Soulmate วิญญาณป่วนรัก
Part 18# Z เวลามึงหึงนี่น่ารักดีนะ
แชะ! แชะ! แชะ!
เสียงชัตเตอร์และเสียงหัวเราะคิกๆ คักๆ ทำให้ผมที่กำลังนอนอยู่ลืมตาตื่นขึ้นมา ตอนนี้ผมยังคงนอนอยู่ที่ตักของไอ้เอสเหมือนเดิม แต่เพิ่มเติมคือมียัยเอยืนถือโทรศัพท์อยู่ใกล้ๆ
“ถ่ายอะไรของแกวะ” แต่ทั้งที่ผมถาม มันกลับเมินแล้วเดินเอารูปไปให้ไอ้เอสดูซะงั้น
“เป็นไงคะพี่เอส ดีมั้ย” แล้วมันก็พยักหน้า
“แอดไลน์พี่แล้วส่งมาให้หน่อยสิ”
“ได้เลยค่ะ” จากนั้นพวกมันก็ถามไอดีไลน์เพื่อที่จะส่งรูปให้กัน คุยกันงุ้งงิ้งๆ ไม่สนใจผมเลย พออยากมีส่วนร่วมเลยจะลุกขึ้นไปดูด้วย แต่ไอ้เอสก็กดหัวผมเอาไว้ไม่ให้ลุกขึ้นซะงั้น
“ปล่อยกูววววววว” ก็ดิ้นอยู่สักพักอะกว่ามันจะปล่อยมือ พอลุกขึ้นมาได้อันดับแรกก็รีบจัดผมให้เข้าทรงก่อนเลย จากนั้นค่อยหันไปมองไอ้เอสตาขวาง
“ลบออกเลยนะ นั่นรูปกูที่ทำหน้าทุเรศๆ ตอนนอนใช่มั้ย”
“ไม่ใช่”
“กูไม่เชื่อ เอามาดูเลย”
“ไม่” แล้วไอ้เอสก็ลุกหนีไป ส่วนยัยเอคือวิ่งป่าราบตั้งแต่ที่ส่งรูปให้ไอ้เอสเสร็จละ ไวจริงๆ ไอ้น้องคนนี้ ว่าแต่นี่พึ่งกี่วันเอง ไอ้เอสมันใช้วิธีไหนคนทั้งบ้านถึงไปอยู่ทีมมันกันหมดเลยวะ หรือว่ามันจะใช้คุณไสยจริงๆ?
ว่าไปนั่น พึ่งตื่นสติสตังเลยยังไม่เต็มมั้งผม เดี๋ยวลุกไปล้างหน้าล้างตาสักหน่อยดีกว่า ส่วนเรื่องรูปเดี๋ยวผมค่อยหาโอกาสขโมยดูก็ได้ ยังไงไอ้เอสก็คงจะอยู่ที่นี่อีกหลายวัน
“เย็นนี้มีอะไรกินครับคุณนาย” ตื่นมาสักหน่อยผมก็เริ่มหิวเพราะไม่ได้กินข้าวเที่ยง พอเดินเข้าไปในครัวแล้วก็เจอแม่เข้าพอดี
“แม่กำลังดูอยู่ว่ามีอะไรเหลือบ้าง อืม...มีแค่ผัก สงสัยต้องไปตลาดแล้วล่ะ ไปด้วยกันกับแม่หน่อย”
“คร้าบ” แล้วแม่ก็เดินขึ้นไปบนห้อง คงจะไปหยิบกระเป๋าตังกับกุญแจรถ ส่วนผมก็ออกไปรอข้างนอก ซึ่งก็เห็นพ่อกับไอ้เอสกำลังรดน้ำต้นไม้ไปคุยกันไป ท่าทางจะถูกคอกันดี
“ไงซี ออกมาทำอะไรล่ะเรา” พ่อทักเมื่อเห็นผม
“ออกมารอแม่ครับ จะไปตลาด”
“ไปด้วยสิ” ประโยคนี้ไอ้เอสพูด ตอนแรกผมก็ว่าจะตอบไม่อยู่หรอกเพราะยังหมั่นไส้เรื่องรูปอยู่ แต่คิดไปคิดมาให้มันไปด้วยดีกว่า จะได้มีแรงงานทาสช่วยถือของ
“อือ”
“งั้นไว้เดี๋ยวค่อยคุยกันนะครับพ่อ” ไอ้เอสหันไปพูดกับพ่อผมก่อนที่มันจะเดินมาทางนี้
“เรียกพ่อกูว่าพ่อได้เต็มปากเลยนะ” ผมมองบนใส่
“หรือจะให้เรียกพ่อตา?”
“ไอ้...” แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้อ้าปากด่าและทุบไอ้เอสไปสักหมัด คุณนายแม่ก็เดินออกจากบ้านมาช่วยชีวิตมันเอาไว้ได้ก่อน
“ไปกันซี แม่พร้อมแล้ว”
“ฝากไว้ก่อนเถอะมึง” ผมชี้หน้าคาดโทษ แต่มันก็ยักไหล่ไม่ได้สะทกสะท้าน เนี่ย ธาตุแท้มันเป็นแบบเนี้ย ทำไมไม่มีใครเห็นนอกจากผมบ้างวะ
ตลาดอยู่ไม่ไกลจากบ้านของผมมาก ขับรถแค่ 5 นาทีก็ถึงแล้ว ที่ตรงนี้ถือว่าเป็นทำเลทองเลยก็ว่าได้ เพราะมีทั้งเซเว่น โลตัสเล็ก ร้านเสื้อผ้า แล้วก็ร้านขายสินค้าปลีก – ส่ง เรียกว่าเป็นศูนย์รวมของคนชาววังเลยล่ะ แล้วยิ่งช่วงเวลาเย็นๆ แบบนี้ด้วยนะ คนยิ่งมหาศาลจนแทบจะเหยียบกันตาย
แน่นอนว่าที่ผมพูดน่ะมันคือการเปรียบเปรย คนไม่ได้เยอะขนาดที่จะเหยียบกันตายได้จริงๆ หรอก แต่ยกเว้นวันนี้ ที่ผมคิดว่าคนอาจจะเหยียบกันตายขึ้นมาจริงๆ ก็ได้
ถามว่าทำไม?
ก็เพราะไอ้พระเอกอย่างไอ้เอสมันมาเดินตลาดน่ะสิ! ซึ่งทันทีที่มันลงจากรถแล้วชาวบ้านเห็นมันเท่านั้นแหละ...
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด”
“ป๊าดดดดดดดดดดดดดด”
“ดาราติน่ะ!” (ดารารึเปล่า!)
“พระเอกพู่นเด้อสู!” (พระเอกเลยนะพวกเธอ!)
“ป้าดติโท่! ผู้บ่าวกรุงเทพคือมาหล่อกะด้อกะเดี้ย!” (โอ้โห! หนุ่มกรุงเทพหล่อมากเกินไปแล้ว!)
“หล่อโพด! หล่อโพ! หล่อคัก! หล่อขนาด! หล่ออีหลี!” (หล่อมากๆๆๆ หล่อจริงๆ)
จะบอกว่านี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะผมฟังไม่ทันแล้วก็จำได้ไม่หมด ก็คนเป็นร้อยอะคิดดู คือกูไม่น่าให้มันมาด้วยเล้ยยยย ดันลืมไปซะสนิทว่ามันเป็นดารา แค่วันแรกที่มาก็พากันยกโขยงมามุงแทบจะทั้งหมู่บ้าน ยิ่งมาตลาดที่คนทั้งอำเภอมาจับจ่ายใช้สอยกันแบบนี้ โอ้โห! ตลาดไม่แตกสิให้มันรู้ไป!
คนในเมืองกรี๊ดดาราเท่าไหร่ ที่นี่ให้เลยคูณสิบ! ก็อย่างว่าแหละ บ้านนอกแบบนี้จะไปหาดาราตัวเป็นๆ ดูได้ที่ไหน อย่างมากก็แค่วงหมอลำไรงี้ ยิ่งระดับพระเอกด้วยแล้วยิ่งไม่มีทาง พอมีโอกาสที่มันน่าเหลือเชื่อแบบนี้...ก็รุมทึ้งสิค้าบบบบ
ทั้งสาวน้อย สาวใหญ่ สาวแก่ แม่หม้าย หรือว่ารุ่นคุณยายก็ไม่มียกเว้น ต่างก็มะรุมมะตุ้มไปขอลายเซ็น ถ่ายรูป หรือว่าจับมือไอ้เอสกันใหญ่ ถ้าเป็นเมื่อก่อนคิดว่ามันคงจะทำหน้านิ่งเป็นหุ่นขี้ผึ้ง แล้วก็เดินหนีไปเพราะไม่ชอบความวุ่นวาย แต่ตอนนี้นอกจากจะไม่ทำแบบนั้นมันยังยิ้มและโบกมือทักทาย แถมยังยอมให้บรรดาสาวๆ ไม่ว่าจะเหลือน้อยเหลือมากเข้ามารุมล้อมได้ตามใจชอบ
เป็นผมเนี่ยที่ไม่ยอม คือตอนแรกก็ไม่ได้อะไร แต่หลังๆ นี่ชักเยอะไปแล้วนะสาวๆ จากที่ขอถ่ายรูปเดี่ยวก็กลายเป็นเซลฟี่ จากขอลายเซ็นที่กระดาษก็ให้เขียนที่อกเสื้อ จากขอจับไม้จับมือก็กลายเป็นจับแก้มจับหน้า ยิ่งบางคนนี่อาศัยช่วงชุลมุนโผเข้ากอดหรือว่าหอมแก้มด้วย!
คือมันเกินเบอร์ไปมากแล้วโว้ยยยยยยยยย!
“ทุกคน! ทุกคนคร้าบ! ฮัลโหล! ได้ยินผมมั้ย! ผมขอล่ะนะคร้าบ! เลิกรุมไอ้เอสกันก่อนนะ! พวกผมต้องไปธุระที่อื่นต่อ! เดี๋ยวจะไปไม่ทันคร้าบ!” ผมแหกปากสุดเสียง แล้วฝ่าวงล้อมฝูงชนเข้าไปลากตัวไอ้เอสออกมา
แม้ชาวบ้านแถวนี้จะดูตื่นเต้นมากที่ได้เจอดาราตัวเป็นๆ แต่พอได้ยินผมพูดแบบนี้ก็พากันเข้าใจเลยค่อยๆ สลายตัว ถึงอย่างนั้นก็ยังมีบางส่วนที่ยังยืนมองและยืนถ่ายรูป ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติทั่วไป แต่ก็มีที่เล่นใหญ่เหมือนกัน อย่างร้านขายเครื่องเสียงตรงนู้น ที่ถึงกับเปิดคาราโอเกะพร้อมกับชวนเหล่าสาวสว. (สูงวัย) ไปร้องเพลงแอ้วไอ้เอสซะลั่นตลาด
~ ทั้งใหญ่ ทั้งยาว ทั้งขาว ทั้งหล่อ
โอ๊ยจังแม่นเนาะ จังแม่นหล่อถืกใจ
บ่แม่นน้องเคียวห่าวใส่ผู้ชายได๋ หุ่นกะได้ สเปคน้องเลย
คันได้อ้ายมานอนเชย คือสิบ่เสียชาติเกิด ~เสียงร้องให้ 5 แต่ท่าเต้นให้เต็ม 10 ไปเลย คือเหล่าป้าๆ พากันแดนซ์แบบไม่แคร์อะไรทั้งนั้น ทั้งวัย ทั้งเอว หรือแม้กระทั่งผัวที่ยืนข้างๆ ส่วนเนื้อร้องสองแง่สองง่ามมันก็เป็นปกติของเพลงลูกทุ่งอยู่แล้วอะนะ คนที่ไม่ค่อยชินอย่างไอ้เอสแถมยังโดนสายตาโลมเลียจากพวกป้าๆ ก็จะมีความเขินๆ อายๆ แต่สำหรับผมที่ได้ยินเพลงแนวนี้มาตั้งแต่เด็กก็เลยชิน ไม่ได้โดนเองด้วยแหละก็เลยมองว่าขำๆ บันเทิงจะตายไป
“ไม่ไปแดนซ์กับแก๊งสว.หน่อยหรอ” ผมเอาศอกสะกิดไอ้เอสพร้อมกับยิ้มแซวๆ ตอนแรกก็คิดว่ามันจะอายหนักกว่าเดิม แต่ผิดคาด
“ทีตอนกูถูกกอดกับหอมแก้มมึงไม่ยุแบบนี้บ้างล่ะ” อ้าว มันตอบมาแบบนี้จากที่อารมณ์ดีๆ ก็ชักยั้วะเลยดิ
“คือยังไง ชอบที่ถูกทำแบบนั้นว่างั้น?”
“อืม ชอบ”
“โหยไอ้คนเหี้ย! ที่แท้มึงเป็นคนแบบนี้เองหรอ! ถ้าชอบก็ไปเลยนะ! ไปให้สาวๆ รุมฟัดเลยไป๊!” แม่ง! ผมไม่คิดเลยจริงๆ ว่ามันจะเป็นคนแบบนี้ แล้วยังกล้ายอมรับออกมาอีกหน้าด้านๆ แถมยังมีหน้ามาหัวเราะด้วยอีก ปรี๊ดสิครับปรี๊ด
เอาจริงๆ นี่ก็ว่าจะโวยวายใส่มันอีกชุดสักหน่อย แต่คุณนายแม่ที่เดินดูของอยู่ด้วยท่าทางอารมณ์ดีก็หันมากระซิบเบรกผมซะก่อน
“อย่าเสียงดังสิซี อยากให้ชาวบ้านเขารู้กันหมดหรอว่าเป็นแฟนกัน”
“หา! ไม่ใช่นะแม่! ผมกับมันน่ะ...”
“หมูโลเท่าได๋จ๊ะ” เฮ้อออออ แม่นะแม่ไม่ยอมฟังกันเลย หันไปคุยกับเจ๊ขายหมูซะงั้น
ปกติถ้าคุยกับคนแถวนี้แม่จะใช้ภาษาอีสาน แต่ถ้าอยู่บ้านจะใช้ภาษากลางเพราะพ่อเป็นคนกรุงเทพ พอแต่งกับแม่เลยย้ายมาอยู่ที่นี่ ผมกับน้องก็เลยจะถนัดพูดภาษากลางกันมากกว่า ภาษาอีสานจะพูดไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่ เวลาพูดทีไรพวกเพื่อนก็มักจะด่าว่าเพี้ยน ให้พูดภาษากลางดีกว่า แต่ถ้าให้ฟังนี่ก็รู้เรื่องทุกคำนะ
“ไม่อยากรู้หรอว่า ที่กูบอกว่าชอบหมายถึงชอบอะไร” ไอ้เอสกระซิบที่ข้างหูผม
“อย่ามากวนได้มั้ยสัส อยากพูดอะไรก็พูด” คนยิ่งหงุดหงิดอารมณ์ไม่ดีอยู่ด้วย ถ้าไม่ติดว่ากลัวคนที่ตลาดได้ยินผมคงด่ามันไปอีกชุดละ แม่งทำหน้าระรื่นอยู่ได้
“ที่กูบอกว่าชอบ คือชอบที่เห็นมึงหึงกูน่ะ น่ารักดี” หน่านี้! ใครได้ไปหึงมันฟะ!
“พ่องสิ! คิดได้เนอะว่ากูหึงมึง! กูเนี่ยนะหึง! มึงเพ้อแล้วสัส!” ผมกัดฟันพูดเสียงเข้ม แม่ง คนเหี้ยอะไรโคตรหลงตัวเอง ขี้มโนขี้โมเมฉิบหาย
“เวลามึงหึงนี่น่ารักดีนะ”
“ยัง...ยังไม่หยุดพูดอีก!”
“ก็จะพูดจนกว่ามึงจะยอมรับว่าชอบกู”
“อย่ามาพูดจาไร้สาระ!”
“งั้นก็แย้งมาสิว่าที่กูพูดมันไม่ใช่ มึงไม่ชอบเวลามีคนมาแตะเนื้อต้องตัวกู ยิ่งกอดยิ่งหอมก็ยิ่งไม่ชอบ แล้วที่ยิ่งไม่ชอบมากที่สุด ก็คือการที่กูบอกว่าชอบที่ถูกทำแบบนั้น”
“...” ผมไม่ตอบ ไม่ยอมรับหรือปฏิเสธอะไร
คือตอนนี้ผมสับสนอะ อย่างตอนที่อยู่กองถ่ายละคร มันเข้าฉากกับนางเอกนางรองมากกว่านี้ผมยังไม่เห็นรู้สึกอะไร แต่ทำไมตอนนี้ผมถึงได้รู้สึกไม่พอใจล่ะ ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ
“ถ้าไม่ตอบกูจะถือว่ามึงยอมรับนะ”
“อย่ามาขี้ตู่! แล้วก็อย่ามาทำเป็นรู้ดีด้วย!” ผมสะบัดหน้าหนีแล้วรีบก้าวไปเดินข้างคุณนายแม่ ก่อนจะชี้นั่นชี้นี่ชวนคุยไปเรื่อยเพราะไม่อยากคุยกับไอ้เอส
ตั้งแต่เดินตลาดจนกลับมาถึงบ้าน ยาวไปจนถึงกินข้าวและดูละครหลังข่าวจบผมก็เอาแต่หลบเลี่ยงมัน ไม่ยอมพูด ไม่ยอมมองหน้า ไม่ยอมสบตา จนคุณนายแม่ที่ดูอยู่นานถึงกับทนไม่ไหว
“งอนอะไรเอสอีกเนี่ย ขี้งอนจริงๆ นะเรา เอ้าเคลียร์กันซะให้เรียบร้อย พวกแม่จะขึ้นไปนอนแล้ว” พูดจบคุณนายแม่ก็เดินขึ้นไปบนบ้าน โดยมีพ่อและยัยเอตามขึ้นไปติดๆ เหลือแค่ผมกับไอ้เอสแค่ 2 คนอะตอนนี้
“คราวนี้กูจะไม่ให้มึงหนีหรือว่าเลี่ยงไปเรื่องอื่นอีกแล้วนะ จะให้คำตอบกูได้รึยังซี” ใจจริงผมก็อยากจะกวนตีนมันอยู่หรอกนะว่าคำตอบอะไร แต่เห็นสีหน้าและแววตาที่จริงจังผมก็กวนไม่ออก
“ไปคุยกันที่อื่นดีกว่า” แล้วผมก็เดินนำไอ้เอสออกไปยังเถียงนาน้อยริมน้ำ
ถามว่าทำไมผมไม่คุยในบ้าน?
ล้านเปอร์เซ็นต์เลยนะ ที่พวกแม่บอกว่าขึ้นไปนอน แต่ความจริงคือขึ้นไปแอบฟังกันนั่นแหละ! แหม...ทำเป็นพูดว่าเปิดโอกงโอกาส อยากจะเผือกเรื่องของผมกับไอ้เอสกันล่ะไม่ว่า เพราะงั้นฝันไปเถอะว่าผมจะคุยให้ได้ยิน หึ!
ตอนนี้ผมกับไอ้เอสเดินมาถึงเถียงนาน้อยแล้ว พอได้อยู่สองต่อสองในที่เงียบๆ แบบนี้แล้วก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูกชอบกล อารมณ์แบบเขินๆ ปนกับประหม่า เพราะงั้นผมเลยตัดสินใจไม่มองหน้ามันแล้วไปนั่งมองฟ้า มองน้ำ มองต้นไม้ใบหญ้าแม่งเลย
“คิดอะไรอยู่” ไอ้เอสถามเมื่อลงมานั่งข้างๆ ผม ดีที่มันไม่มานั่งซ้อนข้างหลังเหมือนเมื่อวาน ไม่งั้นผมจะฟาดเข้าให้
“ก็คิดเรื่องมึงนั่นแหละ” พอได้ยินแบบนี้ไอ้เอสก็อมยิ้มออกมา
“คิดว่า?”
“กูได้ชอบมึงมั้ย”
“แล้วได้คำตอบรึเปล่า” ถึงจะถาม แต่ก็เหมือนมันจะรู้คำตอบอยู่แล้วอะ ก็ดูดิ แม่งยิ้มแป้นแล้นซะหน้าบานเชียว หมั่นไส้ว่ะ
“ถามจริง มึงชอบกูตรงไหน” ผมไม่อยากตอบมันเลยถามคำถามแม่งเลย
“ตรงความสดใสมั้ง ขนาดแค่มองไกลๆ ความสดใสของมึงยังทำให้กูยิ้มได้เลย แล้วยิ่งได้อยู่ใกล้ๆ มีหรอที่กูจะไม่ตกหลุมรักมึง” โอ้โห เจอคำตอบแบบนี้เข้าไปก็เขินสิครับพี่น้อง คือเขินเหี้ยๆ จนแทบอยากจะดำน้ำหนีให้รู้แล้วรู้รอดเลยอะ
แต่จะว่าไป ผมว่าประโยคที่มันพูดฟังดูแปลกๆ ยังไงชอบกล
“มึงพูดอย่างกับว่า ก่อนหน้านี้เคยมองกูอยู่นานแล้ว”
“ตอนแรกกูก็ไม่รู้ตัวหรอก แต่พอลองคิดย้อนดู กูอาจจะมองมึงตั้งแต่ก่อนชวนมาอยู่ที่บ้านด้วยกันอีกมั้ง”
“ล้อเล่นใช่ปะ!”
“กูพูดจริง” แล้วมันก็นิ่งไปสักพัก เหมือนกำลังนึกคำพูดหรือคิดถึงเหตุการณ์อะไรสักอย่าง “มึงอาจจะไม่รู้ตัว ไม่ว่ามึงจะทำอะไรก็มักจะเป็นจุดสนใจตลอด เพราะแค่มึงยิ้มมันก็ทำให้โลกสดใสแล้ว”
“มึงก็พูดเวอร์” ว่าแต่กูจะเขินทำไมวะเนี่ย
“กูบอกความรู้สึกของกูไปหมดแล้ว ทีนี้มึงจะบอกความรู้สึกของมึงได้รึยัง” ถึงใจจริงผมอยากจะอยากตอบว่ายัง แต่ดูท่าคงจะไม่ได้ซะแล้ว
เอาวะ! พูดก็พูด!
“ความจริงกูก็พอจะรู้แหละว่ากูรู้สึกยังไงกับมึง แต่คือกูไม่อยากยอมรับไง ความสัมพันธ์ระหว่างชายกับชายมันจะยั่งยืนหรอวะไรงี้ คือโลกนี้มันไม่ได้มีแค่กูกับมึงสองคน แต่ยังมีครอบครัว เพื่อนฝูง คนรอบข้าง แล้วก็สังคมอีก ทีนี้กูเลยลองคิดดูว่าถ้าหากกูกับมึงคบกันมันจะไปรอดมั้ย มันไม่เหมือนความสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิงอะ”
“...”
“มึงอาจจะคิดว่ากูคิดไกลเกินไปมั้ย แต่ถ้าจะคบใครสักคนกูก็อยากคบกันไปนานๆ ไม่อยากคบแป๊บๆ ก็เลิก ซึ่งถ้าหากกูคบกับมึงมันก็มีโอกาสเป็นแบบนั้นสูงมาก เพราะงั้นกูเลยคิดว่า กูควรตัดใจซะตั้งแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า ยิ่งถลำลึกไปมากมันก็ยิ่งเจ็บมาก มึงคิดแบบนั้นมั้ย”
“ไม่” ไอ้เอสตอบกลับทันที ดูจากสีหน้าของมันตอนนี้ผมก็พอจะเดาออกว่ามันกำลังคิดอะไร อยากจะแย้งอะไรผมบ้าง ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ผมหลุดขำออกมา
“อย่าพึ่งทำหน้าแบบนั้นดิ ฟังกูให้จบก่อน” ถึงจะไม่ค่อยอยากยอม แต่มันจะทำอะไรได้ล่ะ ก็ต้องยอมผมอยู่ดี
“พูดต่อสิ”
“ถึงไหนแล้วล่ะ...อ้อ ถึงที่กูพูดว่าควรรีบตัดใจก่อนจะยิ่งถลำลึกใช่มั้ย คือตอนแรกกูก็คิดแบบนั้นแหละ แต่พอคิดอีกแง่ตัดใจตอนนี้ถึงจะเจ็บน้อยมันก็เจ็บนะ อีกอย่างอนาคตมันเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ ถ้าลองเสี่ยงดูมันอาจจะเวิร์คก็ได้ แล้วกูก็จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลังที่ปฏิเสธมึงด้วย เพราะงั้น...มาคบกันเถอะ”
“...” ที่นิ่งเงียบไม่ใช่อะไร ผมว่าไอ้เอสคงกำลังอึ้งอยู่ มันคงไม่คิดว่าผมจะพูดว่าคบกันเถอะออกมา
“คือกูก็เขินเป็นนะเว่ย ถ้ามึงจะไม่ตอบอะไรแบบนี้กูก็...อื้อ!” จากที่คิดว่าจะลุกหนีไป แต่ผมก็ทำแบบนั้นไม่ได้ซะแล้ว เพราะไอ้เอสล็อกที่ท้ายทอยของผมไว้ แล้วเคลื่อนใบหน้าเข้ามาจูบผมอย่างรวดเร็ว
มันจูบผมแบบหนักๆ รสจูบเต็มไปด้วยความยินดี ดีใจ และมีความสุขมาก จากตอนแรกผมที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเลยเกร็งอยู่หน่อย แต่ตอนนี้ผมก็จูบตอบและปล่อยตัวตามสบาย ไหนๆ ก็ได้ปล่อยใจไปให้มันแล้วนี่
“มึงพูดแล้วห้ามคืนคำเด็ดขาด” ไอ้เอสพูดเมื่อถอนจูบออกมา ฟังดูเผินๆ เหมือนจะเป็นคำสั่ง แต่เปล่าหรอก มันกำลังขอร้องผมต่างหาก
“ไม่คืนหรอกน่า เห็นกูเป็นคนยังไงเนี่ย”
“คนที่เป็นแฟนกู”
“แหม มึงนี่พูดได้ไม่อายปากเลยนะ” ผมมองบน ส่วนมันก็ยักไหล่ แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วิมันก็เปลี่ยนโหมด สายตาจ้องมองมาที่ผมแล้วเลื่อนมือมาประคองที่ข้างแก้มช้าๆ
“ขอจูบอีกครั้งได้มั้ย” ใจสั่นเลยดิกู ก็ดูสายตาของมันสิ เหมือนอยากจะกลืนกินผมทั้งตัวยังไงยังงั้น แล้วยังจะเสียงกระเส่านิดๆ นั่นอีก
“ที่ผ่านมาทำยังกะเคยขอ” ผมเสหน้ามองไปทางอื่น คือถ้าจะให้ตอบว่าก็มาดิค้าบมันก็จะดูใจกล้าเกินไป
“นั่นสินะ” แล้วมันก็จัดการจูบผมเลย ชอบจูบปุบปับไม่ให้ตั้งตัวตามเคยอะมัน และแน่นอนว่าจูบจากคนอย่างมันก็ไม่ใช่จูบแบบใสๆ อยู่แล้ว
ริมฝีปากของมันกดแนบลงมาอย่างหนัก ก่อนที่จะขบเม้มและดูดดุนที่ริมฝีปากของผมจนรู้สึกเสียววาบ แล้วในจังหวะที่ผมเปิดปาก ลิ้นร้อนๆ ก็สอดแทรกเข้ามาทันที
“อืม...” ผมหลุดเสียงครางออกมาเบาๆ ปลายลิ้นของเราที่สัมผัสกันมันทำให้ผมรู้สึกราวกับว่ามีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่าง ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ผมเสียการควบคุม สมองของผมมันมึนและเบลอไปหมดจนคิดอะไรแทบไม่ออกแล้ว
“อือ...อื้ม...” ผมเริ่มครางหนักขึ้น โดยไม่รู้ตัวเลยว่าได้จูบตอบและแลกลิ้นกับไอ้เอสอย่างดุเดือดแค่ไหน รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มันดันผมลงไปนอนที่พื้น แล้วก็สอดมือเข้ามาในเสื้อของผมนั่นแหละ
“ดะ...เดี๋ยว! เดี๋ยวก่อน! นี่มึงกำลังจะทำอะไร!” จากที่เคลิ้มๆ อยู่ก็ตาเหลือกเลยดิผม
“ถึงขนาดนี้ยังต้องให้กูพูดอีกหรอ” ก็นั่นน่ะสิ สีหน้าของมึงออกอาการหื่นชัดเจนขนาดนี้ มึงคงจะไม่ชวนกูนอนดูดาวที่นี่แน่ๆ
“โอเค งั้นมึงไม่ต้องพูด แล้วก็ช่วยลุกขึ้นไปด้วย” ผมพูดพร้อมกับดันที่แผ่นอกของมัน แต่แม่งก็ไม่ยอมขยับไปไหนเลยอะ
“แต่มึงเป็นแฟนกูแล้วนะ” พอโหมดทำให้เคลิ้มไม่ได้ผลก็มาโหมดลูกอ้อนเลยเรอะไอ้นี่ แต่โทษที กูใจแข็งมากกว่าที่มึงคิดว่ะ
“แค่วันแรกก็จะให้กูเปลี่ยนสถานะจากแฟนเป็นเมียเลยรึไง” เอาจริงๆ ผมก็อยากเป็นผัวอยู่นะ แต่ดูทรงละแม่งไม่น่าเวิร์ค คือด้วยบริบทมันก็เข้าใจได้ด้วยตัวเองอะว่าใครเป็นฝ่ายไหน แต่ขอเวลาผมทำใจสักหน่อยก็แล้วกัน
“ความจริงกูถือว่ามึงเป็นเมียกูตั้งแต่วันที่ช่วยกันที่โรงแรมแล้วนะ”
“สัส!” ถึงว่าล่ะหลังจากวันนั้นมันก็ดูแลใส่ใจผมแปลกๆ แถมยังโมโหเรื่องที่ผมไปเดทกับแพรด้วย คิดแล้วก็ตลกเหมือนกันที่ผมดันเข้าใจผิดว่ามันหึงแพรซะได้
“ตอนนั้นยังไม่ได้คบกันกูเลยยั้งไว้ แต่ตอนนี้กูพูดเลยว่าจะไม่ทน”
“แต่มึงต้องทน!” ผมพูดพร้อมกับยกมือขึ้นไปดันหน้ามันที่กำลังจะก้มจูบลงมา
“ซี ไม่เอาน่า...”
“มึงช่วยแหกตาดูด้วยว่าที่นี่มันคือที่ไหน” เถียงนาน้อย! ไอ้ฉิบหาย! ประสบการณ์เสียตัวครั้งแรกมึงก็จะจัดเอาท์ดอร์กับกูเลยเรอะ!
“งั้นก็ไปที่ห้องมึงกัน”
“สัส! พ่อแม่น้องกูก็อยู่บ้าน!”
“กำแพงห้องมึงหนาอยู่ กูลองเคาะดูแล้ว” ว้อทเดอะฟัค! นี่ธาตุแท้มึงเป็นคนแบบนี้เองเรอะ!
“แต่มันใช่เรื่องที่จะมาทำที่บ้านเปล่าวะ!”
“กูมีให้มึง 2 ทางเลือก จะทำที่นี่หรือที่ห้องนอน เลือกมา” แล้วฉันเลือกอะไรได้ไหม เลือกให้เธอไม่ทำได้รึเปล่า หากไม่ยอมให้ทำ จะตามใจฉันหรือเธอ ณ จุดๆ นี้กูอยากร้องเพลงนี้ตอบไปมากอะ
“คือมึง...แบบว่า...เรื่องแบบนี้มันก็ต้องมีเตรียมตรงเตรียมตัวกันก่อนนึกออกมะ อย่างถุงยางงี้ เจลหล่อลื่นงี้ มึงมีหรอ”
“ไม่มี”
“นั่นไง!” กำลังว่าจะตบเข่าฉาดอยู่แล้ว แต่ประโยคถัดมาของไอ้เอสก็ทำเอาผมที่กำลังจะง้างมือถึงกับต้องเบรกซะก่อน
“แต่ของพวกนี้กูขับรถออกไปซื้อที่เซเว่นก็ได้ จะเอายี่ห้อไหน รสไหน กลิ่นไหน เลือกมาสิ”
“เห็นเขาว่า Durex Chocolate ที่พึ่งออกใหม่ก็หอมนะมึง................ถุ้ย! ไม่ใช่แล้วมั้ยสัส!” ดันเผลอเคลิ้มตามมันไปซะได้ บ้าจริง! “ประเด็นมันอยู่ที่มึงเป็นดารานะเว่ย จะออกไปเซเว่นซื้อของพวกนั้นได้ยังไง สังคมบ้านนอกมันเล็กจะตาย แป๊บๆ แม่งก็รู้กันทั้งหมู่บ้าน มึงได้กลายเป็นที่เมาท์แน่ๆ เชื่อกู”
ใครว่าไอ้เอสมันตะล่อมเก่งคนเดียว พอถึงเวลาคับขันผมก็ทำได้เหมือนกันล่ะวะ หึหึ
“แล้วกูต้องทนอีกนานแค่ไหน” มันถอนหายใจ สีหน้าเซ็งสุดอะไรสุด
“ก็จนกว่าจะมีถุงยางมีเจลหล่อลื่นพร้อมไง อีกไม่กี่วันมึงก็กลับกรุงเทพแล้วนี่ ยังไงมึงก็ต้องลากกูกลับไปด้วยอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ” เหลือเวลาทำใจอีกกี่วันวะกู 1...2...3...4... 4 วันก็ยังดี เผลอๆ วันที่ 5...6...7... กูอาจจะไหลได้อีกก็ได้ใครจะไปรู้
แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น อีก 2 วันต่อมา...
“พัสดุมาส่งคร้าบ!” บุรุษไปรษณีย์มาส่งของแต่เช้าเลย จ่าหน้าชื่อผมด้วย งงในงงเลยดิ ผมว่าผมก็ไม่ได้สั่งอะไรไปสักหน่อย เพราะงั้นพอเซ็นรับของเรียบร้อยแล้วก็เลยเปิดดูมันซะเลย ซึ่งพอเห็นของที่อยู่ข้างในเท่านั้นแหละ...
“เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยย!” แหกปากดังลั่นไปดิผม เอาจริงๆ ไม่ตกใจจนโยนของในกล่องให้มันกระจัดกระจายก็ดีเท่าไหร่แล้ว
ถามว่าทำไมผมถึงได้ตกใจขนาดนี้?
ก็เพราะมันมีถุงยางอนามัยกับเจลหล่อลื่นอยู่ในกล่องน่ะสิ!
2BC
สวัสดีค่าทุกคนนน ขอโทษที่มาช้าไปหน่อยนะคะ แบบว่าช่วงสิ้นเดือนงานเยอะมว้ากกกก
เพราะงั้นเพื่อเป็นการไถ่โทษตอนนี้เราเลยจัดให้แบบยาวๆ ให้ได้ฟินกันหลายๆ ฉากแบบจุใจไปเลย ซึ่งก็หวังว่าจะชอบกันน้าาา
ส่วนตอนหน้ามาลุ้นกันต่อว่าชะตากรรมของซีจะเป็นยังไง จะรอดจากเงื้อมมือเอสมั้ย
ว่าแต่ใครสั่งของมาส่ง? ผีหรือคนมาเดากันค่ะ อิอิ แล้วเจอกันค่า ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเมนท์ให้เค้านะคะที่ร้าก
บ๊ายบายยยย