Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่ 23# เหตุเกิดจากความเมา [28.12.62]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่ 23# เหตุเกิดจากความเมา [28.12.62]  (อ่าน 17056 ครั้ง)

ออฟไลน์ Y-Darkness

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0

ออฟไลน์ Sameejaejung

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-17
Soulmate วิญญาณป่วนรัก


Part 5# S แบล็คเมล์


ขณะนี้ผมกำลังจ้องรูปจากโทรศัพท์ที่กำลังจูบกับซีอยู่...


ก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นคิดอะไร รู้ตัวอีกทีก็จูบไปแล้ว แต่คงจะเป็นเพราะความโมโหนั่นแหละ ก็ดูเรื่องที่ซีทำสิ ขอโทษสักคำก็ไม่มี แถมยังแถข้างๆ คูๆ และพูดจาแบบนั้นกับผมอีกต่างหาก


หวังว่าเรื่องนี้จะเมาท์กันแค่ในกลุ่มไม่หลุดไปถึงนักข่าวนะ จริงอยู่ว่าผมไม่ได้มีชื่อเสียงขนาดที่ไปไหนก็จะมีคนรู้จัก เป็นแค่น้องใหม่ในวงการเท่านั้น แต่ก็อาจจะมีเพจหรือคอลัมน์เล็กๆ ที่เมาท์เรื่องนี้ ซึ่งผมไม่ชอบ ผมอยากอยู่เงียบๆ สงบๆ โฟกัสแต่เรื่องงานอย่างที่เป็นอยู่ ไม่อยากให้มีเรื่องที่มันน่ารำคาญมากวนใจ


ถามว่าผมเป็นคนแบบนี้แล้วจะทำงานในวงการได้หรอ?


ตอนแรกผมก็ค่อนข้างกังวล เพราะก่อนหน้านี้ที่รับแต่งานถ่ายแบบ ผมก็แค่ทำหน้าปกติไม่ต้องยิ้มหรือแอคติ้งอะไรมากมาย แต่พอมีต้นสังกัดมาทาบทามเป็นสายนักแสดง คราวนี้ผมต้องสวมบทบาทเป็นตัวละครนั้นๆ ก็คิดอยู่ว่ามันต้องยากผมเลยอยากปฏิเสธ


แต่พอเห็นค่าตัวต่อเรื่องเริ่มที่ 7 หลักต้นๆ ผมก็ชักลังเล แล้วต้นสังกัดก็เสนอเรื่องที่คาเรคเตอร์นิ่งๆ อย่างทนายสุดเย็นชามาให้ด้วย ผมเลยคิดว่าลองดูสักหน่อยก็ไม่เสียหาย แถมละครก็ไม่ค่อยเน้นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เท่าไหร่ จะเน้นไปที่เรื่องกฎหมายมากกว่า


ถึงแม้ต้นสังกัดจะเข้าใจว่าผมมีนิสัยยังไง แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะเข้าใจ เพราะทีมงานเบื้องหลังที่ทำงานกับผมใหม่ๆ ก็จะยังไม่ชิน มีด่าว่าผมหยิ่งบ้างทั้งต่อหน้าและลับหลัง แต่ผมก็ปล่อยผ่านไม่สนใจ ถ้าเบื่อหรือชินแล้วก็คงจะเลิกด่าไปเอง รวมคนทั่วไปที่บังเอิญเจอผมแล้วผมทำหน้านิ่งก็ด้วย


มาพูดกันที่เรื่องรูปที่ผมจูบซีกันต่อ ถึงจะขู่ไปแบบนั้นผมก็ไม่คิดจะลงรูปจริงๆ หรอก ไม่ใช่เพราะใจอ่อนหรือสงสารซี แต่มันจะกระทบกับตัวผมเองต่างหาก การทำงานในวงการบันเทิงภาพลักษณ์เป็นสิ่งสำคัญมาก ยิ่งช่องกำลังดันผมเป็นพระเอกหน้าใหม่ด้วย ถ้าหากมีรูปจูบปากกับผู้ชายหลุดออกไป มีหวังผมได้ดับก่อนที่จะดังแน่ๆ


แต่บอกไว้ก่อนว่าผมไม่ได้แอนตี้เรื่องแบบนี้หรอกนะ เดี๋ยวนี้โลกมันเปิดกว้างแล้ว ความรักความชอบมันก็รสนิยมส่วนตัว แถมคนในวงการเกือบครึ่งก็เป็นกันทั้งนั้น มีตั้งแต่ระดับพระเอกยันช่างไฟกันเลย


ส่วนตัวผมอันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน ที่ผ่านมาถึงผมจะคบแต่ผู้หญิงมาตลอด แต่ก็แค่เบื่อที่โดนตื๊อเลยคบไปงั้นๆ ไม่เคยถูกใจหรือชอบใครเลยสักคน ยิ่งรักยิ่งไม่เคย อาจเป็นเพราะตลอดมาทุกคนมักจะเข้าหาผมเพราะหน้าตา บอกว่าชอบทั้งๆ ที่ยังไม่รู้จักนิสัย แต่ผมก็ไม่ได้ปฏิเสธนะ อยากคบด้วยผมก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ทนความเฉยชาจากผมให้ได้ก็แล้วกัน


เร็วสุดคือ 3 วัน นานสุดคือเกือบปีซึ่งก็คืออีฟ แรกๆ เธอก็บอกเข้าใจ รับได้ทุกอย่างที่เป็นผม คงจะคิดว่าถ้าคบกันนานๆ ผมจะรักและเปลี่ยนนิสัยเพื่อเธอล่ะมั้ง แต่พอนานวันเข้าผมก็ยังเหมือนเดิม เธอเลยเริ่มประชดโดยทำตัวสนิทสนมกับเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งเพื่อทำให้ผมหึง แต่พอเห็นผมไม่รู้สึกอะไร จากที่แค่จะประชดเลยกลายเป็นนอกใจเข้าจริงๆ


ซึ่งผมก็ตั้งใจจะเคลียร์เรื่องนี้ให้จบสักทีอยู่แล้ว แต่ก็ดันมาเกิดเรื่องกับเต้ยขึ้นซะก่อน ก็รู้สึกใจหายเหมือนกันเพราะเต้ยเป็นเพื่อนที่ดี ร่าเริงสดใสและชอบชวนผมคุยบ่อยๆ ส่วนซีผมไม่ค่อยได้คุย แต่ก็รู้สึกได้ว่าเหมือนจะไม่ค่อยชอบหน้าผม แต่ตอนนี้คงเลยเป็นเกลียดไปแล้วล่ะ


“หึ” พอนึกถึงหน้าซีตอนโกรธ ผมก็รู้สึกตลกจนเผลอหัวเราะออกมา แต่หน้าตอนโกรธปนเขินเพราะถูกจูบนี่ผมคิดว่า... 


Rrrrrrrrrr Rrrrrrrrrr


จู่ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นขัดจังหวะ ภาพที่ซีกำลังถูกผมจูบแทนที่ด้วยใบหน้าของอีฟ พอเห็นแบบนี้จากที่กำลังสนุกผมก็รู้สึกหงุดหงิดไปเลย


[“เอส! เอสช่วยอีฟด้วย!”] พอผมกดรับสาย โดยที่ยังไม่ทันพูดอะไรอีฟก็พูดแทรกขึ้นมาแล้ว


“เรื่อง?”


[“เอสน่าจะเห็นแล้ว เรื่องรูปของอีฟกับเปอร์”]


“อืม”


[“อีฟทำผิดอีฟรู้ อีฟขอโทษนะเอส อีฟไม่มีอะไรจะแก้ตัว แต่อีฟมีเรื่องอยากให้เอสช่วย”]


“ช่วย?” ทำกับผมขนาดนี้ อีฟยังมีเรื่องจะให้ผมช่วยอีกเนี่ยนะ เชื่อเลยแฮะ


[“อีฟอยากให้เอสช่วยแก้ข่าวให้หน่อย บอกว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นการเข้าใจผิดกัน เอสอยู่กับเปอร์ที่ห้อง อีฟเลยเข้ามาหาเอสที่นี่ ช่วยอีฟด้วยนะคะเอส”]


“...”


[“เอส...เอสคะ ยังฟังอีฟอยู่มั้ย”]


“อืม”


[“ที่เมื่อกี้เงียบไป คือเอสไม่อยากช่วยอีฟงั้นหรอ”] เสียงของอีฟเริ่มแข็งขึ้น ท่าทางคงจะรู้สึกไม่พอใจ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องสนนี่นะ


“แล้วอีฟคิดว่าไงล่ะ”


[“เรื่องนี้มันก็กระทบกับเอสด้วยนะ อีฟรู้ว่าเอสไม่อยากถูกเมาท์เป็นขี้ปากคนอยู่แล้ว นี่เลยเป็นทางออกที่ดีที่สุดของเราสามคน...”]


“เดี๋ยวนะ”


[“คะ?”]


“ผมว่าอีฟใช้คำผิด มันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของอีฟกับเปอร์มากกว่า เพราะผมคงไม่โดนเมาท์มากเท่าไหร่หรอก”


[“เอส เอสจะพูดแบบนี้ไม่...”]


“กล้าทำก็กล้ารับหน่อยสิอีฟ แค่นี้นะ ผมต้องนอนแล้วเพราะพรุ่งนี้มีทำบุญแต่เช้า อ้อ...แล้วต่อไปนี้ก็ไม่ต้องโทรมากวนผมล่ะ เราสองคนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว” พูดจบผมก็กดวางสาย จากนั้นก็จัดการปิดไฟแล้วนอนทันที ส่วนอีฟก็ยังโทรมาอีกเรื่อยๆ แต่พอเห็นผมไม่รับก็ตัดใจยอมแพ้ไปเอง...


เช้าวันต่อมามีทำบุญให้เต้ยที่วัด ทุกคนเลยมารวมตัวกันตั้งแต่เช้า เท่าที่มองคร่าวๆ พวกเพื่อนที่มานี่น่าจะพอๆ กันกับแขกในงานเลย ดังนั้นงานที่มีให้ทำเลยไม่ค่อยมาก ช่วยกันแป๊บเดียวก็เสร็จ แล้วพอว่างแต่ละคนต่างก็จับกลุ่มซุบซิบ ซึ่งก็น่าจะเป็นเรื่องเมื่อคืนเพราะเห็นมองมาที่ผม แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจ


ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมก็ยังได้ยินบางประโยคอยู่ดี ส่วนใหญ่ก็ด่าอีฟกับเปอร์นั่นแหละ เห็นว่าแอบพากันย่องออกจากห้องตอนตี 4 นี่คงกลับกรุงเทพไปแล้วไม่มาร่วมงานตอนเผาหรอก


ส่วนข่าวเรื่องนี้ นอกจากเมาท์กันในกลุ่มเพื่อนก็แทบไม่มีออกสื่อที่ไหน คงเป็นเพราะผมรีบแจ้งกับต้นสังกัดเลยสั่งปิดข่าว ไม่มีออกสื่อใหญ่ๆ มีแค่เพจเล็กๆ ในเฟซบุ๊กเท่านั้น แต่ก็บอกเป็นอักษรย่อ คนไม่ค่อยรู้จักผมเลยเดากันไม่ออก ข่าวก็เลยไม่ได้ลุกลามใหญ่โต พรุ่งนี้ก็คงลืมกันแล้ว


“ไงเอส ทำอะไร ไหงมานั่งอยู่นี่คนเดียว” เก่งที่เดินมาพร้อมกลุ่มเพื่อนถามผม แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็ต้องมีซี แต่ทันทีที่เห็นผมซีก็สะบัดหน้าหนีแล้วเดินไปที่อื่นเลย ทำตัวเป็นเด็กๆ ไปได้


“เบื่อฟังคนนินทาน่ะ”


“อ๋อ เรื่องเมื่อคืนสินะ พวกกูขอโทษนะเว่ยที่ทำให้มึงอึดอัด แต่ว่ามึงอย่าไปโกรธไอ้ซีเลยนะ มันไม่รู้เรื่องจริงๆ”


แล้วเก่งก็เล่าเหตุการณ์เมื่อคืนทั้งหมดให้ผมฟังตั้งแต่ต้นจนจบ สรุปคือซีเป็นคนถ่ายรูป แต่เพื่อนแย่งโทรศัพท์ไปดู พอรู้ตัวอีกทีรูปก็ถูกส่งเข้าไลน์กลุ่มไปแล้ว ซึ่งปัจจุบันก็ยังพากันงงอยู่เลยว่าส่งไปได้ยังไง เพราะทุกคนสาบานได้ว่าไม่ได้ส่งจริงๆ


“เรื่องมันแล้วไปแล้ว ช่างมันเถอะ” ถึงผมจะยังสงสัยอยู่ว่า ถ้าไม่มีคนส่งแล้วรูปมันจะไปโผล่ในกลุ่มได้ยังไง แต่ในเมื่อทุกคนยืนกรานกันขนาดนี้ แถมดูท่าทางไม่ได้โกหกด้วย ผมก็ไม่มีเหตุผลต้องไปคาดคั้นให้มันมากความ


“เนี่ย กูดูคนไม่ผิด หล่อแล้วยังใจดี เอฟซีนะเพื่อน” เก่งพูดพร้อมกับชูมินิฮาร์ทมาให้ ความตลกของเก่งทำเอาผมหลุดขำหน่อยๆ นอกจากเต้ยก็มีเก่งนี่แหละที่ชวนผมคุยอยู่เป็นประจำ


“ว่าแต่ไอ้ซีมันไปไหนของมันเนี่ย ไม่ไหวๆ ก็ตกลงกันแล้วไงว่าจะมาขอโทษมึง” ระหว่างที่พูดเก่งก็มองซ้ายมองขวาหาซี แต่ก็ไม่เจอ


“ไม่เป็นไรหรอก มึงก็บอกว่าซีไม่ได้เป็นคนทำไม่ใช่หรอ”


“ก็ใช่ แต่พวกกูก็ผิดที่ขี้เสือกกันไง ไว้เดี๋ยวเจอมันเมื่อไหร่พวกกูจะลากมันมาขอโทษมึงนะ”


“ไม่ต้องก็ได้”


แต่ถึงผมจะพูดแบบนั้น หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการทั้งหมด จนไปถึงการเผาร่างของเต้ยเป็นลำดับสุดท้าย ระหว่างที่พวกเพื่อนแต่ละคนที่มางานกำลังแยกย้ายกันกลับ ซีก็ถูกกลุ่มเพื่อนลากมาหาผมแบบไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่


“คุยกันไปนะ พวกกูไปล่ะ เดี๋ยวมีคนเขิน” เก่งล้อซีจบก็ชวนเพื่อนให้รีบวิ่งหนีไป ส่วนซีก็ชูนิ้วกลางไล่หลัง แต่ในเมื่อทำอะไรไม่ได้เลยหันกลับมาหาผมด้วยใบหน้าเซ็งๆ


“ว่าไง จะขอโทษงั้นหรอ”


“จะขอบใจต่างหาก”


“หืม?” ผมค่อนข้างแปลกใจที่ได้ยินซีพูดแบบนี้ เป็นคนที่เดาอะไรไม่ได้เลยแฮะ


“เรื่องรูปกูก็บอกไปแล้วไงว่าไม่ได้เป็นคนส่ง กูไม่ได้ทำผิด แล้วกูจะขอโทษทำไม”


“...”


“ส่วนที่กูขอบใจ คือเรื่องที่มึงไม่ส่งรูปเข้ากลุ่มต่างหาก” ยอมรับเลยว่าซีเป็นคนที่อยู่เหนือความคาดหมายมาก ชักน่าสนใจ


“แค่ขอบใจเองหรอ ไม่คิดจะตอบแทนกูด้วยรึไง”


“หา? นี่มึงเมาอากาศใช่มั้ย เรื่องเมื่อคืนกูไม่ต่อยหน้ามึงก็ดีเท่าไหร่แล้ว!” ซีหน้าแดงหูแดง ไม่รู้เป็นเพราะโกรธหรือว่าเขินที่นึกถึงเรื่องจูบกันแน่


“แล้วมึงคิดว่ากูจะอยู่เฉยๆ ให้มึงต่อย?”


“ไอ้...” ซีทำท่าจะด่าอะไรออกมา แต่ว่าก็ไม่ได้พูด ถึงอย่างนั้นก็คงจะด่าในใจเรียบร้อยไปแล้ว “รูปอะ มึงลบไปแล้วใช่มั้ย”


“ทำไมกูต้องลบ”


“เอ๊าไอ้เหี้ย แล้วมึงจะเก็บไว้หาหอกอะไร”


“เอาไว้ใช้ไง”


“หา? ใช้ทำเชี่ยอะไร”


“แบล็คเมล์มึง”


“ไอ้เหี้ยเอส!”


“ชู่ว อย่าเสียงดังสิ เดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินหรอก” พอได้ยินผมพูดแบบนี้ซีเลยกัดฟันกรอด แต่ก็ยอมลดเสียงลงแต่โดยดี


“มึงต้องการอะไร” จะว่าไปผมก็ยังไม่ได้คิด ที่พูดก็แค่อยากแกล้งซีที่กวนประสาทผมก่อนเฉยๆ


น่าแปลกเหมือนกันนะที่ปกติผมจะเป็นคนนิ่งๆ ไม่ค่อยพูดกับใคร ยิ่งต่อล้อต่อเถียงแบบนี้ยิ่งห่างไกลเลย ก็งงเหมือนกันว่าทำไมกับซีถึงเป็นข้อยกเว้น แต่ผมก็ยอมรับนะว่าแบบนี้ก็สนุกดีเหมือนกัน


“ไม่มีอะไรมาก แค่มาช่วยงานกูเฉยๆ”


“แล้วถ้ากูไม่ทำล่ะ”


“ก็ไม่เป็นไร แต่กูก็แค่จะฟ้องมึงว่าทำชื่อเสียงกูเสียหาย มึงจะยืนกรานไม่ยอมรับว่าทำก็ได้ แต่รูปมึงก็เป็นคนถ่าย ส่งก็จากแอคเคาท์ของมึง ลองคิดดูแล้วกันว่าตำรวจจะเชื่อที่มึงพูดหรือจากหลักฐานที่มี” ผมยิ้มที่มุมปาก สวมวิญญาณทนายความที่กำลังถ่ายทำอยู่ ส่วนซีก็ได้แค่กำหมัดแน่นแล้วจ้องผมแทบจะกินเลือดกินเนื้อ


“งานอะไรที่มึงจะให้กูทำ” ในที่สุดก็ยอมแล้วสินะ


“ก็งานทั่วไป อย่างดูแล ดูตารางงาน ขับรถให้ ใช้ทำอะไรก็ทำ”


ช่วงนี้งานของผมเริ่มเยอะ เวลาไปไหนคนเดียวก็ค่อนข้างลำบากเหมือนกัน เพราะถึงผมจะมีต้นสังกัด แต่ก็ยังไม่ดังพอที่จะมีผู้จัดการส่วนตัว มีแค่ผู้จัดการร่วมที่คอยดูแลดาราหน้าใหม่หลายๆ คน ซึ่งก็จะมาดูแลผมเฉพาะตอนไปงานสำคัญเฉยๆ


“คือมึงจะให้กูไปเป็นผู้จัดการส่วนตัว?” จริงๆ มันก็ใช่ แต่ถ้าตอบแบบนั้นมันจะสนุกที่ไหนล่ะ


“ไม่คิดว่าเรียกแบบนั้นมันจะดูดีไปหน่อยหรอ”


“แล้วมึงจะให้เรียกแบบไหน”


“ก็...” ผมเว้นช่วงไว้ แล้วเดินเข้าไปใกล้ๆ พร้อมกับก้มลงกระซิบที่ข้างหูซี “เรียกว่าเบ๊น่าจะดีกว่า”


“ไอ้...!”


“วันนี้กูเหนื่อย ขอกลับห้องไปพักก่อนแล้วกัน” ผมรีบพูดตัดบทเพราะขี้เกียจฟังคำด่าของซี เพราะเดี๋ยวพรุ่งนี้คงได้ฟังทั้งวันจนหูชาแน่ๆ


“แล้วเจอกันพรุ่งนี้” ผมยิ้มที่มุมปากอย่างกวนๆ แล้วโบกมือลา ส่วนซีก็สาปส่งผมไล่หลัง ดูท่าชีวิตที่แสนน่าเบื่อของผมจะเริ่มสนุกขึ้นมาซะแล้ว...


2BC


 o14 สวัสดีค่า หลังจากที่ได้อ่านในมุมของซีมาตลอด คราวนี้ก็มาถึงมุมของเอสกันบ้าง ซึ่งก็จะเห็นว่าถึงข้างนอกจะดูนิ่งๆแต่ความจริงนี่ไม่ใช่เลย 55555  :laugh:

ถ้าหากอิมเมจของเอสทำให้ใครผิดหวังเราก็ต้องขอโทษด้วยจริงๆ แถมตอนต่อๆไปจะยิ่งหนักกว่านี้ยังไงก็ทำใจด้วยนะคะ 55555 แต่ก็หวังว่าทุกคนจะชื่นชอบและติดตามกันต่อน้า  :m13: ตอนหน้าเจอกันวันพุธค่า  :bye2:

ออฟไลน์ Y-Darkness

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
น้องชะนีอีฟนี่ก็หน้าหนานะจ๊ะ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Micky_MN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-3
นีแบบอีฟตัดได้ตัดคือดีมาก เชียร์ให้จีบซีไวๆ

ออฟไลน์ Sameejaejung

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-17
Soulmate วิญญาณป่วนรัก


Part 6# Z ทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขัน


แม่งเอ๊ยยยยยยยยยยย หงุดหงิดๆๆ อยากฆ่าคนฉิบหายเลยโว้ยยยยยยยยยยยย


ผมบ่นในใจพร้อมกับอีกคำด่ามากมายที่ขนมาทั้งสวนสัตว์ ไม่รู้ว่าชาติก่อนผมไปแย่งข้าวมันกินรึไง หรือว่าไปสุมไฟเผาบ้านของมัน ชาตินี้ผมถึงได้ตกเป็นเบี้ยล่างของมันโดยที่ทำอะไรไม่ได้


“ไงมึง ดีกับไอ้เอสแล้วใช่มั้ย” ไอ้เก่งถามขึ้นเมื่อเห็นผมเดินกลับมาที่รถ ไอ้พวกที่เหลือก็ทำหน้าสลอนอยากเผือกกันหมด


“ดูหน้ากูสิ คิดว่าดีกันแล้วมั้ยล่ะ”


“ประหนึ่งเพื่อนรักร่วมสาบาน”


“เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดสิไอ้ห่า! แม่ง นี่ว่าสักวันไม่กูก็มันต้องตายกันไปข้าง” แล้วผมก็เล่าเรื่องที่คุยกับไอ้เอสให้ไอ้เก่งกับพวกเพื่อนฟัง


ก็เล่าไปบ่นไปผสมด่าไปด้วยเลยยาวหน่อย จนขนาดที่พวกผมแวะซื้อของเพื่อจะไปตักบาตรให้ไอ้เต้ยตอนเช้าพรุ่งนี้เสร็จแล้ว ปากของผมก็ยังพูดเรื่องนี้ไม่จบไม่สิ้น


“กูขอแบบสรุปได้มั้ย คิดว่าพวกกูมีเวลาฟังยันเช้าหรอ” ไอ้เก่งบอกผม


“เออ คืนนี้กูจะนอนกับผัว ไม่นอนกับมึงหรอกนะเว่ย” ไอ้หนิงแม่งก็อีกคน


“แสรดดดดด เห็นผัวดีกว่าเพื่อน”


“แน่นอนสิ ก็ผัวง้อยาก แต่เพื่อนง้อง่าย บางทีไม่ต้องง้อก็หาย แล้วเรื่องอะไรกูต้องเทผัวด้วยล่ะ” เออ จะว่าไปก็จริงของมัน เถียงไม่ออกเลยสิผม


“เออๆๆ กูยอมสรุปให้ก็ได้ คือไอ้เหี้ยเอสมันบังคับให้กูไปเป็นเบ๊มัน ถ้าไม่ทำมันจะฟ้องกู แล้วคือตอนพูดนี่โคตรกวนส้นตีน กูบอกเลยนะว่าไอ้ที่พวกมึงเห็นมันนิ่งๆ ขรึมๆ พูดน้อยนี่ไม่จริง มันสร้างภาพไปงั้นแหละ เนื้อในของมันแม่งกวนส้นตีนที่สุดในสามโลก” พูดแล้วก็ชักขึ้น แต่ดูท่าทางขึ้นไปก็เท่านั้น เพราะไอ้พวกเพื่อนของผมแม่งไม่เห็นมีใครอินไปกับผมด้วย เหมือนไม่ค่อยเชื่อที่ผมพูดกันอะ


“แล้วงานเบ๊ที่มันให้มึงทำมีไรบ้างอะ” ไอ้เก่งถาม


“เห็นมันบอกว่าดูแล ดูตารางงาน ขับรถให้ ใช้ให้ทำอะไรก็ทำ”


“ก็ผู้จัดการส่วนตัวนี่” ไอ้อาร์ทพูด แต่ผมก็เบ้ปากแล้วส่ายหน้ารัวๆ


“โนวววว มันบอกกูเองว่าเบ๊ เผลอๆ เอาเข้าจริงนี่ใช้กูเยี่ยงทาส”


“ทาสรัก ทาสหัวใจ ทาสวิญญาณเปล่าแว้”


“พ่อมึงสิ!” ผมแยกเขี้ยวใส่ไอ้หลินที่หรี่ตามองผม ไอ้นี่แม่งท่าจะเมายาคุม พูดจาเลอะเทอะไปเรื่อย


“แหม แซวเล่นแค่นี้ทำเป็นของขึ้นไปได้ ว่าแต่มึงยอมตกลงมั้ยอะ”


“ไม่ยอมได้รึไง ก็แม่งขู่กูซะขนาดนั้น”


“เอาน่า คิดในแง่ดี ต่อไปมึงก็จะได้เห็นดาราสาวๆ สวยๆ เพียบเลยไง โคตร VIP ที่ไหนก็ไม่ได้อภิสิทธิ์ขนาดนี้นะเว่ย”


“เออ ก็จริงของมึง” พอไอ้เก่งพูดแบบนี้ก็ค่อยมีกำลังใจขึ้นนิดนึง บางทีการเป็นเบ๊ของไอ้เอสก็อาจจะไม่ได้นรกมากอย่างที่คิดก็ได้ ขอปลอบใจตัวเองเอาไว้แบบนี้ก็แล้วกัน


หลังจากนั้นพวกผมก็กลับโรงแรม น่าแปลกที่ยังเห็นรถของไอ้เอสจอดอยู่ ผมก็นึกว่ามันจะกลับกรุงเทพไปพร้อมกับพวกเพื่อนในคณะซะอีก เพราะพรุ่งนี้ก็เหลือแค่เก็บอัฐิกับลอยอังคารเท่านั้น เพื่อนไม่สนิทอย่างมันจะอยู่ทำไม ไม่มีงานมีการทำรึไงก็ไม่รู้ จะอยู่ขวางหูขวางตาผมเพื่อ


ซึ่งนั่นก็เป็นแค่การบ่นของผมไปเรื่อย ไม่ได้ต้องการคำตอบจริงจัง แต่ถึงอย่างนั้นวันต่อมาผมก็ได้คำตอบ...ไอ้เอสมันตั้งใจอยู่ต่อเพื่อกวนตีนผม!


รุ่งขึ้นหลังจากที่นอนกันจนเต็มอิ่มเพราะล่อตั้งแต่หัวค่ำ ผมกับพวกเพื่อนๆ ก็ตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวแต่เช้า เพื่อที่จะทำบุญใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลไปให้ไอ้เต้ย พวกผมถามป้าแม่บ้านเรียบร้อยว่ามีพระกี่รูปที่บิณฑบาตผ่านหน้าโรงแรม เพราะงั้นเลยพากันจัดของเป็นชุดให้เท่ากับจำนวนพระแบบพอดิบพอดี


ของที่พวกผมซื้อมาก็ไม่ได้เวอร์วังหรือวิลิศมาหราหรอก ก็แค่ของทั่วไปอย่างพวกนม ขนมปัง มาม่า ปลากระป๋อง ของกินเล่น อะไรแบบนี้ ซึ่งผมกับไอ้พวกเพื่อนๆ ก็เดินออกมาจากห้องพร้อมรับและส่งบุญเต็มที่ แต่ยังไม่ทันไรก็ดันมีมารหัวขนทักขึ้น


“ไปไหนกันหรอ”


ครับ...ก็อย่างที่เดากันออกนั่นแหละว่าไอ้มารตัวนั้นคือใคร ผมเลยตั้งใจจะตอบมันไปว่าเสือก แต่ไอ้พวกเพื่อนของผมก็ดันชิงตอบออกไปซะก่อน


“ไปใส่บาตรให้ไอ้เต้ย ไปด้วยกันดิเอส” ตอบอย่างเดียวกูก็เซ็งละ นี่ยังจะไปชวนมันมาด้วยอีกนะไอ้เก่ง มึงเห็นหน้ากูมั้ยว่าอยากให้มันไปด้วยรึเปล่า


“คนบาปหนากูว่าทำบุญไปก็เท่านั้นแหละ แต่กูก็ไม่ได้ว่าใครนะ พูดลอยๆ” ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แต่จะมีใครบ้างล่ะที่ไม่รู้ว่าผมหมายถึงใคร


“ขอบใจที่ชวนนะเก่ง กูว่างพอดี ขอไปด้วยแล้วกัน” ผมว่าขนาดนั้นมันก็ยังจะหน้าหนามาด้วยอีกนะไอ้นี่


“เสียใจด้วยนะแต่ไม่ทันแล้ว ไม่เกิน 5 นาทีพระก็คงมา มึงไม่น่าจะไปซื้อของทัน” ผมทำหน้าเย้ยมัน แต่ถึงอย่างนั้น นอกจากจะไม่ยอมแพ้แล้วไสหัวกลับเข้าห้อง มันยังมีการเดินตรงมาหาผมพร้อมกับยิ้มที่มุมปาก


“ถ้างั้นก็ไม่เป็นไร กูใส่บาตรกับมึงก็ได้”


“ได้ก็เหี้ยแล้ว! กูไม่ยอมหารบุญกับมึงหรอกนะ!”


“งั้นกูก็ขอรับบุญเต็มๆ เลยแล้วกัน” พูดจบมันก็แย่งถาดใส่ของตักบาตรจากมือผมไปเลย


“อ้าวเฮ้ย! ไอ้เชี่ยเอส!”


“ถ้าอยากตักบาตรก็ตามมา ชักช้าไม่ทันพระไม่รู้ด้วยนะ” ดู๊...ดูมันพูด ผมนี่ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่ามันจริงๆ


“ทีนี้พวกมึงเชื่อรึยังว่าไอ้เอสมันกวนส้นตีน” ผมหันไปบ่นกับไอ้พวกเพื่อนอย่างหัวเสีย


“กูว่าก็น่ารักดี”


“นั่นดิ ดูเข้าถึงง่ายน่าคบค้ากว่าเมื่อก่อนอีก” ไอ้หลินกับไอ้เก่งพูด ส่วนไอ้อาร์ทกับไอ้เสือก็พยักหน้าเห็นด้วยตาม ผมล่ะเชื่อพวกมันเลย กวนตีนก็คือกวนตีน มันมีอะไรใกล้เคียงกับคำว่าน่ารักน่าคบหาตรงไหนวะ


จากนั้นผมกับไอ้พวกเพื่อนก็เดินตามหลังไอ้เอสไปจนถึงหน้าโรงแรม ระหว่างที่รอพระท่านมา ผมก็พยายามทุกวิถีทางที่จะแย่งถาดใส่บาตรคืน แต่ก็ไม่สำเร็จ เห้ออออ สงสัยตอนเด็กๆ อบต.แถวบ้านโกงนม ผมเลยไม่ค่อยได้กินถึงได้เตี้ยกว่าไอ้เอสตั้งเกือบคืบ


“พระมานู่นแล้วนะ จะทำหน้าแบบนี้ใส่บาตรรึไง” หน้าแบบนี้ก็คือหน้าบูดเป็นตูดเป็ดนี่แหละ ว่าแต่วันนี้ทำไมมันพูดมากจังวะ


“กูจะทำหน้าแบบไหนก็เรื่องของกู” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ผมก็พยายามปั้นหน้าดีๆ นั่นแหละ เดี๋ยวบุญจะส่งไปไม่ถึงได้เต้ย


ไม่ถึงนาทีพระท่านก็เดินมาถึง ในเมื่อผมแย่งของจากมือไอ้เอสคืนมาไม่ได้ สุดท้ายผมก็เลยต้องจำใจใส่บาตรร่วมกันกับมัน แถมที่น่าขนลุกไปมากกว่านั้นก็คือ มือของผมต้องถูกมันจับซ้อนด้านหลังทุกครั้งที่หยิบของใส่บาตรด้วย ผมอยากจะบ้า!


อายุ วัณโณ สุขัง พลัง


หลังจากที่ให้ศีลให้พรเสร็จแล้วพระท่านก็เดินจากไป จนเมื่อเห็นว่าไกลพอสมควรที่จะไม่ได้ยินที่ผมพูดแล้วนั่นแหละ ผมจึงได้หันไปหาไอ้เอสที่ยันยืนสลอนไม่รู้จักไปที่อื่นสักที


“รับ Sin รับ Porn เสร็จแล้วก็ไปดิ จะยืนอยู่รอนรกรึไง” ผมไม่ใช้คำว่าสวรรค์วิมานหรอกนะ เพราะคนอย่างมันอะไม่มีทางได้ขึ้นไปแน่ๆ


“ตอนเด็กๆ กูเคยกลัวนะว่าถ้าตายไปแล้วตกนรกจะทำยังไงดี แต่ตอนนี้กูไม่กลัวแล้วล่ะ เพราะอย่างน้อยที่นั่นกูก็มีมึงเป็นเพื่อน”


“ไอ้...!” เจอมันตอกกลับแบบนี้ก็ไปไม่เป็นดิผม เลยได้แต่อ้าปากพะงาบๆ จ้องหน้ามันแค่อย่างเดียว ส่วนไอ้พวกเพื่อนของผมก็ไม่มีใครอยู่ทีมผมเลย แม่งพากันหัวเราะชอบใจกันใหญ่ ไอ้พวกเพื่อนเหี้ย


“วันนี้มึงรีบกลับกรุงเทพมั้ย ถ้าไม่ก็ไปเก็บอัฐิไอ้เต้ยแล้วไปลอยอังคารด้วยกันดิ” ดูท่าไอ้เก่งมันจะติดใจไอ้เอสขนาดหนัก ถึงได้ชวนไปด้วยกันแบบนี้


“ได้ วันนี้กูไม่มีงาน” ส่วนไอ้เวรนี่ก็น่าโมโห เมื่อก่อนคิวทองจะตาย ชวนไปไหนก็ไม่เคยไป ไหงวันนี้ถึงว่างได้ซะล่ะ แต่ถึงจะอยากถาม ผมก็ไม่ถามให้เปลืองน้ำลายหรอก เฮอะ!


แล้วอะไรคือรถตัวเองมีไม่นั่ง แต่เสือกมานั่งรถคันเดียวกับพวกผม ผู้ชาย 5 ชะนี 1 รวมเป็น 6 มันก็เบียดสิโว้ย รวยก็รวยแต่เสือกมาประหยัดอะไรกะอีแค่เรื่องนี้ มิหนำซ้ำแม่งยังเลือกนั่งข้างๆ แล้วจงใจเบียดผมอีกต่างหาก


ถ้าจะทำขนาดนี้ไม่อุ้มกูขึ้นไปนั่งที่ตักเลยล่ะสัส!


ดีนะที่วัดไม่ไกลจากโรงแรมมาก ผมเลยไม่ต้องนั่งเบียดให้เป็นเสนียดร่างกับไอ้เอสนาน ซึ่งพอถึงวัดปุ๊บผมก็รีบพุ่งออกจากรถปั๊บ แถมยังอยู่ให้ห่างมันเพื่อให้มันรู้ตัวว่าผมเกลียดขี้หน้ามันมากด้วย


เมื่อทุกคนลงจากรถครบแล้ว พวกเราก็พากันเดินไปที่เมรุที่นัดกับหลวงตาเอาไว้ เมื่อไปถึงก็เห็นว่าป้าของไอ้เต้ยได้มาถึงเป็นที่เรียบร้อย แล้วก็แบ่งอัฐิเป็น 2 ส่วนแล้วด้วย โดยส่วนแรกเอาใส่โกศเตรียมบรรจุเข้ากำแพงวัด กับส่วนที่ 2 ห่อใส่ผ้าเตรียมนำไปลอยอังคาร


ขั้นตอนทั้งคู่ใช้เวลาพอๆ กัน แต่ถ้าถามเรื่องความเศร้าขั้นตอนที่ 2 นั้นเศร้ากว่ามากกกกก ยิ่งเวลาที่โปรยอัฐิของไอ้เต้ยลงแม่น้ำ ภาพที่เถ้ากระดูกค่อยๆ กระจายและจมสู่ด้านล่าง มันก็ได้ตอกย้ำว่าไอ้เต้ยได้จากไปแล้วจริงๆ


“มือมึงสั่นทำไมวะไอ้ซี” ไอ้เก่งที่ยืนอยู่ข้างๆ ทักผมขึ้น


“แล้วเสียงมึงอะสั่นทำไม” มันไม่ยอมตอบ แต่ถึงอย่างนั้นทำไมผมจะดูไม่ออก ก็ตาเล่นแดงซะขนาดนั้น


“ห้ามร้องไห้นะเว่ย ถ้ามึงร้องกูก็ไม่ทนนะ” อันนี้ผมไม่ได้พูด คนที่พูดคือไอ้เสือ แต่ผมก็คิดเหมือนมันนั่นแหละ


“แล้วถ้ากูร้องแล้วล่ะวะ” ส่วนนี่เสียงไอ้หลิน มันหันหน้ามาทางนี้พร้อมกับน้ำตาไหลพราก เท่านั้นแหละพวกผมก็บ่อน้ำตาแตกปล่อยโฮพร้อมกันเลย


จะมีก็แต่ไอ้เอสนั่นแหละที่มันไม่ได้ร้องไห้ แต่ก็ไม่แปลกอะไรหรอกเพราะมันไม่ได้สนิทกับไอ้เต้ย ไม่ได้ผูกพันมากมายเหมือนกับพวกผม แต่ถึงจะไม่ได้ร้องไห้ก็ใช่ว่ามันจะไม่เศร้า แถมในเวลาแบบนี้มันยังเข้าใจสถานการณ์ ไม่กวนประสาท ไม่ชวนทะเลาะ แล้วก็ยังอุตส่าห์ลูบที่ศีรษะผมเบาๆ เพื่อปลอบโยนด้วย


กว่าที่พวกผมจะหยุดร้องไห้กันก็สักพักใหญ่ๆ นู่นแหละ แต่ก็ตกลงกันว่าจะร้องไห้เป็นวันสุดท้ายแล้ว แต่นั่นไม่ใช่เป็นเพราะไม่รักไอ้เต้ย เพราะรักนั่นแหละพวกผมเลยไม่อยากร้องไห้ ก็มันอุตส่าห์เข้าฝันมาบอกทุกคนว่าสบายดีถึงขนาดนั้นแล้วนี่นา


จะว่าไปก็น่าแปลกอยู่อย่าง ตอนที่พวกผมทั้ง 5 คนกอดกันร้องไห้ ผมรู้สึกได้ว่าในนั้นก็มีไอ้เต้ยอยู่ด้วยเหมือนกัน ซึ่งถ้ามันเป็นจริงอย่างนั้นผมก็จะดีใจมากๆ เลย...


ไม่นานช่วงเวลาเศร้าก็ได้พัดผ่านไป ก็นะ ชีวิตมันจะเศร้าทั้งวันก็ไม่ได้ แล้วก็อย่างที่บอกไปว่าพวกผมไม่อยากให้ไอ้เต้ยมีห่วงด้วย


ประมาณ 11 โมงพวกผมก็กลับมาถึงโรงแรม ถึงแม้จะกลับมาช้ากว่าที่คิด แต่ก็ยังเหลืออีกเป็นชั่วโมงให้เก็บของ ซึ่งตอนที่ผมนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงเพราะเก็บไว้ส่วนหนึ่งตั้งแต่เช้าแล้ว ไอ้เก่งที่เห็นว่าผมว่างก็เลยได้โอกาสใช้ผมเลย


“มึงไปบอกไอ้เอสหน่อยดิว่าพวกเราจะกลับกันแล้ว ถามด้วยว่ามันจะกลับพร้อมเปล่า”


“ถามทำไม รถมันก็มี มันอยากกลับตอนไหนก็เรื่องของมันดิ” คนกำลังนอนส่องสาวในเฟซเพลินๆ แม่งก็มาทำให้เสียอารมณ์


“ไอ้ห่า อยู่บ้านเดียวกันก็ญาติดีกันหน่อยดิวะ”


“ก็มันชอบกวนส้นตีนกูอะ”


“แหมมมมม แล้วพวกกูนี่ไม่กวนส้นตีนมึงเลยว่างั้น”


“ก็พวกมึงไม่เหมือนกับมันอะ”


“อย่างอแงไอ้สัส เดี๋ยวปั๊ดทุ่มด้วยกระเป๋าเลยนี่”


“เออๆๆ ไปก็ได้” ผมขี้เกียจจะเถียงกับไอ้เก่งต่อแล้วเลยลุกขึ้นจากเตียงอย่างไม่เต็มใจ ว่าแต่ไอ้เอสมันอยู่ที่ห้องไหนนะ ใช่ห้องนี้รึเปล่าหว่า


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


แล้วพอประตูห้องเปิดออกมาผมก็เห็นว่าเป็นมันอย่างที่คิดจริงๆ ผมนี่นอกจากจะหล่อแล้วยังความจำดีอีกด้วยนะเนี่ย


“มีอะไร” ให้ตาย! ไอ้เชี่ยนี่มันไม่มีประโยคทักทายคนอื่นแบบดีๆ บ้างเลยรึไงวะ มันน่าชวนกลับกรุงเทพด้วยมั้ยถามใจดู


“พวกกูกำลังจะกลับกรุงเทพ”


“อืม” ดูความกวนส้นตีนของมัน แล้วแม่งก็ทำหน้าประมาณว่าแล้วไง บอกกูทำไมด้วยอะ


“กูมาบอกแค่นี้แหละ ไปละ” ไม่ชวนกลับด้วยแม่ง แล้วผมก็กะจะเดินกลับไปที่ห้อง แต่มันก็เสือกเรียกผมเอาไว้ก่อน


“เดี๋ยว”


“มีอะไร”


“กูมาคนเดียว”


“เออ แล้วไง” มันจะบอกผมทำไม ผมถามเรอะก็เปล่า


“มานั่งเป็นเพื่อนด้วย”


“เรื่องอะไรกูต้องนั่งกับมึง กูจะนั่งกับเพื่อนกู” โอ้โห ช่างกล้าชวนเนอะ คงจะเหงาอะดิที่ต้องขับรถกลับกรุงเทพคนเดียว หวายๆๆ ไอ้คนไม่มีเพื่อนคบ


“อีก 20 นาทีเจอกันที่รถ”


“เอ๊าไอ้เชี่ยนี่มึงได้ฟังที่กูพูดมั้ย กูบอกว่าไม่...”


ปัง!


ว้อทเดอะฟัค! อะไรคือกูยังพูดไม่จบก็ปิดประตูใส่หน้า หรือมันคิดว่าที่บอกให้มานั่งเป็นเพื่อนคือประโยคคำสั่ง? เฮอะ! ใครจะไปทำตาม!


“ไง ไอ้เอสมันจะกลับพร้อมมั้ย” พอกลับมาถึงห้องปุ๊บไอ้เก่งแม่งก็รีบถามปั๊บ ถ้าอยากรู้ขนาดนั้นไม่ไปถามมันเองล่ะแหม่ ว่าแต่ไอ้หลินกับไอ้อาร์ทมาอยู่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ เก็บของไวใช่ย่อยเลยนะเนี่ย


“ไอ้เอสมันจะอยู่ต่อ”


“กูขอความจริง” เสือกรู้ดีอีกว่ากูโกหก


“เออ! มันบอกจะกลับพร้อมนี่แหละ แต่จะให้กูไปนั่งเป็นเพื่อน เฮอะ! กูคงจะไปหรอก กูก็ต้องนั่งกับพวกมึงอยู่แล้ว พวกมึงก็ต้องอยากให้กูนั่งกลับด้วยแน่นอนใช่มั้ยล่ะ ขาดกูคนนึงรถเงียบเหงาตายห่า”


“...”


“อ้าว ทำไมเงียบกันอะ” เงียบไม่พอยังมีการหันหน้าไปมองกันด้วย คืออะไรยังไง กูชักใจไม่ดีแล้วนะเว่ย


“พวกมึงคงไม่คิดจะให้กูไปนั่งรถกับไอ้เอสหรอกใช่มั้ย” แต่แล้วผมก็ได้รู้ว่าพวกมันไม่ได้แค่คิด พวกมันทำเลย เพราะแม่งพากันลากผมไปส่งให้ไอ้เอสที่รถแล้วก็รีบวิ่งตัวปลิวหนีไป ไอ้พวกเพื่อนชั่ว!


“กูขอสาปแช่งพวกเมิงงงงงงงงงงงงง” แล้วประเด็นคือจะวิ่งไปเตะตูดไอ้เพื่อนทรพีที่ทรยศผมก็ทำไม่ได้


ถามว่าทำไม?


ก็เพราะไอ้เชี่ยเอสแม่งจับที่คอเสื้อผมเอาไว้น่ะสิ! เห็นกูเป็นลูกแมวเรอะไอ้ฉิบหาย!


“ปล่อยกู!” ผมหันไปแง่งๆ ใส่ ถ้าข่วนหน้าได้จะข่วนให้เป็นยันต์ห้าแถวเลยสาด


“รับปากมาก่อนว่าจะเข้าไปนั่งในรถดีๆ” เฮอะ! ใครมันจะไปทำ แต่หน้าผมคงแสดงออกชัดไปมั้ง เพราะงั้นไอ้เอสมันเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วเปิดรูปจูบเจ้าปัญหายื่นมาตรงหน้าผม


“กูไม่อยากจะทำแบบนี้กับมึงที่นี่แล้วก็ตอนนี้หรอกนะ แต่ถ้ามึงยังดื้อ...”


“บ้าาาา ใครดื้อ กูเปล๊าาาา กูเป็นคนว่านอนสอนง่ายจะตาย” เปลี่ยนสีไวยิ่งกว่ากิ้งก่าก็กูนี่แหละ แม่งเอ๊ย ถึงไม่อยากยอมก็ต้องยอม อย่าให้กูมีเรื่องแบล็คเมล์มึงคืนได้ก็แล้วกัน!


“เด็กดี” ไอ้เอสยิ้มที่มุมปาก จากนั้นก็ลูบที่ศีรษะของผม 2 – 3 ทีอีกด้วย


โอ้โห! เจอมันหยามแบบนี้ก็ขึ้นสิผม! แต่ถามว่าทำอะไรมันได้มั้ย คำตอบก็คือไม่ ทำได้แค่อย่างเดียวก็คือรีบเข้าไปนั่งในรถแต่โดยดีเท่านั้นแหละ เจ็บใจจริงโว้ยยยยยยยย!


2BC


 o15 สวัสดีค่า Soulmate ตอนที่ 6 ก็ได้จบลงไปแล้ว ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากซึ้งเรื่องของเต้ยนิดหน่อยก็จะเป็นบทกวนๆของเอสกับซี ไม่รู้กวนกันมากไปจนเหมือนนิยายตลกไม่เหมือนนิยายรักรึเปล่า 55555  :laugh:
แต่ก็หวังว่าทุกคนจะชอบนะคะ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็จะเริ่มพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ ส่วนเรื่องเศร้าๆเราก็ไม่อยากเน้นมาก มันหน่วง ฮืออออ  :monkeysad:
แล้วเจอกันวันศุกร์นะคะ มาเอาใจช่วยเอสกับซีด้วยน้า ถ้าชื่นชอบก็คอมเมนท์เป็นกำลังใจให้เค้าหน่อยน้า  :กอด1: รักนะคะ จุ๊บๆ  :จุ๊บๆ:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ Micky_MN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-3

ออฟไลน์ Y-Darkness

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0

ออฟไลน์ Sameejaejung

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-17
Soulmate วิญญาณป่วนรัก


Part 7# งาน N


“ทำอะไร” ผมถามซีที่พอขึ้นรถปุ๊บก็เอนเบาะลงนอนปั๊บ แถมยังเอาเสื้อตัวหนึ่งมาปิดตาบังแสงอย่างพร้อมสรรพอีกต่างหาก ผมก็คิดอยู่ว่าก่อนหน้านั้นซีเปิดประเป๋าหยิบเสื้อออกมาทำไม แต่ก็ไม่ได้ถามเพราะกำลังขับรถอยู่


“ตาบอดรึไงถึงมองไม่เห็นว่ากูกำลังนอน” ซีพูดโดยที่ไม่ยอมเอาเสื้อออกจากตาด้วยซ้ำ ผมเลยจัดการดึงออกซะแล้วโยนไว้ที่หน้ารถ


“ลุกขึ้นมา กูบอกให้มึงมานั่งเป็นเพื่อน ไม่ใช่นอนเป็นเพื่อน”


ผมไม่อยากขับรถกลับคนเดียว แต่นั่นไม่ใช่เพราะว่าเหงาหรือพิศวาสซีหรอก ก็แค่กลัวหลับในเพราะนอนน้อยมาหลายวันเลยอยากให้มีคนมาเป็นเพื่อนคุย ซึ่งซีก็ตอบโจทย์ เพราะนอกจากจะพูดมากก็ยังชอบทำสีหน้าตลก และไอ้ความตลกนั้นบางทีผมก็มองว่าน่ารัก อย่างเช่นตอนนี้ที่ซีกำลังทำหน้างอและพองลมที่แก้ม


“แล้วจะให้กูนั่งเฉยๆ รึไงเล่า”


“ก็พูดไปด้วย พูดไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงกรุงเทพ”


“จะบ้าหรอ! ตั้ง 3 – 4 ชั่วโมงกูจะเอาอะไรมาพูด!” จริงๆ หน้าตอนโมโหแบบนี้ก็ดูน่ารักดีเหมือนกัน


“นั่นไม่ใช่ปัญหาของกู” ผมยักไหล่ ส่วนซีก็แยกเขี้ยวใส่ทำท่าจะกินหัวผม ทำไมกันนะขนาดตอนนี้ผมยังมองว่าซีน่ารัก นี่สมองของผมเพี้ยนไปแล้วรึเปล่า?


“ไอ้...!” ตอนนี้ซีคงไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่าผม สุดท้ายเมื่อคิดไม่ออกก็เลยคงจะช่างแม่ง แล้วหลังจากที่ปรับเบาะขึ้นซีก็หันมายื่นข้อเสนอกับผม


“จะให้กูคุยเป็นเพื่อนก็ได้ แต่มึงต้องจ่ายค่าจ้าง กูไม่รับงาน N ฟรีๆ หรอกนะเว่ย” ผมเกือบหัวเราะพรืดกับคำว่างาน N ของซี คิดว่าตัวเองเป็นพริตตี้รึไง เป็นคนที่มักจะพูดหรือทำอะไรนอกเหนือความคาดหมายของผมทุกทีสิน่า


“แล้วมึงจะเอาเท่าไหร่” ซีชูนิ้วชี้ขึ้น แว้บแรกผมคิดว่า 1 หมื่น แต่คงไม่ใช่มั้งเพราะดูจะแพงไป แต่ถ้าเป็น 1 พันอันนี้ก็คงไม่ใช่ ซีคงไม่คิดค่าตัวถูกขนาดนั้น แล้วสรุปซีคิดค่าตัวเท่าไหร่?


แต่ยังไม่ได้ถามออกไปซีก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน


“แวะปั๊มหน้าด้วย กูหิว”


“อืม” ผมพยักหน้าแล้วตีไฟเลี้ยวเข้าปั๊ม ที่นี่มีทั้งศูนย์อาหาร ร้านสะดวกซื้อ แล้วก็ร้านกาแฟ ซึ่งพอผมจอดรถปุ๊บซีก็แบมือมาที่หน้าผมปั๊บ


“อะไร”


“ก็เงินไง เอาเงินมา หรือมึงจะให้กูไปขอข้าวขอน้ำเขากิน”


“...” ถึงจะงงๆ แต่ผมก็ควักแบงก์พันยื่นให้ซี


“แบงก์ร้อยก็มี เอาแบงก์พันมาทำไม” แล้วซีก็หยิบแบงก์ร้อยออกจากกระเป๋าตังของผมไปเลย จากนั้นก็เปิดประตูลงจากรถแล้ววิ่งเข้าไปในเซเว่น ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนผมได้แต่มองตาปริบๆ


ถามว่าโกรธมั้ยที่ซีถือวิสาสะเอาเงินในกระเป๋าของผมไป?


ไม่นะ แค่อึ้งแล้วก็งงมากกว่า ที่อึ้งคือไม่เคยมีใครกล้าทำแบบนี้กับผม ส่วนที่งงคือการที่ซีไม่เอาแบงก์พันที่ผมยื่นให้ แต่กลับเอาแค่แบงก์ร้อยในกระเป๋าใบเดียวเท่านั้น เชื่อเลยแฮะ


เรทงาน N ราคาแค่นี้ เรียกใช้บริการทุกวันซะเลยดีมั้ย?


ซึ่งขณะที่ผมกำลังคิดอะไรไร้สาระอยู่นั้น ซีที่ซื้อของจากเซเว่นเสร็จแล้วก็เดินกลับมาที่รถ ในถุงมีอะไรก็ไม่รู้หลายอย่างแต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจ จนกระทั่ง...


“เอ้า!” ซียื่นแซนด์วิชมาตรงหน้าผม


“อะไร”


“ไม่รู้จักรึไง แซนด์วิชอะแซนด์วิช รสปูอัดไข่กุ้งอ่านออกมั้ยหา!” พูดอย่างเดียวไม่พอ ยังยื่นแซนด์วิชเข้ามาใกล้มากขึ้นจนจะกระแทกตาผมอยู่แล้ว


“อันนั้นกูรู้ แต่ที่ถามคือมึงเอามาให้กูทำไม”


“เอ๊า! ยื่นให้เอาไปทิ้งมั้งฟายยยย ยื่นให้มึงกินไงถามอะไรโง่ๆ” ซีพูดด้วยท่าทางหงุดหงิด ก่อนจะชักมือกลับแล้วแกะซองแซนด์วิชออก ตอนแรกผมก็นึกว่าซีจะยึดคืนไม่ให้ผมกินแล้ว แต่...


“อ้าปาก”


“หา?” แล้วจังหวะที่ผมกำลังงง ซีก็จัดการยัดแซนด์วิชเข้ามาในปากของผมทันที


!!!


“กินๆ เข้าไป ถามมากอยู่นั่น คนยิ่งหิวๆ อยู่” ซีบ่นให้ผมด้วยท่าทางรำคาญหน่อยๆ ส่วนผมที่ถึงแม้จะยังอึ้งๆ ในสิ่งที่ซีทำอยู่ แต่ก็ยอมกินแซนด์วิชที่ซีอุตส่าห์ป้อนให้แต่โดยดี


การกระทำนั้นแม้จะดูรุนแรงเกินคำว่าป้อนไปหน่อย แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกไม่ชอบ เพียงแค่รู้สึกแปลกๆ เท่านั้น


ซึ่งหลังจากที่ผมกินแซนด์วิชหมดแล้วนั่นแหละ ซีถึงเริ่มกินของตัวเองบ้าง ก็กินไปบ่นไปตามประสาคนพูดมาก บ่นได้ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ แต่แปลกที่นอกจากจะไม่รู้สึกรำคาญผมยังรู้สึกว่าเพลินดี จนกระทั่งไม่มีเรื่องอะไรจะบ่นแล้ว ซีถึงได้เบนเข็มมาถามเรื่องของผม


“กูแปลกใจมานานละ ขอถามอะไรหน่อยดิ จะว่ากูเสือกก็ได้เพราะกูก็เสือกจริงๆ”


“จะถามอะไรก็ถาม” พูดซะยืดยาวเลย


“ทำไมมึงถึงมาเป็นดาราได้อะ ดูมึงเป็นคนไม่ค่อยชอบความวุ่นวายนี่”


“ทุกอย่างมันมีข้อยกเว้นหมดแหละ” อย่างเรื่องซีนี่ไง ปกติผมชอบให้ใครมาวุ่นวายด้วยที่ไหน


“แล้วทำไมถึงได้ยกเว้นอะ หรือว่าเพราะชอบ?”


“เพ้อเจ้อรึไง! กูเนี่ยนะจะชอบ...!” ผมยั้งคำว่า ‘มึง’ เอาไว้ได้ทัน แต่ถึงอย่างนั้นการที่ผมพูดเสียงดังก็ทำให้ซีตกใจได้อยู่


“ถามแค่นี้ทำไมต้องของขึ้นด้วยวะ ก็พูดเองนี่ว่าจะถามอะไรก็ถาม” ซีทำหน้าบูด


“โทษที กูเข้าใจอะไรผิดนิดหน่อยน่ะ”


“เฮอะ! มึงนี่แม่ง...”


“อยากถามอะไรอีกก็ถามมาสิ”


“ที่รีบขัดคือไม่อยากฟังคำด่าของกูใช่มั้ยล่ะ” ซีเบ้ปากแล้วมองค้อนมาที่ผม แต่เนื่องจากเป็นคนที่โกรธง่ายหายไวอยู่แล้ว เรื่องที่ยังเคืองผมอยู่ก็เลยปล่อยผ่านซะ


“ปกติมึงทำงานที่ไหนอะ”


“ก็แล้วแต่วัน ถามทำไม”


“ก็เผื่อกูจะได้เจอพวกดาราไอดอลงี้ไง จะได้มีกำลังใจในการทำงานเป็นผู้จัดการ...”


“เป็นเบ๊” จู่ๆ ผมก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา เลยจัดการแก้คำที่ถูกต้องให้ซีซะเลย


“มึงมันเหี้ย ต่อหน้าสาวๆ ขอกูเรียกตำแหน่งกูให้มันดูดีหน่อยไม่ได้รึไง”


“เพื่อ? ทำอย่างกับจะมีใครสนใจมึง”


“แล้วยังไง กูสนใจก็พอจบมั้ยสัส”


“กูก็แค่ไม่อยากให้มึงคาดหวังไว้เยอะ วงการบันเทิงอะเคยได้ยินมั้ย ส่วนใหญ่ก็ใส่หน้ากากหากันทั้งนั้น”


“เฮอะ! แต่ก็คงไม่มีใครเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังส้นตีนได้เท่ามึงหรอกกูว่า” ซีมองค้อน แต่ผมก็แค่ยักไหล่ไม่ตอบอะไร แล้วเพียงไม่กี่วินาทีซีที่อารมณ์เปลี่ยนก็ถามเรื่องใหม่กับผมซะแล้ว


“เออใช่ ขอถามอะไรอีกอย่างดิ ปกติมึงไม่ค่อยได้กลับบ้าน 2 – 3 วันจะกลับทีนึง แล้วนี่มึงไปนอนที่ไหนอะ มีบ้านอีกหลังหรือว่านอนที่กองถ่าย”


“โรงแรม”


“อ๋อ นอนกับอีฟ” เท่านั้นแหละ จากที่กำลังขับรถอยู่ดีๆ ผมก็เหยียบเบรกจมเท้าจนล้อดังเอี๊ยด หน้าของซีเลยถึงกับคะมำหัวโขกดังโป๊ก


“โอ๊ย! มึงจะเบรกทำเชี่ยอะไรเนี่ย!”


“กูนอนคนเดียว ไม่ได้นอนกับอีฟ” ผมถลึงตาใส่ซี ให้ตายสิ คิดได้ยังไง


“เออ! นอนคนเดียวก็นอนคนเดียว! แล้วมันใช่เรื่องที่ต้องเบรกกะทันหันมั้ยวะ! หัวกูเจ็บไปหมดแล้วสัส!” ซีทำหน้าเหมือนจะกินหัวผม ในขณะที่มือก็กุมหน้าผากเอาไว้ ไม่รู้ว่าเมื่อกี้จะเจ็บขนาดไหน ฟังจากเสียงที่โขกก็แรงเอาเรื่องอยู่


“ขอโทษ เจ็บมากมั้ย”


“ก็ดีที่ยังรู้จักขอโทษ แม่ง จะเหยียบเบรกทำไมก็ไม่รู้กูไม่เข้าใจมึงจริงๆ” อย่าว่าแต่ซีเลย เพราะขนาดผมเองก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ดีที่ไม่มีรถขับต่อข้างหลังไม่อย่างนั้นคงไม่จบที่โดนแค่ซีด่าแน่ๆ


แล้วในเมื่อผมไม่ตอบ ขับรถออกไปเฉยๆ ซีก็เลยไม่ได้เซ้าซี้อะไร มือลูบที่หน้าผากป้อยๆ แล้วก็เริ่มชวนผมพูดใหม่อีกครั้ง


“บ้านก็มีกลับ แล้วมึงไปนอนโรงแรมให้เปลืองตังทำไมวะ”


“ซื้อเวลา”


“คืออะไรยังไง ขอคำอธิบายให้เคลียร์ๆ หน่อยได้ปะ” แล้วด้วยความที่มีชนักติดหลัง แม้ว่าผมจะขี้เกียจอธิบาย แต่ว่าผมก็ต้องทำอย่างช่วยไม่ได้


“กูคิดว่าถ้าต้องขับรถกลับบ้าน 2 – 3 ชั่วโมง สู้เปิดโรงแรมใกล้ๆ นอนคงจะดีกว่า ราคาแค่ 2 – 3 พันก็ได้ห้องที่โรงแรมดีๆ แล้ว จะฝืนขับกลับบ้านทั้งที่ง่วงแล้วก็เหนื่อยไปทำไม”


“อ๋อ โอเคเก็ต งานมึงได้เงินเยอะแยะเลยไม่เสียดายเงินแค่นี้นี่เนอะ”


“อืม” ผมพยักหน้า ไม่อย่างนั้นผมไม่ยอมแลกความเป็นส่วนตัวไปหรอก แต่ที่ยอมก็เพราะเล็งเห็นแล้วว่ามันคุ้ม ทำงานเดือนเดียวได้เงินมากกว่ามนุษย์เงินเดือนทั้งปีซะอีก


“แต่มึงเชื่อกูดิ ยังไงอยู่บ้านมันก็สบายใจสุด เอาเป็นว่าต่อไปนี้ถ้าง่วงมึงก็นอนได้เลย เดี๋ยวกูจะเป็นคนขับรถพามึงกลับมาที่บ้านเอง” ซีหันมายิ้มให้ผมอย่างสดใส วินาทีนั้นไม่รู้ทำไมหัวใจของผมถึงได้เต้นผิดจังหวะขึ้นมา มันเต้นเร็วมากจนผมถึงกับต้องยกมือขึ้นมากุมเอาไว้


“มึงเป็นไรอะ” ซีถามผมด้วยความสงสัยปนตกใจหน่อยๆ สีหน้าแบบนี้คงจับไม่ได้หรอกมั้งว่าหัวใจของผมจู่ๆ มันก็เต้นแรงขึ้นมา


“เปล่า ก็แค่รู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย”


“ตรงไหน ตรงหัวใจหรอ ไปหาหมอมั้ย นี่ๆๆ มีโรงพยาบาลอยู่ตรงนั้น” ซีรีบชี้นิ้วไปข้างหน้าใหญ่เลย ท่าทางจะเป็นห่วงผมจริงจัง แต่ว่าผมก็แสร้งทำเป็นรำคาญ


“แค่มึงเลิกพูดมากกูก็คงหายแล้ว”


“หนอย...ไอ้เหี้ยนี่! คนก็อุตส่าห์เป็นห่วง!” ซีกัดฟันกรอด “ก็แล้วหมาที่ไหนเป็นคนบอกว่าให้กูพูดไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงกรุงเทพห้ะ! ห้ะ! ตอบกูมาสิฟาย!”


“...” ผมเงียบไม่ยอมตอบอะไร ส่วนซีที่หงุดหงิดมากแต่ไม่รู้จะทำอะไรเลยได้แต่สบถคำด่าออกมาเป็นชุด จนกระทั่งหมดคำด่าแล้วนั่นแหละถึงได้นั่งกอดอกด้วยท่าทางฮึดฮัดไปจนถึงกรุงเทพ


เมื่อรถเข้าไปจอดในบ้าน ซีก็รีบหยิบกระเป๋าแล้วก็เดินขึ้นห้องไปเลย ไม่แม้แต่จะพูดอะไรสักคำ อย่าว่าแต่พูด ขนาดหน้าของผมยังไม่อยากจะมองด้วยซ้ำ แล้วอย่างนี้ผมควรจะทำยังไงดี


คิดอยู่สักพักผมก็ขับรถออกไปอีกครั้ง จำได้ว่าซีชอบกินชาเขียวปั่นร้านนี้ ที่ผมรู้ก็เพราะที่บ้านมีแต่แก้วเปล่าของที่ร้าน จนถึงปัจจุบันผมก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกันว่าซีจะเก็บเอาไว้ทำไม


“ชาเขียวปั่นแก้วนึงครับ” ผมพูดกับน้องพนักงานที่ร้าน ซึ่งก็ดูเหมือนว่าน้องเขาจะจำผมได้ แม้ว่าผมจะใส่แว่นดำพรางใบหน้าเอาไว้ก็ตาม
หลังจากที่รับออเดอร์ของผมไป น้องเขาก็เห็นเรียกพนักงานอายุไล่เลี่ยกันมาซุบซิบ ทั้งคู่แอบมองมาที่ผมพร้อมกับทำหน้าตื่นเต้นดีใจนิดๆ แต่ผมก็ยืนนิ่งๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น จนกระทั่งชาเขียวปั่นที่ผมสั่งได้แล้ว


“ขอโทษนะคะ ใช่พี่เอสรึเปล่าคะ”


“ครับ” ผมก็ตอบนิ่งๆ ตามสไตล์ของผม แต่เท่านี้น้องเขาแล้วก็เพื่อนที่อยู่ข้างๆ ก็ตื่นเต้นและดีใจมากจนแทบจะเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่


“หนูชอบพี่มากเลยค่ะ! เป็นติ่งพี่มาจะ 2 ปีแล้ว! รอดูละครของพี่อยู่นะคะ! เป็นกำลังใจให้ค่ะ!”


ยอมรับว่าพอได้ยินผมก็ค่อนข้างจะตกใจอยู่หน่อยๆ ถึงแม้จะไม่ค่อยชอบให้ใครมาวุ่นวาย แต่ลึกๆ แล้วผมก็รู้สึกดีใจอยู่เหมือนกัน ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าเป็นปกติผมคงจะพยักหน้าแล้วก็เดินออกไปเฉยๆ แต่วันนี้ไม่รู้ทำไมผมถึงได้มีความคิดที่อยากจะแคร์ความรู้สึกของคนอื่นบ้าง


“ขอบคุณนะครับ” แถมนอกจากพูดผมก็ยังยิ้มออกมาอีกด้วย


ความจริงเรื่องนี้มันก็เรื่องปกติของดาราคนอื่นๆ แต่สำหรับผมมันไม่ใช่ ซึ่งน้องเขาที่บอกว่าเป็นติ่งผมมานานจะ 2 ปีแล้วก็ต้องรู้ เพราะงั้นการที่เห็นผมทำแบบนี้ก็เลยดีใจมากจนถึงกับกรี๊ดลั่น จนกระทั่งผมเดินออกมาแล้วก็ยังได้ยินเสียงกรี๊ดอยู่เลย


ผมถือแก้วชาเขียวขึ้นไปบนรถแล้วขับกลับบ้าน ระหว่างทางก็พยายามคิดไปด้วยว่าจะพูดกับซียังไง ดีที่กลับไปแล้วพวกเพื่อนของซียังไม่ถึงกัน ก็ไม่รู้ว่าไปแวะที่ไหนรึเปล่า แต่ก็ดีแล้วเพราะว่ามันทำให้ผมไม่ต้องเกร็งที่ต้องถูกสายตาหลายคู่จ้องมอง


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


รอสักแป๊บซีก็เปิดประตูออกมา พอเห็นว่าเป็นผมก็เบ้ปากออกมาเลย


“มีอะไร” ผมไม่ตอบแต่ยื่นชาเขียวให้ เท่านั้นแหละจากที่กำลังหน้าบูดบึ้งก็ตาแป๋วขึ้นมาเชียว “ซื้อมาง้อกูรึไง”


“ก็แล้วแต่จะคิด” ผมเสหน้าไปมองทางอื่น แต่เท่านั้นก็เหมือนยอมรับกลายๆ แล้ว ซีเลยยิ้มแซวๆ ออกมา


“แหมๆๆ เก๊กเหลือเกิน เอาเถอะ ไหนๆ ก็ซื้อมาแล้ว กูจะรับไว้แล้วกันยังไงก็ของโปรด” พูดจบซีก็ยื่นมือออกมารับแก้วชาเขียวไปดูด

“อา...ชื่นจาย...”


ผมมองการกระทำนั้นแล้วยิ้มออกมาหน่อยๆ ดีแล้วที่ซีเป็นคนหายโกรธง่าย ไม่ติดใจอะไรนานๆ


“แล้วนี่มึงมีไรอีกมะ หรือมาแค่นี้”


“กูจะมาบอกด้วยว่าพรุ่งนี้มีคิวถ่ายละครตอน 9 โมง สัก 6 โมงครึ่งต้องออกบ้านได้แล้ว”


“เคๆ เดี๋ยวกูตั้งปลุกไว้”


“เพื่อความชัวร์เอาเบอร์มึงมา”


“หา? เอาไปทำเชี่ยอะไร ถ้าระแวงขนาดนั้นก็มาเคาะประตูปลุกกูละกัน อยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ ทำยังกะอยู่ไกล” ซีบ่นเป็นชุด แต่ก็นั่นน่ะสิ อยู่บ้านเดียวกันเดินมาปลุกเอาก็ได้


“บอกให้เอามาก็เอามาเหอะน่า” ไม่รู้ล่ะ อย่างน้อยมีเบอร์ไว้มันก็ดีกว่าไม่มี จริงสิ อย่างน้อยก็เผื่อหลงกันที่กองถ่าย หรือผมใช้ซีไปทำอะไรไกลตัวจะได้โทรเช็คได้ไงล่ะ


“โวะ มึงนี่แม่งน่ารำคาญจริงๆ เอามือถือมึงมา” แต่ถึงจะบ่นซีก็ยอมกดเบอร์มือถือตัวเองลงที่เครื่องของผม “เดี๋ยวกดโทรออกให้ด้วยเผื่อจะไม่เชื่อว่าเบอร์กูจริงๆ”


แล้วซีก็ทำตามอย่างที่ว่า ซึ่งรอไม่กี่วินาทีมือถือของซีก็ดังขึ้น ซีเลยเดินไปหยิบแล้วก็กลับมายื่นให้ผมดู


“เคนะ?”


“ก็ไม่ได้บอกว่าไม่เชื่อสักหน่อย” ผมพูดจบก็รีบบันทึกชื่อซีเอาไว้ ทำเป็นไม่สนใจเสียง ‘เฮอะ!’ เบาๆ จากซี


“มีอะไรอีกมั้ย”


“ไม่มี”


“งั้นเชิญ ห้องมึงอยู่นู่น พรุ่งนี้เจอกัน แต่ถ้าหากกลัวโทรมาแล้วกูไม่รับ หรือกลัวเคาะห้องแล้วกูยังไม่ตื่น มึงจะหอบผ้าหอบผ่อนย้ายสารร่างมานอนที่ห้องกูก็ได้นะ กูโอเค้!”


“โอเคจริงหรอ” ก็รู้แหละว่าซีประชด แต่ผมถามก็เพราะรู้สึกหมั่นไส้


“โอเคก็เหี้ยแล้ว! กลับห้องไปได้แล้วไป๊!” ไม่พูดเปล่าซียังจับตัวผมหมุน แล้วก็ดันไหล่ให้เดินไปที่หน้าห้องของตัวเองด้วย


ส่วนผมก็ไม่ได้พูดหรือขัดขืนอะไร แค่หัวเราะเบาๆ เท่านั้น แต่ก็แอบมีคิดในใจเหมือนกันว่า ถ้าหากพรุ่งนี้มาถึงเร็วๆ ก็คงจะดี...


2BC


 o18 สวัสดีค่า ไม่ได้มาต่อซะหลายวันเลย ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยนะคะพอดีเราต้องไปตจว.กะทันหัน แต่พอกลับถึงบ้านปุ๊บก็รีบเขียนรีบอัพปั๊บเลยค่า  :katai4:

ตอนนี้จะเห็นได้ว่าความรู้สึกของเอสที่มีต่อซีเริ่มเปลี่ยนไปน้อยๆแล้ว แอร๊ยยยย  :-[ กองเชียร์อย่างเต้ยคงใกล้จะนิพพานแล้วล่ะ ว่าแต่มีใครชอบที่เอสเป็นแบบนี้มั้ยนะ หรือว่าจะหมั่นไส้ที่ยังชอบเก๊กขรึมวางมาดอยู่ อิอิ  o17

ส่วนตอนหน้าวันเสาร์เจอกันนะคะ แบบว่าพรุ่งนี้ (10.10) วันเกิดเค้าเลยอาจจะไม่มีเวลาเขียน น่าจะเดินสายกินแหลกตั้งแต่เช้ายันค่ำอะคะ 55555 แล้วเจอกันนะคะ บ๊ายบายยยย  :bye2:

ออฟไลน์ Micky_MN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-3
 :hao3: ชอบชีแล้วชิประ!!!!

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
สนุกกกก

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
สนุกเชียวแหละ

ออฟไลน์ Y-Darkness

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Sameejaejung

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-17
Soulmate วิญญาณป่วนรัก


Part 8# Z เรื่องบังเอิญ (หรือมีใครตั้งใจ)


กริ๊งงงงงงงงง กริ๊งงงงงงงงง


เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นขณะที่ผมกำลังฝันหวาน ให้ตายเหอะ นี่เวลา 5.50 น. แล้วหรอเนี่ย ขนาดตอนเรียนยังไม่เคยตื่นเช้าขนาดนี้ อยากรู้จริงๆ ว่าชาติที่แล้วผมไปทำกรรมอะไรไว้ ถึงต้องมาชดใช้ให้ไอ้เอสในชาตินี้ด้วย


แต่คิดในใจหรือบ่นไปก็ไม่มีประโยชน์ เผลอๆ ถ้าช้ามันก็จะหาเรื่องว่าไม่ก็ใช้งานผมอีก เพราะงั้นผมเลยรีบลุกจากเตียงไปอาบน้ำแต่งตัว ซึ่งก็เลือกเสื้อผ้ากับเซ็ตผมให้มันดูดีหน่อย ก็แหม...เผื่อได้เจอดารา นางเอก ไม่ก็ไอดอลที่ผมชอบ ก็เลยขอดูดีนิดนึง


ผมหมุนตัวไปมาที่หน้ากระจกเช็คความเรียบร้อยอีกครั้ง จนคิดว่าโอเคแล้วถึงได้เก็บข้าวของที่จำเป็นใส่กระเป๋า จากนั้นก็เปิดประตูห้องกะจะออกไปยืนรอไอ้เอสแบบหล่อๆ เพราะนี่พึ่งจะ 6.20 น. ยังไม่ถึงเวลานัด แต่พอเปิดประตูออกไปเท่านั้นแหละ...


“แว้ก!” ผมถึงกับร้องเสียงหลงเพราะเห็นไอ้เอสยืนอยู่ที่หน้าประตูแล้ว! “มะ...มึงมาตั้งแต่เมื่อไหร่”


“เมื่อกี้” มีแอบกลั้นขำด้วย ถ้าจะทำขนาดนี้มึงไม่ต้องกลั้นแล้วสัส!


“มึงจะมายืนทำบ้าอะไรตรงนี้! รู้มั้ยว่ากูเกือบหัวใจวายตายแล้ว!” หมดกันที่กะจะมายืนหล่อๆ กลายเป็นว่าดันมาเล่นตลกให้แม่งดูซะงั้น เฮ้อออออ


“ก็มายืนรอมึงนั่นแหละ ไม่คิดว่าจะอ่อน...ขวัญอ่อนน่ะ” ไอ้เอสรีบแก้คำที่ (ตั้งใจ) พูดผิดซะใหม่ เมื่อเห็นผมง้างปากเตรียมปล่อยน้องๆ ทั้งสวนสัตว์ออกไปเดินเล่น


“จะยืนกวนส้นตีนกูอยู่ที่นี่ใช่มั้ย งานการจะไม่ไปทำแล้วว่างั้น”


“ก็ตามมาสิ” แล้วไอ้เอสก็เดินลงบันไดไปเลย ส่วนผมก็ทำท่าจะต่อยมันลับหลัง แต่ก็ทำได้แค่นั้นแหละ ทำจริงๆ ได้ที่ไหน ที่ทำได้ก็แค่เดินตามมันต้อยๆ จนไปถึงรถนั่นแหละ


“มีใบขับขี่ใช่มั้ย” หลังจากยื่นกุญแจรถให้ผมไอ้เอสก็ถามขึ้นเหมือนพึ่งนึกได้


“มีดิ ก็ซื้อมาแล้ว” ผมตอบกวนตีน ก็ดูมันถามดิ แหม่ ถ้าไม่มีใบขับขี่ผมก็ต้องแย้งมันไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว


“จะไว้ใจได้มั้ยเนี่ย”


“ถ้างั้นมึงก็มาขับเอง”


“ไม่แย่งหน้าที่มึงหรอก” พูดจบมันก็ลอยหน้าลอยตาเข้าไปในรถเลย แม่งกวนตีนจริงๆ ไอ้เวรนี่ ผมแยกเขี้ยวใส่แล้วก็ตามมันเข้าไปในรถ


“มึงจะให้กูขับไปที่ไหน”


“สตูดิโอ” ผมกำลังจะถามต่อว่าแล้วตรงไหนล่ะ แต่ไอ้เอสก็เอื้อมมือไปเปิด GPS ในรถแล้วก็เลือกตำแหน่งที่บันทึกไว้


“อย่าไปเถียง GPS ล่ะ”


“พ่อง! ใครจะไปทำ” แต่เอาจริงๆ ผมก็เคยนะ คือมั่นใจในความจำของตัวเองไง แต่สุดท้ายเสียเวลากว่าเดิมเกือบ 2 เท่า เหอๆ


ผมขับรถตามเส้นทางที่ GPS บอกแต่โดยดี ดังนั้นแค่ 1 ชั่วโมงก็ถึงที่หมาย เพราะมันบอกทางที่รถติดแล้วก็ทางสำรองที่เลี่ยงไปได้ด้วย แต่ทั้งที่คิดว่าอุตส่าห์มาก่อนเวลาตั้งนาน ลานจอดรถที่อยู่ด้านหน้าสตูดิโอก็ดันเต็มซะงั้น ไอ้เอสก็เลยบอกให้ผมขับไปจอดที่อาคารจอดรถที่อยู่ด้านหลัง ซึ่งมันไกลมากกกกกกก เดินขาลากเลยเนี่ยกว่าจะมาถึงสตูดิโอ


“คนเยอะจังวะ แทบจะเหยียบกันตายแล้วเนี่ย” นี่ผมไม่ได้เวอร์เลยนะ ที่ด้านหน้าสตูดิโอคนเยอะจริงๆ ทั้งกองทัพนักข่าว ทั้งเหล่าแฟนคลับดารา ไหนจะสต๊าฟที่พากันเดินว่อน ยั้วเยี้ยยังกะหนอนเลย


“วันนี้มีแถลงข่าวกับบวงสรวงละครฟอร์มยักษ์”


“โอ้โห จะดังใหญ่แล้วนะเนี่ย ดังแล้วอย่าลืมกูนะเว่ย” ผมยิ้มกว้างพลางตบที่ไหล่ของไอ้เอสเบาๆ แต่นอกจากจะไม่ยิ้มรับมันยังมองผมด้วยใบหน้านิ่งๆ ซะงั้น


“กูบอกตอนไหนว่ากูเล่นเรื่องนั้น” แล้วมันก็เดินผ่านหน้าผมไปเฉย โวะ! ก็แล้วกูจะไปรู้กับมึงมั้ย!


ด่ามันในใจเสร็จผมก็รีบวิ่งตามมันเข้าไปในสตูดิโอ ซึ่งภาพแรกที่เห็น...โอ้โหหหหห อลังการงานสร้างมากกกกก ข้างในมีการเซ็ตฉากราวกับว่าเป็นเมืองๆ หนึ่งกันเลย เพราะมีทั้งตึก ถนน อาคาร บ้านคน ถึงพอมองดูดีๆ แล้วจะมีแค่ส่วนข้างหน้าก็เถอะ แต่พวกฉากข้างในไม่ว่าจะเป็นห้องนอน ห้องทำงาน ร้านอาหาร ก็ถูกเซ็ตเอาไว้อย่างสมจริง


“เชรดดดด กูคิดว่าฉากพวกนี้จะไปถ่ายกันที่สถานที่จริงๆ ซะอีก”


“ถ้าหาสถานที่ไม่ได้ หรือไม่คุ้มที่จะขนทีมงานไปหลายๆ ที่ ผู้จัดก็จะสั่งให้สร้างฉากในสตูดิโอขึ้นมาแบบนี้แหละ”


“อ๋อ” ผมพยักหน้ารับรู้ เห็นละครเรื่องนี้เป็นพีเรียดด้วยก็เลยคงจะหาสถานที่ไม่ได้ล่ะมั้ง แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ ไอ้เอสก็จูงมือผมเข้าไปแนะนำตัวกับทีมงานซะแล้ว


“ทุกคนครับ นี่ซีเพื่อนผมเอง จะมาช่วยดูแลผมแทนพี่ก้องระหว่างปิดเทอม” ผมไม่รู้หรอกว่าพี่ก้องที่มันพูดถึงเป็นใคร แต่ก็คงจะเป็นผู้จัดการที่เคยมาดูแลมันล่ะมั้ง


“สวัสดีครับพี่ๆ ผมชื่อซีนะครับ ยังเป็นมือใหม่ไม่ค่อยรู้อะไรมาก แต่ก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” ผมยิ้มกว้างแล้วก้มไหว้ซะเกือบ 90 องศา ก็ไม่รู้ว่าจะดูเวอร์วังไปมั้ย ส่วนคำพูดก็ไม่รู้จะลิเกไปรึเปล่า แต่ก็ดีกว่าทำหน้านิ่งไร้อารมณ์แบบไอ้เอสล่ะวะ


“น้องนี่ดูร่าเริงดีนะ ไม่คิดว่าจะเป็นเพื่อนกับเอสได้” พี่ (ที่น่าจะเป็น) ผู้กำกับพูดขึ้น โดยมีพวกพี่ทีมงานคนอื่นๆ พยักหน้าเห็นด้วย


“ฮ่าๆๆ ความจริงผมก็ไม่อยากเป็นเพื่อนกับมันหรอกครับ แต่สงสาร เห็นมันไม่มีเพื่อนคบ” เท่านั้นแหละพวกพี่ทุกคนก็ขำกันกระจาย ยกเว้นไอ้เอสแค่คนเดียวที่ยังยืนนิ่ง แต่ตานี่มองผมซะดุเลย


“พี่ชักถูกใจน้องแล้วนะเนี่ย ดูดีๆ ก็หน้าตาใช้ได้เหมือนกันนะเราอะ สนใจอยากเข้าวงการรึเปล่า” พี่ผู้กำกับพูดกับผม แต่ก็คงไม่ได้จริงจังอะไรหรอก ผมก็รู้ตัวอยู่ว่าถ้าเทียบกับพวกดาราผมนี่หน้าตาบ้านๆ เลย ที่สำคัญผมก็ไม่ได้รู้สึกอยากทำงานในวงการด้วย


“โหยพี่ อย่าล้อเล่นดิครับ ฮ่าๆๆ”


“พี่พูดจริงๆ อยากไปลองถ่ายแบบดูมั้ยล่ะ เผื่อมีโมเดลลิ่งไหนสนใจ”


“เอ่อ...”


“กูจะไปห้องแต่งตัว คุยเสร็จก็ตามมาแล้วกัน” ไอ้เอสพูดขัดขึ้นก่อนที่จะหันไปหาพี่ผู้กำกับ “ผมขอตัวก่อนนะครับ” แล้วหลังจากยกมือไหว้มันก็เดินไปที่ห้องแต่งตัวเลย


เมื่อกี้น้ำเสียงของมันดูไม่พอใจนิดๆ รึเปล่าหว่า อารมณ์เหมือนหวง แต่คงไม่ใช่หรอกมั้ง มันจะหวงผมทำไมล่ะ น่าจะกลัวไม่มีเบ๊ให้ใช้งานมากกว่า


“งั้นผมก็ขอตัวไปก่อนนะครับ เผื่อไอ้เอสมันให้ทำอะไร” ผมยิ้มแห้งๆ แล้วก็ยกมือไหว้พี่ผู้กำกับแล้วก็พวกพี่ๆ ทีมงาน จากนั้นก็รีบวิ่งตามไอ้เอสไปที่ห้องแต่งตัว


ที่นี่มีขนาดเล็กกว่าที่ผมคิดเอาไว้ แถมยังเต็มไปด้วยเสื้อผ้าและข้าวของมากมาย นอกจากนี้ยังอยู่รวมกันหลายคนตั้งแต่พระเอกยันตัวประกอบ รวมกับทีมงานและช่างแต่งหน้าเลยเรียกได้ว่าอีกนิดก็จะทับกันตายแล้ว


“เป็นถึงพระเอก กูก็นึกว่ามึงจะมีห้องส่วนตัวซะอีก” ผมแอบกระซิบกับไอ้เอสเมื่อมันมานั่งที่หน้ากระจก หลังจากที่พาผมไปแนะนำกับทุกคนที่อยู่ในห้อง


“เป็นผู้ชายจะขอห้องส่วนตัวไปทำไม”


“กูก็คิดว่ามึงไม่ชอบอยู่รวมกับคนเยอะๆ ซะอีก”


“ก็ไม่ใช่ว่าชอบ แต่ก็ไม่อยากทำตัววุ่นวาย”


“โอ้ว้าว มึงนี่ก็รู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่นเหมือนกันนะนี่” จริงๆ ก็รู้แหละว่ามันไม่ได้นิสัยแย่ ติดก็แค่หน้านิ่งแล้วก็พูดน้อยไปเท่านั้นแหละ


“แล้วกูไม่เคยเห็นอกเห็นใจคนอื่นตอนไหน”


“ก็ไม่เคยมีหรอก เนี่ย...อย่างเมื่อกี้มึงก็ไม่ได้บอกว่ากูเป็นเบ๊ แต่บอกว่ากูมาดูแลแทนพี่ผู้จัดการ แหม...ทำซึนนะมึงอะ” ผมยิ้มแซวแล้วเอาไหล่ไปชนกับไอ้เอสเบาๆ


“เลิกพูดมากสักทีเถอะน่า” ถึงจะทำเป็นรำคาญแต่ผมก็เห็นนะว่ามันแอบทำหน้าเขินๆ เอาเถอะ แซววันละนิดจิตแจ่มใส แซวมากไปไม่ดีเดี๋ยวมีคนชักตาย ฮ่าๆๆ


นั่งรอไม่นานก็มีพี่ช่างแต่งหน้าเดินมาหาไอ้เอส มันเป็นคนที่เครื่องหน้าดีอยู่แล้วเลยไม่ต้องแต่งอะไรมาก ซึ่งหลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย พี่ผู้กำกับก็ให้มันไปซ้อมบทเตรียมเข้าฉากในอีก 20 นาที


ก็พึ่งรู้เหมือนกันว่ามันเล่นกับนางเอกรุ่นพี่ ตัวจริงดูเด็กแล้วก็สวยกว่าตัวจริงมากกกกกก ถ้าไม่ติดว่ามีบรรยากาศเชิ่ดๆ หยิ่งๆ แล้วผู้จัดการก็เคร่งมาก ผมคงจะวิ่งไปขอถ่ายรูปด้วยแล้ว


แป๊บเดียวเวลาก็ผ่านไปถึงตอนเที่ยง ทุกคนที่ทำงานอย่างแข็งขันก็ได้เวลาเติมพลังกันแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะจับกลุ่มกินข้าวพร้อมกับเมาท์นู่นนี่กัน จะมีแค่ไม่กี่คนที่ปลีกวิเวก อย่างเช่นคุณพี่นางเอก แล้วก็พระเอกอย่างไอ้เอส


“ปกติมึงกินข้าวที่กองคนเดียวหรอ”


“อืม”


“น่าเบื่อจะตายห่า ไปกินกับทุกคนดีกว่า”


“คนเยอะกูไม่...เดี๋ยว! อะไรของมึงเนี่ย!” ผมขี้เกียจฟังที่มันพูดต่อ เลยลากมันที่กำลังจะเข้าไปที่ห้องแต่งตัวออกไปรวมกลุ่มกับทุกคนที่กำลังกินข้าวซะเลย


“ผมกับไอ้เอสขอนั่งกินด้วยนะครับ!”


“เดี๋ยว กูไม่...”


“ไม่ต้องเขินหรอกน่า นั่งรออยู่นี่นะเดี๋ยวกูไปตักกับข้าวมาให้” แล้วผมก็กดตัวไอ้เอสให้นั่งลงที่เก้าอี้ สีหน้าของมันดูไม่ได้เต็มใจเท่าไหร่ แต่ก็ยอมนั่งอย่างช่วยไม่ได้ เพราะทุกคนก็ดูตื่นเต้นดีใจใหญ่เลยที่มันมากินข้าวด้วยวันนี้


ผมรีบวิ่งไปตักกับข้าวที่วางไว้บนโต๊ะ ซึ่งก็มีอยู่ 3 – 4 อย่าง แต่ละอย่างกำลังร้อนๆ น่ากินทั้งนั้น ลาภปากจริงๆ วันนี้ แล้วหลังจากที่ผมตักทุกอย่างมาอย่างละชุดยกเว้นข้าวที่มี 2 จาน ผมก็รีบเอาไปวางไว้ที่หน้าของไอ้เอสที่นั่งหน้านิ่งที่โต๊ะ


“อื้อหือ กับข้าวอร่อยทุกอย่างเลยครับพี่ อยากมาฝากท้องทุกวันเลยอะ” ผมยิ้มอย่างร่าเริง ส่วนไอ้เอสก็ตักข้าวกินไปเงียบๆ


“มาสิมาเลย รู้มั้ยว่านี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่พวกพี่ได้กินข้าวกับเอส”


“ใช่ๆ นึกว่าจนปิดกล้องก็จะไม่มีโอกาสได้กินด้วยซะแล้ว”


“บรรยากาศรอบตัวน้องเอสก็ดูเปลี่ยนไปด้วย น้องซีมาบ่อยๆ นะ” แล้วก็อีกคำพูดมากมายที่พวกพี่ๆ ทีมงานพูด ซึ่งผมก็ยิ้มรับแล้วก็ชวนคุยเรื่องนู่นนั่นนี่ โดยที่ไม่ลืมสะกิดไอ้เอสให้พยักหน้าหรือเออออตามด้วย


พอถึงตอนบ่ายแต่ละคนก็ลุยงานกันต่อ ซึ่งไอ้เอสก็ไม่ได้เข้าฉากตลอดเวลาหรอก ก็จะมีช่วงพักบ้างเพราะต้องถ่ายฉากของคนอื่นด้วย ปกติในเวลาแบบนี้ไอ้เอสก็มักจะเก็บตัวอยู่คนเดียว แต่วันนี้ผมไม่ยอมให้มันทำแบบนั้นหรอก ก็ลากมันออกมาอยู่ในวงเมาท์นี่แหละ


แรกๆ มันก็อิดออดพร้อมกับบ่นผมอยู่นะ แต่หลังๆ ก็ไม่ละ เดินตามมานั่งข้างๆ ผมโดยที่ไม่ต้องบังคับ ถึงแม้ว่ามันจะนั่งเฉยๆ ไม่ได้พูดอะไรก็เถอะ แต่อย่างน้อยแค่มาร่วมวงสนทนาก็ดีแล้ว จะได้คุ้นเคยกับพวกพี่ๆ ทีมงาน ซึ่งก็เป็นประโยชน์กับตัวมันเองนั่นแหละ


“รู้ตัวมั้ยว่ามึงนี่มันโคตรจุ้นจ้าน” ไอ้เอสบ่นกับผมระหว่างที่เรากำลังเดินออกมาจากสตูดิโอ ตอนนี้เป็นเวลา 4 ทุ่มกว่าๆ ซึ่งก็หมดคิวถ่ายของไอ้เอสแล้ว


“ก็แล้วกูจุ้นจ้านเพื่อใครล่ะสาดดด หัดเข้าสังคมบ้างอะไรบ้าง มึงไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวบนโลกนะเว่ย”


“เป็นหวงกูหรอ”


“ก็ใช่น่ะสิ” แต่กูเป็นห่วงตัวเองมากกว่า มาใหม่แล้วทำหน้านิ่งไม่คบค้าสมาคมกับใคร มีหวังได้ถูกพี่ๆ ทีมงานเขม่นเอาตายห่า


“ไม่ใช่ว่ามึงเกลียดกูหรอกหรอ” ผมมัวแต่สนใจว่ามีเม็ดฝนตกใส่มือรึเปล่า ก็เลยไม่ทันได้มองสีหน้าของไอ้เอสว่าเป็นยังไง


“ถ้ากูเกลียดคิดว่ากูจะมายืนอยู่ตรงนี้มั้ยล่ะ” แต่ถ้าถามเรื่องหมั่นไส้ผมตอบตรงนี้เลยว่ามากกกกกก


“ไม่เกลียด...สินะ...” ไอ้เอสมันบ่นพึมพำอะไรก็ไม่รู้ ผมไม่ได้สนใจ เพราะตอนนี้ผมสนใจแต่ว่า ฝนแม่งกำลังกระหน่ำเทลงมาแล้ว!


“เชี่ย! เอาไงดีวะ!” ตอนนี้ในหัวนี่เพลงมาละ ‘กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง’ คือแบบ...ตอนนี้ผมอยู่ตรงกลางระหว่างอาคารจอดรถกับสตูดิโอไง จะไปต่อหรือย้อนกลับดีวะกู?


“ไปที่รถ!” ไอ้ซีตะโกนแข่งกับสายฝน


“เออ! ไปก็ไป!” ยังไงตอนนี้ก็เปียกแทบจะทั้งตัวแล้ว วิ่งไปที่รถทีเดียวเลยก็ได้วะ


ว่าแต่...วิ่งอย่างเดียวก็ได้ทำไมต้องจับมือกูด้วยแสรดดดดด แถมยังจับซะแน่นเลย คือกลัวกูหลงรึยังไง แต่ถามว่าจังหวะนี้ทำอะไรได้มั้ยก็ไม่ ทำได้แค่วิ่งฝ่าสายฝนเคียงคู่กับมันไปจนถึงอาคารจอดรถเท่านั้นแหละ


“ยัง...ยังอีก...” ผมพูดขึ้นเมื่อเราสองคนวิ่งมาถึงรถ ซึ่งก็หอบกันเลยล่ะเพราะสวมเกียร์หมามาเลย


“น่าจะตกอีกนาน ยังไม่หยุดตกง่ายๆ หรอก”


“กูไม่ได้หมายถึงฝน! แต่หมายถึงมือของมึงเนี่ย! จะจับไปจนถึงพรุ่งนี้เลยมั้ยสัส!” พูดจบผมก็มองลงไปที่มือซึ่งยังถูกมันจับเอาไว้อยู่


“อ้อ โทษที” แล้วมันก็รีบปล่อยมือ


“รีบขึ้นรถเหอะ แม่งเปียกไปถึงข้างในแล้วเนี่ย” ว่าแล้วก็ถอดเสื้อออกมาบิดน้ำออกซะเลย ส่วนกางเกงถ้าไม่ติดว่าเกรงใจก็คงจะถอดออกมาบิดแล้วเหมือนกัน เลยทำแค่ใช้มือบิดตรงปลายเฉยๆ


“มึงก็ถอดเสื้อมาบิดด้วยสิเดี๋ยวรถมึงก็เปียก...เฮ่ย! เครื่องช็อตรึไง! ยืนเอ๋ออะไรอยู่ได้!” อันที่จริงจะเรียกว่ายืนเอ๋อก็ไม่น่าใช่ เหมือนมันยืนมองมาทางผมแบบอึ้งๆ มากกว่า


หรือว่าข้างหลังผมมันมีอะไรให้มอง? แต่พอหันไปมองก็ไม่มีนี่นา หรือว่าไอ้นี่มันจะประสาทหลอน เจอฝนเข้าไปแล้วไข้แดก?


“รีบใส่เสื้อได้แล้วน่า” ไอ้เอสพูดโดยที่ไม่ยอมสบตาผม แถมยังรีบหลบเข้าไปในรถด้วยอีก อะไรของมันวะ หรือจะกลัวผมเป็นหวัดจนพรุ่งนี้มาเป็นเบ๊มันไม่ได้


ต้องใช่! ต้องใช่แน่ๆ!


“จะขับเองหรอถึงไปนั่งนั่นน่ะ” ผมเปิดประตูไปถามหลังจากที่ใส่เสื้อแล้ว มันเลยทำหน้าเหมือนกับว่าพึ่งนึกได้ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจิตใจของมันเลยเหมือนไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย


“รีบขึ้นมาเหอะน่า” มันทำหน้าเหมือนรำคาญ เฮอะ! กลบเกลื่อนแก้เขินอะดิ แต่เอาเถอะ มันขับเองแบบนี้ก็ดีเหมือนกันผมจะได้ไม่เหนื่อย


แต่ก็ไม่รู้ว่าวันนี้มันคราวซวยอะไร เพราะหลังจากที่ไอ้เอสขับรถออกไปได้สักพักเครื่องแม่งก็เกิดดับซะงั้น ทั้งที่น้ำมันก็เกือบเต็มถัง ส่วนรถก็เช็คสภาพเป็นประจำ แล้วทำไมมันถึงดับได้วะเนี่ย!


“โทรหาประกันซิมึง” ผมพูดอย่างรน ตรงข้ามกับไอ้เอสที่สถานการณ์แบบนี้แม่งก็ยังคงนิ่งได้


“มันไม่ใช่อุบัติเหตุ”


“ถ้างั้นก็หาร้านซ่อมสิมึง หรือจะโทรหาศูนย์ก็ได้”


“คิดว่านี่มันเวลาเท่าไหร่แล้ว” 5 ทุ่ม เหยดแหม่ ผมก็ลืมคิดไปเลยว่าดึกขนาดนี้จะมีร้านที่ไหนเปิด แล้วถึงเปิดผมก็ไม่รู้ว่าร้านอยู่ที่ไหนอยู่ดี


“แล้วจะทำไงดีอะมึง นั่งแท็กซี่กลับกันก่อนมั้ย”


“กูไม่คิดจะทิ้งรถไว้”


“แล้วมึงจะเอายังไง จะนอนเฝ้ารถยันเช้างี้หรอ กูไม่นอนกับมึงแน่ๆ อะ”


“กูบอกหรอว่ากูจะนอนในรถ”


“เอ๊า แล้วมึงจะนอนที่ไหน” ไอ้เอสไม่ตอบแต่หันหน้าไปมองข้างๆ แทน


ตอนแรกผมก็งงว่ามันจะหันไปมองทำไม ข้างๆ มันมีอะไร ซึ่งพอผมหันไปมองก็พบว่า รถได้มาเสียอยู่ที่หน้าโรงแรมแบบพอดี๊พอดี


คือผมต้องนอนที่นี่กับไอ้เอสใช่มะ?


2BC


 :m4: สวัสดีค่า Soulmate ตอนที่ 8 ก็จบไปแล้ว มาต่อซะช้าเลย แบบว่าช่วงหยุดยาวมีแต่คนลากไปนู่นมานี่ เลยยังไม่มีเวลาได้เขียนสักที ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ  :m5:
มาพูดถึงตอนนี้บ้างดีกว่า รถเสียได้ถูกที่มาก นี่บังเอิญหรืออะไร   o3  นี่ว่าตอนนี้หลายๆคนน่าจะหลงสเน่ห์ซีกันเนอะ แล้วพ่อพระเอกหน้านิ่งอย่างเอสนี่จะหลงด้วยมั้ยน้าา แถมตอนหน้าดูเหมือนว่ายังจะค้างคืนที่โรงแรมด้วยกันด้วย จะมีอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า  :haun5: แล้วมาลุ้นกันนะคะ เจอกันตอนหน้าน้าา วันพฤหัสหรือศุกร์เจอกันค่ะ จุ๊บๆ  :bye2:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ไม่ใช่อุบัติเหตุ?

แสดงว่าเอ็งตั้งใจทำเป็นรถเสียหน้าโรงแรมใช่ป่ะ ไอ่เอส?  แผนสูงนะเจ้า

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
เข้าโรงแรมสองต่อสองงงงงง

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
คนทำต้องเป็นแคสเปอร์เต้ยแน่นอน  :laugh:

โธ่ จะเป็นผีน้อยอุ้มสมทั้งที มันดูจงใจไปหน่อยมั๊ยน้องง :m20: นี่ผมนึกภาพมุมมองของเต้ย คงจะลอยกุมขมับเวลาเอสกับซีเถียงกัน แล้วก็คอยถองแซวซีตอนเอสมาหวานใส่ล่ะสิ (เป็นผีแล้วน่าจะมีความกล้ามากขึ้น) ท่าทางเหมือนน้องจะจริงจังเหมือนเป็นมิชชันเชียร์บอลเลยนะครับ  :m20:

ออฟไลน์ Micky_MN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-3

ออฟไลน์ Sameejaejung

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-17
Soulmate วิญญาณป่วนรัก


Part 9# Z เก็บสบู่ท่าไหนดีอะ?


ก็ไม่รู้ว่านี่มันบังเอิญหรืออะไร ในความโชคร้ายก็มีความโชคดี มีบุญหรือว่ากรรมบัง แต่เอาเถอะจะเพราะอะไรก็ช่าง อย่างน้อยนอนที่โรงแรมกว้างๆ ก็ยังดีกว่านอนที่แคบๆ อย่างในรถล่ะวะ


“ช่วยไปเข็นรถคันนั้นเข้ามาให้ทีครับ” ไอ้เอสพูดกับพนักงานรับรถเมื่อเดินมาถึงบันไดทางขึ้นโรงแรม


“ได้ครับ!” แล้วหลังจากที่ได้รับทิปก็รีบวิ่งไปที่รถอย่างไว แหงล่ะ ก็ได้ตั้งใบสีม่วง เป็นกูก็วิ่งวะทิปหนักซะขนาดนั้น


“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าสนใจพักห้องแบบไหนดีคะ ทางเรามีห้อง standard, superior, deluxe และ suite ให้บริการค่ะ” เมื่อเดินไปถึงเคาน์เตอร์ พนักงานต้อนรับคนสวยก็พูดเสียงหวาน จากนั้นก็ยื่นใบราคาห้องให้พวกผมดู


“อื้อหือ แพงขนาดนี้กูจะมีปัญญาจ่ายที่ไหน” ผมแอบกระซิบข้างหูไอ้เอส ห้องปกติก็ราคาตั้ง 2500 ถึงจะติดถนนใหญ่แถบใจกลางเมืองก็เถอะ แต่โรงแรมก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากผมว่าราคานี้มันก็ขูดรีดกันเกิ้น


“กูจ่ายให้เอง” เยสเข้! ไอ้เอสแม่งโคตรป๋า!


“เจริญๆ นะพ่อเอ๊ย” ผมยิ้มกว้างพลางบีบๆ นวดๆ ที่ไหล่ของมัน


“เอาห้องสวีท”


“เยสครก! กูไม่คิดว่ามึงจะป๋าขนาดเอาห้องแบบนี้ให้กู...”


“ห้องเดียวครับ”


“หะ...ห้ะ! ห้องเดียว! นี่คือมึงจะให้กูนอน...”


“ขอกุญแจด่วนด้วยครับ ชุดผมเปียก จะรีบขึ้นไปอาบน้ำ”


“ได้ค่ะๆ”


โว้ยยยยย ผมอยากจะบ้าตาย! คือไอ้เอสแม่งไม่ได้สนใจเลยว่าผมจะพูดอะไร แล้วอะไรคือการเอาห้องสวีทแค่ห้องเดียว ตัวผู้ 2 ตัวนอนห้องแบบนี้ด้วยกันแม่งน่าขนลุกตายห่า แถมราคานี้ก็แยกกันนอนห้องธรรมดา 2 ห้องได้เลยด้วยซ้ำ ผมล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ว่ามันจะเอาห้องสวีทเพื่อ!


แล้วหลังจากที่ได้กุญแจห้องไอ้เอสก็เดินนำไปขึ้นลิฟท์ ส่วนผมที่ไม่มีทางเลือกก็ต้องเดินตามมันไปต้อยๆ อย่างช่วยไม่ได้ นี่ดีนะว่าก่อนที่พนักงานจะยื่นกุญแจให้ผมรีบบอกไปก่อนว่าเอาเตียงคู่ ขืนเอาห้องที่มีเตียงเดี่ยวให้มีหวังผมได้นอนไม่หลับทั้งคืนแน่ๆ


เมื่อประตูลิฟต์เปิดเราสองคนก็เดินไปที่ห้อง ซึ่งพอเปิดประตูออกเท่านั้นแหละ อื้อหือออออ หรูหราหมาเห่าฉิบหาย เฟอร์ครบ สิ่งอำนวยความสะดวกเพียบ แถมยังกว้างซะจนวิ่งเล่นไล่จับได้ คงจะเพราะแบบนี้ล่ะมั้งไอ้เอสมันถึงได้เลือกนอนห้องสวีทแทนที่จะนอนห้องธรรมดา


“มึงจะนอนเตียงไหนอะ”


“เตียงไหนก็ได้”


“งั้นกูขอเตียงนู้นนะ” ผมชี้ไปที่เตียงติดระเบียงกระจก


“อืม” ว่าง่ายๆ แบบนี้ค่อยน่าคบหาหน่อย แต่จะว่าไปตอนนี้ช่างเรื่องเตียงก่อนแล้วกัน เรื่องอาบน้ำเนี่ยสำคัญกว่า ผมล่ะเหนอะหนะตัวจะแย่เพราะฝนแม่งทำพิษ


“ไหนๆ มึงก็ใจดีให้กูเลือกเตียงแล้ว งั้นมึงก็ใจดีให้กูอาบน้ำก่อนด้วยแล้วกันเนอะ” ผมยิ้มกว้างพลางจะเดินไปที่ห้องน้ำ เพราะครั้งนี้คิดว่ามันก็คงจะตามใจผม แต่...


“กูจะอาบก่อน” รั้งอย่างเดียวไม่พอยังจับคอเสื้อของผมไว้ด้วย เห็นสูงกว่าหน่อยก็เอาใหญ่เลยนะไอ้เวรนี่


“ปล่อยกู” พูดจบผมก็สะบัดตัวออก “ขออาบก่อนเหอะนะ กูเปียกไปถึงข้างในแล้วนะเว่ย”


“คิดว่าเปียกคนเดียวรึไง” ชิ ลูกอ้อนก็ไม่ได้ผลหรอวะ


“ใจร้ายว่ะ”


“พูดกับคนที่ออกค่าห้องให้แบบนี้เนี่ยนะ”


“...” พูดไม่ออกเลยดิผม แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าผมจะยอมแพ้เรื่องอาบน้ำนะ เรื่องบุญคุณก็ส่วนบุญคุณ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องอาบน้ำสักหน่อย


ผมมองหน้าของไอ้เอสกับห้องน้ำสลับกันไปมา มันที่เห็นแบบนั้นก็เลยคงจะเดาความคิดของผมได้ล่ะมั้ง เพราะงั้นตอนที่ผมออกตัวสตาร์ทมันก็เลยออกตัวแทบจะพร้อมๆ กันด้วย!


นาทีนี้ไม่มีใครยอมใครแล้ว ถึงไอ้เอสจะออกตัวช้ากว่าแต่ขามันยาวไงเลยมาถึงประตูห้องน้ำพร้อมๆ กับผม แต่ว่าผมไม่มีทางยอมให้มันเข้าไปได้ก่อนหรอก นี่แน่ะ ทั้งเบียด ทั้งดัน ทั้งผลัก นี่ว่าอีกนิดจะใช้ตีนยันละ แต่ดีที่ผมตัวเล็กกว่าเลยหลุดเข้ามาในห้องน้ำได้ก่อน เพราะงั้นเลยรีบใส่เกียร์หมาวิ่ง 4 คูณ 100 พุ่งไปที่ฝักบัวเลย


วิ่งลอยลำมาแบบนี้เหมือนจะเป็นเดอะวินเนอร์ แต่เปล่าเลย คือหลุดมาก่อนจริงแต่ขาเสือกสั้นไง ไอ้เอสที่แม่งขายาวเป็นเปรตเลยไปถึงฝักบัวก่อนแล้วคว้ามาได้ เจ็บใจจริงโว้ยยยยยยยย!


“กูมีให้มึงสองทางเลือก”


“อะไร” ผมพูดอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ จะโกรธมันหรือเซ็งตัวเองดี


“หนึ่ง ออกไป”


“ไอ้สัส มาขนาดนี้แล้วกูคงจะยอมออกไปหรอก”


“งั้นสอง อาบน้ำพร้อมกู”


“เออ อันนี้ค่อยพอฟังได้............................ห้ะ! อาบน้ำพร้อมมึง? พ่องงงงงงง!” ใครมันจะไปยอมวะ แม่งพูดมาได้ คิดว่าผมกับมันเป็นเด็กอนุบาลรึไง


“ถ้าไม่อาบก็เชิญ ประตูอยู่นั่น” มีการผายมือให้ผมด้วยนะ แม่งโคตรกวนส้นตีน


เอาไงดีวะกู เดินออกไปตอนนี้แม่งคือแพ้ แต่ถ้าอยู่ต่อแม่งก็อาย คิดไม่ตกเลยว้อยว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี!


“จะยืนคิดอีกนานมั้ย ถอยไป เกะกะ” แล้วมันก็ดันผมให้ขยับออกมา จากนั้นก็ถอดเสื้อออกแล้วโยนไปแถวๆ หน้าประตู


แค่หุ่นกูก็แพ้มึงราบคาบแล้ว ถ้ากูเดินออกไปตอนนี้ก็จะแพ้คูณสอง ซึ่งกูไม่มีวันยอมให้เป็นแบบนั้นแน่!


“อาบก็อาบวะ!” ผมแหกปากสร้างความฮึกเหิม จากนั้นก็รีบถอดเสื้อกับกางเกงแล้วโยนออกไปด้วยท่าทางสุดเท่


ไงล่ะ! อึ้งไปเลยดิมึง! หึ!


“ปกติใส่บ็อกเซอร์อาบน้ำด้วยรึไง” แล้วหลังจากที่อึ้งไปสักแป๊บไอ้เอสก็พูดขึ้น ทีนี้ก็กลายเป็นผมแล้วล่ะที่อึ้งแดก นี่มันกะจะให้ผมถอดออกหมดเลยว่างั้น?


“มันจะดีหรอวะ จริงๆ กูก็ไม่ได้อยากอวดหรอกนะ แต่ก็กลัวมึงจะมีปมด้อยไงถ้าเห็นของของกู” ผมทำเป็นเชิ่ดหน้ามองเหยียดๆ ไอ้เอสเลยส่งเสียง ‘หึ’ ออกมา จากนั้นถอดกางเกงกับบ็อกเซอร์ออกโดยไม่พูดพล่ามทำเพลง!


เชี่ย! เชี่ย! เชี่ย! เยสเข้! เยสเป็ด! เยสครก! ถ้ากูหันหลังไม่ทันแล้วเป็นตากุ้งยิงมึงจะรับผิดชอบกูมั้ยไอ้เหี้ยยยยยยยยยย!


“หึ สงสัยคงจะเป็นมึงแล้วมั้งที่กลัวมีปมด้อย”


“อ้าวเฮ้ย! พูดงี้ก็สวยสิวะ!”


ณ จุดจุดนี้ ความองความอายต่างๆ นานาก็ช่างแม่งแล้ว ถอดหมดตัวสิครับรออะไร จะอายทำไมก็ผู้ชายเหมือนกัน ไอ้ที่มันมีผมก็มีเหมือนกันเพราะงั้นไม่จำเป็นต้องอาย!


“ขยับไป! กูจะเปิดน้ำ!” เสียงนี่เข้มหน้านี่เชิ่ดเหมือนว่าเก่งมาก แต่เปล่าหรอก กูไม่อยากมองต่ำ เดี๋ยวจะเห็นอะไรๆ ที่มันไม่ดีต่อใจกู


“หึหึ” ไอ้เหี้ยนี่ก็ขยันหัวเราะแบบนี้เหลือเกิ้นนนนน


“หัวเราะเชี่ยอะไรนักหนา!”


“มึงนี่เหมือนเด็กเลยนะ”


“อ้าวไอ้สัส! พูดงี้อยากมีเรื่องใช่มะ! จะบอกว่ากูเล็กหรอห้ะ!” อยากกระชากคอเสื้อแม่งจริงๆ แต่เสียดายที่ไม่มี


“กูหมายถึงนิสัยของมึงต่างหากที่เหมือนเด็ก อย่าร้อนตัวสิ”


“ไอ้...” เจ็บใจจริงโว้ยยยยยย! จะด่ามันว่าอะไรดี พูดอะไรไปเดี๋ยวก็หาว่าร้อนตัวอีก งั้นก็ช่างแม่งแล้วกัน


ผมสะบัดหน้าหนีเลิกสนใจไอ้เอส ไปสนใจเรื่องการรีบอาบน้ำให้เสร็จจะดีกว่า ว่าแต่ที่นี่มีของทุกอย่างให้ครบเลยแฮะ ทั้งสบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ยาสระผม ผ้าขนหนู เรียกได้ว่าถึงจะมาแบบฉุกละหุกก็ด้อนท์วอรี่ไม่มีปัญหา


แต่ว่าขอบ่นเรื่องนึงแล้วกัน คือสบู่ทำไมไม่เป็นสบู่เหลววะ สบู่ก้อนแทบไม่มีใครใช้กันแล้ว แถมก้อนแม่งก็เล้กเล็ก ใหญ่กว่ากล่องไม้ขีดนิดนึงเองมั้ง


ถามว่าบ่นแล้วใช้มั้ย?


ผมมีทางเลือกรึไงมันก็ต้องใช้นั่นแหละ ดีที่ให้มา 2 ก้อนเลยไม่ต้องแย่งกับไอ้เอส ไม่งั้นคงหมดแค่คืนนี้ไม่เหลือถึงตอนเช้ากันพอดี


เห็นบ่นเป็นวรรคเป็นเวรแบบนี้ แต่มือผมนี่รีบถูตัวใหญ่เลยนะ จะได้รีบๆ ออกไปจากห้องน้ำสักที เชิ่ดหน้านานหลายนาทีแล้วเนี่ยบอกเลยว่าโคตรเมื่อย


อ้าวเฮ้ยๆๆ บ่นอยู่ดีๆ ไอ้สบู่ไม่รักดีก็ดันลื่นหลุดมือซะงั้น แต่จะว่าลื่นมันก็ยังไงๆ อยู่ คือเหมือนมีคนมาปัดตกมากกว่า แต่ว่าผมคงจะหลอนไปเอง ไอ้เอสก็อาบน้ำของมันดีๆ ไม่ได้มายุ่งกับผมสักหน่อย


เอาเถอะ เรื่องสบู่ตกได้ยังไงมันไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะประเด็นหลักมันอยู่ตรงนี้...สบู่ตก


ดูคุ้นๆ ยังไงก็ไม่รู้เนอะ นี่ผมคิดไปเองรึเปล่าวะ? 


อึ่ก! จู่ๆ น้ำลายก็เกิดเหนียวขึ้นมา กลืนลงคอแทบไม่ลง แถมยังคิดไม่ตกด้วยว่าจะเอายังไงดี แต่ที่แน่ๆ คงจะต้องเก็บสบู่ก่อนสินะ


จะหันหลังก้มเก็บทั้งๆ แบบนี้?


โอ้โน้ววววววววว! นั่นมันท่าในตำนาน ถ้าผมทำมีหวังได้เสียเอกราชพอดี งั้นอย่างนี้ก็คงไม่มีทางเลือกอื่น หันหน้าเข้าหาไอ้เอสแล้วก้มเก็บแม่งเลย!


ฮ่าๆๆๆ กูนี่ฉลาดจริงๆ ท่าเก็บสบู่ในตำนานไม่มีทางได้แดกกูร้อกกกกก


พูดจริงๆ เลยนะ ตอนนั้นคือคิดจริงๆ ว่าตัวเองฉลาด แต่หลังจากนั้นไม่นานผมก็รู้สึกว่าตัวเองน่ะแม่งโคตรโง่เลย


ถามว่าทำไมน่ะหรอ?


ก็เพราะตอนที่เก็บสบู่เสร็จแล้วเงยหน้าขึ้นมา ผมก็เห็น หอ - รอ - รอ - มอ ของไอ้เอสเต็มๆ ตาเลยน่ะสิ!


“เหี้ยยยยยยยยยยยยย!”


เจอไอ้ของที่มันทั้งแข็งแล้วก็ใหญ่น้องๆ ตอร์ปิโดก็ร้องเสียงหลงดิผม เล่นเอาตกใจซะจนถึงกับหงายหลัง ไอ้เอสที่เห็นอย่างนั้นเลยรีบยื่นมือมาประคอง แต่เพราะความลื่นของสบู่หรือเพราะอะไรไม่รู้ ไอ้เอสก็ดันยืนไม่อยู่เสียหลักล้มไปพร้อมผมซะงั้น!


“โอ๊ย!”


แล้วประเด็นคือไม่รู้ว่าไปล้มอีท่าไหน ทำไมผมถึงได้นั่งคร่อมอยู่ที่ตักของไอ้เอสก็ไม่รู้ ท่าตอนนี้แม่งล่อแหลมและอันตรายกว่าตอนเก็บสบู่ไปอี้กกกกกกกกกกกก!


2BC


 :m18: สวัสดีค่า Soulmate ตอนที่ 9 ก็จบไปแล้ว ตอนนี้อาจจะสั้นนิดนึง แต่ก็คิดว่าน่าจะอมยิ้มหรือไม่ก็แอบหวีดในใจบ้างล่ะเนอะ แอร๊ยยยย  :-[
มาลุ้นกันนะคะว่าตอนหน้าจะเป็นยังไง กามเทพเป็นใจให้ขนาดนี้เอสจะปล่อยให้ซีหลุดไปมั้ยน้า  :impress2: ขอเวลาปั่นก่อนสัก 2 – 3 วันนะคะ หวังว่าทุกคนคงจะชื่นชอบตอนนี้กันน้า ถ้าหากชื่นชอบก็คอมเมนท์บอกกันหน่อยนะคะ เลิฟฟฟฟฟ  :กอด1:

ออฟไลน์ Y-Darkness

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

อ่าว   ตัดจบซะงั้น

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด