสายตาตั้งคำถาม “ พวกมึงพูดเรื่องเหี้ยอะไรกัน ” ไม่มีใครตอบให้คลายความน่าสงสัย ตอนนั้นไอ้โฮมแค่เชิดหน้าถามดีนเรื่องแหวนขึ้นมาเหมือนปัดความสนใจของอีกฝ่ายไป

“ ว่าแต่ปกติมึงใส่แหวนด้วยเหรอวะ ”

แน่นอนว่าอย่างที่พวกเราในกลุ่มรู้กัน ไอ้ดีนไม่ใช่คนที่ชอบใส่แหวน แต่ชอบใส่พวกสร้อยข้อมือ หรือไม่ก็สร้อยคอ  และมากสุดของมันที่ต้องใส่ทุกวันก็เหมือนจะมีแค่ต่างหูที่ผมรู้สึกว่าพักหลังๆบางอันมันยาวจนไม่ควรเรียกว่าต่างหูแล้ว แต่ควรเป็นสร้อยคอมากกว่า

“ ไม่ใส่หรอก แต่อันนี้พิเศษหน่อย เพราะได้มาตอนวันเกิด ” พูดแบบนั้นมือข้างซ้ายก็ถูกยกขึ้นมาอวดเพื่อนเต็มที่ด้วยหน้าตายิ้มแย้มแบบเด็กเล็กๆอย่างที่ผมชอบ แววตาเรียวหรี่ลง แก้มกลมๆยกขึ้น

ดีนยื่นมือให้เพื่อนสองคนดูใกล้ๆ สำหรับแหวนเงินเกลี้ยงวงนั้นที่แอบฝังเพชรเม็ดเล็กๆอยู่ภายใน แต่ตอนนี้ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายจะสังเกตมันหรือเปล่า

ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าดีนจะเข้าใจความหมายของมันมั้ย  แต่คิดว่าน่าจะไม่ เพราะผมยังไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้พูดเลย ว่าความรู้สึกรักของผมก็เหมือนกับของชิ้นนั้นที่ให้มันไป

ดูภายนอกเหมือนไม่มีอะไร แต่แท้จริงความรู้สึกรักมากมายถูกซ่อนเอาไว้ภายในนั้น  และจะยังคงอยู่อย่างมั่นคงแบบนั้นตลอดไป เหมือนดั่งเพชรเม็ดนั้น

“ ใครซื้อให้วะ ” ไอ้จุ้นถาม ดีนมันก็เหลือบมามองกัน ก่อนจะกระซิบตอบ

“ คนพิเศษ ”

“ คนนั้นเหรอ ” โฮมมองหน้าไอ้ดีนในตอนที่ถาม ผมรู้สึกสายตาแข็งกร้าวอย่างฉับพลันของคนที่ต้องตอบ

“ ใคร? ” ดีนถามจริงจัง ชวนให้ไอ้โฮมถึงขั้นผละหลังไปเล็กน้อยด้วยความตกใจที่อยู่ๆเพื่อนก็จริงจังขึ้นมา

“ ทำไมต้องหงุดหงิดด้วยไอ้สัด ก็สาวคนนั้นไง คนที่มึงพามาเมื่อตอนวันเกิด มันชื่ออะไรแล้วนะ ”

“ ไอ้ควาย ชื่อมอส ” ถอนหายใจแบบโล่งอก ดีนตอบยิ้มๆ

“ เออ มอสให้มึงเหรอ ”

“ เปล่า มอสให้อย่างอื่น ” ยักคิ้วยิ้มๆให้เพื่อนสองคนตรงหน้าด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ตามฉบับที่ก็พอรู้กันอยู่แล้วว่าของขวัญที่ว่าก็คงไม่พ้นเรื่องบนเตียง

“ ร้ายจริงๆเลยน้าพี่ดีนของกู ”

ผมเดินออกมาจากโต๊ะในตอนที่ได้ยินไอ้จุ้นพูดอย่างงั้น เรื่องที่พูดคุยถูกเปลี่ยนไปเป็นเรื่องของเธอคนนั้น ก็เหมือนอย่างกับทุกทีที่ผ่านมา

ในช่วงเวลาที่คิดว่าพอแล้ว ถอยเถอะ คำพูดของดีนที่พูดกับผมก็ไม่ต่างอะไรกับหยอดฝนในช่วงหน้าแล้ง มันทำให้ดูเหมือนมีใจ แต่ถ้าถามว่ามารักกันมั้ย คำตอบก็ยังเหมือนเดิม คือยังไม่พร้อม แล้วบางทีผมก็คิดว่า ผมควรเดินออกมาจากตรงนั้นสักที


ตรงที่ที่ไม่รู้ว่ารถเมล์สายที่รอคอยมานาน จะมาเทียบหน้าป้ายสถานีเมื่อไหร่
และผมควรมองหาแท็กซี่ได้แล้ว หลังจากที่ยืนเปียกฝนอยู่ตรงนี้มานาน


ถอนหายใจยิ้มๆกับตัวเอง ผมส่ายหน้าด้วยความรู้สึกที่อยากจะสะบัดความคิดวุ่นวายในสมองนั่นออก สายตาเหลือบมองโต๊ะของกลุ่มไอ้เบสที่ไม่มีเมี่ยงนั่งอยู่ในตอนที่เดินผ่าน ผมไม่รู้เลยว่า คนอย่างเมี่ยงจะเลือกไปที่ไหน ในช่วงเวลาแบบนี้ เพราะไม่ได้รู้จักอีกคนขนาดนั้น แค่ครั้นจะให้ถามสองคนนั้น ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เช่นกัน


ครืน ครืน ครืน


Home:
แล้วอย่าลืมตอบคำถามคนที่มึงยังไม่ได้ตอบเค้านะ


ขมวดคิ้วในตอนที่อ่านข้อความที่ส่งเข้ามาใหม่นั่น ทั้งๆที่อยากจะส่งกลับไปว่า ‘ ขี้เสือก ’ เพราะไม่รู้ว่ามันมาสังเกตตอนไหนว่าผมคุยกับอีกคน แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะไม่ส่งไปอย่างที่คิด

ผมเปิดเข้าไปยังหน้าจอหลักของโปรแกรมแชทแทน ในนั้นคนที่ยังไม่ได้ตอบมีอยู่สองคน คนแรกคือดีนคนที่ผมปักหมุดแชทของมันไว้ด้านบนสุด ส่วนอีกคนก็คือ เมี่ยง คนที่ถามกับผมว่า   ถ้าเธอเองก็ชอบฉันเหมือนกัน ก็ช่วยมาสารภาพความในใจให้ฉันรู้ทีนะ

แต่ผมก็ยังไม่ได้ตอบมันออกไป

ผ่อนลมหายใจออกมาก่อนจะมองซ้ายขวาอย่างคนคิดอะไรไม่ออกว่าจะเริ่มที่จุดไหน  ผมไม่ใช่พวกที่ชอบพิมพ์ข้อความตอบอะไรยาวเหยียด ในตอนที่จะอธิบายอะไรสักอย่าง เพราะไม่ว่ายังไงก็มีความรู้สึกว่าการได้พูดคุยกันต่อหน้า มันอธิบายความรู้สึกทั้งหมดที่มีได้มากกว่า ทั้งจากสายตา ท่าทาง แล้วก็คำพูด

 “ ไอ้เมี่ยงแม่งไม่รู้จะรีบกลับบ้านไปไหนเนอะไอ้สัด ไม่มีเรียนเย็นแท้ๆ ข้าวก็ยังกินไม่หมดเลย ทั้งๆที่ปกติมันไม่เคยแดกเหลือเลยด้วยซ้ำ ” เสียงคุ้นหูของคนที่ไม่ต้องหันไปมองก็พอเดาออก ไอ้เจ้ยเพื่อนร่วมกลุ่มของผมสมัยอยู่ม.ต้นเดินลงมาจากโรงอาหารพร้อมกับไอ้เบส คู่อริของไอ้ดีนที่ก็หันไปพูดกับเพื่อนงงๆ

“ แล้วมึงจะพูดเสียงดังไปทำไม ก็มันบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าแค่ง่วง เลยอยากจะกลับบ้านไปนอน ”

“ แล้วทำไมกูต้องพูดเสียงเบา ” ถามกลับไปแบบนั้น อีกฝ่ายก็หันมามองหน้าผมยิ้มๆ แล้วในตอนนั้นที่ความรู้สึกของผมมันบอก ว่าเจ้ยน่าจะรู้แล้ว เกี่ยวกับเรื่องของเรา

“ มองเหี้ยอะไร ” เบสเชิดหน้าถาม ท่าทางกลัวตีนของมันเหมือนพวกอันธพาลที่วันๆไม่มีทำอะไรยกเว้นหาเรื่องคนแบบไร้สาระ

สมองผมสั่งการว่าอย่าไปให้ค่าอะไรกับคนแบบนั้น ยิ่งต่อความยาวด้วยเท่าไหร่ ก็เหมือนดีนที่ทะเลาะกันไปแบบไม่จบสิ้น ขาของผมหันหลังเดินตรงไปที่ตึกจอดรถอย่างไม่สนใจที่ต่อล้อต่อเถียงอะไรกับมัน แล้วในระหว่างรอลิฟต์ก็ไม่ลืมส่งข้อความไปหากลุ่มเพื่อนที่นั่งอยู่

Arm:
กลับแล้วนะ
Home:
ไม่เข้าเรียนคาบบ่ายเหรอวะ
Arm:
มีธุระ
Home:
ก็นเข้าใจได้


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


เคาะประตูห้องข้างๆก่อนที่จะเดินไปยังห้องตัวเองตามปกติ แต่ดูเหมือนว่าภายในนั้นจะว่างเปล่า มันไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่อยู่ภายใน ไม่มีแม้แต่เสียงเคลื่อนไหว ในตอนที่ผมลองเอาหูแนบบานประตูห้องเพื่อฟัง

“ ไม่อยู่เหรอวะ ” พูดกับตัวเองเบาๆ ผมหยิบมือถือในกระเป๋าขึ้นมา แล้วพิมพ์ข้อความลงไปแชทของเจ้าของห้อง ‘ อยู่ไหน ’

กริ๊ก เสียงที่ดังขึ้นมาหลังจากที่ผมกดสั่ง บอกกันอย่างดีว่าคนที่อยากเจอก็คงอยู่ในห้องนั่นแหละ แต่ทำทีเป็นเงียบเชียบเพื่อหลอกให้ผมคิดว่ามันไม่ได้อยู่ในห้องนี้ แล้วถ้าเดาไม่ผิด ผมคิดว่าตอนนี้เจ้าตัวคงจะมองกันอยู่ผ่านทางช่องตาแมว ไม่ก็นั่งเลิ่กลั่กอยู่ที่ไหนสักที่ในห้อง หรือก็คงพยายามย่องเบาๆไปตรงที่วางมือถือ

“ หึ ” ผมเผลอหยุดยกยิ้ม ก่อนจะก้มหน้าลงมองมือถือตัวเองอีกครั้ง แล้วกดโทรออกไป


ครืน ครืน ครืน


เสียงดนตรีผสมกับเสียงสั่นที่ดังอยู่ที่ไหนสักแห่งในห้องบอกผมได้อย่างดีว่ามือถือคงถูกวางห่างจากคุณเจ้าของที่ตอนนี้คงเลิ่กลั่กน่าดู กับนิสัยที่พอทำอะไรผิดก็เหมือนเด็กเล็กๆที่พยายามซ่อนความผิดไว้ แต่มันไม่เคยสำเร็จสักครั้ง

“ จะนับหนึ่งถึงสาม ถ้ามึงไม่เปิดประตู กูจะคิดว่ามึงงอนกูนะ แล้วคนที่เค้างอนกัน มันก็มีแค่คนที่รักกันเท่านั้น กูสรุปจะเลยทันทีว่ามึงรักกู เลยงอนกู ” พูดจบก็ก้มลงมองที่มือจับประตู ให้ผมทายว่าตอนนี้คนภายในห้องคงหันซ้ายทีขวาทีอย่างไม่รู้จะหยิบจับอะไรเป็นอย่างแรก ท่าทางน่ารักของมันในตอนที่ตกประหม่านั้น ชวนให้ผมยิ้มกว้างพลางส่ายหน้าไปมาแม้จะเป็นแค่จิตนาการ

ในสมองของเมี่ยงตอนนี้ คงตีจนรวนจนวุ่นวายไปหมด มันคงได้แต่ถามตัวเองซ้ำๆว่าจะทำยังไงดี แล้วบางทีก็อาจจะหันไปมองไอ้แมวสองตัวที่อยู่ในห้อง เพื่อขอความช่วยเหลือ  แล้วก็คงตีหน้ายุ่งเล็กน้อย ในตอนที่เจ้าตัวกลมสองตัวนั่นไม่สนใจอะไรมันเท่าไหร่

“ หนึ่ง สอง..” เอ่ยนับเสียงเรียบๆ แล้วในวินาทีที่จะเอ่ยเลขสุดท้าย ประตูบานนั้นก็เปิดออก พร้อมกับเจ้าของห้องที่มองมา แบบที่ก็ไม่ต่างจากอะไรกับเจ้าแมวตัวเล็กๆที่จ้องแต่จะข่วนกันถ้าเกิดว่าผมเข้ามายุ่งกับมัน

“ กูไม่ได้งอนมึงสักหน่อย!! ”

“ อยู่จริงๆด้วยสินะ ” ยกยิ้มพลางสบสายตาเรียวที่กำลังหงุดหงิดคู่นั้น ที่ก็ตอบออกมาเสียงเบาๆ อย่างรู้ว่าตัวมัน จนมุมเข้าให้แล้ว

“ K ”

“ กลับเร็วจังนะวันนี้ ” สายตาเรียวเบิกขึ้นในตอนที่ผมถาม เมี่ยงทำทีเป็นหันหลังเดินเข้าห้อง 

“ กูแค่กลับบ้านมาก่อนเพราะเหนื่อยๆ เลยอยากจะนอนพักผ่อน วันนี้เรียนย๊ากยาก ” ว่าแบบนั้นพร้อมกับตรงไปในครัว หยิบแก้วน้ำที่วางอยู่ต้องเค้าท์เตอร์ขึ้นมาแล้วกดน้ำจากเครื่องกดตรงหน้าตู้เย็น “ กูไม่ได้รู้สึกเสียใจ ไม่ได้รู้สึกโกรธ ไม่ได้รู้สึกจริงจังอะไรกับคำตอบของมึงเลยสักนิดเดียว กูก็แค่ส่งไปเล่นๆ มึงไม่ต้องซีเรียสก็ได้นะ ไม่ต้องตอบก็ได้กูไม่สนใจหรอก  ชะ เชี้ย..”

น้ำที่ล้นออกมาจากแก้วของคนที่พูดโกหกออกมาคำโตอย่างไม่ได้สติ เจ้าของขาขาวกางออกอัตโนมัติ เมี่ยงก้มลงกินน้ำที่ล้นเต็มแก้วนั้น ก่อนจะวางมันลงตรงที่ตั้งใกล้ตัว แล้วหันไปหยิบทิชชูแผ่นใหญ่มาซับน้ำพวกนั้น แทนที่จะเป็นผ้าเช็ดที่วางอยู่ไม่ห่างกัน

“ แล้วทำไมมึงไม่ไปเรียน มึงมีเรียนเย็นไม่ใช่เหรอ ” เมี่ยงที่หันมาถามกันยิ้มๆ ภายในแววตาที่ดูฝืน ผมก็ได้แต่นิ่งไม่ได้ตอบอะไร

ความเงียบเชียบกลายเป็นความอึดอัดภายในนาทีเล็กๆนั่น ร่างขาวหันกลับไปเช็ดพื้นต่อก่อนจะโยนทิชชูหลายแผ่นที่ชุ่มน้ำลงในถังขยะ มันยืนขึ้นเต็มความสูงอีกครั้งก่อนจะยิ้มให้ผม “ มึง.. กินน้ำมั้ย ”

“ ไม่ ” ผมตอบอีกคนก็ทำทีเป็นแบะปากน้อยๆ ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา เมี่ยงหยิบน้ำแก้วนั้นขึ้นกินต่อ

“ แล้วมึงจะมายืนนิ่งไม่พูดไม่จาทำไม หรือว่ามึงไม่เชื่อ ในสิ่งที่กูพูด ” อีกคนยกยิ้มก่อนจะเหลือบมองกัน ถ้อยเสียงที่ดูเล่นๆของมัน “ ทำไม ? หรือมึงจะคิดจริงๆ ว่าที่กูไม่กินข้าวแล้วก็เดินออกมาทั้งๆที่ปกติกูฟาดเรียบทุกอย่าง มันเป็นเพราะว่ากูเสียใจที่มึงไม่ยอมตอบในสิ่งที่กูถาม ” เมี่ยงหันมองหน้ากันในตอนที่เห็นว่าผมยังไม่พูดอะไร  “ ไม่เอาน่า เราต่างก็รู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่นะไอ้สัด มึงต้องทำให้กูตกหลุมรักมึง แล้วกูก็ต้องทำให้มึงตกหลุมรักกูให้ได้ ทุกอย่างมันเป็นแค่เกมส์ จริงมั้ยละ ”

“ เคยมีคนบอกมั้ยว่ามึงแสดงละครไม่เก่ง ” ก้าวเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายก็ทำได้แค่เอียงหน้างง เมี่ยงวางแก้วน้ำที่กินอยู่ มันเดินออกมายืนตรงหน้าผม เมี่ยงยิ้มทั้งๆที่ในแววตานั้นก็บอก ว่ามันกำลังฝืน

“ แสดงละครอะไร ก็บอกแล้วว่ากูไม่ได้รู้สึกอะไรสักหน่อย ไม่ได้รู้สึกเสียใจเลยที่มึงไม่ตอบ เพราะกูรู้อยู่แล้วละ ว่าไม่ว่ายังไงมึงก็คงไม่ตอบกูหรอกน่า เพราะถ้าตอบก็ถือว่าเท่ากับแพ้ มึงตกหลุมรักกู แล้วมันจะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง มึงเป็นเพื่อนรักกับดีนนะ มึงจะมาชอบกูคนที่เพื่อนมึงเกลียดขี้หน้ามากขนาดนั้น แล้วอีกอย่างมึงก็คงคิดว่ากูก็คงไม่ชอบมึงหรอก กูเป็นเพื่อนไอ้เบสนะ กูต้องอยู่ข้างเพื่อนกูสิ จริงมั้ย ”

“ ไม่จริงหรอก มึงโกหก ” ผมพูดแค่นั้นก่อนจะเอียงหน้าลงจูบบนริมฝีปากของฝ่ายอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว จูบแนบแน่นที่ทำให้แววตานั้นค่อยๆเบิกกว้างออกด้วยความตกใจ  แล้วก็ไวเท่ากับความคิด เมี่ยงผลักผมให้ออกห่าง

“ เชี้ย! ทำอะไรของมึง ”

“ พูดความจริงไง  ความจริงที่ว่าจริงๆแล้วมึงเสียใจมาก ที่กูไม่ตอบคำตอบนั้น ” ผมคว้ามือข้างที่ผลักอกผมก่อนจะดึงมันเข้ามาหาตัว แล้วก็คว้ามันอีกข้างขึ้นเพื่อยึดไม่ให้อีกฝ่ายหนีไปไหน ผมมองตามัน แต่แววตาเรียวคู่นั้นก็ยังคงดื้อดึงบอกปฎิเสธทั้งๆที่ในนั้นมีเพียงแค่ความเสียใจที่ต้องอดกลั้นเอาไว้
 
 “ กูไม่ได้เสียใจสักหน่อย ” เมี่ยงก้มหน้าลง มันยังคงเถียงแม้ว่าเสียงจะเบาลง

“ มึงเสียใจที่กูเอาแต่มองไอ้ดีน ” ผมย้ำ “ แล้วตอนนั้นมึงก็คงคิดขึ้นมาได้ว่าระหว่างเรามันเป็นไปไม่ได้หรอก กูเป็นเพื่อนกับดีนจะมารักมึงได้ยังไง แล้วก็คงคิดว่าเรื่องของเรามันไม่ได้จริงจังมาตั้งแต่แรก มันก็แค่คนสองคนที่ต้องการให้อีกฝ่ายตกหลุมรักกันเพื่อที่จะให้เป็นคนที่เหนือกว่า มันก็เท่านั้น ”

“ ก็บอกว่าไม่ได้เสียใจไง ” เสียงเรียบๆที่ยังบอกกันแบบไม่ยอมแพ้ แต่ถึงอย่างงั้นมันก็ยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา เมี่ยงเอาแต่ก้มหน้า ผมหน้าม้าที่ปิดบังช่วงตาของอีกคนไว้ แต่ถึงอย่างงั้นก็คงปิดบังน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มขาวนั่นไม่ได้

“ เมี่ยง..”

“ ก็บอกกว่าไมได้เสียใจยังไงเล่า! ” เสียงที่ตะโกนขึ้นมานั่นทำให้ผมนิ่ง “ ไม่ได้เสียใจเลย ก็ทำใจไว้แล้วว่ามึงคงไม่ตอบ กูรู้อยู่แล้วว่าระหว่างเรามันคืออะไร แต่กูก็ไม่รู้ว่าทำไมกูถึงต้องใจเต้นแรงขนาดนั้นตอนที่มึงเข้ามาใกล้กู  กูไม่รู้ทำไมว่าตัวเองถึงต้องส่งข้อความนั้นไปอย่างมีความหวังว่ามึงจะตอบกลับมา ทั้งๆที่ก็มีคนบอกกูแล้ว ว่าจุดเริ่มต้นของเรามันมาจากต่างฝ่ายต่างพยายามจีบกัน แต่ถึงอย่างงั้นกูก็ยังดื้อที่พูดทุกอย่างให้เค้าเห็นด้วย ให้เค้าคิดเหมือนกู ทั้งๆที่ตอนนั้นกูควรจะเชื่อเค้า เชื่อว่ามึงไม่น่าจะรู้สึกอะไรหรอก แต่แล้วทำไมกูถึงยังพูดอธิบายออกไปก็ไม่รู้ พูดอธิบายออกไปให้เค้าเห็นด้วยกับกู ว่ามึงมีใจให้กูจริงๆนั่นแหละ กูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมกูถึงจะยังดึงดันส่งเพลงนั่นไปให้มึง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมแม้แต่ตอนนี้ กูถึงยังดึงดันให้ตัวกูเจ็บอยู่ ทำไมก็ไม่รู้เหมือนกัน โอ๊ย! ”

“ เพราะมึงชอบกูไงเมี่ยง ”  ดึงอีกคนให้ล้มลงนอนบนโต๊ะในตอนที่พูดแบบนั้น  ผมสบสายตาแดงกล่ำของคนที่พูดยืดยาวออกมาแต่กลับวกไปวนมาอย่างกับควบคุมความเสียใจที่มีเอาไว้ไม่ได้ เมี่ยงดูหอบ มันคงตกใจไม่น้อยที่อยู่ก็ถูกลงมาอย่างงั้น “ มึงชอบกู ”

ย้ำคำพูดนั้นกับอีกคน วินาทีนั้นไม่มีคำพูดปฎิเสธอะไรที่สวนกลับออกมาอีก เหมือนทุกอย่างถูกหยุดชะงัก  และมีเพียงผมเท่านั้นที่ลดใบหน้าลงจูบลงบนริมฝีปากสีสวยนั่นช้าๆ ก่อนจะขบเม้มลงตรงริมฝีปากล่าง แล้วดูดดึงมันเบาๆ เมี่ยงค่อยๆหลับตาลงจนสนิท ก่อนจะเผยอริมฝีปากตอบรับจูบดูดดื่มของเราด้วยลิ้นของกันและกันที่กำลังกอดเกี่ยว

ความรู้สึกที่บดเบียด ร่างของเราที่แนบชิด ผมสัมผัสถึงเสียงของหยาดน้ำลายในยามที่ลิ้นของเรากอดรัด คล้ายกับหนังรักฝรั่งสักเรื่องที่มีฉากคีสซีนดูดดื่ม ผมปล่อยมือที่กำลังจับกุมมือสองข้างนั้นลง แล้วเปลี่ยนมาเป็นสอดเข้าไปในเสื้อนักศึกษาที่อีกฝ่ายกำลังสวม

ปลดกระดุมเสื้อที่ขวางความสุขออกไปให้พ้นทาง มือของผมไล้สัมผัสไปบนผิวเนียนนุ่มและเอวคอด ที่เจ้าของร่างเองก็ดึงมือขาวขึ้นกอดรอคอของผมไว้เพื่อไม่ให้จูบของเราผละห่างกันออกไปไหน ก่อนที่ผมจะสอดมือดึงลงต่ำแล้วสอดเข้าไปในกางเกงตัวที่อีกฝ่ายสวมอยู่นั้น บีบคลึงก้นกลมนั้นโดยที่เมี่ยงเองก็ยกบั้นท้ายตัวเองขึ้นเหนือโต๊ะ

ราวกับกำลังดำน้ำลึก มันจมลงไปเรื่อย ภายใต้ก้นมหาสมุทรของความรู้สึกที่ลึกลับ อย่างไม่มีใครห้ามปรามหรือแม้แต่เอ่ยขัดถึงสถานะที่มี จนกระทั่ง

“ เมี๊ยว!! ” เสียงดังของเจ้าแมวที่เราลืมไปแล้วว่ามันอยู่ภายในห้องนี้ ผมจำใจผละริมฝีปากออกจากอีกคน แล้วตอนที่มองดูมันก็ไม่ได้มีอะไรที่มากไปกว่าไอ้สองตัวป่วนมันเล่นฟัดกันไปมาก็เท่านั้น

แมวเหี้ย

“ เมี่ยง ” เอ่ยเรียกอีกฝ่ายหลังจากที่ก้มลงไปมองอีกครั้ง แต่คนใต้ร่างกลับทำให้ยิ้มกว้าง เมี่ยงยกมือขึ้นปิดหน้าตัวทั้งสองข้างราวกับเพิ่งได้สติว่าเมื่อครู่ตัวเองเผลอไผลไปกับอะไร ลำตัวของมันแดงจัดแต่คงไม่เท่ากับหน้าที่ตอนนี้ปิดกันแทบไม่มิดเพราะมันก็บอกกันหมดโดยเฉพาะใบหูทีอีกฝ่ายปิดไม่มิด “ เมี่ยง ” ผมเรียกอีกฝ่ายซ้ำอีกครั้งก่อนจะบีบก้นที่กำลังจับอยู่นั้น

“ ไม่ต้องเรียก ” มันว่าเสียงอู้อี้อย่างงั้นก่อนจะผลักผมให้ออกห่างแล้วถึงจะดึงตัวเองขึ้นมากโต๊ะ มือขาวกำเสื้อนักศึกษาที่ตัวเองสวมอยู่ไว้แน่นด้วยมืออีกข้างนึง มันก้มหน้าก้มตาจนผมต้องเอื้อมมือไปจับมือนั้นไว้ “ ก็บอกว่าไม่ต้องยุ่งไงไอ้สัด แล้วจะบอกไว้ก่อนเลยนะ ว่ามึงไม่ได้ชนะหรอก กูแค่เผลอไป ไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งนั้น ”

“ กูไม่เคยคิดว่ากูชนะ ” ผมพูดเสียงเรียบในตอนที่ดึงมือขาวที่กำเสื้อตัวเองไว้แน่นนั่นออก ผมเริ่มติดกระดุมเม็ดแรกให้อีกคน “ กูยอมรับว่ากูเคยคิดเหมือนกัน ตอนที่รู้ว่ามึงจะจีบกูเพื่อเอาชนะ ครั้งนึงกูก็เคยคิดอยากจะเอาชนะมึงเหมือนกัน แต่ตอนนี้กูไม่ได้คิดอย่างงั้นแล้ว ” กระดุมเม็ดที่สองถูกติด ผมเหลือบมองอีกคนที่ก็เหลือบมองผม

“ หมายความว่ายังไง ”

“ ถ้ามึงคิดว่ามึงแพ้ เพราะหวั่นไหวไปกับกู งั้นก็รู้ไว้เลยว่า กูเองก็แพ้ให้มึงเหมือนกัน ” ผมติดกระดุมเม็ดที่สามให้เมี่ยง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอีกฝ่าย “ เพราะตอนนี้กูก็หวั่นไหวไปกับมึง ”

สายตาที่ผมกำลังสบ หันมองไปทางอื่นในตอนที่ได้ยินผมพูดอย่างงั้นด้วยท่าทางตกประหม่า แบบที่ไม่คิดว่าจะได้ฟัง เพราะเมี่ยงก็คือเมี่ยง เป็นคนที่ปิดบังอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง แม้แต่ร่างกายที่ตอนนี้หูแดงจัดถึงขั้นที่มันต้องยกมือขึ้นดึงไปมาเพื่อให้มันหยุดบอกความจริงกับผมสักที

“ แล้ว..” สายตาที่ดูไม่มั่นใจเอ่ยถามขึ้น “ คือ..”

“ อะไรครับ ” ถามแบบนั้นก่อนจะปล่อยมือที่ติดกระดุมเม็ดสุดท้ายให้อีกฝ่าย ผมเปลี่ยนมาค่อมร่างของอีกฝ่ายไว้ ด้วยการค้ำมือลงกับโต๊ะตรงข้างตัวของร่างขาว

“ แล้วทำไมมึงถึงไม่ตอบ คำถามของกู ” ดึงมือตัวเองขึ้นจากโต๊ะที่ค้ำอยู่ในตอนที่ได้ยินคำถามนั้น เมี่ยงมองผมอย่างไม่มั่นใจ ส่วนผมเอง ไม่มีอะไรที่มั่นใจหรอก แต่กลัวแค่ว่าคำตอบนั้นจะไม่ชัดเจนพอจนทำให้มันเข้าใจผิดมากกว่า

“ ที่กูไม่ตอบ เพราะตอนนี้กูยังมีคนที่ชอบอยู่ แต่กำลังจะไม่ชอบแล้ว ”

เมี่ยงคงช็อคไปในตอนที่ได้ยินอย่างงั้น แววตาของมันเบิกขึ้นเล็กน้อยในตอนที่ฟังผมพูด ส่วนผมก็ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจออกมาแล้วดึงตัวเองห่างออกจากมันมาพิงหลังกับเค้าท์เตอร์ครัวที่อยู่ไม่ไกลกัน

“ กูไม่อยากโกหกมึง เพราะคำเดียวที่กูตอบได้คือ รอก่อนได้มั้ย ถ้ากูพร้อมเมื่อไหร่ แล้วกูจะเดินเข้าไปบอกเอง ” ผมยิ้มมองอีกคนที่ก็ยังคงสบสายตากับผม “ กูกับใครคนนั้นรู้จักกันมานานแล้ว กูชอบเค้า แล้วเค้าก็บอกให้กูรอ เพื่อที่สักวันเค้าจะพร้อม แล้วก็หันมาชอบกูกลับ ตลอดระยะเวลาที่มา กูทรมานมากกับคำว่ารอ แล้วกูก็ไม่อยากจะให้มึงเป็นแบบนั้น แต่การที่กูจะพูดกับมึงว่า งั้นมารักกันเถอะ เพราะกูหวั่นไหวไปกับมึงมากเลย นั่นก็คือการเห็นแก่ตัวของกูอยู่ดี ที่เหมือนเอามึงเข้ามาแทนที่ใครอีกคน เพราะกูรู้ตัวดี ว่ากูยังรักเค้าอยู่ ”

“ อื้ม ” เมี่ยงผ่อนลมหายใจออกมาในตอนที่รับฟังคำพูดนั้น

“ กูยอมรับว่ากูหวั่นไหวไปกับมึง ตั้งแต่ที่เจอมึง ตั้งแต่ที่มึงเข้ามา ชีวิตที่เคยเหี้ยของกู มันสดใสขึ้น กูเหงาน้อยลง กูมีความสุขมากขึ้น กูยิ้มมากขึ้น แล้วกูก็เริ่มแคร์เค้าน้อยลง มองเห็นความดีของเค้ามากขึ้น แล้วก็เริ่มรู้สึกไม่มีหวังมากขึ้นจากที่ให้ความหวังตัวเองมาตลอด ”

“ แต่ตอนนี้ก็ยังรักเค้าอยู่เหรอ ” คนตรงหน้าเอ่ยถาม “ คนคนนั้น ”

“ อื้ม ” ผมพยักหน้ารับ “ ถึงตอนนี้มันจะลดลง แต่มันก็ยังรู้สึกอยู่ เพราะงั้นที่มึงบอกว่าถ้ารู้สึกเหมือนกันก็มาบอกให้รู้ด้วยในเพลงนั้น กูเองก็อยากบอกนะ ว่ารู้สึกหมั่นไหวไปกับมึงเหมือนกัน ถ้าพูดว่ามันคือความชอบมั้ย กูก็ยอมรับออกไปตรงๆเลยว่า ชอบ แต่กูอยากตอบ เพื่อให้มึงเข้ามาเป็นตัวแทนของใคร ไม่อยากตอบเพื่อให้มึงรอ ”

“ เข้าใจแล้ว ”

ทุกอย่างมันเหมือนจะนิ่งไปหมดในตอนที่เมี่ยงพูดคนนั้น ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าประโยคที่อีกฝ่ายพูดหมายถึงอะไร คำว่า ‘ เข้าใจแล้ว ’ ที่ว่านั้น แต่กลับหันไปมองทางอื่นแล้วผ่อนลมหายใจออกมาโดยที่ไม่พูดอะไรต่อสักคำ

“ เมี่ยง ”

“ ตอนนี้มึงกลับไปก่อนได้มั้ยวะ ” ร่างขาวพูดแบบนั้นในตอนที่ผมกำลังจะเดินเข้าไปหา คนตรงหน้ายกมือขึ้นลูบใบหน้าของตัวเอง มันเหมือนคนที่ไม่รู้จะทำยังไงกับสถานการณ์นี้

ก่อนหน้านี้เรามีความสุขกับการหยอกกล้อ แล้วต่อมาเราก็เข้าใจผิดกัน ที่ไม่กี่วินาทีต่อจากนั้น เราก็จูบกัน แล้วตอนนี้มันก็ได้ยินผมพูดว่า ‘  กูชอบใครคนอื่นอยู่แล้ว ’

“ ความจริง บางทีก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรพูดหรอก แต่ไม่ว่ายังไง กูก็ไม่อยากจะโกหกมึงอยู่ดี ”

ผมเดินออกไปอุ้มแก้มหอมที่กำลังนอนอยู่บนคอนโดแมวใกล้ๆกับไอ้ตัวลายที่ก็มองผมด้วยสีหน้าไม่พอใจเท่าไหร่ ราวกับว่ามาพรากคนรักของมันไป

“ กูไม่รู้ว่าจะมีโอกาสที่จะได้พูดกับมึงอีกมั้ย แต่กูไม่เคยโกหกนะ ความรู้สึกที่กูมีให้มึง กูหวั่นไหวไปกับมึง กูมีความสุขในตอนที่อยู่กับมึง อย่างที่กูเคยบอกว่ากูหึงมึงจริงๆ ตอนที่มึงยิ้ม หรือว่ามีความสุขกับคนอื่นที่ไม่ใช่กู เรื่องนั้นกูเองก็ไม่ได้โกหก ”

ถ้ามันจะจบ ก็ขอให้จบไปเลยในวันนี้ ผมพูดกับตัวเองแบบนั้น เพราะดีกว่าถ้าหากเราไปต่อ แต่ในอนาคตเราจะต้องมาทะเลาะกัน เมื่อมันรู้ความจริง ที่ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาตัวมันเองเป็นแค่ตัวแทนใครอีกคน เป็นแค่คนที่เข้ามาเพื่อทำให้ผมลืมใครคนนั้น 

ขาของผมหยุดนิ่งอยู่ตรงประตู มือที่กำลังเอื้อมไปเปิด “ ขอโทษด้วยแล้วกัน ที่ทำให้มึงรู้สึก ทั้งๆที่หัวใจกูไม่ได้ว่าง ” 

แล้วนั่นก็คือประโยคสุดท้ายที่ผมเลือกที่จะพูดออกไป ก่อนจะเดินออกไปจากห้องนี้ ที่ก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับเข้ามาอีกหรือเปล่า

รวมถึงข้างในหัวใจของเจ้าของห้องนั่นก็ด้วย

.........................................................

ก็ปล่อยให้เค้าได้คิด ว่าจะไปต่อกับเราหรือเปล่า
น้องเข้าใจพี่อาร์มนะคะ ดีแล้วค่ะ อย่าโกหกเลย
ส่วนเจ้าเมี่ยงก็คือ สิบความรู้สึกได้ เสียใจ เขิน โดนจูบอีก ช็อคอีก แม่ก็เข้าใจหนูนะ ตอนนี้ก็เปิดเพลงเก็ตสึโนว่าไป “ เข้าใจที่ไม่เข้าใจ ”
ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ด้วยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์
หนมมี่จ้ะ  :กอด1: :L2: :3123: :L1:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
สรุปแล้วมีใครที่เข้าใจแล้วมั่ง มาอธิบายให้ สว. คนนี้ฟังหน่อยซิ  o2

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
โอยยย จุกไหมล่ะ เจ็บแทนเลยค่ะ

เมี่ยงแค่อยากรู้ว่าเป็นเกมส์ไหม ที่รู้สึกกันอยู่ตอนนี้
และก็รู้ว่า ไม่ใช่เกมส์ แต่ก็ยังไม่ใช่ตัวจริงอยู่ดี

อาร์มชัดเจนนะ ชอบแหละ แต่ยังไม่ต่อไม่ได้
ถึงจะเป็นตัวแทนแค่ชั่วคราว ก็ไม่อยากให้เป็นตลอดไป
หวังว่า อาร์มจะเคลียร์ตัวเองได้เร็วๆ นะคะ

เจ้ยกับโฮมนี่ยังไง ทำไมรู้ทันไปหมด และชงเข้มมาก
เจ้ยทำไมไม่อยู่กลุ่มกับอาร์ม ดีน ทำไมมาอยู่กับเบส เมี่ยง

กอดเมี่ยงนะคะ ไม่มีใครรู้สึกมากกว่า แต่ใครจะจัดการความรู้สึกได้ไวกว่า

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27

ตอนที่ 15

‘ เพราะตอนนี้กูยังมีคนที่ชอบอยู่ ’ ประโยคนี้วนเวียนอยู่ในสมองของผมที่กำลังนั่งพิงอยู่บนขอบโต๊ะในครัวอย่างไม่ได้ถอยห่างออกไปไหน

มันเหมือนตัวผมเองกำลังอยู่ในสวนสนุกของความรู้สึก รถไฟเหาะที่ทั้งเหวี่ยงและหมุนตีลังกานับสิบรอบ มันเป็นทั้งความเศร้าและความดีใจปะปนกันไปจนแยกไม่ออกว่าต้องรู้สึกอย่างไหน และแม้แต่ตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ ว่าต้องรู้สึกยังไง กับสิ่งที่ได้ยิน

“ เมี๊ยว ” เจ้าแมวตัวลายร้องเรียกหากันพลางเดินมาคลอเคลียกันที่ขา ผมก้มลงมองมันที่เอาหน้าถูไปมา ก่อนจะก้มลงไปอุ้มขึ้นมากอด  นายท่านขยับตัวเล็กน้อยเหมือนหามุมแขนที่ตัวมันจะถนัดก่อนจะนิ่งไปอย่างงั้นทั้งๆที่ปกติ มันไม่เป็น

“ มึงรู้เหรอ ว่ากูกำลังเสียใจ ” เอ่ยถามอีกตัวอย่างงั้น แต่ไม่มีเสียงตอบรับอะไร ผมที่ได้แต่ยิ้ม พาตัวเองมานอนลงบนโซฟา พร้อมกับนายท่านที่ก็ซุกอยู่ตรงช่วงแขน “ เรียบร้อยเป็นพิเศษเลยนะมึง แต่กูไม่ได้เสียใจหรอกน่า ไม่ต้องห่วงหรอก ”

‘ กูไม่ได้เป็นอะไร ไม่ได้รู้สึก และไม่ได้เสียใจขนาดนั้น แต่ที่นิ่งไป มันก็แค่เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้ต้องแสดงออกยังไง ก็เท่านั้น ’

รอยยิ้มตอนที่มันแกล้งกันเอาสนุก ตอนที่อยู่ในโรงอาหารยังเป็นภาพติดตา ความเสียใจในตอนที่มันหันไปมองดีน แม้แต่ตอนนี้ผมก็ยังรู้สึกอยู่ และแม้แต่รอยจูบดูดดื่มและคำพูดพูดนั้น ทุกอย่างก็ยังอยู่ครบ หัวใจเต้นแรงที่กำลังบีบรัดนั่นก็ด้วย

ทุกอย่าง ไม่ได้จางหายไปไหนเลย
มันเร็วยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ทั้งความสุข และความเสียใจก็ด้วย

เมื่อครู่เราจูบกัน ทุกอย่างเหมือนกำลังไปได้ดี ผมที่รู้สึกเหมือนถูกดึงขึ้นมาจากปากเหวหลังรอคอยมานาน ก่อนที่มันจะบอก ‘เพราะตอนนี้กูยังมีคนที่ชอบอยู่ แต่กำลังจะไม่ชอบแล้ว ’

และนั่น ก็เหมือนผม ที่โดนผลักลงไปให้ตกลงจากปากเหวอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ ไม่มีใครช่วยให้กลับมา

“ พ่อไอ้แก้มหอม เค้าใจร้ายกับกูมากเลยมึง ” ผมหันไปมองเจ้าแมวตัวกลมที่นอนอยู่ในอ้อมแขน ก่อนพลิกตัวแล้วกอดมันไว้แน่น แต่เหมือนรอบนี้มันจะไม่นิ่งให้ผมกอดได้ตามที่ต้องการอีกแล้ว นายท่านดึงตัวเองออกจากตัวผม มันกระโดดลงไปจากโซฟา “ ไปไหนวะ ” ถามพลางมองตามตูดของเจ้าตัวลายที่เดินตรงไปที่เครื่องให้อาหารอัตโนมัติ นายท่านก้มลงกินอยู่สักพักก่อนจะเดินกลับมาหากัน แล้วคายอาหารเม็ดอย่างดีนั่นลงบนพื้นข้างโซฟาตัวพี่ผมนอนอยู่

“ ให้กูเหรอ ” หยุดยิ้มกว้างในตอนที่ถาม

“ เมี๊ยว ” ขานรับแบบนั้นเหมือนจะบอกว่า ‘ ก็ใช่น่ะสิ ’

“ ขอบใจนะมึง ” ผมบอกก่อนจะพลิกตัวหันไปมองมัน แต่เหมือนนายท่านจะไม่ได้ต้องการแค่นั้น มันคาบอาหารเม็ดของมันขึ้นมาก่อนจะใช้ขาหน้าสองข้างเกาะขอบโซฟาแล้วคายมันลงตรงหน้าผม

“ เมี๊ยว ”

“ ต้องกินเหรอ ” คำถามี่คำตอบมาพร้อมกับแววตากลมที่แสนกดดัน นายท่านมองผมเหมือนเป็นเด็กตัวเล็กๆที่ต้องกินยาต่อหน้าแม่ ไม่งั้นแม่จะไม่ยอมปล่อยไป

“ โอเค กูต้องกินสินะ ” หยิบอาหารเม็ดนั้นขึ้นมา เอามาใกล้ปาก แล้วทำทีเป็นกินแต่แท้จริงโยนไปที่ด้านหลัง “ กูหายดีแล้ว ขอบคุณนะ ”

เจ้าสี่ขากระโดดขึ้นมานอนอยู่ในอ้อมแขนของผมอีกครั้งหลังจากที่เอาอาหารให้ผมกิน ไม่ค่อยเข้าความคิดของมันเหมือนกัน หรือบางทีมันเห็นจะผมเป็นแมวก็เลยเอาอาหารมาให้กิน ไม่ก็คงคิดว่าผมเป็นคนชอบกิน ก็เลยเอาข้าวมาให้กินจะได้คลายความเศร้า

“ นี่มึงคิดว่ากูเป็นแมวเหรอ ” พูดกับตัวเองยิ้มๆ ก่อนจะนิ่งไปเพราะคิดถึงในบางคนขึ้นมา จะว่าไปก็เหมือนกันเลย  ‘ มันเหมือนไอ้สัดนั่นเลย ’ เจ้าของสายตาคมที่ยังอยู่ในความรู้สึก แม้แต่ตอนนี้ที่นอนมองเพดานอยู่มันก็ยังคงอยู่บนนั้น คนที่บอกว่าในทุกอริยาบทของผมเหมือนแมวตัวเล็กสักตัว “ มึงว่ามั้ยนายท่าน บางที กูว่า กูควรที่จะเลิกคิดถึงมันก่อน ”


ครืน ครืน ครืน 

เสียงโทรศัพท์ดังแทนเสียงตอบรับของเจ้าแมวที่ผมเอ่ยถาม มือถือที่สั่นอยู่บนโต๊ะหน้าทีวีไม่ไกลกันนัก ตอนที่หันไปมองมัน ชื่อของคนที่คุ้นเคยก็ฉายอยู่บนหน้าจอนั้น

“ ว่าไงเจ้ ” กรอกเสียงไปตามสายในตอนที่กดรับ อีกฝ่ายก็ตอบกลับด้วยเสียงร่าเริงตามฉบับ

“ เจ้าเมี่ยงคำ ” ผมเผลอถอนหายใจออกมาในตอนที่ได้ยินอย่าง พี่สาวก็หัวเราะถูกใจ เพราะอย่างที่รู้กันทั้งบ้าน ว่าผมโคตรเกลียดชื่อนี้ “ หงุดหงิดใหญ่ แต่เอาน่าฟังก่อน แล้วมึงจะหายหงุดหงิดนะ ”

“ อื้ม ” ตอบรับเสียงในคออีกฝ่ายก็เงียบไปสักพัก แต่เหมือนจะเป็นการเงียบที่เตรียมจะพูดเรื่องน่าฟังที่ว่า

“ เสาร์นี้ว่างมั้ย ”

“ เช้ามีเรียน เย็นว่าง ”

“ งั้นกูจองคิวมึงช่วงเย็น ” เธอว่า “ เพราะว่าเสาร์นี้เราจะไปกินข้าวที่ห้องอาหารแชง พาเลช ที่แชงกรีล่ากันนนนนนนนนนนนน” เสียงที่ลากยาวด้วยความสุขใจนั่น ผมเหลือบมองเพดานห้องว่างเปล่าอย่างไม่มีอารมณ์ร่วม

“ โอเค เวลากี่โมง ”

“ คือ.. มึงจะไม่ดีใจหน่อยเหรอ ” ถามด้วยความแปลกใจ ในตอนนั้นผมก็ทำได้แค่ถอนหายใจออกมา อย่างไม่รู้จะตอบอะไร “ กูขอทวนซ้ำ แชงพาเรทเลยนะ ที่มึงอยากกินมากๆอะ ”

“ ก็รู้แล้ว ”

“ เป็นไรเปล่า มีเรื่องเครียดเหรอ ”

“ เปล่าหรอก ” ผมส่ายหน้าในตอนที่ตอบ “ กูแค่เซ็งๆอะ แล้วทำไมอยู่ๆถึงไปกินข้าวที่โรงแรม ”

“ ก็กินข้าวสานสัมพันธ์ครอบครัวเรา กับครอบครัวหมอไอซ์ไง ” พยักหน้ารับเข้าใจอีกครั้ง จะว่าไปผมก็ไม่เคยเจอพ่อแม่หมอไอซ์เลย แต่มันก็น่าแปลกนิดหน่อยที่อยู่ๆจะมาจัดเจอเอาป่านนี้

“ บ้านอื่นเค้าเจอกันก่อนตกลงเรื่องแต่งงาน แต่บ้านเราก็แค่เปรี้ยวมาก ได้วันแต่งงานแล้ว ได้โรงแรมแล้ว แพลนแล้ว เพิ่งได้เจอกัน ”

“ ก็จะทำยังไงได้ พ่อแม่เราโคตรยุ่ง อีกอย่างพ่อแม่หมอไอซ์เค้าก็เป็นหมอทั้งคู่ ยิ่งโคตรยุ่งเลย ” พี่ผมบอกก่อนจะถอนหายใจหน่ายๆ บ่งบอกถึงว่าเธอวุ่นวายมานานเหลือเกินแล้วกับการจัดวันกินข้าวพร้อมหน้าที่กว่าจะลงตัว “ พอพ่อแม่เราว่าง พ่อแม่หมอไอซ์ก็ไม่ว่างอีก แล้วพอพ่อแม่หมอไอซ์อ้างนะ พ่อแม่เราก็ ”

“ ไปเที่ยวอีก ” พูดสวนออกไปอีกคนก็ลากเสียงตอบ

“ อื้มมมมมมม แต่ว่ารอบนี้มีน้องชายหมอไอซ์ไปด้วยนะ ”

“ หมอไอซ์มีน้องชายด้วยเหรอวะ ” ขมวดคิ้วถามพี่สาวตัวเอง จะว่าไปก็ไม่เคยได้ยินเลยว่าอีกฝ่ายมีน้องชายด้วย ผมคิดมาตลอดเลยว่าคุณว่าที่พี่เขยเป็นลูกคนเดียว

“ มีคนนึง แต่ไม่ค่อยได้พูดถึงเท่าไหร่เพราะคนคนนั้นเค้าโลกส่วนตัวสูง สายติสท์น่ะ กูเองยังไม่เคยเจอเลยมึง เนี้ยจะเจอกันวันที่เรานัดกันนี่แหละ ”

“ สุดยอด ”

“ แต่ใครจะพูดมากเหมือนน้องชายกูละเนอะ ” ถอนหายใจออกมาในตอนที่ได้ยินอย่างงั้นผมแอบเหลือบตามองบนนิดหน่อยแต่ที่ไม่ได้เถียงออกไป เพราะรู้สึกว่ามันก็เป็นแบบนั้นจริงๆนั่นแหละ “ งั้นสรุปว่าวันเสาร์นี้ตอนเย็น ห้าโมง เจอกันที่โรงแรมนะคะน้องเมี่ยง ”

“ ครับ ”

“ แล้วเป็นไง สบายใจขึ้นยัง ” ผมนิ่งไปในตอนที่เธอถาม “ คนเราเวลาที่เจอเรื่องเสียใจก็ชอบที่จะจมอยู่คนเดียว แต่มึงรู้มั้ยว่า แค่เพียงเราได้พูดออกไปบ้าง ต่อให้ไม่ใช่เรื่องที่เราเสียใจ ทุกอย่างที่หนักมันจะเบาลงไปนะ แม้ว่าจะเป็นแค่ในช่วงเวลาสั้นๆก็ตาม ”

นั่นก็จริง ผมคิดตามที่ปลายสายบอกกัน พอได้พูดอะไรออกไปสักอย่างกับใครสักคน เรื่องที่หนักอยู่ในอกก็เหมือนจะหายไป มันลืมไปชั่วขณะ  แม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกัน หรือทำให้สบายใจขึ้น แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่หัวใจได้พักจริงๆ

“ มึงมีเรื่องอะไรหรือเปล่า เล่ากูได้นะเมี่ยง ”

“ ไม่มีอะไรหรอกกกกก ” ลากเสียงยาวบอก ผมตอบเธอยิ้มๆ

“ ก็คิดแล้วว่ามึงต้องตอบแบบนี้ ” พี่สาวผมถอนหายใจ “ ถ้าไม่เล่ากู ก็ไปเล่าเพื่อนสักคนนะ เพราะปัญหาของคนเรา มันก็เหมือนกล่องสี่เหลี่ยมนั่นแหละรู้มั้ย แค่ด้านสีดำหันหน้าเข้ามึง ไม่ได้หมายความว่าทุกด้านของกล่องสี่เลี่ยมใบนั้นมันจะสีดำไปหมด บางทีพอเพื่อนมึงได้ฟัง ด้านสีขาวอาจจะอยู่ตรงฝั่งของเพื่อนมึงก็นะ แล้วนั่นก็อาจจะเป็นทางออก ”

“ มึงก็รู้ว่ากูไม่ได้มีเพื่อนตอนม.ปลายที่สนิทขนาดนั้น ”

“ แล้วเพื่อนมหาลัยของมึงละ ”

“ กูเล่ามันไม่ได้หรอก ” และจะไม่มีทางเล่าด้วย ว่าดันไปตกหลุมรักอริของพวกมันอย่างไอ้อาร์มเข้าให้ ทั้งๆที่ตอนแรกจะทำให้มันตกหลุมรัก แต่ตอนนี้กลับเป็นเสียเอง หนำซ้ำยังโดนมันหักอก เพราะจริงๆอีกฝ่ายมีคนที่ชอบอยู่แล้ว

“ งั้นก็เล่ากู ”

“ เห้อออออออออออ ” ผมถอนหายใจออกไปอย่างรู้สึกไม่มีทางเลือก “ เจ้ยังจำ เรื่องของคนข้างห้องที่กูเล่าให้ฟังได้มั้ย ”

“ ถามจริง ทำไมกูซื้อหวยแล้วไม่ถูกแบบนี้บ้างนะ ” เธอบ่นเหมือนว่า ก็คิดไว้แล้วว่าต้องเป็นเรื่องของคนคนนี้  แต่นั่นก็ทำให้ผม ทำได้แค่ถอนหายใจ “ อะ เล่าต่อ เรื่องมันเป็นมาว่ายังไง ”

“ ก็อย่างที่เคยเล่า กูไปจีบมัน แล้วมันก็รู้ตัวว่ากูจีบ มันก็เลยจีบกู ก็มีเรื่องให้เราใกล้ชิดกันนั่นแหละ เพราะแมวกูดันไปข่วนมันเป็นแผล ”

“ เดี๋ยวนะ ไอ้นายท่าน มันดุขนาดนั้นเลยเหรอ ”

“ ไม่หรอก แต่วันนั้นไอ้คนข้างห้องมาเข้ามาใกล้กูเกินไปไง ไอ้นายท่านเลยจัดการข่วนเข้าให้ เพราะกูอุ้มมันอยู่  ” ผมตอบ “ เล่าต่อนะ คือเราก็แข่งจีบกันไปจีบกันมาได้สักพักตามเกมส์ที่วางไว้  แต่เจ๊เข้าใจใช่มั้ยว่าคนเราเวลาจีบกัน ก็มีคำพูดแบบ จักกะจี้อะ คือพูดให้รู้สึกดีอยู่แล้ว ”

“ อื้ม เข้าใจ ”

“ แล้วกูยอมรับนะ ว่าก็เขินมันบ้างนั่นแหละ ”

“ ไม่น่าจะบ้างแหละมั้ง เสียงเครียดขนาดนี้ มึงน่าจะมากอยู่ ” เธอเย้า

“ ก็เออ แต่กูก็ไม่รู้ว่ามันรู้สึกยังไงกับกูนะ จนกระทั่งมีคนเข้ามาคุยกับกูแล้วมันก็หึงกู ”

“ อ่าห๊ะ ”

“ คือคนเราถ้าไม่ชอบก็ไม่หึงกันจริงมั้ย มันก็ย้ำกูมากเลยนะ ว่าหึงจริงๆนะ ไม่ได้คิดเล่นๆ กูก็เลยคิดไปว่า เออ มันมีใจให้กูจริงๆหรือเปล่าวะ ก็เลยไปคุยกับเพื่อน เพื่อนเลยบอกว่า เพราะเรื่องนี้มันเริ่มต้นมาจากการแข่งทำให้หวั่นไหว มันเลยพูดยากว่ามันจะชอบกูจริงๆมั้ย แต่กูคือก็เถียงสุดตัวเลยนะ จนเพื่อนบอกให้ลองหาวิธีอื่น ”

“ คือมึงอะ ชอบเค้าแล้วละ แล้วไงต่อ ”

“ วันนี้กูส่งเพลงไปให้มัน ง่ายๆคือเพลงบอกกรักแหละ ก็บอกเลยว่ากูแม่งชอบมึงแล้วนะไอ้สัด มึงชอบกูมั้ย ถ้าชอบก็บอกกูด้วยนะ อะไรทำนองนี้ ”

“ น้องกูแรดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันน้า ”

“ ไอ้สัด ” ปลายสายหลุดหัวเราะในตอนที่ได้ยินเสียงสบถอย่างงั้น ก่อนที่ผมจะนิ่งไปชั่วครู่เมื่อคิดถึงภาพนั้น ช่วงเวลาตอนที่อยู่ในโรงอาหาร สายตาของอาร์มที่มองดีนในตอนนั้น “ แต่มันก็ไม่ได้ตอบอะไรกูกลับมาเลย แค่หันไปมองเพื่อนมัน แล้วก็มองอยู่อย่างงั้น ”

“ คือมันไม่ได้ชอบมึง ”

“ เปล่า มันตามกูกลับมาที่ห้อง แล้วก็บอกกูว่า มันรู้สึกหวั่นไหวไปกับกูนะ มันรู้สึกหึงกูจริงๆ แล้วพอกูถามว่า งั้นทำไมมึงถึงไม่ตอบกูละ ในสิ่งที่กูถาม ”

“ อื้ม ” เสียงตอบรับที่ครางเบาอยู่ในลำคอ ชวนให้ผมยกยิ้มกับตัวเองในตอนที่ตอบปลายสายออกไป
“ มันมีคนที่ชอบอยู่แล้ว และกำลังจะเลิกชอบ มันบอกกกูแบบนั้น ”

“ ไอ้สัด ” พี่สาวผมสบถออกมาในตอนที่ฟัง

“ ก่อนที่จะย้ำ ตอนที่กูบอกให้มันออกไปก่อนว่า ขอโทษที่ทำให้รู้สึก ทั้งๆที่หัวใจไม่ได้ว่าง ”

“ เหี้ย ” เธอว่าแบบนั้นก่อนจะเงียบไป “ คือ.. ไม่รู้จะพูดยังไงเลยกู เดี๋ยวนะ คือยังไงวะ ทำไมกูรู้สึกรวบรวมคำตอบของเรื่องนี้ไม่ได้เลย ”

“ อื้ม นั่นคือความรู้สึกของกูเหมือนกัน ” ผมบอก “ ตอนแรกกูร้องไห้ไปนิดหน่อยเพราะหงุดหงิดที่ตัวเองที่รู้สึกมากขนาดนั้น แต่พอมันพูดกับกูแบบนี้ กูกลับรู้สึกร้องไห้ไม่ออกเลย ทั้งๆที่กูอยากร้องไห้ ”

“ เข้าใจอยู่ ใครเจอแบบนี้แม่งก็จุกแหละ”

“ มึงรู้มั้ยว่าจริงๆแล้วกูยังไม่รู้เลยว่ากูควรรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้ มันเหมือนหัวใจกูโดนเหวี่ยงไปมา ถามว่ามันผิดมั้ย แม้แต่กูเอง ยังให้คำตอบตัวเองไม่ได้เลย เพราะกูเองก็เข้าไปอยู่ในอยุ่ในเกมส์นี้เอง กูเลือกของกูเอง โดยที่มันไม่ได้มาเป็นคนขอร้องให้กูเข้าไปด้วยซ้ำ ”

“ อื้ม ”

“ แล้วพอวันนึงที่กูรู้สึกกับมันมากกว่าเส้นที่กูขีดไว้ กูจะไปบอกกว่ามันผิดได้ยังไง ในเมื่อเรื่องนี้กูเองที่เข้าไปหามันก่อน มันที่ต้องเอาคืนกู เป็นเรื่องที่ธรรมดามากๆ เพราะเราเป็นอริกัน ใครมันจะยอมให้เล่นหัวอยู่ฝ่ายเดียววะ จริงมั้ย ” ผมถอนหายใจออกมาก่อนจะยิ้ม ด้วยรอยยิ้มที่เหมือนจะสมเพชตัวเองอยู่ไม่น้อย

“ แต่พอวันนึงที่มันเองก็รู้สึก กูเองก็รู้สึก พอเราหันมามองหน้ากัน มันกลับบอกกูว่า มันมีเจ้าของหัวใจอยู่แล้วนะ มันก็เป็นเรื่องที่กูไปไม่เป็นเหมือนกัน กูไม่ได้คิดเรื่องนี้ไว้เลย กูแค่จีบมัน เพราะแค่อยากจะเอาชนะ แต่พอวันนึงที่กูอยากจะจริงจัง กูไม่ได้คิดเผื่อใจไว้เลยด้วยซ้ำ ว่ามันจะมีใครอีกคนที่ไม่ใช่กูอยู่แล้ว ”

“ แล้วมันพูดอะไรบ้าง หรือว่า อธิบายอะไรมึงมั้ย ” ปลายสายถาม ผมก็ได้แต่ถอนหายใจ

“ มันบอกว่ามันชอบคนคนนั้นมานานแล้ว แต่กำลังจะเลิกชอบ มันบอกมันหวั่นไหวไปกับกู มันบอกว่าอยู่กับกูแล้วคิดถึงคนคนนั้นน้อยลง รู้สึกกับเค้าน้อยลง มันบอกว่า มันไม่อยากจะบอกให้กูรอ ไม่อยากให้กูรู้สึกเหมือนมัน ที่ทรมานเพราะว่าก็โดนบอกให้รอเหมือนกัน แล้วก็ไม่อยากเอากูว่าเป็นตัวแทนของใคร มันเลยเลือกที่จะไม่ตอบคำถามนั้น ”

“ คือจบทุกอย่างแค่นี้ ”

“ ประมานนั้น ” ผมบอก “ รู้มั้ยเจ้ กูแม่งไม่รู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังรู้สึกอะไรอยู่ กูหาคำตอบให้ตัวเองยังไม่ได้เลย ”

“ เพราะมึงเองก็ไม่ได้คิดว่าเค้าผิดหมดไงเมี่ยง ” พี่สาวผมบอกแบบนั้น “ เหมือนมึงเองก็รู้ว่ามึงเข้าไปหามันในฐานะอะไร แล้วก็เริ่มต้นจากอะไรกับความรู้สึกของมึงตอนนี้ ก็ง่ายๆว่ารับสภาพนั่นแหละ ”

“ เหรอ ”

“ มึงจะบอกว่า มาทำให้กูรู้สึกทำไมทั้งๆที่ในใจมีใครอยู่แล้วแบบนั้นมันก็ดูไม่แฟร์กับเค้านะ เพราะมึงก็ทำกับเค้าเหมือนกัน แล้วมึงก็เป็นฝ่ายอ่อนแอเอง นี่เป็นเกมส์ของมึงที่มึงเริ่ม มันก็ช่วยไม่ได้ เค้าเองก็มีสิทธิ์ตอบโต้กับสิ่งที่มึงทำ ก็คือลงมาเล่นเกมส์นี้กับมึงจริงมั้ยละ ” ผมเงียบ “ มันไม่มีใครคิดหรอก ว่ามันจะมาถึงจุดนี้ที่มึงกับมันหันมาพูดเรื่องนี้กันจริงจัง เพราะรู้สึกจริงจังต่อกัน แล้วกูถามกลับสักคำ มึงคิดมั้ย ตอนที่บอกกูว่าจะจีบคนข้างห้อง คิดมั้ยว่ามันจะมาเป็นแฟนมึงในสักวัน คิดมั้ยว่าตัวมึงจะหวั่นไหวให้มันขนาดนี้ ”

“ ไม่ได้คิด ”

“ ใช่ มันไม่มีใครคิดหรอก แล้วกูก็เชื่อว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้คิด ว่ามันจะมาถึงจุดนี้ได้ ทั้งมึงทั้งมันนั่นแหละ ” ปลายสายผ่อนลมหายใจออกมา “ แล้วกูว่าที่มึงรู้สึกแบบนี้นะเมี่ยง นั่นก็เพราะมึงเสียใจ มึงแค่ไม่คิดว่ามันจะมีใครอยู่แล้ว เพราะมันก็ดูมีใจให้มึงมาตลอด ”

“ คงงั้น ” บางทีอาจะเป็นแบบที่พี่สาวผมบอก ความรู้สึกตอนนี้ เหมือนกล่องของขวัญที่ได้รับในช่วงปีใหม่ สมองที่คิดไปไกลว่ามันต้องเป็นรถบังคับอย่างที่ฝัน เพราะพ่อแม่ที่เป็นคนให้ก็พูดถึงมันอยู่หลายรอบ แต่แท้จริงพอเปิดออกมา กลับไม่ใช่ รถบังคับคันนั้น ไม่ใช่ของผมด้วยซ้ำ มันมีเจ้าของอยู่แล้ว

“ ถ้าถามว่าเค้าโสดมั้ย เค้าก็โสด เพราะอีกฝ่ายที่เค้าชอบมันไม่ชอบกลับ มันไม่แปลกเลยนะ ที่พอมึงจีบเค้า เค้าจะรู้สึกหวั่นไหวไปกับมึงน่ะจริงมั้ย ”

“ ก็จริง ” ผมตอบเสียงอ่อน

“ เค้าดูใจร้ายที่บอกมึงออกไปอย่างงั้น แต่เมี่ยง นี่คือโอกาสของมึงนะ ” พี่สาวผมเงียบไป “ เค้าไม่ได้ให้คำตอบกับคำถามที่มึงถาม เค้าบอกแค่ว่ามันมีคำตอบเดียวคือ รอก่อนได้มั้ย ที่พอจะพูดได้แต่ไม่อยากพูดมันออกมา เพราะไม่อยากให้มึงรอ มันทรมาน ”

“ อื้ม ”

“ เพราะงั้นตอนนี้ก็เป็นโอกาสของมึงที่ต้องตัดสินใจว่าจะเอายังไงต่อ จะเดินหน้าไปแบบเดิม แล้วหยุดสถานะระหว่างมึงกับเค้าเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ชื่อเรียกไปสักพัก ดูแลกันไป จนกว่าเค้าจะมูฟออนจากคนคนนั้นได้ หรือหยุดไม่ต้องไปยุ่งกับเค้ารอให้เค้าเคลียร์หัวใจตัวเองก่อน และถ้าเค้าชอบมึง เค้าก็กลับมาหามึงเอง ”

“ มีแค่สองทางเหรอ ”

“ ความรักก็แค่นี้ เดินหน้า กับ พอแค่นี้ อย่างที่กูบอกไง ” ผมรู้สึกว่าเธอยิ้มในตอนที่พูดประโยคนั้น “ คิดให้ดีนะ เพราะถ้าจะเล่นกับความรัก มันไม่ได้ปราณีมึงนักหรอก ”

“ ใช่ ” ช่างโหดร้ายและไร้ความปราณีอย่างที่เคยบอกจริงๆ ไม่ได้หอมหวานน่ารักแบบที่คิดเลยสักนิด “ แล้ว..”

“ อะไร ”

“ ถ้าเป็นเจ้ เจ้จะทำยังไงวะ จะทำยังไงกับเรื่องนี้ ”

“ ตอบแบบคนนอกอย่างกู หญิงแกร่งแบบเจ้มึงก็ต้องเลือก ไม่สนอยู่แล้ว สวย เริ่ด เชิด หยิ่งจ้า ก็ปล่อยให้มันเคลียร์ตัวเองให้เสร็จแล้วจะกลับมาก็กลับ แต่ว่านะ..” เธอเว้นเสียไปอีกครั้ง “ มึงน่ะคือคนที่มีความรัก มันก็เป็นเรื่องที่มึงต้องคิดแบบที่ใช้หัวใจอีกที ”

“ อื้ม ”

“ คนนอกชอบพูดว่า ไอ้โง่เอ้ย ถ้าเป็นกูนะ ไม่ทำอะไรแบบนี้หรอก แต่นี่คือมึง และหัวใจของมึง  ตัดสินใจตามความรู้สึกน้องรัก ถึงผลลัพธ์มันจะเหี้ย มึงก็เต็มที่แล้ว อีกอย่างไม่ได้ผิดศีลธรรม เค้าไม่ได้มีเมีย แค่หัวใจมีคนเจ้าของอยู่ แถมยังเป็นรักข้างเดียวด้วยซ้ำ 

“ รักข้างเดียวอะไร มันบอกกู ว่าอีกฝ่ายบอกมันรอ ”

“ เมี่ยง มึงช่างเด็กนัก ฟังกูนะ คนเราถ้ารักกัน มันไม่มีคำว่ารอก่อนหรอก ยกเว้นไม่รัก แต่ยังหวงก้างไว้อยู่  ”

 “ คือมึงพูดเหมือนจะให้กูกลับไปคุยกับเค้าเหมือนเดิม ”

“ มึงอยากมั้ยละ ก็ลองถามใจตัวเองดู ” ได้แต่ถอนหายใจ ผมไม่ได้ตอบอะไรสำหรับประโยคคำถามนั้น “ เพราะสำหรับกู เค้าเหี้ยก็จริงนะที่พูดไม่รักษาน้ำใจมึงขนาดนั้น ประโยคที่พูดมันดูไม่น่าฟังเหมือนคนช่วยมึงจากเหวแล้วก็ผลักมึงลงไปอีกที แต่อย่างน้อย เค้าก็ไม่ได้โกหกมึงไม่ใช่เหรอ เค้าให้มึงตัดสินใจเอง และบอกมึงอย่างตรงไปตรงมาว่าหัวใจเค้ามีพันธะนะ ซึ่งมันก็แสดงให้เห็นว่า ในเหี้ยนั่น มันก็ยังดีอยู่นะ มันดูจริงจังกับความสัมพันธ์ด้วยซ้ำ ”

“ มึงรู้อะไรมั้ย บางทีกูอยากจะได้คำตอบเลย ไม่อยากจะคิดเอง ” ผมบอก

“ มึงมีอยู่แล้ว แต่บางทีคนเราเวลาที่คำตอบในใจมันดูโง่มากๆ เราก็ไม่อยากจะยอมรับมันหรอก ว่าเราคิดแบบนั้น หลายคนเลยพยายามที่จะถามใครคนอื่นไง เพื่อไม่ให้รู้สึกว่า ทางที่กูเลือกแม่งโคตรโง่เลย ”

“ อื้ม ”

“ เข้าใจนะจ้ะ เด็กน้อย ”

“ งั้นแค่นี้ก่อนละ ” ผมชิงบอกแบบตัดสาย อีกฝ่ายก็เงียบ

“ เมี่ยง ถามจริงนะ ”

“ อะไร ”

“ มึงชอบผู้ชายเหรอ แบบว่า จริงจัง ”

“ ความรักดีๆ ที่มันเหมาะกับกู ถ้ามันมีอยู่ตรงไหน กูก็อยากจะพาตัวเองไปอยู่ตรงนั้น บางทีก็อาจจะเป็นไบเซ็กชวลมั้ง กูได้หมดนะ ”

“ แค่ถามดู ” เธอว่ายิ้มๆ ผ่านปลายสายให้ผมได้ยิน “ กูอยากให้มึงทำตามหัวใจนะ ถึงมันจะดูโง่ แล้วมันก็อาจจะทำให้มึงเสียใจ แต่ที่แน่ๆเลยนะ มึงจะไม่เสียดาย เพราะมึงเต็มที่กับมันแล้ว ”

“ ลาออกจากงานแล้วไปเป็นที่ปรึกษาปัญหาหัวใจมั้ย ”

“ ก็แค่ไม่ใช่เรื่องกูน่ะ ” พี่สาวผมบอก “ เจอกับวันเสาร์นี้ ”

“ ครับ เจอกัน ” กดวางสายนั่นลง ก่อนจะวางมือมือลงข้างตัวแล้วผ่อนลมหายใจยาวออกมาอีกครั้ง

ผมหันมองหน้าทีวีที่ฉายเงาของตัวเอง พลางเหลือบไปที่ปฎิทินที่วางอยู่ข้างกัน วงกลมสีแดงที่เหมือนจะวงเอาไว้ตรงกับวันนี้ กับข้อความที่เขียนเตือนความจำไว้ว่า ‘ พาไอ้อาร์มไปฉีดวัคซีนเข็มที่สอง ’

...............................................................

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27

ภายในห้องสี่เหลี่ยมมีเพียงแค่ความเงียบงัน ผมยืนอยู่หน้าตู้เย็น ในมือที่ถือแก้วน้ำใบใสที่มีน้ำอยู่เพียงครึ่งแก้วนั้น แต่ผมกลับไม่ได้ยกมันขึ้นมาดื่มอีก ลมหายใจที่ผ่อนออกมา แต่ในแววตานั้นกลับมีภาพความทรงจำของคนข้างห้องที่มองกันด้วยสายตาสั่นไหวนั้นฉายอยู่ ในตอนที่ผมพูดความจริงทุกอย่างออกไป

เราไม่น่าจูบกันหรอก ผมไม่น่าทำแบบนั้น
ไม่น่าที่จะพูดออกไปตรงๆ อย่างที่ไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจด้วยซ้ำ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกยังไง

‘ มึงนี่มัน เป็นคนที่การพูดจาค่อนไปทางติดลบมากเลยนะ แต่กูจะเตือนไว้ก่อน บางทีการบอกความจริงมันก็ดี แต่มึงก็ต้องรู้สึกเห็นใจคนฟังด้วย ต้องคิดว่าเค้ารับฟังแล้วรู้สึกยังไง เพราะบางคนเค้าไม่ได้รับฟังได้ทุกเรื่องราว แม้ว่ามันจะเป็นความจริงก็เถอะ ’

เสียงของพี่ชายเหมือนเทปคาสเซ็ทที่กรอกกลับไปมาในสมอง ผมจำได้ไม่ลืมเลยว่าเหตุการณ์ในวันนั้นคือผมที่บอกแม่ว่า จะไม่สอบเข้าหมอแบบที่พ่อแม่ขอมา แต่จะขอไปเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนแทน แถมยังเป็นคณะที่พวกท่านไม่ค่อยชอบ คำพูดที่พูดว่า เพราะไม่อยากจะไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัวเหมือนพ่อกับแม่ แล้วนั้นที่ทำให้พี่ชายผม ต้องออกปากเตือน

ตอนนั้นผมที่ไม่สนใจ
แต่ทว่าตอนนี้มันเหมือน สิ่งที่เค้าเตือนแทงกลับมาข้างหลังกันอย่างจัง


“ เห้ออ ” ถอนหายใจออกมาเบาๆ ผมเทน้ำที่อยู่ในแก้วนั่นทิ้งก่อนจะวางมันลงในอ่างน้ำ
 
“ เมี๊ยว ” เจ้าตัวขนสีขาวไถตัวอ้อนๆอยู่ที่เท้า ขนนุ่มนอนแหมะลงที่ฝ่าเท้าเหมือนจะชวนให้อุ้มกัน

“ แก้มหอมขา ”

“ เมี๊ยว ” เสียงตอบรับแสนน่ารักนั่น ผมอุ้มมันขึ้นมาแนบอกพลางมองลงไปในแววตากลมนั้น แล้วก็คิดถึงใครบางคนที่ผมเอ่ยคำพูดใจร้ายนั่นออกไป ‘ ขอโทษที่ทำให้รู้สึก ทั้งๆที่หัวใจกูมันก็ไม่ได้ว่าง ’

“ ขอโทษนะคะ เหมือนทำให้หนูต้องเสียเพื่อนไปด้วยเลย ” บอกกับอีกตัวอย่างงั้น ผมเดินไปนั่งลงบนโซฟาแล้วผ่อนลมหายใจออกมาอย่างไม่รู้จะทำอะไร

ทั้งๆที่ในใจก็พร่ำบอก ว่าดีแล้ว ที่ได้พูดออกไป ถ้าเลือกที่จะโกหก เมี่ยงจะเสียใจมากกว่านี้
แม้จะผิดที่คำพูดพวกนั้นแรงไป และการกระทำที่เกินเลยพวกนั้น

ไม่น่าเอาความรู้สึกนำหน้าความจริงไปก่อนเลย แต่มันก็พูดออกไปแล้ว  สุดท้าย คำพูด ก็เป็นสิ่งที่เหมือนกับที่ใครๆ พร่ำบอก คิดให้ดีก่อนจะพูดอะไร เพราะมันเอากลับมาแก้ไขอะไรไม่ได้อีก

“ ปลอบใจตัวเองชิบหาย ” ผมพูดอย่างงั้น ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อยกับมือถือในกระเป๋ากางเกงที่สั่นขึ้นเบาๆ มันเป็นข้อความจากโปรแกรมแชทที่ส่งมาของดีน ‘ ทำไมมึงไม่เข้าเรียน ’ ‘ ไปไหน’ แล้วก็ข้อความสุดท้ายที่เขียนว่า ‘ ถ้าว่างแล้วโทรกลับมาหน่อย มีเรื่องจะคุยด้วย ’

ถอนหายใจออกมาก่อนจะออกจากหน้าจอนั้นแล้วกดโทรออก ผมรอสายอยู่สักพัก ปลายสายก็กดรับ “ มีอะไร ” ผมถาม

“ เป็นเหี้ยอะไรทำไมไม่เข้าเรียน แล้วไปทำไมไม่บอกกู ก็คือยังไง จะเลิกคบกูแล้ว ” ผมถอนหายใจในตอนที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้น “ ถามจริง มึงเป็นเหี้ยอะไรสัดอาร์ม ”

“ ไม่ได้เป็น ” ผมตอบ เพราะมันไม่มีจริงๆ สำหรับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนที่กำลังพูดอยู่

“ ไม่เป็นได้ยังไง มึงออกไปก็ไม่บอกกู แต่เสือกไปบอกไอ้โฮม เป็นเหี้ยอะไร หรือไม่พอใจที่กูพูดเมื่อตอนวันเกิด ”

“ ไม่เกี่ยวหรอก ”

“ เกี่ยวไอ้สัด กูรู้ มึงเสียใจใช่มั้ยที่กูพูดแบบนั้น มึงไม่โอเค แล้วก็งอนกู ”

“ มึงดูมั่นใจมากเลยนะ ว่าถ้ากูเสียใจ มันจะเกี่ยวกับเรื่องของมึง ”

“ แน่นอน ” อีกฝ่ายตอบกลับ “ เพราะมึงก็มีแค่เรื่องนี้ ถ้าไม่พูดกับกูแบบนี้ แสดงว่างอนกู ”

ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้จะตอบกลับอะไร ผมพูดเรื่องเมี่ยงกับดีนไม่ได้ นั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึก แต่ไม่ใช่เพราะกลัวว่าดีนจะเสียใจ ผมกลัวความลับที่เรารู้สึกต่อกันจะแตกแล้วจะทำให้เมี่ยงตกเป็นเป้าโจมตีของดีนแบบที่ไม่จำเป็นมากกว่า

เพราะดีนคงไม่ปล่อยมันไว้
แล้วเรื่องแบบนี้ ใครมีจุดอ่อนเยอะกว่า คนนั้นก็อ่อนแอกว่า

“ แล้วอีกอย่างมึงไม่ตอบข้อความกูเลยตั้งแต่วันนั้น ” ดีนถอนหายใจ “ ขอร้องนะไอ้สัด อย่าทำแบบนี้ กูก็พูดกับมึงไปตามตรง ว่ากูยังไม่พร้อม มันไม่ใช่ว่ากูไม่รู้สึก กูก็แค่รอเวลา ที่ทุกอย่างมันจะพร้อม ”

“ แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ บางทีอาจจะเรียนจบก่อน ต้องรอให้ไอ้เบสมันออกไปจากชีวิตมึง ทุกคนออกไป เหลือแค่เราเท่านั้น ” ผมเว้นเสียงไป “ ถามจริง อายใช่มั้ย ที่ต้องบอกกใครๆว่ารู้สึกกับกู ”

“ ไม่ใช่แบบนั้นเลย กูว่าเราคุยเรื่องนี้กันหลายรอบมากแล้วนะ กูแค่บอกว่ากูยังไม่พร้อม กูกลัวด้วยว่าถ้าเราคบกันแล้วไปไม่รอด ทุกอย่างมันจะพัง รวมถึงความเป็นเพื่อนของเราด้วย กูเลยอยากจะรอให้ทุกอย่างมันพร้อมมากกว่านี้ก่อนก็เท่านั้นเอง ”

“ อื้ม ”

“ มึงแม่งเอาแต่งอนกู โกรธกู ทำไมไม่คิดบ้างว่ากูก็ทำเท่าที่ทำได้แล้ว กูใส่แหวนของมึง นั่นมันยังไม่พอเหรอวะ กูก็พูดในสิ่งที่พูดได้แล้ว ”

“ แบบที่เอ่ยถึง แต่ไม่ได้บอกชื่อ ” ดีนถอนหายใจอีกครั้ง

“ ก็มันมีแค่นั้น ที่กูทำได้ในตอนนี้ ”

“ ดีน ” กลายเป็นผมที่ถอนหายใจออกมาบ้างในตอนที่เรียกอีกคน “ ไม่รู้มึงจะเชื่อมั้ย แต่กูไม่ได้รู้สึกงอนมึง หรือไม่พอใจในสิ่งที่มึงทำกับกูเลย กลับกัน กูชินแล้วที่มึงเป็นแบบนี้ ”

“ แล้วทำไมมึงถึงทำตัวไม่ปกติกับกู ส่งข้อความไปก็ไม่ตอบ ไม่เข้าเรียนตอนเย็น แถมยังบอกไอ้โฮมแทนที่จะบอกกูอีก ”

“ ก็แค่อยากจะเลิกรักมึงให้ได้สักทีไง แล้วตอนนี้กูก็กำลังดิ้นรนอยู่ ”

“ มันไม่เคยสำเร็จ มึงก็รู้ ”  เสียงนั่นมั่นใจอย่างที่สุด

“ ใช่ แต่มันไม่ใช่ทุกครั้งหรอก ”

แล้วบางทีก็อาจจะเป็นครั้งนี้ก็ได้ ที่กูจะปีนกำแพงสูงเสียดฟ้านี้ขึ้นไปถึงยอดได้
เพียงเพื่อได้พบกับดวงตะวันอีกดวง

..............................................................
ไม่รู้จะเขียนทอล์คอะไร
แต่ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ในทวิตด้วยนะคะ
ขอบคุณมากค่ะ  :katai4: :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
อาร์มถ้าไม่เคลียร์อย่ามาหาเมี่ยงเลย ส่วนเมี่ยงอย่าล้อเล่นกับความรักลูก สวย เริ่ด เชิ่ด ให้อีอาร์มอกแตกไปเลย ส่วนนังดีนไปลงนรกซะ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เป็นทาสแมวอย่างเดียวก็แล้วกันเนอะ หนูเมี่ยงคำ  :กอด1:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

สงสารเมี่ยงคำอ่ะ

ส่วนดีน  เมิงจะแทงกั๊กแบบเน้ไม่ได้

เมิงแอบชอบสัดเบสใช่ป่ะ  ทำตัววอแวกันไปมาแบบเน้เนี่ย

ออฟไลน์ jira0958

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รออยู่นะคับ :bye2:

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
มารอน้องเมี่ยง

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
ตอนที่ 16


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


เสียงเคาะประตูดังขึ้น ท่ามกลางปลายสายที่เอาแต่เงียบงัน ผมถอนหายใจก่อนจะกดวางสายนั้นไป แล้วลุกเดินไปที่ประตูหน้าห้อง มองลอดผ่านตาแมวแต่ก็ต้องนิ่งไปทั้งอย่างงั้น เพราะคนที่ไม่คิดว่าจะมาหากัน กลับยืนอยู่ตรงนั้น ที่หน้าห้องของผม

“ เมี่ยง ” เปิดประตูออกไปทันทีในตอนที่เอ่ยเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา ความรู้สึกดีใจที่ปิดเอาไว้ไม่อยู่ ผมยิ้มกว้างออกมาทั้งๆที่ไม่ใช่คนแบบนั้น มือที่เปิดประตูห้องออกไปหา แม้ว่าคนตรงหน้าจะไม่ได้ยิ้มอะไร หนำซ้ำยังตีหน้านิ่งและเต็มไปด้วยอารมณ์หงุดหงิด

‘ วันนี้มึงมีนัดฉีดวัคซีนเข็มที่สอง ’ แทนที่จะพูดออกมา แต่มันกลับมีเพียงแค่ข้อความบนหน้าจอมือถือถูกยื่นมาให้ผมดู เมี่ยงเขียนข้อความที่อยากจะบอกกันไว้ในโปรแกรมสมุดโน๊ตของมือถือ แล้วนั่นก็ทำให้ผมขมวดคิ้ว

“ แล้วทำไมมึงไม่พูด ” พอถามออกไปอีกฝ่ายก็ถอนหายใจเซ็ง  พร้อมกับดึงมือถือคืนกลับตัวเอง แล้วเริ่มกดพิมพ์อะไรสักอย่างบนหน้าจออีกครั้ง

‘ ขี้เกียจ ’

“ แล้วยังไง ”

‘ ไม่ยังไงทั้งนั้น มึงแค่ต้องไปฉีดยาไงไอ้สัด ’

“ มึงจะพากูไปเหรอ ” เลิกคิ้วถามมันแบบพาซื่อ เมี่ยงพยักหน้ารับแล้วในตอนที่มันเห็นผมยกยิ้ม อีกคนก็ตีหน้านิ่งยิ่งกว่าเดิม เมี่ยงดึงมือถือตัวเองกลับ  มันรีบพิมพ์อะไรบางอย่าง

 ‘ ยิ้มเหี้ยอะไร ไม่ต้องมายิ้ม ไม่ต้องมาดีใจ กูแค่ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่แมวกูทำไว้กับมึง ไม่ได้รู้สึกโอเคกับสิ่งที่มึงพูดแล้วก็ทำกูก่อนหน้านี้เลยไอ้สัด ’

“ อ้าง ” เมี่ยงเบิกตาขึ้นในตอนที่ผมพูดแบบนั้น สายตาเรียวดูเหมือนจะหาเรื่องกัน “ กูยังไม่ได้คิดอะไรในแบบที่มึงพิมพ์มาเลย ” ผมเลิกคิ้วบอกก่อนจะเอียงหน้ามอง แต่ดูเหมือนว่าคนตรงหน้าจะหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเก่า “ หรือมึงกำลังคิด ว่ากูคงคิดว่า มึงหายโกรธกูแล้วในสิ่งที่กูพูด แล้วก็ทำ ก็เลยมาเคาะประตูแล้วอ้างเรื่องต้องไปหาหมอ เพื่อให้เราได้คุยกัน ”

ร่างขาวตรงหน้านิ่งไปมันที่เหมือนจะอ้าปากเถียงแต่คิดขึ้นมาได้ว่าจะไม่พูดกับผม เมี่ยงส่ายหน้าไปมา เหมือนมันเรียกสติก่อนจะดึงมือถือขึ้นมาพิมพ์อะไรสักอย่าง แต่ตอนนั้นผมก็แค่เลื่อนมือไปบังหน้าจอนั่นไว้จนเมี่ยงต้องเงยหน้าขึ้นมองกัน

“ กูไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น ” สายตาเราที่สบกันในตอนนั้น ผมทำได้แค่สูดลมหายใจก่อนจะผ่อนมันออกมา แล้วยิ้ม “ ถึงกูจะรู้ว่ามึงเป็นคนใจดี แต่มันไม่มีใครใจดีขนาดให้อภัยคนที่ทำให้ตัวเองเสียใจได้ ภายในไม่กี่นาทีหรอก จริงมั้ยละ แล้วกูก็รู้ ว่าสิ่งที่กูทำ มันไม่ได้น่าให้อภัย ”

ไม่มีคำตอบอะไรจากเมี่ยง สายตาเรียวหันหนีไปมองทางอื่น เราที่ได้แต่เงียบ ในตนนนั้นรอบข้างกลายเป็นความอึดอัดขึ้นมาอย่างฉับพลัน แต่ถึงอย่างงั้น ผมกลับยังรู้สึกดีอย่างอธิบายไม่ถูกเลยว่าทำไม

บางทีก็อาจจะเป็นเพราะ แค่มีคนตรงหน้ายืนอยู่ข้างกัน มันเป็นครั้งแรกเลยที่รู้สึกขอบคุณแผลแมวข่วนที่ไอ้แมวเหี้ยตัวนั้นฝากเอาไว้ เพราะลำพังตัวผมเอง ก็ยังไม่รู้เหมือนกัน ว่าจะทำยังไง  พื่อให้ได้เข้าไปใกล้คนที่อยากจะเข้าใกล้อีกครั้ง

“ จะเข้ามาก่อนมั้ย ” เปิดประตูห้องตัวเองออกกว้างกว่าที่เป็นอยู่ แต่คนที่โดนถามก็แค่ปรายตามองก่อนจะส่ายหน้า มันพิงตัวเองกับผนังข้างห้องเหมือนบอกกันว่าจะรออยู่ตรงนี้ “ งั้นกูขอเตรียมตัวก่อน ” ยิ้มบอกแค่นั้นเพราะรู้สึกว่า ไอ้นิสัยโกรธใครแล้วไม่พูด ก็แม่งโคตรสมเป็นมันที่ชอบทำตัวแบบเด็กๆเลย

ซึ่งก็ยอมรับว่า เป็นอะไรที่แม่งโคตรน่ารักเลย
ถึงจะน่าหงุดหงิดชิบหายก็เถอะ

“ แก้มหอมขา พี่เมี่ยงมาแหน่ะ ” บอกเจ้าตัวขนนุ่มที่นอนกระกระดิกหางอยู่บนคอนโดแมวของตัวเอง ก่อนจะจัดการอุ้มมันลงมาแล้วพาออกไปหาอีกคนที่ก็แค่ทำท่าทีไม่สนใจ จนกระทั่งผมปล่อยเจ้าตัวสวยลงที่เท้าของอีกฝ่าย ผมเดินกลับเข้าห้อง

“ เมี๊ยว ” แก้มหอมร้องเรียกอีกฝ่ายตามความขี้อ้อน พร้อมกับเดินเข้าไปถูขาเมี่ยงที่ก็ไม่สนใจมัน แล้วไม้ตายสุดท้ายที่เจ้าขนฟูมีก็ถูกงัดมันออกมาใช้ เจ้าก้อนขนนอนแหมะลงกับเท้าของอีกคนพร้อมทั้งหงายท้องให้ราวกับเชิญชวนให้จกพุงตัวเอง เป็นท่าทางออดอ้อนที่ทำให้ร่างขาวถึงกับนิ่งไป เมี่ยงทำทีเป็นเหลือบมองผม แล้วเมื่อไม่เห็นว่ามองอยู่ เจ้าตัวก็ยิ้มกว้างพร้อมกับก้มลงไปพูดกับแก้มหอมของผม

“ ไม่อ้อนพี่เมี่ยงแบบนี้สิครับแก้มหอม ไม่เอานะ พี่เมี่ยงใจบาง ” ส่ายหน้าบอกแมวผมด้วยท่าทางจริงจัง ราวกับว่าเป็นพวกเดียวกัน จนชวนให้ผมที่ทำทีเป็นหาของถึงกับหลุดยิ้มเพราะถ้อยเสียงกระซิบที่ก็ไมได้เบาเลย “ พี่ไม่โอเคกับป๊าของหนูอยู่นะครับตอนนี้ เพราะงั้นถึงพี่ก็อยากจะจกพุงหนูแค่ไหน แต่ก็คงจะไม่ได้ เข้าใจพี่ด้วยนะ ”

“ เมี๊ยว เมี๊ยว ”

“ โอ๊ยน้อง อย่าเอาหน้ามาถูเท้าพี่มันน่ารักเกินไปนะครับ ” ในที่สุดก็ย่อตัวลงนั่งย่อตัวกับพื้น เมี่ยงมันถอนหายใจ แล้วนั่นก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่แก้มหอมร้องเรียกมันอีกครั้ง

“ เมี๊ยว ”

“ ป๊าเราทำพี่เสียใจนะรู้มั้ย แต่ก็เออ พี่ก็ยอมรับแหละ ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ป๊าหนูผิดคนเดียว พี่สารภาพว่าจริงๆ พี่เองก็ไม่ได้คิดว่าพี่จะรู้สึกกับป๊าหนูเหมือนกัน  จริงๆเรื่องมันเริ่มแบบที่ว่า มันไม่ต้องแคร์ว่าอีกฝ่ายมีแฟน หรือมีคนที่ชอบมั้ยในตอนแรกด้วยซ้ำไง  แต่ว่าตอนนี้มัน ไม่ได้แล้วอะ ”

“ ม๊าว ”

“ ม๊าวอะไร พี่ไม่ได้ชอบป๊าหนู แต่ที่บอกว่าไม่ได้แล้วคือ.. ” เมี่ยงมันนิ่งไปพลางก้มลงมองเจ้าของตากลมที่ก็มองแบบไม่หลบสายตาไปไหน
 
เป็นท่าทางที่ผมเพิ่งเห็นครั้งแรกก็วันนี้
ท่าทางของคนตอแหลแมว

“ เอาเถอะๆ แต่ ป๊าหนูทำพี่เสียใจมากเลยนะ ไม่น่าพูดออกมาแบบนั้นเลยเอาจริง คำพูดมีตั้งเยอะตั้งแยะ น่าจะคิดหาคำพูดที่ดีกว่านั้นได้  ถึงพี่จะรู้ว่าป๊าหนูแม่ง ชอบพูดตรงๆก็เถอะ แต่เมื่อกี้คือพูดแบบหมาไม่แดกมาก แล้วแมวก็ไม่แดกด้วย ”

ได้แต่นิ่งไปในตอนที่เมี่ยงเองก็เงียบไป ผมหยุดมือที่พยายามทำอะไรเชี่ยงช้าทั้งๆที่ใบนัดหมอที่ทำทีเป็นหาก็อยู่ในกระเป๋าเงินอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงมือถือ แม้แต่กุญแจรถก็วางไว้คู่กัน

ใบหน้าน่ารักที่ผมเหลือบมอง ผ่อนลมหายใจออกมาด้วยใบหน้างอง้ำ พลางเอื้อมมือไปลูบหัวเจ้าก้อนขนของผม

“ หรือบางทีมันอาจจะผิดที่พี่ก็ได้นะแก้มหอม พี่ที่เผลอใจไปกับอะไรที่มันไม่ควรตั้งแต่แรกอะ ”

หยุดมือที่กำลังจะหยิบของไปอย่างชะงักนิ่ง ผมเหลือบมองเมี่ยงที่พูดออกมาอย่างงั้นด้วยรอยยิ้มจางที่ส่งให้เจ้าแมวของผม มันที่ผ่อนลมหายใจออกมาพร้อมกับพิงร่างตัวเองลงกับกำแพงหน้าห้อง ส่วนมือก็ลูบหัวแก้มหอมไปเรื่อย

“ เสร็จแล้ว ” ก่อนที่อีกฝ่ายจะจมลงไปในห้วงของความเศร้ามากกว่านี้ ผมตัดสินใจดึงมันขึ้นมาก่อน แม้ว่าจะมีคำพูดมากมายที่อยากจะเอ่ยออกไปถึงเรื่องราวต่างๆของเราที่เกิดขึ้น แต่ผมเองก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเริ่มมันที่ตรงไหน

ก็ไม่ใช่พวกที่เก่งในเรื่องของการพูดรักษาน้ำใจคนอื่นเท่าไหร่ มีเก่งอย่างเดียวเลยก็คือ พูดตรงๆ แบบไม่คิดถึงใจคนอื่น แล้วมันก็คือสิ่งที่ทำให้เมี่ยงเจ็บปวดอยู่ตอนนี้

“ ไปกันเลยมั้ย ” คนฟังพยักหน้ารับก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูงพลางอุ้มเจ้าแก้มหอมมาส่งคืนผม สีหน้าเรียบเฉยที่มองกัน เพิ่งรู้เมื่อครู่ว่าแท้จริงแล้วก็แค่การบดบังความรู้สึกเสียใจที่มันมี

ความเสียใจที่มันไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าควรรู้สึกยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้น

‘ เอาบัตรนัดมายัง ’ ก้มลงไปกดพิมพ์มือถืออีกครั้งก่อนจะยื่นมันมาให้ผม ที่ก็ถอนหายใจมาในตอนที่อ่าน

“ เอามาแล้ว ” แต่ถึงมึงจะไม่รู้ว่าต้องแสดงออกยังไง แต่ก็ไม่น่าจะใช้วิธีเหมือนเด็กเล็กกับกูขนาดนี้ด้วยการไม่พูดกันแบบนี้เปล่าวะ “ แล้วนี่เราจะไปรถใคร กู หรือมึง ”

ไม่มีคำตอบจากคำถาม เมี่ยงแค่ดึงกุญแจรถของมันขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงตัวที่สวม ราวกับจะบอกว่า แน่นอนว่าต้องเป็นรถของมัน ผมพยักหน้ารับ

“ โอเค ” ตอบรับยิ้มๆ ผมเผลอยิ้มเพราะคิดอะไรดีๆขึ้นมาได้กระทันหัน

 แล้วคราวนี้เรามาดูกัน ว่ามึงจะทนไม่พูดกับกูไปได้สักกี่นาที

รถญี่ปุ่นคันสีขาวจอดอยู่ข้างกันกับรถของผม ในลานจอดรถของคอนโด ผมพาตัวเองเข้าไปนั่งข้างคนขับในตอนที่มันปลดล็อครถ ก่อนจะโดนสายตาสายตาเรียวจ้องมอง พลางขยับสายเข็มขัดนนิรภัยราวกับจะสั่งว่าให้คาดให้เรียบร้อยก่อนจะออกเดินทาง แต่ผมก็แค่ทำนิ่ง แล้วขมวดคิ้วมองมันแบบทำเป็นโง่

“ อะไร ” พอถามออกไปอีกคนก็ถอนหายใจพลางขยับสายเข็มขัดนิรภัยย้ำๆ แบบบอกใบ้ “ งง ”

“ เฮ้อ ” เสียงถอนหายใจดังมันดึงมือถือขึ้นมาอีกครั้ง แล้วก็อย่างที่คิด มือขาวกดพิมพ์ลงไปบนมือถือ ‘ คาดเข็มขัดนิรภัยด้วยไอ้สัด ’

“ อ๋อ โอเค แล้วก็ไม่พูดตั้งแต่แรก ” ยิ้มตอบรับ ก่อนจะดึงเข็มขัดมาคาดตามที่อีกฝ่ายสั่ง ผมเผลอกลั้นยิ้มในตอนที่เห็นเมี่ยงมันสูดลมหายใจแล้วผ่อนออกมาเบาๆ พร้อมกับมือที่กำพวงมาลัยแน่น

“ โอเค ”

“ หื้ม ? พูดกับกูเหรอ ” พอหันไปถามอีกคนก็ตาโต ก่อนจะส่ายหน้าให้กัน มันทำหน้าเหมือนว่า ผมสำคัญตัวผิด แล้วเอื้อมมือไปเปิดเพลงแบบที่เสียงดังกว่าปกติ ราวกับว่าจะปิดกั้นการพูดจาของเราไว้ให้จบแต่เพียงเท่านั้น

“ แล้วครั้งนี้คือต้องฉีดยาเหมือนครั้งแรกใช่มั้ย ” เอื้อมมือไปเบาเสียงของเพลงก่อนจะหันไปถาม อีกฝ่ายก็นิ่งไป เมี่ยงถอนหายใจก่อนจะพยักหน้ารับ “ แล้วต้องทำอะไรก่อนตอนที่ไปถึง ”

ได้แต่กลั้นยิ้ม พลางค้ำศอกลงกับประตูข้างที่นั่งแล้วมองดูอีกคนที่ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างไม่รู้จะตอบคำถามนั้นยังไง มือก็จับพวงมาลัยอยู่ แต่ครั้นจะให้พูดออกมา มันก็กำลังโกรธกันอยู่ เมี่ยงตัดสินใจปล่อยมือข้างนึงที่จับพวงมาลัยอยู่ มันทำทีเป็นจะคว้ามือถือขึ้นมา

“ กูเป็นลูกมีพ่อมีแม่นะ ถ้ากูตายเพราะมึงขับรถมือเดียวจะทำยังไง ” สีหน้าที่หันมามองกันแบบเบิกตา เหมือนจะบอกว่า ไม่มีทางที่มันจะพาผมไปเกิดอุบัติเหตุอะไรแบบนั้นแน่นอน “ แล้วยังไงครับ จะตอบได้ยัง หรือว่าจะไม่รับผิดชอบชีวิตกูเลย จะไม่สนใจ จะไม่ใยดี แมวมึงทำกูเจ็บนะ.. ”

“ เห้ออออออออออออออ” มือขาวนั่นกำพวงมาลัยรถแน่นพลางถอนหายใจ ปากสีสวยขยับงุบงิบแบบกร่อนด่ากันไม่มีหยุด หรือไม่ก็อาจจะท่องคำพูดปลอบใจให้ตัวมันใจเย็นลงกว่านี้ เพราะมือก็เอื้อมมือไปหยิบมือถือขึ้นมาพิมพ์ไม่ได้ ปากก็ไม่อยากจะพูดด้วย

 “ ก็แค่พูดออกมาเองเปล่าวะ จะเงียบทำไม ” เมี่ยงยังเงียบ “ แล้วเป็นเหี้ยอะไร ทำไมถึงไม่พูด งอนกูเหรอ ”

“ ใช่ที่ไหนละไอ้สัด ” ในที่สุดมันก็หลุดพูดออกมา ก่อนจะนิ่งไปอย่างหัวเสีย เมี่ยงถอนหายใจพลางตบมือลงบนพวงมาลัยที่กุมอยู่ มันชะลอรถต่อท้ายคันข้างหน้าเพราะสัญญาณไฟแดงที่ฉายขึ้นพอดี ใบหน้าขาวก้มหน้าลงกับพวงหน้ามาลัยอย่างหมดสิ้นแล้วในสิ่งที่ยึดถือมาตลอดเส้นทาง มันผ่อนลมหายใจ “ กูไม่ได้งอนมึง กูก็แค่ไม่อยากพูด ”

“ เชื่อได้มากเลย กับคนที่พูดมากอย่างมึง ” บอกมันแบบนั้นอีกคนก็เหลือบมามอง มือกดเปลี่ยนเกียร์ให้หยุด มันดึงเบรคมือขึ้นก่อนจะหันตัวมามองหน้ากัน

“ แล้วคราวนี้มึงจะพูดเหี้ยอะไร จะถามอะไรก็ถามมาเลยไอ้สัด มา มึงมา กูจะตอบให้ทุกคำถามเลย ” ผมหลุดขำท่าทางจริงจังของมัน ที่อยู่ๆก็เหมือนจะหัวเสียขึ้นมาอีกระดับ

“ ขอโทษ ” แทนที่จะเอ่ยถามอะไรออกไป ผมกลับพูดไปแค่คำนั้น คำที่อยากพูดมากที่สุด โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสมควรพูดออกไปมั้ย ถึงความรู้สึกระหว่างเราที่บางที เมี่ยงอาจจะกำลังอยากลืมมัน  “ ขอโทษสำหรับทุกอย่าง ขอโทษที่พูดออกมาแบบไม่คิดอย่างงั้น ”

“ ช่างมันเถอะ ” อีกฝ่ายบอกปัดแค่นั้นก่อนจะหันไปมองด้านหน้าเหมือนเดิม “ ความจริงก็คือความจริง ต่อให้มึงพูดให้ดีแค่ไหน ยังไงกูก็เสียใจอยู่ดี ”

“ ขอโทษที่ทำให้เสียใจ ”

“ ใครเสียใจ ” เมี่ยงหันมาถามด้วยสายตาที่เบิกตากว้างขึ้นแบบคนหาเรื่อง ผมก็ได้แต่นิ่งมองมัน แล้วตอบกลับคนที่ปิดบังความรู้สึกอะไรไม่เคยมิดแบบเสียงเรียบๆ

“ เมื่อกี้มึงพูด ว่าต่อให้กูพูดดีแค่ไหน ยังไงมึงก็ต้องเสียใจอยู่ดี ”

“ กูแค่เปรียบเปรย! ” อ้างออกมาแบบไม่เนียน ผมก็ได้แต่ถอนหายใจ กับคนที่ตั้งใจอธิบายกันอย่างแข็งขัน “ คือกูหมายถึงว่าคนเราอะ พูดความจริงมันก็ดีแล้ว ซึ่งกูก็ไม่ได้โกรธมึง จะไปโกรธมึงที่มึงพูดความจริงทำไม ” ผมนิ่งมองมัน  ตอนนั้นอีกคนก็เหมือนจะเลิ่กลั่ก สายตาเรียวมองซ้ายทีขวาที เมี่ยงคงรู้ว่าผมไม่เชื่อ “ โอเค จริงอยู่ที่มึงอาจจะพูดออกมาแบบไม่คิด พูดแบบหมาไม่แดกไปบ้าง จนกูช็อคไปนิดหน่อยว่า โอ้ว พูดตรงขนาดนี้เลยแหรอ แต่กูก็มานั่งคิดทบทวนดู ความจริงแม่งก็คือความจริงเปล่าวะ อย่างที่บอก ว่าพูดแบบไหนก็เหมือนกันอะ ”

“ แล้วทำไมถึงไม่ยอมพูดกับกู ”

“ กูเหนื่อยบ้างได้มั้ยละ ” เมี่ยงหันมาถามผม ก่อนจะถอนหายใจแล้วหันไปมองทางอื่น เจ้าตัวคงรู้สึกเหมือนกัน ว่ามันดูเป็นคำอ้างที่ไมได้เรื่องเท่าไหร่ “ แบบว่าขี้เกียจคุย เหนื่อย เบื่อ เซ็งๆ ”

“ มึงจะบอกว่า มึงไม่ได้รู้สึกเสียใจ กับสิ่งที่กูพูด ”

“ แน่น๊อนน ” เมี่ยงลากเสียงพลางยักไหล่ แบบไม่ใส่ใจ มันหันมามองหน้าผม

“ จริงเหรอ ” สายตานั้นสั่นไหวในตอนที่ถาม คนที่ต้องตอบหันไปมองทางอื่นอีกครั้ง

ผมสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงฉับพลันระหว่างเรา อาจเพราะรู้ดีว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่ก็ไม่อยากจะบังคับให้มันต้องพูดในสิ่งที่มันไม่ได้อยากจะพูดออกมา

“ รู้มั้ยว่าถ้าเราพูดกันตรงๆ อะไรมันอาจจะดีขึ้นนะ ”

“ แล้วอะไรที่มึงบอกว่ามันจะดีขึ้น ” เมี่ยงถามผมเสียงเรียบ แบบที่ไม่ได้หันมามองกัน  “ ทุกอย่างที่กูรู้สึกมันจะไม่เหมือนเดิมเหรอ หรือว่ายังไง ”

นั่นสิ ต่อให้พูดอะไรออกไปในตอนนี้
 ทุกอย่างก็เหมือนเดิม

บางทีการเริ่มต้นพูดกันให้เข้าใจ ก็แทบไม่ต่างกับการนั่งฟังเพลงเดิมซ้ำๆ ที่ก็ทำให้เจ็บแบบเดิม

“ เรื่องที่มันไม่มีทางออก พูดไปมันก็เหมือนมึงวิ่งวนในวงกลมนั่นแหละ ทุกอย่างมันเหมือนเดิม ”
เมี่ยงถอนหายใจยิ้มๆ “ กูว่าเลิกพูดดีกว่า ”

“ อื้ม ” เสียงตอบรับแสนบางเบา แต่กลับหนักอยู่ในใจของผมในตอนที่ได้ยินเสียงตอบรับของตัวเอง มันเป็นวินาทีเดียวกับที่สัญญาณไฟจราจรฉายแสงสีเขียวขึ้น พร้อมกับรถที่ถูกขยับเปลี่ยนโหมดเกียร์ แล้วเคลื่อนตัวตรงไปข้างหน้า

ไม่ต่างกันเท่าไหร่ กับความรู้สึกที่อยากจะบอก

ผมกลืนมันลงคอไป อย่างคนพูดอะไรออก ทั้งๆที่อยากจะเอ่ยออกไปว่า ‘ ไม่ได้อยากจะทำให้มึงเสียใจเลย ไม่ได้อยากจะทำให้มึงรู้สึกไม่ดีด้วย แต่กูก็ทำมันลงไปแล้ว มีทางไหนบางวะ ถามหน่อย ทางที่มึงจะกลับมายิ้ม ยิ้มให้กันเหมือนเดิม ’


แต่ก็คงเหมือนกับที่เมี่ยงบอก พูดไปก็เหมือนเดิม เรื่องของเรามันไม่มีทางออก

ตราบใดที่ผมยังรักดีน ทุกอย่างมันก็เป็นแบบนี้ 
เพราะงั้นก็อย่าดีกว่า กับคำพูดเห็นแก่ตัวพวกนั้น

......................................................

รถจอดนิ่งลงที่ลานจอด ผมปลดเข็มขัดนิรภัยที่คาดตัวเองอยู่ก่อนจะเปิดประตูแล้วเดินตรงเข้าไปในโรงพยาบาลท่ามกลางความเงียบเชียบระหว่างเรา

“ บัตรนัดอยู่ไหน กูจะเอาไปยื่นให้ ” ผมส่งใบนัดที่อีกคนว่าไปให้ เมี่ยงก็เดินไปตรงเค้าท์เตอร์ มันจัดการทุกอย่างให้กันเหมือนวันแรกที่เรามาที่นี่ ก่อนอีกคนจะเดินมาหย่อนตัวนั่งลงข้างกันเหมือนอย่างเคย เมี่ยงหยิบมือถือของมันขึ้นมาเล่นฆ่าเวลา

“ คุณอธิกะค่ะ ” ผมลุกขึ้นเต็มความสูงในตอนที่ชื่อตัวเองถูกเอ่ยเรียก เมี่ยงเองก็เหมือนกัน มันปิดหน้าจอมือถือแล้วยัดใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะหันมามองผมก่อนจะพยักหน้ารับ

“ ไปกัน ” พูดแบบนั้นก่อนจะก้าวเดินนำออกไป ส่วนผมเองก็ทำได้แค่มองมือขาวนั้น อย่างอยากจะเอื้อมมือไปจับไว้ โดยไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่าทำไม และมันก็ไวเท่ากับความคิด ผมจับมือเมี่ยงไว้ จนอีกคนหยุดเดินแล้วหันมามองกัน

“ จับมือกูทำไม ” ถามออกมาก่อนจะมองลงไปที่มือของตัวเองที่โดนผมจับอยู่ ส่วนผมก็ทำได้แค่มองตามัน ทั้งๆที่ภายในสมองก็เอาแต่คิด ว่าจะพูดอะไรดี ก็แค่อยากจะจับเหรอ ได้มั้ยวะ สำหรับข้ออ้างแบบนี้ ไม่อยากให้มันไปไหนเหรอ ดูเห็นแก่ตัวเกินไปเปล่าวะ “ ปล่อยเลย..”

“ กูกลัวเข็ม ” พูดออกไปอย่างไม่ทันคิดในตอนที่อีกคนเริ่มดึงมือออก ผมรีบกระชับมือนั้นไว้ก่อนจะย้ำ “ กูกลัวเข็มฉีดยาอะ ”

“ อย่ามาตลก ครั้งที่แล้วมึงไม่เห็นจะกลัว ”

“ ก็ครั้งนี้กลัว ” ผมบอกอีกคนก็ได้แต่ขมวดคิ้วงง  เมี่ยงมองผมแบบจับผิด

“ ไม่ใช่ว่าอยากจะจับมือกูหรอกนะ ”

“ แล้วถ้าบอกว่าใช่ ” คำพูดนั้นทำให้อีกคนนิ่ง

“ เลิกเล่นได้แล้วไอ้สัด ” มือขาวดึงมือออกจากมือของผม สีหน้าเบื่อหน่ายนั่นฉายชัด  “ กูไม่เล่นกับมึงแล้ว ไม่ต้องมาทำให้ใจเต้น กูไม่เต้นแม่งแล้ว ”

“ กูก็ไม่ได้เล่น ” เอื้อมมือไปจับมือของเมี่ยงอีกครั้ง คราวนี้ผมกระชับกุมมันไว้แน่น ผมสบตามัน “ อยากจับจริงๆ ”

“ ในฐานะ ? ” แล้วคำถามนั่นก็ทำให้ทุกอย่างนั้นเงียบไป เมี่ยงดึงมือออกจากมือผม “ ก็บอกแล้วไง ว่าถ้ามันไม่มีทางออก ทุกอย่างมันก็วนอยู่ในวงกลมตรงนี้ แล้วกูก็ไม่อยากจะวนอยู่ตรงนี้ ปล่อยกูเถอะ ”

ในตอนนั้น มันที่เดินไปข้างหน้า ไม่คิดหันหลังกลับมาเลยสักนิด

 “ เมี่ยง ” คนที่ถูกเรียกหันกลับมามองกัน ความรู้สึกกลัว เกิดขึ้นในใจผมเป็นครั้งแรก พร้อมกับคำพูดที่อยากจะบอกมันไป แต่ก็ไม่กล้าพูด ‘ รอกันหน่อยได้มั้ยวะ อย่าเพิ่งไป อย่าเพิ่งไปไหนไกลจากกูได้มั้ย ’

“ อะไร เรียกแล้วก็ไม่พูด ”

“ เปล่า ” ผมส่ายหน้าไปมา พร้อมทั้งสะบัดความคิดที่อยากจะพูดคำพวกนั้นออกไปจากหัว  ก็อย่างที่มันบอกผมนั่นแหละ ‘ ปล่อยมันไปเถอะ เพราะมันไม่อยากจะวนอยู่ตรงนี้ ’

ตรงที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ หัวใจผมจะว่าง
และถึงจะบอกว่า ว่างแน่ แต่นั่นก็ยังไม่รู้อยู่ดี ว่าเมื่อไหร่


......................................................


ผ่อนตัวลงนั่งบนโซฟาที่มีแต่ความเงียบภายในห้องสี่เหลี่ยมของตัวเองหลังจากกลับมาจากโรงพยาบาล การเดินทางระหว่างนั้นดูอึดอัด และเงียบเชียบ อาร์มไม่พูดอะไรกับผมอีกเลย หลังจากที่มันเรียกกัน แต่กลับไม่พูดอะไรออกมา และผมคิดว่า อาร์มคงรู้ตัวแล้ว ซึ่งสถานะระหว่างเรา และคำตัดสินใจของผม

“ เมี๊ยว ” เจ้าตัวลายเอ่ยทักกันพลางกระโดดขึ้นมานั่งเบียดอยู่ข้างๆ ผมแอบเผลอยิ้มในตอนที่ก้มลงไปมอง ช่วงนี้ไอ้นายท่านเอาแต่ติดกันแจ ราวกับจะบอกว่า ‘ ไม่เป็นไรนะ กูอยู่ตรงนี้แหละ ใกล้ๆมึง ’

“ ขอโทษทีนะ” พูดออกไปแบบนั้นในตอนที่ลูบหัวมัน “ เหมือนกูทำให้มึงเสียแฟนเลย แต่กูคิดว่า กูต้องออกมาแล้วว่ะ เพราะถ้าอยู่แบบไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ต้องรอไปเรื่อยๆ กูก็ไม่อยากอยู่เหมือนกัน ”

ถึงใจลึกๆมันจะอยากอยู่ก็เถอะ
แต่ผมก็ไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองเป็นโง่อย่างงั้น

ตัดสินใจหยิบมือถือขึ้นมาจากในกระเป๋ากางเกงของตัวเอง ผมหยุดความคิดสับสนที่ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงไว้แค่นั้น ตัดความคิดลึกซึ้งออก แล้วทำในสิ่งที่ควรทำ “ มึงต้องสตรองเข้าไว้ไอ้สัดเมี่ยง ” ผมพูดกับตัวเองอย่างงั้น “ มันดีแล้วที่เรื่องนี้เกิดขึ้น มึงลองคิดในแง่ดี มันก็ดีแล้วที่มึงรู้ความจริง เพราะฉะนั้นมึงควรออกมา อย่างถลำลึกไปมากกว่านี้ อย่าโง่ เข้าใจมั้ย ”

“ ม๊าว ”

“ ไม่ได้พูดกับมึง ” ผมหันไปหานายท่านในตอนที่มันร้องบอกกันเบาๆ “ กูพูดกับตัวเอง โอเค๊ ” ปลดล็อคหน้าจอเครื่องสื่อสารที่อยู่ในมือ ผมกดเข้าไปที่เบอร์โทรที่อยู่บนหน้าจอ ไล่หารายชื่อที่ผมอยากจะถามอะไรมันสักหน่อย แล้วนั่นก็คือ ‘ ไอ้เจ้ย ’

“ ว่าไงครับไอ้สัด ” ปลายสายที่รอสายอยู่ไม่นานกดรับ พร้อมกับเสียงที่ได้ยิน

“ มึง พอรู้ตารางเรียนของพวกไอ้อาร์มไอ้ดีนได้มั้ย ”

“ อาร์มนามสมมุติน่ะเหรอ ฮ่าๆ ”  ปลายสายที่พูดออกมา พร้อมเสียงหัวเราะสะใจ ผมก็ได้แต่ยกยิ้ม

“ เออ ไอ้อาร์มเพื่อนไอ้สัดดีนนั่นแหละ ” เจ้ยนิ่งไปในตอนที่ได้ยิน “ มึงพอรู้ตารางเรียนพวกมันมั้ย ”

“ ไม่รู้ แต่ถ้ามึงอยากรู้ กูก็ถามให้ได้ ”

“ เออ กูอยากรู้ ” ตอบรับอีกฝ่ายไปตามตรง แต่เหมือนไอ้เจ้ยมันจะยังสงสัยอะไรบางอย่าง

“ คือ ถามได้มั้ย ขอไปทำไมวะ ”

“ ไม่มีอะไรหรอก ช่วงนี้กูเบื่อๆ ไม่อยากจะเจอหน้าพวกมัน เพราะถ้าเจอมีสิทธิ์ต้องปะทะกันแน่นอน ซึ่งตีนกูอาจจะไปไวกว่าปาก ”

“ เปรี้ยวตีนจังเลยอะค้าบ ”

“ เออ กูเลยจะเลี่ยงๆไว้ ” ปลายสายถอนหายใจออกมา เจ้ยไม่ได้ถามหรือพูดอะไรออกมาอีก ทั้งๆที่ผมเองก็รู้ว่ามันคงอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา และตอนนั้นผมเองก็รีบบอกปัด “ ส่งเข้าไลน์กูมาแล้วกันนะไอ้สัด ง่วงแล้ววะ อยากนอน ”

“ โอเค ” อีกฝ่ายตอบรับ “ ว่าแต่ มีอะไรบอกกูได้นะ ”

“ อื้ม ” ผมขานรับในลำคอ

“ ทุกเรื่องเลย บอกได้นะ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ”

“ เออออออ ” ลากเสียงบอกอีกฝ่ายก่อนจะทำทีเป็นยิ้ม “ ไม่มีอะไรหรอก คิดว่ากูมีเมนส์ก็ได้ไอ้เหี้ย อารมณ์กูเลยขึ้นๆลงๆ ”

“ ไอ้ควาย มึงจะให้มันออกทางไหนละ ตูดหรือK ” เสียงหัวเราะสั่นของผมในตอนที่ฟัง ก่อนที่ปลายสายจะเงียบไปสักพัก “ แต่พูดจริงนะ ไม่ว่าเรื่องอะไร มึงบอกกูได้หมดเลย หมดทุกเรื่องจริงๆ ไม่ต้องแคร์อะไร รับฟังได้หมด ”

“ เออ ย้ำจังไม่เหี้ย ไม่มีอะไรหรอก แค่นี้แหละ แล้วอย่าลืมเรื่องที่กูขอ ”

“ เออ ไม่ลืม ”  วางสายลงก่อนจะวางมือถือไว้ข้างตัว ผมเอนตัวลงนอนบนโซฟาพลางกอดเจ้าตัวกลมที่ก็ซุกเข้ามาที่คอ “ กูจะพาตัวเองออกมานายท่าน มูฟออน ”

“ ม๊าว ” เสียงร้องเบาๆคล้ายกับว่าจะหน่ายกันอยู่ไม่น้อยเพราะฟังแบบย้ำกันมาหลายหน และผมว่าถ้ามันแปลเป็นคำที่คนพูด ไอ้นายท่านคงกำลังจะบอกผม ‘ ตามสบาย เอาที่มึงสบายใจเลยเมี่ยง ’

......................................................

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด