Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่ 23# เหตุเกิดจากความเมา [28.12.62]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่ 23# เหตุเกิดจากความเมา [28.12.62]  (อ่าน 17106 ครั้ง)

ออฟไลน์ Sameejaejung

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-17
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

Soulmate วิญญาณป่วนรัก


ความตายเหมือนจะเป็นจุดจบ แต่สำหรับผมคือจุดเริ่มต้น

เพราะพระเจ้าเห็นใจที่ก่อนตายยังโสดและซิงมาตลอด 20 ปี

เลยให้เวลาผม 100 วันเพื่อพิชิตใจคนที่ชอบ

แต่ประเด็นคือผมตายไปแล้ว จะทำแบบนั้นไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร

สู้ทำให้เพื่อนรักของผมกับคนที่ผมชอบรักกันได้ดีกว่าเยอะ!


สารบัญ

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-12-2019 23:52:38 โดย Sameejaejung »

ออฟไลน์ Sameejaejung

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-17
Soulmate วิญญาณป่วนรัก


Intro# จุดจบคือจุดเริ่มต้น


“ไอ้เต้ย! ระวัง!”


นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ได้ยิน ก่อนที่ร่างของผมจะถูกกระแทกอย่างจังจนลอยเคว้งคว้างในอากาศ จากนั้นก็ตกลงมาที่พื้นในสภาพเละเทะน่าอเนจอนาถ


เวลา 00.00 น. ผมถูกรถชนจมกองเลือดตายคาที่...


“ไอ้เต้ยยยยยยยยยยยย!” เสียงของซี เพื่อนสนิทที่สุดของผมร้องตะโกนสุดเสียง ก่อนที่มันจะรีบวิ่งมาที่ร่างไร้วิญญาณของผม กอดและเขย่าไปมาพร้อมกับร้องไห้อย่างน่าสงสาร


‘เสื้อตัวนี้มึงพึ่งไปถอยมานี่นา มากอดศพกูแบบนี้มันก็เปื้อนเลือดไปหมดน่ะสิ ถ้าเกิดซักไม่ออกจะทำยังไง’


ผมถามซี แต่ก็รู้แหละว่าซีไม่มีทางได้ยินอยู่แล้ว เพราะขนาดจะแตะตัวผมยังทำไม่ได้ มือของผมมันทะลุผ่านร่างของซีไป แหงล่ะ ก็ผมเป็นแค่วิญญาณนี่นา


“มึงลืมตาขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะไอ้เต้ย! ลืมตาขึ้นมา! เต้ย! ไอ้เต้ยยยยย!” ผ่านไปหลายนาทีแล้วแต่ซีก็ยังคงร้องไห้ เหมือนว่ามันรับความจริงที่เกิดขึ้นตรงหน้าไม่ได้ ไม่ว่าเพื่อนคนอื่นๆ จะเข้ามาพูดอะไรมันก็ไม่ยอมฟัง ผมอยากจะเข้าไปกอดแล้วก็ปลอบมันนะ แต่น่าเสียดายที่ตัวผมในตอนนี้ทำอะไรไม่ได้เลย


“เกิดอะไรขึ้น ใครเป็นอะไร” เสียงจากผู้ที่พึ่งมาใหม่ถามขึ้น เสียงทุ้มๆ และนิ่งๆ แบบนี้หรือว่าจะเป็น...


“เต้ยถูกรถชนว่ะเอส” หนึ่งในกลุ่มเพื่อนของผมตอบ ส่วนเอสคือคนที่ผมแอบชอบ ถึงแม้จะรู้สึกอายๆ อยู่ก็เถอะที่ต้องมานอนตายในสภาพอเนจอนาถให้เอสเห็น แต่อย่างน้อยแค่ได้เห็นว่าเอสทำหน้าเศร้าเสียใจ และได้เห็นหน้าหล่อๆ ของเอสเป็นครั้งสุดท้ายผมก็ดีใจแล้ว


แต่จะว่าไปการที่ผมเป็นวิญญาณแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ เนี่ย...จะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ เอสแค่ไหนก็ได้ จ้องหน้าหล่อๆ ได้นานเท่าที่จะพอใจ แถมยังทำท่ากอด ซบ ควงแขนได้ตามสบายอีกด้วย นี่ถ้าหากว่าผมสามารถแตะเนื้อต้องตัวเอสได้จริงๆ ล่ะก็ ผมคงสู่ขิตนิพพานตายอย่างสงบศพสีชมพูแน่นอน!


“แล้วนี่มีใครเรียกรถพยาบาลรึยัง” นอกจากจะหล่อแล้วเอสก็ยังมีสติที่สุดด้วยนะเนี่ย


“ยังเลยว่ะ พวกกูก็ทำอะไรไม่ถูก”


“งั้นเดี๋ยวกูจัดการให้” แล้วเอสก็โทรเรียกรถพยาบาล กำชับด้วยนะว่าด่วนมาก จะบวกเพิ่มเท่าไหร่ก็ยินดี โหยยย พอเห็นแบบนี้ผมก็ยิ่งรักยิ่งหลงเอสมากขึ้นน่ะสิ


ถามว่าผมกับเอสเป็นอะไรกัน?


ก็เป็นแค่เพื่อนกันนี่แหละ แถมยังไม่ได้สนิทอะไรมากมายด้วยซ้ำ ถึงแม้จะอยู่บ้านเดียวกันแต่นานๆ ทีจะได้คุยกัน เพราะเอสเป็นคนเงียบๆ นิ่งๆ พูดน้อย แถมไม่ค่อยจะกลับบ้าน ถ้ากลับบางทีก็จะดึกหรือเช้าไปเลย ก็นะ...ดาราดาวรุ่งก็งี้แหละ ก่อนนี้โด่งดังมาจากการเป็นนายแบบ ส่วนตอนนี้ช่องกำลังดันเป็นพระเอกละคร


เฮ้ออออ คิดแล้วก็เสียดาย ตายไปตอนนี้ก็อดดูละครเรื่องแรกของเอสเลยสิเนี่ย


การที่ผมกับเอสได้มาอยู่บ้านเดียวกัน ไม่สิ...ไม่ใช่แค่ผม ก็เพื่อนทั้งกลุ่มนั่นแหละที่อยู่บ้านเดียวกับเอส เพราะว่าพวกผมบังเอิญถูกเจ้าของบ้านเช่าเท ตอนแรกก็ตกลงกันซะดิบดีว่าจะให้พวกผมเช่า แต่ไปๆ มาๆ ก็ดันเทพวกผม บอกว่าจะให้หลานมาอยู่ซะงั้น ดีที่ตอนนั้นเอสผ่านมาเห็นเข้าพอดี คงจะพอคุ้นหน้าคุ้นตาพวกผมบ้างเพราะเรียนมหา’ลัยเดียวกันก็เลยชวนมาอยู่ด้วย


บ้านของเอสอยู่ในซอยเดียวกันกับบ้านที่พวกผมจะเช่า แต่อยู่ลึกจนสุดซอย ตัวบ้านมีทั้งหมด 4 ห้อง ของเอส 1 ห้องส่วนอีก 3 ห้องก็ให้พวกผมที่มี 6 คนแบ่งกันอยู่ ค่าเช่าบ้านไม่คิดแค่ขอให้ดูแลบ้านกับทำความสะอาดให้ก็พอ เรียกได้ว่านอกจากจะหล่อก็ยังใจดีมีเมตตาสุดๆ!


ซึ่งในขณะที่ผมกำลังเคลิบเคลิ้มและพร่ำเพ้อถึงเอสอยู่นั้น...


“ใครเป็นอะไรคะเอส” ชะนีน้อยนามว่าอีฟ ซึ่งเป็นแฟนของเอสก็เดินลงมาจากรถ โอ๊ย! หมดอารมณ์จะเพ้อ!


“เพื่อนผมโดนรถชน”


“อ๋อ นั่นใช่มั้ยคะ เลือดท่วมขนาดนั้นจะรอดมั้ยน่ะ” โอ้โห! นั่นปากเรอะ! ยัยอีฟทำหน้าสยองๆ ตอนมองมาที่ศพของผม


“อย่าพูดอะไรที่มันอัปมงคลได้มั้ย” ใช่ๆ เอสพูดถูก ถึงผมจะตายไปแล้วก็เถอะ แต่ยัยนี่คิดไม่ได้รึไงว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด


“อีฟก็แค่พูดตามสิ่งที่เห็น” ยัยอีฟยักไหล่ ถึงแม้พวกเพื่อนของผมจะพากันมองตาเขียวปั๊ดแต่ก็หาได้แคร์ไม่


“ผมว่าตอนนี้อีฟกลับไปก่อนเถอะ อยู่ไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร” พูดถูกใจกดไลก์รัวๆ!


“แต่นี่มันเที่ยงคืนแล้วนะ เอสจะให้อีฟกลับคนเดียวตอนนี้ได้ไง” ยัยอีฟเริ่มขึ้นเสียง ส่วนเอสก็ทำหน้าเอือมระอา


“เดี๋ยวผมเรียกแกร็บให้”


“อีฟไม่นั่ง!”


“งั้นก็เดินกลับ”


“เอส!”


“โว้ยยยยยยย! ไปทะเลาะกันที่อื่นไป๊!” นี่ไม่ใช่เสียงหรือความในใจของผม เพราะผมกำลังสะใจที่เห็นยัยอีฟกำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่คนที่หันมาเหวี่ยงใส่ก็คือซี พอเหวี่ยงเสร็จก็หันไปกอดศพผมแล้วร้องไห้ต่อ จะเป็นไบโพลาร์มั้ยน้อเพื่อนผม ส่วนยัยอีฟที่พอโดนเหวี่ยงแบบนั้นก็สะบัดบ็อบแล้วเดินหนีไปอีกทาง


ก็ไม่ได้อยากจะเผือกหรอกนะ แต่เห็นยัยอีฟที่หัวเสียหยิบโทรศัพท์ออกมาก็เลยขอแอบดูสักหน่อย เห็นกดโทรออกหาใครก็ไม่รู้เพราะไม่ได้บันทึกชื่อไว้


“ที่รัก มารับเค้าหน่อยได้มั้ย”


หืม? เดี๋ยวนะ...ที่รัก? ยัยนั่นเป็นแฟนของเอสแต่เรียกคนอื่นว่าที่รักนี่มันหมายความว่าไงวะ?


“อย่าให้พูดเลย เอสเคยสนใจอีฟที่ไหนกันล่ะ เตงรีบมานะ เดี๋ยวเค้าแชร์โลไปให้” แล้วยัยอีฟก็กดวางสาย จากนั้นก็กดแชร์โลเคชั่นที่อยู่ปัจจุบันไปให้ทางไลน์


ผมไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร แต่ที่แน่ๆ คือยัยอีฟกำลังสวมเขาให้เอสแน่นอน!


คนอย่างเธอกล้านอกใจเอส (ของผม) ได้ยังไงกันหา!


จังหวะนั้นเองเสียงไซเรนก็ดังขึ้น ก่อนที่รถพยาบาลจะมาจอดอยู่ตรงหน้า พวกพี่เขาทำงานกันเร็วมาก รีบพากันออกจากรถมาพร้อมกับเครื่องไม้เครื่องมือเพื่อมาช่วยชีวิตผม แต่ก็นั่นแหละ ไม่มีปาฏิหาริย์ พี่เขาบอกกับพวกเพื่อนผมว่าผมเสียชีวิตได้สักพักแล้ว


“ไม่จริง! ฮือออออ ไอ้เต้ยยยยย” ซีร้องไห้ฟูมฟายทันทีที่ได้ยินแบบนั้น จังหวะนั้นผมเลยพักเผือกเรื่องยัยอีฟแล้วจะไปปลอบซี ถึงแม้จะทำอะไรไม่ได้แต่อย่างน้อยได้อยู่ข้างๆ ก็ยังดีล่ะนะ แต่อยู่ดีๆ ก็มีใครก็ไม่รู้หน้าตาดุดันน่ากลัวตัวดำมาขวางผมเอาไว้


“ข้ามารับวิญญาณของเจ้า” โอ้มายก็อด! ยมทูตหน้าตาเป็นยังไงในที่สุดผมก็ได้เห็นสักที!


“มะ...มารับวิญญาณผม ตอนนี้เลยหรอครับ”


“ใช่”


“คือ...ผมขออยู่ต่ออีกหน่อยได้มั้ยครับท่าน ยังมีอะไรที่ผมต้องทำอีกหลายอย่างเลย” ไหนจะเป็นห่วงเพื่อน ไหนจะเผือกเรื่องยัยอีฟ ไหนจะต้องหาทางบอกให้เอสรู้ว่าโดนสวมเขา แล้วก็เรื่องอีกร้อยแปดพันเก้า เพราะงั้นผมยังไปเกิดหรือไปชดใช้กรรมตอนนี้ไม่ได้หรอกนะ


“ไม่ได้ เวลาของเจ้าได้หมดลงแล้ว”


“แต่ท่านยม...”


“ถ้าหากเจ้าไม่ยอมไปดีๆ เห็นทีข้าคงต้องใช้กำลัง” โดยที่ยังไม่ทันจะได้ถามอะไร ก็มีลำแสงสีแดงเหมือนเชือกมารัดที่ข้อมือทั้งสองของผมเอาไว้ด้วยกันซะแล้ว!


ด้วยความตกใจในความแสบร้อน ผมเลยร้องลั่นแล้วสะบัดข้อมืออย่างแรงจนมันขาดกระจาย...โอ๊ะ! นี่ผมไม่ได้ตาฝาดใช่มั้ย? เชือกขาดไปแบบนี้ก็แสดงว่าผมเป็นอิสระแล้วน่ะสิ!


“ทำไมเจ้าถึง...” ท่านยมเหมือนจะงงๆ อย่าว่าแต่ท่านเลย เพราะผมก็งงเหมือนกัน แต่จังหวะนี้ผมจะมัวงงต่อไปไม่ได้ ผมต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองอยู่ต่อให้ได้เพราะมีหลายเรื่องที่ต้องจัดการ!


“ได้โปรดเห็นแก่วิญญาณที่ยังโสด ซิง ไม่เคยมีแฟนมาตลอด 20 ปีเถอะนะครับท่านยม ขอให้ผมได้อยู่ต่อเพื่อช่วยคนที่ผมชอบ เขาเป็นคนดี แต่กำลังถูกชะนีสวมเขา ขอให้ผมได้บอกเขาแล้วก็กำจัดชะนีนั่นให้ออกจากชีวิตของเขาไปเถอะนะครับ ไม่อย่างนั้นผมคงมีห่วงนอนตายตาไม่หลับ ไหนจะห่วงเรื่องเพื่อนที่ยังทำใจเรื่องผมไม่ได้ ผมอยากไปบอกลาพวกนั้นสักหน่อย เพราะงั้นได้โปรดให้ผมอยู่ต่อด้วยเถอะนะครับ นะๆๆ น้าาาา ผมขอร้อง...” ผมคุกเข่าพนมมือไหว้พร้อมทำตาปริบๆ ถ้าหากเทวดามีจริงได้โปรดช่วยลูกช้างด้วยเทอญญญญ


“ก็ได้”


“เอ๊ะ?” นี่ผมฟังผิดรึเปล่า? เมื่อกี้ท่านยมบอกผมว่าก็ได้จริงๆ ใช่มั้ย!


“ข้าได้รับบัญชาจากเบื้องบนว่าให้เวลาเจ้าอยู่ต่อ ระหว่างนี้เจ้าสามารถทำได้ทุกอย่างในขอบเขตพลังของเจ้า หากต้องการบอกลาเพื่อนหรือผู้ใดก็แค่เข้าฝัน แต่หากต้องการพิชิตใจคนที่เจ้ารักนั้นเกรงว่าจะทำไม่ได้ เพราะเจ้าไม่สามารถสัมผัสร่างกายมนุษย์ แต่จะสัมผัสได้เพียงสิ่งของ ซึ่งก็ไม่ยากเพียงแค่รวบรวมสมาธิเท่านั้น”


พอได้ยินแบบนั้นผมก็เลยลองหลับตาทำสมาธิ จากนั้นก็ลืมตาแล้วลองใช้มือสัมผัสก้อนหินเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ๆ...อุ๊ต๊ะ! ผมสามารถทำได้จริงๆ ด้วย!


“เจ้าสามารถอยู่ต่อได้จนกว่าจะถึงกำหนดทำบุญ 100 วันเท่านั้น พอครบกำหนดแล้วจะไม่มีการผ่อนปรนให้เจ้าอีกเด็ดขาด และถ้าหากตอนนั้นเจ้ายังคงดื้อดึงที่จะอยู่ต่อ เบื้องบนก็ให้สิทธิ์ข้ากำจัดวิญญาณของเจ้าได้ในทันที” พูดถึงตรงนี้หน้าของท่านยมก็เหี้ยมเกรียมขึ้นมาอีกเท่าตัว


อูยยยย แค่หน้าปกติผมก็กลัวจะตายอยู่แล้วครับท่าน


“ขอบคุณท่านยมมากๆ เลยนะครับที่เมตตาวิญญาณตัวน้อยๆ อย่างผม ผมสัญญาครับว่าจะไม่ดื้อไม่ซน ครบกำหนดแล้วจะยอมไปกับท่านแต่โดยดีเลยครับ” ผมพนมมือไหว้พร้อมกับยิ้มแฉ่ง ส่วนท่านยมก็พยักหน้าแล้วก็หายตัวไปกับสายลม


มีเวลาอยู่ที่โลกต่ออีกประมาณ 100 วัน จะว่าสั้นก็สั้น จะว่ายาวก็ยาว ระหว่างนี้ผมก็จะพยายามเต็มที่เพื่อสะสางห่วงที่ผมมี โดยเฉพาะเรื่องของเอสกับยัยอีฟ ผมต้องหาทางบอกให้เอสรู้ว่ากำลังถูกยัยนั่นสวมเขา


จะว่าไปแค่บอกเฉยๆ ไม่พอหรอก ผมว่าผมต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อกำจัดยัยนั่นออกจากชีวิตของเอส แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ ผมจะหาคนดีๆ ที่คู่ควรและเหมาะสมให้ด้วยเลยแล้วกัน ส่วนจะเป็นใครนั้น...


อุ๊ต๊ะ! ทำไมผมถึงพึ่งเห็นโมเมนต์ของสองคนนี้ เอสกับซีนี่มันคือคู่ที่ลงตัวมาก ยิ่งยืนอยู่ข้างๆ กันแบบนี้นี่ยิ่งใช่ คนหนึ่งพูดน้อยเงียบขรึมส่วนอีกคนก็ปากร้ายขี้โวยวาย ความต่างที่ลงตัวแบบนี้เคมีมันได้สุดๆ เลยอะ!


เอาล่ะ ภารกิจ 100 วัน ผมจะต้องทำให้เพื่อนรักของผมกับคนที่ผมชอบรักกันให้ได้!


2BC


สวัสดีค่าทุกคน หลังจากที่เราพักงานเขียนอยู่นาน ในที่สุดก็มีเวลามาเปิดเรื่องใหม่สักที เย่!  :a9:
ถึงจะเห็นบทนำเป็นวิญญาณของเต้ยมาบรรยาย แต่ความจริงแล้วพระนายของเรื่องนี้คือเอสกับซีนะคะ จะมีใครงงมั้ยน้า 55555  :laugh3:
เริ่มเรื่องมาก็มีคนตายซะแล้ว หลายคนอาจจะคิดว่าเรื่องนี้จะออกแนวดราม่า ไม่เลยค่ะ เรื่องนี้มาแนวสายฮาบ้าๆบอๆมากกว่า แล้วก็ไม่ต้องกลัวนะคะว่าผีเรื่องนี้จะน่ากลัว เพราะผีเรื่องนี้อะน่าร้ากกก คิดซะว่าเป็นกามเทพแทนก็ได้ค่ะ อิอิ  :impress2:
ยังไงก็ขอฝากทุกคนติดตามกันต่อด้วยนะคะ เราจะพยายามมาลงวันเว้นวัน และจะลงให้ครบ 100% ไม่แบ่งครึ่ง คิดว่าคงจะทำให้อ่านได้อย่างจุใจมากกว่า แล้วเจอกันตอนหน้านะคะทุกคน ถ้าอ่านแล้วชื่นชอบก็คอมเมนท์เป็นกำลังใจให้เค้าด้วยน้า จุ๊บบบบบ  :จุ๊บๆ:

ออฟไลน์ Y-Darkness

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
โถๆๆๆ ตัวตายแต่ก็ยังทำให้เพื่อนสมหวังเนอะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Sameejaejung

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-17
Soulmate วิญญาณป่วนรัก


Part1# Z อุบัติเหตุ


“ปิดเทอมแล้วโว้ยยยยยย!” ผมเดินออกมาจากห้องสอบพร้อมกลุ่มเพื่อนตะโกนขึ้นด้วยความดีใจ


เป็นไทแล้วคร้าบ ปิดเทอมใหญ่สักที ต่อจากนี้ก็ไม่ต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าไปเรียน ปั่นงานจนแทบไม่มีเวลานอน และอ่านหนังสือจนหามรุ่มหามค่ำอีกต่อแล้ว ชีวิตดีๆ ที่มีอิสระเสรีกำลังรอผมอยู่ เย่!


“พวกมึงมีแพลนจะไปไหนกันเปล่าวะ” ผมถามเดอะแก๊งขณะที่พวกเรากำลังเดินไปขึ้นรถเพื่อกลับบ้านที่อาศัยอยู่ด้วยกัน


แก๊งของผมมีกันทั้งหมด 6 คน ก็จะมีผม ไอ้เต้ย ไอ้เก่ง ไอ้เสือ ไอ้อาร์ท แล้วก็ไอ้หลินซึ่งเป็นผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียว แต่พวกผม (ยกเว้นไอ้อาร์ทที่เป็นแฟนมัน) ก็ไม่ค่อยเห็นมันเป็นผู้หญิงเท่าไหร่หรอกนะ ฮ่าๆๆๆ


ด้วยความที่มีนิสัยเกรียนๆ และบ้าๆ บอๆ ล่ะมั้งพวกผมเลยสนิทกันมาตั้งแต่ปี 1 พอขึ้นปี 2 เลยตกลงกันว่าไปเช่าบ้านอยู่ด้วยกันดีกว่า เพราะนอกจากจะประหยัดแล้วยังสะดวกต่อการทำอะไรหลายๆ อย่าง แน่นอนว่าเรื่องเรียนก็ใช่ แต่เรื่องเฮฮาปาร์ตี้นี่เรื่องใหญ่กว่า


ไม่รู้จะเรียกว่าดวงดีหรือดวงตกที่ถูกเจ้าของบ้านเช่าเท พวกผมเลยได้มาอยู่บ้านของไอ้เอสฟรีๆ โดยไม่ต้องเสียเงินสักบาท คือไอ้ดีมันก็ดีอยู่หรอก แต่ผมรู้สึกอึดอัดนิดหน่อยเพราะไอ้เจ้าของบ้านมันดูไม่ค่อยเป็นมิตรนี่แหละ พูดก็น้อย อัธยาศัยก็แย่มาก แถมยังชอบทำหน้านิ่งอย่างกับรูปปั้น เป็นดาราแล้วต้องเก๊กรึไงวะ เห็นแล้วรู้สึกหงุดหงิดไม่ค่อยถูกชะตายังไงไม่รู้


ดีที่ 2 – 3 วันผมถึงจะเจอหน้ามันเพราะมันไม่ค่อยกลับบ้าน หรือกลับก็ไม่รู้แต่ดึกมากไม่ก็เช้ามากจนผมไม่เจอ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันไปนอนที่ไหน แต่ไม่กลับบ้านบ่อยๆ น่ะดี ไม่งั้นผมคงอึดอัดตายห่าที่ต้องอยู่บ้านหลังเดียวกับมัน


บ้านหลังนี้มีทั้งหมด 4 ห้อง ห้องหนึ่งเป็นของไอ้เอสที่เป็นเจ้าของบ้าน ส่วนอีก 3 ห้องพวกผมก็แบ่งกันอยู่ ผมสนิทกับไอ้เต้ยที่สุดเลยอยู่ด้วยกัน ไอ้เก่งกับไอ้เสือที่สนิทกันที่สุดก็ด้วย ส่วนอีกห้องก็แน่นอนว่าต้องเป็นไอ้อาร์ทกับไอ้หลินอยู่แล้วอะนะ


“กูว่าจะอยู่ที่นี่แหละ เดี๋ยวจะหางานพิเศษทำ ไม่อยากกลับไปอยู่กับป้า เกรงใจน่ะ” ไอ้เต้ยพูด คือพ่อแม่ของมันเสียนานแล้ว ป้าเลยรับมาเลี้ยงเพราะไม่อยากให้ไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่ฐานะทางบ้านก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มันเลยไม่อยากรบกวนให้ลำบากมากกว่านี้


“งั้นเดี๋ยวกูอยู่เป็นเพื่อน” ผมกอดคอไอ้เต้ย คือกลัวมันเหงาอะใช่ แต่ก็ขี้เกียจกลับบ้าน อยากใช้ชีวิตอิสระที่นี่ด้วยเหมือนกัน


“แล้วพ่อแม่มึงจะไม่ว่าอะไรรึไงไอ้ซี”


“ไม่ว่าหรอกน่า แต่คงต้องกลับไปให้เห็นหน้าสักอาทิตย์ มึงก็ไปกับกูด้วยดิ” พอผมพูดแบบนี้ไอ้เต้ยมันเลยหรี่ตาลง


“จะดีเร้อ เดี๋ยวพ่อแม่มึงรักกูมากกว่าจะมางอแงไม่ได้นะ”


“แสรดดดด ถ้าคิดว่าทำได้ก็ลองดู” กวนตีนฉิบหายเลยไอ้นี่ น่าหมั่นไส้จริงๆ ผมเลยขยี้หัวมันจนฟูฟ่อง มันตัวเตี้ยกว่าผมเลยขยี้ได้มันมือจัด จนเมื่อหนำใจแล้วนั่นแหละผมถึงหันไปถามไอ้พวกที่เหลือต่อ


“แล้วพวกมึงอะยังไง”


“กูก็จะอยู่นี่แหละ ขี้เกียจกลับไปให้คุณนายที่บ้านบ่น” คุณนายที่ไอ้เก่งว่าก็แม่มันนั่นแหละ


“ดีๆ งั้นเดี๋ยวอยู่เตะบอลเล่นเกมกันที่นี่ ปิดเทอมแล้วอยู่ได้ยันหว่าง”


“จัดไปไอ้เสือ” แล้วไอ้เก่งกับไอ้เสือก็เอากำปั้นชนกัน ท่าทางบ้านที่คิดว่าจะเงียบเหงาเพราะปิดเทอมคงจะยิ่งครึกครื้นมากกว่าเดิมซะแล้ว


“ส่วนพวกมึงกูคงไม่ต้องถามมั้ง” ผมพูดในขณะที่กำลังมองไอ้อาร์ทกับไอ้หลินที่ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋ ถ้าจะขนาดนี้ไม่สิงร่างกันเลยล่ะแหม่


“ก็ดี กูก็ขี้เกียจตอบ” ไอ้หลินหันมาพูดด้วยเสียงหนึ่งกับผม ก่อนจะหันไปพูดเสียงสองกับไอ้อาร์ท “เดี๋ยวเราหาเวลาไปเที่ยวทะเลกันด้วยเนอะเตง”


“ได้เลยคนสวย เตงอยากไปไหนเค้าพาเตงไปได้ทุกที่เลย”


“ใครก็ได้หาถุงมารองอ้วกกูที” ผมกลอกตามองบน พออยู่ด้วยกันนี่งุ้งงิ้งมุ้งมิ้ง เตงอย่างนั้น เค้าอย่างนี้จนผมอยากจะอ้วก ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมคนมีแฟนชอบเป็นอย่างนี้ หรือต้องมีก่อนผมถึงจะเข้าใจ?


พวกผมเดินคุยกันไปไม่นานก็ถึงรถของไอ้อาร์ท มันเป็นคนเดียวในกลุ่มที่มีรถขับ เพราะงั้นพวกผม 6 คนเลยต้องจำใจยัดกันอยู่ในรถเพื่อไป – กลับบ้าน – มหา’ลัย แต่เอาจริงๆ ใช้คำว่ายัดก็ดูจะเวอร์ไปหน่อย คือมันก็ไม่ได้เบียดมากมายขนาดนั้นหรอก เพราะไอ้หลินกับไอ้เต้ยมันตัวเล็กเลยนั่งข้างหลังกับผมแล้วก็ไอ้เก่ง ส่วนไอ้เสือที่ตัวบิ๊กเบิ้มก็ไปนั่งคู่กับไอ้อาร์ทคนขับที่เบาะหน้า


“สอบเสร็จทั้งทีคืนนี้ไปเมากันหน่อยมะ?” ไอ้เก่งชวน พวกผมที่ไม่มีแอลกอฮอล์ลงท้องมานานแล้วเลยรีบพากันพยักหน้า


“มีร้านดีๆ สาวแหล่มๆ เปล่าวะ” ไอ้ผมมันก็หนุ่มโสด คนคุยก็พอมีแต่ยังไม่เจอที่ถูกใจเลยยังไม่ได้คบกับใครเลยสักคน


“มีๆ ก็ร้านนั้นไงที่กูกับไอ้เสือไปตอนก่อนจะสอบ แต่ละคนนี่ขาว อวบ อึ๋ม เซ็กซี่สุดยอด” พูดอย่างเดียวคงกลัวผมไม่เชื่อ ไอ้เก่งแม่งเลยเอามือลูบไล้สรีระตัวเองแล้วทำหน้าเซ็กซี่ประกอบ แต่ทานโทษเถอะ กูสยองจนขนลุกหมดแล้วสัส!


“พอๆๆ ก่อนที่กูจะหดไปมากกว่านี้ แล้วร้านนี่อยู่ไกลมั้ย”


“ไม่เท่าไหร่ แต่อยู่ติดถนนเส้นหลัก ที่จอดรถเลยน้อยต้องรีบไปนิดนึง”


“งั้นกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรีบออกไปกัน” ไม่ค่อยรีบเท่าไหร่เลยผม แต่ก็ไม่มีใครค้านอะไรนะ ก็แหม...อดอยากปากแห้งทั้งเหล้าทั้งอาหาร (ตา) กันมานาน ถึงคราวปล่อยผีปลดปล่อยอารมณ์ให้เต็มที่กันสักที


แต่แทนที่พอถึงบ้านแล้วจะได้รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างที่คุยกัน คือหลังจากจอดรถได้ไม่ถึงนาทีไอ้เอสก็ขับรถตามเข้ามา ไอ้พวกเพื่อนผมมันก็อัธยาศัยดีมีมารยาท เลยพากันยืนรอเพื่อที่จะได้ทักทายไอ้เอส


เฮ้ออออ มันใช่เรื่องมั้ยสาดดดดด


“ไงเอส ไม่เจอกันตั้งหลายวัน นี่พึ่งสอบเสร็จหรอ”


“อืม” ดู๊ดูมัน ไอ้เก่งพูดไปตั้งยาวแต่มันดันตอบกลับมาคำเดียว แม่งกลัวดอกพิกุลจะร่วงจากปากรึไงวะ


“พวกกูก็พึ่งสอบเสร็จเหมือนกัน นี่เลยว่าจะไปฉลองกันสักหน่อย ไปกับพวกกูเปล่า” ก็รู้หรอกนะไอ้เก่งว่ามึงอะพูดมาก พูดเป็นต่อยหอย พูดจนลิงหลับ แต่คือมึงไม่ต้องพูดมากกับทุกคนก็ได้มั้ง โดยเฉพาะกับไอ้ขี้เก๊กนี่


“นั่นสิ ไปด้วยกันนะเอส ไปกันเยอะๆ สนุกดี” ไอ้เต้ยนี่ก็เหมือนกัน ชอบไปเสวนากับไอ้เอสจังเลย เป็นอะไรมากมั้ยเฮ้ยฮัลโหลลลล


“กูต้องไปถ่ายละครต่อ”


เหอะ! ก็ไม่รู้ว่ามันพูดจริงหรือแค่ข้ออ้างไม่อยากไปกับพวกผม แต่ก็ดี เพราะผมก็ไม่ได้อยากให้มันไปด้วยเหมือนกัน


“ว้า เสียดายจัง แต่ถ้าเลิกเร็วก็ตามมานะ ร้านอยู่ไหนนะไอ้เก่ง” ให้ตายสิ ยังจะดันทุรังอีกนะไอ้เต้ย ส่วนไอ้เก่งก็เหมือนกัน บอกชื่อร้านแถมทางไปให้ซะเสร็จสรรพ นี่พวกมึงดูกันไม่ออกหราว่ามันไม่อยากไปด้วย!


“ถ้าเสร็จไม่ดึกมากเดี๋ยวกูตามไป” เหอะ! ตอบแค่เอาหล่อเฉยๆ แหละผมว่า


“แล้วเจอกันนะ”


“อืม”


“รีบไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้วน่า” แล้วผมก็รีบกอดคอพาไอ้เต้ยเข้าบ้านไปเลย ขืนปล่อยเอาไว้เรื่อยๆ คงจะคุยกันยาวกว่านี้ ส่วนไอ้พวกที่เหลือพอเห็นผมกับไอ้เต้ยเข้าบ้านก็พากันตามเข้ามาเหมือนกัน


“เฮ้ออออ อยากให้เอสไปด้วยจัง” พอเข้ามาในห้องไอ้เต้ยก็ทำหน้าหงอยเป็นหมาเหงาเลย


“ดีแล้วที่มันไม่ไป บรรยากาศอึมครึมตายห่าพอดี”


“แหม มึงก็พูดเกินไป”


“เกินไปที่ไหน อยู่บ้านด้วยกันมาเกือบปี กูกับมันเคยพูดกันรวมๆไม่ถึงนาทีเลยมั้ง”


นี่ผมพูดจริงๆ ไม่ได้เวอร์เลยนะ คือคนบ้าอะไรพูดน้อยฉิบหาย แถมยังชอบทำหน้าตายเหมือนคนไร้ความรู้สึก อยากรู้จริงๆ ว่านิสัยแบบนี้แม่งเป็นดาราได้ยังไง ปกติอาชีพแบบนี้ต้องยิ้มแย้มแจ่มใสไม่ใช่เรอะ หรือว่าจุดขายของมันคือความเย็นชาหน้าตาย?


เห็นผมพูดจนเกือบจะเป็นด่าแบบนี้ ก็ไม่ใช่ว่าผมเกลียดอะไรไอ้เอสนักหนาหรอกนะ จริงๆ มันก็คงจะเป็นคนดีอยู่นั่นแหละ ไม่งั้นคงไม่ยอมให้พวกผมมาอยู่ที่บ้านด้วยฟรีๆ แต่ว่าผมก็แค่หมั่นไส้ในความขี้เก๊ก ชอบวางมาดของมันเฉยๆ


“เอสเขาก็เป็นคนขรึมๆ จะพูดน้อยก็เรื่องปกติแหละน่า”


“เอาเข้าไป เป็นแฟนคลับมันรึไงชอบแก้ตัวให้มันอยู่เรื่อย” ไอ้เต้ยแค่ยักไหล่ไม่ตอบอะไร ผมที่ขี้เกียจจะคุยเรื่องของไอ้เอสแล้วเลยคว้าผ้าเช็ดตัวไปอาบน้ำซะเลย


ประมาณ 1 ชั่วโมงพวกผมก็พากันออกจากบ้าน ตอนออกมาก็ไม่เห็นรถของไอ้เอสแล้ว แต่มันจะไปไหนใครสนกันล่ะ แค่อย่าโผล่มาตอนที่พวกผมกำลังสนุกกันก็พอ


เมื่อไปถึงร้าน ตอนแรกแต่ละคนก็ยังกลัวๆ กล้าๆ กินแต่อาหารแล้วก็โยกไปตามเพลงเบาๆ แต่พอเหล้าเข้าปากเท่านั้นแหละ โอ้โห แดนซ์กันกระจาย สนุกสุดเหวี่ยงกันจนลืมเหนื่อย ยิ่งไอ้เก่งกับไอ้เสือนะ สองตัวนั้นแม่งดีดกันเกินเบอร์มาก ยิ่งต่อหน้าสาวๆ นี่ยิ่งใส่เกินร้อย


ถามว่าหลังจากนั้นเป็นไง?


ยังไม่เที่ยงคืนก็พากันมาอ้วกอยู่หน้าร้านกันน่ะสิ!


“โอ้กกกกกกกกก แหวะ!”


“ไหวเปล่าเฮ้ยพวกมึง” ให้ตายสิ แทนที่จะได้นั่งมองของสวยๆ งามๆ ในร้าน ทำไมผมต้องได้มามองแผ่นหลังของไอ้เพื่อนเวร 2 ตัวด้วยเนี่ย


“หวาย...กูหวาย...แค่นี้สบาย...โอ้กกกกก!” ยังไม่ทันไรก็อ้วกออกมาละ ไม่เห็นเก่งเหมือนชื่อเลยนะมึง


“พวกมันเป็นไงบ้างซี” ไอ้เต้ยที่เดินออกมาจากร้านถามผม ท่าทางของมันดูมึนหน่อยๆ คออ่อนจริงๆ ทั้งที่กินไปแค่ 2 แก้ว


“อย่างที่เห็นอะ พูดแทบไม่รู้เรื่อง ยืนแทบไม่ได้” อนาถฉิบหายเลยเพื่อนกู


“ไอ้หลินก็ไม่ต่างกัน นั่นก็เรื้อนจนไอ้อาร์ทแทบจะเอาไม่อยู่ละ” ดีจริงๆ เพื่อนกูแต่ละคน สงสารก็แต่ไอ้อาร์ท แดกเหล้าไม่ได้เพราะต้องคอยคุมแฟนแล้วก็ต้องขับรถให้เพื่อน


“งั้นกลับกันเลยมั้ย มึงว่าไง”


“กลับเลยก็ดี เดี๋ยวเมาแล้วไปมีเรื่องกับใครนี่แย่เลย”


“นั่นดิ งั้นมึงไปตามไอ้อาร์ทกับไอ้หลินนะ เดี๋ยวกูจะพาไอ้เก่งกับไอ้เสือไปที่รถก่อน”


“โอเค” ไอ้เต้ยพยักหน้าแล้วก็เดินเข้าไปในร้าน ส่วนผมก็จัดการพาไอ้เสือกับไอ้เก่งไปที่รถ


แต่เนื่องจากต้องข้ามถนนที่มี 4 เลนมันเลยลำบาก ผมต้องพาไอ้เสือที่ตัวเท่าควายข้ามไปก่อน ส่วนไอ้เก่งที่ตัวพอๆ กับผมค่อยพามันข้ามมาทีหลัง นี่ถ้าไม่มัวแต่เสียเวลาคุยกับไอ้เอสคงได้จอดรถตรงที่จอดดีๆ แล้วแท้ๆ ยิ่งวันสอบเสร็จแบบนี้ยิ่งต้องรีบมาเร็วๆ คิดแล้วก็เซ็งที่ต้องข้ามฟากไปหาที่จอดในซอย


 “พวกมึงยืนกันดีๆ เป็นมั้ยเนี่ย เอะอะไหลๆ ชาติก่อนเกิดเป็นปลาไหลรึไงสัส” ก็รู้หรอกว่าบ่นไปก็เหมือนสีซอให้ควายฟัง เมาเยี่ยงหมาแบบนี้พวกมันไม่รู้เรื่องหรอก แต่ผมก็อดที่จะบ่นไม่ได้อยู่ดี


พอบ่นให้ไอ้พวกนี้เสร็จผมก็เห็นไอ้อาร์ทกำลังอุ้มไอ้หลินในท่าอุ้มเจ้าสาวรอข้ามฟากมา เหยดดดด นี่นึกภาพออกเลยว่าก่อนออกจากร้านคนจะมองขนาดไหน ใจมึงโคตรได้เลยว่ะเพื่อน


ส่วนไอ้เต้ยมันก็ยืนอยู่ด้านหลังสองคนนั้น กำลังรอข้ามถนนมาเหมือนกัน จนเมื่อได้จังหวะเพราะรถฝั่งที่จะตรงมาติดไฟแดง ถนนโล่งแล้วพวกมันก็เลยเดินข้ามมา โดยที่ไอ้อาร์ทกับไอ้หลินที่ถูกอุ้มอยู่มาถึงก่อน ส่วนไอ้เต้ยไม่รู้มันมึนหรือกำลังเหม่ออะไรเลยยังเดินมาไม่ถึงสักที


“รีบเดินมาสิวะไอ้เต้ย มัวชักช้าอะไรอยู่เนี่ย” ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง รู้สึกเป็นห่วงมันยังไงก็ไม่รู้บอกไม่ถูก เพราะงั้นผมเลยจัดการทิ้งไอ้เสือกับไอ้เก่งให้กองอยู่ที่ฟุตบาท แล้วตั้งใจจะไปรับไอ้เต้ยที่ยืนมึนๆ งงๆ อยู่กลางถนน


แต่จังหวะที่กำลังจะวิ่งไป ผมก็เห็นรถบรรทุกคันหนึ่งได้ฝ่าไฟแดงขับตรงมาด้วยความเร็วสูง ก็ไม่รู้ว่าคนขับเมาหรือว่าหลับใน ทั้งๆ ที่ไอ้เต้ยกำลังข้ามถนนมาแต่คนขับก็เหมือนว่ามองไม่เห็น รถยังพุ่งตรงมาไม่มีการเบรกหรือชะลอลงเลยแม้แต่น้อย


“ไอ้เต้ย! ระวัง!” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ก็ไม่ทันแล้ว เพียงแค่เสี้ยววินาทีร่างของไอ้เต้ยก็ถูกชนอย่างจังจนกระเด็นไปต่อหน้าต่อตา
จังหวะนั้นภาพที่ผมเห็นทุกอย่างมันก็ช้าไปหมด ราวกับว่าเวลาได้เดินช้าลงสัก 10 เท่า ทำให้ผมเห็นร่างของไอ้เต้ยมันลอย

เคว้งคว้างในอากาศ จากนั้นก็ตกลงมาที่พื้นอย่างแน่นิ่ง โดยที่มีเลือดค่อยๆ ไหลซึมออกมาจนแผ่กระจายเป็นวงกว้าง


เสียงกรี๊ดจากคนที่อยู่บริเวณนั้นดังขึ้น ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่รถบรรทุกหยุดชะงัก คนขับที่ดูเหมือนว่าจะหลับในก็ค่อยๆ ลงมาจากรถด้วยสีหน้าอึ้งๆ ส่วนพวกเพื่อนของผมที่ก่อนนี้เมาจนแทบหัวทิ่มก็พากันช็อกจนสร่างทันที


“ไอ้เต้ยยยยยยยยยยยย!” เมื่อตั้งสติได้ผมก็ร้องตะโกนสุดเสียง ก่อนจะรีบวิ่งไปกอดร่างที่นอนแน่นิ่งของไอ้เต้ยพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพรากลงมาอย่างไม่ขาดสาย


ตอนนี้ผมไม่สนใจแล้วว่าเสื้อที่พึ่งซื้อมาใหม่จะเปื้อนเลือดจนซักออกมั้ย ผมแค่อยากให้ไอ้เต้ยมันลืมตาขึ้นมาหรือขยับตัวสักนิด แต่ไม่ว่าผมจะเรียกหรือเขย่าเท่าไหร่ มันก็ยังคงนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่เหมือนเดิม


“มึงลืมตาขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะไอ้เต้ย! ลืมตาขึ้นมา! เต้ย! ไอ้เต้ยยยยย!”


ผ่านไปหลายนาทีแล้วแต่ผมก็ยังคงร้องเรียกไอ้เต้ยทั้งน้ำตา ไอ้พวกเพื่อนๆ เลยพากันเดินเข้ามาปลอบผมและพูดให้กำลังใจต่างๆ นานา แต่ว่าผมก็แทบไม่รับรู้ไม่ได้ยินอะไรเลย


“เกิดอะไรขึ้น ใครเป็นอะไร” เหมือนจะมีใครสักคนเดินมาถามพวกเพื่อนของผม เสียงของคนคนนั้นฟังดูคุ้นๆ แต่ว่าผมก็นึกไม่ออกแล้วก็ไม่ได้สนใจด้วย จนกระทั่งเขาเริ่มจะมีปากเสียงกับผู้หญิงที่มาด้วยนั่นแหละ ผมก็รู้สึกรำคาญจนทนไม่ไหว


“โว้ยยยยยยย! ไปทะเลาะกันที่อื่นไป๊!”


พอด่าเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมาดู...เหอะ! ไอ้เอสกับแฟนของมัน มาทะเลาะกันทำเหี้ยอะไรตรงนี้ ไม่แหกตาดูสถานการณ์บ้างเลยรึไง โดยเฉพาะแฟนของมันที่ท่าทางจะไม่มีความเป็นคนหลงเหลืออยู่เลย


แล้วหลังจากนั้นสักพักเสียงไซเรนก็ดังขึ้น ก่อนที่รถพยาบาลจะมาจอดอยู่ตรงหน้าของผม ทันทีที่เห็นสภาพของไอ้เต้ยพวกพี่เขาก็รีบขนเครื่องไม้เครื่องมือออกมาช่วยชีวิตของมัน ส่วนผมก็ถอยมาเกาะกลุ่มกับพวกเพื่อนแล้วลุ้นอยู่ใกล้ๆ


แต่ว่ามันก็ไม่มีปาฏิหาริย์...


พวกพี่เขาบอกว่าไอ้เต้ยได้เสียชีวิตมาสักพักแล้ว...


“ฮือออออ ไอ้เต้ยยยยย” น้ำตาของผมที่หยุดไหลไปแล้วได้ไหลลงมาอีกครั้ง ส่วนพวกเพื่อนผมก็เหมือนกัน โดยเฉพาะไอ้หลินที่รีบหันไปกอดไอ้อาร์ทพร้อมกับสะอื้นจนตัวโยน


“ไม่จริง...” ใครก็ได้ช่วยบอกผมทีว่านี่มันคือเรื่องโกหก


“เพื่อนผมยังไม่ตาย...” ก่อนหน้านี้มันยังคุยเฮฮาสนุกสนานกับผมอยู่เลย


“มันต้องมีอะไรผิดพลาด...” ใช่...มันต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ ไอ้เต้ยยังไม่ตาย...มันต้องยังไม่ตาย!


เมื่อคิดได้แบบนั้น ผมก็รีบพุ่งเข้าหาพี่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งทันที


“พี่เช็คดีแล้วหรอครับ! ช่วยไปดูใหม่ทีนะพี่!”


“คือ...น้อง...” พี่เขาทำหน้าลำบากใจและสงสารผม แต่ผมไม่ต้องการ ตอนนี้ผมแค่อยากให้ไอ้เต้ยมันฟื้นขึ้นมา ถึงแม้จะมีโอกาสเพียงน้องนิดแต่ผมก็จะไม่ยอมแพ้


“ขอร้องล่ะครับ! ไอ้เต้ยมันต้องยังไม่ตายแน่ๆ! พี่ไปดูมันอีกทีนะ!”


“...”


“พี่ช่วยเพื่อนผมด้วยนะ! อย่าเงียบสิครับ! พี่!”


“มีสติหน่อยซี!” แล้วขณะที่ผมกำลังเขย่าพี่เจ้าหน้าที่อย่างสติแตกอยู่นั้น คนที่ผมไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะเข้ามาห้ามก็เป็นคนดึงผมออกมา


ไอ้เอส...


“ยอมรับความจริงซะ เต้ยตายไปแล้ว” มันพูดด้วยสีหน้านิ่งๆ แต่คำพูดของมันแม่งโคตรโหดร้าย ตอนนี้ผมรู้สึกเจ็บราวกับถูกมีดทิ่มลงมาที่กลางหัวใจ ผมหมดหวังและหมดเรี่ยวแรงที่จะรั้นอีกต่อไปแล้ว...


“กูรู้...แต่กูก็แค่...ไม่อยากให้มันเป็นเรื่องจริง...” ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตากับมัน จังหวะนั้นดวงตาของผมก็ไหวระริก ผมพยายามเต็มที่เพื่อที่จะกลั้นมันเอาไว้ ก่อนที่ผมจะหันไปหาใครสักคนเพื่อที่จะยืมไหล่เป็นที่พักพิง แต่ก็ไม่มีที่ว่างสำหรับผมเลย ไอ้อาร์ท – ไอ้หลิน ไอ้เสือ – ไอ้เก่งต่างก็พากันกอดคอร้องไห้เป็นคู่ ดูเหมือนว่าผมคงจะต้องร้องไห้คนเดียวสินะ


แต่แล้วจังหวะนั้น...


!!!


จู่ๆ ไอ้เอสมันก็ดึงผมเข้าไปกอด ไม่มีคำอธิบายหรือว่าคำพูดใด สีหน้าของมันนิ่งเฉยจนผมไม่รู้ว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ว่าผมก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากตรงไหล่และอ้อมกอดของมัน


ก็ไม่รู้เป็นเพราะความเศร้า เสียใจ อ้างว้าง หรือว่าโดดเดี่ยว ผมเลยไม่คิดจะผลักไสมันออกไป และไหนๆ ก็ไหนๆ ผมขอถือโอกาสใช้ไหล่ของมันเป็นที่ซับน้ำตาของผมเลยก็แล้วกัน


คิดว่ามันคงตั้งใจให้ผมทำแบบนี้...มั้งนะ


2bc


สวัสดีค่า มาต่ออย่างรวดเร็ว อิอิ อ่านตอนนี้จบหลายๆคนที่อาจจะงงว่าพระ-นายคือใครก็คงจะเริ่มเข้าใจแล้วเนอะ

คือเต้ยเนี่ยแค่มาเล่าตอนเปิดเรื่องเฉยๆ ต่อไปก็จะเล่าผ่านซีหรือเอส โดยที่ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่ามีวิญญาณของเต้ยคอยมาป่วนอยู่ข้างๆ

ก็ไม่รู้ว่าตอนสุดท้ายจะมีใครเห็นเคมีของเอสและซีบ้าง รู้แต่ว่าผีเต้ยนี่ฟินมว้ากกกก ในสมองคงคิดแผนจับคู่เป็นร้อยแน่ๆ อิอิ

เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อก็มาลุ้นและเอาใจช่วยทั้งคู่กันด้วยนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและติดตามด้วยน้าาา กอดดด

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Y-Darkness

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
สนุกรีบมาต่อน้าาาา

อย่สทิ้งใว้นานนน

ออฟไลน์ Micky_MN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-3
รอๆๆๆ ขึ้นเรือเอสซี

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Sameejaejung

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-17
Soulmate วิญญาณป่วนรัก


Part2# Z ความฝัน


“ครับคุณป้า...ครับ...ครับ...ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกได้เลยนะครับ...ครับ...สวัสดีครับ” ผมวางสายจากป้าของไอ้เต้ยหลังจากที่คุยกันนานเกือบ 10 นาทีเห็นจะได้


หลังจากที่รถพยาบาลจัดการเก็บศพของไอ้เต้ยไป ผมกับไอ้พวกเพื่อนๆ ก็พากันกลับมาที่บ้าน ตอนไปมี 6 แต่ขามาเหลือ 5 มันก็น่าเศร้านะ แต่อย่างน้อยคนขับก็ไม่หนีไปไหน ยอมให้ตำรวจคุมตัวไปที่โรงพักแต่โดยดี ส่วนพวกผมก็ไปให้ปากคำนิดหน่อย ยกเว้นไอ้เอสที่ไม่ได้ไปเพราะไม่อยากเป็นข่าว อาชีพดาราอะนะ ก็เข้าใจมันแหละ


งานศพของไอ้เต้ยจะจัดขึ้นที่วัดบ้านเกิดของมันที่โคราช งานมี 3 วัน เท่าที่คุยกับป้ามันเมื่อกี้คนขับบอกว่าจะดูแลเรื่องค่าจัดงานทั้งหมดให้ เขาร้องไห้ทั้งน้ำตาบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ อยากไปกราบศพไอ้เต้ย อยากให้มันอโหสิให้ เขาสำนึกผิดจริงๆ


พอคุยกับป้าของไอ้เต้ยเสร็จผมก็แจ้งเรื่องงานศพของมันให้เพื่อนในคณะรับรู้ ตอนแรกก็กะจะบอกแค่ในเอกนั่นแหละ แต่คิดไปคิดมาคณะผมมันก็คุ้นหน้ากันหมด เพราะมีเรียนกับกิจกรรมร่วมกันเยอะ เลยบอกในไลน์ของคณะไปเลย


หลังจากที่ผมส่งข้อความไปเพื่อนแต่ละคนก็ตกใจมาก เพราะไม่คิดว่าไอ้เต้ยมันจะจากไปเร็วขนาดนี้ แล้วมันก็เป็นคนดี เฟรนด์ลี่ เป็นที่รักของเพื่อนๆ เพราะงั้นเลยมีเพื่อนหลายสิบคนที่จะไปงานของมันทั้งที่จัดอยู่ต่างจังหวัด แถมไม่ได้แค่จะไปร่วมงานเฉยๆ แต่จะอยู่ช่วยงานตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้ายด้วย


“มึงไปบอกไอ้เอสหน่อยดิเรื่องงานศพไอ้เต้ย แล้วก็ถามด้วยว่ามันว่างไปรึเปล่า” ไอ้เก่งพูดกับผม


“ทำไมต้องเป็นกู”


“ก็แล้วทำไมจะเป็นมึงไม่ได้”


“สัส แต่กูก็ส่งไปบอกในไลน์กลุ่มคณะแล้วไง มันก็น่าจะเห็นแล้วแหละ” ก็มันอยู่คณะเดียวกับพวกผมอะ


“คือมึง...อยู่บ้านเดียวกันมันก็ควรต้องคุยกันต่อหน้าไง ยิ่งเรื่องใหญ่แบบนี้ก็ยิ่งต้องไปคุย เก็ตปะ?” ถึงไม่อยากเก็ตแต่กูก็ต้องเก็ตสินะ


“เออๆๆ เดี๋ยวกูขึ้นไปบอกมันก็ได้” ที่ผมไม่อยากขึ้นไปก็ไม่ใช่อะไร คือก่อนหน้านี้พึ่งจะกอดกับมันไงเลยทำตัวไม่ค่อยถูก แต่ช่างเถอะ ตอนนี้ผมยืนอยู่ที่หน้าห้องของไอ้เอสละ แล้วก็ขี้เกียจคิดอะไรด้วย


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


รอสักแป๊บมันก็เปิดประตู ดูจากชุดที่ใส่มันน่าจะอาบน้ำเตรียมตัวนอนแล้ว แถมมันยังไม่พูดอะไรเอาแต่มองหน้าผมนิ่งๆ เจอแบบนี้ก็ยิ่งกระอักกระอ่วนทำอะไรไม่ถูกยิ่งกว่าเดิมสิผม


“คือ...กูจะมาบอกมึงเรื่องงานศพไอ้เต้ย”


“อ๋อ อืม” แค่นี้? คือมึงช่วยพูดหรือถามอะไรกูมากกว่านี้หน่อยได้มั้ยวะ!


ให้ตาย ผมก็นึกว่ามันจะเป็นมิตรมากขึ้นเพราะอุตส่าห์กอดปลอบผม แต่ที่ไหนได้ อัธยาศัยมันก็ยังแย่เหมือนเดิม


 “งานจัดที่โคราช สวด 3 วัน พวกกูกับเพื่อนในคณะจะไปช่วยงานตั้งแต่วันแรก มึงจะไปด้วยรึเปล่า”


“คงไปได้แค่วันเผา” ขอบคุณที่ตอบกลับกูมาตั้ง 6 พยางค์!


“เค งั้นกูไปละ” พูดจบผมก็หมุนตัวเดินออกมาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ แต่พอถึงหน้าห้องของตัวเองเท่านั้นแหละเท้าของผมก็ชะงัก ส่วนมือที่กำลังจะจับลูกบิดก็หยุดค้างกลางอากาศ


ห้องนี้เป็นห้องที่ผมเคยอยู่กับไอ้เต้ย...


“อยู่คนเดียวได้รึเปล่า”


!!!


ผมไม่คิดว่าคนอย่างไอ้เอสจะถามคำถามนี้เลยค่อนข้างอึ้งแล้วก็ตกใจ สรุปว่ามันเป็นคนยังไงกันแน่ น่าคบหาหรือว่าอัธยาศัยแย่ ผมเดาจากสีหน้านิ่งๆ ของมันไม่ออกเลยจริงๆ


“เฮ้ยได้ดิวะ ทำไมจะไม่ได้ กูก็แค่...คิดถึงไอ้เต้ยมันเฉยๆ...”


ผมไม่ได้รู้สึกกลัวว่าไอ้เต้ยมันจะมาหลอกผมเลยนะ ถ้ามาจริงๆ ถึงจะหน้าเละก็ตามผมจะวิ่งไปกอดมันให้แน่นๆ เลย แต่ที่ผมชะงักก็เป็นเพราะว่าผมคิดถึงมัน ไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วผมยังคุยเล่นกับมันอยู่เลยนะ แต่ต่อจากนี้คงจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว...


“กูเข้าห้องละนะ” ผมรีบเอามือปาดน้ำตาก่อนที่มันจะไหลลงมา จากนั้นก็รีบเปิดประตูแล้วรีบเข้าไปในห้อง เป็นผู้ชายร้องไห้บ่อยๆ มันไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอก ยิ่งต่อหน้าคนไม่สนิทด้วยแล้ว ใครจะอยากแสดงด้านที่อ่อนแอให้เห็นบ่อยๆ จริงมั้ยล่ะ


แต่ถึงจะทำเป็นเข้มแข็ง ลึกๆ แล้วผมก็อยากร้องไห้ออกมาเหมือนกัน ก็ในห้องนี้มันมีความทรงจำเกี่ยวกับไอ้เต้ยทั้งนั้น ไม่ว่าผมจะมองไปที่ไหน จะหยิบจับอะไร หรือว่าเดินไปตรงไหน ภาพของไอ้เต้ยมันก็ลอยขึ้นมาในหัวของผมตลอด


อย่างตอนนี้ ตอนที่ผมกำลังจะนอนทั้งๆ ที่ผมยังไม่แห้ง ภาพที่ไอ้เต้ยเท้าสะเอวบ่นจนผมต้องลุกขึ้นไปเป่าไดร์ก็ลอยขึ้นมา ผมเลยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะทั้งน้ำตา จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


“มึงนอนยังวะไอ้ซี” เป็นเสียงของไอ้เก่งที่เรียกผม ผมเลยเดินไปเปิดประตูก่อนจะเห็นว่า นอกจากมันก็ยังมีไอ้เสือยืนอยู่ข้างๆ ด้วย


“กำลังจะนอนพอดี พวกมึงมีอะไรรึเปล่า”


“พวกกูจะมานอนเป็นเพื่อน”


“ใช่ นอนคนเดียวเดี๋ยวมึงเหงา” พอได้ยินแบบนี้ผมก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา จากนั้นก็โผเข้ากอดพวกมันสองคน


“กูรักพวกมึงนะเว่ย”


ปกติผมจะไม่พูดอะไรแบบนี้หรอกนะ มีแต่จะกวนตีนหรือหาเรื่องแกล้งพวกมันมากกว่า ส่วนพวกมันก็เหมือนกัน ไม่มีหรอกที่จะกอดปลอบผมแบบนี้ แต่ตอนนี้ถือเป็นข้อยกเว้นล่ะนะ ก็อยากรู้เหมือนกันว่าจะเป็นได้นานขนาดไหน


“พวกมึง”


“หืม?”


“ไม่รู้กูคิดไปเองรึเปล่า แต่กูรู้สึกว่าไอ้เต้ยมันอยู่แถวนี้” เท่านั้นแหละ จากที่กอดกันกลม 3 คนก็วงแตก ไอ้เสือรีบแหวใส่ไอ้เก่งทันที


“สัส! จากซึ้งๆ เศร้าๆ ทำเอากูหลอนแล้วเนี่ยไอ้ห่า!”


“แต่กูก็รู้สึกแบบเดียวกับไอ้เก่งนะ”


“ไอ้เชี่ยซี กูไม่ขำนะเว่ย!” ไอ้เสือเริ่มขึ้นเสียง แต่ผมไม่ได้อำมันนะ


“กูพูดจริงๆ กูคิดว่าเมื่อกี้ไอ้เต้ยมันกำลังกอดพวกเรา 3 คนอยู่”


“ยัง! ยังไม่หยุดอีก!” คราวนี้ไอ้เสือขึ้นเสียงจริงๆ “กูขอสั่งพวกมึงเลยนะว่าห้ามพูดอะไรเพ้อเจ้ออีกเด็ดขาด ไม่งั้นกูตัดเพื่อนพวกมึงแน่” ไม่พูดเปล่า มันยังชี้หน้าคาดโทษพวกผมด้วย


“เออๆ” ผมกับไอ้เก่งรับปาก แต่ก็หลุดขำออกมานิดหน่อย ก็หน้าของไอ้เสือตอนนี้มันตลกจะตาย นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดเรื่องกับไอ้เต้ยเลยนะที่ผมยิ้มได้ ก็หวังว่าวันพรุ่งนี้และต่อๆ ไป ผมจะสามารถยิ้มได้แบบตอนนี้อีก


“ฝันดีนะพวกมึง”


คืนนั้นพวกผม 3 คนนอนด้วยกันบนเตียง ถึงจะเบียดนิดหน่อยแต่ก็อบอุ่นดีเหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นพวกผมกลับไม่รู้ตัวเลยว่า ความจริงแล้วพวกผมนอนเบียดกัน 3 คนพร้อมกับวิญญาณอีก 1 ดวงต่างหาก...


..........................................

............................

..............


“ไอ้เต้ย! ระวัง!” ผมร้องตะโกนสุดเสียง เพราะเห็นรถบรรทุกขับพุ่งมาหาไอ้เต้ยที่ยืนอยู่กลางถนนด้วยความเร็วสูง แต่ก็ไม่ทันแล้ว เพียงแค่เสี้ยววินาทีร่างของมันก็ถูกชนอย่างจังจนกระเด็นไปต่อหน้าต่อตา


“ไอ้เต้ยยยยยยยยยยยย!” ภาพที่เห็นทำเอาผมถึงกับช็อก ก่อนที่ผมจะรีบวิ่งไปกอดร่างที่นอนแน่นิ่งของมันพร้อมน้ำตา ผมร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังโดยไม่แคร์สายตาใครทั้งนั้น


“มึงลืมตาขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะไอ้เต้ย! ลืมตาขึ้นมา! เต้ย! ไอ้เต้ยยยยย!” ผมเขย่าร่างที่ไร้วิญญาณของมันราวกับคนบ้า ไม่ว่าใครจะพูดอะไรผมก็ไม่ยอมฟัง


จนกระทั่ง...


“ไอ้ซี กูอยู่นี่” นั่นมัน...เสียงของไอ้เต้ย!


เท่านั้นแหละผมก็รีบหันไปมองตามเสียง ก่อนที่ผมจะพบกับไอ้เต้ยตัวเป็นๆ ยืนอยู่ข้างๆ ไม่สิ...พอดูดีๆ แล้วน่าจะเป็นวิญญาณมากกว่า เพราะร่างของมันดูจางๆ ไม่เหมือนร่างของคนปกติ


“มึง...ตายแล้วจริงๆ หรอ...” ผมถามด้วยเสียงสั่นเครือ


“อืม แต่มึงไม่ต้องเป็นห่วงกูหรอก โลกหลังความตายมันไม่ได้น่ากลัวเลยเว่ย ตอนนี้กูแฮปปี้ชีวิตดีมาก ได้ทำอะไรหลายๆ อย่างที่ตอนเป็นคนทำไม่ได้ด้วย เพราะงั้นมึงเลิกร้องไห้ได้แล้ว ร่าเริงเข้าไว้ ยิ้มให้เยอะๆ แบบนั้นกูถึงจะมีความสุข” ดูจากรอยยิ้มของไอ้เต้ยตอนนี้ ผมคิดว่ามันคงไม่ได้โกหกผมหรอก โลกหลังความตายคงไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ผมคิดจริงๆ


“ถ้ามึงพูดแบบนี้กูก็สบายใจ” แต่ก็คงจะเหงานิดหน่อย ไม่สิ...มากเลยแหละ แต่ผมจะคิดซะว่ามันไปอยู่ในที่ที่ไกลแสนไกล อย่างต่างประเทศอะไรแบบนี้ก็แล้วกัน


“ถ้าอย่างนั้นก็ยิ้มออกมาสิ...ยิ้มสิยิ้ม ยิ้มให้กว้างกว่านี้...เออ แบบนั้นแหละ แล้วถ้ากูเห็นมึงร้องไห้เพราะกูอีกนะ กูจะมาหลอกมึงด้วยหน้าเละๆ เลยคอยดู” ดู๊...ดูมันขู่ผม เป็นผีที่เหี้ยจริงๆ


“ด่ากูในใจใช่มั้ยน่ะ”


“มะ...มึงอ่านใจกูได้หรอ!”


“แน่สิ ก็กูมาเข้าฝันมึงนี่ มึงคิดอะไรหรือด่ากูว่าอะไรกูรู้ทั้งนั้นแหละ”


“แม่ง รุกล้ำความเป็นส่วนตัวของกูฉิบหาย” อยากจะบ้าตาย ฝันก็ฝันของกู ทำไมต้องถูกผีอ่านใจด้วยวะเนี่ย


“แค่นี้น่ะจิ๊บๆ นี่ถ้ามึงรู้ว่ากูทำอะไรได้มากกว่านี้สงสัยมีช็อก” ไอ้เต้ยยิ้มกรุ้มกริ่ม สีหน้าของมันตอนนี้ดูมีแผนร้ายยังไงชอบกล


“อย่ามาทำเป็นมีลับลมคมใน มึงบอกกูมาเลยนะว่ามึงทำอะไรได้”


“ก็นะ...” ไอ้เต้ยยักไหล่ ไม่ยอมอกอะไรแถมยังหันหลังเดินหนีผมเฉย


“นี่! มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อนนะเว่ย!...ไอ้เต้ย!...ไอ้เต้ย!!...”




“ไอ้เต้ย!!!” ผมสะดุ้งเฮือกลุกขึ้นมา ที่แท้เมื่อกี้ก็แค่ความฝันเองสินะ แต่ว่ามันดูเรียลเอามากๆ โดยเฉพาะตอนที่ผมคุยกับมัน
หรือว่ามันจะมาเข้าฝันผมจริงๆ?


“เมื่อกี้มึงฝันถึงไอ้เต้ยหรอวะ” ไอ้เก่งที่นอนอยู่ข้างๆ ถามผม ท่าทางมันดูไม่ได้ตกใจเท่าไหร่ ส่วนไอ้เสือที่นอนอยู่ข้างๆ มันอีกทีก็เช่นกัน


“เออ อย่าบอกนะว่ามึงด้วย?” ไอ้เก่งพยักหน้า ผมเลยมองไปที่ไอ้เสือ “มึงก็ด้วยหรอวะ”


“อืม” ไอ้เสือก็พยักหน้าเช่นกัน เท่านั้นแหละพวกผมก็ลุกขึ้นมานั่งคุยกัน ไม่ต้องนงต้องนอนมันละ ยังไงตอนนี้ก็เป็นช่วงสายๆ แล้ว


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


“หืม? ใครมาเคาะประตูตอนนี้วะ” ผมพูดอย่างงงๆ ในขณะที่มองไปตรงประตู


“หรือจะเป็นไอ้เต้ย?”


“เต้ยพ่อมึงสิ!” ไอ้เสือรีบแยกเขี้ยวใส่ทันทีที่ไอ้เก่งพูดจบ ส่วนผมก็หัวเราะหึหึในความกลัวผีขึ้นสมองของมัน จากนั้นผมก็ลุกไปเปิดประตู...เป็นไอ้อาร์ทกับไอ้หลิน


“ว่าไงพวกมึง นึกว่าจะตื่นสายกว่านี้ซะอีก” เมื่อคืนกว่าพวกผมจะกลับถึงบ้านก็ตี 3 ไหนจะคุยกันต่อแล้วก็อาบน้ำอีก ได้นอนกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงเองด้วยซ้ำเพราะนี่ยังไม่ 9 โมงเลย


“กูกับไอ้อาร์ทฝันถึงได้เต้ยอะดิ” พอได้ยินไอ้หลินพูดแบบนี้ผมก็เบิกตากว้าง จากนั้นก็หันไปหาไอ้เก่งกับไอ้เสือที่นั่งอยู่บนเตียงของผม ซึ่งพวกมันก็ทำหน้าตกใจไม่ต่างกัน


“นี่พวกมึงก็ฝันถึงมันด้วยหรอ” ไอ้อาร์ทถามบ้างเมื่อเห็นสีหน้าของผม ผมเลยพยักหน้า จากนั้นก็ลากพวกมันทั้งคู่เข้ามาในห้อง


พวกผมทั้ง 5 คนต่างก็แชร์ความฝันให้กันฟัง ต่างคนก็ต่างเรื่องราว แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือไอ้เต้ยไม่อยากให้พวกผมเศร้าและร้องไห้ มันบอกว่ามันไม่ทุกข์ ไม่ทรมาน แถมยังสามารถทำในสิ่งต่างๆ ที่ตอนเป็นคนไม่สามารถทำได้ เพราะงั้นมันเลยมาบอกพวกผมว่าไม่ต้องเป็นห่วงมัน มันสบายดี


พอได้รู้แบบนี้ผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นล่ะนะ ถึงจะเศร้าอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากเท่าเมื่อวาน คงจะแค่คิดถึงมันเท่านั้นเอง...


จากนั้นพวกผมต่างก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า และจัดกระเป๋าไปโคราช จากที่คำนวนคร่าวๆ น่าจะใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง แต่ก่อนจะไปพวกผมก็หาจองโรงแรมกันก่อน หารีวิวดีๆ ที่ไม่ไกลจากวัดมาก พอเจอแล้วผมก็จัดการจองแล้วบอกพวกเพื่อนในคณะ ซึ่งคนที่มาก็ตกลงกันว่าจะจองห้องกันที่โรงแรมนี้ เพราะมีอะไรจะได้คุยกันได้สะดวก


“เชี่ย กูลืมเก็บของของไอ้เต้ย” ผมพูดขณะที่กำลังยกกระเป๋าของตัวเองใส่ท้ายรถของไอ้อาร์ท


คือวันเผาเนี่ยมันต้องใส่ของของไอ้เต้ยในโลงด้วย อย่างพวกเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า อะไรแบบนี้ เพื่อให้มันเอาไว้ใช้ตอนอยู่โลกโน้น ก็ไม่รู้ล่ะนะว่ามันจะได้ใช้จริงๆ รึเปล่า แต่มันเป็นความเชื่อที่สืบทอดต่อกันมา อีกอย่างจะเก็บของของมันเอาไว้ก็จะยิ่งทำให้ผมคิดถึงมันมากกว่า เอาไปเผาพร้อมกับร่างของมันนั่นแหละดีแล้ว


“พวกมึงรอแป๊บนึงนะเดี๋ยวกูรีบมา” พูดจบผมก็รีบวิ่งเข้าไปในบ้าน แต่จังหวะที่กำลังจะถึงห้องไอ้เอสก็เปิดประตูออกมา แล้วประเด็นคือจู่ๆ เท้าของผมมันก็ดันลื่นอะไรไม่รู้ ตัวของผมที่เสียการทรงตัวเลยพุ่งเข้าไปหามันอย่างควบคุมไม่ได้


เชี่ย! นี่อย่าบอกนะว่ากูต้องล้มทับไอ้เอส แล้วก็ต้องจ้องตากับมันปิ๊งๆ อย่างกับฉากในละคร ม่ายยยยยยยยยย


“หลบปายยยยยยยยยย!” แล้วไอ้เอสแม่งก็เสือกบ้าจี้เบี่ยงตัวหลบตามที่ผมบอกจริงๆ


เพราะงั้น...


ตุ้บ!


แอ้ก!


“โอ๊ย!” หน้าคว่ำจูบพื้นอย่างจังเลยสิผม!


ไอ้คนเลวววววววว ไม่สิ ไอ้คนกวนส้นตีน! คือมึงไม่ต้องเบี่ยงตัวหลบก็ได้มั้ย ถ้าให้เลือกจริงๆ ระหว่างหน้าหักกับล้มทับแล้วจ้องหน้ามัน ยังไงผมก็ต้องเลือกอย่างหลังแน่นอนอยู่แล้ว!


“เป็นไรมากมั้ย” ไอ้เอสถามแล้วยื่นมือมาช่วยดึงผมขึ้น


เฮอะ! ทำเป็นพูดยังกับว่าเป็นห่วงเป็นไย ถ้างั้นทำไมเมื่อกี้มึงไม่รับกูไว้ละสัส! แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น สิ่งที่ผมพูดกับมันก็คือ...


“ขอบใจนะ” คนอื่นมีแต่ใจกากแต่ปากเก่ง แต่กูนี่ใจเก่งมากแต่ปากป๊อดเวอร์


“โกรธที่กูไม่รับมึงไว้หรอ” ไอ้เอสคงเห็นแหละว่าผมหน้าบูดเลยถามงี้


“เปล๊า” ไม่ได้เสียงสูงจริงจริ้งงงงง


“แต่มึงเป็นคนบอกให้กูหลบเองนะ”


“แต่มึงไม่ต้องหลบจริงๆ ก็ได้นี่สัส!”


“นั่นไง โกรธจริงๆ ด้วย” ไอ้เอสแอบยิ้มออกมานิดนึง ถ้าปกติผมคงจะอะเมซิ่งที่เห็นมันยิ้มอยู่หรอก แต่ตอนนี้กูอายยยย อายฉิบหายจนแทบจะมุดกระเบื้องหนีแล้วเนี่ย!


“กู...เดี๋ยวกูจะเข้าไปเก็บของของไอ้เต้ยแล้ว” ผมทำตัวไม่ถูก แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะบอกมันทำไมด้วย แต่ที่แน่ๆ ผมอายจนยืนอยู่ตรงนี้ต่อไม่ได้ เลยสวมวิญญาณเดอะแฟลชรีบวิ่งหนีเข้าห้องไปเลย


ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยอายอะไรเท่านี้เลยแม่ง!


2BC


 o18 สวัสดีค่าทุกคน Soulmate ตอนที่ 2 ก็จบลงไปแล้ว ไหนใครเริ่มเห็นเคมีของเอสกับซีแล้วบ้าง ตอนอยู่ด้วยกันก็เข้ากันได้ดี (?) อย่างที่เต้ยบอกจริงๆใช่มั้ยล่ะ อิอิ  :-[
ส่วนตอนหน้าวันพุธเดี๋ยวเราจะมาลงต่อให้นะคะ เรื่องนี้เราจะลงวันเว้นวัน ยังไงก็ช่วยติดตามกันต่อและเป็นกำลังใจให้คู่นี้ด้วยน้า  :กอด1:
ปล.มีใครอยากปูเสื่อนั่งฟินข้างๆเต้ยมั้ยคะ ที่ยังว่างนะต่อแถวมาเลยยย >///<

ออฟไลน์ Y-Darkness

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
แปะไว้ก่อนนะค่ะเดี๋ยวจะมาอ่าน
เป็นกำลังใจให้นะ

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Micky_MN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-3
 :laugh: ตลกซี

ออฟไลน์ Sameejaejung

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-17
Soulmate วิญญาณป่วนรัก


Part3# Z เรื่องแซ่บในงานศพ


พวกผมเดินทางมาถึงโคราชประมาณบ่าย 3 ก่อนจะไปวัดพวกผมก็จัดการเช็คอินและขนสัมภาระขึ้นไปเก็บกันก่อน แน่นอนว่าไอ้อาร์ทกับไอ้หลินมันนอนห้องเดียวกัน ส่วนผมจะนอนห้องเดียวกับไอ้เก่งแล้วก็ไอ้เสือ


ที่ผมไม่นอนคนเดียวไม่ใช่เพราะผมกลัวผีไอ้เต้ยหรอกนะ แต่หารค่าห้อง 3 คนมันประหยัดกว่านี่นา จ่ายเพิ่มจากห้องปกติแค่ 200 เอง 


หลังจากที่เก็บของเรียบร้อยพวกผมก็เดินทางไปที่วัด พอไปถึงก็เห็นป้าของไอ้เต้ยพอดี แกเลยพาพวกผมไปที่ศาลาเพื่อกราบศพไอ้เต้ย ตอนที่กราบน้ำตาของผมก็ปริ่มๆ อยู่นั่นแหละ แต่พอนึกถึงฝันเมื่อคืนผมก็กลั้นใจไม่ร้องไห้ได้


ไอ้เต้ยมันไปสบายแล้ว...


“มีงานอะไรให้พวกผมช่วยมั่งครับ” ผมถามป้าของไอ้เต้ยที่กำลังจัดนั่นจัดนี่อยู่


“อืม...เดี๋ยวพวกหนูไปยกเก้าอี้มาไว้ให้แขกนั่งนะ พอแขกมาค่อยเอาน้ำกับกะเพาะปลาไปเสิร์ฟ”


“โอเคครับ” พวกผมพยักหน้าก่อนจะเดินไปที่ห้องเก็บของเพื่อยกเก้าอี้มา จังหวะนั้นพวกเพื่อนๆ ในคณะก็เริ่มทยอยกันมาสมทบ ซึ่งก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือจนงานเสร็จไว แถมยังมากันเยอะกว่าที่ลงชื่อไว้ตอนแรกอีกด้วย


แต่หนึ่งในนั้นก็มีคนที่พวกผมไม่คิดว่าจะเห็นที่นี่...อีฟ


“ชีมาไงวะ” ประโยคนี้ผมไม่ได้ถามนะ (ถึงจะคิดในใจก็เถอะ) คนที่ถามคือไอ้หลินต่างหาก


“ไม่รู้ดิ หรือจะมากับไอ้เอส” ก็เป็นแฟนกันนี่นา


“แต่มึงบอกว่าเอสจะมาวันเผาไม่ใช่อ่อ”


“ก็อาจจะว่างแล้วเลยจะมาวันนี้มั้ง”


แต่ถึงจะคิดอย่างนั้นไอ้เอสก็ไม่ได้มา แถมดูจากสีหน้าของอีฟก็เหมือนจะไม่ได้เต็มใจอยากมาที่นี่เลยด้วยซ้ำ เพราะเอาแต่ทำหน้าเบื่อหน้าเซ็ง งานก็ไม่ได้ช่วย นั่งเล่นโทรศัพท์อย่างเดียว โนสนโนแคร์ทุกสิ่งอย่าง แถมยังไม่เสวนากับใครด้วย


วันแรกเป็นยังไงวันที่สองก็เป็นอย่างนั้น คราวนี้เลยไม่ใช่แค่พวกผมที่สงสัยกันละ แต่พวกเพื่อนคนอื่นๆ ก็ด้วย เวลาเดินผ่านกลุ่มไหนก็เห็นเอาแต่ซุบซิบกันเรื่องของอีฟ แต่มันก็น่าสงสัยจริงๆ นั่นแหละ


“คือกูงงมากว่าชีจะมาทำไมตั้งแต่เมื่อวาน” ไอ้หนิงเริ่มเปิดประเด็นเมาท์ระหว่างเดินทางกลับโรงแรม แต่ก็อย่างว่า มันไม่ค่อยชอบอีฟ บอกแค่เห็นหน้าก็ไม่ถูกชะตาแล้ว จิตใจผู้หญิงแม่งซับซ้อนเหมือนที่เขาพูดกันจริงๆ


“ตัดเรื่องที่สนิทกับไอ้เต้ยทิ้งไปหนึ่ง” ผมพูด


“ตัดเรื่องที่ตั้งใจมาช่วยงานทิ้งไปสอง” คราวนี้ไอ้อาร์ท


“ตัดเรื่องที่ห้อยตามไอ้เอสมาทิ้งไปสาม” ทีนี้ไอ้เสือ


“หรือว่าจะมาหากิ๊กวะ” ส่วนนี่ไอ้เก่ง หืม? นี่มันพูดเล่นพูดจริง?


“อะไรยังไง ไปรู้ไปเห็นไปได้ยินอะไรไหนเหลามา” ไอ้หลินหูผึ่งพร้อมเผือกมาก ตานี่เป็นประกายสุดๆ


“คือเมื่อคืนกูได้ยินเสียงเคาะประตูเลยลุกขึ้นไปเปิดเว่ย แต่พอไม่เจอใครเลยกะจะปิดประตูมานอนต่อไรงี้ ทีนี้เว่ย กูดันเห็นอีฟเดินออกจากห้อง ก็อยากรู้ไงว่าดึกขนาดนี้จะไปไหนเลยลองแอบดู ทายซิว่ากูเจออะไร”


“สัส! กูจะรู้มั้ยเนี่ย!” ผมแยกเขี้ยวใส่ มาหยุดอะไรตอนสำคัญล่ะปัดโธ่!


“เออ! ไม่ต้องลีลา รีบเล่ามาเร็วๆ กูอยากรู้ใจจะขาดแล้วเนี่ย!” ไอ้หลินเร่งยิกๆ ไอ้เก่งเลยต้องยอมเฉลย เชื่อดิลองช้ากว่านี้สัก 10 วิอาจได้เห็นมันชักตาย


“กูเห็นอีฟไปหาไอ้เปอร์ที่ห้องเว่ย”


“หา! ถามจริ้งงงงงงงง?” ไอ้หลินขึ้นเสียงสูงปรี๊ด ท่าทางตกใจเหมือนจะโอเวอร์แอคติ้ง แต่เรื่องนี้มันก็น่าตกใจจริงๆ นะ


คืออย่างที่รู้ๆ กันว่าอีฟเป็นแฟนกับไอ้เอส แน่นอนว่าคนที่รู้ไม่ได้มีแค่พวกผมที่อยู่บ้านเดียวกันกับมัน แต่คนทั้งคณะ...เผลอๆ ทั้งมหา’ลัยเลยมั้งก็รู้ว่าสองคนนี้คบกัน ถึงจะไม่ค่อยมีโมเมนต์หวานๆ ก็เถอะ แต่ก็เห็นเป็นแบบนี้ตลอดตั้งแต่มีข่าวว่าคบกันแล้ว


สำหรับข่าวเลิกผมยังไม่เห็นได้ยินนะ ถ้าหากเลิกแล้วก็น่าจะพอผ่านหูผมบ้าง ถึงสังคมภายนอกไอ้เอสจะไม่ได้เป็นดาราที่ดังขนาดนั้น เพราะละครเรื่องแรกที่มันเล่นยังไม่ออนแอร์เลย แต่ในสังคมมหา’ลัยมันดังมากกกกก ก็สูงยาวเข่าดีแถมหน้ายังหล่อซะขนาดนั้น แม้ว่ามันจะไม่ค่อยยิ้มไม่ค่อยพูดกับใครก็เถอะ


ส่วนไอ้เปอร์คนที่ไอ้เก่งพูดถึง ไอ้นี่มันก็เป็นผู้ชายบ้านๆ...บ้านรวยสัสๆ! เพราะเปิดร้านเพชรเป็นสิบๆ สาขา ถึงจะหน้าตางั้นๆ แต่ความรวยก็ช่วยให้มันหล่อขึ้นมาก แถมยังขึ้นชื่อว่าพ่อบุญทุ่ม เพราะงั้นสาวๆ เลยหลงกันบาน แต่ก็เห็นว่าเปลี่ยนสาวบ่อยเหมือนกัน ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เคยได้ยินว่ามันแอบกิ๊กกับอีฟอะนะ


“มึงแน่ใจนะว่าไม่ได้ดูผิด?” ผมถามไอ้เก่งอีกที


คือลองหักลบข้อดีข้อเสียดู ยังไงไอ้เอสมันก็มีภาษีดีกว่าไอ้เปอร์หลายขุมอะ อย่างความหล่อนี่กินขาด ส่วนนิสัยก็คงไม่ได้แย่มาก อย่างน้อยมันก็มีน้ำใจให้พวกผมอาศัยอยู่ที่บ้านฟรีๆ แล้วก็ไม่เคยมีข่าวเรื่องเจ้าชู้ ถ้าจะแพ้ก็คงแพ้เรื่องความรวยอยู่หน่อยล่ะมั้ง แต่ว่ามันเป็นดารา อาชีพนี้หาเงินได้เยอะจะตาย เพราะงั้นผมเลยไม่คิดว่าอีฟจะนอกใจไอ้เอสไปกิ๊กกับไอ้เปอร์ได้


ถ้าจะมีกิ๊กทั้งที มันก็ต้องให้ดีกว่าแฟนที่คบอยู่สิจริงมั้ยล่ะ?


“เอาจริงๆ กูก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่อะ คือนึกออกปะว่าห้องมันเรียงกันเป็นตับ กูอาจจะจำผิดไรงี้ คืนนี้กูเลยกะว่าจะลองแอบดูให้ชัวร์ก่อนค่อยบอกพวกมึงทีเดียว”


“งั้นเดี๋ยวกูเอาด้วย” กระตือรือร้นแบบนี้จะใครถ้าไม่ใช่ไอ้หลิน ชักคันปากยิบๆ ขอแซวมันสักหน่อยละกัน


“ต่อมเสือกกำเริบเชียวนะ”


“หรือมึงจะผ่าน?”


“เรื่องอะไรล่ะ”


“แหม อีผี แล้วทำมาเป็นด่ากู” ไอ้หลินเบ้ปากใส่ผม “งั้นเดี๋ยวคืนนี้ไปรวมตัวกันที่ห้องมึงนะ”


คือไม่ต้องถามให้เสียเวลาว่าใครจะร่วมเสือกด้วยบ้าง เรื่องเด็ดๆ แบบนี้ใครจะอยากพลาดกันล่ะ เพราะงั้นหลังจากที่กลับถึงห้องแล้วอาบน้ำทำอะไรเสร็จ พวกผมเลยมานั่งรวมกลุ่มเตรียมซุ่มดูอีฟด้วยกัน


ไอ้เก่งจำเวลาไม่ได้ แต่ก็คงจะดึกสักหน่อยนั่นแหละ เพราะต้องแอบย่องไปหากันไรงี้ ซึ่งก็คงไม่ดึกมาก เพราะที่นี่คนนอนเร็วกว่าที่กรุงเทพ ดังนั้นภารกิจซุ่มดูเลยเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอน 4 ทุ่ม


พวกผมพลัดกันแง้มประตูออกไปดู แต่ว่า 4 ทุ่มก็แล้ว 5 ทุ่มก็แล้ว อีฟก็ยังไม่ยอมออกจากห้องสักที จนกระทั่งเที่ยงคืนที่พวกผมใกล้จะยอมแพ้เพราะง่วงแล้วนั่นแหละ...แจ็คพ็อตแตกครับผม! อีฟแอบย่องออกจากห้องมาแล้ว!


“ถ่ายรูปไว้เลยมึง ถ่ายเร็วๆ” ไอ้หลินสะกิดผมยิกๆ ส่วนไอ้เก่งก็รีบวิ่งไปหยิบโทรศัพท์มายื่นให้ ทำงานกันเป็นทีมจริงๆ ไอ้พวกนี้
“แล้วทำไมต้องเป็นกูด้วยเนี่ย” ถึงจะบ่นแต่ก็ยกมือถือขึ้นมาถ่ายอะนะ


“ได้มั้ยๆ ไหนเอามาดูดิ๊” แล้วไอ้หลินก็แย่งโทรศัพท์จากมือของผมไปเลย ส่วนไอ้พวกที่เหลือก็กรูกันไปสุมหัวดูรูปที่ผมถ่ายเอาไว้ ซึ่งก็เป็นรูปตอนที่อีฟกำลังเดินเข้าไปในห้องของไอ้เปอร์


“เบอร์ห้องกับหน้าอีฟนี่แม่งชัดมาก เสียดายที่เห็นหน้าไอ้เปอร์แค่เสี้ยวเดียว” ไอ้เสือพูด


“แต่แค่นี้ก็ชัดแล้วว่าอีฟคบซ้อน” ผมเห็นด้วยกับที่ไอ้อาร์ทพูดนะ แต่ดูเหมือนว่าไอ้หลินจะไม่ คือไม่ใช่อะไร มันซอฟต์ไปต้องแรงกว่านี้


“แถมบ้านกูเรียกเล่นชู้” ถ้าไม่ใช่โหมดมุ้งมิ้งมันก็จะฮาร์ทคอร์กับไอ้อาร์ทแบบนี้แหละ


“กูว่าโลกนี้แม่งอยู่ยากแล้ว หล่ออย่างไอ้เอสแฟนยังไปมีชู้ แล้วคนขี้เหร่อย่างกูจะไปเหลืออะไร” ไอ้เก่งที่จับโทรศัพท์ของผมเป็นคนสุดท้ายพูดขึ้นอย่างเศร้าๆ ก่อนที่มันจะทำท่าเป็นเจ็บปวดรวดร้าวแล้วทิ้งตัวนอนแผ่ลงบนเตียง


 “ก่อนที่มึงจะกลัวแฟนนอกใจ กูคิดว่ามึงควรหาแฟนให้ได้ก่อนดีมั้ยวะ” พอได้ยินผมพูดแบบนี้ มันก็รีบดีดตัวขึ้นแล้วชูนิ้วกลางให้ผมทันที


“สัส!”


“ฮ่าๆๆ” สำหรับผมเพื่อนด่าก็เหมือนเพื่อนชมนั่นแหละ ว่าแต่เสียงกิ๊งๆ แจ้งเตือนในไลน์รัวๆ นี่มันอะไร ถ้าฟังไม่ผิดเหมือนจะเป็นจากโทรศัพท์ของผมเลย


“หยิบมาดูดิ๊มึง” ผมบอกไอ้เก่ง มันเลยหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างตัวยื่นมาให้ผม


“ใครทักมึงมาวะ ทวงนี้เรอะรัวๆ ขนาดนี้”


“ทวงนี้พ่อง” ผมแยกเขี้ยวใส่ มันติดผมอยู่ 200 ยังมีหน้ามาพูด


ส่วนข้อความที่แจ้งเตือนมาจากกลุ่มคณะ แต่ว่ามันเตือนรัวมากจนผมอ่านแทบไม่ทัน เห็นแค่แว้บๆ ว่ามีปักธงปูเสื่อรอเผือกเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งพอเลื่อนขึ้นไปดู...


“เชี่ย!” รูปที่ผมแอบถ่ายอีฟกับไอ้เปอร์ดันถูกส่งเข้าไปในกลุ่มซะงั้น!


“มีไรวะมึง” ผมขี้เกียจอธิบายเลยให้ภาพมันเล่าเรื่อง “บอกมาว่าใครส่ง”


“กูเปล่านะเว่ย!”


“กูก็ด้วย!”


“กูก็เปล่า!”


“กูก็เปล่าเหมือนกัน!” แม่งพร้อมใจกันปฏิเสธเลยนะไอ้พวกนี้


“งั้นถ้าพวกมึงไม่ส่งแล้วใครจะส่ง! ผีรึไง!”


ให้ตายสิ! มีแต่คนส่ายหน้าไม่ยอมรับกันสักคน คือเรื่องนี้ถ้าเมาท์กันแค่ในกลุ่มของพวกผมมันก็ไม่เท่าไหร่ไง แต่นี่ดันส่งเข้าไลน์กลุ่มใหญ่ของคณะ ซึ่งในกลุ่มนั้นมีสมาชิกตั้ง 200 กว่าคน แถมยังมีครูอาจารย์อีกเป็น 10 และที่สำคัญกว่านั้นไอ้เอสมันก็อยู่ในกลุ่มด้วย


“ใจเย็นๆ นะเว่ยไอ้ซี เห็นพวกกูเป็นงี้แต่พวกกูก็ไม่โกหกมึงหรอกนะเว่ย” ไอ้หลินพูด ซึ่งพอลองคิดดูดีๆ ก็จริงของมัน เห็นหาเรื่องด่ากันทะเลาะกันทุกวันแบบนี้ แต่ความจริงพวกผมน่ะรักจริงใจต่อกัน ไม่แทงข้างหลังหรือแอบทำอะไรลับหลังกันหรอก


“กูเป็นคนจับโทรศัพท์มึงเป็นคนสุดท้ายก็จริง แต่สาบานได้เลยนะเว่ยว่ากูไม่รู้เรื่อง กูไม่ได้ส่งจริงๆ”


“เออ ถึงไม่ต้องสาบานกูก็เชื่อมึง” ผมจับมือของไอ้เก่งที่ชู 3 นิ้วลง ส่วนเรื่องที่ว่าใครส่งก็ช่างแม่งละกัน ผมคิดไม่ออกแล้วก็ขี้เกียจจะคิดแล้ว


“ถ้ามึงไม่สบายใจก็ลบรูปไปก่อน ตอนนี้มันดึกแล้วคนยังเห็นไม่เยอะหรอก” ผมพยักหน้าแล้วทำตามที่ไอ้เก่งแนะนำ แต่ถึงจะลบไปแล้วคนที่ยังปักหมุดรอและแท็กผมก็ยังมีมาไม่หยุด ทั้งในไลน์กลุ่มและไลน์ส่วนตัวกันเลย


“เอาไงดีวะ กูควรตอบอะไรมั้ย” พลังเผือกของคนนี่แม่งน่ากลัวจริงๆ ขืนปล่อยไว้แบบนี้คงดังทั้งคืน มีแววไม่ได้นอนแน่กู


“ก็ไม่ต้องเอาไง ไม่ต้องตอบอะไรด้วย ภาพมันก็ฟ้องชัดเจนแล้วนี่ อยากร่านเองช่วยไม่ได้” ไอ้หลินเหยียดยิ้ม สีหน้าดูสะใจที่อีฟโดนเปิงโปงอยู่หน่อยๆ ไม่สิ...มากเลยล่ะ


“แต่เตง แล้วไม่คิดจะเห็นใจไอ้เอสบ้างหรอ”


“เออนั่นสิมึง” ไอ้เก่งเห็นด้วยกับไอ้อาร์ท “ถ้ากูเป็นมัน กูก็คงไม่อยากให้ใครเอาเรื่องส่วนตัวมาแฉลงกลางกลุ่มแบบนี้หรอก จะทักไลน์บอก โทรหา หรือนัดเจอก็ได้ อยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ ไม่ใช่คนไม่รู้จักกันสักหน่อย”


“แล้วประเด็นคือไอ้เอสมันเป็นดาราด้วย ถ้ามีข่าวเรื่องนี้หลุดออกไปมันจะเป็นไรมั้ยวะ” อันนี้ไอ้เสือถาม แต่ใครจะไปรู้ล่ะ พวกผมก็ได้แค่ทำหน้าคิดไม่ตกแล้วมองตากันเท่านั้นแหละ ชักเครียดแล้วสิผม


“มึงว่าไอ้เอสมันจะเห็นรูปในกลุ่มเปล่าวะ” ถึงจะถามอย่างนั้น แต่ในใจผมนี่คิดว่า 90% มันต้องได้อ่านแล้วแน่ๆ แต่คือผมอยากได้ยินคำตอบอีกแบบไง การหลอกตัวเองให้รู้สึกสบายใจทุกคนก็เคยทำใช่มั้ยล่ะ


“อาจจะยังไม่เห็นก็ได้มั้ง”


“เออ คงถ่ายละครอยู่แหละ”


“จริง มันงานเยอะจะตาย”


“ใช่ๆ ไม่มีเวลามาดูแชทกลุ่มหรอก”


ไอ้พวกเพื่อนผมมันก็รู้งาน เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยมาก ตอนไหนเล่น ตอนไหนจริงจัง ตอนไหนควรให้กำลังใจพวกมันรู้หมดแหละ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดขอบใจ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นซะก่อน


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


“ใครวะ” แต่แน่นอนใครจะไปรู้ ก็นั่งอยู่ด้วยกัน แถมประตูยังไม่มีตาแมวให้ส่องอีก เพราะงั้นคงมีแต่ต้องเปิดประตูออกไปดูอย่างเดียวนั่นแหละ


ซึ่งคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูก็คือ...


“อะ...ไอ้เอส...” เสียงว่าสั่นแล้ว แต่เชื่อมั้ย ร่างกายของผมแม่งสั่นยิ่งกว่าเสียงซะอีก


ถามว่าทำไม?


โอ้โห! ก็ดูหน้ามันตอนนี้สิ! แทบจะฆ่าคน (โดยเฉพาะผม) ตายด้วยหมัดเดียวได้เลยมั้งน่ะ! มึงอย่าดุมากได้มั้ยวะกูกลัวว้อยยยยยยยยย


“มึงกับกูมีเรื่องต้องคุยกัน!”


ถ้าอยากคุยจริงๆ มึงคุยกับกูตรงนี้ก็ได้! แต่ลากกูออกมาแบบนี้คงจะพากูไปฆ่าใช่มั้ย! กูยังไม่อยากตายนะเว่ย!


“มึงจะพากูไปไหน! ปล่อยกูววววววว” ผมร้องโวยวาย แต่ไอ้เอสก็ไม่สนใจ ยังจับข้อมือของผมแน่นแล้วก็ลากตัวผมไปเหมือนเดิม


เมื่อหมดปัญญาเพราะสู้แรงของมันไม่ได้ ผมเลยหันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากไอ้พวกเพื่อนที่อยู่ด้านหลัง แต่เชื่อมั้ย แม่งยืนอออยู่ที่ประตูกันหมด! ไม่มีใครออกมาช่วยผมเลยสักคน! แถมพวกมันยังมีการชูกำปั้นขึ้นแล้วพูดด้วยว่า...


“สู้ๆ นะ”


“ไฟท์ติ้ง”


“ขอให้โชคดี”


“กูเป็นกำลังใจให้”


กองเอาไว้ตรงนั้นแหละไอ้พวกเพื่อนเหี้ย! พวกมึงแม่งไม่รักกูจริง! ทิ้งกูกันหมดไอ้พวกเวร! กูเกลียดพวกเมิงงงงงงงงงงงงงง!


2BC


 :mc4: สวัสดีค่า Soulmate ตอนที่ 3 จบไปแล้ว มาลุ้นกันตอนหน้านะคะว่าเอสจะทำอะไร จะพาซีไปฆ่าตามที่ซีคิดมั้ย มาเอาใจช่วยซีกันด้วยน้าาา วงวารรรร เพื่อนก็ทิ้งซีหมดเลย 55555  :laugh:

ว่าแต่เรื่องรูปที่ถูกส่งไปในกลุ่ม จะเป็นฝีมือใครกันน้า??  o3 มารอเฉลยตอนหน้านะคะ วันศุกร์เจอกันค่า ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะทุกคนนน  :pig4:

ออฟไลน์ Micky_MN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-3
เพื่อนตัสแสบ55 รอตอนหน้าคะ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
อุ๊ย!!!!มือลั่น5555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ใครส่งรูปเข้ากลุ่ม? 

ก็ผีเจ้าเต้ยไง อิอิ

ป.ล. เอสเรียกซีไปเคลียร์เรื่องไรน้อ?  สงสัยจะให้รางวัลโทษฐานที่หาหลักฐานการคบซ้อนได้แหงเลย

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
เต้ยส่งรูปเข้าไลน์กลุ่มเลยเหรอ

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
เต้ยเล่นแรงไปป่าว

ออฟไลน์ Y-Darkness

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0

ออฟไลน์ Sameejaejung

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-17
Soulmate วิญญาณป่วนรัก


Part 4# Z ปากดี


“ไอ้เอส มึงอย่าพึ่งโมโหกูดิ คุยดีๆ กับกูก็ได้ กูไม่ใช่ควายฟังภาษาคนรู้เรื่องเว่ย” ในเมื่อโวยวายแล้วไม่ได้ผล ผมเลยลองคุยกับมันดีๆ เออคราวนี้ได้ผลแฮะ ไอ้เอสมันยอมอ่อนลงนิดนึง...ก็ยังดีล่ะวะ


ผมไม่รู้นะว่าไอ้เอสมันรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ห้องนี้ แต่ถ้าให้เดาก็คงจะถามจากพวกเพื่อนที่มางานไอ้เต้ยล่ะมั้ง แต่ไอ้พวกนั้นแม่งก็เหลือเกิน ขนาดผมลบรูปไปแล้วก็ยังมีบางคนแคปเอามาส่งซ้ำ ยังไม่พอ ไอ้คนที่อยู่ข้างห้องก็ยังบอกว่าได้ยินเสียงครางกับเสียงเตียงสั่น ผมล่ะอยากถามจริงๆ ว่ามึงหูสวรรค์ประทานรึไง ใครจะไปมีอารมณ์ในช่วงงานศพกันวะ เอ๊ะหรือว่าสองคนนั้นจะเป็นข้อยกเว้น?


“ต้องการอะไร” ไอ้เอสถามเสียงแข็งหลังจากลากผมเข้ามาในห้องของมัน ตอนที่มันปิดประตูนะ เสียงนี่ดังปั้งจนผมถึงกับสะดุ้ง แม่งไม่กลัวมันหลุดออกมารึไง


“...” ผมไม่ตอบ ก็ไม่รู้จะตอบอะไรนี่หว่า มันที่เห็นแบบนั้นเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดเข้าไปในไลน์กลุ่ม จากนั้นก็ยื่นมาตรงหน้าผมแล้วให้ดูข้อความของพวกเพื่อนที่กำลังเมาท์กันอย่างเมามัน ซึ่งแต่ละประโยคนี่แบบ...ถ้าให้บรรยายคงไม่ผ่านกองเซ็นเซอร์แน่ๆ


“เห็นนี่มั้ย”


“อือ” ถามมาได้ ตากูไม่ได้บอดนี่ แต่อันนี้แค่ต่อในใจ ปัดโธ่ ใครจะกล้าพูดกันล่ะ ก็มันเล่นทำหน้าโหดซะขนาดนี้ เพราะงั้นที่ผมทำเลยแค่พยักหน้าแล้วตอบด้วยเสียงอ่อยๆ เท่านั้นแหละ


“ทำแบบนี้ต้องการอะไร สนุก? สะใจ?”


“เปล่า...”


“ถ้าเปล่าแล้วมึงลงรูปในกลุ่มทำไม”


“กูไม่ได้ลง”


“ถ้าอย่างนั้นแล้วใครลง”


“กูไม่รู้”


“ว่าไงนะ?” พอได้ยินคำตอบของผม จากที่มันพยายามจะใจเย็นก็ดูเหมือนว่าจะเริ่มเดือดขึ้นมาอีกครั้ง “ช่วยตอบให้มันดีกว่านี้หน่อยได้มั้ย”


“แล้วมึงจะเอาดีขนาดไหน จู่ๆ มันส่งไปได้ยังไงกูก็ไม่รู้”


“ถ้าจะโกหกก็ช่วยหาเหตุผลที่มันฟังขึ้นหน่อย จะอ้างว่าเผลอหรือมือลั่นก็ได้ แต่บอกว่าไม่รู้นี่มันสิ้นคิดว่ะ”


“เอ๊า! ไอ้เชี่ยนี่! ก็กูไม่รู้จริงๆ นี่หว่า!” ของขึ้นสิผม พูดความจริงก็หาว่าโกหก แถมยังโดนด่ากลายๆ ว่าเป็นคนไร้สมองอีกต่างหาก ไม่ยงไม่เย็นมันแล้ว!


“หึ พูดง่ายดีนะ”


“เออ! ง่ายแล้วไง! มึงจะเอาอะไรกับกูอีก! รูปก็รูปจริงกูไม่ได้ตัดต่อสักหน่อย! อ้อ...หรือที่โมโหอยู่นี่คือมึงเสียหน้าว่างั้น อายใช่มั้ยที่เป็นถึงดาราแต่ก็โดนสวมเขา แฟนย่องไปเอากับคนอื่นแถมยังเป็นที่งานศพด้วย” ไอ้เอสที่ได้ยินผมพูดแบบนี้ก็ถึงกับกำหมัดแน่น เอาจริงๆ ผมก็รู้แหละว่าตัวเองพูดแรงไป แต่คือคนกำลังโมโหอะ บอกไม่รู้ๆ ยังมาเซ้าซี้คาดคั้นอยู่ได้


“กูขอแนะนำนะ เอาเวลาที่มาโมโหกูแบบนี้ไปเคลียร์กับแฟนมึงดีกว่า นี่เผลอๆ ยังไม่รู้ตัวเลยมั้งว่ากำลังโดนเมาท์ขนาดไหน ถ้าโทรไปไม่รับก็ลองเดินไปเคาะที่ห้องดูแล้วกัน”


คือเห็นไอ้เอสมันนิ่งๆ ผมก็เลยได้ใจไง เอาใหญ่เลยสิผม ปากดีสุดๆ แถมพูดจบก็กะจะกลับหลังเดินออกจากห้องของมันแบบหล่อๆ ด้วย


แต่...


ปัง!


!!!


ไอ้เอสตบประตูดังลั่นเพื่อขวางผมเอาไว้ ผมที่กำลังช็อกและตกใจเลยได้แต่ยืนนิ่งๆ มันเลยใช้จังหวะนั้นจับคางของผมให้เงยขึ้นมา หน้าของมันตอนนี้แม่งน่ากลัวยิ่งกว่าตอนมาหาผมที่ห้องซะอีก ผมคิดว่าเมื่อกี้ผมได้ทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่ลงไปแล้วล่ะ


“งั้นมึงก็ลองมาโดนเมาท์บ้างเป็นไง”


“หา? มึงพูดอะไร”


“หึ!” ไอ้เอสไม่ยอมตอบ แค่หัวเราะในลำคอเท่านั้น ก่อนที่มันจะก้มหน้าลงมาจูบผมทันทีโดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว!


“อื้อ!” ผมเบิกตากว้างพร้อมกับดิ้นอย่างสุดแรง แต่ยิ่งดิ้นไอ้เอสมันก็ยิ่งบีบคางของผมแน่น แถมยังดูดปากของผมอย่างแรงจนผมรู้สึกชา


เมื่อรู้ว่ายิ่งดิ้นก็ยิ่งเจ็บ ผมเลยลองเปลี่ยนเป็นดิ้นน้อยลง ซึ่งไอ้เอสมันก็ยอมผ่อนแรงที่คางลงตาม แต่ถึงอย่างนั้นปากของมันก็ยังจูบผมอย่างหนักหน่วงอยู่ดี แถมนอกจากดูด มันยังขบแล้วก็เม้มที่ริมฝีปากล่างด้วยอีกต่างหาก


สารภาพเลยว่าที่ผ่านมาผมยังไม่เคยจูบกับใครที่มันถึงพริกถึงขิงขนาดนี้ ขนาดแค่สอดลิ้นเข้าไปยังไม่เคยเลยด้วยซ้ำ แต่การจูบกับมันอะไรที่ยังไม่เคยทำผมก็โดนบังคับหมด แม่งโคตรน่าเจ็บใจ


คือผมก็ขัดขืนอยู่นะ ไม่ใช่ว่ายอมให้จูบแล้วก็แลกลิ้นกับมันแต่โดยดี แต่แรงช้างสารแบบนี้ผมจะไปสู้มันได้ยังไง ยิ่งดิ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งเจ็บตัวเท่านั้น แล้วอีกอย่างใจของผมมันก็รู้สึกหวิวๆ สั่นๆ ก็ไม่รู้ว่าโกรธหรือว่าเพราะอะไร


ซึ่งจังหวะที่ผมเกือบจะรู้ตัวแล้วว่าแอบเคลิ้มไปกับจูบของไอ้เอส...


แชะ!


หืม? เสียงชัตเตอร์!


ผมเบิกตากว้าง ส่วนไอ้เอสก็ถอนจูบออกมาพลางยิ้มที่มุมปาก จากนั้นก็กดดูรูปจากโทรศัพท์ที่มันพึ่งถ่ายเองกับมือ


“มุมสวยใช้ได้เลยนะมึงว่ามั้ย” แล้วมันก็ยื่นโทรศัพท์มาให้ผมดู ถึงจะแค่แว้บเดียวก็เถอะ แต่ผมก็เห็นว่านั่นคือรูปที่มันกำลังจูบผม แม่งเลือกถ่ายตอนที่กำลังขยี้ปากกูอย่างหนักด้วยนะมึง!


“มึงรีบลบออกไปเลย” จริงๆ ก็อยากขึ้นเสียงใส่อยู่หรอก แต่ตอนนี้ผมปากชาลิ้นชาจนพูดอะไรแทบไม่ออก


“ทำไมกูต้องลบ ไม่คิดว่ามันน่าเสียดายหรอ น่าจะแบ่งให้เพื่อนในกลุ่มดูดีกว่านะ ยังไงกูก็โดนเมาท์อยู่แล้ว โดนเพิ่มอีกสักเรื่องมันไม่ก็ต่างกันมากหรอก”


“มึง...” ผมพูดอะไรไม่ออก ตอนนี้ร่างกายของผมมันกำลังเริ่มสั่นด้วยความกลัว


“กลัวอะไร รูปก็รูปจริงกูไม่ได้ตัดต่อสักหน่อย” ไอ้เอสมันตั้งใจจะเอาคืนผมด้วยวิธีการเดียวกัน แถมยังเอาคำพูดของผมกลับมาตอกหน้าด้วยอีกต่างหาก แต่ประเด็นคือเรื่องรูปที่ส่งผมไม่ได้ทำไง แล้วทำไมผมต้องมารับกรรมในสิ่งที่ผมไม่ได้ก่อด้วยวะ


“มึงแม่งเหี้ย” ในขณะที่พูดน้ำตาของผมก็เริ่มคลอ แต่ผมจะไม่ยอมร้องไห้ให้คนอย่างมันเด็ดขาด


“ถ้าเรื่องที่กูทำเรียกเหี้ย แล้วเรื่องที่มึงทำนี่เรียกอะไร” มันมองหน้าผมนิ่ง แต่แววตานี่แข็งกร้าวสุดๆ จนผมแอบกลัว


แว้บหนึ่งผมเลยคิดกลับกัน ลองเข้าใจมันและคิดว่าตัวเองเป็นมัน ผมก็คงจะรู้สึกโกรธไม่ต่างจากมันตอนนี้หรอกมั้ง เพราะงั้นผมจะยอมคุยกับมันดีๆ อีกสักครั้งก็ได้


“ขอร้องล่ะ ลบรูปเถอะ” แต่ทั้งที่ผมยอมลงให้ขนาดนี้ มันกลับ...


“ถ้ากูบอกว่าไม่ล่ะ”


“ไอ้เชี่ยเอส!” ผมชักยัวะ นี่ก็อุตส่าห์ขอร้องดีๆ แล้วนะ แต่ถ้ามันจะเป็นแบบนี้ก็ช่างแม่งแล้วกัน ผมไม่สนใจแล้ว


“มึงจะเอายังไงกับกู!”


“ก็โดนแบบที่กูโดนไง!”


“เออ! งั้นมึงก็เอาเลย! ลงรูปแม่งให้ครบทุกกลุ่มเลยนะสัส!” พูดจบผมก็ใช้แรงทั้งหมดผลักที่อกของมัน จากนั้นก็รีบเปิดประตูแล้วหนีออกจากห้องมาเลย


ก๊อกๆๆๆๆๆๆๆ


“เปิดหน่อย! กูเอง!” ผมเคาะประตูห้องรัวๆ ไอ้พวกเพื่อนเลยรีบมาเปิดประตูให้ผม อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาทุกตัวเลยนะ


“เป็นไงมั่งมึง”


“เคลียร์กับเอสแล้วโนะ”


“มันไม่โกรธมึงแล้วใช่มะ”


“ทุกอย่างเรียบร้อยดีเนอะ”


“หยุด!” ผมยกมือขึ้นมาเบรกพวกมัน “กูเหนื่อย กูขี้เกียจตอบ กูอยากนอน โอเค้?” พูดจบผมก็ทิ้งตัวลงบนเตียง แถมยังจัดการคลุมโปงเลยด้วย พวกมันจะได้ไม่มาเซ้าซี้อะไรผมอีก แต่เอาจริงๆ ก็มีแอบงอนด้วยแหละที่ก่อนนี้พวกมันพากันทิ้งผม


“พวกมึงกลับห้องไปก่อนไป พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” ไอ้เก่งคงจะพูดกับไอ้หลินไอ้อาร์ท พวกมันเลยอิดออดนิดหน่อยโดยเฉพาะไอ้หลิน แต่ก็ยอมกลับห้องแต่โดยดี


และแล้วในที่สุดความสงบก็กลับคืนมาสู่ห้อง แต่ประเด็นคือ...............กูนอนไม่หลับโว้ยยยยยยย! ก็จะหลับลงได้ยังไง ในเมื่อปากดีไปท้าไอ้เอสเอาไว้แบบนั้น


‘งั้นมึงก็เอาเลย! ลงรูปแม่งให้ครบทุกกลุ่มเลยนะสัส!’


พ่องตายยยยยยยย นี่กูพูดอะไรออกปายยยยยยย ไอ้เชี่ยเอสแม่งยิ่งบ้าจี้อยู่ด้วย ขืนมันทำขึ้นมาจริงๆ ชีวิตอันสดใสของผมได้พังทลายลงแน่ๆ ฮือออออออ


กิ๊ง


เสียงแจ้งเตือนไลน์! เท่านั้นแหละผมก็รีบหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างหมอนขึ้นมาดูทันที


@Zeeee อยากเผือก รอมึงเหลาอยู่นะ (เพื่อนที่เรียนเอกเดียวกันแท็กมา)


เหลาเหี้ยอะไรล่ะสัส! แม่งเอ๊ย! กูเกือบหัวใจวายตายเพราะมึงเลยเนี่ย!


“เฮ้ออออออ” เมื่อไม่มีเรื่องอะไรผมก็ถอนหายใจออกมาอย่างแรง ก่อนจะวางโทรศัพท์ลงแล้วเริ่มข่มตานอน


แต่จนแล้วจนรอดผมก็นอนไม่หลับ แหงล่ะ ก็ไลน์เด้งทีสะดุ้งที แต่ท้ายที่สุดแล้วไอ้เอสก็ไม่ได้ลงรูป มันแค่ขู่ให้ผมกลัวเฉยๆ ประสาทแดกทั้งคืนฟรีไปดิ นี่กูต้องขอบคุณมึงมั้ยสัส!



Soul Scene



ตอนที่ยังมีชีวิตผมเคยคิดนะว่าตายแล้วจะต้องไปที่ไหน ลงนรก ขึ้นสวรรค์ หรือว่าดับสูญไป แล้วก็ยังมีความกลัวอีกมากมายร้อยแปดพันเก้าอย่างด้วย แต่พอตายจริงๆ นอกจากจะไม่น่ากลัวอย่างที่คิดชีวิตก็ยังสนุกมาก แต่เสียดายอยู่อย่าง ผมคุยกับใครไม่ได้เลยค่อนข้างจะเหงาอยู่หน่อยๆ


ถามว่าเพื่อนที่เป็นวิญญาณมีมั้ย?


เหอๆ อย่าเรียกว่าเพื่อนเลย วิญญาณที่ยังวนเวียนอยู่แถวนี้ไม่ยอมไปเกิดสักทีก็มีแต่วิญญาณอาฆาตเท่านั้นแหละ พวกนั้นจ้องจะแก้แค้นโจทย์อย่างเดียว ไม่สนใจคบค้าสมาคมกับวิญญาณอื่นๆ ให้เสียเวลาหรอก เพราะงั้นวิญญาณที่ยังอยู่อย่างชิลๆ ก็เลยมีแต่ผมคนเดียวนี่แหละ


เวลาในแต่ละวันของผมก็จะขลุกอยู่กับพวกเพื่อนซะส่วนใหญ่ อย่างอยู่ในวงเมาท์ เวลานอน หรือไปไหน ผมใช้ชีวิตคล้ายๆ เดิมเลย จะต่างก็ตรงที่ผมสามารถทะลุหรือหายตัวไปเผือกที่ไหนก็ได้ แต่เรื่องหายตัวนี่ต้องเป็นที่ที่ผมเคยไปมาก่อนนะ ถ้าหากยังไม่เคยก็ต้องลอยไป หรือไม่ก็อาศัยติดรถไปกับมนุษย์อะไรแบบนี้


 หลังจากที่ผมตามเผือกจนรู้ว่ายัยอีฟแอบกิ๊กกับเปอร์ ผมก็จัดการส่งไลน์จากเครื่องเปอร์ชวนคุณเธอไปงานศพผมด้วยกัน ยัยนั่นที่กำลังหงุดหงิดเรื่องเอสอยู่พอดีก็เลยตกลงมาแก้เซ็งไรงี้ แต่สุดท้ายก็ยิ่งเซ็งกว่าเดิมไปสิเพราะเปอร์ดันถามว่ามาทำไม ผมนี่หัวเราะก๊ากแบบโคตรสะใจเลยล่ะที่เห็นยัยนั่นตอนหน้าแหก


เพราะงั้นทั้งวันที่อยู่งานศพผมคุณเธอเลยเอาแต่ทำหน้าบูด แถมยังบ่นตลอดด้วยว่าร้อนอย่างนั้น เบื่ออย่างนี้ วัดบ้านนอกนี่มันไม่มีอะไรเลย ส่วนตอนกลางคืนที่สองคนนั้นแอบนัดไปเจอกันที่ห้อง บอกเลยนะว่าอันนี้ผมไม่เกี่ยว พวกนั้นไลน์นัดกันเอาเอง


ส่วนจะนัดกันไปทำอะไร...แหม ชายหญิงที่แอบเล่นชู้อยู่ด้วยกันในห้องสองต่อสอง คงไม่ใช่แค่จับมือนอนหรือกอดกันใสๆ หรอกจริงมะ


แต่เรื่องรูปถ่ายที่ถูกส่งไปในไลน์ อันนั้นเป็นฝีมือของผมเองแหละ คือตอนนั้นผมก็คิดแค่ว่าอยากแฉให้คนอื่นรู้ความเลวของยัยนั่น ยิ่งเยอะยิ่งดีเพราะยิ่งสะใจ ผมเลยส่งเข้าไลน์กลุ่มคณะไปเลย แต่ก็นั่นแหละ ผมดันคิดน้อยไปหน่อย ไม่ทันได้มองในมุมของเอสเลยว่าจะรู้สึกยังไง แถมยังไม่คิดด้วยว่าเอสจะโมโหมากถึงขนาดนั้น


ซึ่งขณะที่ผมกำลังเครียดจนแทบจะเป็นผีบ้าอยู่แล้วนั่นเอง...


โอ้มายก็อด! เอสจูบซี! แถมยังบดบี้ขยี้มาก!


อ๊ากกกกกกกกกกก ตายตาหลับเป็นยังไงก็พึ่งจะเข้าใจวันนี้ แล้วนั่น...อื้อหืออออ เอสจูบได้หนักหน่วงไปอีก กร้าวใจเหลือเกินพ่อเอ๊ย บอกเลยว่านี่ฟินมากจนแทบจะลอยไปสู่สุขคติได้อยู่แล้ว


ดูท่าภารกิจ 100 วันของผมคงจะสำเร็จเร็วกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย!


2BC


สวัสดีค่า Soulmate ตอนที่ 4 ก็จบลงไปแล้ว ใครที่รอความฟินก็คงจะถูกใจนะคะ  :-[ ว่าแต่มีใครหวีดเบอร์เดียวกันกับเต้ยบ้าง เหมือนเต้ยนี่เป็นแกนนำในการหวีดเลยเนอะ 55555   o18

ส่วนตอนหน้ามาลุ้นกันนะคะว่าหลังจากจูบแล้วเอสกับซีนี่จะยังไงต่อ ความสัมพันธ์จะพัฒนาไปทางไหน ขึ้นหรือลงมาลุ้นกันค่า ขอบคุณที่ติดตามและเข้ามาอ่านนะคะ รักน้าาาาา  :pig4:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
สนุกมากจ้า  ชอบๆๆ

ออฟไลน์ Micky_MN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-3
 :haun4: เอสจูบโหด ชอบอ่า

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด