บทที่43
“มึงมาเอากูเดี๋ยวนี้เลยไอ้พี่เก้อ”
“ห๊ะ! มึงพูดเหี้ยอะไร กูไม่เอา!!”
“มึงไม่เอาก็ไม่ต้องเอาอีกเลย ไอ้หน้าสัด!”
“เอ้า!” ผมอุทานออกไปแบบนั้น แม้ว่าจริงๆกูอยากจะตะโกนว่าเรื่องไรไอ้สัด กูจะเอามึง มึงอย่ามาห้ามกูกูจะเอา!! ... แต่ว่าพูดออกไปไม่ได้ กูคีฟคาแล็คเตอร์เป็นคนดีอยู่ ทำไมไอ้เสือแม่งไม่เข้าใจวะ ไม่เข้าใจไม่พอ ยังมาถลึงตาใส่กูอีก ปัดโถ่
“เร็วๆไอ้พี่เก้อ มึงเป็นอะไร” ถามกูแบบนั้นไม่พอ มันเร่งด้วยครับ เร่งพร้อมๆกับตอนที่ถอดกระดุมเสื้อออกมาที่ละเม็ดๆ
“เดี๋ยวๆ มึงใจเย็นๆก่อน เป็นเหี้ยอะไรนี่เสือ” บอกแบบนั้นพร้อมๆกับพยายามหันหน้าหนี อย่า...กูแพ้
ทำไมแม่งขาวจังวะ กูแพ้ของขาว ไอ้เสือ ไอ้เด็กเหี้ย!
“ทำไมมึงต้องทำแบบนี้วะพี่เก้อ” เอ้า! ดราม่า ดราม่าเหี้ยอะไรก่อนเอ่ย...ไอ้เสือที่หยุดมือในการปลดกระดุมตัวเองแล้วก้มหน้าลงมองตีน แต่ขอบคุณมากที่มึงเลิกถอดเสื้อตัวเองสักที กูอยากให้มึงใจเย็นและฟังกูสักหน่อยยยย
“กูทำอะไรเสือ มึงใจเย็นๆหน่อยสิวะ” เอาน้ำเย็นเข้าลูบ เดินเข้าไปหามันแล้วเอื้อมมือไปจับแขนมันทั้งสองข้าง แต่ไอ้คนตรงหน้าก็ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองกันอยู่ดี
“เสือ มองหน้ากูหน่อย”
“ถ้ากูมองแล้วมึงจะเอากูป่ะล่ะ!” โพล่งออกมาแบบนั้นจนกูตกใจ ผงะถอยหลังห่างจากมันไปอีกสองก้าว
“เนี่ย! มึงแม่ง” เงยหน้ามามองกันแล้วว่าแบบนั้น ตาแดงๆของมันกับปากบางๆที่เม้มเข้าหากันนั่นดูน่าสงสาร แต่สายตาที่มองกันเหมือนอยากแดกหัว คือโกรธอะไรกูล่ะครับ
“มึงเป็นอะไรเนี่ยเสือ”
“มึงสิเป็นอะไรอิเหี้ยพี่เก้อ K”
“เอ้า ด่ากูไม่พักเลย”
“มึงไปไกลๆตีนกูเลย”
“เอ้า” โกรธกูด่ากู หันหลังเดินหนีกูไม่พอ ไล่กูแล้วในตอนล่าสุด ผมถอนหายใจออกมาแรงๆตอนที่ได้ยิน ได้แต่ยกมือเสยผมขึ้นแบบอึดอัด ไอ้เสือที่ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงแล้วหันหน้าเข้ากำแพง หันหลังให้กูทั้งแบบนั้น เป็นครั้งแรกเลยที่เห็นอาการแบบนี้ของมัน
คือเอ่อ...อย่าบอกกูว่างอนนะ
“เสือ” ลองหยั่งเชิงเรียกมันแบบนั้น พร้อมๆกับเดินเข้าไปใกล้ๆ ค่อยๆทรุดตัวลงนั่งข้างๆมันแล้วเอื้อมมือไปแตะแขนมันเบาๆ แต่ไอ้เสือสะบัดแขนหนี มันเป็นฟึดฟัด
“อย่ามาจับกู”
“ทำไมกูจะจับมึงไม่ได้วะ ทั้งตัวกูก็จับมาแล้วรึเปล่า”
“กูจะไปรู้กับพ่อมึงหรอ มึงลองถามพ่อมึงสิ บางทีอาจนานจนพ่อมึงเองก็ลืมแล้วว่ามึงเคยจับกูหรือเปล่า” โอ้โห ยาวๆ ด่ากูมายาวๆแบบไม่พัก มองเห็นแก้มของมันพองขึ้นมาตอนที่มันด่าผมแบบนั้น เป็นอาการโกรธแล้วน่ารักจังวะ อดไม่ได้ที่จะกอดมันในตอนนี้ แต่
‘ผลัก ตุบ โคร้ม’
“โอ้ยยย กูเจ็บนะไอ้เสือ” กูที่ตีลังกาหงายท้องลงมาจากที่นอน หมุนเป็นลูกข่างเพราะตีนไอ้เสือที่หันมายันท้องกัน จุกจนกูหน้าดำหน้าแดง
“มึงกลับไปเลยพี่เก้อ”
“เอ้า มึงไล่กูทำไมวะ กูแค่กอดมึงเองนะ”
“ก็เพราะมึงกอดแต่ไม่ทำห่าอะไรนี่ไง ออกไปเลยไอ้เหี้ยพี่เก้อ!”
‘ปัง โครม!’
และสิ่งสุดท้ายที่ผมได้ยินก็มีแค่เสียงด่า และประตูไม้ที่กระแทกหน้าเพราะไอ้เก้อปิดประตูใส่ ... ทำไมเป็นคนดีมันยากแบบนี้วะไอ้เหี้ยเอ้ย จริงๆกูอยากเอาจนแข็งแล้วเนี่ยยยยยยย
“กูจะมาใหม่นะ”
“มึงไม่ต้องมา คืนนี้กูไม่ไป”
“เสือ ไม่เอางี้ดิ”
“มึงไปไกลๆหน้าห้องกู รำคาญ!”
จบ...จบกันตรงนี้ชีวิตไอ้ไทเกอร์ เป็นเสือหรือหมากันแน่วะกู เจ้าของก็ไม่เปิดประตูห้องให้ แค่กูพยายามเป้นคนดีนี่มึงโกรธอะไร!
...
“มึงจะทำงี้จริงหรอเอม”
“อืม กูตัดสินใจแล้ว”
“เฮ้อ งั้นกูก็จะไม่ห้ามนะ แต่กูเชื่อนะว่าพี่ดาบเค้าไม่ได้ตั้งใจหรอก” ผมหันไปมองหน้าไอ้หยี คนที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่ที่เบาะคนขับ ยิ้มบางๆให้มันแล้วพยักหน้านิดๆเห็นด้วยกับคำพูดนั้นของมัน
“กูก็เชื่อว่าพี่มันไม่ได้ตั้งใจ” ก็จากสายตาท่าทีต่างๆมันก็บอกได้แบบนั้น แต่ถึงว่ามันจะเป็นแบบนั้น...
“แล้ว” ไอ้หยีตอนนี้เหมือนคนที่อยากเสือก แต่ก็ไม่กล้าที่จะถามอะไรออกมา เป็นคนมีมารยาทแม้ว่าจริงๆในใจค่อนข้างจะยุบยับอยากจะรู้เรื่อง เห็นแบบนั้นแล้วอยากจะขำออกมา เป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งวันที่ผมขำออกมาได้ แม้ว่าสถานการณ์ตอนนี้มันไม่รู้สึกอยากจะขำเลยก็ตาม
“มึงอยากจะถามว่า ถ้าเชื่อแบบนั้นแล้วทำไมถึงทำแบบนี้น่ะหรอ”
“อืม...พูดตรงๆกับมึงเลยว่าอยากเสือกมาก แต่ว่าก็เกรงใจมึง กลัวพูดออกไปแล้วแม่งกระทบใจ กูจะกลายเป็นเพื่อนเหี้ย”
“กูไม่มองมึงแบบนั้นหรอก”
“เพราะกูน่ารักมากๆเลยใช่ไหมล่ะคะ ดีขนาดนี้จะเหี้ยได้ยังไง” เข้าเกียร์ตัวNแล้วดึงเบรคมือเอาไว้ หันมามองหน้าผมแล้วยิ้มระริกระรี้
“เพราะมึงไม่เหี้ย ก็แค่คนอยากเสือกเฉยๆ”
“โอ๊ยอิเอม นี่กูแม่มึงนะค๊า” ขึ้นเสียงสูงใส่พร้อมถลึง ผมเขาออกมานิดๆ แล้วถอนหายใจ เอนตัวพิงเบาะรถอย่างเหนื่อยๆ หันหน้าไปมองที่เบาะหลังของรถไอ้หยี เห็นกระเป๋าใส่เสื้อผ้าใบเดียวของตัวเองวางเอาไว้ตรงนั้น แค่นยิ้มออกมานิดๆในตอนที่มองเห็น ... กระเป๋าใบเดิม กระเป๋าใบเดียวที่ผมมีตั้งแต่ถูกไล่ออกมาจากบ้านของป้า วันนั้นผมอุ้มกระเป๋าใบนี้ออกจากบ้านนั้นมา ขึ้นรถไอ้หยีเพื่อไปเจอกับอิเจ๊พี่มัน และในวันนี้ผมก็หิ้วกระเป๋าใบนี้ขึ้นรถไอ้หยี เพื่อออกมาจากบ้านของมัน
“เอาจริงๆตอนแรกกูนึกว่ามึงจะเลิกกับพี่มันด้วยซ้ำ”
“ทำไมวะ”
“กูเห็นมึงมาตั้งแต่สมัยมึงเลิกกับไอ้เหี้ยมาร์ช เรื่องแม่งก็คล้ายๆแบบนี้ พูดตรงๆคนเรามันจะเจอเรื่องเดิมๆได้สักกี่ครั้งวะ ถ้ามึงจะเลิกกับพี่มันกูก็ไม่แปลกใจหรอก”
“ก็จริง”
“แต่การที่มึงทำแบบนี้ มึงไม่กลัวพี่พายจะเข้าไปหาพี่ดาบในช่วงจังหวะนี้หรอวะ”
“ไม่เลย กูไม่กลัว” บอกออกไปแบบมั่นใจแล้วหันไปมองหน้าไอ้หยียิ้มๆ
“กูไม่กลัวไอ้พาพวยนั่นสักนิด พี่ดาบมันไม่ใช่คนโง่นะ อย่างน้อยๆมันก็ไม่เคยโง่ในเรื่องความรู้สึกของมัน”
“อวยผัวอ่ะเนาะ” กูปลายตามองแรงเลย ยังจะมีอารมณ์มาแซวกัน ผมยกยิ้มนิดๆตอนที่ได้ยินมันพูดแบบนั้น
“กูก็แค่ไม่อยากให้บรรยากาศมันแย่เฉยๆ แต่ว่ามึงออกมาแบบนี้มันก็ไม่เหมือนเลิกกันหรอวะ”
“พี่มันบอกไม่ยอมเลิกกับกู และกูเองก็ไม่ได้คิดว่าจะเลิกกับพี่มันนะ” ผมบอกออกไปแบบนั้น นี่คือความคิดจริงๆของผม ผมไม่ได้คิดอยากจะเลิกกับพี่ดาบ
“แต่กูแค่ย้อนมานึกถึงตัวเอง”
“หมายถึงอะไรวะ” ไอ้หยีเลิกคิ้วมองหน้ากันนิดๆ ก่อนที่มันจะหันไปมองถนนปลดเบรคมือแล้วขับรถออกไปต่อ
“วันนี้เรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นการจัดฉาก แต่ถ้าในอนาคตมีแบบนี้อีกกูจะทำยังไงวะ”
“กูเชื่อว่ามันจะไม่มีอีกหรอก จริงๆนะมึง” ไอ้หยีรีบเถียงออกมา ผมรู้ว่ามันเองก็รักพี่ดาบ ในฐานะพี่รหัสมัน มันก็ค่อนข้างเอนเอียงไปทางเค้ามากกว่าใคร
“ใครจะรู้อนาคตวะมึง ถ้าทำได้กูก็อยากจะไปอนาคตแล้วดูว่าตอนจบมันจะเป็นยังไง ทางที่กูกำลังเดินไปมันถูกหรือเปล่า แต่มันก็ทำไม่ได้ไง สิ่งที่ทำได้มันก็คือกูต้องเดินต่อ และการเดินต่อไปของกู กูก็ต้องมีอะไรที่เป็นของกูบ้าง พูดกันตามตรง ตอนนี้กูไม่มีอะไรเลย กูมีแค่พี่เค้า ถึงเค้าจะดีมากแค่ไหน แต่มันไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าอนาคตมันจะไม่ผิดพลาด”
ผมคิดถึงคำพูดที่ไอ้ม็อบพูด ถึงผมจะไม่ถูกใจในคำพูดของมัน แต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าที่มันพูดมาไม่ถูกต้อง “ไม่คิดบ้างหรอว่าชีวิตพี่ผูกติดกับเค้ามากไปนะ ถ้าไม่มีเค้าพี่จะเหลืออะไรอ่ะ จะเอาเงินเอางานที่ไหนมาใช้มาทำ”
“มึงขมวดคิ้วทำไมวะไอ้เอม”
“กูแค่นึกถึงคำพูดของไอ้ม็อบ”
“ไอ้เด็กเหี้ยนี่อีกแล้ว มันยังไม่ไปพ้นๆมึงอีกหรอวะ” ว่าแบบนั้นพร้อมทำเสียงเข้ม ผมทำหน้านึกนิดหน่อยว่าเจอมันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ อาจจะเมื่อสองวันก่อนหรือเปล่านะ
“จริงๆก็ไม่เจอมันมาสักพักละนะ เดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้ไลน์มาหาอะไรกูด้วย”
“กูว่าแม่งไม่น่าไว้ใจตั้งแต่ที่มึงเห็นมันอยู่กับอิผีพายนั่นละ”
“ตอนนั้นมึงยังเรียกพี่พายไง ทำไมตอนนี้เรียกเค้าผีพาย”
“จริงๆกูอยากตบด้วยไม้พายด้วยค่ะตอนนี้ คนดีๆที่ไหนถึงจงใจแย่งแฟนคนอื่นหน้าด้านๆแบบนั้นวะ มองจากนอกโลกกูก็รู้ค่ะว่านางตั้งใจทำ อิเหี้ยเอ้ยหน้าตาน่ารักแท้ๆแต่สมองเป็นเหี้ยอะไรก็ไม่รู้”
“เราก็ไม่รู้กับเค้าป่ะวะว่าจริงๆแล้วเค้าทำเพราะอะไร”
“จะอะไรนอกจากอยากได้ผัวมึง นี่มึงอย่ามาทำเป็นนางเอกนิยายนะอิเอม อิลูกโง่ เดี๋ยวกูตบให้สมองกลับเลยค่ะ” ปรายตามามองแรงใส่กูซะแบบนั้น โมโหเหมือนพี่ดาบเป็นผัวมันอ่ะครับ
“กูไม่ได้นางเอกหรอก แต่กูก็แค่คิดกลับกัน ว่าที่เค้าทำแบบนั้นมันเพราะอะไร”
“เรื่องบางเรื่องอ่ะมึง ต่อให้มึงคิดแทบตาย พยายามมองมุมกลับแค่ไหน กับเรื่องบางเรื่องที่คนตั้งใจทำให้มึงเจ็บอ่ะ มองไปมึงก็ไม่เห็นเหี้ยอะไรดีขึ้นมาหรอก” อืม...ก็อาจจะจริงแบบที่หยีมันว่า ผมพยักหน้ารับคำพูดของมัน ได้ยินเสียงมันถอนหายใจอีกครั้ง
“แต่ก็ขอบใจมากนะมึง ขอบคุณอาม่ามึงด้วยนะ”
“เล็กน้อยหน่า หอนี้มันก็มีห้องว่างอยู่พอดี มึงมาพักที่นี่ก็ดีกว่าที่อื่น กูก็จะได้สบายใจด้วย”
“ไม่รู้ชาติก่อนทำบุญอะไรถึงเจอเพื่อนแบบมึง ขอบคุณจริงๆว่ะป้า” คิดแบบนี้จริงๆ อยากยกมือไหว้ขอบคุณฟ้าดินที่ทำให้ผมเจอเพื่อนดีๆครับ ... ตอนนี้ผมตัดสินใจย้ายมาพักที่หอพักไม่ไกลจากมหาลัย เป็นหอพักของบ้านไอ้หยีที่เปิดให้นักศึกษาเช่า ราคาไม่แพงเท่าไหร่ และที่สำคัญ พอเป็นผม อาม่าของไอ้หยีก็ไม่เก็บค่าเช่าล่วงหน้าใดๆด้วย ถือเป็นความใจกว้างแบบหายากมากๆ และตอนนี้ เงินในบัญชีผมจากการทำงามมาตลอดหลายเดือนกับพี่ดาบก็ทำให้ผมพอมีเงินอยู่จำนวนหนึ่ง ถึงจะไม่มากแต่ก็พอจะจ่ายค่าน้ำค่าไฟในระยะนี้ และที่สำคัญไปกว่านั้น ผมก็ต้องเริ่มหางานทำด้วย ... งานที่ผมจะไม่ต้องผูกติดกับพี่ดาบมากเกินไป
เสียงตบไฟเลี้ยวของไอ้หยีทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์พอดี มองเห็นหอพักนักศึกษาร่มรื่นหน้าอยู่ครับ เป็นตึกที่ปลอดภัยเพราะมียามเฝ่าและมีที่จอดรถด้วย ไอ้หยีถอยรถเข้าไปจอดในลานจอดตรงช่องที่เอาไว้จอดสำหรับเจ้าของเท่านั้น
“เอ๊ะ” ในตอนที่ผมจะลงจากรถ บังเอิญว่าตาดันมองไปเห็นรถที่จอดอยู่ในลานจอดฝั่งตรงข้าม คุ้นมากๆจนต้องร้องออกมา
“อะไรมึง ปะ ลง เดี๋ยวกูพาไปดูห้อง ห้องมึงอยู่ชั้น3นะ”
“ไอ้หยี”
“อะไรคะ หรือมึงเปลี่ยนใจอยากกลับ”
“เปล่า”
“แล้วคือ” ขมวดคิ้วมองกันแบบไม่เข้าใจ จนตอนที่ผมพยักเพยิกไปที่รถคันดำฝั่งตรงข้ามที่คุ้นตาเราสองคนมากๆ ไอ้หยีก็เบิกตากว้าง
“นั่นรถอิเก้อนี่คะ มันมาทำอะไรที่นี่ อิเหี้ยๆ หรือมันสุกเด็ก”
“เด็กมันก็น้องเสือไม่ใช่หรือไง”
“นั่นแหล่ะ ไอ้ห่านี่ไม่ทิ้งลายหรอวะ กูจะไปบอกน้องเสือ” มันว่าแบบนั้นแล้วรีบก้าวลงไปจากรถ ไม่รอกูด้วยนะ เรื่องเสือกนี่เป็นเรื่องสำคัญมากๆเลยแหะ แต่ตอนนี้ผมไม่รู้สึกอยากจะทำแบบนั้น ก็แค่อยากถึงห้องใหม่ไวๆแล้วจะได้พัก
“ใจเย็นๆ มันอาจจะไม่เป็นแบบนั้น” ผมคว้ากระเป๋าจากเบาะหลังแล้ววิ่งตามมันไป ในตอนที่เราสองคนกำลังจะเดินขึ้นบันไดไป ก็มีใครบางคนเดินสวนลงมาพอ
“อิเก้อ!” ไอ้หยีตะโกนเสียงดังแบบที่ไม่สนใจใคร ทำเอาผมตกใจ และใช่ ไอ้คนที่เดินสวนลงมาก็ตกใจเหมือนกัน มันที่อยู่ในชุดธรรมดาๆที่ยังดูดี แต่เช้าแบบนี้มันมาอยู่ที่นี่ได้ไงวะ
“มึง...ป้า มาทำไรกันที่นี่วะ”
“กูสิต้องถามมึงว่ามาทำอะไรที่นี่คะ มึงนอกใจน้องเสือกูหรอ” อิหยีเท้าเอวแล้วชี้หน้าด่า ไอ้เก้อเบิกตากว้างเลยตอนที่ได้ยิน
“พูดเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย”
“มึงนอกใจกูหรอไอ้พี่เก้อ” และเสียงของคนมาใหม่ที่เดินตามลงมาอีกคนก็ไม่ใช่ใคร น้องเสือ .... มันที่พึ่งเดินตามลงมาแล้วเห็นผมกับไอ้หยีก็ทำหน้าตางงๆนิดหน่อย และใช่...ในตอนนี้เรายืนออกันอยู่หน้าบันได ไม่มีใครขึ้นได้ลงได้ คือพวกมึงจะช่วยเกรงใจกันหน่อยได้ไหมวะ
“กูเปล่านอกใจมึง ป้ามึงอย่ามาพูดพล่อยๆนะเว้ย แล้วพวกมึงมาทำอะไรกันที่นี่”
“นี่มันหอพักของบ้านกูจ้า กูพาไอ้เอมย้ายมาอยู่”
“ย้าย ย้ายมาทำเหี้ยไร” ไอ้เก้อหันมามองผมแบบไม่เข้าใจ และในตอนนี้เองที่น้องเสือก็หันมามองกูด้วยเช่นกัน เป็นดาวเด่นที่ยืนอุ้มกระเป๋าและไม่มีบทสนทนาให้ได้พูดอะไรกับเค้าเลย
“มึงย้ายมาทำไมเอม มีเรื่องอะไร”
“ก็...ไม่มีไร” ผมตอบไปแบบนั้นแล้วยิ้มออกมานิดๆ แต่ไอ้เก้อกลับไม่เป็นงั้นด้วย หน้ามันบึ้งลงนิดหน่อยแล้วจ้องหน้าผมแบบคาดคั้น
“ตอแหลไม่เคยเนียนยังจะพยายาม แล้วมันอยู่ห้องไหนวะป้า ขึ้นไปก่อนเหอะ มายืนเกะกะตรงทางขึ้นลงทำไมวะ” เออจริง ในใจกูก็คิดงั้นอ่ะ แต่ไอ้เอมเหนื่อย ไอ้เอมไม่อยากพูด อยู่ในช่วงเจ็บไข่ จุกจนพูดไม่ออก
“มึงส่งกระเป๋ามานี่ไอ้เอม เดี๋ยวกูถือให้”
“เห้ย ไม่ต้องๆ กูถือเองได้” ผมรีบบอกแบบนั้น แวบนึงที่กูแอบมองเลยไปที่หน้าน้องเสือที่สีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่ ผมเข้าใจนะ เป็นผมก็ไม่ชอบว่ะ ถึงไอ้เก้อจะไม่คิดอะไร แต่ก็ไม่ควรอยู่ดี ... เรื่องโง่อ่ะฉลาดนักแหล่ะไอ้ห่าเก้อ
“เรื่องมากเหี้ยไร กูถือให้ เอามาไอ้โง่”
“สัด” ด่ามันได้แค่นั้นแล้วฝ่ามือของมันก็เอื้อมมากะชากกระเป๋าเสื้อผ้าใบเก่าของผมไปถือหน้าตาเฉย Kจริงๆ
“ไปมึง ห้องไหน”
“ชั้นสามค่ะ ตามมาๆ” ไอ้หยีบอกแบบนั้นแล้วตั้งท่าจะเดินขึ้นบันไดไป แต่ติดตรงที่น้องเสือพูดออกมาแบบนั้นซะก่อน
“แล้วข้าวกูอ่ะไอ้พี่เก้อ” น้องเสือว่าออกมาแบบนั้น พวกเราสามคนชะงักไป รวมถึงไอ้เก้อที่เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้เหมือนกัน
“คือว่า...” ไอ้เก้อพูดออกมาแค่นั้น ตามองตา ระหว่างสายตาของน้องเสือและสายตาของไอ้เก้อ ผมหันหน้าไปมองหน้าไอ้หยีแล้วถอนหายใจออกมา
“มึงจะพาน้องไปกินข้าวหรอ” ผมถาม
“อืม”
“งั้นมึงก็พาน้องไปเหอะ กูจะไปห้องกับไอ้หยีเอง”
“แต่...กูก็อยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับมึง ทำไมมึงถึงต้องมาอยู่ที่นี่”
“มึงก็คอยมาถามกูเอาทีหลังก็ได้ เรื่องแค่นี้เองทำไรให้ยากวะ เอากระเป๋ากูมา” บอกมันไปแบบนั้นแล้วดึงกระเป๋าตัวเองกลับมา ผมไม่อยากเอาตัวเองไปเป็นปัญหาให้ใครมากขึ้นหรอก เท่าที่เป็นปัญหากับตัวเองตอนนี้ก็มากพอแล้ว
“เออ มึงพาน้องเสือไปเหอะ ห้อง313” ไอ้หยีพูดตัดบทออกมาแบบนั้น ก่อนที่เราสองคนจะเดินหนีมันขึ้นมา ไอ้หยีเอื้อมมือมาตบบ่าผมเบาๆ
“ไอ้เก้อมันโง่ มึงเข้าใจใช่ไหม”
“กูเข้าใจ แต่ภวานาให้แฟนมันเข้าใจแบบกูก็แล้วกัน” ผมบอกแค่นั้น ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องพักที่ไอ้หยีไขให้ เป็นห้องแบบสตูดิโอโล่งๆ ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมาย มีเตียงโต๊ะตู้เสื้อผ้าและห้องน้ำในตัว สำหรับผมอยู่ได้แบบสบาย
“ขอบคุณมากๆนะมึง จริงๆ” ผมหันไปบอกมันแบบนั้นอีกครั้งตอนที่ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นห้อง มันตามลงมานั่งข้างๆแล้วตบไหล่ผมเบาๆ
“มึงเข้มแข็งมากเลยเอม จริงๆนะ...ถ้ากูเป้นมึงอาจจะทำแบบนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ” มันพูดออกมาแบบนั้น และไม่รู้ทำไมตอนนี้ขอบตาของผมมันถึงร้อนๆแบบบอกไม่ถูก เป็นความรู้สึกเหมือนสิ่งที่พยายามอดกลั้นเอาไว้มันพังทลายลงมาตอนที่ไอ้หยีพูดแบบนั้น
“ถ้าเป็นกูอาจจะเลิกกับพี่มัน แล้วก็เตลิดเปิดเปิงไปไหนต่อไหนแล้ว ไม่มีสติมานั่งคิดว่าจะย้ายออก จะไปทำงานอะไรตรงไหนหรอก”
“ไม่หรอก มันก็ไม่ง่ายสำหรับกูเหมือนกัน” ใช่...มันไม่ง่ายสำหรับผมเลย โดยเฉพาะในตอนที่จะเดินออกมาจากห้องของพี่มันเมื่อเช้านี้
.
.
.
“เอม กูไม่ให้ไป กูไม่ให้มึงไป!” เสียงตะโกนที่กังฉุนเฉียวขึ้นมาเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ที่มันพูดออกมาแบบนั้น
เราอยู่ด้วยกันแบบเงียบๆมาทั้งคืนตั้งแต่ที่ผมบอกว่าผมขอเวลา ผมอยากย้ายออกจากที่นี่ พี่มันก็เอาแต่นั่งซึมอยู่ที่เก้าอี้ในครัว ส่วนผมหนีเข้ามาอยู่ในห้องนอน ผมไม่ได้บอกมันว่าห้ามเข้าไป จะมีสิทธิ์อะไรไปพูดแบบนั้นได้ในเมื่อห้องนี้ก็ของพี่มัน แต่ถึงแบบนั้นพี่มันก็ไม่ได้เดินเข้ามาหา และในตอนเช้าที่ผมเก็บกระเป๋าออกมา มันก็โวยวายขึ้นมาแบบที่ได้ยิน
“แต่เอมจะไป” ผมจ้องตามัน ไม่มีความไหวหวั่นอะไรในน้ำเสียงของผม แต่ถึงแบบนั้นผมก็เสหน้าหนี มองหน้าของมันที่ตั้งแต่เจอกันมักจะมีสีสันสดใสเสมอ พี่ดาบมันจะไม่ยอมปล่อยให้หน้าซีด เพราะมันบอกว่าจะไม่สวย แต่หนักจนถึงขั้นใต้ตาดำคล้ำแบบนี้ยิ่งไม่เคยเห็นมาก่อน ...
“เอม...พี่ขอโทษ จะให้ทำยังไงก็ได้ เอมอย่าไป”
“พี่ เอมอยู่แบบนี้ไม่ได้ เอมแค่ขอเวลานะ...” บอกมันแบบจนปัญญา ก้มหน้ามองมือแกร่งที่จับแขนของผมเอาไว้แน่นๆ ฝ่ามือของพี่มันสั่นๆ เรี่ยวแรงดูไม่ค่อยจะมี แต่ผมคิดว่าเพราะเมื่อคืนมันคงนอนไม่หลับ ก็แค่คืนเดียวมันกลับโทรมมากขนาดนี้
“พี่ต้องดูแลตัวเองดีๆนะ...เอมไปถึงแล้วเอมจะบอกนะ”
“พี่จะปล่อยเอมไปได้ยังไง เอมมีแต่พี่นะ” มันพูดออกมาแบบนั้น คำพูดนั้นบีบหัวใจของผมจนน้ำตาคลอ ... ใช่ เรื่องจริงที่ว่าผมมีแต่มัน
“เพราะเอมมีแต่พี่ไง เอมถึงต้องไป ไปยืนด้วยตัวเองให้ได้ไม่ใช่เกาะพี่อยู่แบบนี้”
“เอมไม่ได้เกาะพี่! และถ้าอยากจะเกาะจริงๆกูก็ยินดี กูรวย!” มันที่ดูฉุนเฉียวขึ้นมาอีกครั้งแล้วตอนที่พูดออกมาแบบนี้ รู้ดีเพราะว่าฝ่ามือที่กุมข้อมือของผมกำแน่นขึ้นมา เหมือนมันทั้งโมโหและหวาดกลัว
“แล้วถ้าวันนึงเอมไม่มีพี่ เอมจะทำยังไงวะ”
“มันจะไม่มีวันนั้นไง วันที่เอมจะไม่มีพี่” จ้องหน้าผมอย่างขอร้อง สายตาที่ขอร้องว่าผมอย่าไป
“แต่เมื่อวานเอมก็เหมือนจะไม่มีพี่แล้วนะ...”
“เอม”
“มันยากมากนะเว้ยพี่ เอมไม่ใช่พระอ่ะที่จะแผ่เมตตาให้แล้วบอกว่าสิ่งที่เอมเห็นมามันไม่เป็นไร ถึงเอมจะเข้าใจเรื่องที่มันเกิดขึ้นแต่เอมก็ต้องทำอะไรบ้าง แล้วถ้าพี่ยังพูดอยู่แบบนี้ ได้แต่ขอโทษอยู่แบบนี้แต่ไม่ทำอะไรเลยมันไม่มีอะไรดีขึ้นเลยเว้ยพี่ ... พี่ดาบรู้ไหมว่าผมภวานาด้วยซ้ำว่าในคลิปบ้าๆนั่นมันจะไม่ใช่พี่ แต่พอมันใช่แล้วถึงผมจะเข้าใจแค่ไหนผมก็ยังทนไม่ได้อยู่ดี ผมทนมองหน้าพี่ดีๆตอนนี้ไม่ได้” น้ำตาผมไหลลงมาในตอนนี้ ไม่ต่างจากอีกคนที่หน้าซีดลงจนหัวใจผมเจ็บ แต่ถึงแบบนั้นผมก็ยังคงพูดต่อ
“มันจะไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้นเลย ถ้าพี่ตัดเค้าออกไปจากชีวิตพี่ตั้งแต่วันแรกที่เค้ากลับเข้ามา ... ให้มันเป็นบทเรียนนะว่ามันเพราะอะไรครั้งนี้ผมถึงต้องไป ...ผมรักพี่ แต่ตอนนี้ผมก็ยังกอดพี่เหมือนเดิมไม่ได้ พี่เข้าใจไหม”
บอกออกไปจนหมด และในตอนนั้นที่คนตรงหน้าก็ปล่อยข้อมือผมออกช้าๆ สายตาที่ไม่มีแสงมองผมอย่างคนหมดทางจะสู้ ผมสงสารและทนมองสายตานั่นนานกว่านี้ไม่ได้เลยต้องหันหลังเดินหนีมา
“พี่จะจัดการนะเอม แล้วถ้าถึงวันนั้น เอมจะกลับมาไหม”
“เอมก็ไม่เคยไปไหนจากพี่อยู่แล้วนี่”
“แต่วันนี้เอมกำลังจะไป”
“ก็แค่ชั่วคราว...พี่คิดว่าผมจะปล่อยไปให้กับอิพาพวยหรอวะ ฝันไปเถอะ”
.
.
.
ไอ้หยีกลับไปได้สักพักแล้ว และมีแค่ผมที่ยังคงนั่งอยู่ในห้องนี้เงียบๆโง่ๆอยู่คนเดียว แค่ปล่อยน้ำตาให้มันไหลลงมาแบบไม่กลั้นมันอีกต่อไป จริงๆผมอยากร้องไห้มาตั้งนานแล้ว ก็แค่ฝืนทำว่ากูไม่เป็นไรหรอก กูก็แค่หลบออกมาแค่แป๊บเดียวเอง แต่ถึงแบบนั้นมันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ต่อให้ตัวเราหนีออกมามากแค่ไหน สุดท้ายหัวใจมันก็ยังอยู่ที่เดิม
“เอม ฮึก... เอมคิดถึงพี่ว่ะ”
‘ตื่อดึง’
[[DANI: พี่คิดถึงเอม เมื่อไหร่เอมจะกลับ]]
“ฮึก...มึงมันบ้าพี่ดาบ กูพึ่งมาถึงเอง ฮึก คิดถึงพี่ คิดถึงมากๆเลยนะ”
มันเป็นความเศร้าที่ต่อให้เราคิดถึงกันมากแค่ไหน ก็กลับไปกอดปลอบใจให้กันไม่ได้อยู่ดี...
...
วันต่อมาแต่งชุดนักศึกษาเรียบร้อยมายืนอยู่หน้าร้านกาแฟข้างๆมหาลัย ใช่...ร้านกาแฟที่ไอ้น้องม็อบมันบอกว่าเค้ากำลังต้องการคน จริงๆก่อนหน้านี้ไปหาสมัครงานมาหลายที่แล้วแต่เค้าไม่รับ เค้าบอกว่าเศรษฐกิจเฮงซวยแบบนี้ไม่มีปัญญาจ้างคนเพิ่มหรอก เพราะแบบนั้นผมเลยลองเสี่ยงดู
‘กรุ้งกริ้ง’
เสียงโมบายกระดิ่งที่ห้อยไว้ที่หน้าประตูดังขึ้นมาแบบนั้นในตอนที่ผมเปิดประตูเข้าไป กลิ่นหอมของกาแฟจากเครื่องชงกรุ่นขึ้นมาเตะจมูก เสียงเพลงเบาๆที่ถูกเปิดไว้ดังเข้ามากระทบหูให้ได้รู้สึกผ่อนคลาย มองไปรอบๆเป็นร้านโทนอบอุ่นเน้นโทนน้ำตาลและสีเนื้อกลมกลืน
“รับอะไรดีครับ” เสียงดังมาจากบาร์ทางด้านหน้า มีผู้ชายหน้าตาน่ารักคนนึงยืนอยู่ตรงนั้น ก่อนจะส่งยิ้มน่ารักมาให้ผม ดวงตาวาววับสดใสที่ดูเป็นกันเองยืนยิ้มอยู่ตรงนั้น
“เอ่อ...”
“ทางร้านเรามีหลากหลายเมนูให้ได้เลือกสรรเลยนะครับ อยากทานแบบไหนชอบแบบไหน เข้มอ่อนหวานหอมละมุนลิ้นชื่นใจก็บอกได้เลยครับผม”
“หึหึ” ได้ยินเสียงหัวดังมาจากโต๊ะที่หัวมุมฝั่งขวาไม่ไกลจากบาร์หลุดขำออกมาตอนที่ไอ้น้องนี่มันพูดออกมาแบบนั้น แต่จริงๆผมเองก็อยากขำแต่ฮึบไว้ น้องผู้ชายตรงหน้าหันไปถลึงตาใส่คุณลูกค้าโต๊ะนั้น แล้วขมุบขมิบปากว่า ‘เสือกนัก’
“เอ่อ...พอดีผมมาสมัครงานครับ” ยกมือขึ้นเกาหัวนิดๆแล้วพูดออกมาแบบนั้น ทำตัวไม่ถูกตอนที่เห็นน้องมันด่า
“สมัครงานหรอครับ ร้านเรารับสมัครคนตอนไหนวะ ไม่เห็นจะรู้เลย”
“หื้ม ไม่ได้เปิดรับอยู่หรอครับ” กูนี่ตาค้างเลย หรือคนเต็มแล้ววะ เจ็บไข่มึงแล้วไอ้เอม ไม่มีที่ไปแล้วตัวกู
“มีอะไรกันหรอข้าว” เสียงของคนมาใหม่ที่เดินออกมาจากหลังร้าน ผู้ชายหุ่นบางรูปร่างผอมสูง ผมยาวประบ่าในตาสีฟ้าอ่อนๆจมูกโด่งและริมฝีปากเรียวสวย เป็นผู้ชายที่สวยเลย มองแล้วตอนแรกคิดว่าผู้หญิงด้วยซ้ำครับ
“เอ่อ ... เค้ามาขอสมัครงานครับ”
“หื้ม สมัครงานหรอ พี่ได้เปิดนี่นา”
“ขอโทษครับ พอดีรุ่นน้องผมบอกมาว่าร้านนี้ต้องการคนเยอะ คือขอโทษที่รบกวนนะครับ ผมอาจจะเข้าใจผิด” ผมบอกออกไปแบบนั้นในตอนที่เห็นทั้งเจ้าของและพนักงานทำหน้างงใส่กัน ... ไอ้ห่าม็อบ มึงทำให้กูดูแย่ ถ้าเจอนะมึง กูจะทุบให้หัวแบะ
“เดี๋ยวๆน้อง รุ่นน้องที่ว่าชื่ออะไรหรอ” พี่เจ้าของร้านคนสวยนั่นเรียกผมไว้ก่อน ก่อนที่จะทันออกจากร้าน
“เอ่อ ชื่อม็อบครับ”
“อ้ออออ” พี่เจ้าของร้านว่าแบบนั้น ก่อนสายตาสวยๆตาน้ำข้าวนั่นจะจ้องมองผมนิ่งๆตั้งแต่หัวจรดเท้า รู้สึกเหมือนถูกแสกนยังไงก็ไม่รู้ว่ะ
“เอ่อ...งั้นผมขอตัวนะครับ”
“เดี๋ยวๆน้อง รับๆๆ พี่ต้องการคนงานพอดีเลย”
“ห๊ะ” งงนิดหน่อยแต่แปลกใจมากๆ พี่เจ้าของร้านที่อยู่ในเสื้อเชิดพับแขนมาไว้ที่ข้อศอกเดินออกมาจากบาร์น้ำแล้วเดินเข้ามาหาผมพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่ต้องงงๆ มาคุยเรื่องเงินเดือนกันเลยไหม”
“เดี๋ยวนะพี่ ร้านเราต้องการคนหรอ” น้องพนักงานที่อยู่ตรงเคาเตอร์ตะโกนออกมาแบบนั้น เห็นพี่เจ้าของร้านหันไปถอนหายใจใส่นิดหน่อย
“เสือกน่าไอ้ข้าว” ผู้ชายที่นั่งอยู่โต๊ะตรงมุมพูดออกมาแบบนั้น เค้าหันไปว่าน้องพนักงงาน คิดว่าน่าจะชื่อข้าว
“ไม่เสือกดิพี่ดิน”
“เดี๋ยวนะมึงนะ”
“พอๆ ไม่เอาอย่าทะเลาะกันน่าสองคนนี้ ว่าแต่เราชื่ออะไร พี่ชื่อโรสนะ”
“เอ่อ ชื่อเอมครับ”
“มาจากชะเอมหรอ”
“ครับ”
“ชื่อน่ารักดีจัง งั้นร้านพี่ก็จะอุดมไปด้วยพืชพรรณน่ะสิเนี่ย มีกุหลาบ มีข้าว แล้วก็มีชะเอมนะ” พี่เค้าพูดออกพร้อมรอยยิ้มใจดใจดี...ผมแปลกใจกับเหตุการณ์นี้นิดหน่อย แต่ถึงแบบนั้นผมก็ดีใจที่ผมได้งานทำแล้ว ...
และที่สำคัญ เงินเดือนก็ไม่เบาเลย อดจะแปลกใจที่ผมทำงานอาทิตย์ละไม่กี่ชั่วโมง เพราะผมติดเรียนแต่ก็ยังได้เงินหนึ่งหมื่นบาทอยู่ดี พี่เค้าให้เหตุผลว่า เพราะผมมีประสบการณ์ในการทำงานที่ร้านกาแฟ
.
.
.
(มีต่อจ้า)