“ขอโทษนะ ที่ทำให้ต้องมาซวยไปด้วย”ผมหันไปมองเสียงเนือยๆ ของคนข้างตัวที่นั่งหมดอะไรตายอยากอยู่ข้างๆ กัน ในฝ่ามือเรียวนั่นกำลังถือพาสปอร์ตพร้อมตั๋วเครื่องบินอยู่ในมือ ส่วนในมืออีกข้างมีโทรศัพท์มือถือที่กำลังเปิดอ่านข่าวอะไรบางอย่างอยู่ และคิดว่าคงไม่พ้นข่าวของครอบครัวตัวเอง
‘นักธุรกิจใหญ่ถูกรวบ แท้จริงรวยเพราะขนยา ครอบครัวxxxxx’ หัวข้อข่าวที่พาดแบบนั้นเดาไม่ยากว่ากำลังพูดถึงใคร คงหนีไม่พ้นพ่อเลี้ยงของมัน และใช่...อดีตเจ้านายของผม
“ช่างมันเหอะ ไหนๆ เรื่องมันก็มาขนาดนี้แล้ว จะโทษกันไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก” ผมพูดออกไปแบบนั้นด้วยเสียงเนือยๆ ไม่ต่างกัน ก่อนจะหันไปมองหน้าของคนข้างตัว บนด้านข้างของใบหน้าสวยยังคงมีรอยนิ้วทั้งห้าประดับอยู่บนนั้น เป็นรอยฝ่ามือจากคนเป็นแม่แท้ๆ ที่ใส่อารมณ์กับลูกตัวเองตอนที่รู้เรื่องว่าสามีตัวเองถูกจับ ผมอยู่ในเหตุการณ์นั้นพอดี แม่ของพระพายที่ไม่เคยรู้เลยว่าสามีใหม่ของตัวเองกำลังทำงานอะไรอยู่กันแน่ จริงๆ แล้วเค้าเป็นเจ้าพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ แต่มาแต่งงานใหม่กับแม่พระพายเพราะต้องการใช้ชื่อเสียงของตระกูลพระพายบังหน้า รวมถึงความร่ำรวยนั่นก็เป็นแหล่งเงินทองที่ใช้สูบได้เป็นอย่างดี แม่พระพายค่อนข้างรักและหลงสามีใหม่มากๆ เลยไม่ได้สนใจงานการของเค้ามากนัก พอเรื่องแดงขึ้นก็เลยเสียศูนย์ และสุดท้ายก็เอาความโกรธนั้นมาลงกับลูกชายคนเดียวที่ตอนนี้ก็กำลังติดยา ... ใช่ พระพายกำลังติดยา แต่เค้าไม่ได้ติดเพราะตัวเอง แต่เป็นเพราะอานนท์พ่อเลี้ยงของพายเป็นคนทำให้เค้าติด เพื่อที่พายจะได้หนีไปไหนไม่ได้ เพราะเวลาต้องการยา พายก็ต้องกลับไปหาเค้า
ผมเจอกับพระพายครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นผมอยู่ม.ปลาย ผมอาศัยอยู่กับพี่ชายแค่สองคน และเราก็อยู่กันอย่างยากจน จนวันนึงครอบครัวของเราก็ดีมากขึ้นจากการทำงานของพี่ชายผม เราได้ย้ายเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์หรูของหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งที่นั่นก็คือหนึ่งในบ้านพักของอานนท์ที่ซื้อเอาไว้เป็นที่พักพนักงานที่สำหรับทำเรื่องผิดกฎหมาย จนวันนึงพี่ชายผมตายจากงานที่มันทำ และใช่ ผมไม่มีที่ไป ผมพึ่งเรียนจบม.ปลายและไม่สามารถออกไปใช้ชีวิตของตัวเองได้เพราะรู้เรื่องของอานนท์มากเกินไป สุดท้ายเค้าเลยส่งผมเรียน และเรื่องราวยิ่งลงล็อคมากขึ้นตอนที่ผมได้เป็นน้องรหัสของชะเอม เพราะแบบนั้นผมเลยถึงดึงมาเป็นหนึ่งในแผนของอานนท์
จริงๆ แล้วจะพูดว่าพรหมลิขิตก็ไม่ผิดล่ะมั้ง เมื่อหลายปีก่อนผมเคยเจอกับชะเอม ... ใช่ ผมเคยเจอเค้า เป็นการเจอกันที่แม้แต่เค้าก็คงจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำ ตอนนั้นเอมทำงานเป็นพนักงานร้านสดวกซื้อ เค้าคงอยู่ประมาณปีหนึ่งได้มั้ง ส่วนผมอยู่ม.6 วันนั้นเป็นวันธรรมดาๆ ในช่วงเที่ยงๆ ผมตั้งใจจะเดินไปซื้อของกิน แต่ดันเจอใครบางคนกำลังนั่งยองๆ อยู่หน้าร้านและกำลังคุยอยู่กับลูกแมวเด็ก มือเล็กๆ นั่นกำลังเทนมลงในถ้วยเล็กๆ ที่เหมือนเจ้าตัวจะหามาใส่ให้
“กินเยอะๆ นะไอ้หนู โลกมันก็โหดร้ายแบบนี้แหล่ะ นี่กูก็ไม่มีพ่อแม่เหมือนกันนะ จนก็จนด้วยแต่ยังต้องเจียดเงินมาซื้อนมให้มึงเนี่ย เห็นไหม
ในโลกที่โหดร้ายยังมีอะไรดีๆ แบบกูนะไอ้หนู กูจะเป็นแสงสว่างที่ยิ่งใหญ่ให้พวกมึงเองนะ เพราะฉะนั้นมึงห้ามตายนะ ต้องรอดนะรู้เปล่า” เสียงใสๆ ที่ว่าออกมาแบบนั้น คำพูดคำจาที่กระแทกเข้าหัวใจของผมเข้าอย่างจัง
จน
ไม่มีครอบครัว
ไม่มีที่พึ่ง
แต่ถึงแบบนั้นเราก็ยังต้องอยู่รอด ต้องอยู่ให้รอดต่อไป
“เอาล่ะ กูไปแล้วนะเจ้าหนู ต้องรีบไปเรียนแล้วเนี่ย กูน่ะนะสอบติดม.ดังด้วยนะเว้ย สุดยอดคนเท่ เป็นไงล่ะ ลูกพี่มึงแสนเท่ กินเยอะๆ นะเจ้าหนูๆ” ว่าออกมาด้วยเสียงที่ร่าเริงพร้อมๆ กับรอยยิ้มกว้างๆ และในตอนนั้นที่ตัวผมเองก็ยืนฟังเค้าพูดอยู่จนจบ และคนตัวเล็กนั่นที่เงยหน้าขึ้นมาเห็นกัน ดวงตากลมสวยที่เบิกกว้างขึ้นในตอนนั้นก่อนจะยิ้มกว้างออกมาให้ผม เป็นรอยยิ้มที่สว่างสดใส เหมือนเป็นกำลังใจให้ผมมีวันดีๆ อีกหนึ่งวัน
‘กูจะเป็นแสงสว่างที่ยิ่งใหญ่ให้พวกมึงเองนะ’เค้าเข้มแข็ง เค้าอดทน และใช่...เค้าเองก็เป็นแสงสว่างในใจของผมตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา และเพราะแบบนั้น พอผมได้รับคำสั่งให้เข้าไปเป็นตัวทำลายความสัมพันธ์ของเอมกับดาบ ผมก็ตอบรับที่จะทำในทันที มันเหมือนกับเป็นความโลภ ความเห็นแก่ตัวหนึ่งครั้งในชีวิตของผม แค่คิดว่าผมกับเค้าเราน่าจะเข้ากันได้ดีมากกว่าเค้ากับแฟนของเค้า แค่อยากลองสู้ดู เผื่อว่าเค้าจะหันมามองผมบ้าง แต่ใช่ ผมคิดผิด ความรักดีๆ มันมาในเวลาที่ถูกที่ และต้องเป็นอะไรที่ถูกใจ ต่อให้พยายามแทบตาย แต่ถ้าไม่ใช่ ต่อให้พยายามแค่ไหนมันก็ไม่ใช่อยู่ดี
“ไปถึงที่นู่นแล้ว ถ้าอยากไปที่อื่นก็ไปได้นะ ไม่ต้องอยู่ดูแลแบบที่แม่สั่งหรอก” เสียงของคนข้างๆ ตัวที่ดังขึ้นมาอีกทำให้ผมต้องหันไปมองหน้า สายตานิ่งๆ ของพายยังคงมองจับจ้องไปที่หน้าจอมือถือที่มืดสนิท ไม่มีใครติดต่อมา
“ไม่ได้หรอก ยังไงนี่ก็ถือเป็นบุญคุณ แม่มึงไม่ส่งกูให้ตำรวจ”
“ถ้าแม่จะส่งมึงให้ตำรวจ แม่ควรจะส่งกูมากกว่าไม่ใช่หรอ” พายพูดออกมาแบบนั้น เป็นคำพูดที่ค่อนข้างด้านชา ผมเข้าใจว่าเค้าหมายถึงในตอนนี้เค้าติดยา แต่แม่ของพระพายวิ่งเต้นเรื่องราวจนทำให้ทั้งผมและเค้าสามารถมีตั๋วและพาสปอร์ตที่ทำให้สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ ... คนมีเงินมีอำนาจนี่ดีจริงๆ ก็อย่างว่า ขนาดเฮโรอินยังกลายเป็นแป้งได้ เรื่องแค่นี้แม่ของพระพายก็จัดการได้ไม่ยากหรอก
“แต่จริงๆ แม่ก็คงแค่อยากส่งกูไปไกลๆ เพื่อที่เค้าจะได้จัดการอะไรง่ายๆ โดยที่ไม่ต้องมีลูกที่มีปัญหาแบบกูอยู่ด้วยก็แค่นั้นแหล่ะ”
“แม่เค้าคงไม่ได้คิดแบบนั้นหรอก”
“ไม่ต้องพูดปลอบหรอก กูชินแล้วล่ะ แต่ตอนนี้ดีหน่อยนะ อย่างน้อยไอ้อานนท์มันก็ถูกจับ มันจะได้ไม่ต้องตามรังควาญชีวิตกันสักที อย่างน้อยก็ได้หลุดพ้นแล้ว”
“ทำไมไม่คิดจะบอกเค้า กับเรื่องราวจริงๆ ทั้งหมด”
“หมายถึงบอกดาบหรอ” พายหันมามองผมพร้อมยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มวูบหนึ่งที่ผมคิดว่ามันเป็นความสุขของเค้า แววตาในตอนที่พูดถึงคนที่ชื่อดาบคนนั้น แต่ถึงแบบนั้นพายก็ส่ายหน้าออกมาช้าๆ
“บอกไปแล้วจะมีอะไรดีขึ้นอ่ะ เค้าจะกลับมารักกูหรอ กูที่เป็นคนหลอกเค้าทุกเรื่อง เข้าไปหาเค้าอย่างมีจุดประสงค์”
“อย่างน้อยตอนที่ไปเรียนต่อเมื่อครั้งก่อน มึงก็ไปเพราะไม่อยากให้อานนท์ใช้มึงเป็นเครื่องมือนะ” ผมแย้งเค้าออกมา เพราะผมรู้เรื่องว่าที่พายไปเรียนต่อหลังเรียนจบ ที่บอกใครต่อใครว่าจะไปรักษาตัวด้วยจริงๆ มันก็แค่ข้ออ้างที่จะได้ห่างจากดาบ และตัวเองจะได้ไม่ต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวหรือทำร้ายเค้าอีก เพราะช่วงที่พระพายใกล้จะเรียนจบ พ่อของดาบก็ซื้อเกาะนั้นแล้ว อานนท์ก็เริ่มอยากได้ และอยากให้พระพายเป็นหนึ่งในแผนการ แต่ตอนนั้นพายเลือกจะขอแม่ไปเรียนต่อ เพราะต้องการจะหนีอานนท์ แต่ถึงแบบนั้น สุดท้ายก็โดนบีบให้กลับมาอยู่ดี
“แต่แล้วยังไง สุดท้ายกูก็หลอกเค้าทุกเรื่อง เป็นมึงมึงจะให้อภัยหรอ คนที่วางยาเค้า ยาเสพติดนะ กูเคยโดนเอง กูรู้ว่ามันแย่แค่ไหน กูทำเค้าเสียใจ ดาบน่ะ...ดานี่คนนั้นน่ะ เป็นคนที่ยึดมั่นในความรักมากนะ ถ้าเค้ารักเค้าให้เต็มที่ แต่ถ้าไม่...ต่อให้จะเป็นจะตายเค้าก็ไม่สนหรอก” พายพูดออกมาแบบนั้นพร้อมรอยยิ้มเศร้าๆ
“แต่อย่างน้อยความรักที่มึงมีให้เค้ามันก็คือเรื่องจริง”
“ก็คงเหมือนกับที่มึงรักชะเอมล่ะมั้ง...ความรักที่เห็นแก่ตัวแบบนี้ ยังจะกล้ายื่นไปให้เค้าหัวเราะซ้ำสองอีกหรอ” พายพูดออกมาแบบนั้นแล้วแค่นยิ้มออกมานิดๆ แต่ก็ถูกของเค้า ... ความรักที่เห็นแก่ตัว มันไม่ได้เรียกว่าความรักหรอก
“ก็จริง...จริงๆ แล้วเราสองคน มันก็เป็นแค่คนเห็นแก่ตัวเท่านั้นแหล่ะ”
“ก็คงใช่”
เค้าพูดออกมาแค่นั้น ผมที่หันหน้าหนีออกจากหน้าเค้า มองไปยังท้องฟ้าที่อยู่หลังกระจกใส ผืนฟ้าของประเทศไทย ท้องฟ้าและบรรยากาศที่เราเคยอยู่ นึกถึงรอยยิ้มสดใสที่ยิ้มให้ผมข้างๆ ร้านสะดวกซื้อในวันนั้น ผมจะเก็บทุกความรู้สึกดี เก็บทุกรอยยิ้มเอาไว้ในใจของผมไม่ลืม
“ลาก่อนชะเอม”
“หื้ม ... มึงพูดอะไรนะ” พายหันมาถามผมเบาๆ ผมเลยได้แต่ส่ายหน้า กระชับเสื้อกันน้ำที่ใส่อยู่ให้เรียบร้อยก่อนจะลุกขึ้นยืน
“ไปกันเถอะ ได้เวลาแล้ว” บอกกับเค้าแบบนั้น พร้อมๆ กับยื่นมือส่งไปให้คนตรงหน้า พายมองมาด้วยสีหน้าเฉยชาตามเดิม จริงๆ แล้วก็เป็นคนหน้าสงสารที่เห็นแก่ตัวคนนึง
“ถ้าก้าวขึ้นเครื่องบินลำนี้ไป เราจะไม่ได้กลับมาอีกนะ” พายบอกผมแบบนั้น ... แต่ถึงแบบนั้นผมก็แค่พยักหน้า ผมรู้ดีว่าเราจะไม่มีทางได้กลับมาอีก แต่ถึงแบบนั้นเราก็ต้องไป
“ไม่กลับมาก็ไม่เป็นไร ก็แค่พยายามไปตามหาผืนฟ้าแห่งใหม่ก็แล้วกัน...หวังว่าสักวัน พวกเราจะเติบโตขึ้น และเป็นคนดีได้มากกว่านี้”
“อืม ก็หวังแบบนั้นเหมือนกัน”
เราสองคนที่เดินเข้าไปในทางทอดยาวของทางเดินขึ้นเครื่อง ผมหันหลังกลับไปมองกระจกใสที่ทอดมองออกไปยังท้องฟ้าของประเทศเราอีกครั้ง ในวันนี้ไม่รู้ว่าชะเอมเป็นยังไง แต่ผมหวังว่าเค้าจะมีความสุขในทุกๆ วันก็พอ
‘ลาก่อนชะเอม’
‘ลาก่อนดานี่ ขอโทษจริงๆ นะดาบ’...
หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถ.....
“สัด แม่งจะหลบหน้ากูไปถึงไหนวะ” ได้แต่สบถออกมาแบบนั้นตอนที่กดวางสายโทรศัพท์ที่พึ่งจะโทรออกไปเมื่อกี้ ผมที่พยายามง้อไอ้เสือมาหลายวันแล้ว แต่สิ่งที่เจอก็มีแค่มันพยายามหลบหน้า
“มึงคิดว่ากูจะปล่อยมึงไปหรอวะ ไม่มีทาง” ยกมือขึ้นทุบพวงมาลัยรถแบบหงุดหงิดใจ วันนี้ตั้งใจจะมารับมันมาเรียน เพราะรู้ว่ามันเองก็มีเรียน แต่พอไปถึงที่หอ ลุงยามที่ตอนนี้สนิทกับผมไปแล้วก็บอกว่ามันออกมาแล้ว คลาดกันแม่งทุกวัน ถ้ามาหาตอนกลางคืนมันก็ไม่ยอมออกมาหา หงุดหงิดว่ะแม่ง ตอนนี้เลยตั้งใจมาดักรอมันตอนจะกลับ กูจะหนีบมึงกลับไปด้วยกันให้ได้เลย!
เดินลงมาจากรถแล้วมายืนกอดอกรอแม่งที่หน้าคณะเลย มองเห็นนักศึกษาที่เดินขวักไขว่ไปมาเหมือนปกติแบบที่เคยเห็น แต่บรรยากาศแปลกแตกต่างไปจากทุกทีเหมือนทุกๆ คนจะเร่งรีบเดินไปทางด้านหน้ามอมากกว่าทุกที
“มีไรกันวะ หรือว่ามีดารามาถ่ายละคร”
“มึงๆ คนตีกันๆ”
“หรอๆ ไหนๆ ทางนู้นๆ”
เสียงของพวกรุ่นน้องที่วิ่งผ่านผมไปตะโกนบอกกันแบบนั้น ... ตีกันในมหาลัยเลยหรอวะ ความกล้าระดับนี้แม่งมีมาจากไหน
แต่กูก็เคยนี่หว่า ตีกับไอ้เสือ แล้วไอ้เสือก็พอกัน วอนจะตีกับเพื่อนในรุ่นมันที่ม.หลายรอบละ ... คิดถึงเรื่องนั้นแล้วก็ต้องส่ายหัว มันดื้อจนน่าตี
“อิเก้อ! อิเหี้ย ทำไมไม่มาเรียนคะ! แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น มึงๆ ไปกับกูก่อน” เสียงแหวดังลั่นของไอ้หยีที่ถลาตัวเข้ามาหาผม มันที่สับขาวิ่งออกมาจากลิฟต์ ผมได้แต่มองมันงงๆ มันที่ตั้งท่ากระชากมือผมให้วิ่งตามไปกับมัน แต่ผมก็ยืนแขนเอาไว้ แรงไอ้หยีมันจะสู้ผมได้ยังไง
“อะไรของมึงวะป้า จะให้กูไปไหน ไม่ไป กูจะรอเจอไอ้เสือ” บอกมันแบบนั้น แล้วไอ้หยีก็เบิกตากว้างขึ้น มันที่หน้าซีดลงและเริ่มทำหน้าเครียด
“ทำไม มึงเป็นอะไรป้า”
“มึงค่อยมาหาน้องเสือก็ได้ป่ะวะ ตอนนี้ไอ้เอมกำลังแย่นะเว้ย” ไอ้หยีที่ตะโกนใส่หน้าผมแล้วสายตามันก็คลอเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ ... ไอ้เอมหรอวะ
“มันเป็นอะไร มีอะไรวะ” ถามออกไปเครียดๆ แต่สายตาของผมก็ยังพยายามสอดส่ายมองคนที่ทยอยกันลงตึกเรียนมา แต่ตอนนี้ก็ยังไม่เจอแม้แต่เงามันอยู่ดี เซ็งว่ะ
“มึงมองอะไรไอ้เก้อ ไปหลังมหาลัยกับกูเร็ว ไอ้เอมกำลังมีเรื่อง”
“เรื่องอะไรล่ะวะ” เริ่มฉุนนิดๆ ตั้งท่าจะให้กูไปอย่างเดียวแต่มีเรื่องอะไรก็ไม่รู้ กูยิ่งกำลังอยากเจอไอ้เสืออยู่เนี่ย
“พระพายกำลังมาหาเรื่องมัน มันไลน์มาหากู กูจะรีบไปช่วย เร็วๆ ไอ้เอมกำลังแย่นะมึง”
“ห๊ะ! แม่งเอ้ย ได้จังหวะอะไรขนาดนี้วะ” ไอ้พระพายห่าไรนี่ก็เหมือนเป็นเจ้ากรรมนายเวรไอ้เอม ผมที่ถอนหายใจหนักๆ แล้วตั้งท่าวิ่งไปกับไอ้หยีในตอนนี้ เดินสวนไปกับน้องปีหนึ่งที่ก่อนหน้านี้บอกว่าจะไปดูคนตีกันที่หน้ามอ
“โถ่เอ้ย ที่แท้ก็พวกเดิมๆ”
“เออ ถ้ารู้ว่าเป็นไอ้เสือแต่แรกกูไม่รีบไปดูหรอก ปากแบบมันก็สมควรป่ะวะ”
เสือ...
ผมชะงักขาของตัวเองตอนที่ได้ยินแบบนั้น หันหน้าไปมองไอ้เด็กสองคนที่กำลังเดินผ่านตัวไปในตอนนี้ มันสองคนที่กำลังพูดกันอย่างถูกอกถูกใจกับเรื่องของใครอีกคนที่กำลังโดนทำร้าย
“ไอ้เก้อ หยุดทำเหี้ยอะไรคะ รีบมา เพื่อนมึงตายไปแล้วมั้ง”
“เดี๋ยว!” ผมตะโกนออกไปแบบนั้น ไอ้เด็กสองคนที่เดินผ่านไป หันมามองหน้าผมแบบงงๆ ผมก้าวยาวๆ เข้าไปหาพวกมัน ก่อนจะกระชากคอเสื้อของไอ้เด็กคนนึงที่อยู่ตรงหน้า ได้ยินเสียงไอ้หยีกรี๊ดออกมาในตอนนี้
“อิเก้อ ทำเหี้ยอะไรของมึงคะ”
“มึงบอกกูมาใครโดนกระทืบ ใคร!” ผมถามออกไปเสียงดัง จ้องหน้าไอ้เด็กตรงหน้าที่ดูตกใจมากๆ จนหน้าซีด สายตาเลิกลักของมันที่เหมือนกำลังขอความช่วยเหลือจากใครสักคนแต่ผมกลับยิ่งกระชากคอเสื้อของมันให้แน่นมากขึ้นไปอีก
“ตอบ!”“อ....ไอ้เสือ ไอ้เสือครับพี่ ไอ้เสือปี1เอกอิ้งค์ มันมีเรื่องกับเพื่อนในเซ็ค”
“SHIT! ....แล้วตอนนี้มันอยู่ไหน ที่ไหน!”“หน...หน้ามอครับพี่ มันตีกันที่หน้ามอ ตรงประตูทางออกแรก”
“ไอ้สัดเอ้ย!” สบถออกมาแบบนั้นแล้วโยนไอ้เด็กที่ผมจับมาเค้นทิ้ง
“เดี๋ยวๆ อิเหี้ยเก้อมึงจะไปไหน ไอ้เอมกำลังมีเรื่องนะมึง มึงต้องมากับกู!” ไอ้หยีที่วิ่งมากระชากแขนผม สายตาของมันที่มองมาทางผมแบบไม่เข้าใจ ท่าทางที่เหมือนจะร้องไห้ของมันทำให้ผมรู้สึกแย่ เหมือนผมกำลังจะทิ้งเพื่อน แต่ไอ้เสือก็กำลังโดนกระทืบอยู่เหมือนกัน
“ไอ้หยี กูขอโทษ แต่มึงก็ได้ยิน ไอ้เสือก็กำลังแย่”
“แล้วไอ้เอมอ่ะ มึงไม่แคร์มันหรอวะ มึงรักมันนะ!”
“แล้วไอ้เสือล่ะวะ นั่นก็แฟนกูนะ กูแคร์ไอ้เอมในฐานะเพื่อน แต่กูรักไอ้เสือ ถ้ามันตายโดยที่กูไปช้า กูจะทนอยู่ยังไงวะ! กูช้าไม่ได้ ... เอางี้มึงนำไปก่อน เดี๋ยวกูไปหาไอ้เสือแล้วจะตามมึงไป ลุง!! ลุงโว้ย!!” เหลือบสายตาไปมองเห็นลุงรปภ.ที่เดินผ่านมาพอดีผมเลยรีบตะโกนเรียกอย่างรีบร้อน ลุงรปภ.ที่มองมาหาผมอย่างงงๆ
“เพื่อนผมกำลังมีเรื่องอยู่หลังม. ลุงไปเป็นเพื่อน เพื่อนผมหน่อย ไอ้หยีมึงไปกับลุง ส่วนกูจะไปหาไอ้เสือ ตามนี้!” บอกมันออกไปอย่างรีบร้อน ก่อนจะวิ่งออกมาทันที ผมรู้สึกผิดกับเพื่อน ผมเป็นห่วงไอ้เอมเหมือนกัน แต่ผมก็ห่วงไอ้เสือมากกว่า เป็นความเห็นแก่ตัวที่ต้องเลือก เพราะแบบนั้นเลยทั้งวิ่งทั้งเปิดไอจีเข้าไปในช่องไดเร็คเมจเสจหาใครบางคน ใครอีกคนที่ผมไม่อยากเสวนาด้วย ‘รีบมาที่มหาลัย ไอ้เอมกำลังมีเรื่องกับพระพายที่หลังม.!’
ผมที่วิ่งมาด้วยความเร็วแบบไม่หยุดแม้แต่วิเดียว วิ่งมาจนถึงทางเข้าหน้าม.ที่ตอนนี้ไม่ค่อยมีรถวิ่งเข้าวิ่งออก บรรยากาศเงียบๆ ไม่มีคนเดินไปเดินมาเท่าไหร่ ผมได้แต่ก้มตัวเอามือค้ำอยู่ที่หัวเข่าทั้งสองข้างแล้วหอบออกมาหนักๆ แต่ถึงแบบนั้นก็ยังพยายามมองไปรอบๆ หัวใจของผมห่วง หรือว่าผมมาไม่ทันวะ มันเป็นอะไรไปแล้วหรือเปล่า หรือมันเจ็บหนักจนต้องไปโรงพยาบาลแล้ว
“ไม่!” ตะโกนออกมาแบบนั้นแล้วตั้งท่าจะวิ่งกลับไปที่รถ ผมจะขอให้พ่อช่วยเช็คตามโรงพยาบาลให้ และในตอนที่ตั้งใจจะวิ่งกลับไปก็ชนเข้ากับใครบางคนซะก่อน
“สัด อย่ามาเกะ... ไอ้เสือ!”
คนตรงหน้าที่อยู่ในชุดนักศึกษา ผมเอื้อมมือไปคว้าข้อมือของมันเอาไว้ หัวใจของผมเต้นแรงด้วยความกลัวไปหมดทุกสิ่ง กลัวว่ามันจะเป็นอะไร กลัวมันจะเจ็บตัว ผมไล่มองมันไปทั่วใบหน้า มองเลยลงมาที่แขนและขาของมัน ดึงมันหมุนตัวไปรอบๆ มองหารอยแผล กลัวว่ามันจะบาดเจ็บ
“มึง มึงไม่เป็นอะไรใช่ไหม มึงเป็นอะไรหรือเปล่า” ถามมันออกไปแบบนั้น สายตาก็ยังคงมองรอบๆ ตัวของมันอยู่แบบนั้น ไอ้เสือไม่ได้พูดอะไร มันเองก็เอาแต่มองผมเหมือนกัน
“เงียบทำเหี้ยอะไร! ตอบกู มึงเจ็บตรงไหน หรือไปโรงพยาบาลไหม ไป กูพาไป”
“กูไม่เป็นไรพี่เก้อ” เป็นประโยคแรกที่มันพูดออกมากับผม มันจ้องหน้าผม และเป็นผมเองที่ก็มองมันแบบไม่เข้าใจ
“คือ ยังไง”
“กูรอตั้งนานแหน่ะ” มันบอกผมออกมาแบบนั้น ผมจับมือมันเอาไว้แน่นๆ รู้สึกเลยว่ามือตัวเองตอนนี้ชื้นเหงื่อมากแค่ไหน ผมกลัว กลัวว่าจะมาไม่ทัน กลัวว่ามันจะเป็นอะไรไป
“ขอโทษ ขอโทษที่ช้า มึงไม่เป็นอะไรใช่ไหม ใครมันทำมึงวะ บอกกู มันพวกไหน” ว่าออกไปแบบนั้นแล้วดึงตัวมันเข้ามากอดไว้ รับรู้ถึงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอของมัน รวมถึงจัวหวะหัวใจของมันกับของผมที่กำลังเต้นพร้อมๆ กันอยู่ในตอนนี้
“มาช้า ก็ดีกว่ามึงไม่มา”“จะไม่มาได้ยังไง ถ้ามึงเป็นอะไรไปกูจะทำยังไงวะ ไอ้เหี้ยเอ้ย ถ้ามึงเป็นอะไรขึ้นมากูจะทำยังไง” แค่คิดมาถึงตรงนี้หัวใจผมก็ชาหนึบ แค่คิดว่าจะไม่มีมันให้กอดอยู่ตอนนี้ หัวใจก็เหมือนถูกบีบรัดจนหายใจแทบจะไม่ออก เพราะแบบนั้นเลยกอดมันเข้ากับอกให้แน่นมากขึ้น วงแขนของมันที่ยกขึ้นมากอดผมแบบที่เราสองคนไม่สนใจสายตาใครที่กำลังมองมา เป็นความรู้สึกที่ว่าตอนนี้มีแค่เราสองคน
“รักกูมากเลยหรอพี่เก้อ”
“กูรักมึง รักจริงๆ เสือ ไม่รู้จะพูดให้มึงเข้าใจยังไง แต่ตอนนี้นอกจากมึงกูไม่มีใคร ขอโทษที่กูเป็นแฟนโง่ๆ ของมึง ละเอียดอ่อนไม่พอ ไม่นึกถึงใจมึงมากกว่านี้ เรื่องกับไอ้เอมกูไม่ได้คิดอะไรกับมันมากกว่าเพื่อนจริงๆ นะ...เอ๊ะ...เชี่ย ไอ้เอม!”
พูดแล้วก็นึกขึ้นได้ ผมผละออกจากอ้อมกอดที่กำลังกอดอยู่กับไอ้เก้อ มองหน้ามันแบบอึดอัดใจ
“มึงจะเข้าใจผิดไหมวะเสือ แต่ไอ้เอมก็กำลังมีเรื่อง มึงไปกับกูได้ไหม มันอยู่หลังมอ กูพึ่งนึกขึ้นได้ แต่ว่ากูเห็นมันเป็นแค่เพื่อนนะ มึงจะเข้าใจผิดอีกไหมวะ หรือแจ้งตำรวจแม่ง เดี๋ยวมึงรอแป๊บ” นึกขึ้นได้แล้วรีบยกมือถือขึ้นมาเลย ตั้งใจโทรหาตำรวจ ความยเอ้ย กูก็พึ่งนึกขึ้นได้
“เห้ยไอ้เสือ มึงจะทำอะไรวะ” ผมว่าออกมาแบบนั้นตอนที่มันคว้ามือถือของผมไปไว้ มองหน้ามันอย่างไม่เข้าใจ ตั้งใจจะเอื้อมมือไปแย่งมือถือกลับมา แต่ไอ้เสือก็แค่ยิ้มบางๆ แล้วส่ายหน้า
“พี่เก้อ กูขอโทษนะ...”
“ขอโทษเหี้ยอะไ....”
“กรี๊ดดดดด อิดอกล่ำ!! มึงทำกูตกใจมาก ไหนมึงบอกเมียกูมีปัญหาไงคะอิเวน มันแค่ไปซื้อไอ้ติมแดกเนี่ย อะไรของมึง!!” เสียงร้องสูงๆ ที่ดังมาอีกทาง พอหันไปมองก็เห็นแฟนไอ้เอมยืนอยู่ตรงนั้นและเท้าสะเอวด่ากันเสียงดังแบบไม่อายใคร ข้างๆ มันมีไอ้เอมที่ยืนแดกไอติมไผ่ทองอยู่ตรงนั้น ถัดกันไปก็มีไอ้หยีที่ยิ้มกว้างส่งมาให้ ผมหันกลับมามองหน้าไอ้เสือที่ก็ยิ้มมาให้ แล้วอะไรบางอย่างก็เหมือนกระแทกเข้าหน้ากันในตอนนี้ หันมองไปรอบๆ ไม่มีร่องรอยของการต่อยตี ไม่มีคนมามุงและไม่มียามมาแยก
“สัด!” สบถออกมาแบบนั้นในตอนที่เข้าใจอะไรมากขึ้น ไอ้เสือยิ้มประจบแล้วเอื้อมมือมาเกาะแขนของผม
“มึงรักกูมากๆ เลยนี่นา”
“ไอ้สัดเสือไม่ต้องมาอ้อนกู ไอ้เด็กส้นตีน!”
“ด่ากันทำไม ไหนใครวิ่งหัวกระพือมาช่วยกู”
“สัดเอ้ย! มึงคิดว่ากูตลกหรอ มึงเอาความเป็นความตายมาเล่นได้ไงไอ้เหี้ย อย่ามากอด มึงต้องเจอกูไอ้เหี้ย”
“ไม่เอา พี่เก้ออย่าทำเสือ” มันที่พูดออกมาแบบนั้น
พี่เก้อ...เสือ ...
สัดเอ้ย!
“ชะงักเลย พี่เก้อชะงักเลย” หันหน้าไปมองไอ้เด็กที่ตอนนี้เอาหน้าถูๆ อยู่ที่แขนของผม ก้มหน้าไปมองหน้ามันตาขวาง ผมไม่สนุกสักนิด
“มึงรู้ไหมกูกลัวมากแค่ไหน กลัวว่ามึงจะเป็นอะไรไป กลัวว่าถ้ากูมาไม่ทันมึงจะเจ็บตัว จะโดนไล่ออกจากมหาลัยหรือเปล่า กูกลัวไปหมด สัด!” สบถออกมาแบบนั้นแล้วหันหน้าหนีมัน ยกมือขึ้นเสยผมแล้วสูดหายใจเข้าออกลึกๆ ไอ้เสือที่เดินมาตรงหน้าผม ใบหน้าของมันที่หงอยลงในตอนนี้
“ขอโทษ...กูก็แค่อยากมั่นใจ"
“มั่นใจเหี้ยอะไร หลอกกูนี่อยากมั่นใจเหี้ยอะไร” หันไปมองมันเขม็ง ไอ้เสือที่เม้มปากเข้าหากัน เป็นท่าทางที่ไม่ค่อยจะได้เห็น น่ารัก... แต่ตอนนี้กูก็ยังโมโห
“อยากมั่นใจว่า กูสำคัญกว่าพี่เอมจริงๆ หรือเปล่า ถ้าวันนี้มึงเลือกวิ่งไปหลังม. กูก็จะได้รู้ชัดๆ สักทีว่าคนที่มึงแคร์คงไม่ใช่กู”
“เชี่ย! แม่งเอ้ย” ผมสบถออกมาแบบนั้นอย่างหัวเสีย อยากจะด่ามันออกไปแรงๆ แบบไม่ไว้หน้าว่าการกระทำแบบนี้แม่งเหี้ย ไร้สาระและปัญญาอ่อนมากที่สุด มาเล่นกับความรู้สึกของกูแบบนี้แม่งแย่มากๆ ... แต่ถึงแบบนั้นผมก็พูดไม่ออก ผมรู้ว่าหลายครั้งที่ไอ้เสือต้องเสียใจ ก็เพราะความไม่แน่ใจของมันจากการกระทำของผม และเพราะแบบนั้น ตั้งแต่ตอนนี้ไปผมก็ควรจะละเอียดอ่อนกับความรักของเราให้มากขึ้น
“กูอยากต่อยมึงมากเลยไอ้เสือ”
“ต่อยเลยก็ได้ ต่อยกูเลยแต่ดีกันนะ มึงอย่าทำหน้าดุดิ” ว่าแบบนั้นแล้วเอียงหน้ามาให้ สัดเอ้ย
“มึงคิดว่ากูจะต่อยคนที่เป็นหัวใจกูได้หรอ ฟังนะ...กูรักมึง กูไม่ได้รักไอ้เอมแล้ว แต่การกระทำหลายๆ อย่างของกูมันคงชัดเจนไม่พอ กูขอโทษเสือ แต่สัญญา ต่อจากนี้กูจะคิดถึงใจมึงให้มากกว่าใคร กูรักมึงจริงๆ” พูดออกมาแบบนั้น เอื้อมมือไปวางลงบนกลุ่มผมนิ่มของคนตรงหน้า ไอ้เสือที่หลุบตาลงต่ำแล้วเสหน้าหนี มองเห็นพวงแก้มของมันที่แดงขึ้นมาในตอนนี้
“พูดเหี้ยอะไร จะอ้วกว่ะ”
“รักมึง”
“รู้แล้ว”
“มั่นใจได้นะ กูรักแค่มึง”
“พอแล้วไอ้สัด! หุบปากมึงไปไอ้พี่เก้อ”
“แล้วมึงไม่คิดจะพูดบ้างหรอวะ” ขยับตัวเข้าไปหามัน ไอ้เสือที่เลิ่กลักมองซ้ายมองขวา แล้วหันกลับมามองหน้ากันอย่างไร้ทางหนี
“ว่าไง เด็กที่มันทำกูวิ่งขาลากมาถึงนี่ไม่มีอะไรจะบอกกูหรอครับ” ว่าแบบนั้นแล้วยกยิ้มมุมปาก เพราะมันขาวมากๆ แก้มแดงๆ ของมันเลยเห็นได้ชัดยิ่งกว่าเคย
“อะ...อะไรล่ะวะ”
“เสือ”
“อย่ามาข่มขืนจิตใจกูได้ไหมวะ แม่งๆๆ”
“เออ...ไม่พูดก็ไม่พูด งั้นกลับกัน” บอกออกมาแบบนั้นแล้วถอยหนี เร่งรัดมันไปก็คงไม่ดีหรอก คู่เราแม่งก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วไหมวะ ผมหันหน้าไปหาไอ้พวกเพื่อนตัวดีของผมที่ยืนยิ้มหน้าสลอนอยู่ไกลๆ ตั้งใจจะไปด่าแม่งสักหน่อย รู้เลยว่าแผนการในครั้งนี้ ไอ้หยีจัดการแน่ๆ คนแบบไอ้เสือแม่งคิดไม่ได้หรอกครับ ... และในตอนที่กำลังจะก้าวเดินไป เสียงของคนที่ยืนอยู่ข้างหลังผมก็ตะโกนออกมาสุดเสียง
“มึงอย่างอนสิวะ! ถ้ากูไม่รักมึงจะรักใครละไอ้โง่ พี่เก้อมึงอย่าโง่สิ กูรักมึงเหมือนกันเนี่ย ควาย!!”
หันหลังกลับไปมอง ก็เห็นไอ้เด็กคนนึงที่ยืนหลับหูหลับตากำมือแน่นแล้วตะโกนบอกรักกันแบบนั้น คำบอกรักที่บ่งบอกถึงความเป็นเรา เป็นผมกับมัน เป็นความรักที่ไม่ได้หวาน ไม่ได้ซึ้ง ไม่ได้สุขไปทั้งหมดเหมือนกับคู่ใครๆ แต่ก็เป็นความรักในแบบของเรา
“ฮิ้ววววว กูอัดคลิปทันค่ะอิดอกกกกก มึงดูๆ อิหนู ผัวมึงเก่งไหมคะ” เสียงสองของใครอีกคนที่ดังขึ้นมาในตอนนี้ พร้อมกำลังยื่นมือถือส่งไปให้แฟนมันดูอย่างร่าเริง ไอ้เอมที่ยกนิ้วโป้งขึ้นมากดไลค์ให้แฟนมันพร้อมยิ้มกว้าง ไอ้หยีที่หันมาส่งเสียงแซวไอ้เสือในตอนนี้ มองไปที่หน้าของมันที่ตอนนี้แดงไปหมด มันที่เลิ่กๆ ลั่กๆ และสุดท้ายก็หันหลังวิ่งหนีออกไปทั้งแบบนั้น พร้อมประโยคที่บ่งบอกถึงความเป็นมันมากที่สุด
“Kๆๆๆ ไอ้สัดพี่เก้อ ไอ้ส้นตีน!”
แบบนี้สินะคำบอกรักที่ไม่มีคำว่ารัก ในแบบของไทเก้อกับน้องเสือ
...
(มีต่อจ้า)