บทที่ 16
อิงค์ลืมตาตื่นขึ้นมาตอนเช้าด้วยอาการปวดหัวเต็มที่และการร้องไห้อย่างหนักเมื่อวานก็ทำให้แสบตาไปหมด
เสือน้อยเห็นว่าผู้ปกครองของตนตื่นแล้วก็รีบกระโจนขึ้นมานั่งอ้อนบนตัก
“ว่าไงเจ้าตัวเล็ก หิวข้าวเหรอ” อิงค์เกาคอมันไปพลางเหลือบดูนาฬิกา แล้วก็ต้องตกใจสุดขีดเพราะว่าตอนนี้เป็นเวลาหกโมงกว่าแล้ว “ไอ้ดาม! ทำไมนายไม่ปลุกเราวะ สายป่านนี้แล้ว”
อิงค์ผุดลุกขึ้นจากเตียงรวดเร็วจนเสือน้อยร่วงจากตัก เขากระโดดข้ามคนที่นอนอยู่บนพื้นคว้าแล้วผ้าเช็ดตัววิ่งเข้าห้องน้ำไป
“ยังไม่เจ็ดโมงเลย สายเสยอะไรวะอิงค์” ดัสกรงัวเงียตอบแล้วพลิกตัวหลับต่อ
“ฉันจะไปส่งกาแฟไม่ทันน่ะสิ!” อิงค์รีบกุลีกุจอจัดกาแฟขึ้นวางท้ายรถมอเตอร์ไซค์แล้วขับออกไปส่ง จนกระทั่งวนมาถึงข่วงเมืองสิงห์เป็นที่สุดท้ายก็เป็นเวลาเกือบเก้าโมงเช้าแล้ว
“สวัสดีครับ” อิงค์แทบกระโดดลงจากรถแล้วรีบยกลังใส่กาแฟไปวางบนโต๊ะ
ป้าสำลีเดินตรงมาหาด้วยความรวดเร็ว “คุณอิงค์ทำไมวันนี้มาสายจังละคะ ป้ากับมอญเป็นห่วงแทบแย่นะรู้ไหม”
“ไม่สบายหรือเปล่าคะ สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย” มอญถามต่อด้วยความเป็นห่วง
“ขอโทษครับพอดีผมตื่นสาย” อิงค์ตอบเสียงอ่อย
“ถ้างั้นก็โล่งอกไปค่ะ วันหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ ป้าเป็นห่วง มาให้ตีซะดีๆ เลย” ป้าสำลีทำเสียงดุพลางตีมือเบาๆ ลงบนต้นแขน
“ขอโทษครับ”
“มัวทำอะไรกันอยู่ล่ะถึงไม่หลับไม่นอน” สิงห์ถามเสียงห้วนมาจากหลังเคาน์เตอร์
“ก็… ไอ้ดามมันชวนกินเหล้าน่ะครับ ผมเลยหลับลึกไปหน่อย” อิงค์อธิบาย
“คงสนุกสุดเหวี่ยงกันน่าดูเลยสินะ”
อิงค์รู้สึกได้ถึงความประชดประชันที่มากับข้อความนั้นจึงละมือจากของที่จัดค้างอยู่และเดินเข้าไปหา “พี่สิงห์ยังโกรธผมอยู่ใช่ไหม ผมขอโทษนะครับ”
“ช่างมันเถอะ! เธออยากจะไปไหนทำอะไรกับใครก็เชิญ ไม่เกี่ยวกับฉันอยู่แล้ว” สิงห์ตัดบทเสียงห้วนแล้วลุกขึ้นเดินหนีไปชั้นสอง
“อ้าว คุณสิงห์! เป็นอะไรเนี่ยทำไมเสียมารยาทอย่างนี้ล่ะ ป้าจำไม่ได้นะคะว่าเลี้ยงมาให้เป็นคนแบบนี้ มีอะไรก็มาคุยกันก่อน น้องเขาก็ขอโทษดีๆ แล้ว” ป้าสำลีเท้าเอวโวยวาย
“อย่าว่าพี่สิงห์เลยครับป้าสำลี ผมผิดเองที่เบี้ยวนัด เดี๋ยวผมส่งข้อความมาง้ออีกทีละกันครับ” อิงค์ไม่รู้ถึงวีรกรรมที่ดัสกรทำไว้สักนิดเพราะตื่นเช้ามาทุกอย่างก็อยู่ในสภาพเรียบร้อย แถมดัสกรยังไม่พูดถึงเรื่องที่สิงห์มาหาด้วย เขาจึงยังเข้าใจว่าสิงห์โกรธแค่เรื่องนี้เท่านั้น
“คุณอิงค์ก็ใจเย็นๆ นะคะ” ป้าสำลีเข้ามาจับแขนข้างหนึ่ง
“ผมใจเย็นมานานแล้วล่ะครับป้า” อิงค์ยิ้มเจื่อนๆ เขาหันกลับมาจัดของต่อจนเสร็จแล้วขึ้นรถกลับออกไป
แต่จนแล้วจนรอดสิงห์ก็ไม่ยอมอ่านข้อความหรือรับโทรศัพท์ของเขาเลยจนกระทั่งล่วงเข้าสู่วันอาทิตย์
อิงค์นั่งเท้าคางมองชุดที่เหมราชเตรียมมาให้ คิดไม่ตกว่าควรจะไปดีหรือไม่ เพราะสิงห์ไม่ยอมพูดกับเขาแบบนี้แล้วเขาจะไปกับใคร แต่ถ้าไม่ไปก็เกรงใจเจ้าภาพ เขาถอนหายใจเสียงดังซ้ำแล้วซ้ำอีกจนดัสกรที่นั่งดูอยู่ต้องเอ่ยปาก
“ไม่ไปก็จบ”
“มันจะเสียคนเอาน่ะสิ คุณเหมราชชวนฉันเองเลยนะ”
“แล้วแกจะเอายังไงวะ”
“มาถึงขั้นนี้คงต้องไปว่ะดาม”
“งั้นก็ไปแต่งตัว เดี๋ยวฉันขับรถไปส่งแกจะได้ไม่ไปเก้อคนเดียวไง แล้วถ้ามันอึดอัดมากนักก็รีบลากลับอ้างว่าปวดหัว ท้องเสีย เป็นห่วงเสือน้อยอะไรก็ว่าไป ฉันจะจอดรถรออยู่แถวนั้น แบบนี้ดีไหม”
“แต่ดามกลับกรุงเทพวันนี้นะ พรุ่งนี้ต้องไปทำงานแล้วนี่”
“ไปรับส่งแกเต็มที่ก็สี่ทุ่ม เสร็จแล้วฉันตีรถกลับเลยยังไงก็ทัน”
“แต่ว่า…”
“ฉันสะดวกแบบนี้ ที่เหลือแล้วแต่แกเลยว่าจะเอายังไง ฉันก็ช่วยแกได้เท่านี้แหละ คนที่ไม่ใช่แฟนทำแทนทุกเรื่องไม่ได้ หน้าที่ควงแขนไปงานเป็นของไอ้คุณพี่สิงห์นั่นไม่ใช่ฉัน นอกเสียจากว่าแกจะยอมขยับสเตตัสให้ฉัน” ดัสกรแทบจะร้องเป็นเพลงหวังจะให้อิงค์ยิ้มออกสักหน่อยก็ยังดีโดยไม่ได้สำนึกเลยสักนิดว่าที่อิงค์ต้องมานั่งกลุ้มใจอยู่ตอนนี้ก็มีสาเหตุมาจากตัวเองน่ะแหละ
“ข้อเสนอแรกโอเค แต่ข้อหลังปัดตกไปนะ” อิงค์ตบไหล่ดัสกรครั้งหนึ่งแล้วจึงลุกขึ้นแต่งตัวไปงานโดยมีดัสกรขับรถมาส่งที่หน้าเฮือนไกรสร
“มีอะไรรีบโทรมาเลยนะเว้ย!” ดัสกรกำชับ
อิงค์พยักหน้ารับคำและเดินเข้าไปในงาน ระหว่างนั้นเขาก็ส่งข้อความหาสิงห์อีกครั้งว่ามาถึงแล้ว และกำลังจะเดินเข้าไป ซึ่งแน่นอนว่าก็ไม่มีการตอบรับใดๆ เหมือนตลอดสองวันที่ผ่านมา
อิงค์รู้สึกเจ็บแปลบปลาบในอก เขาพยายามเก็บความรู้สึกและมองหาป้ายบอกทางไปห้องโถงตามที่เหมราชบอกมา รู้สึกตงิดใจหน่อยๆ ที่วันนี้แขกที่มาพักดูหนาตากว่าปกติและแต่ละคนก็แต่งตัวสวยงาม ใส่เครื่องเงินเครื่องเพชรล้อแสงไฟวิบวับ
เขาเดินมาจนถึงห้องโถงใหญ่แล้วก็ได้รับคำตอบ ป้ายขนาดใหญ่ทำจากไม้อัดตัดเป็นข้อความอวยพรวันเกิดเจ้าของงานประดับอยู่บนเวที ทั่วทั้งห้องโถงใหญ่ถูกตกแต่งด้วยซุ้มดอกไม้หลากสีสัน วงดนตรีเครื่องสายล้อมวงกันเล่นเพลงอยู่ตรงมุมหนึ่งสร้างบรรยากาศให้ครึกครื้น มีโต๊ะอาหารและเครื่องดื่มจัดไว้ให้บริการตัวเองตามสไตล์งานเลี้ยงค็อกเทลกระจายอยู่ทั่วไปและผู้คนในชุดสวยงามที่เขาเห็นทุกคนนั้นต่างก็มุ่งหน้ามาที่งานนี้
ตอนนี้อิงค์รู้แล้วว่าทำไมสิงห์ถึงรบเร้าจะพาเขาไปซื้อชุดใหม่ให้ได้ งานเลี้ยงวันเกิดของเจ้าของโรงแรมอันดับหนึ่งในจ.น่านต่อให้บอกว่างานเล็กๆ มันก็ยังหรูหราเกินไปสำหรับคนอย่างเขาอยู่ดี
อิงค์ก้มลงมองดูตัวเองรู้สึกตกประหม่าไปหมด เขารีบหันมองซ้ายขวาหาเจ้าของงานตั้งใจว่าจะรีบอวยพรและรีบชิ่งกลับตามแผนที่วางไว้กับดัสกร
แล้วเขาก็เห็นเหมราชกำลังคุยกับแขกที่มางานอยู่มุมหนึ่งจึงเร่งฝีเท้าเข้าไปหา ระหว่างนั้นเองก็มีใครคนหนึ่งเรียกเขาไว้
“นี่น้อง! น้องน่ะ!”
อิงค์หันไปงงๆ เพราะเขาไม่รู้จักมักจี่ใครสักคน แต่ชายวัยกลางคนคนนั้นก็กลับเดินมาหาเขาด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์อย่างมาก “คุณเรียกผมเหรอครับ”
“ก็ใช่น่ะสิ” ชายคนนั้นแทบจะตะคอกใส่ “ฉันเรียกตั้งนานทำเป็นหูทวนลม ใช้ไม่ได้เลยนะ คุณเหมราชไม่น่าจ้างเธอไว้เลยจริงๆ”
“จ้าง… อะไรนะครับ”
“อะไรเนี่ย ดูทำกิริยาเข้าสิ ไร้มารยาทสิ้นดี ไปเอาเหล้ามาแก้วนึงเร็วๆ เข้า”
“คือผม… ไม่ใช่”
“ยังไม่ไปอีกแน่ะ อะไรของเธอเนี่ย!” แขกคนนั้นเริ่มเสียงดังขึ้นทุกที
อิงค์เหลียวมองเลิ่กลั่กหาตัวช่วยก็พอดีกับที่อินถาซึ่งรับหน้าที่ดูแลแขกเหรื่อภายในงานสังเกตเห็นความผิดปกติและเดินเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย “เกิดอะไรขึ้นครับท่าน”
“อินถามาก็ดีแล้ว ก็เด็กใหม่ของเธอคนนี้น่ะไม่ได้เรื่องเลยใช้ให้ไปเอาเหล้าก็ไม่ไปยังมายืนเซ่ออีก”
“ต้องขอโทษด้วยที่คนของผมเสียมารยาทกับท่านนะครับ” อินถาค้อมศีรษะและหันมากำลังจะอ้าปากต่อว่าแล้วก็เปลี่ยนเป็นตกใจสุดขีดแต่ก็ยังเก็บอาการไว้ เขาหันไปแขกคนนั้นอีกครั้ง “เดี๋ยวผมจะให้ลูกน้องคนอื่นนำเครื่องดื่มที่ท่านต้องการมาเสิร์ฟให้ ผมขอตัวไปดูความเรียบร้อยจุดอื่นก่อนนะครับ”
พูดจบอินถาก็คว้ามืออิงค์แล้วรีบพาเดินเลี่ยงไปอีกทาง
ตอนนี้อิงค์เข้าใจแล้วว่าทำไมแขกคนนั้นถึงมาเบ่งใส่เขา ก็เพราะชุดที่เขาสวมใส่ตอนนี้มันเป็นชุดเดียวกับชุดบริกรในงานเลยน่ะสิ เขารู้สึกหน้าร้อนไปหมดทั้งโกรธทั้งอาย แต่ที่รู้สึกมากที่สุดคืออยากจะรีบหนีกลับไปเร็วๆ
“คงมีเรื่องผิดพลาดทางเทคนิคเล็กน้อยน่ะครับ ผมขอโทษด้วยครับ” อินถาพูดรัวเร็ว
“อย่าขอโทษเลยครับมันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเสียหน่อย” อิงค์รีบบอก
“เกี่ยวสิครับ เพราะคุณท่านฝากเรื่องเอาชุดไปให้คุณไว้กับปู่กมลและผม และผมก็อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้นด้วย ชุดที่คุณท่านเลือกไม่ใช่ชุดนี้แน่ๆ ครับ แต่แล้วมันกลับเกิดเรื่องผิดพลาดแบบนี้ขึ้นมาได้ช่างเป็นเรื่องที่เสียมารยาทต่อคุณและช่างหน้าขายหน้าสำหรับผมมาก” อินถากล่าว “กรุณารับคำขอโทษและตามผมมาเถอะครับ เดี๋ยวผมจะจัดการเรื่องชุดให้ใหม่”
“เดี๋ยวผมก็กลับแล้วไม่เป็นไรหรอกครับ อย่าลำบากไปมากกว่านี้เลย”
“ไม่ได้ครับ” อินถายืนกราน “คุณท่านต้องโกรธมากแน่ๆ ที่เห็นคุณใส่ชุดที่ไม่เหมาะสมแบบนี้ และท่านก็คงไม่ชอบใจด้วยที่แขกซึ่งท่านอุตส่าห์เชิญมาด้วยตนเองหนีกลับไปก่อนโดยไม่ทันได้เจอหน้าเพราะมีเรื่องเข้าใจผิดเกิดขึ้น”
“ผมไม่ได้จะหนีกลับเพราะไม่พอใจหรอกนะครับ... แค่รู้สึกไม่ค่อยสบายน่ะ... เอ่อ พอดีวันก่อนไปเที่ยวปัวแล้วโดนฝนมานิดหน่อยน่ะครับ”
“ถ้างั้นก็ช่วยเปลี่ยนชุดและไปพบคุณท่านก่อน ถือว่าผมขอร้องนะครับ… ได้โปรด” อินถากล่าวซ้ำ “แล้วถ้าคุณอิสระต้องการจะกลับก่อนผมจะช่วยจัดการเรื่องรถไปส่งให้ถึงบ้านเลย”
เมื่อไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรอีก อิงค์จึงจำใจรับคำอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็ดูเหมือนความซวยยังตามติดเขาไม่เลิก ขายังไม่ทันจะก้าวพ้นประตูห้องโถงเขาก็เจอกับสิงห์ที่เพิ่งมาถึง
วันนี้สิง์แต่งตัวปราณีตกว่าทุกวันด้วยเสื้อผ้าไหมสีกรมท่าปักดิ้นทองลายคชสีห์ตรงสาบเสื้อและสวมกางเกงเข้ารูปสีดำ ผมยาวถูกหวีเก็บและมัดรวบเรียบร้อย เขาดูหล่อเหลาและเด่นสะดุดตา แขกหลายคนที่อยู่ตรงประตูพอเห็นสิงห์ก็รีบตรงเข้ามาทัก ไม่ว่าใครก็อยากจะเอาใจและทำความสนิทสนมกับทายาทคนเดียวของเจ้าของโรงแรมแห่งนี้อยู่แล้ว
อิงค์บังเอิญสบตากับเขาเข้า กำลังลังเลว่าจะเอ่ยปากทักดีหรือไม่เจ้าตัวก็กลับเมินหน้าหนีไปอีกทางเสียก่อน
อิงค์หน้าเสีย ถึงตอนนี้เขาไม่อยากอยู่ในงานอีกต่อไปแม้สักวินาทีเดียวแล้ว เขาอยากหนีกลับโดยเร็วที่สุดหรือหายไปตัวไปจากที่นี่ตอนนี้โดยไม่สนใจว่ามันจะเสียมารยาทแค่ไหน แต่ก็ติดตรงอินถาที่ยังจับแขนเขาไว้แน่น
อินถาพาเขาหลบเลี่ยงฝูงชนที่เริ่มเข้ามาห้อมล้อมสิงห์ และตอนที่กำลังจะหนีพ้นนั่นเองเสียงของเหมราชก็ดังขึ้นด้านหลัง
“ว่าไงเจ้าสิงห์มาถึงแล้วเหรอ”
บรรดาแขกที่รุมล้อมอยู่ช่วยเปิดทางให้เหมราชเดินเข้ามาหาลูกชายได้สะดวก เขาสวมสูทสีดำขลิบทองที่ตัดจากผ้าไหมทอมือในจังหวัด ข้างกายของเขานั้นคือเกตถวาที่วันนี้สวมชุดเจ้านางล้านนาแบบเกาะอกสีชมพูกลีบบัวและคลุมไหล่ด้วยผ้าสีชมพูขลิบทอง เรือนผมยาวถูกมัดเกล้าสวยโชว์คอระหงประดับปิ่นปักผมสีเงินอันใหญ่
“เพิ่งมาถึงสัดครู่นี่เองครับ” สิงห์ตอบ
“แล้วคุณอิสระล่ะไม่ได้มาด้วยกันเหรอ” เหมราชถามพลางกวาดตามองหาแขกอีกคนที่เขาเชิญมางานด้วย
อิงค์ได้ยินดังนั้นก็พยายามจะหลบหลังอินถาแต่เหมราชก็ดันตาไวเห็นเข้าจนได้
“คุณอิสระ!” เหมราชร้องทักเสียงใสและเดินตรงดิ่งมาหา “ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์มางานผม... เอ๊ะ! แล้วมันเกิดอะไรขึ้นทำไมคุณถึง...” ปลายเสียงนั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจที่เห็นอิงค์ใส่ชุดเดียวกับบริกร เขาหันไปจ้องอินถาที่รีบก้มศีรษะขอโทษ
“เป็นความผิดพลาดของผมเองครับท่าน”
“ทำให้แขกของฉันต้องเสียหน้า รู้ใช่ไหมว่าต้องโดนอะไรอินถา” เหมราชกล่าวเสียงเฉียบ
“ผมขอโทษครับคุณท่าน ได้โปรดยกโทษให้ผมด้วยครับ”
“อย่าโทษอินถาเลยค่ะคุณ” เกตถวารีบบอก “เกตเป็นคนอาสาเอาชุดไปส่งให้คุณอิสระเอง ถ้ามันจะผิดพลาดก็ต้องผิดที่เกต อินถาไม่ได้มีส่วนผิดเลยนะคะ”
เหมราชหันไปสบตาภรรยาที่เกาะแขนมองเขาด้วยแววตารู้สึกผิดแล้วหันไปหาอินถา “ฉันจะสอบสวนเรื่องนี้ทีหลัง” ก่อนจะหันไปพูดกับอิงค์ “ต้องขอโทษจริงๆ ที่คนของผมทำเรื่องผิดพลาดขนาดนี้ เดี๋ยวคุณอิสระตามผมมานะครับผมจะจัดการเรื่องชุดใหม่ที่เหมาะสมให้คุณเอง”
“เดี๋ยวผมจัดการให้เองครับคุณท่าน ขอคุณท่านอย่าได้ลำบากเลย” อินถากล่าว
“ฉันไม่ไว้ใจใครให้ดูแลแขกของฉันอีกแล้ว” เหมราชตัดบท “ผมฝากคุณรับแขกคนอื่นๆ แทนผมก่อนนะเกตเดี๋ยวผมมา”
“ได้ค่ะคุณ”
“เชิญทางนี้ครับ” เหมราชผายมือนำทางและรอให้อิงค์ออกเดินเขาจึงก้าวเดินคู่กันไป
เกตถวาอมยิ้มกับแผนการขั้นแรกที่สำเร็จไปด้วยดี เธอไม่ได้ต้องการอะไรมากแค่อยากให้ผู้ชายคนนั้นตระหนักว่าตัวเองไม่คู่ควรกับสิงห์ ไม่เหมาะสมกับที่แห่งนี้ด้วยประการทั้งปวงและยอมถอยกลับไปอยู่ในที่ๆ ควรอยู่
สิงห์ที่เห็นเหตุการณ์ตลอดเดินเข้ามาประกบเธอข้างหนึ่งถึงจะยังโกรธอิงค์อยู่แต่เขาก็ไม่ชอบใจที่เกตถวามาแกล้งกันแบบนี้ “ฝีมือคุณใช่ไหม คุณคิดจะทำอะไรกันแน่”
เกตถวาหันไปสบตา “เปล่าค่ะ เกตไม่ได้ทำอะไรเลยแค่เอาของไปส่งเอง ต้องโทษพนักงานคนที่ห่อของว่าทำไมถึงหยิบถุงผิดมาให้เกตได้”
“คุณนี่มัน...”
“อะไรเหรอคะ” เกตถวายิ้มหวานให้
“ผมว่าเราต้องคุยกันหน่อย”
“ไม่มีปัญหาค่ะ เกตก็อยากคุยกับคุณมานานแล้วเหมือนกัน”
ทั้งสองแยกตัวจากงานออกมายืนคุยกันตรงระเบียงที่ไม่มีคน
“คุณต้องการอะไรจากผม ถึงได้ตามวอแวผมไม่เลิกเสียทีทั้งที่คุณเป็นคนทิ้งผมไปแท้ๆ” สิงห์ถาม
“ฉันก็ไม่ได้อยากยุ่งกับคุณนักหรอกถ้าคุณไม่ใช่ลูกชายของคุณเหมราช” เกตถวาเถียงกลับ “และกรุณาอย่ามาพูดพล่อยๆ ว่าฉันทิ้งคุณ คุณต่างหากที่ไม่ยอมใยดีฉันและทิ้งฉันไปก่อน”
“คุณว่าไงนะ!”
“คุณลืมคำพูดตัวเองแล้วเหรอ” เกตถวาถามย้อนความรู้สึกเดือดดาลขึ้นมา “ที่บอกว่าถ้าฉันไปทำงานก็ไม่ต้องมาพูดกันอีก”
“แล้วคุณก็ไป นั่นหมายความว่าคุณเลือกพ่อผมมากกว่าผมแล้วไง”
เกตวาถลึงตา “เดี๋ยวนะคุณสิงห์! ถ้าคุณพูดแบบนี้แสดงว่าที่ผ่านมาคุณคิดว่าฉันสวมเขาให้คุณ คิดว่าฉันหลอกว่าไปทำงานแต่จริงๆ แอบคบกับพ่อคุณอย่างนั้นเหรอ”
สิงห์พ่นลมออกจมูก “เรื่องมันก็เป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือไง”
เกตถวาเม้มปากที่ทาสีกุหลาบแน่น ความทรงจำแสนเลวร้ายในคืนนั้นเมื่อห้าปีก่อนยังคงตามหลอกหลอนเธออยู่จนถึงทุกวันนี้
“ฉันไปทำงาน…” เธอพยายามพูดโดยบังคับไม่เสียงตัวเองสั่น “ฉันยอมรับว่าคิดตื้นๆ และไว้ใจหัวหน้าของฉันมากจนไม่คิดว่าเขาจะทำเรื่องทุเรศอย่างนั้น เขาพยายามข่มขืนฉัน…”
“แล้ว…” สิงห์เองก็ดูจะอึ้งไปเหมือนกันกับเรื่องที่เพิ่งได้ยิน
“ฉันขัดขืนสุดชีวิต… ยอมกระทั่งเสี่ยงตายโดดหน้าต่างถึงห้องนั้นจะอยู่ชั้นสี่ คิดว่าถ้ารอดมาได้ก็โชคดีแต่ถ้าไม่รอดก็ยังดีกว่าอยู่แบบตกนรกทั้งเป็น”
“แล้วหลังจากนั้นคุณเป็นอย่างไรบ้าง”
“ฉันมาฟื้นอีกทีที่โรงพยาบาล ขาหักทั้งสองข้างแต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังรอดมาได้ แม่บอกฉันว่าหัวหน้าเล่าว่าฉันปีนหน้าต่างเพราะเมาแล้วเขาก็ไล่ฉันออกทั้งที่ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดเลย” เกตถวารู้สึกว่าตัวเองกำลังจะร้องไห้แล้วตอนนี้แต่ก็ยังฝืนเล่าต่อ “ระหว่างที่นอนโรงพยาบาลไม่มีเพื่อนร่วมงานมาเยี่ยมฉันสักคนเพราะพวกเขาเชื่อที่หัวหน้าบอก และในขณะที่ฉันกำลังรู้สึกสิ้นหวังในทุกสิ่งทุกอย่างเขาก็เข้ามา… โรงแรมที่ฉันเข้าพักอยู่ในเครือโรงแรมของคุณเหมราช เขามาเยี่ยมฉันทุกวันและเขาก็เป็นคนเดียวนอกจากแม่ที่ยอมเชื่อเรื่องที่ฉันเล่าแถมยังพยายามหาหลักฐานจากกล้องวงจรปิดและสอบถามพนักงานคนอื่นๆ เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้ ถึงจะทำไม่สำเร็จแต่ฉันก็ซึ้งใจมาก พอฉันหายดีเขาก็ยังช่วยรับฉันมาทำงานด้วย ฉันยอมรับว่าฉันหลงรักเขาและเป็นฝ่ายเข้าหาเขาก่อน แต่มันก็หลายเดือนหลังจากที่คุณหายไปจากชีวิตฉันแล้ว และฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นพ่อคุณ เขาแค่บอกฉันว่าเมียตายไปแล้วและมีลูกชายเรียนอยู่เมืองนอก เหมือนกับที่คุณบอกฉันแค่ว่าที่บ้านทำธุรกิจโรงแรมน่ะแหละ ฉันก็เพิ่งรู้ว่าลูกชายของเขาคือคุณวันที่เจอกันที่สนามบินน่ะแหละใครจะไปคิดว่าโลกมันจะกลมขนาดนั้น”
“แล้วทำไมคุณไม่บอกผม ผมก็พยายามติดต่อคุณแทบตาย”
“เพราะฉันโกรธคุณมากที่เอาแต่พูดว่าฉันจะไปนอนกับหัวหน้าแล้วมันก็ดันเกิดขึ้นจริง” เกตถวาว่า “คุณพูดซ้ำๆ จนมันเหมือนเป็นคำสาบแช่ง แล้วฉันก็กลัวว่าถ้าบอกไปแทนที่จะได้รับคำปลอบใจ คุณจะไม่เชื่อฉันแล้วต่อว่าฉันเหมือนที่พวกเพื่อนร่วมงานพวกนั้นเอาฉันไปนินทา เพราะคุณคิดอยู่แล้วว่าฉันทำแบบนั้น”
สิงห์พูดไม่ออก เขามองหญิงสาวตรงหน้า ความเจ็บปวดที่ฉายชัดในแววตานั้นช่วยยืนยันว่าเธอไม่ได้โกหก น้ำใสเอ่อขึ้นที่ขอบตาของเธอทั้งสองข้าง สิงห์ขยับเข้าไปหาและยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้
เกตถวาปัดมือของเขาทิ้ง “คุณหายไปในวันที่คุณควรอยู่กับฉันที่สุด แล้วแบบนี้คุณยังกล้ามาหาว่าฉันทิ้งคุณอีกเหรอ ยังมีหน้ามาโกรธที่ฉันเลือกจะอยู่กับคนที่อยู่เคียงข้างฉันอีกเหรอ”
“ผมขอโทษ” สิงห์พูดเสียงแหบแห้ง
“ชุดแบบที่ผมเลือกให้คุณทีแรกไม่มีแล้ว เพราะร้านของเราตัดแค่แบบละหนึ่งชุด ถ้ายังไงคุณอิสระลองดูชุดใหม่นะครับ” เหมราชบอกพลางหยิบชุดขึ้นมาและลองทาบกับตัวชายหนุ่มดูชุดแล้วชุดเล่าแต่เขาก็ไม่รู้สึกว่าถูกใจสักที
“ชุดไหนก็ได้ครับ อย่าลำบากคุณเลย”
แต่เหมราชไม่สนใจและยังพูดต่อ “คุณชอบสีอะไรครับ สีแดงเลือดนกนี่ก็สวยนะครับ ดูขับผิวดี”
“ทำไมคุณถึงดีกับผมจังเลยครับ” อิงค์อดใจไม่ไหวถามออกไปตรงๆ “ผมเป็นแค่คนรู้จักของลูกชายคุณเอง”
เหมราชลดมือที่ถือเสื้อยกขึ้นทาบตัวเขาไว้ลงจนเห็นใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าสิงห์เลยครับ แค่เป็นความชอบส่วนตัวของผมที่ชื่นชมคนเก่งและมีความมุ่งมั่นพยายามน่ะครับ”
“แล้วคนธรรมดาๆ อย่างผมมีดีอะไรให้คุณชื่นชมล่ะครับ”
เหมราชคลี่ยิ้มเต็มหน้าด้วยความเอ็นดู “ขอโทษที่เสียมารยาทนะครับ ผมแค่อยากรู้จักคนที่เป็นเพื่อนลูกชายให้มากขึ้นก็เลยให้ปู่กมลกับอินถาช่วยหาข้อมูลของคุณมานิดหน่อย”
อิงค์อึ้งไปทันที
เหมราชเอาเสื้อกลับไปแขวนไว้ที่ราวแล้วยกมือขึ้นสัมผัสไหล่อิงค์ “พ่อแม่คุณต้องภูมิใจในตัวคุณมากแน่ๆ ครับ”
อิงค์รู้สึกขอบตาร้อนผ่าว เขาก้มหน้าลงซ่อนน้ำใสที่เริ่มเอ่อขึ้นเต็มสองตา “ขอบคุณครับ” เขาตอบรับด้วยเสียงที่สั่นเครือ
เหมราชยิ้มและกล่าวต่อเพื่อไม่ให้บรรยากาศอึดอัด “อืม สรุปคุณเอาสีไหนดีครับ”
“ขอเป็นสีขาวดีกว่าครับ”
เหมราชพยักหน้า “เดี๋ยวคุณอิสระเข้าไปเปลี่ยนในห้องลองเสื้อตรงนั้นนะครับ ผมจะรอคุณอยู่ตรงนี้แล้วเราจะได้ออกไปพร้อมกัน”
“ครับ” อิงค์ตอบพร้อมกับรับชุดมา
“พอเจ้าสิงห์คบกับคุณนี่น่ารักขึ้นนะครับ ปีนี้ทำการ์ดมาให้ผมด้วย ปกติแค่พูดสุขสันต์วันเกิดนะพ่อยังพูดยากพูดเย็น” เหมราชบอกพลางอวดซองสีขาวที่เพิ่งรับมาจากสิงห์ให้ดู “อยากรู้จังว่าเจ้าสิงห์เขียนอะไรมาให้”
ภาพสุดท้ายที่อิงห์เห็นเหมราชก่อนรูดม่านห้องลองเสื้อปิดคือเขานั่งลงตรงเก้าอี้ ใบหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุขพลางค่อยแกะซองสีขาวเปิดออกอย่างอย่างทะนุถนอม
แต่พออิงค์เปิดม่านออกมาอีกครั้ง เหมราชนั้นกลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธขึง มือกำซองจดหมายแน่นจนมันยับยู่ยี่
“ก… เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” อิงค์ถามแต่เหมราชไม่ตอบและผุดลุกขึ้นเดินออกไปรวดเร็วราวกับจะวิ่ง
สิงห์มองอดีตคนรักด้วยความรู้สึกที่แตกสลาย รู้สึกตัวเองโง่เง่ามากที่ไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อนเลย “ผมขอโทษ”
เกตถวายกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำตา “เรื่องมันผ่านไปแล้ว ช่างมันเถอะค่ะ ฉันกำลังมีชีวิตใหม่ที่ดี อยู่กับคนที่รักฉัน และฉันก็พิ่งรู้ตัวว่าท้องด้วย ฉันตั้งใจจะบอกเขาเป็นของขวัญวันเกิดคืนนี้ ฉันขออย่างเดียวคุณอย่ามาแย่งความสุขนี้ไปจากฉัน ไม่งั้นฉันก็สู้ยิบตาเหมือนกัน”
“ผมไม่ได้คิดทำลายคุณเลยนะ ยังไงคุณก็เป็นเมียพ่อผม ถ้าจะพูดให้ถูกผมก็แค่หงุดหงิดตามประสาแฟนเก่าที่ยังเจ็บจนไม่ลืมไม่ลงเพราะคิดว่าคุณทิ้งไปน่ะแหละ”
“แล้วทำไมจู่ๆ คุณที่ออกจากบ้านไปหลายปีถึงกลับมาพร้อมผู้ชายที่หน้าเหมือนฉันล่ะ ไม่ได้คิดจะทำให้คุณเหมราชเอะใจอะไรเหรอ”
“มันก็แค่เรื่องบังเอิญ! พอรู้ตัวอีกทีเขาก็เข้ามามีอิทธิพลกับชีวิตผมแล้ว” สิงห์บอก “พอคิดจะจริงจังผมก็เลยจะแนะนำให้คนอื่นรู้จักก็แค่นั้นเอง เพราะผมไม่อยากทำพลาดเหมือนตอนที่คบกับคุณโดยไม่ได้บอกให้ใครๆ รู้ไง”
“อย่างนั้นเหรอ” เกตถวาพึมพำ “งั้นฉันก็ต้องไปขอโทษเขาสินะที่วันนี้แกล้งกันแรงไป ตอนนี้เขาไปเปลี่ยนชุดกับคุณเหมราช เดี๋ยวเขาคงจะกลับมาหาคุณอยู่ใช่ไหม”
แล้วสิงห์ก็นึกขึ้นได้ว่าเขาเพิ่งทำเรื่องเลวร้ายลงไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ เขาหมุนตัวกลับจะวิ่งเข้าไปในงานแต่ดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างจะสายเกินไปเสียแล้ว
“เกต! ผมต้องการคำอธิบายสำหรับเรื่องนี้”
เสียงเย็นชาของเหมราชดังขึ้น ทั้งสองหันไปเห็นเหมราชกำลังย่างสามขุมเข้ามา ในมือถือรูปถ่ายยับย่นที่เกิดจากการขยำของเขา
“คบกันมาตั้งหลายปี ทำไมผมไม่เห็นเคยรู้มาก่อนเลยว่าคนที่ผมรัก.... ภรรยาของผมเคยคบกับลูกชายผมมาก่อน นี่เห็นผมเป็นไอ้โง่หรือไง”
เกตถวาหน้าซีดเผือด ภาพนั้นคือภาพที่เธอกับสิงห์สวมกอดกัน ในมือของเธอถือกุหลาบช่อโตที่เขาให้เป็นของขวัญวันครบรอบเป็นแฟนกัน “คุณคะคือมันไม่ใช่ใช่อย่างที่คุณคิดนะคะ”
“แล้วที่ผมควรจะคิดมันคืออะไรล่ะเกต” เหมราชกำรูปถ่ายแน่น “แกก็พอกันนะไอ้สิงห์ทนเก็บเรื่องนี้มาได้ยังไงตั้งหลายปีโดยไม่บอกฉัน”
“ผมแค่ไม่อยากทำให้พ่อเสียใจ แล้วก็เลือกที่จะออกจากบ้านไปเองนี่ไงครับ” สิงห์รีบบอก
“แล้วทำไมตอนนี้แกถึงตัดสินใจมาบอกฉันล่ะ ทำไมไม่ให้ความลับนี้มันตายไปพร้อมกับแกสองคนซะล่ะ แกกับเกตก็พอกันทั้งคู่ พวกแกหลอกฉัน!”
“พ่อคือผม… ฟังผมก่อน...”
“ฉันไม่ฟัง!” เหมราชตวาดลั่น “ออกไปจากบ้านของฉันเดี๋ยวนี้ คุณด้วยเกต ผมไม่ต้องการเห็นหน้าทั้งสองคนอีก!!” แล้วเขาก็ก้าวฉับๆ หนีไป
“คุณคะ! เดี๋ยวก่อนค่ะคุณ” เกตถวาร้องเรียกสามีพร้อมกับวิ่งตามไป
สิงห์ตกตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้าที่เกิดขึ้นรวดเร็ว ก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีเขายังรู้สึกโกรธแค้นและเตรียมจะสะใจกับแผนที่วางไว้ แล้วต่อมามันก็กลายเป็นความรู้สึกผิด จนตอนนี้เขารู้สึกสมเพชตัวเองเหลือเกินที่ทำเรื่องเลวร้ายลงไป
เขาหันรีหันขวางไปเห็นอิงค์ยืนอยู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยจึงเดินเข้าไปหา
“สมใจพี่สิงห์แล้วใช่ไหมครับ” อิงค์เอ่ยขึ้นช้าๆ พยายามคุมเสียงไม่ให้สั่น “ที่ได้แก้แค้นผู้หญิงคนนั้น”
สิงห์ด้วยความตกใจ “เธอ… รู้อยู่แล้ว อย่างนั้นเหรอ”
อิงค์พยักหน้า และสิงห์ยิ่งตกใจมากขึ้นเมื่อได้ฟังความจริงที่ค่อยๆ ถ่ายทอดออกจากปากคนตรงหน้า
“ผมรู้ตั้งแต่วันที่ไปดูแข่งฟุตบอลด้วยกัน” อิงค์เริ่มต้นเล่า “ผมคุยกับบอยเสร็จเร็วก็เลยคิดว่าจะไปรอพี่สิงห์ที่ห้องน้ำ แล้วผมก็บังเอิญเจอคุณเกตถวาและได้ยินที่ทั้งสองคนคุยกัน”
วันนั้นอิงค์จ้องมองภาพตรงหน้าแล้วก็ได้แต่ปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาเงียบๆ และเดินกลับไปรอตรงจุดนัดหมายเดิม ที่เขาไม่ยอมหลบเข้าร่มและปล่อยให้ฝนสาดจนเปียกทั้งตัว ก็เพียงเพื่อต้องต้องการซ่อนน้ำตาไว้ในสายฝนไม่ให้ใครเห็น ไม่ใช่เพราะกลัวสิงห์จะหาไม่เจอเพราะแบตโทรศัพท์หมดตามข้ออ้างโง่ๆ ที่บอกไปตอนนั้นเลย
“ผมรู้อยู่แล้วว่าพี่คงเหงา ทำใจไว้แล้วว่าพี่คงเห็นผมเป็นตัวแทนของผู้หญิงคนนั้น แต่ผมก็คิดว่าสักวันพี่คงลืมคนที่ตายไปแล้วได้ หรืออย่างน้อยตัวพี่ก็ยังอยู่กับผม ผมจะยอมปิดตาข้างหนึ่งไปตลอดชีวิตก็ได้ แต่พี่กลับโกหกผม... เธอคนนั้นยังไม่ตาย แล้วเธอก็อยู่ใกล้ตัวพี่แค่นี้เอง” อิงค์พูดช้าๆ ด้วยหัวใจที่แหลกสลาย “พี่รู้ไหมว่ามันเจ็บยิ่งกว่าการที่รู้ว่าพี่ไม่รักผมหรือใช้ผมเป็นตัวแทนอีก การได้เป็นตัวแทนของเธอยังทำให้ผมรู้สึกว่าอย่างน้อยพี่ก็ยังมองเห็นผมอยู่ในสายตา แต่การที่พี่ใช้ผมเป็นเครื่องมือแก้แค้นนั่นเท่ากับว่าพี่ไม่เคยมองผมในฐานะคนๆ หนึ่งที่รักพี่เลยมาตั้งแต่ต้น”
“อิงค์... ฉัน...”
“วันนี้พี่ทำสำเร็จแล้วใช่ไหม ผมดีใจด้วย ดังนั้น ‘เครื่องมือแก้แค้นอย่างผม’ ก็หมดหน้าที่แล้วสินะ” พูดจบอิงค์ก็กลับหลังหัน
“เดี๋ยวอิงค์ เธอจะไปไหน”
“ลาก่อนครับพี่สิงห์” อิงค์พูดโดยไม่หันหน้ามา “พี่ไม่ใช่คนใจร้ายหรอกเพราะสิ่งที่พี่ทำกับหัวใจของผมมันเลวร้ายกว่านั้นเยอะเลย”
สิงห์ยืนนิ่งก้าวขาไม่ออก ทั้งที่ยังปักใจเชื่อว่าอิงค์มีอะไรกับดัสกร หากแววตาที่แสดงให้เห็นความเจ็บปวดจนเกินบรรยายนั่นก็ไม่ใช่เรื่องโกหกแน่นอนเหมือนกัน
อยากตามไปปลอบ จะกอดแน่นๆ แล้วขอโทษ เขาไม่เคยคิดใช้อิงค์เป็นเครื่องมือทำร้ายผู้หญิงคนนั้นเลยสักนิด แต่พูดไปตอนนี้มันก็สายไปเสียแล้วเพราะสิ่งที่เขาทำลงไปเมื่อสักครู่ก็ไม่ต่างอะไรจากฆาตกรเลือดเย็น บางทีคนใจร้ายอย่างเขาก็คงเหมาะสมแล้วกับการไม่มีใครไปชั่วชีวิต
ปล่อยให้เขาไปเจอคนใหม่คงเป็นอะไรที่ดีกว่า