พิมพ์หน้านี้ - Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่ 23# เหตุเกิดจากความเมา [28.12.62]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: Sameejaejung ที่ 20-09-2019 21:25:26

หัวข้อ: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่ 23# เหตุเกิดจากความเมา [28.12.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Sameejaejung ที่ 20-09-2019 21:25:26
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

Soulmate วิญญาณป่วนรัก


ความตายเหมือนจะเป็นจุดจบ แต่สำหรับผมคือจุดเริ่มต้น

เพราะพระเจ้าเห็นใจที่ก่อนตายยังโสดและซิงมาตลอด 20 ปี

เลยให้เวลาผม 100 วันเพื่อพิชิตใจคนที่ชอบ

แต่ประเด็นคือผมตายไปแล้ว จะทำแบบนั้นไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร

สู้ทำให้เพื่อนรักของผมกับคนที่ผมชอบรักกันได้ดีกว่าเยอะ!


สารบัญ

บทนำ (https://bit.ly/2msV3ox)     ตอนที่ 1  (https://bit.ly/2mtywYA)     ตอนที่ 2  (https://bit.ly/2kxl3OR)     ตอนที่ 3  (https://bit.ly/2lvn8eN)     ตอนที่ 4  (https://bit.ly/2lI7Bbw)


 ตอนที่ 5  (https://bit.ly/2nNU3fb)     ตอนที่ 6  (https://bit.ly/2nNU3fb)     ตอนที่ 7  (https://bit.ly/2p20NH5)     ตอนที่ 8  (https://bit.ly/31aRkKQ)     ตอนที่ 9  (https://bit.ly/2VSgNaV)


 ตอนที่ 10  (https://bit.ly/2P7xWfc)     ตอนที่ 11  (https://bit.ly/32TmY0S)     ตอนที่ 12  (https://bit.ly/2N1baEk)     ตอนที่ 13  (https://bit.ly/36BkMNQ)     ตอนที่ 14  (https://bit.ly/2NYg0Bt)


 ตอนที่ 15  (https://bit.ly/2pjyx36)     ตอนที่ 16  (https://bit.ly/35awAFi)     ตอนที่ 17  (https://bit.ly/33ajp5M)     ตอนที่ 18  (https://bit.ly/2DmP2i9)     ตอนที่ 19  (https://bit.ly/35VVvgs)


 ตอนที่ 20  (https://bit.ly/35VVvgs)     ตอนที่ 21  (https://bit.ly/35limln)     ตอนที่ 22  (https://bit.ly/35FTR2w)     ตอนที่ 23  (https://bit.ly/363GAB6)







✿*゚¨゚Sameejaejung Fanpage *゚‘゚・✿ (https://www.facebook.com/sameejaejung2)      ✿*゚¨゚Sameejaejung Twitter *゚‘゚・✿ (https://twitter.com/Sameejaejung)

หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก บทนำ# จุดจบคือจุดเริ่มต้น [20.09.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Sameejaejung ที่ 20-09-2019 21:35:30
Soulmate วิญญาณป่วนรัก


Intro# จุดจบคือจุดเริ่มต้น


“ไอ้เต้ย! ระวัง!”


นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ได้ยิน ก่อนที่ร่างของผมจะถูกกระแทกอย่างจังจนลอยเคว้งคว้างในอากาศ จากนั้นก็ตกลงมาที่พื้นในสภาพเละเทะน่าอเนจอนาถ


เวลา 00.00 น. ผมถูกรถชนจมกองเลือดตายคาที่...


“ไอ้เต้ยยยยยยยยยยยย!” เสียงของซี เพื่อนสนิทที่สุดของผมร้องตะโกนสุดเสียง ก่อนที่มันจะรีบวิ่งมาที่ร่างไร้วิญญาณของผม กอดและเขย่าไปมาพร้อมกับร้องไห้อย่างน่าสงสาร


‘เสื้อตัวนี้มึงพึ่งไปถอยมานี่นา มากอดศพกูแบบนี้มันก็เปื้อนเลือดไปหมดน่ะสิ ถ้าเกิดซักไม่ออกจะทำยังไง’


ผมถามซี แต่ก็รู้แหละว่าซีไม่มีทางได้ยินอยู่แล้ว เพราะขนาดจะแตะตัวผมยังทำไม่ได้ มือของผมมันทะลุผ่านร่างของซีไป แหงล่ะ ก็ผมเป็นแค่วิญญาณนี่นา


“มึงลืมตาขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะไอ้เต้ย! ลืมตาขึ้นมา! เต้ย! ไอ้เต้ยยยยย!” ผ่านไปหลายนาทีแล้วแต่ซีก็ยังคงร้องไห้ เหมือนว่ามันรับความจริงที่เกิดขึ้นตรงหน้าไม่ได้ ไม่ว่าเพื่อนคนอื่นๆ จะเข้ามาพูดอะไรมันก็ไม่ยอมฟัง ผมอยากจะเข้าไปกอดแล้วก็ปลอบมันนะ แต่น่าเสียดายที่ตัวผมในตอนนี้ทำอะไรไม่ได้เลย


“เกิดอะไรขึ้น ใครเป็นอะไร” เสียงจากผู้ที่พึ่งมาใหม่ถามขึ้น เสียงทุ้มๆ และนิ่งๆ แบบนี้หรือว่าจะเป็น...


“เต้ยถูกรถชนว่ะเอส” หนึ่งในกลุ่มเพื่อนของผมตอบ ส่วนเอสคือคนที่ผมแอบชอบ ถึงแม้จะรู้สึกอายๆ อยู่ก็เถอะที่ต้องมานอนตายในสภาพอเนจอนาถให้เอสเห็น แต่อย่างน้อยแค่ได้เห็นว่าเอสทำหน้าเศร้าเสียใจ และได้เห็นหน้าหล่อๆ ของเอสเป็นครั้งสุดท้ายผมก็ดีใจแล้ว


แต่จะว่าไปการที่ผมเป็นวิญญาณแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ เนี่ย...จะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ เอสแค่ไหนก็ได้ จ้องหน้าหล่อๆ ได้นานเท่าที่จะพอใจ แถมยังทำท่ากอด ซบ ควงแขนได้ตามสบายอีกด้วย นี่ถ้าหากว่าผมสามารถแตะเนื้อต้องตัวเอสได้จริงๆ ล่ะก็ ผมคงสู่ขิตนิพพานตายอย่างสงบศพสีชมพูแน่นอน!


“แล้วนี่มีใครเรียกรถพยาบาลรึยัง” นอกจากจะหล่อแล้วเอสก็ยังมีสติที่สุดด้วยนะเนี่ย


“ยังเลยว่ะ พวกกูก็ทำอะไรไม่ถูก”


“งั้นเดี๋ยวกูจัดการให้” แล้วเอสก็โทรเรียกรถพยาบาล กำชับด้วยนะว่าด่วนมาก จะบวกเพิ่มเท่าไหร่ก็ยินดี โหยยย พอเห็นแบบนี้ผมก็ยิ่งรักยิ่งหลงเอสมากขึ้นน่ะสิ


ถามว่าผมกับเอสเป็นอะไรกัน?


ก็เป็นแค่เพื่อนกันนี่แหละ แถมยังไม่ได้สนิทอะไรมากมายด้วยซ้ำ ถึงแม้จะอยู่บ้านเดียวกันแต่นานๆ ทีจะได้คุยกัน เพราะเอสเป็นคนเงียบๆ นิ่งๆ พูดน้อย แถมไม่ค่อยจะกลับบ้าน ถ้ากลับบางทีก็จะดึกหรือเช้าไปเลย ก็นะ...ดาราดาวรุ่งก็งี้แหละ ก่อนนี้โด่งดังมาจากการเป็นนายแบบ ส่วนตอนนี้ช่องกำลังดันเป็นพระเอกละคร


เฮ้ออออ คิดแล้วก็เสียดาย ตายไปตอนนี้ก็อดดูละครเรื่องแรกของเอสเลยสิเนี่ย


การที่ผมกับเอสได้มาอยู่บ้านเดียวกัน ไม่สิ...ไม่ใช่แค่ผม ก็เพื่อนทั้งกลุ่มนั่นแหละที่อยู่บ้านเดียวกับเอส เพราะว่าพวกผมบังเอิญถูกเจ้าของบ้านเช่าเท ตอนแรกก็ตกลงกันซะดิบดีว่าจะให้พวกผมเช่า แต่ไปๆ มาๆ ก็ดันเทพวกผม บอกว่าจะให้หลานมาอยู่ซะงั้น ดีที่ตอนนั้นเอสผ่านมาเห็นเข้าพอดี คงจะพอคุ้นหน้าคุ้นตาพวกผมบ้างเพราะเรียนมหา’ลัยเดียวกันก็เลยชวนมาอยู่ด้วย


บ้านของเอสอยู่ในซอยเดียวกันกับบ้านที่พวกผมจะเช่า แต่อยู่ลึกจนสุดซอย ตัวบ้านมีทั้งหมด 4 ห้อง ของเอส 1 ห้องส่วนอีก 3 ห้องก็ให้พวกผมที่มี 6 คนแบ่งกันอยู่ ค่าเช่าบ้านไม่คิดแค่ขอให้ดูแลบ้านกับทำความสะอาดให้ก็พอ เรียกได้ว่านอกจากจะหล่อก็ยังใจดีมีเมตตาสุดๆ!


ซึ่งในขณะที่ผมกำลังเคลิบเคลิ้มและพร่ำเพ้อถึงเอสอยู่นั้น...


“ใครเป็นอะไรคะเอส” ชะนีน้อยนามว่าอีฟ ซึ่งเป็นแฟนของเอสก็เดินลงมาจากรถ โอ๊ย! หมดอารมณ์จะเพ้อ!


“เพื่อนผมโดนรถชน”


“อ๋อ นั่นใช่มั้ยคะ เลือดท่วมขนาดนั้นจะรอดมั้ยน่ะ” โอ้โห! นั่นปากเรอะ! ยัยอีฟทำหน้าสยองๆ ตอนมองมาที่ศพของผม


“อย่าพูดอะไรที่มันอัปมงคลได้มั้ย” ใช่ๆ เอสพูดถูก ถึงผมจะตายไปแล้วก็เถอะ แต่ยัยนี่คิดไม่ได้รึไงว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด


“อีฟก็แค่พูดตามสิ่งที่เห็น” ยัยอีฟยักไหล่ ถึงแม้พวกเพื่อนของผมจะพากันมองตาเขียวปั๊ดแต่ก็หาได้แคร์ไม่


“ผมว่าตอนนี้อีฟกลับไปก่อนเถอะ อยู่ไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร” พูดถูกใจกดไลก์รัวๆ!


“แต่นี่มันเที่ยงคืนแล้วนะ เอสจะให้อีฟกลับคนเดียวตอนนี้ได้ไง” ยัยอีฟเริ่มขึ้นเสียง ส่วนเอสก็ทำหน้าเอือมระอา


“เดี๋ยวผมเรียกแกร็บให้”


“อีฟไม่นั่ง!”


“งั้นก็เดินกลับ”


“เอส!”


“โว้ยยยยยยย! ไปทะเลาะกันที่อื่นไป๊!” นี่ไม่ใช่เสียงหรือความในใจของผม เพราะผมกำลังสะใจที่เห็นยัยอีฟกำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่คนที่หันมาเหวี่ยงใส่ก็คือซี พอเหวี่ยงเสร็จก็หันไปกอดศพผมแล้วร้องไห้ต่อ จะเป็นไบโพลาร์มั้ยน้อเพื่อนผม ส่วนยัยอีฟที่พอโดนเหวี่ยงแบบนั้นก็สะบัดบ็อบแล้วเดินหนีไปอีกทาง


ก็ไม่ได้อยากจะเผือกหรอกนะ แต่เห็นยัยอีฟที่หัวเสียหยิบโทรศัพท์ออกมาก็เลยขอแอบดูสักหน่อย เห็นกดโทรออกหาใครก็ไม่รู้เพราะไม่ได้บันทึกชื่อไว้


“ที่รัก มารับเค้าหน่อยได้มั้ย”


หืม? เดี๋ยวนะ...ที่รัก? ยัยนั่นเป็นแฟนของเอสแต่เรียกคนอื่นว่าที่รักนี่มันหมายความว่าไงวะ?


“อย่าให้พูดเลย เอสเคยสนใจอีฟที่ไหนกันล่ะ เตงรีบมานะ เดี๋ยวเค้าแชร์โลไปให้” แล้วยัยอีฟก็กดวางสาย จากนั้นก็กดแชร์โลเคชั่นที่อยู่ปัจจุบันไปให้ทางไลน์


ผมไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร แต่ที่แน่ๆ คือยัยอีฟกำลังสวมเขาให้เอสแน่นอน!


คนอย่างเธอกล้านอกใจเอส (ของผม) ได้ยังไงกันหา!


จังหวะนั้นเองเสียงไซเรนก็ดังขึ้น ก่อนที่รถพยาบาลจะมาจอดอยู่ตรงหน้า พวกพี่เขาทำงานกันเร็วมาก รีบพากันออกจากรถมาพร้อมกับเครื่องไม้เครื่องมือเพื่อมาช่วยชีวิตผม แต่ก็นั่นแหละ ไม่มีปาฏิหาริย์ พี่เขาบอกกับพวกเพื่อนผมว่าผมเสียชีวิตได้สักพักแล้ว


“ไม่จริง! ฮือออออ ไอ้เต้ยยยยย” ซีร้องไห้ฟูมฟายทันทีที่ได้ยินแบบนั้น จังหวะนั้นผมเลยพักเผือกเรื่องยัยอีฟแล้วจะไปปลอบซี ถึงแม้จะทำอะไรไม่ได้แต่อย่างน้อยได้อยู่ข้างๆ ก็ยังดีล่ะนะ แต่อยู่ดีๆ ก็มีใครก็ไม่รู้หน้าตาดุดันน่ากลัวตัวดำมาขวางผมเอาไว้


“ข้ามารับวิญญาณของเจ้า” โอ้มายก็อด! ยมทูตหน้าตาเป็นยังไงในที่สุดผมก็ได้เห็นสักที!


“มะ...มารับวิญญาณผม ตอนนี้เลยหรอครับ”


“ใช่”


“คือ...ผมขออยู่ต่ออีกหน่อยได้มั้ยครับท่าน ยังมีอะไรที่ผมต้องทำอีกหลายอย่างเลย” ไหนจะเป็นห่วงเพื่อน ไหนจะเผือกเรื่องยัยอีฟ ไหนจะต้องหาทางบอกให้เอสรู้ว่าโดนสวมเขา แล้วก็เรื่องอีกร้อยแปดพันเก้า เพราะงั้นผมยังไปเกิดหรือไปชดใช้กรรมตอนนี้ไม่ได้หรอกนะ


“ไม่ได้ เวลาของเจ้าได้หมดลงแล้ว”


“แต่ท่านยม...”


“ถ้าหากเจ้าไม่ยอมไปดีๆ เห็นทีข้าคงต้องใช้กำลัง” โดยที่ยังไม่ทันจะได้ถามอะไร ก็มีลำแสงสีแดงเหมือนเชือกมารัดที่ข้อมือทั้งสองของผมเอาไว้ด้วยกันซะแล้ว!


ด้วยความตกใจในความแสบร้อน ผมเลยร้องลั่นแล้วสะบัดข้อมืออย่างแรงจนมันขาดกระจาย...โอ๊ะ! นี่ผมไม่ได้ตาฝาดใช่มั้ย? เชือกขาดไปแบบนี้ก็แสดงว่าผมเป็นอิสระแล้วน่ะสิ!


“ทำไมเจ้าถึง...” ท่านยมเหมือนจะงงๆ อย่าว่าแต่ท่านเลย เพราะผมก็งงเหมือนกัน แต่จังหวะนี้ผมจะมัวงงต่อไปไม่ได้ ผมต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองอยู่ต่อให้ได้เพราะมีหลายเรื่องที่ต้องจัดการ!


“ได้โปรดเห็นแก่วิญญาณที่ยังโสด ซิง ไม่เคยมีแฟนมาตลอด 20 ปีเถอะนะครับท่านยม ขอให้ผมได้อยู่ต่อเพื่อช่วยคนที่ผมชอบ เขาเป็นคนดี แต่กำลังถูกชะนีสวมเขา ขอให้ผมได้บอกเขาแล้วก็กำจัดชะนีนั่นให้ออกจากชีวิตของเขาไปเถอะนะครับ ไม่อย่างนั้นผมคงมีห่วงนอนตายตาไม่หลับ ไหนจะห่วงเรื่องเพื่อนที่ยังทำใจเรื่องผมไม่ได้ ผมอยากไปบอกลาพวกนั้นสักหน่อย เพราะงั้นได้โปรดให้ผมอยู่ต่อด้วยเถอะนะครับ นะๆๆ น้าาาา ผมขอร้อง...” ผมคุกเข่าพนมมือไหว้พร้อมทำตาปริบๆ ถ้าหากเทวดามีจริงได้โปรดช่วยลูกช้างด้วยเทอญญญญ


“ก็ได้”


“เอ๊ะ?” นี่ผมฟังผิดรึเปล่า? เมื่อกี้ท่านยมบอกผมว่าก็ได้จริงๆ ใช่มั้ย!


“ข้าได้รับบัญชาจากเบื้องบนว่าให้เวลาเจ้าอยู่ต่อ ระหว่างนี้เจ้าสามารถทำได้ทุกอย่างในขอบเขตพลังของเจ้า หากต้องการบอกลาเพื่อนหรือผู้ใดก็แค่เข้าฝัน แต่หากต้องการพิชิตใจคนที่เจ้ารักนั้นเกรงว่าจะทำไม่ได้ เพราะเจ้าไม่สามารถสัมผัสร่างกายมนุษย์ แต่จะสัมผัสได้เพียงสิ่งของ ซึ่งก็ไม่ยากเพียงแค่รวบรวมสมาธิเท่านั้น”


พอได้ยินแบบนั้นผมก็เลยลองหลับตาทำสมาธิ จากนั้นก็ลืมตาแล้วลองใช้มือสัมผัสก้อนหินเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ๆ...อุ๊ต๊ะ! ผมสามารถทำได้จริงๆ ด้วย!


“เจ้าสามารถอยู่ต่อได้จนกว่าจะถึงกำหนดทำบุญ 100 วันเท่านั้น พอครบกำหนดแล้วจะไม่มีการผ่อนปรนให้เจ้าอีกเด็ดขาด และถ้าหากตอนนั้นเจ้ายังคงดื้อดึงที่จะอยู่ต่อ เบื้องบนก็ให้สิทธิ์ข้ากำจัดวิญญาณของเจ้าได้ในทันที” พูดถึงตรงนี้หน้าของท่านยมก็เหี้ยมเกรียมขึ้นมาอีกเท่าตัว


อูยยยย แค่หน้าปกติผมก็กลัวจะตายอยู่แล้วครับท่าน


“ขอบคุณท่านยมมากๆ เลยนะครับที่เมตตาวิญญาณตัวน้อยๆ อย่างผม ผมสัญญาครับว่าจะไม่ดื้อไม่ซน ครบกำหนดแล้วจะยอมไปกับท่านแต่โดยดีเลยครับ” ผมพนมมือไหว้พร้อมกับยิ้มแฉ่ง ส่วนท่านยมก็พยักหน้าแล้วก็หายตัวไปกับสายลม


มีเวลาอยู่ที่โลกต่ออีกประมาณ 100 วัน จะว่าสั้นก็สั้น จะว่ายาวก็ยาว ระหว่างนี้ผมก็จะพยายามเต็มที่เพื่อสะสางห่วงที่ผมมี โดยเฉพาะเรื่องของเอสกับยัยอีฟ ผมต้องหาทางบอกให้เอสรู้ว่ากำลังถูกยัยนั่นสวมเขา


จะว่าไปแค่บอกเฉยๆ ไม่พอหรอก ผมว่าผมต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อกำจัดยัยนั่นออกจากชีวิตของเอส แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ ผมจะหาคนดีๆ ที่คู่ควรและเหมาะสมให้ด้วยเลยแล้วกัน ส่วนจะเป็นใครนั้น...


อุ๊ต๊ะ! ทำไมผมถึงพึ่งเห็นโมเมนต์ของสองคนนี้ เอสกับซีนี่มันคือคู่ที่ลงตัวมาก ยิ่งยืนอยู่ข้างๆ กันแบบนี้นี่ยิ่งใช่ คนหนึ่งพูดน้อยเงียบขรึมส่วนอีกคนก็ปากร้ายขี้โวยวาย ความต่างที่ลงตัวแบบนี้เคมีมันได้สุดๆ เลยอะ!


เอาล่ะ ภารกิจ 100 วัน ผมจะต้องทำให้เพื่อนรักของผมกับคนที่ผมชอบรักกันให้ได้!


2BC


สวัสดีค่าทุกคน หลังจากที่เราพักงานเขียนอยู่นาน ในที่สุดก็มีเวลามาเปิดเรื่องใหม่สักที เย่!  :a9:
ถึงจะเห็นบทนำเป็นวิญญาณของเต้ยมาบรรยาย แต่ความจริงแล้วพระนายของเรื่องนี้คือเอสกับซีนะคะ จะมีใครงงมั้ยน้า 55555  :laugh3:
เริ่มเรื่องมาก็มีคนตายซะแล้ว หลายคนอาจจะคิดว่าเรื่องนี้จะออกแนวดราม่า ไม่เลยค่ะ เรื่องนี้มาแนวสายฮาบ้าๆบอๆมากกว่า แล้วก็ไม่ต้องกลัวนะคะว่าผีเรื่องนี้จะน่ากลัว เพราะผีเรื่องนี้อะน่าร้ากกก คิดซะว่าเป็นกามเทพแทนก็ได้ค่ะ อิอิ  :impress2:
ยังไงก็ขอฝากทุกคนติดตามกันต่อด้วยนะคะ เราจะพยายามมาลงวันเว้นวัน และจะลงให้ครบ 100% ไม่แบ่งครึ่ง คิดว่าคงจะทำให้อ่านได้อย่างจุใจมากกว่า แล้วเจอกันตอนหน้านะคะทุกคน ถ้าอ่านแล้วชื่นชอบก็คอมเมนท์เป็นกำลังใจให้เค้าด้วยน้า จุ๊บบบบบ  :จุ๊บๆ:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก บทนำ# จุดจบคือจุดเริ่มต้น [20.09.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Y-Darkness ที่ 20-09-2019 23:19:54
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก บทนำ# จุดจบคือจุดเริ่มต้น [20.09.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 21-09-2019 00:13:09
โถๆๆๆ ตัวตายแต่ก็ยังทำให้เพื่อนสมหวังเนอะ
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก บทนำ# จุดจบคือจุดเริ่มต้น [20.09.62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 21-09-2019 00:28:06
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่1# อุบัติเหตุ [21.09.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Sameejaejung ที่ 21-09-2019 22:41:18
Soulmate วิญญาณป่วนรัก


Part1# Z อุบัติเหตุ


“ปิดเทอมแล้วโว้ยยยยยย!” ผมเดินออกมาจากห้องสอบพร้อมกลุ่มเพื่อนตะโกนขึ้นด้วยความดีใจ


เป็นไทแล้วคร้าบ ปิดเทอมใหญ่สักที ต่อจากนี้ก็ไม่ต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าไปเรียน ปั่นงานจนแทบไม่มีเวลานอน และอ่านหนังสือจนหามรุ่มหามค่ำอีกต่อแล้ว ชีวิตดีๆ ที่มีอิสระเสรีกำลังรอผมอยู่ เย่!


“พวกมึงมีแพลนจะไปไหนกันเปล่าวะ” ผมถามเดอะแก๊งขณะที่พวกเรากำลังเดินไปขึ้นรถเพื่อกลับบ้านที่อาศัยอยู่ด้วยกัน


แก๊งของผมมีกันทั้งหมด 6 คน ก็จะมีผม ไอ้เต้ย ไอ้เก่ง ไอ้เสือ ไอ้อาร์ท แล้วก็ไอ้หลินซึ่งเป็นผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียว แต่พวกผม (ยกเว้นไอ้อาร์ทที่เป็นแฟนมัน) ก็ไม่ค่อยเห็นมันเป็นผู้หญิงเท่าไหร่หรอกนะ ฮ่าๆๆๆ


ด้วยความที่มีนิสัยเกรียนๆ และบ้าๆ บอๆ ล่ะมั้งพวกผมเลยสนิทกันมาตั้งแต่ปี 1 พอขึ้นปี 2 เลยตกลงกันว่าไปเช่าบ้านอยู่ด้วยกันดีกว่า เพราะนอกจากจะประหยัดแล้วยังสะดวกต่อการทำอะไรหลายๆ อย่าง แน่นอนว่าเรื่องเรียนก็ใช่ แต่เรื่องเฮฮาปาร์ตี้นี่เรื่องใหญ่กว่า


ไม่รู้จะเรียกว่าดวงดีหรือดวงตกที่ถูกเจ้าของบ้านเช่าเท พวกผมเลยได้มาอยู่บ้านของไอ้เอสฟรีๆ โดยไม่ต้องเสียเงินสักบาท คือไอ้ดีมันก็ดีอยู่หรอก แต่ผมรู้สึกอึดอัดนิดหน่อยเพราะไอ้เจ้าของบ้านมันดูไม่ค่อยเป็นมิตรนี่แหละ พูดก็น้อย อัธยาศัยก็แย่มาก แถมยังชอบทำหน้านิ่งอย่างกับรูปปั้น เป็นดาราแล้วต้องเก๊กรึไงวะ เห็นแล้วรู้สึกหงุดหงิดไม่ค่อยถูกชะตายังไงไม่รู้


ดีที่ 2 – 3 วันผมถึงจะเจอหน้ามันเพราะมันไม่ค่อยกลับบ้าน หรือกลับก็ไม่รู้แต่ดึกมากไม่ก็เช้ามากจนผมไม่เจอ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันไปนอนที่ไหน แต่ไม่กลับบ้านบ่อยๆ น่ะดี ไม่งั้นผมคงอึดอัดตายห่าที่ต้องอยู่บ้านหลังเดียวกับมัน


บ้านหลังนี้มีทั้งหมด 4 ห้อง ห้องหนึ่งเป็นของไอ้เอสที่เป็นเจ้าของบ้าน ส่วนอีก 3 ห้องพวกผมก็แบ่งกันอยู่ ผมสนิทกับไอ้เต้ยที่สุดเลยอยู่ด้วยกัน ไอ้เก่งกับไอ้เสือที่สนิทกันที่สุดก็ด้วย ส่วนอีกห้องก็แน่นอนว่าต้องเป็นไอ้อาร์ทกับไอ้หลินอยู่แล้วอะนะ


“กูว่าจะอยู่ที่นี่แหละ เดี๋ยวจะหางานพิเศษทำ ไม่อยากกลับไปอยู่กับป้า เกรงใจน่ะ” ไอ้เต้ยพูด คือพ่อแม่ของมันเสียนานแล้ว ป้าเลยรับมาเลี้ยงเพราะไม่อยากให้ไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่ฐานะทางบ้านก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มันเลยไม่อยากรบกวนให้ลำบากมากกว่านี้


“งั้นเดี๋ยวกูอยู่เป็นเพื่อน” ผมกอดคอไอ้เต้ย คือกลัวมันเหงาอะใช่ แต่ก็ขี้เกียจกลับบ้าน อยากใช้ชีวิตอิสระที่นี่ด้วยเหมือนกัน


“แล้วพ่อแม่มึงจะไม่ว่าอะไรรึไงไอ้ซี”


“ไม่ว่าหรอกน่า แต่คงต้องกลับไปให้เห็นหน้าสักอาทิตย์ มึงก็ไปกับกูด้วยดิ” พอผมพูดแบบนี้ไอ้เต้ยมันเลยหรี่ตาลง


“จะดีเร้อ เดี๋ยวพ่อแม่มึงรักกูมากกว่าจะมางอแงไม่ได้นะ”


“แสรดดดด ถ้าคิดว่าทำได้ก็ลองดู” กวนตีนฉิบหายเลยไอ้นี่ น่าหมั่นไส้จริงๆ ผมเลยขยี้หัวมันจนฟูฟ่อง มันตัวเตี้ยกว่าผมเลยขยี้ได้มันมือจัด จนเมื่อหนำใจแล้วนั่นแหละผมถึงหันไปถามไอ้พวกที่เหลือต่อ


“แล้วพวกมึงอะยังไง”


“กูก็จะอยู่นี่แหละ ขี้เกียจกลับไปให้คุณนายที่บ้านบ่น” คุณนายที่ไอ้เก่งว่าก็แม่มันนั่นแหละ


“ดีๆ งั้นเดี๋ยวอยู่เตะบอลเล่นเกมกันที่นี่ ปิดเทอมแล้วอยู่ได้ยันหว่าง”


“จัดไปไอ้เสือ” แล้วไอ้เก่งกับไอ้เสือก็เอากำปั้นชนกัน ท่าทางบ้านที่คิดว่าจะเงียบเหงาเพราะปิดเทอมคงจะยิ่งครึกครื้นมากกว่าเดิมซะแล้ว


“ส่วนพวกมึงกูคงไม่ต้องถามมั้ง” ผมพูดในขณะที่กำลังมองไอ้อาร์ทกับไอ้หลินที่ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋ ถ้าจะขนาดนี้ไม่สิงร่างกันเลยล่ะแหม่


“ก็ดี กูก็ขี้เกียจตอบ” ไอ้หลินหันมาพูดด้วยเสียงหนึ่งกับผม ก่อนจะหันไปพูดเสียงสองกับไอ้อาร์ท “เดี๋ยวเราหาเวลาไปเที่ยวทะเลกันด้วยเนอะเตง”


“ได้เลยคนสวย เตงอยากไปไหนเค้าพาเตงไปได้ทุกที่เลย”


“ใครก็ได้หาถุงมารองอ้วกกูที” ผมกลอกตามองบน พออยู่ด้วยกันนี่งุ้งงิ้งมุ้งมิ้ง เตงอย่างนั้น เค้าอย่างนี้จนผมอยากจะอ้วก ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมคนมีแฟนชอบเป็นอย่างนี้ หรือต้องมีก่อนผมถึงจะเข้าใจ?


พวกผมเดินคุยกันไปไม่นานก็ถึงรถของไอ้อาร์ท มันเป็นคนเดียวในกลุ่มที่มีรถขับ เพราะงั้นพวกผม 6 คนเลยต้องจำใจยัดกันอยู่ในรถเพื่อไป – กลับบ้าน – มหา’ลัย แต่เอาจริงๆ ใช้คำว่ายัดก็ดูจะเวอร์ไปหน่อย คือมันก็ไม่ได้เบียดมากมายขนาดนั้นหรอก เพราะไอ้หลินกับไอ้เต้ยมันตัวเล็กเลยนั่งข้างหลังกับผมแล้วก็ไอ้เก่ง ส่วนไอ้เสือที่ตัวบิ๊กเบิ้มก็ไปนั่งคู่กับไอ้อาร์ทคนขับที่เบาะหน้า


“สอบเสร็จทั้งทีคืนนี้ไปเมากันหน่อยมะ?” ไอ้เก่งชวน พวกผมที่ไม่มีแอลกอฮอล์ลงท้องมานานแล้วเลยรีบพากันพยักหน้า


“มีร้านดีๆ สาวแหล่มๆ เปล่าวะ” ไอ้ผมมันก็หนุ่มโสด คนคุยก็พอมีแต่ยังไม่เจอที่ถูกใจเลยยังไม่ได้คบกับใครเลยสักคน


“มีๆ ก็ร้านนั้นไงที่กูกับไอ้เสือไปตอนก่อนจะสอบ แต่ละคนนี่ขาว อวบ อึ๋ม เซ็กซี่สุดยอด” พูดอย่างเดียวคงกลัวผมไม่เชื่อ ไอ้เก่งแม่งเลยเอามือลูบไล้สรีระตัวเองแล้วทำหน้าเซ็กซี่ประกอบ แต่ทานโทษเถอะ กูสยองจนขนลุกหมดแล้วสัส!


“พอๆๆ ก่อนที่กูจะหดไปมากกว่านี้ แล้วร้านนี่อยู่ไกลมั้ย”


“ไม่เท่าไหร่ แต่อยู่ติดถนนเส้นหลัก ที่จอดรถเลยน้อยต้องรีบไปนิดนึง”


“งั้นกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรีบออกไปกัน” ไม่ค่อยรีบเท่าไหร่เลยผม แต่ก็ไม่มีใครค้านอะไรนะ ก็แหม...อดอยากปากแห้งทั้งเหล้าทั้งอาหาร (ตา) กันมานาน ถึงคราวปล่อยผีปลดปล่อยอารมณ์ให้เต็มที่กันสักที


แต่แทนที่พอถึงบ้านแล้วจะได้รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างที่คุยกัน คือหลังจากจอดรถได้ไม่ถึงนาทีไอ้เอสก็ขับรถตามเข้ามา ไอ้พวกเพื่อนผมมันก็อัธยาศัยดีมีมารยาท เลยพากันยืนรอเพื่อที่จะได้ทักทายไอ้เอส


เฮ้ออออ มันใช่เรื่องมั้ยสาดดดดด


“ไงเอส ไม่เจอกันตั้งหลายวัน นี่พึ่งสอบเสร็จหรอ”


“อืม” ดู๊ดูมัน ไอ้เก่งพูดไปตั้งยาวแต่มันดันตอบกลับมาคำเดียว แม่งกลัวดอกพิกุลจะร่วงจากปากรึไงวะ


“พวกกูก็พึ่งสอบเสร็จเหมือนกัน นี่เลยว่าจะไปฉลองกันสักหน่อย ไปกับพวกกูเปล่า” ก็รู้หรอกนะไอ้เก่งว่ามึงอะพูดมาก พูดเป็นต่อยหอย พูดจนลิงหลับ แต่คือมึงไม่ต้องพูดมากกับทุกคนก็ได้มั้ง โดยเฉพาะกับไอ้ขี้เก๊กนี่


“นั่นสิ ไปด้วยกันนะเอส ไปกันเยอะๆ สนุกดี” ไอ้เต้ยนี่ก็เหมือนกัน ชอบไปเสวนากับไอ้เอสจังเลย เป็นอะไรมากมั้ยเฮ้ยฮัลโหลลลล


“กูต้องไปถ่ายละครต่อ”


เหอะ! ก็ไม่รู้ว่ามันพูดจริงหรือแค่ข้ออ้างไม่อยากไปกับพวกผม แต่ก็ดี เพราะผมก็ไม่ได้อยากให้มันไปด้วยเหมือนกัน


“ว้า เสียดายจัง แต่ถ้าเลิกเร็วก็ตามมานะ ร้านอยู่ไหนนะไอ้เก่ง” ให้ตายสิ ยังจะดันทุรังอีกนะไอ้เต้ย ส่วนไอ้เก่งก็เหมือนกัน บอกชื่อร้านแถมทางไปให้ซะเสร็จสรรพ นี่พวกมึงดูกันไม่ออกหราว่ามันไม่อยากไปด้วย!


“ถ้าเสร็จไม่ดึกมากเดี๋ยวกูตามไป” เหอะ! ตอบแค่เอาหล่อเฉยๆ แหละผมว่า


“แล้วเจอกันนะ”


“อืม”


“รีบไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้วน่า” แล้วผมก็รีบกอดคอพาไอ้เต้ยเข้าบ้านไปเลย ขืนปล่อยเอาไว้เรื่อยๆ คงจะคุยกันยาวกว่านี้ ส่วนไอ้พวกที่เหลือพอเห็นผมกับไอ้เต้ยเข้าบ้านก็พากันตามเข้ามาเหมือนกัน


“เฮ้ออออ อยากให้เอสไปด้วยจัง” พอเข้ามาในห้องไอ้เต้ยก็ทำหน้าหงอยเป็นหมาเหงาเลย


“ดีแล้วที่มันไม่ไป บรรยากาศอึมครึมตายห่าพอดี”


“แหม มึงก็พูดเกินไป”


“เกินไปที่ไหน อยู่บ้านด้วยกันมาเกือบปี กูกับมันเคยพูดกันรวมๆไม่ถึงนาทีเลยมั้ง”


นี่ผมพูดจริงๆ ไม่ได้เวอร์เลยนะ คือคนบ้าอะไรพูดน้อยฉิบหาย แถมยังชอบทำหน้าตายเหมือนคนไร้ความรู้สึก อยากรู้จริงๆ ว่านิสัยแบบนี้แม่งเป็นดาราได้ยังไง ปกติอาชีพแบบนี้ต้องยิ้มแย้มแจ่มใสไม่ใช่เรอะ หรือว่าจุดขายของมันคือความเย็นชาหน้าตาย?


เห็นผมพูดจนเกือบจะเป็นด่าแบบนี้ ก็ไม่ใช่ว่าผมเกลียดอะไรไอ้เอสนักหนาหรอกนะ จริงๆ มันก็คงจะเป็นคนดีอยู่นั่นแหละ ไม่งั้นคงไม่ยอมให้พวกผมมาอยู่ที่บ้านด้วยฟรีๆ แต่ว่าผมก็แค่หมั่นไส้ในความขี้เก๊ก ชอบวางมาดของมันเฉยๆ


“เอสเขาก็เป็นคนขรึมๆ จะพูดน้อยก็เรื่องปกติแหละน่า”


“เอาเข้าไป เป็นแฟนคลับมันรึไงชอบแก้ตัวให้มันอยู่เรื่อย” ไอ้เต้ยแค่ยักไหล่ไม่ตอบอะไร ผมที่ขี้เกียจจะคุยเรื่องของไอ้เอสแล้วเลยคว้าผ้าเช็ดตัวไปอาบน้ำซะเลย


ประมาณ 1 ชั่วโมงพวกผมก็พากันออกจากบ้าน ตอนออกมาก็ไม่เห็นรถของไอ้เอสแล้ว แต่มันจะไปไหนใครสนกันล่ะ แค่อย่าโผล่มาตอนที่พวกผมกำลังสนุกกันก็พอ


เมื่อไปถึงร้าน ตอนแรกแต่ละคนก็ยังกลัวๆ กล้าๆ กินแต่อาหารแล้วก็โยกไปตามเพลงเบาๆ แต่พอเหล้าเข้าปากเท่านั้นแหละ โอ้โห แดนซ์กันกระจาย สนุกสุดเหวี่ยงกันจนลืมเหนื่อย ยิ่งไอ้เก่งกับไอ้เสือนะ สองตัวนั้นแม่งดีดกันเกินเบอร์มาก ยิ่งต่อหน้าสาวๆ นี่ยิ่งใส่เกินร้อย


ถามว่าหลังจากนั้นเป็นไง?


ยังไม่เที่ยงคืนก็พากันมาอ้วกอยู่หน้าร้านกันน่ะสิ!


“โอ้กกกกกกกกก แหวะ!”


“ไหวเปล่าเฮ้ยพวกมึง” ให้ตายสิ แทนที่จะได้นั่งมองของสวยๆ งามๆ ในร้าน ทำไมผมต้องได้มามองแผ่นหลังของไอ้เพื่อนเวร 2 ตัวด้วยเนี่ย


“หวาย...กูหวาย...แค่นี้สบาย...โอ้กกกกก!” ยังไม่ทันไรก็อ้วกออกมาละ ไม่เห็นเก่งเหมือนชื่อเลยนะมึง


“พวกมันเป็นไงบ้างซี” ไอ้เต้ยที่เดินออกมาจากร้านถามผม ท่าทางของมันดูมึนหน่อยๆ คออ่อนจริงๆ ทั้งที่กินไปแค่ 2 แก้ว


“อย่างที่เห็นอะ พูดแทบไม่รู้เรื่อง ยืนแทบไม่ได้” อนาถฉิบหายเลยเพื่อนกู


“ไอ้หลินก็ไม่ต่างกัน นั่นก็เรื้อนจนไอ้อาร์ทแทบจะเอาไม่อยู่ละ” ดีจริงๆ เพื่อนกูแต่ละคน สงสารก็แต่ไอ้อาร์ท แดกเหล้าไม่ได้เพราะต้องคอยคุมแฟนแล้วก็ต้องขับรถให้เพื่อน


“งั้นกลับกันเลยมั้ย มึงว่าไง”


“กลับเลยก็ดี เดี๋ยวเมาแล้วไปมีเรื่องกับใครนี่แย่เลย”


“นั่นดิ งั้นมึงไปตามไอ้อาร์ทกับไอ้หลินนะ เดี๋ยวกูจะพาไอ้เก่งกับไอ้เสือไปที่รถก่อน”


“โอเค” ไอ้เต้ยพยักหน้าแล้วก็เดินเข้าไปในร้าน ส่วนผมก็จัดการพาไอ้เสือกับไอ้เก่งไปที่รถ


แต่เนื่องจากต้องข้ามถนนที่มี 4 เลนมันเลยลำบาก ผมต้องพาไอ้เสือที่ตัวเท่าควายข้ามไปก่อน ส่วนไอ้เก่งที่ตัวพอๆ กับผมค่อยพามันข้ามมาทีหลัง นี่ถ้าไม่มัวแต่เสียเวลาคุยกับไอ้เอสคงได้จอดรถตรงที่จอดดีๆ แล้วแท้ๆ ยิ่งวันสอบเสร็จแบบนี้ยิ่งต้องรีบมาเร็วๆ คิดแล้วก็เซ็งที่ต้องข้ามฟากไปหาที่จอดในซอย


 “พวกมึงยืนกันดีๆ เป็นมั้ยเนี่ย เอะอะไหลๆ ชาติก่อนเกิดเป็นปลาไหลรึไงสัส” ก็รู้หรอกว่าบ่นไปก็เหมือนสีซอให้ควายฟัง เมาเยี่ยงหมาแบบนี้พวกมันไม่รู้เรื่องหรอก แต่ผมก็อดที่จะบ่นไม่ได้อยู่ดี


พอบ่นให้ไอ้พวกนี้เสร็จผมก็เห็นไอ้อาร์ทกำลังอุ้มไอ้หลินในท่าอุ้มเจ้าสาวรอข้ามฟากมา เหยดดดด นี่นึกภาพออกเลยว่าก่อนออกจากร้านคนจะมองขนาดไหน ใจมึงโคตรได้เลยว่ะเพื่อน


ส่วนไอ้เต้ยมันก็ยืนอยู่ด้านหลังสองคนนั้น กำลังรอข้ามถนนมาเหมือนกัน จนเมื่อได้จังหวะเพราะรถฝั่งที่จะตรงมาติดไฟแดง ถนนโล่งแล้วพวกมันก็เลยเดินข้ามมา โดยที่ไอ้อาร์ทกับไอ้หลินที่ถูกอุ้มอยู่มาถึงก่อน ส่วนไอ้เต้ยไม่รู้มันมึนหรือกำลังเหม่ออะไรเลยยังเดินมาไม่ถึงสักที


“รีบเดินมาสิวะไอ้เต้ย มัวชักช้าอะไรอยู่เนี่ย” ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง รู้สึกเป็นห่วงมันยังไงก็ไม่รู้บอกไม่ถูก เพราะงั้นผมเลยจัดการทิ้งไอ้เสือกับไอ้เก่งให้กองอยู่ที่ฟุตบาท แล้วตั้งใจจะไปรับไอ้เต้ยที่ยืนมึนๆ งงๆ อยู่กลางถนน


แต่จังหวะที่กำลังจะวิ่งไป ผมก็เห็นรถบรรทุกคันหนึ่งได้ฝ่าไฟแดงขับตรงมาด้วยความเร็วสูง ก็ไม่รู้ว่าคนขับเมาหรือว่าหลับใน ทั้งๆ ที่ไอ้เต้ยกำลังข้ามถนนมาแต่คนขับก็เหมือนว่ามองไม่เห็น รถยังพุ่งตรงมาไม่มีการเบรกหรือชะลอลงเลยแม้แต่น้อย


“ไอ้เต้ย! ระวัง!” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ก็ไม่ทันแล้ว เพียงแค่เสี้ยววินาทีร่างของไอ้เต้ยก็ถูกชนอย่างจังจนกระเด็นไปต่อหน้าต่อตา
จังหวะนั้นภาพที่ผมเห็นทุกอย่างมันก็ช้าไปหมด ราวกับว่าเวลาได้เดินช้าลงสัก 10 เท่า ทำให้ผมเห็นร่างของไอ้เต้ยมันลอย

เคว้งคว้างในอากาศ จากนั้นก็ตกลงมาที่พื้นอย่างแน่นิ่ง โดยที่มีเลือดค่อยๆ ไหลซึมออกมาจนแผ่กระจายเป็นวงกว้าง


เสียงกรี๊ดจากคนที่อยู่บริเวณนั้นดังขึ้น ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่รถบรรทุกหยุดชะงัก คนขับที่ดูเหมือนว่าจะหลับในก็ค่อยๆ ลงมาจากรถด้วยสีหน้าอึ้งๆ ส่วนพวกเพื่อนของผมที่ก่อนนี้เมาจนแทบหัวทิ่มก็พากันช็อกจนสร่างทันที


“ไอ้เต้ยยยยยยยยยยยย!” เมื่อตั้งสติได้ผมก็ร้องตะโกนสุดเสียง ก่อนจะรีบวิ่งไปกอดร่างที่นอนแน่นิ่งของไอ้เต้ยพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพรากลงมาอย่างไม่ขาดสาย


ตอนนี้ผมไม่สนใจแล้วว่าเสื้อที่พึ่งซื้อมาใหม่จะเปื้อนเลือดจนซักออกมั้ย ผมแค่อยากให้ไอ้เต้ยมันลืมตาขึ้นมาหรือขยับตัวสักนิด แต่ไม่ว่าผมจะเรียกหรือเขย่าเท่าไหร่ มันก็ยังคงนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่เหมือนเดิม


“มึงลืมตาขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะไอ้เต้ย! ลืมตาขึ้นมา! เต้ย! ไอ้เต้ยยยยย!”


ผ่านไปหลายนาทีแล้วแต่ผมก็ยังคงร้องเรียกไอ้เต้ยทั้งน้ำตา ไอ้พวกเพื่อนๆ เลยพากันเดินเข้ามาปลอบผมและพูดให้กำลังใจต่างๆ นานา แต่ว่าผมก็แทบไม่รับรู้ไม่ได้ยินอะไรเลย


“เกิดอะไรขึ้น ใครเป็นอะไร” เหมือนจะมีใครสักคนเดินมาถามพวกเพื่อนของผม เสียงของคนคนนั้นฟังดูคุ้นๆ แต่ว่าผมก็นึกไม่ออกแล้วก็ไม่ได้สนใจด้วย จนกระทั่งเขาเริ่มจะมีปากเสียงกับผู้หญิงที่มาด้วยนั่นแหละ ผมก็รู้สึกรำคาญจนทนไม่ไหว


“โว้ยยยยยยย! ไปทะเลาะกันที่อื่นไป๊!”


พอด่าเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมาดู...เหอะ! ไอ้เอสกับแฟนของมัน มาทะเลาะกันทำเหี้ยอะไรตรงนี้ ไม่แหกตาดูสถานการณ์บ้างเลยรึไง โดยเฉพาะแฟนของมันที่ท่าทางจะไม่มีความเป็นคนหลงเหลืออยู่เลย


แล้วหลังจากนั้นสักพักเสียงไซเรนก็ดังขึ้น ก่อนที่รถพยาบาลจะมาจอดอยู่ตรงหน้าของผม ทันทีที่เห็นสภาพของไอ้เต้ยพวกพี่เขาก็รีบขนเครื่องไม้เครื่องมือออกมาช่วยชีวิตของมัน ส่วนผมก็ถอยมาเกาะกลุ่มกับพวกเพื่อนแล้วลุ้นอยู่ใกล้ๆ


แต่ว่ามันก็ไม่มีปาฏิหาริย์...


พวกพี่เขาบอกว่าไอ้เต้ยได้เสียชีวิตมาสักพักแล้ว...


“ฮือออออ ไอ้เต้ยยยยย” น้ำตาของผมที่หยุดไหลไปแล้วได้ไหลลงมาอีกครั้ง ส่วนพวกเพื่อนผมก็เหมือนกัน โดยเฉพาะไอ้หลินที่รีบหันไปกอดไอ้อาร์ทพร้อมกับสะอื้นจนตัวโยน


“ไม่จริง...” ใครก็ได้ช่วยบอกผมทีว่านี่มันคือเรื่องโกหก


“เพื่อนผมยังไม่ตาย...” ก่อนหน้านี้มันยังคุยเฮฮาสนุกสนานกับผมอยู่เลย


“มันต้องมีอะไรผิดพลาด...” ใช่...มันต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ ไอ้เต้ยยังไม่ตาย...มันต้องยังไม่ตาย!


เมื่อคิดได้แบบนั้น ผมก็รีบพุ่งเข้าหาพี่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งทันที


“พี่เช็คดีแล้วหรอครับ! ช่วยไปดูใหม่ทีนะพี่!”


“คือ...น้อง...” พี่เขาทำหน้าลำบากใจและสงสารผม แต่ผมไม่ต้องการ ตอนนี้ผมแค่อยากให้ไอ้เต้ยมันฟื้นขึ้นมา ถึงแม้จะมีโอกาสเพียงน้องนิดแต่ผมก็จะไม่ยอมแพ้


“ขอร้องล่ะครับ! ไอ้เต้ยมันต้องยังไม่ตายแน่ๆ! พี่ไปดูมันอีกทีนะ!”


“...”


“พี่ช่วยเพื่อนผมด้วยนะ! อย่าเงียบสิครับ! พี่!”


“มีสติหน่อยซี!” แล้วขณะที่ผมกำลังเขย่าพี่เจ้าหน้าที่อย่างสติแตกอยู่นั้น คนที่ผมไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะเข้ามาห้ามก็เป็นคนดึงผมออกมา


ไอ้เอส...


“ยอมรับความจริงซะ เต้ยตายไปแล้ว” มันพูดด้วยสีหน้านิ่งๆ แต่คำพูดของมันแม่งโคตรโหดร้าย ตอนนี้ผมรู้สึกเจ็บราวกับถูกมีดทิ่มลงมาที่กลางหัวใจ ผมหมดหวังและหมดเรี่ยวแรงที่จะรั้นอีกต่อไปแล้ว...


“กูรู้...แต่กูก็แค่...ไม่อยากให้มันเป็นเรื่องจริง...” ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตากับมัน จังหวะนั้นดวงตาของผมก็ไหวระริก ผมพยายามเต็มที่เพื่อที่จะกลั้นมันเอาไว้ ก่อนที่ผมจะหันไปหาใครสักคนเพื่อที่จะยืมไหล่เป็นที่พักพิง แต่ก็ไม่มีที่ว่างสำหรับผมเลย ไอ้อาร์ท – ไอ้หลิน ไอ้เสือ – ไอ้เก่งต่างก็พากันกอดคอร้องไห้เป็นคู่ ดูเหมือนว่าผมคงจะต้องร้องไห้คนเดียวสินะ


แต่แล้วจังหวะนั้น...


!!!


จู่ๆ ไอ้เอสมันก็ดึงผมเข้าไปกอด ไม่มีคำอธิบายหรือว่าคำพูดใด สีหน้าของมันนิ่งเฉยจนผมไม่รู้ว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ว่าผมก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากตรงไหล่และอ้อมกอดของมัน


ก็ไม่รู้เป็นเพราะความเศร้า เสียใจ อ้างว้าง หรือว่าโดดเดี่ยว ผมเลยไม่คิดจะผลักไสมันออกไป และไหนๆ ก็ไหนๆ ผมขอถือโอกาสใช้ไหล่ของมันเป็นที่ซับน้ำตาของผมเลยก็แล้วกัน


คิดว่ามันคงตั้งใจให้ผมทำแบบนี้...มั้งนะ


2bc


สวัสดีค่า มาต่ออย่างรวดเร็ว อิอิ อ่านตอนนี้จบหลายๆคนที่อาจจะงงว่าพระ-นายคือใครก็คงจะเริ่มเข้าใจแล้วเนอะ

คือเต้ยเนี่ยแค่มาเล่าตอนเปิดเรื่องเฉยๆ ต่อไปก็จะเล่าผ่านซีหรือเอส โดยที่ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่ามีวิญญาณของเต้ยคอยมาป่วนอยู่ข้างๆ

ก็ไม่รู้ว่าตอนสุดท้ายจะมีใครเห็นเคมีของเอสและซีบ้าง รู้แต่ว่าผีเต้ยนี่ฟินมว้ากกกก ในสมองคงคิดแผนจับคู่เป็นร้อยแน่ๆ อิอิ

เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อก็มาลุ้นและเอาใจช่วยทั้งคู่กันด้วยนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและติดตามด้วยน้าาา กอดดด
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่1# อุบัติเหตุ [21.09.62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 22-09-2019 01:18:27
 :sad11:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่1# อุบัติเหตุ [21.09.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Y-Darkness ที่ 22-09-2019 15:09:53
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่1# อุบัติเหตุ [21.09.62]
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 22-09-2019 17:39:01
สนุกรีบมาต่อน้าาาา

อย่สทิ้งใว้นานนน
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่1# อุบัติเหตุ [21.09.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Micky_MN ที่ 23-09-2019 14:20:49
รอๆๆๆ ขึ้นเรือเอสซี
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่2# ความฝัน [23.09.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Sameejaejung ที่ 23-09-2019 20:08:52
Soulmate วิญญาณป่วนรัก


Part2# Z ความฝัน


“ครับคุณป้า...ครับ...ครับ...ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกได้เลยนะครับ...ครับ...สวัสดีครับ” ผมวางสายจากป้าของไอ้เต้ยหลังจากที่คุยกันนานเกือบ 10 นาทีเห็นจะได้


หลังจากที่รถพยาบาลจัดการเก็บศพของไอ้เต้ยไป ผมกับไอ้พวกเพื่อนๆ ก็พากันกลับมาที่บ้าน ตอนไปมี 6 แต่ขามาเหลือ 5 มันก็น่าเศร้านะ แต่อย่างน้อยคนขับก็ไม่หนีไปไหน ยอมให้ตำรวจคุมตัวไปที่โรงพักแต่โดยดี ส่วนพวกผมก็ไปให้ปากคำนิดหน่อย ยกเว้นไอ้เอสที่ไม่ได้ไปเพราะไม่อยากเป็นข่าว อาชีพดาราอะนะ ก็เข้าใจมันแหละ


งานศพของไอ้เต้ยจะจัดขึ้นที่วัดบ้านเกิดของมันที่โคราช งานมี 3 วัน เท่าที่คุยกับป้ามันเมื่อกี้คนขับบอกว่าจะดูแลเรื่องค่าจัดงานทั้งหมดให้ เขาร้องไห้ทั้งน้ำตาบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ อยากไปกราบศพไอ้เต้ย อยากให้มันอโหสิให้ เขาสำนึกผิดจริงๆ


พอคุยกับป้าของไอ้เต้ยเสร็จผมก็แจ้งเรื่องงานศพของมันให้เพื่อนในคณะรับรู้ ตอนแรกก็กะจะบอกแค่ในเอกนั่นแหละ แต่คิดไปคิดมาคณะผมมันก็คุ้นหน้ากันหมด เพราะมีเรียนกับกิจกรรมร่วมกันเยอะ เลยบอกในไลน์ของคณะไปเลย


หลังจากที่ผมส่งข้อความไปเพื่อนแต่ละคนก็ตกใจมาก เพราะไม่คิดว่าไอ้เต้ยมันจะจากไปเร็วขนาดนี้ แล้วมันก็เป็นคนดี เฟรนด์ลี่ เป็นที่รักของเพื่อนๆ เพราะงั้นเลยมีเพื่อนหลายสิบคนที่จะไปงานของมันทั้งที่จัดอยู่ต่างจังหวัด แถมไม่ได้แค่จะไปร่วมงานเฉยๆ แต่จะอยู่ช่วยงานตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้ายด้วย


“มึงไปบอกไอ้เอสหน่อยดิเรื่องงานศพไอ้เต้ย แล้วก็ถามด้วยว่ามันว่างไปรึเปล่า” ไอ้เก่งพูดกับผม


“ทำไมต้องเป็นกู”


“ก็แล้วทำไมจะเป็นมึงไม่ได้”


“สัส แต่กูก็ส่งไปบอกในไลน์กลุ่มคณะแล้วไง มันก็น่าจะเห็นแล้วแหละ” ก็มันอยู่คณะเดียวกับพวกผมอะ


“คือมึง...อยู่บ้านเดียวกันมันก็ควรต้องคุยกันต่อหน้าไง ยิ่งเรื่องใหญ่แบบนี้ก็ยิ่งต้องไปคุย เก็ตปะ?” ถึงไม่อยากเก็ตแต่กูก็ต้องเก็ตสินะ


“เออๆๆ เดี๋ยวกูขึ้นไปบอกมันก็ได้” ที่ผมไม่อยากขึ้นไปก็ไม่ใช่อะไร คือก่อนหน้านี้พึ่งจะกอดกับมันไงเลยทำตัวไม่ค่อยถูก แต่ช่างเถอะ ตอนนี้ผมยืนอยู่ที่หน้าห้องของไอ้เอสละ แล้วก็ขี้เกียจคิดอะไรด้วย


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


รอสักแป๊บมันก็เปิดประตู ดูจากชุดที่ใส่มันน่าจะอาบน้ำเตรียมตัวนอนแล้ว แถมมันยังไม่พูดอะไรเอาแต่มองหน้าผมนิ่งๆ เจอแบบนี้ก็ยิ่งกระอักกระอ่วนทำอะไรไม่ถูกยิ่งกว่าเดิมสิผม


“คือ...กูจะมาบอกมึงเรื่องงานศพไอ้เต้ย”


“อ๋อ อืม” แค่นี้? คือมึงช่วยพูดหรือถามอะไรกูมากกว่านี้หน่อยได้มั้ยวะ!


ให้ตาย ผมก็นึกว่ามันจะเป็นมิตรมากขึ้นเพราะอุตส่าห์กอดปลอบผม แต่ที่ไหนได้ อัธยาศัยมันก็ยังแย่เหมือนเดิม


 “งานจัดที่โคราช สวด 3 วัน พวกกูกับเพื่อนในคณะจะไปช่วยงานตั้งแต่วันแรก มึงจะไปด้วยรึเปล่า”


“คงไปได้แค่วันเผา” ขอบคุณที่ตอบกลับกูมาตั้ง 6 พยางค์!


“เค งั้นกูไปละ” พูดจบผมก็หมุนตัวเดินออกมาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ แต่พอถึงหน้าห้องของตัวเองเท่านั้นแหละเท้าของผมก็ชะงัก ส่วนมือที่กำลังจะจับลูกบิดก็หยุดค้างกลางอากาศ


ห้องนี้เป็นห้องที่ผมเคยอยู่กับไอ้เต้ย...


“อยู่คนเดียวได้รึเปล่า”


!!!


ผมไม่คิดว่าคนอย่างไอ้เอสจะถามคำถามนี้เลยค่อนข้างอึ้งแล้วก็ตกใจ สรุปว่ามันเป็นคนยังไงกันแน่ น่าคบหาหรือว่าอัธยาศัยแย่ ผมเดาจากสีหน้านิ่งๆ ของมันไม่ออกเลยจริงๆ


“เฮ้ยได้ดิวะ ทำไมจะไม่ได้ กูก็แค่...คิดถึงไอ้เต้ยมันเฉยๆ...”


ผมไม่ได้รู้สึกกลัวว่าไอ้เต้ยมันจะมาหลอกผมเลยนะ ถ้ามาจริงๆ ถึงจะหน้าเละก็ตามผมจะวิ่งไปกอดมันให้แน่นๆ เลย แต่ที่ผมชะงักก็เป็นเพราะว่าผมคิดถึงมัน ไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วผมยังคุยเล่นกับมันอยู่เลยนะ แต่ต่อจากนี้คงจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว...


“กูเข้าห้องละนะ” ผมรีบเอามือปาดน้ำตาก่อนที่มันจะไหลลงมา จากนั้นก็รีบเปิดประตูแล้วรีบเข้าไปในห้อง เป็นผู้ชายร้องไห้บ่อยๆ มันไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอก ยิ่งต่อหน้าคนไม่สนิทด้วยแล้ว ใครจะอยากแสดงด้านที่อ่อนแอให้เห็นบ่อยๆ จริงมั้ยล่ะ


แต่ถึงจะทำเป็นเข้มแข็ง ลึกๆ แล้วผมก็อยากร้องไห้ออกมาเหมือนกัน ก็ในห้องนี้มันมีความทรงจำเกี่ยวกับไอ้เต้ยทั้งนั้น ไม่ว่าผมจะมองไปที่ไหน จะหยิบจับอะไร หรือว่าเดินไปตรงไหน ภาพของไอ้เต้ยมันก็ลอยขึ้นมาในหัวของผมตลอด


อย่างตอนนี้ ตอนที่ผมกำลังจะนอนทั้งๆ ที่ผมยังไม่แห้ง ภาพที่ไอ้เต้ยเท้าสะเอวบ่นจนผมต้องลุกขึ้นไปเป่าไดร์ก็ลอยขึ้นมา ผมเลยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะทั้งน้ำตา จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


“มึงนอนยังวะไอ้ซี” เป็นเสียงของไอ้เก่งที่เรียกผม ผมเลยเดินไปเปิดประตูก่อนจะเห็นว่า นอกจากมันก็ยังมีไอ้เสือยืนอยู่ข้างๆ ด้วย


“กำลังจะนอนพอดี พวกมึงมีอะไรรึเปล่า”


“พวกกูจะมานอนเป็นเพื่อน”


“ใช่ นอนคนเดียวเดี๋ยวมึงเหงา” พอได้ยินแบบนี้ผมก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา จากนั้นก็โผเข้ากอดพวกมันสองคน


“กูรักพวกมึงนะเว่ย”


ปกติผมจะไม่พูดอะไรแบบนี้หรอกนะ มีแต่จะกวนตีนหรือหาเรื่องแกล้งพวกมันมากกว่า ส่วนพวกมันก็เหมือนกัน ไม่มีหรอกที่จะกอดปลอบผมแบบนี้ แต่ตอนนี้ถือเป็นข้อยกเว้นล่ะนะ ก็อยากรู้เหมือนกันว่าจะเป็นได้นานขนาดไหน


“พวกมึง”


“หืม?”


“ไม่รู้กูคิดไปเองรึเปล่า แต่กูรู้สึกว่าไอ้เต้ยมันอยู่แถวนี้” เท่านั้นแหละ จากที่กอดกันกลม 3 คนก็วงแตก ไอ้เสือรีบแหวใส่ไอ้เก่งทันที


“สัส! จากซึ้งๆ เศร้าๆ ทำเอากูหลอนแล้วเนี่ยไอ้ห่า!”


“แต่กูก็รู้สึกแบบเดียวกับไอ้เก่งนะ”


“ไอ้เชี่ยซี กูไม่ขำนะเว่ย!” ไอ้เสือเริ่มขึ้นเสียง แต่ผมไม่ได้อำมันนะ


“กูพูดจริงๆ กูคิดว่าเมื่อกี้ไอ้เต้ยมันกำลังกอดพวกเรา 3 คนอยู่”


“ยัง! ยังไม่หยุดอีก!” คราวนี้ไอ้เสือขึ้นเสียงจริงๆ “กูขอสั่งพวกมึงเลยนะว่าห้ามพูดอะไรเพ้อเจ้ออีกเด็ดขาด ไม่งั้นกูตัดเพื่อนพวกมึงแน่” ไม่พูดเปล่า มันยังชี้หน้าคาดโทษพวกผมด้วย


“เออๆ” ผมกับไอ้เก่งรับปาก แต่ก็หลุดขำออกมานิดหน่อย ก็หน้าของไอ้เสือตอนนี้มันตลกจะตาย นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดเรื่องกับไอ้เต้ยเลยนะที่ผมยิ้มได้ ก็หวังว่าวันพรุ่งนี้และต่อๆ ไป ผมจะสามารถยิ้มได้แบบตอนนี้อีก


“ฝันดีนะพวกมึง”


คืนนั้นพวกผม 3 คนนอนด้วยกันบนเตียง ถึงจะเบียดนิดหน่อยแต่ก็อบอุ่นดีเหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นพวกผมกลับไม่รู้ตัวเลยว่า ความจริงแล้วพวกผมนอนเบียดกัน 3 คนพร้อมกับวิญญาณอีก 1 ดวงต่างหาก...


..........................................

............................

..............


“ไอ้เต้ย! ระวัง!” ผมร้องตะโกนสุดเสียง เพราะเห็นรถบรรทุกขับพุ่งมาหาไอ้เต้ยที่ยืนอยู่กลางถนนด้วยความเร็วสูง แต่ก็ไม่ทันแล้ว เพียงแค่เสี้ยววินาทีร่างของมันก็ถูกชนอย่างจังจนกระเด็นไปต่อหน้าต่อตา


“ไอ้เต้ยยยยยยยยยยยย!” ภาพที่เห็นทำเอาผมถึงกับช็อก ก่อนที่ผมจะรีบวิ่งไปกอดร่างที่นอนแน่นิ่งของมันพร้อมน้ำตา ผมร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังโดยไม่แคร์สายตาใครทั้งนั้น


“มึงลืมตาขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะไอ้เต้ย! ลืมตาขึ้นมา! เต้ย! ไอ้เต้ยยยยย!” ผมเขย่าร่างที่ไร้วิญญาณของมันราวกับคนบ้า ไม่ว่าใครจะพูดอะไรผมก็ไม่ยอมฟัง


จนกระทั่ง...


“ไอ้ซี กูอยู่นี่” นั่นมัน...เสียงของไอ้เต้ย!


เท่านั้นแหละผมก็รีบหันไปมองตามเสียง ก่อนที่ผมจะพบกับไอ้เต้ยตัวเป็นๆ ยืนอยู่ข้างๆ ไม่สิ...พอดูดีๆ แล้วน่าจะเป็นวิญญาณมากกว่า เพราะร่างของมันดูจางๆ ไม่เหมือนร่างของคนปกติ


“มึง...ตายแล้วจริงๆ หรอ...” ผมถามด้วยเสียงสั่นเครือ


“อืม แต่มึงไม่ต้องเป็นห่วงกูหรอก โลกหลังความตายมันไม่ได้น่ากลัวเลยเว่ย ตอนนี้กูแฮปปี้ชีวิตดีมาก ได้ทำอะไรหลายๆ อย่างที่ตอนเป็นคนทำไม่ได้ด้วย เพราะงั้นมึงเลิกร้องไห้ได้แล้ว ร่าเริงเข้าไว้ ยิ้มให้เยอะๆ แบบนั้นกูถึงจะมีความสุข” ดูจากรอยยิ้มของไอ้เต้ยตอนนี้ ผมคิดว่ามันคงไม่ได้โกหกผมหรอก โลกหลังความตายคงไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ผมคิดจริงๆ


“ถ้ามึงพูดแบบนี้กูก็สบายใจ” แต่ก็คงจะเหงานิดหน่อย ไม่สิ...มากเลยแหละ แต่ผมจะคิดซะว่ามันไปอยู่ในที่ที่ไกลแสนไกล อย่างต่างประเทศอะไรแบบนี้ก็แล้วกัน


“ถ้าอย่างนั้นก็ยิ้มออกมาสิ...ยิ้มสิยิ้ม ยิ้มให้กว้างกว่านี้...เออ แบบนั้นแหละ แล้วถ้ากูเห็นมึงร้องไห้เพราะกูอีกนะ กูจะมาหลอกมึงด้วยหน้าเละๆ เลยคอยดู” ดู๊...ดูมันขู่ผม เป็นผีที่เหี้ยจริงๆ


“ด่ากูในใจใช่มั้ยน่ะ”


“มะ...มึงอ่านใจกูได้หรอ!”


“แน่สิ ก็กูมาเข้าฝันมึงนี่ มึงคิดอะไรหรือด่ากูว่าอะไรกูรู้ทั้งนั้นแหละ”


“แม่ง รุกล้ำความเป็นส่วนตัวของกูฉิบหาย” อยากจะบ้าตาย ฝันก็ฝันของกู ทำไมต้องถูกผีอ่านใจด้วยวะเนี่ย


“แค่นี้น่ะจิ๊บๆ นี่ถ้ามึงรู้ว่ากูทำอะไรได้มากกว่านี้สงสัยมีช็อก” ไอ้เต้ยยิ้มกรุ้มกริ่ม สีหน้าของมันตอนนี้ดูมีแผนร้ายยังไงชอบกล


“อย่ามาทำเป็นมีลับลมคมใน มึงบอกกูมาเลยนะว่ามึงทำอะไรได้”


“ก็นะ...” ไอ้เต้ยยักไหล่ ไม่ยอมอกอะไรแถมยังหันหลังเดินหนีผมเฉย


“นี่! มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อนนะเว่ย!...ไอ้เต้ย!...ไอ้เต้ย!!...”




“ไอ้เต้ย!!!” ผมสะดุ้งเฮือกลุกขึ้นมา ที่แท้เมื่อกี้ก็แค่ความฝันเองสินะ แต่ว่ามันดูเรียลเอามากๆ โดยเฉพาะตอนที่ผมคุยกับมัน
หรือว่ามันจะมาเข้าฝันผมจริงๆ?


“เมื่อกี้มึงฝันถึงไอ้เต้ยหรอวะ” ไอ้เก่งที่นอนอยู่ข้างๆ ถามผม ท่าทางมันดูไม่ได้ตกใจเท่าไหร่ ส่วนไอ้เสือที่นอนอยู่ข้างๆ มันอีกทีก็เช่นกัน


“เออ อย่าบอกนะว่ามึงด้วย?” ไอ้เก่งพยักหน้า ผมเลยมองไปที่ไอ้เสือ “มึงก็ด้วยหรอวะ”


“อืม” ไอ้เสือก็พยักหน้าเช่นกัน เท่านั้นแหละพวกผมก็ลุกขึ้นมานั่งคุยกัน ไม่ต้องนงต้องนอนมันละ ยังไงตอนนี้ก็เป็นช่วงสายๆ แล้ว


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


“หืม? ใครมาเคาะประตูตอนนี้วะ” ผมพูดอย่างงงๆ ในขณะที่มองไปตรงประตู


“หรือจะเป็นไอ้เต้ย?”


“เต้ยพ่อมึงสิ!” ไอ้เสือรีบแยกเขี้ยวใส่ทันทีที่ไอ้เก่งพูดจบ ส่วนผมก็หัวเราะหึหึในความกลัวผีขึ้นสมองของมัน จากนั้นผมก็ลุกไปเปิดประตู...เป็นไอ้อาร์ทกับไอ้หลิน


“ว่าไงพวกมึง นึกว่าจะตื่นสายกว่านี้ซะอีก” เมื่อคืนกว่าพวกผมจะกลับถึงบ้านก็ตี 3 ไหนจะคุยกันต่อแล้วก็อาบน้ำอีก ได้นอนกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงเองด้วยซ้ำเพราะนี่ยังไม่ 9 โมงเลย


“กูกับไอ้อาร์ทฝันถึงได้เต้ยอะดิ” พอได้ยินไอ้หลินพูดแบบนี้ผมก็เบิกตากว้าง จากนั้นก็หันไปหาไอ้เก่งกับไอ้เสือที่นั่งอยู่บนเตียงของผม ซึ่งพวกมันก็ทำหน้าตกใจไม่ต่างกัน


“นี่พวกมึงก็ฝันถึงมันด้วยหรอ” ไอ้อาร์ทถามบ้างเมื่อเห็นสีหน้าของผม ผมเลยพยักหน้า จากนั้นก็ลากพวกมันทั้งคู่เข้ามาในห้อง


พวกผมทั้ง 5 คนต่างก็แชร์ความฝันให้กันฟัง ต่างคนก็ต่างเรื่องราว แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือไอ้เต้ยไม่อยากให้พวกผมเศร้าและร้องไห้ มันบอกว่ามันไม่ทุกข์ ไม่ทรมาน แถมยังสามารถทำในสิ่งต่างๆ ที่ตอนเป็นคนไม่สามารถทำได้ เพราะงั้นมันเลยมาบอกพวกผมว่าไม่ต้องเป็นห่วงมัน มันสบายดี


พอได้รู้แบบนี้ผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นล่ะนะ ถึงจะเศร้าอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากเท่าเมื่อวาน คงจะแค่คิดถึงมันเท่านั้นเอง...


จากนั้นพวกผมต่างก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า และจัดกระเป๋าไปโคราช จากที่คำนวนคร่าวๆ น่าจะใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง แต่ก่อนจะไปพวกผมก็หาจองโรงแรมกันก่อน หารีวิวดีๆ ที่ไม่ไกลจากวัดมาก พอเจอแล้วผมก็จัดการจองแล้วบอกพวกเพื่อนในคณะ ซึ่งคนที่มาก็ตกลงกันว่าจะจองห้องกันที่โรงแรมนี้ เพราะมีอะไรจะได้คุยกันได้สะดวก


“เชี่ย กูลืมเก็บของของไอ้เต้ย” ผมพูดขณะที่กำลังยกกระเป๋าของตัวเองใส่ท้ายรถของไอ้อาร์ท


คือวันเผาเนี่ยมันต้องใส่ของของไอ้เต้ยในโลงด้วย อย่างพวกเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า อะไรแบบนี้ เพื่อให้มันเอาไว้ใช้ตอนอยู่โลกโน้น ก็ไม่รู้ล่ะนะว่ามันจะได้ใช้จริงๆ รึเปล่า แต่มันเป็นความเชื่อที่สืบทอดต่อกันมา อีกอย่างจะเก็บของของมันเอาไว้ก็จะยิ่งทำให้ผมคิดถึงมันมากกว่า เอาไปเผาพร้อมกับร่างของมันนั่นแหละดีแล้ว


“พวกมึงรอแป๊บนึงนะเดี๋ยวกูรีบมา” พูดจบผมก็รีบวิ่งเข้าไปในบ้าน แต่จังหวะที่กำลังจะถึงห้องไอ้เอสก็เปิดประตูออกมา แล้วประเด็นคือจู่ๆ เท้าของผมมันก็ดันลื่นอะไรไม่รู้ ตัวของผมที่เสียการทรงตัวเลยพุ่งเข้าไปหามันอย่างควบคุมไม่ได้


เชี่ย! นี่อย่าบอกนะว่ากูต้องล้มทับไอ้เอส แล้วก็ต้องจ้องตากับมันปิ๊งๆ อย่างกับฉากในละคร ม่ายยยยยยยยยย


“หลบปายยยยยยยยยย!” แล้วไอ้เอสแม่งก็เสือกบ้าจี้เบี่ยงตัวหลบตามที่ผมบอกจริงๆ


เพราะงั้น...


ตุ้บ!


แอ้ก!


“โอ๊ย!” หน้าคว่ำจูบพื้นอย่างจังเลยสิผม!


ไอ้คนเลวววววววว ไม่สิ ไอ้คนกวนส้นตีน! คือมึงไม่ต้องเบี่ยงตัวหลบก็ได้มั้ย ถ้าให้เลือกจริงๆ ระหว่างหน้าหักกับล้มทับแล้วจ้องหน้ามัน ยังไงผมก็ต้องเลือกอย่างหลังแน่นอนอยู่แล้ว!


“เป็นไรมากมั้ย” ไอ้เอสถามแล้วยื่นมือมาช่วยดึงผมขึ้น


เฮอะ! ทำเป็นพูดยังกับว่าเป็นห่วงเป็นไย ถ้างั้นทำไมเมื่อกี้มึงไม่รับกูไว้ละสัส! แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น สิ่งที่ผมพูดกับมันก็คือ...


“ขอบใจนะ” คนอื่นมีแต่ใจกากแต่ปากเก่ง แต่กูนี่ใจเก่งมากแต่ปากป๊อดเวอร์


“โกรธที่กูไม่รับมึงไว้หรอ” ไอ้เอสคงเห็นแหละว่าผมหน้าบูดเลยถามงี้


“เปล๊า” ไม่ได้เสียงสูงจริงจริ้งงงงง


“แต่มึงเป็นคนบอกให้กูหลบเองนะ”


“แต่มึงไม่ต้องหลบจริงๆ ก็ได้นี่สัส!”


“นั่นไง โกรธจริงๆ ด้วย” ไอ้เอสแอบยิ้มออกมานิดนึง ถ้าปกติผมคงจะอะเมซิ่งที่เห็นมันยิ้มอยู่หรอก แต่ตอนนี้กูอายยยย อายฉิบหายจนแทบจะมุดกระเบื้องหนีแล้วเนี่ย!


“กู...เดี๋ยวกูจะเข้าไปเก็บของของไอ้เต้ยแล้ว” ผมทำตัวไม่ถูก แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะบอกมันทำไมด้วย แต่ที่แน่ๆ ผมอายจนยืนอยู่ตรงนี้ต่อไม่ได้ เลยสวมวิญญาณเดอะแฟลชรีบวิ่งหนีเข้าห้องไปเลย


ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยอายอะไรเท่านี้เลยแม่ง!


2BC


 o18 สวัสดีค่าทุกคน Soulmate ตอนที่ 2 ก็จบลงไปแล้ว ไหนใครเริ่มเห็นเคมีของเอสกับซีแล้วบ้าง ตอนอยู่ด้วยกันก็เข้ากันได้ดี (?) อย่างที่เต้ยบอกจริงๆใช่มั้ยล่ะ อิอิ  :-[
ส่วนตอนหน้าวันพุธเดี๋ยวเราจะมาลงต่อให้นะคะ เรื่องนี้เราจะลงวันเว้นวัน ยังไงก็ช่วยติดตามกันต่อและเป็นกำลังใจให้คู่นี้ด้วยน้า  :กอด1:
ปล.มีใครอยากปูเสื่อนั่งฟินข้างๆเต้ยมั้ยคะ ที่ยังว่างนะต่อแถวมาเลยยย >///<
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่2# ความฝัน [23.09.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Y-Darkness ที่ 23-09-2019 21:46:54
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่2# ความฝัน [23.09.62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 24-09-2019 10:16:09
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่2# ความฝัน [23.09.62]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 24-09-2019 10:33:32
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่2# ความฝัน [23.09.62]
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 24-09-2019 14:06:30
แปะไว้ก่อนนะค่ะเดี๋ยวจะมาอ่าน
เป็นกำลังใจให้นะ
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่2# ความฝัน [23.09.62]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 24-09-2019 19:23:36
 :L2: :3123: :L1:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่2# ความฝัน [23.09.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Micky_MN ที่ 24-09-2019 23:19:42
 :laugh: ตลกซี
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่3# เรื่องแซ่บในงานศพ [25.09.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Sameejaejung ที่ 25-09-2019 20:55:14
Soulmate วิญญาณป่วนรัก


Part3# Z เรื่องแซ่บในงานศพ


พวกผมเดินทางมาถึงโคราชประมาณบ่าย 3 ก่อนจะไปวัดพวกผมก็จัดการเช็คอินและขนสัมภาระขึ้นไปเก็บกันก่อน แน่นอนว่าไอ้อาร์ทกับไอ้หลินมันนอนห้องเดียวกัน ส่วนผมจะนอนห้องเดียวกับไอ้เก่งแล้วก็ไอ้เสือ


ที่ผมไม่นอนคนเดียวไม่ใช่เพราะผมกลัวผีไอ้เต้ยหรอกนะ แต่หารค่าห้อง 3 คนมันประหยัดกว่านี่นา จ่ายเพิ่มจากห้องปกติแค่ 200 เอง 


หลังจากที่เก็บของเรียบร้อยพวกผมก็เดินทางไปที่วัด พอไปถึงก็เห็นป้าของไอ้เต้ยพอดี แกเลยพาพวกผมไปที่ศาลาเพื่อกราบศพไอ้เต้ย ตอนที่กราบน้ำตาของผมก็ปริ่มๆ อยู่นั่นแหละ แต่พอนึกถึงฝันเมื่อคืนผมก็กลั้นใจไม่ร้องไห้ได้


ไอ้เต้ยมันไปสบายแล้ว...


“มีงานอะไรให้พวกผมช่วยมั่งครับ” ผมถามป้าของไอ้เต้ยที่กำลังจัดนั่นจัดนี่อยู่


“อืม...เดี๋ยวพวกหนูไปยกเก้าอี้มาไว้ให้แขกนั่งนะ พอแขกมาค่อยเอาน้ำกับกะเพาะปลาไปเสิร์ฟ”


“โอเคครับ” พวกผมพยักหน้าก่อนจะเดินไปที่ห้องเก็บของเพื่อยกเก้าอี้มา จังหวะนั้นพวกเพื่อนๆ ในคณะก็เริ่มทยอยกันมาสมทบ ซึ่งก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือจนงานเสร็จไว แถมยังมากันเยอะกว่าที่ลงชื่อไว้ตอนแรกอีกด้วย


แต่หนึ่งในนั้นก็มีคนที่พวกผมไม่คิดว่าจะเห็นที่นี่...อีฟ


“ชีมาไงวะ” ประโยคนี้ผมไม่ได้ถามนะ (ถึงจะคิดในใจก็เถอะ) คนที่ถามคือไอ้หลินต่างหาก


“ไม่รู้ดิ หรือจะมากับไอ้เอส” ก็เป็นแฟนกันนี่นา


“แต่มึงบอกว่าเอสจะมาวันเผาไม่ใช่อ่อ”


“ก็อาจจะว่างแล้วเลยจะมาวันนี้มั้ง”


แต่ถึงจะคิดอย่างนั้นไอ้เอสก็ไม่ได้มา แถมดูจากสีหน้าของอีฟก็เหมือนจะไม่ได้เต็มใจอยากมาที่นี่เลยด้วยซ้ำ เพราะเอาแต่ทำหน้าเบื่อหน้าเซ็ง งานก็ไม่ได้ช่วย นั่งเล่นโทรศัพท์อย่างเดียว โนสนโนแคร์ทุกสิ่งอย่าง แถมยังไม่เสวนากับใครด้วย


วันแรกเป็นยังไงวันที่สองก็เป็นอย่างนั้น คราวนี้เลยไม่ใช่แค่พวกผมที่สงสัยกันละ แต่พวกเพื่อนคนอื่นๆ ก็ด้วย เวลาเดินผ่านกลุ่มไหนก็เห็นเอาแต่ซุบซิบกันเรื่องของอีฟ แต่มันก็น่าสงสัยจริงๆ นั่นแหละ


“คือกูงงมากว่าชีจะมาทำไมตั้งแต่เมื่อวาน” ไอ้หนิงเริ่มเปิดประเด็นเมาท์ระหว่างเดินทางกลับโรงแรม แต่ก็อย่างว่า มันไม่ค่อยชอบอีฟ บอกแค่เห็นหน้าก็ไม่ถูกชะตาแล้ว จิตใจผู้หญิงแม่งซับซ้อนเหมือนที่เขาพูดกันจริงๆ


“ตัดเรื่องที่สนิทกับไอ้เต้ยทิ้งไปหนึ่ง” ผมพูด


“ตัดเรื่องที่ตั้งใจมาช่วยงานทิ้งไปสอง” คราวนี้ไอ้อาร์ท


“ตัดเรื่องที่ห้อยตามไอ้เอสมาทิ้งไปสาม” ทีนี้ไอ้เสือ


“หรือว่าจะมาหากิ๊กวะ” ส่วนนี่ไอ้เก่ง หืม? นี่มันพูดเล่นพูดจริง?


“อะไรยังไง ไปรู้ไปเห็นไปได้ยินอะไรไหนเหลามา” ไอ้หลินหูผึ่งพร้อมเผือกมาก ตานี่เป็นประกายสุดๆ


“คือเมื่อคืนกูได้ยินเสียงเคาะประตูเลยลุกขึ้นไปเปิดเว่ย แต่พอไม่เจอใครเลยกะจะปิดประตูมานอนต่อไรงี้ ทีนี้เว่ย กูดันเห็นอีฟเดินออกจากห้อง ก็อยากรู้ไงว่าดึกขนาดนี้จะไปไหนเลยลองแอบดู ทายซิว่ากูเจออะไร”


“สัส! กูจะรู้มั้ยเนี่ย!” ผมแยกเขี้ยวใส่ มาหยุดอะไรตอนสำคัญล่ะปัดโธ่!


“เออ! ไม่ต้องลีลา รีบเล่ามาเร็วๆ กูอยากรู้ใจจะขาดแล้วเนี่ย!” ไอ้หลินเร่งยิกๆ ไอ้เก่งเลยต้องยอมเฉลย เชื่อดิลองช้ากว่านี้สัก 10 วิอาจได้เห็นมันชักตาย


“กูเห็นอีฟไปหาไอ้เปอร์ที่ห้องเว่ย”


“หา! ถามจริ้งงงงงงงง?” ไอ้หลินขึ้นเสียงสูงปรี๊ด ท่าทางตกใจเหมือนจะโอเวอร์แอคติ้ง แต่เรื่องนี้มันก็น่าตกใจจริงๆ นะ


คืออย่างที่รู้ๆ กันว่าอีฟเป็นแฟนกับไอ้เอส แน่นอนว่าคนที่รู้ไม่ได้มีแค่พวกผมที่อยู่บ้านเดียวกันกับมัน แต่คนทั้งคณะ...เผลอๆ ทั้งมหา’ลัยเลยมั้งก็รู้ว่าสองคนนี้คบกัน ถึงจะไม่ค่อยมีโมเมนต์หวานๆ ก็เถอะ แต่ก็เห็นเป็นแบบนี้ตลอดตั้งแต่มีข่าวว่าคบกันแล้ว


สำหรับข่าวเลิกผมยังไม่เห็นได้ยินนะ ถ้าหากเลิกแล้วก็น่าจะพอผ่านหูผมบ้าง ถึงสังคมภายนอกไอ้เอสจะไม่ได้เป็นดาราที่ดังขนาดนั้น เพราะละครเรื่องแรกที่มันเล่นยังไม่ออนแอร์เลย แต่ในสังคมมหา’ลัยมันดังมากกกกก ก็สูงยาวเข่าดีแถมหน้ายังหล่อซะขนาดนั้น แม้ว่ามันจะไม่ค่อยยิ้มไม่ค่อยพูดกับใครก็เถอะ


ส่วนไอ้เปอร์คนที่ไอ้เก่งพูดถึง ไอ้นี่มันก็เป็นผู้ชายบ้านๆ...บ้านรวยสัสๆ! เพราะเปิดร้านเพชรเป็นสิบๆ สาขา ถึงจะหน้าตางั้นๆ แต่ความรวยก็ช่วยให้มันหล่อขึ้นมาก แถมยังขึ้นชื่อว่าพ่อบุญทุ่ม เพราะงั้นสาวๆ เลยหลงกันบาน แต่ก็เห็นว่าเปลี่ยนสาวบ่อยเหมือนกัน ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เคยได้ยินว่ามันแอบกิ๊กกับอีฟอะนะ


“มึงแน่ใจนะว่าไม่ได้ดูผิด?” ผมถามไอ้เก่งอีกที


คือลองหักลบข้อดีข้อเสียดู ยังไงไอ้เอสมันก็มีภาษีดีกว่าไอ้เปอร์หลายขุมอะ อย่างความหล่อนี่กินขาด ส่วนนิสัยก็คงไม่ได้แย่มาก อย่างน้อยมันก็มีน้ำใจให้พวกผมอาศัยอยู่ที่บ้านฟรีๆ แล้วก็ไม่เคยมีข่าวเรื่องเจ้าชู้ ถ้าจะแพ้ก็คงแพ้เรื่องความรวยอยู่หน่อยล่ะมั้ง แต่ว่ามันเป็นดารา อาชีพนี้หาเงินได้เยอะจะตาย เพราะงั้นผมเลยไม่คิดว่าอีฟจะนอกใจไอ้เอสไปกิ๊กกับไอ้เปอร์ได้


ถ้าจะมีกิ๊กทั้งที มันก็ต้องให้ดีกว่าแฟนที่คบอยู่สิจริงมั้ยล่ะ?


“เอาจริงๆ กูก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่อะ คือนึกออกปะว่าห้องมันเรียงกันเป็นตับ กูอาจจะจำผิดไรงี้ คืนนี้กูเลยกะว่าจะลองแอบดูให้ชัวร์ก่อนค่อยบอกพวกมึงทีเดียว”


“งั้นเดี๋ยวกูเอาด้วย” กระตือรือร้นแบบนี้จะใครถ้าไม่ใช่ไอ้หลิน ชักคันปากยิบๆ ขอแซวมันสักหน่อยละกัน


“ต่อมเสือกกำเริบเชียวนะ”


“หรือมึงจะผ่าน?”


“เรื่องอะไรล่ะ”


“แหม อีผี แล้วทำมาเป็นด่ากู” ไอ้หลินเบ้ปากใส่ผม “งั้นเดี๋ยวคืนนี้ไปรวมตัวกันที่ห้องมึงนะ”


คือไม่ต้องถามให้เสียเวลาว่าใครจะร่วมเสือกด้วยบ้าง เรื่องเด็ดๆ แบบนี้ใครจะอยากพลาดกันล่ะ เพราะงั้นหลังจากที่กลับถึงห้องแล้วอาบน้ำทำอะไรเสร็จ พวกผมเลยมานั่งรวมกลุ่มเตรียมซุ่มดูอีฟด้วยกัน


ไอ้เก่งจำเวลาไม่ได้ แต่ก็คงจะดึกสักหน่อยนั่นแหละ เพราะต้องแอบย่องไปหากันไรงี้ ซึ่งก็คงไม่ดึกมาก เพราะที่นี่คนนอนเร็วกว่าที่กรุงเทพ ดังนั้นภารกิจซุ่มดูเลยเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอน 4 ทุ่ม


พวกผมพลัดกันแง้มประตูออกไปดู แต่ว่า 4 ทุ่มก็แล้ว 5 ทุ่มก็แล้ว อีฟก็ยังไม่ยอมออกจากห้องสักที จนกระทั่งเที่ยงคืนที่พวกผมใกล้จะยอมแพ้เพราะง่วงแล้วนั่นแหละ...แจ็คพ็อตแตกครับผม! อีฟแอบย่องออกจากห้องมาแล้ว!


“ถ่ายรูปไว้เลยมึง ถ่ายเร็วๆ” ไอ้หลินสะกิดผมยิกๆ ส่วนไอ้เก่งก็รีบวิ่งไปหยิบโทรศัพท์มายื่นให้ ทำงานกันเป็นทีมจริงๆ ไอ้พวกนี้
“แล้วทำไมต้องเป็นกูด้วยเนี่ย” ถึงจะบ่นแต่ก็ยกมือถือขึ้นมาถ่ายอะนะ


“ได้มั้ยๆ ไหนเอามาดูดิ๊” แล้วไอ้หลินก็แย่งโทรศัพท์จากมือของผมไปเลย ส่วนไอ้พวกที่เหลือก็กรูกันไปสุมหัวดูรูปที่ผมถ่ายเอาไว้ ซึ่งก็เป็นรูปตอนที่อีฟกำลังเดินเข้าไปในห้องของไอ้เปอร์


“เบอร์ห้องกับหน้าอีฟนี่แม่งชัดมาก เสียดายที่เห็นหน้าไอ้เปอร์แค่เสี้ยวเดียว” ไอ้เสือพูด


“แต่แค่นี้ก็ชัดแล้วว่าอีฟคบซ้อน” ผมเห็นด้วยกับที่ไอ้อาร์ทพูดนะ แต่ดูเหมือนว่าไอ้หลินจะไม่ คือไม่ใช่อะไร มันซอฟต์ไปต้องแรงกว่านี้


“แถมบ้านกูเรียกเล่นชู้” ถ้าไม่ใช่โหมดมุ้งมิ้งมันก็จะฮาร์ทคอร์กับไอ้อาร์ทแบบนี้แหละ


“กูว่าโลกนี้แม่งอยู่ยากแล้ว หล่ออย่างไอ้เอสแฟนยังไปมีชู้ แล้วคนขี้เหร่อย่างกูจะไปเหลืออะไร” ไอ้เก่งที่จับโทรศัพท์ของผมเป็นคนสุดท้ายพูดขึ้นอย่างเศร้าๆ ก่อนที่มันจะทำท่าเป็นเจ็บปวดรวดร้าวแล้วทิ้งตัวนอนแผ่ลงบนเตียง


 “ก่อนที่มึงจะกลัวแฟนนอกใจ กูคิดว่ามึงควรหาแฟนให้ได้ก่อนดีมั้ยวะ” พอได้ยินผมพูดแบบนี้ มันก็รีบดีดตัวขึ้นแล้วชูนิ้วกลางให้ผมทันที


“สัส!”


“ฮ่าๆๆ” สำหรับผมเพื่อนด่าก็เหมือนเพื่อนชมนั่นแหละ ว่าแต่เสียงกิ๊งๆ แจ้งเตือนในไลน์รัวๆ นี่มันอะไร ถ้าฟังไม่ผิดเหมือนจะเป็นจากโทรศัพท์ของผมเลย


“หยิบมาดูดิ๊มึง” ผมบอกไอ้เก่ง มันเลยหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างตัวยื่นมาให้ผม


“ใครทักมึงมาวะ ทวงนี้เรอะรัวๆ ขนาดนี้”


“ทวงนี้พ่อง” ผมแยกเขี้ยวใส่ มันติดผมอยู่ 200 ยังมีหน้ามาพูด


ส่วนข้อความที่แจ้งเตือนมาจากกลุ่มคณะ แต่ว่ามันเตือนรัวมากจนผมอ่านแทบไม่ทัน เห็นแค่แว้บๆ ว่ามีปักธงปูเสื่อรอเผือกเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งพอเลื่อนขึ้นไปดู...


“เชี่ย!” รูปที่ผมแอบถ่ายอีฟกับไอ้เปอร์ดันถูกส่งเข้าไปในกลุ่มซะงั้น!


“มีไรวะมึง” ผมขี้เกียจอธิบายเลยให้ภาพมันเล่าเรื่อง “บอกมาว่าใครส่ง”


“กูเปล่านะเว่ย!”


“กูก็ด้วย!”


“กูก็เปล่า!”


“กูก็เปล่าเหมือนกัน!” แม่งพร้อมใจกันปฏิเสธเลยนะไอ้พวกนี้


“งั้นถ้าพวกมึงไม่ส่งแล้วใครจะส่ง! ผีรึไง!”


ให้ตายสิ! มีแต่คนส่ายหน้าไม่ยอมรับกันสักคน คือเรื่องนี้ถ้าเมาท์กันแค่ในกลุ่มของพวกผมมันก็ไม่เท่าไหร่ไง แต่นี่ดันส่งเข้าไลน์กลุ่มใหญ่ของคณะ ซึ่งในกลุ่มนั้นมีสมาชิกตั้ง 200 กว่าคน แถมยังมีครูอาจารย์อีกเป็น 10 และที่สำคัญกว่านั้นไอ้เอสมันก็อยู่ในกลุ่มด้วย


“ใจเย็นๆ นะเว่ยไอ้ซี เห็นพวกกูเป็นงี้แต่พวกกูก็ไม่โกหกมึงหรอกนะเว่ย” ไอ้หลินพูด ซึ่งพอลองคิดดูดีๆ ก็จริงของมัน เห็นหาเรื่องด่ากันทะเลาะกันทุกวันแบบนี้ แต่ความจริงพวกผมน่ะรักจริงใจต่อกัน ไม่แทงข้างหลังหรือแอบทำอะไรลับหลังกันหรอก


“กูเป็นคนจับโทรศัพท์มึงเป็นคนสุดท้ายก็จริง แต่สาบานได้เลยนะเว่ยว่ากูไม่รู้เรื่อง กูไม่ได้ส่งจริงๆ”


“เออ ถึงไม่ต้องสาบานกูก็เชื่อมึง” ผมจับมือของไอ้เก่งที่ชู 3 นิ้วลง ส่วนเรื่องที่ว่าใครส่งก็ช่างแม่งละกัน ผมคิดไม่ออกแล้วก็ขี้เกียจจะคิดแล้ว


“ถ้ามึงไม่สบายใจก็ลบรูปไปก่อน ตอนนี้มันดึกแล้วคนยังเห็นไม่เยอะหรอก” ผมพยักหน้าแล้วทำตามที่ไอ้เก่งแนะนำ แต่ถึงจะลบไปแล้วคนที่ยังปักหมุดรอและแท็กผมก็ยังมีมาไม่หยุด ทั้งในไลน์กลุ่มและไลน์ส่วนตัวกันเลย


“เอาไงดีวะ กูควรตอบอะไรมั้ย” พลังเผือกของคนนี่แม่งน่ากลัวจริงๆ ขืนปล่อยไว้แบบนี้คงดังทั้งคืน มีแววไม่ได้นอนแน่กู


“ก็ไม่ต้องเอาไง ไม่ต้องตอบอะไรด้วย ภาพมันก็ฟ้องชัดเจนแล้วนี่ อยากร่านเองช่วยไม่ได้” ไอ้หลินเหยียดยิ้ม สีหน้าดูสะใจที่อีฟโดนเปิงโปงอยู่หน่อยๆ ไม่สิ...มากเลยล่ะ


“แต่เตง แล้วไม่คิดจะเห็นใจไอ้เอสบ้างหรอ”


“เออนั่นสิมึง” ไอ้เก่งเห็นด้วยกับไอ้อาร์ท “ถ้ากูเป็นมัน กูก็คงไม่อยากให้ใครเอาเรื่องส่วนตัวมาแฉลงกลางกลุ่มแบบนี้หรอก จะทักไลน์บอก โทรหา หรือนัดเจอก็ได้ อยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ ไม่ใช่คนไม่รู้จักกันสักหน่อย”


“แล้วประเด็นคือไอ้เอสมันเป็นดาราด้วย ถ้ามีข่าวเรื่องนี้หลุดออกไปมันจะเป็นไรมั้ยวะ” อันนี้ไอ้เสือถาม แต่ใครจะไปรู้ล่ะ พวกผมก็ได้แค่ทำหน้าคิดไม่ตกแล้วมองตากันเท่านั้นแหละ ชักเครียดแล้วสิผม


“มึงว่าไอ้เอสมันจะเห็นรูปในกลุ่มเปล่าวะ” ถึงจะถามอย่างนั้น แต่ในใจผมนี่คิดว่า 90% มันต้องได้อ่านแล้วแน่ๆ แต่คือผมอยากได้ยินคำตอบอีกแบบไง การหลอกตัวเองให้รู้สึกสบายใจทุกคนก็เคยทำใช่มั้ยล่ะ


“อาจจะยังไม่เห็นก็ได้มั้ง”


“เออ คงถ่ายละครอยู่แหละ”


“จริง มันงานเยอะจะตาย”


“ใช่ๆ ไม่มีเวลามาดูแชทกลุ่มหรอก”


ไอ้พวกเพื่อนผมมันก็รู้งาน เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยมาก ตอนไหนเล่น ตอนไหนจริงจัง ตอนไหนควรให้กำลังใจพวกมันรู้หมดแหละ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดขอบใจ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นซะก่อน


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


“ใครวะ” แต่แน่นอนใครจะไปรู้ ก็นั่งอยู่ด้วยกัน แถมประตูยังไม่มีตาแมวให้ส่องอีก เพราะงั้นคงมีแต่ต้องเปิดประตูออกไปดูอย่างเดียวนั่นแหละ


ซึ่งคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูก็คือ...


“อะ...ไอ้เอส...” เสียงว่าสั่นแล้ว แต่เชื่อมั้ย ร่างกายของผมแม่งสั่นยิ่งกว่าเสียงซะอีก


ถามว่าทำไม?


โอ้โห! ก็ดูหน้ามันตอนนี้สิ! แทบจะฆ่าคน (โดยเฉพาะผม) ตายด้วยหมัดเดียวได้เลยมั้งน่ะ! มึงอย่าดุมากได้มั้ยวะกูกลัวว้อยยยยยยยยย


“มึงกับกูมีเรื่องต้องคุยกัน!”


ถ้าอยากคุยจริงๆ มึงคุยกับกูตรงนี้ก็ได้! แต่ลากกูออกมาแบบนี้คงจะพากูไปฆ่าใช่มั้ย! กูยังไม่อยากตายนะเว่ย!


“มึงจะพากูไปไหน! ปล่อยกูววววววว” ผมร้องโวยวาย แต่ไอ้เอสก็ไม่สนใจ ยังจับข้อมือของผมแน่นแล้วก็ลากตัวผมไปเหมือนเดิม


เมื่อหมดปัญญาเพราะสู้แรงของมันไม่ได้ ผมเลยหันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากไอ้พวกเพื่อนที่อยู่ด้านหลัง แต่เชื่อมั้ย แม่งยืนอออยู่ที่ประตูกันหมด! ไม่มีใครออกมาช่วยผมเลยสักคน! แถมพวกมันยังมีการชูกำปั้นขึ้นแล้วพูดด้วยว่า...


“สู้ๆ นะ”


“ไฟท์ติ้ง”


“ขอให้โชคดี”


“กูเป็นกำลังใจให้”


กองเอาไว้ตรงนั้นแหละไอ้พวกเพื่อนเหี้ย! พวกมึงแม่งไม่รักกูจริง! ทิ้งกูกันหมดไอ้พวกเวร! กูเกลียดพวกเมิงงงงงงงงงงงงงง!


2BC


 :mc4: สวัสดีค่า Soulmate ตอนที่ 3 จบไปแล้ว มาลุ้นกันตอนหน้านะคะว่าเอสจะทำอะไร จะพาซีไปฆ่าตามที่ซีคิดมั้ย มาเอาใจช่วยซีกันด้วยน้าาา วงวารรรร เพื่อนก็ทิ้งซีหมดเลย 55555  :laugh:

ว่าแต่เรื่องรูปที่ถูกส่งไปในกลุ่ม จะเป็นฝีมือใครกันน้า??  o3 มารอเฉลยตอนหน้านะคะ วันศุกร์เจอกันค่า ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะทุกคนนน  :pig4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่3# เรื่องแซ่บในงานศพ [25.09.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Micky_MN ที่ 25-09-2019 21:38:12
เพื่อนตัสแสบ55 รอตอนหน้าคะ
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่3# เรื่องแซ่บในงานศพ [25.09.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 26-09-2019 03:39:35
อุ๊ย!!!!มือลั่น5555
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่3# เรื่องแซ่บในงานศพ [25.09.62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 26-09-2019 09:51:11
 :pig4: :pig4: :pig4:

ใครส่งรูปเข้ากลุ่ม? 

ก็ผีเจ้าเต้ยไง อิอิ

ป.ล. เอสเรียกซีไปเคลียร์เรื่องไรน้อ?  สงสัยจะให้รางวัลโทษฐานที่หาหลักฐานการคบซ้อนได้แหงเลย
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่3# เรื่องแซ่บในงานศพ [25.09.62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 26-09-2019 10:21:37
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่3# เรื่องแซ่บในงานศพ [25.09.62]
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 26-09-2019 11:29:19
เต้ยส่งรูปเข้าไลน์กลุ่มเลยเหรอ
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่3# เรื่องแซ่บในงานศพ [25.09.62]
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 26-09-2019 22:13:22
เต้ยเล่นแรงไปป่าว
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่3# เรื่องแซ่บในงานศพ [25.09.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Y-Darkness ที่ 27-09-2019 18:38:46
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่4# ปากดี [27.09.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Sameejaejung ที่ 27-09-2019 21:08:38
Soulmate วิญญาณป่วนรัก


Part 4# Z ปากดี


“ไอ้เอส มึงอย่าพึ่งโมโหกูดิ คุยดีๆ กับกูก็ได้ กูไม่ใช่ควายฟังภาษาคนรู้เรื่องเว่ย” ในเมื่อโวยวายแล้วไม่ได้ผล ผมเลยลองคุยกับมันดีๆ เออคราวนี้ได้ผลแฮะ ไอ้เอสมันยอมอ่อนลงนิดนึง...ก็ยังดีล่ะวะ


ผมไม่รู้นะว่าไอ้เอสมันรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ห้องนี้ แต่ถ้าให้เดาก็คงจะถามจากพวกเพื่อนที่มางานไอ้เต้ยล่ะมั้ง แต่ไอ้พวกนั้นแม่งก็เหลือเกิน ขนาดผมลบรูปไปแล้วก็ยังมีบางคนแคปเอามาส่งซ้ำ ยังไม่พอ ไอ้คนที่อยู่ข้างห้องก็ยังบอกว่าได้ยินเสียงครางกับเสียงเตียงสั่น ผมล่ะอยากถามจริงๆ ว่ามึงหูสวรรค์ประทานรึไง ใครจะไปมีอารมณ์ในช่วงงานศพกันวะ เอ๊ะหรือว่าสองคนนั้นจะเป็นข้อยกเว้น?


“ต้องการอะไร” ไอ้เอสถามเสียงแข็งหลังจากลากผมเข้ามาในห้องของมัน ตอนที่มันปิดประตูนะ เสียงนี่ดังปั้งจนผมถึงกับสะดุ้ง แม่งไม่กลัวมันหลุดออกมารึไง


“...” ผมไม่ตอบ ก็ไม่รู้จะตอบอะไรนี่หว่า มันที่เห็นแบบนั้นเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดเข้าไปในไลน์กลุ่ม จากนั้นก็ยื่นมาตรงหน้าผมแล้วให้ดูข้อความของพวกเพื่อนที่กำลังเมาท์กันอย่างเมามัน ซึ่งแต่ละประโยคนี่แบบ...ถ้าให้บรรยายคงไม่ผ่านกองเซ็นเซอร์แน่ๆ


“เห็นนี่มั้ย”


“อือ” ถามมาได้ ตากูไม่ได้บอดนี่ แต่อันนี้แค่ต่อในใจ ปัดโธ่ ใครจะกล้าพูดกันล่ะ ก็มันเล่นทำหน้าโหดซะขนาดนี้ เพราะงั้นที่ผมทำเลยแค่พยักหน้าแล้วตอบด้วยเสียงอ่อยๆ เท่านั้นแหละ


“ทำแบบนี้ต้องการอะไร สนุก? สะใจ?”


“เปล่า...”


“ถ้าเปล่าแล้วมึงลงรูปในกลุ่มทำไม”


“กูไม่ได้ลง”


“ถ้าอย่างนั้นแล้วใครลง”


“กูไม่รู้”


“ว่าไงนะ?” พอได้ยินคำตอบของผม จากที่มันพยายามจะใจเย็นก็ดูเหมือนว่าจะเริ่มเดือดขึ้นมาอีกครั้ง “ช่วยตอบให้มันดีกว่านี้หน่อยได้มั้ย”


“แล้วมึงจะเอาดีขนาดไหน จู่ๆ มันส่งไปได้ยังไงกูก็ไม่รู้”


“ถ้าจะโกหกก็ช่วยหาเหตุผลที่มันฟังขึ้นหน่อย จะอ้างว่าเผลอหรือมือลั่นก็ได้ แต่บอกว่าไม่รู้นี่มันสิ้นคิดว่ะ”


“เอ๊า! ไอ้เชี่ยนี่! ก็กูไม่รู้จริงๆ นี่หว่า!” ของขึ้นสิผม พูดความจริงก็หาว่าโกหก แถมยังโดนด่ากลายๆ ว่าเป็นคนไร้สมองอีกต่างหาก ไม่ยงไม่เย็นมันแล้ว!


“หึ พูดง่ายดีนะ”


“เออ! ง่ายแล้วไง! มึงจะเอาอะไรกับกูอีก! รูปก็รูปจริงกูไม่ได้ตัดต่อสักหน่อย! อ้อ...หรือที่โมโหอยู่นี่คือมึงเสียหน้าว่างั้น อายใช่มั้ยที่เป็นถึงดาราแต่ก็โดนสวมเขา แฟนย่องไปเอากับคนอื่นแถมยังเป็นที่งานศพด้วย” ไอ้เอสที่ได้ยินผมพูดแบบนี้ก็ถึงกับกำหมัดแน่น เอาจริงๆ ผมก็รู้แหละว่าตัวเองพูดแรงไป แต่คือคนกำลังโมโหอะ บอกไม่รู้ๆ ยังมาเซ้าซี้คาดคั้นอยู่ได้


“กูขอแนะนำนะ เอาเวลาที่มาโมโหกูแบบนี้ไปเคลียร์กับแฟนมึงดีกว่า นี่เผลอๆ ยังไม่รู้ตัวเลยมั้งว่ากำลังโดนเมาท์ขนาดไหน ถ้าโทรไปไม่รับก็ลองเดินไปเคาะที่ห้องดูแล้วกัน”


คือเห็นไอ้เอสมันนิ่งๆ ผมก็เลยได้ใจไง เอาใหญ่เลยสิผม ปากดีสุดๆ แถมพูดจบก็กะจะกลับหลังเดินออกจากห้องของมันแบบหล่อๆ ด้วย


แต่...


ปัง!


!!!


ไอ้เอสตบประตูดังลั่นเพื่อขวางผมเอาไว้ ผมที่กำลังช็อกและตกใจเลยได้แต่ยืนนิ่งๆ มันเลยใช้จังหวะนั้นจับคางของผมให้เงยขึ้นมา หน้าของมันตอนนี้แม่งน่ากลัวยิ่งกว่าตอนมาหาผมที่ห้องซะอีก ผมคิดว่าเมื่อกี้ผมได้ทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่ลงไปแล้วล่ะ


“งั้นมึงก็ลองมาโดนเมาท์บ้างเป็นไง”


“หา? มึงพูดอะไร”


“หึ!” ไอ้เอสไม่ยอมตอบ แค่หัวเราะในลำคอเท่านั้น ก่อนที่มันจะก้มหน้าลงมาจูบผมทันทีโดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว!


“อื้อ!” ผมเบิกตากว้างพร้อมกับดิ้นอย่างสุดแรง แต่ยิ่งดิ้นไอ้เอสมันก็ยิ่งบีบคางของผมแน่น แถมยังดูดปากของผมอย่างแรงจนผมรู้สึกชา


เมื่อรู้ว่ายิ่งดิ้นก็ยิ่งเจ็บ ผมเลยลองเปลี่ยนเป็นดิ้นน้อยลง ซึ่งไอ้เอสมันก็ยอมผ่อนแรงที่คางลงตาม แต่ถึงอย่างนั้นปากของมันก็ยังจูบผมอย่างหนักหน่วงอยู่ดี แถมนอกจากดูด มันยังขบแล้วก็เม้มที่ริมฝีปากล่างด้วยอีกต่างหาก


สารภาพเลยว่าที่ผ่านมาผมยังไม่เคยจูบกับใครที่มันถึงพริกถึงขิงขนาดนี้ ขนาดแค่สอดลิ้นเข้าไปยังไม่เคยเลยด้วยซ้ำ แต่การจูบกับมันอะไรที่ยังไม่เคยทำผมก็โดนบังคับหมด แม่งโคตรน่าเจ็บใจ


คือผมก็ขัดขืนอยู่นะ ไม่ใช่ว่ายอมให้จูบแล้วก็แลกลิ้นกับมันแต่โดยดี แต่แรงช้างสารแบบนี้ผมจะไปสู้มันได้ยังไง ยิ่งดิ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งเจ็บตัวเท่านั้น แล้วอีกอย่างใจของผมมันก็รู้สึกหวิวๆ สั่นๆ ก็ไม่รู้ว่าโกรธหรือว่าเพราะอะไร


ซึ่งจังหวะที่ผมเกือบจะรู้ตัวแล้วว่าแอบเคลิ้มไปกับจูบของไอ้เอส...


แชะ!


หืม? เสียงชัตเตอร์!


ผมเบิกตากว้าง ส่วนไอ้เอสก็ถอนจูบออกมาพลางยิ้มที่มุมปาก จากนั้นก็กดดูรูปจากโทรศัพท์ที่มันพึ่งถ่ายเองกับมือ


“มุมสวยใช้ได้เลยนะมึงว่ามั้ย” แล้วมันก็ยื่นโทรศัพท์มาให้ผมดู ถึงจะแค่แว้บเดียวก็เถอะ แต่ผมก็เห็นว่านั่นคือรูปที่มันกำลังจูบผม แม่งเลือกถ่ายตอนที่กำลังขยี้ปากกูอย่างหนักด้วยนะมึง!


“มึงรีบลบออกไปเลย” จริงๆ ก็อยากขึ้นเสียงใส่อยู่หรอก แต่ตอนนี้ผมปากชาลิ้นชาจนพูดอะไรแทบไม่ออก


“ทำไมกูต้องลบ ไม่คิดว่ามันน่าเสียดายหรอ น่าจะแบ่งให้เพื่อนในกลุ่มดูดีกว่านะ ยังไงกูก็โดนเมาท์อยู่แล้ว โดนเพิ่มอีกสักเรื่องมันไม่ก็ต่างกันมากหรอก”


“มึง...” ผมพูดอะไรไม่ออก ตอนนี้ร่างกายของผมมันกำลังเริ่มสั่นด้วยความกลัว


“กลัวอะไร รูปก็รูปจริงกูไม่ได้ตัดต่อสักหน่อย” ไอ้เอสมันตั้งใจจะเอาคืนผมด้วยวิธีการเดียวกัน แถมยังเอาคำพูดของผมกลับมาตอกหน้าด้วยอีกต่างหาก แต่ประเด็นคือเรื่องรูปที่ส่งผมไม่ได้ทำไง แล้วทำไมผมต้องมารับกรรมในสิ่งที่ผมไม่ได้ก่อด้วยวะ


“มึงแม่งเหี้ย” ในขณะที่พูดน้ำตาของผมก็เริ่มคลอ แต่ผมจะไม่ยอมร้องไห้ให้คนอย่างมันเด็ดขาด


“ถ้าเรื่องที่กูทำเรียกเหี้ย แล้วเรื่องที่มึงทำนี่เรียกอะไร” มันมองหน้าผมนิ่ง แต่แววตานี่แข็งกร้าวสุดๆ จนผมแอบกลัว


แว้บหนึ่งผมเลยคิดกลับกัน ลองเข้าใจมันและคิดว่าตัวเองเป็นมัน ผมก็คงจะรู้สึกโกรธไม่ต่างจากมันตอนนี้หรอกมั้ง เพราะงั้นผมจะยอมคุยกับมันดีๆ อีกสักครั้งก็ได้


“ขอร้องล่ะ ลบรูปเถอะ” แต่ทั้งที่ผมยอมลงให้ขนาดนี้ มันกลับ...


“ถ้ากูบอกว่าไม่ล่ะ”


“ไอ้เชี่ยเอส!” ผมชักยัวะ นี่ก็อุตส่าห์ขอร้องดีๆ แล้วนะ แต่ถ้ามันจะเป็นแบบนี้ก็ช่างแม่งแล้วกัน ผมไม่สนใจแล้ว


“มึงจะเอายังไงกับกู!”


“ก็โดนแบบที่กูโดนไง!”


“เออ! งั้นมึงก็เอาเลย! ลงรูปแม่งให้ครบทุกกลุ่มเลยนะสัส!” พูดจบผมก็ใช้แรงทั้งหมดผลักที่อกของมัน จากนั้นก็รีบเปิดประตูแล้วหนีออกจากห้องมาเลย


ก๊อกๆๆๆๆๆๆๆ


“เปิดหน่อย! กูเอง!” ผมเคาะประตูห้องรัวๆ ไอ้พวกเพื่อนเลยรีบมาเปิดประตูให้ผม อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาทุกตัวเลยนะ


“เป็นไงมั่งมึง”


“เคลียร์กับเอสแล้วโนะ”


“มันไม่โกรธมึงแล้วใช่มะ”


“ทุกอย่างเรียบร้อยดีเนอะ”


“หยุด!” ผมยกมือขึ้นมาเบรกพวกมัน “กูเหนื่อย กูขี้เกียจตอบ กูอยากนอน โอเค้?” พูดจบผมก็ทิ้งตัวลงบนเตียง แถมยังจัดการคลุมโปงเลยด้วย พวกมันจะได้ไม่มาเซ้าซี้อะไรผมอีก แต่เอาจริงๆ ก็มีแอบงอนด้วยแหละที่ก่อนนี้พวกมันพากันทิ้งผม


“พวกมึงกลับห้องไปก่อนไป พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” ไอ้เก่งคงจะพูดกับไอ้หลินไอ้อาร์ท พวกมันเลยอิดออดนิดหน่อยโดยเฉพาะไอ้หลิน แต่ก็ยอมกลับห้องแต่โดยดี


และแล้วในที่สุดความสงบก็กลับคืนมาสู่ห้อง แต่ประเด็นคือ...............กูนอนไม่หลับโว้ยยยยยยย! ก็จะหลับลงได้ยังไง ในเมื่อปากดีไปท้าไอ้เอสเอาไว้แบบนั้น


‘งั้นมึงก็เอาเลย! ลงรูปแม่งให้ครบทุกกลุ่มเลยนะสัส!’


พ่องตายยยยยยยย นี่กูพูดอะไรออกปายยยยยยย ไอ้เชี่ยเอสแม่งยิ่งบ้าจี้อยู่ด้วย ขืนมันทำขึ้นมาจริงๆ ชีวิตอันสดใสของผมได้พังทลายลงแน่ๆ ฮือออออออ


กิ๊ง


เสียงแจ้งเตือนไลน์! เท่านั้นแหละผมก็รีบหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างหมอนขึ้นมาดูทันที


@Zeeee อยากเผือก รอมึงเหลาอยู่นะ (เพื่อนที่เรียนเอกเดียวกันแท็กมา)


เหลาเหี้ยอะไรล่ะสัส! แม่งเอ๊ย! กูเกือบหัวใจวายตายเพราะมึงเลยเนี่ย!


“เฮ้ออออออ” เมื่อไม่มีเรื่องอะไรผมก็ถอนหายใจออกมาอย่างแรง ก่อนจะวางโทรศัพท์ลงแล้วเริ่มข่มตานอน


แต่จนแล้วจนรอดผมก็นอนไม่หลับ แหงล่ะ ก็ไลน์เด้งทีสะดุ้งที แต่ท้ายที่สุดแล้วไอ้เอสก็ไม่ได้ลงรูป มันแค่ขู่ให้ผมกลัวเฉยๆ ประสาทแดกทั้งคืนฟรีไปดิ นี่กูต้องขอบคุณมึงมั้ยสัส!



Soul Scene



ตอนที่ยังมีชีวิตผมเคยคิดนะว่าตายแล้วจะต้องไปที่ไหน ลงนรก ขึ้นสวรรค์ หรือว่าดับสูญไป แล้วก็ยังมีความกลัวอีกมากมายร้อยแปดพันเก้าอย่างด้วย แต่พอตายจริงๆ นอกจากจะไม่น่ากลัวอย่างที่คิดชีวิตก็ยังสนุกมาก แต่เสียดายอยู่อย่าง ผมคุยกับใครไม่ได้เลยค่อนข้างจะเหงาอยู่หน่อยๆ


ถามว่าเพื่อนที่เป็นวิญญาณมีมั้ย?


เหอๆ อย่าเรียกว่าเพื่อนเลย วิญญาณที่ยังวนเวียนอยู่แถวนี้ไม่ยอมไปเกิดสักทีก็มีแต่วิญญาณอาฆาตเท่านั้นแหละ พวกนั้นจ้องจะแก้แค้นโจทย์อย่างเดียว ไม่สนใจคบค้าสมาคมกับวิญญาณอื่นๆ ให้เสียเวลาหรอก เพราะงั้นวิญญาณที่ยังอยู่อย่างชิลๆ ก็เลยมีแต่ผมคนเดียวนี่แหละ


เวลาในแต่ละวันของผมก็จะขลุกอยู่กับพวกเพื่อนซะส่วนใหญ่ อย่างอยู่ในวงเมาท์ เวลานอน หรือไปไหน ผมใช้ชีวิตคล้ายๆ เดิมเลย จะต่างก็ตรงที่ผมสามารถทะลุหรือหายตัวไปเผือกที่ไหนก็ได้ แต่เรื่องหายตัวนี่ต้องเป็นที่ที่ผมเคยไปมาก่อนนะ ถ้าหากยังไม่เคยก็ต้องลอยไป หรือไม่ก็อาศัยติดรถไปกับมนุษย์อะไรแบบนี้


 หลังจากที่ผมตามเผือกจนรู้ว่ายัยอีฟแอบกิ๊กกับเปอร์ ผมก็จัดการส่งไลน์จากเครื่องเปอร์ชวนคุณเธอไปงานศพผมด้วยกัน ยัยนั่นที่กำลังหงุดหงิดเรื่องเอสอยู่พอดีก็เลยตกลงมาแก้เซ็งไรงี้ แต่สุดท้ายก็ยิ่งเซ็งกว่าเดิมไปสิเพราะเปอร์ดันถามว่ามาทำไม ผมนี่หัวเราะก๊ากแบบโคตรสะใจเลยล่ะที่เห็นยัยนั่นตอนหน้าแหก


เพราะงั้นทั้งวันที่อยู่งานศพผมคุณเธอเลยเอาแต่ทำหน้าบูด แถมยังบ่นตลอดด้วยว่าร้อนอย่างนั้น เบื่ออย่างนี้ วัดบ้านนอกนี่มันไม่มีอะไรเลย ส่วนตอนกลางคืนที่สองคนนั้นแอบนัดไปเจอกันที่ห้อง บอกเลยนะว่าอันนี้ผมไม่เกี่ยว พวกนั้นไลน์นัดกันเอาเอง


ส่วนจะนัดกันไปทำอะไร...แหม ชายหญิงที่แอบเล่นชู้อยู่ด้วยกันในห้องสองต่อสอง คงไม่ใช่แค่จับมือนอนหรือกอดกันใสๆ หรอกจริงมะ


แต่เรื่องรูปถ่ายที่ถูกส่งไปในไลน์ อันนั้นเป็นฝีมือของผมเองแหละ คือตอนนั้นผมก็คิดแค่ว่าอยากแฉให้คนอื่นรู้ความเลวของยัยนั่น ยิ่งเยอะยิ่งดีเพราะยิ่งสะใจ ผมเลยส่งเข้าไลน์กลุ่มคณะไปเลย แต่ก็นั่นแหละ ผมดันคิดน้อยไปหน่อย ไม่ทันได้มองในมุมของเอสเลยว่าจะรู้สึกยังไง แถมยังไม่คิดด้วยว่าเอสจะโมโหมากถึงขนาดนั้น


ซึ่งขณะที่ผมกำลังเครียดจนแทบจะเป็นผีบ้าอยู่แล้วนั่นเอง...


โอ้มายก็อด! เอสจูบซี! แถมยังบดบี้ขยี้มาก!


อ๊ากกกกกกกกกกก ตายตาหลับเป็นยังไงก็พึ่งจะเข้าใจวันนี้ แล้วนั่น...อื้อหืออออ เอสจูบได้หนักหน่วงไปอีก กร้าวใจเหลือเกินพ่อเอ๊ย บอกเลยว่านี่ฟินมากจนแทบจะลอยไปสู่สุขคติได้อยู่แล้ว


ดูท่าภารกิจ 100 วันของผมคงจะสำเร็จเร็วกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย!


2BC


สวัสดีค่า Soulmate ตอนที่ 4 ก็จบลงไปแล้ว ใครที่รอความฟินก็คงจะถูกใจนะคะ  :-[ ว่าแต่มีใครหวีดเบอร์เดียวกันกับเต้ยบ้าง เหมือนเต้ยนี่เป็นแกนนำในการหวีดเลยเนอะ 55555   o18

ส่วนตอนหน้ามาลุ้นกันนะคะว่าหลังจากจูบแล้วเอสกับซีนี่จะยังไงต่อ ความสัมพันธ์จะพัฒนาไปทางไหน ขึ้นหรือลงมาลุ้นกันค่า ขอบคุณที่ติดตามและเข้ามาอ่านนะคะ รักน้าาาาา  :pig4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่4# ปากดี [27.09.62]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 27-09-2019 21:50:52
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่4# ปากดี [27.09.62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 27-09-2019 21:54:43
 :z1:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่4# ปากดี [27.09.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 27-09-2019 22:30:18
สนุกมากจ้า  ชอบๆๆ
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่4# ปากดี [27.09.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Micky_MN ที่ 28-09-2019 13:12:40
 :haun4: เอสจูบโหด ชอบอ่า
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่4# ปากดี [27.09.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Y-Darkness ที่ 29-09-2019 15:57:45
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่5# แบล็คเมล์ [30.09.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Sameejaejung ที่ 30-09-2019 20:29:55
Soulmate วิญญาณป่วนรัก


Part 5# S แบล็คเมล์


ขณะนี้ผมกำลังจ้องรูปจากโทรศัพท์ที่กำลังจูบกับซีอยู่...


ก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นคิดอะไร รู้ตัวอีกทีก็จูบไปแล้ว แต่คงจะเป็นเพราะความโมโหนั่นแหละ ก็ดูเรื่องที่ซีทำสิ ขอโทษสักคำก็ไม่มี แถมยังแถข้างๆ คูๆ และพูดจาแบบนั้นกับผมอีกต่างหาก


หวังว่าเรื่องนี้จะเมาท์กันแค่ในกลุ่มไม่หลุดไปถึงนักข่าวนะ จริงอยู่ว่าผมไม่ได้มีชื่อเสียงขนาดที่ไปไหนก็จะมีคนรู้จัก เป็นแค่น้องใหม่ในวงการเท่านั้น แต่ก็อาจจะมีเพจหรือคอลัมน์เล็กๆ ที่เมาท์เรื่องนี้ ซึ่งผมไม่ชอบ ผมอยากอยู่เงียบๆ สงบๆ โฟกัสแต่เรื่องงานอย่างที่เป็นอยู่ ไม่อยากให้มีเรื่องที่มันน่ารำคาญมากวนใจ


ถามว่าผมเป็นคนแบบนี้แล้วจะทำงานในวงการได้หรอ?


ตอนแรกผมก็ค่อนข้างกังวล เพราะก่อนหน้านี้ที่รับแต่งานถ่ายแบบ ผมก็แค่ทำหน้าปกติไม่ต้องยิ้มหรือแอคติ้งอะไรมากมาย แต่พอมีต้นสังกัดมาทาบทามเป็นสายนักแสดง คราวนี้ผมต้องสวมบทบาทเป็นตัวละครนั้นๆ ก็คิดอยู่ว่ามันต้องยากผมเลยอยากปฏิเสธ


แต่พอเห็นค่าตัวต่อเรื่องเริ่มที่ 7 หลักต้นๆ ผมก็ชักลังเล แล้วต้นสังกัดก็เสนอเรื่องที่คาเรคเตอร์นิ่งๆ อย่างทนายสุดเย็นชามาให้ด้วย ผมเลยคิดว่าลองดูสักหน่อยก็ไม่เสียหาย แถมละครก็ไม่ค่อยเน้นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เท่าไหร่ จะเน้นไปที่เรื่องกฎหมายมากกว่า


ถึงแม้ต้นสังกัดจะเข้าใจว่าผมมีนิสัยยังไง แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะเข้าใจ เพราะทีมงานเบื้องหลังที่ทำงานกับผมใหม่ๆ ก็จะยังไม่ชิน มีด่าว่าผมหยิ่งบ้างทั้งต่อหน้าและลับหลัง แต่ผมก็ปล่อยผ่านไม่สนใจ ถ้าเบื่อหรือชินแล้วก็คงจะเลิกด่าไปเอง รวมคนทั่วไปที่บังเอิญเจอผมแล้วผมทำหน้านิ่งก็ด้วย


มาพูดกันที่เรื่องรูปที่ผมจูบซีกันต่อ ถึงจะขู่ไปแบบนั้นผมก็ไม่คิดจะลงรูปจริงๆ หรอก ไม่ใช่เพราะใจอ่อนหรือสงสารซี แต่มันจะกระทบกับตัวผมเองต่างหาก การทำงานในวงการบันเทิงภาพลักษณ์เป็นสิ่งสำคัญมาก ยิ่งช่องกำลังดันผมเป็นพระเอกหน้าใหม่ด้วย ถ้าหากมีรูปจูบปากกับผู้ชายหลุดออกไป มีหวังผมได้ดับก่อนที่จะดังแน่ๆ


แต่บอกไว้ก่อนว่าผมไม่ได้แอนตี้เรื่องแบบนี้หรอกนะ เดี๋ยวนี้โลกมันเปิดกว้างแล้ว ความรักความชอบมันก็รสนิยมส่วนตัว แถมคนในวงการเกือบครึ่งก็เป็นกันทั้งนั้น มีตั้งแต่ระดับพระเอกยันช่างไฟกันเลย


ส่วนตัวผมอันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน ที่ผ่านมาถึงผมจะคบแต่ผู้หญิงมาตลอด แต่ก็แค่เบื่อที่โดนตื๊อเลยคบไปงั้นๆ ไม่เคยถูกใจหรือชอบใครเลยสักคน ยิ่งรักยิ่งไม่เคย อาจเป็นเพราะตลอดมาทุกคนมักจะเข้าหาผมเพราะหน้าตา บอกว่าชอบทั้งๆ ที่ยังไม่รู้จักนิสัย แต่ผมก็ไม่ได้ปฏิเสธนะ อยากคบด้วยผมก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ทนความเฉยชาจากผมให้ได้ก็แล้วกัน


เร็วสุดคือ 3 วัน นานสุดคือเกือบปีซึ่งก็คืออีฟ แรกๆ เธอก็บอกเข้าใจ รับได้ทุกอย่างที่เป็นผม คงจะคิดว่าถ้าคบกันนานๆ ผมจะรักและเปลี่ยนนิสัยเพื่อเธอล่ะมั้ง แต่พอนานวันเข้าผมก็ยังเหมือนเดิม เธอเลยเริ่มประชดโดยทำตัวสนิทสนมกับเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งเพื่อทำให้ผมหึง แต่พอเห็นผมไม่รู้สึกอะไร จากที่แค่จะประชดเลยกลายเป็นนอกใจเข้าจริงๆ


ซึ่งผมก็ตั้งใจจะเคลียร์เรื่องนี้ให้จบสักทีอยู่แล้ว แต่ก็ดันมาเกิดเรื่องกับเต้ยขึ้นซะก่อน ก็รู้สึกใจหายเหมือนกันเพราะเต้ยเป็นเพื่อนที่ดี ร่าเริงสดใสและชอบชวนผมคุยบ่อยๆ ส่วนซีผมไม่ค่อยได้คุย แต่ก็รู้สึกได้ว่าเหมือนจะไม่ค่อยชอบหน้าผม แต่ตอนนี้คงเลยเป็นเกลียดไปแล้วล่ะ


“หึ” พอนึกถึงหน้าซีตอนโกรธ ผมก็รู้สึกตลกจนเผลอหัวเราะออกมา แต่หน้าตอนโกรธปนเขินเพราะถูกจูบนี่ผมคิดว่า... 


Rrrrrrrrrr Rrrrrrrrrr


จู่ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นขัดจังหวะ ภาพที่ซีกำลังถูกผมจูบแทนที่ด้วยใบหน้าของอีฟ พอเห็นแบบนี้จากที่กำลังสนุกผมก็รู้สึกหงุดหงิดไปเลย


[“เอส! เอสช่วยอีฟด้วย!”] พอผมกดรับสาย โดยที่ยังไม่ทันพูดอะไรอีฟก็พูดแทรกขึ้นมาแล้ว


“เรื่อง?”


[“เอสน่าจะเห็นแล้ว เรื่องรูปของอีฟกับเปอร์”]


“อืม”


[“อีฟทำผิดอีฟรู้ อีฟขอโทษนะเอส อีฟไม่มีอะไรจะแก้ตัว แต่อีฟมีเรื่องอยากให้เอสช่วย”]


“ช่วย?” ทำกับผมขนาดนี้ อีฟยังมีเรื่องจะให้ผมช่วยอีกเนี่ยนะ เชื่อเลยแฮะ


[“อีฟอยากให้เอสช่วยแก้ข่าวให้หน่อย บอกว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นการเข้าใจผิดกัน เอสอยู่กับเปอร์ที่ห้อง อีฟเลยเข้ามาหาเอสที่นี่ ช่วยอีฟด้วยนะคะเอส”]


“...”


[“เอส...เอสคะ ยังฟังอีฟอยู่มั้ย”]


“อืม”


[“ที่เมื่อกี้เงียบไป คือเอสไม่อยากช่วยอีฟงั้นหรอ”] เสียงของอีฟเริ่มแข็งขึ้น ท่าทางคงจะรู้สึกไม่พอใจ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องสนนี่นะ


“แล้วอีฟคิดว่าไงล่ะ”


[“เรื่องนี้มันก็กระทบกับเอสด้วยนะ อีฟรู้ว่าเอสไม่อยากถูกเมาท์เป็นขี้ปากคนอยู่แล้ว นี่เลยเป็นทางออกที่ดีที่สุดของเราสามคน...”]


“เดี๋ยวนะ”


[“คะ?”]


“ผมว่าอีฟใช้คำผิด มันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของอีฟกับเปอร์มากกว่า เพราะผมคงไม่โดนเมาท์มากเท่าไหร่หรอก”


[“เอส เอสจะพูดแบบนี้ไม่...”]


“กล้าทำก็กล้ารับหน่อยสิอีฟ แค่นี้นะ ผมต้องนอนแล้วเพราะพรุ่งนี้มีทำบุญแต่เช้า อ้อ...แล้วต่อไปนี้ก็ไม่ต้องโทรมากวนผมล่ะ เราสองคนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว” พูดจบผมก็กดวางสาย จากนั้นก็จัดการปิดไฟแล้วนอนทันที ส่วนอีฟก็ยังโทรมาอีกเรื่อยๆ แต่พอเห็นผมไม่รับก็ตัดใจยอมแพ้ไปเอง...


เช้าวันต่อมามีทำบุญให้เต้ยที่วัด ทุกคนเลยมารวมตัวกันตั้งแต่เช้า เท่าที่มองคร่าวๆ พวกเพื่อนที่มานี่น่าจะพอๆ กันกับแขกในงานเลย ดังนั้นงานที่มีให้ทำเลยไม่ค่อยมาก ช่วยกันแป๊บเดียวก็เสร็จ แล้วพอว่างแต่ละคนต่างก็จับกลุ่มซุบซิบ ซึ่งก็น่าจะเป็นเรื่องเมื่อคืนเพราะเห็นมองมาที่ผม แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจ


ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมก็ยังได้ยินบางประโยคอยู่ดี ส่วนใหญ่ก็ด่าอีฟกับเปอร์นั่นแหละ เห็นว่าแอบพากันย่องออกจากห้องตอนตี 4 นี่คงกลับกรุงเทพไปแล้วไม่มาร่วมงานตอนเผาหรอก


ส่วนข่าวเรื่องนี้ นอกจากเมาท์กันในกลุ่มเพื่อนก็แทบไม่มีออกสื่อที่ไหน คงเป็นเพราะผมรีบแจ้งกับต้นสังกัดเลยสั่งปิดข่าว ไม่มีออกสื่อใหญ่ๆ มีแค่เพจเล็กๆ ในเฟซบุ๊กเท่านั้น แต่ก็บอกเป็นอักษรย่อ คนไม่ค่อยรู้จักผมเลยเดากันไม่ออก ข่าวก็เลยไม่ได้ลุกลามใหญ่โต พรุ่งนี้ก็คงลืมกันแล้ว


“ไงเอส ทำอะไร ไหงมานั่งอยู่นี่คนเดียว” เก่งที่เดินมาพร้อมกลุ่มเพื่อนถามผม แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็ต้องมีซี แต่ทันทีที่เห็นผมซีก็สะบัดหน้าหนีแล้วเดินไปที่อื่นเลย ทำตัวเป็นเด็กๆ ไปได้


“เบื่อฟังคนนินทาน่ะ”


“อ๋อ เรื่องเมื่อคืนสินะ พวกกูขอโทษนะเว่ยที่ทำให้มึงอึดอัด แต่ว่ามึงอย่าไปโกรธไอ้ซีเลยนะ มันไม่รู้เรื่องจริงๆ”


แล้วเก่งก็เล่าเหตุการณ์เมื่อคืนทั้งหมดให้ผมฟังตั้งแต่ต้นจนจบ สรุปคือซีเป็นคนถ่ายรูป แต่เพื่อนแย่งโทรศัพท์ไปดู พอรู้ตัวอีกทีรูปก็ถูกส่งเข้าไลน์กลุ่มไปแล้ว ซึ่งปัจจุบันก็ยังพากันงงอยู่เลยว่าส่งไปได้ยังไง เพราะทุกคนสาบานได้ว่าไม่ได้ส่งจริงๆ


“เรื่องมันแล้วไปแล้ว ช่างมันเถอะ” ถึงผมจะยังสงสัยอยู่ว่า ถ้าไม่มีคนส่งแล้วรูปมันจะไปโผล่ในกลุ่มได้ยังไง แต่ในเมื่อทุกคนยืนกรานกันขนาดนี้ แถมดูท่าทางไม่ได้โกหกด้วย ผมก็ไม่มีเหตุผลต้องไปคาดคั้นให้มันมากความ


“เนี่ย กูดูคนไม่ผิด หล่อแล้วยังใจดี เอฟซีนะเพื่อน” เก่งพูดพร้อมกับชูมินิฮาร์ทมาให้ ความตลกของเก่งทำเอาผมหลุดขำหน่อยๆ นอกจากเต้ยก็มีเก่งนี่แหละที่ชวนผมคุยอยู่เป็นประจำ


“ว่าแต่ไอ้ซีมันไปไหนของมันเนี่ย ไม่ไหวๆ ก็ตกลงกันแล้วไงว่าจะมาขอโทษมึง” ระหว่างที่พูดเก่งก็มองซ้ายมองขวาหาซี แต่ก็ไม่เจอ


“ไม่เป็นไรหรอก มึงก็บอกว่าซีไม่ได้เป็นคนทำไม่ใช่หรอ”


“ก็ใช่ แต่พวกกูก็ผิดที่ขี้เสือกกันไง ไว้เดี๋ยวเจอมันเมื่อไหร่พวกกูจะลากมันมาขอโทษมึงนะ”


“ไม่ต้องก็ได้”


แต่ถึงผมจะพูดแบบนั้น หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการทั้งหมด จนไปถึงการเผาร่างของเต้ยเป็นลำดับสุดท้าย ระหว่างที่พวกเพื่อนแต่ละคนที่มางานกำลังแยกย้ายกันกลับ ซีก็ถูกกลุ่มเพื่อนลากมาหาผมแบบไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่


“คุยกันไปนะ พวกกูไปล่ะ เดี๋ยวมีคนเขิน” เก่งล้อซีจบก็ชวนเพื่อนให้รีบวิ่งหนีไป ส่วนซีก็ชูนิ้วกลางไล่หลัง แต่ในเมื่อทำอะไรไม่ได้เลยหันกลับมาหาผมด้วยใบหน้าเซ็งๆ


“ว่าไง จะขอโทษงั้นหรอ”


“จะขอบใจต่างหาก”


“หืม?” ผมค่อนข้างแปลกใจที่ได้ยินซีพูดแบบนี้ เป็นคนที่เดาอะไรไม่ได้เลยแฮะ


“เรื่องรูปกูก็บอกไปแล้วไงว่าไม่ได้เป็นคนส่ง กูไม่ได้ทำผิด แล้วกูจะขอโทษทำไม”


“...”


“ส่วนที่กูขอบใจ คือเรื่องที่มึงไม่ส่งรูปเข้ากลุ่มต่างหาก” ยอมรับเลยว่าซีเป็นคนที่อยู่เหนือความคาดหมายมาก ชักน่าสนใจ


“แค่ขอบใจเองหรอ ไม่คิดจะตอบแทนกูด้วยรึไง”


“หา? นี่มึงเมาอากาศใช่มั้ย เรื่องเมื่อคืนกูไม่ต่อยหน้ามึงก็ดีเท่าไหร่แล้ว!” ซีหน้าแดงหูแดง ไม่รู้เป็นเพราะโกรธหรือว่าเขินที่นึกถึงเรื่องจูบกันแน่


“แล้วมึงคิดว่ากูจะอยู่เฉยๆ ให้มึงต่อย?”


“ไอ้...” ซีทำท่าจะด่าอะไรออกมา แต่ว่าก็ไม่ได้พูด ถึงอย่างนั้นก็คงจะด่าในใจเรียบร้อยไปแล้ว “รูปอะ มึงลบไปแล้วใช่มั้ย”


“ทำไมกูต้องลบ”


“เอ๊าไอ้เหี้ย แล้วมึงจะเก็บไว้หาหอกอะไร”


“เอาไว้ใช้ไง”


“หา? ใช้ทำเชี่ยอะไร”


“แบล็คเมล์มึง”


“ไอ้เหี้ยเอส!”


“ชู่ว อย่าเสียงดังสิ เดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินหรอก” พอได้ยินผมพูดแบบนี้ซีเลยกัดฟันกรอด แต่ก็ยอมลดเสียงลงแต่โดยดี


“มึงต้องการอะไร” จะว่าไปผมก็ยังไม่ได้คิด ที่พูดก็แค่อยากแกล้งซีที่กวนประสาทผมก่อนเฉยๆ


น่าแปลกเหมือนกันนะที่ปกติผมจะเป็นคนนิ่งๆ ไม่ค่อยพูดกับใคร ยิ่งต่อล้อต่อเถียงแบบนี้ยิ่งห่างไกลเลย ก็งงเหมือนกันว่าทำไมกับซีถึงเป็นข้อยกเว้น แต่ผมก็ยอมรับนะว่าแบบนี้ก็สนุกดีเหมือนกัน


“ไม่มีอะไรมาก แค่มาช่วยงานกูเฉยๆ”


“แล้วถ้ากูไม่ทำล่ะ”


“ก็ไม่เป็นไร แต่กูก็แค่จะฟ้องมึงว่าทำชื่อเสียงกูเสียหาย มึงจะยืนกรานไม่ยอมรับว่าทำก็ได้ แต่รูปมึงก็เป็นคนถ่าย ส่งก็จากแอคเคาท์ของมึง ลองคิดดูแล้วกันว่าตำรวจจะเชื่อที่มึงพูดหรือจากหลักฐานที่มี” ผมยิ้มที่มุมปาก สวมวิญญาณทนายความที่กำลังถ่ายทำอยู่ ส่วนซีก็ได้แค่กำหมัดแน่นแล้วจ้องผมแทบจะกินเลือดกินเนื้อ


“งานอะไรที่มึงจะให้กูทำ” ในที่สุดก็ยอมแล้วสินะ


“ก็งานทั่วไป อย่างดูแล ดูตารางงาน ขับรถให้ ใช้ทำอะไรก็ทำ”


ช่วงนี้งานของผมเริ่มเยอะ เวลาไปไหนคนเดียวก็ค่อนข้างลำบากเหมือนกัน เพราะถึงผมจะมีต้นสังกัด แต่ก็ยังไม่ดังพอที่จะมีผู้จัดการส่วนตัว มีแค่ผู้จัดการร่วมที่คอยดูแลดาราหน้าใหม่หลายๆ คน ซึ่งก็จะมาดูแลผมเฉพาะตอนไปงานสำคัญเฉยๆ


“คือมึงจะให้กูไปเป็นผู้จัดการส่วนตัว?” จริงๆ มันก็ใช่ แต่ถ้าตอบแบบนั้นมันจะสนุกที่ไหนล่ะ


“ไม่คิดว่าเรียกแบบนั้นมันจะดูดีไปหน่อยหรอ”


“แล้วมึงจะให้เรียกแบบไหน”


“ก็...” ผมเว้นช่วงไว้ แล้วเดินเข้าไปใกล้ๆ พร้อมกับก้มลงกระซิบที่ข้างหูซี “เรียกว่าเบ๊น่าจะดีกว่า”


“ไอ้...!”


“วันนี้กูเหนื่อย ขอกลับห้องไปพักก่อนแล้วกัน” ผมรีบพูดตัดบทเพราะขี้เกียจฟังคำด่าของซี เพราะเดี๋ยวพรุ่งนี้คงได้ฟังทั้งวันจนหูชาแน่ๆ


“แล้วเจอกันพรุ่งนี้” ผมยิ้มที่มุมปากอย่างกวนๆ แล้วโบกมือลา ส่วนซีก็สาปส่งผมไล่หลัง ดูท่าชีวิตที่แสนน่าเบื่อของผมจะเริ่มสนุกขึ้นมาซะแล้ว...


2BC


 o14 สวัสดีค่า หลังจากที่ได้อ่านในมุมของซีมาตลอด คราวนี้ก็มาถึงมุมของเอสกันบ้าง ซึ่งก็จะเห็นว่าถึงข้างนอกจะดูนิ่งๆแต่ความจริงนี่ไม่ใช่เลย 55555  :laugh:

ถ้าหากอิมเมจของเอสทำให้ใครผิดหวังเราก็ต้องขอโทษด้วยจริงๆ แถมตอนต่อๆไปจะยิ่งหนักกว่านี้ยังไงก็ทำใจด้วยนะคะ 55555 แต่ก็หวังว่าทุกคนจะชื่นชอบและติดตามกันต่อน้า  :m13: ตอนหน้าเจอกันวันพุธค่า  :bye2:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่5# แบล็คเมล์ [30.09.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Y-Darkness ที่ 30-09-2019 22:35:55
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่5# แบล็คเมล์ [30.09.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 30-09-2019 22:55:54
น้องชะนีอีฟนี่ก็หน้าหนานะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่5# แบล็คเมล์ [30.09.62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 01-10-2019 01:36:25
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่5# แบล็คเมล์ [30.09.62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 01-10-2019 20:15:35
 :z1:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่5# แบล็คเมล์ [30.09.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Micky_MN ที่ 02-10-2019 14:08:49
นีแบบอีฟตัดได้ตัดคือดีมาก เชียร์ให้จีบซีไวๆ
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่6# ทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขัน [2.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Sameejaejung ที่ 02-10-2019 22:10:27
Soulmate วิญญาณป่วนรัก


Part 6# Z ทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขัน


แม่งเอ๊ยยยยยยยยยยย หงุดหงิดๆๆ อยากฆ่าคนฉิบหายเลยโว้ยยยยยยยยยยยย


ผมบ่นในใจพร้อมกับอีกคำด่ามากมายที่ขนมาทั้งสวนสัตว์ ไม่รู้ว่าชาติก่อนผมไปแย่งข้าวมันกินรึไง หรือว่าไปสุมไฟเผาบ้านของมัน ชาตินี้ผมถึงได้ตกเป็นเบี้ยล่างของมันโดยที่ทำอะไรไม่ได้


“ไงมึง ดีกับไอ้เอสแล้วใช่มั้ย” ไอ้เก่งถามขึ้นเมื่อเห็นผมเดินกลับมาที่รถ ไอ้พวกที่เหลือก็ทำหน้าสลอนอยากเผือกกันหมด


“ดูหน้ากูสิ คิดว่าดีกันแล้วมั้ยล่ะ”


“ประหนึ่งเพื่อนรักร่วมสาบาน”


“เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดสิไอ้ห่า! แม่ง นี่ว่าสักวันไม่กูก็มันต้องตายกันไปข้าง” แล้วผมก็เล่าเรื่องที่คุยกับไอ้เอสให้ไอ้เก่งกับพวกเพื่อนฟัง


ก็เล่าไปบ่นไปผสมด่าไปด้วยเลยยาวหน่อย จนขนาดที่พวกผมแวะซื้อของเพื่อจะไปตักบาตรให้ไอ้เต้ยตอนเช้าพรุ่งนี้เสร็จแล้ว ปากของผมก็ยังพูดเรื่องนี้ไม่จบไม่สิ้น


“กูขอแบบสรุปได้มั้ย คิดว่าพวกกูมีเวลาฟังยันเช้าหรอ” ไอ้เก่งบอกผม


“เออ คืนนี้กูจะนอนกับผัว ไม่นอนกับมึงหรอกนะเว่ย” ไอ้หนิงแม่งก็อีกคน


“แสรดดดดด เห็นผัวดีกว่าเพื่อน”


“แน่นอนสิ ก็ผัวง้อยาก แต่เพื่อนง้อง่าย บางทีไม่ต้องง้อก็หาย แล้วเรื่องอะไรกูต้องเทผัวด้วยล่ะ” เออ จะว่าไปก็จริงของมัน เถียงไม่ออกเลยสิผม


“เออๆๆ กูยอมสรุปให้ก็ได้ คือไอ้เหี้ยเอสมันบังคับให้กูไปเป็นเบ๊มัน ถ้าไม่ทำมันจะฟ้องกู แล้วคือตอนพูดนี่โคตรกวนส้นตีน กูบอกเลยนะว่าไอ้ที่พวกมึงเห็นมันนิ่งๆ ขรึมๆ พูดน้อยนี่ไม่จริง มันสร้างภาพไปงั้นแหละ เนื้อในของมันแม่งกวนส้นตีนที่สุดในสามโลก” พูดแล้วก็ชักขึ้น แต่ดูท่าทางขึ้นไปก็เท่านั้น เพราะไอ้พวกเพื่อนของผมแม่งไม่เห็นมีใครอินไปกับผมด้วย เหมือนไม่ค่อยเชื่อที่ผมพูดกันอะ


“แล้วงานเบ๊ที่มันให้มึงทำมีไรบ้างอะ” ไอ้เก่งถาม


“เห็นมันบอกว่าดูแล ดูตารางงาน ขับรถให้ ใช้ให้ทำอะไรก็ทำ”


“ก็ผู้จัดการส่วนตัวนี่” ไอ้อาร์ทพูด แต่ผมก็เบ้ปากแล้วส่ายหน้ารัวๆ


“โนวววว มันบอกกูเองว่าเบ๊ เผลอๆ เอาเข้าจริงนี่ใช้กูเยี่ยงทาส”


“ทาสรัก ทาสหัวใจ ทาสวิญญาณเปล่าแว้”


“พ่อมึงสิ!” ผมแยกเขี้ยวใส่ไอ้หลินที่หรี่ตามองผม ไอ้นี่แม่งท่าจะเมายาคุม พูดจาเลอะเทอะไปเรื่อย


“แหม แซวเล่นแค่นี้ทำเป็นของขึ้นไปได้ ว่าแต่มึงยอมตกลงมั้ยอะ”


“ไม่ยอมได้รึไง ก็แม่งขู่กูซะขนาดนั้น”


“เอาน่า คิดในแง่ดี ต่อไปมึงก็จะได้เห็นดาราสาวๆ สวยๆ เพียบเลยไง โคตร VIP ที่ไหนก็ไม่ได้อภิสิทธิ์ขนาดนี้นะเว่ย”


“เออ ก็จริงของมึง” พอไอ้เก่งพูดแบบนี้ก็ค่อยมีกำลังใจขึ้นนิดนึง บางทีการเป็นเบ๊ของไอ้เอสก็อาจจะไม่ได้นรกมากอย่างที่คิดก็ได้ ขอปลอบใจตัวเองเอาไว้แบบนี้ก็แล้วกัน


หลังจากนั้นพวกผมก็กลับโรงแรม น่าแปลกที่ยังเห็นรถของไอ้เอสจอดอยู่ ผมก็นึกว่ามันจะกลับกรุงเทพไปพร้อมกับพวกเพื่อนในคณะซะอีก เพราะพรุ่งนี้ก็เหลือแค่เก็บอัฐิกับลอยอังคารเท่านั้น เพื่อนไม่สนิทอย่างมันจะอยู่ทำไม ไม่มีงานมีการทำรึไงก็ไม่รู้ จะอยู่ขวางหูขวางตาผมเพื่อ


ซึ่งนั่นก็เป็นแค่การบ่นของผมไปเรื่อย ไม่ได้ต้องการคำตอบจริงจัง แต่ถึงอย่างนั้นวันต่อมาผมก็ได้คำตอบ...ไอ้เอสมันตั้งใจอยู่ต่อเพื่อกวนตีนผม!


รุ่งขึ้นหลังจากที่นอนกันจนเต็มอิ่มเพราะล่อตั้งแต่หัวค่ำ ผมกับพวกเพื่อนๆ ก็ตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวแต่เช้า เพื่อที่จะทำบุญใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลไปให้ไอ้เต้ย พวกผมถามป้าแม่บ้านเรียบร้อยว่ามีพระกี่รูปที่บิณฑบาตผ่านหน้าโรงแรม เพราะงั้นเลยพากันจัดของเป็นชุดให้เท่ากับจำนวนพระแบบพอดิบพอดี


ของที่พวกผมซื้อมาก็ไม่ได้เวอร์วังหรือวิลิศมาหราหรอก ก็แค่ของทั่วไปอย่างพวกนม ขนมปัง มาม่า ปลากระป๋อง ของกินเล่น อะไรแบบนี้ ซึ่งผมกับไอ้พวกเพื่อนๆ ก็เดินออกมาจากห้องพร้อมรับและส่งบุญเต็มที่ แต่ยังไม่ทันไรก็ดันมีมารหัวขนทักขึ้น


“ไปไหนกันหรอ”


ครับ...ก็อย่างที่เดากันออกนั่นแหละว่าไอ้มารตัวนั้นคือใคร ผมเลยตั้งใจจะตอบมันไปว่าเสือก แต่ไอ้พวกเพื่อนของผมก็ดันชิงตอบออกไปซะก่อน


“ไปใส่บาตรให้ไอ้เต้ย ไปด้วยกันดิเอส” ตอบอย่างเดียวกูก็เซ็งละ นี่ยังจะไปชวนมันมาด้วยอีกนะไอ้เก่ง มึงเห็นหน้ากูมั้ยว่าอยากให้มันไปด้วยรึเปล่า


“คนบาปหนากูว่าทำบุญไปก็เท่านั้นแหละ แต่กูก็ไม่ได้ว่าใครนะ พูดลอยๆ” ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แต่จะมีใครบ้างล่ะที่ไม่รู้ว่าผมหมายถึงใคร


“ขอบใจที่ชวนนะเก่ง กูว่างพอดี ขอไปด้วยแล้วกัน” ผมว่าขนาดนั้นมันก็ยังจะหน้าหนามาด้วยอีกนะไอ้นี่


“เสียใจด้วยนะแต่ไม่ทันแล้ว ไม่เกิน 5 นาทีพระก็คงมา มึงไม่น่าจะไปซื้อของทัน” ผมทำหน้าเย้ยมัน แต่ถึงอย่างนั้น นอกจากจะไม่ยอมแพ้แล้วไสหัวกลับเข้าห้อง มันยังมีการเดินตรงมาหาผมพร้อมกับยิ้มที่มุมปาก


“ถ้างั้นก็ไม่เป็นไร กูใส่บาตรกับมึงก็ได้”


“ได้ก็เหี้ยแล้ว! กูไม่ยอมหารบุญกับมึงหรอกนะ!”


“งั้นกูก็ขอรับบุญเต็มๆ เลยแล้วกัน” พูดจบมันก็แย่งถาดใส่ของตักบาตรจากมือผมไปเลย


“อ้าวเฮ้ย! ไอ้เชี่ยเอส!”


“ถ้าอยากตักบาตรก็ตามมา ชักช้าไม่ทันพระไม่รู้ด้วยนะ” ดู๊...ดูมันพูด ผมนี่ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่ามันจริงๆ


“ทีนี้พวกมึงเชื่อรึยังว่าไอ้เอสมันกวนส้นตีน” ผมหันไปบ่นกับไอ้พวกเพื่อนอย่างหัวเสีย


“กูว่าก็น่ารักดี”


“นั่นดิ ดูเข้าถึงง่ายน่าคบค้ากว่าเมื่อก่อนอีก” ไอ้หลินกับไอ้เก่งพูด ส่วนไอ้อาร์ทกับไอ้เสือก็พยักหน้าเห็นด้วยตาม ผมล่ะเชื่อพวกมันเลย กวนตีนก็คือกวนตีน มันมีอะไรใกล้เคียงกับคำว่าน่ารักน่าคบหาตรงไหนวะ


จากนั้นผมกับไอ้พวกเพื่อนก็เดินตามหลังไอ้เอสไปจนถึงหน้าโรงแรม ระหว่างที่รอพระท่านมา ผมก็พยายามทุกวิถีทางที่จะแย่งถาดใส่บาตรคืน แต่ก็ไม่สำเร็จ เห้ออออ สงสัยตอนเด็กๆ อบต.แถวบ้านโกงนม ผมเลยไม่ค่อยได้กินถึงได้เตี้ยกว่าไอ้เอสตั้งเกือบคืบ


“พระมานู่นแล้วนะ จะทำหน้าแบบนี้ใส่บาตรรึไง” หน้าแบบนี้ก็คือหน้าบูดเป็นตูดเป็ดนี่แหละ ว่าแต่วันนี้ทำไมมันพูดมากจังวะ


“กูจะทำหน้าแบบไหนก็เรื่องของกู” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ผมก็พยายามปั้นหน้าดีๆ นั่นแหละ เดี๋ยวบุญจะส่งไปไม่ถึงได้เต้ย


ไม่ถึงนาทีพระท่านก็เดินมาถึง ในเมื่อผมแย่งของจากมือไอ้เอสคืนมาไม่ได้ สุดท้ายผมก็เลยต้องจำใจใส่บาตรร่วมกันกับมัน แถมที่น่าขนลุกไปมากกว่านั้นก็คือ มือของผมต้องถูกมันจับซ้อนด้านหลังทุกครั้งที่หยิบของใส่บาตรด้วย ผมอยากจะบ้า!


อายุ วัณโณ สุขัง พลัง


หลังจากที่ให้ศีลให้พรเสร็จแล้วพระท่านก็เดินจากไป จนเมื่อเห็นว่าไกลพอสมควรที่จะไม่ได้ยินที่ผมพูดแล้วนั่นแหละ ผมจึงได้หันไปหาไอ้เอสที่ยันยืนสลอนไม่รู้จักไปที่อื่นสักที


“รับ Sin รับ Porn เสร็จแล้วก็ไปดิ จะยืนอยู่รอนรกรึไง” ผมไม่ใช้คำว่าสวรรค์วิมานหรอกนะ เพราะคนอย่างมันอะไม่มีทางได้ขึ้นไปแน่ๆ


“ตอนเด็กๆ กูเคยกลัวนะว่าถ้าตายไปแล้วตกนรกจะทำยังไงดี แต่ตอนนี้กูไม่กลัวแล้วล่ะ เพราะอย่างน้อยที่นั่นกูก็มีมึงเป็นเพื่อน”


“ไอ้...!” เจอมันตอกกลับแบบนี้ก็ไปไม่เป็นดิผม เลยได้แต่อ้าปากพะงาบๆ จ้องหน้ามันแค่อย่างเดียว ส่วนไอ้พวกเพื่อนของผมก็ไม่มีใครอยู่ทีมผมเลย แม่งพากันหัวเราะชอบใจกันใหญ่ ไอ้พวกเพื่อนเหี้ย


“วันนี้มึงรีบกลับกรุงเทพมั้ย ถ้าไม่ก็ไปเก็บอัฐิไอ้เต้ยแล้วไปลอยอังคารด้วยกันดิ” ดูท่าไอ้เก่งมันจะติดใจไอ้เอสขนาดหนัก ถึงได้ชวนไปด้วยกันแบบนี้


“ได้ วันนี้กูไม่มีงาน” ส่วนไอ้เวรนี่ก็น่าโมโห เมื่อก่อนคิวทองจะตาย ชวนไปไหนก็ไม่เคยไป ไหงวันนี้ถึงว่างได้ซะล่ะ แต่ถึงจะอยากถาม ผมก็ไม่ถามให้เปลืองน้ำลายหรอก เฮอะ!


แล้วอะไรคือรถตัวเองมีไม่นั่ง แต่เสือกมานั่งรถคันเดียวกับพวกผม ผู้ชาย 5 ชะนี 1 รวมเป็น 6 มันก็เบียดสิโว้ย รวยก็รวยแต่เสือกมาประหยัดอะไรกะอีแค่เรื่องนี้ มิหนำซ้ำแม่งยังเลือกนั่งข้างๆ แล้วจงใจเบียดผมอีกต่างหาก


ถ้าจะทำขนาดนี้ไม่อุ้มกูขึ้นไปนั่งที่ตักเลยล่ะสัส!


ดีนะที่วัดไม่ไกลจากโรงแรมมาก ผมเลยไม่ต้องนั่งเบียดให้เป็นเสนียดร่างกับไอ้เอสนาน ซึ่งพอถึงวัดปุ๊บผมก็รีบพุ่งออกจากรถปั๊บ แถมยังอยู่ให้ห่างมันเพื่อให้มันรู้ตัวว่าผมเกลียดขี้หน้ามันมากด้วย


เมื่อทุกคนลงจากรถครบแล้ว พวกเราก็พากันเดินไปที่เมรุที่นัดกับหลวงตาเอาไว้ เมื่อไปถึงก็เห็นว่าป้าของไอ้เต้ยได้มาถึงเป็นที่เรียบร้อย แล้วก็แบ่งอัฐิเป็น 2 ส่วนแล้วด้วย โดยส่วนแรกเอาใส่โกศเตรียมบรรจุเข้ากำแพงวัด กับส่วนที่ 2 ห่อใส่ผ้าเตรียมนำไปลอยอังคาร


ขั้นตอนทั้งคู่ใช้เวลาพอๆ กัน แต่ถ้าถามเรื่องความเศร้าขั้นตอนที่ 2 นั้นเศร้ากว่ามากกกกก ยิ่งเวลาที่โปรยอัฐิของไอ้เต้ยลงแม่น้ำ ภาพที่เถ้ากระดูกค่อยๆ กระจายและจมสู่ด้านล่าง มันก็ได้ตอกย้ำว่าไอ้เต้ยได้จากไปแล้วจริงๆ


“มือมึงสั่นทำไมวะไอ้ซี” ไอ้เก่งที่ยืนอยู่ข้างๆ ทักผมขึ้น


“แล้วเสียงมึงอะสั่นทำไม” มันไม่ยอมตอบ แต่ถึงอย่างนั้นทำไมผมจะดูไม่ออก ก็ตาเล่นแดงซะขนาดนั้น


“ห้ามร้องไห้นะเว่ย ถ้ามึงร้องกูก็ไม่ทนนะ” อันนี้ผมไม่ได้พูด คนที่พูดคือไอ้เสือ แต่ผมก็คิดเหมือนมันนั่นแหละ


“แล้วถ้ากูร้องแล้วล่ะวะ” ส่วนนี่เสียงไอ้หลิน มันหันหน้ามาทางนี้พร้อมกับน้ำตาไหลพราก เท่านั้นแหละพวกผมก็บ่อน้ำตาแตกปล่อยโฮพร้อมกันเลย


จะมีก็แต่ไอ้เอสนั่นแหละที่มันไม่ได้ร้องไห้ แต่ก็ไม่แปลกอะไรหรอกเพราะมันไม่ได้สนิทกับไอ้เต้ย ไม่ได้ผูกพันมากมายเหมือนกับพวกผม แต่ถึงจะไม่ได้ร้องไห้ก็ใช่ว่ามันจะไม่เศร้า แถมในเวลาแบบนี้มันยังเข้าใจสถานการณ์ ไม่กวนประสาท ไม่ชวนทะเลาะ แล้วก็ยังอุตส่าห์ลูบที่ศีรษะผมเบาๆ เพื่อปลอบโยนด้วย


กว่าที่พวกผมจะหยุดร้องไห้กันก็สักพักใหญ่ๆ นู่นแหละ แต่ก็ตกลงกันว่าจะร้องไห้เป็นวันสุดท้ายแล้ว แต่นั่นไม่ใช่เป็นเพราะไม่รักไอ้เต้ย เพราะรักนั่นแหละพวกผมเลยไม่อยากร้องไห้ ก็มันอุตส่าห์เข้าฝันมาบอกทุกคนว่าสบายดีถึงขนาดนั้นแล้วนี่นา


จะว่าไปก็น่าแปลกอยู่อย่าง ตอนที่พวกผมทั้ง 5 คนกอดกันร้องไห้ ผมรู้สึกได้ว่าในนั้นก็มีไอ้เต้ยอยู่ด้วยเหมือนกัน ซึ่งถ้ามันเป็นจริงอย่างนั้นผมก็จะดีใจมากๆ เลย...


ไม่นานช่วงเวลาเศร้าก็ได้พัดผ่านไป ก็นะ ชีวิตมันจะเศร้าทั้งวันก็ไม่ได้ แล้วก็อย่างที่บอกไปว่าพวกผมไม่อยากให้ไอ้เต้ยมีห่วงด้วย


ประมาณ 11 โมงพวกผมก็กลับมาถึงโรงแรม ถึงแม้จะกลับมาช้ากว่าที่คิด แต่ก็ยังเหลืออีกเป็นชั่วโมงให้เก็บของ ซึ่งตอนที่ผมนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงเพราะเก็บไว้ส่วนหนึ่งตั้งแต่เช้าแล้ว ไอ้เก่งที่เห็นว่าผมว่างก็เลยได้โอกาสใช้ผมเลย


“มึงไปบอกไอ้เอสหน่อยดิว่าพวกเราจะกลับกันแล้ว ถามด้วยว่ามันจะกลับพร้อมเปล่า”


“ถามทำไม รถมันก็มี มันอยากกลับตอนไหนก็เรื่องของมันดิ” คนกำลังนอนส่องสาวในเฟซเพลินๆ แม่งก็มาทำให้เสียอารมณ์


“ไอ้ห่า อยู่บ้านเดียวกันก็ญาติดีกันหน่อยดิวะ”


“ก็มันชอบกวนส้นตีนกูอะ”


“แหมมมมม แล้วพวกกูนี่ไม่กวนส้นตีนมึงเลยว่างั้น”


“ก็พวกมึงไม่เหมือนกับมันอะ”


“อย่างอแงไอ้สัส เดี๋ยวปั๊ดทุ่มด้วยกระเป๋าเลยนี่”


“เออๆๆ ไปก็ได้” ผมขี้เกียจจะเถียงกับไอ้เก่งต่อแล้วเลยลุกขึ้นจากเตียงอย่างไม่เต็มใจ ว่าแต่ไอ้เอสมันอยู่ที่ห้องไหนนะ ใช่ห้องนี้รึเปล่าหว่า


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


แล้วพอประตูห้องเปิดออกมาผมก็เห็นว่าเป็นมันอย่างที่คิดจริงๆ ผมนี่นอกจากจะหล่อแล้วยังความจำดีอีกด้วยนะเนี่ย


“มีอะไร” ให้ตาย! ไอ้เชี่ยนี่มันไม่มีประโยคทักทายคนอื่นแบบดีๆ บ้างเลยรึไงวะ มันน่าชวนกลับกรุงเทพด้วยมั้ยถามใจดู


“พวกกูกำลังจะกลับกรุงเทพ”


“อืม” ดูความกวนส้นตีนของมัน แล้วแม่งก็ทำหน้าประมาณว่าแล้วไง บอกกูทำไมด้วยอะ


“กูมาบอกแค่นี้แหละ ไปละ” ไม่ชวนกลับด้วยแม่ง แล้วผมก็กะจะเดินกลับไปที่ห้อง แต่มันก็เสือกเรียกผมเอาไว้ก่อน


“เดี๋ยว”


“มีอะไร”


“กูมาคนเดียว”


“เออ แล้วไง” มันจะบอกผมทำไม ผมถามเรอะก็เปล่า


“มานั่งเป็นเพื่อนด้วย”


“เรื่องอะไรกูต้องนั่งกับมึง กูจะนั่งกับเพื่อนกู” โอ้โห ช่างกล้าชวนเนอะ คงจะเหงาอะดิที่ต้องขับรถกลับกรุงเทพคนเดียว หวายๆๆ ไอ้คนไม่มีเพื่อนคบ


“อีก 20 นาทีเจอกันที่รถ”


“เอ๊าไอ้เชี่ยนี่มึงได้ฟังที่กูพูดมั้ย กูบอกว่าไม่...”


ปัง!


ว้อทเดอะฟัค! อะไรคือกูยังพูดไม่จบก็ปิดประตูใส่หน้า หรือมันคิดว่าที่บอกให้มานั่งเป็นเพื่อนคือประโยคคำสั่ง? เฮอะ! ใครจะไปทำตาม!


“ไง ไอ้เอสมันจะกลับพร้อมมั้ย” พอกลับมาถึงห้องปุ๊บไอ้เก่งแม่งก็รีบถามปั๊บ ถ้าอยากรู้ขนาดนั้นไม่ไปถามมันเองล่ะแหม่ ว่าแต่ไอ้หลินกับไอ้อาร์ทมาอยู่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ เก็บของไวใช่ย่อยเลยนะเนี่ย


“ไอ้เอสมันจะอยู่ต่อ”


“กูขอความจริง” เสือกรู้ดีอีกว่ากูโกหก


“เออ! มันบอกจะกลับพร้อมนี่แหละ แต่จะให้กูไปนั่งเป็นเพื่อน เฮอะ! กูคงจะไปหรอก กูก็ต้องนั่งกับพวกมึงอยู่แล้ว พวกมึงก็ต้องอยากให้กูนั่งกลับด้วยแน่นอนใช่มั้ยล่ะ ขาดกูคนนึงรถเงียบเหงาตายห่า”


“...”


“อ้าว ทำไมเงียบกันอะ” เงียบไม่พอยังมีการหันหน้าไปมองกันด้วย คืออะไรยังไง กูชักใจไม่ดีแล้วนะเว่ย


“พวกมึงคงไม่คิดจะให้กูไปนั่งรถกับไอ้เอสหรอกใช่มั้ย” แต่แล้วผมก็ได้รู้ว่าพวกมันไม่ได้แค่คิด พวกมันทำเลย เพราะแม่งพากันลากผมไปส่งให้ไอ้เอสที่รถแล้วก็รีบวิ่งตัวปลิวหนีไป ไอ้พวกเพื่อนชั่ว!


“กูขอสาปแช่งพวกเมิงงงงงงงงงงงงง” แล้วประเด็นคือจะวิ่งไปเตะตูดไอ้เพื่อนทรพีที่ทรยศผมก็ทำไม่ได้


ถามว่าทำไม?


ก็เพราะไอ้เชี่ยเอสแม่งจับที่คอเสื้อผมเอาไว้น่ะสิ! เห็นกูเป็นลูกแมวเรอะไอ้ฉิบหาย!


“ปล่อยกู!” ผมหันไปแง่งๆ ใส่ ถ้าข่วนหน้าได้จะข่วนให้เป็นยันต์ห้าแถวเลยสาด


“รับปากมาก่อนว่าจะเข้าไปนั่งในรถดีๆ” เฮอะ! ใครมันจะไปทำ แต่หน้าผมคงแสดงออกชัดไปมั้ง เพราะงั้นไอ้เอสมันเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วเปิดรูปจูบเจ้าปัญหายื่นมาตรงหน้าผม


“กูไม่อยากจะทำแบบนี้กับมึงที่นี่แล้วก็ตอนนี้หรอกนะ แต่ถ้ามึงยังดื้อ...”


“บ้าาาา ใครดื้อ กูเปล๊าาาา กูเป็นคนว่านอนสอนง่ายจะตาย” เปลี่ยนสีไวยิ่งกว่ากิ้งก่าก็กูนี่แหละ แม่งเอ๊ย ถึงไม่อยากยอมก็ต้องยอม อย่าให้กูมีเรื่องแบล็คเมล์มึงคืนได้ก็แล้วกัน!


“เด็กดี” ไอ้เอสยิ้มที่มุมปาก จากนั้นก็ลูบที่ศีรษะของผม 2 – 3 ทีอีกด้วย


โอ้โห! เจอมันหยามแบบนี้ก็ขึ้นสิผม! แต่ถามว่าทำอะไรมันได้มั้ย คำตอบก็คือไม่ ทำได้แค่อย่างเดียวก็คือรีบเข้าไปนั่งในรถแต่โดยดีเท่านั้นแหละ เจ็บใจจริงโว้ยยยยยยยย!


2BC


 o15 สวัสดีค่า Soulmate ตอนที่ 6 ก็ได้จบลงไปแล้ว ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากซึ้งเรื่องของเต้ยนิดหน่อยก็จะเป็นบทกวนๆของเอสกับซี ไม่รู้กวนกันมากไปจนเหมือนนิยายตลกไม่เหมือนนิยายรักรึเปล่า 55555  :laugh:
แต่ก็หวังว่าทุกคนจะชอบนะคะ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็จะเริ่มพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ ส่วนเรื่องเศร้าๆเราก็ไม่อยากเน้นมาก มันหน่วง ฮืออออ  :monkeysad:
แล้วเจอกันวันศุกร์นะคะ มาเอาใจช่วยเอสกับซีด้วยน้า ถ้าชื่นชอบก็คอมเมนท์เป็นกำลังใจให้เค้าหน่อยน้า  :กอด1: รักนะคะ จุ๊บๆ  :จุ๊บๆ:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่6# ทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขัน [2.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 02-10-2019 23:37:04
 :z1:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่6# ทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขัน [2.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 03-10-2019 01:38:27
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่6# ทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขัน [2.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 03-10-2019 17:00:36
น่ารักๆๆ :hao7:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่6# ทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขัน [2.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Micky_MN ที่ 04-10-2019 02:43:01
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่6# ทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขัน [2.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Y-Darkness ที่ 06-10-2019 06:37:40
 o13
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่7# งาน N [09.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Sameejaejung ที่ 09-10-2019 21:36:02
Soulmate วิญญาณป่วนรัก


Part 7# งาน N


“ทำอะไร” ผมถามซีที่พอขึ้นรถปุ๊บก็เอนเบาะลงนอนปั๊บ แถมยังเอาเสื้อตัวหนึ่งมาปิดตาบังแสงอย่างพร้อมสรรพอีกต่างหาก ผมก็คิดอยู่ว่าก่อนหน้านั้นซีเปิดประเป๋าหยิบเสื้อออกมาทำไม แต่ก็ไม่ได้ถามเพราะกำลังขับรถอยู่


“ตาบอดรึไงถึงมองไม่เห็นว่ากูกำลังนอน” ซีพูดโดยที่ไม่ยอมเอาเสื้อออกจากตาด้วยซ้ำ ผมเลยจัดการดึงออกซะแล้วโยนไว้ที่หน้ารถ


“ลุกขึ้นมา กูบอกให้มึงมานั่งเป็นเพื่อน ไม่ใช่นอนเป็นเพื่อน”


ผมไม่อยากขับรถกลับคนเดียว แต่นั่นไม่ใช่เพราะว่าเหงาหรือพิศวาสซีหรอก ก็แค่กลัวหลับในเพราะนอนน้อยมาหลายวันเลยอยากให้มีคนมาเป็นเพื่อนคุย ซึ่งซีก็ตอบโจทย์ เพราะนอกจากจะพูดมากก็ยังชอบทำสีหน้าตลก และไอ้ความตลกนั้นบางทีผมก็มองว่าน่ารัก อย่างเช่นตอนนี้ที่ซีกำลังทำหน้างอและพองลมที่แก้ม


“แล้วจะให้กูนั่งเฉยๆ รึไงเล่า”


“ก็พูดไปด้วย พูดไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงกรุงเทพ”


“จะบ้าหรอ! ตั้ง 3 – 4 ชั่วโมงกูจะเอาอะไรมาพูด!” จริงๆ หน้าตอนโมโหแบบนี้ก็ดูน่ารักดีเหมือนกัน


“นั่นไม่ใช่ปัญหาของกู” ผมยักไหล่ ส่วนซีก็แยกเขี้ยวใส่ทำท่าจะกินหัวผม ทำไมกันนะขนาดตอนนี้ผมยังมองว่าซีน่ารัก นี่สมองของผมเพี้ยนไปแล้วรึเปล่า?


“ไอ้...!” ตอนนี้ซีคงไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่าผม สุดท้ายเมื่อคิดไม่ออกก็เลยคงจะช่างแม่ง แล้วหลังจากที่ปรับเบาะขึ้นซีก็หันมายื่นข้อเสนอกับผม


“จะให้กูคุยเป็นเพื่อนก็ได้ แต่มึงต้องจ่ายค่าจ้าง กูไม่รับงาน N ฟรีๆ หรอกนะเว่ย” ผมเกือบหัวเราะพรืดกับคำว่างาน N ของซี คิดว่าตัวเองเป็นพริตตี้รึไง เป็นคนที่มักจะพูดหรือทำอะไรนอกเหนือความคาดหมายของผมทุกทีสิน่า


“แล้วมึงจะเอาเท่าไหร่” ซีชูนิ้วชี้ขึ้น แว้บแรกผมคิดว่า 1 หมื่น แต่คงไม่ใช่มั้งเพราะดูจะแพงไป แต่ถ้าเป็น 1 พันอันนี้ก็คงไม่ใช่ ซีคงไม่คิดค่าตัวถูกขนาดนั้น แล้วสรุปซีคิดค่าตัวเท่าไหร่?


แต่ยังไม่ได้ถามออกไปซีก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน


“แวะปั๊มหน้าด้วย กูหิว”


“อืม” ผมพยักหน้าแล้วตีไฟเลี้ยวเข้าปั๊ม ที่นี่มีทั้งศูนย์อาหาร ร้านสะดวกซื้อ แล้วก็ร้านกาแฟ ซึ่งพอผมจอดรถปุ๊บซีก็แบมือมาที่หน้าผมปั๊บ


“อะไร”


“ก็เงินไง เอาเงินมา หรือมึงจะให้กูไปขอข้าวขอน้ำเขากิน”


“...” ถึงจะงงๆ แต่ผมก็ควักแบงก์พันยื่นให้ซี


“แบงก์ร้อยก็มี เอาแบงก์พันมาทำไม” แล้วซีก็หยิบแบงก์ร้อยออกจากกระเป๋าตังของผมไปเลย จากนั้นก็เปิดประตูลงจากรถแล้ววิ่งเข้าไปในเซเว่น ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนผมได้แต่มองตาปริบๆ


ถามว่าโกรธมั้ยที่ซีถือวิสาสะเอาเงินในกระเป๋าของผมไป?


ไม่นะ แค่อึ้งแล้วก็งงมากกว่า ที่อึ้งคือไม่เคยมีใครกล้าทำแบบนี้กับผม ส่วนที่งงคือการที่ซีไม่เอาแบงก์พันที่ผมยื่นให้ แต่กลับเอาแค่แบงก์ร้อยในกระเป๋าใบเดียวเท่านั้น เชื่อเลยแฮะ


เรทงาน N ราคาแค่นี้ เรียกใช้บริการทุกวันซะเลยดีมั้ย?


ซึ่งขณะที่ผมกำลังคิดอะไรไร้สาระอยู่นั้น ซีที่ซื้อของจากเซเว่นเสร็จแล้วก็เดินกลับมาที่รถ ในถุงมีอะไรก็ไม่รู้หลายอย่างแต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจ จนกระทั่ง...


“เอ้า!” ซียื่นแซนด์วิชมาตรงหน้าผม


“อะไร”


“ไม่รู้จักรึไง แซนด์วิชอะแซนด์วิช รสปูอัดไข่กุ้งอ่านออกมั้ยหา!” พูดอย่างเดียวไม่พอ ยังยื่นแซนด์วิชเข้ามาใกล้มากขึ้นจนจะกระแทกตาผมอยู่แล้ว


“อันนั้นกูรู้ แต่ที่ถามคือมึงเอามาให้กูทำไม”


“เอ๊า! ยื่นให้เอาไปทิ้งมั้งฟายยยย ยื่นให้มึงกินไงถามอะไรโง่ๆ” ซีพูดด้วยท่าทางหงุดหงิด ก่อนจะชักมือกลับแล้วแกะซองแซนด์วิชออก ตอนแรกผมก็นึกว่าซีจะยึดคืนไม่ให้ผมกินแล้ว แต่...


“อ้าปาก”


“หา?” แล้วจังหวะที่ผมกำลังงง ซีก็จัดการยัดแซนด์วิชเข้ามาในปากของผมทันที


!!!


“กินๆ เข้าไป ถามมากอยู่นั่น คนยิ่งหิวๆ อยู่” ซีบ่นให้ผมด้วยท่าทางรำคาญหน่อยๆ ส่วนผมที่ถึงแม้จะยังอึ้งๆ ในสิ่งที่ซีทำอยู่ แต่ก็ยอมกินแซนด์วิชที่ซีอุตส่าห์ป้อนให้แต่โดยดี


การกระทำนั้นแม้จะดูรุนแรงเกินคำว่าป้อนไปหน่อย แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกไม่ชอบ เพียงแค่รู้สึกแปลกๆ เท่านั้น


ซึ่งหลังจากที่ผมกินแซนด์วิชหมดแล้วนั่นแหละ ซีถึงเริ่มกินของตัวเองบ้าง ก็กินไปบ่นไปตามประสาคนพูดมาก บ่นได้ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ แต่แปลกที่นอกจากจะไม่รู้สึกรำคาญผมยังรู้สึกว่าเพลินดี จนกระทั่งไม่มีเรื่องอะไรจะบ่นแล้ว ซีถึงได้เบนเข็มมาถามเรื่องของผม


“กูแปลกใจมานานละ ขอถามอะไรหน่อยดิ จะว่ากูเสือกก็ได้เพราะกูก็เสือกจริงๆ”


“จะถามอะไรก็ถาม” พูดซะยืดยาวเลย


“ทำไมมึงถึงมาเป็นดาราได้อะ ดูมึงเป็นคนไม่ค่อยชอบความวุ่นวายนี่”


“ทุกอย่างมันมีข้อยกเว้นหมดแหละ” อย่างเรื่องซีนี่ไง ปกติผมชอบให้ใครมาวุ่นวายด้วยที่ไหน


“แล้วทำไมถึงได้ยกเว้นอะ หรือว่าเพราะชอบ?”


“เพ้อเจ้อรึไง! กูเนี่ยนะจะชอบ...!” ผมยั้งคำว่า ‘มึง’ เอาไว้ได้ทัน แต่ถึงอย่างนั้นการที่ผมพูดเสียงดังก็ทำให้ซีตกใจได้อยู่


“ถามแค่นี้ทำไมต้องของขึ้นด้วยวะ ก็พูดเองนี่ว่าจะถามอะไรก็ถาม” ซีทำหน้าบูด


“โทษที กูเข้าใจอะไรผิดนิดหน่อยน่ะ”


“เฮอะ! มึงนี่แม่ง...”


“อยากถามอะไรอีกก็ถามมาสิ”


“ที่รีบขัดคือไม่อยากฟังคำด่าของกูใช่มั้ยล่ะ” ซีเบ้ปากแล้วมองค้อนมาที่ผม แต่เนื่องจากเป็นคนที่โกรธง่ายหายไวอยู่แล้ว เรื่องที่ยังเคืองผมอยู่ก็เลยปล่อยผ่านซะ


“ปกติมึงทำงานที่ไหนอะ”


“ก็แล้วแต่วัน ถามทำไม”


“ก็เผื่อกูจะได้เจอพวกดาราไอดอลงี้ไง จะได้มีกำลังใจในการทำงานเป็นผู้จัดการ...”


“เป็นเบ๊” จู่ๆ ผมก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา เลยจัดการแก้คำที่ถูกต้องให้ซีซะเลย


“มึงมันเหี้ย ต่อหน้าสาวๆ ขอกูเรียกตำแหน่งกูให้มันดูดีหน่อยไม่ได้รึไง”


“เพื่อ? ทำอย่างกับจะมีใครสนใจมึง”


“แล้วยังไง กูสนใจก็พอจบมั้ยสัส”


“กูก็แค่ไม่อยากให้มึงคาดหวังไว้เยอะ วงการบันเทิงอะเคยได้ยินมั้ย ส่วนใหญ่ก็ใส่หน้ากากหากันทั้งนั้น”


“เฮอะ! แต่ก็คงไม่มีใครเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังส้นตีนได้เท่ามึงหรอกกูว่า” ซีมองค้อน แต่ผมก็แค่ยักไหล่ไม่ตอบอะไร แล้วเพียงไม่กี่วินาทีซีที่อารมณ์เปลี่ยนก็ถามเรื่องใหม่กับผมซะแล้ว


“เออใช่ ขอถามอะไรอีกอย่างดิ ปกติมึงไม่ค่อยได้กลับบ้าน 2 – 3 วันจะกลับทีนึง แล้วนี่มึงไปนอนที่ไหนอะ มีบ้านอีกหลังหรือว่านอนที่กองถ่าย”


“โรงแรม”


“อ๋อ นอนกับอีฟ” เท่านั้นแหละ จากที่กำลังขับรถอยู่ดีๆ ผมก็เหยียบเบรกจมเท้าจนล้อดังเอี๊ยด หน้าของซีเลยถึงกับคะมำหัวโขกดังโป๊ก


“โอ๊ย! มึงจะเบรกทำเชี่ยอะไรเนี่ย!”


“กูนอนคนเดียว ไม่ได้นอนกับอีฟ” ผมถลึงตาใส่ซี ให้ตายสิ คิดได้ยังไง


“เออ! นอนคนเดียวก็นอนคนเดียว! แล้วมันใช่เรื่องที่ต้องเบรกกะทันหันมั้ยวะ! หัวกูเจ็บไปหมดแล้วสัส!” ซีทำหน้าเหมือนจะกินหัวผม ในขณะที่มือก็กุมหน้าผากเอาไว้ ไม่รู้ว่าเมื่อกี้จะเจ็บขนาดไหน ฟังจากเสียงที่โขกก็แรงเอาเรื่องอยู่


“ขอโทษ เจ็บมากมั้ย”


“ก็ดีที่ยังรู้จักขอโทษ แม่ง จะเหยียบเบรกทำไมก็ไม่รู้กูไม่เข้าใจมึงจริงๆ” อย่าว่าแต่ซีเลย เพราะขนาดผมเองก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ดีที่ไม่มีรถขับต่อข้างหลังไม่อย่างนั้นคงไม่จบที่โดนแค่ซีด่าแน่ๆ


แล้วในเมื่อผมไม่ตอบ ขับรถออกไปเฉยๆ ซีก็เลยไม่ได้เซ้าซี้อะไร มือลูบที่หน้าผากป้อยๆ แล้วก็เริ่มชวนผมพูดใหม่อีกครั้ง


“บ้านก็มีกลับ แล้วมึงไปนอนโรงแรมให้เปลืองตังทำไมวะ”


“ซื้อเวลา”


“คืออะไรยังไง ขอคำอธิบายให้เคลียร์ๆ หน่อยได้ปะ” แล้วด้วยความที่มีชนักติดหลัง แม้ว่าผมจะขี้เกียจอธิบาย แต่ว่าผมก็ต้องทำอย่างช่วยไม่ได้


“กูคิดว่าถ้าต้องขับรถกลับบ้าน 2 – 3 ชั่วโมง สู้เปิดโรงแรมใกล้ๆ นอนคงจะดีกว่า ราคาแค่ 2 – 3 พันก็ได้ห้องที่โรงแรมดีๆ แล้ว จะฝืนขับกลับบ้านทั้งที่ง่วงแล้วก็เหนื่อยไปทำไม”


“อ๋อ โอเคเก็ต งานมึงได้เงินเยอะแยะเลยไม่เสียดายเงินแค่นี้นี่เนอะ”


“อืม” ผมพยักหน้า ไม่อย่างนั้นผมไม่ยอมแลกความเป็นส่วนตัวไปหรอก แต่ที่ยอมก็เพราะเล็งเห็นแล้วว่ามันคุ้ม ทำงานเดือนเดียวได้เงินมากกว่ามนุษย์เงินเดือนทั้งปีซะอีก


“แต่มึงเชื่อกูดิ ยังไงอยู่บ้านมันก็สบายใจสุด เอาเป็นว่าต่อไปนี้ถ้าง่วงมึงก็นอนได้เลย เดี๋ยวกูจะเป็นคนขับรถพามึงกลับมาที่บ้านเอง” ซีหันมายิ้มให้ผมอย่างสดใส วินาทีนั้นไม่รู้ทำไมหัวใจของผมถึงได้เต้นผิดจังหวะขึ้นมา มันเต้นเร็วมากจนผมถึงกับต้องยกมือขึ้นมากุมเอาไว้


“มึงเป็นไรอะ” ซีถามผมด้วยความสงสัยปนตกใจหน่อยๆ สีหน้าแบบนี้คงจับไม่ได้หรอกมั้งว่าหัวใจของผมจู่ๆ มันก็เต้นแรงขึ้นมา


“เปล่า ก็แค่รู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย”


“ตรงไหน ตรงหัวใจหรอ ไปหาหมอมั้ย นี่ๆๆ มีโรงพยาบาลอยู่ตรงนั้น” ซีรีบชี้นิ้วไปข้างหน้าใหญ่เลย ท่าทางจะเป็นห่วงผมจริงจัง แต่ว่าผมก็แสร้งทำเป็นรำคาญ


“แค่มึงเลิกพูดมากกูก็คงหายแล้ว”


“หนอย...ไอ้เหี้ยนี่! คนก็อุตส่าห์เป็นห่วง!” ซีกัดฟันกรอด “ก็แล้วหมาที่ไหนเป็นคนบอกว่าให้กูพูดไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงกรุงเทพห้ะ! ห้ะ! ตอบกูมาสิฟาย!”


“...” ผมเงียบไม่ยอมตอบอะไร ส่วนซีที่หงุดหงิดมากแต่ไม่รู้จะทำอะไรเลยได้แต่สบถคำด่าออกมาเป็นชุด จนกระทั่งหมดคำด่าแล้วนั่นแหละถึงได้นั่งกอดอกด้วยท่าทางฮึดฮัดไปจนถึงกรุงเทพ


เมื่อรถเข้าไปจอดในบ้าน ซีก็รีบหยิบกระเป๋าแล้วก็เดินขึ้นห้องไปเลย ไม่แม้แต่จะพูดอะไรสักคำ อย่าว่าแต่พูด ขนาดหน้าของผมยังไม่อยากจะมองด้วยซ้ำ แล้วอย่างนี้ผมควรจะทำยังไงดี


คิดอยู่สักพักผมก็ขับรถออกไปอีกครั้ง จำได้ว่าซีชอบกินชาเขียวปั่นร้านนี้ ที่ผมรู้ก็เพราะที่บ้านมีแต่แก้วเปล่าของที่ร้าน จนถึงปัจจุบันผมก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกันว่าซีจะเก็บเอาไว้ทำไม


“ชาเขียวปั่นแก้วนึงครับ” ผมพูดกับน้องพนักงานที่ร้าน ซึ่งก็ดูเหมือนว่าน้องเขาจะจำผมได้ แม้ว่าผมจะใส่แว่นดำพรางใบหน้าเอาไว้ก็ตาม
หลังจากที่รับออเดอร์ของผมไป น้องเขาก็เห็นเรียกพนักงานอายุไล่เลี่ยกันมาซุบซิบ ทั้งคู่แอบมองมาที่ผมพร้อมกับทำหน้าตื่นเต้นดีใจนิดๆ แต่ผมก็ยืนนิ่งๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น จนกระทั่งชาเขียวปั่นที่ผมสั่งได้แล้ว


“ขอโทษนะคะ ใช่พี่เอสรึเปล่าคะ”


“ครับ” ผมก็ตอบนิ่งๆ ตามสไตล์ของผม แต่เท่านี้น้องเขาแล้วก็เพื่อนที่อยู่ข้างๆ ก็ตื่นเต้นและดีใจมากจนแทบจะเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่


“หนูชอบพี่มากเลยค่ะ! เป็นติ่งพี่มาจะ 2 ปีแล้ว! รอดูละครของพี่อยู่นะคะ! เป็นกำลังใจให้ค่ะ!”


ยอมรับว่าพอได้ยินผมก็ค่อนข้างจะตกใจอยู่หน่อยๆ ถึงแม้จะไม่ค่อยชอบให้ใครมาวุ่นวาย แต่ลึกๆ แล้วผมก็รู้สึกดีใจอยู่เหมือนกัน ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าเป็นปกติผมคงจะพยักหน้าแล้วก็เดินออกไปเฉยๆ แต่วันนี้ไม่รู้ทำไมผมถึงได้มีความคิดที่อยากจะแคร์ความรู้สึกของคนอื่นบ้าง


“ขอบคุณนะครับ” แถมนอกจากพูดผมก็ยังยิ้มออกมาอีกด้วย


ความจริงเรื่องนี้มันก็เรื่องปกติของดาราคนอื่นๆ แต่สำหรับผมมันไม่ใช่ ซึ่งน้องเขาที่บอกว่าเป็นติ่งผมมานานจะ 2 ปีแล้วก็ต้องรู้ เพราะงั้นการที่เห็นผมทำแบบนี้ก็เลยดีใจมากจนถึงกับกรี๊ดลั่น จนกระทั่งผมเดินออกมาแล้วก็ยังได้ยินเสียงกรี๊ดอยู่เลย


ผมถือแก้วชาเขียวขึ้นไปบนรถแล้วขับกลับบ้าน ระหว่างทางก็พยายามคิดไปด้วยว่าจะพูดกับซียังไง ดีที่กลับไปแล้วพวกเพื่อนของซียังไม่ถึงกัน ก็ไม่รู้ว่าไปแวะที่ไหนรึเปล่า แต่ก็ดีแล้วเพราะว่ามันทำให้ผมไม่ต้องเกร็งที่ต้องถูกสายตาหลายคู่จ้องมอง


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


รอสักแป๊บซีก็เปิดประตูออกมา พอเห็นว่าเป็นผมก็เบ้ปากออกมาเลย


“มีอะไร” ผมไม่ตอบแต่ยื่นชาเขียวให้ เท่านั้นแหละจากที่กำลังหน้าบูดบึ้งก็ตาแป๋วขึ้นมาเชียว “ซื้อมาง้อกูรึไง”


“ก็แล้วแต่จะคิด” ผมเสหน้าไปมองทางอื่น แต่เท่านั้นก็เหมือนยอมรับกลายๆ แล้ว ซีเลยยิ้มแซวๆ ออกมา


“แหมๆๆ เก๊กเหลือเกิน เอาเถอะ ไหนๆ ก็ซื้อมาแล้ว กูจะรับไว้แล้วกันยังไงก็ของโปรด” พูดจบซีก็ยื่นมือออกมารับแก้วชาเขียวไปดูด

“อา...ชื่นจาย...”


ผมมองการกระทำนั้นแล้วยิ้มออกมาหน่อยๆ ดีแล้วที่ซีเป็นคนหายโกรธง่าย ไม่ติดใจอะไรนานๆ


“แล้วนี่มึงมีไรอีกมะ หรือมาแค่นี้”


“กูจะมาบอกด้วยว่าพรุ่งนี้มีคิวถ่ายละครตอน 9 โมง สัก 6 โมงครึ่งต้องออกบ้านได้แล้ว”


“เคๆ เดี๋ยวกูตั้งปลุกไว้”


“เพื่อความชัวร์เอาเบอร์มึงมา”


“หา? เอาไปทำเชี่ยอะไร ถ้าระแวงขนาดนั้นก็มาเคาะประตูปลุกกูละกัน อยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ ทำยังกะอยู่ไกล” ซีบ่นเป็นชุด แต่ก็นั่นน่ะสิ อยู่บ้านเดียวกันเดินมาปลุกเอาก็ได้


“บอกให้เอามาก็เอามาเหอะน่า” ไม่รู้ล่ะ อย่างน้อยมีเบอร์ไว้มันก็ดีกว่าไม่มี จริงสิ อย่างน้อยก็เผื่อหลงกันที่กองถ่าย หรือผมใช้ซีไปทำอะไรไกลตัวจะได้โทรเช็คได้ไงล่ะ


“โวะ มึงนี่แม่งน่ารำคาญจริงๆ เอามือถือมึงมา” แต่ถึงจะบ่นซีก็ยอมกดเบอร์มือถือตัวเองลงที่เครื่องของผม “เดี๋ยวกดโทรออกให้ด้วยเผื่อจะไม่เชื่อว่าเบอร์กูจริงๆ”


แล้วซีก็ทำตามอย่างที่ว่า ซึ่งรอไม่กี่วินาทีมือถือของซีก็ดังขึ้น ซีเลยเดินไปหยิบแล้วก็กลับมายื่นให้ผมดู


“เคนะ?”


“ก็ไม่ได้บอกว่าไม่เชื่อสักหน่อย” ผมพูดจบก็รีบบันทึกชื่อซีเอาไว้ ทำเป็นไม่สนใจเสียง ‘เฮอะ!’ เบาๆ จากซี


“มีอะไรอีกมั้ย”


“ไม่มี”


“งั้นเชิญ ห้องมึงอยู่นู่น พรุ่งนี้เจอกัน แต่ถ้าหากกลัวโทรมาแล้วกูไม่รับ หรือกลัวเคาะห้องแล้วกูยังไม่ตื่น มึงจะหอบผ้าหอบผ่อนย้ายสารร่างมานอนที่ห้องกูก็ได้นะ กูโอเค้!”


“โอเคจริงหรอ” ก็รู้แหละว่าซีประชด แต่ผมถามก็เพราะรู้สึกหมั่นไส้


“โอเคก็เหี้ยแล้ว! กลับห้องไปได้แล้วไป๊!” ไม่พูดเปล่าซียังจับตัวผมหมุน แล้วก็ดันไหล่ให้เดินไปที่หน้าห้องของตัวเองด้วย


ส่วนผมก็ไม่ได้พูดหรือขัดขืนอะไร แค่หัวเราะเบาๆ เท่านั้น แต่ก็แอบมีคิดในใจเหมือนกันว่า ถ้าหากพรุ่งนี้มาถึงเร็วๆ ก็คงจะดี...


2BC


 o18 สวัสดีค่า ไม่ได้มาต่อซะหลายวันเลย ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยนะคะพอดีเราต้องไปตจว.กะทันหัน แต่พอกลับถึงบ้านปุ๊บก็รีบเขียนรีบอัพปั๊บเลยค่า  :katai4:

ตอนนี้จะเห็นได้ว่าความรู้สึกของเอสที่มีต่อซีเริ่มเปลี่ยนไปน้อยๆแล้ว แอร๊ยยยย  :-[ กองเชียร์อย่างเต้ยคงใกล้จะนิพพานแล้วล่ะ ว่าแต่มีใครชอบที่เอสเป็นแบบนี้มั้ยนะ หรือว่าจะหมั่นไส้ที่ยังชอบเก๊กขรึมวางมาดอยู่ อิอิ  o17

ส่วนตอนหน้าวันเสาร์เจอกันนะคะ แบบว่าพรุ่งนี้ (10.10) วันเกิดเค้าเลยอาจจะไม่มีเวลาเขียน น่าจะเดินสายกินแหลกตั้งแต่เช้ายันค่ำอะคะ 55555 แล้วเจอกันนะคะ บ๊ายบายยยย  :bye2:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่7# งาน N [09.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Micky_MN ที่ 09-10-2019 23:45:24
 :hao3: ชอบชีแล้วชิประ!!!!
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่7# งาน N [09.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 09-10-2019 23:52:31
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่7# งาน N [09.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 10-10-2019 00:51:28
 :z1:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่7# งาน N [09.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 10-10-2019 08:53:27
สนุกกกก
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่7# งาน N [09.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 10-10-2019 09:11:12
สนุกเชียวแหละ
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่7# งาน N [09.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Y-Darkness ที่ 12-10-2019 10:46:29
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่8# เรื่องบังเอิญ(หรือมีใครตั้งใจ) [15.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Sameejaejung ที่ 15-10-2019 19:31:56
Soulmate วิญญาณป่วนรัก


Part 8# Z เรื่องบังเอิญ (หรือมีใครตั้งใจ)


กริ๊งงงงงงงงง กริ๊งงงงงงงงง


เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นขณะที่ผมกำลังฝันหวาน ให้ตายเหอะ นี่เวลา 5.50 น. แล้วหรอเนี่ย ขนาดตอนเรียนยังไม่เคยตื่นเช้าขนาดนี้ อยากรู้จริงๆ ว่าชาติที่แล้วผมไปทำกรรมอะไรไว้ ถึงต้องมาชดใช้ให้ไอ้เอสในชาตินี้ด้วย


แต่คิดในใจหรือบ่นไปก็ไม่มีประโยชน์ เผลอๆ ถ้าช้ามันก็จะหาเรื่องว่าไม่ก็ใช้งานผมอีก เพราะงั้นผมเลยรีบลุกจากเตียงไปอาบน้ำแต่งตัว ซึ่งก็เลือกเสื้อผ้ากับเซ็ตผมให้มันดูดีหน่อย ก็แหม...เผื่อได้เจอดารา นางเอก ไม่ก็ไอดอลที่ผมชอบ ก็เลยขอดูดีนิดนึง


ผมหมุนตัวไปมาที่หน้ากระจกเช็คความเรียบร้อยอีกครั้ง จนคิดว่าโอเคแล้วถึงได้เก็บข้าวของที่จำเป็นใส่กระเป๋า จากนั้นก็เปิดประตูห้องกะจะออกไปยืนรอไอ้เอสแบบหล่อๆ เพราะนี่พึ่งจะ 6.20 น. ยังไม่ถึงเวลานัด แต่พอเปิดประตูออกไปเท่านั้นแหละ...


“แว้ก!” ผมถึงกับร้องเสียงหลงเพราะเห็นไอ้เอสยืนอยู่ที่หน้าประตูแล้ว! “มะ...มึงมาตั้งแต่เมื่อไหร่”


“เมื่อกี้” มีแอบกลั้นขำด้วย ถ้าจะทำขนาดนี้มึงไม่ต้องกลั้นแล้วสัส!


“มึงจะมายืนทำบ้าอะไรตรงนี้! รู้มั้ยว่ากูเกือบหัวใจวายตายแล้ว!” หมดกันที่กะจะมายืนหล่อๆ กลายเป็นว่าดันมาเล่นตลกให้แม่งดูซะงั้น เฮ้อออออ


“ก็มายืนรอมึงนั่นแหละ ไม่คิดว่าจะอ่อน...ขวัญอ่อนน่ะ” ไอ้เอสรีบแก้คำที่ (ตั้งใจ) พูดผิดซะใหม่ เมื่อเห็นผมง้างปากเตรียมปล่อยน้องๆ ทั้งสวนสัตว์ออกไปเดินเล่น


“จะยืนกวนส้นตีนกูอยู่ที่นี่ใช่มั้ย งานการจะไม่ไปทำแล้วว่างั้น”


“ก็ตามมาสิ” แล้วไอ้เอสก็เดินลงบันไดไปเลย ส่วนผมก็ทำท่าจะต่อยมันลับหลัง แต่ก็ทำได้แค่นั้นแหละ ทำจริงๆ ได้ที่ไหน ที่ทำได้ก็แค่เดินตามมันต้อยๆ จนไปถึงรถนั่นแหละ


“มีใบขับขี่ใช่มั้ย” หลังจากยื่นกุญแจรถให้ผมไอ้เอสก็ถามขึ้นเหมือนพึ่งนึกได้


“มีดิ ก็ซื้อมาแล้ว” ผมตอบกวนตีน ก็ดูมันถามดิ แหม่ ถ้าไม่มีใบขับขี่ผมก็ต้องแย้งมันไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว


“จะไว้ใจได้มั้ยเนี่ย”


“ถ้างั้นมึงก็มาขับเอง”


“ไม่แย่งหน้าที่มึงหรอก” พูดจบมันก็ลอยหน้าลอยตาเข้าไปในรถเลย แม่งกวนตีนจริงๆ ไอ้เวรนี่ ผมแยกเขี้ยวใส่แล้วก็ตามมันเข้าไปในรถ


“มึงจะให้กูขับไปที่ไหน”


“สตูดิโอ” ผมกำลังจะถามต่อว่าแล้วตรงไหนล่ะ แต่ไอ้เอสก็เอื้อมมือไปเปิด GPS ในรถแล้วก็เลือกตำแหน่งที่บันทึกไว้


“อย่าไปเถียง GPS ล่ะ”


“พ่อง! ใครจะไปทำ” แต่เอาจริงๆ ผมก็เคยนะ คือมั่นใจในความจำของตัวเองไง แต่สุดท้ายเสียเวลากว่าเดิมเกือบ 2 เท่า เหอๆ


ผมขับรถตามเส้นทางที่ GPS บอกแต่โดยดี ดังนั้นแค่ 1 ชั่วโมงก็ถึงที่หมาย เพราะมันบอกทางที่รถติดแล้วก็ทางสำรองที่เลี่ยงไปได้ด้วย แต่ทั้งที่คิดว่าอุตส่าห์มาก่อนเวลาตั้งนาน ลานจอดรถที่อยู่ด้านหน้าสตูดิโอก็ดันเต็มซะงั้น ไอ้เอสก็เลยบอกให้ผมขับไปจอดที่อาคารจอดรถที่อยู่ด้านหลัง ซึ่งมันไกลมากกกกกกก เดินขาลากเลยเนี่ยกว่าจะมาถึงสตูดิโอ


“คนเยอะจังวะ แทบจะเหยียบกันตายแล้วเนี่ย” นี่ผมไม่ได้เวอร์เลยนะ ที่ด้านหน้าสตูดิโอคนเยอะจริงๆ ทั้งกองทัพนักข่าว ทั้งเหล่าแฟนคลับดารา ไหนจะสต๊าฟที่พากันเดินว่อน ยั้วเยี้ยยังกะหนอนเลย


“วันนี้มีแถลงข่าวกับบวงสรวงละครฟอร์มยักษ์”


“โอ้โห จะดังใหญ่แล้วนะเนี่ย ดังแล้วอย่าลืมกูนะเว่ย” ผมยิ้มกว้างพลางตบที่ไหล่ของไอ้เอสเบาๆ แต่นอกจากจะไม่ยิ้มรับมันยังมองผมด้วยใบหน้านิ่งๆ ซะงั้น


“กูบอกตอนไหนว่ากูเล่นเรื่องนั้น” แล้วมันก็เดินผ่านหน้าผมไปเฉย โวะ! ก็แล้วกูจะไปรู้กับมึงมั้ย!


ด่ามันในใจเสร็จผมก็รีบวิ่งตามมันเข้าไปในสตูดิโอ ซึ่งภาพแรกที่เห็น...โอ้โหหหหห อลังการงานสร้างมากกกกก ข้างในมีการเซ็ตฉากราวกับว่าเป็นเมืองๆ หนึ่งกันเลย เพราะมีทั้งตึก ถนน อาคาร บ้านคน ถึงพอมองดูดีๆ แล้วจะมีแค่ส่วนข้างหน้าก็เถอะ แต่พวกฉากข้างในไม่ว่าจะเป็นห้องนอน ห้องทำงาน ร้านอาหาร ก็ถูกเซ็ตเอาไว้อย่างสมจริง


“เชรดดดด กูคิดว่าฉากพวกนี้จะไปถ่ายกันที่สถานที่จริงๆ ซะอีก”


“ถ้าหาสถานที่ไม่ได้ หรือไม่คุ้มที่จะขนทีมงานไปหลายๆ ที่ ผู้จัดก็จะสั่งให้สร้างฉากในสตูดิโอขึ้นมาแบบนี้แหละ”


“อ๋อ” ผมพยักหน้ารับรู้ เห็นละครเรื่องนี้เป็นพีเรียดด้วยก็เลยคงจะหาสถานที่ไม่ได้ล่ะมั้ง แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ ไอ้เอสก็จูงมือผมเข้าไปแนะนำตัวกับทีมงานซะแล้ว


“ทุกคนครับ นี่ซีเพื่อนผมเอง จะมาช่วยดูแลผมแทนพี่ก้องระหว่างปิดเทอม” ผมไม่รู้หรอกว่าพี่ก้องที่มันพูดถึงเป็นใคร แต่ก็คงจะเป็นผู้จัดการที่เคยมาดูแลมันล่ะมั้ง


“สวัสดีครับพี่ๆ ผมชื่อซีนะครับ ยังเป็นมือใหม่ไม่ค่อยรู้อะไรมาก แต่ก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” ผมยิ้มกว้างแล้วก้มไหว้ซะเกือบ 90 องศา ก็ไม่รู้ว่าจะดูเวอร์วังไปมั้ย ส่วนคำพูดก็ไม่รู้จะลิเกไปรึเปล่า แต่ก็ดีกว่าทำหน้านิ่งไร้อารมณ์แบบไอ้เอสล่ะวะ


“น้องนี่ดูร่าเริงดีนะ ไม่คิดว่าจะเป็นเพื่อนกับเอสได้” พี่ (ที่น่าจะเป็น) ผู้กำกับพูดขึ้น โดยมีพวกพี่ทีมงานคนอื่นๆ พยักหน้าเห็นด้วย


“ฮ่าๆๆ ความจริงผมก็ไม่อยากเป็นเพื่อนกับมันหรอกครับ แต่สงสาร เห็นมันไม่มีเพื่อนคบ” เท่านั้นแหละพวกพี่ทุกคนก็ขำกันกระจาย ยกเว้นไอ้เอสแค่คนเดียวที่ยังยืนนิ่ง แต่ตานี่มองผมซะดุเลย


“พี่ชักถูกใจน้องแล้วนะเนี่ย ดูดีๆ ก็หน้าตาใช้ได้เหมือนกันนะเราอะ สนใจอยากเข้าวงการรึเปล่า” พี่ผู้กำกับพูดกับผม แต่ก็คงไม่ได้จริงจังอะไรหรอก ผมก็รู้ตัวอยู่ว่าถ้าเทียบกับพวกดาราผมนี่หน้าตาบ้านๆ เลย ที่สำคัญผมก็ไม่ได้รู้สึกอยากทำงานในวงการด้วย


“โหยพี่ อย่าล้อเล่นดิครับ ฮ่าๆๆ”


“พี่พูดจริงๆ อยากไปลองถ่ายแบบดูมั้ยล่ะ เผื่อมีโมเดลลิ่งไหนสนใจ”


“เอ่อ...”


“กูจะไปห้องแต่งตัว คุยเสร็จก็ตามมาแล้วกัน” ไอ้เอสพูดขัดขึ้นก่อนที่จะหันไปหาพี่ผู้กำกับ “ผมขอตัวก่อนนะครับ” แล้วหลังจากยกมือไหว้มันก็เดินไปที่ห้องแต่งตัวเลย


เมื่อกี้น้ำเสียงของมันดูไม่พอใจนิดๆ รึเปล่าหว่า อารมณ์เหมือนหวง แต่คงไม่ใช่หรอกมั้ง มันจะหวงผมทำไมล่ะ น่าจะกลัวไม่มีเบ๊ให้ใช้งานมากกว่า


“งั้นผมก็ขอตัวไปก่อนนะครับ เผื่อไอ้เอสมันให้ทำอะไร” ผมยิ้มแห้งๆ แล้วก็ยกมือไหว้พี่ผู้กำกับแล้วก็พวกพี่ๆ ทีมงาน จากนั้นก็รีบวิ่งตามไอ้เอสไปที่ห้องแต่งตัว


ที่นี่มีขนาดเล็กกว่าที่ผมคิดเอาไว้ แถมยังเต็มไปด้วยเสื้อผ้าและข้าวของมากมาย นอกจากนี้ยังอยู่รวมกันหลายคนตั้งแต่พระเอกยันตัวประกอบ รวมกับทีมงานและช่างแต่งหน้าเลยเรียกได้ว่าอีกนิดก็จะทับกันตายแล้ว


“เป็นถึงพระเอก กูก็นึกว่ามึงจะมีห้องส่วนตัวซะอีก” ผมแอบกระซิบกับไอ้เอสเมื่อมันมานั่งที่หน้ากระจก หลังจากที่พาผมไปแนะนำกับทุกคนที่อยู่ในห้อง


“เป็นผู้ชายจะขอห้องส่วนตัวไปทำไม”


“กูก็คิดว่ามึงไม่ชอบอยู่รวมกับคนเยอะๆ ซะอีก”


“ก็ไม่ใช่ว่าชอบ แต่ก็ไม่อยากทำตัววุ่นวาย”


“โอ้ว้าว มึงนี่ก็รู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่นเหมือนกันนะนี่” จริงๆ ก็รู้แหละว่ามันไม่ได้นิสัยแย่ ติดก็แค่หน้านิ่งแล้วก็พูดน้อยไปเท่านั้นแหละ


“แล้วกูไม่เคยเห็นอกเห็นใจคนอื่นตอนไหน”


“ก็ไม่เคยมีหรอก เนี่ย...อย่างเมื่อกี้มึงก็ไม่ได้บอกว่ากูเป็นเบ๊ แต่บอกว่ากูมาดูแลแทนพี่ผู้จัดการ แหม...ทำซึนนะมึงอะ” ผมยิ้มแซวแล้วเอาไหล่ไปชนกับไอ้เอสเบาๆ


“เลิกพูดมากสักทีเถอะน่า” ถึงจะทำเป็นรำคาญแต่ผมก็เห็นนะว่ามันแอบทำหน้าเขินๆ เอาเถอะ แซววันละนิดจิตแจ่มใส แซวมากไปไม่ดีเดี๋ยวมีคนชักตาย ฮ่าๆๆ


นั่งรอไม่นานก็มีพี่ช่างแต่งหน้าเดินมาหาไอ้เอส มันเป็นคนที่เครื่องหน้าดีอยู่แล้วเลยไม่ต้องแต่งอะไรมาก ซึ่งหลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย พี่ผู้กำกับก็ให้มันไปซ้อมบทเตรียมเข้าฉากในอีก 20 นาที


ก็พึ่งรู้เหมือนกันว่ามันเล่นกับนางเอกรุ่นพี่ ตัวจริงดูเด็กแล้วก็สวยกว่าตัวจริงมากกกกกก ถ้าไม่ติดว่ามีบรรยากาศเชิ่ดๆ หยิ่งๆ แล้วผู้จัดการก็เคร่งมาก ผมคงจะวิ่งไปขอถ่ายรูปด้วยแล้ว


แป๊บเดียวเวลาก็ผ่านไปถึงตอนเที่ยง ทุกคนที่ทำงานอย่างแข็งขันก็ได้เวลาเติมพลังกันแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะจับกลุ่มกินข้าวพร้อมกับเมาท์นู่นนี่กัน จะมีแค่ไม่กี่คนที่ปลีกวิเวก อย่างเช่นคุณพี่นางเอก แล้วก็พระเอกอย่างไอ้เอส


“ปกติมึงกินข้าวที่กองคนเดียวหรอ”


“อืม”


“น่าเบื่อจะตายห่า ไปกินกับทุกคนดีกว่า”


“คนเยอะกูไม่...เดี๋ยว! อะไรของมึงเนี่ย!” ผมขี้เกียจฟังที่มันพูดต่อ เลยลากมันที่กำลังจะเข้าไปที่ห้องแต่งตัวออกไปรวมกลุ่มกับทุกคนที่กำลังกินข้าวซะเลย


“ผมกับไอ้เอสขอนั่งกินด้วยนะครับ!”


“เดี๋ยว กูไม่...”


“ไม่ต้องเขินหรอกน่า นั่งรออยู่นี่นะเดี๋ยวกูไปตักกับข้าวมาให้” แล้วผมก็กดตัวไอ้เอสให้นั่งลงที่เก้าอี้ สีหน้าของมันดูไม่ได้เต็มใจเท่าไหร่ แต่ก็ยอมนั่งอย่างช่วยไม่ได้ เพราะทุกคนก็ดูตื่นเต้นดีใจใหญ่เลยที่มันมากินข้าวด้วยวันนี้


ผมรีบวิ่งไปตักกับข้าวที่วางไว้บนโต๊ะ ซึ่งก็มีอยู่ 3 – 4 อย่าง แต่ละอย่างกำลังร้อนๆ น่ากินทั้งนั้น ลาภปากจริงๆ วันนี้ แล้วหลังจากที่ผมตักทุกอย่างมาอย่างละชุดยกเว้นข้าวที่มี 2 จาน ผมก็รีบเอาไปวางไว้ที่หน้าของไอ้เอสที่นั่งหน้านิ่งที่โต๊ะ


“อื้อหือ กับข้าวอร่อยทุกอย่างเลยครับพี่ อยากมาฝากท้องทุกวันเลยอะ” ผมยิ้มอย่างร่าเริง ส่วนไอ้เอสก็ตักข้าวกินไปเงียบๆ


“มาสิมาเลย รู้มั้ยว่านี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่พวกพี่ได้กินข้าวกับเอส”


“ใช่ๆ นึกว่าจนปิดกล้องก็จะไม่มีโอกาสได้กินด้วยซะแล้ว”


“บรรยากาศรอบตัวน้องเอสก็ดูเปลี่ยนไปด้วย น้องซีมาบ่อยๆ นะ” แล้วก็อีกคำพูดมากมายที่พวกพี่ๆ ทีมงานพูด ซึ่งผมก็ยิ้มรับแล้วก็ชวนคุยเรื่องนู่นนั่นนี่ โดยที่ไม่ลืมสะกิดไอ้เอสให้พยักหน้าหรือเออออตามด้วย


พอถึงตอนบ่ายแต่ละคนก็ลุยงานกันต่อ ซึ่งไอ้เอสก็ไม่ได้เข้าฉากตลอดเวลาหรอก ก็จะมีช่วงพักบ้างเพราะต้องถ่ายฉากของคนอื่นด้วย ปกติในเวลาแบบนี้ไอ้เอสก็มักจะเก็บตัวอยู่คนเดียว แต่วันนี้ผมไม่ยอมให้มันทำแบบนั้นหรอก ก็ลากมันออกมาอยู่ในวงเมาท์นี่แหละ


แรกๆ มันก็อิดออดพร้อมกับบ่นผมอยู่นะ แต่หลังๆ ก็ไม่ละ เดินตามมานั่งข้างๆ ผมโดยที่ไม่ต้องบังคับ ถึงแม้ว่ามันจะนั่งเฉยๆ ไม่ได้พูดอะไรก็เถอะ แต่อย่างน้อยแค่มาร่วมวงสนทนาก็ดีแล้ว จะได้คุ้นเคยกับพวกพี่ๆ ทีมงาน ซึ่งก็เป็นประโยชน์กับตัวมันเองนั่นแหละ


“รู้ตัวมั้ยว่ามึงนี่มันโคตรจุ้นจ้าน” ไอ้เอสบ่นกับผมระหว่างที่เรากำลังเดินออกมาจากสตูดิโอ ตอนนี้เป็นเวลา 4 ทุ่มกว่าๆ ซึ่งก็หมดคิวถ่ายของไอ้เอสแล้ว


“ก็แล้วกูจุ้นจ้านเพื่อใครล่ะสาดดด หัดเข้าสังคมบ้างอะไรบ้าง มึงไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวบนโลกนะเว่ย”


“เป็นหวงกูหรอ”


“ก็ใช่น่ะสิ” แต่กูเป็นห่วงตัวเองมากกว่า มาใหม่แล้วทำหน้านิ่งไม่คบค้าสมาคมกับใคร มีหวังได้ถูกพี่ๆ ทีมงานเขม่นเอาตายห่า


“ไม่ใช่ว่ามึงเกลียดกูหรอกหรอ” ผมมัวแต่สนใจว่ามีเม็ดฝนตกใส่มือรึเปล่า ก็เลยไม่ทันได้มองสีหน้าของไอ้เอสว่าเป็นยังไง


“ถ้ากูเกลียดคิดว่ากูจะมายืนอยู่ตรงนี้มั้ยล่ะ” แต่ถ้าถามเรื่องหมั่นไส้ผมตอบตรงนี้เลยว่ามากกกกกก


“ไม่เกลียด...สินะ...” ไอ้เอสมันบ่นพึมพำอะไรก็ไม่รู้ ผมไม่ได้สนใจ เพราะตอนนี้ผมสนใจแต่ว่า ฝนแม่งกำลังกระหน่ำเทลงมาแล้ว!


“เชี่ย! เอาไงดีวะ!” ตอนนี้ในหัวนี่เพลงมาละ ‘กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง’ คือแบบ...ตอนนี้ผมอยู่ตรงกลางระหว่างอาคารจอดรถกับสตูดิโอไง จะไปต่อหรือย้อนกลับดีวะกู?


“ไปที่รถ!” ไอ้ซีตะโกนแข่งกับสายฝน


“เออ! ไปก็ไป!” ยังไงตอนนี้ก็เปียกแทบจะทั้งตัวแล้ว วิ่งไปที่รถทีเดียวเลยก็ได้วะ


ว่าแต่...วิ่งอย่างเดียวก็ได้ทำไมต้องจับมือกูด้วยแสรดดดดด แถมยังจับซะแน่นเลย คือกลัวกูหลงรึยังไง แต่ถามว่าจังหวะนี้ทำอะไรได้มั้ยก็ไม่ ทำได้แค่วิ่งฝ่าสายฝนเคียงคู่กับมันไปจนถึงอาคารจอดรถเท่านั้นแหละ


“ยัง...ยังอีก...” ผมพูดขึ้นเมื่อเราสองคนวิ่งมาถึงรถ ซึ่งก็หอบกันเลยล่ะเพราะสวมเกียร์หมามาเลย


“น่าจะตกอีกนาน ยังไม่หยุดตกง่ายๆ หรอก”


“กูไม่ได้หมายถึงฝน! แต่หมายถึงมือของมึงเนี่ย! จะจับไปจนถึงพรุ่งนี้เลยมั้ยสัส!” พูดจบผมก็มองลงไปที่มือซึ่งยังถูกมันจับเอาไว้อยู่


“อ้อ โทษที” แล้วมันก็รีบปล่อยมือ


“รีบขึ้นรถเหอะ แม่งเปียกไปถึงข้างในแล้วเนี่ย” ว่าแล้วก็ถอดเสื้อออกมาบิดน้ำออกซะเลย ส่วนกางเกงถ้าไม่ติดว่าเกรงใจก็คงจะถอดออกมาบิดแล้วเหมือนกัน เลยทำแค่ใช้มือบิดตรงปลายเฉยๆ


“มึงก็ถอดเสื้อมาบิดด้วยสิเดี๋ยวรถมึงก็เปียก...เฮ่ย! เครื่องช็อตรึไง! ยืนเอ๋ออะไรอยู่ได้!” อันที่จริงจะเรียกว่ายืนเอ๋อก็ไม่น่าใช่ เหมือนมันยืนมองมาทางผมแบบอึ้งๆ มากกว่า


หรือว่าข้างหลังผมมันมีอะไรให้มอง? แต่พอหันไปมองก็ไม่มีนี่นา หรือว่าไอ้นี่มันจะประสาทหลอน เจอฝนเข้าไปแล้วไข้แดก?


“รีบใส่เสื้อได้แล้วน่า” ไอ้เอสพูดโดยที่ไม่ยอมสบตาผม แถมยังรีบหลบเข้าไปในรถด้วยอีก อะไรของมันวะ หรือจะกลัวผมเป็นหวัดจนพรุ่งนี้มาเป็นเบ๊มันไม่ได้


ต้องใช่! ต้องใช่แน่ๆ!


“จะขับเองหรอถึงไปนั่งนั่นน่ะ” ผมเปิดประตูไปถามหลังจากที่ใส่เสื้อแล้ว มันเลยทำหน้าเหมือนกับว่าพึ่งนึกได้ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจิตใจของมันเลยเหมือนไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย


“รีบขึ้นมาเหอะน่า” มันทำหน้าเหมือนรำคาญ เฮอะ! กลบเกลื่อนแก้เขินอะดิ แต่เอาเถอะ มันขับเองแบบนี้ก็ดีเหมือนกันผมจะได้ไม่เหนื่อย


แต่ก็ไม่รู้ว่าวันนี้มันคราวซวยอะไร เพราะหลังจากที่ไอ้เอสขับรถออกไปได้สักพักเครื่องแม่งก็เกิดดับซะงั้น ทั้งที่น้ำมันก็เกือบเต็มถัง ส่วนรถก็เช็คสภาพเป็นประจำ แล้วทำไมมันถึงดับได้วะเนี่ย!


“โทรหาประกันซิมึง” ผมพูดอย่างรน ตรงข้ามกับไอ้เอสที่สถานการณ์แบบนี้แม่งก็ยังคงนิ่งได้


“มันไม่ใช่อุบัติเหตุ”


“ถ้างั้นก็หาร้านซ่อมสิมึง หรือจะโทรหาศูนย์ก็ได้”


“คิดว่านี่มันเวลาเท่าไหร่แล้ว” 5 ทุ่ม เหยดแหม่ ผมก็ลืมคิดไปเลยว่าดึกขนาดนี้จะมีร้านที่ไหนเปิด แล้วถึงเปิดผมก็ไม่รู้ว่าร้านอยู่ที่ไหนอยู่ดี


“แล้วจะทำไงดีอะมึง นั่งแท็กซี่กลับกันก่อนมั้ย”


“กูไม่คิดจะทิ้งรถไว้”


“แล้วมึงจะเอายังไง จะนอนเฝ้ารถยันเช้างี้หรอ กูไม่นอนกับมึงแน่ๆ อะ”


“กูบอกหรอว่ากูจะนอนในรถ”


“เอ๊า แล้วมึงจะนอนที่ไหน” ไอ้เอสไม่ตอบแต่หันหน้าไปมองข้างๆ แทน


ตอนแรกผมก็งงว่ามันจะหันไปมองทำไม ข้างๆ มันมีอะไร ซึ่งพอผมหันไปมองก็พบว่า รถได้มาเสียอยู่ที่หน้าโรงแรมแบบพอดี๊พอดี


คือผมต้องนอนที่นี่กับไอ้เอสใช่มะ?


2BC


 :m4: สวัสดีค่า Soulmate ตอนที่ 8 ก็จบไปแล้ว มาต่อซะช้าเลย แบบว่าช่วงหยุดยาวมีแต่คนลากไปนู่นมานี่ เลยยังไม่มีเวลาได้เขียนสักที ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ  :m5:
มาพูดถึงตอนนี้บ้างดีกว่า รถเสียได้ถูกที่มาก นี่บังเอิญหรืออะไร   o3  นี่ว่าตอนนี้หลายๆคนน่าจะหลงสเน่ห์ซีกันเนอะ แล้วพ่อพระเอกหน้านิ่งอย่างเอสนี่จะหลงด้วยมั้ยน้าา แถมตอนหน้าดูเหมือนว่ายังจะค้างคืนที่โรงแรมด้วยกันด้วย จะมีอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า  :haun5: แล้วมาลุ้นกันนะคะ เจอกันตอนหน้าน้าา วันพฤหัสหรือศุกร์เจอกันค่ะ จุ๊บๆ  :bye2:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่8# เรื่องบังเอิญ(หรือมีใครตั้งใจ) [15.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 15-10-2019 21:45:12
 :pig4: :pig4: :pig4:

ไม่ใช่อุบัติเหตุ?

แสดงว่าเอ็งตั้งใจทำเป็นรถเสียหน้าโรงแรมใช่ป่ะ ไอ่เอส?  แผนสูงนะเจ้า
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่8# เรื่องบังเอิญ(หรือมีใครตั้งใจ) [15.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 16-10-2019 09:41:32
 :z1:



  :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่8# เรื่องบังเอิญ(หรือมีใครตั้งใจ) [15.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 16-10-2019 15:01:03
เข้าโรงแรมสองต่อสองงงงงง
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่8# เรื่องบังเอิญ(หรือมีใครตั้งใจ) [15.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 16-10-2019 16:16:22
คนทำต้องเป็นแคสเปอร์เต้ยแน่นอน  :laugh:

โธ่ จะเป็นผีน้อยอุ้มสมทั้งที มันดูจงใจไปหน่อยมั๊ยน้องง :m20: นี่ผมนึกภาพมุมมองของเต้ย คงจะลอยกุมขมับเวลาเอสกับซีเถียงกัน แล้วก็คอยถองแซวซีตอนเอสมาหวานใส่ล่ะสิ (เป็นผีแล้วน่าจะมีความกล้ามากขึ้น) ท่าทางเหมือนน้องจะจริงจังเหมือนเป็นมิชชันเชียร์บอลเลยนะครับ  :m20:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่8# เรื่องบังเอิญ(หรือมีใครตั้งใจ) [15.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Micky_MN ที่ 17-10-2019 04:13:05
 :hao3: แกรทำชิปะเต้ย ทำดี o13
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่9# เก็บสบู่ท่าไหนดีอะ? [18.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Sameejaejung ที่ 18-10-2019 21:07:19
Soulmate วิญญาณป่วนรัก


Part 9# Z เก็บสบู่ท่าไหนดีอะ?


ก็ไม่รู้ว่านี่มันบังเอิญหรืออะไร ในความโชคร้ายก็มีความโชคดี มีบุญหรือว่ากรรมบัง แต่เอาเถอะจะเพราะอะไรก็ช่าง อย่างน้อยนอนที่โรงแรมกว้างๆ ก็ยังดีกว่านอนที่แคบๆ อย่างในรถล่ะวะ


“ช่วยไปเข็นรถคันนั้นเข้ามาให้ทีครับ” ไอ้เอสพูดกับพนักงานรับรถเมื่อเดินมาถึงบันไดทางขึ้นโรงแรม


“ได้ครับ!” แล้วหลังจากที่ได้รับทิปก็รีบวิ่งไปที่รถอย่างไว แหงล่ะ ก็ได้ตั้งใบสีม่วง เป็นกูก็วิ่งวะทิปหนักซะขนาดนั้น


“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าสนใจพักห้องแบบไหนดีคะ ทางเรามีห้อง standard, superior, deluxe และ suite ให้บริการค่ะ” เมื่อเดินไปถึงเคาน์เตอร์ พนักงานต้อนรับคนสวยก็พูดเสียงหวาน จากนั้นก็ยื่นใบราคาห้องให้พวกผมดู


“อื้อหือ แพงขนาดนี้กูจะมีปัญญาจ่ายที่ไหน” ผมแอบกระซิบข้างหูไอ้เอส ห้องปกติก็ราคาตั้ง 2500 ถึงจะติดถนนใหญ่แถบใจกลางเมืองก็เถอะ แต่โรงแรมก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากผมว่าราคานี้มันก็ขูดรีดกันเกิ้น


“กูจ่ายให้เอง” เยสเข้! ไอ้เอสแม่งโคตรป๋า!


“เจริญๆ นะพ่อเอ๊ย” ผมยิ้มกว้างพลางบีบๆ นวดๆ ที่ไหล่ของมัน


“เอาห้องสวีท”


“เยสครก! กูไม่คิดว่ามึงจะป๋าขนาดเอาห้องแบบนี้ให้กู...”


“ห้องเดียวครับ”


“หะ...ห้ะ! ห้องเดียว! นี่คือมึงจะให้กูนอน...”


“ขอกุญแจด่วนด้วยครับ ชุดผมเปียก จะรีบขึ้นไปอาบน้ำ”


“ได้ค่ะๆ”


โว้ยยยยย ผมอยากจะบ้าตาย! คือไอ้เอสแม่งไม่ได้สนใจเลยว่าผมจะพูดอะไร แล้วอะไรคือการเอาห้องสวีทแค่ห้องเดียว ตัวผู้ 2 ตัวนอนห้องแบบนี้ด้วยกันแม่งน่าขนลุกตายห่า แถมราคานี้ก็แยกกันนอนห้องธรรมดา 2 ห้องได้เลยด้วยซ้ำ ผมล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ว่ามันจะเอาห้องสวีทเพื่อ!


แล้วหลังจากที่ได้กุญแจห้องไอ้เอสก็เดินนำไปขึ้นลิฟท์ ส่วนผมที่ไม่มีทางเลือกก็ต้องเดินตามมันไปต้อยๆ อย่างช่วยไม่ได้ นี่ดีนะว่าก่อนที่พนักงานจะยื่นกุญแจให้ผมรีบบอกไปก่อนว่าเอาเตียงคู่ ขืนเอาห้องที่มีเตียงเดี่ยวให้มีหวังผมได้นอนไม่หลับทั้งคืนแน่ๆ


เมื่อประตูลิฟต์เปิดเราสองคนก็เดินไปที่ห้อง ซึ่งพอเปิดประตูออกเท่านั้นแหละ อื้อหือออออ หรูหราหมาเห่าฉิบหาย เฟอร์ครบ สิ่งอำนวยความสะดวกเพียบ แถมยังกว้างซะจนวิ่งเล่นไล่จับได้ คงจะเพราะแบบนี้ล่ะมั้งไอ้เอสมันถึงได้เลือกนอนห้องสวีทแทนที่จะนอนห้องธรรมดา


“มึงจะนอนเตียงไหนอะ”


“เตียงไหนก็ได้”


“งั้นกูขอเตียงนู้นนะ” ผมชี้ไปที่เตียงติดระเบียงกระจก


“อืม” ว่าง่ายๆ แบบนี้ค่อยน่าคบหาหน่อย แต่จะว่าไปตอนนี้ช่างเรื่องเตียงก่อนแล้วกัน เรื่องอาบน้ำเนี่ยสำคัญกว่า ผมล่ะเหนอะหนะตัวจะแย่เพราะฝนแม่งทำพิษ


“ไหนๆ มึงก็ใจดีให้กูเลือกเตียงแล้ว งั้นมึงก็ใจดีให้กูอาบน้ำก่อนด้วยแล้วกันเนอะ” ผมยิ้มกว้างพลางจะเดินไปที่ห้องน้ำ เพราะครั้งนี้คิดว่ามันก็คงจะตามใจผม แต่...


“กูจะอาบก่อน” รั้งอย่างเดียวไม่พอยังจับคอเสื้อของผมไว้ด้วย เห็นสูงกว่าหน่อยก็เอาใหญ่เลยนะไอ้เวรนี่


“ปล่อยกู” พูดจบผมก็สะบัดตัวออก “ขออาบก่อนเหอะนะ กูเปียกไปถึงข้างในแล้วนะเว่ย”


“คิดว่าเปียกคนเดียวรึไง” ชิ ลูกอ้อนก็ไม่ได้ผลหรอวะ


“ใจร้ายว่ะ”


“พูดกับคนที่ออกค่าห้องให้แบบนี้เนี่ยนะ”


“...” พูดไม่ออกเลยดิผม แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าผมจะยอมแพ้เรื่องอาบน้ำนะ เรื่องบุญคุณก็ส่วนบุญคุณ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องอาบน้ำสักหน่อย


ผมมองหน้าของไอ้เอสกับห้องน้ำสลับกันไปมา มันที่เห็นแบบนั้นก็เลยคงจะเดาความคิดของผมได้ล่ะมั้ง เพราะงั้นตอนที่ผมออกตัวสตาร์ทมันก็เลยออกตัวแทบจะพร้อมๆ กันด้วย!


นาทีนี้ไม่มีใครยอมใครแล้ว ถึงไอ้เอสจะออกตัวช้ากว่าแต่ขามันยาวไงเลยมาถึงประตูห้องน้ำพร้อมๆ กับผม แต่ว่าผมไม่มีทางยอมให้มันเข้าไปได้ก่อนหรอก นี่แน่ะ ทั้งเบียด ทั้งดัน ทั้งผลัก นี่ว่าอีกนิดจะใช้ตีนยันละ แต่ดีที่ผมตัวเล็กกว่าเลยหลุดเข้ามาในห้องน้ำได้ก่อน เพราะงั้นเลยรีบใส่เกียร์หมาวิ่ง 4 คูณ 100 พุ่งไปที่ฝักบัวเลย


วิ่งลอยลำมาแบบนี้เหมือนจะเป็นเดอะวินเนอร์ แต่เปล่าเลย คือหลุดมาก่อนจริงแต่ขาเสือกสั้นไง ไอ้เอสที่แม่งขายาวเป็นเปรตเลยไปถึงฝักบัวก่อนแล้วคว้ามาได้ เจ็บใจจริงโว้ยยยยยยยย!


“กูมีให้มึงสองทางเลือก”


“อะไร” ผมพูดอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ จะโกรธมันหรือเซ็งตัวเองดี


“หนึ่ง ออกไป”


“ไอ้สัส มาขนาดนี้แล้วกูคงจะยอมออกไปหรอก”


“งั้นสอง อาบน้ำพร้อมกู”


“เออ อันนี้ค่อยพอฟังได้............................ห้ะ! อาบน้ำพร้อมมึง? พ่องงงงงงง!” ใครมันจะไปยอมวะ แม่งพูดมาได้ คิดว่าผมกับมันเป็นเด็กอนุบาลรึไง


“ถ้าไม่อาบก็เชิญ ประตูอยู่นั่น” มีการผายมือให้ผมด้วยนะ แม่งโคตรกวนส้นตีน


เอาไงดีวะกู เดินออกไปตอนนี้แม่งคือแพ้ แต่ถ้าอยู่ต่อแม่งก็อาย คิดไม่ตกเลยว้อยว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี!


“จะยืนคิดอีกนานมั้ย ถอยไป เกะกะ” แล้วมันก็ดันผมให้ขยับออกมา จากนั้นก็ถอดเสื้อออกแล้วโยนไปแถวๆ หน้าประตู


แค่หุ่นกูก็แพ้มึงราบคาบแล้ว ถ้ากูเดินออกไปตอนนี้ก็จะแพ้คูณสอง ซึ่งกูไม่มีวันยอมให้เป็นแบบนั้นแน่!


“อาบก็อาบวะ!” ผมแหกปากสร้างความฮึกเหิม จากนั้นก็รีบถอดเสื้อกับกางเกงแล้วโยนออกไปด้วยท่าทางสุดเท่


ไงล่ะ! อึ้งไปเลยดิมึง! หึ!


“ปกติใส่บ็อกเซอร์อาบน้ำด้วยรึไง” แล้วหลังจากที่อึ้งไปสักแป๊บไอ้เอสก็พูดขึ้น ทีนี้ก็กลายเป็นผมแล้วล่ะที่อึ้งแดก นี่มันกะจะให้ผมถอดออกหมดเลยว่างั้น?


“มันจะดีหรอวะ จริงๆ กูก็ไม่ได้อยากอวดหรอกนะ แต่ก็กลัวมึงจะมีปมด้อยไงถ้าเห็นของของกู” ผมทำเป็นเชิ่ดหน้ามองเหยียดๆ ไอ้เอสเลยส่งเสียง ‘หึ’ ออกมา จากนั้นถอดกางเกงกับบ็อกเซอร์ออกโดยไม่พูดพล่ามทำเพลง!


เชี่ย! เชี่ย! เชี่ย! เยสเข้! เยสเป็ด! เยสครก! ถ้ากูหันหลังไม่ทันแล้วเป็นตากุ้งยิงมึงจะรับผิดชอบกูมั้ยไอ้เหี้ยยยยยยยยยย!


“หึ สงสัยคงจะเป็นมึงแล้วมั้งที่กลัวมีปมด้อย”


“อ้าวเฮ้ย! พูดงี้ก็สวยสิวะ!”


ณ จุดจุดนี้ ความองความอายต่างๆ นานาก็ช่างแม่งแล้ว ถอดหมดตัวสิครับรออะไร จะอายทำไมก็ผู้ชายเหมือนกัน ไอ้ที่มันมีผมก็มีเหมือนกันเพราะงั้นไม่จำเป็นต้องอาย!


“ขยับไป! กูจะเปิดน้ำ!” เสียงนี่เข้มหน้านี่เชิ่ดเหมือนว่าเก่งมาก แต่เปล่าหรอก กูไม่อยากมองต่ำ เดี๋ยวจะเห็นอะไรๆ ที่มันไม่ดีต่อใจกู


“หึหึ” ไอ้เหี้ยนี่ก็ขยันหัวเราะแบบนี้เหลือเกิ้นนนนน


“หัวเราะเชี่ยอะไรนักหนา!”


“มึงนี่เหมือนเด็กเลยนะ”


“อ้าวไอ้สัส! พูดงี้อยากมีเรื่องใช่มะ! จะบอกว่ากูเล็กหรอห้ะ!” อยากกระชากคอเสื้อแม่งจริงๆ แต่เสียดายที่ไม่มี


“กูหมายถึงนิสัยของมึงต่างหากที่เหมือนเด็ก อย่าร้อนตัวสิ”


“ไอ้...” เจ็บใจจริงโว้ยยยยยย! จะด่ามันว่าอะไรดี พูดอะไรไปเดี๋ยวก็หาว่าร้อนตัวอีก งั้นก็ช่างแม่งแล้วกัน


ผมสะบัดหน้าหนีเลิกสนใจไอ้เอส ไปสนใจเรื่องการรีบอาบน้ำให้เสร็จจะดีกว่า ว่าแต่ที่นี่มีของทุกอย่างให้ครบเลยแฮะ ทั้งสบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ยาสระผม ผ้าขนหนู เรียกได้ว่าถึงจะมาแบบฉุกละหุกก็ด้อนท์วอรี่ไม่มีปัญหา


แต่ว่าขอบ่นเรื่องนึงแล้วกัน คือสบู่ทำไมไม่เป็นสบู่เหลววะ สบู่ก้อนแทบไม่มีใครใช้กันแล้ว แถมก้อนแม่งก็เล้กเล็ก ใหญ่กว่ากล่องไม้ขีดนิดนึงเองมั้ง


ถามว่าบ่นแล้วใช้มั้ย?


ผมมีทางเลือกรึไงมันก็ต้องใช้นั่นแหละ ดีที่ให้มา 2 ก้อนเลยไม่ต้องแย่งกับไอ้เอส ไม่งั้นคงหมดแค่คืนนี้ไม่เหลือถึงตอนเช้ากันพอดี


เห็นบ่นเป็นวรรคเป็นเวรแบบนี้ แต่มือผมนี่รีบถูตัวใหญ่เลยนะ จะได้รีบๆ ออกไปจากห้องน้ำสักที เชิ่ดหน้านานหลายนาทีแล้วเนี่ยบอกเลยว่าโคตรเมื่อย


อ้าวเฮ้ยๆๆ บ่นอยู่ดีๆ ไอ้สบู่ไม่รักดีก็ดันลื่นหลุดมือซะงั้น แต่จะว่าลื่นมันก็ยังไงๆ อยู่ คือเหมือนมีคนมาปัดตกมากกว่า แต่ว่าผมคงจะหลอนไปเอง ไอ้เอสก็อาบน้ำของมันดีๆ ไม่ได้มายุ่งกับผมสักหน่อย


เอาเถอะ เรื่องสบู่ตกได้ยังไงมันไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะประเด็นหลักมันอยู่ตรงนี้...สบู่ตก


ดูคุ้นๆ ยังไงก็ไม่รู้เนอะ นี่ผมคิดไปเองรึเปล่าวะ? 


อึ่ก! จู่ๆ น้ำลายก็เกิดเหนียวขึ้นมา กลืนลงคอแทบไม่ลง แถมยังคิดไม่ตกด้วยว่าจะเอายังไงดี แต่ที่แน่ๆ คงจะต้องเก็บสบู่ก่อนสินะ


จะหันหลังก้มเก็บทั้งๆ แบบนี้?


โอ้โน้ววววววววว! นั่นมันท่าในตำนาน ถ้าผมทำมีหวังได้เสียเอกราชพอดี งั้นอย่างนี้ก็คงไม่มีทางเลือกอื่น หันหน้าเข้าหาไอ้เอสแล้วก้มเก็บแม่งเลย!


ฮ่าๆๆๆ กูนี่ฉลาดจริงๆ ท่าเก็บสบู่ในตำนานไม่มีทางได้แดกกูร้อกกกกก


พูดจริงๆ เลยนะ ตอนนั้นคือคิดจริงๆ ว่าตัวเองฉลาด แต่หลังจากนั้นไม่นานผมก็รู้สึกว่าตัวเองน่ะแม่งโคตรโง่เลย


ถามว่าทำไมน่ะหรอ?


ก็เพราะตอนที่เก็บสบู่เสร็จแล้วเงยหน้าขึ้นมา ผมก็เห็น หอ - รอ - รอ - มอ ของไอ้เอสเต็มๆ ตาเลยน่ะสิ!


“เหี้ยยยยยยยยยยยยย!”


เจอไอ้ของที่มันทั้งแข็งแล้วก็ใหญ่น้องๆ ตอร์ปิโดก็ร้องเสียงหลงดิผม เล่นเอาตกใจซะจนถึงกับหงายหลัง ไอ้เอสที่เห็นอย่างนั้นเลยรีบยื่นมือมาประคอง แต่เพราะความลื่นของสบู่หรือเพราะอะไรไม่รู้ ไอ้เอสก็ดันยืนไม่อยู่เสียหลักล้มไปพร้อมผมซะงั้น!


“โอ๊ย!”


แล้วประเด็นคือไม่รู้ว่าไปล้มอีท่าไหน ทำไมผมถึงได้นั่งคร่อมอยู่ที่ตักของไอ้เอสก็ไม่รู้ ท่าตอนนี้แม่งล่อแหลมและอันตรายกว่าตอนเก็บสบู่ไปอี้กกกกกกกกกกกก!


2BC


 :m18: สวัสดีค่า Soulmate ตอนที่ 9 ก็จบไปแล้ว ตอนนี้อาจจะสั้นนิดนึง แต่ก็คิดว่าน่าจะอมยิ้มหรือไม่ก็แอบหวีดในใจบ้างล่ะเนอะ แอร๊ยยยย  :-[
มาลุ้นกันนะคะว่าตอนหน้าจะเป็นยังไง กามเทพเป็นใจให้ขนาดนี้เอสจะปล่อยให้ซีหลุดไปมั้ยน้า  :impress2: ขอเวลาปั่นก่อนสัก 2 – 3 วันนะคะ หวังว่าทุกคนคงจะชื่นชอบตอนนี้กันน้า ถ้าหากชื่นชอบก็คอมเมนท์บอกกันหน่อยนะคะ เลิฟฟฟฟฟ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่9# เก็บสบู่ท่าไหนดีอะ? [18.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Y-Darkness ที่ 18-10-2019 21:27:45
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่9# เก็บสบู่ท่าไหนดีอะ? [18.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 18-10-2019 22:19:14
 :pig4: :pig4: :pig4:

อ่าว   ตัดจบซะงั้น
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่9# เก็บสบู่ท่าไหนดีอะ? [18.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 18-10-2019 22:32:12
 :z1:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่9# เก็บสบู่ท่าไหนดีอะ? [18.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Micky_MN ที่ 20-10-2019 16:50:04
 :z1: คิดดีไม่ได้เลย
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่9# เก็บสบู่ท่าไหนดีอะ? [18.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 20-10-2019 18:22:48
แบบนี้ที่เค้าเรียกว่าผีผลักช่ายมั้ยอ่า
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่10# เพื่อนช่วยเพื่อน NC [23.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Sameejaejung ที่ 22-10-2019 23:59:43
Soulmate วิญญาณป่วนรัก


Part 10# Z เพื่อนช่วยเพื่อน NC


ผมอึ้งแดกอยู่ประมาณ 3 วิ ซึ่งหลังจากที่ตั้งสติได้ผมก็จะรีบลุกขึ้นจากตักของไอ้เอส แต่ประเด็นคือ...มันจะกอดเอวผมไว้ทำเหี้ยอะไรรรรรรรรร!


“ปล่อยกูเซ่!” ผมดิ้นไปมา แต่ว่าแทนที่จะปล่อยมันกลับกอดผมแรงขึ้นซะงั้น


“รับผิดชอบมาก่อน”


“รับผิดชอบเหี้ยไร!”


“มันแข็งอยู่”


“หา?” สาบานจริงๆ ว่าตอนแรกผมโคตรงงว่ามันหมายถึงอะไร แต่พอเอะใจแล้วก้มมองลงไปข้างล่าง...ชัดเลย แม่งแข็งแล้วก็ใหญ่กว่าเมื่อกี้ไปอี้กกกกกกกก!


“ไอ้เหี้ยเอส! น้องมึงแข็งแล้วมันเกี่ยวเหี้ยอะไรกับกู!” ผมใช้คำว่าน้องเพราะอยากให้บรรยากาศมันดูซอฟต์ลง แต่แม่งก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย


“ใครล่ะเป็นคนขึ้นคร่อมกู” อ้าว จู่ๆ มาโทษกูซะงั้น 


“แต่มันแข็งก่อนที่กูจะอยู่ท่านี้อีก!” ไม่งั้นกูจะตกใจจนเสียหลักต้องมานั่งอยู่ท่านี้รึไง


“แข็งตอนนั้นกับแข็งตอนนี้มันไม่เหมือนกัน”


“ก็แล้วมันต่างกันตรงไหน!” เลอะเทอะใหญ่แล้วไอ้เหี้ยนี่


“ตอนนั้นแข็งตามธรรมชาติ แต่ตอนนี้แข็งเพราะอารมณ์อยาก”


“อยากเหี้ยอะไรล่ะ!”


“ก็อยาก...”


“หยุดดดดดดดดด! พอแล้วๆๆ มึงไม่ต้องพูดแล้วว่าอยากอะไร” ผมรีบร้องห้ามก่อนที่ไอ้เอสมันจะพูดอะไรที่ชวนขนลุกและแสลงหูออกมา คือเมื่อกี้ที่ถามนี่เพราะปากไวไม่ทันคิด แต่พอคิดได้แล้วก็แทบปิดหูเอาไว้ไม่ทัน


“แข็งกับผู้ชายแบบนี้นี่มึงเป็นเกย์รึไง” ปกติถูกพูดแบบนี้ใส่ก็ต้องรีบผลักผมออกไปใช่มั้ย แต่ไอ้เอสกลับยิ้มที่มุมปากหน่อยๆ แล้วก้มไปมองด้านล่าง


“งั้นมึงก็เป็นด้วยสิ”


“หา?” ด้วยความที่งงเลยก้มลงมองตามไอ้เอส...เยสเป็ด! กูก็แข็งเหมือนกัน!


ตาเหลือกสิครับตอนนี้ คิดไม่ตกเลยดิว่าแม่งแข็งได้ไง ทำไมมันถึงแข็ง หรือว่าจะเป็นตอนที่ผมดิ้นไปมาเมื่อกี้?


“กู...กูเปล่านะเว่ย มันแข็งของมันเอง กูชอบผู้หญิงนะมึง” ผมไม่ได้จะแถนะ แต่ผมพูดเรื่องจริง


“แล้วก่อนหน้านี้เห็นกูมีแฟนเป็นผู้ชายรึไง”


“ก็ไม่...” มีแฟนเป็นผู้หญิงแถมยังสวยมากด้วย ถึงนิสัยจะทรยศหน้าตาไปเลยก็เถอะ


“เห็นมั้ยล่ะ แล้วมึงจะคิดมากทำไม มึงรับผิดชอบของกูไป ส่วนกูก็รับผิดชอบของมึง แค่นี้ก็จบ”


“แต่มึง ผู้ชายทำแบบนี้ให้กันไม่คิดว่ามันแปลกไปหน่อยหรอวะ”


“คิดมาก ก็แค่เพื่อนช่วยเพื่อน ไม่เห็นมีอะไรแปลก”


แปลกตรงที่มึงพูดเยอะกว่าปกตินี่แหละ! ปกติเห็นถามคำตอบคำเหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วง แต่ตอนตะล่อมกูนี่แม่งพูดซะยาวเหยียดเลย


“มึงเห็นกูเป็นเพื่อนด้วยหรอ นึกว่าเห็นกูเป็นเบ๊ซะอีก”


“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง” ชิ! เกลียดจริงๆ คนรู้ทัน


“ไฟสว่างจ้าขนาดนี้ใครจะไปทำลง กูว่า...” แต่ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ ไฟของห้องน้ำก็ดับวูบลงซะงั้น! “มึงปิดไฟหรอวะ”


“กูก็นั่งอยู่ตรงนี้” เออ ก็จริงของมัน มันไม่ได้ลุกไปไหนแถมยังกอดเอวผมเอาไว้ซะแน่น


“แล้วใครเป็นคนปิด”


“ไฟดับพอดีมั้ง”


ถ้าไฟดับในห้องก็ต้องดับด้วยสิ แต่นี่ผมยังเห็นแสงลางๆ ผ่านทางประตูห้องน้ำอยู่เลย ถึงมันจะแค่สลัวๆ ไม่ได้สว่างมากก็เถอะ แต่มันก็ทำให้ผมเห็นทุกอย่างอยู่ดี โดยเฉพาะสีหน้าของไอ้เอส


“แต่ว่า...”


“จะอ้างอะไรอีก”


“กูไม่...อ๊ะ!” แต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรต่อผมก็ต้องร้องครางออกมาซะก่อน นั่นก็เพราะไอ้เอสแม่งคว้าหมับเข้าที่ส่วนนั้นของผมเต็มๆ มือ!


“มือคนอื่นมันรู้สึกดีกว่ามือตัวเองใช่มั้ยล่ะ”


“อึ่ก!” ถึงจะไม่อยากยอมรับแต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ คือมือของตัวเองมันก็คุ้นเคยอยู่แล้วไง แต่มือของคนอื่นมันให้ความรู้สึกแตกต่างแล้วก็แปลกใหม่ ขนาดแค่มันรูดขึ้นลงเบาๆ ยังเสียวฉิบหายเลยอะ


 “ซี้ดด...” ผมพยายามกัดปากแล้วนะเพราะมันน่าอาย แต่ให้ตายสิ ทำไมมันถึงได้เสียวขนาดนี้วะ


“พึ่งเคยถูกคนอื่นทำให้งั้นสิ”


“ก็แน่ดิ เรื่องแบบนี้คิดว่ากูจะมีโอกาสได้ทำกับใคร”


“นั่นสินะ” ไอ้เอสยิ้มออกมา ท่าทางเหมือนจะดีใจ แต่ไม่น่าจะใช่หรอก ผมคงมองผิดแหละ มันน่าจะยิ้มเยาะผมมากกว่า


“อยากตายใช่มั้ย” ผมยกกำปั้นขึ้นกะจะต่อยหน้ามันสักหน่อย แต่ว่ามันก็จับที่กำปั้นของผมเอาไว้ แล้วดึงลงไปกำส่วนนั้นของมันที่อยู่ด้านล่างแทน


“ถ้าจะกำหมัดมากำตรงนี้แทนดีกว่า”


หน้าร้อนไปเลยดิผม ไม่รู้จะเขินน้ำเสียงกระเส่าของมัน สีหน้าหื่นๆ ที่จ้องมองมา หรือว่ามือของตัวเองที่กำลังกำ (เกือบไม่) รอบท่อนเนื้อของมันดี


คิดไม่ตกเลยตอนนี้ จะเอายังไงดีวะกู ผู้ชายสองคนมาช่วยกันแบบนี้มันก็แปลกอยู่นะเว่ย ต่อให้สนิทกันแค่ไหนก็ไม่น่าจะสนิทกันเบอร์นี้เปล่าวะ


แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ถามว่ารู้สึกดีมั้ยขอตอบเลยว่ามากกกกก ถ้าอย่างนั้นจะลองดูสักครั้งดีมั้ยอะ คิดซะว่าเพื่อนช่วยเพื่อนแบบที่ไอ้เอสบอก เพราะยังไงก็แค่ช่วยกันอยู่แล้ว ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้นสักหน่อย


“ยังจะคิดอะไรอยู่อีกหรอ” ไอ้เอสกอดเอวผมให้ขยับเข้าไปใกล้มันที่นั่งพิงกำแพงมากขึ้น แถมมือก็ยังกำตรงนั้นของผมให้แน่นขึ้นอีกต่างหาก เท่านั้นยังไม่พอ นิ้วหัวแม่มือของมันยังบี้ที่ส่วนปลายด้วยอีก


ถ้าจะทำขนาดนี้ผมยังจะคิดอะไรออกได้ล่ะ ไม่คิดแม่งแล้วโว้ย!


ผมไม่ตอบอะไรแต่หลับตาลง แต่เท่านี้ไอ้เอสก็รู้คำตอบแล้วว่าผมตัดสินใจยังไง เพราะงั้นมันถึงได้โน้มคอผมให้ลงมาใกล้ๆ ก่อนที่จะใช้ลิ้นเลียช้าๆ ไปพร้อมๆ กับนิ้วที่ลากไล้อยู่ที่แผ่นหลังของผม


“ซี้ดด...” ผมหลุดเสียงครางออกมาอีกรอบ ตอนนี้ผมเสียวจนแทบบ้า ยิ่งตอนที่มันเริ่มขยับมือรูดตรงนั้นของผมขึ้นลงอีกครั้ง ก็เล่นเอาสมองของผมขาวโพลนจนคิดอะไรแทบไม่ออกเลย


“ขยับของกูไปด้วยสิ” ไอ้เอสพูดด้วยเสียงกระเส่า ระหว่างที่กำลังคลอเคลียอยู่แถวๆ หูของผม ซึ่งผมก็ทำตามที่มันบอกอย่างว่าง่าย มันสั่งให้ทำอะไรก็ทำ เหมือนไม่เป็นตัวของตัวเองเลยสักนิดเดียว


“อืม...” ไม่รู้ทำไมเสียงครางของไอ้เอสที่หลุดออกมาถึงทำให้หัวใจของผมเต้นแรง ไหนจะแววตาที่มองมายังผมราวกับจะกลืนกินนั่นอีก เล่นเอาร่างของผมถึงกับสั่นสะท้าน ช่วงล่างร้อนวาบและเสียวซ่านไปทั้งลำ


ผมขยับมือขึ้นลงให้เร็วขึ้น ท่อนเนื้อของมันเลยยิ่งขยายใหญ่มากขึ้นจนมือของผมกำไม่รอบแล้ว ส่วนมือของมันที่กำรอบของผมอยู่ก็เช่นกัน มันรูดรั้งขึ้นลงให้เร็วขึ้น โดยเอานิ้วหัวแม่มือขยี้ตรงส่วนปลายเป็นจังหวะไปด้วย เจอแบบนี้เข้าไปผมก็แทบจะทนไม่ไหวแล้วน่ะสิ


“ไอ้เอส...กูเสียว...” ผมกัดริมฝีปากล่างแน่น ส่วนร่างกายก็แอ่นและบิดไปมา


“กูก็เหมือนกัน” ไอ้เอสพูดด้วยเสียงแหบพร่า สีหน้าโคตรหื่นแต่ก็เร้าอารมณ์เป็นบ้าเลย


‘อยากจูบมึงว่ะ’


สาบานเลยนะว่าผมแค่คิดในใจ แต่ไม่รู้ว่าสีหน้าของผมแสดงออกมากไป หรือว่ามันอ่านใจผมได้ก็ไม่รู้ เพราะมันได้โน้มคอของผมลงมาจูบ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่แค่ปากแตะปากธรรมดา แต่เป็นการจูบอย่างดูดดื่มมากกว่าครั้งก่อนที่เคยจูบผมซะอีก


“อือ...อืม...อา...” ผมครางพร้อมกับหอบกระเส่า ไอ้เอสมันดูดปากผมอย่างหนักหน่วงจนแทบจะดูดวิญญาณออกไปด้วย จนเมื่อดูดจนพอใจแล้วมันถึงได้ใช้ลิ้นเลียแล้วก็สอดเข้ามากระทบกับลิ้นของผม


วินาทีแรกที่โดนกันราวกับว่ามีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านไปทั่วร่าง มันทั้งชาวาบแต่ก็เสียวสะท้าน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นมึนเมาเมื่อปลายลิ้นของเราสองตวัดพันกันไปมา เสียงจูบ เสียงคราง เสียงหอบหายใจ และเสียงของมือที่กำลังขยับขึ้นลงดังประสานกันก้องห้องน้ำ


“ไอ้เอส...กู...กูจะเสร็จแล้ว...” ผมพูดด้วยเสียงแหบพร่า โดยที่ริมฝีปากก็กำลังจูบและแลกลิ้นกับไอ้เอสอย่างดูดดื่ม แน่นอนว่ามือของผมแล้วก็มันยังคงรูดรั้งท่อนเนื้อของกันและกัน


“รอ...พร้อมกูนะ...” แววตาของมันเหมือนจะอ้อนๆ ร่างกายที่กำลังร้อนๆ ก็เลยแทบจะละลายไปเลยดิ


“ก็รีบ...เสร็จซะสิ...” เสียงมึง สายตาของมึง แล้วก็ลีลาการใช้มือของมึง คิดว่ากูจะทนได้นานขนาดนั้นเลยรึไง


“เรียกชื่อกู” มันพูดด้วยเสียงที่โคตรจะกระเส่า ยั่วความกามในตัวฉิบหาย


“เอส...”


“อืม...เรียกอีกสิ...” ดูท่าทางมันจะพึงพอใจ เพราะท่อนล่างของมันกระตุกใหญ่ ท่าทางคงจะใกล้เสร็จแล้ว


“เอส...”


“อืม...ซี...” จู่ๆ ร่างกายของผมก็เสียววาบจากที่เสียวมากอยู่แล้ว ก็พึ่งรู้นี่แหละว่าการเรียกชื่อมันมีอิทธิพลมากถึงขนาดนี้


“ซี้ดดด...ไอ้เอส...” ตอนนี้ห้วงอารมณ์ของผมกำลังพุ่งขึ้นสูง จนเอวแทบจะเด้งสวนกับไอ้เอสที่กำลังชักของผมขึ้นลงอยู่แล้ว มันที่เห็นผมใกล้จะเสร็จก็เลยเร่งมืออย่างสุดแรง แถมยังชักอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าที่แล้วมาอีกด้วย


จนในที่สุด...


“เอส...เอส! อาาาา!” ผมก็ทนความเสียวต่อไปไม่ไหว แผ่นอกแอ่นเกร็งแล้วก็ปลดปล่อยออกมาทันที


ส่วนไอ้เอสก็ตามผมมาติดๆ เพราะตอนที่เสร็จผมก็ชักของมันอย่างสุดแรงเหมือนกัน ซึ่งหลังจากที่ปลดปล่อยออกไปแล้วนั้น เราสองคนก็พากันหายใจอย่างแรงด้วยความเหนื่อยหอบ


“อา...อา...” ก็ไม่รู้ว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร เช่นเดียวกันกับน้ำสีขาวขุ่นที่กำลังเลอะเต็มมือและตามตัวของพวกผม

 
จู่ๆ ก็เกิดหน้าซีดขึ้นมา คล้ายๆ กับว่าจะเป็นลมด้วย...


คือตอนนั้นความอยากมันทำลายสติไง แต่พอเสร็จแล้วความอยากหายไปสติก็กลับคืนมา ซึ่งมันก็ทำให้ผมตระหนักได้ว่า...
นี่กูทำอะไรลงป๊ายยยยยยยยยยยยยยยย!


2BC


 :pighaun: เฮือก! สะ...สวัสดีค่ะทุกคน (ยกมือขึ้นอุดจมูก >,.<) ไหนใครเสียเลือดบ้างขอเสียงหน่อยค่าา ตอนนี้เป็น NC ที่ตั้งใจเขียนให้หื่นปนฮา ก็หวังว่าจะฟินและชื่นชอบกันนะคะ  :z1:

ส่วนตอนหน้ามาลุ้นกันค่ะว่าเรื่องจะดำเนินต่อไปยังไง ความรู้สึกของเอสคงจะชัดเจนแล้วล่ะเนอะ น่าจะต้องลุ้นที่ซีคนเดียวแล้วแหละ อิอิ  :impress2:

แล้วเจอกันอีก 2 – 3 วันนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเมนท์ให้น้า ร้ากกกกกกกก  :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่10# เพื่อนช่วยเพื่อน NC [23.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 23-10-2019 00:12:17
 :z1:

 :กอด1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่10# เพื่อนช่วยเพื่อน NC [23.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 23-10-2019 00:44:49
 :pig4: :pig4: :pig4:

ตอนนี้แค่ภายนอกเนอะ
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่10# เพื่อนช่วยเพื่อน NC [23.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 23-10-2019 11:50:47
เกิดเพราะอารมณ์ล้วนๆ เนอะ.

พี่เต้ยแอบดูอยู่ตรงไหนล่ะจ๊ะ.  :hao3:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่10# เพื่อนช่วยเพื่อน NC [23.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Micky_MN ที่ 23-10-2019 23:36:00
 :jul1: ตาย พูดเลยว่าตาย  :heaven สู่ขิต
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่10# เพื่อนช่วยเพื่อน NC [23.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 24-10-2019 13:51:52
NC เขียนดีมากกกกก >///<
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่10# เพื่อนช่วยเพื่อน NC [23.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Y-Darkness ที่ 25-10-2019 04:19:01
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่11# โมโห (ทำไมวะ!?) [28.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Sameejaejung ที่ 28-10-2019 05:32:13
Soulmate วิญญาณป่วนรัก


Part 11# Z โมโห (ทำไมวะ!?)


“ต่อมั้ย” ไอ้เอสเอ่ยปากถาม พลางค่อยๆ ไล้ปลายลิ้วที่อยู่ตรงแผ่นหลังของผมลงมาช้าๆ เห็นก่อนนี้กูยอมเข้าหน่อยแถมยังช็อกอยู่ก็เอาใหญ่เลยนะมึง


“ต่อเชี่ยอะไรล่ะ!” ผมผลักที่อกของมันอย่างสุดแรง ก่อนจะลุกขึ้นด้วยท่าทางเซนิดๆ แล้วรีบล้างตัวเอาคราบอะไรต่อมิอะไรออกไปจากตัวให้หมด พอเสร็จก็คว้าผ้าเช็ดตัวแล้วรีบวิ่งแจ้นออกจากห้องน้ำมาเลย


ทำลงไปได้ยังไง...


นี่กูทำเรื่องแบบนั้นกับไอ้เอสลงไปได้ยางง๊ายยยยยยยยย!


ผมจิกทึ้งผมของตัวเองจนยุ่งเหยิง คือตอนนี้ไม่รู้ว่าผมจะเขิน จะอาย หรือจะโกรธ (ตัวเอง) ดี นี่ถ้าไม่ติดว่ากลัวเจ็บคงจะเอาหัวโขกกำแพงให้รู้แล้วรู้รอด แต่ไหนๆ เรื่องมันก็เกิดขึ้นไปแล้ว ผมไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้ เพราะงั้นสิ่งที่ผมทำได้ก็มีแต่...หลบหน้าไอ้เอสจนกว่าจะจะถึงพรุ่งนี้ก็แล้วกัน! ก็กูคิดอะไรไม่ออกแล้วอะ!


เมื่อคิดได้แบบนั้นก็รีบกระโจนขึ้นเตียงนอนคลุมโปงทันที ซึ่งผ่านไปไม่กี่วิไอ้เอสมันก็ออกมาจากห้องน้ำ ผมได้ยินเสียงฝีเท้ามันใกล้เข้ามาเลยพยายามนอนให้นิ่งที่สุด แต่หารู้ไม่ว่ามือที่กำลังจับผ้าห่มแม่งสั่นพั่บๆ


“หลับแล้วหรอ”


“เออ! หลับแล้ว!” เชี่ย! อ๊องจริงกู! ถ้ากูหลับแล้วจะตอบมันได้ยังไงวะ!


“หึหึ” หัวเราะแบบนี้มันคงรู้แหละว่าผมยังไม่หลับ แต่ก็ยังดีที่มันไม่ได้มากวนหรือถามอะไรอีก


ผมได้ยินเสียงมันเดินไปนู่นมานี่ ไม่รู้ว่าทำอะไร แต่ในเมื่อผมมองไม่เห็นก็เลยไม่ได้สนใจ แล้วอีกอย่างผมก็ชักง่วงขึ้นมาจริงๆ ซึ่งไม่กี่นาทีหลังจากนั้นผมก็เข้าสู่ห้วงนิทราไปเลย...


.......................................

..........................

.............


   ตื่นมาอีกทีปรากฏว่าตอนนี้เป็นเวลา 10 โมงกว่าเกือบ 11 โมง...


“เชี่ย!” นี่กูนอนไปนานขนาดนี้เลยหรอวะ 1...2...3...4...5...6...7...8...9... 9 ชั่วโมงกว่า! นี่กูนอนหรือซ้อมตายถามจริง!


ซึ่งขณะที่ผมกำลังพูดกับตัวเองอยู่นั้น ไอ้เอสที่ไม่รู้ว่าออกไปไหนมาก็เปิดประตูกลับเข้ามาในห้อง ดวงตาของเราสองคนจ้องมองกันโดยที่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่พูดอะไร


นั่นแหละฮะท่านผู้ชม...เดดแอร์!


ก็แน่ล่ะสิ เมื่อคืนพวกผมทำเรื่องอะไรกันล่ะ ถึงจะทำเป็นลืมแต่มันก็ลืมไม่ได้ง่ายๆ หรอกนะ ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง แล้วก็สัมผัสยังตราตรึงอยู่เลยขอบอก


“นี่กะว่าถ้ากลับมามึงยังไม่ตื่น กูจะแจ้งป่อเต็กตึ๊งให้มาเก็บศพแล้ว” ไอ้เอสพูดด้วยใบหน้านิ่งๆ แล้วเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม ท่าทางของมันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย กวนตีนหน้าตายเหมือนเดิมทุกประการ


“ไอ้สัส” ถึงจะรู้สึกหมั่นไส้จนยกมือทำท่าจะต่อยมันลับหลัง แต่พอคิดๆ ดูก็ดีแล้วล่ะ บรรยากาศกระอักกระอ่วนจะได้หมดไป คิดซะว่าเรื่องเมื่อคืนมันก็แค่ความฝันเท่านั้นพอ


“แล้วนั่นมึงไปไหนมา” แต่ดูจากเสื้อผ้าแล้วก็การแต่งหน้าทำผม ผมคิดว่ามันน่าจะออกไปทำงานมานะ


“ถ่ายแบบขึ้นปกนิตยสาร” พูดจบมันก็เดินเอาขวดน้ำมายื่นให้ผม ก็ขวดที่มันพึ่งจะกินไปเมื่อกี้นั่นแหละ


เอาวะ จูบก็จูบมาแล้ว ทำมากกว่านั้นก็เคยแล้วด้วย จะมาคิดมากอะไรกะอีแค่ดื่มน้ำจากขวดเดียวกัน!


“ขอบใจ” แล้วผมก็ยกดื่มอั่กๆ แต่ก็แอบเห็นอยู่ว่าไอ้เอสมันกำลังอมยิ้มนิดๆ ก็ไม่รู้ว่ายิ้มอะไรของมัน แต่ผมก็ขี้เกียจจะสนใจ

“แล้วนี่มีงานต่อมั้ยอะ”


“ต้องไปกองถ่ายบ่ายโมง”


“กูต้องไปด้วยปะ”


“ไม่งั้นกูจะรีบกลับมารับทำไม ไปอาบน้ำได้แล้ว” พูดจบมันก็กระชากผ้าห่มออกไปจากตัวผม แต่พอเห็นว่าร่างกายของผมกำลังเปลือยเปล่า มีเพียงผ้าเช็ดตัวที่พันเอวเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่ จะหลุดแหล่ไม่หลุดแหล่อยู่แล้ว ร่างของมันก็ถึงกับแข็งค้าง ดวงตาเบิกกว้างอย่างตกตะลึง


“ไอ้...ไอ้...ไอ้ฟาย! จำไม่ได้รึไงว่ากูไม่มีเสื้อผ้าใส่น่ะไอ้เหี้ย!” ผมโวยวายดังลั่นพร้อมกับปาหมอนใส่มันอย่างแรง จากนั้นก็รีบวิ่งปรู๊ดลงจากเตียงไปที่ห้องน้ำ โดยกำผ้าเช็ดตัวที่กำลังจะหล่นจากเอวเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย


เฮ้อออออ เกือบไปแล้ว เกือบได้โชว์อนาคอนด้ากลางวันแสกๆ แล้วมั้ยล่ะ!


หลังจากที่สงบสติอารมณ์ได้แล้วก็ได้ฤกษ์อาบน้ำสักที ตอนที่อาบแว้บหนึ่งสมองมันก็ดันคิดเรื่องเมื่อคืนขึ้นมา เพราะงั้นหน้ามันก็จะร้อนๆ หน่อย แต่ผมก็ตบแก้มดึงสติพยายามไม่คิดอะไร จนกระทั่งอาบเสร็จจะหาเสื้อผ้าใส่ ผมก็พึ่งนึกขึ้นได้ว่าไม่มีชุดเปลี่ยน


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


“อะไร!” หน้าตื่นเลยสิผมที่จู่ๆ ไอ้เอสก็มาเคาะประตู ถ้ามึงเข้ามากูต่อยไม่ยั้งเลยนะเว่ยบอกไว้ก่อน


“เสื้อผ้า กูซื้อมาให้ แต่ถ้าอยากใส่ผ้าเช็ดตัวไปกองถ่ายก็ตามใจ” ได้ยินแบบนี้แล้วจะรออะไรล่ะ ผม ก็รีบเปิดประตูออกไปหยิบถุงเสื้อผ้าที่ไอ้เอสซื้อมาให้ทันทีน่ะสิ


ในนี้นอกจากจะมีเสื้อผ้าก็ยังมีชั้นใน โรลออน และน้ำหอม มันรู้รสนิยมและไซซ์ของผมจนน่าตกใจ คงไม่น่าใช่เรื่องบังเอิญหรอกมั้ง ซึ่งพอใส่เสื้อผ้าและทำอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินออกมาจากห้องน้ำ


“ขอบใจนะ” ก็พยายามไม่มองตามัน เพราะยังรู้สึกเขินๆ เรื่องเมื่อคืนอยู่


“คิดว่าคงไม่มีเวลากินข้าว กูเลยซื้อนี่มาให้ด้วย” ไอ้เอสมองไปที่แซนด์วิชปูอัดไข่กุ้ง ดูทรงแล้วมันน่าจะจำเรื่องที่เกี่ยวกับผมได้

ว่าแต่ทำไมมันต้องใส่ใจผมขนาดนี้ด้วย?


“ดูแลกูขนาดนี้ ทำยังกะกูเป็นเมี...”


เชี่ยยยยยยยย นี่กูพูดอะไรออกป๊ายยยยยยยยย เมื่อกี้กูจะพูดคำว่าเมียงั้นเรอะ? เมียเนี่ยนะ? ม่ายยยยยยยยย ไม่มีทาง!


“ตายละ! ใกล้จะเที่ยงแล้วหรอเนี่ย! รีบลงไปเช็คเอาท์ดีกว่าเนอะ เดี๋ยวมึงต้องไปกองถ่ายต่ออีก เกิดไปสายมึงจะดูไม่ดี ว่าแต่มีของอะไรให้เก็บมั้ยนะ? อ้อ! นั่นไงเสื้อผ้าที่กูใส่เมื่อวาน เอาไปตากแล้วก็พับซะเรียบร้อยเลย ขอบใจมากนะเพื่อน...เอ้า! แล้วจะนั่งทำอะไรอยู่! รีบลุกขึ้นมาสิ! เดี๋ยวก็ไปกองถ่ายสายหรอก!”


พูดคนเดียวเกินครึ่งนาทีโดยไม่มีหยุดพักหายใจ เกือบตายสิครับกู! เป็นการพูดกลบเกลื่อนเปลี่ยนเรื่องที่เสี่ยงตายฉิบหาย แต่ก็ถือว่าคุ้มล่ะวะ เพราะไอ้เอสที่ทำหน้ายิ้มๆ และกำลังจะพูดอะไรสักอย่างก็ถูกผมขัดจังหวะฉุดให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ซะก่อน


เฮ้อออออออ รอดไปได้อีกครั้ง


หลังจากเช็คอินเรียบร้อยไอ้เอสก็พาผมตรงไปกองถ่ายเลย ถึงจะแปลกใจที่มันบอกจะขับรถเอง แต่ผมก็ไม่ได้ขัด นั่งเป็นคุณชายไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหมาย


เราสองคนมาถึงกองถ่ายก่อนเวลานัดนิดหน่อย ซึ่งก็พอดีเหลือเวลาให้ไอ้เอสได้ไปแต่งตัว ส่วนผมก็ไปช่วยหยิบนั่นหยิบนี่ จนเมื่อไม่มีอะไรทำเพราะไอ้เอสไปเข้าฉาก ผมก็ไปนั่งคุยกับพี่ๆ ทีมงาน ก็ย้ายไปคุยหลายกลุ่มแล้วแต่ว่ากลุ่มไหนจะว่าง หรือถ้ามีใครเรียกใช้ให้ทำอะไรผมก็จะรีบไปช่วยทันที


เนื่องจากผมเป็นคนที่พูดมากและเข้ากับคนง่าย ผมก็เลยพลอยสนิทกับคนง่ายเข้าไปด้วย เพราะงั้นก็เลยมีโอกาสได้ถามพวกพี่ๆ ทีมงานหลายๆ เรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของไอ้เอสนั่นแหละ


อย่างแรกที่ถามเลยก็คือ เคยรู้สึกเกลียดหรือหมั่นไส้มั้ยที่มันเป็นคนนิ่งๆ จนคล้ายกลับว่าหยิ่ง ซึ่งคำตอบที่ได้น่ะหรอ? ทุกคนตอบกันเป็นเสียงเดียวกันเลยว่ามากกกกก เล่นเอาผมถึงกับตบเข่าฉาด เพราะว่าผมก็รู้สึกหมั่นไส้มันเหมือนกัน ฮ่าๆๆๆ


แต่หลังจากที่ได้รู้จักจริงๆ พวกพี่ทุกคนก็ไม่รู้สึกอย่างนั้นกันแล้ว เพราะเข้าใจว่านั่นเป็นบุคลิกของมัน ไม่ได้สร้างปัญหาให้กอง นอกจากนี้ก็ยังรับผิดชอบงานดี ไม่เคยโดด หาย เท หรือเรื่องมาก การแสดงอาจจะไม่ได้ดีอะไรมาก แต่ก็เข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องแรก แถมยังขึ้นกล้อง จับแต่งลุคไหนก็ดูดีไปซะหมด


“พี่นั่งยันนอนยันเลยว่า น้องเอสนี่อนาคตไกลแน่นอน ยิ่งตอนนี้มีน้องซีอยู่ข้างๆ ด้วยแล้ว ความสดใสของน้องก็ทำให้บรรยากาศรอบตัวน้องเอสเปลี่ยนไปด้วย เห็นพี่พูดบ่อยๆ ก็อย่ารำคาญเลยนะ พี่คิดอย่างนั้นจริงๆ” ผมที่ได้ยินอย่างนั้นก็มีแต่จะยิ้มรับ มีผู้ใหญ่เอ็นดูจะมีใครรำคาญได้ลงล่ะจริงมั้ย


ผ่านไปสักพักคิวถ่ายของไอ้เอสก็หมดลง ซึ่งหลังจากที่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็นัดแนะเวลาที่ต้องมาพรุ่งนี้กับทีมงานเสร็จ มันก็เดินมาหาผม


“พรุ่งนี้มีคิวถ่ายกี่โมงอะ”


“ค่ำๆ แต่ตอนเช้าต้องเข้าไปคุยงานที่บริษัท พรุ่งนี้มึงก็พักเถอะ”


“โอเค” ดีเลย ผมจะได้ไม่ต้องแหกขี้ตาตื่นขึ้นมาแต่เช้า จะได้มีเวลาอยู่เมาท์อยู่เล่นเกมกับไอ้พวกเพื่อน..................เวรละ! ผมดันลืมติดต่อพวกมันไปซะสนิท!


คือตื่นมาเห็นโทรศัพท์แบตหมดก็เลยตั้งใจว่าจะมาหายืมสายชาร์จพี่ๆ ทีมงาน แต่ก็มัวแต่เมาท์แล้วก็เดินทำนู่นทำนี่จนลืม ป่านนี้มันจะไม่ห่วงผมฉิบหายวายป่วงไปแล้วเรอะ!


“ทำไมทำหน้าแบบนั้น หรืออยากไปกับกูด้วย?”


“กูสนใจเรื่องนั้นที่ไหนกันเล่า!” แว้บหนึ่งผมเห็นไอ้เอสมันทำหน้าหงอยๆ แต่ผมคงจะคิดไปเองล่ะมั้ง “ขอยืมมือถือหน่อยดิ กูหายไปทั้งวันทั้งคืนไม่รู้ไอ้พวกเพื่อนกูมันจะเป็นห่วงขนาดไหน”


“ถ้าเรื่องนั้นมึงไม่ต้องห่วงหรอก กูบอกพวกเพื่อนมึงตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”


“ถามจริง?”


“อืม”


“เอาเวลาไหนไปบอกวะ”


“ตอนที่มึงนอน”


“โอ้โห นี่...”


“เลิกถามมากสักที กูหิว ไปหาอะไรกินกัน” แล้วมันก็รีบลากผมออกมาเลย ทำเอาผมต้องรีบยกมือไหว้รีบบอกลาพี่ๆ ทีมงานกันยกใหญ่ ซึ่งพอไปถึงรถผมก็พึ่งนึกขึ้นมาได้...


เมื่อวานรถเสียไม่ใช่เรอะ!


“ว่าแต่เมื่อคืนรถเป็นอะไรมึง” ผมถามหลังจากที่เราสองคนเข้ามานั่งในรถแล้ว แน่นอนว่าไอ้เอสก็เป็นคนขับเหมือนขามา สบายล่ะผม


“ไม่รู้สิ แต่เมื่อเช้าลองสตาร์ทดูก็ติด ขับไปทำงานก็ปกติด้วย”


“เอ๊า แบบนี้ก็มีเว่ย แต่ยังไงถ้าว่างมึงก็เอาไปเข้าศูนย์เช็คดูหน่อยแล้วกัน เผื่อจะเจอว่ารถมันเป็นอะไร” ก็ไม่ได้ห่วงความปลอดภัยของมันนักหรอก ผมห่วงตัวผมเองเนี่ย เกิดรถเสียกลางทางแล้วโดนชนหลังก็ตายห่าพอดี


“อืม”


“แล้วนี่มึงอยากกินอะไรอะ”


“ตามใจมึง”


“เลี้ยงด้วยปะ?”


“อืม”


“อื้อหือ ใจดีผิดหูผิดตานะเนี่ย” ผมพูดยิ้มๆ พลางเอาศอกกระทุ้งสีข้างของไอ้เอส คือพอได้ทำนู่นนั่นนี่ ได้คิดอะไรเรื่องอื่น ผมก็เลยลืมเรื่องที่ทำกับมันเมื่อคืนไปโดยปริยาย


“สรุปอยากกินอะไร”


“ชายสี่หมี่เกี๊ยวก็ได้ แถวๆ ปากซอยบ้านมี เด็ดอย่างนี้เลยขอบอก” ผมยิ้มแฉ่งพร้อมกับยกนิ้วโป้งขึ้นทั้งสองข้าง


“อืม”


“เฮ้ออออ มึงนี่ไม่รู้เรื่องอะไรเอาซะเล้ย ในเวลาแบบนี้มึงต้องถามกูสิว่าบะหมี่หรอที่เด็ด” ไอ้เอสที่ได้ยินผมพูดแบบนี้ก็ทำหน้างง


“ทำไม”


“ถามมาเหอะน่า” มันทำหน้าเหมือนรำคาญ แต่ก็ยอมถามตามที่ผมบอก


“บะหมี่หรอที่เด็ด”


“เปล่า ลูกสาวเจ้าของร้าน ผ่าม!”


“...” เงียบ วังเวงยิ่งกว่าป่าช้าซะอีก


“นี่มึงไม่ตลกเลยหรอวะ” ถามจริง? คนปกตินี่ฮาขี้แตกขี้แตนไปแล้ว ส่วนคนเส้นลึกก็ต้องมียิ้มๆ บ้าง แต่กับไอ้นี่ทำไมแม่งหน้านิ่งจังวะ


“กูเปลี่ยนใจแล้ว จะกินเบอร์เกอร์” แล้วมันก็ตีไฟเลี้ยวรถเข้าไปในแมคโดนัลด์ที่อยู่ข้างหน้าเฉย!


ฮัลโหล! มันเกิดอะไรขึ้น กูไม่เข้าใจ กูผิดอะไร กูพูดจาไม่เข้าหูมึงตรงไหน คือกูงงอะเพื่อน!


ก็เดินเข้าร้านอย่างงงๆ คนมอง (มาที่ไอ้เอส) ก็ทำหน้างงๆ กินเบอร์เกอร์ก็กินแบบงงๆ ตอนเดินกลับก็เดินกลับแบบงงๆ ขนาดตอนถึงบ้านผมก็ยังทำหน้างงเลยอะคิดดู แต่สิ่งที่ทำให้ผมหายงงก็คือ คำทักทายจากเพื่อนคนไหนสักคนเมื่อผมเดินเข้าไปในบ้าน


“ฮั่นแน่! ได้ข่าวว่าไปเปิดโรงแรมนอนด้วยกัน เสร็จไปกี่น้ำกันล่ะพวกมึง” ถูกถามแบบนี้จากที่งงๆ อยู่ก็ตาเหลือกไปเลยสิ!


ก็รู้อยู่หรอกว่าพวกมันก็แค่แซวเล่นขำๆ ไม่ได้คิดอะไร แต่คือผมมีชนักติดหลังไง ภาพเมื่อคืนแม่งลอยขึ้นมาเป็นฉากๆ เหงื่อแตกพลั่กไปหมดแล้วเนี่ย


“ไหงทำหน้าแบบนั้นอะมึง ซีเรียสอะไรเฮ้ย” ไอ้เก่งใช้นิ้วจิ้มๆ มาที่ไหล่ของผม ส่วนคนอื่นก็ทำหน้างง แล้วก็พูดว่านั่นดิ


“คือกู...กู...กูเหนื่อย! ขอขึ้นไปนอนก่อนแล้วกัน” แล้วผมก็รีบวิ่งขึ้นห้องไปเลยท่ามกลางความงุนงงของไอ้พวกเพื่อน


ก็ไม่รู้ว่าพวกมันจะคิดว่าผมเป็นอะไร แต่ขนาดผมก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน เมื่อคืนการที่ผมทำแบบนั้นมันแปลว่าผมเป็นเกย์รึเปล่าวะ?


ไม่ได้การละ อย่างนี้มันต้องพิสูจน์!


นี่เลย พอเสียบสายชาร์จก็จัดการส่องเพจ ‘สมาคมนิยมสาวสวยเซ็กซี่แห่งประเทศไทย’ ก่อนเลย แต่ละคนนี่อื้อหือ คุณแม่รักกันเหลือเกิน มองเพลินแล้วก็ไถนิ้ว (ที่โทรศัพท์) เพลินดิผม หลังจากนั้นก็ตามไปส่องที่เพจ ‘ทาสนม’ คงไม่ต้องบรรยายอะเนอะ แต่ละรูปก็ตามชื่อเพจนั่นแหละ แต่ว่าผมก็ยังไม่พอแค่นี้ เลยตามไปส่องที่เพจ ‘Cup E’ และ ‘Sexy girl’ เพื่อพิสูจน์ความเป็นชายแท้ด้วยอีก


ซึ่งผลที่ได้ก็คือ...


กูแข็ง! แข็งโป๊กครับพี่น้อง! เพราะงั้นกูก็ไม่ได้เป็นเกย์! กูยังมีอารมณ์กับผู้หญิงอยู่!


พอรู้อย่างนี้ก็โล่งอกดิผม เลยนอนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไถหน้าฟีดข่าวเฟซบุ๊กไปเรื่อยๆ ส่วนไอ้เรื่องที่มันแข็ง ผมก็ไม่ได้อารมณ์อยากจะเอาออกขนาดนั้น แหงล่ะ ก็พึ่งทำไปเมื่อคืนนี่นา เพราะงั้นผมก็เลยปล่อยมันเอาไว้ ผ่านไปสักหน่อยมันก็กลับสู่สภาพเดิม


เมื่อไถจนไม่มีอะไรจะไถแล้ว ผมก็กะว่าจะวางโทรศัพท์แล้วไปอาบน้ำ แต่ก็มีใครสักคนทักข้อความมาหาผมซะก่อน


แพร...


แพรเป็นเพื่อนของเพื่อนในคณะผมอีกที เคยเจอกัน 2 ครั้ง ครั้งแรกประมาณเดือนที่แล้ว ตอนนั้นเป็นการรวมกลุ่มเฉพาะคนโสดไปเที่ยวด้วยกัน อารมณ์ก็ประมาณนัดบอร์ดอะไรแบบนี้


แพรเป็นคนที่ร่าเริงสดใส ผมที่รู้สึกถูกใจตรงนั้นก็เลยขอเฟซขอไลน์ไว้ติดต่อ ก็คุยกันเรื่อยๆ จนนัดเจอกันอีกทีครั้งที่ 2 ก่อนสอบไฟนอล แต่ก็ในฐานะเพื่อนไม่ได้คบกันหรอก พอไอ้เต้ยเสียผมก็ยุ่งๆ เลยไม่ได้ติดต่อ แต่ก็คิดว่าแพรคงไม่ได้สนใจอะไรมากมาย เพราะแพรเองก็มีหลายคนที่คุยด้วยอยู่ ก็ธรรมดาของคนน่ารักอะนะ ว่าแต่วันนี้ทักมาเองเลยแฮะ มีอะไรรึเปล่าหว่า


แพร : หวัดดี


ดีครับแพร : ซี   



แพร : เห็นออนอยู่เลยลองทัก จำเราได้รึเปล่า


โหย ใครจะลืมคนน่ารักอย่างแพรลง : ซี


แพร : ก็เห็นหายไปนาน นึกว่าลืมเราแล้ว


พอดีเรายุ่งๆ กับงานศพเต้ยน่ะ แพรจำเต้ยได้รึเปล่า : ซี


แพร : จำได้ๆ ง่า...เต้ยเสียแล้วหรอ


อืม : ซี


แพร : เราเสียใจด้วยนะ


ครับ ขอบคุณนะ : ซี


แพร : งี้ซีก็อยู่ช่วงไว้ทุกข์น่ะสิ นี่ว่าจะชวนไปดูหนังด้วยกันสักหน่อย


ได้นะ คือก็ยังคิดถึงมันแหละ แต่ก็ไม่ได้เศร้าขนาดนั้นแล้ว : ซี


แพร : เจอกันพรุ่งนี้เลยมั้ยล่ะ


กี่โมงดี : ซี


แพร : เที่ยงมั้ย จะได้กินข้าวก่อนด้วย


ได้ แล้วเจอกันครับ ฝันดีนะ : ซี


แพร : เจอกันๆ ฝันดีๆ


แต่คืนนั้นผมดันฝันไม่ค่อยดีซะได้ คือการที่ไอ้เต้ยมาเข้าฝันมันก็ดีอยู่หรอก แต่แทนที่จะมาบอกหวย ดันมาห้ามไม่ให้ผมไปเดทกับแพรซะงั้น บอกว่าผมทำไม่ถูกอย่างนั้นอย่างนี้ แถมยังด่าว่าผมโง่อีกต่างหาก คือมันแบบอีหยังวะมาก ผมที่ขี้เกียจฟังมันบ่นมันด่าก็เลยไล่มันออกจากฝันของผมไปซะเลย


ก็พึ่งรู้นี่แหละว่าไล่ผีที่มาเข้าฝันได้เหมือนกัน!


ว่าแต่ก่อนที่จะไล่ คลับคล้ายคลับคลาว่าไอ้เต้ยมันบอกให้ผมไปเดทกับใครแทนหว่า?


แต่ก็ช่างเถอะ ผมจำไม่ได้ อีกอย่างผมก็นัดกับแพรเอาไว้แล้วด้วย จะให้ยกเลิกนัดได้ยังไงกันล่ะ มีแต่จะยิ่งแต่งตัวหล่อๆ แล้วไปรอแพรก่อนเวลานัดต่างหาก


“เหยดดดด แต่งหล่อสัสๆ ขนาดนี้ มีนัดกับสาวหรอสาดดดด” ไอ้เก่งแซวทันทีที่ผมเดินลงบันไดมา


“วี้ดวิ้ว หล่อแท้น้อผู้บ่าว” ส่วนไอ้เสือลูกคู่มันก็ผิวปากแซวผมเช่นกัน


เห็นพวกมันนั่งหน้าสลอนกันขนาดนี้ไม่ใช่ว่าตื่นเช้าหรอกนะ แต่พวกมันยังไม่ได้นอน! เล่นเกมยันหว่างอะไอ้คู่นี้


“ก็นิดนึงอะนะ มีนัดกับสาวน่ารักทั้งที” ผมยักไหล่พร้อมทำหน้าทำตาให้พวกมันหมั่นไส้มากที่สุด “ใครมันจะไปอยู่บ้านเหงาๆ แบบพวกมึง 2 ตัวกันล่ะ”


“ปากคอเราะร้าย เดี๋ยวพ่อแช่งให้เดทล่มเลยสาด”


“เหี้ยละไอ้เก่ง แทนที่จะอวยพรกู”


“พวกกูยังโสด มึงก็ต้องโสดเป็นเพื่อนพวกกูด้วยดิ”


“ตรรกะคนเหี้ยชัดๆ” ผมส่ายหน้าไปมา แต่ว่าก็ไม่ได้ถือสาพวกมันหรอก เพราะผมก็ไม่ได้รู้สึกชอบแพรมากขนาดนั้น ก็แค่ถูกใจ อยากศึกษานิสัยใจคอเผื่อว่าจะสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ได้ก็เท่านั้นเอง


“อ้าวไอ้เอส! กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่” พอได้ยินเสียงไอ้เก่งพูดแบบนี้ผมก็รีบหันมองไปที่ประตูทันที ซึ่งก็เห็นไอ้เอสยืนอยู่ แถมยังจ้องมาที่ผมอย่างไม่วางตาด้วย


“เออ นั่นดิ แล้วมึงไปยืนทำอะไรตรงนั้น” คราวนี้ไอ้เสือถาม แต่ไอ้เอสก็ไม่ได้ตอบ สายตาของมันยังจ้องมาที่ผมเช่นเดิม


“จะออกไปไหน” ผมรู้สึกเย็นยะเยือกที่แผ่นหลังยังไงก็ไม่รู้เลยไม่ได้ตอบอะไร ไอ้เก่งที่คงจะคิดว่าผมไม่ได้ยินที่ไอ้เอสถามก็เลยตอบแทนให้ แต่คือมึงไม่ต้องมาทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีตอนนี้ก็ได้โว้ยยยยยยย


“ไอ้ซีมันนัดสาวเอาไว้ เห็นว่าน่ารักซะด้วยแต่ไม่ยอมบอกว่าใคร ท่าทางหวงขนาดนี้สงสัยจะจริงจังว่ะ” พูดจบมันก็หันไปหัวเราะคิกๆ คักๆ กับไอ้เสือ แม่งไม่ได้ดูหน้าของไอ้เอสที่กำลังทำหน้าถมึงทึงแผ่รังสีมาคุออกมาเล้ยยยยยย


ว่าแต่...ทำไมไอ้เอสมันต้องโมโหด้วยอะ?


ส่วนผมก็เหมือนกัน ทำไมต้องรู้สึกกลัวราวกับคนมีความผิดด้วยวะเนี่ย!


2BC


 o18 สวัสดีค่า ถึงจะมาช้าแต่ก็มานะคะที่รัก นี่ปั่นนิยายโต้รุ่งไม่หลับไม่นอนกันเลย พรุ่งนี้จะทำงานไหวมั้ยถามใจดู  :laugh:

มาพูดถึงเรื่องตอนนี้กันดีกว่า อ่านจบแล้วมีใครอยากเข้าฝันไปเฉ่งซีเหมือนเต้นบ้าง คือแบบความรู้สึกช้ามาก บางทีก็วงวารเอส  เอ๊ะหรือจะสมน้ำหน้าพ่อคนขี้เก๊กดี  o17
ส่วนตอนหน้าก็มาลุ้นกันนะคะว่าเอสจะโกรธเบอร์ไหน จะทำอะไร แล้วซีจะรู้ตัวได้สักทีรึยัง มาเอาใจช่วยคู่เอสซีกันด้วยนะคะ เลิฟๆๆ  :กอด1: :pig4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่11# โมโห (ทำไมวะ!?) [28.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 28-10-2019 08:10:32
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่11# โมโห (ทำไมวะ!?) [28.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 28-10-2019 08:50:33
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่11# โมโห (ทำไมวะ!?) [28.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 28-10-2019 21:37:56
ซีเก่งอ่ะ ไล่ผีออกจากฝันก็ได้ด้วย

ดูท่าว่าแผนเต้ยจะได้ผลกะคนนึง เหลือคนอึนอีกหนึ่ง สู้ๆ นะเต้ย
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่11# โมโห (ทำไมวะ!?) [28.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Y-Darkness ที่ 29-10-2019 00:50:26
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่11# โมโห (ทำไมวะ!?) [28.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Micky_MN ที่ 30-10-2019 06:15:20
มีหงมีหึง งู๊ยนัลรั่ค
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่12# เดทพัง (พังหมดแล้วววว!) [31.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Sameejaejung ที่ 31-10-2019 21:22:23
Soulmate วิญญาณป่วนรัก


Part 12# Z เดทพัง (พังหมดแล้วววว!)


“เอ่อ...กู...กูต้องไปแล้ว เดี๋ยวจะไปสาย” พูดจบผมก็เดินออกมาจากบ้านเลย


คือไอ้ที่พูดเมื่อกี้น่ะก็ใช่ แต่ประเด็นหลักคือผมไม่อยากอยู่ตรงนี้ต่อแล้ว ผมกลัวสีหน้าแล้วก็สายของไอ้เอสอะ ไม่รู้มันโมโหอะไร ผมก็ว่าผมไม่ได้ทำอะไรให้มันโกรธสักหน่อย


“เดี๋ยว มึงจะไปยังไง” ให้ตาย กูอุตส่าห์เดินออกมาแล้ว มึงก็ยังจะตามกูออกมาอีกนะไอ้เอส


“เดี๋ยวนั่งวินออกไปขึ้นรถเมล์ปากซอย” คนไม่มีรถก็งี้ แต่มันก็ไม่ได้ยุ่งยากหรือลำบากอะไร ถ้าวันไหนรถติดมากๆ ก็จะใช้บริการรถไฟฟ้า ซึ่งก็เหมือนคนกรุงเทพปกติทั่วไปนั่นแหละ


“นัดผู้หญิงทั้งทีไปแบบนั้นจะดีหรอ กูไปส่งดีกว่า” พูดจบปุ๊บมันก็ฉุดแขนของผมให้เดินไปที่รถของมันปั๊บ แต่เชื่อมั้ย คำพูดคำจาเหมือนว่าเป็นห่วงเป็นไย แต่สีหน้าและการกระทำแม่งไม่ใช่ มันโกรธผมอยู่ชัดๆ!


“เดี๋ยว! ไอ้เอส! ปล่อยกูก่อน!” แต่ห้ามไปก็เท่านั้น ตอนนี้มันจับผมยัดใส่รถเป็นที่เรียบร้อย แถมยังชี้หน้าผมให้อยู่นิ่งๆ ด้วยเมื่อเห็นผมทำท่าจะเปิดประตูออกมา


ว่าแต่ทำไมกูต้องทำตามที่มึงสั่งด้วยเนี่ย!


“มีนัดที่ไหน” ไอ้เอสถามหลังจากขึ้นมานั่งตรงเบาะคนขับเป็นที่เรียบร้อย


“สยาม” แล้วกูจะตอบตามความจริงเพื่อ! “มึง...เอ่อ...ไม่มีงานต่อหรอ”


“มีถ่ายละคร”


“งั้นก็รีบไปสิ เดี๋ยวสายนะ” ถามว่ากูห่วงมัน? เปล่า! ห่วงตัวกูนี่แหละ!


“มีถ่ายตอนค่ำ”


“อ้อ งั้นหรอ” แป่ว...แต่ก็จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า มันบอกผมไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะนะ


แล้วจากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุม แหงล่ะ ก็ผมไม่รู้จะพูดอะไรนี่หว่า ดูหน้าของมันสิ ปกติก็นิ่งฉิบหายอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ดันเพิ่มความอึมครึมเข้าไปด้วย บรรยากาศรอบตัวเลยทะมึนจนน่ากลัวสัส


เกือบชั่วโมงที่ผมต้องนั่งอยู่เฉยๆ ด้วยความอึดอัดสุดขีด ในที่สุดผมก็จะหลุดพ้นแล้ว เพราะเห็นป้าย BTS สถานีสยามอยู่ไม่ไกล


“มึงจอดตรงข้างหน้านี้ก็ได้” คือถัดไปมันเป็นสี่แยกไง เผื่อไอ้เอสมันจะไปไหนก็จะได้เลี้ยวไปเลยไม่ต้องยูเทิร์นให้เสียเวลา แต่นอกจากมันจะไม่จอดตรงที่ผมบอก มันยังเลี้ยวรถเข้าไปในพารากอนเฉย!


“เดี๋ยวๆ มึงจะเลี้ยวรถเข้ามาในนี้ทำไม” ซึ่งก็ไม่ใช่แค่เลี้ยว แต่มันขับวนจนจอดรถด้วยอะ!


“ตอนนี้กูว่าง” ฮัลโหลลลลล ใครถามมึงเรื่องน้านนนนน


“แล้วยังไง”


“ว่าจะลงไปเดินเล่นสักหน่อย” แต่หน้ามึงไม่ได้อยากลงไปเดินเล่นเลยเพ่!


“งั้นก็ขอให้เพลิดเพลินแล้วกันนะ” ผมยิ้มแห้งๆ ให้มัน จากนั้นก็รีบลงจากรถมาเลย


พอเป็นแบบนี้ก็ดูเหมือนว่าผมจะหมดเวรหมดกรรมแล้วเนอะ แต่เปล่าเลย เพราะไอ้เอสแม่งดันตามผมมาอีกซะงั้น!


“มึงจะเดินตามกูทำเหี้ยอะไรเนี่ย!” ตามกูยังกะเจ้าหนี้เลยนะมึง!


“...” เอ๊า ใบ้แดก ไม่ยอมตอบอีก แต่ก็ยังเดินตามกูต้อยๆ ให้มันได้อย่างนี้เซ่!


ในเมื่อมันไม่พูดผมก็ขี้เกียจจะพูดกับมันเหมือนกัน ก็เลยเดินไปนั่นไปนี่ฆ่าเวลารอแพร และแน่นอนว่ามันก็ยังตามผมมาตลอด ถึงจะใส่หมวกกับแมสปิดปาก แต่รูปร่างกับออร่าของมันก็ทำให้คนที่สวนกันเหลียวหลังมองอยู่ดี


“ถามจริง นี่มึงจะเดินตามกูอีกนานมั้ย”


“จะเอาคำตอบจริงๆ ใช่มั้ย”


“เออ แล้วก็ตอบมาด้วยว่าจะเดินตามกูเพื่อ”


“ได้” แต่ว่ายังไม่ทันที่ไอ้เอสจะได้ตอบอะไร เสียงใสๆ ก็ดังขัดขึ้นซะก่อน


“ซี!” ไม่ใช่ใคร แพรนั่นเองที่ตะโกนเรียกผมแล้วโบกไม้โบกมือให้ตั้งแต่ไกล ยังคงน่ารักสดใสเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน


“หวัดดีแพร” ผมทักทายเมื่อแพรวิ่งมาหยุดอยู่ที่หน้าผม


“ดีจ้าซี โทษทีเรามาช้าไปหน่อย”


“ไม่เลย เราต่างหากที่มาเร็ว” อันนี้สาบานได้ว่าผมไม่ได้พูดเอาหล่อหรือตามมารยาท เพราะแพรมาก่อนเวลา 5 นาทีด้วยซ้ำ แต่ผมอะที่มาเร็วไปจริงๆ แล้วก็คงไม่ต้องบอกนะว่าตัวต้นเหตุคือใคร


ผมเหลือบตาไปมองหน้าไอ้เอสอย่างคาดโทษ ก่อนที่จะรีบหันกลับไปยิ้มให้แพร แต่ว่าผมก็ต้องยิ้มค้าง เพราะสายตาของแพรไม่ได้มองมาที่ผม แต่มองไปที่ไอ้เอสแถมยังอมยิ้มน้อยๆ อีกด้วย


“นี่ใช่เอส ที่เป็นดารารึเปล่าคะ” โอ้โห กับผมนี่ไม่เคยมีหรอกคะขา แต่ทำไมกับไอ้เอสที่พึ่งเจอครั้งแรกแพรต้องพูดหวานขนาดนี้ด้วย!


“ครับ” ส่วนไอ้นี่ก็เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ยังโกรธหน้าตายใส่ผมอยู่เลย ไหงตอนนี้กลับยิ้มละมุนอบอุ่นหัวใจได้ล่ะวะ!


“เอสเป็นเพื่อนกับซีหรอคะ”


“ครับ อยู่บ้านเดียวกันด้วย”


“โหย เสียดาย เราน่าจะรู้ให้เร็วกว่านี้”


“ทำไมหรอครับ”


“ก็เราเป็น FC เอสน่ะสิ ปลื้มมานานแล้ว”


“จริงหรอครับ ดีใจจัง”


เออ! เอาเข้าไป! คุยกันกระหนุงกระหนิงยิ้มให้กันอยู่ 2 คน! ฮัลโหลลลลลล สนใจกูบ้างงงงงง กูยืนหัวโด่อยู่นี่นะเฮ้ยยยยยย


“อะแฮ่ม!” ไม่ได้ไอหรือเจ็บคออะไรหรอก แต่ตั้งใจขัดจังหวะเลยแหละ!


“อุ้ย! โทษที เราลืมซีไปเลย” คำว่า ‘ลืม’ พูดเบาๆ ก็เจ็บ เฮือก! เหมือนโดนมีดอีโต้ปักเข้าที่กลางหัวใจ แทบทรุดไปกองที่พื้นเลยกู


“นี่ก็เที่ยงแล้ว แพรหิวรึยัง ไปกินข้าวกันมั้ย”


ในเมื่อเข้าไปแทรกระหว่างดารากับ FC ไม่ได้ ผมก็ต้องจัดการแยกทั้งคู่ให้ออกจากกัน แน่นอนว่าผมก็ต้องเรียกความประทับใจคืนมา ผมจะเลี้ยงข้าว เลี้ยงของหวาน เลี้ยงหนัง แล้วก็จะซื้อของขวัญให้ ก่อนนี้ผมไปกดตังมาเตรียมเอาไว้รับรองเหลือๆ


“เอสกินข้าวรึยังคะ” แล้วกัน ดูเหมือนว่าสิ่งที่ผมคิดเอาไว้มันกำลังจะล่ม ไม่นะ...


“ยังไม่ได้กินเลยครับ”


“งั้นก็ไปด้วยกันสิคะ” นั่นไง! แต่ว่าผมจะไม่ยอมให้เดทของผมพังหรอกนะ ตั้งใจจะมากันแค่ 2 แต่จู่ๆ จะกลายเป็น 3 ได้ยังไง แบบนั้นมันเรียกว่าเดทที่ไหน ผมต้องจัดการไล่ไอ้ส่วนเกินออกไปโดยเร็วที่สุด!


“ไอ้เอส มึงมีถ่ายละครไม่ใช่หรอ” ไม่ใช่แค่พูด ผมยังส่งซิกซ์ทุกสิ่งอย่างไปให้มันด้วย แต่แทนที่รู้มันจะไสหัวกลับไป มันกลับไม่สนใจแล้วตอบตกลงคำชวนของแพรซะงั้น!


“ได้สิครับ ผมมีถ่ายละครตอนค่ำ” เรื่องนั้นกูรู้! แต่คือกูอยากให้มึงไสหัวไปเข้าใจมั้ยวะ!


“ดีจังเลยค่ะ!”


ผมอยากจะบ้าตาย! นี่แพรลืมไปแล้วใช่มั้ยว่าตั้งใจจะมาเดทกับผม แถมคนที่ชวนก่อนยังเป็นแพรด้วยนะ แล้วทำไมถึงได้เอาแต่สนใจไอ้เอสไม่สนใจผมเลยแบบนี้ (น้ำตาจิไหล)


สรุปแล้วผม แพร และไอ้เอสก็ต้องไปกินข้าวด้วยกัน 3 คนจนได้ ไอ้ตอนเลือกร้านกับสั่งอาหารยังไม่เท่าไหร่ แต่ตอนกินนี่สิ...


“อันนี้อร่อยมากเลยค่ะ เอสลองกินดูนะ” ไม่พูดเปล่าแพรก็ตักอาหารใส่ในจานของไอ้เอสด้วย ขนาดนั่งตรงข้ามกันก็ยังอุตส่าห์ยืดแขนแล้วก็ยืดตัวตักให้เลยอะ


“ขอบคุณครับ จานนี้ก็อร่อยนะ” แล้วไอ้เอสก็ตักอาหารอีกอย่างใส่ในจานของแพร


ถ้าจะทำขนาดนี้ไม่ป้อนกันให้รู้แล้วรู้รอดเลยล่ะ!


แล้วหลังจากที่กินข้าวกันเสร็จ ผมที่กำลังเปิดกระเป๋าตังจะโชว์ป๋าเลี้ยงอย่างหล่อๆ ก็ถูกไอ้เอสสกัดดาวรุ่งเอาไว้ เพราะมันหยิบแบงก์เทาๆ 2 ใบที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อยื่นให้พนักงาน แถมยังพูดจาป๋าสุดๆ ที่ผมยังไม่กล้าจะพูดด้วยว่า...


“ไม่ต้องทอน”


เยสครก! ยกนี้ผมแพ้ราบคาบตั้งแต่ยังไม่ได้แข่งเลยครัชท่านผู้ชม!


ไม่ได้การ ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปแพรได้เทคะแนนให้ไอ้เอสหมดใจแน่ เพราะงั้นตอนดูหนังผมเลยต้องจัดการขั้นเด็ดขาด ซึ่งนั่นก็คือ...การนั่งตรงกลางระหว่างแพรกับไอ้เอส! ซึ่งผมก็ทำสำเร็จด้วย!


แต่ๆๆ แทนที่จะไปได้สวย ที่คิดไว้ก็คือแพรจะต้องหันมาคุยกับผม ยิ้มให้ผม หรือไม่แน่อาจจะจับมือไม่ก็ซบไหล่ผมก็ได้ ส่วนในความจริง...สองคนนี้แม่งคุยข้ามหัวผม! What the fuck!


ดูหนังไม่รู้เรื่องเลยกู รู้ตัวอีกทีคือหนังจบไปแล้ว ยอมรับเลยนะว่าจากที่เซ็งๆ ผมก็ชักจะเดือดแล้ว แต่ถ้าหากคิดว่าไอ้เอสมันหยุดแค่นี้ ผมพูดเลยว่ายังมีพีคกว่านั้น เพราะตอนที่แพรขอแวะเข้าร้านขายเครื่องสำอางชื่อดัง เห็นว่าลิปสติกที่ใช้อยู่กำลังจะหมด ไอ้เอสก็เดินเข้าไปด้วยแถมยังแนะนำอีกต่างหาก!


“ผมว่าแพรเหมาะกับรุ่นนี้ เบอร์นี้ มากกว่านะ กำลังฮิตในหมู่เซเลบดาราด้วย” แล้วมันก็อ้างชื่อคุณพี่นางเอกที่มันเล่นละครด้วย บอกว่าก็ใช้อยู่เหมือนกัน


“จริงหรอคะ งั้นเราเอานี่แหละค่ะ”


“เดี๋ยวผมจ่ายให้”


“อุ้ย จะดีหรอคะ เราเกรงใจ”


“ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ”


“ขอบคุณนะคะ”


หมด...หมดกัน! เรื่องที่ผมคิดว่าจะทำกับแพรดันถูกไอ้เอสแย่งทำไปหมด และที่เจ็บใจคือมันดันทำได้ดีกว่าด้วย!


แต่ประเด็นมันไม่ได้อยู่ตรงนั้น มันอยู่ที่ไม่รู้ไอ้เอสแม่งจะทำแบบนี้เพื่ออะไร ทำเป็นจีบคนที่ผมกำลังจีบอยู่มันใช่หรอวะ ส่วนแพรผมไม่โกรธหรอกนะ เจอดาราที่ปลื้มมาทำดีด้วยแบบนี้มันก็ต้องตื่นเต้นดีใจเป็นธรรมดา


คนที่ผมโกรธมีแค่ไอ้เอสคนเดียวเลย!


“เดี๋ยวเราคงต้องกลับแล้วค่ะ ค่ำๆ จะมีญาติผู้ใหญ่มาหา” แพรพูดขึ้นหลังจากที่เดินออกจากร้านขายเครื่องสำอาง ท่าทางดูเสียดายหน่อยๆ ที่ต้องกลับบ้านเร็ว แน่นอนว่าคงเสียดายที่ไม่ได้อยู่เดินเล่นต่อกับไอ้เอสไม่ใช่กับผม


“งั้นกลับบ้านดีๆ นะแพร ถ้ามีเวลามาเจอกันอีกนะ” ที่ผมพูดหมายถึงผมกับแพรแค่ 2 คน แต่ดูเหมือนว่าแพรจะไม่ได้คิดแบบนั้น


“เอสก็มาด้วยกันอีกนะคะ” เฮ้อออออ นกบินว่อนรอบตัวไปดิผม!


“ได้สิครับ แล้วแพรจะกลับยังไง”


“เดี๋ยวดูก่อนค่ะ ถ้ารถไม่ติดมากอาจจะกลับแท็กซี่”


“งั้นให้ผมไปส่งนะ บ้านแพรอยู่แถวไหน”


“เอสใจดีจัง ภาพลักษณ์ดูหยิ่งๆ แต่ตัวจริงนิสัยน่ารักมากๆ” เฮอะ! เธอถูกมันหลอกแล้วล่ะแพร! “แต่บ้านเราอยู่ไกล คนละทางกับบ้านเอสเลย เดี๋ยวเรากลับเองดีกว่าค่ะ”


“เอางั้นก็ได้ครับ”


“แต่ก่อนกลับ เราขอแอดไลน์เอสไว้หน่อยได้มั้ยคะ” แพรพูดด้วยท่าทางเอียงอาย ก่อนจะกลั้นใจยื่นโทรศัพท์ไปให้ไอ้เอสพร้อมกับลุ้นจนหลับตาปี๋


“ได้สิครับ” แล้วนอกจากจะให้ไอดีไลน์ ไอ้เอสมันก็ยังให้เบอร์ แถมยังให้ถ่ายรูปเซลฟี่ชู 2 นิ้วด้วยอีกต่างหาก


เฮอะ! ทีกับผมนะรู้จักกันมาก่อนตั้งนาน ถึงจะพึ่งได้มาคุยกันบ่อยๆ ช่วงนี้ก็เถอะ แต่รูปสักรูปก็ยังไม่เคยถ่ายด้วยกันเลยด้วยซ้ำ มันน่าหมั่นไส้จริงเว่ย!


ว่าแต่...เหมือนผมจะคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยมีรูปคู่ของผมกับไอ้เอสอยู่นะ แต่จะเป็นรูปอะไรผมก็นึกไม่ออกแล้วอะ ถ้างั้นก็ช่างมันเถอะ


“ขอบคุณนะคะเอส ไว้ค่อยคุยกันต่อนะ”


“โอเคครับ”


“งั้นเราขอตัวกลับก่อนนะคะ ไว้เจอกันอีกนะ บ๊ายบายนะซี” แล้วหลังจากที่ร่ำลาไอ้เอสอยู่นาน ในที่สุดแพรก็หันมาพูดกับผมสักที เอาจริงๆ ผมคิดว่าเมื่อกี้แพรลืมไปแล้วนะว่าผมก็ยืนอยู่ตรงนี้ด้วย


“บ๊ายบาย” ผมยิ้มและโบกมือลาแพรที่กำลังเดินจากไป จนเมื่อแพรลับสายตาไปแล้วผมก็หยุดชะงักทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งมือที่กำลังโบกไปมาแล้วก็ใบหน้าที่กำลังฝืนยิ้ม


“กูกับมึงมีเรื่องต้องคุยกัน เลือกมาว่าจะคุยที่นี่หรือว่าที่บ้าน” สีหน้าของผมตอนนี้แม้แต่เด็ก 3 ขวบยังรู้เลยว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน แน่นอนว่าไอ้เอสก็ต้องดูออก


“ที่บ้าน” มันเลิกสวมบทหนุ่มดอกไม้แล้วกลับไปเป็นไอ้คนหน้านิ่งเหมือนเดิม ก่อนที่มันจะเดินนำผมไปขึ้นรถตรงลานจอดรถ


ตลอดทางผมกับมันไม่มีใครเอ่ยปากอะไรเลย ขามาว่าเงียบแล้วแต่ขากลับนี่เงียบยิ่งกว่า แถมยังอึมครึมสุดๆ อีกด้วย แต่ไอ้ตัวคนที่ทำให้เป็นแบบนี้มันก็ยังทำหน้านิ่งไม่ทุกข์ไม่ร้อน


“มึงต้องการอะไร” ผมถามทันทีที่รถขับเข้ามาจอดในบ้าน


“มึงหมายถึงเรื่องอะไรล่ะ” พอได้ยินแบบนี้ผมก็หลับตาลงแล้วถอนหายใจออกมา กะว่าจะใจเย็นๆ แล้วเชียว แต่ในเมื่อมันทำเป็นไม่รู้เรื่องแบบนี้ ผมก็ทำใจเย็นไม่ไหวเหมือนกัน!


“มึงอย่ามากวนตีนได้มั้ย! กูก็หมายถึงเรื่องที่มึงทำวันนี้ทั้งหมดไง! กูจีบแพรอยู่มึงไม่รู้หรอ!”


“ก็เพราะรู้ว่าจีบอยู่ไงกูถึงได้ทำ”


“ว่าไงนะ!?” เพราะรู้ถึงได้ทำ? นี่มันเหตุผลเชี่ยอะไรเนี่ย!


เห็นทีคุยกันในรถคงจะไม่รู้เรื่อง ผมเลยเปิดประตูลงจากรถแล้วเดินอ้อมไปหาไอ้เอสที่ฝั่งคนขับ จากนั้นก็เปิดประตูแล้วลากมันลงมา แต่จังหวะที่ผมกำลังจะดันร่างของมันให้ไปติดกับรถ ผมกลับเป็นฝ่ายถูกมันดันจนแผ่นหลังไปติดกับรถแทน


“กูสิที่ต้องเป็นฝ่ายถามมึงมากกว่า” ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ขึ้นเสียงใส่ผม แต่ผมก็สัมผัสได้ว่ามันก็กำลังโมโหผมอยู่เหมือนกัน


“ยังมีหน้าจะมาถามอะไรกูอีก! ที่มึงทำก่อนหน้านี้มันหมายความว่าไงมึงยังไม่ตอบกูเลย!”


“แล้วทีมึงล่ะ มันใช่หรอที่เมื่อคืนทำเรื่องแบบนั้นกับกู แต่เช้ามากลับนัดผู้หญิงไปเที่ยว”


“ก็แล้วมันเกี่ยวอะไรกันวะ!”


“เกี่ยวสิทำไมจะไม่เกี่ยว!”


“เกี่ยวกันตรงไหน! ก็มึงกับกูไม่ได้เป็นอะไรกันนี่!” เท่านั้นแหละไอ้เอสก็ถึงกับชะงัก ผมเลยใช้โอกาสนั้นผลักที่อกมันออกไป


น่าแปลก ผมว่าผมก็ไม่ได้ผลักแรงขนาดนั้น แต่ว่ามันกลับเซถอยไปด้านหลังเหมือนคนหมดแรงจนเกือบจะล้มซะได้


“โอเค...ไม่ได้เป็นอะไรกัน...” ผมไม่ได้ยินว่ามันพึมพำอะไร แต่ว่าผมก็มองเห็นแววตาของมัน ที่ไม่รู้ทำไมถึงได้ดูเจ็บปวดแบบนั้น


“เฮ้ยพวกมึงมีเรื่องอะไรกันวะ!” แต่ก่อนที่ผมจะได้ถามมัน ไอ้พวกเพื่อนของผมที่คงได้ยินเสียงทะเลาะก็พากันกรูออกมาจากในบ้าน ซึ่งก็มากันครบทุกคนนั่นแหละ นำทีมโดยไอ้เก่งเลย


“ก็ลองถามมันดูสิ!” ผมหันไปถลึงตาใส่ไอ้เอส


บอกไว้ก่อนว่าผมไม่ได้โบ้ยนะ แต่ผมไม่รู้จริงๆ ว่ามันทำเรื่องแบบนั้นทำไม ถามไปแม่งก็ไม่ตอบแถมยังมีการถามผมกลับอีก นี่ผมไม่ต่อยหน้ามันก็บุญขนาดไหนแล้ว


แต่จนแล้วจนรอดมันก็ยังไม่ยอมตอบ เอาแต่มองหน้าผมอย่างหลากหลายความรู้สึก แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็มีความเจ็บปวดที่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะมองผมแบบนั้นทำไม ก่อนที่มันจะเดินไปขึ้นรถอย่างไม่สบอารมณ์แล้วก็ขับออกไปข้างนอกเลย


ฮัลโหลลลลลลล คนที่ต้องโมโหมันคือกูรึเปล่าวะ!


2BC


 :3123: สวัสดีค่า Soulmate ตอนที่ 12 จบไปแล้ว แลดูเป็นตอนที่วุ่นวายมาก 55555  :laugh:
ก็ไม่รู้ว่าระหว่างซี เอส และแพร ทุกคนจะลำไยใครมากกว่ากัน แต่ที่แน่ๆอย่ามาลงกับเค้าน้าาาา  :ling3:
ส่วนตอนหน้ามาลุ้นกันนะคะว่าระหว่างซีกับเอสจะเป็นยังไงต่อไป จะเข้าใจกันหรือยิ่งเคืองกันมากกว่าเดิม  o3 ยังไงก็มาเอาใจช่วยคู่นี้ด้วยนะคะ Happy Halloween ค่าาา  :m1:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่12# เดทพัง (พังหมดแล้วววว!) [31.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Y-Darkness ที่ 31-10-2019 22:18:03
 :pig4:นต
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่12# เดทพัง (พังหมดแล้วววว!) [31.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 31-10-2019 22:59:19
คนนึงเค้าคิดไปไกลแล้ว แต่อีกคนยังอึนอยู่เลย.  :hao4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่12# เดทพัง (พังหมดแล้วววว!) [31.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 01-11-2019 13:20:36
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่12# เดทพัง (พังหมดแล้วววว!) [31.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 01-11-2019 16:52:25
 :z1:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่12# เดทพัง (พังหมดแล้วววว!) [31.10.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Micky_MN ที่ 04-11-2019 20:39:11
อ๊อง เอ๋อ อึน //3คำของซี55
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่13# กลับวัง! [5.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Sameejaejung ที่ 05-11-2019 21:50:24
Soulmate วิญญาณป่วนรัก



Part 13# Z กลับวัง!


“แม่งเอ๊ย!” ผมสบถอย่างหัวเสียพร้อมกับชูนิ้วกลางไล่หลังรถของไอ้เอส จากนั้นก็สะบัดหน้าหนีแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้าน โดยที่ในใจก็สาปส่งมันแบบฉิบหายป่วง


“ตกลงพวกมึงทะเลาะอะไรกัน” ไอ้เก่งเดินตามเข้ามาถามผม ไอ้เพื่อนคนอื่นๆ ก็เลยเดินตามเข้ามาในบ้านด้วย


“ไม่รู้” ผมตอบอย่างเซ็งๆ ก่อนจะเดินไปที่ตู้เย็นเพื่อที่จะหยิบน้ำมาดื่มให้หายหัวร้อน แต่พอเปิดปุ๊บแล้วเจอเบียร์กระป๋องวางเรียงเป็นตับ ผมเลยคว้ามาเปิดแล้วยกซดอักๆ แบบไม่สนว่าจะเป็นของใคร


“ไอ้ซี! ของกู!” รู้ละ ของไอ้อาร์ทนี่เอง ผมเลยล้วงกระเป๋าตังที่อยู่ในกางเกงออกมาแล้วโยนไปให้มัน ซึ่งมันก็รับเอาไว้ได้อย่างสวยงาม


ป๋องแรกผ่านไป...


ป๋องสองป๋องสามค่อยๆ ผ่านไป...


พยายามคิดว่าทำผิดอะไร...


ก่อนเดินมาถึงตรงนี้...



ผมร้องเพลงในใจเป็นทำนองเพลง ‘มือปืน’ ของพี่ปู พงษ์สิทธิ์ ด้วยความที่ดื่มแบบรวดเร็วมันเลยทำให้ผมค่อนข้างที่จะมึนๆ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเมาจนเดินเซ ผมเดินมานั่งกับไอ้พวกเพื่อนที่โซฟาได้อย่างเป็นปกติ แต่อาจจะพูดไม่ค่อยรู้เรื่องสักหน่อย...มั้งนะ


“สรุปมึงนึกออกยังว่าทะเลาะอะไรกับไอ้เอส” ไอ้นี่มันเสือกเก่งเหมือนชื่อเลยเว่ย ดูทรงละถ้าไม่ได้คำตอบมันคงไม่ปล่อยผมไปนอนแน่ๆ ซึ่งไอ้พวกที่นั่งหน้าสลอนจ้องผมอยู่นี่ก็ด้วยเหมือนกัน


“คือมันแม่งเป็นบ้า”


“บ้ายังไงวะ” ไอ้เสือถาม


“บ้าก็คือบ้าอะ มึงไม่เข้าใจคำว่าบ้าหรอ” แต่นอกจากจะไม่ตอบมันยังมีการกลอกตาใส่ผม ไอ้เก่งก็เกาหัวแกรกๆ ส่วนไอ้หลินกับไอ้อาร์ทก็มองหน้ากันแล้วยักไหล่ ก่อนที่ไอ้หลินจะถอนหายใจออกมาแล้วจึงพูดกับผม


“เอางี้นะ มึงเล่าเหตุการณ์มาให้พวกกูฟังเลย เอาตั้งแต่ต้นเลยนะ เดี๋ยวพวกกูวิเคราะห์กันเอง”


“เตงเก่งที่สุดเลยอะ!” คราวนี้ผมเป็นฝ่ายกลอกตามองบนบ้าง มันใช่เวลามาอวยเมียมั้ยเนี่ยไอ้เชี่ยอาร์ท แต่เอาเถอะ ตอนนี้ที่ผมต้องทำคือการใช้สมองคิดและลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


“คือวันนี้กูมีนัดเดทกับแพร ไอ้เอสพอรู้ก็ไม่รู้โมโหเชี่ยอะไร มันจ้องกูตาเขม็งแล้วถามว่ากูจะไปเดทไหน พอกูบอกว่าสยามมันก็บอกจะไปส่งแล้วก็ลากกูขึ้นรถเลย”


“...”


“แต่พอไปถึงแทนที่จะส่งเฉยๆ มันเสือกลงรถมาด้วย แล้วก็ตามกูต้อยๆ จนสุดท้ายก็กลายเป็นว่าต้องเดทกัน 3 คน แต่อันนี้ยังไม่เท่าไหร่เว่ย ที่กูโมโหคือระหว่างที่เดทมันทั้งทำดี พูดเพราะ เอาอกเอาใจแพรสารพัด คือทุกอย่างที่กูตั้งใจจะทำกับแพรมันแม่งทำตัดหน้ากูหมดอะ”


“...”


“กูเลยถามว่ามันรู้มั้ยว่ากูจีบแพรอยู่ แต่รู้มั้ยว่ามันตอบว่าไง? มันตอบเพราะรู้ไงถึงได้ทำ โอ้โห เจอแบบนี้ก็ปรี๊ดเลยดิ กูเลยลากมันออกจากรถแล้วกะจะถามให้รู้เรื่อง แต่มันก็ไม่รู้ทำไมดันเสือกของขึ้นเหมือนกัน แถมยังโวยวายว่าเมื่อคืนทำเรื่องแบบนั้นกับมัน แต่วันนี้กูดันไปเที่ยวกับผู้หญิง กูนี่อีหยังวะเลยอะพวกมึง”


“เดี๋ยวนะเดี๋ยว” แล้วหลังจากที่พวกมันต่างก็พากันตั้งใจฟังผมกันอยู่นาน จู่ๆ ไอ้เก่งก็พูดแทรกขึ้นมาพร้อมกับยกมือขึ้น “กูขอถามอะไรนิดนึง”


“อือ ถามมาดิ”


“เมื่อคืนมึงกับไอ้เอสทำอะไรกันวะ” จากที่มึนๆ อยู่ก็ตาสว่างเลยดิผม


“เอ่อ...กูจำเป็นต้องเล่าด้วยหรอวะ”


“จำเป็นดิวะ พวกกูจะได้วิเคราะห์กันถูกไง” พอไอ้หลินพูดงี้ผมก็ถึงกับต้องยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอย ส่วนลูกตาก็หลุกหลิกไปมา มองซ้ายบ้างขวาบ้าง ไม่กล้าสบตาไอ้พวกเพื่อนที่จ้องเขม็งมาที่ผมเปนสายตาเดียว


“กูขอเวลานอก” ผมรีบลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ตู้เย็นอีกครั้ง จากนั้นก็หยิบเบียร์มาอีกกระป๋องแล้วซดอักๆ จนกระทั่งมันหมด


โอเค เริ่มมึนละ ค่อยกล้าเล่าหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ต้องสูดหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อทำใจครั้งสุดท้ายอยู่ดี


“คือ...กูช่วยไอ้เอส ส่วนไอ้เอสมันก็ช่วยกู” แต่ทั้งที่ผมอุตส่าห์พูดขนาดนี้ พวกมันกลับทำหน้าเป็นควายงงกันหมดซะงั้น


“ช่วยอะไรวะ” ไอ้เสือถาม


“ก็ช่วย...นั่นไง...” จะให้พูดตรงๆ กูก็อายนะเว่ยไอ้ห่า


“นั่นอะนั่นไหน” ยัง...ยังทำหน้างงกันอีก ทำไมแม่งเข้าใจอะไรยากจังวะ


“ก็นั่นไง ชู่ววู่ว”


“ชู่ววู่วเชี่ยอะไรของมึง”


“โว้ยยยยย! ก็ชักว่าวไงไอ้ฟาย! ชักว่าวอะชักว่าวเข้าใจมั้ยไอ้พวกเหี้ย!” ขี้เกียจอ้อมขี้เกียจอายแล้วกู พูดไปตรงๆ เลยนี่แหละ แล้วถ้ายังไม่เข้าใจกันอีกนะ พ่อจะควักมาชักโชว์แม่ง!


“...”


“อ้าวอึ้ง อึ้งแดกกันหมด ฮัลโหลลลล” ผมยกมือขึ้นโบกไปมาที่หน้าของพวกมันเรียงตัว นั่นแหละพวกมันถึงได้กลับคืนสู่สภาวะปกติ


“อะแฮ่ม!” ไอ้เก่งทำเป็นตบๆ ที่อกตัวเอง “กูจะขอข้ามเรื่องที่มึงกับไอ้เอสช่วย...กันนะ”


“ใช่ๆ” ไอ้เสือลูกคู่มันพยักหน้า ส่วนไอ้หลินกับไอ้อาร์ทก็ด้วย แหม...ทีงี้ล่ะมาทำเป็นอายนะพวกมึง


“ฟังกูเล่าจนจบแล้ว พวกมึงมีใครพอจะรู้มั้ยว่าตกลงไอ้เอสมันเป็นเหี้ยอะไร” พอผมถามแบบนี้พวกมันก็รีบหันหน้าไปมองกันทันที แต่ก็ไม่มีใครตอบอะไร


“ว่ายังไง!” กูอุตส่าห์กลั้นใจเล่าขนาดนี้ พวกมึงจะไม่มีใครรู้สักคนไม่ได้นะเว่ย


“เอาจริงๆ กูว่ามันก็ชัดอยู่นะ” ไอ้อาร์ทเป็นคนแรกที่เปิดปากพูดออกมา จากนั้นก็หันไปขอเสียงสนับสนุนจากไอ้หลิน “เนอะเตงเนอะ”


“ใช่ๆ” มันพยักหน้ารัวๆ


“งั้นพวกมึงบอกกูหน่อยดิ”


“แหม...เรื่องแบบนี้กูว่ามึงควรฟังจากปากของมันเองดีกว่า”


“เออ พวกกูเป็นคนนอกจะให้มาพูดเรื่องนี้มันก็...” ไอ้เก่งพูดเสริมพร้อมกับยักไหล่ โดยมีไอ้เสือพยักหน้าเห็นด้วยกับมัน


“เดี๋ยวนะ...คือพวกมึงทุกคนรู้กันหมดเลยว่าไอ้เอสเป็นเชี่ยอะไร?”


“ใช่” พร้อมใจพูดและพยักหน้ากันอย่างพร้อมเพรียงด้วย


“รู้กันหมดแต่ไม่มีใครคิดจะเล่าให้กูฟังเลย?”


“ก็บอกไปแล้วว่ามันพูดยาก พวกกูมันคนนอกอะ” ไอ้เก่งพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ แต่คือมันจะเท่าไหร่นักเชียว แค่บอกมาว่าไอ้เอสมันเป็นอะไรจะอะไรนักหนา พวกมันทุกคนก็เห็นอยู่ว่าผมอยากรู้เรื่องนี้มาก แต่ทั้งๆ อย่างนั้นก็ยังไม่ยอมบอก จำไว้เลย!


“เออ! พูดยากก็ไม่ต้องพูด! แต่ก็จำเอาไว้ว่ากูก็จะไม่พูดกับพวกมึงเหมือนกัน! งอนเว่ย!” ผมพูดจบก็สะบัดหน้าจนคอแทบหัก จากนั้นก็เดินกระแทกส้นตึงตังเดินขึ้นห้องไปเลย


ด้วยความง่วงผมเลยทิ้งตัวลงนอนทันที แต่ก็ได้ยินคลับคล้ายคลับคลาว่าไอ้พวกเพื่อนมันมาเคาะประตูเรียกอยู่ ก็พยายามง้อนั่นแหละ แต่ว่าผมจะไม่ยอมใจอ่อนง่ายๆ หรอก จะเล่นตัวหน่อยให้พวกมันเข็ดหลาบ คราวหน้าจะได้ไม่กล้าทำกับผมแบบนี้อีก หึหึ


ว่าแต่...สรุปแล้วไอ้เอสมันเป็นอะไรชาตินี้ผมจะได้รู้มั้ยเนี่ย!


เฮ้ออออออออ


................................................

................................

................   


Rrrrrrr Rrrrrrr


เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดขวางการนอนอันแสนสุขของผม สายแรกปล่อยผ่านไป แต่พอสายที่ 2 ตามกันมาติดๆ ผมเลยคิดว่าถ้าไม่รับคงมีสายที่ 3, 4, 5 ตามมา ถ้าอย่างนั้นผมก็คงมีแต่จะต้องกดรับให้มันจบๆ ไปนั่นแหละ


“โหลลลล” ผมกดรับสายโดยไม่แม้แต่จะลืมตาดูว่าใครโทรมา แต่พอได้ยินเสียงจากปลายสายเท่านั้นแหละ จากที่ง่วงๆ อยู่ผมก็เบิกตาโพลงขึ้นมาทันที


[“อีหยังหนิ! สายป่านนี้ยังบ่ตื่นอีกติซี!”] เสียงแบบนี้ สำเนียงแบบนี้ นี่มันคุณนายแม่บังเกิดเกล้านี่หว่า!


“โหยแม่ ปิดเทอมแล้วก็หยวนๆ ให้ผมหน่อยน่า...นะคร้าบ” แม่ผมอะเหมือนจะดุแต่จริงๆ แพ้ลูกอ้อน เพราะงั้นจากเสียงที่กำลังแข็งๆ ก็เลยอ่อนยวบลง ส่วนภาษาถิ่นที่มักจะหลุดตอนบ่นหรือด่าก็เลยกลับไปเป็นภาษากลาง


[“อย่าให้ติดเป็นนิสัยก็แล้วกัน”]


“คร้าบ ว่าแต่โทรมาแต่เช้ามีอะไรอะครับแม่”


[“สายย่ะ”]


“อ่าๆๆ สายก็สายคร้าบคุณนาย” แต่สำหรับผม 8 โมงนี่ถือว่าเช้าทั้งตอนเปิดเทอมและปิดเทอมเลย


[“ก็เห็นแกเงียบหายไปน่ะสิ งานศพเพื่อนน่ะเรียบร้อยแล้วรึยัง”]


“เรียบร้อยแล้วครับ”


[“งั้นก็กลับบ้านได้แล้วสิ”]


“อืม...ก็ได้นะแม่” ตอนนี้ผมก็ไม่ค่อยอยากอยู่ที่นี่ด้วย เดี๋ยวถือโอกาสกลับบ้านเลยก็แล้วกัน


[“หืม? นี่แกไม่ได้ล้อแม่เล่นใช่มั้ย”]


“จะล้อเล่นทำไมล่ะครับ เดี๋ยวผมกลับวันนี้เลย ถ้ารีบอาบน้ำแต่งตัวน่าจะทันเที่ยวสุดท้ายรอบสายๆ งั้นแค่นี้นะแม่” แล้วผมก็กดวางสายไปเลย จากนั้นก็รีบลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวและเก็บข้าวของ เพียงครึ่งชั่วผมก็ลงมาข้างล่างเตรียมรอแท็กซี่ไปบขส.


“ตื่นแล้วหรอมึง แล้วนั่นจะไปไหนน่ะ” ไอ้เก่งที่โต้รุ่งเล่นเกมกับไอ้เสือถามผม


“ฮึ!” แต่ผมก็ไม่ตอบ สะบัดบ็อบใส่แม่งด้วย


“คิดว่างอนแล้วน่ารักหรอสาดดด” เท่านั้นแหละผมก็ชูนิ้วกลางให้มันแล้วเดินออกจากบ้านมาเลย นี่ถ้าไม่ติดว่ากลัวคอมมันพังแล้วไม่มีปัญญาจ่าย ผมจะเดินไปดึงปลั๊กออกแม่ง ฮึ่ย!


ยืนรอสักพักแท็กซี่ก็มา แต่อย่าคิดล่ะว่าผมโบกได้ แกร็บสิครับจะโบกให้เสียเวลาทำไม ส่วนใหญ่พวกนั้นถึงจอดก็คงไม่ไปอยู่ดี อ้างนู่นอ้างนี่จนน่ารำคาญ ถ้าดวงดีจริงๆ ถึงจะเจอส่วนน้อยที่เป็นแท็กซี่ดีๆ


เวลานี้รถไม่ค่อยติดมาก ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงผมก็มาถึงบขส.เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งหลังจากที่จ่ายเงินผมก็เดินไปช่องขายตั๋ว โชคดีที่รถเที่ยวสุดท้ายยังมีเหลือผมก็เลยได้กลับบ้านสมใจคุณนายแม่


พอรถออกปุ๊บก็ไม่รู้ทำไมผมถึงได้ง่วงปั๊บ เวลาขึ้นรถทัวร์ทีไรมักจะเป็นแบบนี้ทุกทีสิน่า แต่ว่าก่อนที่จะนอนผมก็โทรบอกแม่เอาไว้แล้วล่ะ คิดว่าน่าจะถึงสัก 6 โมงหรือ 1 ทุ่ม


แน่นอนว่าตอนนอนผมก็ต้องเปิดโหมดห้ามรบกวนเอาไว้ แต่จริงๆ มันก็เป็นมารยาทที่ควรจะทำอยู่แล้ว เพราะเดี๋ยวเสียงมันจะไปรบกวนคนอื่นที่อยู่บนรถ ดังนั้นตลอดเวลา 8 ชั่วโมงผมก็เลยหลับเป็นตาย ไม่ได้รู้เลยว่ามีใครโทรมาบ้าง


มาเห็นอีกทีก็ตอนที่หยิบมือถือจะโทรบอกแม่ว่าใกล้ถึงแล้ว เอ่อ...ไอ้พวกเพื่อนของผมมันเป็นอะไรกันเนี่ย กระหน่ำโทรมาจนสายแทบไหม้ แถมยังไลน์มารัวๆ อีกต่างหาก แล้วนอกจากเพื่อนผมก็ยังมีไอ้เอสอีกคน ไอ้นี่น่ะโทรมามากที่สุดจนเกือบเท่าสายที่พวกเพื่อนผมรวมกัน


นั่นไง พูดถึงก็โทรมาเลย แต่ว่าผมไม่รับสายมันหรอก ปล่อยให้มันรอไปแบบนั้นแหละทรมานดี แต่สายต่อมาที่เป็นของไอ้เก่งอันนี้ผมรับอยู่ ถึงจะยังเคืองนิดๆ แต่ผมก็ไม่อยากให้มันเป็นห่วงผมล่ะนะ


“ฮัลโหล”


[“เฮ้ย! ไอ้ซี! มันรับสายกูแล้วเว่ยยยย!”] ไอ้เก่งพูดอย่างดีใจ ส่วนประโยคหลังคงจะหันไปพูดกับไอ้พวกเพื่อน ซึ่งพวกมันก็อยู่กันครบแถมยังแย่งกันพูดจนผมแทบฟังไม่ทัน แต่ส่วนไอ้เอสคงไม่ได้อยู่ด้วยเพราะผมไม่ได้ยินเสียง


[“มึงอยู่ไหน! รู้มั้ยว่าพวกกูเป็นห่วง!”]


“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ตอนนี้กูกำลังจะถึงวังแล้ว”


[“วัง?”]


“ก็บ้านกูไง” ‘วังสามหมอ’ เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดอุดรธานีซึ่งเป็นบ้านเกิดของผมเอง คนแถวนี้จะเรียกสั้นๆ ว่าวังกันทั้งนั้นแหละ


[“ถุ้ย! ถ้ามึงอยู่วังกูก็อยู่ปราสาทแล้วไอ้สัส!”]


“ไม่เชื่อก็ตามใจ เอาเป็นว่ากูสบายดีแล้วกัน แค่นี้นะ เดี๋ยวโทรหาแม่ก่อน”


[“ไม่เรียกว่าพระมารดาเลยล่ะ”]


“สัส” ผมขี้เกียจจะเถียงกับมันละก็เลยกดตัดสายแม่งเลย


ผมรีบจัดการโทรหาแม่ต่อ ถ้าออกจากบ้านตอนนี้ก็น่าจะมาถึงบขส.พอดีพร้อมๆ กับผม ซึ่งพอลงจากรถ ผมก็เห็นรถของที่บ้านขับตรงมาทางนี้พอดีอย่างที่คิดเอาไว้


“คุณนายยยย คิดถึงจังเลยคร้าบบบบ” ผมรีบวิ่งเข้าไปกอดแม่ทันทีที่เจอหน้า


ด้วยความที่สนิทกันมากผมเลยมักจะพูดเล่นแบบนี้ ซึ่งแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ออกจะชอบด้วยซ้ำ ส่วนกับพ่อผมไม่ค่อยสนิทเท่าแม่ ก็แกไม่ค่อยขี้เล่นอะนะ ผมก็เลยไม่ค่อยได้พูดเล่นแบบนี้ด้วยเท่าไหร่


“ย่ะ! นี่ถ้าไม่โทรหาก็คงจะไม่โผล่หน้ามาให้เห็นหรอก!” แม่มองค้อนใส่


“โหย แม่ก็ว่าไป ผมก็ตั้งใจจะกลับบ้านอยู่แล้ว ไม่งั้นจะรีบมาแบบนี้หรอครับ”


“ให้มันแน่เถอะ”


“เอาล่ะๆ ขึ้นไปคุยกันต่อบนรถดีมั้ย” พ่อเบรกผมกับแม่เมื่อเห็นว่าท่าทางจะคุยกันยาว ผมเลยเดินเข้าไปกอดพ่อบ้าง จากนั้นก็เข้าไปในรถเพื่อเดินทางกลับสู่วัง (สามหมอ)


ครอบครัวผมมีสมาชิกทั้งหมด 4 คน ก็จะมีผม พ่อ แม่ แล้วก็น้องสาวที่อยู่ม.2 บ้านของพวกเราจะเป็นบ้านสวนออกแนวเกษตรทฤษฎีใหม่ ตัวบ้านมี 2 ชั้นทำจากไม้ บริเวณรอบๆ จะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือพื้นที่สำหรับปลูกพืชผัก แล้วก็สระน้ำที่ตอนแรกตั้งใจขุดเอาไว้เลี้ยงปลา แต่ไปๆ มาๆ ก็กลายเป็นที่นั่งชมวิวชิลๆ เพราะพ่อได้สร้างเถียงนาน้อยเอาไว้ริมสระด้วย


พอได้กลับมาเห็นบรรยากาศแบบนี้ นี่สิที่เรียกว่าความสุข จะที่ไหนก็ไม่มีความสุขเท่ากับที่บ้านอย่างที่เขาพูดกันไว้เลย แถมยิ่งได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา กินอาหาร พูดคุยกัน แล้วก็ทำอะไรต่างๆ ร่วมกันกับคนในครอบครัว มันก็ทำให้ผมมีความสุขมากจริงๆ


หลังจากละครจบ พ่อ แม่ แล้วก็ยัยเอน้องสาวของผมต่างก็แยกย้ายกันไปนอน ผมที่ยังไม่ง่วงก็เลยนั่งดูทีวีต่อ แต่ก็ไม่มีอะไรน่าดูเลยหยิบมือถือขึ้นมา กะว่าจะเข้าไปส่องเฟซบุ๊กกับไถทวิตเตอร์เล่น แต่ผมก็เห็นเบอร์ของไอ้เอสขึ้นสายไม่ได้รับ 10 กว่าสาย แถมยังส่งไลน์มาถามเรื่องนู่นนี่อีกเพียบ


ท่าทางมันจะยังไม่รู้ว่าผมกลับมาที่วัง ถ้าอย่างนั้นก็ขอเอาคืนมันหน่อยดีกว่า สัก 2 – 3 วันค่อยรับสายกับตอบไลน์ก็แล้วกัน จะเอาให้กระวนกระวายจนไม่มีสมาธิทำงานเลยคอยดู แค่คิดก็สนุกแล้ว


“หึหึหึ ฮะๆๆ ฮ่าๆๆๆๆ” จากที่หัวเราะในลำคอผมก็ระเบิดหัวเราะเหมือนคนบ้า แต่วันต่อมาจากที่คิดว่าจะต้องหัวเราะยิ่งกว่านี้ ผมกลับรู้สึกหงุดหงิดเพราะไอ้เอสดันไม่โทรมา แถมยังไม่ไลน์หาผมเลยแม้แต่ครั้งเดียว


อีหยังวะเลยกู ที่คิดไว้มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิเฟ้ย!


หรือไอ้พวกเพื่อนจะบอกแล้วว่าผมสบายดี?


พอคิดได้แบบนั้นผมก็รีบโทรไปถามไอ้เก่งทันที แต่ก็คิดเอาไว้ในใจแล้วแหละว่ายังไงก็ต้องใช่แน่ๆ ไม่อย่างนั้นจู่ๆ ไอ้เอสมันจะเงียบไปแบบนี้ได้ยังไง ถ้าไม่โทรอย่างน้อยก็ต้องไลน์มาสักหน่อยสิ


แต่คำตอบที่ได้...


[“เปล๊า! พวกกูไม่ได้บอกอะไรมันเล้ย!”]


“จริงหรอวะ”


[“จริงจริ้งงงง”]


“เออๆ งั้นแค่นี้แหละ” แล้วผมก็กดวางสาย


สรุปแล้วพวกเพื่อนผมก็ไม่ได้บอกอะไร แล้วทำไมจู่ๆ ไอ้เอสถึงได้หายไป ไม่สนใจผมแล้ว ถ้าจะบอกว่างานเยอะ แต่เท่าที่ผมเห็นก็ไม่ได้เยอะจนถึงกับไม่มีเวลาพักสักหน่อย อย่างเมื่อวานยังโทรมาได้เกือบจะร้อยสาย แล้ววันนี้ทำไมแค่สักสายถึงโทรหาผมไม่ได้ล่ะ


จากที่ตั้งใจจะให้มันกระวนกระวาย แต่ผมนี่แหละที่เป็นฝ่ายกระวนกระวายซะเอง ผ่านไปวันนึงก็แล้ว สองวันก็แล้ว แต่มันก็ยังคงหายไม่ติดต่อมาเลย คืออะไรวะ ทำไม! ทำไม!! ทำไม!!!


เมื่อวานผมเอาแต่นั่งเครียดไม่ก็คิ้วขมวดเดินไปเดินมา แต่วันนี้ผมเอาแต่โมโหจนเหมือนคนบ้า ไม่ว่าใครจะทำอะไรก็ขวางหูขวางตาไปซะหมด จนคนที่บ้านถึงกับงงว่าผมเป็นอะไร ยัยเอถึงกับแอบกระซิบบอกพ่อกับแม่ว่าผมอาจจะเป็นบ้า ให้รีบพาผมไปรักษาที่โรงพยาบาลด่วน


“พี่ไม่ได้บ้าเว่ย!” ปรี๊ดเลยสิผม เลยวิ่งไล่เตะตูดมันพร้อมกับตะโกนลั่นว่าผมไม่ได้บ้า แต่พอเช้าวันที่ 3 ผมก็เริ่มคิดว่าตัวเองอาจจะบ้าเข้าจริงๆ แล้วล่ะ


ถามว่าเพราะอะไร?


ก็เพราะผมเห็นไอ้เอสปรากฏตัวตรงหน้าผมน่ะสิ!


คนอย่างมันจะมายืนอยู่ที่หน้าบ้านผมได้ยังไง ผมอยู่ที่ไหนก็ไม่มีใครรู้ ดูท่าทางผมจะบ้าจนเห็นภาพหลอนของมันเข้าซะแล้ว...


2BC


สวัสดีค่า เอาแล้วสิจบแบบนี้ มาลองเดากันดูซิว่าที่ซีเห็นนี่เป็นภาพหลอนหรือเอสตัวจริงกันนะ?  :hao3:

ตอนหน้าได้รู้กันแน่นอน รับรองว่าสนุกแน่ๆ ยังไงรอกันนึงน้า จะรีบปั่นรีบเอามาลงเลยค่ะ   :katai4:

รักทุกคนมากๆ แล้วเจอกันน้าาา กอดดดดด  :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่13# กลับวัง! [5.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 05-11-2019 23:18:54
………

555 เอสตามถึงบ้านเธอละซี……

ไม่ต้องหงุคละนะ

……


 :katai3: :katai2-1: :katai3: :katai2-1: :katai3: :katai2-1: :katai3: :katai2-1:


……
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่13# กลับวัง! [5.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 05-11-2019 23:51:41
งู้ยยยยย ตามมาง้อถึงบ้านแล้ว ก็สู่ขอกะพ่อแม่น้องซีเลยสิเอส.  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่13# กลับวัง! [5.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 06-11-2019 02:02:26
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่13# กลับวัง! [5.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 06-11-2019 05:56:23
ไม่ยอมรับสาย ตามมาถึงบ้านเลย 5555
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่13# กลับวัง! [5.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-11-2019 17:19:29
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่13# กลับวัง! [5.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Y-Darkness ที่ 07-11-2019 01:19:01
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่13# กลับวัง! [5.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Micky_MN ที่ 08-11-2019 09:20:04
ซีน่ารักอะ โอ๊ยหลงซีมาก
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่14# ยอมตั้งแต่หน้าประตู [9.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Sameejaejung ที่ 09-11-2019 20:23:39
Soulmate วิญญาณป่วนรัก


Part 14# S ยอมตั้งแต่หน้าประตู


ผมขับรถออกจากบ้านด้วยความหัวเสีย


ฝ่าเท้าของผมกดเหยียบคันเร่งจนแทบมิดตั้งแต่พ้นปากซอย แต่ผมก็ไม่มีจุดหมายหรอก อีกเกือบ 2 ชั่วโมงกว่าจะถึงคิวถ่ายละครก็เลยขับรถไปเรื่อยๆ ยิ่งถนนโล่งก็ยิ่งเหยียบคันเร่งจนจมเท้า ก็พึ่งรู้วันนี้แหละว่าการขับรถเร็วๆ มันก็ช่วยระบายอารมณ์ได้ดีเหมือนกัน


ระหว่างที่ขับรถผมก็คิดเรื่องของซีไปด้วย แต่ไม่ว่ายังไงผมก็ไม่เข้าใจความคิดของซีเลยแม้แต่น้อย การที่ยอมทำเรื่องแบบนั้นเมื่อคืน ไม่ใช่หมายความว่าซีก็ใจตรงกันกับผมหรอกหรอ เพราะถ้าไม่ใช่ ใครมันจะไปกล้าทำเรื่องแบบนั้นกับคนอื่น ผมล่ะที่ไม่คนนึง ซึ่งผมก็มั่นใจว่าซีก็ไม่มีทางทำได้เหมือนกัน


100% ผมคิดว่าซีใจตรงกันกับผม แต่นั่นก็เป็นความคิดของผมเมื่อคืน ส่วนเมื่อกลางวันความมั่นใจของผมก็หายไปถึงครึ่ง เหลือแค่ 50% เท่านั้น ซึ่งมันก็ทำให้ผมไม่สบอารมณ์จนต้องไปป่วนการเดทของซีกับแพร


นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมทำเรื่องงี่เง่าแบบนี้ แต่ผมหงุดหงิดนี่ ถึงซีจะยังไม่รู้ใจตัวเองหรือไม่ได้ชอบผม แต่ก็น่าจะดูออกไม่ใช่หรอว่าผมรู้สึกยังไง แล้วทำไมถึงยังไปเดทกับแพรอีกผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ


ให้ตายสิ! ทำไมผมถึงหลงไปชอบคนที่ซื่อ (หรือโง่) แบบนี้ได้ก็ไม่รู้!


................................................

................................

................


ผมกลับบ้านอีกทีก็เช้าของอีกวัน


เมื่อคืนพอถ่ายละครเสร็จผมก็นอนโรงแรมแถวนั้นเพราะยังไม่อยากเจอหน้าซี แต่พอตื่นความรู้สึกหงุดหงิดมันก็เปลี่ยนเป็นความคิดถึง ซึ่งผมคงทนอีกไม่ได้ ดังนั้นหลังจากที่ถ่ายละครเสร็จช่วงเย็นๆ มีเวลาพัก 3 ชั่วโมงก่อนเข้าฉากตอนกลางคืน ผมก็เลยตัดสินใจกลับไปที่บ้านเพราะอยากเคลียร์กับซีให้รู้เรื่อง


แต่พอกลับไปถึง...


“รู้มั้ยว่าซีอยู่ไหน” ผมถามหลินที่นั่งดูทีวีอยู่กับอาร์ท


“อ้าว มันไม่ได้อยู่ในห้องหรอ”


“เปล่า” เมื่อกี้ผมไปเคาะประตูห้องอยู่นานแต่ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับ ผมเลยลองจับลูกบิดแล้วเปิดประตูเข้าไปดู แต่ก็ไม่เห็นซีเลยแม้แต่เงา


“ลองโทรหามันรึยัง” ผมส่ายหน้า ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาแล้วโทรหาซี แต่ไม่ว่าจะโทรไปสักกี่สายซีก็ไม่ยอมรับเลย


“อาจจะยังโกรธเรื่องเมื่อคืนอยู่มั้ง” ผมถอนหายใจ หลินเลยหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาโทรหาซีบ้าง แต่ก็เหมือนผม พอให้อาร์ทลองโทรก็ไม่ต่างกัน ซีไม่ยอมรับโทรศัพท์ใครสักคน


“มันเป็นเหี้ยอะไรเนี่ย!” หลินสบถอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วจังหวะนั้นเสือที่ดูเหมือนว่าจะพึ่งตื่น เพราะหาวจนปากกว้างก็เดินลงมาจากห้อง


“โวยวายอะไรแต่เช้าวะไอ้หลิน”


“เช้าพ่อง! พระอาทิตย์จะตกอยู่ละ”


“ก็เช้าของกูไง ว่าแต่มึงโวยวายเรื่องอะไร”


“ก็ไอ้ซีอะดิ มันหายหัวไปไหนไม่รู้ พวกกูโทรไปก็ไม่ยอมรับสาย”


“เมื่อเช้ากูเห็นมันอยู่นะ แต่ไม่รู้ไปไหน เห็นสะพายเป้ด้วย”


“หรือซีจะกลับบ้าน?” ผมสันนิษฐาน เพราะปกติเวลาซีไปไหนก็จะพกแค่กระเป๋าตังกับโทรศัพท์เท่านั้น ไม่เคยเห็นสะพายเป้สักทีนอกจากตอนไปงานศพเต้ย


“ก็เป็นไปได้” เสือพยักหน้าเห็นด้วย


“แล้วมึงรู้มั้ยว่าบ้านซีอยู่ไหน”


“จะตามไปง้อมันหรอ” เสือพูดยิ้มๆ พอได้ยินแบบนี้หลินกับอาร์ทก็ยิ้มแบบกรุ้มกริ่มด้วย แต่ถึงจะสงสัยผมก็ไม่ได้ถามอะไรหรอก


“ก็อาจจะถ้ายังไม่ยอมรับสายสักที”


“แอร๊ยยย นึกถึงสมัยที่เตงจีบเค้าใหม่ๆ เลยอะ” จากโหมดเกรี้ยวกราดเมื่อกี้ อยู่ดีๆ หลินก็เปลี่ยนโหมดแล้วทุบที่อกของอาร์ทประมาณว่าเขินซะงั้น


“ไม่ต้องทำหน้างงหรอกน่า เรื่องของมึงกับไอ้ซีพวกกูรู้อยู่แล้ว” เก่งที่ไม่รู้ว่าออกจากห้องมาตอนไหนพูดขึ้นอยู่ตรงบันได พอพวกผมพากันหันไปมองก็เลยเดินตรงมาทางนี้


“มึงชอบไอ้ซีใช่มั้ย” ผมหยุดคิด 2 – 3 วินาทีจึงพยักหน้าลง


“อืม ซีบอกพวกมึงหรอ”


“โอ๊ยยยย อย่างมันจะไปรู้อะไร มันยังถามพวกกูอยู่เลยว่าทำไมมึงทำแบบนั้น แต่ที่พวกกูรู้ก็เพราะวิเคราะห์จากเรื่องที่มันเล่าให้ฟังนั่นแหละ” เออเนอะ เรื่องนี้คนอื่นรู้แต่เจ้าตัวอย่างซีดันไม่รู้ จะเรียกว่าเรื่องตลกหรือน่าเศร้าดี?


“กูขอแนะนำให้มึงบอกมันตรงๆ ไปเลย ไม่อย่างนั้นคนอย่างมันไม่มีทางรู้หรอก”


“นั่นสินะ ไงถ้าติดต่อซีได้หรือซีกลับมาแล้วมึงช่วยโทรบอกกูหน่อยละกัน เดี๋ยวกูต้องออกไปถ่ายละครต่อแล้ว” ถ้ารีบขับรถไปตอนนี้ก็น่าจะถึงทันที่นัดเอาไว้พอดี


“ได้ๆ มึงไปเหอะ” ผมพยักหน้า จากนั้นก็รีบขับรถตรงไปยังกองถ่าย


ถึงแม้ในใจจะเป็นกังวลเรื่องของซี แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลเสียต่องานของผมสักนิด อันที่จริงผู้กำกับชมผมเรื่องการแสดงด้วยซ้ำว่าวันนี้ทำได้ดีมาก แต่ละซีนเทคเดียวผ่านทั้งนั้น ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะผมอยากรีบกลับบ้านไวๆ เลยตั้งใจแสดงให้สมบทบาทที่สุด


แต่พอกลับบ้าน ผมก็ต้องพบกับความผิดหวังเพราะซียังไม่กลับมา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีข่าวดีอยู่บ้าง นั่นก็คือเก่งติดต่อซีได้แล้ว เห็นบอกว่าสบายดีและกวนประสาทตามปกติ ได้ยินแบบนี้ผมก็ค่อยสบายใจขึ้นหน่อย


“มีใครรู้มั้ยว่าบ้านซีอยู่ไหน”


“ไม่รู้ดิพวกกูก็ไม่เคยไป แต่จำได้ว่ามันอยู่อุดร เอ๊ะหรือว่าอุบลวะ?” เสือดูท่าทางสับสน ส่วนเพื่อนคนอื่นก็สายหน้า


“จะว่าไปเห็นมันบอกว่ากลับวัง ไม่รู้พูดจริงพูดเล่นอะนะ แต่คงจะพูดเล่นล่ะมั้ง” อันนี้เก่งพูด ผมเลยลองหยิบมือถือขึ้นมาเสิร์ชหาดู แต่ข้อมูลก็มีน้อยเกินไปเลยไม่ได้เรื่องอะไร


“ไว้พวกมึงนึกอะไรออกค่อยบอกกูอีกทีแล้วกัน”


หลังจากนั้นผมก็ขอแยกตัวขึ้นไปบนห้อง โดยที่ก่อนจะนอนผมก็ลองโทรหาซีเรื่อยๆ แต่ซีก็ไม่ยอมรับสักสาย ส่วนไลน์ผมก็ส่งหา แต่ซีแค่เปิดอ่านอย่างเดียว ท่าทางคงจะยังโกรธผมอยู่แน่ๆ แต่ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงในเมื่อติดต่อไม่ได้ ส่วนบ้านก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนเหมือนกัน


คืนนั้นไม่รู้เป็นเพราะความเครียดหรือความกังวลของผมรึเปล่า มันก็เลยทำให้ผมถึงกับฝันแปลกๆ ซะได้


ถามว่าผมฝันอะไร?


ผมฝันเห็นเต้ย ใช่...เพื่อนร่วมบ้านที่พึ่งตายไปก่อนหน้านี้ไม่นาน ส่วนเรื่องราวในความฝันมันคือการสนทนาของพวกเรา ซึ่งก็เหมือนจริงซะจนผมถึงกับขนลุกตอนที่ลืมตาตื่นขึ้นมาเลย...


“อยากรู้มั้ยว่าไอ้ซีอยู่ไหน” ถึงจะยังงงๆ เพราะพอเจอหน้าเต้ยก็ยิงคำถามเลย แต่ผมก็ไม่รอช้าที่จะพยักหน้าลง


“อยากสิ”


“จำเอาไว้ดีๆ นะเพราะกูบอกมึงได้แค่ในนี้ บ้านไอ้ซีอยู่ที่ อ.วังสามหมอ จ.อุดร อยู่ไม่ไกลจากเซเว่นมาก มึงหาเซเว่นให้เจอก่อนค่อยเริ่มหาก็ได้ เพราะทั้งอำเภอมีอยู่ที่เดียว แต่ถึงจะรู้แค่นี้ก็หาบ้านมันไม่ยากหรอก ถามๆ คนแถวนั้นเอาก็ได้ สังคมต่างจังหวัดมันไม่เหมือนกรุงเทพ ส่วนใหญ่ก็รู้จักกันหมดอะ” ผมพยักหน้า โดยที่ในใจก็ท่องตามที่เต้ยบอก เพราะพอตื่นมาจะได้ไม่ลืม


ว่าแต่...เรื่องราวในฝันมันจะเชื่อได้หรอ?


“เชื่อได้สิ” เท่านั้นแหละผมก็เบิกตากว้าง


“มึงอ่านใจกูได้?”


“ใช่ ถามเหมือนไอ้ซีเป๊ะ เนื้อคู่กันปะเนี่ย” เต้ยอมยิ้มแซวๆ แล้วเอานิ้วชี้จิ้มๆ กันไปมา ผมที่ไม่รู้จะตอบว่าอะไรก็เปลี่ยนเรื่องซะเลย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่คาใจผมตั้งแต่ที่เห็นเต้ยแล้ว


“มึงยังวนเวียนอยู่แถวนี้หรอ”


“ใช่ กูมีภารกิจที่ต้องทำน่ะเลยยังไปไหนไม่ได้” ท่าทางคงจะเป็นภารกิจที่สำคัญมาก แต่ผมก็ไม่ถามหรอกเพราะไม่อยากละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัว


“ขอให้สำเร็จไวๆ นะ”


“สาธุ ขอให้เป็นตามนั้นด้วยเทอญ เพี้ยง!” ก็ไม่รู้ทำไมตอนที่พูดเต้ยถึงได้มองหน้าผมไปด้วย


“แล้วเรื่องที่มึงยังวนเวียนอยู่แถวนี้ มีใครรู้อีกนอกจากกูรึเปล่า”


“ไม่มีหรอก กูไม่ได้บอกไอพวกนั้น แค่เข้าฝันครั้งนึงบอกว่าไม่ต้องเศร้าเรื่องกูแล้ว...อ้อ! แต่ไอ้ซีกูไปเข้าฝันอีกครั้งอยู่นะ ว่าจะบอกเรื่องสำคัญกับมัน แต่สงสัยก่อนจะบอกกูด่าแรงไปหน่อย มันโมโหเลยไล่ตะเพิดกูออกมา”


“ทำได้ด้วย?” ผมหลุดขำ สมกับเป็นซีจริงๆ


“กูก็พึ่งรู้นี่แหละว่าได้” แล้วเต้ยก็หัวเราะออกมาบ้าง


“ว่าแต่ทำไมมึงถึงไม่บอกใครล่ะว่ายังวนเวียนอยู่แถวนี้” พอได้ยินที่ผมถาม จากที่กำลังยิ้มอยู่เต้ยก็ทำหน้าเศร้าขึ้นมา


“สักวันกูก็ต้องไป กูเลยไม่อยากให้พวกมันต้องมาร้องไห้เสียใจเพราะกูอีก แค่ครั้งเดียวมันก็เศร้าพอแล้ว”


“นั่นสินะ...” ประโยคสุดท้ายเต้ยพูดด้วยเสียงที่เบามาก ทำเอาผมรู้สึกผิดไปเลยที่ถามออกไปแบบนั้น เพราะงั้นผมเลยไม่ได้พูดอะไรอีก แต่สักพักเต้ยก็ยิ้มแล้วชวนผมคุยเรื่องนู่นนั่นนี่ แล้วก็บอกด้วยว่าจะช่วยผมเรื่องซีให้ถึงที่สุดด้วย...



ผมจำเรื่องราวในฝันได้อย่างแม่นยำ แถมยังจำได้ด้วยว่าเต้ยสั่งห้ามไม่ให้ผมห้อยพระหรือผูกสายสิญจน์โดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะเข้าฝันอีกไม่ได้ ที่รู้ก็เพราะตอนกลับบ้านซีห้อยพระเอาไว้ แม้จะถอดแล้วเมื่อถึงบ้าน แต่ครอบครัวก็พาเข้าวัดทำบุญ หลวงพ่อเลยผูกสายสิญจน์ให้ที่ข้อมือ ซึ่งมันก็ทำให้เต้ยอดเข้าฝันซีตั้งแต่นั้น


ก็ไม่รู้ว่าเรื่องราวในฝันมันเป็นการคุยกับเต้ยจริงๆ หรือผมแค่คิดไม่ตกเรื่องซีเลยเพ้อเจ้อไปเอง แต่ผมก็เลือกที่จะเชื่ออย่างแรก เลยโทรไปขอพักงานกับต้นสังกัด 1 สัปดาห์เพื่อที่จะไปหาซี


เจรจาต่อรองอยู่นานกว่าต้นสังกัดจะยอม แต่ก็แลกมาด้วยการที่ผมต้องเร่งทำงานที่จำเป็นตลอด 2 วันโดยแทบไม่ได้พัก ซึ่งนั่นมันก็เลยทำให้ผมไม่มีเวลาติดต่อซี แต่เต้ยก็บอกว่าดีแล้ว ปล่อยให้ซีเป็นฝ่ายกระวนกระวายบ้าง พอผมหายไปจะได้รู้ใจตัวเอง ก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้นล่ะนะ


แต่ทันทีที่เจอหน้าซี ยังไม่ทันที่ผมจะได้ถามหรือทำอะไร ความรู้สึกโล่งใจและเหนื่อยมาตลอด 2 วันเต็มๆ มันก็ทำให้ผมถึงกับวูบไปเลย


“เฮ้ย! ไอ้เอส! มึงเป็นอะไร! มึงได้ยินกูมั้ย! ไอ้เอส! ไอ้เอส...” แล้วนั่นก็เป็นเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนที่ภาพจะตัดฉับจนทุกอย่างดำมืดลง...


................................................

................................

................


Z


“ตื่นได้สักทีนะมึง” ผมพูดขึ้นเมื่อไอ้เอสค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาหลังจากที่หลับไปเกือบ 1 วันเต็มๆ


“ที่นี่...ห้องของมึงหรอ” เหมือนมันจะดูงงๆ แต่คงไม่ได้ลืมหรอกใช่มั้ยว่าตัวเองมาหาผมถึงที่บ้าน เอาจริงๆ เลยนะตอนแรกผมก็คิดว่าเป็นแค่ภาพหลอน แต่พอมันล้มลงใส่ตัวผมนั่นแหละผมถึงได้รู้ว่านี่คือเรื่องจริง


ตอนที่มันล้มผมกับคนทั้งหมู่บ้านตกใจมาก...ครับ ฟังไม่ผิดหรอก คนทั้งหมู่บ้านจริงๆ คือแห่ตามไอ้เอสกันมาเป็นพรวนอะ พอถามดูเลยรู้ว่ามันเที่ยวถามคนนั้นคนนี้ว่าบ้านผมอยู่ไหน แล้วประเด็นคือมันหล่อสัสๆ ไง พอมีคนจำหน้าได้แล้วบอกว่าเป็นดารา เท่านั้นล่ะตั้งแต่ต้นยันท้ายหมู่บ้านก็เลยแห่ตามมาดูจนเต็มหน้าบ้านของผม กว่าจะอัญเชิญให้กลับไปได้ทั้งหมดก็เล่นเอาเหนื่อยแทบแย่


“เออ ห้องกู หรือคิดว่าเป็นห้องมึงล่ะ” ผมมองค้อน ส่วนไอ้เอสก็ไม่ได้ตอบอะไร เอาแต่มองหน้าผมแล้วอมยิ้มน้อยๆ เท่านั้น


“ไม่เจอกัน 3 วันเป็นใบ้ไปแล้วหรอ”


“เปล่า”


“เออ ก็ดีที่ยังพูดได้ นี่รู้มั้ยว่าการที่มึงมามันทำให้บ้านกูวุ่นวายขนาดไหน” แถมยังทำให้ใจกูวุ่นวายด้วย เล่นเอาเป็นห่วงซะแทบแย่ แต่ผมจะไม่มีวันบอกมันเด็ดขาดว่าผมกระวนกระวายจนไม่เป็นอันทำอะไร ถึงได้นั่งเฝ้ามันอยู่ในห้องจนแทบไม่ได้ออกไปไหนแบบนี้


“ขอโทษ” ไอ้เอสมองตรงเข้ามาในดวงตาของผม ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ผมถึงได้รู้สึกเขินขึ้นมา แล้วผมก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อด้วยก็เลยเอาแต่เงียบ


ซึ่งจังหวะที่กำลังเกิดเดดแอร์นั่นเอง...


“ซีตื่นยังลูก!” แม่ผมตะโกนขึ้นมาจากชั้นล่าง ขอบคุณที่เข้ามาช่วยสถานการณ์นะครับคุณนาย


“ตื่นแล้วคร้าบ!” ผมตะโกนตอบ แต่แม่ก็ไม่ได้พูดหรือถามอะไรอีก ผมเลยคิดว่าแม่คงอยากจะเช็คเฉยๆ ว่าผมตื่นรึยังเท่านั้นล่ะมั้ง แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าแม่จะถึงขั้นเดินขึ้นมาหาผมถึงบนห้อง


“เช้านี้จะกินอะไรแม่จะได้ทำ...อุ้ย! เอสตื่นแล้วหรอลูก” แล้วจากเสียงแข็งๆ ก็เปลี่ยนเป็นเสียงหวานๆ ทันทีที่เห็นว่าไอ้เอสตื่นแล้ว


“คือไรอะแม่ ทีกับผมใช้เสียง 1 แต่กับไอ้เอสใช้เสียง 2” ผมมองบน เอาละไง โรคคลั่งดาราเริ่มกำเริบละ เชื่อมั้ยว่าสมัยสาวๆ แม่ผมนี่เป็นติ่งพี่เบิร์ดตัวยงเลยนะ ออกงานที่ไหนจัดคอนเสิร์ตทีไรแม่ผมตามไปแทบทุกงาน


“เสียงของแม่แปรผันกับความหล่อของคนที่คุยด้วยย่ะ” คำตอบของคุณนายทำเอาผมถึงกับต้องกลอกตาไปมาจนแทบไหลมารวมกัน


ถ้าเป็นปกติแม่คงจะถลึงตาหรือมองค้อนใส่ผมแล้ว แต่วันนี้ไม่ปกติเพราะมีไอ้เอสอยู่ที่นี่ด้วย คือต้องบอกก่อนว่าแม่ผมอะเป็นแม่บ้าน เลยมีเวลาดูละครหรือรายการนู่นนี่ที่เกี่ยวกับดารา เพราะงั้นแม่ผมก็เลยรู้จักไอ้เอส เห็นว่าช่องอัดโปรโมทเพราะละครกำลังจะออนแอร์แล้ว แถมแม่ยังปลื้มมันมาก ยิ่งเจอตัวจริงก็ยิ่งปลื้มหนักจนถึงขั้นอยากได้เป็นลูกเขย ผมนี่เบรกแทบไม่ทันเลย ก็ยัยเอพึ่งจะอายุ 14 เองนี่นา


“เอสหิวมั้ยลูก อยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ยจ๊ะ เดี๋ยวแม่จะทำสุดฝีมือเลย” เนี่ย กับลูกอย่างผมไม่มีหรอกที่จะเสียงหวานกับพูดจ๊ะจ๋าแบบนี้


“ผมกินอะไรก็ได้ครับคุณน้า”


“ว้าย! น้าเน้ออะไร เรียกแม่สิลูก”


“ครับ คุณแม่” เออ ไอ้นี่ก็ว่าง่ายจังวะ แถมยังยิ้มรับอย่างยินดีอีกต่างหาก กูว่าเดี๋ยวนี้มึงชักจะยิ้มบ่อยเกินไปแล้วนะ ทีเมื่อก่อนเห็นเอาแต่ทำหน้าตายไร้อารมณ์อย่างกับรูปปั้น


“น่ารักจริงๆ เลยลูก น่ารักจนแม่อยากจะได้มาเป็นลูกเขยเลยเนี่ย”


“งั้นผมขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” เฮ้ยๆๆ คือมึงไม่ต้องเออออตามแม่กูทุกเรื่องก็ได้สาด


“ว้าย งั้นแม่...”


“พอก่อนมั้ยครับคุณนาย” ผมรีบเบรกก่อนที่เรื่องมันจะไปกันใหญ่ “ถามผมยังว่าอยากได้มันเป็นน้องเขยมั้ย ไหนจะยัยเออีก ลืมไปแล้วหรอแม่ว่ามันพึ่งจะม.2 เอง”


“ก็แหม...แม่อยากจองเอสไว้ก่อนนี่นา”


“พอๆๆ ลงไปทำกับข้าวเลยครับคุณนาย” ผมพูดจบก็จับที่ไหล่แล้วดันแม่ออกไปจากห้อง ซึ่งแม่ก็ทำเป็นอิดออด แต่พอผมบอกว่าไอ้เอสมันน่าจะหิวมากเพราะไม่ได้กินอะไรมาเป็นวันๆ เท่านั้นแหละคุณนายแม่ก็รีบไปเข้าครัวเลย


“ยิ้มอะไรของมึง” พอกลับเข้ามาในห้องผมก็เห็นไอ้เอสกำลังอมยิ้ม มันดูเปลี่ยนไปจริงๆ นะเนี่ย


“เวลามึงอยู่กับแม่น่ารักดี กูอยากมีแม่แบบนี้บ้าง”


“เดี๋ยวๆ อย่าบอกนะว่ามึงคิดจะมาเป็นเขยบ้านนี้จริงๆ กูไม่ยอมยกน้องสาวให้มึงหรอกนะเว่ย!” น้องใครใครก็หวงนะครับผม


“สบายใจเถอะ กูไม่คิดจะจีบน้องสาวมึงหรอก”


“แล้วไป” แต่ถ้ามันคิดจะจีบน้องผมเมื่อไหร่ ผมจะแจ้งตำรวจจับมันข้อหาพรากผู้เยาว์แม่ง “ว่าแต่งานไม่มีทำรึไงถึงได้มาที่นี่ได้”


“มี แต่ทำที่จำเป็นหมดแล้ว ต้นสังกัดเลยให้ลาได้ 7 วัน” แสดงว่าที่ผ่านมามันคงหักโหมจนแทบไม่ได้นอน พอมาถึงเลยนอนเหมือนคนตายอดตายอยาก นี่ผมควรจะด่าหรือว่าสงสารมันดี?


“แล้วมึงมาที่นี่ทำไม”


“คิดว่ามาทำไมล่ะ”


“มาง้อกู?” จริงๆ ผมก็พอเดาได้แหละ แต่ผมแค่อยากได้คำยืนยันจากปากของมันกันหน้าแหก


“อืม ดีกันนะ”


ฉิบหาย...เป็นเหี้ยอะไรเนี่ยกู อยู่ดีๆ ก็เกิดใจสั่นขึ้นมาแค่เพราะไอ้เอสพูดว่า ‘ดีกันนะ’ ซะงั้น ส่วนถ้าถามว่ายังโกรธมันมั้ย ผมตอบได้เลยว่าหายตั้งแต่ที่เห็นมันอยู่หน้าประตูบ้านแล้ว


เธอรู้ไหมว่าทั้งหัวใจ


ยอมกลับไปกลายเป็นของเธอ


ตั้งแต่เจอ...เธอยืนหน้าประตู ~



เวร! ไหงเพลง ‘ยอมตั้งแต่หน้าประตู’ ของวง 001 ก็ขึ้นมาในหัวได้วะ โมเมนต์ในเพลงนั่นมันผัวง้อเมีย แต่นี่มันเพื่อนง้อเพื่อน ไม่ได้ใกล้เคียงหรือเกี่ยวกันเลยสักนิด


สติโว้ยสติ! คิดฟุ้งซ่านอะไรของมึงวะไอ้ซี!


2BC


 :mc4: สวัสดีค่า Soulmate ตอนที่ 14 ก็จบไปแล้ว ก็หวังว่าจะฟินและอมยิ้มกันนะคะ ว่าแต่มีใครเกิดทันเพลงนี้กันบ้าง  :hao3: ถ้าทันนี่แสดงว่าเราเกิดยุคเดียวกันค่ะ 55555  :laugh:
จริงๆตอนนี้เราตั้งใจว่าจะลงตั้งแต่เมื่อวาน แต่รู้สึกว่าสั้นไปหน่อย ตอนนั้นเขียนจบที่เอสบรรยาย เลยตัดสินใจเขียนบทของซีที่จะลงในตอนหน้ามาใส่ที่ตอนนี้ด้วย ได้อ่านจากมุมมองของทั้ง2หนุ่มก็ว่าจะจุใจกันนะคะ  o18
ส่วนตอนหน้ามาลุ้นกันค่ะว่าความสัมพันธ์ของเอสกับซีจะพัฒนาขึ้นมั้ย ดูท่าทางเอสตั้งใจจะจีบซีจริงๆเข้าแล้ว ยังไงก็มาเอาใจช่วยทั้งคู่กันด้วยน้าาา  :m1:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่14# ยอมตั้งแต่หน้าประตู [9.11.62] Page.3
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 09-11-2019 20:57:01
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่14# ยอมตั้งแต่หน้าประตู [9.11.62] Page.3
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 09-11-2019 21:50:26
 :กอด1: :pig4: :กอด1:


 o13
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่14# ยอมตั้งแต่หน้าประตู [9.11.62] Page.3
เริ่มหัวข้อโดย: Micky_MN ที่ 10-11-2019 02:18:04
เอสเขาจีบหนูลูก บอกชอบซีเลย
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่14# ยอมตั้งแต่หน้าประตู [9.11.62] Page.3
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 10-11-2019 07:47:03
คุณแม่ยอมรับเป็นลูกเขยแล้ว เหลือแต่ตัวซี เมื่อไหร่จะยอมเป็นแฟนน้อ
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่14# ยอมตั้งแต่หน้าประตู [9.11.62] Page.3
เริ่มหัวข้อโดย: Y-Darkness ที่ 12-11-2019 05:47:39
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่15# ถ้าชอบ...ก็บอกชอบตรงๆไปเลย [13.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Sameejaejung ที่ 13-11-2019 21:29:02
Soulmate วิญญาณป่วนรัก


Part 15# Z ถ้าชอบ...ก็บอกชอบตรงๆไปเลย


“คิดว่ากูจะยอมยกโทษให้มึงง่ายๆ รึไง”


หลังจากที่ตั้งสติได้ผมก็กอดอกทำทีเป็นว่ายังโกรธไอ้เอสอยู่ ถึงแม้ในความเป็นจริงจะหายแล้วก็เถอะ แต่ถ้ายอมยกโทษให้ง่ายๆ เกิดมันได้ใจแล้วครั้งหน้างี่เง่าใส่ผมใหม่ก็แย่น่ะสิ


“แล้วต้องทำยังไงมึงถึงจะหายโกรธ”


บอกตามตรงอันนี้ผมไม่ได้คิด คือแค่ไอ้เอสตามมาง้อถึงนี่มันก็เกินคำว่าขอโทษแล้ว แต่ก็อย่างที่บอก ผมจะแกล้งทำเป็นโกรธต่อก็เลยทำหน้านิ่ง แต่ไม่ได้จะสั่งให้มันทำอะไรหรอก แค่จะให้มันทบทวนความผิดที่ทำกับผมเท่านั้นแหละ


“รู้ตัวใช่มั้ยว่าทำผิดเรื่องอะไร”


“อืม” ไอ้เอสพยักหน้า


“บอกความผิดตัวเองมา”


“กูหึงมากไปหน่อย”


“ใช่ มึงไม่ควรจะหึงเบอร์นี้ มึงควรจะรู้จักเก็บ...............................อะไรนะ! นี่มึงหึงงั้นหรอ!” พระเจ้าจอร์ช! นี่ผมไม่ได้ฟังผิดไปใช่มั้ย!


“ใช่ กูหึง” แล้วไอ้เอสก็หยุดพูดไปแป๊บหนึ่ง มันทำหน้าประมาณว่า ‘เอาวะ พูดก็พูด’ ราวกับว่าถ้าไม่พูดตอนนี้ก็ไม่รู้จะพูดตอนไหนแล้ว


“กูไม่ชอบที่มึงสนิทสนมกับแพร ไม่ชอบที่มึงยิ้มให้แพร แตะตัวหรือเทคแคร์กูก็ไม่ชอบ สรุปคือกูไม่ชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่มึงทำกับแพร แต่กูอยากให้มึงทำแบบนี้กับ...”


“เดี๋ยววววววววว! หยุด! หยุดก่อน!” ผมรีบเบรกไอ้เอสก่อนที่มันจะพูดอะไรมากไปกว่านี้ เพราะแค่ที่ฟังผมก็แทบจะยืนไม่อยู่แล้ว


“นี่มึงชอบ...ขนาดนี้เลยหรอวะ”


“มากกว่าที่มึงคิด” โอ้มายก็อด! คำตอบนั้นทำเอาผมหมดแรงจนถึงกับต้องลงไปนั่งที่เก้าอี้


“ตั้งแต่เมื่อไหร่”


“ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็ชอบไปแล้ว” ผมได้แต่นิ่งงันกับคำสารภาพนั้น สาบานจริงๆ ว่าผมไม่รู้มาก่อนเลย ไม่เคยฉุกคิดหรือเอะใจด้วย ทั้งที่ไอ้เอสก็แสดงออกชัดเจนขนาดนั้น


“กูขอโทษนะที่ไม่ทันสังเกต กูนึกว่ามึงจะแค่แกล้งกูเล่น ไม่นึกว่ามึงจะคิดเกินกว่านั้น กู...กูไม่รู้จริงๆ ว่ามึงชอบแพร”


“อะไรนะ!” จู่ๆ ไอ้เอสก็ร้องลั่นด้วยความตกใจ เฮ้ออออ มันคงจะไม่คิดว่าผมจะโง่ได้ถึงขนาดนี้ ที่มองความรู้สึกของมันที่มีต่อแพรไม่ออก


“มึงคงจะอยากด่ากูแบบฉิบหายวายป่วงเลยใช่มั้ย ไม่...มึงไม่ต้องพูด กูรับรู้แล้ว ด่าเยอะกูสำนึกผิดไม่ทัน”


“เดี๋ยวซี มึงฟังกู...”


“บอกว่าไม่ต้องพูดแล้วไง กูสำนึกผิดแล้ว มึงใจร่มๆ แล้วไปอาบน้ำให้หัวเย็นซะนะ ระหว่างนี้กูจะลงไปช่วยแม่ทำกับข้าวให้มึงกินเพื่อชดใช้ความผิด แล้วก็จะไม่โกรธที่วันก่อนมึงงี่เง่าใส่กูด้วย โอเค้?” ผมรีบดึงไอ้เอสให้ลุกขึ้นจากเตียงแล้วดันเข้าไปในห้องน้ำ จากนั้นก็รีบเผ่นแน่บออกมาโดยไม่สนใจว่ามันจะโวยวายอะไร


เฮ้อออออ ก็คงจะด่าผมเรื่องแพรนั่นแหละ แต่ผมก็ยอมรับผิดแล้ว สำนึกผิดแล้วด้วยมันก็ควรจะให้อภัยผมสิ อย่างผมยังยอมเลย ขนาดเจอมันงี่เง่าใส่เบอร์นั้น


แต่จะว่าไปมันก็พึ่งเจอกับแพรแท้ๆ ทำไมถึงได้ดูชอบเอามากๆ ได้หว่า แต่อืม...อาจจะเป็นรักแรกพบก็ได้มั้งใครจะไปรู้ ไว้เดี๋ยวผมจะลองแย็บๆ ถามดูก็แล้วกัน


“มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับคุณนาย” เมื่อเดินลงไปถึงด้านล่างผมก็สลัดเรื่องในหัวออกไป ตอนนี้ขอโฟกัสเรื่องการช่วยคุณนายแม่ทำอาหารเช้าก่อนก็แล้วกัน


“มีเพียบ วันนี้แม่จะแสดงฝีมือชุดใหญ่ กำลังต้องการลูกมือพอดี”


“เวอร์วังตลอดดดด” แต่ถึงจะบ่นผมก็ช่วยแม่ทำแหละ คือต้องชดใช้ความผิดไง แม้งานในครัวจะไม่ใช่งานถนัดผมเท่าไหร่ แต่ผมก็พอทำได้บ้างเลยแบ่งเบาภาระแม่ได้เยอะอยู่


ครึ่งชั่วโมงอาหารทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย ที่รวดเร็วก็เพราะก่อนที่ผมจะลงมาแม่ได้ทำไว้เกือบครึ่งแล้ว แต่ประเด็นคือ...กินกันแค่ 5 คนไหงคุณนายแม่ทำยังกะกินทั้งหมู่บ้านล่ะปัดโธ่!


“ไม่คิดว่ามันเยอะไปหน่อยหรอครับแม่” จะเอาใจไอ้เอสอะไรขนาดนั้น ไม่ค่อยเห่อดาราเล้ยแม่ผม


“วันพิเศษก็ต้องจัดเต็มหน่อยสิ ว่าแต่เอสจะอยู่ที่นี่กี่วันลูก”


“ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่เห็นมันบอกว่าได้หยุดงาน 7 วัน”


“งั้นก็ชวนอยู่ที่นี่จนหมดวันหยุดเลยสิ”


“ง่ะ จะชวนทำไมแม่ เปลืองข้าวเปลืองน้ำบ้านเราเปล่าๆ”


“ทำเป็นบ่น คิดว่าแม่ไม่รู้หรอว่าลูกก็อยากให้เอสอยู่ต่อ” ผมไม่ตอบแล้วเสหน้าไปทางอื่น “พวกลูกนี่ก็สนิทกันดีนะ”


“โหย เอาอะไรมาสนิทล่ะแม่ มีแต่ทะเลาะกันล่ะไม่ว่า”


“อ๋อ งั้นที่จู่ๆ ลูกกลับบ้านก็เพราะงอนกัน เอสก็เลยตามมาง้อ?” โอ้โห พูดยังกะเห็นเอง เดาได้เก่งเกิ้นคุณนายแม่ แต่ผมว่าการที่แม่ใช้คำว่างอนมันก็ดูยังไงๆ อยู่นะ ต้องใช้คำว่าโกรธหรือทะเลาะกันสิถึงจะถูก


“เดี๋ยวผมขึ้นไปดูไอ้เอสหน่อยดีกว่า ไม่รู้ป่านนี้ตกห้องน้ำตายไปแล้วรึยัง” จริงๆ ก็อยากแย้งที่แม่ใช้คำว่างอนอยู่นะ แต่ผมขี้เกียจมากความ พูดมากเดี๋ยวหาว่าร้อนตัว เลยหาเรื่องหนีออกจากตรงนี้แม่งเลย ฮ่าๆๆ


แต่เอาจริงๆ ผมก็จะขึ้นมาตามไอ้เอสลงมากินข้าวด้วยแหละ ป่านนี้น่าจะอาบน้ำเสร็จแล้ว ถ้ายังไม่เสร็จอีกตัวคงเปื่อยไม่ก็ไหลลงท่อไปกับน้ำ ส่วนเสื้อผ้ากับข้าวของของมัน ผมเอาลงจากรถมาไว้ให้ในห้องเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อวานแล้ว


“ยืนทำไรตรงนั้นอะ” ผมถามไอ้เอสเมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องแล้วเห็นมันยืนอยู่ที่หน้าต่าง


“กำลังใช้ความคิด”


“หืม? มีเรื่องกลุ้มใจหรอมึง ปรึกษากูได้นะ” ผมเดินเข้าไปยืนข้างๆ มันเลยหันหน้ามาหาผม


“กูพยายามจีบคนคนนึง แต่คนคนนั้นก็ดันไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าคนที่กูชอบโง่เกินไป หรือเป็นเพราะกูจีบใครไม่เป็นกันแน่”


พอได้ยินแบบนี้ แว้บหนึ่งผมก็รู้สึกจี๊ดๆ ในใจอย่างประหลาด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้กำลังตกใจถึงไม่เป็นรึยังไง แต่คนที่มันพยายามจีบคือแพรแน่ๆ หรือว่าผมจะชอบแพรจริงๆ วะเลยรู้สึกแบบนี้?


แต่เอ...คิดดูดีๆ ผมก็คิดว่าไม่น่าใช่นะ ผมแค่รู้สึกถูกใจแต่ไม่ได้ชอบแพร แต่เอาเถอะ ช่างมันแล้วกัน ยิ่งคิดก็ยิ่งมีแต่เรื่องที่ไม่เข้าใจ เพราะงั้นผมเลยพยายามไม่สนใจแล้วแสร้งหัวเราะออกมาหน่อยๆ จากนั้นก็ตบที่ไหล่ของไอ้เอส 2 – 3 ที


“มึงนี่มันกากจริงๆ แต่ระดับพระเอกอย่างมึงจะจีบทำไมให้เสียเวลาวะ ถ้าชอบก็บอกตรงๆ ไปเลยดิ”


“เอางั้น?”


“เออ เชื่อกู”


“ได้ กูจะทำตามที่มึงบอก”


“ดี งั้นลงไปข้างล่างกันเถอะ กับข้าวเสร็จหมดแล้ว” ไอ้เอสพยักหน้า ผมเลยเดินนำมันลงมา


พอเห็นหน้าพ่อ แม่ และน้องสาวของผม ไอ้เอสก็แนะนำตัวอย่างเป็นทางการอีกที ส่วนผมก็แนะนำครอบครัวของผมให้รู้จักมันบ้าง จากนั้นก็นั่งกินข้าวด้วยกันอย่างชื่นมื่น


เอ...ผมว่าไอ้ฟีลแบบนี้มันดูทะแม่งๆ ยังไงก็ไม่รู้ เหมือนไม่ใช่ฟีลพาเพื่อนมารู้จักครอบครัว แต่เหมือนพาแฟนมาแนะนำมากกว่า


หืม? แฟน?


พรวด!


“ว้าย! อะไรเนี่ยซี!” คุณนายแม่ร้องลั่น ก็แน่ล่ะ ซดต้มยำอยู่ดีๆ แต่ผมก็พ่นมันออกมาเพราะสำลักซะงั้น


“เป็นอะไรรึเปล่า” ไอ้เอสที่นั่งอยู่ข้างๆ ถามอย่างห่วงใย แถมยังหยิบทิชชู่มาซับที่ปากของผมให้อีกต่างหาก


“แค่กๆ ปะ...เปล่า...” ตอนแรกผมก็ปล่อยให้มันซับดีๆ อยู่หรอก แต่พอพ่อ แม่ และยัยเอมองมาทางนี้ตาไม่กะพริบ เท่านั้นแหละผมก็รีบดันมือของไอ้เอสออกไปเลย


“พอแล้ว ไม่เลอะแล้ว” ไอ้เอสพยักหน้า ส่วนผมที่ถึงแม้จะยังรู้สึกเขินๆ แปลกๆ ก็แสร้งกินข้าวต่อแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น


“กินข้าวเลอะเทอะอย่างกับเด็กไปได้นะ” แม่หันมาทำตาดุผม ก่อนจะหันไปทำตาหวานใส่ไอ้เอส “อาหารชาววัง (สามหมอ) ถูกปากมั้ยลูก”


“อร่อยมากๆ ครับ” แล้วทั้ง 2 คนก็หัวเราะออกมาเบาๆ นี่ผมชักสงสัยแล้วนะว่าใครกันแน่ที่เป็นลูกแม่ เฮ้อออออ


“เห็นแม่บอกว่าเราเป็นดารา ทำไมพ่อไม่ค่อยคุ้นหน้าเราเลยล่ะ” พ่อผมเรียกแทนตัวเองว่าพ่อแบบนี้ แสดงว่าน่าจะเอ็นดูถูกชะตากับไอ้เอสพอสมควรเลยนะเนี่ย


“ละครที่ผมแสดงยังไม่ได้ออนแอร์น่ะครับ”


“พี่เอสเป็นพระเอกด้วยค่ะ!” ไม่มีใครถามแต่ยัยเอก็ภูมิใจนำเสนอสุดๆ


“แล้วละครของเอสจะได้ออนแอร์ตอนไหนล่ะลูก” อันนี้แม่ผมถาม


“ต่อจากละครล็อตนี้จบครับ จริงๆ ละครยังไม่ปิดกล้อง แต่เลื่อนกำหนดให้เร็วจากเดิม เพราะเรื่องที่จะออนแอร์ก่อนนางเอกมีข่าวไม่ค่อยดี”
“อ๋อ ยัยคนนั้นใช่มั้ย ที่ไปเป็นเมียน้อยของเสี่ยไฮโซ”


“ครับ” ไอ้เอสพยักหน้า เรื่องซุบซิบดารานี่รู้ดีนักล่ะคุณนายแม่ บางทีนะแวะตลาดได้เป็นชั่วโมงๆ แต่ไม่ใช่ไปเลือกซื้อของหรอก ไปนั่งเมาท์กับแม่ค้า ผมอยากจะบ้าตาย


 “เออมึง เห็นบอกละครยังไม่ปิดกล้องใช่มะ เลื่อนกำหนดออนแอร์ให้เร็วขึ้นด้วย แล้วงี้ที่กองจะไม่ต้องเร่งถ่ายตายห่าเลยหรอวะ” ผมก็พึ่งนึกขึ้นได้ ความจริงตอนนี้ไอ้เอสควรจะอยู่ที่กองถ่ายไม่ใช่ที่บ้านผมนะ


“ก็ต้องเร่งสิ”


“เอ๊า ถ้างั้นแล้วมึงจะขอหยุดมาหากูทำไม”


“มาง้อมึงไง”


“ไอ้สัสไม่ต้องมาหยอดกู ไปพูดกับแพรนู่น กูบอกแล้วนี่ว่าให้ไปพูดกับคนที่ชอบตรงๆ”


“กูก็เลยพูดกับมึงนี่ไง”


“...”


อ้าวอึ้ง อึ้งแดกกันหมดทั้งโต๊ะ ก่อนนี้ที่ไอ้เอสเช็ดปากให้ผมทุกคนก็มองตาไม่กะพริบใช่มั้ย แต่ปัจจุบันคือตาเหลือกไปแล้วครัช!


“มะ...แม่ หนูอยากไปเล่นบ้านไอ้นาว ไปส่งหนูหน่อยนะคะ” เป็นยัยเอที่ดึงสติกลับมาได้ก่อน แต่ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ถึงอยากไปเล่นบ้านเพื่อนเอาตอนนี้ซะได้


“ได้ๆ” เอ๊า คุณนายแม่ก็ไม่คิดจะห้าม


“เดี๋ยวพ่อไปส่งด้วยคน” โวะ ขนาดพ่อก็เอาด้วย แล้วอะไรคือพร้อมใจลุกออกไปกันหมด ทิ้งให้ผมอยู่กับไอ้เอสแค่ 2 คน ฮัลโหลลลลลลล


“เพราะมึงอะ พูดเหี้ยอะไรเนี่ย” อยากเอาช้อนที่อยู่ในมือเขกหัวมันฉิบหาย


“กูก็ทำตามที่มึงบอกไง”


“กูบอกว่าอะไร”


“ให้บอกชอบตรงๆ”


“ก็นั่นไง แล้วมึงจะมาบอกกูเพื่อ!”


แต่หืม? เดี๋ยวนะ...ผมแนะนำให้ไอ้เอสไปบอกคนที่ชอบ มันก็ตกลงจะทำตาม แล้วหลังจากนั้นมันก็มาบอกกับผม ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า...


“ทำหน้าแบบนี้คือเข้าใจแล้วสินะ” ถามแบบนี้จะให้กูตอบยังไงล่ะสัส


“กู...เอ่อ...กู...กูว่ากูไปส่งยัยเอที่บ้านเพื่อนด้วยคนดีกว่า!” ในเมื่อตอบไม่ได้ก็หาเรื่องชิ่งหนีแม่ง แต่ไอ้เอสก็ดันมือไวเสือกคว้าที่คอเสื้อด้านหลังของผมเอาไว้ได้ก่อน


“ป่านนี้น้องมึงคงถึงบ้านเพื่อนแล้วมั้ง”


“มึงก็พูดเกินไป ตอนนี้อาจจะไปถึงแค่ปากซอยหรือเซเว่นก็ได้”


“เลิกเฉไฉได้แล้ว” พอพูดจบ จากมือที่กำลังกำคอเสื้อด้านหลังของผมอยู่ ไอ้เอสก็เปลี่ยนเป็นสวมกอดที่รอบลำคอของผมแทน


 “แต่มึงชอบแพรไม่ใช่หรอวะ ถ้าจะล้อเล่นมึงพอแค่นี้...”


“กูไม่ได้ชอบแพร” ไอ้เอสพูดขัดขึ้นทั้งที่ผมยังพูดไม่จบประโยค ก่อนที่มันจะกระชับวงแขนที่กำลังกอดผมให้แนบแน่นยิ่งขึ้น


“กูไม่รู้นะว่ามึงคิดได้ยังไงว่าวันนั้นกูหึงแพร กูพึ่งเจอแพรวันนั้นเป็นวันแรกแล้วกูจะหึงได้ยังไง ที่สำคัญกูยังจำหน้าแพรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ วันนั้นกูมองแค่มึง สนใจแค่มึง แน่นอนว่าที่กูบอกว่าหึงก็คือหึงมึง เพราะกูชอบมึง ชอบมึงคนเดียว ทีนี้มึงเข้าใจรึยัง”


2BC


 :L2: สวัสดีค่า Soulmate ตอนที่ 15 ก็จบไปแล้ว ในที่สุดเอสก็บอกความในใจกับซีแล้วค่า! ฮูเร่! ขอเสียงแม่ยกกันหน่อยยยยยย  :mc4:

เชื่อว่าหลายๆคนคงลุ้นกันจนเหนื่อย คงจะคิดว่ายังไงตอนนี้ก็คงต้องเซ็งกันต่อไปใช่มั้ย  :hao3: แต่ไม่จ้า อย่าประมาทเอสสิทุกคน แล้วก็คำสารภาพรักนั่นน่ะ น่าจะเป็นประโยคที่ยาวที่สุดที่เคยพูดในชีวิตด้วยเลยมั้ง 55555  :laugh:

ยังไงตอนหน้าก็มาลุ้นกันนะคะว่าซีจะเฉไฉต่อไปได้มั้ย แล้วซีจะคิดยังไงกับเอสกันแน่ เรื่องนี้ได้ดำเนินมาเกินครึ่งสักหน่อยแล้ว ยังไงก็ช่วยติดตามกันต่อไปอย่าทิ้งเค้าไว้กลางทางน้าา  :impress: ช่วงนี้ค่อนข้างยุ่งนิดนึงเลยมาต่อช้า แต่ตอนหน้าจะพยายายามมาให้เร็วขึ้นนะคะ รักทุกคนน้า ไว้เจอกันตอนหน้าค่ะ บ๊ายบายยย  :bye2:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่15# ถ้าชอบ...ก็บอกชอบตรงๆไปเลย [13.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 13-11-2019 23:03:28
 :laugh:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่15# ถ้าชอบ...ก็บอกชอบตรงๆไปเลย [13.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 14-11-2019 01:07:20
 :pig4: :pig4: :pig4:

คือซีจะอึนไปไหนเนี่ย
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่15# ถ้าชอบ...ก็บอกชอบตรงๆไปเลย [13.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Y-Darkness ที่ 14-11-2019 05:03:56
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่15# ถ้าชอบ...ก็บอกชอบตรงๆไปเลย [13.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 14-11-2019 13:09:07
วงแตก 5555
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่15# ถ้าชอบ...ก็บอกชอบตรงๆไปเลย [13.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 14-11-2019 23:19:57
เล่นจีบกันโต้งๆ ตอนกินข้าว อย่างงี้กับข้าวไม่เป็นหมันเหรอเนี่ย แม่อุตส่าห์ทำตั้งเยอะ 55555
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่15# ถ้าชอบ...ก็บอกชอบตรงๆไปเลย [13.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Micky_MN ที่ 15-11-2019 20:14:04
เอสน่ารัก บอกอะไรก็ทำ ฟินนนนนน
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่16# มึงก็ชอบกูเหมือนกันใช่มั้ย? [17.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Sameejaejung ที่ 17-11-2019 16:56:58
Soulmate วิญญาณป่วนรัก


Part 16# Z มึงก็ชอบกูเหมือนกันใช่มั้ย?


ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก


ทำไงดี ตอนนี้หัวใจของผมมันเต้นแรงสุดๆ จนแทบจะระเบิดตู้มเป็นโกโก้ครันช์อยู่แล้ว!


ไอ้เอสมันสารภาพรักกับผม...มันบอกว่าชอบผม! โอ้มายก็อด! ผมก็นึกมาตลอดว่ามันเห็นผมเป็นทาส อย่างมากก็แค่เพื่อน แต่นี่...แต่นี่...มันบอกว่าชอบผมเลยนะ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อเกินกว่าที่ผมจะกล้าคิด ซึ่งการที่มันเกิดขึ้นจริงเลยทำให้ผมถึงกับทำอะไรไม่ถูก


“อย่าเอาแต่นิ่งสิ พูดอะไรบ้าง” ไอ้เอสที่ยังคงกอดผมเอาไว้อยู่พูดขึ้น ริมฝีปากของมันที่อยู่ใกล้ๆ ใบหูยิ่งทำให้หัวใจของผมเต้นแรงมากขึ้นไปอีก


“ก็กูไม่รู้จะพูดอะไรนี่”


“เห็นปกติมึงออกจะพูดมาก”


“แล้วนี่มันปกติที่ไหนเล่า” พอผมพูดแบบนี้ ไอ้เอสเลยจับตัวผมให้หมุนเข้าหามัน


“กูต้องการคำตอบ”


“คำตอบอะไร” ผมแสร้งทำเป็นไม่รู้พลางก้มหน้างุด ส่วนเสียงพูดก็อ้อมแอ้มอย่างที่ไม่เคยเป็น


“มึงคิดยังไงกับกู” นี่มึงไม่คิดจะอ้อมให้กูพักหายใจหายคอบ้างเลยหรอวะ รู้งี้แม่งไม่น่าไปแนะนำให้มันบอกชอบตรงๆ เล้ย รู้อะไรไม่เท่ารู้งี้จริงๆ สิน่า


 “กูขอเวลาคิดหน่อยได้มั้ย”


“นานแค่ไหน” ไอ้นี่ทำไมมันดูรีบร้อนจังวะ


“กูไม่รู้” อันนี้ผมตอบจริงๆ ไม่ได้กวนเลยนะ แต่มันอะตั้งใจกวนผมแน่ๆ


“งั้นกูไม่ให้”


“เอ๊าไอ้...”


“ฟังกูก่อนสิ กูมีวิธีพิสูจน์นะว่ามึงคิดยังไงกับกู”


“ยังไง”


“มึงแค่อยู่นิ่งๆ แล้วตอบคำถามกูแค่นั้น” ฟังดูเหมือนจะง่าย แต่ดูจากสีหน้าของไอ้เอสผมกลับรู้สึกหวั่นใจหน่อยๆ ขอให้ผมแค่คิดมากไปเองเถอะ


“อืม” ซึ่งพอผมพยักหน้า มันก็เริ่มถามคำถามแรกทันที


“รู้สึกรังเกียจมั้ยที่กูทำแบบนี้” แต่ประเด็นคือไม่ใช่แค่ถามนี่สิ มันกลับดึงตัวผมเข้าไปกอด แถมยังกอดอย่างแนบแน่นจนผมแทบจะจมลงไปในอกของมันด้วย


“ไม่” ผมตอบไปตามความจริง ไอ้เอสเลยคลายอ้อมกอดออกมาแล้วอมยิ้มหน่อยๆ


“แบบนี้ล่ะ” คราวนี้มันก้มหน้าลงมาจุ๊บที่หน้าผากของผม แว้บแรกก็รู้สึกตกใจอยู่หรอก แต่ถ้าถามว่ารังเกียจมั้ย...


“ไม่”


 “แล้วแบบนี้ล่ะ” ถัดจากจุ๊บเหม่งไอ้เอสมันก็เปลี่ยนมาจุ๊บที่แก้ม ผมว่ามันเริ่มเยอะละ อยากจะด่ามันฉิบหาย แต่ประเด็นคือเสือกเขินด้วยนี่แหละ


“ไม่” พอได้ยินแบบนี้ จากที่แค่อมยิ้มก็กลายเป็นยิ้มจนแก้มแทบจะแตกแล้วมัน


“ถ้าแบบนี้ล่ะ” แล้วครั้งนี้มันก็ก้มหน้าลงมา


ทายซิมันจะทำอะไร?


ใช่แล้ว...จูบผมไงล่ะ! แต่ว่าผมรู้ทันหรอกนะเลยยกมือขึ้นมาปิดปากของมันเอาไว้ได้ก่อน ไม่ได้แดกกูหรอกมึง


“พอแค่นั้นแหละ เห็นกูยอมเข้าหน่อยนี่เอาใหญ่เลยนะสัส”


“มึงจะได้รู้ไงว่าคิดยังไงกับกูกันแน่”


“ไม่เห็นมันจะช่วยเลย”


“ไม่ลองก็ไม่รู้” แล้วไอ้เอสก็จับมือของผมออกไป จากนั้นก็ประคองที่ท้ายทอยของผมเอาไว้แล้วก้มหน้าลงมาจูบผมทันที


!!!


ผมเบิกตากว้าง สมองสั่งการว่าให้ดิ้นและต่อต้าน แต่ร่างกายมันกลับไม่ฟัง เอาแต่ยืนนิ่งให้ไอ้เอสจูบอยู่แบบนั้นจนกระทั่งมันถอนจูบออกมา


ดวงตาของเราต่างมองกันและกัน แต่ทั้งที่ผมคิดว่ามันจะถามความรู้สึกของผมเหมือนก่อนหน้านี้ คราวนี้กลับไม่เป็นอย่างนั้น เพราะมันก้มหน้าลงมาจูบผมซ้ำ แถมยังไม่ใช่แค่ปากแตะปากเหมือนตอนแรกด้วย


!!!


คราวนี้ผมมีสติดีเลยดันที่แผ่นอกของมันออกไป แต่ก็ไม่เป็นผล แถมมันยังโอบที่ด้านหลังแล้วดันให้ผมเข้ามาแนบชิดติดตัวมันมากขึ้นอีกต่างหาก ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน การขัดขืน (เพียงน้อยนิด) ก็กลายเป็นยินยอมให้มันจูบแต่โดยดี


ก็ไม่รู้ว่าตอนไหนที่ผมเริ่มจูบตอบไอ้เอสไปด้วย แต่รู้ตัวอีกทีริมฝีปากของพวกเราก็กำลังดูดดุนและขบเม้มซึ่งกันและกัน ก่อนที่หลังจากนั้นปลายลิ้นของเราทั้งคู่ก็ตวัดเกี่ยวพันกันจนแทบจะรวมเป็นหนึ่ง


จูบนี้ดูเหมือนว่าจะรุนแรงและเต็มไปด้วยความใคร่แบบที่ผ่านๆ มา แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ ถึงแม้จะดูดดื่มแต่ก็มีความหวานและความรู้สึกที่ลึกซึ้งอยู่ในนั้นด้วย เล่นเอาผมเคลิบเคลิ้มราวกับว่ากำลังล่องลอย ส่วนหัวใจก็สั่นไหวจนใกล้จะหลอมละลาย


“มึงก็ชอบกูเหมือนกันใช่มั้ยซี” ไอ้เอสถามผมทันทีที่ถอนจูบออกมา น้ำเสียงและสีหน้าของมันเซ็กซี่เป็นบ้า ทำเอาใจของผมที่มันกำลังสั่นอยู่แล้วยิ่งสั่นมากขึ้นไปอีก


“กู...” สารภาพจากใจ ตอนนี้สมองของผมมันขาวโพลนจนคิดอะไรไม่ออกจริงๆ ขนาดสิ่งที่มันถามผมยังงงๆ อยู่เลย ซึ่งขณะที่ผมกำลังจะพยักหน้าแทนคำตอบ เสียงสวรรค์ก็ดังขึ้นมาช่วยชีวิตพอดี


Rrrrrrrr Rrrrrrrr


เสียงนั้นทำให้ผมกลับมามีสติเลยผลักที่อกของไอ้เอสออกไป ต้องขอบคุณไอ้เก่งจริงๆ ที่โทรมาได้จังหวะมาก แต่สำหรับไอ้เอสคงอยากจะฆ่าไอ้เก่งให้ตายซะเดี๋ยวนี้ล่ะมั้ง ฮ่าๆๆ


 “กูขอรับโทรศัพท์ก่อน...ฮัลโหลเมิงงงงง” แล้วผมก็เดินออกไปคุยกับไอ้เก่งที่นอกบ้านเลย โดยทำเป็นมองไม่เห็นไอ้เอสที่กำลังไม่สบอารมณ์สุดๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ผิดกับผมที่กำลังอมยิ้มและหัวเราะหน่อยๆ อย่างอารมณ์ดี


ส่วนที่ไอ้เก่งโทรมา มันก็ถามเรื่องไอ้เอสนั่นแหละว่าเป็นยังไงบ้าง เพราะเมื่อวานมันก็โทรมาผมเลยเล่าอาการของไอ้เอสให้ฟัง พอรู้ว่าฟื้นแล้วมันก็โล่งอก ต่อจากนั้นก็แย็บๆ ถามเรื่องความสัมพันธ์ของพวกผม แต่คิดเรอะว่าผมจะบอก อ้างว่าสัญญาณไม่ดีแล้วตัดสายทิ้งแม่งเลย


“คุยกับเก่งเสร็จแล้วหรอ” ไอ้เอสที่ก่อนหน้านี้ยืนพิงประตูอยู่เดินมาหาผม


“เห็นกูวางสายก็น่าจะรู้อยู่แล้วนี่ ถามทำไมอีก”


“งั้นกูถามอย่างอื่นก็ได้”


“อะไร” ชักรู้สึกหวั่นๆ ใจ


“สรุปแล้วมึงคิดยังไงกับกู” นั่นไง! กูว่าแล้ววววว ถ้าเปรียบมันเป็นหมานี่คือกัดไม่ปล่อยเลยนะ อยากรู้จริงๆ ใครสั่งใครสอนให้มันรุกหนักแบบนี้...อ้อ เหมือนจะเป็นกูเองนี่หว่า


“ว่ายังไง ได้ยินที่กูถามมั้ย” นี่ก็เร่งกูจั้งงงงง ฮัลโหลลลลล ก็บอกไปแล้วว่าขอเวลาคิดไงจำไม่ได้หรอแสรดดดดด


“เดี๋ยวเข้าไปช่วยกูเก็บกับข้าวหน่อยดิ ทิ้งไว้แบบนั้นเดี๋ยวแมลงวันลง” จัดการเปลี่ยนเรื่องแม่งเลยผม ก็เอาซี๊ รุกแรงขนาดไหนกูก็ไหลได้อยู่ดีล่ะวะ ฮ่าๆๆ


ถึงแม้จะดูเซ็งๆ แต่ไอ้เอสก็ทำอะไรไม่ได้ ผมเห็นมันแอบถอนหายใจแล้วค่อยเดินตามเข้ามาในบ้าน แต่ผมรู้นะว่ามันไม่ยอมแพ้แค่นี้หรอก คงจะหาโอกาสถามผมอีกให้ได้ แต่คิดเรอะว่าผมจะเปิดโอกาสให้ หลังจากเก็บกับข้าวเข้าตู้เย็นเสร็จก็นี่เลย...


“อะไร” ไอ้เอสทำหน้างงๆ เมื่อผมยื่นตะกร้าที่สานจากไม้ไปให้มัน


“ไปเก็บผักกัน”


“หา?” มันทำหน้างงยิ่งกว่าเดิม แต่ผมขี้เกียจอธิบาย เลยจูงมือ (ลาก) มันไปยังโซนที่เอาไว้ปลูกพืชผัก แล้วก็ร่ายให้ฟังว่าบ้านผมปลูกอะไร แต่ละชนิดเก็บเกี่ยวยังไง จากนั้นก็สาธิตให้มันดู


“จำได้ใช่มั้ย” ผมถาม ไอ้เอสก็พยักหน้า “งั้นก็ไปเก็บมาทุกอย่าง แต่ไม่ต้องเยอะมากล่ะ มึงเก็บฝั่งนู้น ส่วนกูเก็บฝั่งนี้ เคนะ?”


“เค” แล้วพวกผมก็แยกย้ายกันไปเก็บผัก แม้ตอนแรกไอ้เอสมันจะดูงงๆ และไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ แต่พอได้ทำแล้วมันก็ดูตั้งใจเป็นอย่างดี จนผมที่แอบมองอยู่อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้


แว้บหนึ่งผมคิดว่ามันน่าจะเป็นลูกเขยที่ดีของแม่ แต่ถุ้ย! อะไรดลใจให้ผมคิดแบบนี้วะเนี่ย!


สักพักใหญ่ๆ ผักก็เกือบเต็มตะกร้าของพวกเรา คราวนี้ก็ถึงขั้นตอนเอาไปล้าง แล้วก็หั่นใส่กล่องเก็บเข้าตู้เย็น แต่พอเสร็จจากนี้คิดว่าผมจะเปิดโอกาสให้มัน? โน้วววววว บอกเลยว่าไม่มีทาง


“จะพากูไปไหนอีกล่ะ” จากที่เคยทำหน้าเซ็งๆ ไอ้เอสก็เริ่มยิ้มออกมาแล้ว คงจะรอดูนั่นแหละว่าผมจะสรรหาอะไรมาให้มันทำ จะหลบเลี่ยงคำถามของมันได้นานสักแค่ไหน


“เคยตกปลามั้ย” ไอ้เอสหยุดคิดแป๊บหนึ่งแล้วจึงส่ายหน้า


“ไม่”


“งั้นไปตกปลากัน แต่อย่าคาดหวังเบ็ดที่มันหรูหราหมาเห่านะเว่ย แถวนี้เขาใช้กันแต่เบ็ดแบบบ้านๆ” พูดจบผมก็กวักมือให้ไอ้เอสเดินตามมาที่เถียงนาน้อยริมน้ำ ซึ่งมันก็เดินตามมาต้อยๆ แต่โดยดี


“เอ้า” ผมยื่นคันเบ็ดให้ไอ้เอส พอเห็นมันก็ทำหน้างง


“นี่อะไร”


“ก็เบ็ดตกปลาไง”


“ถามจริง?” แต่ก็ไม่แปลกหรอกที่มันจะถามแบบนั้น ก็เพราะคันเบ็ดที่ผมพึ่งยื่นให้ ถ้าจะให้เรียกมันก็แค่ด้ามไม้ยาวๆ ที่มีเอ็นใสๆ ผูกกับตะขอเกี่ยวตรงปลายแค่นั้นแหละ แต่เห็นลักษณะแบบนี้ก็อย่าดูถูกมันนะ มันตกปลาได้จริงๆ นะเออผมพิสูจน์มาแล้ว


“กูจะโกหกมึงหาหอกอะไรล่ะ มานี่ เดี๋ยวกูจะตกให้ดู” แล้วผมก็ไปนั่งหย่อนขาที่ปลายเถียงนา จากนั้นก็ปั้นเหยื่อตกปลาที่ทำจากรำข้าวเป็นก้อนๆ คลุมตะขอเกี่ยวตรงปลายเอาไว้ พอเสร็จก็จับหย่อนลงน้ำไปเลย


“จะตกได้จริงหรอ” ไอ้เอสถามอย่างไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่


“เดี๋ยวมึงคอยดูให้เป็นบุญตาได้เลย ว่าแต่จะยืนค้ำหัวกูอีกนานมั้ย ลงมานั่งกับกูดิสาด” ตอนที่ด่าก็คิดอยู่หรอกว่าทำไมมันยิ้ม แต่พอมันนั่งลงเท่านั้นแหละผมถึงได้เข้าใจ


ทำไมน่ะหรอ?


ก็เพราะว่ามันนั่งลงซ้อนที่ด้านหลังของผมน่ะสิ!


“ไอ้เชี่ยเอส!”


“ชู่วววว เสียงดังแบบนี้เดี๋ยวปลาก็ตกใจหมดหรอก” ตอนนี้ใครจะบ้ามีอารมณ์ไปสนใจปลากันวะ!


“ก็ช่างแม่งมัน...” แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดจนจบประโยค ไอ้เอสมันก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมแล้วก็...


จุ๊บ!


เชี่ยยยยยยยยย ตาเหลือกเกือบเท่าไข่ห่านไปดิกู มันกล้าดียังไงถึงมาจูบปากผม! นี่มันที่โล่งแจ้งไม่ใช่ที่ลับตาคนนะเว่ย!


“ไอ้...”


“อย่าโวยวายมากเลยน่า ตกปลาไป” ทำเป็นพูดเหมือนรำคาญ แต่ความจริงแล้วมันกำลังยิ้มอยู่ ไอ้ฟายยยยยย


“ฝากไว้ก่อนเถอะมึง” แล้วกูเนี่ยเป็นเชี่ยอะไร ทำไมไม่ด่ามันไปล่ะ จะศอกใส่หรือลุกขึ้นไปเตะแม่งเลยก็ได้ จะนั่งอยู่แบบนี้หาสวรรค์วิมานอะไร เนี่ย...แล้วพอนั่งไปสักหน่อย จากที่นั่งซ้อนเฉยๆ มือมันก็ค่อยๆ เลื้อยมากอดที่เอวของผมแล้ว


“เยอะละมึง เยอะไปละ” แต่ก็ด่าแค่นั้นแหละ ไม่ได้ดิ้น ขัดขืน หรือว่าแกะมือของมันออกไปสักนิด กูอยากจะบ้า!


“ก็ไม่เยอะนะ มากกว่านี้ก็เคยทำมาแล้ว” เออ ก็จริงของมึง ถุ้ย! คิดว่ากูจะตอบแบบนี้รึไงวะ!


“ประเด็นมันไม่ได้อยู่ตรงนั้นมั้ยสัส กูอนุญาตให้มึงทำตอนไหน เป็นแฟนกันรึก็ไม่ใช่”


“งั้นก็เป็นซะสิ” นั่นไง ไม่น่าเปิดช่องให้มันเล้ยยยยยย


“มึงนั่งแบบนี้แล้วกูจะตกปลายังไง มันไม่ถนัดนะเว่ย” จงหาความเชื่อมโยงของคำถามของมันและคำตอบของผม...ใช่แล้ว ไม่มี จะมีได้ยังไงกูก็ไหลไปเรื่อยอะ!


“มึงนี่น้า” ไอ้เอสพูดอย่างเหนื่อยใจ ตอนแรกผมก็หวั่นๆ อยู่ว่ามันจะรุกแรงใส่ผมอีกมั้ย แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ทำแบบนั้น


“คิดซะว่ากูเป็นเก้าอี้สิ”


“หืม?”


“ก็แบบนี้ไง” แล้วมันก็ดันตัวผมให้เอนไปพิงที่อกของมัน เออ จะว่าไปพอทำแบบนี้ก็สบายดีเหมือนกันนะ นั่น...ยังไม่ทันไรก็คล้อยตามมันไปอีกเรื่องแล้ว


“เดี๋ยวคนก็มาเห็นหรอกมึง” ผมออกแรงดิ้น แต่เอาจริงๆ ก็แค่พอเป็นพิธีเท่านั้นแหละ


“นี่มันที่บ้านมึง จะมีใครมาเห็นได้ยังไง”


“เดี๋ยวพวกแม่ก็คงจะกลับมาแล้ว”


“แต่ตอนนี้ยังไม่กลับ ที่นี่มีแค่มึงกับกู 2 คนจะกังวลอะไร” ก็จริงของมัน ถ้างั้นผมจะยอมอยู่ท่านี้ต่อไปอีกสักหน่อยก็ได้ ถูกมันตะล่อมจนเลยตามเลยอีกแล้วสิน่า


“ถ้าพวกแม่กลับมามึงต้องรีบลุกทันทีเข้าใจมั้ย”


“อืม”


“ไม่ใช่แค่รับปากกูแบบส่งๆ นะเว่ย”


“อืม”


“มึงช่วยพูดอะไรนอกจากคำว่า...อื้ม!” พึ่งจะด่ามันไปหยกๆ ก็กลายเป็นว่าผมดันพูดซะเอง แต่ถ้าจะบอกว่าพูดมันก็ยังไงๆ อยู่ อันที่จริงต้องเรียกว่าครางมากกว่า เพราะไอ้เอสมันยื่นหน้าเข้ามาจูบผมแบบหนักๆ โดยไม่ทันให้ตั้งตัว


“กูเข้าใจแล้ว” แถมตอนที่ถอนจูบ มันยังมีการดูดปากผมเบาๆ ทิ้งทวนด้วยนะ ใจสั่นไปดิเจอแบบนี้ เกือบทำคันเบ็ดหลุดมือแล้วมั้ยล่ะ


“ถ้าเข้าใจแล้วก็บอกดีๆ สิวะ ไม่เห็นต้องจูบกูเลย” ผมบ่นกระปอดกระแปด ด้วยใบหน้าที่ร้อนผ่าวและคงแดงแป๊ดอย่างกับลูกตำลึง


“ก็ปากมึงมันน่า...”


“พอ! พอแล้ว ไม่ต้องพูดแล้วสาด” ให้ตายสิ แค่คิดว่ามันจะพูดอะไรออกมาผมก็ขนลุกด้วยความสยอง (เอ๊ะหรือสยิว?) ไปแล้วเนี่ย


อยากรู้จริงๆ ว่าไอ้เอสคนที่มันเคยพูดน้อย เย็นชา หน้าตาย ไม่สนหัวใครแม่งหายไปไหน ตอนนี้ผมเห็นแต่ไอ้เอสคนที่มันพูดมาก ตะล่อมเก่ง ชอบแอบทำหน้ากรุ้มกริ่ม แล้วก็มักจะจ้องหาโอกาศเอากำไรจากร่างกายของผมตลอด


คือขนาดยังไม่คบกันผมยังโดนขนาดนี้ ถ้าหากคบกันผมจะโดนขนาดไหน แล้วแบบนี้ผมควรที่จะคบกับมันมั้ยถามใจดู!


2BC


 :oni1: สวัสดีค่า Soulmate ตอนที่ 16 ก็จบไปแล้ว ตอนนี้ถึงแม้จะตอนที่ไม่ค่อยมีสาระเท่าไหร่ แต่ก็หวังว่าทุกคนจะชอบแล้วก็อมยิ้มไปกับการจีบของเอสและการไหลของซีนะคะ อิอิ  :-[

ส่วนตอนหน้ามาลุ้นกันว่าซีจะยอมใจอ่อนคบกับเอสมั้ย แต่โดนทำอะไรก็อ่อยระทวยขนาดนี้คิดว่าคงไม่นานหรอกเนอะ...มั้ง 55555  :laugh:

ยังไงก็ฝากติดตามคู่เอสซีกันต่อด้วยนะคะ รักทุกคนน้า  :L1: ขอบคุณมากๆสำหรับการติดตามค่า  :pig4: แล้วเจอกัน บ๊ายบายยยย  :bye2:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่16# มึงก็ชอบกูเหมือนกันใช่มั้ย? [17.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 17-11-2019 17:56:56
ไม่ยอมก็จัดหนักให้ยอมให้ได้
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่16# มึงก็ชอบกูเหมือนกันใช่มั้ย? [17.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 17-11-2019 18:00:39
 :pig4: :pig4: :pig4:

แหม่   เอสรุกแรงเหลือเกิน

ป.ล. เพิ่งนึกขึ้นได้  คนนึง S คนนึง Z เข้ากั๊น ๆ
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่16# มึงก็ชอบกูเหมือนกันใช่มั้ย? [17.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Micky_MN ที่ 18-11-2019 16:39:20
น้อนนนนนนนนนนนน เขินอ่ะ โอ๊ยน่ารัก
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่16# มึงก็ชอบกูเหมือนกันใช่มั้ย? [17.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 18-11-2019 18:46:11
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่16# มึงก็ชอบกูเหมือนกันใช่มั้ย? [17.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 18-11-2019 23:47:18
น้องซียอมเอสไปหลายทีแระ ก็ตกลงเป็นแฟนไปเลยเถอะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่16# มึงก็ชอบกูเหมือนกันใช่มั้ย? [17.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Y-Darkness ที่ 20-11-2019 03:30:15
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่17# ผมชอบลูกชายแม่นะครับ [21.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Sameejaejung ที่ 21-11-2019 23:34:17
Soulmate วิญญาณป่วนรัก


Part 17# Z ผมชอบลูกชายแม่นะครับ


พวกแม่กลับมาอีกทีก็ค่ำๆ


ถ้าเป็นปกติผมจะภาวนาให้ทุกคนกลับช้าๆ เพราะการได้อยู่บ้านคนเดียวมันโคตรสบายแล้วก็โคตรมีอิสระ แต่สำหรับวันนี้..................รีบกลับกันมาเถอะคร้าบบบบบบ ปากผมโดนจูบจนแทบจะเปื่อย ส่วนเนื้อตัวก็โดนกอดจนแทบจะช้ำไปหมดแล้ววววววว


แต่ก็นั่นแหละ คำภาวนาของผมไม่เป็นผล กว่าพวกแม่จะกลับมาผมก็โดนหากำไรจนแทบไม่มีอะไรเหลือ แต่ก็ยังดีที่อยู่ต่อหน้าทุกคนไอ้เอสมันไม่ได้ทำอะไรแบบนั้น ไม่งั้นคนทั้งบ้านมีหวังได้หัวใจวายตายแน่ๆ โดยเฉพาะพ่อกับแม่ของผมที่คงรับเรื่องแบบนี้ไม่ได้


โอเค ตอนแรกผมก็คิดแบบนั้นแหละ คือผมเป็นลูกชายคนเดียวไง ถึงจะไม่ใช่ครอบครัวคนจีนก็เถอะ แต่ปกติก็ต้องคาดหวังให้ผมสืบสกุล มีลูกมีหลานให้อุ้มไรงี้ใช่มั้ย แต่ก็ปรากฏว่าผมดันคิดมากไป พ่อกับแม่ผมไม่ได้คิดอะไร คือชิลมาก มากจนผมอยากจะบอกว่าช่วยคัดค้านบ้างก็ได้เฮ้ยยยยยยย


“แม่กับพ่อจะไปนอนยังครับ” ผมพูดกับแม่ เมื่อละครหลังข่าวที่พากันนั่งดูที่โซฟาจบลง ตอนนี้กำลังเป็นรายการข่าว


“ก็ว่าจะขึ้นนอนแล้ว ถามทำไมลูก”


“พายัยเอขึ้นไปนอนด้วยนะ เดี๋ยวคืนนี้ผมจะไปนอนห้องมัน”


“อ้าว ไหงงั้นอะพี่ซี ห้องพี่ก็มีจะมานอนห้องหนูทำไม” ไอ้น้องคนนี้ จะทำตามที่พี่มันบอกดีๆ ไม่ได้รึไงฟะ


“ก็ห้องพี่มีไอ้เอสนอนไง”


“ก็นอนด้วยกันไปสิ เนอะแม่เนอะ” แน่ะ มีหันไปหาแนวร่วมด้วย


“นั่นน่ะสิ จะทำให้มันยุ่งยากทำไม” แล้วทำไมต้องไปเห็นด้วยกับมันด้วยล่ะคุณนายแม่!


“เตียงมันแคบจะตาย ผู้ชาย 2 คนจะนอนด้วยกันได้ยังไง”


แต่เอาความจริงจากใจเลยนะ ถึงแม้ขนาดเตียงในห้องของผมมันจะเล็กจริงเพราะแค่ 3.5 ฟุต แต่ที่ผมไม่อยากนอนห้องเดียวกันกับไอ้เอสก็เพราะไม่ไว้ใจ กลัวมันจะทำไรนู่นนี่นั่นกับผมอะ ที่รโหฐานมีหลังคา ผนัง กำแพง แถมยังมีเตียงขนาดนั้น ถ้าผมนอนกับมันมีหวังถูกจับกินไม่เหลือแน่ๆ


“มึงก็ทำอย่างกับไม่เคยนอน” เอาละไงไอ้เวรนี่ พูดอะไรออกมาทีทำบ้านกูติดสตั๊นกันหมด


“ไอ้เชี่ยเอส มึงอย่าพูดอะไรที่มันชวนเข้าใจผิดได้มั้ยสัส” ผมตีที่แขนมันดังป๊าบพลางหัวเราะกลบเกลื่อน แล้วก็แอบส่งซิกซ์ให้มันพูดแก้ประโยคที่พึ่งพูดไปด้วย


แต่ทั้งที่ผมอุตส่าห์ทำขนาดนั้นมันกลับทำยังไงรู้มั้ย?


ทำเป็นไม่รู้แถมยังพูดเรื่องที่มันชวนเข้าใจผิดมากขึ้นไปอีก!


“กูพูดไม่ถูกตรงไหน เคยเปิดโรงแรมนอนด้วยกันก็ทำมาแล้ว”


“...”


เอาอีกแล้ว ไอ้เอสแม่งทำคนทั้งบ้านอึ้งแดกอีกแล้ววววววว คือจังหวะนี้ผมอยากบีบคอมันให้ตายคามือมาก มันกล้าพูดเรื่องนั้นออกมาได้ยังไง กล้าพูดหน้าตาเฉยได้ยังไงไอ้เหี้ยยยยยยยยย


“เอ่อ...พ่อจ๊ะ แม่ว่าเราขึ้นห้องนอนกันดีกว่าเนอะ” คุณนายแม่ที่ตั้งสติได้ก่อนใครเอามือสะกิดพ่อ


“จ้ะแม่” แล้วทั้งคู่ก็รีบจูงมือกันขึ้นไปบนห้อง ส่วนยัยเอที่สติพึ่งมาก็เลิ่กลั่ก จากนั้นก็วิ่งตามพ่อกับแม่ขึ้นห้องไปเลย


“มึงแม่ง...” ผมกุมขมับ ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่าไอ้เอสจริงๆ เดี๋ยวต้องหาเวลาปรับทัศนคติกับมันหน่อยละ


“ขึ้นห้องกันบ้างมั้ยเรา” โอ้โห นอกจากจะไม่สำนึกแล้วยังมายิ้มกรุ้มกริ่ม แถมยังวาดมือมากอดคอของผมอีกต่างหาก


“ไปดิ” เท่านั้นแหละมันก็แทบจะอุ้มผมขึ้นห้อง ดีที่ผมขืนตัวเอาไว้ได้ทันไม่งั้นล่ะเสร็จโจร


อ้อ...แต่เห็นผมตอบแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าคืนนี้ผมจะนอนกับมันหรอกนะ ขืนนอนก็เสียตัวอะดิ ผมคงจะโง่นอนด้วยหรอก


“ยืนทำอะไรตรงโน้น” ไอ้เอสถามเมื่อเห็นผมหยุดยืนที่หน้าห้องยัยเอ ไม่ได้เดินเลยไปที่ห้องของผม


“คืนนี้กูจะนอนห้องนี้”


“เดี๋ยว!” แต่คิดหรอว่าผมจะยืนรอให้มันมาฉุดไปนอนด้วย ผมก็ต้องรีบเปิดประตูเข้าห้องยัยเอแน่นอนอยู่แล้ว แถมยังกดล็อกและลงกลอนอย่างแน่นหนาด้วย


“อ้าวพี่ซี! เข้ามาในห้องหนูทำไม!” เวรกรรม ผมก็นึกว่ายัยเอไปนอนที่ห้องพ่อกับแม่แล้ว ไหงถึงยังได้อยู่ในห้องวะเนี่ย ส่วนไอ้เอสนี่แม่งก็เคาะประตูเรียกผมใหญ่เลย


“ซี! มาคุยกันก่อน!”


“มีไรไว้ค่อยคุยพรุ่งนี้! ฝันดีเว่ย!” แล้วผมก็ขึ้นเตียงไปนอนเบียดกับยัยเอ ทำเป็นหูทวนลมไม่สนใจเสียงเรียกและเสียงเคาะประตูของไอ้เอส ซึ่งไม่นานมันก็ยอมถอย บอกราตรีสวัสดิ์แล้วก็เดินเข้าห้องของผมไป


“จะมานอนเบียดหนูทำไมเนี่ย หนูอึดอัดนะพี่ซี” ก็ไม่แปลกหรอกที่ยัยเอจะบ่น ก็เตียงมันขนาด 3.5 ฟุตเท่ากับเตียงในห้องผมนั่นแหละ


“ถึงได้บอกให้ไปนอนห้องพ่อกับแม่ไง” เตียงในห้องนั้นน่ะนอน 3 คนได้สบาย


“นี่มันห้องหนูนะ พี่ซีนั่นแหละต้องไป ไม่งั้นก็ไปนอนที่ห้องตัวเอง”


“ก็บอกแล้วไงว่าเตียงมันแคบ” ขนาดนอนกับยัยเอที่ตัวเล็กๆ ยังแทบจะขยับไม่ได้ ถ้าไปนอนกับไอ้เอสจะไม่ต้องทับบนตัวมันเลยเรอะ


“แคบแล้วไง เป็นแฟนกันนอนเบียดกันนิดหน่อยดีจะตายพี่ซี”


“พี่กับไอ้เอสไม่ได้เป็นแฟนกันเว่ย!”


“แหมๆ ไม่ต้องมาเขินหรอกน่า เรื่องนี้รู้กันทั้งบ้าน”


“ก็บอกว่าไม่ใช่ไงเล่า!” ให้ตายสิ! เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องรีบไปบอกพ่อกับแม่ด้วย ไอ้เอสนะไอ้เอส ทำคนที่บ้านผมเข้าใจผิดกันหมดแล้ว!


“อ๊ะๆ ไม่ใช่แฟนก็ไม่ใช่แฟน แต่กำลังอยู่ในช่วงจีบกันใช่มะ”


“...” ไปไม่เป็นเลยดิเจอคำถามงี้


“เงียบ แสดงว่าใช่” ยัยเอยิ้มแซว ด้วยความหมั่นไส้ผมเลยดีดที่หน้าผากมัน ก่อนจะจับมันพลิกตัวไปอีกด้านแล้วเอาผ้าห่มคลุมโปงแม่งด้วย


“นอนได้แล้ว เป็นเด็กเป็นเล็กไม่ต้องมายุ่งเรื่องของผู้ใหญ่”


“ชิ บอกหนูเป็นเด็กหรอ ได้...” แล้วยัยเอก็บ่นอะไรไปเรื่อยแต่ผมไม่ได้สนใจ พอนอนนิ่งๆ สักพักก็ง่วงจนหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มีมือมาเขย่าที่ร่าง


“เช้าแล้วพี่ซี ตื่นได้แล้ว”


“อื้อ...อย่ากวน คนจานอน” ผมโบกมือไล่ด้วยความรำคาญ วันก่อนผมนอนน้อยมาก นอนเหมือนไม่ได้นอน เพราะงั้นตอนนี้มันก็เลยยังง่วงจนลืมตาไม่ขึ้น


“แต่กับข้าวจะเสร็จแล้วนะพี่ซี”


“กินปาย ม่ายต้องรอ”


“ไม่ได้ แม่บอกให้ลงมากินด้วยกัน”


“ก็บอกว่าจานอน!”


“ถ้าไม่ยอมตื่น...จะจูบนะพี่ซี” วินาทีแรกผมนิ่ง แต่หลังจากนั้นผมก็ระเบิดหัวเราะดังลั่นจนแทบจะหงายตกเตียง


“กร๊ากกกก กลัวจังเลยยยย ก็มาดิค้าบบบบ” พนันหมดตัวเลยว่ายัยเอมันไม่กล้าจูบผมหรอก แหม...ขู่มาได้ สงสัยจะอ่านการ์ตูนตาหวานมากเกินไป ก็บอกให้เพลาๆ ลงแล้วนะ แต่สงสัยไม่ยอมฟังถึงได้อาการหนักแบบ...


จุ๊บ!


หือ...หืออออ...หืออออออออ เอาจริงดิ นี่ยัยเอมันกล้าจูบผมจริงๆ หรอวะ! ซึ่งพอผมลืมตาขึ้นมาเท่านั้นล่ะ...


“มอนิ่งคิส” ไอ้เอสยิ้มกรุ้มกริ่มโดยที่หน้าอยู่ห่างจากผมไม่ถึงคืบเลยด้วยซ้ำ


“เชี่ยยยยยยยยยย!” จากที่ง่วงๆ อยู่ก็ตื่นเต็มตาเลยผม สองมือผลักที่อกมันออกไปแล้วดีดตัวลุกจากที่นอนทันที ส่วนยัยเอที่ทำเป็นเอามือปิดตาแต่แหกนิ้วกางออกก็หัวเราะคิกๆ คักๆ


“อะ...ไอ้...ไอ้พวกเวรรรรรรรรร!” พอรู้ว่าโดนไอ้สองตัวนี้รวมหัวกันแกล้ง ผมก็อาละวาดปาหมอนใส่แล้วไล่ตีพวกมันแม่ง แต่เสียดาย ยังตีได้ไม่หนำใจคุณนายแม่ก็ตะโกนขึ้นมาซะก่อน


“โวยวายอะไรซี! ถ้าตื่นแล้วก็รีบอาบน้ำแล้วลงมากินข้าว!”


“ชิ! รอดตัวไปนะ” ผมชี้หน้าคาดโทษพวกมัน 2 ตัว ก่อนจะเดินกลับห้องแล้วหยิบผ้าเช็ดตัวไปอาบน้ำ แน่นอนว่าผมต้องล็อกห้องอย่างแน่นหนา ผมไม่ประมาทเหลือโอกาสให้ไอ้เอสมันเข้าห้องผมมาได้หรอก หึ!


พออาบน้ำเสร็จผมก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินลงมาข้างล่าง เวลาที่ใช้ไม่น่าจะถึง 10 นาทีล่ะมั้ง ก็แหม...เป็นผู้ชายจะอาบอะไรนาน ซึ่งพอเดินมาถึงโต๊ะอาหารก็เห็นไอ้เอสวางจานสุดท้ายลงพอดี


“เอสนี่น่ารักเนอะ ทั้งหล่อ ทั้งขยัน ทั้งนิสัยดี ไม่เหมือนลูกแม่บางคน ตื่นก็สาย งานบ้านงานครัวไม่รู้จักมาช่วย เป็นเจ้าบ้านแท้ๆ ไม่อายแขกบ้างเล้ย” คำพูดเหมือนไม่เจาะจงใคร ตรงข้ามกับสายตาที่ล็อกเป้ามายังผม แต่คิดเรอะว่าผมจะรับ


“แม่ว่าแกอะยัยเอ”


“ว่าพี่นั่นแหละพี่ซี!” พอโดนสวนทันควันผมก็ยักไหล่ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ไปเลย


“เฮ้ออออ แม่ล่ะกลุ้มใจกับแกจริงๆ นะซี นิสัยแบบนี้จะกล้ายกให้เอสได้ยังไง” หืม? นี่ผมฟังผิดไปเปล่าวะ?


“เดี๋ยวนะแม่ ยกให้อะไร”


“ก็ยกให้ไปเป็นเจ้าสาวน่ะสิ” เท่านั้นแหละ น้ำที่ผมกำลังยกขึ้นดื่มก็แทบพุ่ง


“ฮัลโหลลลลลล เจ้าสาวอะไรกันแม่! ผมเป็นผู้ชายนะยังไงก็ต้องเจ้าบ่าวสิ!” แต่เดี๋ยวก่อน เหมือนผมจะหลงประเด็น คือมันไม่ได้อยู่ที่ผมจะเป็นเจ้าสาวหรือเจ้าบ่าว มันอยู่ที่ว่าผมบอกเมื่อไหร่ว่าจะแต่งกับไอ้เอส ขนาดคบก็ยังไม่ได้ตอบตกลงเลยด้วยซ้ำ!


“มึงไปพูดอะไรกับแม่กูหา!” ผมแยกเขี้ยวใส่ไอ้เอส ส่วนมือก็เตรียมแจกยันต์ 5 แถวให้แม่งด้วย แต่มันก็ไม่ได้มีความเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย


“ก็แค่บอกว่า...ผมชอบลูกชายแม่นะครับ” มันตอบอย่างหน้าตาเฉย แถมยังอมยิ้มหน่อยๆ อีกต่างหาก ผิดกับผมที่อ้าปากพะงาบๆ แถมยังตาเบิกกว้างด้วยความช็อก


“อะ...ไอ้...ไอ้...”


“แล้วก็ไม่ใช่แค่แม่ กูพูดกับพ่อมึงด้วย”


“พ่อก็โอเคยกซีให้แล้ว”


“หาาาาาาาา!” อะไรนะ! หน่านี้! โฮลี่ชิท! ตอนนี้ผมช็อกจนวิญญาณแทบจะออกจากร่างไปแล้ว คืออย่างแม่อะไม่เท่าไหร่ แต่ทำไมแม้แต่พ่อก็เป็นไปด้วย นี่ไอ้เอสมันทำคุณไสยใส่เรอะ!


“คือ...ทุกคนฟังผมก่อนนะครับ” ผมพยายามทำจิตใจให้สงบแล้วยิ้มแห้งๆ โดยที่ในหัวก็พยายามคิดหัวแทบแตกว่าจะแถเรื่องนี้ยังไงให้เจ็บสีข้างน้อยที่สุด


“แบบว่า...เรื่องที่ไอ้เอสพูดน่ะ คือ...มันแค่ล้อเล่นนึกออกปะ มันเป็นมุกอะมุก ถึงจะไม่ขำแต่ก็ขำให้มันหน่อยนะ ฮ่าๆๆๆ”


“...” กริบ เงียบยิ่งกว่าป่าช้า มีแค่ผมเนี่ยที่หัวเราะแบบจางๆ จางในจาง จางแบบฉิบหายวายป่วง


“กินข้าวกันเถอะทุกคน” ยอมแพ้ละผม ขี้เกียจแถแม่งละ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็แอบหันไปคาดโทษไอ้เอสที่กำลังอมยิ้มด้วยท่าทางอารมณ์ดี “เดี๋ยวมึงเจอกู”


หลังจากที่กินข้าวเสร็จพ่อก็ไปส่งยัยเอที่โรงเรียน เพราะวันนี้เป็นวันจันทร์ จากนั้นพ่อก็จะเลยไปที่ทำงาน แล้วก็จะกลับมาที่บ้านตอนเย็นพร้อมกับยัยเอ ส่วนแม่ของผมอย่างที่รู้ๆ กันว่าเป็นแม่บ้าน เพราะงั้นปกติช่วงกลางวันก็จะทำงานบ้านนู่นนี่ แต่เนื่องจากวันนี้ไม่ปกติ มีแรงงานทาสอย่างผมอยู่ เพราะงั้นงานทั้งหมดเลยถูกโยนมาที่ผม ส่วนคุณนายก็ไปเม้าท์มอยกับเพื่อนซี้ที่อยู่ปากซอยนู่น


งานที่สั่งให้ผมทำก็มีตั้งแต่ล้างจาน กรอกน้ำ เก็บบ้าน กวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้า รีดผ้า ล้างรถ รดน้ำต้นไม้ ให้อาหารปลา แล้วก็อีกสารพัดจิปาถะที่คุณนายนึกออกก็จะโทรมาสั่ง ถึงได้บอกไงว่าผมนี่มันแรงงานทาสชัดๆ แถมคุณนายแม่ยังสั่งให้ทำคนเดียวด้วยนะ ย้ำนักย้ำหนาว่าห้ามให้ไอ้เอสช่วย แต่ฝันไปเถอะ!


“กรอกน้ำเสร็จยัง ถ้าเสร็จแล้วไปล้างจาน กวาดบ้าน แล้วก็ถูบ้านด้วยนะ”


“ได้” แหมมมมม อยากจะแหมให้อ้อมจักรวาล พออยากได้กูเป็นแฟนนี่ว่าง่ายเชียวนะ แต่คิดเรอะว่าแค่นี้จะทำให้ผมใจอ่อนยอมเป็นแฟนด้วย เรื่องที่มันไปพูดแบบนั้นกับพ่อแม่ผมยังไม่ได้คิดบัญชีแค้นเลยเหอะ


“รีบๆ ทำด้วยล่ะ ยังมีงานให้ทำอีกเยอะ”


ส่วนผมพอสั่งงานแล้วก็ใช่ว่าจะไปนอนเกาพุงสบายๆ หรอก แต่ผมจะไปซักผ้า ซึ่งก็มีทั้งผ้าตัวเอง แล้วก็พวกผ้าปูที่นอนกับผ้าเช็ดตัวของคนทั้งบ้าน กว่าจะเสร็จก็คงเที่ยงเลยล่ะมั้ง แล้วไหนจะงานอย่างอื่นที่คุณนายแม่สั่งให้ทำอีก ถ้าทำคนเดียวนี่ว่าคงตาย


 กว่างานจะเสร็จทุกอย่างก็ปาไปบ่ายเกือบเย็น หมดแรงเลยสิผม นี่ขนาดว่าโยนงานไปให้ไอ้เอสตั้งเยอะแล้วนะ แต่ก็ยังเหนื่อยจนต้องทิ้งตัวลงจนแทบจมกับโซฟา


“ไปหาหมอนมาให้กูหน่อยดิมึง” ผมพูดกับไอ้เอสอย่างไร้เรี่ยวแรง แต่แทนที่มันจะไปหาหมอนมาให้ผมตามที่สั่ง มันกลับเดินมานั่งข้างๆ ผมซะงั้น


“ไม่ได้ยินที่กูพูดหรอวะ”


“ได้ยิน”


“งั้นก็รีบไปหาหมอนมาดิ จะมานั่งทำซากอะไรตรงนี้”


“หมอนก็อยู่ที่นี่แล้วไง” แล้วมันก็ตบที่ตักของตัวเอง เปลืองแรงเบ้ปากกับกลอกตาเลยกู


“เสี่ยวฉิบหาย อายมั้ยเนี่ยถามจริง”


“ด้านได้อายอด”


“หรอ แปลกจัง กูว่ากูเคยได้ยินแต่ ‘ถึงด้านก็ยังอด’ นะมึง” พอผมพูดแบบนี้ จากที่อมยิ้มอยู่ก็หน้าเหงาเป็นหมาหงอยเลยมัน เฮ้อออออ แล้วทำไมต้องสงสารด้วยเนี่ย


“อ๊ะๆๆ ไหนๆ ก็ใจกล้าหน้าด้านพูดออกมาละ งั้นกูจะยอมสักครั้งก็ได้” ถึงจะยังหมั่นไส้ที่มันไปพูดเรื่องบ้าบอกับพ่อแม่ผมก็เถอะ แต่เห็นแก่ที่วันนี้มันยอมทำงานนู่นนี่ตามที่ผมสั่งหรอกนะ อีกอย่างตอนนี้ก็ไม่มีใครอยู่ที่บ้านด้วย


“มาสิ” ไอ้เอสตบที่ตักของตัวเอง ผมเลยขยับหัวไปนอนหนุนที่ตักของมัน ถึงจะแข็งไปนิดไม่นุ่มเหมือนหมอนก็เถอะ แต่ก็ถือว่าสบายใช้ได้อยู่


“ยิ้มอะไร” ผมตีหน้าเข้มใส่ คือตอนนี้มันอมยิ้มจนแก้มแทบแตกแล้วอะ


“ก็มีความสุขเลยอยากยิ้มไง”


“ลำไย” ผมมองบน พูดตามตรงเลยนะ เอาจริงๆ ผมจำแทบไม่ได้แล้วว่าเมื่อก่อนมันเคยเป็นคนหน้านิ่งขนาดไหน ถ้าหากคิดว่าที่มันเปลี่ยนไปก็เพราะผม จะเป็นการหลงตัวเองเกินไปมั้ยนะ?


“แล้วมึงล่ะยิ้มอะไร” หืม? นี่ผมยิ้มหรอ? ผมเนี่ยนะยิ้ม? บ้าาาาาา


“กูเปล่าสักหน่อย หลอนแล้วมึงอะ” ผมจะหันหน้าหนี แต่ไอ้เอสก็ใช้สองมือจับหน้าของผมเอาไว้ไม่ให้หันหนีไปไหน


“เมื่อไหร่จะเลิกปากแข็งสักที” สายตาของมันที่จ้องมองมาทำเอาใจของผมเริ่มสั่นหน่อยๆ ชักไม่ได้การ ขืนเป็นแบบนี้มีหวังผมต้องคล้อยตามยอมเป็นแฟนมันแน่ๆ เพราะงั้น...หลับตาลงแม่งเลยจะได้ไม่ต้องเห็นหน้ามันอีก!


“กูง่วง ของีบก่อนนะ แล้วก็ห้ามกวนด้วย”


“จริงๆ เล้ย” ผมได้ยินเสียงไอ้เอสมันถอนหายใจ ใจแป้วเลยดิกู หรือว่ามันจะยอมแพ้แล้ว? แค่นี้ก็ยอมถอดใจแล้วหรอวะ?


แต่ขณะที่ผมกำลังเริ่มจิตตกอยู่นั้น ที่หน้าผากของผมก็รู้สึกได้ถึงความอ่อนนุ่มและลมหายใจอุ่นๆ ซึ่งพอลืมตาขึ้นมา ผมก็เห็นว่าใบหน้าของไอ้เอสอยู่ห่างจากผมเพียงไม่ถึงคืบ


“กูไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอกนะ” วินาทีนั้นเอง หัวใจของผมที่กำลังแห้งเหี่ยวก็พองโตขึ้นมา


ความรู้สึกแบบนี้ผมจะเรียกมันว่าอะไรดีนะ? จะเรียกว่าความรักได้มั้ย? ขอกูมั่นใจอีกนิดแล้วจะรีบตอบมึงนะไอ้เอส...


2BC


 :mc4: สวัสดีค่า Soulmate ตอนที่ 17 ก็จบไปแล้ว คิดว่าตอนนี้น่าจะทำให้หลายๆคนยิ้มได้อีกตอน ก็หวังว่าจะชอบกันนะคะ  o18

ส่วนตอนหน้ามาลุ้นกันค่ะว่าซีจะเซย์เยสได้รึยัง พ่อกับแม่ก็ไฟเขียวละ เหลือแค่ซีละตอนนี้ ยังไงก็มาเอาใจช่วยเอสกันด้วยน้าาา  :impress:

แล้วเจอกันตอนหน้า ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์และกำลังใจนะคะทุกคน  :pig4: จุ๊บๆๆๆๆ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่17# ผมชอบลูกชายแม่นะครับ [21.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 22-11-2019 00:07:35
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่17# ผมชอบลูกชายแม่นะครับ [21.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 22-11-2019 00:08:42
 :z1:


 :กอด1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่17# ผมชอบลูกชายแม่นะครับ [21.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 22-11-2019 02:15:02
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่17# ผมชอบลูกชายแม่นะครับ [21.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 22-11-2019 12:03:16
วิญญาณหายไปเลย...
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่17# ผมชอบลูกชายแม่นะครับ [21.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Micky_MN ที่ 23-11-2019 06:18:31
เล่นตัวหนักมากกกกกกกก55
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่17# ผมชอบลูกชายแม่นะครับ [21.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 23-11-2019 11:47:47
อ่ะ. ห้เวลาซีทำใจอีกนิดก็ได้   :laugh:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่17# ผมชอบลูกชายแม่นะครับ [21.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Y-Darkness ที่ 25-11-2019 23:43:08
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่18# เวลามึงหึงนี่น่ารักดีนะ [27.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Sameejaejung ที่ 27-11-2019 21:33:02
Soulmate วิญญาณป่วนรัก


Part 18# Z เวลามึงหึงนี่น่ารักดีนะ


แชะ! แชะ! แชะ!


เสียงชัตเตอร์และเสียงหัวเราะคิกๆ คักๆ ทำให้ผมที่กำลังนอนอยู่ลืมตาตื่นขึ้นมา ตอนนี้ผมยังคงนอนอยู่ที่ตักของไอ้เอสเหมือนเดิม แต่เพิ่มเติมคือมียัยเอยืนถือโทรศัพท์อยู่ใกล้ๆ


“ถ่ายอะไรของแกวะ” แต่ทั้งที่ผมถาม มันกลับเมินแล้วเดินเอารูปไปให้ไอ้เอสดูซะงั้น


“เป็นไงคะพี่เอส ดีมั้ย” แล้วมันก็พยักหน้า


“แอดไลน์พี่แล้วส่งมาให้หน่อยสิ”


“ได้เลยค่ะ” จากนั้นพวกมันก็ถามไอดีไลน์เพื่อที่จะส่งรูปให้กัน คุยกันงุ้งงิ้งๆ ไม่สนใจผมเลย พออยากมีส่วนร่วมเลยจะลุกขึ้นไปดูด้วย แต่ไอ้เอสก็กดหัวผมเอาไว้ไม่ให้ลุกขึ้นซะงั้น


“ปล่อยกูววววววว” ก็ดิ้นอยู่สักพักอะกว่ามันจะปล่อยมือ พอลุกขึ้นมาได้อันดับแรกก็รีบจัดผมให้เข้าทรงก่อนเลย จากนั้นค่อยหันไปมองไอ้เอสตาขวาง


“ลบออกเลยนะ นั่นรูปกูที่ทำหน้าทุเรศๆ ตอนนอนใช่มั้ย”


“ไม่ใช่”


“กูไม่เชื่อ เอามาดูเลย”


“ไม่” แล้วไอ้เอสก็ลุกหนีไป ส่วนยัยเอคือวิ่งป่าราบตั้งแต่ที่ส่งรูปให้ไอ้เอสเสร็จละ ไวจริงๆ ไอ้น้องคนนี้ ว่าแต่นี่พึ่งกี่วันเอง ไอ้เอสมันใช้วิธีไหนคนทั้งบ้านถึงไปอยู่ทีมมันกันหมดเลยวะ หรือว่ามันจะใช้คุณไสยจริงๆ?


ว่าไปนั่น พึ่งตื่นสติสตังเลยยังไม่เต็มมั้งผม เดี๋ยวลุกไปล้างหน้าล้างตาสักหน่อยดีกว่า ส่วนเรื่องรูปเดี๋ยวผมค่อยหาโอกาสขโมยดูก็ได้ ยังไงไอ้เอสก็คงจะอยู่ที่นี่อีกหลายวัน


“เย็นนี้มีอะไรกินครับคุณนาย” ตื่นมาสักหน่อยผมก็เริ่มหิวเพราะไม่ได้กินข้าวเที่ยง พอเดินเข้าไปในครัวแล้วก็เจอแม่เข้าพอดี


“แม่กำลังดูอยู่ว่ามีอะไรเหลือบ้าง อืม...มีแค่ผัก สงสัยต้องไปตลาดแล้วล่ะ ไปด้วยกันกับแม่หน่อย”


“คร้าบ” แล้วแม่ก็เดินขึ้นไปบนห้อง คงจะไปหยิบกระเป๋าตังกับกุญแจรถ ส่วนผมก็ออกไปรอข้างนอก ซึ่งก็เห็นพ่อกับไอ้เอสกำลังรดน้ำต้นไม้ไปคุยกันไป ท่าทางจะถูกคอกันดี


“ไงซี ออกมาทำอะไรล่ะเรา” พ่อทักเมื่อเห็นผม


“ออกมารอแม่ครับ จะไปตลาด”


“ไปด้วยสิ” ประโยคนี้ไอ้เอสพูด ตอนแรกผมก็ว่าจะตอบไม่อยู่หรอกเพราะยังหมั่นไส้เรื่องรูปอยู่ แต่คิดไปคิดมาให้มันไปด้วยดีกว่า จะได้มีแรงงานทาสช่วยถือของ


“อือ”


“งั้นไว้เดี๋ยวค่อยคุยกันนะครับพ่อ” ไอ้เอสหันไปพูดกับพ่อผมก่อนที่มันจะเดินมาทางนี้


“เรียกพ่อกูว่าพ่อได้เต็มปากเลยนะ” ผมมองบนใส่


“หรือจะให้เรียกพ่อตา?”


“ไอ้...” แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้อ้าปากด่าและทุบไอ้เอสไปสักหมัด คุณนายแม่ก็เดินออกจากบ้านมาช่วยชีวิตมันเอาไว้ได้ก่อน


“ไปกันซี แม่พร้อมแล้ว”


“ฝากไว้ก่อนเถอะมึง” ผมชี้หน้าคาดโทษ แต่มันก็ยักไหล่ไม่ได้สะทกสะท้าน เนี่ย ธาตุแท้มันเป็นแบบเนี้ย ทำไมไม่มีใครเห็นนอกจากผมบ้างวะ


ตลาดอยู่ไม่ไกลจากบ้านของผมมาก ขับรถแค่ 5 นาทีก็ถึงแล้ว ที่ตรงนี้ถือว่าเป็นทำเลทองเลยก็ว่าได้ เพราะมีทั้งเซเว่น โลตัสเล็ก ร้านเสื้อผ้า แล้วก็ร้านขายสินค้าปลีก – ส่ง เรียกว่าเป็นศูนย์รวมของคนชาววังเลยล่ะ แล้วยิ่งช่วงเวลาเย็นๆ แบบนี้ด้วยนะ คนยิ่งมหาศาลจนแทบจะเหยียบกันตาย


แน่นอนว่าที่ผมพูดน่ะมันคือการเปรียบเปรย คนไม่ได้เยอะขนาดที่จะเหยียบกันตายได้จริงๆ หรอก แต่ยกเว้นวันนี้ ที่ผมคิดว่าคนอาจจะเหยียบกันตายขึ้นมาจริงๆ ก็ได้


ถามว่าทำไม?


ก็เพราะไอ้พระเอกอย่างไอ้เอสมันมาเดินตลาดน่ะสิ! ซึ่งทันทีที่มันลงจากรถแล้วชาวบ้านเห็นมันเท่านั้นแหละ...


“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด”


“ป๊าดดดดดดดดดดดดดด”


“ดาราติน่ะ!” (ดารารึเปล่า!)


“พระเอกพู่นเด้อสู!” (พระเอกเลยนะพวกเธอ!)


“ป้าดติโท่! ผู้บ่าวกรุงเทพคือมาหล่อกะด้อกะเดี้ย!” (โอ้โห! หนุ่มกรุงเทพหล่อมากเกินไปแล้ว!)


“หล่อโพด! หล่อโพ! หล่อคัก! หล่อขนาด! หล่ออีหลี!” (หล่อมากๆๆๆ หล่อจริงๆ)


จะบอกว่านี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะผมฟังไม่ทันแล้วก็จำได้ไม่หมด ก็คนเป็นร้อยอะคิดดู คือกูไม่น่าให้มันมาด้วยเล้ยยยย ดันลืมไปซะสนิทว่ามันเป็นดารา แค่วันแรกที่มาก็พากันยกโขยงมามุงแทบจะทั้งหมู่บ้าน ยิ่งมาตลาดที่คนทั้งอำเภอมาจับจ่ายใช้สอยกันแบบนี้ โอ้โห! ตลาดไม่แตกสิให้มันรู้ไป!


คนในเมืองกรี๊ดดาราเท่าไหร่ ที่นี่ให้เลยคูณสิบ! ก็อย่างว่าแหละ บ้านนอกแบบนี้จะไปหาดาราตัวเป็นๆ ดูได้ที่ไหน อย่างมากก็แค่วงหมอลำไรงี้ ยิ่งระดับพระเอกด้วยแล้วยิ่งไม่มีทาง พอมีโอกาสที่มันน่าเหลือเชื่อแบบนี้...ก็รุมทึ้งสิค้าบบบบ


ทั้งสาวน้อย สาวใหญ่ สาวแก่ แม่หม้าย หรือว่ารุ่นคุณยายก็ไม่มียกเว้น ต่างก็มะรุมมะตุ้มไปขอลายเซ็น ถ่ายรูป หรือว่าจับมือไอ้เอสกันใหญ่ ถ้าเป็นเมื่อก่อนคิดว่ามันคงจะทำหน้านิ่งเป็นหุ่นขี้ผึ้ง แล้วก็เดินหนีไปเพราะไม่ชอบความวุ่นวาย แต่ตอนนี้นอกจากจะไม่ทำแบบนั้นมันยังยิ้มและโบกมือทักทาย แถมยังยอมให้บรรดาสาวๆ ไม่ว่าจะเหลือน้อยเหลือมากเข้ามารุมล้อมได้ตามใจชอบ


เป็นผมเนี่ยที่ไม่ยอม คือตอนแรกก็ไม่ได้อะไร แต่หลังๆ นี่ชักเยอะไปแล้วนะสาวๆ จากที่ขอถ่ายรูปเดี่ยวก็กลายเป็นเซลฟี่ จากขอลายเซ็นที่กระดาษก็ให้เขียนที่อกเสื้อ จากขอจับไม้จับมือก็กลายเป็นจับแก้มจับหน้า ยิ่งบางคนนี่อาศัยช่วงชุลมุนโผเข้ากอดหรือว่าหอมแก้มด้วย!


คือมันเกินเบอร์ไปมากแล้วโว้ยยยยยยยยย!


“ทุกคน! ทุกคนคร้าบ! ฮัลโหล! ได้ยินผมมั้ย! ผมขอล่ะนะคร้าบ! เลิกรุมไอ้เอสกันก่อนนะ! พวกผมต้องไปธุระที่อื่นต่อ! เดี๋ยวจะไปไม่ทันคร้าบ!” ผมแหกปากสุดเสียง แล้วฝ่าวงล้อมฝูงชนเข้าไปลากตัวไอ้เอสออกมา


แม้ชาวบ้านแถวนี้จะดูตื่นเต้นมากที่ได้เจอดาราตัวเป็นๆ แต่พอได้ยินผมพูดแบบนี้ก็พากันเข้าใจเลยค่อยๆ สลายตัว ถึงอย่างนั้นก็ยังมีบางส่วนที่ยังยืนมองและยืนถ่ายรูป ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติทั่วไป แต่ก็มีที่เล่นใหญ่เหมือนกัน อย่างร้านขายเครื่องเสียงตรงนู้น ที่ถึงกับเปิดคาราโอเกะพร้อมกับชวนเหล่าสาวสว. (สูงวัย) ไปร้องเพลงแอ้วไอ้เอสซะลั่นตลาด


~ ทั้งใหญ่ ทั้งยาว ทั้งขาว ทั้งหล่อ


โอ๊ยจังแม่นเนาะ จังแม่นหล่อถืกใจ


บ่แม่นน้องเคียวห่าวใส่ผู้ชายได๋ หุ่นกะได้ สเปคน้องเลย


คันได้อ้ายมานอนเชย คือสิบ่เสียชาติเกิด ~



เสียงร้องให้ 5 แต่ท่าเต้นให้เต็ม 10 ไปเลย คือเหล่าป้าๆ พากันแดนซ์แบบไม่แคร์อะไรทั้งนั้น ทั้งวัย ทั้งเอว หรือแม้กระทั่งผัวที่ยืนข้างๆ ส่วนเนื้อร้องสองแง่สองง่ามมันก็เป็นปกติของเพลงลูกทุ่งอยู่แล้วอะนะ คนที่ไม่ค่อยชินอย่างไอ้เอสแถมยังโดนสายตาโลมเลียจากพวกป้าๆ ก็จะมีความเขินๆ อายๆ แต่สำหรับผมที่ได้ยินเพลงแนวนี้มาตั้งแต่เด็กก็เลยชิน ไม่ได้โดนเองด้วยแหละก็เลยมองว่าขำๆ บันเทิงจะตายไป


“ไม่ไปแดนซ์กับแก๊งสว.หน่อยหรอ” ผมเอาศอกสะกิดไอ้เอสพร้อมกับยิ้มแซวๆ ตอนแรกก็คิดว่ามันจะอายหนักกว่าเดิม แต่ผิดคาด


“ทีตอนกูถูกกอดกับหอมแก้มมึงไม่ยุแบบนี้บ้างล่ะ” อ้าว มันตอบมาแบบนี้จากที่อารมณ์ดีๆ ก็ชักยั้วะเลยดิ


“คือยังไง ชอบที่ถูกทำแบบนั้นว่างั้น?”


“อืม ชอบ”


“โหยไอ้คนเหี้ย! ที่แท้มึงเป็นคนแบบนี้เองหรอ! ถ้าชอบก็ไปเลยนะ! ไปให้สาวๆ รุมฟัดเลยไป๊!” แม่ง! ผมไม่คิดเลยจริงๆ ว่ามันจะเป็นคนแบบนี้ แล้วยังกล้ายอมรับออกมาอีกหน้าด้านๆ แถมยังมีหน้ามาหัวเราะด้วยอีก ปรี๊ดสิครับปรี๊ด


เอาจริงๆ นี่ก็ว่าจะโวยวายใส่มันอีกชุดสักหน่อย แต่คุณนายแม่ที่เดินดูของอยู่ด้วยท่าทางอารมณ์ดีก็หันมากระซิบเบรกผมซะก่อน


“อย่าเสียงดังสิซี อยากให้ชาวบ้านเขารู้กันหมดหรอว่าเป็นแฟนกัน”


“หา! ไม่ใช่นะแม่! ผมกับมันน่ะ...”


“หมูโลเท่าได๋จ๊ะ” เฮ้อออออ แม่นะแม่ไม่ยอมฟังกันเลย หันไปคุยกับเจ๊ขายหมูซะงั้น


ปกติถ้าคุยกับคนแถวนี้แม่จะใช้ภาษาอีสาน แต่ถ้าอยู่บ้านจะใช้ภาษากลางเพราะพ่อเป็นคนกรุงเทพ พอแต่งกับแม่เลยย้ายมาอยู่ที่นี่ ผมกับน้องก็เลยจะถนัดพูดภาษากลางกันมากกว่า ภาษาอีสานจะพูดไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่ เวลาพูดทีไรพวกเพื่อนก็มักจะด่าว่าเพี้ยน ให้พูดภาษากลางดีกว่า แต่ถ้าให้ฟังนี่ก็รู้เรื่องทุกคำนะ


“ไม่อยากรู้หรอว่า ที่กูบอกว่าชอบหมายถึงชอบอะไร” ไอ้เอสกระซิบที่ข้างหูผม


“อย่ามากวนได้มั้ยสัส อยากพูดอะไรก็พูด” คนยิ่งหงุดหงิดอารมณ์ไม่ดีอยู่ด้วย ถ้าไม่ติดว่ากลัวคนที่ตลาดได้ยินผมคงด่ามันไปอีกชุดละ แม่งทำหน้าระรื่นอยู่ได้


“ที่กูบอกว่าชอบ คือชอบที่เห็นมึงหึงกูน่ะ น่ารักดี” หน่านี้! ใครได้ไปหึงมันฟะ!


“พ่องสิ! คิดได้เนอะว่ากูหึงมึง! กูเนี่ยนะหึง! มึงเพ้อแล้วสัส!” ผมกัดฟันพูดเสียงเข้ม แม่ง คนเหี้ยอะไรโคตรหลงตัวเอง ขี้มโนขี้โมเมฉิบหาย


“เวลามึงหึงนี่น่ารักดีนะ”


“ยัง...ยังไม่หยุดพูดอีก!”


“ก็จะพูดจนกว่ามึงจะยอมรับว่าชอบกู”


“อย่ามาพูดจาไร้สาระ!”


“งั้นก็แย้งมาสิว่าที่กูพูดมันไม่ใช่ มึงไม่ชอบเวลามีคนมาแตะเนื้อต้องตัวกู ยิ่งกอดยิ่งหอมก็ยิ่งไม่ชอบ แล้วที่ยิ่งไม่ชอบมากที่สุด ก็คือการที่กูบอกว่าชอบที่ถูกทำแบบนั้น”


“...” ผมไม่ตอบ ไม่ยอมรับหรือปฏิเสธอะไร


คือตอนนี้ผมสับสนอะ อย่างตอนที่อยู่กองถ่ายละคร มันเข้าฉากกับนางเอกนางรองมากกว่านี้ผมยังไม่เห็นรู้สึกอะไร แต่ทำไมตอนนี้ผมถึงได้รู้สึกไม่พอใจล่ะ ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ


“ถ้าไม่ตอบกูจะถือว่ามึงยอมรับนะ”


“อย่ามาขี้ตู่! แล้วก็อย่ามาทำเป็นรู้ดีด้วย!” ผมสะบัดหน้าหนีแล้วรีบก้าวไปเดินข้างคุณนายแม่ ก่อนจะชี้นั่นชี้นี่ชวนคุยไปเรื่อยเพราะไม่อยากคุยกับไอ้เอส


ตั้งแต่เดินตลาดจนกลับมาถึงบ้าน ยาวไปจนถึงกินข้าวและดูละครหลังข่าวจบผมก็เอาแต่หลบเลี่ยงมัน ไม่ยอมพูด ไม่ยอมมองหน้า ไม่ยอมสบตา จนคุณนายแม่ที่ดูอยู่นานถึงกับทนไม่ไหว


“งอนอะไรเอสอีกเนี่ย ขี้งอนจริงๆ นะเรา เอ้าเคลียร์กันซะให้เรียบร้อย พวกแม่จะขึ้นไปนอนแล้ว” พูดจบคุณนายแม่ก็เดินขึ้นไปบนบ้าน โดยมีพ่อและยัยเอตามขึ้นไปติดๆ เหลือแค่ผมกับไอ้เอสแค่ 2 คนอะตอนนี้


“คราวนี้กูจะไม่ให้มึงหนีหรือว่าเลี่ยงไปเรื่องอื่นอีกแล้วนะ จะให้คำตอบกูได้รึยังซี” ใจจริงผมก็อยากจะกวนตีนมันอยู่หรอกนะว่าคำตอบอะไร แต่เห็นสีหน้าและแววตาที่จริงจังผมก็กวนไม่ออก


“ไปคุยกันที่อื่นดีกว่า” แล้วผมก็เดินนำไอ้เอสออกไปยังเถียงนาน้อยริมน้ำ


ถามว่าทำไมผมไม่คุยในบ้าน?


ล้านเปอร์เซ็นต์เลยนะ ที่พวกแม่บอกว่าขึ้นไปนอน แต่ความจริงคือขึ้นไปแอบฟังกันนั่นแหละ! แหม...ทำเป็นพูดว่าเปิดโอกงโอกาส อยากจะเผือกเรื่องของผมกับไอ้เอสกันล่ะไม่ว่า เพราะงั้นฝันไปเถอะว่าผมจะคุยให้ได้ยิน หึ!


ตอนนี้ผมกับไอ้เอสเดินมาถึงเถียงนาน้อยแล้ว พอได้อยู่สองต่อสองในที่เงียบๆ แบบนี้แล้วก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูกชอบกล อารมณ์แบบเขินๆ ปนกับประหม่า เพราะงั้นผมเลยตัดสินใจไม่มองหน้ามันแล้วไปนั่งมองฟ้า มองน้ำ มองต้นไม้ใบหญ้าแม่งเลย


“คิดอะไรอยู่” ไอ้เอสถามเมื่อลงมานั่งข้างๆ ผม ดีที่มันไม่มานั่งซ้อนข้างหลังเหมือนเมื่อวาน ไม่งั้นผมจะฟาดเข้าให้


“ก็คิดเรื่องมึงนั่นแหละ” พอได้ยินแบบนี้ไอ้เอสก็อมยิ้มออกมา


“คิดว่า?”


“กูได้ชอบมึงมั้ย”


“แล้วได้คำตอบรึเปล่า” ถึงจะถาม แต่ก็เหมือนมันจะรู้คำตอบอยู่แล้วอะ ก็ดูดิ แม่งยิ้มแป้นแล้นซะหน้าบานเชียว หมั่นไส้ว่ะ


“ถามจริง มึงชอบกูตรงไหน” ผมไม่อยากตอบมันเลยถามคำถามแม่งเลย


“ตรงความสดใสมั้ง ขนาดแค่มองไกลๆ ความสดใสของมึงยังทำให้กูยิ้มได้เลย แล้วยิ่งได้อยู่ใกล้ๆ มีหรอที่กูจะไม่ตกหลุมรักมึง” โอ้โห เจอคำตอบแบบนี้เข้าไปก็เขินสิครับพี่น้อง คือเขินเหี้ยๆ จนแทบอยากจะดำน้ำหนีให้รู้แล้วรู้รอดเลยอะ


แต่จะว่าไป ผมว่าประโยคที่มันพูดฟังดูแปลกๆ ยังไงชอบกล


“มึงพูดอย่างกับว่า ก่อนหน้านี้เคยมองกูอยู่นานแล้ว”


“ตอนแรกกูก็ไม่รู้ตัวหรอก แต่พอลองคิดย้อนดู กูอาจจะมองมึงตั้งแต่ก่อนชวนมาอยู่ที่บ้านด้วยกันอีกมั้ง”


“ล้อเล่นใช่ปะ!”


“กูพูดจริง” แล้วมันก็นิ่งไปสักพัก เหมือนกำลังนึกคำพูดหรือคิดถึงเหตุการณ์อะไรสักอย่าง “มึงอาจจะไม่รู้ตัว ไม่ว่ามึงจะทำอะไรก็มักจะเป็นจุดสนใจตลอด เพราะแค่มึงยิ้มมันก็ทำให้โลกสดใสแล้ว”


“มึงก็พูดเวอร์” ว่าแต่กูจะเขินทำไมวะเนี่ย


“กูบอกความรู้สึกของกูไปหมดแล้ว ทีนี้มึงจะบอกความรู้สึกของมึงได้รึยัง” ถึงใจจริงผมอยากจะอยากตอบว่ายัง แต่ดูท่าคงจะไม่ได้ซะแล้ว


เอาวะ! พูดก็พูด!


“ความจริงกูก็พอจะรู้แหละว่ากูรู้สึกยังไงกับมึง แต่คือกูไม่อยากยอมรับไง ความสัมพันธ์ระหว่างชายกับชายมันจะยั่งยืนหรอวะไรงี้ คือโลกนี้มันไม่ได้มีแค่กูกับมึงสองคน แต่ยังมีครอบครัว เพื่อนฝูง คนรอบข้าง แล้วก็สังคมอีก ทีนี้กูเลยลองคิดดูว่าถ้าหากกูกับมึงคบกันมันจะไปรอดมั้ย มันไม่เหมือนความสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิงอะ”


“...”


“มึงอาจจะคิดว่ากูคิดไกลเกินไปมั้ย แต่ถ้าจะคบใครสักคนกูก็อยากคบกันไปนานๆ ไม่อยากคบแป๊บๆ ก็เลิก ซึ่งถ้าหากกูคบกับมึงมันก็มีโอกาสเป็นแบบนั้นสูงมาก เพราะงั้นกูเลยคิดว่า กูควรตัดใจซะตั้งแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า ยิ่งถลำลึกไปมากมันก็ยิ่งเจ็บมาก มึงคิดแบบนั้นมั้ย”


“ไม่” ไอ้เอสตอบกลับทันที ดูจากสีหน้าของมันตอนนี้ผมก็พอจะเดาออกว่ามันกำลังคิดอะไร อยากจะแย้งอะไรผมบ้าง ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ผมหลุดขำออกมา


“อย่าพึ่งทำหน้าแบบนั้นดิ ฟังกูให้จบก่อน” ถึงจะไม่ค่อยอยากยอม แต่มันจะทำอะไรได้ล่ะ ก็ต้องยอมผมอยู่ดี


“พูดต่อสิ”


“ถึงไหนแล้วล่ะ...อ้อ ถึงที่กูพูดว่าควรรีบตัดใจก่อนจะยิ่งถลำลึกใช่มั้ย คือตอนแรกกูก็คิดแบบนั้นแหละ แต่พอคิดอีกแง่ตัดใจตอนนี้ถึงจะเจ็บน้อยมันก็เจ็บนะ อีกอย่างอนาคตมันเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ ถ้าลองเสี่ยงดูมันอาจจะเวิร์คก็ได้ แล้วกูก็จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลังที่ปฏิเสธมึงด้วย เพราะงั้น...มาคบกันเถอะ”


“...” ที่นิ่งเงียบไม่ใช่อะไร ผมว่าไอ้เอสคงกำลังอึ้งอยู่ มันคงไม่คิดว่าผมจะพูดว่าคบกันเถอะออกมา


“คือกูก็เขินเป็นนะเว่ย ถ้ามึงจะไม่ตอบอะไรแบบนี้กูก็...อื้อ!” จากที่คิดว่าจะลุกหนีไป แต่ผมก็ทำแบบนั้นไม่ได้ซะแล้ว เพราะไอ้เอสล็อกที่ท้ายทอยของผมไว้ แล้วเคลื่อนใบหน้าเข้ามาจูบผมอย่างรวดเร็ว


มันจูบผมแบบหนักๆ รสจูบเต็มไปด้วยความยินดี ดีใจ และมีความสุขมาก จากตอนแรกผมที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเลยเกร็งอยู่หน่อย แต่ตอนนี้ผมก็จูบตอบและปล่อยตัวตามสบาย ไหนๆ ก็ได้ปล่อยใจไปให้มันแล้วนี่


“มึงพูดแล้วห้ามคืนคำเด็ดขาด” ไอ้เอสพูดเมื่อถอนจูบออกมา ฟังดูเผินๆ เหมือนจะเป็นคำสั่ง แต่เปล่าหรอก มันกำลังขอร้องผมต่างหาก


“ไม่คืนหรอกน่า เห็นกูเป็นคนยังไงเนี่ย”


“คนที่เป็นแฟนกู”


“แหม มึงนี่พูดได้ไม่อายปากเลยนะ” ผมมองบน ส่วนมันก็ยักไหล่ แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วิมันก็เปลี่ยนโหมด สายตาจ้องมองมาที่ผมแล้วเลื่อนมือมาประคองที่ข้างแก้มช้าๆ


“ขอจูบอีกครั้งได้มั้ย” ใจสั่นเลยดิกู ก็ดูสายตาของมันสิ เหมือนอยากจะกลืนกินผมทั้งตัวยังไงยังงั้น แล้วยังจะเสียงกระเส่านิดๆ นั่นอีก


“ที่ผ่านมาทำยังกะเคยขอ” ผมเสหน้ามองไปทางอื่น คือถ้าจะให้ตอบว่าก็มาดิค้าบมันก็จะดูใจกล้าเกินไป


“นั่นสินะ” แล้วมันก็จัดการจูบผมเลย ชอบจูบปุบปับไม่ให้ตั้งตัวตามเคยอะมัน และแน่นอนว่าจูบจากคนอย่างมันก็ไม่ใช่จูบแบบใสๆ อยู่แล้ว


 ริมฝีปากของมันกดแนบลงมาอย่างหนัก ก่อนที่จะขบเม้มและดูดดุนที่ริมฝีปากของผมจนรู้สึกเสียววาบ แล้วในจังหวะที่ผมเปิดปาก ลิ้นร้อนๆ ก็สอดแทรกเข้ามาทันที


“อืม...” ผมหลุดเสียงครางออกมาเบาๆ ปลายลิ้นของเราที่สัมผัสกันมันทำให้ผมรู้สึกราวกับว่ามีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่าง ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ผมเสียการควบคุม สมองของผมมันมึนและเบลอไปหมดจนคิดอะไรแทบไม่ออกแล้ว


“อือ...อื้ม...” ผมเริ่มครางหนักขึ้น โดยไม่รู้ตัวเลยว่าได้จูบตอบและแลกลิ้นกับไอ้เอสอย่างดุเดือดแค่ไหน รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มันดันผมลงไปนอนที่พื้น แล้วก็สอดมือเข้ามาในเสื้อของผมนั่นแหละ


“ดะ...เดี๋ยว! เดี๋ยวก่อน! นี่มึงกำลังจะทำอะไร!” จากที่เคลิ้มๆ อยู่ก็ตาเหลือกเลยดิผม


“ถึงขนาดนี้ยังต้องให้กูพูดอีกหรอ” ก็นั่นน่ะสิ สีหน้าของมึงออกอาการหื่นชัดเจนขนาดนี้ มึงคงจะไม่ชวนกูนอนดูดาวที่นี่แน่ๆ


“โอเค งั้นมึงไม่ต้องพูด แล้วก็ช่วยลุกขึ้นไปด้วย” ผมพูดพร้อมกับดันที่แผ่นอกของมัน แต่แม่งก็ไม่ยอมขยับไปไหนเลยอะ


“แต่มึงเป็นแฟนกูแล้วนะ” พอโหมดทำให้เคลิ้มไม่ได้ผลก็มาโหมดลูกอ้อนเลยเรอะไอ้นี่ แต่โทษที กูใจแข็งมากกว่าที่มึงคิดว่ะ


“แค่วันแรกก็จะให้กูเปลี่ยนสถานะจากแฟนเป็นเมียเลยรึไง” เอาจริงๆ ผมก็อยากเป็นผัวอยู่นะ แต่ดูทรงละแม่งไม่น่าเวิร์ค คือด้วยบริบทมันก็เข้าใจได้ด้วยตัวเองอะว่าใครเป็นฝ่ายไหน แต่ขอเวลาผมทำใจสักหน่อยก็แล้วกัน


“ความจริงกูถือว่ามึงเป็นเมียกูตั้งแต่วันที่ช่วยกันที่โรงแรมแล้วนะ”


“สัส!” ถึงว่าล่ะหลังจากวันนั้นมันก็ดูแลใส่ใจผมแปลกๆ แถมยังโมโหเรื่องที่ผมไปเดทกับแพรด้วย คิดแล้วก็ตลกเหมือนกันที่ผมดันเข้าใจผิดว่ามันหึงแพรซะได้


“ตอนนั้นยังไม่ได้คบกันกูเลยยั้งไว้ แต่ตอนนี้กูพูดเลยว่าจะไม่ทน”


“แต่มึงต้องทน!” ผมพูดพร้อมกับยกมือขึ้นไปดันหน้ามันที่กำลังจะก้มจูบลงมา


“ซี ไม่เอาน่า...”


“มึงช่วยแหกตาดูด้วยว่าที่นี่มันคือที่ไหน” เถียงนาน้อย! ไอ้ฉิบหาย! ประสบการณ์เสียตัวครั้งแรกมึงก็จะจัดเอาท์ดอร์กับกูเลยเรอะ!


“งั้นก็ไปที่ห้องมึงกัน”


“สัส! พ่อแม่น้องกูก็อยู่บ้าน!”


“กำแพงห้องมึงหนาอยู่ กูลองเคาะดูแล้ว” ว้อทเดอะฟัค! นี่ธาตุแท้มึงเป็นคนแบบนี้เองเรอะ!


“แต่มันใช่เรื่องที่จะมาทำที่บ้านเปล่าวะ!”


“กูมีให้มึง 2 ทางเลือก จะทำที่นี่หรือที่ห้องนอน เลือกมา” แล้วฉันเลือกอะไรได้ไหม เลือกให้เธอไม่ทำได้รึเปล่า หากไม่ยอมให้ทำ จะตามใจฉันหรือเธอ ณ จุดๆ นี้กูอยากร้องเพลงนี้ตอบไปมากอะ


“คือมึง...แบบว่า...เรื่องแบบนี้มันก็ต้องมีเตรียมตรงเตรียมตัวกันก่อนนึกออกมะ อย่างถุงยางงี้ เจลหล่อลื่นงี้ มึงมีหรอ”


“ไม่มี”


“นั่นไง!” กำลังว่าจะตบเข่าฉาดอยู่แล้ว แต่ประโยคถัดมาของไอ้เอสก็ทำเอาผมที่กำลังจะง้างมือถึงกับต้องเบรกซะก่อน


“แต่ของพวกนี้กูขับรถออกไปซื้อที่เซเว่นก็ได้ จะเอายี่ห้อไหน รสไหน กลิ่นไหน เลือกมาสิ”


“เห็นเขาว่า Durex Chocolate ที่พึ่งออกใหม่ก็หอมนะมึง................ถุ้ย! ไม่ใช่แล้วมั้ยสัส!” ดันเผลอเคลิ้มตามมันไปซะได้ บ้าจริง! “ประเด็นมันอยู่ที่มึงเป็นดารานะเว่ย จะออกไปเซเว่นซื้อของพวกนั้นได้ยังไง สังคมบ้านนอกมันเล็กจะตาย แป๊บๆ แม่งก็รู้กันทั้งหมู่บ้าน มึงได้กลายเป็นที่เมาท์แน่ๆ เชื่อกู”


ใครว่าไอ้เอสมันตะล่อมเก่งคนเดียว พอถึงเวลาคับขันผมก็ทำได้เหมือนกันล่ะวะ หึหึ


“แล้วกูต้องทนอีกนานแค่ไหน” มันถอนหายใจ สีหน้าเซ็งสุดอะไรสุด


“ก็จนกว่าจะมีถุงยางมีเจลหล่อลื่นพร้อมไง อีกไม่กี่วันมึงก็กลับกรุงเทพแล้วนี่ ยังไงมึงก็ต้องลากกูกลับไปด้วยอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ” เหลือเวลาทำใจอีกกี่วันวะกู 1...2...3...4... 4 วันก็ยังดี เผลอๆ วันที่ 5...6...7... กูอาจจะไหลได้อีกก็ได้ใครจะไปรู้


แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น อีก 2 วันต่อมา...


“พัสดุมาส่งคร้าบ!” บุรุษไปรษณีย์มาส่งของแต่เช้าเลย จ่าหน้าชื่อผมด้วย งงในงงเลยดิ ผมว่าผมก็ไม่ได้สั่งอะไรไปสักหน่อย เพราะงั้นพอเซ็นรับของเรียบร้อยแล้วก็เลยเปิดดูมันซะเลย ซึ่งพอเห็นของที่อยู่ข้างในเท่านั้นแหละ...


“เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยย!” แหกปากดังลั่นไปดิผม เอาจริงๆ ไม่ตกใจจนโยนของในกล่องให้มันกระจัดกระจายก็ดีเท่าไหร่แล้ว


ถามว่าทำไมผมถึงได้ตกใจขนาดนี้?


ก็เพราะมันมีถุงยางอนามัยกับเจลหล่อลื่นอยู่ในกล่องน่ะสิ!


2BC


 o18 สวัสดีค่าทุกคนนน ขอโทษที่มาช้าไปหน่อยนะคะ แบบว่าช่วงสิ้นเดือนงานเยอะมว้ากกกก  :katai4: เพราะงั้นเพื่อเป็นการไถ่โทษตอนนี้เราเลยจัดให้แบบยาวๆ ให้ได้ฟินกันหลายๆ ฉากแบบจุใจไปเลย ซึ่งก็หวังว่าจะชอบกันน้าาา  :m1:

ส่วนตอนหน้ามาลุ้นกันต่อว่าชะตากรรมของซีจะเป็นยังไง จะรอดจากเงื้อมมือเอสมั้ย  o3 ว่าแต่ใครสั่งของมาส่ง? ผีหรือคนมาเดากันค่ะ อิอิ แล้วเจอกันค่า ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเมนท์ให้เค้านะคะที่ร้าก  :pig4: บ๊ายบายยยย  :bye2:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่18# เวลามึงหึงนี่น่ารักดีนะ [27.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 27-11-2019 21:48:32
 :pig4: :pig4: :pig4:

555 ยกนี้ไอ้เอสชนะใส  หุหุ
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่18# เวลามึงหึงนี่น่ารักดีนะ [27.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 27-11-2019 22:42:24
ถึงขั้นนี้แล้วคงอดทนรอไม่ไหวล่ะ ไหนๆ พ่อตาแม่ยายก็ยินดียกลูกชายให้แล้ว กะจัดเลยสินะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่18# เวลามึงหึงนี่น่ารักดีนะ [27.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 27-11-2019 23:49:12
 :mc4:


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่18# เวลามึงหึงนี่น่ารักดีนะ P.4 [27.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Micky_MN ที่ 29-11-2019 03:01:11
ซีคนแมนขอเอสเป็นแฟนเลย ชอบอ่ะ
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่18# เวลามึงหึงนี่น่ารักดีนะ P.4 [27.11.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Y-Darkness ที่ 30-11-2019 21:27:05
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่19# ครั้งแรกมันเจ็บมากเปล่าวะ? [2.12.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Sameejaejung ที่ 02-12-2019 22:31:31
Soulmate วิญญาณป่วนรัก



Part 19# Z ครั้งแรกมันเจ็บมากเปล่าวะ?


“โวยวายอะไรแต่เช้าน่ะซี!” คุณนายแม่ตะโกนออกมาจากในบ้าน ทำเอาผมถึงกับสะดุ้งโหยง ใจแทบหล่นลงไปถึงตาตุ่ม มือไม้ลนลานจนปิดกล่องคืนแบบผิดๆ ถูกๆ


“ไม่มีอะไรครับแม่! เมื่อกี้ผมลื่นเกือบล้มเฉยๆ!” ก็รู้แหละว่าโกหกมันบาป แต่จะให้ผมพูดความจริงเรอะว่าตกใจที่เห็นถุงยางกับเจลหล่อลื่น ถ้าจะให้พูดแบบนั้นให้ผมไปโดดน้ำตายซะยังดีกว่า


ซึ่งขณะที่ผมกำลังคิดข้ออ้างอยู่ว่า จะตอบคำถามคุณนายแม่ยังไงถ้าหากถูกถามเรื่องของในกล่อง ไอ้เชี่ยเอสที่ไม่รู้ว่าออกมายืนข้างหลังผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็พูดขึ้น


“อะไรมาส่งน่ะ”


“เหี้ย!” มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงแบบนี้ก็ตกใจสิผม แต่มันออกมาก็ดีละ “ยังจะมีหน้ามาถามกูอีกนะ ก็ของที่มึงสั่งมาส่งไงสัส”


“กูไม่ได้สั่งอะไรสักหน่อย”


“อย่ามาสะตอ!”


“กูไม่ได้สั่งจริงๆ ว่าแต่ของข้างในเป็นอะไรน่ะ” แล้วมันก็คว้ากล่องจากมือผมไปเปิดดู “อ้อ ที่แท้ก็ถุงยา...”


“หุบปากเลยนะ!” ผมรีบเอามือไปตะครุบปิดปากไอ้เอสทันที แม่งจะพูดออกมาหาอะไรก็ไม่รู้ เห็นทีต้องขู่แม่งสักหน่อย “ถ้ามึงพูดอะไรที่ไม่เข้าท่าล่ะก็...เจอดีแน่!”


“อือๆ” มันรับคำทั้งที่ยังถูกผมปิดปากเอาไว้ พอได้ยินแบบนี้ผมถึงได้ยอมปล่อยมือ ซึ่งขณะนั้นเองคุณนายแม่ก็เดินออกมาจากในบ้านพอดี


“เมื่อกี้แค่เกือบแต่ไม่ได้ลื่นล้มใช่มั้ยลูก” ดูท่าทางแม่จะเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย คงเพราะเสียงร้องดังลั่นของผมเมื่อกี้นี่แหละ ชักรู้สึกผิดเลยแฮะ แต่มาถึงจุดนี้ผมก็ต้องเดินหน้าโกหกต่อเท่านั้นแหละ


“ไม่ครับแม่” ผมแสร้งยิ้มกว้าง


“แล้วนั่นสั่งอะไรมา”


“หา? อะ...อ๋อ...พวกอุปกรณ์การเรียนน่ะแม่” เหงื่อไหลเป็นน้ำก๊อกเลยกู ถ้าคุณนายแม่ขอดูจะทำยังไงวะเนี่ย แต่ทั้งที่ผมกำลังเครียดจนแทบจะเป็นบ้า ไอ้เชี่ยเอสกลับก้มหน้าลงมากระซิบที่ข้างหูผมอย่างกวนส้นตีนซะงั้น


“ไม่บอกด้วยล่ะว่าวิชาเพศศึกษา”


“สัส!” ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่มัน จากนั้นก็หันไปยิ้มให้คุณนายแม่ที่มองมาด้วยท่าทางอยากรู้ว่าคุยอะไรกัน “ไม่มีอะไรหรอกครับแม่ ว่าแต่ทำกับข้าวเสร็จแล้วหรอ เปิดไฟที่เตาเอาไว้รึเปล่า ระวังอาหารจะไหม้เอานา”


“อุ้ย! ลืมไปเลย งั้นเดี๋ยวแม่รีบไปดูก่อน” พูดจบแม่ก็รีบกลับเข้าไปในบ้าน ผมที่เห็นอย่างนั้นเลยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก


“เดี๋ยวก่อน จะไปไหนอะมึง” ผมรีบทักไอ้เอสที่กำลังจะเนียนเดินหนีเข้าบ้านด้วย


“ว่าจะไปช่วยแม่ทำกับข้าว”


“ไม่ต้องเลยสัส มานี่เลย เรามีเรื่องต้องคุยกัน” แล้วผมก็ลากมันไปยังเถียงนาน้อยที่ผมเกือบจะเสียเอกราช แต่ที่ผมลากมานี่ไม่ใช่ว่าผมจะทำกับมันหรอกนะ ตรงนี้มันไม่มีคนผมเลยด่ามันได้สะดวกต่างหาก


“ไอ้หื่น! ไอ้กาม! ไอ้หมกหมุ่น! ไอ้โรคจิต! ไอ้ตัณหาจัด!” พอมาถึงผมก็ใส่ยับเลย แต่ทั้งที่ผมด่าไปขนาดนี้มันกลับไม่มีสำนึก ดันหัวเราะออกมาซะงั้น


“มีผู้ชายคนไหนบ้างที่ไม่หื่น ไม่เป็นอย่างที่มึงพูด”


“แต่มึงมันเกินไป!”


“เกินไปตรงไหน ก็หื่นกับมึงคนเดียว ไม่ได้ไปหื่นกับใครสักหน่อย” มาแบบนี้ก็ไปไม่เป็นดิวะ จะด่าหรือจะเขินเลือกไม่ถูกเลยเนี่ย


“สรุปยอมรับแล้วใช่มั้ยว่ามึงเป็นคนสั่งไอ้ของพวกนี้มา” เรื่องหื่นไม่หื่น กามไม่กาม จบก็ได้ แต่เรื่องถุงยางกับเจลหล่อลื่นผมพูดเลยว่าไม่จบง่ายๆ แน่นอน


“มีประโยคไหนที่กูยอมรับ”


“เอ๊าไอ้สัส!”


“กูไม่ได้สั่งจริงๆ”


“ก็ถ้าไม่ใช่มึงแล้วจะเป็นใคร” ไอ้เอสยักไหล่


“งั้นกูถามหน่อย ยังจำรูปอีฟที่แอคเคาท์มึงส่งเข้าไปในไลน์กลุ่มได้มั้ย มึงบอกกูว่าไม่ได้เป็นคนส่ง แต่ขอถามหน่อย ถ้าไม่ใช่มึงแล้วจะเป็นใคร”


“นั่นมัน...” เถียงไม่ออกเลยผม เรื่องนั้นหลักฐานแม่งมัดตัวผมแน่นมาก “แต่กูไม่ได้เป็นคนส่งจริงๆ นะเว่ย”


“อืม กูเชื่อ ก่อนนี้กูก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ แต่ตอนนี้กูเชื่อแล้วว่ามึงไม่ได้ส่งจริงๆ” ถึงผมจะงงก็เถอะว่าทำไมมันถึงได้เปลี่ยนใจ แต่ก็ดีเหมือนกัน แล้วผมก็จะไม่ถามให้มากความด้วย


“ขอบใจที่เชื่อกู”


“แล้วเรื่องนี้มึงจะเชื่อกูมั้ย” ถึงมันจะเชื่อได้ยาก แต่ผมจะยอมเชื่อมันก็ได้วะ


“เออ เชื่อ”


“งั้นเป็นอันว่าเรื่องนี้จบนะ”


“จบก็จบ”


“เด็กดี สรุปคืนนี้มึงก็ไม่มีข้ออ้างแล้วนะ”


“อืม...หืม? เดี๋ยวนะ?” อะไรยังไง นี่ไอ้เอสมันพูดถึงเรื่องไหน มันคงไม่ใช่เรื่องที่ผมกำลังคิดอยู่ใช่มั้ย


“วันก่อนมึงเป็นคนบอกกูว่า ให้กูทนจนกว่าจะมีถุงยางกับเจลหล่อลื่น ตอนนี้ก็มีแล้ว เพราะงั้นมึงก็เลิกหาข้ออ้าง เตรียมตัวเป็นเมียกูไว้ได้เลย” พูดจบมันก็ก้มหน้าลงมาจูบปากผมหนักๆ หนึ่งที ก่อนที่จะเดินอย่างอารมณ์ดีเข้าไปในบ้าน


ส่วนผมน่ะหรอ?


ช็อก! ก็ช็อกดิค้าบ! ยืนอ้าปากค้างตัวแข็งเป็นหินไปดิ! ฉิบหายแล้วชีวิตกู!


เอายังไงดีวะ จะแกล้งป่วยก็กลัวไม่เนียน จะทำเป็นเกิดอุบัติเหตุก็กลัวเจ็บ ถ้าจะให้หนีก็ไม่รู้จะไปที่ไหน อีกอย่างยังไงวันหนึ่งผมก็ต้องโดนอยู่ดี หรือว่าผมจะยอมเป็นเมียมันวันนี้ไปเลยดีวะ?


แม่ง ดูเหมือนว่าจะต้องเป็นแบบนั้น แต่อย่าให้กูรู้นะว่าอ้ายอีหน้าไหนเป็นคนสั่ง พ่อจะขอสาปแช่ง...ไม่สิ กูจะขอแช่งตรงนี้เลย! ขอให้มันได้ผัวโหด โฉด เถื่อน โดนรวบหัวรวบหาง โดนล่ามโซ่ไว้ในห้อง โดนโขกสับทารุน ประหนึ่งนางเอกในจำเลยรักแม่งเลย!


“สาธุ” ผมยกมือไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ปกติผมไม่เคยแช่งใคร ก็ไม่รู้หรอกว่าจะได้ผลมั้ย แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรล่ะวะ ฮ่าๆๆ


เอาล่ะ ในเมื่อสาปแช่งไปแล้วก็ถือว่าหายกัน ผมจะไม่ตามสืบว่าใครเป็นคนสั่งไอ้ของพวกนั้นมา เพราะถึงรู้ไปมันก็เปลี่ยนชะตากรรมของผมไม่ได้ เพราะงั้นสิ่งที่ผมทำได้ก็มีแต่โทรปรึกษากูรูเท่านั้นแหละ


เฮ้อออออ คิดบวกไปมั้ยเนี่ยกู!


ผมล้วงโทรศัพท์ออกมาแล้วค้นหารายชื่อของกูรูที่ว่า ซึ่งก็รอสายอยู่สักพักกว่ามันจะรับ แหงล่ะก็นี่มันพึ่ง 7 โมงนิดๆ เอง


[“โหล...”] เสียงยานคางงัวเงียอย่างที่ผมคิดเอาไว้จริงๆ


“มึง กูมีเรื่องจะปรึกษา ออกมาคุยคนเดียวหน่อยดิ” ทายซิว่าผมโทรหาใคร?


[“เออๆ ปรึกษาเหี้ยไรแต่เช้าวะสาด ดีนะที่ไอ้อาร์ทมันยังไม่ตื่น”] ใช่แล้ว คนที่ผมโทรหาคือไอ้หลิน ก็มันเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวที่เคยมีผัว ถ้าไม่ให้ผมโทรปรึกษามันจะให้ผมโทรปรึกษาใครล่ะ


“ทางสะดวกยัง”


[“อีผี อารมณ์กูตอนนี้เหมือนแอบผัวมาคุยกับชู้เลยแม่ง”]


“ฮ่าๆๆ จะว่าไปก็จริง”


[“แล้วนี่จะคุยนานมะ”]


“สักพัก”


[“เค งั้นกูไปล้างหน้าแป๊บ”] แล้วไอ้หลินมันก็หายไปสัก 2 – 3 นาทีได้


ระหว่างนั้นผมก็คิดไปด้วยว่าจะถามไอ้หลินยังไงดี คือเรื่องแบบนี้มันก็เป็นเรื่องที่น่าอายอะ แต่แค่ลำพังข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตมันก็ไม่พอนึกออกปะ บางเว็บบางกระทู้แม่งก็เขียนไม่เหมือนกัน เพราะงั้นผมเลยคิดว่าโทรถามกูรูใกล้ตัวนี่แหละดีที่สุด ถึงมันจะคนละเพศกับผมแต่ก็รับบทเมียทั้งคู่ล่ะวะ


[“โอเคพร้อม มีอะไรก็ว่ามา”]


“คือแบบ...กูอยากจะปรึกษาเรื่อง...เอ่อ...18+ อะมึง อยากรู้ว่าครั้งแรกมันเป็นยังไง” ตอนที่โทรมาก็คิดว่าตัดสินใจแน่วแน่เด็ดขาดแล้วนะ แต่พอเอาเข้าจริงๆ แม่งก็ยังอึกอักอยู่ดี ก็คนมันอายนี่หว่า


[“เอ๊า นี่พวกมึงยังไม่ได้กันอีกหรอวะ กูก็นึกว่าได้เสียเป็นเมียผัวกันตั้งนานละ”]


“สัส กูไม่ได้ง่ายขนาดนั้นนะเว่ย”


[“มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับง่ายไม่ง่ายนี่ พวกมึงเป็นแฟนกัน รักกันชอบกัน พออยู่ใกล้กันมันก็ต้องมีเกิดอารมณ์บ้างถูกมั้ย ถ้าจะได้กันมันก็เป็นเรื่องปกติเปล่าวะ”]


“มึงแม่งก็พูดตรงเกิ้น กูเป็นผู้ชายยังอายเลยสัส”


[“หรือมึงจะเถียงว่าไม่จริงล่ะ”]


“ก็...เปล่า ที่มึงพูดมันก็จริงนั่นแหละ”


[“เห็นมั้ย ขนาดกูเป็นผู้หญิงผัวสะกิดนิดนึงกูก็มีอารมณ์ละ มึงที่เป็นผู้ชายจะไม่หนักกว่ากูอีกหรอ”]


“มันก็...มีอยู่นั่นแหละ...” ผมตอบด้วยเสียงอ้อมแอ้ม


คือตั้งแต่ที่ตกลงคบเป็นแฟนกับไอ้เอส ทุกคืนผมกับมันก็นอนที่ห้องเดียวกันตลอด แต่ก็ยังไม่ได้มีอะไรกันหรอก แค่กอดจูบลูบคลำนิดหน่อย อย่างที่รู้กันว่าไอ้เอสมันมือไว แล้วผมก็ดันเคลิ้มง่ายด้วย ดีที่สติมาก่อนเพราะอุปกรณ์ไม่พร้อมก็เลยห้ามมันได้สำเร็จ


[“นั่นไง แล้วงี้มึงจะทนต่อไปเพื่อ มีอารมณ์มันก็ต้องปลดปล่อยดิวะ หรือจะเก็บสะสมไว้แลกแต้ม”]


“โหยมึงก็พูดซะ คือกูก็แค่กลัวอะ” ทั้งกลัวเจ็บ กลัวอาย กลัวมันได้ง่ายๆ ก็เบื่อ แล้วก็กลัวอีกสารพัดสิ่ง ถึงปกติผมจะเป็นคนบ้าๆ บอๆ แต่บางทีก็จะมีเวลาที่ผมคิดมากเหมือนกันนะ


[“กูก็พอจะเข้าใจความคิดของมึงนะ แต่นี่มันปี 2019 แล้วนะเว่ย โลกมันไปถึงไหนแล้ว หรือว่ามึงคิดว่านี่มันยุคกรุงศรีฯ กูเป็นผู้หญิงกูยังไม่เห็นคิดมากเลย แล้วมึงเป็นผู้ชายจะคิดอะไรเยอะ เซ็กส์มันเป็นเรื่องธรรมชาติเว่ย”]


“เรื่องนั้นกูก็รู้อยู่หรอก แต่กูยังไม่เคยนี่หว่า มึงโปรแล้วมึงก็พูดได้นี่”


[“เอาจริงๆ ครั้งแรกก็จะมีเขินบ้าง แต่หลังๆ เผลอๆ จะโดดขึ้นคร่อมผัวเอง”]


“พ่อง! ใครจะไปทำ!”


[“แหม...ก็ไม่แน่ อย่าลืมว่ากูอาบน้ำร้อนมาก่อน”]


“ขอให้ลวกผิวแม่ง”


[“อีผี! ไม่ใช่น้ำร้อนแบบนั้นมั้ย! เอาเป็นว่าพอถึงเวลามึงก็อย่าวิตกจริต อย่าคิดมาก แล้วก็อย่าเกร็ง ให้เอสเป็นคนนำไป ส่วนมึงก็ตามน้ำทำตัวสบายๆ ปล่อยร่างกายไปตามอารมณ์อะ”]


“แล้วครั้งแรกมันเจ็บมากมั้ยวะ เห็นบางคนแม่งบอกมีเลือดออกด้วยอะ” บอกเลยว่านี่คือสิ่งที่ผมกลัวที่สุด ซึ่งก็คือเหตุผลหลักที่ผมยังไม่อยากมีอะไรกับไอ้เอส


[“ถ้าจะเลือดออกขนาดนั้น ถ้าของผัวมันไม่ใหญ่เท่าเสาบ้านก็คงจะโดนข่มขืนแล้วล่ะไอ้ห่า คือถามว่าเจ็บมั้ยมันก็มีเจ็บบ้าง แต่ก็ไม่ได้มากขนาดนั้น แล้วเดี๋ยวพอทำไปสักพักมึงก็จะลืมเจ็บเอง”]


“จริงหรอวะ” เรื่องลืมเจ็บนี่มันเป็นไปได้อ่อ? ผมนึกยังไงก็นึกไม่ออกเลยอะ


[“ก็จริงดิ กูจะโกหกมึงทำไมล่ะ คือก่อนจะเข้าไปมันก็ต้องมีเล้าโลม มีขยายช่องทางเตรียมพร้อมก่อนมึงนึกออกมะ ไม่ใช่จับโยนลงเตียงแล้วใส่ยับตับๆๆ เลย”]


“แม่ง มึงพูดซะกูเห็นภาพ” หน้าร้อนเลยเนี่ย ถามว่าอากาศหรอ? เปล่า...หน้ากูนี่แหละ!


[“ก็กูอยากให้มึงเข้าใจง่ายๆ เนี่ย...เชื่อมะ ถ้ามีใครมาได้ยินคงคิดว่ากูกร้านโลกมากอะ ฮ่าๆๆ”] จะว่าไปก็จริง คำแนะนำนี่เหมือนว่ารบผ่านมาแล้วทุกสงคราม แต่ความจริงแล้วมันก็เคยกับแค่ไอ้อาร์ท ซึ่งก็ผ่านครั้งแรกมายังไม่ถึงปีด้วยซ้ำมั้ง


“ก็ถ้ากับคนอื่นมึงก็คงไม่กล้าพูดขนาดนี้ใช่มั้ยล่ะ”


[“เออสิวะ ใครมันจะไปกล้า”]


“ขอบใจมากนะมึง”


[“โวะ มาขอบจงขอบใจทำไม ก็แค่แบ่งปันประสบกาม”]


“ประสบการณ์มั้ยวะ”


[“เออ นั่นแหละ ไงพรุ่งนี้ก็มาอัพเดทให้กูฟังหน่อยนะ เดี๋ยวจะนั่งรอโทรศัพท์ทั้งวันเลย อิอิ”] แล้วมันก็หัวเราะคิกๆ คักๆ นี่ถ้านั่งอยู่ข้างๆ มันคงแซวจนผมต้องมุดดินหนีความอาย


“พ่อง ใครจะไปเล่า แค่นี้แหละแม่กูเรียกไปกินข้าวละ บาย” พูดจบผมก็วางสายเลย แต่ว่าผมไม่ได้โกหกไอ้หลินนะ คุณนายแม่ตะโกนจากหน้าบ้านเรียกผมไปกินข้าวแล้วจริงๆ


หลังจากที่กินข้าวเสร็จพ่อก็ไปส่งยัยเอที่โรงเรียน จากนั้นก็จะเลยไปที่ทำงาน ส่วนคุณนายแม่ ผม ไอ้เอสก็ไม่ได้ไปไหน ทำงานบ้านทำนู่นนั่นนี่ไปเรื่อย พอเหนื่อยก็งีบหลับ นั่งเล่น หรือดูทีวี


ชีวิตเหมือนจะมีความสุขมากเลยใช่มั้ย? คือก็ใช่แหละสำหรับแม่แล้วก็ไอ้เอส แต่สำหรับผมคือจิตตกจะตายห่าอยู่ละ เผลอแป๊บๆ พ่อกับยัยเอก็กลับมา หายใจต่ออีกไม่กี่เฮือกก็กินอาหารค่ำกันเสร็จ แล้วตอนนี้กระพริบตาอีกทีละครหลังข่าวก็จบเรียบร้อยแล้ว


คุณพระช่วย! (ผมด้วย!) ทำไมเวลาแม่งผ่านไปเร็วจังวะ!


“เดี๋ยวพวกแม่ขึ้นไปนอนก่อนนะ พวกลูกก็รีบเข้านอนล่ะ” ผมตั้งใจจะตอบแม่ว่า ‘ไม่รีบ กะจะอยู่ยันหว่าง’ แต่ไอ้เอสก็ชิงตอบไปซะก่อนด้วยใบหน้าแป้นแล้น


“ครับแม่ พวกผมก็ว่าจะขึ้นห้องนอนแล้วเหมือนกัน”


“งั้นก็ราตรีสวัสดิ์นะลูก” พูดจบคุณนายแม่ก็ชวนพ่อกับยัยเอขึ้นไปบนบ้าน งานเข้าละ เหลือแค่ผมกับไอ้เอสสองคนละทีนี้


“พร้อมจะเป็นเมียกูรึยัง” มันกระซิบถาม แม่งไม่คิดจะอ้อมค้อมสักหน่อยเลยหรอวะ


“ถ้ากูบอกว่ายังล่ะ” คือผมก็ยังมีความหวังไง เผื่อมันจะใจดี สงสารลูกนกลูกกาอย่างผมงี้ แต่ก็ไม่มีเลยสักนิด


“เดี๋ยวกูจะทำให้มึงพร้อมเอง” พูดจบมันก็ลากผมขึ้นห้องไปเลย ไอ้สัตว์กินเนื้อเอ๊ย! หมดทางรอดแล้วสินะกู!


แล้วพอเข้าไปในห้องปุ๊บ มันก็เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาให้ผมปั๊บ พอรับมาก็มีความคิดหนึ่งแว้บขึ้นมาในหัว ขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำยังเช้าเลยดีมั้ย?


“ประตูพลาสติก ถีบครั้งเดียวก็พังแล้วมั้ง” สัส! เหมือนมึงรู้ความคิดกู!


“ละ...แล้วยังไง มาบอกกูทำไม ใครถามมึงหรอ” ลนลานไปอี้กกกกก แบบนี้ก็เหมือนยอมรับอะ หนีเข้าห้องน้ำแม่ง!


“อย่านานนักล่ะ!” ไอ้เอสตะโกนมาหาผมที่อยู่ในห้องน้ำ


“รู้แล้วน่า!” ไอ้นี่แม่งก็เร่งจริงๆ ทำยังกะกูจะมีทางหนี ขอทำใจอยู่ในนี้สักพักแล้วกันวะ


30 นาทีคือเวลาที่ผมอยู่ในห้องน้ำ ก็คิดว่าคงยื้อสุดๆ ได้เท่านี้แหละ เกินกว่านี้มีหวังไอ้เอสคงได้ถีบประตูบุกเข้ามาจริงๆ ซึ่งพอออกมา ภาพแรกที่เห็นก็คือมันกำลังแกะถุงยางกับเจลหล่อลื่นออกจากกล่อง เห็นมันจริงจังขนาดนี้ก็จิตตกกว่าเดิมดิผม


“รอกูอาบน้ำแป๊บนึงนะ” มันพูดจบก็รีบคว้าผ้าเช็ดตัวแล้วเข้าไปอาบน้ำ ส่วนผมก็นั่งตัวแข็งเป็นหินอยู่ที่ปลายเตียง ไม่สิ...จะว่าแข็งเป็นหินก็ยังไงอยู่ คือตัวแข็งอะใช่ แต่มันก็สั่นด้วย จะอธิบายยังไงดีวะ


“รอกูนานมั้ย” ไม่มีเวลาอธิบายแล้ว ไอ้เอสมันออกมาจากห้องน้ำแล้ว ฮืออออ อาบเร็วจนกูอยากร้องไห้ แถมยังนุ่งแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวออกมาด้วย เตรียมบอกลาเอกราชใน 3...2...1...


จุ๊บ


เฮือก!


เพียงแค่โดนจุ๊บที่แก้มเบาๆ เท่านั้น ผมก็สะดุ้งเฮือกอย่างแรงจนแม้แต่ตัวเองยังตกใจ แล้วนับประสาอะไรกับไอ้เอส


“เป็นอะไรไปซี” มันยื่นมือมาจะจับตัวผม แต่ผมก็สะบัดมือของมันออกไปด้วยร่างกายที่สั่นเป็นเจ้าเข้า คือผมก็รู้แหละว่ามันเป็นห่วง แต่ผมไม่ได้ตั้งใจ จู่ๆ ร่างกายมันก็เป็นไปเอง


“ขอโทษ กู...กูคงตื่นเต้นมากไปหน่อย” ผมฝืนยิ้มแล้วตีมือตัวเองที่กำลังสั่น แต่แม่งก็สั่นไม่ยอมหยุดสักที


“นี่มึงกลัวขนาดนี้เลยหรอ” ไอ้เอสหน้าเสีย จากที่เคยยิ้มอย่างอารมณ์ดี สีหน้าของมันก็เป็นกังวลและรู้สึกผิดอย่างชัดเจน


“มันก็...นิดนึง แหะๆ ครั้งแรกก็งี้” ผมหัวเราะแห้งๆ แต่ไอ้เอสก็ไม่แม้แต่จะหัวเราะตาม แถมสีหน้าของมันยังแย่ลงกว่าเดิมด้วย ก่อนที่สุดท้ายมันจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา


“นอนกันเถอะ”


“หา?” นอนนี่หมายถึงอะไร หลับนอน? หรือนอนหลับ? ไอ้เอสที่คงจะเห็นสายตาของผมมีแต่คำถามล่ะมั้งก็เลยอธิบายให้ฟัง


“กูไม่ทำอะไรมึงแล้ว ขอโทษที่ทำให้กลัว” ถึงแม้จะยังงงๆ แต่ผมก็พยักหน้า “แต่คืนนี้ ถ้าแค่นอนกอดกันเฉยๆ จะได้รึเปล่า”


“...” ผมมัวแต่คิดอะไรในใจอยู่เลยไม่ได้ตอบคำถาม มันเลยคิดเอาเองว่าผมไม่อนุญาต


“ไม่เป็นไร...” หูลู่หางตกเป็นหมาหงอยเลยมัน จากนั้นมันก็ลุกขึ้นไปใส่เสื้อผ้า เสร็จแล้วก็เดินไปที่ประตู ดูท่าทางเหมือนจะออกไปนอนข้างนอก ผมที่เห็นแบบนั้นเลยลุกขึ้นไปสวมกอดมันจากทางด้านหลัง แล้วตัดสินใจพูดออกไปว่า...


“มาทำกันเถอะ”



Soul Scene




“เอชทีทีพี โวยวายเว็บดอทช้อปปี้ดอทคอม”


ตอนนี้ผมกำลังใช้โทรศัพท์ของซีที่ไม่มีพาสเวิร์ด เพื่อจะสั่งของออนไลน์บางอย่าง ใช่แล้ว...ถุงยางอนามัยกับเจลหล่อลื่น! ซึ่งพอคิดว่าคืนพรุ่งนี้หรือมะรืนเอสกับซีก็จะ............อ๊ากกกกกก แค่คิดก็ฟินสุดๆ แล้วอะ!


แต่เดี๋ยวก่อน ตอนนี้ไม่ใช่เวลาหวีด ไว้เดี๋ยวค่อยหวีดทีเดียวตอนที่สองคนนั้นได้เสียเป็นเมียผัว (วุ้ย! พูดแล้วก็เขิน!) ตอนนี้เป็นเวลาที่ผมต้องจัดการสั่งซื้อของ ซึ่งที่นี่ก็มีครบ แถมยังลดราคาแล้วก็ส่งฟรีอีกต่างหาก คืออวยเหมือนได้รับเงินมา แต่ความจริงแล้วไม่ใช่นะ ฮ่าๆๆๆ


ตอนกดสั่งก็ง่ายดาย แต่ตอนจ่ายนี่สิปัญหาใหญ่ ดันลืมไปว่าตัวเองตายแล้ว เป็นแค่วิญญาณเท่านั้น ถึงจะสามารถทำอะไรบางอย่างก็เถอะ แต่ผมก็เสกเงินไม่ได้หรอกนะ เพราะงั้น...ไปเข้าฝันว่าที่สามีของเพื่อนรักผมดีกว่า!


“เอส กูมีเรื่องจะขอ ช่วยโอนเงินจ่ายค่าของให้กูหน่อยดิ” ผมไม่เสียเวลาพูดพล่ามทำเพลง พอเจอหน้าเอสก็จัดการเข้าเรื่องเลย ก็แหม...ถ้าโอนช้าของก็จะส่งมาช้าด้วยไง


“ได้สิ ว่าแต่ค่าอะไร”


“ถุงยางอนามัยกับเจลหล่อลื่น”


“หา!” จากที่ตอบรับอย่างชิลๆ เอสก็ถึงกับตาโต “เดี๋ยวนะ มึงตายไปแล้วคงไม่ได้เอาไปใช้...หรือจะให้กูใช้กับซี?”


“ถูกต้องนะคร้าบ!” ฉลาดจริงๆ ว่าที่สามีเพื่อนผม


“แต่จะดีหรอ” ไอ้เอสทำหน้าลังเล แต่ความคิดที่อยู่ในใจของมันนี่สิ...อื้อหือ อย่าให้ได้เซด!


“แหมมมม ไม่ต้องมาทำเป็นคนดี มึงโกหกผีไม่ได้หรอก” ผมเบ้ปากมองบน ไอ้เอสก็เลยหัวเราะออกมา


ตั้งแต่ที่ได้สนิทด้วย ผมก็ไม่มีความรู้สึกเกินกว่าคำว่าเพื่อนกับเอส ซึ่งก็อาจเพราะผมปลงที่ยังไงก็ตายไปแล้ว หรือได้เห็นนิสัยจริงๆ ที่ต่างกับภาพลักษณ์ที่ผมคิดเอาไว้ แต่ถึงยังไงผมก็ยังเชียร์เอสให้ลงเอยกับซีนะ ถึงสองคนนี้จะชอบกัดกันกวนกันก็เถอะโดยเฉพาะซี แต่เวลาสวีทนี่...โอ้โห คือผีแทบจะสู่ขิตอะพูดเลย!


“เอาเป็นว่ารีบตื่นแล้วก็รีบโอนค่าของด้วยนะ เสร็จแล้วเดี๋ยวกูจัดการต่อเอง”


“โอเค ขอบใจมาก”


“ถ้าอยากจะขอบใจจริงๆ มึงก็ช่วยอะไรกูอย่างดิ”


“ได้ ว่ามาเลย”


“กูอยากได้ชุดใหม่อะ ใส่ชุดนี้มาหลายอาทิตย์กูเบื่อจะตายอยู่แล้ว” เสื้อผ้าที่ผมใส่ตอนนี้คือชุดเดียวกับวันที่ตาย ถึงมันจะไม่ได้เหม็นหรือไม่ได้เปื้อนอะไรก็เถอะ แต่ใส่ชุดเดิมซ้ำๆ มันก็เบื่อเป็นเหมือนกันนะ


“แล้วมึงชอบแบบไหน จะให้กูส่งไปยังไง”


“ชวนซีไปเลือกดิ มันรู้รสนิยมของกู ถ้ามันถามก็อ้างอะไรไปก็ได้ แต่อย่างมันคงไม่ถามมากหรอก ถ้าชวนไปซื้อของให้กูคงมีแต่จะเร่งมึงให้รีบไปเร็วๆ ซะมากกว่า แล้วพอได้ชุดมึงก็เอาไปถวายหลวงพ่อ เหมือนเวลาทำสังฆทานอะ แล้วเดี๋ยวกูก็จะได้รับเอง”


“มีแบบนี้ด้วยแฮะ โอเค เดี๋ยวกูจัดการให้”


“งั้นกูไปแล้วนะ อย่าลืมโอนตังค่าของด้วยล่ะ บายยยย” แล้วผมก็ออกมาจากความฝันของเอส ส่วนเอสก็รีบตื่นขึ้นมาโอนเงินแทบจะทันที
คือหล่อแล้วยังโอนไว ได้คนอย่างเอสเป็นผัวนี่บุญท่วมหัวมึงเลยนะเว่ยไอ้ซีเอ๊ย!


2BC


สวัสดีค่าาา  o18 เชื่อว่าตอนนี้หลายๆคนคงจะค้างมาก แต่เอาน่า ใจร่มๆกันน้า รับรองตอนหน้าไม่ค้างแถมยังฟินแน่นอน เตรียมเลือดสำรองและหมอนไว้จิกให้เรียบร้อยเลยค่า  :-[

ส่วนคนร้ายที่สั่งของมา ในที่สุดก็เฉลยแล้วว่าคือวิญญาณตัวป่วนนี่เอง ซึ่งเอสก็ไม่ได้โกหกนะ ก็ไม่ได้สั่งจริงๆแต่แค่โอนเงินเฉยๆ 55555  :laugh:

แล้วเจอกันตอนหน้านะคะทุกคน  :bye2: อาจจะมาช้าหน่อยเพราะห่างหายจากการเขียน NC ไปนานเลยต้องรื้อฟื้นบ้าง แต่สัญญาเลยค่ะว่าจะเขียนให้ทุกคนฟินสุดๆแน่นอน มาปูเสื่อรอกันได้เลยที่ร้ากกกก  :m3:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่19# ครั้งแรกมันเจ็บมากเปล่าวะ? [2.12.62]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 02-12-2019 22:51:13
 :katai2-  :mew1:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่19# ครั้งแรกมันเจ็บมากเปล่าวะ? [2.12.62]
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 02-12-2019 23:45:29
ผีก็ช้อปปิ้งออนไลน์ได้นะ เพิ่งรู้  :laugh:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่19# ครั้งแรกมันเจ็บมากเปล่าวะ? [2.12.62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 03-12-2019 02:08:13
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่19# ครั้งแรกมันเจ็บมากเปล่าวะ? [2.12.62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 03-12-2019 13:42:05
 :z1:


 :กอด1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่19# ครั้งแรกมันเจ็บมากเปล่าวะ? [2.12.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Micky_MN ที่ 03-12-2019 21:35:57
จงได้กันๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่19# ครั้งแรกมันเจ็บมากเปล่าวะ? [2.12.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Y-Darkness ที่ 05-12-2019 07:24:30
  :pig4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่20# Make love NC [7.12.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Sameejaejung ที่ 07-12-2019 23:25:45
Soulmate วิญญาณป่วนรัก


Part 20# Z Make love NC-18


“ที่พูดนี่คิดดีแล้วใช่มั้ย” ไอ้เอสถาม


“อือ” ผมพยักหน้า ทั้งๆ ที่ใบหน้ากำลังซุกอยู่ที่แผ่นหลังของมัน


“แต่ตัวมึงกำลังสั่น”


“ถ้าไม่สั่นสิแปลก ก็ครั้งแรกของกูนี่หว่า” พอผมพูดแบบนี้ไอ้เอสเลยแกะมือผมออกแล้วหันหน้ากลับมา จากนั้นมันก็เป็นฝ่ายที่กอดผมเอาไว้แทน


“มึงไม่ต้องฝืนหรอก ไว้พร้อมแล้วค่อยทำ”


“ก็เนี่ยพร้อมแล้ว กูอุตส่าห์พูดขนาดนี้อย่าให้กูต้องอายฟรีดิวะ” ผมเสหน้าไปทางอื่น คิดว่าผมต้องรวบรวมความกล้าขนาดไหนกว่าจะพูดออกไปได้


“งั้นกูจะถามรอบสุดท้าย มึงแน่ใจแล้วนะ?”


“อือ”


“ถ้าเริ่มแล้ว ถึงมึงบอกให้หยุดกูก็จะไม่หยุดให้นะ”


“เออ”


“ถ้า...”


“โว้ย! ถามมากจริง! กูก็บอกว่าพร้อมๆๆ แล้วมึงยังจะถาม...อื้อ!” แล้วประโยคที่ผมตั้งใจจะบ่นก็ถูกกลืนหายไป เพราะไอ้เอสเอาปากของมันมาปิดเอาไว้ซะก่อน


แม้จะถูกจูบโดยไม่ทันได้ตั้งตัว แต่ผมก็ชินแล้วเพราะโดนแบบนี้ตลอด ดังนั้นจากเมื่อก่อนที่มักจะตัวแข็งทื่อ ตอนนี้ผมก็มีพัฒนาการ สองมือยกขึ้นโอบรอบลำคอของมันแล้วจูบตอบอย่างทันท่วงที


ริมฝีปากของเราสองคนขบเม้มและดูดดุนซึ่งกันและกัน จากนั้นไอ้เอสก็สอดลิ้นเข้ามาสัมผัสกับผม ก่อนที่เราสองคนจะแลกลิ้นเกี่ยวรัดกัน อุณหภูมิร่างกายของผมกับมันสูงขึ้นเรื่อยๆ


“ร้อน...” ผมพูดด้วยเสียงแหบพร่าเมื่อไอ้เอสถอนจูบออกมา ดังนั้นมันเลยจัดการถอดเสื้อของผมออกแล้วถอดของตัวเองตาม


“เดี๋ยวต่อไปจะร้อนยิ่งกว่านี้” แล้วมันก็ก้มหน้าลงมาจูบผมอีกที ก่อนที่มันจะยกตัวผมขึ้นแล้วเดินไปที่เตียง


ก็พึ่งรู้นะเนี่ยว่ามันแข็งแรงขนาดอุ้มผมได้ง่ายๆ แถมยังมือไวขนาดที่พอวางผมลงบนเตียงปุ๊บ ก็จับถอดกางเกงปั๊บจนผมไม่เหลืออะไรบนร่าง


“มึงก็ถอดด้วยสิ ให้กูโป๊อยู่คนเดียวมันก็น่าอายนะเว่ย”


“แน่ใจนะว่าจะไม่อายกว่าเดิม?” เออว่ะ ลืมคิดไปเลย แต่จะห้ามตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว เพราะไอ้เอสแม่งถอดกางเกงออกไปอย่างไว ผมเลยได้เห็นไอ้เอสน้อย (ที่ขนาดไม่ได้น้อยเลย) อย่างเต็มๆ ตา


“ถามจริงนะ มึงเป็นลูกครึ่งเปล่าวะ”


“เปล่า ถามทำไม”


“ก็ดูไซซ์มึงดิ แม่งอย่างกับฝรั่ง” ผมว่าของผมก็ไม่ได้เล็กนะ ขนาดมาตรฐานชายไทยนั่นแหละ แต่พอเอาไปเทียบกับของไอ้เอสนี่แม่งกลายเป็นไซซ์เด็กประถมไปเลย


“มึงพูดเหมือนเคยเห็น” ผมก็มัวแต่สนใจเรื่องขนาด เลยไม่ได้สังเกตสีหน้าของไอ้เอสที่ดูจะไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่


“แหม มันก็ต้องเคยผ่านตามาบ้าง คลิปป๊งคลิปโป๊งี้ไม่เคยดูรึไง”


“ไม่ แล้วก็ไม่ชอบให้มึงดูด้วย”


“สัส มึงก็พูดอย่างกับหึงกู” ผมหัวเราะเบาๆ


“...”


“เดี๋ยว อย่าบอกนะว่าหึงจริง? หึงคนในคลิปโป๊เนี่ยนะ? ฮัลโหลลลลลล” ไอ้เอสไม่ตอบคำถาม แต่รีบกระโจนขึ้นเตียงมาคร่อมผมเอาไว้แทน


“ต่อไปนี้ห้ามดู ถ้าอยากดูเดี๋ยวกูจะทำให้ดูเอง”


“โวะ มึงนี่บ้า...อ๊ะ! จะทำอะไรน่ะ! เดี๋ยว...อื้อ...” แล้วเสียงห้ามของผมก็กลายเป็นเสียงคราง เมื่อไอ้เอสก้มหน้าลงมาซุกไซ้ตรงซอกคอ จมูกโด่งๆ ที่กำลังถูไถ รวมทั้งริมฝีปากและปลายลิ้นที่กำลังดูดเลีย มันทำให้ผมถึงกับเสียววาบ


“จะ...ใจเย็นนะ อย่าทิ้งรอย...” ผมพูดอย่างยากลำบาก เพราะแค่อ้าปากก็จะครางออกมาแทน


“อืม รู้แล้ว” คือไอ้เอสมันก็ไม่ได้ทำแรงหรอก แต่ผมก็แค่เตือนไว้ก่อนเผื่อมันลืมตัว แล้วก็เผื่อว่าผมจะเคลิ้มจนลืมห้ามด้วย


ส่วนเรื่องที่เมื่อกี้มันบอกว่าหึง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงรึเปล่า แต่ที่แน่ๆ ที่มันทำเป็นกระโจนใส่ผมด้วยความโมโหน่ะเป็นแค่การแสดง ความจริงแล้วมันอ่อนโยนเลยล่ะ แต่ที่ทำอย่างนั้นก็ให้มันเป็นฟีลลิ่ง มีสตอรี่ หรือก็แค่ข้ออ้างให้ขึ้นคร่อมได้โดยที่ผมไม่เขินเท่านั้นแหละ


“อือ..” ผมหลุดเสียงครางออกมาเบาๆ เมื่อไอ้เอสใช้สองมือค่อยๆ ลูบตรงสีข้างจนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่แผ่นอก ก่อนที่มันจะบีบ คลึง แล้วก็ขยี้ที่ส่วนยอด ก็พึ่งรู้นี่แหละว่าตรงนี้ของผู้ชายพอโดนทำมันก็รู้สึกเสียวด้วย แถมยังเสียวมากกว่าเดิมเมื่อเปลี่ยนจากมือเป็นปากแล้วก็ลิ้น


“อา!” ผมแอ่นอกขึ้นโดยอัตโนมัติ เมื่อปลายลิ้นอันเปียกชื้นสัมผัสโดนตรงส่วนยอด แล้วยิ่งโดนตวัดเลียสลับกับการดูด โดยที่ยอดอกอีกข้างก็มีมือของไอ้เอสบีบขยี้อยู่ ผมก็เผลอหวีดร้องด้วยเสียงแหลมสูงราวกับผู้หญิงออกมา


“อ๊า!” ด้วยความอายผมเลยรีบยกมือขึ้นปิดปาก แต่ก็ถูกไอ้เอสดึงออกมาแทบจะทันที


“อย่าปิดสิ กูอยากฟังเสียงมึง...นะ” แล้วผมก็พยักหน้า ให้ตายสิ แพ้มันทุกทีสิน่า แต่เอาจริงๆ ผมก็ไม่มั่นใจหรอกว่าจะห้ามเสียงเอาไว้ได้ ก็มันออกจะเสียวซะขนาดนั้น


พอเห็นผมยอมทำตามที่ขอแล้วไอ้เอสก็กลับมาเล้าโลมต่อ เริ่มจากซอกคอแล้วค่อยๆ ขยับลงไปจนถึงแผ่นอก ถึงแม้จะไม่อยากจะยอมรับ แต่เวลาที่ส่วนยอดถูกดูดแล้วก็เลีย มันก็ทำให้ผมเสียวซี้ดจนหลุดเสียงครางแหลมสูงไปหลายครั้ง ซึ่งมันก็แลดูพึงพอใจมาก


หลังจากที่ดูดเลียตรงยอดอกจนพอใจแล้ว ไอ้เอสก็เลื่อนใบหน้าลงไปยังหน้าท้อง จังหวะที่ปลายจมูกและลิ้นของมันลากไล้ทำให้ผมจั๊กจี้ปนเสียวซ่าน ผมครางระงมพร้อมกับร่างกายที่บิดเร่า ส่วนกลางลำตัวที่แข็งมานานแล้วยิ่งแข็งมากขึ้นจนปวดหนึบ


“เอาออกสักรอบก่อนดีมั้ย” ผมพยักหน้าโดยไม่ต้องคิด ความองความอายอะไรผมลืมไปแล้ว ตอนนี้ผมรู้แค่ว่าอยากจะถึงแล้วเท่านั้น ซึ่งผมก็คิดว่ามันคงจะใช้มือชักออกให้ แต่เปล่าเลย มันกลับใช้มือกำตรงส่วนฐานเอาไว้แล้วก้มหน้าลงใช้ปากให้ผม!


“เฮ่ย! ไอ้เอส! ยะ...อ๊า! หยุด...!” ผมพูดแทบไม่เป็นภาษา ร่างกายดิ้นพล่านไปมา ส่วนมือก็พยายามจะดันหน้าของไอ้เอสออกไป แต่พอเจอแรงดูดและลิ้นดุนตรงปลายก็ทำให้เรี่ยวแรงของผมหายไปโดยอัตโนมัติ


“ยะ...มึงไม่ต้อง...อ๊า...ทำขนาดนี้...” เรื่องแบบนี้ใครจะคิดว่ามันจะทำให้ผมกันล่ะ


“ครั้งแรกของเรา กูอยากให้มึงรู้สึกดีที่สุด” ไอ้เอสถอนริมฝีปากออกมาพูดแล้วก็ก้มหน้าลงไปใหม่ ลิ้นของมันที่เลียวนตรงส่วนปลาย กับช่องปากที่กำลังดูดไปพร้อมๆ กับการขยับขึ้นลง มันทำให้ผมเสียวมากจนแทบจะขาดใจอยู่แล้ว


“ไอ้เอส...ออกไป กูจะ...ยะ...บอกให้ถอยไง...เอส...ไอ้เอส!” แต่แทนที่จะถอยตามที่ผมบอก มันกลับเอาลิ้นดุนและออกแรงดูดให้มากขึ้น ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมเสียวมากกว่าเดิมจนถึงกับยั้งไว้ไม่ไหว เลยปลดปล่อยความเสียวทั้งหมดเข้าไปในปากของมัน


“อ๊าาา!” ผมกรีดร้องลั่น ร่างกายกระตุกเกร็ง 2 – 3 ครั้ง จากนั้นเมื่อรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปก็ถึงกับสะดุ้งลุกขึ้นมา “ขอโทษ!”


“ขอโทษทำไม กูอยากทำต่อเอง”


“แต่ว่า...เอ๊ะ เดี๋ยวนะ อย่าบอกนะว่ามึงกลืน...!” ผมที่พึ่งนึกได้ว่า ไม่เห็นมันจะคายออกมาก็ถึงกับเบิกตากว้าง


นะ...น้ำของผม...นี่ไอ้เอสมันกลืนน้ำของผมลงไปงั้นเรอะ!


“ในสถานการณ์แบบนั้นมันก็มีแต่จะต้องกลืนไม่ใช่รึไง”


“ไอ้บ้า! ของแบบนั้นน่ะ...” ผมทั้งอาย ทั้งตกใจ แล้วก็กังวลจนจะประสาทแดกตายห่าอยู่แล้ว คือตอนอาบน้ำผมก็ทำความสะอาดร่างกายอย่างดีทุกซอกทุกมุมอยู่นั่นแหละ แต่ผมก็ไม่คิดว่าจะถูกทำขนาดนี้ด้วยนี่นา


“มึงนี่นะ ทำอย่างกับกูกินยาพิษ อีกอย่างรสชาติมันก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น”


“ถึงงั้นก็เถอะ” พูดอะไรไม่ออกเลยผม การที่มันใช้ปากให้ก็เป็นอะไรที่คาดไม่ถึงสุดๆ แล้ว แต่นี่มันถึงกับกลืนน้ำของผมลงไปด้วยอีก


‘ครั้งแรกของเรา กูอยากให้มึงรู้สึกดีที่สุด’



มันทำให้ผมถึงขนาดนี้ ผมคิดว่าผมก็ควรจะทำอะไรให้มันบ้างนะ


“กูขอทำด้วยดิ”


“ทำอะไร” ไอ้เอสทำหน้างง ผมก็เลยขยับตัวเข้าไปใกล้มันที่กำลังคุกเข่าอยู่ แล้วทำใจกล้ายื่นมือออกไปคว้าหมับที่ท่อนลำตรงหน้า


“ก็จะทำเหมือนที่มึงทำให้กูไง” แมนๆ ใจๆ ใช้ปากมาใช้ปากกลับไม่โกง!


“หา!” ไอ้เอสดูตกใจมาก “กูรู้ว่ามึงกำลังคิดอะไร แต่มึงไม่ต้องทำหรอก แค่มึงยอมเป็นเมียกู กูก็ดีใจมากแล้ว”


“แต่กูอยากทำให้มึงด้วย อยากให้มึงรู้สึกดีเหมือนกู” ที่พูดนี่ไม่ใช่ว่าไม่อายนะ คือผมอายมากกกกก แต่ก็ยอมรับด้วยว่าเมื่อกี้ผมรู้สึกดีมากจริงๆ มันดีมากกว่ามือเป็นสิบเท่า แค่มันเอาเข้าปากผมก็แทบจะละลายแล้ว


ขนาดแค่นึกถึงก็แทบจะแข็งขึ้นมาอีกครั้งแล้วอะ!


“ถ้ามึงไม่โอเคก็หยุดเลยนะ ไม่ต้องฝืน”


“อือ” ผมพยักหน้า


ก็ทำใจอยู่หลายวินาที กว่าที่ผมจะเคลื่อนใบหน้าเข้าไปจนเกือบชิดส่วนนั้นของไอ้เอส ผมรับรู้ได้ถึงอาการเกร็งเมื่อลมหายใจของผมรินรดตรงส่วนปลาย ก่อนที่มันจะกระตุกและขยายใหญ่ขึ้นอีกเมื่อผมเริ่มใช้ลิ้นเลีย


“อึ่ก!” ดูท่าไอ้เอสจะเสียวอยู่ไม่น้อย ทั้งที่ผมเลียตรงส่วนปลายแค่ครั้งเดียวเท่านั้น พอเห็นแบบนั้นผมก็เลยมีความกล้าที่จะเลียซ้ำ ก็จำเทคนิคจากมันมานั่นแหละ เริ่มจากเลียก่อนจนท่อนเนื้อเปียกชุ่ม จากนั้นจึงได้เปิดปากแล้วอมมันเข้าไป


“ซี...” เสียงไอ้เอสแม่งโคตรกระเส่า ทำเอาใจของผมถึงกับเต้นรัว ตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจแล้วแหละว่าทำไมพอได้เริ่มแล้วมันถึงไม่ยอมหยุด ทั้งที่ผมทั้งดันมันออกแล้วก็ร้องห้ามซะขนาดนั้น ก็คนที่รักกำลังรู้สึกดีถึงขนาดนี้ใครจะไปหยุดทำได้ลงกันเล่า


ทันทีที่ผมใช้ปากอม ท่อนเนื้อของมันก็ขยายใหญ่ขึ้น ก่อนจะยิ่งมากขึ้นอีกเมื่อผมออกแรงดูดและขยับปากเข้าออก ผมเร่งจังหวะให้เร็วขึ้นเรื่อยๆ จนไอ้เอสมันหลุดเสียงครางออกมาอีกหลายครั้ง


น่าแปลก ความรู้สึกแง่ลบก่อนที่ผมจะใช้ปากให้ไอ้เอสได้หายไปหมดแล้ว แต่ยังมีเรื่องที่น่าแปลกยิ่งกว่านั่นก็คือ ตอนนี้ผมกำลังมีอารมณ์จนส่วนกลางลำตัวได้แข็งขึ้นมาด้วย!


“ยกสะโพกขึ้นหน่อย”


“หือ?” ก็อยากจะถามอยู่นะว่าทำไม แต่ปากผมกำลังอมของมันอยู่ก็เลยพูดไม่ได้


“เร็วสิ” พอมันเร่งอีกครั้ง ผมเลยต้องยอมทำทั้งที่ท่ามันโคตรจะน่าอาย แต่ว่าทั้งที่คิดว่านั่นคงอายสุดๆ แล้ว แต่เปล่าเลย ผมยังอายได้มากกว่านั้น เพราะไอ้เอสมันได้สอดนิ้วเข้ามาข้างในช่องทางด้านหลังของผม!


“อื้อ!” ผมสะดุ้งเฮือก ส่วนดวงตาก็เบิกกว้าง เพราะไอ้เอสมันสอดนิ้วเข้ามารวดเดียวจนมิดด้าม


โอเคแหละผมไม่ได้รู้สึกเจ็บ เพราะนิ้วของมันชโลมเจลหล่อลื่นเอาไว้จนชุ่ม ตอนนี้ผมแค่รู้สึกแปลกๆ และอึดอัดนิดหน่อย แต่แน่นอนว่ามันห่างไกลคำว่ารู้สึกดีหลายขุม จนผมนึกไม่ออกเลยว่าผมจะมีความสุขไปกับมันได้ยังไง


“เจ็บมั้ย” ผมส่ายหน้าเล็กน้อยแทนคำตอบ พอได้ยินแบบนั้นริมฝีปากของไอ้เอสก็ยกยิ้มขึ้นมานิดหนึ่ง ซึ่งหลังจากนั้นมันก็เริ่มขยับนิ้วเข้าออกโดยเริ่มจากช้าๆ


ช่วงแรกๆ ผมไม่รู้สึกอะไร แต่พอผ่านไปสักพักความรู้สึกที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนก็เริ่มก่อตัวขึ้นมา แล้วมันก็ยิ่งมากขึ้นๆ ตามจังหวะและความเร็วนิ้วของไอ้เอส


“อือ...อื้อ...” ผมส่งเสียงครางในลำคอ ช่องทางด้านหลังบีบเกร็งและกระตุกตอดรัดนิ้วของไอ้เอสอย่างห้ามไม่ได้ แล้วยิ่งปลายนิ้วของมันหักงอนิดหน่อยจนครูดกับผนังช่องทาง มันก็ทำให้ความรู้สึกเสียววาบแล่นพล่านตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า


“อื้อ!” ผมสะดุ้งเฮือกแล้วอมแก่นกายของไอ้เอสเข้าไปจนสุดคอ ซึ่งนั่นก็ทำให้มันเสียวจนถึงกับต้องร้องซี้ด ส่วนผมก็อยากจะร้องไม่ต่างกัน เพราะช่องทางด้านหลังที่ถูกนิ้วของมันขยับเข้าออกมันทำให้ผมเสียวจนแทบบ้า


ผ่านไปสักหน่อยไอ้เอสก็สอดนิ้วที่สองเข้ามา ก็อึดอัดมากกว่าเดิม แต่เพิ่มเติมคือยิ่งเวลาผ่านไปผมก็ยิ่งเสียวมากขึ้น ซึ่งนั่นก็ทำให้สะโพกของผมสั่นระริกอย่างไม่รู้ตัว แถมยังไม่รู้อีกด้วยว่า ผมได้ออกแรงดูดท่อนเนื้อในปากแรงและเร็วขึ้นตามจังหวะการขยับนิ้วของมันด้วย


“ซี้ดด ซี...” เสียงของไอ้เอสมันกระเส่าเขย่าอารมณ์เป็นบ้า ดูท่าทางมันคงจะใกล้เสร็จแล้ว เพราะส่วนนั้นของมันกระตุกเกร็งและขยายออกอีกจนคับปากของผม


“จะพอก่อนมั้ย” ในเวลาแบบนี้มันก็ยังมีกะใจนึกถึงผมเนอะ มันคงจะกลัวว่าผมจะรังเกียจล่ะมั้ง แต่ถ้าคิดอย่างนั้นผมก็ไม่ใช้ปากทำให้มันตั้งแต่แรกหรอก แถมพอเห็นมันรู้สึกดีผมก็รู้สึกมีอารมณ์ตามไปด้วยอีกต่างหาก


ดังนั้นนอกจากจะไม่หยุดผมยังอมท่อนเนื้อของมันให้ลึกขึ้น ขยับเข้าออกให้เร็วขึ้น ออกแรงดูดให้มากขึ้น แถมยังใช้ลิ้นดุนแล้วก็มือชักตรงส่วนโคนที่อมลงไปไม่ถึงด้วย เห็นผมบ้าๆ บอๆ แบบนี้แต่ผมก็ฉลาดและเป็นพวกเรียนรู้ไวนะ เพราะงั้นถึงจะพึ่งเคยทำเป็นครั้งแรก แต่ผมก็มั่นใจว่าต้องทำให้ไอ้เอสรู้สึกดีแน่นอน


“ซี!” สิ้นเสียงนั้นไอ้เอสก็ปลดปล่อยออกมา ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วที่มันบอกว่าในสถานการณ์แบบนี้มีแต่จะต้องกลืนมันคือยังไง แล้วเอาจริงๆ รสชาติมันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดเอาไว้ ผมเลยกลืนมันลงไปโดยไม่รู้สึกผะอืดผะอม แถมพอกลืนเสร็จยังเลียริมฝีปากทิ้งท้ายอีกด้วย


ว่าแต่...ไอ้นั่นของมันที่เมื่อกี้เหมือนจะอ่อนลงแล้ว ทำไมจู่ๆ ถึงได้ดีดตัวขึ้นมาใหม่แล้วยังแข็งสุดๆ ด้วยวะเนี่ย!


“เพราะมึงนั่นแหละ” เหมือนมันจะเข้าใจความคิดของผมเลยพูดขึ้น ได้ยินแบบนี้ก็งงในงงเลยดิ เกี่ยวอะไรกับกูวะ


แต่ว่าผมก็ไม่มีโอกาสได้ถาม เพราะไอ้เอสมันจัดการดันผมให้นอนราบลงไปกับเตียงซะก่อน จากนั้นก็หยิบหมอนอีกใบมารองใต้สะโพกของผม ตามด้วยการแยกขาของผมออกจากกัน


“ดะ...เดี๋ยว!” นี่มันจะเข้ามาเลยหรอ! ขอเวลาเตรียมใจอีกนิดนึงก่อนได้มั้ย!


“ไม่เดี๋ยวแล้ว เป็นของกู...นะ” ไอ้สัสอย่ามาน้งมานะเซ่! ก็รู้อยู่ว่าพูดแบบนี้แล้วกูใจอ่อนทุกที ขี้โกงจริงๆ เลย


“ถ้าเจ็บมากกูฆ่ามึงแน่” จะให้ผมตอบว่า ‘อืม ได้สิ ทำให้กูเป็นของมึงนะ’ รึไง บอกเลยว่าไม่มีทาง!


“ถ้าเจ็บก็กัดกูได้เลย กัดให้แรงเท่าที่มึงเจ็บ”


“เดี๋ยวเนื้อมึงได้หลุดแน่” ก็ขู่ไปให้รู้สึกว่าตัวเองเก่งแค่นั้นแหละ เพราะความจริงแล้วผมมันกระจอกแล้วก็กำลังกลัวเอามากๆ


ตอนแรกผมก็คิดว่าไอ้เอสมันจะใส่เข้ามาเลย แต่ก็เปล่า เพราะมันเริ่มจากเล้าโลมผมอีกครั้ง โดยการพรมจูบลงไปตั้งแต่ซอกคอยังแผ่นอก ส่วนนิ้วมือก็ค่อยๆ สอดเข้ามาขยับหมุนวนในช่องทางด้านหลังอีกครั้ง การกระทำของมันช่วยทำให้ผมเลิกวิตกจริตไปได้เยอะ แถมยังเกิดความคิดที่ต้องการเป็นของมันอีกต่างหาก


“รักมึงนะซี” ผมก็ไม่แน่ใจว่าก่อนหน้านี้ไอ้เอสมันเคยพูดว่ารักผมมั้ย แต่ในสถานการณ์แบบนี้ บอกเลยว่ามันอิมแพคต่อใจมาก มากจนผมลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งความกังวล ความกลัว แล้วก็ความอาย


ไอ้เอสจับขาของผมให้แยกออกกว้างมากกว่าเดิม ก่อนจะเอาแก่นกายที่สวมถุงยางเรียบร้อย และชโลมเจลหล่อลื่นซ้ำอีกทีมาจ่อที่ปากทางเข้า มันยังคงไม่รีบร้อน แต่เอาส่วนปลายหมุนวนรอบๆ ก่อนเพื่อให้ผมคุ้นชินและเสียวซ่าน จนเมื่อคิดว่าผมน่าจะพร้อมแล้ว มันจึงได้ค่อยๆ กดแก่นกายแทรกเข้ามาช้าๆ


“อึ่ก!” ผมนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ แหงล่ะ ก็นี่มันครั้งแรกของผม แถมของไอ้เอสมันก็เล็กเหมือนของเด็กซะที่ไหน อันเท่าแขนเด็กล่ะสิไม่ว่า


แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้เจ็บมากอย่างที่ผมคิดเอาไว้นะ คงเป็นเพราะมันขยายช่องทางของผมอยู่นานพอสมควร แถมยังใช้เจลหล่อลื่นกับข้างหลังของผม และตรงนั้นของมันไปจนเกือบจะหมดหลอดด้วย ตอนนี้ผมรู้สึกอึดอัดมากกว่ารู้สึกเจ็บซะอีก


“มึงโอเคมั้ย” ไอ้เอสถามด้วยสีหน้าที่ดูเป็นกังวล


“อื้อ...” ผมพยักหน้าแล้วสูดหายใจเข้าออกลึกๆ นึกถึงคำไอ้หลินที่มันเคยบอกว่าอย่าเกร็ง ให้ทำตัวตามสบาย ซึ่งมันก็ช่วยได้พอสมควร


“ขอโทษที่ทำให้เจ็บ” ไอ้เอสพูดจบก็ก้มหน้าลงมาจูบผม เป็นจูบเบาๆ ที่ราวกับจะปลอบโยน ก่อนจะค่อยๆ ไล่ระดับขึ้นเป็นดูดดื่มเพื่อปลุกเร้า ซึ่งผมก็ขยับริมฝีปากและปลายลิ้นตอบสนองเป็นอย่างดี


ส่วนมือของไอ้เอสก็ไม่ได้อยู่เฉย มันค่อยๆ ลูบตั้งแต่ต้นขาไล่ขึ้นมาจนถึงสะโพกแล้วก็หยุดอยู่ที่แผ่นอก ก่อนที่มันจะใช้นิ้วบีบขยี้ตรงส่วนยอดจนมันแข็งเป็นไต ความเสียวซ่านค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาสวนทางกับความเจ็บปวดที่ค่อยๆ เบาบางลง


“อืม...” ผมครางออกมาเล็กน้อยเมื่อไอ้เอสเริ่มขยับแก่นกายเข้าออก ถึงแม้จะยังอึดอัดแต่ว่าผมก็ไม่รู้สึกเจ็บอีกต่อไปแล้ว แถมเมื่อช่องทางของผมชินกับขนาดอันใหญ่โตที่อยู่ข้างใน ความอึดอัดมันก็หายไปอย่างหมดสิ้น มีแต่คำว่ารู้สึกดีแล้วก็เสียวเท่านั้น


“ซี้ดด...อา...” ผมครางอย่างสุขสม ยิ่งไอ้เอสขยับสะโพกดันแก่นกายเข้าออกเร็วเท่าไหร่ ความเสียวซ่านมันก็ยิ่งก่อตัวมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งมันมากกว่าการใช้นิ้วไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า


แต่ทั้งที่คิดว่าความรู้สึกนี้คือที่สุดแล้ว เพราะผมคิดไม่ออกเลยว่าจะเสียวมากกว่านี้ได้ยังไงอีก แต่ทันทีที่แก่นกายไอ้เอสขยับเข้ามาโดนจุดๆ หนึ่ง ความเสียวอย่างรุนแรงก็เล่นพล่านขึ้นมาทันที


“อ๊า!” ผมหวีดร้องลั่น สะโพกสั่นระริก ส่วนช่องทางด้านหลังก็บีบรัดท่อนเนื้อของไอ้เอสแน่นจนมันถึงกับหลุดเสียงครางออกมา


“อา! ตรงนี้สินะ...” ผมไม่ได้ยินว่ามันพึมพำอะไรเลยกะจะถาม แต่ก็ไม่ทันแล้ว เสียงของผมที่เปล่งออกไปกลายเป็นเสียงหวีดร้องแทน เพราะไอ้เอสมันถอนแก่นกายออกไปจนเกือบสุดแล้วกระแทกกลับเข้ามาใหม่ที่จุดๆ นั้น


“อ๊า! อ๊ะ...อ๊ะ...อ๊า...” แล้วก็ไม่ใช่ครั้งเดียวเพราะมันทำซ้ำๆ แก่นกายของมันกระแทกกระทั้นตรงจุดนั้นจุดเดียว ความเสียวซ่านที่ได้รับทำเอาผมแทบดิ้นพล่าน ร่างกายบิดเร่าส่วนสะโพกก็ลอยเด้งขึ้นจากหมอน ช่องทางด้านหลังตอดรัดแก่นกายที่อยู่ข้างในถี่ยิบอย่างควบคุมไม่ได้


“ซี...” ไอ้เอสกัดริมฝีปากล่าง ดูท่าทางคงกำลังเสียวไม่น้อยไปกว่าผม


“อ๊ะ...เอส...กูจะ...อ๊า...เสร็จ...อีกแล้ว...อ๊า...” ผมพูดแทบไม่เป็นภาษา นั่นเป็นเพราะว่าความเสียวแล้วก็ร่างกายกำลังถูกกระแทกจนสั่นไหว ยังดีที่ไอ้เอสแปลออก เลยเลื่อนฝ่ามือมากอบกุมแก่นกายของผมแล้วชักขึ้นลง โดยที่ท่อนเนื้อของมันก็ไม่ได้หยุดกระแทกเข้าออกที่ช่องทางด้านหลังของผมเลย


“อ๊ะ...อ๊าาาาา!” ผมที่โดนทำถึงขนาดนั้นก็ทนต่อความเสียวไม่ไหว จึงได้กรีดร้องจนสุดเสียงแล้วก็ปลดปล่อยออกมาอีกเป็นครั้งที่ 2


ผมหอบหายใจอย่างหนัก ตลอดชีวิตไม่เคยเสร็จติดต่อกันแบบนี้ แต่เห็นทีคืนนี้คงไม่ใช่แค่ 2 มีแววว่าจะ 3 มากกว่า เพราะเมื่อกี้ไอ้เอสมันไม่ได้เสร็จไปพร้อมกับผม!


แม่ง! ทำไมถึงได้อึดจังวะ!


“จะ...ใจเย็นนะมึง กูยังไม่อยากมองเห็นฟ้าเป็นสีเหลือง” ผมทำได้แค่อ้อนวอนเพราะไม่มีแรงขัดขืนเลย เมื่อถูกไอ้เอสจับตัวให้พลิกคว่ำทั้งที่มันยังเสียบคาอยู่!


“ก็แปลกใหม่ดีนี่”


“ดีออกล่ะสิ...อื้อ! อย่าพึ่ง...ขยับ...” แล้วจากเสียงด่าก็กลายเป็นเสียงคราง เมื่อไอ้เอสมันเริ่มขยับแก่นกายที่ฝังอยู่ข้างในเข้าออกโดยเริ่มจากช้าๆ


“ไม่ต้องกลัวหรอกน่า กูไม่รุนแรงตั้งแต่เริ่มหรอก”


“ประเด็นมัน...อื้ม...ไม่ได้อยู่...อา...ที่ตรงนั้น...” เริ่มจะพูดไม่รู้เรื่องแล้วผม ความเสียวซ่านที่กำลังก่อตัวขึ้นอีกครั้งมันทำให้สมองของผมขาวโพลน คิดอะไรไม่ออกนอกจากความสุขสมเพียงอย่างเดียวเท่านั้น


แล้วก็ไม่ใช่แค่สะโพกของมันที่โยกเข้าออก เพราะสองมือของมันได้ลูบไล้ที่แผ่นหลังของผม ตลอดจนสีข้าง จากนั้นก็ไปหยุดอยู่ที่แผ่นอกแล้วบีบขยี้ส่วนยอดจนมันแข็งเป็นไต สะโพกของไอ้เอสเร่งความเร็วขึ้นนิดหน่อย แต่ตอนที่แทรกกายเข้ามาก็กดแบบเน้นๆ ให้ผมเสียวเล่นอีกด้วย


“ซี้ดด...” ความเหนื่อยคืออะไรตอนนี้ผมไม่สนใจแล้ว ร่างกายมันตอบสนองและต้องการไอ้เอสเพียงแค่อย่างเดียว คือมันโยกเอวช้าๆ กดเน้นๆ แบบนี้ก็รู้สึกเสียวดีอยู่นะ แต่ตอนนี้ผมอยากให้มันทำแบบเร็วๆแล้วก็แรงๆ มากกว่า


ซึ่งก็ดีที่มันเข้าใจ ผมเลยไม่ต้องพูดออกไปให้รู้สึกอับอาย เพราะแค่ท่าที่ผมกำลังทำอยู่ตอนนี้มันก็น่าอายมากพออยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ต้องยอมรับจริงๆ ว่าท่านี้มันทำให้ไอ้เอสเข้ามาได้ลึกมากๆ มากจนผมรู้สึกจุก แต่ก็เสียวสุดๆ จนน้ำตาแทบไหล ยิ่งถูกมันล็อกที่สะโพกเอาไว้แล้วกระแทกแก่นกายเข้ามาอย่างสุดแรงด้วยนะ...


“อ๊า! อ๊าา!” เสียวจนแทบตายเป็นยังไงผมก็พึ่งรู้จักวันนี้นี่เอง ก็จะไม่ให้รู้สึกแบบนั้นได้ยังไง ในเมื่อไอ้เอสมันกระแทกกระทั้นแก่นกายเข้ามาอย่างรุนแรงไม่มีปราณี แถมยังซอยเอวถี่ๆ เน้นย้ำที่ตรงจุดเสียวของผมซ้ำๆ นี่มันกะจะฆ่าผมให้ตายด้วยเซ็กส์เลยใช่มั้ย!


   “อ๊ะ...เอส...อ๊า...ไอ้เอส!”


“ซี...” แต่ก็คงไม่ใช่แค่ผมหรอกที่เสียวจนแทบตาย เพราะไอ้เอสก็คงไม่ต่างกัน เพราะช่องทางด้านหลังของผมได้กระตุกตอดท่อนเนื้อของมันอย่างรุนแรง แถมคงจะดูดกลืนจนมันแทบจะแตก ไม่อย่างนั้นคงไม่กระแทกเข้าออกรัวๆ ขนาดนี้


 “อืม...กูจะเสร็จแล้ว...” ไอ้เอสครางซี้ดก่อนที่จะพูดออกมา จากนั้นก็ดึงตัวผมให้ลุกขึ้นแล้วหันหน้าไปรับจูบอันดูดดื่มจากมัน โดยที่สะโพกของมันก็ไม่ได้หยุดขยับเลย ซ้ำยังกระแทกด้วยความแรงและเร็วขึ้นมากกว่าเดิมอีกต่างหาก


แต่ความเสียวที่ผมได้รับยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะไอ้เอสได้เอื้อมมือข้างหนึ่งมาชักที่ส่วนกลางลำตัวของผมด้วย เมื่อถูกรุกจัดหนักทั้งหน้าและหลังรวมถึงปากขนาดนี้ ผมก็ทนต่อความเสียวไม่ไหวอีกต่อไปน่ะสิ


“อือ...อื้ม...อึ่ก! อื้ออออ!” สิ้นเสียงนั้นผมก็ปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง ซึ่งก็เป็นจังหวะที่แทบจะพร้อมๆ กันกับเอส


แต่ถึงจะเสร็จแล้วมันก็ยังคงค้างเอาไว้ไม่ยอมถอนแก่นกายออกมา แถมยังโยกสะโพกเข้าออกช้าๆ แต่ก็ไม่ใช่เพื่อปลุกเร้าผมหรอก น่าจะอยากซึมซับความรู้สึกนี้เอาไว้มากกว่า ต่างจากผมที่เหนื่อยสุดๆ จนไม่มีแรงจะทำอะไรแล้ว


ถามว่าตอนนี้ผมเหนื่อยแค่ไหน?


ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง เอาเป็นว่าขอตอบเป็นบทเพลงก็แล้วกัน...


~ ฉันเหมือนคนไม่มีกำลังและหมดแรงจะยืนจะลุกจะเดินไป


ฉันเหมือนคนกำลังจะตายที่ขาดอากาศจะหายใจ


ฉันเป็นคนที่โดนเธอแทงข้างหลังแล้วมันก็จุกถึงหัวใจ


เธอจะให้ฉันมีชีวิตต่อไปอย่างไร


ไม่มี...อีกแล้ว...เรี่ยวแรง...ไม่มีเหลือสักอย่าง...


อยากนอน...~


2BC


 :m25: เฮือก! สะ...สวัสดีค่ะคุณคน เป็นยังไงกันบ้างคะ ยังมีชีวิตกันอยู่มั้ย เลือดไหลหมดตัวแล้วรึยัง ส่วนเรานี่ใกล้สู่ขิตแล้ววววว  :jul1:

ไหนๆก็ผ่านมาตั้ง 20 ตอนพึ่งจะมี NC แบบเต็มๆแบบครั้งแรก เราก็เลยเซอร์วิสจัดหนักให้ไปเลย แต่เนื่องจากเราห่างหายการเขียน NC ไปนาน ก็ไม่รู้ว่าจะฟินจะถูกใจกันมั้ย แหะๆ  :mew2:

อีกอย่างนี่ก็เป็นเรื่องแรกเลยมั้งที่เราแทรกความฮานิดๆลงไปใน NC ด้วย ถ้าหากชื่นชอบกันก็จะดีใจมากๆเลยค่ะ  o18 ยังไงก็คอมเมนท์บอกกันหน่อยน้า รอฟี้ดแบคอยู่นะคะ ร้ากกกก  :กอด1: :L1:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่20# Make love NC [7.12.62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 08-12-2019 00:03:12
 :pig4: :pig4: :pig4:

 :pighaun: :pighaun: :pighaun:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่20# Make love NC [7.12.62]
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 08-12-2019 00:18:06
 :jul1: :jul1: :jul1:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่20# Make love NC [7.12.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Micky_MN ที่ 08-12-2019 22:39:05
ฟหกด่าสว ฟินม๊ากกกกกกกก  :jul1: :jul1: :jul1: :jul1:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่20# Make love NC [7.12.62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 08-12-2019 23:58:54
 :haun4:


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่20# Make love NC [7.12.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Y-Darkness ที่ 10-12-2019 20:23:46
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่ 21# ย้ายมาอยู่ด้วยกันนะ [14.12.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Sameejaejung ที่ 14-12-2019 16:24:54
Soulmate วิญญาณป่วนรัก


Part 21# Z ย้ายมาอยู่ด้วยกันนะ


เมื่อคืนผมจำไม่ได้จริงๆ ว่าหลับไปตอนไหน แต่ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ล่อซะเกือบเที่ยง นอนนานเหมือนซ้อมตาย แต่ว่ามันก็ไม่ได้ทำให้ผมฟื้นพลังขึ้นมาก ยังคงรู้สึกเหนื่อยเหมือนเดิม แถมยังปวดเมื่อยตามเนื้อตัวอีกต่างหาก


“อูยยย” ยิ่งพอลุกขึ้นนะก็ถึงกับต้องนิ่วหน้า สะโพกครากไปดิกู ตอนดึกอย่างห้าวตอนเช้าอย่างเหี้ย ไม่น่าซ่าไปชวนไอ้เอสทำเล้ยยยย กูอยากจะบ้า!


ว่าแต่ไอ้ตัวการมันหายหัวไปไหน คงไม่ใช่ว่าพอได้ผมแล้วก็จะทิ้งทันทีเลยนะ แล้วคนที่บ้านก็เหมือนกันทำไมไม่เห็นมีใครมาปลุกผมเลย วันนี้เป็นวันเสาร์ก็ต้องหยุดอยู่บ้านกันทุกคนสิ


ซึ่งขณะที่ผมกำลังคิดอยู่นั่นเอง ไอ้เอสมันก็เปิดประตูเข้ามาในห้องพอดี


“ตื่นแล้วหรอ กูกำลังจะเข้ามาปลุกเลย แม่ทำข้าวเที่ยงใกล้เสร็จแล้ว” มันทักผมอย่างสดใส ใบหน้าอิ่มเอิบเปล่งประกายดูมีออร่า ผิดกับผมที่ตรงข้ามกับมันราวฟ้ากับเหว


พระเจ้าแม่งโคตรไม่ยุติธรรม!


“ไปเอาผ้าเช็ดตัวมาให้หน่อย” ก็อยากจะด่าหรือแขวะมันอยู่หรอกนะ แต่ผมไม่กล้าสบตามันอะ ก็ดูดิ มันเอาแต่จ้องผมแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่นั่น


“จะอาบน้ำหรอ เดินไหวรึเปล่า ให้กูอาบให้มั้ย” ดูท่าทางมันจะเป็นห่วงผมอยู่ไม่ใช่น้อย แต่ยิ่งมันเป็นแบบนี้ผมก็ยิ่งเขินเข้าไปใหญ่น่ะสิ


“กูไม่ได้เป็นง่อยนะเว่ย ไปเอามาเหอะน่า” แล้วผมก็ใช้มือดันร่างของไอ้เอสออกไป มันเลยต้องเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาให้ผมอย่างช่วยไม่ได้


“ถ้าไม่ไหวต้องเรียกกูเลยนะ” ผมแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ


ก็โล่งใจอยู่หรอกนะ ที่หลังจากมีอะไรกันแล้วมันก็ไม่ได้ทิ้งผมหรือตีตัวออกห่าง แต่การที่มันดูแลเอาใจใส่ผมมากเกินไป อันนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ว่าที่มันทำเป็นเรื่องที่ไม่ดีนะ คือมันก็ดีแหละ แต่ว่าผมรู้สึกอึดอัดนิดๆ มากกว่า


ผมใช้เวลาอาบน้ำสักพักก็เดินออกมา ตอนแรกไอ้เอสก็ทำท่าจะเข้ามาประคอง แต่ผมก็ถลึงตาใส่ให้มันนั่งอยู่กับที่ แล้วหลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ผมจึงได้ลงมานั่งจับเข่าคุยกับมัน


“มึงจะเป็นแบบนี้อีกนานมั้ย”


“แบบไหน” ไอ้เอสทำหน้างง



“ก็แบบที่เป็นอยู่นี่ไง ที่แทบจะอุ้มกูไปไหนมาไหน ทำเหมือนกูง่อยเปลี้ยเสียขาอะสัส”


“ก็คงเป็นไปตลอด มึงเป็นเมียกูแล้วกูก็ต้องดูแลสิ” ให้ตาย! นี่ผมควรจะดีใจหรือกลุ้มใจดีวะเนี่ย คือมันทำตัวเหมือนผมสมัยม.ต้นที่พึ่งมีแฟนครั้งแรกเลยอะ


เห่อแฟนขั้นสุด!


“มึงฟังกูนะไอ้เอส ถึงกูจะเป็น...เฮ้อออ ไม่อยากจะพูดคำนี้เล้ยยย”


“คำไหน เมียน่ะหรอ”


“สัส! มึงนี่ก็พูดได้คล่องปากเชียวนะ” ผมแยกเขี้ยวใส่ ส่วนไอ้เอสก็เอาแต่อมยิ้ม


“พูดบ่อยๆ เดี๋ยวก็ชิน” ดู๊...ดูมัน คำพูดคำจาแม่งโคตรน่าโมโห แต่เอาเถอะ ผมขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียงกับมันแล้ว เข้าเรื่องสำคัญที่ผมอยากจะพูดเลยดีกว่า


“เออ ถึงกูจะเป็นเมียมึงแต่กูก็ไม่ใช่ผู้หญิงนะเว่ย กูไม่ได้บอบบาง น่าปกป้อง น่าทะนุถนอมแบบนั้นมึงนึกออกมั้ย คือกูเป็นผู้ชาย แข็งแรงพอ ดูแลตัวเองได้ เพราะงั้นมึงไม่ต้องดูแลเอาใจใส่กูขนาดนั้น เคยเป็นยังไงก็เป็นยังงั้น ทำตัวเหมือนเดิมเลยอะมึง อยู่ด้วยกันแบบเพื่อนแต่สถานะแฟน โอเค้?” ในตอนแรกไอ้เอสก็ทำหน้าเหมือนไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่พอฟังผมอธิบายจนจบมันก็พยักหน้าลง


“โอเค”


“มีอีกเรื่อง ต่อหน้าคนอื่นมึงก็อย่าแสดงออกเด็ดขาดล่ะว่าเราเป็นอะไรกัน กับครอบครัวหรือเพื่อนสนิทไม่เท่าไหร่หรอก แต่กับคนอื่นนี่ไม่ได้เลยนะ อย่าลืมนะเว่ยว่ามึงเป็นดารา” พอพูดถึงตรงนี้ไอ้เอสมันก็ทำหน้าเซ็งหน่อยๆ แต่ก็ยอมรับปากแต่โดยดี


“อืม”


“ที่กูพูดไม่ใช่ว่ากูไม่ได้รักมึงนะเว่ย แต่เพราะรักนี่แหละถึงได้พูด กูเคยบอกมึงแล้วใช่มั้ยว่าถ้าจะคบใครสักคนกูก็อยากจะคบไปนานๆ การที่กูบอกให้ปิดความสัมพันธ์เอาไว้ก็ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อเรา ส่วนถ้าอยู่กันสองต่อสอง...” ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ขยับเข้าไปใกล้ๆ แล้วยื่นหน้าเข้าไปจุ๊บที่ปากของไอ้เอสหนึ่งที มันคงไม่คิดว่าผมจะทำแบบนี้เลยอึ้งกิมกี่ไปเลย


ส่วนผมก็ไม่ใช่ว่าไม่เขินนะ คือเขินมากกกกก แต่ผมเห็นไอ้เอสทำหน้านอยด์ๆ ก็ไม่รู้ว่ามันจะคิดว่าผมไม่ได้รักไม่ได้แคร์มันรึเปล่า เพราะงั้นผมก็เลยต้องแสดงให้มันดูสักหน่อย


“อย่าเงียบดิวะ เวลาแบบนี้มึงชอบเงียบทุกทีเลย” ผมเสหน้าไปทางอื่น ไม่กล้าสบตามันเท่าไหร่เพราะยังเขินอยู่


“ก็มึงชอบทำอะไรนอกเหนือความคาดหมายทุกที” พูดถึงตรงนี้ไอ้เอสก็ยื่นวงแขนมากอดเอวของผม แล้วเกยคางวางไว้ที่ไหล่ของผมด้วย “ความจริงกูก็รู้อยู่นะว่าต่อหน้าคนอื่นต้องวางตัวยังไง แต่กูกลัวมึงน้อยใจหรือคิดมากว่ากูไม่รัก”


“เห็นกูเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยขนาดนั้นเลยรึไง”


“ก็เพราะไม่นี่แหละกูถึงได้รักมึง ขอบคุณที่เข้าใจกูนะ” แล้วมันก็หอมแก้มผมฟอดหนึ่ง แต่หอมมาหอมกลับไม่โกงครัช!


ตอนแรกมันก็อึ้งๆ นะที่ผมหอมมันคืน แต่หลังจากนั้นก็ไม่รู้มันของขึ้นอะไร ถึงได้จับผมฟัดจนหน้าแทบช้ำ นี่ถ้ายัยเอไม่เข้ามาขัดจังหวะเผลอๆ ผมอาจจะถูกมันจับกินก็ได้นะเนี่ย


“อะแฮ่ม! แม่เรียกลงไปกินข้าวแล้วพี่ซีพี่เอส” ถามว่าอายมั้ยก็ต้องอายสิ ผมนี่รีบดันไอ้เอสออกแล้วรีบลุกขึ้นไปยืนจนเกือบมุมห้อง


“โอเค เดี๋ยวพี่รีบลงไป” ยัยเอพยักหน้าแล้วเดินออกไปโดยไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้าของมันอะ คือแซวหนักมากจนผมอยากจะแพ่นกบาลไอ้เอสให้แหกแม่งซะตรงนี้


“มึงนะมึง” ผมชี้หน้ามัน


“ก็ใครจะไปรู้ว่าน้องมึงจะขึ้นมา”


“อย่างน้อยๆ ก็ล็อกห้องไว้หน่อยดิวะ”


“งั้นคราวหน้าจะล็อกแล้วกัน”


“โว้ย! มึงนี่มันกวนตีนจริงๆ!” ผมแยกเขี้ยวใส่ หมดคำจะด่าเลยแม่ง “ว่าแต่มึงบอกอะไรแม่กู ปกติ 7 – 8 โมงถ้าไม่ตื่นก็ต้องขึ้นมาปลุกแล้ว แต่นี่ปล่อยให้กูนอนยาวยันเที่ยง”


“ก็แค่บอกว่ามึง ‘ทำการบ้าน’ เหนื่อย ต้องการพักผ่อน” โอ้โห! มีเล่นหูเล่นตาเน้นสงเน้นเสียง!


“สัส! นี่อย่าบอกนะว่ามึงทำแบบนี้ตอนบอกแม่กู!” ง้างกำปั้นรอแล้วผม ดีที่มันรีบส่ายหน้าปฏิเสธ


“ใครจะกล้า ขืนบอกแบบนั้นกูคงโดนมึงฆ่าตาย”


“รู้ตัวก็ดี ไงก็อย่าหลุดพูดนะมึง” ผมชี้หน้าคาดโทษมัน ก่อนจะเดินนำลงมาข้างล่าง ซึ่งก็เห็นพ่อ แม่ แล้วก็ยัยเอนั่งรอที่โต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว


“แหะๆ ขอโทษคร้าบที่ลงมาช้า”


“เอาเถอะ ก็ทำการบ้านจนดึกนี่ แต่แปลกนะ มหา’ลัยแล้วก็ยังมีการบ้านช่วงปิดเทอมอีก” สะอึกไปดิเจอคุณนายแม่ถามแบบนี้ แต่จะให้ตอบความจริงก็ไม่ได้ มีแต่ต้องแถต่อไปให้สุดเท่านั้นแหละ


“มันเป็นวิชาคาบเกี่ยวชั้นปีกันอะครับ สมัยแม่คงไม่มีใช่มั้ยล่ะ รุ่นโบราณก็งี้แหละ”


“ไอ้ลูกคนนี้นี่!” แล้วแผนเบี่ยงเบนความสนใจของผมก็สำเร็จ เพราะคุณนายแม่ของขึ้นที่ถูกหาว่าแก่ เลยยื่นมือมาบิดเอวผมอย่างแรงจนเนื้อแทบเขียว


“โอ๊ยยยย ผมเจ็บน้าาาา” ก็แกล้งร้องโวยวายเล่นใหญ่ให้เกินจริง แต่ก็ถือว่าการลงทุนเจ็บตัวมันก็ได้ผลนะ เพราะแม่เลิกสนใจเรื่องที่ผม ‘ทำการบ้าน’ จนนอนดึกไปเลย


เมื่อหมดเรื่องราวอันวุ่นวายก็ได้เวลากินข้าวกันสักที แต่ละคนก็กินกันปกติ ยกเว้นผมที่พอได้เริ่มกินคำแรกก็ซัดจัดหนักเลย แบบว่ามันหิวโหยอะ พอนับๆ ดูก็ 16 – 17 ชั่วโมงแล้วนะที่ผมไม่มีอะไรตกถึงท้อง เพราะงั้นก็ไม่แปลกหรอกที่ผมจะกินเหมือนคนตายอดตายอยากขนาดนี้


“เออใช่ แม่ครับ พรุ่งนี้ไอ้เอสมันต้องกลับกรุงเทพแล้ว มะรืนมันมีงาน ผมเลยว่าจะกลับไปพร้อมมันด้วย” ผมพูดขึ้นหลังจากที่ทุกคนกินข้าวเสร็จ ตอนแรกก็แอบหวั่นๆ อยู่ว่าจะโดนบ่นอะไรมั้ย แต่ก็ปรากฏว่าไม่


“เรื่องนั้นเอสบอกแม่แล้ว เห็นบอกว่าจะกลับตอนเช้า วันนี้แม่ก็เลยจะพาไปกราบหลวงตา ให้พรุ่งนี้พวกลูกเดินทางกลับปลอดภัย”


“อ๋อ ก็ดีครับ ผมก็อยากทำบุญให้เพื่อนผมพอดี” ไม่รู้ทำไมผมถึงได้นึกถึงไอ้เต้ยขึ้นมา ป่านนี้ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง สบายดีมั้ย ไปเกิดแล้วรึยัง


“งั้นไปซื้อของให้เต้ยกันมั้ยล่ะ” ผมก็แปลกใจอยู่หรอกนะว่าทำไมไอ้เอสถึงได้เอ่ยปากชวน แต่คิดไปคิดมามันคงอยู่ในช่วงเห่อแฟน ก็เลยอยากตามใจผมทุกสิ่งอย่างอะไรแบบนี้ล่ะมั้ง


“ก็ดี งั้นไปช็อปปิ้งกัน เดี๋ยวอีกสักชั่วโมงค่อยเจอกันที่วัดนะครับแม่”


“จ้า”


แล้วหลังจากนั้นผมก็บอกพิกัดห้างฯ หนึ่งเดียวของคนชาววัง ซึ่งนั่นก็คือเทสโก้โลตัสนั่นเอง มีแบบเล็กแล้วจะไม่มีแบบใหญ่ได้ยังไง อันที่จริงผมชอบมาเดินที่นี่มากเลยนะ ผิดกับชาววังที่จะไม่ค่อยชอบกัน แถมบางส่วนยังแอนตี้ตั้งแต่มีข่าวว่าจะสร้างเลยด้วย แต่ก็ดีแล้วล่ะ คนจะได้ไม่มาห้อมล้อมไอ้เอสมาก นี่ยังหลอนวันนั้นที่มันทำตลาดแตกไม่หายเลยเนี่ย


“รอแป๊บนึงกูขอไปกดตังก่อน” ผมพูดเมื่อเดินมาถึงทางเข้า ตรงนี้มีตู้กดเงินหลายแบงก์เรียงกันเป็นตับเลย แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวขาไปไอ้เอสก็ยื่นมือมาจับที่แขนของผมเอาไว้ซะก่อน


“เดี๋ยวกูจ่ายให้”


“แล้วทำไมกูต้องให้มึงจ่าย” ของฟรีใครก็ชอบอันนี้ผมไม่เถียง แต่ถ้าจะให้มันเลี้ยงทุกอย่างในชีวิตอันนี้ก็ไม่ใช่ละ ผมเป็นแฟนมันนะไม่ใช่ปลิง


“อย่าทำคิ้วขมวดสิ หลายวันนี้มึงทำอะไรให้กูมาเยอะแล้ว กูเลยอยากตอบแทนมึงบ้าง ให้กูดูแลมึงนะ”


“อืม...เหตุผลก็พอฟังได้” ถึงส่วนใหญ่ผมจะใช้มันเยี่ยงแรงงานทาสก็เถอะ แต่ผมก็ทำอะไรให้มันเยอะอยู่นะ โดยเฉพาะเรื่องเมื่อคืน...


“จู่ๆ ทำไมหน้าแดง”


“หะ...หา!” ถึงกับรีบยกสองมือมาปิดแก้มเลยดิผม “กะ...ก็อากาศมันร้อน! พระอาทิตย์อยู่กลางกบาลเลยเนี่ยเห็นมั้ย!”


“โอเค แดดร้อนก็แดดร้อน” ไอ้เอสพูดยิ้มๆ ดูจากสีหน้าแม่งมันไม่ได้เชื่อผมเลยสักนิด หนอย...


“สรุปคือมึงจะจ่ายค่าช็อปปิ้งให้กูใช่มั้ย”


“ใช่”


“เดี๋ยวจะช็อปแหลกจนมึงหมดตัวเลยคอยดู” แต่ทั้งที่ผมขู่เสียงเหี้ยมขนาดนี้ ไอ้เอสมันกลับอมยิ้มแล้วพูดจาเลี่ยนๆ ออกมาว่า...


“ถ้าเป็นมึงกูยอม”


“แหวะ!” พูดจบผมก็รีบเดินหนีเข้าไปในโลตัสเลย รับไม่ได้จริงๆ ที่มันกล้าพูดอะไรแบบนี้ ว่าแต่...แล้วนี่ผมจะยิ้มทำไมฟะ!


ไม่ได้ๆ ตั้งสติหน่อยดิไอ้ซี มึงจะมาเขินกับไอ้มุกเสี่ยวๆ 5 บาท 10 บาทนี่ทำไม แถมตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาจะมาเขินด้วย นู่นนนน ขนมที่ไอ้เต้ยชอบไง นั่นก็ของที่มันเคยอยากได้ โน่นก็เสื้อผ้าสไตล์ที่มันชอบใส่ รีบเดินไปหยิบเร็วๆ เข้าเซ่!


บอกเลยว่าถ้าจ่ายเองนี่มีกระเป๋าแห้ง เพราะเห็นของอะไรแล้วนึกถึงไอ้เต้ยผมก็หยิบๆๆ มาใส่รถเข็น แถมไอ้เอสก็ไม่มีห้ามด้วยนะ ชี้มือถามอีกด้วยซ้ำว่าเอานู่นนั่นนี่เพิ่มด้วยมั้ย


“โอ้โห! พวกพี่ซื้อของอะไรมาเยอะแยะเนี่ย” ยัยเอถึงกับตาโต เมื่อเห็นว่าผมกับไอ้เอสพากันหิ้วสองถุงใหญ่ๆ ออกมาจากรถ ตอนนี้พวกเราทั้งหมดพากันอยู่ที่วัดเรียบร้อยแล้ว


“ของที่เพื่อนพี่ชอบไง”


“แล้วแน่ใจได้ไงว่าเพื่อนพี่ซีจะได้รับ”


“ต้องได้สิ ขนาดกรวดน้ำไปให้เจ้ากรรมนายเวรยังได้รับเลยนี่นา” มั้งนะ ฮ่าๆๆ


อันที่จริงผมก็ไม่รู้หรอกว่าไอ้เต้ยมันจะได้รับมั้ย แต่ผมก็เชื่อว่ามันจะได้ เพราะงั้นผมก็เลยตั้งใจเลือกแต่ของที่มันชอบมาทั้งนั้น แล้วตอนที่ถวายหลวงพ่อ ผมก็ตั้งใจอธิษฐานเพื่อให้ของพวกนี้ส่งไปถึงมันด้วย ซึ่งไอ้เอสก็เช่นเดียวกัน แถมมันยังหลับตาแล้วพนมมืออธิษฐานนานกว่าผมนิดหน่อยอีกต่างหาก


กลับมาถึงบ้านอีกทีก็ช่วงเย็นๆ สภาพคนอื่นก็ปกติกันนะ แต่ผมนี่สิที่หมดแรงจนต้องทิ้งตัวลงนอนกับโซฟาไปเลย แถมยังปวดเมื่อยเนื้อตัวโดยเฉพาะช่วงสะโพกอีกด้วย ดีนะที่พอรับศีลรับพรกับหลวงพ่อเสร็จก็ไม่ได้ไปไหนต่อ ไม่อย่างนั้นผมคงได้ขาลากสะโพกครากกว่านี้แน่ๆ


“ซี ไปเก็บพริกที่สวนให้แม่หน่อย” ให้ตาย นอนพักได้ไม่เท่าไหร่คุณนายแม่ก็ใช้งานผมซะแล้ว


“ไปเก็บให้กูหน่อยดิ” แต่คิดเรอะว่าผมจะไป ของมันแน่ว่าก็ต้องใช้งานไอ้เอสที่เป็นตัวการทำให้ขาของผมเป็นแบบนี้อยู่แล้ว


“อืม มึงพักเถอะ” ว่าง่ายเชียวนะมัน ก็อยากจะชมอยู่หรอกว่าน่าร้าก แต่ก็กลัวทำตัวไม่ถูกเพราะต้องโดนยัยเอแซวแน่ๆ ส่วนคุณนายแม่ก็ถลึงตาใส่ผมใหญ่ที่ไปใช้งานลูกเขยสุดที่รัก


กับข้าวค่ำนี้ก็ทั่วไปไม่มีอะไรมาก ซึ่งหลังจากที่กินเสร็จผมก็ขอตัวขึ้นห้องมาจัดกระเป๋า เพราะพรุ่งนี้ต้องกลับกรุงเทพแต่เช้า แล้วด้วยความเพลีย ผมก็เลยไปอาบน้ำเตรียมตัวนอนเลย


“บอกไว้ก่อนนะเว่ยว่ากูเหนื่อยมากกกกกก คืนนี้ห้ามทำอะไรกูเด็ดขาด” ผมชี้หน้าไอ้เอส เมื่อมันปีนขึ้นมานอนบนเตียงหลังจากที่อาบน้ำเสร็จ


“กูก็ไม่ได้บอกว่าจะทำนี่” มันหัวเราะเล็กน้อย ได้ยินแบบนี้ค่อยโล่งใจหน่อย


“ก็ดีที่คิดได้”


“แต่พรุ่งนี้มึงไม่รอดแน่” ไอ้ฉิบหาย! มึงปล่อยให้กูโล่งใจได้แค่ 3 วิเองหรอวะ!


“ไอ้...”


“นอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า” พูดจบมันก็กอดผมเอาไว้ ตามด้วยการจุ๊บเหม่งเบาๆ อีกหนึ่งที


ตัดบทเก่ง ชอบทำให้เขินเก่ง เรื่องแบบนี้นี่เก่งนักแหละ!


“เออ ฝันดี” แล้วหลังจากนั้นผมก็นอนหลับในอ้อมกอดของมันทั้งคืน...


ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอนเช้า ซึ่งสิ่งแรกที่ผมมองเห็นก็คือใบหน้าของไอ้เอสที่กำลังยิ้มบางๆ ท่าทางมันคงจะตื่นก่อนผมสักพักแล้ว


“อรุณสวัสดิ์”


“อืม เหมือนกัน”


การที่ตื่นมาแล้วมีใครสักคนอยู่เคียงข้าง กล่าวทักทาย รวมทั้งจูบเบาๆ เพื่อแสดงความรัก มันทำให้หัวใจพองโตแล้วก็มีความสุขจนแทบล้น ผมคิดว่าผมเริ่มจะคิดภาพการที่ต้องนอนคนเดียวไม่ออกซะแล้วสิ


“ตั้งแต่พรุ่งนี้ย้ายมาอยู่ด้วยกันที่ห้องกูนะ” น่าแปลกที่ไอ้เอสก็คิดเหมือนกัน แต่ถ้าตอบตกลงทันทีมันจะง่ายเกินไปมั้ยนะ หรือต้องเล่นตัวก่อนสักหน่อยดี?


“ยิ้มแบบนี้แสดงว่าเป็นอันตกลงนะ” บ้าจริง! นี่ผมกำลังยิ้มอยู่หรอ!


“อย่าขี้ตู่เอาเองดิวะ” ยัง...ยังไม่หยุดยิ้มอีก!


“รีบกลับกันเลยดีมั้ย จะได้มีเวลาย้ายข้าวของ”


“เอางั้นก็ได้” โว้ย! อะไรของกูเนี่ย! จะไปไหลตามน้ำมันทำไม!


สรุปก็ตามนั้นแหละครับ พอกลับถึงกรุงเทพผมก็ต้องขนข้าวของไปอยู่กับไอ้เอสที่ห้องตามระเบียบ แน่นอนว่าก็ต้องถูกไอ้พวกเพื่อนเวรแซวยับเช่นกัน แต่ผมก็ทำใจไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วแหละเลยไม่ค่อยอายมาก แถมยังใช้งานพวกมันให้มาช่วยขนข้าวของด้วยเลย


เนื่องจากมีแรงงานทาสหลายคน การขนย้ายข้าวของก็เลยเสร็จอย่างรวดเร็ว รวมกับที่จัดให้เข้าที่ก็ใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ แต่ก็นะ ข้าวของของผมมันก็ไม่ค่อยมีอะไรมาก บางอย่างที่ไม่ค่อยได้ใช้ก็ยังทิ้งไว้ในห้องเดิม ซึ่งพอจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว...


“งานฉลองขึ้นห้องใหม่ของไอ้ซีต้องมาแล้วว่ะ!”


ว้อท? งานฉลองขึ้นห้องใหม่มีที่ไหนผมไม่เห็นจะเคยได้ยิน แถมมันยังทำเหมือนกับว่าผมย้ายไปไหนไกล ห้องเดิมกับห้องใหม่ก็อยู่บ้านเดียวกัน ห่างกันแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้นเอง


“งั้นกูเป็นเจ้ามือเอง” สายเปย์แบบนี้จะเป็นใครถ้าไม่ใช่ไอ้เอส คือไอ้พวกเพื่อนผมมันหาเรื่องแดกเหล้านี่ไม่แปลกเท่าไหร่นะ แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นไปด้วยอีกคน


“อู้ววววว ขอให้เจริญๆ นะพ่อเอ๊ย” เรื่องเลียแข้งเลียขานี่ไว้ใจไอ้เก่งได้เลย


ถามว่าหลังจากนั้นเป็นไง?


โอ้โห...เมาเละเทะสิครับพี่น้อง!


คือแรกๆ ก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่พอคุยไปคุยมาคอเริ่มแห้งก็ยกแก้วขึ้นดื่มเรื่อยๆ ยิ่งคุยกันถูกคอมากเท่าไหร่เหล้ามันก็ยิ่งอร่อยมากเท่านั้น ซึ่งยังไม่ทันข้ามวันผมก็เมาอย่างหนักจนจำอะไรไม่ได้ เมื่อคืนงานเลิกตอนไหน ผมขึ้นห้องมาได้ยังไงก็ยังจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ


ว่าแต่...ทำไมตอนนี้ผมถึงไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเลยล่ะ ไอ้เอสที่ยังนอนอยู่ข้างๆ ก็ไม่ได้ใส่เหมือนกัน แถมตามเนื้อตัวของมันก็มีแต่รอยแดงเป็นจ้ำอย่างกับรอยจูบ


ส่วนตามเนื้อตัวของผมเท่าที่ดูก็ไม่มีรอยอะไร อ๊ะไม่สิ มีคราบอะไรสักอย่างที่แห้งติดตามตัวอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่มาก แค่นิดหน่อยเท่านั้นเหมือนว่ามันถูกเช็ดออกไปแล้ว แถมช่วงขาก็เป็นสั่นๆ ช่วงสะโพกกับด้านหลังก็รู้สึกระบมด้วย


นี่เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น?


ผมทำอะไรลงไปหรือว่าโดนไอ้เอสทำอะไรวะเนี่ย!?


2BC


 :m9: สวัสดีค่า หายไปนานเลย แหะๆ แบบว่าตจว.มันหนาวมากกกก  :freeze: แคปไว้ต่ำสุดคือ 8 องศา เล่นเอามือไม้แข็งพิมพ์อะไรแทบไม่ได้ ใส่ถุงมือก็พิมพ์ไม่ถนัด ฮืออออ ยังไงก็ต้องขอโทษที่มาอัพช้าด้วยนะคะ  :m5:

มาพูดถึงตอนนี้กันบ้างดีกว่า ก็หวานๆตามสไตล์ข้าวใหม่ปลามัน (อิจฉาตาร้อน) ว่าแต่ตอนเลี้ยงฉลองมีใครเดาออกมั้ยนะว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมตื่นมาซีอยู่ในสภาพนั้น ท่าทางน่าจะเมาหนัก 55555  :laugh:

แต่ถ้าเดาอะไรไม่ออกก็มารอเฉลยตอนหน้าแล้วกันเนอะ รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน ฝากติดตามกันต่อด้วยนะค้าาา  :กอด1: :pig4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่ 21# ย้ายมาอยู่ด้วยกันนะ [14.12.62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 14-12-2019 19:14:07
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่ 21# ย้ายมาอยู่ด้วยกันนะ [14.12.62]
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 14-12-2019 20:51:06
Ontop
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่ 21# ย้ายมาอยู่ด้วยกันนะ [14.12.62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 14-12-2019 21:05:33
 :z1:

 :กอด1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่ 21# ย้ายมาอยู่ด้วยกันนะ [14.12.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Y-Darkness ที่ 15-12-2019 10:52:36
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่ 21# ย้ายมาอยู่ด้วยกันนะ [14.12.62]
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 15-12-2019 23:12:11
หูววววว. ไวไฟนะจ๊ะน้องซี แปปๆ ย้ายไปอยู่ด้วยกันแระ   o18
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่ 22# ทำไมเวลาเมาถึงได้น่ารักขนาดนี้ [19.12.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Sameejaejung ที่ 19-12-2019 15:45:17
Soulmate วิญญาณป่วนรัก


Part 22# S ทำไมเวลาเมาถึงได้น่ารักขนาดนี้


ย้อนกลับไปเมื่อเวลาประมาณ 4 ทุ่ม


ตอนนี้แต่ละคนก็แทบจะหมดเรื่องเมาท์กันแล้ว เพราะเริ่มปาร์ตี้กันตั้งแต่ยังไม่ 1 ทุ่มเลย ดังนั้นจากที่เคยแย่งกันพูดก็เริ่มจะนิ่งกัน เก่งที่เห็นแบบนั้นเลยเสนอไอเดียหนึ่งออกมา นั่นก็คือ...การเล่นไพ่กระชับมิตร


“วิธีการเล่นก็ง่ายมาก แค่ให้พวกมึงแต่ละคนเลือกไพ่จากสำรับมา 1 ใบ ใครได้แต้มน้อยที่สุดแพ้ แล้วคนแพ้เนี่ยก็จะต้องตอบคำถามตามความจริงเป็นการลงโทษ...กูขอขีดเส้นใต้คำว่าตามความจริงเลยนะ ใครตอแหลแกล้งตอบมั่วๆ กูขอสาปแช่งให้ชีวิตอัปรีย์ ดวงกาลกิณีไม่มีความโชคดีตลอดไป...สาธุ!” ไม่ใช่แค่พูด แต่เก่งยังพนมมือขึ้นไหว้อีกต่างหาก แต่ละคนเลยทำหน้าเข็ดขยาด แบบนี้คงไม่กล้าจะโกหกกันแน่ๆ


“กูชักเริ่มไม่อยากเล่นแล้วว่ะ ถ้าแพ้นี่ต้องเจอคำถามที่แม่งโคตรจัญไรฉิบหายแน่ๆ” เสือทำหน้าสยอง


“นั่นดิ กูยิ่งไม่ค่อยมีดวงอยู่ด้วย” คราวนี้ซีพูด เก่งที่ได้ยินแบบนั้นก็กลัวคนอื่นจะไม่เอาด้วยอีก เลยรีบชักแม่น้ำทั้ง 5 โน้มน้าวใหญ่


“แต่เกมนี้มันจะทำให้พวกเรารู้จักกันมากขึ้น แล้วก็จะยิ่งทำให้สนิทกันมากขึ้นด้วยนะเว่ย โดยเฉพาะไอ้เอสที่พึ่งเป็นน้องใหม่ พวกมึงแต่ละคนก็ยังไม่ค่อยรู้จักมันเท่าไหร่เลยใช่มั้ยล่ะ แม้แต่มึงก็ด้วย” ประโยคสุดท้ายเก่งหันไปพูดกับซี ซีเลยพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมกับพึมพำออกมาเบาๆ


“นั่นสินะ” เป็นคนที่โดนโน้มน้าวง่ายชะมัด แต่ก็ตรงนั้นแหละที่ผมมองว่าน่ารัก


สรุปก็เป็นอันว่าทุกคนตกลงจะเล่นเกมนี้ ซึ่งผมก็ไม่มีปัญหา แม้จะพอเดาได้ว่าจะต้องเจอคำถามสุดหินแน่ๆ แต่ผมก็ยังอยากจะเล่น อยากจะสนิทกับทุกคน เพราะผมเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่ง แถมถ้าไม่ค่อยสนิทหน้าก็จะค่อนข้างนิ่งด้วย ดังนั้นเลยคิดว่าเกมนี้น่าจะเป็นทางลัดที่ทำให้ผมสนิทกับทุกคนมากขึ้น


อีกอย่าง จากนี้ไปผมคงจะยุ่งมากจนไม่มีเวลามานั่งรวมกลุ่มกับทุกคนแบบนี้ เพราะผมต้องเร่งทำงานในส่วนที่ลาพักไป 1 สัปดาห์ คิดว่าขนาดจะนอนให้เต็มอิ่มก็คงจะทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ถ้าหากพลาดวันนี้ไปก็ไม่รู้ต้องรออีกนานแค่ไหนถึงจะมีโอกาสแบบนี้อีก


ประเดิมเกมแรก คนที่เลือกไพ่ได้แต้มน้อยที่สุดก็คืออาร์ท อาการที่เห็นไพ่ 2 ดอกจิกในมือก็ถึงกับสบถชุดใหญ่ ก่อนจะฟาดไพ่ลงตรงหน้าอย่างหัวเสีย


“หวยเอ๊ย!” ความจริงแล้วคำที่อาร์ทพูดคือ ค. ไม่ใช่ ห. แต่ถ้าจะให้ออกอากาศก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่


“ฮ่าๆๆๆ เจิมได้ดี” ซีหัวเราะพร้อมกับปรบมืออย่างชอบอกชอบใจ


“ไม่ต้องห่วงนะมึง พวกกูจัดหนักให้แน่” ตอนแรกเก่งทำเหมือนจะปลอบใจ แต่ไม่มีซะล่ะ ก็อย่างว่าแก๊งนี้น่ะเกรียนกันทั้งแก๊ง


แล้วหลังจากนั้นทุกคนยกเว้นอาร์ทก็ซุบซิบเสนอคำถามกัน ส่วนผมก็นั่งฟังเฉยๆ ไม่ได้เอ่ยปากเสนออะไรหรอก แต่ละคำถามนี่จี๊ดๆ ทั้งนั้น จนกระทั่งเลือกกันได้แล้ว หน้าที่ถามคำถามทุกคนก็พร้อมใจกันโยนไปให้เก่งอย่างเป็นเอกฉันท์


“เรื่องดีๆ นี่โยนมาให้กูจังนะพวกมึง” แต่ถึงจะบ่นเก่งก็ยอมรับหน้าที่นี้แต่โดยดี “คำถามมีอยู่ว่า...นิสัยของไอ้หลินที่มึงเบื่อที่สุดคืออะไร!”


“โอ้โหไอ้พวกเหี้ย! ถามแบบนี้คือกะจะให้กูตายเลยใช่มั้ย!” อาร์ทโวยวายก่อนจะปาดเหงื่อ เพราะถูกสายตาของหลินจ้องเขม็งไปหาอย่างน่ากลัว ส่วนคนอื่นๆ ก็ขำก๊ากซะจนท้องคัดท้องแข็ง


“ถ้าจะโทษก็โทษมือมึงเองนะ เสือกหยิบไพ่ 2 ดอกจิกทำไมล่ะ ฮ่าๆๆ” ซีซ้ำเติม เสือเลยถือโอกาสยุซะเลย


“กะอีแค่เมียมึงจะกลัวทำไม! ออกจากแก๊งเลาว์ไปถ้านายกลัวเมีย!”


“ใครบอกกูกลัว! ไม่มี้!”


“ถ้างั้นก็รีบตอบมา!”


“กูเบื่อความขี้บ่น! บ่นแม่งตั้งแต่ตื่นยันนอน! บ่นๆๆ อยู่นั่นไม่รู้จะบ่นห่าอะไรนักหนา!” อาร์ทตอบอย่างใส่อารมณ์ราวกับว่าอดทนมานาน แต่หลังจากนั้นไม่ถึง 3 วินาที น้ำเสียงที่แข็งกร้าวก็เปลี่ยนเป็นหวานเจี๊ยบ ส่วนสีหน้าที่กำลังเดือดจัดก็เปลี่ยนเป็นยิ้มหวาน


“แต่ว่านะตัวเอง ถึงตัวเองจะขี้บ่นแต่เค้าก็ร้ากกกก บ่นให้เค้าฟังแบบนี้ไปอีกสัก 80 ปีเลยนะยาหยีของเค้า” ไม่พูดเปล่า อาร์ทยังยื่นสองมือไปบีบแก้มของหลินที่กำลังอมยิ้มแล้วก็จุ๊บที่หน้าผากไปอีก 1 ที เล่นเอาคนที่เหลือพากันส่งเสียง ‘แหวะ!’ พร้อมทำท่าจะอาเจียนเพราะเหม็นความรัก


หลังจากนั้นการเสี่ยงดวงครั้งที่ 2 ก็เริ่มขึ้น ซึ่งก็ไม่มีข้อยกเว้นให้อาร์ท ถึงแม้จะดวงซวยเจอแจ็คพอตไปแล้ว แต่ครั้งนี้ก็ต้องเลือกไพ่อีกเช่นกัน โชคดีที่ดวงไม่ซวยซ้ำ 2 ขนาดที่จะเลือกได้แต้มน้อยที่สุดอีกครั้ง ส่วนคนที่เจอแจ็คพอตก็คือ...


“ไอ้เหี้ยยยยย! 6 หลามตัดกูว่าก็ไม่น้อยนะเว่ย! ไหงพวกมึงแม่งดวงดีได้แต้มสูงกันจังวะ!” คนที่โวยวายอยู่ไม่ใช่ใครที่ไหน ซีนั่นเอง


ซึ่งหลังจากที่ทุกคนลงความเห็นกัน คำถามที่ซีได้ก็คือ...


“มึงช่วยตัวเองครั้งแรกตอนอายุเท่าไหร่”


“ไอ้สัส! ใครเป็นคนตั้งคำถามวะเนี่ย!” กะแล้วว่าซีต้องโวยวาย อาร์ทที่เคยโดนซีซ้ำเติมเลยถือโอกาสเอาคืนบ้าง


“ถ้าจะโทษก็โทษมือมึงเองนะ เสือกหยิบไพ่เลขต่ำสุดเองทำไม ฮ่าๆๆ” เจอแบบนี้ซีก็แยกเขี้ยวใส่ แต่ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ก็มีแต่ต้องทำใจ แล้วก็ต้องย้อมใจด้วยการดื่มเหล้าไปจนหมดแก้ว


“สะ...”


“อะไรนะ” ซีก้มหน้างุดแถมยังพูดด้วยเสียงที่เบามากๆ จนไม่มีใครได้ยิน


“สะ...สิบสี่”


“พูดดังๆ ซิ พวกกูไม่เห็นจะได้ยินเลย” เก่งยิ้มที่มุมปากเพราะตั้งใจแกล้งซี เมื่อกี้ถึงจะเบาก็เถอะ แต่ด้วยความที่ทุกคนตั้งใจฟังก็เลยได้ยินอย่างชัดเจน


อืม...ช้ากว่าที่คิดเอาไว้อีกนะเนี่ย


“แล้วมึงจะเอาดังขนาดไหน! ให้ได้ยินกันทั้งซอยเลยมั้ยว่ากูช่วยตัวเองครั้งแรกตอนสิบสี่! ไอ้พวกฉิบหาย!” ซีโวยวายหน้าแดงหูแดง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้โกรธหรืออายมากกว่า แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ซีน่ารักมากจนผมอดที่จะมองแล้วยิ้มออกมาไม่ได้


“ยิ้มหาอะไร นี่ล้อกูอยู่ในใจใช่มั้ย อยากตายรึไงวะ” ซีหันมาตีผมแก้เขิน แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้หายหรอก เพราะบรรดาเพื่อนของซีพากันร่วมใจร้องเพลง ‘สิบสี่อีกครั้ง’ เวอร์ชั่นพิสดารออกมา


~ เธอทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตอนสิบสี่


ตอนที่ช่วยตัวเองครั้งแรก


ลึกลึกข้างในมันเสียวมันซี้ดแปลกๆ


เธอรู้ไหมฉันเหมือนสิบสี่อีกครั้ง ~


“ไอ้พวกเหี้ยยยย” ซีด่าจบก็เอามือปิดหน้าด้วยความอาย ส่วนบรรดาเพื่อนก็พากันหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ กว่าจะมูฟออนไปเลือกไพ่รอบใหม่ได้ก็ล้อซีอีกพักใหญ่เลย


คนต่อมาที่โดนแจ็คพ็อตคือเก่ง คนชวนเล่นพอโดนเองก็เลยถูกเพื่อนรวมหัวกันเพื่อจัดหนัก โดยเฉพาะซีที่ดูอยากจะเอาคืนมากเพราะเรื่องที่ตัวเองโดนก็หนักใช่ย่อย


“มึงช่วยตัวเองครั้งล่าสุดวันไหน” แต่เชื่อมั้ย นอกจากจะไม่อายเก่งยังตอบทันทีเลยว่าเมื่อคืนตอนอาบน้ำ แถมยังบอกรหัสหนัง AV ที่ดูระหว่างทำด้วย เล่นเอาแต่ละคนพากันทำหน้าเซ็งเพราะอดล้อกันเลย


ยิ่งเล่นคำถามก็ยิ่งแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็โดนกันถ้วนหน้า จะมีก็แต่หลินที่เป็นผู้หญิงคนเดียวเลยได้คำถามซอฟต์หน่อย เพราะไม่ใช่เรื่อง 18+


“มึงมีความลับเรื่องใหญ่ๆ อะไรที่ปิดบังไอ้อาร์ทอยู่ กูขอขีดเส้นใต้คำว่าเรื่องใหญ่ๆ เลยนะ ไอ้เรื่องที่แอบอมเงินผัวไปซื้อเครื่องสำอางค์นี่ไม่นับ นั่นมันไก่กา”


คำถามเหมือนจะซอฟต์ แต่ความจริงแล้วเหมือนมันไม่ซอฟต์เลย เพราะหลินเม้มปากแน่นแล้วทำหน้าเป็นกังวล ส่วนอาร์ทก็จ้องอยู่อย่างใจจดใจจ่อ ในขณะที่พวกผมก็นั่งเงียบรอฟังจนทั้งบ้านเงียบสงัด


“มีเรื่องนึงที่กูโกหกไอ้อาร์ทมาตลอด...”


หลินเกริ่นนำมาแบบนี้ก็แทบกลั้นหายใจกันไปสิพวกผม จะมีเหตุการณ์บ้านแตกเกิดขึ้นมั้ยเนี่ย เพราะสีหน้าของอาร์ทตอนนี้นิ่งมากจนน่ากลัว


“ความจริงแล้วรักแรกของกูไม่ใช่มันว่ะ แต่เป็น...เป็น.....................ไอ้ซี!”


“ห้ะ!!!!!” พวกผมทั้งหมดอุทานออกมาพร้อมกัน แม้แต่เจ้าตัวที่เป็นรักแรกของหลินอย่างซีก็ด้วย


“นี่มึง...ล้อเล่นใช่มั้ยเนี่ย” ตอนนี้ดูซีจะตกใจกว่าอาร์ทซะด้วยซ้ำ


“หมดกันความลับที่กูอุตส่าห์ปิดเอาไว้ ไม่น่าหลวมตัวมาเล่นเกมส้นตีนนี่เล้ยยย” หลินโอดครวญด้วยความอาย ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าซีหรือว่าอาร์ท


หลินบอกว่าที่เคยแอบปิ๊งซีเพราะซีเป็นคนที่สนุกสนาน เฟรนด์ลี่ มีน้ำใจ อยู่ใกล้ๆ ก็รู้สึกมีความสุข แถมหน้าตาก็น่ารักตรงสเปกด้วย ส่วนที่ว่าเลิกชอบซีมาชอบอาร์ทได้ยังไง หลินบอกว่าตกกระไดพลอยโจนมากกว่า เพราะเอาเรื่องที่แอบชอบซีไปปรึกษาอาร์ทโดยไม่ได้บอกว่าเป็นใคร แต่อาร์ทดันคิดว่าเป็นตัวเอง


“เชี่ยยยยยย นี่กูมโนไปเองหรอวะเนี่ยยยยยย” อาร์ทโวยวายเสียงโหยหวนเมื่อรู้ความจริง ส่วนคนอื่นๆ ไม่เว้นแม้แต่ผมก็พากันขำกันกระจาย


“ก็เนี่ย เค้าถึงได้เก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับไม่บอกตัวเองไง” หลินตบบ่าปลอบใจ แต่ก็ทั้งอายแล้วก็ขำในเวลาเดียวกัน ซึ่งอาร์ทก็เหมือนจะไม่ได้ติดใจเรื่องนี้กับหลินเท่าไหร่ แต่ดูอยากจะคิดบัญชีแค้นกับซีมากกว่า


“หนอย...มึงอะ รักแรกของเมียกูหรา” พูดจบอาร์ทก็พุ่งเข้าใส่ซี ตอนแรกผมก็คิดอยู่ว่าจะเกิดเรื่องวิวาทกันรึเปล่า แต่ก็ปรากฏว่าเปล่า เพราะอาร์ทแค่จับซีมอมเหล้าจนเมาแอ๋ จะได้ลบภาพรักแรกอันสวยงามของหลินออกไปเท่านั้นเอง


พอหมดเรื่องวุ่นวายก็ได้ฤกษ์เล่นเกมกันต่อ ในที่สุดแจ็คพอตมันก็มาลงที่ผมจนได้ และถึงแม้ผมจะไม่ค่อยสนิทกับทุกคนเท่าไหร่ พอถึงคราวซวยเลือกไพ่ได้แต้มน้อยที่สุดก็โดนจัดหนักไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน


“มึงเสียซิงครั้งแรกตอนอายุเท่าไหร่”


ถึงจะทำใจเอาไว้แล้ว แต่พอเจอคำถามแบบนี้ผมก็อดที่จะชะงักไม่ได้ ก่อนที่จะตอบผมเลยหันไปมองซีที่นั่งอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นว่ากำลังทำหน้ามึนๆ แต่ก็ดูสนอกสนใจ ผมเลยคิดว่าคงไม่มีปัญหาก็เลยตอบไปตามความจริง


“น่าจะอายุ 15 – 16 ช่วงกำลังจะเข้า ม.4” เท่านั้นแหละ แต่ละคนก็เบิกตากว้างแล้วอุทานออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน


“เหยดดดดดด”


“ไวไฟว่ะมึง”


“ที่หนึ่งในกลุ่มเลยเพื่อน”


“ข้าน้อยขอคารวะเป็นศิษย์” คำพูดของแต่ละคนทำเอาผมรู้สึกขำจนต้องหัวเราะออกมาเบาๆ แต่พอหันไปเห็นหน้าซีผมก็รีบหุบยิ้มแทบไม่ทัน เพราะตอนนี้กำลังบูดบึ้งสุดๆ เลย


“ว่าแต่กับใครวะ บอกพวกกูหน่อยดิ” เก่งถามยิ้มๆ นี่สงสัยจะไม่เห็นสีหน้าของซี แต่ไม่สิ...เพราะเห็นต่างหากถึงได้จงใจถามผมแบบนี้


ร้ายกาจ


“กูต้องโดนถามแค่ข้อเดียวไม่ใช่หรอ”


“ตอบมาเหอะน่า!” คนที่ขึ้นเสียงใส่ผมไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก ก็คนเมาที่กำลังทำหน้าบูดอยู่ข้างๆ นี่แหละ


“เป็นพี่สาวที่อยู่บ้านตรงข้าม แล้วก็เป็นครูสอนพิเศษช่วงเสาร์ – อาทิตย์”


“เยสเข้! นี่คือที่มาของคำว่าขึ้นครู! สุดยอดไปเลยเพื่อน!” แล้วแต่ละคนก็แซวผมกันใหญ่ ผิดกับซีที่จากแค่หน้าบูดก็กลายเป็นหงุดหงิด เลยหยิบแก้วที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาดื่มรวดเดียวจนหมด แถมยังชงเพิ่มแล้วก็ดื่มต่อจนหมดแก้วอีกต่างหาก


“เดี๋ยวก็เมาหรอกซี” ผมเตือน แต่ก็ถูกสายตาพิฆาตหันมามองพร้อมกับค้อนอันเบ้อเร่อ


“ม่ายต้องมายุ่ง!”


“อาการแบบนี้ท่าทางจะหึง” เก่งกระซิบที่ข้างหูผม ส่วนผมก็พยักหน้าลงพร้อมกับอมยิ้มน้อยๆ ก่อนนี้ผมก็ไม่คิดหรอกว่าซีจะหึง เพราะปกติซีจะเป็นคนมองโลกในแง่บวกไม่ค่อยคิดอะไรมาก แต่พอเหล้าเข้าปากนี่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง


เห็นผมพูดแบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบนะ แต่ชอบมากกกกเลยต่างหาก ก็น่ารักซะขนาดนี้


หลังจากนั้นเกมรอบใหม่ก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง ผมจำไม่ได้แล้วว่ามันรอบที่เท่าไหร่เพราะเล่นกันมาเกือบชั่วโมงแล้ว แน่นอนว่าก็โดนแจ็คพอตกันครบทุกคน แถมคนที่ซวยมากๆ อย่างเก่งยังโดนซ้ำไปตั้ง 5 รอบ เพราะงั้นจึงไม่แปลกเลยที่ผมจะโดนซ้ำรอบ 2 ซึ่งคำถามที่ผมโดนก็คือ...


“ครูพี่สาวคนน้านกับกู ครายทำให้มึงรู้สึกดีมากกว่ากัน!” จู่ๆ ซีก็โพล่งถามขึ้นมาเลยโดยไม่รอปรึกษาใครทั้งนั้น ถามว่าแปลกใจมั้ยก็ไม่เท่าไหร่ เพราะตอนนี้ซีเมาหนักมาก แหงล่ะ ก็หลังจากโดนอาร์ทมอมก็ยกเหล้าขึ้นดื่มเองอีกไม่รู้กี่แก้ว


“อู้ววววว พิษรักแรงหึง” เก่งเป็นแกนนำพวกเพื่อนแซว แต่ซีก็ไม่สนใจ เอาแต่จ้องผมตาไม่กระพริบอย่างเดียว


“มึงเมามากแล้วนะ ขึ้นห้องไปนอนดีมั้ย” ผมเลี่ยงไม่ตอบคำถาม ก็จะให้เอาเรื่องบนเตียงมาพูดมันก็ยังไงอยู่ ลองถ้าซีไม่เมาก็คงไม่ถามเรื่องแบบนี้ออกมาหรอก


“กูไม่ได้เมา! ม่ายยยยเมา! ตอบคำถามกูมาเดี๋ยวนี้! ตอบมาสิว่าเป็นกู!” ซีกระชากคอเสื้อของผมเอาไว้ ตอนแรกก็หวั่นๆ อยู่ว่าผมจะถูกต่อยรึเปล่า แต่นอกจากจะไม่ทำแบบนั้น ประโยคต่อมาซียังอ้อนเสียงหวาน แถมยังช้อนตามองผมปิ๊งๆ อีกด้วย


“เป็นกูใช่มั้ย...ใช่มั้ยมึง...” น่ารัก...น่ารักเป็นบ้า น่ารักมากจนชักอยากจะแกล้งสักหน่อยแล้วสิ


“อืม...จะเป็นมึงดีมั้ยนะ”


“อ้ายเอส!” ถึงจะเมาจนเสียงยานคางหมดแล้ว แต่ซีก็ยังมีแรงปีนขึ้นมาที่ตักของผมอีกนะ เล่นเอาพวกเพื่อนพากันส่งเสียงแซวกันหนักกว่าเดิม


“จะทำอะไร ไม่อายเพื่อนหรอน่ะ” ผมน่ะไม่อายหรอกนะ แต่ท่านี้มันก็ค่อนข้างที่จะ...อืม...เสียวๆ หน่อย


“อายทำไม” ซีพูดจบก็กำคอเสื้อของผมเอาไว้อีกครั้ง “ตอบให้ดีๆ ม่ายงั้นมึงเจอดีแน่”


“ครับๆ กลัวแล้วครับ เมื่อกี้กูแค่แกล้งเล่นเฉยๆ ยังไงก็ต้องเป็นมึงที่ดีกว่าอยู่แล้ว”


สาบานเลยว่าผมพูดความจริง ตอนนั้นผมไม่ได้รู้สึกอะไรเลย เอ่อ...หมายถึงเรื่องหัวใจนะ เพราะอย่างที่เคยบอกว่าก่อนจะเจอซีผมไม่เคยรักใคร ส่วนร่างกายมันก็เป็นไปตามธรรมชาติ พี่เขาเสนอแล้วก็เป็นคนทำทุกอย่าง ผมแค่นอนอยู่นิ่งๆ เท่านั้นเอง


“จริงหรอ” ซีอมยิ้มซะจนแก้มป่อง


“จริงสิ” พอได้ยินคำยืนยันแบบนี้ ซีก็ก้มหน้าลงมาหอมแก้มผมฟอดใหญ่เป็นรางวัล แถมยังก้มมาซบที่ไหล่แล้วก็กอดผมเอาไว้แน่นอีกด้วย


“น่าร้าก” ซีชมผม แต่ความจริงผมว่าผมต้องเป็นคนพูดคำนี้กับซีมากกว่า


แต่ว่ายังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร จู่ๆ คนขี้เมาก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้เลยดีดตัวขึ้นมา ส่วนสายตาจากที่กำลังออดอ้อนก็เปลี่ยนเป็นมองผมตาขวางแทน


“คิดว่ากูจาเชื่อหรา!” เอาแล้วไง ก่อนนี้ไม่น่าล้อเล่นเลยผม


“แล้วต้องทำยังไงมึงถึงจะเชื่อ” ซีนิ่งไปแป๊บหนึ่ง ก่อนจะพูดเรื่องที่ทำให้ทุกคนถึงกับตะลึงออกมา


“จูบกู!”


“โอ้ววววววว!”


“เหยดดดดดด!”


“วิ้ดวิ้วววววว!”


“เอาแล้วโว้ยยยยยยยย!”


พวกเพื่อนพากันแซวหนักมากกกก พึ่งเคยห้ามใจให้หุบยิ้มไม่ได้จริงๆ ก็ครั้งนี้แหละผม ทำไมแฟนผมถึงได้น่ารักแบบนี้นะ นี่ถ้ารู้ว่าเวลาเมาจะน่ารักขนาดนี้ผมคงชวนดื่มเหล้าบ่อยๆ ไปแล้ว


“เร็วๆ สิ! รีบจูบกูสักที!” คนขี้เมาเร่ง ผมเลยยื่นหน้าขึ้นไปจุ๊บที่ริมฝีปากตามคำขอ


“ทีนี้เชื่อรึยัง” แต่ก็ดูเหมือนว่าจะยัง เพราะซียังทำหน้าบูดอยู่เลย


“นี่มันใช่จูบหรา! จูบของจริงมันต้องแบบนี้!” ซีพูดจบก็กำคอเสื้อของผมเอาไว้แน่น แล้วก้มหน้าลงมาจูบผมทันที แถมยังไม่ใช่แค่จูบธรรมดาอย่างปากแตะปาก แต่เป็นจูบที่บดขยี้และแลกลิ้นกันอย่างดูดดื่ม เรียกเสียงฮือฮาจากพวกเพื่อนกันได้เกรียวกราว


เราสองคนจูบกันพักหนึ่ง จนกระทั่งพอใจแล้วนั่นแหละซีถึงได้ถอนจูบออกมา สีหน้าของซีตอนนี้กำลังแดงซ่าน ดวงตาก็หรี่ปรือ ส่วนริมฝีปากก็เผยอเล็กน้อย...


เอาแล้วไง คิดดีไม่ได้แล้วผม ในสมองมันคิดแต่เรื่องลามกอกุศลแล้วตอนนี้!


“อ๊ะ! อาไรแข็งๆ มันมาโดนกู นี่มึงพกขวดน้ำติดตัวด้วยอ่อ” ซีพูดอย่างมึนงงแล้วจะล้วงมือลงมาคลำที่ช่วงล่าง แต่ก็ยังดีที่ผมเอามือห้ามเอาไว้ได้ทัน


“ซี อย่าดื้อ” ผมกัดฟันพูดเสียงต่ำ แต่ถึงจะจับมือซุกซนเอาไว้ได้ก็ใช่ว่าเรื่องจะจบ เพราะคนขี้เมาเอาแต่ขยับหยุกหยิกเบียด ‘ขวดน้ำ’ ของผมจนเสียววาบไปทั่วทั้งร่าง


ซี้ด...


เย็นไว้...


เย็นเอาไว้เอส...


แต่ทั้งที่บอกตัวเองแบบนั้น ร่างกายของผม (โดยเฉพาะช่วงล่าง) มันกลับยิ่งร้อนมากขึ้นจนแทบจะระเบิด


เจอแบบนี้ใครมันจะไปทนไหวล่ะ!


2BC


 :katai2-1: สวัสดีค่าาา ฮั่นแน่ สารภาพมาซะดีๆว่ากำลังรอ NC กันอยู่ใช่ม้าาา  :hao3: ตอนนี้ยังไงก็ต้องขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะ แต่ว่าตอนหน้าเตรียมเลือดสำรองไว้ให้พร้อมได้เลย! คิดว่าวันอาทิตย์น่าจะเสร็จ แล้วเจอกันนะคะทุกคน :impress2:

ปล. มีใครคิดเหมือนเอสมั้ยนะว่าตอนซีเมาอะน่าร้ากกกกกก  :-[

ปล2. รูปสเก็ตช์ปกจริงเสร็จแล้ววว แอบกระซิบว่ามันดีมากกกก หน้าปกเป็น 3 หนุ่มด้วย เดี๋ยววันเสาร์เค้าจะลงรูปที่เพจ ยังไงก็มาชมกันได้นะที่ร้ากกกก  :oni2:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่ 22# ทำไมเวลาเมาถึงได้น่ารักขนาดนี้ [19.12.62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 19-12-2019 20:44:57
 :pig4: :pig4: :pig4:


 :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่ 22# ทำไมเวลาเมาถึงได้น่ารักขนาดนี้ [19.12.62]
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 19-12-2019 23:50:14
อั๊ยยยยย เดี๋ยวเตรียมเลือดรอเลยจ้า

น้องซีหาเรื่องเดือดร้อนให้ตัวเองซะแร้วววว.  :laugh:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่ 22# ทำไมเวลาเมาถึงได้น่ารักขนาดนี้ [19.12.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Y-Darkness ที่ 21-12-2019 15:10:32
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่ 22# ทำไมเวลาเมาถึงได้น่ารักขนาดนี้ [19.12.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Micky_MN ที่ 23-12-2019 03:37:04
 :-[ นั่ลรั่คมากกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่ 23# เหตุเกิดจากความเมา [28.12.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Sameejaejung ที่ 28-12-2019 23:38:30
Soulmate วิญญาณป่วนรัก



Part 23# S เหตุเกิดจากความเมา NC-18


“มึงไหวเปล่าวะ”


ประโยคนี้คนที่ถามผมไม่ใช่ซี รายนั้นน่ะเมาจนไม่รู้หรอกว่ากำลังทำอะไร ยั่วผมขนาดไหน แต่คนที่ถามผมคืออาร์ท แถมยังตบบ่าผมเบาๆ ด้วยสีหน้าที่ดูเข้าอกเข้าใจเป็นอย่างดี


“พอมีผัวแล้วนิสัยเปลี่ยนเลยนะ เมื่อก่อนเมาแล้วเรื้อน แต่ตอนนี้เมาแล้วแรด!” หลินมองบน เพื่อนคนอื่นเลยพากันหัวเราะ ส่วนผมก็อยากร่วมด้วยอยู่หรอก แต่ก็ติดที่กำลังเหงื่อตกอยู่นี่แหละ


“มึงพามันขึ้นห้องไปเหอะ สภาพนี้คงไม่ไหวแล้วมั้งน่ะ” เก่งพูดยิ้มๆ ก็ไม่รู้ว่าหมายถึงผมหรือซีล่ะนะ


“ถ้างั้นเดี๋ยวกูพาซีขึ้นห้องก่อนแล้วกัน” พูดจบผมก็ลุกขึ้นโดยอุ้มซีไว้ในท่าเจ้าหญิง ซีดิ้นเบาๆ พร้อมกับโวยวายอะไรนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาเท่าไหร่เพราะซีตัวเบามาก


อ้อ แต่ก่อนที่จะขึ้นห้องผมก็ไม่ลืมที่จะขอร้องทุกคนเรื่องหนึ่ง...


“พรุ่งนี้ช่วยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรหน่อยนะ” ดูจากสภาพ คิดว่าแบบนี้ซีคงไม่น่าจะจำอะไรได้ ถ้าหากโดนแซวหนักเกินไป ผมก็กลัวว่าจะหนีกลับไปอยู่วังตลอดทั้งปิดเทอม


“เออๆ เรื่องนั้นมึงไม่ต้องห่วงหรอก” พอได้ยินแบบนี้ผมก็สบายใจ เลยอุ้มคนขี้เมาเดินขึ้นไปบนห้องนอน โดยที่ไม่รู้เลยว่าเพื่อนแต่ละคนกำลังอมยิ้มด้วยใบหน้าที่เจ้าเล่ห์สุดๆ!


พอเข้าไปในห้องผมก็จัดการวางซีลงบนเตียง แต่แทนที่จะนอนต่อไปดีๆ ซีกลับออกแรงดึงจนผมล้มลงไปนอน ก่อนที่จะพลิกตัวขึ้นมาคร่อมที่ตักผมเอาไว้


ท่านี้อีกแล้ว...


“ที่หนาย” ผมไม่เข้าใจที่ซีถามเลยขมวดคิ้วด้วยความงุนงง


“หมายถึง?”


“ทำกับครูพี่สาวคนน้านที่หนาย ช่ายที่นี่รึเปล่า”


“เปล่า”


“แล้วที่หนาย”


“บ้านหลังเก่า แต่ไม่มีคนอยู่หลายปีแล้ว” เนื่องจากพ่อกับแม่ของผมต้องไปทำงานที่ต่างประเทศถาวร จากเมื่อก่อนที่จะไปเดือนละ 2 – 3 ครั้ง  บ้านหลังนั้นมันใหญ่เกินกว่าที่ผมจะอยู่คนเดียวก็เลยย้ายมาอยู่ที่นี่


ส่วนถ้าถามว่าทำไมผมถึงไม่ย้ายไปอยู่ที่นั่นด้วย เหตุผลก็ไม่มีอะไรมาก ผมก็แค่ไม่อยากวุ่นวายปรับตัวเข้ากับอะไรใหม่ๆ เท่านั้นเอง


“แล้วที่นี่เคยทามกับใครรึเปล่า”


“เปล่า”


“ถ้างั้น กูก็จาเป็นคนแรกสินะ” ซียิ้มอย่างอารมณ์ดีแล้วกุลีกุจอจะถอดกางเกงของผม แต่ผมก็รีบลุกขึ้นห้ามเอาไว้ซะก่อน


“ถ้ามากกว่านี้กูจะไม่ทนแล้วนะ” ถึงผมจะไม่ค่อยอยากฉวยโอกาสทำกับซีตอนที่ไม่มีสติเท่าไหร่ แต่ผมก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่จะห้ามใจได้หรอกนะ


“แล้วกูบอกให้ทนรึงาย” พูดจบซีก็ปัดมือผมออกไป คราวนี้ผมก็ไม่คิดจะห้ามแล้ว โอกาสแบบนี้คิดว่าจะมีสักกี่ครั้งในชีวิตเชียว


เอาวะ ถึงจะต้องถูกโวยวายใส่จนหูชาผมก็ยอม!


ซีเริ่มจากปลดเข็มขัดของผมเป็นอันดับแรก ตามด้วยการปลดกระดุมแล้วก็รูดซิปกางเกงลงมา การกระทำของซีนั้นเงอะงะและค่อนข้างเชื่องช้า แต่ก็ทำให้ผมรู้สึกลุ้นและเสียวเป็นบ้าเลย


“ตอนนั้น ถูกทำอาไรบ้าง”


“ก็...” จะตอบความจริงไปดีมั้ยนะ?


“ถ้าจับด้ายว่าโกหกกูจับตอนไม่เหลือแน่!” ถ้างั้นก็มีแต่จะต้องพูดความจริงแล้วแหละ!


“ก็ถูกใช้ปากแล้วก็ขึ้นคร่อม”


“หึ!” ได้ยินแบบนั้นซีก็ดูไม่สบอารมณ์สุดๆ จึงได้ล้วงเอาส่วนนั้นของผมออกมา แล้วก้มหน้าลงมาใกล้จนรับรู้ได้ถึงลมหายใจร้อนๆ


ตอนนี้ผมทั้งเสียวทั้งเกร็งจนถึงกับต้องกลั้นหายใจ!


“กูจาทำให้ดีกว่าเป็นร้อยเท่าเลย!” พอประกาศกร้าวจบซีก็ใช้มือกอบกุมของผมเอาไว้ แต่แค่มือของซีก็ดีกว่าเป็นร้อยเท่าแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลิ้นร้อนๆ ที่ตอนนี้กำลังเลียท่อนเนื้อของผมตั้งแต่โคนจรดปลาย


“ซี้ดด” ความเสียวที่แล่นพล่านไปทั่วร่างทำเอาผมถึงกับกลั้นเสียงครางไม่ไหว ซีเลยเหลือบสายตาขึ้นมามองแล้วอมยิ้มนิดๆ ด้วยความดีใจ จากนั้นจึงได้อ้าปากครอบครองท่อนเนื้อของผม ตามด้วยการออกแรงดูดที่ส่วนปลายเบาๆ


“ซี...” ผมครางกระเส่า มือข้างหนึ่งขยุ้มที่เส้นผมสีน้ำตาลของคนตรงหน้าเพื่อระบายความเสียวซ่าน แต่ว่าก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ความเสียวมีแต่จะยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซะด้วยซ้ำ


ตอนนี้ซีกำลังขยับปากขึ้นลงพร้อมทั้งออกแรงดูดท่อนเนื้อของผม ซีเรียนรู้ได้ไวและตั้งอกตั้งใจทำสุดๆ ทั้งอม ทั้งเลีย ทั้งดูด แล้วก็รูดรั้งสลับกัน ผมก้มมองภาพที่ซีทำด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยก็เล่นเอาแทบคลั่ง ท่อนเนื้อได้ขยายใหญ่ขึ้นจนคับปากของซีแล้ว


แม้ไม่ต้องพูดซีก็รู้ว่าผมใกล้จะเสร็จ เลยเร่งจังหวะการขยับขึ้นลงให้เร็วขึ้น อมลงไปลึกขึ้น แถมยังใช้ลิ้นดุนตรงส่วนหัวให้ผมเสียวซี้ดจนต้องหลุดเสียงคราง การกระทำพวกนั้นยังทำให้ผมพอทนไหวแม้จะต้องเกร็งไปทั้งร่าง แต่หลังจากที่โดนดูดส่วนหัวจนสุดแรงผมก็ต้องยอมแพ้


“อา!” น้ำสีขาวขุ่นพุ่งเข้าไปในปากของซีทันที ซึ่งซีก็รับเอาไว้ทั้งหมดแถมยังดูดออกมาจนหยดสุดท้าย ซ้ำยังเลียแก่นกายของผมเพื่อทำความสะอาดให้อีกต่างหาก


เอ็กซ์โคตร...


เจอแบบนี้เข้าไปก็ถึงกับคลั่งจริงๆ สิผม ท่อนเนื้อที่อยู่ในปากของซีเลยไม่มีวี่แววที่จะอ่อนลง ยังคงแข็งโด่แถมยังใหญ่จนคับปากเล็กๆ เช่นเดิม


“คิกๆ คนหื่น” ซีหัวเราะเบาๆ ผมเลยจับลอกคราบจนเหลือแต่ร่างเปลือยเปล่า ตามด้วยตัวเอง ในตอนแรกผมก็ตั้งใจว่าจะจับกดซีลงไปนอนอยู่ใต้ร่าง แต่ว่าซีก็ขืนตัวเอาไว้แล้วปีนขึ้นตักมาคร่อมผมอีกครั้ง


“วันนี้กูจาทำเอง!” ดูท่าซีคงจะอยากเอาชนะพี่ที่เป็นครั้งแรกของผม แน่นอนว่าผมก็ต้องไม่ขัดอยู่แล้ว มีผู้ชายคนไหนไม่ชอบท่านี้บ้าง การถูกขย่มนี่เป็นความฝันสูงสุดของผู้ชายส่วนใหญ่เลยนะ


แค่คิดก็แทบจะร้องซี้ดแล้ว...


ซีเริ่มจากก้มหน้าลงมาซุกไซ้ที่ซอกคอของผม ก่อนจะดูดหนักๆ สลับกับกัดเบาๆ เมื่อทำจนพอใจแล้วก็ไล่ลงมาทำที่แผ่นอกต่อ ก่อนจะลามลงไปจนถึงกล้ามท้อง แล้วก็ท้องน้อย


“ซี้ดด...” ผมเสียวจนกลั้นเสียงครางเอาไว้ไม่ได้ เพราะในจังหวะนั้นแก่นกายของผมก็ถูกมือร้อนๆ กอบกุมเอาไว้แล้วรูดขึ้นลงด้วย


“ดีรึเปล่า” ซีถามผมเสียงกระเส่า


“อืม...ดี...” ผมตอบด้วยเสียงที่กระเส่ายิ่งกว่า แต่ว่าผมก็ไม่เห็นแก่ตัวมีความสุขคนเดียวหรอก ผมอยากให้ซีรู้สึกดีไปด้วยกัน ดังนั้นสองมือของผมเลยบีบขยำที่แผ่นอกตรงหน้า โดยใช้นิ้วหัวแม่มือบีบขยี้ตรงยอด ส่วนใบหน้าของผมก็ซุกไซ้ที่ซอกคอขาวๆ


“อา...ไอ้เอส...” ผมชอบฟังเสียงครางของซี ยิ่งเรียกชื่อผมด้วยผมยิ่งชอบ


“เรียกชื่อกูอีกสิ”


“เอส...เอส...อื้อ...อะ...เอส...” เป็นเด็กดีแบบนี้ผมก็ต้องให้รางวัลสักหน่อย เลยเคลื่อนใบหน้าจากซอกคอลงไปยังแผ่นอกขาวๆ ตามด้วยการใช้ลิ้นเลียที่ตรงยอดสลับกับการดูดดุน ส่วนยอดอกอีกข้างก็ยังคงใช้มือบีบขยี้


ความเสียวซ่านทำให้ซีขยำที่เส้นผมของผมแน่น ก่อนจะยิ่งแรงขึ้นเมื่อผมใช้ปลายนิ้วมืออีกข้างที่ชโลมไปด้วยเจลหล่อลื่นอ้อมไปทางด้านหลัง ผมใช้นิ้วหมุนวนตรงปากทางเข้าสักพักจึงได้สอดมันเข้าไป


“อา...!” ซีสะดุ้งเล็กน้อย เท่าที่ดูน่าจะไม่ใช่เพราะเจ็บ แต่น่าจะเป็นเพราะเสียวมากกว่า เพราะผมใช้นิ้วกลางซึ่งเป็นนิ้วที่ยาวที่สุดสอดเข้าไปรวดเดียวจนมิดลำ


ความเสียวซ่านทำให้ซีแอ่นอกขึ้น เลยทำให้ผมดูดเลียยอดอกตรงหน้าได้ถนัดยิ่งขึ้น ซึ่งผมก็ทำไปพร้อมๆ กับการขยับนิ้วเข้าออกที่ช่องทางด้านหลัง โดยเริ่มจากช้าๆ เพื่อสร้างความคุ้นชิน จากนั้นก็เพิ่มความเร็วขึ้นอีก ตามด้วยการสอดนิ้วที่ 2 เข้าไป


“อื้อ...อา...” ซีครางเสียงหวาน ช่องทางด้านหลังบีบและตอดรัดนิ้วของผมแน่นมาก จนผมอยากจะเอาแก่นกายเข้าไปแทนซะตอนนี้เลย


ยุบหนอ พองหนอ...ยุบหนอ พองหนอ...


แต่ทำไมยิ่งท่องลูกชายของผมมันถึงได้ยิ่งพองขึ้นล่ะเนี่ย!


“เอส...กูเสียว...” ซีพูดด้วยเสียงกระเส่า ส่วนสะโพกก็สั่นระริกและบิดเร่า เวลาเมานี่จะยั่วเกินไปแล้ว อยากจะถามจริงๆ ว่าอยากให้ผมตบะแตกมากนักใช่มั้ย!


ผมกัดฟันข่มใจเอาไว้อีกหน่อยเพราะไม่อยากให้ซีเจ็บ ระหว่างที่ยังอดทนได้ผมเลยรีบเร่งขยายช่องทางให้พร้อม ทั้งขยับนิ้วเข้าออกอย่างรวดเร็วและหักงอเป็นจังหวะ ส่วนด้านหน้าของซีผมก็ลดมืออีกข้างลงมารูดรั้ง ในขณะที่ยอดอกผมก็ทั้งดูด ทั้งเลีย แล้วก็ขบเม้มเน้นๆ อีกด้วย


“ซี้ดด...เสียวจาง...อ๊า...กูเสียว...” ซีครางลั่นเมื่อถูกเล้าโลมพร้อมกันทั้ง 3 ทาง ความเสียวซ่านทำให้ช่องทางด้านหลังกระตุกตอดรัดนิ้วของผมถี่ยิบ ส่วนตรงนั้นที่ผมกำลังชักขึ้นลงก็กำลังสั่นระริกและมีน้ำใสๆ ไหลออกมา


“เอส...มะ...ไม่ไหว...อ๊า...เอส! อ๊าาา!” สิ้นเสียงนั้นซีก็ปลดปล่อยออกมา แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่หยุดขยับมือ นิ้ว และริมฝีปาก ยังคงปลุกเร้าซีต่อไป แล้วไม่นานอารมณ์ของซีก็ถูกจุดติดขึ้นมาอีกครั้ง


“อะ...เอส...” น้ำเสียงและสีหน้าของซีตอนนี้ยั่วเป็นบ้า ผมเลยจับลงมาจูบหนักๆ ซึ่งซีก็ตอบสนองเป็นอย่างดี


ลิ้นเล็กๆ เกี่ยวพันกับลิ้นของผมที่สอดเข้าไป แถมเมื่อผมดูดและขบเม้มที่ริมฝีปากก็ยังทำแบบเดียวกันโดยที่ไม่เขินอีกต่างหาก เวลาเมานี่นอกจากจะร้อนแรงมากขึ้นก็ยังมีความกล้ามากขึ้นด้วยนะเนี่ย


“พร้อมรึยังซี” แต่ถึงจะถามแบบนี้ เอาจริงๆ ผมก็แทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว


“อือ...เข้ามา...กูต้องการมึง...” เท่านั้นแหละผมก็รีบหยิบซองถุงยางมาแกะ แต่ยังไม่ทันสวมก็ถูกมือเล็กๆ หยุดเอาไว้ซะก่อน “สดเลยก็ได้”
เฮือก! มือไม้สั่นจนถุงยางเกือบร่วงเลยสิผม นี่ซีรู้ตัวมั้ยน่ะว่าพูดอะไรออกมา!


“อะ...เอาไว้ค่อยทำตอนที่มึงมีสติก็แล้วกัน”


ถามว่าอยากมั้ยผมตอบเลยว่ามากกกกก แต่ที่ต้องยอมกัดฟันทนก็เพราะจะไปเอาอะไรกับคำพูดคนเมา แค่ตื่นมาแล้วรู้ว่าเป็นเมียผมคงโดนโวยวายชุดใหญ่ ถ้าโดนปล่อยข้างในด้วยมีหวังโดนโกรธหนักแน่ๆ


“ถ้าง้านเดี๋ยวกูใส่ให้” ซีพูดจบก็แย่งถุงยางไปแล้วเอามาสวมให้ผม


ท่าทางของซีดูเงอะงะไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ แต่ก็ไม่รู้ทำไมถึงได้อารมณ์ชะมัด โดยเฉพาะตอนที่ซีสวมเสร็จแล้วก็ยกสะโพกขึ้นมาจ่อปากทางเข้ากับท่อนเนื้อของผม แถมยังร่อนสะโพกจนส่วนหัวมันแทบจะผลุบเข้าไปข้างในอยู่แล้ว


“ซี้ดด...” ผมไม่รู้แล้วว่าตอนนี้เป็นเสียงครางของใครกันแน่ เพราะทั้งผมทั้งซีต่างก็เสียวมากจนต้องกัดริมฝีปากล่างทั้งคู่ ก็ดูที่ซีทำสิ ถ้าไม่ติดว่าเสร็จไปแล้วรอบหนึ่งผมคงต้องเสร็จตอนนี้แน่ๆ


“อืม...ใหญ่ขนาดนี้ จาเข้ามาได้มั้ยอ่า”


ถ้าจะพูดขนาดนี้ก็ไม่ทงไม่ทนมันแล้ว! เลยจัดการกดสะโพกของซีลงมากลืนกินท่อนเนื้อของผมจนมิดด้าม!


“อ๊าา!” ซีหวีดร้องลั่น ช่องทางด้านหลังบีบรัดผมแน่น ส่วนเล็บก็จิกลงมาอย่างแรงที่ตรงแผ่นหลัง ก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บมากเท่าไหร่ แค่แสบๆ นิดหน่อยแต่กลับได้อารมณ์สุดๆ


“เจ็บรึเปล่า” ผมถาม ในขณะที่เริ่มยกสะโพกของซีขึ้นลงโดยเริ่มจากช้าๆ


“อา...นะ...นิดนึง...แต่...ซี้ดด...เสียวมากกว่า...อ๊า...แบบนี้ยิ่งเสียว...” แบบนี้ที่ว่าก็คือการที่ผมก้มลงไปเลียที่ยอดอกของซี โดยที่สองมือก็ยังคงยกสะโพกกลมกลึงขึ้นลง แต่ได้เพิ่มความเร็วมากขึ้นตามห้วงอารมณ์ที่กำลังไต่ขึ้นสูง


“ชอบให้ทำข้างบนกับข้างล่างพร้อมกันสินะ” ดูอย่างตอนนี้ที่ผมกำลังดูดเลียที่ยอดอก ช่องทางด้านหลังของซีก็กระตุกตอดรัดท่อนเนื้อของผมถี่ยิบ เล่นเอาผมเสียวสุดๆ จนต้องกัดริมฝีปากล่างแน่น


 “อ๊า...ชอบ...อ๊ะ...ชอบมาก...อ๊า...” ตอนนี้ซีเริ่มขยับสะโพกขึ้นลงเองแล้ว ซึ่งก็ทำไปตามแรงอารมณ์และสัญชาตญาณ ช่วงแรกก็ยังมีติดขัดงกๆ เงิ่นๆ บ้าง แต่พอเริ่มเข้าที่เข้าทางเท่านั้นแหละ...


“ซี้ดด...อา...” บอกเลยว่าเอวของซีดีสุดยอด คือโยกขึ้นได้สูงแล้วทิ้งตัวลงมาเน้นๆ แถมยังบีบรัดท่อนเนื้อของผมซะแน่นจนเสียวซี้ดไปทั่วร่าง แน่นอนว่าซีเองก็คงเสียวไม่ต่างกัน เพราะได้ครางลั่นด้วยใบหน้าที่แดงซ่าน ดูเซ็กซี่และเร้าอารมณ์สุดๆ ไปเลย


“เอส...อ๊า...ขะ...ข้างใน...มะ...มันลึก...อื้อ...ดี...ซี้ดด...กูเสียว...” เชื่อเถอะว่าตอนปกติซีไม่มีทางพูดจาแบบนี้ออกมาแน่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบนะ ตรงๆ แบบนี้ก็ได้อารมณ์ดีไปอีกแบบเหมือนกัน แถมระหว่างที่พูดซียังขย่มลงมาที่แก่นกายของผมอย่างเมามัน แล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมชอบได้ยังไง


“อ๊ะ...อ๊ะ...เอส...อ๊า...” ซีเร่งจังหวะการขย่มเร็วขึ้นและแรงขึ้นตามอารมณ์ ส่วนผมก็ไม่ได้นั่งอยู่เฉยๆ สองมือบีบขยำที่แผ่นอกพร้อมกับดูดเลียตรงส่วนยอดไปด้วย ในขณะที่ช่วงล่างก็เด้งแก่นกายกระแทกสวนขึ้นไปอีกต่างหาก


“อ๊า! อ๊ะ...ซี้ด...อ๊า...ดี! อ๊า...” ซีกรีดร้องแทบไม่เป็นภาษา มือทั้งสองข้างจิกที่เส้นผมของผมแน่น ช่องทางด้านหลังกระตุกตอดรัดท่อนเนื้อที่อยู่ข้างในถี่ยิบจนผมเสียวแทบขาดใจ


“ซี้ดด...ซี...”


“เอส! อ๊า...ไม่ไหว...เสียวเกินไป...เอส! อ๊า...” ซีครางลั่นพลางขย่มลงมาด้วยความเร็วสูงสุด


ยิ่งใกล้ถึงจุดสุดยอดมากเท่าไหร่ซีก็ยิ่งขย่มเร็วขึ้นเท่านั้น ส่วนผมก็ใกล้จะเสร็จไม่ต่างกัน เลยล็อกสะโพกกลมกลึงเอาไว้แล้วกดลงมาเน้นๆ สวนทางกับแก่นกายของผมที่กระแทกสวนขึ้นไปอย่างหนักหน่วง


ซีขย่มลงมาที่ตักผมอย่างเมามัน ส่วนผมก็เด้งแก่นกายสวนขึ้นไปอย่างไม่ยั้ง เล่นเอาเตียงถึงกับสั่น เสียงครางก็ดังระงมไปทั่วทั้งห้อง ตอนนี้ท่อนเนื้อของผมกระแทกโดนจุดเสียวข้างในรัวๆ จนถูกซีตอดรัดถี่ๆ


ถ้าจะตอดหนักจนเสียวขนาดนี้ ผมก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว!


“ซี!” ผมฝังท่อนเนื้อเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุด แล้วจัดการฉีดพ่นความสุขสมทั้งหมดเข้าไปในตัวของซีโดยมีถุงบางๆ ขวางกั้น ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ซีปลดปล่อยออกมา


“เอส! อ๊า...อ๊ะ...เอส! อ๊าาาาา!” สิ้นเสียงนั้นน้ำสีขาวขุ่นก็พุ่งออกมาจนเลอะฝ่ามือและกล้ามท้องของผม แล้วหลังจากที่ปลดปล่อยเป็นที่เรียบร้อย ซีก็คอพับหลับสนิทซบลงที่ไหล่ของผมเลย


“ไอ้คนขี้เมาเอ๊ย” ผมส่ายหน้าไปมา แต่ก็เอ็นดูความน่ารัก (ปนเซ็กซี่) เลยอดที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้


อยากรู้จริงๆ ว่าตอนที่ตื่นมาแล้วเห็นสภาพของตัวเองและผมตอนนี้ ซีจะทำหน้ายังไงกันนะ?




Z
   



“เอส...ไอ้เอส...ไอ้เอส! ตื่นโว้ยตื่น! ตื่นสิฮัลโหล!”


ในเมื่อคิดจนหัวแทบแตกก็นึกไม่ออกว่าเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น เพราะงั้นก็มีแค่หนทางเดียวนั่นก็คือต้องปลุกไอ้เอสขึ้นมาถามให้รู้เรื่องนี่แหละ!


“อืม...ว่าไงซี...” ไอ้เอสลืมตาขึ้นมา ท่าทางของมันงัวเงียนิดหน่อย แต่คงนอนไม่พอจนชินแล้วก็เลยปรับตัวให้ตื่นเต็มตาได้ง่ายๆ แค่มองหน้าผมมันก็ยิ้มกริ่มออกมาแล้ว “จะถามเรื่องเมื่อคืนหรอ”


“ก็เออสิ! มันเกิดเรื่องเหี้ยอะไรขึ้น!” แต่แทนที่จะตอบดีๆ ไอ้เอสมันกลับอมยิ้มแล้วส่ายหน้าไปมา


“ไม่ใช่แบบนั้น แต่เป็นเรื่องที่ดีสุดๆ เลยต่างหาก”


“มะ...หมายความว่าไง” ดูจากสีหน้าของมันผมก็พอจะเดาได้ แต่ก็เดาได้ไม่หมดไงเลยต้องถามออกไปแบบนั้น


“อืม...มันก็อธิบายค่อนข้างลำบาก เอางี้มั้ยล่ะ คืนนี้มึงก็เมาอีกครั้ง เดี๋ยวกูจะตั้งกล้องอัดวิดีโอเอาไว้ตั้งแต่เริ่มจนเสร็จเลย” ไอ้เอสยิ้มเจ้าเล่ห์แถมยังยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ หมั่นไส้แม่งฉิบหายเลยโว้ย!


“ไอ้คนโรคจิต! ไอ้คนหื่นกาม! ไอ้คนสันดานหยาบ! กับคนเมามึงก็ยังข่มขืนได้ลงหรอวะไอ้คนเหี้ยยยยยย!” ผมตะโกนลั่นพร้อมกับกระหน่ำเอาหมอนฟาดอย่างไม่ยั้ง จนไอ้เอสต้องรีบยกมือขึ้นมากันเอาไว้เป็นพัลวัน


“กูเปล่าข่มขืนมึงนะ! มึงต่างหากที่ขย่มข่มขืนกู!”


“อะ...ไอ้เหี้ย! อย่ามาใส่ร้ายกูนะเว่ย! กูเนี่ยหรอจะทำเรื่องแบบนั้น! คนอย่างกูเนี่ยนะ! ไม่จริงและไม่มีทาง!”


แต่ทั้งที่ยืนกรานอย่างมั่นอกมั่นใจขนาดนั้น พอออกจากห้องแล้วเจอไอ้พวกเพื่อน (เหี้ย) มันพากันล้อถึงวีรกรรมเมื่อคืนเท่านั้นแหละ ผมก็อายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีอยู่แล้ว ฮือออออออ


ไอ้พวกเหล้าพวกเบียร์ ตั้งแต่นี้มึงกับกูขาดกัน!


2BC


สวัสดีค่าาา  :z1: อ่านจบแล้วเป็นยังไงกันบ้างคะ เสียเลือดกันไปเท่าไหร่ แล้วชอบซีโหมดนี้กันรึเปล่า อิอิ  :haun4:
ครั้งที่แล้วจะเป็นซีบรรยาย ส่วนครั้งนี้จะเป็นเอส ฟีลมันก็จะต่างกันไปคนละแบบ ทุกคนชอบให้ใครบรรยายมากกว่ากันเอ่ย?  :impress2:
ส่วนตอนหน้าไว้เจอกันหลังปีใหม่นะคะ ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยค่ะที่ตอนนี้มาลงช้ามากๆ แบบว่าช่วงปีใหม่ชีวิตวุ่นวายมาก แต่คิดว่าปีหน้าคงจะกลับสู่สภาวะปกติแล้วค่ะ  :katai4:
ยังไงเราก็ขอ happy new year ทุกคนล่วงหน้าด้วยนะคะ  :mc4: ขอให้ปีใหม่ที่จะถึงนี้เป็นปีที่ดีของทุกคนเลยน้า มีความสุขมากๆ แล้วก็ช่วยติดตามผลงานของเค้าต่อไปด้วยนะคะ ร้ากกกกก  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่ 23# เหตุเกิดจากความเมา [28.12.62]
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 29-12-2019 01:01:28
น้องซีเมาบ่อยๆ นะ เค้าชอบ  เมาแล้วรั่ว น่ารักดี.  :laugh:
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่ 23# เหตุเกิดจากความเมา [28.12.62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 29-12-2019 20:23:09
 :pig4: :pig4: :pig4:

เขาว่าคนเมามักจะแสดงนิสัยที่เก็บกดไว้ลึก ๆ ออกมา  อิอิ
หัวข้อ: Re: Soulmate วิญญาณป่วนรัก ตอนที่ 23# เหตุเกิดจากความเมา [28.12.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Y-Darkness ที่ 01-01-2020 00:38:22
 :pig4: