Last Room บันทึกประจำวันของเสือน้อย2:สงกรานต์ไม่อร่อยเลย(16/4/2020) p.6
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Last Room บันทึกประจำวันของเสือน้อย2:สงกรานต์ไม่อร่อยเลย(16/4/2020) p.6  (อ่าน 20089 ครั้ง)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

                         ----------------------------------------------------------------------------------------------

แนะนำเรื่อง

'อิงค์' กลับมาที่ 'ข่วงเมืองสิงห์' อีกครั้งใน 5ปี ให้หลังในฐานะเจ้าของร้านกาแฟเปิดใหม่ It'sra แต่'สิงห์'กลับทำเย็นชาใส่เขา

อิงค์พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้สิงห์สนใจ มาส่งกาแฟก็แล้ว ยิ้มให้ก็แล้ว จนกระทั่งวันหนึ่งมีนักเดินทางอกหักมาพักที่ข่วงเมืองสิงห์

สิงห์มีท่าทีเปลี่ยนไป กลับไปเป็นชายคนเดิมที่อิงค์ตกหลุมรัก ในคืนนั้นอิงค์จึงตัดสินใจบุกเข้าห้องสิงห์เพื่อเคลียร์ทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งสองมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันอีกครั้ง แต่สิงห์กลับทิ้งท้ายไว้ด้วยประโยคหนึ่ง

...ฉันไม่อยากให้เธอคาดหวังนะเจ้าหนู จำไว้ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นระหว่างเรา แต่ฉันจะไม่มีวันรักเธอ ถ้าไม่คิดจะตัดใจก็เตรียมเจ็บเสียให้พอ...

เพราะหัวใจของสิงห์นั้นยกให้ภรรยาที่เสียไปหลายปีแล้ว

จะรักก็ไม่ให้รัก แต่จะตัดใจก็ไม่ลงเพราะความใจดีพร่ำเพรื่อของสิงห์ที่ดันมีให้อิงค์แค่คนเดียว

Last Room... ห้องสุดท้ายที่ยังว่างอยู่อิงค์จะสามารถเข้าไปอยู่ได้หรือไม่ หรือสุดท้ายแล้วเจ้าของห้องจะปิดตายมันไว้ตลอดไป

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-04-2020 22:22:31 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Last Room
«ตอบ #1 เมื่อ11-09-2019 14:41:08 »

LR 1

เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์สวมทับด้วยแจ๊คเก็ตสีซีดยืนโดดเดี่ยวอยู่ตรงโถงทางออกของสนามบินน่านนคร นัยน์ตาจับจ้องไปยังกลุ่มคนที่ถือแผ่นป้ายชื่อคนที่มารอรับและแอบคาดหวังลึกๆ ว่ามันจะมีชื่อของเขาโผล่ขึ้นมาตรงไหนสักแห่ง แต่มันคงเป็นได้แค่ความหวังลมแล้งของคนเหงาที่อยากจะมองหาใครสักคนในวันที่ไม่มีใคร...

ในวันที่รู้ว่าแฟนที่คบมาตั้งแต่ม.ปลายจนถึงมหาลัยแอบสวมเขาให้เขาตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา และมันคงจะรู้สึกเจ็บกว่าน้อยกว่านี้สักนิดหน่อยถ้าหากว่าผู้ชายคนนั้นไม่ใช่เพื่อนสนิทที่เธอบอกว่าเป็นเพื่อนสาว... สาวพ่องงงง! ที่อ้างว่าไปพักค้างอ้างแรม กินนอนด้วยกัน ทำไมเขาถึงไม่เอะใจในตัวเพื่อนสาวคนนี้เลยนะทั้งที่กล้ามใหญ่กว่าเขาอีก... ไหนบอกว่าเป็นเทรนด์คนรักสุขภาพฟิตหุ่นเอาไว้หลอกผู้ชาย... คงหมายถึงผู้ชายโง่ๆ อย่างเขาสินะ

คิดมาถึงตรงนี้น้ำตาก็พานจะไหล เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก่อนจะกระชับสายเป้สะพายหลังแล้วออกเดินไปยังประตู ตอนนี้ก็เย็นย่ำมากแล้วเขาต้องรีบหาที่พักให้ได้ก่อนจะมืดค่ำ

เขาวางแผนการเดินทางในครั้งนี้เมื่อเที่ยงนี้เอง หลังจากที่เมาหัวราน้ำหลับไปเมื่อคืนพอลืมตาตื่นขึ้นมามองไปรอบตัวที่มีแต่ภาพของเธอเวียนวนก็รู้ทันทีว่าทนอยู่กรุงเทพไม่ได้แล้ว ใจมันจะขาดรอนๆ เสียให้ได้ พอคิดได้แบบนั้นก็ลุกขึ้นแต่งตัวหยิบข้าวของใช้ใกล้มือยัดลงกระเป๋าแล้วจับแท๊กซี่มาสนามบินดอนเมือง

เขาเหมารถสองแถวมาส่งตามที่อยู่ในจีพีเอส คนขับถามย้ำอยู่สี่รอบก่อนจะปล่อยเขาลงว่าพักที่นี่จริงๆ เหรอ พอเขายืนยันว่าใช่ก็ทำหน้าพิลึกใส่ก่อนจะขับออกไป

เด็กหนุ่มชะโงกหน้าผ่านรั้วที่สูงแค่เอวมองที่อาคารไม้ยกพื้นสูงที่มีบันไดขึ้นตรงกลางขนาบข้างด้วยมุข ด้านหน้าเป็นลานปูนมีใบไม้ร่วงเต็มและมีต้นไม้ดอกไม้ประดับตกแต่งไว้ประปราย บรรยากาศโดยรอบดูเงียบสงัดมากกว่าเงียบสงบ เขาเขม่นมองเข้าไปด้านในเห็นแสงไฟจุดอยู่บนตะเกียงหัวเสา มีพนักงานต้อนรับในชุดผ้าซิ่นพื้นเมืองยืนอยู่จึงผลักประตูเปิดออกและก้าวเข้าไป
ทันใดนั้นเสียงห้าวก็ดังขึ้นด้านหลัง

“ไปทำอะไรตรงนั้นน่ะเจ้าหนู”

เขาสะดุ้งโหยงหันควับไปมองต้นเสียง หัวเสียหน่อยๆ เพราะคิดว่าด้วยอายุอานามที่ร้อนผ่านหนาวมากว่ายี่สิบปีกับส่วนสูงร้อยแปดสิบถ้วนๆ ไม่น่ามีใครกล้ามาเรียกเขาว่าเจ้าหนูได้

แต่พอหันไปเห็นคนเรียกก็ถึงกับพูดไม่ออก เหนือฟ้ายังมีฟ้าเหนือเสาไฟฟ้ายังมีเปรตวัดสุทัศน์

ชายหนุ่มร่างกายสูงใหญ่สวมเสื้อผ้าฝ้ายคอวีตัวโคร่งที่ลู่แนบเนื้อเห็นกล้ามอกเป็นมัดๆ กับกางเกงเลตัวใหญ่ ผิวสีแทนทำให้ชายคนนี้ดูแตกต่างจากคนแถบเมืองเหนือที่เขาเห็นมาทั้งวันประกอบกับเรือนผมที่ยาวเลยบ่าทำให้ชายคนนี้ดูไม่เหมือนคนท้องที่ยิ่งกว่าเด็กหนุ่มจากต่างถิ่นอย่างเขาเสียอีก

“ผมจะมาพักที่นี่” เขาตอบเกร็งๆ นี่ไม่แปลกใจเลยถ้าจู่ๆ ชายผิวเข้มคนนี้จะชักมีดออกมาจี้

“แต่นั่นมันบ้านร้างนะ”

“ไม่ใช่โรงแรมเหรอ”

“โรงแรมอะไร ที่นี่คือคุ้มเจ้าเทพมาลา” ชายหนุ่มอธิบายต่อ

“ตะ... แต่จีพีเอสมันบอกว่า...” เด็กหนุ่มเลิ่กลั่ก เหลียวมองบ้านข้างหลังสลับกับหน้าจอบอกตำแหน่งในมือ

“ช่างหัวเทคโนโลยีอะไรนั่นเถอะ แถวนี้ไม่ค่อยมีสัญญาณน่ะ”

“แต่มันเปิดไฟแล้วก็มีคน…” เด็กหนุ่มหันกลับไปมองอีกครั้ง ไฟที่ว่าหายไปแล้ว และก็ไม่มีหญิงสาวนุ่งผ้าซิ่นไม่ว่าจะยืน เดินหรือนั่งนอนอยู่ตรงไหน   

“เมื่อกี้คงเป็นเจ้าของบ้านน่ะ เธอชอบออกมาทักทายแขกบ้านแขกเมืองแบบนี้แหละ”

“ก็แสดงว่ามีคนอยู่…”

“อือ”

…นั่นทำให้เขาใจชื้นขึ้นมาทันที…

“ตั้งแต่ปี 2446 น่ะนะ”

…งั้นนั่นก็ผีจริงๆ สิเฮ้ย! อะไรกันเพิ่งมาถึงก็โดนรับน้องแล้วเรอะ มิน่าล่ะลุงคนขับรถถึงทำหน้าแปลกๆ แล้วก็ไม่บอกกันบ้าง แล้วอะไรคือการตอบด้วยท่าทีสบายๆ เหมือนการเห็นผีเป็นเรื่องปกติของคนแถวนี้เนี่ย…

ชายหนุ่มผิวสีกวาดตามองเด็กหนุ่มจากต่างถิ่นตั้งแต่หัวจรดเท้า “มาด้วยกันสิ”

“ห๊ะ!”

“ก็หาที่พักอยู่ไม่ใช่เหรอ มีอยู่หลังหนึ่ง เล็กหน่อยแต่ก็ใช้ได้ ถ้าไม่รังเกียจก็มาพักได้ แต่ถ้าไม่เอาก็ตามใจ”

เด็กหนุ่มเหลียวกลับไปมองบ้านด้านหลังอีกครั้ง จู่ๆ ก็ขนลุกซู่อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย จนเขาต้องรีบหันไปพยักหน้าให้คนแปลกหน้า “ตกลงครับ”

เด็กหนุ่มเดินตามหลังไปห่างๆ เพราะถ้าเอาความเปลี่ยวของซอยกับหน้าตาตัวเองเป็นตัวตั้ง เขาก็มีสิทธิ์โดนล่อลวงไปทำมิดีมิร้ายได้

แต่โชคดีที่ไม่เป็นเช่นนั้น หลังจากเดินมาจนสุดซอยที่ลึกราว500เมตร ก็มาถึงบ้านไม้สองชั้น หน้าบ้านมีป้ายทำจากไม้กระดานแผ่นใหญ่แกะเป็นตัวอักษรว่า ‘ข่วงเมืองสิงห์’

ชายหนุ่มผิวสีเดินนำเข้าไปที่หน้าเคาน์เล็กๆ ตรงชานบันได “ห้องสุดท้ายพอดี ค่าห้องพันสองแต่คนกันเองลดให้เหลือคืนละแปดร้อยละกัน”

…หืม นี่เราไปสนิทกันตอนไหนวะ…

เด็กหนุ่มเกาหัวแกรกแล้วเปิดกระเป๋าหยิบเงินออกมานับ   

“จะพักกี่คืน”

“สอง”

“สองคืนเอาไปพันห้า แล้วชื่ออะไรล่ะเรา”

เด็กหนุ่มย่นคิ้ว ด้วยหน้าตาดีที่พ่อแม่ให้มาแต่เกิดเขาจึงเคยชินกับการโดนรุกเร็วแต่ที่โดนผู้ชายจีบนี่ถือเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้

“ชื่อจริง ชื่อเล่น หรือชื่อเฟสก็ได้เอามาสักชื่อ”

“อิงค์ครับ”

“ขอเบอร์ด้วย”

“ขอโทษนะครับ คือผมเพิ่งอกหักมาตอนนี้ไม่พร้อมจะมีใคร” เขาตอบเสียงดังฟังชัดพร้อมกับสบตาอีกฝ่ายให้รู้ว่าจริงจัง เห็นหล่อๆ แบบนี้แต่จะมาเล่นๆ ด้วยไม่ได้นะ

ชายหนุ่มผิวสีดูอึ้งๆ ไปเล็กน้อย เขาใช้ปากกาที่จดค้างไว้เคาะเบาๆ ลงบนเอกสารในมือ “ลงทะเบียนน่ะ” บอกได้เท่านั้นก็รีบก้มหน้าเม้มปากกลั้นยิ้มกับท่าทีเด๋อด๋าแบบหน้าแตกหมอไม่รับเย็บของเด็กหนุ่ม

อิงค์กวาดหน้าขึ้นมาประกอบแล้วรีบรับกุญแจห้องมาเดินตรงดิ่งไปห้องพัก

เด็กหนุ่มเปิดแอร์โยนเป้ลงบนเตียงก่อนจะทิ้งตามตัวลงไปบ้าง เขาปิดตาเตรียมรับลมเย็นๆ ที่ออกจากเครื่องปรับอากาศแต่สิ่งได้มาคือ...

“ขอโทษที... ขอโทษที” หนุ่มผิวเข้มพูดไปกลั้นหัวเราะไปกับสภาพของเด็กหนุ่มที่ตัวเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำเมื่อจู่ๆ น้ำแอร์ก็เทลงมาใส่เขาเป็นน้ำตก

“ไม่เป็นไรครับ” เด็กหนุ่มพูดไม่ออกกับความซวยซ้ำซวยซ้อนนอกจากยืดอกรับมันถ้าเป็นท่อน้ำแตกเขายังพอเข้าใจได้นะ… แต่นี่คือท่อแอร์! … จะมีสักกี่คนในโลกนะที่โดนท่อน้ำแอร์ระเบิดใส่จนเปียกได้ขนาดนี้

“แล้วจะเอายังไงดีล่ะทีนี้เตียงเปียกหมดเลย ห้องอื่นก็เต็มหมดแล้วด้วย”

“เช็ดพื้นให้แห้งผมก็นอนได้แล้วครับ” อิงค์บอกเพลียๆ ตอนนี้น้ำแอร์ซึมเข้าไปถึงกางเกงในผสมกับเหงื่อจนเหนอะหนะไปหมดแล้ว

“ไม่ได้ๆ จะให้แขกนอนแบบนั้นได้ยังไง” หนุ่มผิวเข้มว่า “เอางี้ยังเหลืออีกห้องนึง ถ้าเธอไม่รังเกียจไปพักห้องนั้นก็ได้”

“ไม่รังเกียจครับ” เด็กหนุ่มตอบรวดเร็ว คงไม่มีอะไรซวยไปมากกว่านี้อีกแล้วล่ะ

เขาเดินตามชายหนุ่มผิวเข้มขึ้นบันไดไปยังชั้นสองและเลี้ยวอีกรอบเพื่อขึ้นบันไดแคบๆ ไปยังห้องที่อยู่ใต้หลังคา ห้องนี้กว้างขวางพอสมควรมีฟูกขนาดใหญ่วางอยู่มุมหนึ่ง มีตู้เสื้อผ้าและมีห้องน้ำในตัว

“เชิญนอนตามสบายนะ ให้นอนฟรีจนกว่าห้องนั้นจะซ่อมเสร็จถือว่าเป็นค่าชดเชยแลกกับการอย่าเอาไปด่าลงอินเตอร์เน็ตก็พอ”

“ขอโทษนะครับที่นี่เป็นห้องรวมเหรอครับ” อิงค์ตั้งข้อสังเกตเพราะเห็นมีของใช้กับเสื้อผ้าวางอยู่ในตู้

“ไม่นะ”

“แล้วของพวกนั้น...”

“นี่ห้องฉัน” หนุ่มผมยาวตอบเรียบๆ “เชิญนอนตามสบายเลยคิดซะว่าเป็นห้องตัวเองละกัน”

นอกจากจะโดนแฟนสวมเขา เกือบหลงไปนอนกับผี โดนน้ำแอร์รั่วใส่ ตอนนี้เขาก็ปีนขึ้นมานอนเตียงคนแปลกหน้าโดยมีคนแปลกหน้าคนนั้นนอนซ้อนอยู่ด้านหลัง

“ราตรีสวัสดิ์” ชายหนุ่มกล่าวอย่างเป็นกันเองก่อนจะดึงผ้าห่มแบ่งไปครึ่งหนึ่ง

อิงค์รวบชายผ้าอีกฝั่งแน่นตามสัญชาตญาณ เขาพยายามเขยิบเข้าไปชิดกำแพงให้มากที่สุดแต่เพราะขนาดตัวของอีกฝ่าย… ไม่สิ ตัวเขาด้วยนี่แหละที่ทำให้ที่นอนขนาดหกฟุตคับแคบไปถนัด

ในขณะที่กำลังพยายามไล่ภาพแฟนเก่ากับชู้รักของเธอออกจากหัวและข่มตานอนให้หลับ กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่คุ้นเคยก็ลอยมาแตะจมูก

อิงค์เอี้ยวตัวไปมองเห็นที่มาของกลิ่นคือเรือนผมยาวที่ระอยู่บนไหล่และแผ่นหลังของคนที่นอนข้างกัน

ทำไมโลกช่างโหดร้ายและชีวิตมันต้องบัดซบถึงขนาดนี้ แชมพูที่วางขายตามท้องตลาดมีอยู่ดาษดื่น แต่ทำไมต้องจำเพาะเจาะจงมาใช้แตงโมมินต์กลิ่นเดียวกันให้คิดถึงด้วยนะ

อิงค์กำผ้าห่มในมือแน่นพยายามปิดตาให้สนิทแต่ยังไงก็ไม่อาจห้ามกลิ่นหอมที่ยังอวลอยู่นั้นเช่นเดียวกับหยดน้ำตาที่ค่อยๆ ไหลออกมาอย่างเงียบเชียบ

ชายหนุ่มผิวแทนลุกขึ้นนั่งในความมืด การที่มีคนแปลกหน้ามานอนอยู่ข้างกายทำให้คนที่คุ้นชินกับการนอนคนเดียวอย่างเขาหลับไม่ค่อยสนิทนัก

เขายกมือขึ้นเสยผมที่ยาวเลยบ่าไปด้านหลัง กำลังจะขยับขยายหาที่นอนใหม่สายตาก็เหลือบไปเห็นคราบน้ำตาบนแก้มของเด็กหนุ่มที่เขาเก็บมาเมื่อเย็น

“เหมือนจะอกหักมาสินะ”

รำพึงเบาๆ พลางใช้นิ้วชี้เกลี่ยลงบนแก้มเพื่อช่วยเช็ดออก แล้วจู่ๆ คนที่นอนหลับอยู่ก็เอียงหน้าเข้าซุกกับฝ่ามือเขาแล้วเกาะเกี่ยวเอาไว้แน่น

ชายหนุ่มถอนหายใจ จะดึงมือออกก็รู้สึกใจร้ายกับคนช้ำรักจนเกินไป เขาจึงค่อยๆ ล้มตัวลงนอนอีกครั้งแล้วสอดอีกมือเข้าใต้ลำตัวร่างโปร่งเพื่อกอดปลอบขวัญ

…ให้แค่คืนนี้คืนเดียวเท่านั้นนะ พรุ่งนี้แกต้องซ่อมท่อแอร์ให้เรียบร้อยแล้วให้เจ้าหนูนี่กลับไปนอนห้อง…



อิงค์นอนตัวแข็งทื่อเมื่อรับรู้ถึงน้ำหนักที่กดลงมาบนหัวไหล่กับความอบอุ่นที่กอดรัดอยู่รอบตัว

เขาเหลือบตาไปมองด้านหลัง เห็นศีรษะของหนุ่มผิวสีอยู่ห่างไปแค่คืบเรือนผมยาวล่วงลงปรกหน้ามาจนถึงลำคอของเขา มันไม่ได้แข็งกระด้างแต่กลับอ่อนนุ่มน่าสัมผัสและยิ่งอยู่ใกล้ๆ ขนาดนี้ยิ่งหอม… หอมจนอยากจะดมว่าแก้มเจ้าของจะหอมแบบนี้หรือเปล่า…

…บ้าไปแล้ว! นี่เราต้องอกหักจนเพ้อไปแล้วแน่ๆ ถึงอยากจะลองหอมแก้มผู้ชาย…

อิงค์ขยับตัวจะสะบัดให้หลุด ถือดียังไงมากอดเขาแบบนี้ นี่จะหลอกแต๊ะอั๋งกันล่ะสิ!

เขาหันไปมองคนหลับอีกครั้ง ดูนอนสบายและกำลังฝันดี อิงค์หยุดดิ้นกลับมานอนขดตัวกลมอย่างสงบเสงี่ยมอีกครั้ง

…แค่ไม่อยากรบกวนหรอกนะ เห็นแก่ว่าให้นอนฟรีคืนนึงหรอกนะ ไม่ใช่เพราะกอดอุ่นๆ กับกลิ่นหอมสดชื่นนี่เลย… ไม่ใช่เลยจริงๆ พรุ่งนี้แอร์ซ่อมเสร็จเขาก็กลับไปนอนที่ห้องพักแล้ว เพราะฉะนั้นแค่คืนนี้คืนเดียว จะยอมให้กอดไปแบบนี้ก็ได้…



ลืมตาขึ้นมาอีกทีอิงค์ก็พบว่าเหลือแค่ตัวเองอยู่บนที่นอนแล้ว รู้สึกสดชื่นที่ได้หลับเต็มตื่นแบบปกติ หลังจากกินไม่ได้นอนไม่หลับมาหลายคืนนับจากวันที่เริ่มระแคะระคายความสัมพันธ์ของแฟนเก่า

เขาอาบน้ำเตรียมลงไปข้างล่าง แล้วก็นึกได้ว่าชุดตัวเองเปียกน้ำแอร์และชายหนุ่มคนนั้นช่วยเอาไปซักตากไว้ กำลังจะใส่ชุดเก่าไปก่อนตาก็เหลือบไปเห็นเสื้อผ้าชุดหนึ่งวางพับไว้บนโต๊ะปลายเตียงตรงกระเป๋าเป้ของเขา

มันเป็นชุดผ้าฝ้ายกางเกงขายาวแบบที่เขาเห็นชายหนุ่มคนนั้นใส่เมื่อวาน ดูจากขนาดแล้วคาดว่าเจ้าตัวคงเอาของตัวเองมาให้ใส่ก่อน

แต่งตัวเรียบร้อยเขาก็ลงจากห้องใต้บันได เดินไปยังส่วนที่จัดไว้สำหรับรับประทานอาหารเช้า
ด้วยว่าตอนนี้เป็นเวลาสายมากแล้ว แขกที่มาพักคนอื่นๆ จึงออกไปเที่ยวกันหมดเหลือแต่เขาคนเดียว อาหารเช้าฟรีที่แถมมากับที่พักก็ถูกเก็บไปแล้ว เขาหันรีหันขวางว่าจะออกไปหาอะไรกินข้างนอก ชายหนุ่มผิวสีก็เดินมาพอดี

“หลวมไปนิดนะ” เขาทักยิ้มๆ

“ก็ผมไม่ได้ตัวใหญ่อย่างคุณนี่นา”

“กางเกงจะหลุดแล้วน่ะ ใส่ให้มันดีๆ สิเจ้าหนู”

อิงค์ก้มลงดูตัวเองที่สภาพตลกชะมัด เสื้อตัวหลวมโพรกพรากจนเขาดูเหมือนเด็กน้อยขโมยเสื้อพ่อมาใส่ ส่วนกางเกงก็เป็นผ้าแบบที่ต้องเอามาป้ายซ้ายป้ายขวาแล้วผูกเชือกซึ่งเขาลองดูจากยูทูปแล้วทำตามอยู่สามสี่รอบ แต่ก็ได้ออกมาดูป่วยๆ ไม่สวยเหมือนคลิปแบบนี้แหละ “ก็ผมไม่ได้พกเข็มขัดมานี่นาเลยใส่ไม่ถนัด”

“กางเกงแบบนี้ใครเขาใช้เข็มขัดกัน” ชายหนุ่มผิวสีกล่าวอย่างเอ็นดูก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ และช่วยใส่ให้ใหม่ “มันมีเชือกสองด้าน เธอจับมันมาไขว้กันแบบนี้แล้วผูกครั้งหนึ่งก่อนจะอ้อมไปด้านหลังแล้วอีกครั้ง ตวัดกลับมาด้านหน้า ผูก แล้วพับขอบม้วนเข้าไปแค่นี้ก็ดูดีแล้วเห็นไหม”

“จริงด้วย” อิงค์รู้สึกอายนิดๆ ที่ต้องมาให้ผู้ชายแปลกหน้าใส่กางเกงให้ แต่ในขณะเดียวกันก็นึกทึ่งกับวิธีการแต่งตัวสไตล์บ้านๆ ที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน

“หิวหรือยังกินข้าวกัน” ชายหนุ่มออกปากชวน

“แต่มันหมดเวลาอาหารเช้าแล้วนี่ครับ”

“กินกับฉันนี่ไง” ชายหนุ่มบอกพลางพยักเพยิดไปทางชามข้าวต้มใส่เห็ดหอมที่เขาถือติดมือมาด้วย

อิงค์กำลังจะกล่าวปฏิเสธแต่น้ำย่อยในกระเพาะกลับชิงตอบตกลงไปเสียก่อน เขาเอามือกุมท้องหวังจะปิดเสียงดังโครกครากด้วยความหิวเพราะไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อวาน แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ชายหนุ่มผิวสีอมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปและกลับมาพร้อมข้าวต้มอีกชาม

“มีอีกเยอะ เติมได้เต็มที่เลยนะ”

“คุณเอากาแฟไหม ผมชงให้” อิงค์บอกรู้สึกอยากทำอะไรสักอย่างเป็นการตอบแทน

“สักแก้วก็ดีเหมือนกัน”

อิงค์เดินไปยังมุมกาแฟที่ทางที่พักจัดเตรียมไว้ เขาหยิบๆ จับๆ ดูยี่ห้อกาแฟและส่วนผสมที่มีอยู่อึดใจหนึ่งก็ยกกาแฟหอมกรุ่นมาเสิร์ฟให้

“อร่อย” ชายหนุ่มผิวสีชมด้วยความประหลาดใจ เพราะที่มีก็แค่กาแฟยี่ห้อตลาด ไม่ใช่กาแฟมีชื่ออะไร แต่ทำไมมันถึงได้หอมและนุ่มราวกับกาแฟชงสดขนาดนี้

“ผมมั่นใจในฝีมือชงกาแฟมากเลยนะ” อิงค์ยกหางตัวเอง “นี่ไม่ได้เรียนที่ไหน ความสามารถล้วนๆ”

“ก็อร่อยจริงๆ” ชายหนุ่มพยักหน้าและยกขึ้นจิบอีกอึกใหญ่

“ข้าวต้มก็อร่อยดี”

“ฉันทำเอง”

“ฝีมือไม่เบา” อิงค์ยกนิ้วให้และเริ่มชวนคุย “ที่นี่มีพนักงานกี่คนเหรอครับ ทำไมผมไม่เห็นคนอื่นๆ เลยเขาไปทำอะไรกัน”

“รวมฉันด้วยก็มีสามคน”

“โห เจ้าของที่นี่ทำไมเขี้ยวจัง ที่พักใหญ่ขนาดนี้มีคนดูแลแค่สามคนเนี่ยนะ”

“เจ้าของเขี้ยวไหมไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ เขาไม่ชอบความวุ่นวายน่ะ”

“แต่เขาก็ดูให้สวัสดิการคุณดีนะ ห้องพักก็ใหญ่ แถมมีอาหารให้กินฟรีด้วย”

คนฟังเลิกคิ้ว รู้สึกว่าต้องมีอะไรเข้าใจผิดกันนิดหน่อย แต่ก็ไม่คิดจะทัก

“แล้วคุณชื่ออะไร”

“สิงห์”

“เข้ากับคุณดี”

“ยังไง”

“ก็ผิวแทน ตาคม ผมยาว เหมือนแผงคอพญาราชสีห์”

“เพื่อนชอบแซวว่าฉันเหมือนหมา เพิ่งมีเธอนี่แหละชมว่าเหมือนสิงห์”

“อุตส่าห์เลี้ยงข้าวฟรีทั้งที ก็ต้องมีชมกันบ้าง” อิงค์บอก “แล้วนี่คุณอายุเท่าไหร่เห็นเรียกผมเจ้าหนูๆ”

“ถ้าไม่ชอบก็ขอโทษที พอดีเห็นตัวเล็กๆ น่ารักดี”

“เทียบกับคุณใครก็เล็ก แต่เทียบกับคนปกติขนาดตัวผมนี่พอๆ กับกัปตันทีมบาสเลยนะ” อิงค์ว่า “ตกลงคุณอายุเท่าไหร่”

“สามสิบ”

“สวัสดีครับคุณอา” อิงค์ว่าพร้อมกับยกมือไหว้ล้อๆ

“ไอ้เจ้าหนูนี่” สิงห์แกล้งง้างมะเหงกขึ้นก่อนจะถามต่อ “แล้ววันนี้จะไปเที่ยวไหน”

“ไม่รู้เลย ไม่มีแพลนอะไรสักอย่างแค่อกหักเลยหนีมาพักใจน่ะ”

“ทำไมไม่ไปทะเล”

“ทะเลมันร้อน ผมไม่ชอบ” อิงค์ว่า “แค่นี้ก็ร้อนจนนึกว่าอยู่ในนรกแล้ว ยังจะให้ไปอยู่ที่ๆ มีแต่แดดอีก ไม่เอาหรอก ผมเลยจับตั๋วเครื่องบินที่ขึ้นเหนือ มาหาที่เย็นๆ สงบๆ พักใจน่ะ”

“แล้วเป็นไง ที่นี่เย็นสะใจไหม”

“เย็นจนเหงื่อชุ่มกางเกงในเลย!”

สิงห์หัวเราะปากกว้างจนเห็นฟันขาวกับเขี้ยวหน้าซี่เล็ก จนเขานึกแปลกใจว่าคนอะไรหัวเราะได้เสียงดังขนาดนี้เหมือนสิงโตคำรามไม่มีผิด แล้วก็ย้อนกลับมามองตัวเองว่าครั้งสุดท้ายที่ยิ้มได้กว้างขนาดนั้นมันผ่านมานานแค่ไหนแล้วนะ

“เอางี้ ถ้าเธอไม่มีที่ไปเดี๋ยวฉันพาเที่ยวเอง” สิงห์ขันอาสา

“แล้วคุณไม่ต้องทำงานเหรอ”

“งานของฉันคือต้อนรับแขกกับทำอาหารเช้าน่ะ มีงานอีกทีก็ทำข้าวเย็นให้พวกพนักงานกินเลย ช่วงนี้ก็ว่าง”

“เดี๋ยวเจ้านายคุณก็ดุหรอก”

“ไม่ดุหรอกเขาใจดี อีกอย่างการพาเธอไปเที่ยวก็นับเป็นงานดูแลแขกเหมือนกัน เอาเป็นว่าถ้าเธอพอใจก็ทิปหนักๆ หน่อยละกัน”

“โหย~ ขี้งก ผมก็นึกว่าคุณจะพาไปเที่ยวฟรีเสียอีก”

“ของฟรีไม่มีในโลกนะเจ้าหนู” สิงห์หลิ่วตา “เอางี้ ถ้ายอมเรียกพี่จะพาไปเที่ยวฟรีๆ ก็ได้เอ้า!”

“ฝันไปเถอะคุณอา”

“เรียกอาเก็บสองเท่า”

“เขี้ยวจัง พี่ก็พี่เอ้า!”

“ดีมากครับน้องอิงค์”



“กฏข้อหนึ่งของการเที่ยวน่านให้สนุกคือไม่พกโทรศัพท์” สิงห์บอกพลางแบมือออกมาตรงหน้า

“มันเกี่ยวอะไรด้วย”

“เกี่ยวสิ เพราะเธอจะซึมซับบรรยากาศรอบตัวได้ยังตราบใดที่ยังก้มหน้าดูจอไม่ดูวิว”

“แต่…”

“อย่างอแงน่า เป็นเด็กติดโทรศัพท์หรือไง”

อิงค์ล้วงมือลงในกระเป๋า หยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาส่งให้ชายหนุ่มแต่แล้วก็เปลี่ยนใจดึงกลับมา “เดี๋ยวแม่ผมโทรมา ถ้าไม่รับเดี๋ยวเรื่องใหญ่”

“ตามใจ… ผ่านข้อหนึ่งไป ทีนี้เราก็มาถึงข้อสอง คือเราจะไม่นั่งรถ แต่เราจะใช้วิธีปั่นจักรยานไป”

“จักรยาน?” อิงค์ทวนคำ

สิงห์พยักหน้าพลางเดินนำไปยังลานจอดจักรยานด้านหน้าที่พัก ซึ่งจัดเตรียมไว้ให้แขกที่มาพักเช่าไปขับเที่ยวชมเมือง
แต่ก็เป็นเหมือนเช่นห้องพัก ตอนนี้เหลือจักรยานรุ่นคุณป้าใช้ขับไปจ่ายตลาดอยู่แค่คันเดียว

“แล้วเราจะไปกันยังไง” อิงค์ถาม

“ฉันขี่เธอซ้อน” สิงห์สรุปรวดเร็ว

“ล้อเล่นน่า!”

“งั้นเธอขี่ฉันซ้อน”

“ตามนั้น”

(ต่อข้างล่างค่ะ)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Last Room
«ตอบ #2 เมื่อ11-09-2019 15:06:04 »

(ต่อตรงนี้ค่ะ)

ทั้งสองกระโดดขึ้นจักรยานตามที่ตกลงกัน อิงค์เหยียบเท้าลงบนคันถีบ แต่ถึงขนาดยืนขึ้นใช้น้ำหนักตัวทั้งหมดช่วยกดลงไป จักรยานคันน้อยก็เคลื่อนที่ได้เชื่องช้าประหนึ่งเต่าคลาน

“เปลี่ยนใจไหม” สิงห์ถามยิ้มๆ กับเด็กหนุ่มเมืองกรุงที่เหงื่อแตกซ่ก

อิงค์กระโดดลงจากจักรยานให้สิงห์ขยับมานั่งที่คนขับแล้วจึงนั่งลงซ้อนหลัง

“จับแน่นๆ นะน้องนะ พี่จะซิ่งแล้ว”

“ขี้โม้”

สิงห์เลิกคิ้วแล้วคว้ามือเรียวมาโอบรอบเอวตัวเองก่อนที่รถจะพุ่งฉิวออกไปต่างกับตอนที่อิงค์พยายามปั่นอย่างสิ้นเชิง

อิงค์พยายามจะขืนตัวออกห่างแต่เพราะอีกฝ่ายแกล้งหลบถนนเรียบลงหลุมข้างทางให้กระเทือนไข่ สั่นไปจนถึงคอหอยติดๆ กันทำให้เขาต้องผวาเกาะเอวอีกฝ่ายหลายต่อหลายครั้ง

“เหวยยยย~ คุณพี่สิงห์ครับ ขับดีๆ สิครับ ขับไม่เป็นก็ลงเดี๋ยวผมขับเอง!”

“ฝันไปเถอะ! ใครจะยอมให้เธอขี่กัน”

“ไอ้คุณพี่สิงห์!” อิงค์ร้องเสียงหลงไปตลอดทางจนกระทั่งรถมาจอดลงหน้าวัดภูมินทร์

“แลนมาร์คยอดฮิตของจังหวัดน่าน ใครไม่ได้มาถือว่ามาไม่ถึง” สิงห์บอก

ทีแรกอิงค์คิดว่าไอ้คุณพี่สิงห์คนนี้คงพาเขามาส่งเฉยๆ เหมือนทำหน้าที่คนขับรถ แต่ที่ไหนได้ เขากลับเดินนำพาไปดูนั่นดูนี่และบอกเล่าเรื่องราวโน่นนี่นั่นให้ฟังหลายต่อหลายอย่าง

“นี่ภาพปู่ม่านย่าม่านกระซิบรัก”

“เคยเห็นในละครที่แต้วเล่น” อิงค์ว่า “ทำไมต้องเป็นปู่กับย่า จะเปรียบว่าอยู่มานานแต่สองคนในภาพก็ดูไม่แก่เลยนะ”

“ไม่เกี่ยวกับอายุหรอก จริงๆ แล้วสองคนนี่ไม่ใช่คนไทยน่ะ แต่เป็นชาวพม่า คนพม่าเวลาถึงวัยผู้ใหญ่ ผู้ชายจะเรียกว่าปู่ ผู้หญิงเรียกว่าย่า ส่วนคำว่าม่านก็เป็นคำที่คนไทยสมัยก่อนใช้เรียกคนพม่าน่ะ เธอลองดูการแต่งตัวสิคนไทยที่ไหนแต่งแบบนี้ นี่เป็นเครื่องแต่งกายเต็มยศของชายหญิงชาวพม่าเลยนะ” สิงห์ชี้ชวนให้ดูและอธิบายเป็นฉากราวกับเป็น ‘หนานบัวผัน’ เจ้าของภาพจิตกรรมฝาผนังนี้มาเล่าให้ฟังเอง “เขาเชื่อกันว่าถ้าคู่รักพากันมากระซิบรักขอความรักที่หน้ารูปนี้ความรักจะยืนยาวและมั่นคง”

“ได้ผลไหม ผมถามจริง” อิงค์ถาม “นี่ไม่ได้กวนนะแค่อยากรู้จริงๆ”

“ไม่รู้สิก็คนที่ขอพรไปไม่เคยมาอัปเดทให้ฟังนี่นา” สิงห์ตอบ

เที่ยวชมภาพด้านในจนทั่วก็ลงบันไดมาเดินเล่นในลานกว้าง พนักงานต้อนรับที่ขยับหน้าที่มาเป็นไกด์ส่วนตัวก็เริ่มต้นบรรยายต่อ

“จากหัวถนนตรงวัดช้างค้ำที่อยู่ตรงข้ามโน่นเรื่อยยาวผ่านหน้าวัดไปจนสุดปลายถนนอีกด้านจะปิดทำเป็นถนนคนเดินทุกศุกร์เสาร์อาทิตย์ เรียกว่ากาดข่วงเมืองน่าน มีของขายทุกอย่างแต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นของกิน พอซื้อของเสร็จก็มานั่งพักเหนื่อยพักกินในลานตรงนี้ เขาจะมีบริการขันโตกแทนโต๊ะวางตั้งไว้ให้นั่งได้เลย แล้วก็มีพวกนักร้องหรือศิลปินพื้นบ้านมาร้องเพลงสลับกับทำการแสดงให้ดูฟรีด้วย”

“ผมชอบดูพวกคอนเสิร์ตแต่แบบนี้ไม่เคยดูเลย อยากดูจัง”

“เย็นนี้ก็มี จะมาไหมล่ะเดี๋ยวฉันพามาเดินเล่น”

“ได้เหรอ ไหนว่าต้องทำงานไง”

“เสร็จแล้วก็ออก ไม่เห็นยากเลย”

“จริงนะ”

ทั้งสองเดินอ้อมโบสถ์มาด้านหน้า ด้วยอุณหภูมิในเดือนเมษายนจึงทำให้เหงื่อแตกได้ไม่ยากทั้งที่อยู่ในเมืองเหนือ รถไอติมวอลล์เปิดเพลงดังกระหึ่มแล่นเข้ามาจอด อิงค์มองตามไปเห็นเด็กๆ กรูกันเข้าไปรุมแย่งกันเลือกซื้อไอติมแล้วอดยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้ เด็กกรุงเทพอย่างเขาไม่ค่อยคุ้นเคยกับภาพแบบนี้นักเพราะส่วนใหญ่ก็ซื้อจากในตู้แช่ตามร้านสะดวกซื้อหรือซุปเปอร์มาร์เก็ต จำได้ว่าเคยไปมุงกับเพื่อนครั้งหนึ่งที่หน้าโรงเรียนตั้งแต่สมัยเรียนประถมโน่นเลย

กำลังยิ้มอยู่ดีๆ อิงค์ก็หลุดขำออกมาเมื่อชายหนุ่มตัวโตที่มาด้วยกันเข้าไปร่วมวงมุงซื้อไอติมกับเด็กๆ และเปลี่ยนเป็นอมยิ้มน้อยๆ เมื่อสิงห์ช้อนตัวเด็กผู้ชายตัวจ้อยสุดในกลุ่มที่พยายามเขย่งดูแต่ก็ไม่ถึงขึ้นมาขี่คอแล้วช่วยหยิบไอติมให้

จู่ๆ เพลงไลอ้อนคิงส์ก็ดังขึ้นมาในหัว เมื่อจินตนาการซ้อนทับขึ้นมากับภาพตรงหน้า อิงค์ก็รีบหันหน้าหนีไปหัวเราะอีกทาง
แสงอาทิตย์ที่ส่องลงมาแผดเผาจนแสบหน้า อิงค์มองซ้ายมองขวาเห็นซุ้มทางเดินเล็กใต้ท้องพญานาคตรงบันไดหน้าโบสถ์จึงเข้าไปยืนหลบแดดตรงนั้น พลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูอะไรระหว่างรอเพลินๆ

“บอกว่าห้ามเล่นโทรศัพท์ไง” เสียงห้าวดังขึ้นพร้อมกับความเย็นที่แนบลงบนแก้มทำให้อิงค์สะดุ้งเฮือก

“เล่นบ้าอะไรเนี่ยลุงมันเย็นนะ”

สิงห์หัวเราะชอบใจที่แกล้งเขาได้ “แหม พ่อคนขวัญอ่อน แล้วนั่นใครใช้ให้เรียกลุง เดี๋ยวเก็บตังนะ”

“ไม่มี๊~ ไหนใครเรียก เมื่อกี้ผมบอกว่าพี่สิงห์สุดหล่อต่างหาก”

“ถ้าเป็นผู้หญิงนี่ฉันด่าว่าตอแหลแล้วนะ”

“แล้วถ้าเป็นผู้ชายอย่างผมล่ะ”

สิงห์ฉีกซองไอติมยักษ์คู่ในมือออกเป็นสองส่วนแล้วส่งให้อันหนึ่ง

“ต้องเสียตังปะ”

“ค่าชม” สิงห์ว่า

อิงค์รับไอติมมาแทะกิน แต่ไม่ว่าจะรีบกินสักเท่าไรก็ไม่อาจเร็วสู้ความร้อนที่แผดเผาแท่งหวานเย็นในมือให้ละลายเป็นน้ำเลอะมือไหลไปถึงข้อศอกได้

“เอ้าๆ นี่แน่ใจนะว่ายี่สิบ กินเลอะกินเทอะเป็นเด็กสองขวบ”

“ก็อากาศมันร้อนอะ” อิงค์ก้มลงไปเลียน้ำหวานที่เลอะมือ ทำให้ไอติมที่เหลือติดอยู่ตรงปลายแท่งไม้ค่อยๆ ไหลจากโคนลงมาตรงปลาย

และก่อนที่ไอติมจะเลื่อนหลุดออกจากปลายแท่งมันก็ถูกงับเข้าปากไปเสียก่อน

อิงค์ตัวแข็งกับหน้าคมที่อยู่ห่างไปไม่ถึงคืบ ถ้าเมื่อกี้ปลายลิ้นเขาตวัดพลาดแค่นิดเดียวก็จะโดนแก้มพี่สิงห์แล้ว

กลิ่นแตงโมมินต์บนเรือนผมยาวลอยมาแตะจมูก อิงค์กลืนน้ำลายเหนียวลงคอเมื่อภาพที่ตัวเองถูกกอดก่ายไว้ทั้งคืนในอ้อมแขนแกร่งนั้นปรากฏขึ้นมาในห้วงความคิด หัวใจเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่เจ้าตัวสาเหตุ กลืนไอติมลงคอแล้วแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างสบายอารมณ์

“เสียดายของ” สิงห์พูดยิ้มๆ “มองอะไร… โกรธเหรอ งั้นเอาของฉันไปกินก็ได้” บอกพร้อมกับยื่นแท่งไอติมที่เหลือของตนมาจ่อที่ริมฝีปาก

อิงค์เหลือบสายตาลงมองแท่งหวานเย็นที่เริ่มละลายเป็นหยดเหนียวๆ ประกอบกับท่าทางกระพือเสื้อคอวีที่กว้างจนเห็นไปถึงไหนต่อไหนของคนตรงหน้าแล้วบอกตรงๆ ว่าเขาคิดดีไม่ได้เลย

เขากลืนน้ำลายลงคอแล้วรีบหันหน้าหนีก่อนความคิดอกุศลจะพาให้ผิดบาปไปมากกว่านี้ทั้งที่อยู่ในวัดในวาแท้ๆ “ไม่เป็นไรครับ”

“อืม” สิงห์ชักมือกลับไปเลียไอติมต่อ “รีบเข้าร่มกันเถอะ เธอหน้าแดงหมดแล้ว รู้สึกจะเป็นลมหน้ามืดอะไรหรือเปล่า”

“ปะ… เปล่า” อิงค์บอกปัดทั้งที่ความรู้สึกลึกๆ ดูจะใกล้เคียงมากทีเดียว “แค่ร้อนน่ะ เข้าร่มกันเถอะ”

“ลืมบอก”

“อะไรครับ”

“ตรงที่เธอไปยืนเมื่อกี้เรียกว่าซุ้มพญานาคคู่ขวัญล่ะ คนที่จะมาขอพรกับปู่ม่านย่าม่านต้องมาลอดใต้ซุ้มนี้ด้วย”

“อ้าว เฮ้ย! แล้วเมื่อกี้พี่สิงห์ทำไมไม่บอกผม ปล่อยให้ยืนอยู่ด้วยกันตั้งนาน”

“กลัวพรสัมฤทธิ์ผลหรือไง” สิงห์หัวเราร่วน “เขามีกรรมวิธีขอ ต้องลอดทวนเข็มสามรอบแล้วขึ้นไปกระซิบ มีบทให้พูดด้วยนะ ใช่ว่าขอกันง่ายๆ ซะเมื่อไหร่ แล้ววันๆ คนก็มาขอตั้งเยอะ เธอคิดว่าแค่นี้จะมีผลอะไรหรือไง… เอ๊ะๆ หรือว่าเธอคิดอะไรกับฉัน”

“พอเลยพี่สิงห์ ผมก็แค่ถือคติไม่เชื่อก็ไม่ลบหลู่แค่นั้นแหละ… หรือว่าพี่คิด”

“เออ” อิงค์สะดุ้ง หน้าร้อนวาบ

“คิดว่าจะพาเธอไปเที่ยวไหนต่อ”

อิงค์ผ่อนลมออกจมูกค่อยหายใจทั่วท้อง ไม่เข้าใจอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ แหย่เล่นเป็นหมาหยอกไก่ของคนอายุเข้าเลขสามเลยจริงๆ “ตกลงพี่จะพาผมไปไหนต่อ”

“ไปโน่นไง” สิงห์ชี้มือไปที่ถนนอีกฝั่งซึ่งขัฝี่จักรยานผ่านมาแล้ว “นั่นคือพิพิธภัณฑ์น่าน เธอต้องไปเช็กอินที่ลานลั่นทมหัวโกร๋นนั่นด้วยนะ เดี๋ยวคนเขาจะว่าว่ามาไม่ถึง”

“อ้าว แล้วทำไมไม่แวะตั้งแต่เมื่อกี้จะย้อนไปย้อนมาทำไม”

“ฉันแค่พามาดูตามลำคับความสำคัญต่างหาก”

“ลืมก็บอกว่าลืมดิแก่แล้วก็เงี้ย ลุงนะลุง”

“อย่ามัวแต่ช้าเดี๋ยวรถก็ชนหรอก” สิงห์ทำเสียงดังเปลี่ยนเรื่องพร้อมกับคว้ามือเด็กหนุ่มให้เดินข้ามถนนไปด้วยกัน

อิงค์เหลียวมองซ้ายขวา ที่ถนนว่างเปล่าไม่มีรถราวิ่งมาสักคันแล้วก้มลงมองฝ่ามือใหญ่ที่กุมมือตนไว้แน่น ปกติจะเป็นฝ่ายเขาที่จูงมือแฟนตอนข้ามถนน แต่ในเวลาอกหักแบบนี้มีคนจูงไปไหนมาไหนก็รู้สึกดีเหมือนกัน

“ฉันช่วยถ่ายให้ไหม” สิงห์อาสาเมื่อเห็นเด็กหนุ่มพยายามวางกล้องกับพื้นเพื่อถ่ายภาพมุมกว้างของตัวเองกับจ้นลั่นทม

“ถ่ายได้แน่นะ ผมละไม่ไว้ใจพี่เลย” อิงค์หรี่ตามองแต่ก็ยอมส่งโทรศัพท์ให้

สิงห์รับไปกดๆ สักพักก็ส่งคืน “ไปดูเอง”

“อะไรวะพี่ ไม่นับเลยเหรอ นี่ผมยังไม่ทันยิ้มเลยนะ” อิงค์บ่นพลางกดเปิดรูปดู แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจ จริงอยู่ว่าเขาไม่ได้ดูดีไปเสียทุกรูปกับสภาพหน้าตาเยินๆ ของคนกินเหล้าเมามาหลายวัน แต่องค์ประกอบและอารมณ์ของภาพที่ถ่ายออกมานั้นดูเป็นธรรมชาติที่กำลังพอดีมากๆ

“สวยไหม” สิงห์ถาม

“วิวสวย” อิงค์บอกก่อนจะเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า เรื่องอะไรเขาจะชมให้เหลิงกันล่ะ

ทั้งสองเดินสลับกับขี่จักรยานเที่ยวชมไปรอบๆ เมือง ไม่ใช่แค่เพราะไม่มีอะไรให้ต้องรีบเร่งแต่บรรยากาศที่เรียบง่าย ช้าๆ เนิบๆ ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของเมืองน่านนั้นทำให้เขาผ่อนคลายลงโดยไม่รู้ตัว

“กลับกันเถอะ ได้เวลาทำอาหารเย็นแล้ว” สิงห์เอ่ยขึ้นเมื่อเวลาห้าโมงเย็น

อิงค์จึงกระโดดขึ้นซ้อนท้ายจักรยานเพื่อกลับที่พัก เขาใช้สองมือจับเอวคนขับไว้หลวมๆ พลางมองการใช้ชีวิตสองข้างของคนที่นี่ไปเพลิน ลมที่พัดตีมาเบาๆ พาให้เรือนผมยาวของคนขับกับกลิ่นอ่อนๆ ของแตงโมมินต์ลอยมากระทบจมูก มันให้ความรู้สึกสบายชวนคิดถึงจนเขาเผลอซบหน้าลงบนแผ่นหลังกว้าง



“พี่สิงห์จะทำอะไรเป็นอาหารเย็นเหรอ” อิงค์ที่อยู่ว่างๆ เดินตามเข้าไปดูในครัว

“ไก่มะแขว่น” พ่อครัวบอกเมนูพลางหยิบวัตถุดิบจากตู้เย็นออกมาวางบนโต๊ะ

“อะไรคือมะแขว่น”

“เป็นชื่อสมุนไพรน่ะ หน้าตาคล้ายๆ เม็ดพริกไทยน่ะ รสซ่าแล้วก็มีกลิ่นฉุนแต่หอมเป็นเอกลักษณ์” สิงห์บอกพลางหยิบขวดใส่เม็ดมะแขว่นส่งให้เด็กเมืองกรุงซึ่งรับไปพลิกดูด้วยความสนอกสนใจ

“แล้วเอามาทำอะไรกิน”

“ใช้ปรุงอาหารได้หลายอย่างใส่แกงใส่หมก เป็นเครื่องเทศประจำภาคเหนือ ส่วนเมนูไก่มะแขว่นนี่ถือเป็นอาหารขึ้นชื่อของน่านเลย ไม่ได้กินถือว่ามาไม่ถึง”

“อะไรๆ ก็ถือว่ามาไม่ถึงทุกอย่างเลยนะ”

“ก็ฉันไม่อยากให้เธอพลาดนี่นา นี่อุตส่าห์นำเสนอแต่ของดีๆ นะ”

“ที่ตลาดถนนคนเดินจะมีขายไหมผมจะได้ไปซื้อมาชิม”

“จะไปซื้อทำไมก็ฉันทำให้กินอยู่เนี่ย”

“ผมกินได้เหรอ… ก็พี่สิงห์ทำให้พนักงานแล้วผมก็ไม่ใช่…”

“กินได้เจ้าของที่นี่ใจดี วัตถุดิบมีเหลือเยอะ”

“แต่…”

“ถ้างั้นก็มาช่วยทำ ถือว่าเป็นค่าแรงตกลงไหม”

เห็นว่าน่าสนุกดีประกอบกับเป็นพวกชอบทำและชอบกินอิงค์จึงรีบตกปากรับคำ

“ทำไม่อยากเลยก็แค่เอามหมักไก่ แต่จะมีเคล็ดลับหน่อยตรงที่ไก่ที่ใช้ต้องเป็นส่วนอกของไก่บ้าน จะได้เนื้อเน้นๆ แน่นๆ ฉีกกินอร่อยกว่าส่วนอื่นๆ” สิงห์ทำท่าแบ่งกล้ามอกประกอบ เขาใส่เนื้อไก่ลงในกะละมังก่อนจะตามด้วยเครื่องปรุงรสต่างๆ “อันนี้ปรุงตามชอบเลยนะ บางบ้านก็ใช้แค่เกลือ แต่ฉันว่ารสมันเค็มโดดเลยใช้ซอสถั่วเหลืองแทนแล้วโรยน้ำตางลงไปนิดหน่อย ทีนี้ก็ถึงตาพระเอกของเรา เอามะแขว่นใส่ลงไปต้องกะให้พอดีกันถ้าน้อยไปกลิ่นไม่ก็ไม่หอม ใส่มากไปก็เผ็ดเสียรส… จากนี้ก็หน้าที่เธอล่ะ” บอกพร้อมกับเลื่อนชามมาตรงหน้า

“ให้ผมทำอะไร” อิงค์ถาม

“คลุกเคล้าให้เข้าเนื้อ” สิงห์บอก

อิงค์ค่อยสอดมือลงไปในชามไก่แล้วบีบๆ นวดๆ

“แรงๆ หน่อยสิแบบนั้นมันจะซึมเข้าเนื้อได้ยังไง”

“ผมกลัวไก่เละ”

“มันไม่เละหรอกน่า มานี่จะทำให้ดู”

อิงค์เตรียมขยับหลบให้ แต่สิงห์กลับมายืนซ้อนหลังแล้วเอื้อมมือข้างหนึ่งสอดลงมาในกะละมังวางทับบนมือเขาแล้วพาจับมือขยำไก่เป็นจังหวะ

“ค่อยๆ บีบ ช้าๆ เน้นๆ แบบนี้ ไม่ต้องรีบ”

ความนุ่มหยุ่นเนื้อไก่กับนิ้วมือแข็งแรงที่จับอยู่พาให้ใจสั่น ยิ่งตอนร่างสูงใหญ่นั้นสอดอีกมือขึ้นวางบนโต๊ะข้างตัวเขาเพื่อพักมือแล้วเกยคางลงมาบนไหล่เพื่อดูหน้าตาไก่ให้ชัดๆ อิงค์ยิ่งรู้สึกหมดทางหนี

กว่าจะหมักไก่ได้ที่เตรียมลงทอดก็เล่นเอาอิงค์หมดแรงแข้งขาสั่นถึงขั้นต้องเกาะขอบโต๊ะเลยทีเดียว

“เด็กสมัยนี้ไม่ไหวเลยแค่ให้ขยำไก่กิโลสองกิโลเองหมดแรงซะแล้ว วันหลังหัดไปออกกำลังกายบ้างนะ”

“ผมหมดแรงเพราะลุงน่ะแหละ” อิงค์โอดครวญ

“เมื่อกี้พูดว่าไรนะ เดี๋ยวไม่ให้กินไก่ซะเลยนี่”

“ไม่มีอะไรคร้าบบบ~ พี่สิงห์!” อิงค์แกล้งเน้น นี่ตกลงใครเป็นแขกใครเป็นพนักงานกันแน่ฟะ

พ่อครัวที่กำลังทอดไก่อยู่หน้าเตาหันมาอมยิ้มให้ก่อนจะหันกลับไปพลิกไก่ต่อ


“กินได้แล้ว” สิงห์ยกจานไก่ออกมาวางพร้อมกับกระติ๊บใส่ข้าวเหนียว “มีข้าวสวยด้วยนะเธอไปตักได้เลยอยู่ในครัว”

“ขอบคุณครับ” อิงค์นั่งลงพร้อมกับจานข้าว เขาฉีกไก่ใส่ปาก เม็ดมะแขว่นแตกซ่าในปากและไก่ก็เหนียวนุ่มสู้นฟันอร่อยสมราคาคุย “แล้วพี่สิงห์ไม่กินเหรอ”

สิงห์เปิดกระป๋องเบียร์แล้วชูขึ้นตรงหน้า “ขั้นสุดของการกินกับข้าวคือเอามาแกล้มเบียร์เย็นๆ นี่แหละ”

“โห ขี้โกงอะ กินคนเดียว ผมกินด้วยคนสิ”

“เป็นเด็กเป็นเล็กริอาจจะกินเหล้า”

“ผมอายุยี่สิบแล้วนะ ไม่ผิดกฏหมายสักหน่อย”

สิงห์ยิ้มขันกับความเถียงคำไม่ตกฟาก เขาลุกขึ้นเดินไปที่ตู้เย็นแล้วหยิบเบียร์มากระป๋องหนึ่ง “แค่กระป๋องเดียวนะเจ้าหนู”

แต่คำว่าสัจจะไม่มีในหมู่โจรฉันใด ก็ไม่มีคำว่ากระป๋องเดียวในวงเหล้าฉันนั้น ในเวลาแค่ชั่วโมงเศษกระป๋องเบียร์ก็วางเรียงรายเต็มโต๊ะ

“พรุ่งนี้กลับกี่โมง” สิงห์ถามเริ่มกรึ่มนิดๆ

“ไฟลท์เช้าเจ็ดโมง”

“เร็วจัง เท่ากับเธอมาอยู่ที่นี่แค่วันกว่าๆ เองนะ”

“อยากอยู่ให้นานกว่านี้ แต่ทำยังไงได้ มันกะทันหันนี่นา แล้ววันจันทร์ก็ต้องกลับไปเรียนแล้วด้วย”

บทสนทนาถูกขัดด้วยการสั่นต่อเนื่องของโทรศัพท์ในกระเป๋า อิงค์หยิบออกมาดู นิ้วเรียวยกขึ้นค้างอยู่ตรงกลางระหว่างกดรับกับตัดสายทิ้ง

“ไหว?” สิงห์ถาม

“ไหวสิ”

“ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องเรียน” สิงห์พูดต่อภาพสาวน้อยที่มาพร้อมสายเรียกเข้าดูยังไงก็ไม่ใช่แม่แน่ๆ

อิงค์เงียบไปทันทีก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ นัยน์ตาจับจ้องอยู่ที่หน้าโทรศัพท์ “เราเรียนมัธยมมาด้วยกัน และตอนนี้เราก็เรียนที่เดียวกันถึงจะคนละคณะก็เถอะ”

“ยิ่งเจอยิ่งเจ็บ”

อิงค์พยักหน้า

“แต่ถ้าไม่ไปหาก็จะไม่เจอ”

อิงค์พยักหน้า “แต่ผมทำไม่ได้”

“ได้สิ” สิงห์ตอบ “เริ่มจากออกจากเฟสบุ๊กซะ… เธอจะเลิกร้องไห้ได้ยังไงตราบใดที่ยังเข้าไปดูเฟสเขาตลอดเวลา” นั่นคือสาเหตุที่เขาขอให้อิงค์เก็บโทรศัพท์ไว้ที่ที่พัก เพราะเด็กหนุ่มเอาแต่มองมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับรอให้เธอโทรมาหา

“ก็มันคิดถึง”

“คิดถึงแล้วเจ็บไหม”

อิงค์พยักหน้า

สายโทรศัพท์ตัดไปแล้ว ภาพหน้าจอจึงสว่างวาบขึ้นมาแทนที่

“เปลี่ยนภาพหน้าจอด้วย” สิงห์บอก

อิงค์ก้มลงมองโทรศัพท์ในมือ “นี่เป็นตอนที่เราไปเที่ยวทะเลด้วยกันเมื่อปีก่อน… เธอชอบทะเลมาก”

“เพราะแบบนี้ทะเลถึงได้ร้อนเกินไปสินะ”

อิงค์พยักหน้าเหมือนพระอาทิตย์ย้ายจากบนฟ้ามาอยู่ตรงขอบตาแผดเผาให้ร้อนผ่าว “พี่สิงห์น่ะแหละทำให้ผมยิ่งคิดถึงเธอ”

“อ้าว เกี่ยวอะไรกับฉันวะ”

“ก็พี่อะ ดันมาใช้แชมพูกลิ่นเดียวกับยัยนั่นทำไมเล่า! ได้กลิ่นผมก็ยิ่งคิดถึงน่ะสิ”

“เมาแล้วนะเนี่ย” สิงห์พ่นลมออกจมูกพยายามจะยื่นมือไปดึงกระป๋องบียร์จากเด็กหนุ่ม แต่อีกฝ่ายก็ม้วนตัวหนีแล้วซดรวดเดียวหมดกระป๋อง “เฮ้! เบาๆ หน่อย”

“งือ” อิงค์ครางในลำคอขว้างกระเป๋าเบียร์เปล่าทิ้งแล้วหันมาจ้องหน้าชายหนุ่มด้วยใบหน้าแดงก่ำ “แล้วพี่ก็ยังมาทำดีกับผมอีก”
สายโทรศัพท์ตัดไปก่อนที่จะโทรเข้ามาใหม่อีกครั้ง นัยต์ตาจับจ้องอยู่ที่โทรศัพท์ อยากรับก็อยาก แต่ก็ไม่อยากกลับไปเจ็บอีกแล้ว

“ทำไมเธอตอนพระอาทิตย์ตกดินถึงดูไม่เหมือนเธอตอนพระอาทิตย์ขึ้นเลย เมื่อเช้ายังยิ้มหัวเราะได้ขนาดนั้นแท้ๆ”

“คงเพราะบรรยากาศพาไปละมั้ง” อิงค์ตอบอย่างขมขื่น ตัดสินแล้วว่าจะกดรับไม่ว่ายังเขาก็อยากได้ยินเสียงเธอ “ฮัลโหล… เมย์เหรอ…”

สิงห์ครางในลำคอ ตาคมหรี่ลงเหมือนราชสีห์ที่กำลังหงุดหงิด “งั้นก็ให้บรรยากาศมันพาไปละกัน”

อิงค์ฟังผ่านหูไม่ค่อยเข้าใจคำที่ชายหนุ่มบอก แม้แต่ตอนที่มือใหญ่เอื้อมมาประกบรอบกรอบหน้าแล้วเจ้าของมือนั้นก้มหน้าลงมาประทับริมฝีปาก

“ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าดูโทรศัพท์เวลาอยู่ด้วยกัน”

“ผม…” อิงค์ไม่ตอบโต้อะไรในหัวมันว่างเปล่า

สิงห์ก้มลงจูบอีกครั้ง แค่แตะเบาๆ เนิบนาบ ไม่ได้เร่งเร้าหรือรุกราน แต่เพียงแค่นั้นอิงค์กลับไม่อาจขัดขืนอะไรได้ เขาทิ้งโทรศัพท์หลุดมือ เสียงคนรักเก่าในสายดังสะท้อนออกมา

“อิงค์… เกิดอะไรขึ้น… เป็นอะไรทำไมเงียบไป อิงค์!”

แต่ถึงจะเรียกสักกี่ครั้งเจ้าของชื่อก็ไม่สนใจอีกแล้ว เขาปล่อยใจให้บรรยากาศนำพาและปล่อยตัวให้ชายหนุ่มผิวแทนจูงมือขึ้นไปบนห้องใต้หลังคา

ร่างกำยำนั่งลงบนเตียงพร้อมกับรั้งร่างโปร่งให้เข้ามาประชิดอก สองมือค่อยถกชายเสื้อขึ้นสูงเห็นยอดอกสีหวานลอยเด่นอยู่ตรงหน้า

“ช่วยจับไว้หน่อยสิ” สิงห์กระซิบพลางจับชายเสื้อแตะที่รืมฝีปากให้คาบไว้ แล้วเริ่มใช้ปลายลิ้นเล่นกับยอดอก เมื่อมือทั้งสองข้างว่างแล้วก็สามารถลูบไล้เรือนร่างเพรียวสมส่วนนั้นได้เต็มที่ มันไม่เหมือนร่างกายผู้หญิงที่เขาเคยกอดผ่านๆ มา กับผู้ชายก็เคยลองมาบ้างยอมรับว่ารู้สึกดีแต่ก็ไม่ได้ถึงกับติดใจ

หากในขณะที่กำลังลูบไล้สะโพกแน่นกับส่วนซึ่งแสดงความเป็นชายของเด็กหนุ่มตรงหน้านั้นเขารู้สึกว่ามันแตกต่าง เป็นความรู้สึกแปลกที่บอกไม่ถูกเช่นเดียวกันกับอิงค์ที่ตื่นเต้นไม่แพ้กัน

“ครั้งแรก?”

“ใครมันจะไปมีประสบการณ์เยอะอย่างลุงกันเล่า”

“เรียกลุงอีกแล้ว บอกให้เรียกพี่”

สองขาเรียวสั่นพั่บเมื่อปลายนิ้วแกร่งค่อยแทรกเข้ามาทางด้านหลัง รู้สึกเหมือนหน้ามืดแล้วจู่ๆ ก็ถูกจับเหวี่ยงให้นอนหงายลงบนเตียง กางเกงผ้าถูกดึงออกไปกองอยู่ที่พื้นเช่นเดียวกับกางเกงของสิงห์ที่ตอนนี้ผงาดโชว์ความเป็นชายชาตรีสมชื่อ

“เจ็บไหม?”

“นิดหน่อย” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับกดจูบลงกลางหน้าผาก “แต่สักพักจะรู้สึกดี”

“จริงเหรอ”

“เดี๋ยวก็รู้เอง”

อิงค์สะดุ้งเบาๆ เมื่อสิงห์จับขาของเขายกขึ้นแล้วสอดแทรกความเป็นชายเข้ามาแทนนิ้วมือ เขาพยายามเข้ามาให้สุดแต่ก็ได้แค่เพียงครึ่งเดียวอิงค์ก็ดิ้นพล่านด้วยความอึดอัดคับแน่น มันไม่ได้เจ็บแต่มันรู้สึกขมวดตึงตั้งแต่ตรงที่ถูกแทรกเข้ามาไปจนถึงปลายเท้า ในท้องแน่นหนึบไปตามจังหวะสะโพกที่ขยับเสียดสี ในขณะที่ในอกหวามหวิวจนแทบหายใจไม่ทันกับการโดนปลุกเร้าทั้งด้านหน้าและด้านหลังพร้อมๆ กัน

อิงค์ผวากอดคนตัวโตกว่าแน่น ปลายเล็บจิกลากไปบนแผ่นหลังกว้างพร้อมกับซุกหน้าลงบนบ่าลาด หอบหายใจแรงสูดหายใจที่เจือกลิ่นหอมของแตงโมมิ้นต์ก่อนที่ความสุขสมจะพุ่งถึงจุดสูงสุด

ความเหงาที่โดนย้อมด้วยแอลกอฮอล์ทำให้ความต้องการไม่สงบลงง่ายๆ ทั้งสองกอดก่ายกันครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนจะหลับไปด้วยกันทั้งที่ร่างกายเปลือยเปล่า

จนกระทั่งรุ่งสางสิงห์ลืมตาขึ้นมาเพื่อเตรียมจะไปส่งเด็กหนุ่มเมืองกรุงกลับบ้าน แต่เขาก็พบว่าอีกด้านของเตียงนั้นว่างเปล่าเสียแล้ว

สิงห์โครงศีรษะเล็กน้อยก่อนจะลุกไปอาบน้ำ เขาเปิดฝักบัวให้สายน้ำพุ่งลงมาราดรดศีรษะพร้อมกับหยิบขวดแชมพูขึ้นมา พอนวดเป็นฟองจนกลิ่นหอมฟุ้งเขาก็ชะงักหันไปมองขวดแชมพูอีกครั้งแล้วหยิบทิ้งลงถังขยะ

…ไม่มีอะไร ก็แค่ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแชมพูใหม่พอดี…


เด็กหนุ่มสวมเสื้อแจ๊คเก็ตแล้วกระชับกระเป๋าเป้ขึ้นสะพายบ่า ในมือถือใบบอร์ดดิ้งพาสที่ผ่านการเช็กอินเรียบร้อย อีกราวหนึ่งชั่วโมงจะถึงเวลาเครื่องออก

อิงค์หันหน้าไปทางประตูสนามบินมองบรรยากาศเมืองน่านให้เต็มตาอีกครั้ง หลังจากนั้นแฟนเก่าของเขาก็ไม่โทรมาอีกเลย และเขาก็ไม่คิดจะโทรกลับ

มีสายโทรเข้ามาพอดีเขาก้มมองและกดรับทันที

“ครับแม่ อยู่สนามบินแล้วครับกำลังจะกลับ ขอโทษนะครับที่ทำให้เป็นห่วง”

เด็กหนุ่มกดวางสาย นัยน์ตาจับจ้องอยู่ที่ภาพหน้าจอซึ่งเป็นรูปเขากับรูปปั้นสิงหน้าวัด ริมฝีปากหลุดยิ้มออกเล็กน้อย เขาหมุนตัวกลับเข้าไปด้านใน

…ผมดีใจมากเลยนะที่ได้พบคุณ แม้ว่าสุดท้ายแล้วผมกลายเป็นแค่เด็กหลงทางในวันธรรมดาๆ วันหนึ่งของคุณ แต่คุณคือคนพิเศษในวันที่แย่ที่สุดของผม…

ความรักครั้งเก่ามันจบลงแล้ว ครั้งต่อไปจะได้เริ่มต้นไหม และจะเริ่มเมื่อไหร่ยังไม่มีวันรู้ แต่อย่างน้อยถ้ามันจะเริ่มต้น เขาก็รู้แล้วล่ะว่าอยากจะลองเริ่มต้นอีกครั้งที่ไหน

.

.

.

สองปีผ่านไป

“ขอโทษนะครับ ที่นี่ยังมีห้องว่างเหลืออยู่ไหม”

********************************************************************************
Talk

สวัสดีค่ะ leGGyDan เองค่าาาาาไม่เจอกันในเล้านานมาก >.<
เรื่องพี่สิงห์กับน้องอิงค์นี่ทีแรกตั้งใจว่าจะทำวันช็อตลงในเฟส เป็นตอนๆ ไปแก้เบื่อแก้เซ็ง
แต่ด้วยนิสัยเดิมอะน้าาาา ^^ แต่งสั้นไม่เป็นอ่า แล้วมันก็กลายมาเป็นเรื่องสั้น จนตอนนี้ยแล้ว ยาวมั่ก แฮร่
ฝากเรื่องนี้ไว้ในอ้อมใจอีกเรื่องนะคะ

เพื่อความฟินต่อเนื่อง มีนิยายแชทด้วยนะคะ ตอนนี้อัปได้ 5 ตอนแล้วค่ะ ขออนุญาตแปะลิงค์
#แชทลับของพี่สิงห์

อ่านเรื่องอื่นๆ ของ >>leGGyDan<<
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-09-2019 20:26:08 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: Last Room บทที่ 1 (11/09/2019)
«ตอบ #3 เมื่อ11-09-2019 18:17:19 »

 :pig4:
 :L2: :3123: :L1:

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Last Room บทที่ 1 (11/09/2019)
«ตอบ #4 เมื่อ11-09-2019 20:24:00 »

LR 2

“สวัสดีครับ ผมเอาขนมมาส่ง”

เสียงทักทายอย่างขยันขันแข็งดังขึ้นที่หน้าประตู ‘ข่วงเมืองสิงห์’ พร้อมกับการปรากฏตัวของร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสวมกางเกงสแลคสีดำที่หน้าประตู

“เชิญ” เสียงห้าวดังตอบกลับมาจากหลังเคาน์เตอร์

แต่อันจริงคนคนตอบก็แค่ตอบไปตามมารยาท เพราะตอนนี้คนที่เพิ่งมาถึงก็ถอดรองเท้าแล้วเดินตรงดิ่งเข้าไปยังห้องรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มวางถุงกระดาษสองใบใหญ่ที่หอบหิ้วมาวางบนโต๊ะ จัดแจงรื้อของข้างในอันประกอบไปด้วยขวดแก้วบรรจุกาแฟสูตรพิเศษขนาด 200ml คาดฉลากตัวการ์ตูนรูปสัตว์หน้าตาคล้ายสิงโตจำนวน 20 ขวด ปาท่องโก๋ทอดใหม่ๆ ร้อนๆ ที่บรรจุอยู่ในกล่องออกมาวางเรียงในถาดสแตนเลส

ชายหนุ่มบรรจงใช้ที่คีบจัดตัวปาท่องโก๋เรียงกันที่ละชิ้นอย่างเป็นระเบียบก่อนจะเทเครื่องเคียงที่ไว้กินคู่กันอันประกอบด้วยสังขยาใบเตยกับนมข้นหวาน

จัดเตรียมเสร็จก็ถอยออกมายืนมองผลงานให้ดูกลมกลืนสมมาตรกับหม้อใบใหญ่ที่ใส่ข้าวต้มเห็ดหอมวางไว้ก่อนแล้ว

“วันนี้ทำขนมอะไรมาคะคุณอิงค์”

“ปาท่องโก๋ครับ” ชายหนุ่มหันไปตอบสาวใหญ่ร่างท้วมหน้าตาใจดีผู้เป็นเจ้าของที่นี่ “ป้าสำลีชิมสิครับ” ตอบพร้อมกับดึงกล่องพลาสติกใบเล็กออกมาจากถุงกระดาษส่งให้

“เกรงใจจังค่ะ” ป้าสำลีตอบเขินๆ แต่ก็ยื่นมือไปรับไว้โดยเร็ว

“แทนคำขอบคุณที่ช่วยอุดหนุนครับ นี่ผมทำมาเผื่อป้ามอญกับพี่สิงห์ด้วยนะครับ”

“รับทราบค่ะ” ป้าสำลีบอก “แล้วนี่คุณอิงค์อะไรมาหรือยังทานข้าวเช้าด้วยกันก่อนสิ วันนี้คุณสิงห์ทำข้าวต้มเห็ดหอมของโปรดคุณอิงค์นะ”

“เอ่อ… ผม…”

“ป้าจะชวนให้ลำบากใจทำไมก็รู้อยู่ว่าเขาต้องรีบกลับไปเปิดร้าน” เสียงห้าวดังผ่ากลางวงมาจากหลังเคาน์เตอร์

ชายหนุ่มยิ้มแห้งให้ป้าสำลี “ตามนั้นเลยครับ”

“น่าเสียดายจัง เอางี้ เดี๋ยวป้าเอาใส่กล่องให้ แลกกับปาท่องโก๋”

“ไม่เป็นครับแค่ของเล็กน้อยเอง”

“ไม่ได้ๆ ค่ะ คุณอิงค์รอแป๊บนะคะ เดี๋ยวป้ามา” ป้าสำลีขยิบตาให้ครั้งหนึ่งก่อนจะกระวีกระวาดเข้าไปในครัว

ชายหนุ่มพยายามจะคว้าตัวไว้ แต่คุณป้าร่างท้วมผู้มีอายุเฉียดวัยเกษียณอีกไม่กี่ปีก็พลิ้วหาตัวจับยากเสียเหลือเกิน

ระหว่างรอเขาก็เลยถือโอกาสที่ยืนเก้ๆ กังๆ แอบมองคนที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ ที่ทำหมางเมินใส่เขาเหมือนคนไม่รู้จักกันทั้งที่เมื่อหลายปีก่อนเคยมีอะไรลึกซึ้งกันแท้ๆ

ไม่สิ…

จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่าจำไม่ได้ แต่เขาอาจจะไม่ได้อยู่ในความทรงจำของสิงห์มาตั้งแต่ต้นแล้วก็ได้

‘อิงค์’ หรือ ‘อิสระ’ เคยอกหักจากแฟนสาวที่นอกใจไปดับเพื่อนสนิท ตอนนั้นเขาเจ็บเจียนตายและหนีมาพักใจที่น่าน แล้วก็ได้มาเจอสิงห์พนักงานต้อนรับที่นี่ ด้วยความเมาทำให้พวกเขามีอะไรกัน แต่ทั้งหมดมันก็เป็นความเต็มใจล้วนๆ

หลังจากครั้งนั้นผ่านไปสองปี เขาเรียนจบมหาวิทยาลัยและกลับมาที่นี่อีกครั้ง ตั้งใจมาฉลองความสำเร็จและอยากลองเริ่มต้นใหม่กับคนเขาไม่เคยลืมได้ลงทั้งที่มีอะไรกันแค่ครั้งเดียว

ทว่ารอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่เขาคาดหวังว่าจะได้รับจากหนุ่มผิวแทนผมยาวเหมือนเช่นวันวานนั้นหามีไม่ ไม่ว่าเขาจะพยายามคุยด้วยสักเท่าไหร่คำตอบคือความเงียบและปฎิสัมพันธ์ในลักษณะพนักงานต้อนรับกับแขกผู้มาพักค้างอ้างแรมชั่วคืนเท่านั้น

วันนั้นอิงค์กวาดเศษหน้าที่แตกละเอียดยับกลับไป ก่อนจะกลับมาอีกครั้งในสามปีให้หลัง หลังจากที่เรียนจบในทางที่ใฝ่ฝัน

…เขาอยากเป็นคนชงกาแฟ… อยากมีร้านกาแฟเล็กๆ เป็นของตัวเอง และสถานที่ที่เขาเลือกที่จะมาก่อร่างสร้างฝันก็คือน่านนครแห่งนี้…

อย่างน้อยถ้าไม่ได้แฟน เขาก็ต้องได้ชื่อเสียงกลับไปฝากพ่อกับแม่ที่เมืองกรุงล่ะ คนอย่างไอ้อิงค์จะไม่ยอมเสียหน้าเป็นหนที่สามเด็ดขาด

คนตัวโตที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ขยับตัวหันหลังให้ราวกับรู้ว่าถูกแอบมอง ซึ่งอิงค์ก็ไม่ปฏิเสธอะไร เขายังคงมองร่างสูงใหญ่สมส่วนนั้นต่อไป เวลาห้าปีที่ผ่านไปสิงห์ไว้ผมยาวขึ้นจนตอนนี้มันเริ่มจะยาวถึงกลางหลัง ผมเส้นเล็กดูนุ่มมีน้ำหนักยามเจ้าของยกมือขึ้นเสยลวกๆ แต่มันกลับทิ้งตัวตรงกลับทรงเดิมเหมือนนางแบบในโฆษณาแชมพูจนอิงค์ต้องกำมือแน่นเพื่อไม่ให้เผลอวิ่งเข้าไปซุกแล้วสูดแรงๆ พิสูจน์ว่ายังใช้แชมพูกลิ่นเดิมอยู่หรือเปล่า

อึดใจต่อมาป้าสำลีก็กลับมาพร้อมกล่องพลาสติก ปาท่องโก๋ที่เขาใส่ให้ไปถูกถ่ายเทออกแล้วใส่ข้าวต้มเห็ดหอมมาแทนที่

“นี่ค่ะคุณอิงค์ ทานให้อร่อยนะคะ”

“ขอบคุณครับ”

“พรุ่งนี้เจอกันนะคะ”

“สวัสดีครับป้าสำลี สวัสดีครับคุณสิงห์” อิงค์กล่าวลาพร้อมกับยกมือไหว้

“คุณสิงห์คะ น้องลาแน่ะ” ป้าสำลีร้องทักเมื่อเห็นชายหนุ่มยังนั่งทำหน้ามึนไม่รู้ไม่ชี้

“น้องใครป้า ผมลูกคนเดียว”

“คุณสิงห์!” ป้าสำลีเม้มปากก่อนจะหันมาหาอิงค์ “ขอโทษนะคะ อย่าถือสาเลย คุณสิงห์เขาก็เป็นคนแบบนี้แหละ”

“ครับ ผมเข้าใจ”

“อ้าว ป้า! นินทาระยะเผาขนไปไหม”

“แบบนี้เรียกตั้งใจพูดให้ได้ยินค่ะไม่ใช่นินทา” ป้าสำลีว่าก่อนจะหันยิ้มกว้างให้ชายหนุ่ม “ตกลงพรุ่งนี้เจอกันนะคะ”

“ครับ” อิงค์ยกมือไหว้อีกครั้งและกลับออกมาสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์กลับร้านของตัวเองที่อยู่ห่างออกไปราวสองช่วงถนน

หลังจากที่ร้านกาแฟเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อสามเดือนก่อน การโปรโมทร้านอย่างแรกของอิงค์คือการฝากขายกับโรงแรมและโฮมสเตย์ต่างๆ ซึ่งทีแรกก็ไม่ยอมรับแต่พอได้ชิมรสชาติกาแฟของเขาก็ให้การตอบรับเป็นอย่างดี แต่เขาก็ไม่ได้ฝากขายหลายแห่งนัก เพราะที่ทำแผนการตลาดนี้ขึ้นมาก็เพื่อหาเรื่องมาหาสิงห์ล้วนๆ ส่วนของที่ขายได้นั่นถือเป็นของแถม

ถามว่าคุ้มค่าไหม ถ้าเอาเรื่องเงินเป็นตัวตั้ง กำไรก็ถือว่างาม แต่ถ้าคิดต้นทุนเป็นหัวใจแล้วล่ะก็เรียกได้ว่าขาดทุนย่อยยับ ยิ้มจนเหงือกแห้งให้ทุกวันมาร่วมสามเดือน อย่าว่าแต่ยิ้มตอบเลยแค่หันมาพูดด้วยดีๆ ยังไม่มีสักคำ

เออ… แล้วเขาก็ยังหน้าด้านหน้าทนขยันมาอยู่ได้นะ

คิดไปก็เจ็บหัวใจจี๊ดๆ อิงค์ดับรถจอดพลางเงยหน้าขึ้นมองป้ายหน้าร้านซึ่งเป็นอาคารปูนสองชั้นที่เขียนคำว่า It’ sra ทำเลของร้านอยู่ในจุดค่อนข้างดีด้านหน้าติดถนนใหญ่ ด้านหลังเป็นวิวดอยเขาน้อย อันเป็นที่ตั้งของวัดพระธาตุเขาน้อย ทำให้มีลูกค้าขาจรแวะมาบ่อยๆ และลูกค้าประจำก็เริ่มมีแล้วทำให้รายได้ในแต่ละวันพออยู่ได้

เขาจับป้ายไม้แกะสลักหน้าร้านที่เขียนว่า ‘ปิด’ พลิกกลับอีกด้านเป็นคำว่า ‘เปิด’ แล้วเดินเข้าไปในร้าน เขาเลือกออกแบบร้านให้เพดานสูงให้อากาศถ่ายเท ทำกำแพงเป็นลายไม้ให้ดูเข้าบรรยากาศพื้นบ้านตกแต่งด้วยไม้ดอกไม้ประดับเล็กๆ เก้าอี้ในร้านมีหลายแบบทั้งเก้าอี้เหล็ก ถังไม้ โซฟา และเก้าอี้ชิงช้าทรงรังนก ทั้งยังมีเก้าอี้ตรงสูงตรงเคาน์เตอร์บาร์ให้ลูกค้าได้เลือกนั่งตามสบายสมกับคอนเซปต์ของร้านที่ตั้งตามชื่อเจ้าของร้านว่า ‘อิสระ’ และนอกจากกาแฟแล้วอิงค์ยังทำขนมอบใหม่หรือของกินเล่นง่ายๆ ไว้ทานคู่กับกาแฟออกมาวางขายทุกวัน ซึ่งแต่ละวันก็จะมีเมนูที่วางประจำกับเมนูที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปไม่ให้เกิดความซ้ำซากจำเจอย่างวันนี้ก็เป็นปาท่องโก๋ที่นำไปฝากวางที่ ‘ข่วงเมืองสิงห์’ เพราะเมื่อวันก่อนป้าสำลีบอกว่าลูกค้าที่เป็นชาวต่างชาติขอมาว่าอยากกินอาหารเช้าแบบไทยๆ ที่ไม่ใช่ข้าว เขาก็นึกถึงปาท่องโก๋นี่แหละก็หวังว่าจะถูกใจกันนะ

อิงค์เดินเข้าไปหลังเคาน์เตอร์และหยิบผ้ากันเปื้อนสีขาวขึ้นมาคาดทับ ว่าจะนั่งคิดถึงพี่สิงห์ของเขาต่ออีกสักหน่อยเสียงกระดิ่งหน้าร้านก็ดังขึ้นพร้อมกับที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งก้าวเข้ามา

‘บอย’ เป็นนักกีฬาฟุตบอลดาวเด่นของโรงเรียนมัธยมประจำอำเภอ เพราะร้านนี้เป็นทางกลับบ้านที่อยู่ห่างออกไปแค่เดินห้านาทีทำให้เด็กหนุ่มแวะเวียนมานั่งเล่นทุกวันจนกลายเป็นลูกค้าขาประจำคนแรกๆ

“โกโก้ปั่นไม่หวาน” อิงค์เอ่ยเมนูประจำพลางเดินไปชงเครื่องดื่มส่งให้เด็กหนุ่มที่มานั่งหน้าเคาน์เตอร์ตำแหน่งที่เขายืนชงกาแฟเหมือนทุกครั้ง อิงค์จดจำรสชาติของลูกค้าทุกคนได้แม่นยำมาก จำได้แม้กระทั่งว่าบางคนถ้ามาเวลาเช้าจะสั่งอีกเมนูหนึ่ง ถ้ามาตอนบ่ายจะสั่งอีกเมนูหนึ่ง นี่เป็นส่วนหนึ่งของความใส่ใจที่ทำให้ลูกค้ามากขึ้นทุกวัน “ทำไมถึงมาเวลานี้ได้ ไม่ไปเรียนเหรอ”

“วันนี้วันเสาร์ใครเขาไปเรียนกัน” บอยตอบ

“เออ พี่ลืมว่ะ” อิงค์หัวเราะ

“แก่แล้วนะพี่น่ะ” บอยว่า “แต่เดี๋ยวจะไปซ้อมเลยแวะมาเติมพลังก่อน”

อิงค์นั่งดูเด็กหนุ่มดูดโกโก้เย็นอย่างเอร็ดอร่อยจนถึงหยดสุดท้าย ในฐานะคนชงกาแฟเห็นแล้วก็อดชื่นใจไม่ได้ “ถามหน่อยสิ กินแบบนี้ไม่ขมเหรอ”

“ไม่อะ”

“ส่วนใหญ่เด็กหนุ่มๆ จะชอบรสหวานมัน มักจะให้ใส่นมกับวิปครีมเพิ่ม มีแต่นายคนเดียวนี่แหละที่สั่งไม่ใส่น้ำตาล”

“ใส่ทำไมแค่มองหน้าคนชงก็หวานจะแย่แล้ว”

“แหม ยอไปเถอะยังไงก็ไม่ให้กินฟรีหรอกนะ”

“ไม่ได้ยอสักหน่อย” บอยว่า “พี่อิงค์ไม่รู้เหรอว่าคนเขาลือกันทั้งเมืองว่าเจ้าของร้านกาแฟเปิดใหม่เป็นหนุ่มเมืองกรุงหน้าตาดี ใครๆ ก็อยากแวะมาดูทั้งนั้นแหละ”

“เออ ดีๆ อยากลืออะไรก็ลือไปเถอะขอแค่มีลูกค้าเข้าร้านเยอะๆ ก็พอ”

“พี่อิงค์ เดือนหน้าผมมีแข่งนัดชิงชนะเลิศระดับจังหวัดล่ะ พี่อิงค์ว่างไปเชียร์ผมปะ”

“โห เก่งนี่หว่า แป๊บๆ ไปถึงนัดชิงแล้วเหรอ ได้ๆ เดี๋ยวพี่ปิดร้านไปเชียร์”

“พี่สัญญาแล้วนะ” เด็กหนุ่มตาเป็นประกายกล้าด้วยความดีใจ

“แน่นอน” อิงค์รับคำมั่นเหมาะ

“งั้นผมไปซ้อมก่อนนะพี่พรุ่งนี้เจอกัน”

“ตั้งใจซ้อมล่ะ”

“ครับผม” พูดจบเด็กหนุ่มนักกีฬาก็เดินออกประตูไป

ร้าน It’ sra มีลูกค้าเข้าออกตลอดแม้จะไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยว จนล่วงถึงช่วงบ่าย

กระดิ่งหน้าร้านดังขึ้นพร้อมกับที่ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามา เขาแต่งตัวด้วยเสื้อยืดกางเกงยีนส์ และสะพายเป้มาหนึ่งใบเป็นลักษณะของนักท่องเที่ยวทั่วๆ ไป

“สวัสดีครับ” อิงค์ทักทายพร้อมกับรอยยิ้มก่อนจะรีบเตรียมเครื่องดื่มและยกมาเสิร์ฟ “เอสเพรสโซเย็นได้แล้วครับ” เสร็จแล้วก็ยืนกอดถาดรีรออยู่อีกนิดเพื่อดูผลตอบรับจากลูกค้าว่าชื่นชอบรสชาติที่เขาชงไหม

แต่หนุ่มนักท่องเที่ยวกลับจิบไปเพียงเล็กน้อยก่อนจะวางลงโดยไม่มีท่าทียินดียินร้ายใดๆ ซ้ำยังถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ นั่นทำให้เจ้าของร้านหนุ่มใจเสียรีบถามออกไปทันที

“กาแฟไม่อร่อยเหรอครับ”

ชายหนุ่มส่ายหน้า “อร่อยครับแต่พอดีผมมีเรื่องต้องคิดนิดหน่อย ขอโทษนะครับที่เสียมารยาท”

อิงค์เดินกลับเข้าไปหลังเคาน์เตอร์ เขานั่งมองชายหนุ่มอายุไล่เลี่ยกันที่นั่งมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่างอยู่อึดใจ ก็ถอนหายใจยืดยาวแล้วลุกขึ้นชงเครื่องดื่มอีกแก้ว

“ขออนุญาตเสิร์ฟครับ”

“ขอโทษนะครับ แต่ผมไม่ได้สั่ง”

อิงค์ยิ้มให้พร้อมกับอธิบายต่อ “เป็นอภินันทนาการพิเศษจากทางร้านครับ แก้วนี้ชื่อว่า วานิลลา ไอซ์ คอฟฟี่… วานิลลามีสรรพคุณช่วยให้รู้สึกสดชื่นผ่อนคลายและสบายใจน่ะครับ... ผมเห็นท่าทางคุณดูเหนื่อยๆ เอสเพรสโซอาจจะเป็นกาแฟแก้วโปรดของคุณแต่ลองเปิดใจให้แก้วนี้ดูสักนิดนะครับ”

ชายหนุ่มพ่ายแพ้ให้กับรอยยิ้มละมุนของเจ้าของร้านที่เหมือนสีกาแฟในแก้วตรงหน้า เขาเอื้อมมือไปหยิบแก้ววานิลลาไอซ์คอฟฟี่ขึ้นมาจิบ กลิ่นหอมอ่อนกำจายขึ้นจมูก และในขณะที่รสขมเข้ามายึดครองพื้นที่เกือบทั้งหมดภายใจปาก ความหวานปร่าที่คลอเคล้ามาเบาๆ ก็ช่วยให้ชุ่มชื่นไม่บาดคอ

“ขอโทษนะครับคุณใช้อะไรทำให้หวานเหรอ รสชาติไม่เหมือนน้ำตาลหรือว่านมข้นหวานเลย”

“น้ำผึ้งครับ” อิงค์บอก “สูตรปกติของที่ร้านจะใช้นมข้นหวาน แต่น้ำผึ้งจะช่วยเติมพลังได้ดีกว่า เหมือนผึ้งน้อยตัวเล็กๆ ที่บินเที่ยวไปทั่วสวนดอกไม้หาน้ำหวานมาเก็บไว้ที่รังไงครับ”

ชายหนุ่มหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยกับท่าทางผึ้งน้อยเริงร่าในทุ่งกว้างของเจ้าของร้านกาแฟหนุ่ม “ฟังคุณพูดแล้วรู้สึกเหมือนทุ่งลาเวนเดอร์ลอยขึ้นมาตรงหน้าเลย ขอบคุณนะครับอร่อยมากเลย”

“ขอบคุณเหมือนกันครับที่ชอบกาแฟของผม” อิงค์ยิ้มก่อนจะหันหลังไปชูหมัดในอากาศ... บอกแล้วว่าคนอย่างไอ้อิงค์ฆ่าได้หยามไม่ได้ เขายอมขาดทุนดีกว่าให้ลูกค้าเดินหน้ามุ่ยออกไปจากร้าน

“เอ่อ ขอโทษนะครับคุณเจ้าของร้านผมขอรบกวนอะไรหน่อยได้ไหมครับ”

อิงค์รีบปรับสีหน้าเข้าโหมดเจ้าของร้านแสนสุภาพแล้วหันไปตอบ “อะไรครับ”

“พอดีผมเพิ่งมาถึงที่นี่ยังไม่มีที่พักเลย คุณเจ้าของร้านพอจะมีที่พักดีๆ แนะนำไหมครับ”

...ที่พักดีๆ ...

แทบจะได้ยินเสียงแตรสังข์ดังขึ้นในหัว

“มีครับ อยู่ใกล้ๆ นี่เองเดี๋ยวผมไปส่ง”

“จะดีเหรอครับ ผมเกรงใจ” ชายหนุ่มรีบบอกแต่เจ้าของร้านกาแฟก็ถอดผ้ากันเปื้อนโยนเก็บหลังเคาน์เตอร์ คว้ากุญแจรถแล้ววิ่งฉิวออกไปไปสตาร์ทรถมอร์เตอร์ไซค์รอหน้าร้านแล้ว

“ไม่เป็นไรครับ พอดีผมจะไปธุระแถวนั้นพอดี เชิญขึ้นมาเลยครับ”

“เอ่อ... ตกลงครับ”

“อ้าวคุณอิงค์ ลืมอะไรหรือเปล่าคะ” ป้าสำลีร้องทักชายหนุ่มเจ้าของร้านกาแฟที่กลับมายืนยิ้มแป้นหน้าเคาน์เตอร์อีกครั้ง

“พอดีมีคุณคนนี้ต้องการที่พักน่ะครับผมก็เลยแนะนำที่นี่ให้” อิงค์รีบบอกเป็นการเอาหน้า

“เดี๋ยวป้าเช็กห้องให้ก่อนนะคะ”

“เหลือห้องสุดท้าย” สิงห์ซึ่งนั่งประจำอยู่ตรงเคาน์เตอร์พูดแทรกขึ้น

“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มนักเดินทางรีบตอบ

“จะพักกี่คืนล่ะ”

“เอ่อ... ผมนอนได้กี่คืนเหรอครับ”

“แล้วนายอยากนอนกี่คืนล่ะ” สิงห์ถามกลับ

“ยังไม่รู้เลยครับ... บอกตามตรงคือผมเพิ่งอกหักมาน่ะครับ จริงๆ ทริปนี้ตั้งใจมากับแฟน แต่เราเลิกกันไปเสียก่อน ทุกอย่างก็จองไปหมดแล้ว ผมเสียดายเงินก็เลยมาคนเดียวน่ะ แต่พอไปที่พักที่จองไว้เป็นห้องคู่แล้วมัน... ทำใจไม่ได้นอนน่ะครับ ห้องเดี่ยวก็เต็มแล้ว ก็เลยขอยกเลิกแล้วมาหาที่นอนใหม่ดีกว่า... ฮ่าฮ่า จะว่าผมโง่ก็ได้นะครับมาเพราะเสียดายเงิน แต่ก็ต้องมาเสียเงินเพิ่มอยู่ดี” ชายหนุ่มแค่นหัวเราะก่อนจะเม้มปากแน่น

อิงค์ที่เงียบฟังอยู่รู้สึกเห็นใจและเข้าใจขึ้นมาทันที นี่เองที่เป็นสาเหตุให้ชายคนนี้หงอยเหงา นึกย้อนไปถึงตัวเขาเองในวันนั้นเมื่อห้าปีก่อนก็คงมีสภาพไม่ต่างจากนี้

“มาเครื่องบินใช่ไหม กลับวันไหนล่ะ” สิงห์ถามต่อ

“วันจันทร์ครับ”

“อืม งั้นก็สองคืน คืนเดียวแปดร้อยคนกันเองฉันคิดสองคืนพันห้าตกลงไหม”

“ตกลงครับ”

“ชื่ออะไรล่ะเรา”

“กิตติ์ครับ”

“แล้วนี่นายคิดออกหรือยังว่าจะไปเที่ยวไหน”

ชายหนุ่มส่ายหน้า

“เก็บของเสร็จแล้วลงมาที่นี่สิ ฉันจะพาเที่ยวเอง” สิงห์บอกทั้งรอยยิ้มพร้อมกับลุกขึ้นยืนอย่างกระตือรือร้น

“คุณสิงห์จะหนีเที่ยวอีกแล้วเหรอคะ”

“ฝากด้วยนะป้าเดี๋ยวเย็นๆ ผมกลับ”

“เอ่อ... จะดีเหรอครับ ผมเกรงใจแล้วผมต้องจ่ายค่าเที่ยวเพิ่ม...”

“ไม่ต้องๆ เป็นบริการพิเศษสำหรับคนอกหักน่ะ” สิงห์รีบโบกมือปฏิเสธพลางเดินออกจากที่นั่งประจำตรงเคาน์เตอร์มาช่วยถือกระเป๋า “เชิญทางนี้เลยครับ เดี๋ยวผมพาไปส่งห้อง”

“ขอบคุณครับ”

อิงค์มองตามแผ่นหลังกว้างกับศีรษะที่ปกคลุมด้วยเรือนผมยาวของคนรัก เอ๊ย! คนที่แอบชอบเดินคู่ไปกับหนุ่มอกหักคนนั้นด้วยความรู้สึกตกตะลึงพอๆ กับขมขื่น และในขณะที่ยังไม่ได้เริ่มทำใจกับความช้ำ เขาก็ต้องทนเห็นคนสองคนซ้อนจักรยานออกไปต่อหน้าต่อตา

เสียงหัวเราะที่คลอเคล้ามากับเสียงล้อจักรยานบดเบียดพื้นถนน กรีดลงบนหัวใจได้เจ็บพอๆ กับคำว่าปฏิเสธ

เขาทำใจกับสถานะตัวเองว่าเป็นได้แค่คนนอกสายตา แต่ไม่เคยคิดว่าจริงๆ แล้วเขาอยู่ต่ำไปกว่านั้น… เป็นแค่วันไนท์สแตนด์ที่สุขสมอารมณ์หมายก็แยกย้ายกันคนละทาง

“คุณอิงค์คะ” ป้าสำลีชะโงกหน้าเข้ามาถามชายหนุ่มที่ยืนเหม่อราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้ว “โอเคไหมคะ”

“ไม่… ไม่โอเคครับ” อิงค์ตอบด้วยน้ำเสียงเบาหวิวแล้วโผเผไปขึ้นมอเตอร์ไซค์ขับออกไป

กลับมาถึงร้าน It’ sra แทนที่เจ้าของจะเปิดขายของต่อ อิงค์กลับทิ้งตัวลงนั่งหลังเคาน์เตอร์อย่างหมดอาลัยตายอยาก

“โธ่ ไอ้พี่สิงห์บ้า! นี่สรุปเห็นเราเป็นเครื่องระบายอารมณ์หรือไงวะ”

…งั้นก็ให้บรรยากาศมันพาไปละกัน…

คำหวานในคืนนั้นลอยเข้ามาในหัวเหมือนเข็มทิ่มแทงใจซ้ำแล้วซ้ำอีก

“แล้วนี่จะปลอบใจผู้ชายคนนั้นแบบที่ปลอบใจเราหรือเปล่า”

คิดมาถึงตรงนี้ใจก็จะขาดเสียให้ได้… โบราณว่าไว้อกหักดีกว่ารักไม่เป็น แต่คนอย่างไอ้อิงค์จะไม่ยอมอกหักทั้งที่ยังไม่ได้บอกรักเด็ดขาด

กับผู้หญิงที่รักมากมาย แทบจะมอบกายถวายหัวยังหักอกเขาหน้าด้านๆ แล้วกับผู้ชายที่มีอะไรกันแค่ครั้งเดียวน่ะนะ… หึ! ให้รู้กันไปว่าใจมันจะทนเจ็บได้อีกแค่ไหน

คิดได้แล้วอิงค์ก็ลุกขึ้นยืน สูดลมหายใจเข้าจนสุดรวบรวมความกล้าผูกเศษใจที่กำลังจะขาดกลับขึ้นมาใหม่ เขาคว้ากุญแจรถและขับกลับไปที่ข่วงเมืองสิงห์อีกครั้ง

(ต่อข้างล่างค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-09-2019 20:29:36 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Last Room บทที่ 12(11/09/2019)
«ตอบ #5 เมื่อ11-09-2019 20:30:16 »

(ต่อตรงนี้ค่ะ)

“อ้าวคุณอิงค์ แปลกจังวันนี้เราเจอกันสามรอบแล้วนะคะ” ป้าสำลีถาม

“พี่สิงห์อยู่ไหมครับ”

“กำลังขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดน่ะค่ะ เห็นว่ามีนัดพาแขกออกไปเดินกาดเมืองตอนค่ำๆ คุณอิงค์มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ เดี๋ยวป้าไปตามให้”

…หนอยแน่! มีอาบน้ำเปลี่ยนชุดให้ตัวหอมด้วย ชิชะ! แล้วนี่อะไรเดินเที่ยวกาด ที่สัญญาว่าจะพาเขาไปจนป่านนี้ยังไม่ได้ไปเลยนะ…

อิงค์กัดฟันฉีกยิ้มกว้างตอบป้าสำลี “ไม่เป็นไรครับผมรอได้”

“งั้นเชิญคุณอิงค์ตามสบายเลยนะ ป้าไปทำงานก่อน... อ้อ! วันนี้ลูกค้าก็ชมกาแฟคุณอิงค์กันไม่ขาดปากอีกแล้วนะคะ พรุ่งนี้คุณอิงค์อย่ามาช้านะ เดี๋ยวลูกค้าป้ารอแย่เลย”

“ขอบคุณครับ”

คล้อยหลังป้าสำลี อิงค์ก็หันควับไปทางบันไดที่ทอดนำขึ้นสู่ชั้นสอง

…ไม่รู้จะเปลี่ยนที่นอนหรือเปล่า แต่ก็ลองเสี่ยงดูก่อนละกัน…

อิงค์เหลียวมองซ้ายขวา มีสองสามีภรรยาคู่หนึ่งเดินจับมือกันลงมา เขารีบผิวปากฮัมเพลงทำหมือนเป็นคนใหม่ที่มาพักแกล้งมองดูนั่นดูนี่ พอสองคนนั้นเดินพ้นไปก็รีบก้าวยาวๆ ครั้งละสองขั้นมุ่งตรงไปที่ห้องใต้หลังคา

เขาเอื้อมมือไปจับลูกบิด โชคดีที่มันไม่ได้ล็อก อิงค์ค่อยแง้มประตูเข้าไปพลางกวดตาดูรอบๆ ในห้องว่างเปล่าได้ยินเสียงน้ำจากฝักบัวเปิดอยู่

อิงค์ค่อยๆ แทรกตัวผ่านประตูเข้ามาจัดแจงล็อกให้เรียบร้อย กำลังจะพุ่งไปนั่งลงบนเตียงเตรียมไขว้ห้างทำหน้านิ่ง จิกตาแบบตัวร้ายลอบเข้าห้องพระเอกในละครหลังข่าว ประตูห้องน้ำก็เปิดออกเสียก่อน แผนการที่เตรียมไว้เลยพังไม่เป็นท่า

“นี่นายขึ้นมาบนนี้ได้ยังไง” สิงห์ถามเสียงเข้มด้วยความแปลกใจ

“เอ่อ…” อิงค์พยายามสบตาคนพูดแต่สายตาเจ้ากรรมก็พาลจะมองลงไปยังเนินอกสีแทนที่ยังมีหยดน้ำเกาะพราวเรื่อยลงไปถึงส่วนเอวสอบที่มีผ้าขนหนูผืนเล็กพันไว้อย่างหมิ่นเหม่

“ฉันถามก็ตอบสิ” สิงห์พูดซ้ำ

“ในที่สุดพี่สิงห์ก็ยอมพูดกับผม” อิงค์รวบรวมสติพูดออกไปได้ในที่สุด

“ทำไม”

“แล้วทำไมพี่ถึงไม่พูดกับผม... ทำกับผมเหมือนคนไม่รู้จักกันล่ะ”

สิงห์ถอนหายใจ “ก็ไม่เห็นต้องพูดอะไรกับคนที่มีอะไรกันแค่ครั้งเดียวนี่นา”

“พี่ทำแบบนี้กับแขกทุกคนที่มาพักเหรอ”

“ไม่ทุกคนหรอก เฉพาะคนที่อกหักมาเท่านั้นแหละ” สิงห์พูดหน้าตาเฉย

“เหรอครับ” อิงค์พูดไม่ออก มันไม่ใช่ความรู้สึกเสียใจ แต่เขาผิดหวังกับคำตอบที่ดูไร้ความรับผิดชอบนั่นเหลือเกิน “ถ้างั้นคืนนี้พี่ก็ตั้งใจมีอะไรกับผู้ชายคนนั้นสินะ”

“มั้ง” สิงห์ว่า “รู้เหตุผลแล้วก็ออกไปจากห้องฉันได้แล้วไป ฉันจะแต่งตัว”

“เมื่อกี้พี่สิงห์บอกว่าไม่มีอะไรจะพูดกับคนที่นอนด้วยกันแค่คืนเดียวใช่ไหม” อิงค์สืบเท้าเข้าหาจนอยู่ห่างกันแค่คืบ “แล้วถ้าหากว่านอนด้วยกันมากกว่าครั้งเดียวล่ะ พี่จะยอมพูดด้วยมากกว่านั้นหรือเปล่า” เขาเงยหน้าขึ้นสบตาคมพลางค่อยยกมือขึ้นวางบนหน้าอกกว้างแล้วลากลงไปตามกล้ามเนื้อแน่นช้าๆ

“ติดใจหรือไง”

“ถ้าผมบอกว่าใช่ล่ะ” อิงค์ถามมือเกาะเกี่ยวอยู่ตรงปมเล็กๆ ของชายผ้าที่เอว “พี่ยังพอมีห้องว่างให้ผมหรือเปล่า”

พูดจบก็กลั้นใจรอฟังคำตอบ

…นอกจากเสียตัว ที่เหลือก็มีแต่ได้กับได้… นอกเสียจากว่าพี่สิงห์จะปฏิเสธ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็แค่เสียหน้ากลับไป…

“เหลือห้องสุดท้าย เตียงแคบหน่อย แต่ถ้าอยากพักก็เชิญ” เสียงห้าวกระซิบที่ข้างหู

และก่อนที่อิงค์จะทันตั้งหลัก ร่างสูงใหญ่ก็พุ่งเข้ามาโอบรัดตัว แล้วผลักล้มลงกับเตียง ผ้าขนหนูผืนเล็กนั้นถูกดึงออกไปแล้ว เผยให้เห็นความเป็นชายที่ผงาดพร้อมรบเต็มที่

ยังไม่ทันที่สิงห์จะกระโจนขึ้นทาบทับก็กลับเป็นคนตัวเล็กกว่าที่รอโอกาสนี้มาแสนนานผุดลุกขึ้นชิงครอบครองเจ้าสิงห์น้อยไว้ในโพรงปาก เขาดูดกินอย่างหิวโหยเรียกเสียงตอบรับจากร่างหนาได้เป็นอย่างดี

“อยากอะไรเบอร์นั้น”

“เดี๋ยวพี่เปลี่ยนใจ”

“ถ้างั้นก็ทำเองจนจบเลยละกันนะ” พูดจบสิงห์ก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงก่อนจะกระชากแขนเจ้าของร้านกาแฟหนุ่มให้ขึ้นมานั่งคร่อมลงบนตัว

“เห็นบดเมล็ดกาแฟเก่งอยากรู้ว่าบดอย่างอื่นเก่งด้วยหรือเปล่า”

“ขอมาก็จัดให้” อิงค์ว่า เขาค่อยยกสะโพกขึ้นแล้วกดลงไปช้าๆ ช่องทางที่เพิ่งเคยผ่านมือชายมาเพียงครั้งเดียวคับแน่นจนต้องกัดปากแน่นเพราะมันไม่ได้ใส่เข้าไปได้ง่ายๆ อย่างที่ใจคิด

“ไม่ได้เรื่องเลย” สิงห์คำรามในคอด้วยเสียงที่คล้ายกับเอ็นดูในความพยายามอย่างไม่ประสีประสามากกว่าจะบ่น “ยัดๆ แบบนั้นมันไม่เข้าหรอกนะเจ้าหนู มันต้องขยายก่อน”

คำว่า ‘เจ้าหนู’ ที่หลุดออกปากร่างหนาพาให้ใจสั่นพอๆ กับปลายนิ้วแกร่งที่สอดนำเข้าไปยังช่องทางด้านหลัง แล้วขยับเข้าออกช้าๆ ก่อนจะเร่งให้เร็วขึ้น

“พี่สิงห์”

“อะไร”

“ดี… มันดีมาก”

“ดีอะไร แค่นิ้วเอง มักน้อยจัง” สิงห์ครางในลำคอเบาๆ อย่างพึงใจอาการตอดรัดเป็นจังหวะสู้มือจนเขาเองก็แทบทนไม่ไหว ก่อนที่จะยกให้เป็นหน้าที่เด็กทำเขาคงต้องทำให้เด็กมันดูเป็นตัวอย่างก่อนสักครั้ง

สิงห์พลิกตัวกลับขึ้นมาเป็นฝ่ายคุมเกมเสียเอง เขาจับลูกชายจ่อตรงทางเข้าด้านหลังที่อ่อนนุ่มพร้อมจะรับของเขาแล้วกดส่วนหัวเข้าไป

“ช่วยกันหน่อยสิ” บอกพร้อมกับรั้งแขนอิงค์ลงมาจับต้นขายกขึ้นเพื่อให้พร้อมรับการสอดใส่ที่กำลังจะทวีความรุนแรงและดุดันขึ้น

ขยับเพียงไม่กี่ครั้งคนที่ยังไม่ประสาแต่ใจกล้าก็ล่วงหน้าไปก่อน

“ไวจัง” สิงห์หัวเราะในลำคอ

“ก็แหมมม พี่สิงห์เล่นใส่มาไม่ยั้งขนาดนั้น” อิงค์ร้อง รู้สึกเสียหน้าเบาๆ แต่เจ้าลูกชายตัวโตของสิงห์ที่ยังคงค้างอยู่ในตัวก็ทำให้เกิดอารมณ์ขึ้นมาอีกครั้งได้ไม่ยากเย็นนัก

“ครั้งต่อไปไม่ยอมให้ไปง่ายๆ แล้วนะ” สิงห์ว่า “ทำต่อสิ” บอกพร้อมจับอิงค์พลิกขึ้นสลับตำแหน่งไปอยู่ด้านบนบ้าง

“อือ… ยังแน่นอยู่เลยอะ”

“นั่นแหละ… ดี…” มือใหญ่กอบกุมสะโพกแล้วขยุ้มส่งจังหวะสอดรับกันอย่างเหมาะเจาะ “แรงขึ้นอีก… ดีมากเจ้าหนู”

อิงค์ยันมือลงบนหน้าอกกว้างเพื่อตั้งหลักขยับโยกให้เต็มที่ ที่เรียกว่าร่างกายเข้ากันได้ดีมันคงเป็นแบบนี้นี่เอง

ความรู้สึกอิ่มเอมล้นปรี่ในอก เปรียบกับการชงกาแฟมันก็เหมือนกับการชงเอสเพรสโซ ที่เฝ้ารอเพื่อให้ได้ทั้งส่วนหัวกาแฟ (Heart) เนื้อกาแฟ (Body) และฟองครีม (Crema) ที่สมบูรณ์แบบ

ถึงตอนนี้เขาจะยังไปไม่ถึง Perfect shot แต่ขอแค่ได้ตัวกับฟองครีมมาก็ยังดี และหวังว่าสักวัน… คงจะมีวันที่เขาได้หัวใจของสิงห์มาครอบครอง

ของเหลวขุ่นสีขาวที่พุ่งออกมาเป็นครั้งที่สองทำให้อิงค์หมดแรงนอนซบลงบนกว้าง

สิงห์เองก็ถึงฝั่งในที่สุด เขาเองก็หอบหายใจแรงไม่แพ้กัน ไม่ได้มีใครมาตอบสนองความต้องการได้ถึงใจมากขนาดนี้มานานแล้ว

อิงค์กอดร่างหนาแน่น พลางซุกหน้าลงถูไถเพื่อสูดกลิ่นแชมพูที่แสนคิดถึงก่อนจะเงยหน้าขึ้นทำจมูกฟุดฟิดพร้อมกับหยิบปอยผมขึ้นมาดมชัดๆ เพราะรู้สึกว่ามันผิดกลิ่นไปจากเมื่อครั้งก่อน

“ทำไมพี่สิงห์เลิกใช้แชมพูกลิ่นนั้นซะล่ะ”

สิงห์ผงกศีรษะขึ้นมองคนที่เกาะอยู่บนหน้าอก ทำตาโตเหมือนลูกแมวตัวเล็กๆ ที่กำลังขู่ฟ่อ “เพราะ…”

“เพราะอะไรพี่…”

สิงห์กลั้นขำแล้วตอบออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เบื่อ”

“อะไรกัน”

“นี่! จะนอนอีกนานไหม ลุกออกไปจากตัวฉันสักทีมันหนักนะ” สิงห์ว่าพร้อมกับลุกขึ้นดีดคนที่นอนอยู่บนอกกลิ้งหลุนๆ ลงไปนอนแผ่บนเตียง

“แล้วนั่นพี่จะไปไหน”

“นัดลูกค้าไว้”

“ไม่ไปไม่ได้เหรอ” อิงค์ร้องเสียงอ่อย

“เป็นอะไรกันทำเป็นมาสั่ง”

“ไม่ได้สั่ง แค่ถาม!” อิงค์เน้นเสียง “เข้าใจไหมครับถามมมม”

สิงห์เท้าเอวมองคนทำหน้าตึงแล้วเอื้อมมือลงมาคว้าหน้ารั้นๆ นั้นให้เงยขึ้นก่อนจะก้มลงจูบหนักๆ ครั้งหนึ่ง และหันไปแต่งตัวต่อ

อิงค์มองตามตาปริบๆ ไม่เข้าใจอะไรสักอย่างจะว่าปากไม่ตรงกับใจก็ไม่ใช่เพราะสิงห์ไม่ยอมพูดอะไรเลย “ตกลงพี่จะไปนอนกับเขาหรือเปล่า”

“จะนอนได้ไงก็ห้องไม่ว่างแล้ว”

พูดจบสิงห์ก็คว้ากระเป๋าแล้วเดินออกประตูไป ทิ้งให้คนฟังนั่งหัวใจฟูอยู่บนเตียง

*******************************************TBC********************************************

บทที่ 1 เหมือนเป็นอินโทรเข้าเรื่องว่า2คนนี้เค้าเจอกันได้ยังไง
บทที่ 2 นี่จะเข้าเนื้อหาในปัจจุบันแล้ว
ฝากเป็นกำลังใจให้พี่สิงห์กับน้องอิงค์ด้วยนะคะ^^

อ่านเรื่องอื่นๆ ของ >>leGGyDan<<
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2019 19:47:46 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: Last Room บทที่ 2(11/09/2019)
«ตอบ #6 เมื่อ12-09-2019 01:41:10 »

รอนะจ๊ะ

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
Re: Last Room บทที่ 2(11/09/2019)
«ตอบ #7 เมื่อ16-09-2019 19:53:55 »

รอตอนต่อไป :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: Last Room บทที่ 2(11/09/2019)
«ตอบ #8 เมื่อ17-09-2019 11:02:25 »

พี่สิงห์ปากแข็งจัง

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Last Room บทที่ 2(11/09/2019)
«ตอบ #9 เมื่อ17-09-2019 19:42:09 »

LR3

“คุณอิงค์เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมหน้าตาดูเศร้าๆ” ป้าสำลีถามเจ้าของร้านกาแฟหนุ่มด้วยความเป็นห่วงในเช้าวันหนึ่ง

“ป… เปล่าครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร” อิงค์รีบตอบ “แค่นอนน้อยน่ะครับ กำลังลองทำขนมสูตรใหม่อยู่ไว้ทำเสร็จแล้วจะเอามาให้ชิมนะครับ”

“ป้าจะรอนะคะ”

“ผมจะรีบทำเลยครับ” อิงค์ว่าพลางพยายามฉีกยิ้มกว้างให้ป้าสำลีและสิงห์ที่นั่งทำหน้าตึงเป็นปกติอยู่หลังเคาน์เตอร์

“อะไร” สิงห์ถาม

อิงค์ฝืนยิ้มต่ออีกราวสองวินาทีก่อนจะตอบ “เปล่าครับ” แล้ววิ่งขึ้นมอเตอร์ไซค์ขับออกไป

ทันทีที่เจ้าของร้านกาแฟหนุ่มคล้อยหลัง ป้าสำลีก็รีบปราดมาเกาะหน้าเคาน์เตอร์ “คุณสิงห์คิดว่าคุณอิงค์ดูแปลกๆ ไปไหมคะ”

“ยังไงป้า” สิงห์ถามกลับนิ่งๆ

“ยังจะมาย้อนอีก ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าคุณอิงค์หงอยขนาดนั้น นี่คุณสิงห์ไปแกล้งอะไรน้องหรือเปล่า”

“ใครจะไปแกล้งมัน ป้าก็พูดไปเรื่อย” สิงห์ย้อนเสียงดัง แต่ในใจก็รับรู้ถึงความผิดปกติเช่นเดียวกับป้าสำลี

“แต่หนูรู้ค่ะว่าคุณอิงค์เครียดเรื่องอะไร” มอญ สาวใหญ่พนักงานอีกคนของข่วงเมืองสิงห์รีบพุ่งเข้ามาร่วมวง

“เรื่องอะไรไหนบอกป้ามาสิ อกหัก หรือว่ากาแฟขายไม่ดี” ป้าสำลีถาม

“คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้ป้า” มอญรีบเล่า “เมื่อกี้หนูไปจ่ายตลาดได้ยินพวกแม่บ้านจากโรงแรมอื่นที่มาซื้อของเหมือนกันเม้าว่าช่วงนี้มีลูกค้าป่วยปวดท้อง ท้องเสียบ่อยๆ แล้วสาเหตุเป็นเพราะอะไรรู้ไหมป้า”

“ฉันจะไปรู้เรอะ แกไม่ต้องมาลีลายัยมอญรีบๆ เล่ามาเร็ว”

“เขาบอกว่าเป็นเพราะขนมร้านเจ้าของใหม่จากกรุงเทพไม่สะอาด ใส่สารกันบูดกันราเยอะแถมยังเอาของเก็บเก่าค้างคืนมาขายรวมกับของใหม่อีก”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณอิงค์” ป้าสำลียังไม่เข้าใจ

“เอ๊า! ป้านี่เข้าใจยากจัง ก็เจ้าของคนที่ว่าเขาหมายถึงคุณอิงค์น่ะสิ”

“อกอีแป้นจะแตก ประสาทแดกกันไปทั้งบาง” ป้าสำลีอุทาน “จะเป็นไปได้ยังไง ขนมร้านคุณอิงค์ป้าก็กินอยู่ทุกวันก็สบายดี ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ลูกค้ากลุ่มใหม่ที่เพิ่งมายังชมแถมถามหาร้านอีกจะตามไปซื้อกลับไปฝากเพื่อนๆ”

“ยังมีอีกนะป้า” มอญเล่าต่อ

“ยังมีอีกเหรอวะ”

“ในเฟสกลุ่ม ‘คนรักน่าน’ น่ะมีคนไปโพสต์รีวิวเรื่องการเที่ยวน่านนี่แหละ อะไรก็ดีไปหมดตั้งแต่การเดินทางที่เที่ยวที่พัก เสียอย่างเดียวคือกาแฟไม่อร่อย”

“แค่กาแฟไม่อร่อยแล้วมันแย่ขนาดนั้นเลยหรือไง” ป้าสำลีเริ่มมีอารมณ์

มอญหยิบโทรศัพท์ของตนขึ้นมากดเปิดหน้าเฟสบุ๊คให้ดู “คือที่เขาบรรยายน่ะนะ... นี่ไง... ตั้งราคาเสียแพงแต่กลับใช้วัตถุดิบเกรดต่ำ รสชาติไม่ต่างอะไรกับน้ำล้างแก้ว มีดีหน่อยที่ร้านวิวดีมองไปเห็นเขาน้อยอยู่ด้านหลัง แต่คงแวะครั้งนี้ครั้งเดียวขอบายตลอดกาลเลยจ้า” อ่านจบก็หันไปมองหน้าป้ามอญ “ไม่บอกชื่อร้านก็จริง แต่ร้านกาแฟในน่านที่มองไปเห็นวิวเขาน้อยมีร้านคุณอิงค์ร้านเดียว แล้วคนก็ไปเม้นต์ถามกันใหญ่ ทีแรกคนโพสต์ก็ทำอิดออดไม่บอก แต่สุดท้ายก็บอกหมดเลย ป้าดูสิดู นี่ขุดกันมาทั้งชื่อร้าน รูปเจ้าของร้าน อีกนิดเดียวก็จะบอกชื่อพ่อชื่อแม่คุณอิงค์กับเลขที่บ้านแล้วเนี่ย”

“ไหนบอกตรงไหน ป้าจะได้ไปสู่ขอให้ลูกป้า”

“อ้าวป้า! นี่เรื่องเครียดไหม”

“ป้าก็แค่อยากวิกฤตให้เป็นโอกาส” ป้าสำลีพึมพึมก่อนจะเปลี่ยนท่าที “โถๆๆๆ คุณอิงห์ของป้า คงกำลังเครียดแน่ๆ เลย” บ่นพลางยกมือกุมอกไม่พูดไม่จา สักพักก็เดินหายเข้าไปในครัว

“แล้วนั่นป้าจะไปไหน” สิงห์ร้องถามเมื่อเห็นป้าสำลีเดินออกมาอีกครั้งพร้อมกับกล่องใส่กับข้าวที่ทำเสร็จร้อนๆ

“เอาอาหารไปให้คุณอิงค์ค่ะ” ป้าสำลีตอบ

“ให้มันน้อยๆ หน่อยป้า เจ้าหนูนั่นก็แค่คนรู้จักป้าจะเป็นห่วงอะไรนักหนา”

“ก็ป้ารักของป้านี่นา”

“ถ้าป้าไปแล้วใครจะดูที่นี่” สิงห์ว่า

“ก็คุณสิงห์ไงคะ”

“อ้าว ไหงมาโยนงานให้ผม” สิงห์โวย

“งั้นคุณสิงห์ก็ไปแทนป้าสิคะ” ป้าสำลีบอกพลางยื่นกล่องมาตรงหน้า

สิงห์เหลือบตาลงมองอึดใจก่อนจะหันหน้าหนีพร้อมกับย่นปาก “เรื่องอะไร ทำไมผมต้องไป”

“คุณสิงห์ไม่ไปงั้นป้าไปนะ”

“ป้า! เฮ้ย!” สิงห์หันไปเรียกแต่ผู้สูงวัยร่างท้วมก็เดินผ้าถุงปลิวไปถึงมอเตอร์ไซค์คู่ใจแล้ว

“คุณสิงห์คะ” มอญเรียก

“พอดีเลยพี่มอญ ช่วยผมห้ามป้าสำลีหน่อย เลอะเทอะไปกันใหญ่แล้ว”

มอญฉีกยิ้มกว้าง “ขอโทษนะคะคุณสิงห์ พี่ก็อยากไปให้กำลังใจคุณอิงค์ด้วย ฝากคุณสิงห์ด้วยนะคะ”

“แล้วพี่มอญเป็นอะไรกับเจ้าหนูนั่น” สิงห์ถาม

“เป็น FC ค่ะ”

สิงห์หรี่ตา คนที่นี่เป็นอะไรกันไปหมดแล้วเนี่ย “ทำเป็นพูดดี รู้หรือเปล่าว่าเอฟซีคืออะไร”

“รู้สิคะ เอฟซี มาจากแฟนคลับไงคะ… มัวแต่คุยกับคุณสิงห์เสียเวลา พี่ไปก่อนนะคะ”

“เออดี ไปกันให้หมดเลย” สิงห์ยกมือขึ้นเกาศีรษะ ก่อนจะสะบัดผมที่ยาวถึงกลางหลังให้กระจายไปแล้วทิ้งตัวลงพิงพนักเตรียมจะงีบเสียงทุ้มแหบก็ดังขึ้นที่หน้าเคาน์เตอร์

“พ่อหนุ่มลุงฝากกุญแจหน่อย”

สิงห์ชะโงกหน้ามองออกชายชราในชุดเสื้อยืดกางเกงขายาวเรียบร้อยทับด้วยเสื้อคลุมปักลายดอกบัวด้านหลังอย่างวิจิตรและสวมหมวกสานสีขาว

สิงห์ยื่นมือออกมารับกุญแจห้องพักไว้พลางทอดสายตามองออกไปด้านนอกชายคาที่พักซึ่งพระอาทิตย์กำลังแผดแสงจึงเอ่ยขึ้น
“ข้างนอกอากาศร้อนนะปู่ เอากาแฟนี่ไปกินสิ”

ชายชรามองขวดแก้วที่พนักงานหนุ่มร่างใหญ่หยิบขึ้นมาวางบนเคาน์เตอร์ “เท่าไหร่”

“ฟรี ผมให้” สิงห์บอก

“เช่นนั้นก็ไม่เกรงใจ” ชายชราหยิบขวดกาแฟใส่ย่ามใบเล็กที่สะพายอยู่บนบ่าก่อนจะเดินออกไป





อิงค์ขับมอเตอร์ไซค์ลัดเลาะมาตามทางกลับบ้าน ผ่านจุดที่ราวกับเป็นแลนด์มาร์คให้เขาต้องชะลอรถมองทุกครั้ง ที่แรกคือ ‘คุ้มเจ้าเทพมาลา’ ซึ่งเขาเกือบจะหลงเข้าไปพักและเป็นสถานที่ที่เขาเจอกับสิงห์ครั้งแรก แห่งที่สองคือ ‘เฮือนไกรสร’ เป็นโรงแรมขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงสี่แยกใจกลางเมืองน่าน แต่สิ่งที่เตะตาเขาหาใช่ความหรูหราสวยงามของอาคาร แต่เป็นรูปปั้นสิงโตคำรามตัวใหญ่ที่เป็นสัญลักษณ์ของโรงแรมนั่นต่างหาก มันถูกแกะสลักจากหินสีดำสนิท ที่เท้าข้างขวาเหยียบคาลูกแก้วลูกหนึ่งไว้ คนทั่วไปคงมองว่ามันดูดุดันหรือหน้ากลัวและกำลังแยกเขี้ยวขู่คนที่จะมายุ่งกับลูกแก้วของมัน แต่สำหรับเขามันกลับดูว่ามันเหมือนแมวตัวโตที่หน้าดุไปหน่อยกำลังเล่นลูกแก้ว ดูไปดูมาก็ช่างเหมือนใครบางคนที่ข่วงเมืองสิงห์เวลาหัวเราะปากกว้าง จนบางครั้งเขาต้องแกล้งชะลอรถเพื่อให้ติดไฟแดงจะได้จอดดูมันนานๆ

ขับมอเตอร์ไซค์ต่อมาอีกราวสิบนาทีก็ถึง It’s ra อิงค์พลิกป้ายหน้าร้านให้เป็นคำว่าเปิดพร้อมกับไขประตูเข้าไป ครู่หนึ่งลูกค้าประจำก็ผลักประตูเข้ามาอย่างร่าเริง

“สวัสดีครับพี่อิงค์”

“เอาเหมือนเดิมนะเรา” อิงค์ยิ้มตอบเด็กหนุ่มนักกีฬาพร้อมทั้งหยิบแก้วขึ้นมาชงเครื่องดื่ม

“อันนี้ผมไม่ได้สั่งนี่พี่” บอยมองจานใส่เค้กหน้านิ่มรสชอคโกแลตที่เสิร์ฟมาคู่กับแก้วโกโก้เย็นของเขา

“ช่วยกินหน่อย พอดีทำมาเยอะแล้วมันเหลือ” อิงค์ตอบยิ้มๆ

“เดี๋ยวนะพี่ อย่าบอกนะว่าที่เขาลือกันที่ตลาดเป็นเรื่องจริงน่ะ”

“เรื่องอะไร”

บอยอ้ำอึ้งไปเล็กน้อย แน่นอนว่าเขารู้เขารู้ทั้งเรื่องที่เป็นประเด็นอยู่ในและนอกโซเชียล ทีแรกเขาฟังแล้วก็ขำๆ เพราะตัวเขาเป็นลูกค้าประจำแล้วทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ไม่ได้เป็นตามนั้นสักนิด “ก็ที่เขาว่าขนมร้านพี่ใส่พวกสารกันบูดกันราเยอะ แถมยังกินแล้วท้องเสีย…”

“ถ้าบอยกังวลจะไม่กินก็ได้นะ” อิงค์ว่าพร้อมกับยื่นมือออกไปจะหยิบจานขนมเค้กคืนแต่เด็กหนุ่มกลับรีบคว้าจานหมับพลางหันหลังให้

“เฮ้ย! ผมจะกิน ผมยังไม่ได้ปฏิเสธสักคำเลยนะ ก็แค่ถามเฉยๆ เอง”

“ไม่กลัวท้องเสียเหรอ”

“ผมกินอยู่ทุกวันก็สบายดี ซื้อไปฝากแม่ หิ้วไปฝากเพื่อนในทีมก็ไม่เห็นมีใครเป็นอะไรนะ… ถ้าจะมีบ่นก็แค่…”

“บ่นอะไร”

“ก็แค่…”

“อย่ามามัวลีลาบอย พูดมาได้แล้ว”

“พวกนั้นแค่…”

“บอย!”

“บอกว่าอร่อยดีน่ะ”

“ไม่ขำนะ”

“ไม่ขำแล้วยิ้มทำไม” บอยว่าพร้อมกับชี้ไปที่หน้าขาวซึ่งแต้มรอยยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปากนั่น “แน่ะ! นั่นไงแอบยิ้มจริงด้วย”

“ไอ้เด็กนี่” อิงค์แกล้งยกมือทำท่าหลังแหวนใส่หยอกๆ ก่อนจะทำเป็นก้มหน้าเช็ดเคาน์เตอร์ทั้งที่มันก็สะอาดดีอยู่แล้ว

“ผมไม่ค่อยรู้เรื่องกาแฟนะ แล้วปกติก็สั่งแต่โกโก้ แต่ที่แน่ๆ คือมันดีมาก ส่วนขนมที่พี่อิงค์ทำอร่อยจริงๆ ผมกล้าเอาลิ้น เอาหัวเป็นประกันเลย พี่อิงค์เชื่อผมได้” บอยว่าพร้อมกับทำท่าชูสามนิ้วสาบานแบบลูกเสือก่อนจะใช้ส้อมตักแบ่งขนมเค้กใส่ปาก “โอ๊ยยยย อร่อยอ่ะพี่อิงค์ เอาใส่กล่องให้อีกสองชิ้นสิ ผมจะเอาไปฝากแม่กับน้อง”

“ขอบใจนะ” อิงค์ยิ้มออกมาได้ในที่สุด เขาจัดแจงเอาขนมใส่กล่องตามที่ลูกค้าประจำสั่ง อึดใจต่อมาประตู It’s ra ก็เปิดออกอีกครั้งพร้อมกับที่สาวใหญ่สองคนก้าวเข้ามา

“คุณอิงค์อยู่ไหมคะ”

“อ้าว ป้าสำลี พี่มอญ มาได้ไงครับ”

“ป้าสำลีขี่มอเตอร์ไซค์มาค่ะ ส่วนพี่มอญก็ซ้อนท้ายมาอีกที” มอญรีบก้าวยาวๆ เข้าไปรายงานที่หน้าเคาน์เตอร์ ตาเป็นประกายวิบวับโดยไม่คิดจะแอบซ่อนความดีใจที่ได้เห็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดผ้ากันเปื้อน ช่างน่ารักน่าชังถูกใจป้าจริงๆ

“ผมเห็นแล้วครับ” อิงค์กล่าวยิ้มๆ “มีธุระอะไรเหรอครับ”

ป้าสำลีแกะมอญที่ยืนขวางเต็มหน้าเคาน์เตอร์ออกแล้วแทรกตัวเข้าไป “เมื่อกี้ป้าลืมเอากับข้าวให้คุณอิงค์ เลยขับตามมาให้ นี่จ๊ะ”

“ขอบคุณนะครับ”

“แล้วก็พรุ่งนี้อย่าลืมเอากาแฟกับขนมไปส่งนะจ๊ะ ป้าจะรอชิม”

“ขอบคุณครับ”

“พรุ่งนี้เจอกันนะคะคุณอิงค์” พูดจบป้าสำลีก็พยักหน้าเรียกมอญที่กำลังสนอกสนใจขนมในตู้แช่ และการจัดแต่งร้านที่เป็นแนวกึ่งโมเดิร์นพร้อมกับหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปเก็บไว้

“เอ่อ ป้าสำลี พี่มอญรอเดี๋ยวครับ” อิงค์เรียกไว้พร้อมกับคว้าถุงใบหนึ่งวิ่งตามไปที่ประตู “ถ้าไม่รังเกียจ เอาไปชิมดูนะครับ ผมเพิ่งลองทำใหม่ยังไม่วางขายหน้าร้าน”

ป้าสำลียื่นมือไปรับมา “เมนูใหม่เหรอคะ”

“ครับ”

“ขอบคุณนะคะ”

เมื่อพ้นประตูร้านออกมายืนด้านนอก มอญก็ร้องเรียก “ป้า!”

“อะไรยัยมอญ”

“อุตส่าห์ถ่อกันมาถึงที่นี่ ป้าไม่พูดให้กำลังใจอะไรคุณอิงค์หน่อยเหรอ”

“อะไรล่ะ”

“ก็เรื่องข่าวลือในเฟสกับที่ตลาดนั่นไง หนูเห็นป้ารีบร้อนมานึกว่าป้าจะมาพูดเรื่องนั้นหรืออย่างน้อยก็จะมาช่วยเหมาขนมกลับไปอะไรแบบนี้ซะอีก”

“แกคิดว่าฉันทำแบบนั้นแล้วคุณอิงค์จะดีใจจริงๆ เหรอ” ป้าสำลีถามกลับ

มอญคิดอยู่สักพักก็ตอบแบบไม่เต็มเสียงนัก “ก็... ต้องดีใจอยู่แล้วไหมป้า”

“แต่มันไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน” ป้าสำลีว่า “จำได้ไหมมอญ มีช่วงนึงที่ธุรกิจที่พักในน่านบูมมากๆ ใครๆ ก็พากันไปพักที่พักใหม่ๆ สวยๆ จนข่วงเมืองสิงห์ของเราไม่มีคนมีคนมาพักแทบจะกลายเป็นโรงแรมร้าง แล้วจู่ๆ วันหนึ่งก็มีลูกค้าคนหนึ่งมา คนนี้ไม่ได้หลงเข้ามา และไม่ได้มาเพราะที่อื่นเต็มแต่เขามาเพราะตั้งใจมา มอญจำได้ไหมว่าเขาบอกเราว่าอะไร”

“ครั้งที่แล้วที่มารู้สึกติดใจกับบรรยากาศสบายๆ เหมือนอยู่บ้านของที่นี่มาก ก็เลยมาอีก” มอญตอบ

“มันก็แค่อุปสรรคทางการค้าที่คุณอิงค์ต้องเจอ แล้วป้าดูแล้วคุณอิงค์ก็คงไม่ท้อง่ายๆ หรอกไม่งั้นคงไม่มานั่งคิดขนมสูตรใหม่มาขายแบบนี้” ป้าสำลีกล่าวพร้อมกับชูถุงคุ้กกี้ที่แต่งหน้าเป็นรูปดอกไม้มีหน้าตาน่ารักกำลังยิ้มแฉ่งขึ้นมา

“เอามาชิมชิ้นนึงสิป้า” มอญบอกพลางยื่นมือออกไปแต่กลับถูกตีมือเพี๊ยะ

“เอาไว้ไปแกะกินพร้อมกันกับคุณสิงห์ เขาอุตส่าห์มีน้ำใจช่วยเฝ้าโรงแรมให้ ป่านนี้คงยุ่งแย่แล้วเนี่ย”

“ยุ่งจนหลับไปแล้วล่ะไม่ว่า” มอญแกล้งว่า

แต่หลายวันต่อมาสถานการณ์นอกจากจะไม่ดีขึ้นยังกลับแย่ลงเรื่อยๆ ร้านกาแฟ It’s ra ตอนนี้ไม่มีใครแวะเวียนมาเลยนอกจากบอย ส่วนที่ทำไปฝากขายที่ตามโรงแรมก็เหลือกลับวันละเกินครึ่งทั้งที่ก่อนหน้านี้ขายหมดเกือบทุกวัน และที่แย่ที่สุดคือเริ่มมีบางที่ปฏิเสธการฝากขาย แม้แต่ที่ข่วงเมืองสิงห์ที่เคยขายดีจนต้องเอามาเติมระหว่างวันก็ยังมีขนมเหลือ

เย็นวันนี้อิงค์ขับรถเข้ามาจอดหน้าประตูข่วงเมืองสิงห์ด้วยรอยยิ้มฉาบหน้าเป็นปกติ แต่บรรยากาศรอบตัวนั้นกลับไม่สดใสเช่นเคยจนป้าสำลีกับมอญยังได้แต่แอบซุบซิบกันอยู่ห่างๆ

“ท่าทางจะไม่ไหวว่ะ” ป้าสำลีว่า

“นั่นน่ะสิป้า หนูเห็นคุณอิงค์พยายามไปแก้ข่าวลือ ทำเพจโปรโมทร้าน แถมยังคิดโปรโมชั่นลดแลก แจก แถมด้วยนะ แต่หน้าตาบอกบุญไม่รับแบบนี้แสดงว่าไม่เวิร์คแน่ๆ” มอญบอก

“ที่คุณอิงค์คิดมามันก็ดี แต่เมืองเรามันก็เล็กๆ ต่อให้ไม่มีโซเชียลแป๊บเดียวคนก็รู้กันทั่ว แล้ว แถมนักท่องเที่ยวก็ใช่ว่าจะมาก ส่วนใหญ่ก็มาตามรีวิวกันทั้งนั้น จะหาลูกค้าขาจรที่หลงมาชิมจนติดใจไปบอกต่อก็ยากเต็มทีและถึงจะมัดใจลูกค้าได้ แต่การจะใช้วิธีปากต่อปากแบบนั้นมันก็มีระยะเวลาของมันอยู่” ป้าสำลีออกความเห็น

“ก็นั่นน่ะสิป้า อย่างน้อยๆ ก็สองสามเดือนแหละ ร้านเปิดใหม่อีก หนูกลัวคุณอิงค์จะทนไม่ไหวปิดร้านหนีเรากลับกรุงเทพไปจัง”

“ป้าว่าอย่างคุณอิงค์แรงใจคงไม่หมดง่ายๆ หรอกแต่แรงเงินน่ะสิ คนมันต้องกินต้องใช้นะ”

“หนูว่าแรงใจก็จะไม่ไหวแล้วมั้ง ป้าดูสิ อย่าว่าแต่ยิ้มการค้าเลย ยิ้มหลอกลวงแบบนั้นแม้แต่หนูยังไม่กล้าเข้าไปคุยเลย”

“เราจะเติมพลังใจให้คุณอิงค์ได้ยังไงบ้างนะ”

สิ้นคำป้าสำลี ทั้งสองก็เหลือบตาไปมองชายหนุ่มผิวแทนผมยาวที่นั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่หลังเคาน์เตอร์
เป็นจังหวะเดียวกับที่อิงค์ขนกล่องขนมวางซ้อนบนท้ายรถมอเตอร์ไซค์เสร็จพอดีเขาจึงหันมาลาทุกคน “ขอบคุณมากนะครับ ผมไปก่อนนะ”

“จ๊ะ” ป้าสำลีพูดได้เท่านั้นก็ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคออย่างขัดใจตัวเองและใครบางคนที่เอาแต่นั่งทึ่มทื่อเป็นรูปปั้นสิงโตหินประดับที่พักเล่นโทรศัพท์มือถือทั้งที่เธอกับมอญจ้องกันจนตาแทบถลนแล้ว

อิงค์ขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซคกำลังจะสตาร์ทออกไป จู่ๆ คนตัวโตที่ทำเหมือนไม่สนใจนับตั้งเขาเหยียบเท้าเข้ามาที่ข่วงเมืองสิงห์ก็วางโทรศัพท์ลงแล้วเอ่ยขึ้น

“อิงค์เย็นนี้ว่างไหม”

“ไม่ว่างครับ” อิงค์ตอบสวนไปทันที
   
“อย่ามาทำเป็นเล่นตัว ฉันอุตส่าห์ชวน” สิงห์ทำเสียงหงุดหงิดใส่

“ไม่ได้เล่นตัวครับ ผมแค่กำลังคิดสูตรขนมใหม่อยู่ วันนี้ตั้งใจจะลองทำดู”

“ถ้าของขายไม่ได้ ร้านมันจะเจ๊งคิดเมนูใหม่ไปก็เปล่าประโยชน์”

“นั่นคิดดีแล้วใช่ไหมคะถึงพูด” ป้าสำลีป้องปากพึมพำ

อิงค์หน้าชา ขอบตาร้อนวาบ เขากำมือแน่นกับถ้อยคำที่ทิ่มแทงใจแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงฝืนยิ้มตอบไปตามปกติ “ผมก็แค่อยากจะพยายามในแบบของผมให้ถึงที่สุดเท่านั้นเอง”

“ไม่มีประโยชน์” สิงห์ย้ำอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงแสนห้วนของเขาทำเอาชายหนุ่มเจ้าของร้านกาแฟยืนยิ่ง อยากพูดก็พูดไม่ออก อยากได้กำลังใจแต่ก็รู้ว่าไม่มีวันได้ แล้วนี่ยังมาทำลายกำลังใจเฮือกสุดท้ายที่เขาพยายามจะรักษาเอาไว้อีก

“แต่ว่า...”

“เฮ้อ...” สิงห์ถอนหายใจเสียงดังจนอิงค์สะดุ้ง เขาลุกขึ้นจากที่นั่งหลังเคาน์เตอร์และเดินออกมา “ฝากด้วยนะป้า”

“ฝากอะไร” ป้าสำลีถามกลับ “แล้วนั่นคุณสิงห์จะไปไหน”

“พาเจ้าหนูนี่ไปเที่ยว” พูดจบสิงห์ก็คว้ามือชายหนุ่มที่ยืนเก้ๆ กังๆ กึ่งลากกึ่งจูงออกไป

“พี่สิงห์จะทำอะไรเนี่ย” อิงค์ถามพลางก้มมองมือใหญ่ที่จับมือตนไว้แน่น “พี่จะพาผมไปไหน”

สิงห์พาเขาเดินมาหยุดยืนหน้าลานจอดจักรยานและเอ่ยขึ้น “จะเดินหรือจะขี่จักรยาน”

“ตกลงพี่จะพาผมไปไหน” อิงค์ถามคำถามเดิม

“ตอบมา!”

“ไกลไหมอะ ผมเดินไกลๆ ไม่ไหวนะ”

“ถ้างั้นก็จักรยาน”

“แต่ผมขี่ให้พี่ซ้อนไม่ไหวนะ พี่ตัวใหญ่ ผม...”

“เรื่องมากจริง” สิงห์คำรามตัดบทก่อนจะกระชับมืออิงค์อีกครั้งแล้วดึงให้เดินตามออกถนนไป

“หมดห่วงแล้วสินะ” ป้าสำลีเปรยขึ้นเบาๆ

มอญที่นั่งอยู่ข้างกันเหลือบไปเห็นสัญญาณเตือนกะพริบขึ้นที่โทรศัพท์มือถือ เธอกดเปิดดูและพบว่าเป็นข้อความโพสต์ใหม่ในเฟสบุ๊ค ‘คนรักน่าน’  เธอเงียบอ่านอยู่อึดใจก่อนจะกดปิดพร้อมกับรอยยิ้ม “หนูก็ว่างั้นแหละป้า... ว่าแต่คุณสิงห์ไม่อยู่เย็นนี้ป้าก็ต้องเป็นคนทำข้าวเย็นให้หนูกินแทนสินะ มาเถอะๆ ท้องหนูร้องจ๊อกๆ แล้วเนี่ย”

(ต่อข้างล่างค่ะ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Last Room บทที่ 2(11/09/2019)
« ตอบ #9 เมื่อ: 17-09-2019 19:42:09 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Last Room บทที่ 2(11/09/2019)
«ตอบ #10 เมื่อ17-09-2019 19:46:59 »

(ต่อตรงนี้ค่ะ)

“ตกลงเราจะเดินไปเหรอ... ไม่ไกลใช่ไหม ผมกลัวเป็นภาระอะ” อิงค์เริ่มโวยวายเล็กๆ เพราะความทรงจำเมื่อห้าปีก่อนคือสิงห์พาเขาซ้อนท้ายจักรยานขับพาตะลอนกันไปทั่วอำเภอเมือง ทำเอาเขาหอบแฮ่กทั้งที่เป็นแค่คนซ้อน แล้วนี่คือจะเดินไป! แถมจุดหมายอยู่ที่ไหนก็ไม่ยอมบอก “นี่พี่สิงห์ ตกลงเราจะไปไหนกัน”

แต่จนแล้วจนรอดสิงห์ก็ไม่ยอมตอบ ได้แต่พาเดินดุ่มๆ ไปตามทางที่ไฟถนนไม่ได้สว่างมากนัก ผ่านคุ้มเจ้าเทพมาลาเรื่อยมาจนกระทั่งข้ามถนนตรงหน้าพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติที่วันนี้ค่อนข้างคึกคักและคราคร่ำไปด้วยผู้คนที่มาเดินเที่ยวกาดข่วงเมืองน่านให้ตอนกลางคืน

อิงค์เหลียวมองรอบตัวด้วยความตื่นเต้น กาดยังคงเป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับหนุ่มเมืองกรุงอย่างเขา สองข้างทางเต็มไปด้วยอาหารน่ากินทั้งของคาวและของหวาน ตอนนี้ก็เริ่มค่ำแล้วคนที่ไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เที่ยงเริ่มน้ำลายสอ ได้กลิ่นหอมๆ ก็หันมองทางนั้นทีทางนี้ทีแต่ก็ไม่กล้าหยุดแวะเพราะเกรงใจคนตัวโตที่ยังจับมือไว้ไม่ปล่อย

“กินไหม” ในที่สุดสิงห์ก็ปริปากหลังจากเงียบมาตลอดทางพลางพยักเพยิดไปทางหนึ่ง

อิงค์หันไปมองเห็นปลายทางของสายตานั้นคือร้านขายไก่ย่างที่ส่งกลิ่นหอมฉุย “ก็... ก็ดีครับ”

ได้ยินคำตอบสิงห์ก็เดินเข้าไปยืนหน้าร้านและจัดแจงชี้นิ้วสั่ง “เฮีย เอาไก่ตัวนึง กึ๊นกับตับอีกอย่างละสองไม้ ข้าวเหนียวสองห่อ”

“เท่าไหร่ครับ” อิงค์รีบหยิบกระเป๋าสตางค์ของตนออกมาแต่ยังไม่ทันจะนับเงินสิงห์ก็ชิงจ่ายเรียบร้อยแล้วเดินกลับมายืนเคียงข้างแล้ว

“อยากกินอะไรอีก”

“เอ่อ... น้ำ! เดี๋ยวผมซื้อน้ำให้” อิงค์หันรีหันขวางก่อนจะเห็นร้านน้ำปั่น เขารีบพุ่งตรงเข้าไป “เอาผลไม้รวมปั่นแก้วนึงครับส่วนอีกแก้ว...”

“สตรอว์เบอร์รี่โยเกิร์ตปั่น” สิงห์เดินตามมายืนข้างกันและสั่งเมนูของตน

“หกสิบบาทค่ะ” แม่ค้าบอกราคาพร้อมกับส่งแก้วน้ำให้

อิงค์ยื่นมือไปรับของ และทั้งที่กำเงินไว้ในมือเรียบร้อยแล้ว แต่กลับถูกคนที่มาด้วยกันชิงจ่ายเงินตัดหน้าไปก่อนอีกครั้ง

สิงห์หันมาคว้าแก้วสตรอร์เบอร์รี่โยเกิร์ตของตัวเองไปดูดก่อนจะเอ่ยขึ้น “อยากกินอะไรอีก”

อิงค์มองไก่อย่างทั้งตัวในถุง “แค่นี้ก็พอแล้วครับ”

“หมดนี่ยังไม่ถึงครึ่งท้องฉันเลยนะ” สิงห์ว่า

อิงค์หลุดขำออกมาเล็กน้อย “นี่กินหรือยัดครับ”

สิงห์มองคนที่แววตาเปลี่ยนไปจากตอนที่เดินออกมาจากข่วงเมืองสิงห์ และรอยยิ้มเล็กๆ ที่แต้มตรงมุมปากก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลลงชัดเจนจนคนที่ยืนข้างกันต้องหันมามอง “อยากกินอะไร อยากให้พาไหนบอกมาสิ  ฉันพาเธอมาเที่ยวกาดตามสัญญาแล้วไง วันนี้ฉันจะตามใจเธอทุกอย่าง”

สายตาอ่อนโยนที่มองมาทำให้อิงค์ต้องหันหน้าหนี “จำได้ด้วยเหรอครับว่าเคยพูดไว้”

“ไม่เคยลืม”

อิงค์เม้มปากแน่น ไม่แฟร์กันเลยกับท่าทีอ่อนโยนที่มาในวันที่หัวใจเหนื่อยล้าแล้วยังมาห้ามไม่ให้รัก แบบนี้เขาจะทำได้ยังไง เขาผ่อนลมหายใจออกเล็กน้อยแล้วหันไปเผชิญหน้า ...ถ้าเอ่ยปากว่าจะตามใจแล้วละก็ เขาก็ไม่เกรงใจแล้วนะ “พี่สิงห์แนะนำหน่อยสิครับ ผมเพิ่งมาอยู่น่านไม่เท่าไหร่ยังไม่รู้จักเลยว่าที่ไหนน่าเที่ยวหรือมีอะไรน่ากิน”

“ได้”

“ถ้างั้นก็ไปกันเลย” อิงค์ทำท่าจะเดินไปก็โดนคว้าตัวไว้

“เดี๋ยวก่อน”

“ทำไมครับ” อิงค์ถามงงๆ นึกว่าตัวเองทำอะไรไม่ถูกใจอีก แต่สิงห์กลับเลื่อนมือลงมาจับมือเขาไว้เหมือนเดิม

“คนเยอะ เดี๋ยวหลง” นั่นคือเหตุผลที่คนตัวโตให้ซึ่งอิงค์ก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร อันที่จริงก็เต็มใจให้จับอยู่แล้วไม่ต้องมาทำเป็นดุก็ได้

ทั้งสองเดินเรื่อยๆ จากหัวตลาดไปจนถึงท้ายตลาดวนกลับมาอีกรอบ หลังจากซื้อของจนหนำใจและเริ่มหิวมากแล้วสิงห์ก็พาอิงค์มาจับจองที่นั่งตรงลานหน้าวัดภูมินทร์เพื่อกินอาหารที่ซื้อมา สิงห์คว้าน่องไก่ขึ้นมาแทะในขณะที่อีกมือถือถุงข้าวเหนียวเตรียมพร้อมกัดสลับกัน

อิงค์เหลียวมองดูรอบๆ ที่คนส่วนใหญ่มากันเป็นครอบครัวหรือเป็นคู่ๆ แล้วก็อมยิ้มออกมาเล็กน้อย ถึงจะยังไม่รู้ว่าจะให้นิยามความสัมพันธ์ของพวกเขาว่าอะไรดีแต่การที่สิงห์ยอมพาเขามาเที่ยวและเอาใจเขาราวกับเป็นแฟนขนาดนี้ มันก็ทำให้เขาอดหวังลึกๆ ไม่ได้จริงๆ ถึงแม้ว่าในคืนนั้นสิงห์จะพูดไว้ชัดเจนหลังจากมีอะไรกันเสร็จแล้วก็เถอะ

...ฉันไม่อยากให้เธอคาดหวังนะเจ้าหนู จำไว้ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นระหว่างเรา แต่ฉันจะไม่มีวันรักเธอ ถ้าไม่คิดจะตัดใจก็เตรียมเจ็บเสียให้พอ...

อิงค์ผ่อนลมหายใจออก ...ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรนี่นาแค่ตักตวงความสุขที่เขามีให้จากความใจดีพร่ำเพรื่อของเจ้าตัว คิดได้ดังนั้นก็หยิบอาหารขึ้นมากินบ้าง

“พี่สิงห์ตับไก่ร้านนี้อร่อยจัง พี่ลองกินสิ”

“ป้อนสิ”

“พี่ว่าไงนะ!”

“อยากให้ชิมก็ป้อนสิ เห็นไหมว่ามือไม่ว่าง” สิงห์บอกพลางชูมือข้างหนึ่งที่ถือน่องไก่กับอีกมือที่ถือถุงข้าวเหนียวให้ดู

อิงค์ยื่นไม้เสียบตับไก่ไปตรงหน้าอย่างเก้ๆ กังๆ แต่คนตัวโตก็ขยับเอียงคอมางับชิ้นตับรูดออกจากไม้ได้ง่ายดาย “อร่อยไหมครับ”

“ผมเข้าปาก” สิงห์ร้อง เพราะจังหวะที่ก้มหน้าลงมาเมื่อกี้ทำให้ผมร่วงลงมาปรกหน้า เขาพยายามเป่ามันออก พยายามสะบัดศีรษะ แต่ดูจะยิ่งทำให้ผมยุ่งมากขึ้นเสียเปล่าๆ “เอาออกให้หน่อย”

อิงค์วางตับไก่ เอามือเช็ดขากางเกงแล้วชันเข่าขึ้นเอาสองมือสอดเข้าในเรือนผมยาวแล้วเสยไปด้านหลัง สัมผัสของเส้นผมนุ่มที่ไหลผ่านนิ้วกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของแชมพูทำให้เขาคิดถึงช่วงเวลาที่ได้กอดกัน นับตั้งแต่วันที่เขาทำใจกล้าบุกขึ้นห้องไปหาสิงห์นั้นมันก็นานมากแล้ว

“รัดให้ด้วย” สิงห์บอก “ยางรัดผมอยู่ในกระเป๋าเสื้อ”

อิงค์รู้สึกใจเต้นแรงขึ้นเล็กน้อยตอนที่วางมือลงบนหน้าอก สัมผัสแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อชวนหลงใหล ลมหายใจอุ่นกับริมฝีปากหยักลึกนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่กลับแตะต้องไม่ได้ เขาพยายามสงบใจค่อยเลื่อนมือไปตามแผ่นกล้ามเนื้อลงไปในช่องกระเป๋าแล้วหยิบเอาหนังยางออกมาจัดแจงผูกผมเป็นหางม้าให้ มันดูไม่ค่อยสวยนัก แต่ก็พอแก้รำคาญให้คนกำลังกินข้าวไปได้

“เธอเคยกินตำขนุนหรือยังของขึ้นชื่อเมืองน่านเลยนะ ร้านนี้อาจจะไม่ใช่ร้านดังแต่ก็จัดว่าเด็ด”

“มันต้องกินยังไครับ” อิงค์ถามพลางมองเครื่องเคียงที่มีทั้งแคปหมู ผักสด และข้าวเหนียว

“แล้วแต่คนชอบ ส่วนฉันชอบกินกับแคปหมู... มาลองชิมดู” สิงห์หยิบแคปหมูขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วจ้วงลงไปในตำขนุนให้เกี่ยวติดส่วนเนื้อขนุนเน้นๆ ขึ้นมาแล้วยื่นส่งให้ถึงปากคนกินที่รีบอ้ารับทันทีโดยไม่มีเขินอายใดๆ “อร่อยไหม”

อิงค์พยักหน้ารัวๆ ให้แทนคำตอบเพราะมีอาหารอยู่เต็มปาก “เอาอีกคำ”

“หมดโควต้าแล้ว ที่เหลือกินเอง” สิงห์ตอบยิ้มๆ ก่อนจะหยิบไก่อีกน่องขึ้นมาแทะต่อ

“ขอบคุณนะครับที่พามา” อิงค์เอ่ยขึ้นหลังจากที่กินจนอิ่มพลางทอดสายตามองไปยังลานหน้าโบสถ์ตรงที่มีนักดนตรีอิสระกำลังนั่งเกากีตาร์ร้องเพลงอยู่

“เป็นไง ดีขึ้นไหม” สิงห์ถาม “เหนื่อยนักก็พักบ้างเราน่ะ ฉันเข้าใจว่าเธอพยายามเป็นผู้ใหญ่ แถมทำธุรกิจคนเดียวมันก็งี้แหละ เจออะไรก็ต้องยิ้มสู้ไว้ก่อน แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ ร้องไห้บ้างก็ได้ไม่มีใครว่าเธออ่อนแอหรอกน่า”

“ไม่เอาหรอก มันตลกนี่นา ผมไม่อยากให้ใครเห็น”

“ฉันคิดว่าหน้าอกฉันกว้างพอจะบังเธอมิดนะ” สิงห์บอกพร้อมกับยกมือขึ้นโอบคนตัวเล็กกว่าให้เอนลงมาพิงไหล่ตน “อยู่บ้านคนเดียวเหงาๆ จะแวะมานั่งเล่นที่ข่วงเมืองสิงห์ก็ได้ ป้าสำลีกับพี่มอญชอบเวลาเธอมาหานะ”

เพลงเดิมหยุดลง นักดนตรีเริ่มเล่นเพลงใหม่

…*บอกฉันสักคำว่าเธอทำได้อย่างไร
เพราะฉันรู้สึกดีทุกครั้งที่อยู่กับเธอ
ที่จริงนับตั้งแต่ที่เรานั้นแรกเจอ
ไม่คิดว่าจะรักได้มากมาย
เธอรู้วิธีดูแลคนที่ห่วงใย
จนฉันแปลกใจความรู้สึกที่ฉันมี
เคยรักมากเท่าไหร่ก็ยังรักได้อีก
ไม่รู้ว่าเป็นได้อย่างไร…
*ยิ่งรู้จักยิ่งรักเธอ-ดา เอ็นโดฟิน


อิงค์หลับตาลง น้ำตารื้นขึ้นน้อยๆ อยากขยับไปซุกอกกว้างนั่นแน่นๆ แต่เพราะอยู่กลางลานหน้าวัดเขาจึงทำได้แค่พิงไหล่สิงห์ไว้เบาๆ

...ไม่แฟร์เลย!... อิงค์ร้องในใจ ...ทำไมพี่ถึงเป็นคนที่ใจร้ายกับผมแบบนี้... อยากใจร้ายนักใช่ไหม อยากแกล้งให้ความหวังกันนักใช่ไหม ได้... งั้นผมขอทำตามใจให้สุดๆ ไปเลยละกันนะ...

“พี่สิงห์” อิงค์กระซิบเสียงเบา

“ทำไม”

“ช่วยพาผมไปที่นึงได้ไหม มีอาหารอีกอย่างที่ผมอยากกิน”

“ที่ไหนล่ะ”

“ห้องใต้หลังคา”

“ที่นั่นมีอะไรที่นายอยากกินหรือไง”

“พี่สิงห์”

สิงห์ไม่ตอบคำถามแต่หันหน้ามาทำอะไรสักอย่างที่คล้ายๆ กับกดจูบลงกลางศีรษะเขาก่อนจะลุกขึ้นยืนและดึงมือเขาให้เดินตามกลับไป

*********************************************TBC********************************************

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่าาาา
เรื่องนี้เราตั้งใจว่าจะให้เบาๆ ดราม่าไม่เยอะ ดำเนินเรื่องเรื่อยๆ ดราม่าเดียวของเรื่องนี้นี้คือเรื่องที่อิงค์ว่าแต่ละตอนจะพาพี่สิงห์ขึ้นเตียงได้ยังไงดี

เพื่อความฟินต่อเนื่อง #แชทลับของพี่สิงห์
 
อ่านเรื่องอื่นๆ ของ >>leGGyDan<<
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2019 19:51:15 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: Last Room บทที่ 3(17/09/2019)
«ตอบ #11 เมื่อ18-09-2019 06:30:33 »

อิพี่สิงห์ จิตใจทำด้วยอะไร :hao5:

ออฟไลน์ NUTSANAN

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1031
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-3
Re: Last Room บทที่ 3(17/09/2019)
«ตอบ #12 เมื่อ18-09-2019 09:16:54 »

สงสารน้องง รอวันที่พี่สิงห์หลงน้องจนโงหัวไม่ขึ้น!!!

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
Re: Last Room บทที่ 3(17/09/2019)
«ตอบ #13 เมื่อ18-09-2019 13:10:59 »

พี่สิงห์มีความหลังอะไรหรือเปล่า :hao4:

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Last Room บทที่ 3(17/09/2019)
«ตอบ #14 เมื่อ19-09-2019 13:14:50 »

LR 4

“พี่สิงห์~”

เสียงเครือครางที่ดังมาจากคนใต้ร่างที่ตนทาบทับอยู่ทำให้สิงห์ขยับยกตัวขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าขาวกลายเป็นสีแดงก่ำไปถึงหู ตาหวานเลอะไปด้วยน้ำตาเกรอะกรัง มือใหญ่ยกขึ้นประกบรอบกรอบหน้าก่อนจะใช้นิ้วโป้งเกลี่ยเช็ดน้ำตาให้เบาๆ

“ทำไม เจ็บเหรอ”

“ป… เปล่า… ดีครับ… แรง… แรงอีก”

สิงห์อมยิ้มนัยน์ตาพราว “ตัวแค่นี้แต่ทะลึ่งจริงๆ เลยนะเรา” พร้อมกับประกบศีรษะลงบดเบียดเร่าร้อนอีกครั้ง ขอมาขนาดนี้ไม่จัดให้ก็เสียเชิงชายหมดน่ะสิ

หลังจากเสียน้ำเสียเหงื่อกันไปหลายยก อิงค์ก็หลับสนิทและรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งเพราะสัมผัสนุ่มๆ เย็นๆ ที่ข้างแก้ม เขาลืมตาขึ้นมาเห็นคนตัวโตกำลังนั่งชะโงกเงื้อมอยู่เหนือตัวเขา เรือนผมยาวสีเข้มระลงข้างแก้ม

“หืมมม” อิงค์ทำจมูกฟุดฟิดก่อนจะผุดลุกขึ้นนั่งแล้วกระโดดเกาะคอสิงห์แน่น

“อะไร” สิงห์ร้อง เห็นหลับได้น่าหมั่นไส้เลยว่าจะขโมยจูบเล่นๆ แก้เหงาปากสักหน่อย แต่อีกฝ่ายดันตื่นขึ้นมาเสียก่อน

“พี่สิงห์สระผมเหรอ”

“หัวเหนียวก็เลยสระ”

“ว่าแต่กลิ่นแชมพู… เมื่อคืนไม่ใช่กลิ่นนี้นี่นา” อิงค์ว่าพลางซุกหน้าลงกับกลุ่มผมที่เพิ่งสระมาใหม่ๆ แล้วสูดกลิ่นจนเต็มปอด “นี่มันแตงโมมินต์จริงๆ ด้วย!”

“แล้วไง”

“ไหนพี่บอกว่าเบื่อแตงโมมินต์”

“ก็เบื่อน่ะสิ” สิงห์ว่าพลางแกะคนที่เกาะแน่นเป็นลูกลิงลงมานั่งที่ตักแล้วใช้สองแขนโอบรอบตัวไว้ไม่ให้ตะกายขึ้นไปเกาะหัวเขาได้อีก “แต่เธอชอบไม่ใช่เหรอ”

อิงค์หน้าร้อนวาบ เขาใช้ปลายนิ้วชี้สางไปตามเส้นผมยาวสลวยที่คลอเคลียอยู่ข้างแก้มก่อนจะหมุนเป็นวงเล่นแก้เขิน “พี่สิงห์… ถึงพี่จะโกหกแต่ผมก็ดีใจนะ”

“ไม่รู้จะโกหกไปทำไม” สิงห์พูดต่อ “ก็เห็นถามหาอยู่นั่นแหละ ทั้งที่ทีแรกบอกว่าไม่ชอบเพราะกลิ่นเดียวกับที่แฟนเก่าชอบใช้แท้ๆ” ตอบพลางเหลือบตามองคนที่นั่งขดอยู่บนตัก เดิมทีเขาเป็นคนขี้รำคาญที่ไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับผมแต่พอได้เห็นรอยยิ้มสดใสที่กลับมาแต้มบนหน้าขาวนั้นอีกครั้ง สิงห์ก็คิดว่ายอมๆ ให้จับสักหน่อยก็ได้

“พี่สิงห์” อิงค์เรียกเสียงอ่อนเสียงหวาน

“ทำไม”

“แบบนั้นน่ะบ้านผมเรียกหึงนะ”

“บ้านฉันเรียกรำคาญ และที่นี่ก็บ้านฉัน ใช้กฏฉันตกลงนะ” สิงห์แยกเขี้ยวตอบกลับไป

“รำคาญก็รำคาญครับ” อิงค์อมยิ้มพึมพำอย่างไม่เกรงกลัวเขี้ยวที่พร้อมจะงับหัวได้ทุกเมื่อ เพราะถึงจะพูดและทำท่าแบบนั้นแต่สิงห์ก็ยังปล่อยให้เขาจับผมเล่นต่อไป

“แล้ววันนี้จะทำอะไรต่อ” สิงห์ถาม “กาแฟกับขนมก็คงเตรียมไม่ทันแล้ว นี่ก็แปดโมงแล้วจะกลับไปเปิดร้านเลยหรือจะอยู่กินข้าวเช้ากับฉันก่อน”

“ที่พักดีแถมฟรีเบรคฟาสต์ซะด้วย” อิงค์ยิ้มกรุ้มกริ้ม นี่ดีพอๆ กับถูกหวยรางวัลที่หนึ่งเลย

“เจ้าหนู!” สิงห์เริ่มเสียงดังอย่างอ่อนใจ

“กินข้าวก่อนแล้วค่อยกลับไปเปิดร้านครับ”

สิงห์ช้อนตัวชายหนุ่มออกจากตักวางลงบนเตียงแล้วลุกขึ้นยืน “อาบน้ำเสร็จแล้วก็ตามลงมานะ”

หลังอาบน้ำเสร็จสรรพชายหนุ่มเจ้าของร้านกาแฟก็ตรงไปห้องกินข้าวตามคำชวน ป้าสำลีนั่งอยู่กับมอญที่โต๊ะหนึ่ง ส่วนสิงห์นั่งคนเดียวอยู่ที่โต๊ะตัวในสุดทั้งที่โต๊ะของป้าสำลียังมีที่ว่างเหลืออีกที่

“มาช้าจัง ฉันกินข้าวต้มหมดไปสองถ้วยแล้วเนี่ย” สิงห์เอ่ยขึ้นเพื่อบอกคนอื่นเป็นนัยว่าเขาเป็นคนชวนชายหนุ่มมาเอง

“ขอผมทานด้วยคนนะครับ” อิงค์กล่าวขออนุญาตอีกครั้ง

“เชิญเลยค่า” ป้าสำลีตอบยิ้มๆ ก่อนจะหันไปขยิบตากับมอญ เมื่อเห็นเจ้าของร้านกาแฟหนุ่มยังอยู่ในชุดเดียวกับที่เห็นล่าสุดเมื่อวาน

“เมื่อคืนทั้งสองคนไปเที่ยวไหนกันมาคะ” ป้าสำลีซึ่งนั่งอยู่กับมอญโต๊ะถัดไปถามยิ้มๆ

“ถนนคนเดินครับ” อิงค์ตอบพลางตักข้าวต้มหมูสับเห็ดหอมใส่ชามแล้วเดินไปนั่งลงตรงที่วางข้างสิงห์ที่ดูเหมือนทุก “พี่สิงห์เลี้ยงไก่ย่าง ถึงสุดท้ายผมจะได้กินแค่ตับไม้เดียวก็เถอะ ที่เหลือพี่สิงห์กินคนเดียวทั้งตัวหมดเลยครับ”

“ตายแล้ว” ป้าสำลียกมือทาบอก “คุณสิงห์ไม่ได้ลากลงไปกินในน้ำใช่ไหมคะ”

“ป้าสำสีนี่สิงห์เอง… สิงห์ไง” สิงห์ว่าพลางหยิบขนมปังปิ้งขึ้นมาแล้วตักแยมสตรอว์เบอร์รี่โปะลงไป

ป้าสำลีหัวเราะคิกคัก “กินข้าวเสร็จแล้วไปไหนกันต่อคะ”

…ไม่ได้ไปไหน ก็ลากขึ้นมากินกันต่อที่ห้องให้หลังคานี่แหละครับ…

นั่นคือคำตอบในใจอิงค์ที่อยากจะป่าวประกาศร้องออกไปให้ก้องเมืองน่าน แต่ที่พูดออกไปมีแค่ “ไม่ได้ไปไหนครับ กว่าจะกินเสร็จก็ดึกแล้วพี่สิงห์เลยให้ผมนอนค้างด้วย”

“นอกจากแย่งไก่ไปกินคนเดียวแล้วคุณสิงห์แกล้งอะไรคุณอิงค์อีกหรือเปล่าคะ”

ถึงตรงนี้อิงค์พยายามกลั้นใจฝืนทำสีหน้าให้นิ่งมากที่สุด เพราะจินตนาการในหัวมันชอบไปไวเสียจนน่าตี ภาพที่พากันลากไปบนเตียงฝั่งโน้นทีฝั่งนี้ทีในสภาพเกือบเปลือยเปล่าทำให้หน้าร้อนวูบ “ป... เปล่าครับแค่นอนเฉยๆ”

“เหรอคะ” ป้าสำลีพยักหน้ากับอิงค์ ก่อนจะหันไปหรี่ตามองสิงห์แปลกๆ จนอิงค์สงสัยว่าตัวเองตอบอะไรมีพิรุธหรือเปล่า แต่คู่กรณีก็นั่งแทะขนมปิ้งไม่รู้ไม่ชี้เขาจึงคิดว่าตัวเองคงคิดมากไปเอง “ป้าก็นึกสงสัยอยู่ว่าทำไมเช้านี้คุณสิงห์ลุกมาทำอาหารเช้าเองทั้งที่เป็นเวรป้าแท้ๆ ทีแรกก็คิดว่าเพราะเมื่อวานตอนเย็นป้าช่วยทำแทนที่คุณสิงห์ไม่อยู่ แต่ไปๆ มาๆ ป้าว่าไม่ใช่แล้วล่ะ คุณสิงห์น่าจะตั้งใจตื่นมาทำเมนูโปรดให้คุณอิงค์ทานมากกว่า”

“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ คงแค่บังเอิญมากกว่า” อิงค์แก้ตัวแทน

“คงบังเอิญจริงๆ แหละค่ะ” มอญรับช่วงต่อ “บังเอิญว่าหมูหมด บังเอิญว่าเห็ดหอมสดก็ไม่มี บังเอิญว่าใครบางคนรีบคว้าจักรยานปั่นไปตลาดเพราะกลัวตลาดจะวายเสียก่อน กลับมางี้เหงื่อแตกซ่กเลยค่ะ”

อิงค์เหลือบตามองสิงห์พลางนึกถึงเหตุผลที่บอกว่าทำไมต้องสระผม และถ้าเขามองไม่ผิด ตอนอาบน้ำเมื่อคืนเขาก็ไม่เห็นเแชมพูกลิ่นแตงโมมินต์ในห้องน้ำ แต่เช้านี้มันกลับมาวางรวมอยู่กับเครื่องอาบน้ำอื่นๆ

“คุณอิงค์ต้องทานเยอะๆ นะคะ คนทำเขาจะได้ดีใจ” ป้าสำลีสำทับ

จู่ๆ สิงห์ก็ไอเสียงดัง “แค่ก! แค่ก!”

ป้าสำสีหันไปขยิบตากับมอญอย่างรู้กัน

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” อิงค์ถาม

“ขนมปังติดคอ”

“คุณสิงห์จะเอากาแฟไหมคะเดี๋ยวพี่ชงให้” มอญถามขึ้น

“ไม่เอา” สิงห์ตอบ

“โอวัลติน?” มอญให้ตัวเลือก “น้ำส้มคั้นสดก็มีนะคะ หรือคุณสิงห์จะเอาน้ำเปล่า”

“เอากาแฟ” สิงห์ว่า

“อ้าว ก็เมื่อกี้คุณสิงห์บอกว่าไม่เอา”

“ไม่กินฝีมือพี่มอญ” สิงห์วางขนมปังลงพลางแลบลิ้นเลียแยมที่เลอะปาก “เนี่ย ถ้าช้าอีกนิดเดียวติดคอตายจริงๆ นะ แค่ก! แค่ก!”

อิงค์ยิ้มกลั้วขำพร้อมกับลุกขึ้นยืน “เดี๋ยวผมชงให้”

“ชงเองนะไม่เอากาแฟสำเร็จ”

ได้ยินเสียงสั่งมาตามหลัง อิงค์ยิ่งยิ้มขันกว่าเดิม เขาหยิบวัตถุดิบที่มีขึ้นมาดูทีละขวด ก่อนจะเริ่มต้นชงกาแฟ

…ถ้าจำไม่ผิด พี่สิงห์ชอบกินหวานแต่วันนี้ทานคู่กับขนมปังทาแยม…

อิงค์เหลียวไปมองปริมาณแยมที่ป้ายหนาเต็มแผ่นขนมปังแล้วตัดสินใจเทน้ำตาลออกครึ่งช้อน ก่อนจะยกมาเสิร์ฟ

“นี่ครับ”

“ทำไมชงจืดกว่าคราวก่อน” สิงห์ถามทันทีหลังจากที่ยกแก้วกาแฟจรดริมฝีปาก

“ก็ผมเห็นพี่สิงห์กินขนมปังทาแยมเสียหนา กลัวว่าจะเลี่ยน เลยลดน้ำตาลลงหน่อยแล้วใส่กาแฟเพิ่มไปอีกนิด” อิงค์บอก “ไม่อร่อยเหรอครับ”

“ไม่หวาน” คนติดหวานแก้คำให้ใหม่

“เดี๋ยวผมเติมน้ำตาลเพิ่มให้”

“ไม่เป็นไร” สิงห์ยกมือปรามก่อนจะยกแก้วกาแฟขึ้นจิบอีกครั้ง “มองหน้าคนชงแทนก็ได้”

“คุณสิงห์คะ” ป้าสำลีเรียกมาจากอีกโต๊ะ “ป้านั่งอยู่นี่ค่ะ”

“มอญด้วย” มอญยกมือโบกไหวๆ

“ก็เห็นชงกันจัง อุตว่าห์ตบส่งให้สวยๆ แล้วยังไม่พอใจอีกเรอะ” สิงห์ว่าแล้วหันไปคุยกับอิงค์ต่อ “เธอน่ะใส่ใจคนกินดีนะ ถึงจะมีสูตรสำเร็จ แต่ก็รู้จักปรับเปลี่ยนให้เข้ากับอารมณ์คนดื่มและอาหารทานร่วมกันในมื้อนั้นได้”

“พี่สิงห์จะว่ามือผมไม่นิ่งเหรอ” อิงค์พูดติดตลก

“ฉันกำลังจะบอกว่ามันเป็นเสน่ห์ของเธอต่างหาก” สิงห์ว่า “จำคุณกิตติ์ที่เธอพามาพักที่นี่คราวก่อนได้ไหม วันที่ฉันพาเขาไปเที่ยวแล้วแวะซื้อกาแฟร้านอื่นกิน เขาบอกว่าร้านไหนก็ไม่อร่อยเท่าร้านเธอ”

“แล้วพี่สิงห์ล่ะชอบหรือเปล่า”

“กาแฟ?”

“ชอบผมมั้ง แหมมมม” อิงค์พูดเสียดังทีเล่นทีจริงเสียจนป้าสำลีกับมอญที่แอบฟังอยู่ต้องหันมองหน้ากันแล้วยิ้มกรุ้มกริ่ม

ในขณะที่คนโดนเต๊าะตรงๆ เพียงแค่ไหวไหล่ครั้งหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “กินข้าวเสร็จแล้วจะไปไหน เดี๋ยวไปส่ง”

“อย่าเลยครับผมเกรงใจ เมื่อวานพี่สิงห์ก็อยู่กับผมทั้งคืน… เอ่อ พาผมไปเที่ยวถนนคนเดิน” อิงค์พยายามเรียบเรียงคำพูดใหม่ไม่ให้ดูมีพิรุธเพราะป้าสำลีกับพี่มอญตั้งหน้าตั้งตาเงี่ยหูฟังอยู่ “แล้วถ้าวันนี้ไปด้วยกันอีก ก็จะเสียงานน่ะสิครับ”

“ไม่เสียหรอกเดี๋ยวให้ป้าสำลีอยู่แทน”

“แล้วเจ้านายพี่ไม่ว่าเหรอ”

สิงห์ย่นคิ้ว เจ้าหนูนี่ยังเข้าใจอะไรผิดอยู่จริงๆ ด้วย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่คิดแก้ไขให้ถูกต้อง “บอกแล้วไงว่าเขาใจดี”

“ไม่เป็นไรครับ ผมไปคนเดียวดีกว่า วันนี้จะไปคุยกับผู้จัดการห้องอาหารที่โรงแรมเกศกุญชรน่ะครับ”

“คุณอิงค์ได้ฝากวางที่นั่นด้วยเหรอคะ ป้าเพิ่งรู้นะเนี่ย” ป้าสำลีถาม “เก่งนะคะเนี่ย”

“ก็ไปพูดคุยนำเสนออยู่หลายรอบเหมือนกันครับเพราะเขามีร้านเบเกอร์รี่เจ้าประจำอยู่แล้ว”

“คงจะเป็นร้านจามจุรี” ป้าสำลีขยายความ “เจ้านี้เขาดังมากเรื่องขนมปัง ป้าซื้อทานประจำเลย ขนมปังสด ขนมปังแถวที่อยู่ในมื้อเช้าสำหรับแขกที่มาพักข่วงเมืองสิงห์ก็เป็นของร้านนี้”

“ก็เพราะว่าร้านนั้นเขาทำขนมปังเป็นหลักน่ะแหละครับ ผมก็เลยทำขนมเค้กไปเสนอไม่ให้ซ้ำกัน คิดว่าน่าจะช่วยเพิ่มกลุ่มลูกค้าได้ พอพูดแบบนี้ทางนั้นก็เลยลองเปิดใจรับขนมผมไปขายครับ” อิงค์เล่าให้ฟังด้วยความภาคภูมิใจก่อนที่แววตาจะหม่นลงชัดเจน “ทั้งที่อุตส่าห์ทำสำเร็จแล้วแท้ๆ แต่วางขายแค่เดือนเดียวก็เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นเสียได้ ทั้งที่ผมก็เลือกใช้แต่วัตถุดิบดีๆ แล้วนะ... ที่วันนี้ต้องไปหาเพราะเขาส่งข้อความมาบอกยกเลิกแล้วก็จะไปเก็บขนมกลับมาน่ะครับ”

“ไม่เป็นไรนะคะ พลาดเจ้านี้ไปแต่ก็ยังมีที่อื่นอีก คุณอิงค์ลองไปคุยที่เฮือนไกรสรดูสิ” ป้าสำลีออกความเห็น

“โห นั่นโรงแรมใหญ่สุดในเมืองน่านแถมยังเป็นโรงแรมในเครือไกรสรกรุ๊ปที่มีสาขาทั่วประเทศเลยนะครับ ร้านผมก็เป็นร้านเปิดใหม่เล็กๆ ที่เพิ่งจะมีข่าวลือแปลกๆ แถมตอนนี้ยังลบข้อกล่าวหาพวกนั้นไม่ได้เลย ไม่มีหน้าไปเสนอเขาหรอกครับ กลัวเขาไล่กลับออกมา”

“ไม่หรอกค่ะ ผู้จัดการที่นั่นใจดีจะตาย”

“ไว้ให้ผมจัดการอะไรๆ ให้มันเรียบร้อยกว่านี้ก่อนแล้วจะลองดูนะครับ” อิงค์ยกโทรศัพท์ขึ้นดูนาฬิกา “นี่ก็จวนได้เวลานัดแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ”

“โชคดีนะคะคุณอิงค์” ป้าสำลีกับมอญอวยพร

“ขอบคุณครับ” อิงค์รับคำพร้อมกับลุกขึ้น “ผมไปนะครับพี่สิงห์”

สิงห์เหลือบตาลงมองขนมปังในมืออยู่อึดใจ ก่อนจะยัดขนมปังที่เหลืออีกครึ่งแผ่นเข้าปากเคี้ยวกร้วมๆ ตามด้วยยกแก้วกาแฟขึ้นซดรวดเดียวหมด เขาวางแก้วลงและพูดเสียงดัง “ฉันตัดสินใจล่ะ ฉันจะไปด้วย”

โรงแรมเกศกุญชรขึ้นว่าเป็นโรงแรมใหญ่อันดับสองของน่านนคร หน้าโรงแรมนั้นมีรูปปั้นช้างเผือกอันเป็นสัญลักษณ์ตั้งประดับอยู่กลางลานน้ำพุขนาดใหญ่ ในงวงของมันที่ชูขึ้นเหนือหัวนั้นมีลูกแก้วใสขนาดใหญ่ลูกหนึ่ง ส่วนด้านในโรงแรมนั้นตกแต่งตามสไตล์โมเดิร์นดูสวยงามและทันสมัย

อิงค์ให้สิงห์รออยู่หน้าห้องอาหารส่วนตนเข้าไปพบผู้จัดการคนเดียว หากคนที่รออยู่นั้นทำให้อิงค์รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

ทางสิงห์ที่ยืนรออยู่ด้านนอก ยืนไปสักพักก็เริ่มเบื่อ เขาจึงลองเดินวนเยี่ยมชมโรงแรมที่แสนโอ่อ่าไปรอบๆ จนมาหยุดยืนที่หน้ากระจกบานใหญ่อีกฟากหนึ่งของห้องอาหารซึ่งมองเข้าไปเห็นบริเวณที่อิงค์เข้าไปคุยกับผู้จัดการพอดี สิงห์จึงตัดสินใจปักหลักยืนสังเกตการณ์อยู่ตรงนี้ เพราะนอกจากผู้จัดการห้องอาหารที่เขารู้จักยังมีชายวัยกลางคนอีกคนที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดีเช่นกันยืนอยู่ด้วย ซึ่งสิงห์ไม่รู้สึกแปลกใจเลยที่เห็นชายคนนั้นที่นี่ในเวลาแบบนี้

“สวัสดีครับ ผมอิสระ จากร้าน It’ sra ครับ” อิงค์ทักทายทายอย่างสุภาพพลางยกมือไหว้คุณสุพจน์ผู้จัดการห้องอาหารและชายวัยกลางคนร่างท้วมอีกคนซึ่งเขาไม่รู้จัก

“สวัสดีครับ” สุพจน์รับไหว้ก่อนจะหันไปแนะนำคนที่ยืนอยู่ด้วยกัน “ส่วนนี่คุณปองชัย เจ้าของร้านเบเกอร์รี่ ‘จามจุรี’ น่ะ”

“คนนี้น่ะเหรอเจ้าของร้านที่โดนรีวิวว่ากาแฟไม่มีคุณภาพทำให้จังหวัดเราเสียชื่อเสียง” เจ้าของร้านเบเกอร์รี่พูดเสียงดัง “แถมยังเอาขนมค้างคืนมาหลอกให้นายช่วยขายอีก เป็นยังไงล่ะฉันเตือนแล้วใช่ไหมว่าไอ้พวกเมืองกรุงเห็นแก่ได้ไว้ใจไม่ได้ ทำอะไรลวกๆ คิดถึงแต่กำไรไม่คำนึงถึงคุณภาพ สู้ร้านฉันที่เป็นร้านเก่าแก่ของน่านไม่ได้”

“ฉันก็แค่อยากลองของใหม่ๆ บ้าง เฮ้อ~ บ่นไปก็เท่านั้น เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว” สุพจน์ถอนหายใจ “จริงๆ ผมก็ไม่อยากทำแบบนี้นะ แต่คุณทำให้เราผิดหวังมากนะคุณอิสระ ทั้งที่วันที่คุณเข้ามานำเสนอคุณทำได้ดีมากแท้ๆ จนพวกเราประทับใจยอมรับของคุณมาวางขาย แต่คุณกลับเอาของใกล้เสียให้เรา ทำให้เราร้านอาหารและโรงแรมของเราเสียชื่อเสียง”

“ขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นครับ” อิงค์กล่าว “แต่ในเรื่องของคุณภาพผมยืนยันว่าเลือกใช้วัตถุดิบอย่างดี ทำขนมสดใหม่ทุกวันครับ”

“แก้ตัวไปก็เท่านั้น คุณมาดูเอาเองก็แล้วกันนี่รับมาเมื่อวานเพิ่งผ่านมาแค่วันเดียวก็เหม็นหืนแบบนี้แล้ว รสชาติก็ไม่คงเส้นคงวาบางชิ้นก็ดีบางชิ้นก็โหลยโท่ยมาก แป้งแข็งร่วนครีมก็หวานจนเลี่ยนกินไม่ได้เลย” สุพจน์กล่าวพลางผายมือไปยังขนมในถาดซึ่งวางอยู่ด้านหลัง

อิงค์จ้องมองขนมในถาดตรงหน้าด้วยความสงสัย “ผมรู้สึกว่ามันแปลกๆ อยู่นะครับ เพราะเค้กทุกชิ้นที่ส่งให้แต่ละร้านผมใช้แป้งก้อนเดียวกัน อบออกมาจากเตาพร้อมกัน ครีมก็ถุงเดียวกัน และชิมแล้วชิมอีกว่ารสชาติใช้ได้ ถ้าหากมันจะมีข้อผิดพลาดที่ทำให้ออกมาแย่ มันก็ควรเป็นเหมือนกันทั้งหมดไม่ใช่หรือครับ ไม่ใช่ดีบ้างเสียบ้างแบบนี้”

“มันก็เป็นไปแล้วนี่ไง” ชายวัยกลางคนเถียงเสียงห้วน

อิงค์เหลือบตามอง ยิ่งรู้สึกมีพิรุธมากขึ้นไปอีก “ถ้ายังไงผมขอรบกวนตรวจสอบของก่อนเก็บคืนนะครับ ว่าใช่ของผมแน่หรือเปล่า” เขาหยิบเค้กขึ้นมาชิ้นหนึ่ง เนื้อสัมผัสของแป้งและครีมไม่มีปัญหาอะไร เขาวางลงและหยิบชิ้นที่สองขึ้นมาแต่เพียงแค่บิออกแป้งก็ร่วงกราวลงพื้นอย่างที่ผู้จัดการร้านว่า “นี่ไม่ใช่ของผม” เขาร้องออกมาทันทีหลังจากชิมเสร็จ “คุณผู้จัดการคุณต้องลองชิมดูมันไม่ใช่...”

“ผมชิมและให้โอกาสคุณมามากพอแล้ว” สุพจน์กล่าว

อิงค์ไม่ยอมแพ้ เขาหยิบขนมชิ้นที่มีปัญหาขึ้นมาและเดินเข้าไปใกล้ “แต่ว่า...”

“ของพรรณ์นี้ใครเขาจะไปกินกัน” ปองชัยร้องเสียงดังพร้อมกับผลักอิงค์อย่างแรงจนเซไปชนโต๊ะ เขาย่างสามขุมตามเข้าไปและออกแรงผลักครั้งทำให้ถาดใส่ขนมทั้งหมดร่วงลงพื้นเละเทะหมด “ออกไปได้แล้ว!”

“พวกคุณ...”

สิงห์ที่อดทนยืนดูอยู่นานวิ่งเข้ามาเมื่อเห็นว่าเรื่องทำท่าจะบานปลาย “เฮ้! เรื่องแค่นี้ถึงขั้นต้องลงไม้ลงมือเลยเหรอ” เขาเข้ามาขวางตรงกลางระหว่างอิงค์และสองคนนั่น ด้วยขนาดตัวที่สูงใหญ่น่าเกรงขามทำให้ทั้งสองยอมถอยห่างออกไปเล็กน้อย

“ก็มันทำให้โรงแรมเราเสียชื่อเสียง” สุพจน์บอก

“ยังไง” สิงห์ขอคำอธิบาย

“ของที่มันทำ นอกจากจะไม่ได้คุณภาพและรสชาติแย่แล้วล่าสุดยังทำให้ลูกค้าของเราท้องเสียอีก”

“ไอ้นี่น่ะเหรอ” สิงห์เหลือบตาลงมองขนมที่ตกระเนระนาดอยู่บนพื้น ก่อนจะก้มลงหยิบขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วกัดเข้าปาก

“พี่สิงห์อย่าครับ มันสกปรก…”

เพียงแค่เคี้ยวไปนิดเดียว ไม่ทันจะได้กลืนสิงห์ก็ถ่มมันออกมา “ถุย! สกปรกจริงๆ ด้วย”

“พี่สิงห์” อิงค์รีบส่งผ้าเช็ดหน้าของตนให้อีกฝ่ายเช็ดปาก “ผมบอกแล้วว่าอย่ากิน”

“ใช่ไหมครับคุณสิงห์” ปองชัยหัวเราะหยันในลำคอ

“ใช่! คุณมันสกปรกมาก” สิงห์พูดต่อ “เพราะร้านของคุณทำขนมอร่อยได้ไม่เท่าเจ้าหนูนี่ก็เลยลงทุนทำของเลียนแบบขึ้นมาใส่ร้ายกัน”

“คุณสิงห์เอาอะไรมาพูด!!” ปองชัยเริ่มโวยวายที่โดนกล่าวหา

“ก็เอาความจริงจากขนมนี่ไงมาพูด” สิงห์บอก “เฮอะ! เอาตรงๆ นะ ไม่ต้องชิม แค่หน้าตาขนมพวกนี้ขึ้นไปยืนบนดอยเสมอดาวชะโงกลงมาดูยังรู้เลย ตราของร้านก็ไม่ใช่แล้ว ไหนจะวิธีการตกแต่งที่ไร้ความปราณีต แป้งนี่ก็หมักไม่ได้ที่ แถมยังใช้เนยกับครีมที่ไม่มีคุณภาพอีก เจ้าหนูนี่น่ะไม่ได้ใช้ของแบบนี้หรอกนะ”

“แล้วคุณสิงห์รู้ได้ยังไง” สุพจน์ถาม

“ก็ฉันกินขนมเจ้าหนูนี่อยู่ทุกวัน” สิงห์สบตาเจ้าของร้านเบเกอร์รี่ “คุณปองชัย... หลังจากที่คุณจามจุรีภรรยาของคุณเสียไปอย่างกะทันหันเมื่อปีก่อน รสชาติขนมปังร้านคุณก็เปลี่ยนไป ดูเหมือนว่าคุณเองก็พยายามทำตามสูตรของภรรยาแล้วแต่ไม่ว่ายังไงรสชาติก็ไม่เหมือนเดิมสักที ถึงไม่ได้แย่แต่มันก็ไม่เหมือนเดิม ทำให้จากที่เมื่อก่อนขายดีมากจนต้องต่อคิว แต่ตอนนี้ลูกค้ากลับหายไปเกือบครึ่งเลยไม่ใช่เหรอ”

“มันเป็นเรื่องจริงที่รสชาติขนมปังร้านผมเปลี่ยนไป ลูกค้าอาจจะลดลงบ้างแต่ถึงยังไงก็ขายได้กำไรดี” ปองชัยว่า “แล้วเรื่องในร้านผมมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้เจ้าหนูนี่ทำของไม่ได้คุณภาพมาขาย แล้วไหนล่ะหลักฐานที่พวกคุณกล่าวว่าพวกผมเป็นคนใส่ร้ายเจ้าหนูนี่”

“จะว่าไปก็ไม่มีหรอกนะ” สิงห์บอกตามตรง “ถ้าจะมีก็แค่ตุ่มรับรสบนลิ้นของผมนี่แหละ ที่พอจะบอกได้ว่าแป้งที่ใช้ทำขนมพวกนี้เป็นแป้งยี่ห้อเดียวกับที่ร้านคุณใช้ทำขนมปัง เจ้าหนูนี่น่ะใช้อีกยี่ห้อนึง และถ้าจะให้ผมเดาเพิ่ม สาเหตุที่คุณต้องเล่นใหญ่โยนข้าวโยนของทิ้งให้เละเทะทั้งๆ ที่แค่ให้เก็บกลับไปดีๆ ก็ได้ก็เพราะว่าเจ้าหนูนี่ดันนึกอยากชิมขึ้นมาแล้วเอะใจว่าไม่ใช่ของตัวเอง คุณก็เลยกลัวโดนจับได้สินะ... จุ๊ๆ แอคติ้งไม่เนียนไปเรียนมาใหม่นะ อันนี้ผมไม่ให้ผ่าน”

ผู้จัดการโรงแรมหันไปสบตากับเจ้าของร้านขนมปังก่อนจะกล่าวตัดบทเสียดื้อๆ “เอาเป็นว่าผมจะถือเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็ได้ แต่ต่อจากนี้ยังไงผมก็ไม่รับขนมจากร้านนี้อีก”

“มาถึงขั้นนี้แล้วคุณยังยืนกรานจะปฏิเสธก็เรื่องของคุณ” สิงห์คำรามในลำคออย่างไม่ค่อยชอบบทสรุปเท่าใดนัก “แต่พวกคุณไม่คิดจะขอโทษเจ้าหนูนี่หน่อยเลยเหรอ อย่างน้อยที่สุดคุณก็ควรในส่วนที่ทำให้เจ้าหนูนี่เจ็บตัวและข้าวของเสียหายขนาดนี้

“ทำไมต้องขอโทษไอ้เด็กเมื่อวานซืนจากเมืองกรุงที่เพิ่งหัดหมักแป้งได้ ชงกาแฟเป็นนิดๆ หน่อยๆ ก็ลำพองตัวว่าข้าเก่งนักหนานี่ด้วย” ปองชัยว่า

“นี่คุณ!”

“ไม่เป็นไรครับพี่สิงห์” อิงค์คว้าต้นแขนสิงห์ก่อนที่การโต้เถียงจะไปกันใหญ่ “อย่ามีเรื่องกันเลยครับ เราเองก็ไม่ได้มีหลักฐานชัดเจนด้วย อย่าใส่ร้ายเขาสิครับ”

“เมื่อกี้เธอว่าไงนะเจ้าหนู!” สิงห์ร้องเสียงดัง “เธอต่างหากที่เป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นคนโดนใส่ร้ายนะ และฉันคนนี้ก็กำลังเถียงแทนเธอที่มัวแต่อ้ำอึ้งอยู่ ถ้าไม่คิดจะมาช่วยกันเถียงก็อย่ามาขัดฉัน เข้าใจ๊!”

“พี่สิงห์...”

“เอาเป็นว่าผมจะชดใช้ค่าเสียหายให้แล้วกันครับ” สุพจน์เสนอ ในฐานะผู้จัดการห้องอาหารเขาก็ไม่อยากมีเรื่องกับสิงห์เท่าใดนัก “แต่เป็นเฉพาะในส่วนของขนมล็อตนี้เท่านั้นตกลงไหม”

“ขอบคุณครับ” อิงค์พยักหน้ายอมรับข้อเสนอ

“ใจดีจริงๆ เลย” สิงห์พ่นลมออกจมูกอย่างแรงจนปีกจมูกกระพือ

“แล้วก็อีกอย่างหนึ่งครับ” อิงค์พูดต่อ “ผมอยากให้คุณช่วยชี้แจงด้วยวิธีการติดป้ายและประกาศลงในเพจของโรงแรมคุณว่าขนมที่ทำให้ลูกค้าท้องเสียนั้นไม่ใช่ของร้านผมครับ”

“เรื่องนั้นก็พอทำให้ได้อยู่ แต่จะมีคนเชื่อหรือเปล่ามันก็อีกเรื่องนะ” สุพจน์ว่า

“แค่นี้ก็พอแล้วครับ” อิงค์ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ขอแค่ไม่ให้ความเข้าใจมันลามไปมากกว่านี้เรื่องกอบกู้ชื่อเสียงร้านที่เหลือผมจะจัดการเอง”

“อวดดี” ปองชัยพึมพำ

“ผมไม่ได้อวดดีหรอกครับ ก็แค่อยากลองพยายามให้ถึงที่สุดดู” อิงค์บอกทั้งรอยยิ้ม “ถ้าหมดธุระแล้ว ผมก็ขอตัวก่อนนะครับ สวัสดีครับคุณสุพจน์ คุณปองชัย คราวหลังถ้ามีโอกาสผมจะลองไปชิมขนมปังร้านคุณนะครับ”

หลังจากที่ขับมอเตอร์ไซค์ออกมาจากโรงแรมเกศกุญชรได้สักพัก สิงห์ที่ยังติดใจไม่หายก็ว่าให้ “นอกจากจะรับข้อเสนอเขาง่ายๆ แล้วยังจะไปอุดหนุนเขาอีกนะ”

อิงค์แกล้งทำเป็นได้ยินไม่ชัด เพื่อเขยิบตัวเข้าไปเบียดคนขับใกล้ๆ ก่อนจะสอดคางวางลงบนบ่าแล้วตะโกนแข่งกับเสียงลม “ผมก็แค่อยากลองชิมขนมปังร้านดังของน่านครับ เดี๋ยวคนเขาจะว่าเอาได้ว่ามาไม่ถึง”

สิงห์ถอนหายใจก่อนจะระบายยิ้มออกมา เจ้าหนูนี่ก็ใจสู้ดีจริงๆ นึกว่าจะแค่กับเรื่องที่มาตามตื๊อเขาเสียอีก “แล้วนี่คิดจะทำยังไงต่อ ขาดลูกค้าไปที่หนึ่งแล้ว ลูกค้ารายใหญ่เสียด้วยนี่”

“ถึงรายได้จะลดลงแต่ถ้าไม่สร้างปัญหาให้ใครผมก็โอเคครับ เดี๋ยวผมจะลองเอาไปเสนอที่อื่นดู แต่อาจจะต้องรอให้เรื่องมันซาลงเสียหน่อย”

“ก็ตามใจ”

“อ๊ะ! พี่สิงห์ชะลอหน่อยๆ”

“มีอะไร” สิงห์กดเหยียบเบรคจนเกือบหัวทิ่ม

“พี่สิงห์ดูนั่นสิ” อิงค์บอกอย่างร่าเริงพลางชี้มือไปทางโรงแรมขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงสี่แยกไฟแดง “พี่สิงห์เห็นสิงโตตัวนั้นไหม ที่มันกำลังเล่นลูกแก้วน่ะ ผมว่ามันเหมือนพี่สิงห์เลย”

สิงห์มองไปยังสัตว์สัญลักษณ์ของเฮือนไกรสรก่อนจะพูดเสียงดัง “เหมือนตรงไหนวะ”

อิงค์หัวเราะคิกคัก “ไม่รู้ดิ ผมว่ามันเหมือนพี่สิงห์อะ ผมชอบ”

“สิงโต?”

“ชอบพี่นั่นแหละ” อิงค์ตอบตามตรงก่อนจะซบหน้าลงบนแผ่นหลังกว้าง “ขอบคุณนะที่วันนี้พี่มากับผม ขอบคุณที่ยืนอยู่ข้างผม ทั้งพี่ ป้าสำลีและพี่มอญด้วย ผมขอบคุณจริงๆ”

“เปลี่ยนคำขอบคุณเป็นขนมสักถุง กาแฟสักแก้วรับรองสองคนนั่นดีใจตาย” สิงห์ว่า

“แล้วพี่ล่ะ ต้องได้อะไรถึงจะดีใจ”

“ไม่เอาหรอก ไม่อยากได้อะไรจากเธอ”

“ไม่เอาเหรอ ให้ฟรีๆ เลยนะ” อิงค์ทำเสียงอ้อนพลางสอดมือเข้ารอบเอว

“ทะลึ่งแต่หัววันเลยนะ” สิงห์ว่า “มันใช่ของที่จะมาตอบแทนซะที่ไหนเล่า... ห้องของฉันเธอก็รู้นี่นาว่าอยู่ตรงไหน อยากมาหาเมื่อไหร่ก็มา อยากจะค้างคืนก็ตามใจไม่มีอะไรต้องมาแลกเปลี่ยนทั้งนั้น”

“วันนี้พี่ใจดีเกินไปแล้วนะ”

“ไม่ชอบเหรอ” สิงห์ย้อน “หรืออยากให้ไม่พูดด้วยเหมือนเดิม”

“ชอบดิ” อิงค์ว่า “เออ แล้วตกลงที่พี่ไม่พูดกับผมตั้งนานสองนานเพราะอะไรเหรอ”

“งอน”

“จริงดิ”

“นึกจะไปก็ไป นึกจะมาก็มา เห็นฉันที่ระบายความใคร่หรือไง ก็อย่างที่ใครๆ เขาว่ากันล่ะนะ พวกหนุ่มเมืองกรุงน่ะมันไว้ใจไม่ได้”

“เหยยยย ผมขอโทษ วันนั้น ผมไม่ได้ตั้งใจทิ้งพี่ไปนะ แต่มันสายแล้ว ผมต้องรีบไปเดี๋ยวขึ้นเครื่องบินไม่ทัน แม่กับพ่อมารอรับอยู่ที่ดอนเมือง ขืนตกเครื่องไปถึงช้าผมโดนสวดยับแน่ นี่แค่เรื่องที่หนีมาเที่ยวน่านโดยไม่บอกก่อนผมก็โดนบ่น โดนงอนไปสามสี่วันเลยนะ”

“แล้วก็หายไปสองปี”

“แฟนเก่าก็ต้องเคลียร์ หนังสือก็ต้องเรียนไหม เรียนไม่จบจะมีงานมีเงินซื้อตั๋วเครื่องบินบินมาหาพี่เหรอ” อิงค์ว่า “แล้วผมก็ต้องให้เวลาตัวเองคิดทบทวนด้วยอะไรหลายๆ อย่างด้วย ว่าชอบพี่จริงๆ หรือว่าแค่หลงเพราะกำลังเฮิร์ตอยู่”

“แล้วคิดได้ยัง”

“คิดได้แล้วถึงกลับมานี่ไง พี่สิงห์ต่างหาก ผมตื๊อขนาดนี้แล้วคิดได้หรือยังว่าควรจะชอบผม”

“ยัง” สิงห์ตอบเสียงดังฟังชัดทันทีโดยไม่เสียเวลาคิด “ขอโทษนะอิงค์ แต่ฉันบอกเธอแล้วใช่ไหม ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นระหว่างเรา แต่ฉันจะไม่มีวันรักเธอแน่นอน”

“ทำไมล่ะพี่”

รถมอเตอร์ไซค์จอดลงตรงหน้าร้าน It’ sra พอดี สิงห์จึงถอดหมวกกันน็อคออกก่อนจะหันมาสบตา มันคงจะไม่แฟร์เอาเสียเลยถ้าเขาจะไม่ยอมพูดความจริง

“เพราะหัวใจของฉันมันให้คนอื่นไปนานแล้วน่ะสิ”
****************************???

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
Re: Last Room บทที่ 4(19/09/2019)
«ตอบ #15 เมื่อ19-09-2019 15:09:44 »

พี่สิงห์เอาใหม่พูดใหม่สิ :z6:

ออฟไลน์ NUTSANAN

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1031
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-3
Re: Last Room บทที่ 4(19/09/2019)
«ตอบ #16 เมื่อ19-09-2019 21:51:56 »

อิพี่สิงห์!!! :angry2: :z6:

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Last Room บทที่ 4(19/09/2019)
«ตอบ #17 เมื่อ22-09-2019 15:07:01 »

LR 5

“เพราะหัวใจของฉันมันให้คนอื่นไปนานแล้วน่ะสิ”

พูดไปแล้วสิงห์ก็ได้สบตาคนฟังนิ่ง คาดว่าจะได้เห็นอิงค์โกรธ หรือมีท่าทีขุ่นเคืองใส่เขา เขาก็พร้อมจะยอมรับผิด

หากชายหนุ่มเจ้าของร้านกาแฟเพียงแย้มยิ้มบาง “อืม ผมว่าผมรู้อยู่แล้วล่ะ”

“เหรอ”

อิงค์พยักหน้า “เป็นเหตุผลเดียวที่พอฟังขึ้นนี่นา เอ่อ… พี่สิงห์เข้ามาข้างในก่อนไหม พี่เพิ่งเคยมาร้านผมเป็นครั้งแรกนี่นา มาๆ เข้ามาก่อน ขอผมอวดร้านหน่อย” พูดจบก็หันไปหยิบป้ายหน้าประตูพลิกเป็นคำว่า ‘เปิด’ แล้วเดินนำเข้าไป โดยมีสิงห์เดินตามหลังมาเงียบๆ

“ผมใช้คอมเซปต์ตามชื่อร้าน ซึ่งก็คือตามชื่อผม ‘อิสระ’ อยากแต่งแบบไหนก็แต่ง มันก็เลยมีทั้งบาร์ โซฟา เก้าอี้สาน แล้วเมื่อเร็วๆ นี้ผมเพิ่งไปสั่งเก้าอี้รังนกมาด้วยนะ ตั้งใจว่าตั้งตรงหน้าตานั่นที่มองไปเห็นยอดวิวเขาน้อย จิบกาแฟไป แกว่งเก้าอี้ให้มันโยกปลิวไปเบาๆ ชมวิวภูเขาสวยๆ ไป แหมมมม ฟังดูดีเลยใช่ไหมล่ะ พี่สิงห์ลองนั่งดูสิแล้วจะติดใจ” อิงค์บอกพลางชี้มือไปที่เก้าอี้

แต่สิงห์แอบเห็นว่าทีแรกอิงค์กำลังจะแตะตัวเขาแล้วก็เปลี่ยนใจแค่ทำเป็นชี้มือเฉยๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินอ้อมไปหลังเคาน์เตอร์

“พี่สิงห์ดื่มกาแฟไหม”

“เมื่อเช้ากินไปแล้ว”

“อันนั้นกาแฟสำเร็จรูป แต่ของผมชงสดนะ รสชาติไม่เหมือนกัน พี่สิงห์เอาหน่อยน่า นะ นะ… มาถึงร้านผมทั้งทีของผมโชว์ฝีมือหน่อยเถอะ”

“ฉันอิ่มแล้ว” สิงห์พูด แต่ดูหมือนเจ้าของร้านกาแฟจะไม่สนใจคำตอบของเขาเลย

“อ้าว นมข้นหวานหมดเหรอ เดี๋ยวผมไปเอาก่อนพี่สิงห์รอแป๊บนะ” แล้วอิงค์ก็ผลุนผันเข้าไปด้านใน

สิงห์ชะโงกหน้ามองข้ามเคาน์เตอร์ไปเห็นกระป๋องนมข้นหวานวางรวมอยู่กับอุปกรณ์อื่นๆ เขาจึงส่งเสียงเรียกเจ้าของร้าน “อิงค์”

“รอแป๊บนะพี่ ไม่รู้ผมเอาไปเก็บไว้ไหนเนี่ย”

ได้ยินแต่เสียงตอบแต่ไม่เห็นตัว สิงห์ถอนหายใจครั้งหนึ่งแล้วเดินอ้อมไปหลังเคาน์เตอร์ เขามองเข้าไปด้านในเห็นเงาตะคุ่มนั่งยองๆ ก้มหน้าอยู่ตรงผนังด้านหนึ่งที่ค่อนข้างมืด และไม่มีวี่แววของชั้นวางของหรือกล่องใดๆ “ตรงนั้นไม่น่ามีนมข้นหวานนะอิงค์”

“ผมทำของตกครับ”

“แล้วทำไมไม่เปิดไฟหาดีๆ”

ชายหนุ่มไม่ตอบ เขาเงียบไปและเอาแต่ก้มหน้านิ่งอยู่อย่างนั้น

สิงห์เดินเข้าไปยืนซ้อนหลังและส่งเสียงเรียกอีกครั้งเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไปนาน “อิงค์”

“พี่แม่งใจร้ายว่ะ” อิงค์รำพึง เสียงของเขาสั่นนิดๆ “ลูบหลังอยู่ดีๆ แล้วก็ตบหัวผมเฉยเลย”

สิงห์นั่งยองลงข้างๆ แล้วยกมือขึ้นสัมผัสที่ศีรษะ “ถึงได้บอกให้ตัดใจไง”

“เขาเป็นใครเหรอ” อิงค์ถาม “คนที่พี่รักน่ะ”

“ภรรยาที่เสียไปหลายปีแล้ว”

คำตอบของสิงห์ทำให้อิงค์ค่อยหันหน้ากลับมาช้าๆ ใบหน้าคมคายของคนตัวโตกว่านั้นแต้มยิ้มเศร้าเช่นกันกับนัยน์ตาของเขาที่หม่นแสงลง

“ผมขอโทษ” อิงค์พูดเสียงเบา “ผม... เสียใจด้วยครับ”

สิงห์ลูบมือเบาๆ ไปบนศีรษะของเขา “เธอจะเกลียดที่ฉันเป็นแบบนี้ก็ได้ ฉันก็เกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้เหมือนกัน แต่ฉันลืมเขาไม่ได้แล้วก็กลัวเกินกว่าจะมีใครด้วย”

อิงค์มองคนตรงหน้า ในขณะที่ฝ่ามือใหญ่นั้นยังคงลูบวนไปมาไปมาบนศีรษะของเขาอย่างอ่อนโยน เขาก็รู้สึกว่าจริงๆ แล้วไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวหรอกที่อยากได้ความรักจากสิงห์ แต่ตัวสิงห์เองก็อยากได้จากใครสักคนเหมือนกันเพียงแต่เจ้าตัวยังไม่รู้ว่าจะไปหาจากที่ไหน

เขาขยับศีรษะเบี่ยงออกเล็กน้อยเพื่อให้อุ้งมือใหญ่นั้นเลื่อนลงมาจับที่ข้างแก้ม รู้สึกถึงไออุ่นจากมือที่โอบประคองไว้ เขาคิดทบทวนอีกครั้งและยังรู้สึกเช่นเดิม… เขาอยากจะเป็นคนๆ นั้นที่ได้ยืนอยู่ข้างสิงห์

“ผมไม่ตัดใจหรอกนะ” อิงค์บอก

“ฉันใจร้ายได้มากกว่านี้อีกนะ” สิงห์เตือนอีกครั้ง

“งั้นเรามาวัดกันสักฝุ่นไหมล่ะ” อิงค์พูดติดตลกก่อนจะยิ้มกว้างออกมาพาให้คนมองยิ้มตามไปด้วย

“ได้สิ” สิงห์ตอบพร้อมกับชะโงกหน้าเข้าไปดวลกันตามที่ร้องขอ เขาไม่ได้แลกด้วยหมัดแต่เป็นริมฝีปากและปลายลิ้นที่รุกคืบเข้าไปในโพรงปากของอีกฝ่าย

เขาจูบจนร่างโปร่งตัวอ่อนพยุงตัวเองให้นั่งยองไม่ไหว ริมฝีปากโดนดูดดึงจนต้องเอนตัวลงซบบนอกกว้าง สิงห์นั่งลงเต็มก้น กางขาทั้งสองข้างออกแล้วรั้งเอวอีกฝ่ายมานั่งตรงกลางระหว่างขา

อิงค์ต่อกรอะไรไม่ได้เลยจริงๆ ริมฝีปากฉ่ำร้อนเหมือนโดนลวก เขาทำได้แค่ใช้สองมือกอดรอบลำคอหนาไว้แน่น นาทีนี้ถ้าสิงห์ต้องการจะกลืนกินเขาเข้าไปทั้งตัวก็คงยอมให้ทำแต่โดยดี

จูบจนหนำใจ สิงห์ก็ผละออกหากก็ยังก้มลงมาจุ๊บหนักๆ เป็นการทิ้งท้ายอีกครั้ง

“พี่สิงห์จะกินกาแฟหรือเปล่า” อิงค์ที่ยังเกาะไหล่เขาไว้ไม่ปล่อยตอบ

“หานมข้นหวานเจอแล้วเหรอ” สิงห์แกล้งแซว

“ยังไม่เจอเลยครับ”

สิงห์ขมวดคิ้ว “วางอยู่ที่เคาน์เตอร์นั่นไง ฉันเห็นอยู่กระป๋องหนึ่ง”

“ยี่ห้อนั้นไม่อร่อย ผมหาอีกยี่ห้อที่อร่อยกว่า”

“ยี่ห้อไหน”

“ยี่ห้อนี้ไง” อิงค์ตอบพลางวางมือลงตรงกึ่งกลางระหว่างขาที่เขานั่งพิงอยู่ มันดุนนูนขึ้นมาเสียจนเสียดสีกับสะโพกของเขา “ชิมมาหลายครั้งแล้ว ไม่มียี่ห้อไหนสู้ได้เลย”

“ปากวอนเป็นเบาหวานตายนะเราน่ะ”

“อูยยย ถึงตายเลยเหรอ” อิงค์สูดปากทำยิ้มกรุ้มกริ่ม “พี่สิงห์ชอบกินหวานใช่ไหม”

“ใช่”

จู่ๆ อิงค์ก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่เคาน์เตอร์ก่อนจะเดินกลับมา “แก้วเมื่อเช้าใส่น้ำตาลให้น้อยไปหน่อย งั้นแก้วนี้ผมแถมนมข้นหวานให้พี่สิงห์เป็นพิเศษเลยละกันนะครับ” พูดจบก็ถอดเสื้อที่สวมอยู่ออกโยนลงพื้นแล้วยกกระป๋องนมข้นหวานที่เพิ่งไปหยิบมาโรยลงบนหน้าอก “แค่นี้หวานพอไหมครับ”

“ขอชิมก่อน” สิงห์ตอบพร้อมกับรั้งเอวสอบให้ลงมานั่งชันเข่าคร่อมอยู่ตรงหน้า แล้วตวัดปลายลิ้นชิมรสหวานของนมข้น

ร่างโปร่งแอ่นรับสัมผัสของลิ้นสากที่ลากวนไปรอบๆ ในขณะที่มือใหญ่เค้นคลึงยอดอกสีอ่อนเล่นจนชูชัน

เป็นอีกครั้งที่อิงค์เคลิบเคลิ้มไปกับการปลุกเร้าอย่างช่ำชอง ท้องน้อยขมวดเกร็งเมื่อสิงห์หยุดริมฝีปากตรงบริเวณสะดือที่นมข้นหวานไหลลงไปกองอยู่ เขาค่อยตวัดปลายลิ้นลงไปสลับกับดูดดึงทำให้อิงค์เกิดความรู้สึกเสียวซ่านไปจนถึงปลายนิ้วราวกับกำลังโดนรุกรานจุดอ่อนไหวทั้งที่อยู่ห่างกันอีกคืบ ร่างโปร่งบิดเร่า อิงค์ต้องใช้มือข้างหนึ่งบิดปากไว้เพื่อไม่มีเสียงแปลกปลอมเล็ดลอดออกไปด้านนอก

นาทีต่อมาร่างโปร่งก็ถูกจับนอนลงบนพื้น สิงห์คว้าเอวสอบและดึงให้สะโพกของอิงค์ขยับขึ้นมาวางซ้อนบนตักก่อนจะหันไปคว้ากระป๋องนมข้นหวานขึ้นมา

“พี่สิงห์จะทำอะไรน่ะ”

“ดูเหมือนจะยังหวานไม่ค่อยพอน่ะ”

อิงค์กัดปากแน่น ปลายเท้าเกร็งจิกพื้นเมื่อสัมผัสเย็นนิดๆ ของนมข้นหวานหยดลงมาบนจุดอ่อนไหวระหว่างขา ก่อนจะตามด้วยความเสียวสะท้านที่เขาไม่อาจทนเก็บเสียงได้อีกต่อไปเมื่อสิงห์เริ่มลงลิ้นชิมรสอีกครั้ง เขากวาดปลายลิ้นไปทั่วทั้งด้านหน้าและด้านหลังอย่างรวดเร็วเพื่อไล่ให้ทันนมข้นหวานที่ไหลย้อยเปรอะไปทั่วเพราะสะโพกของอิงค์อยู่ไม่ติดพื้น

“พี่สิงห์ใส่เข้ามาได้แล้ว”

เสียงหวานที่ร้องขอทำให้สิงห์ผละริมฝีปากออก เขารูดซิปกางเกงลง เรียวขาขาวตรงหน้าแยกออกกว้างเห็นช่องทางสีชมพูอมแดงเด่นชัด “แก้วนี้ฉันเลี้ยงเอง เธอชอบแบบเชคหรือชอบแบบปั่นล่ะ”

กลีบปากบางที่ฉ่ำน้ำจากกาบดขยี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกแย้มยิ้มตอบ “ได้หมด ใส่นมข้นหวานเยอะๆ นะ”

ทันทีที่สะโพกหนากลับมาทาบทับแนบสนิท เรียวขายาวก็เกี่ยวกระหวัดรอบเอวหนาแน่น

“เดี๋ยวเทให้หมดกระป๋องเลย” สิงห์ตอบพร้อมกับสอดแขนใต้ข้อพับขาเรียวแล้วรัวใส่ไม่ยั้ง

“พี่สิงห์… ผม… ไม่ไหว… แล้ว…”

“ไม่ไหวก็ไปก่อนเลย” สิงห์ขยับส่งให้จนอีกฝ่ายถึงฝั่งก่อนที่ตัวเองจะตามไปในเวลาใกล้กัน

หลังจากขึ้นไปอาบน้ำล้างคราบทั้งของคาวและหวาน เปลี่ยนชุดใหม่เรียบร้อยอิงค์ก็กลับลงมาหาสิงห์ที่รออยู่ด้านล่าง

เขาชงกาแฟมาสองแก้วแล้วเดินไปหาคนที่นั่งเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้รังนกพลางทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างดูวิวเขาน้อย

“ตรงนี้วิวสวยจริงๆ ด้วย” สิงห์บอก

“กาแฟครับ” อิงค์ยื่นแก้วไปตรงหน้า

สิงห์รับแก้วมาถือไว้ แล้วก้มลงสูดกลิ่นหอมฉุย “มานั่งด้วยกันสิ”

สิ้นคำชวนร่างโปร่งก็หันหลังทิ้งตัวลงมาบนตัก ถึงนั่นจะไม่ใช่ที่นั่งตามที่สิงห์ตั้งใจให้นั่ง แต่เขาก็สอดวงแขนแกร่งเข้ารอบเอวประคองให้อิงค์นั่งได้ถนัดโดยอัตโนมัติ

อิงค์ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบก่อนจะพิงหลังลงกับอกกว้าง หลับตาผ่อนคลายแล้วครางออกมาเบาๆ “ฮือ”

“เป็นยังไง”

“รู้สึกเหมือนเบาหวานขึ้นตา”

สิงห์หัวเราะในลำคอ “จะร้องขอกินอีกไหม”

“ไม่เอาแล้ว มันเหนียว กว่าจะล้างออกหมด” อิงค์ว่า

“ชวนเองนะ”

“เห็นในสารคดีเขาทำกันออกจะดีผมก็อยากลองบ้าง”

“สารคดีอะไร ฉันจะไปหามาดูบ้าง”

“ผมจำไม่ได้แล้ว ดูตอนที่ไปเรียนชงกาแฟที่ญี่ปุ่นน่ะ จำได้แค่ว่ามาตอนดึกๆ” อิงค์บอก “นี่พี่สิงห์วันหลังเราลองเปลี่ยนเป็นน้ำผึ้งดูไหม”

“ไม่เข็ด” สิงห์แยกเขี้ยวใส่คนบนตักที่นั่งหัวเราะคิกคักอย่างหน้าไม่อายด้วยความหมั่นไส้ มือใหญ่คว้าหมับเข้าที่กรามแล้วดึงให้เงยหน้าขึ้นมารับจูบ “ไม่ต้องใส่อะไรหรอก แค่กินเปล่าๆ ก็อร่อยแล้ว”

“จริงเหรอ”

“อือ”

“พี่สิงห์อย่าชมตรงๆ ดิ เขินนะ”

“เออนี่เจ้าหนู กาแฟกับขนมในส่วนที่เหลือน่ะ เอามาส่งให้ฉันทั้งหมดเลย ฉันจะรับไว้ขายเอง” สิงห์พูดขึ้น

“เดี๋ยวพี่สิงห์ก็โดนป้าสำลีว่าหรอกครับที่ทำอะไรโดยพละการ”

“ทำไมต้องว่าล่ะ”

“ผมรู้ครับว่าป้าสำลีเอ็นดูผม แต่จู่ๆ จะให้ต้องจ่ายเงินจำนวนมากมาย แถมยังจะช่วยขายอีก ผมเกรงใจครับ”

“ถ้างั้นคนที่เธอควรจะเกรงใจก็เป็นฉันไม่ใช่ป้าสำลี”

“แต่ป้าสำลีเป็นหัวหน้านะ แล้วพี่สิงห์เป็นแค่ลูกจ้างเดี๋ยวก็โดนตัดเงินเดือนหรอก”

สิงห์ย่นคิ้ว “ไหนพูดใหม่สิ เธอว่าใครเป็นหัวหน้า แล้วใครจะตัดเงินเดือนใครนะ”

“ก็ป้าสำลีเป็นหัวหน้าพนักงานไม่ใช่เหรอครับ”

“ใช่”

“แล้วพี่สิงห์ก็เป็นพนักงานต้อนรับกับทำอาหาร”

“ที่เธอพูดมาก็ไม่ผิด” สิงห์ว่า “แต่ก็ไม่ถูกซะทีเดียว”

“ยังไงครับ”

“ก็ฉันน่ะ…”

“สวัสดีครับ”

เสียงแหบดังขึ้น ทั้งสองหันไปมองชายชราสวมเสื้อคลุมปักลายดอกบัวด้านหลังอย่างวิจิตรและสวมหมวกสานสีขาวที่เพิ่งเปิดประตูร้านเข้ามา

“ส… สวัสดีครับ” อิงค์กล่าวต้อนรับพร้อมกับเด้งตัวลุกขึ้นยืนทันที

“ไงปู่” สิงห์พยักหน้าทักทาย

“สวัสดีครับคุณสิงห์” ชายชราหันไปค้อมศีรษะรับไหว้อิงค์ “ผมมาขอพบคุณอิสระครับ”

“ผมเองครับ” อิงค์ตอบพร้อมกับเดินเข้าไปหา “มีธุระอะไรกับผมหรือครับ”

“ฉันอยากจะสั่งขนมร้านเธอหน่อย” เขากล่าวพลางหยิบนามบัตรออกมาส่งให้ “ฉันชื่อกมล เป็นเจ้าของร้านบัวพันกาบ ที่มาหาวันนี้เพราะอยากจะสั่งกาแฟกับขนมสักหน่อย ไม่ทราบว่าเธอสะดวกหรือเปล่า”

“สะดวกครับ” อิงค์ตอบอย่างกระตือรือร้น “สะดวกมากๆ เลย ต้องการอะไรบ้างแล้วอยากให้ผมไปส่งเมื่อไหร่ครับ”

“พรุ่งนี้” กมลตอบ “สิบโมงตรง เจอกันที่ร้านฉัน เธอไปถูกไหม”

“ผมไม่เคยไป แต่ไม่มีปัญหาครับ”

“ถ้าเช่นนั้นก็ให้คุณสิงห์พาไปแล้วกัน ส่วนรายละเอียดของที่จะให้มาส่งเดี๋ยวฉันสรุปยอดส่งให้ทางอีเมลร้าน”

อิงค์นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้แนะนำตัวให้เป็นเรื่องเป็นราว เขารีบหยิบกระเป๋าออกมาจะเอานามบัตรร้านให้แต่ชายชรายกมือปรามไว้

“ฉันมีแล้ว” บอกพร้อมกับล้วงมือลงในย่ามผ้าและดึงเอาขวดแก้วที่มีฉลากรูปคล้ายสิงโตออกมา “ถูกต้องใช่ไหม”

“ครับ ใช่ครับ”

ชายชราหย่อนขวดกลับลงไปในย่ามแล้วหยิบเอาซองคุ้กกี้ที่เป็นรูปดอกไม้หน้ายิ้มออกมา “อันนี้ก็ของเธอใช่ไหม ถึงจะไม่แปะฉลากแต่รสเดียวกับเค้กที่กินไปก่อนหน้านี้เลย”

“ใช่ครับ” อิงค์พยักหน้า “แล้วคุณได้มายังไงครับ อันนี้เป็นชิ้นที่ลองทำผมยังไม่ได้วางขายเลย”

“มีคนใจดีให้ฉันมา” ชายชราตอบอย่างอารมณ์ดีพลางแกะคุ้กกี้ส่งเข้าปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย “เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ให้คุณสิงห์พาคุณไปส่งที่ร้านนะ”

“เดี๋ยวนะปู่” สิงห์รีบแย้ง “คือนี่ไม่ได้อยู่ว่างๆ มีงานมีการต้องทำนะ”

“ใช่ครับ พี่สิงห์อู้งานมาช่วยผมสองวันแล้ว ถ้าพรุ่งนี้ขาดงานอีกวัน ไม่โดนตัดเงินเดือนก็โดนไล่ออกแน่ๆ” อิงค์พูดเสียงอ่อยอย่างรู้สึกผิดที่ลากสิงห์มายุ่งกับเรื่องวุ่นวายของตนเอง

“ไม่ต้องห่วง ไม่มีใครกล้าไล่คุณสิงห์ออกหรอก” ชายชราพูดอย่างอารมณ์ดี

“ทำไมล่ะครับ”

“ฉันจะบอกอะไรดีๆ ให้นะ” ชายชรายกมือป้องปากพร้อมกับกวักมือให้อิงค์โน้มตัวลงมาหา “ก็คุณสิงห์น่ะเขามีเคยซัมติงกับเจ้าของน่ะสิ”

“เอ๊ะ!” อิงค์หน้าแดง เขาคิดออกอยู่เรื่องเดียวว่ามันคือเรื่องอะไร

ชายชราขยิบตาให้ครั้งหนึ่ง “รู้แล้วเหยียบไว้นะ”

“ครับ”

“เฮ้! ปู่สอนอะไรไม่เข้าท่าให้เจ้าหนูนั่นน่ะ” สิงห์รีบเข้ามาแทรก

“ไม่ใช่เรื่องไม่เข้าท่าเสียหน่อยก็บอกแล้วว่าเรื่องดีๆ” ชายชราหยักยิ้มเจ้าเล่ห์ “เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เจอกันนะ”

“ตาแก่นี่จริงๆ เลย” สิงห์บ่นด้วยท่าทางอิดหนาระอาใจ

อิงค์ก้มหน้าลงอ่านนามบัตรที่ได้รับมาจากกมลอย่างละเอียดอีกครั้ง แล้วดวงตาก็เบิกโตด้วยความตกใจ เพราะที่ตั้งของร้านบัวพันกาบนั้นคือ ‘เฮือนไกรสร’

อิงค์ขยี้ตาแล้วอ่านซ้ำอีกรอบ คิดไม่ถึงว่าโรงแรมหรูที่เขาได้แต่ขับรถผ่านและมองดูจากด้านนอกทุกวัน มาวันนี้เจ้าของห้องอาหารนั้นจะเป็นคนมาเชิญเขาเข้าไปเอง


ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
Re: Last Room บทที่ 5(21/09/2019)
«ตอบ #18 เมื่อ22-09-2019 16:14:31 »

ติดตามค่ะ

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
Re: Last Room บทที่ 5(21/09/2019)
«ตอบ #19 เมื่อ22-09-2019 19:42:22 »

พี่สิงห์ไม่ธรรมดาจริงๆนะ :hao7:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Last Room บทที่ 5(21/09/2019)
« ตอบ #19 เมื่อ: 22-09-2019 19:42:22 »





ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: Last Room บทที่ 5(21/09/2019)
«ตอบ #20 เมื่อ22-09-2019 19:56:28 »

 :mew1: :mew1: o13 o13

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: Last Room บทที่ 5(21/09/2019)
«ตอบ #21 เมื่อ23-09-2019 10:40:28 »

ผ่านมาแล้วหลายปีน้องอิงค์ก็ยังคิดว่าพี่สิงห์เป็นแค่พนักงานอยู่เลย 555555

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Last Room บทที่ 5(21/09/2019)
«ตอบ #22 เมื่อ25-09-2019 22:10:54 »

LR 6

เช้าวันรุ่งขึ้นอิงค์ตื่นแต่เช้าอาบแต่งตัวเอากาแฟกับขนมออกไปส่งตามปกติ

ผลจากการที่สุพจน์ ผู้จัดการห้องอาหารของโรงแรมเกศกุญชรขึ้นหน้าเพจอธิบายเรื่องเข้าใจผิดและขอโทษเขาทำให้วันนี้ที่พักอื่นๆ ที่อิงค์ฝากขายประจำไม่ปฏิเสธที่จะรับของทั้งยังให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ทำให้เขามีกำลังใจกลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้ง

หลังจากวนส่งกาแฟตามโฮมเสตย์ในเมืองเสร็จอิงค์ก็นึกขึ้นได้ว่าอยากจะไปร้านจามจุรีดูสักครั้งตามที่พูดไวั และเพราะเข็ดจากการที่จีพีเอสพาหลงไปบ้านร้างเหมือนครั้งก่อนแทนที่จะค้นหาจากกูเกิ้ลเขาจึงเอ่ยถามทางกับคนในพื้นที่ เห็นว่าออกนอกเส้นทางประจำไปไม่ไกลนักจึงลองขับไปดู

พอขับรถมอเตอร์ไซค์เข้าไปใกล้อิงค์ก็ได้กลิ่นหอมเนยลอยมาแตะจมูกเป็นเครื่องหมายบอกว่าเขามาถูกทางแล้ว

ร้านจามจุรีนั้นเป็นตึกขนาดสูงสามชั้นขนาดสองคูหา ชั้นล่างเปิดเป็นร้านขายของส่วนสองชั้นบนเป็นที่อยู่อาศัย อิงค์ชะลอรถตอนใกล้ถึงหน้าร้านอย่างสองจิตสองใจว่าจะแวะดีหรือไม่ ถึงเขาจะมาดีแต่เจ้าของร้านอาจไม่อยากต้อนรับเท่าไหร่

และในตอนที่รถมอเตอร์ไซค์ของอิงค์กำลังขับผ่านไป เขาก็เห็นเด็กสาวในชุดนักเรียนม.ปลายคนหนึ่งกำลังเรียงขนมปังที่เพิ่งอบเสร็จใหม่อยู่ตรงตู้กระจก หน้าร้านมีลูกค้ายืนกอดอกรออยู่หนึ่งคน

แม้จะเห็นแค่ข้างหลัง แต่ชายหนุ่มผิวแทนผมยาวตัวโตขนาดนี้คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพี่สิงห์ของเขา อิงค์รีบหันมอเตอร์ไซค์กลับพุ่งเข้าไปจอดหน้าร้านทันที

“สวัสดีค่ะ” เด็กสาวร้องทักทายเขาพร้อมกับรอยยิ้มสดใส เรือนผมยาวของเธอถูกรวบเป็นหางม้าไว้ด้านหลังเรียบร้อย และสวมผ้ากันเปื้อนสีขาวทับชุดนักเรียน เลขบนหน้าอกทำให้รู้ว่าเธออยู่ชั้นปีสูงสุดแล้ว

สิงห์เองก็หันมาเช่นกัน “อ้าว มาทำอะไรเจ้าหนู”

“มาร้านขนมปังก็มาซื้อขนมปังสิครับ” อิงค์ตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง ได้เจอหน้าตั้งแต่ยังไม่ทันได้คิดถึง วันนี้ต้องเป็นวันของเขาแน่ๆ

“รับอะไรดีคะ” เด็กสาวถามอย่างกระตือรือร้น เธอชื่อสารสา เป็นลูกสาวคนเดียวของเจ้าของร้านนี้

อิงค์มองเข้าไปในตู้ที่มีขนมปังวางเรียงกันอยู่หลายแบบจนตัดสินใจไม่ถูก “เอ่อ…”

“ซิกเนเจอร์ของที่นี่คือขนมปังเนยสด” สิงห์แนะนำ

“เหรอครับ”

“ใช่แล้วค่ะ” สารสาตอบเสียงใส “เป็นสูตรที่คุณแม่คิดขึ้นมาเองค่ะ”

“งั้นก็เอาอันนี้ครับ”

“รับอะไรเพิ่มไหมคะ” เธอถามต่อ “นอกจากเนยสดก็ยังมีไส้อื่นๆ อีกนะคะ พี่ลองชิมดูไหม รสาทำเองทุกอันเลยนะ”

อิงค์กวาดตามองขนมปังสีขาวนวลดูฟูนุ่มนานาชนิดทั้งไส้ไก่ แฮม ข้าวโพดและอีกหลายๆ อย่าง ที่ส่งกลิ่นหอมเรียกร้องความสนใจอยู่ในตู้กระจกก่อนจะชี้นิ้ว “เอาขนมปังลูกเกดอีกชิ้นครับ”

“ขอบคุณค่ะ วันหลังเชิญใหม่นะคะ” สารสารับเงินพลางส่งถุงขนมให้เขา ก็พอดีกับที่ปองชัยผู้เป็นเจ้าของร้านเดินออกมาจากด้านหลังพร้อมกับลังใส่ของ

“ขนมปังสิบแถวได้แล้วครับป้าสำลี” เขากล่าวพร้อมกับวางลังใส่ขนมปังลงก่อนจะหน้าเจื่อนไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าไม่ใช่คุณป้าร่างท้วมที่มาซื้อเหมือนอย่างเคย แต่เป็นชายหนุ่มผมยาว “คุณสิงห์… วันนี้มาเองเลยเหรอครับ” ปองชัยพูดขัด เขาเหลือบตามองชายหนุ่มเจ้าของร้านกาแฟที่ยืนอยู่ข้างกัน “จะมาหาเรื่องกันหรือไง ก็ตกลงกันแล้วนี่นาว่าทางใครทางมัน ร้านเธอขายกาแฟ ร้านฉันขายขนมปังไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันอีก”

อิงค์รีบโบกมือพัลวัน “ผมแค่ผ่านมาซื้อขนมปังครับ ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรเลยครับ”

“แต่ผมตั้งใจมาเอง” สิงห์พูดเรียบๆ

“มีเรื่องอะไรกันเหรอคะพ่อ” สารสาถามอย่างใสซื่อ เธอไม่รู้จริงๆ ว่าผู้เป็นพ่อไปก่อเรื่องอะไรไว้

ปองชัยหันไปหาลูกสาว “รสารีบไปโรงเรียนได้แล้วเดี๋ยวจะสายนะ”

“แต่ว่า…”

“ไปเถอะเดี๋ยวพ่อจัดการเอง” ปองชัยเอ็ดเบาๆ ลูกสาวจึงยอมวางถาดขนมปัง ถอดผ้ากันเปื้อนแล้วเดินกลับเข้าไปด้านใน เมื่อเห็นว่าลูกสาวคล้อยหลังเขาจึงหันมาพูดกับสิงห์ต่อ “คุณสิงห์มีอะไรจะคุยกับผมงั้นหรือครับ”

“ผมได้ยินมาจากคุณสุพจน์ว่าคุณจะปิดร้าน” สิงห์เข้าประเด็นทันที

อิงค์ตาโต หันควับไปมองหน้าสิงห์ก่อนจะก้มลงมองขนมปังที่ยังอุ่นๆ ในมือ

ปองชัยมีท่าทีอึกอักเล็กน้อย แต่ไม่เห็นประโยชน์ที่จะเฉไฉไปทางไหนจึงตอบไปตามตรง “สิ้นเดือนนี้ครับ”

“ยอดขายมันแย่มากเลยหรือครับ” สิงห์ถาม“ไม่แย่ แต่ก็ไม่ดีอย่างที่บอก ตอนนี้รายได้เกือบครึ่งก็มาจากที่ทำส่งกับเกศกุญชร ถ้าเจ้าหนูนั่นขายแต่กาแฟไม่มายุ่งกับพวกขนมปังผมก็คงไม่คิดแผนนี้ขึ้นมา”

“แล้วมันคุ้มเหรอครับกับการเอาขนมปังที่ภรรยาคุณรักและตั้งใจทำมันขึ้นมา มาเป็นสิ่งทำลายคนอื่น” สิงห์กล่าว

“ทางเลือกผมเหลือน้อยเกินไป” ปองชัยพูดโดยไม่ยอมสบตา “ผมเองก็สู้มาพอแล้ว หลังจากภรรยาตายไปก็เหนื่อยเต็มที ก็เลยคิดว่าพอกันทีดีกว่า ทีแรกว่าจะรอให้รสาจบม. ปลายก่อน แต่พอมีเรื่องขึ้นผมก็ไม่ค่อยกล้าสู้หน้าสุพจน์เขาแล้ว และไหนๆ ก็จะปิดอยู่แล้วก็ปิดสิ้นเดือนนี้เลยละกัน”

“พ่อจะปิดร้านทำไมหนูไม่เห็นรู้เรื่องเลย!” สารสาที่แอบยืนฟังอยู่หลังประตูพุ่งออกมา “เป็นเพราะหนูใช่ไหมพ่อ เพราะหนูทำขนมปังรสเดียวกับที่คุณแม่เคยทำไม่ได้ ลูกค้าก็เลยน้อยลงใช่ไหม”

เมื่อเลี่ยงไม่ได้ปองชัยจึงยอมรับกับลูกสาว “มันไม่ใช่ความผิดลูกหรอก พ่อเองก็ทำไม่ได้เหมือนกันทั้งๆ ที่ก็ทำเหมือนตอนแม่เขายังอยู่ทุกอย่าง ลูกก็เห็นว่าลูกค้าที่มาช่วงหลังมีสีหน้าผิดหวังมากแค่ไหนที่ไม่ได้กินขนมปังอร่อยๆ เหมือนตอนที่แม่เขายังอยู่ พ่อก็เลยคิดว่าเราเลิกซะดีกว่า เลิกตอนที่ใครๆ ยังจำรสชาติขนมปังของแม่ได้ ให้แม่เป็นความทรงจำที่ดีของคนกินทุกคน”

“แต่ถ้าพ่อเลิกทำ เราก็จะไม่เหลือความทรงจำของแม่แล้วนะ พ่อไม่ทำก็เรื่องของพ่อ แต่หนูจะทำ ก่อนตายแม่ฝากร้านนี้ไว้กับหนู หนูจะทำ!”

“เป็นเด็กเป็นเล็กทีหน้าที่เรียนก็เรียนไปสิ ลูกจะมาวุ่นวายอะไรกับเรื่องร้าน เรื่องหาเงิน เดี๋ยวพ่อจัดการเอง แล้วนี่ก็ได้เวลาเรียนแล้วไม่ใช่เหรอ บอกให้ไปทำไมยังไม่รีบไปอีก!” ปองชัยตวาดลั่นพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ประตู “ไปได้แล้ว”

สารสาเม้มปากแน่นเธอยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาเร็วๆ ก่อนจะผลุนผันออกไป

“คุณฟังลูกสาวพูดบ้างก็ดีนะครับ” สิงห์พูดขึ้น

“คุณจะมารู้เรื่องในบ้านเราได้ยังไง”

“ผมไม่รู้เรื่องในบ้านคุณ แต่ผมรู้เรื่องขนมปังของร้านคุณเพราะผมก็เป็นคนหนึ่งที่กินขนมปังร้านนี้มาเกือบทั้งชีวิต” สิงห์กล่าว “ผมยังจำได้นะ ตอนเด็กๆ เวลาผมขี่จักรยานไปโรงเรียน คุณป้าจะคอยยืนอยู่หน้าร้านส่งยิ้มทักทายให้ลูกค้าและทุกคนที่ผ่านไปผ่านมา แล้วเวลาผมซื้อป้าก็แอบแถมให้ตลอดเพราะเห็นผมตัวใหญ่กลัวจะกินไม่อิ่ม ตอนที่รู้ว่าคุณป้าเสีย ผมเองก็เสียใจมากเหมือนกันที่จะไม่กินขนมปังฝีมือคุณป้าอีกแล้ว”

“เห็นไหมล่ะ คุณเองก็คิดแบบนั้น”

“ผมแค่เสียใจที่ไม่ได้กินขนมปังฝีมือคุณป้า แต่ผมไม่ได้บอกว่าขนมปังร้านคุณมันไม่อร่อยนะ คนอย่างผมไม่เอาของไม่ดีไปให้ลูกค้ากินหรอก แถมตามร้านสะดวกซื้อก็มีเยอะแยะผมจะถ่อมาหาคุณทำไม”

“ตกลงคุณต้องการอะไรกันแน่คุณสิงห์” ปองชัยถาม

“ท่าทางคุณจะยังไม่เข้าใจสินะ ผมจะได้พูดให้ชัดเจนขึ้น” สิงห์บอก “ที่ผมมาในวันนี้ ไม่ได้มาหาเรื่องต่อจากเมื่อวาน ผมก็แค่มาในฐานะลูกค้าคนหนึ่งซึ่งเสียดายและเสียใจมากๆ ที่รู้ว่าร้านขนมปังเจ้าประจำกำลังจะปิด ก็เลยอยากจะย้อนความหลังกลับมายืนดมกลิ่นเนยหอมๆ มายืนดูขนมปังหน้าตู้กระจกนี้อีกสักครั้งก่อนจะไม่ได้เห็นมันอีก”

ปองชัยมองชายหนุ่มตัวโตตรงหน้าก่อนที่ความทรงจำจะค่อยๆ พาเขาย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน ในวันที่ร้านนี้ยังเป็นแค่อาคารไม้หลังเล็กๆ คูหาเดียว

เด็กผู้ชายตัวโตท่าทางแก่นเซี้ยวเป็นหัวโจกประจำอำเภอยืนเกาะตู้กระจกอยู่หน้าร้านเร่งให้หญิงสาวที่สวมผ้ากันเปื้อนสีขาวรีบหยิบขนมปังให้ ครั้นพอเธอห่อใส่กระดาษไขส่งให้ไปก็รีบรับไปกัดกินอย่างเอร็ดอร่อยก่อนจะวิ่งไปโรงเรียนที่อยู่เลยออกไป

“คุณจะจบตำนานขนมปังจามจุรีไว้ที่สามสิบปีนี้ก็ได้ แต่ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากเห็นมันอยู่ไปถึงปีที่สี่สิบ ห้าสิบนะ” สิงห์พูดต่อ
เจ้าของร้านขนมปังสบตาคนตรงหน้าก่อนจะหันไปมองผ้ากันเปื้อนสีขาวที่ลูกสาวถอดวางทิ้งไว้ ตรงชายด้านหนึ่งปักเป็นตัวอักษรเล็กๆ ร้อยเรียงเป็นคำว่า ‘จามจุรี’





เด็กสาวเดินย่ำเท้าหนักๆ ไปตามทาง ตาแดงก่ำรื้นน้ำ ก้าวได้สองทีก็ยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาที ตั้งแต่เกิดและจำความได้เธอก็โตมากับขนมปังของแม่ ในขณะที่เด็กคนอื่นๆ เล่นปั้นดินน้ำมันแต่เธอหัดปั้นแป้งอบขนมปัง เด็กอื่นเล่นขายของแต่เธอช่วยแม่ขายจริงๆ อยู่หน้าร้าน สำหรับเธอขนมปังมันไม่ใช่แค่ร้าน ขนมชนิดหนึ่งหรือเครื่องสร้างรายได้ แต่มันคือความผูกพันธ์ระหว่างเธอกับแม่ การที่พ่อต้องปิดร้านเธอเข้าใจเหตุผลดี แต่เธอยอมรับไม่ได้

“นี่”

เสียงทุ้มดังขึ้นด้านหลัง แต่เด็กสาวไม่สนใจและเดินต่อไปเรื่อยๆ

“นี่”

เสียงนั้นดังใกล้เข้ามาพร้อมกับที่รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขับขึ้นมาตีคู่ เธอพยายามไม่หันไปมองและสับเท้าหนี แต่ก็ดูเหมือนว่าคนขับมอเตอร์ไซค์คันนั้นจะจงใจขับตามเธออย่างไม่ลดละ

“นี่! รสาใช่ไหม รอพี่ก่อน”

“หนูลูกคนเดียวไม่มีพี่”

“ไม่ใช่อย่างนั้นรสา หันมาคุยกันก่อน”

รถมอเตอร์ไซค์เร่งเครื่องนำไปนิดหน่อยก่อนจะจอดปาดหน้า เด็กสาวตั้งท่าจะร้องให้คนช่วยก็พอดีกับที่คนขับกระโดดลงมาถึงตัว เธอจึงสังเกตเห็นว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่มาซื้อขนมปังที่ร้านเธอเมื่อสักครู่

“เดินเร็วชะมัดเลย”

“พี่มีธุระอะไรกับหนู” สารสากอดกระเป๋านักเรียนแน่น ตั้งท่าเตรียมพร้อมวิ่งหากเห็นท่าไม่ดี

“จะไปโรงเรียนใช่ไหมเดี๋ยวพี่ไปส่ง”

“ไม่เป็นไร หนูเดินไปเองได้” สารสาบอกพร้อมกับออกเดินไป

อิงค์วิ่งกลับไปที่มอเตอร์ไซค์และเข็นตามหลังไปติดๆ

“หนูได้ยินที่พ่อคุยกับพี่สิงห์แล้ว พี่จะมาแก้แค้นเรื่องที่พ่อทำโดยมาลงกับหนูเหรอ”

“เรื่องมันไปกันใหญ่แล้ว วันนี้ฉันแค่แวะมาซื้อขนมปังเอง” อิงค์พยายามอธิบาย

“แล้วพี่ตามหนูมาทำไม”

“ก็บอกแล้วไงว่าอยากคุยด้วย เรื่องร้านขนมปังของแม่เธอน่ะ”

ในที่สุดเด็กสาวก็หยุดเดินและหันมา “ทำไมหรือคะ”

อิงค์รู้สึกดีใจเป็นล้นพ้นเพราะตอนนี้เขาเริ่มเหงื่อแตกซ่กแล้ว “แค่จะมาบอกว่าถ้าเธออยากจะทำร้านขนมปังของแม่ต่อน่ะมันก็มีวิธีกล่อมพ่อเธออยู่นะ”

“ยังไงคะ”

อิงค์สะบัดหน้าไปทางรถมอเตอร์ไซค์ “เกือบจะแปดโมงแล้ว กระโดดขึ้นมาเดี๋ยวพี่ไปส่ง ขับไปคุยไปจะไม่เสียเวลา”

สารสาเห็นว่าเขาดูซื่อๆ ไม่น่ามีพิษมีภัยประกอบกับรู้จักพี่สิงห์จึงยอมไว้ใจก้าวขึ้นนั่งซ้อนท้าย พอรถเริ่มเคลื่อนตัวออกไปเธอก็เอ่ยปากถาม “ตกลงพี่จะให้หนูทำยังไง”

“พี่จะเสนอให้เธอเปิดร้านเอง”

“เปิดร้านเอง!” เด็กสาวอุทาน “หนูเนี่ยนะ!”

“ใช่!” อิงค์ยืนยัน

สารสาขำในลำคอ “นี่เรากำลังพูดถึงธุรกิจร้านขายขนมนะ ไม่ได้เล่นขายของ อย่างพี่นึกจะก็พูดก็พูดได้ง่ายๆ สิก็บ้านพี่รวยนี่นา ตกลงมาก็ยังนอนอยู่บนฟูกไม่ได้ล้มคลุกฝุ่นอยู่บนดินเหมือนหนูสักหน่อย”

“เธอเอามาจากไหนว่าบ้านพี่รวย”

“อ้าว ก็พี่เป็นคนกรุงเทพ มาซื้อที่เปิดร้านขายกาแฟไปวันๆ แบบนี้ก็ต้องรวยอยู่แล้วสิ”

“ถ้าพี่รวยนะไม่มาขายกาแฟหรอก ตื่นตั้งแต่ตีสามตีสี่มาอบขนมเตรียมร้านเตรียมของเหนื่อยจะตาย พี่นอนอยู่บ้านเฉยๆ แล้วโทรสั่งให้คนเอากาแฟมาส่งให้กินดีกว่า” อิงค์ว่า “พ่อกับแม่พี่เป็นพนักงานบริษัทธรรมดาทั้งคู่ ไม่ได้รวยอะไรเล้ย”

“แล้วพี่เอาเงินมาจากไหน”

“ก็ทำงานสิ” อิงค์บอก “พี่ทำงานเก็บเงินไปเรียนชงกาแฟที่ญี่ปุ่น จริงๆ คอร์สที่เรียนมันแค่หกเดือนจบ แต่เพราะงานที่นู่นมันรายได้ดี พี่เลยใช้โอกาสนี้ไปสมัครเป็นลูกจ้างตามร้านค้า คาเฟ่ต์ต่างๆ พี่ทำมาแล้วทุกตำแหน่งตั้งแต่ล้างจาน เด็กเสิร์ฟไปยันแคชเชียร์ เพื่อที่จะได้มีเงินมาเปิดร้านของตัวเองแล้วระหว่างนั้นก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปด้วยว่าการจะเป็นเจ้าของร้านได้มันต้องทำอะไรบ้าง พอรู้ตัวอีกทีเวลาก็ผ่านไปตั้งสามปีเลยนะ”

“โอ้โห” สารสาร้องอย่างทึ่งจัด “แล้วพ่อกับแม่พี่ไม่ช่วยอะไรเลยเหรอ”

“ช่วยสิ” อิงค์บอก “แต่ไม่ใช่เรื่องค่าใช้จ่ายหรอกนะเพราะอย่างที่บอกว่าพวกเขาก็เป็นแค่พนักงานบริษัท สิ่งที่เขาช่วยพี่คือการสนับสนุนให้พี่ได้ทำทุกๆ อย่างที่พี่อยากทำด้วยตัวเอง เพราะพวกเขาอยากให้พี่มีอิสระเหมือนชื่อที่ตั้งให้พี่ไง”

“แล้วพี่ไม่กลัวเหรอ แบบว่า... ถ้าหากมันเจ๊ง...”

“ถ้ามันจะเจ๊งจริงๆ กว่ามันจะถึงตอนนั้นพี่คิดว่าตัวเองคงทำถึงที่สุดแล้วล่ะ แล้วก็นะมีคำพูดนึงที่พ่อพี่บอกตอนไปส่งขึ้นเครื่องไปญี่ปุ่น พี่จำได้ไม่เคยลืมเลยล่ะ”


“พ่อครับ ผมกลัว”

“กลัวอะไรลูก”

“กลัวทำไม่สำเร็จ” เด็กหนุ่มกำชับสายกระเป๋าเป้แน่นด้วยความสับสนที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นในนาทีสุดท้ายก่อนจะจากประเทศบ้านเกิดไป ใครว่าการรับปริญญาคือความสำเร็จของชีวิต แท้จริงแล้วชีวิตมันยังไม่ได้เริ่มต้นเลยต่างหาก และต่อไปนี้เขาก็กำลังเลือกเส้นทางที่ต้องเดินไปเพียงลำพัง

“ลูกจำวันที่หัดขี่จักรยานครั้งแรกได้ไหม” พ่อถามขึ้น

“จำได้ครับ”

“จำได้ไหมว่าล้มไปกี่ครั้ง”

“นับไม่ถ้วนเลยครับ ได้แผลถลอกปอกเปิกเต็มไปหมด” อิงค์เล่าไปหัวเราะไป “หน้าผาก แขน ขา แทบไม่มีตรงไหนเลยที่ไม่มีแผล”

“แล้วทำไมลูกถึงยิ้มได้ล่ะ”

“ก็วันนี้ผมขี่เป็นแล้วนี่นา พอนึกๆ ไปแล้วมันก็ตลกดี” อิงค์เงียบไป เริ่มเข้าใจว่าพ่อต้องการจะสื่ออะไร

“ล้มก็แค่ลุกใหม่อิงค์ ไม่ว่าจะเป็นถนน สนามหญ้าหรือแม้แต่พรม ล้มลงไปมันก็เจ็บทั้งนั้น ล้มแล้วก็แค่ปัดฝุ่นลุกใหม่ ลูกยังเด็กจะกลัวอะไรกับแผลเล็กๆ น้อยๆ เดี๋ยวก็หาย หรือต่อให้มันจะเป็นแผลเป็น มันก็จะเป็นแผลที่คอยเตือนให้ลูกรู้ว่าได้เรียนรู้อะไรมา”



อิงค์เหลือบตามองรอยจางๆ ตรงใกล้ข้อมือที่สีผิวต่างไปจากบริเวณอื่น มันเป็นรอยน้ำร้อนลวกจากการฝึกทำลาเต้อาร์ตแก้วแรกในชีวิตที่ทำหกเลอะเทอะไปทั่วเพราะยังจับหวะโรยนมกับประคองแก้วไม่เป็น

“พ่อพี่เท่จัง”

“กินใจสุดๆ อะ” อิงค์ขยิบตาผ่านกระจกให้ครั้งหนึ่ง “วันนี้รสาลองไปคิดทบทวนดูว่าจะทำยังไงแล้วไปคุยกับพ่อดู พ่ออยากปิดก็เรื่องของพ่อ แล้ววันหนึ่งเมื่อรสาพร้อม รสาก็ค่อยเปิดมันขึ้นมาใหม่ด้วยตัวของรสาเอง พี่เชื่อว่าแม่ไม่โกรธรสาหรอกและพอถึงวันนั้นพ่อจะต้องเห็นดีเห็นงามด้วยแน่ๆ”

อิงค์จอดรถมอเตอร์ไซค์หน้าประตูโรงเรียนประจำจังหวัดตอนอีกสิบนาทีแปดโมง เด็กสาวก้าวลงรถแล้วหันมากล่าวขอบคุณ

“ขอบคุณนะคะที่มาส่งแล้วยังช่วยให้คำปรึกษาอีก”

“เรียกพี่อิงค์ก็ได้” อิงค์บอก “พี่ก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกันที่มีส่วนทำให้พ่อรสาต้องปิดร้านเร็วขึ้น”

สารสาส่ายหน้า “ขนมปังร้านหนูจะขายดีหรือไม่ดี มันไม่เกี่ยวกับพี่เลยสักนิด”

“อือ” อิงค์ยิ้มให้ก่อนจะก้มลงค้นในกระเป๋าและหยิบเอาขวดกาแฟที่แบ่งไว้ออกมาขวดหนึ่ง “พี่ให้ เอาไว้กินคู่กับขนมปังของรสานะรับรองว่าเข้ากันสุดๆ”

“พี่รู้ได้ไงว่าเข้ากัน”

“เพราะพี่กินขนมปังของรสาหมดแล้วทั้งสองก้อนเลยน่ะสิ ถึงได้รู้ว่ามันอร่อย” อิงค์กล่าวชมจากใจจริง “พี่ไม่เคยกินรสชาติของคุณจามจุรีที่ใครๆ ต่างก็พากันชื่นชมและติดใจ แต่พี่ชื่นชอบรสชาติขนมปังที่รสาทำและรับรู้ถึงความใส่ใจในทุกๆ ก้อน ก็เลยตามมาบอกนี่แหละ ตอนนี้พี่เป็นแฟนคลับรสาแล้วนะ”

เด็กสาวรับขวดแก้วมาถือไว้ ความรู้สึกอุ่นซ่านที่ฉาบผ่านปลายนิ้วทำให้รู้สึกมีพลังขึ้นมาใหม่ ในขณะที่ทุกคนที่มาร้านถามหาแต่ขนมปังของแม่ เพิ่งมีเขาคนแรกที่ชมขนมปังของเธอ สารสาส่งยิ้มกว้างให้อิงค์ “ขายของเก่งนะ พี่น่ะ”
อิงค์ยักคิ้วให้ครั้งหนึ่ง “พี่ไปนะ แล้ววันหลังจะไปอุดหนุนขนมปังฝีมือเธออีก”

“หนูก็จะไปชิมกาแฟฝีมือพี่เหมือนกัน” สารสาชูมือที่ถือขวดกาแฟโบกไหวๆ ก่อนจะกลับหลังหันวิ่งเข้าประตูโรงเรียนพร้อมกับกริ่งบอกเวลาแปดโมง

อิงค์สตาร์ทรถอีกครั้งแล้วขับออกไป เขามัวแต่คุยกับเด็กสาวจึงไม่ทันได้สังเกตว่าห่างไปแค่เล็กน้อยตรงป้อมยามที่หน้าประตูนั่นเองมีเด็กผู้ชายอีกคนหนึ่งยืนดูพวกเขาพวกเขาทั้งสองคุยกันอยู่ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดใจเป็นที่สุด

###########

อิน้องมันไปทำให้ใครเจ็บช้ำน้ำใจว้าาาา แล้วแบบนี้เขาจะมาแก้แค้นน้องไหมเนี่ย

อ่านจบแล้วฝากคอมเมนต์หรือชวนเพื่อนมาอ่านเป็นกำลังใจให้เค้าบ้างนะ

หรือจะตามไปคุยกันที่เพจก็ตามนี้เลยค่ะ ---> https://www.facebook.com/leGGyDanLabyrinth/

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: Last Room บทที่ 6(25/09/2019)
«ตอบ #23 เมื่อ25-09-2019 23:15:39 »

 อ้าว เด็กผู้ชายคนนั้นชอบน้องรสาหรอ

ออฟไลน์ NUTSANAN

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1031
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-3
Re: Last Room บทที่ 6(25/09/2019)
«ตอบ #24 เมื่อ25-09-2019 23:56:27 »

แอบสงสาร รสา

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
Re: Last Room บทที่ 6(25/09/2019)
«ตอบ #25 เมื่อ26-09-2019 20:19:06 »

ไม่ว่าจะอาหารหรือขนมถึงจะทำตามสูตร แต่รสมือก็ไม่เหมือนกัน สู้นะรสา o13

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: Last Room บทที่ 6(25/09/2019)
«ตอบ #26 เมื่อ28-09-2019 02:43:19 »

น้องคนนั้นต้องชอบอิ้งค์แน่ๆเลย

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: Last Room บทที่ 6(25/09/2019)
«ตอบ #27 เมื่อ28-09-2019 03:05:35 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Last Room บทที่ 6(25/09/2019)
«ตอบ #28 เมื่อ01-10-2019 22:42:31 »

LR 7

ทันทีที่รถมอเตอร์ไซค์ของอิงค์แล่นเข้าจอดหน้าประตูข่วงเมืองสิงห์ ป้าสำลีกับมอญก็กระวีกระวาดออกมาต้อนรับเหมือนอย่างเคย

“สวัสดีค่ะคุณอิงค์”

“อ้าว แล้วทำไมสองคนถึงมาพร้อมกันได้คะ” มอญถามเมื่อเห็นรถมอเตอร์ไซค์ของสิงห์ขับตามมาจอดข้างกัน

“บังเอิญเจอกันที่ร้านจามจุรีน่ะครับ” อิงค์ตอบ

“ไปอาบน้ำนะ” สิงห์เดินผ่านไปพร้อมกับบอกสั้นๆ

ป้าสำลีกับมอญลอบมองหน้ากันเพราะรู้ว่าข้อความเมื่อสักครู่ไม่ได้บอกทั้งสองคนแน่ๆ แล้วสิงห์ตั้งใจจะบอกใครล่ะถ้าไม่ใช่ชายหนุ่มเจ้าของร้านกาแฟที่ปากไม่ตอบอะไรแต่ทำตาหวานยืนมองส่งจนกระทั่งสิงห์เดินหายขึ้นไปบนชั้นสองของที่พัก ทั้งสองส่งยิ้มให้กันเงียบๆ

นับตั้งแต่ ‘ผู้หญิงคนนั้น’ จากไปสิงห์ก็ไม่เคยให้ใครมาอยู่ใกล้ตัว ถ้าจะมีก็แค่คู่นอนชั่วครั้งคราวที่ไม่เคยพามาเหยียบที่นี่สักครั้ง แค่พอมีระคายหูมาให้ได้ยินว่าคืนนี้ไม่ได้นอนคนเดียว

แต่พออิงค์ก้าวเข้ามาในข่วงเมืองสิงห์เมื่อหลายปีก่อน ชายหนุ่มคนนี้กลับมีบางสิ่งที่ต่างไปจากคนอื่น เขาไม่ได้แค่เข้ามาแหย่ในอาณาจักรสิงห์เล่นๆ แล้วก็กลับออกไป แต่กลับฝากร่องรอยอะไรบางอย่างไว้ที่ทำให้สิงห์ซึ่งอยู่เดียวดายมานานหลายปีทำท่าราวกับคิดจะมีคู่อีกครั้ง

ป้าสำลีกระแอมเรียกชายหนุ่มที่ยังไม่ละสายตากลับมาจากทางไปห้องใต้หลังคาเบาๆ “วันนี้คุณอิงค์ทำอะไรมาให้ป้าคะ”

“วันนี้ก็มีกาแฟเหมือนเดิมครับ” อิงค์บอก “กับคุ้กกี้อีกนิดหน่อย”

“ที่ให้ชิมเมื่อคราวก่อนใช่ไหมคะ” มอญว่าพร้อมกับชะโงกหน้าเข้ามาดูด้วยความสนอกสนใจ “น่าทานจังค่ะคุณอิงค์ เอ~ คราวก่อนที่ทำให้ชิมเป็นรูปดอกไม้นี่นา ทำไมวันนี้เปลี่ยนเป็นรูปอื่นล่ะคะ”

“รูปดอกไม้มีคนทำเยอะแล้วครับ ผมเลยทำรูปอื่น อันนี้เป็นตัวโลโก้ร้านไงครับ”

“ค่ะ โลโก้ร้าน” มอญพูดซ้ำ “ไม่ได้หมายถึงใครใช่ไหมคะ”

“ก็… เปล่าครับ” อิงค์ตอบอย่างขัดเขินนิดๆ เขาตั้งใจทำเป็นรูปหัวสิงโตน่ะแหละ ส่วนเรื่องว่าหมายถึงใครนั้นก็คงรู้ๆ กันอยู่ ก็แค่ตอนปั้นแป้งนึกถึงหน้าใครบางคนกับนมข้นหวาน แล้วมันก็ได้ออกมาเป็นรูปนี้นี่แหละ

ป้าสำลีกับมอญเริ่มต้นแกะถุงคุ้กกี้ออกชิมเป็นการตรวจสอบขั้นตั้นก่อนส่งผ่านไปถึงปากลูกค้าที่มาพัก อิงค์จึงเอ่ยปากขอยืมพื้นที่ชงกาแฟเพื่อนำมาทานคู่กัน

“ไม่เป็นไรค่ะคุณอิงค์ ป้าเกรงใจ”

“เกรงใจอะไรล่ะครับ ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณทุกคนที่ช่วยเป็นกำลังใจให้ผม คุณสุพจน์ขอโทษเรื่องที่เข้าใจผิด แล้วตอนนี้ร้านอื่นๆ ก็รับกาแฟผมไปขายเหมือนเดิมแล้วครับ”

“ดีจังเลยนะคะคุณอิงค์” มอญปรบมือให้

“หมดเคราะห์แล้วนะคะ” ป้าสำลีลูบหลัง “ต่อจากนี้ไปก็ขอให้ขายดิบขายดี เฮงๆ นะคะ”

“ดังนั้นป้าสำลีกับพี่มอญต้องดื่มกาแฟที่ผมชงนะครับ เป็นการเอาฤกษ์เอาชัยของวันนี้” อิงค์เดินไปที่รถแล้วหยิบอุปกรณ์ที่เตรียมมาจากร้านออกมาวาง

ป้าสำลีกับมอญเขยิบเข้ามามุงดูด้วยความสนอกสนใจ

อิงค์เริ่มต้นด้วยการเทช็อตเอสเพรสโซที่เตรียมมาในกระบอกเก็บความร้อนใส่ในแก้วกระเบื้อง แล้วนำนมสดไปอุ่นในไมโครเวฟให้ร้อนก่อนจะเอาก้านตีฟองนมตีจนกระทั่งได้ฟองนมเนียนๆ ขึ้นมาจึงตักขึ้นมาโรยบนหน้ากาแฟเป็นเส้นๆ หลังจากนั้นก็ใช้ไม้จิ้มฟันขีดขวางลงไปบนเส้นฟองนมสีขาว เกิดเป็นลวดลายคล้ายหัวใจดวงเล็กๆ ลอยอยู่บนหน้าแก้วกาแฟ

“ขอบคุณป้าสำลีกับพี่มอญนะครับที่คอยช่วยเหลือผม” อิงค์เสิร์ฟแก้วกาแฟให้พร้อมกับยิ้มกว้าง

“ขอบคุณค่ะคุณอิงค์” ป้าสำลีกับมอญรับไปด้วยสีหน้าเอ็นดูระคนชื่นชม ถ้าหากสิงห์คิดจะคว้าผู้ชายสักคนมาเป็นสะใภ้บ้าน คนเดียวที่ทั้งสองจะยอมให้ก็คือชายหนุ่มคนนี้นี่แหละ ตอนนี้คุณสิงห์อาจจะยังไม่รู้หัวใจตัวเองก็ไม่เป็นไร แล้วคุณอิงค์ก็คงยังสงวนท่าทีไม่กล้ารุกหนัก

...ไม่เป็นไร ใครไม่ชงเดี๋ยวป้าชงเอง ป้าจะชงให้แก้วแตกเลยคอยดูสิ! ...

ป้าสำลีกับมอญหันมาพยักหน้าให้กันอย่างรู้ใจ

ไม่กี่นาทีต่อมาสิงห์ที่อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก็เดินกลับลงมา “จะไปหรือยัง”

“ครับ” อิงค์ตอบได้เท่านั้น ปกติเขาคุ้นตากับสิงห์ในชุดผ้าฝ้ายคอวีตัวโคร่งกับกางเกงผ้าตัวหลวม แต่ที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้แทบจะกลายเป็นคนละคนกัน

สิงห์สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวดูสะอาดตากับกางเกงเข้ารูปสีดำสนิท เรือนผมที่ปกติจะสยายยาวไปข้างหลังถูกจับรวบตึงเรียบร้อย เผยให้เห็นโครงหน้าที่คมอยู่แล้วชัดขึ้นไปอีก

“คุณสิงห์จะไปไหนคะ” ป้าสำลีถาม “แล้วทำไมต้องแต่งตัวหล่อด้วย”

“พาเจ้าหนูนี่ไปหาปู่กมล” สิงห์ตอบ

“ตายแล้ว!” ป้าสำลียกมือทาบอก

“ยังไม่ตายป้า”

“นี่คุณสิงห์ของป้าจะ…”

“พอๆ ป้า หยุดเลยหยุด!” สิงห์รีบพูดเสียงดังดักคอไว้ก่อน “แค่ไปส่ง เพราะปู่เขาจะสั่งกาแฟร้านเจ้าหนูนี่ก็เท่านั้น”

อิงค์นึกขึ้นได้ สถานที่ที่พวกเขากำลังจะไปคือโรงแรมอันดับหนึ่งในเมืองน่าน การที่สิงห์จะต้องแต่งตัวดูดีให้เกียรติสถานที่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เขาก้มลงมองดูตัวเองอย่างขัดเขินถึงจะแต่งตัวคล้ายกันด้วยเสื้อเชิ้ตกับกางเกงขายาว แต่เขากลับรู้สึกว่าตัวเองดูปอนๆ ไม่เหมือนเจ้าของร้านกาแฟที่กำลังจะไปเจรจาธุรกิจเลยสักนิด คิดแล้วก็อยากจะกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่บ้างเหมือนกัน

“แล้วนี่ทำอะไรกินกัน” สิงห์กวาดตามองอุปกรณ์ทำลาเต้อาร์ตของอิงค์ที่วางอยู่ก่อนจะมองเลยไปยังแก้วกาแฟที่ป้าสำลีกับมอญดื่มค้างไว้

“ลาเต้ค่ะ” มอญรายงาน “คุณอิงค์วาดเป็นรูปหัวใจดวงเล็กน่ารักๆ ด้วย คุณสิงห์ดูสิคะพี่มอญถ่ายรูปเก็บไว้ด้วยนะ”

สิงห์เหลือบตามองรูปในโทรศัพท์ที่มอญเปิดอวดก่อนจะฮึมฮัมในลำคอเบาๆ ตัวเขาที่อุตส่าห์ถ่อไปส่งถึงร้านได้กินกาแฟธรรมดา แต่สองคนนี้อยู่ที่บ้านเฉยๆ กลับมีลาเต้อาร์ตสวยๆ มาเสิร์ฟถึงที่... เชอะ! แล้วจะไม่ให้เขาน้อยใจได้ยังไง

“ขึ้นรถ” เขากล่าวเสียงห้วนก่อนจะเดินนำไปที่รถมอเตอร์ไซค์

อิงค์ที่ยังไม่รู้ตัวว่าโดนงอนรีบขึ้นซ้อนท้าย

สิงห์บึ่งออกไปเพียงครู่เดียวก็มาถึงเฮือนไกรสร ในขณะที่ขับรถวนรอบสิงโตหินเพื่อหาที่จอดอิงค์ก็สังเกตเห็นว่ามีคนงานกำลังต่อบันไดปีนขึ้นไปบนรูปปั้นเพื่อทำอะไรสักอย่างตรงปากสิงโตที่อ้ากว้าง

สิงห์เองก็เห็นเช่นกัน “สงสัยนกจะเข้าไปทำรัง”

อิงค์พยายามเพ่งมองขึ้นไปดูคนงานที่ทำงานกันอย่างทุลักทุเล นึกสงสัยว่าเจ้านกน้อยนั่นคงดื้อไม่เบาทีเดียว

ด้านหน้าโรงแรมนั้นที่จอดเต็มหมด สิงห์จึงวนไปด้านหลังและแทรกรถเข้าไปจอดตรงใต้ร่มไม้

“เป็นอะไร” สิงห์ถามชายหนุ่มที่พอลงจากรถเขาแล้วก็ไม่ขยับไปไหนเอาแต่ยืนนิ่งและยกมือข้างหนึ่งกุมหน้าอกไว้ จะว่าตกใจที่เขาขับรถซิ่ง แต่ความเร็วแค่ร้อยยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงนี่เขาก็ไม่คิดว่ามันเร็วมากเท่าไหร่นะ

“จู่ๆ ก็ตื่นเต้นขึ้นมานิดหน่อยครับ ผมเพิ่งเคยมาคุยธุรกิจที่ดูเป็นทางการขนาดนี้เป็นครั้งแรก” อิงค์ตอบ

“ก็ทำเหมือนเวลาที่เธอไปคุยกับที่อื่นน่ะแหละ”

“กำลังพยายามคิดแบบนั้นอยู่ครับ ขอเวลาผมแป๊บนึงน่ะ” อิงค์หลับตาลงแล้วเริ่มต้นทำสมาธิโดยการสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วผ่อนออกช้าๆ โดยมีสิงห์ยืนดูอยู่เงียบๆ

ครั้งแรกผ่านไป...

ครั้งที่สอง...

ครั้งที่สาม...

ตาคมเหลือบลงมองริมฝีปากที่เป่าปากส่งเสียงฟืดฟาดเบาๆ สิงห์ก็รู้สึกว่าตัวเองต้องทำอะไรสักอย่าง

“อิงค์เงยหน้าขึ้นหน่อย”

“ทำไมหรือครับ...”

แล้วเสียงของอิงค์ก็เงียบหายไปเพราะริมฝีปากหยักลึกที่ประกบลงมาแนบสนิท กลีบปากนุ่มกดย้ำซ้ำๆ เบาสลับหนัก และเมื่อริมฝีปากนั้นผละออกมันก็ดึงเอาความกังวลทั้งหมดทั้งมวลไปพร้อมกันด้วย

“พร้อมหรือยัง” สิงห์กระซิบถามที่ข้างหู

“พ... พร้อมแล้วครับ” อิงค์รู้สึกว่าตัวเองร้อนเหมือนเมล็ดกาแฟที่กำลังโดนคั่วด้วยรอยยิ้มอุ่นๆ ที่ส่งมาจากชายหนุ่มผิวแทน เขาเงยหน้าขึ้นสบตาสิงห์ เมื่อฝ่ามือใหญ่จับลงกลางศีรษะแล้วลูบเบาๆ เติมกำลังใจให้จนเต็ม

“เธอทำได้อยู่แล้ว”

อิงค์พยักหน้ารับคำ

“เป็นอะไรอีกล่ะ” สิงห์ถามคนที่จู่ๆ ก็เงียบไปและเอาแต่จ้องหน้าเขา

“ก… ก็แค่คิดว่าวันนี้พี่สิงห์ดูหล่อกว่าทุกวัน” อิงค์ตอบ “ยิ่งรวบผมแบบนี้ยิ่งหล่อ”

สิงห์หยักยิ้มมุมปากก่อนจะก้มหน้าลงมาใกล้ “ถ้าเธอชอบ ฉันแต่งให้ดูทุกวันเลยดีไหม”

อิงค์เขินจนหน้าแดง “แต่งให้ดู ก็ดูนะ”

สิงห์หัวเราะในลำคอก่อนจะยืดตัวขึ้นเต็มความสูง “ไม่เอาหรอกร้อนจะตาย… นอกเสียจากว่าเธอจะมีอะไรมาเป็นของแลกเปลี่ยน” แล้วขยิบตาให้ครั้งหนึ่ง

ทั้งสองเดินเข้าไปในโรงแรม ตรงหน้าประตูนั้นมีพนักงานต้อนรับคนหนึ่งยืนอยู่ อิงค์เดินเข้าไปหายังไม่ทันจะพูดอะไรเขาก็เอ่ยขึ้นก่อน

“คุณอิสระใช่ไหมครับ เชิญทางนี้เลยครับ คุณกมลรอพบคุณอยู่ด้านในแล้ว ส่วนผมชื่ออินถาครับเป็นผู้ช่วยของคุณกมล”

อิงค์เดินตามหลังพนักงานต้อนรับคนนั้นเข้าไปโดยมีสิงห์เดินตามหลังมาอีกที ระหว่างที่เดินไปตามทางอิงค์ก็เหลียวมองการตกแต่งที่เต็มไปความวิจิตรและปราณีต ด้วยการประดับเสาและหลังคาด้วยลวดลายสลักเสลาตามแบบไทย รวมไปถึงโคมไฟอันใหญ่ที่อยู่ตรงกลางโถง ทุกอย่างเป็นโทนสีไม้ดูสบายตาให้ความรู้สึกเหมือนมาพักผ่อนอยู่ที่บ้านอีกหลัง พนักงานต้อนรับทั้งชายหญิงแต่งกายด้วยชุดไทยล้านนา มีเอกลักษณ์โดดเด่นตรงผ้าซิ่นที่ใช้นุ่งนั้นเป็นพื้นสีดำสนิททอลายพญาราชสีห์สีทองดูน่าเกรงขามและสวยงามในเวลาเดียวกัน

“ถึงแล้วครับ” อินถาซึ่งทำหน้าที่นำทางกล่าวพลางผายมือไปด้านใน

อิงค์เงยหน้าขึ้นมองป้ายห้องอาหารที่แกะสลักจากไม้สักทั้งแผ่นเป็นคำว่า ‘บัวพันกาบ’ แล้วก็นึกประหม่าอยู่ครามครัน เขาหันไปสบตาสิงห์เรียกขวัญและกำลังใจให้ตัวเองก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน

ห้องอาหารบัวพันกาบนั้นเน้นการตกแต่งเป็นลวดลายดอกบัวขาวตามความหมายของชื่อห้อง อาหารที่เสิร์ฟที่นี่จะเน้นอาหารไทยเป็นหลักซึ่งถูกจัดมาในชุดขันโตกที่แต่งขอบให้มองดูคล้ายกลีบดอกบัวโดยมีจานอาหารวางเรียงอยู่ตรงกลางคล้ายกับเกสร มีนักเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาตินั่งรับประทานอาหารกันอยู่หลายโต๊ะ

ชายชรานั่งรออยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งลุกขึ้นยืนต้อนรับเมื่อเห็นอินถาพาแขกที่นัดไว้เข้ามา “สวัสครับคุณสิงห์ คุณอิงค์”

“สวัสดีครับคุณกมล” อิงค์รีบยกมือไหว้อย่างนอบน้อม “ในเมลที่ทางคุณส่งมาให้ผมบอกว่าให้มาตรงเวลานัดหมาย ผมก็เลยไม่ได้เตรียมของมาตามที่เราคุยกันไว้ทีแรก”

“พอดีฉันเปลี่ยนแผนนิดหน่อยน่ะ รบกวนเธอทางนี้หน่อย” ชายชราตอบพลางเดินนำไปยังเคาน์เตอร์ชงกาแฟที่มีอุปกรณ์ทันสมัยครบครันและเมล็ดกาแฟนานาชนิด มันเป็นสวรรค์ขนาดย่อมของคนรักกาแฟจนอิงค์ต้องแอบร้องว้าวในใจ

“มีอะไรหรือครับ” อิงค์ถาม

“ผมอยากให้คุณอิงค์ช่วยชงกาแฟสดให้พวกเราดื่มหน่อยได้ไหมครับ ตามเมนูโจทย์ที่ให้ต่อไปนี้”

“ตกลงนี่ปู่จะขอร่วมงานด้วยหรือจะหลอกใช้งานกันแน่เนี่ย” สิงห์แทรกขึ้น

“ก็เห็นในรีวิวบอกว่ากาแฟขวดอร่อยแต่ที่ชงขายสดๆ อร่อยกว่า”

“มีคอมเมนต์แบบนั้นด้วยเหรอครับ” อิงค์ถามพาซื่อ ตั้งแต่เขาเห็นคอมเมนต์ในทางลบพวกนั้นก็เลี่ยงการเข้าไปดูข้อความอื่นๆ เพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกแย่ไปมากกว่าเดิม

“นี่ไง” กมลหันไปรับแท็ปเล็ตจากผู้ช่วยที่เปิดรออยู่แล้วส่งให้ดู โพสต์ตัวปัญหาที่ให้คะแนนรีวิวหนึ่งดาวนั้นตอนนี้มีคนมาตอบต่อท้ายด้วยข้อความชื่นชมพร้อมด้วยภาพประกอบที่เขาจำได้ว่าเป็นลูกค้าที่เคยมาที่ร้านและหนึ่งในนั้นก็คือคุณกิตติ์ที่เขียนชมวานิลลาไอซ์คอฟฟี่ของเขาเสียยืดยาว

“ดีจัง” อิงค์แอบอมยิ้มจนแก้มป่อง

“ส่วนอันนี้ไม่ค่อยเกี่ยวเท่าไหร่แต่คิดว่าน่าสนใจมากครับ” อินถาใช้ปลายนิ้วเลื่อนไปอีกภาพซึ่งมาจากทวิตเตอร์

มันเป็นภาพตัวเขาสวมผ้ากันเปื้อนอยู่ที่ร้านขณะกำลังชงกาแฟในมุมมองที่แอบถ่ายมาจากอีกฟากของเคาน์เตอร์ คำบรรยายพร้อมแฮชแทคทำให้ใจเต้นตึกตักไม่น้อย



ภาพประกอบ

ที่ใจมันสั่นเป็นเพราะกาแฟหรือเป็นเพราะรอยยิ้มของพี่แกกันแน่นะ #บาริสต้าหล่อบอกต่อด้วย คนชง #อร่อยบอกต่อ

อิงค์หน้าร้อนขึ้นมาทันที

ปู่กมลไล่สายตาอ่านคอมเมนต์ที่อินถาเลื่อนให้ดู


อู้วววว~งานดีย์❤

แม่ขา~ หนูอยากกินพี่เค้า เอ๊ย! อยากกินกาแฟของพี่เค้าจังเลยค่ะ

พี่คะ ตอนเด็กๆ แม่บอกว่าหนูไม่ยอมกินนมแม่เลยค่ะ ร้องจะกินแต่กาแฟ แสดงว่าเราต้องเกิดมาเป็นเนื้อคู่กันแน่ๆ เลย

ถ้าร้านพี่ไม่รับพนักงานพาร์ทไทม์งั้นหนูขอพาสไปเป็นแฟนประจำตัวพี่เลยได้ไหมคะ

ถึงว่าทำไมยังหาเนื้อคู่ไม่เจอ ที่แท้มัวไปชงกาแฟอยู่ที่น่านนี่เอง

“นายว่าไง” กมลถามความเห็นผู้ช่วย

“เท่าที่เห็นด้วยสายตาก็งานดีครับ แต่ฝีมือจะดีด้วยหรือเปล่าต้องมาพิสูจน์กันครับ”

กมลเงยหน้าขึ้นมองอิงค์ “ตกลงจะทำไหม”

“ผมทำได้ครับ” อิงค์ตอบอย่างกระตือรือร้น “โจทย์ของผมคืออะไรครับ”

“เธอเห็นคุณผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงริมหน้าต่างนั่นไหม” กมลชี้มือไปที่ชายวัยกลางคนซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ “ถ้าเธอทำให้เขาเอ่ยชมกาแฟของเธอได้ ถือว่าผ่าน”

“แล้วผมต้องชงอะไรครับ”

อินถาส่งใบสั่งเครื่องดื่มที่พนักงานของห้องอาหารเพิ่งเดินไปรับมาให้อิงค์

“ลาเต้ร้อน”

อิงค์เริ่มต้นด้วยการทำเอสเพรสโชช็อต สตรีมนมร้อนแล้วเทขึ้นลายทำเป็นรูปหัวใจ

“เธอคิดว่าไง” กมลหันไปกระซิบกับอินถา

“รูปหัวใจเป็นพื้นฐานของการทำลาเต้อาร์ตที่บาริสต้าทุกคนทำเป็นอยู่แล้ว ไม่มีอะไรพิเศษครับ แต่ที่น่าสนใจคือจังหวะข้อมือและความเร็วในการขึ้นลาย เห็นได้ชัดว่าสมาธิดีมากเกิดจากการฝึกฝนมาอย่างหนักครับ”

“คิดว่ารสชาติใช้ได้ไหม” กมลถามต่อ

“อัตราส่วนกาแฟต่อนมเป็น1ต่อ2 และเติมวานิลลาไซรัป 1 ปั๊ม… ตามสูตรนี้แน่นอนว่าจะทำให้ได้รสชาติพื้นฐานที่ดีของลาเต้ ถือว่าอร่อยแต่ไม่ว้าวครับ” อินถาตอบ “ถ้าไม่ใข่เพราะมีฝีมือแค่นี้ ผมคิดว่าเขาเลือกใช้วิธีเพลย์เซฟครับ”

กมลมองดูอิงค์ที่กำลังใช้ช้อนตักฟองนมขึ้นมาแล้วเทใส่ช้อนอีกคันสลับกันไปมาคล้ายกับกำลังพยายามปั้นให้เป็นก้อนกลมๆ ก่อนจะโปะลงไปบนแก้วกาแฟที่ทำเสร็จแล้ว “ฉันว่าเขาไม่ได้เพลย์เซฟนะ”

อินถาพยักหน้าเมื่อเห็นอิงค์ผสมกาแฟลงในฟองนมอีกแก้วแล้วหยิบไม้พายอันเล็กขึ้นมาจุ่มป้ายลงไปบนฟองนมก้อนใหญ่นั้น “ผมคงด่วนตัดสินใจเร็วไป”

“เสร็จแล้วครับ” อิงค์กล่าวพร้อมกับหันผลงานที่เสร็จเรียบร้อยแล้วมาให้เห็นกันชัดๆ

ในแก้วกระเบื้องสีขาวมีสิงโตตัวใหญ่สีน้ำตาลเกาะอยู่คล้ายกับมันกำลังชะโงกหน้าออกมาจากแก้ว ยิ้มและโบกมือให้อย่างอารมณ์ดี





อินถาจัดการยกไปเสิร์ฟให้ ระหว่างที่อิงค์กำลังไขว้นิ้วลุ้นผลอย่างใจจดใจจ่อสิงห์ก็เขยิบมายืนข้างๆ แล้วกระซิบที่ได้ยินกันสองคน

“ทำไมถึงทำลาเต้อาร์ตรูปฉันไปให้คนอื่นกินล่ะ”

อิงค์เหลือบตามอง ระยะที่ห่างกันแค่คืบจนลมหายใจรดต้นคอทำให้เขาต้องเกร็งยืนตัวแข็ง “ใครว่าผมทำรูปพี่สิงห์ ผมทำตัวมาสคอตของที่นี่ต่างหาก”

“กล้าสาบานไหม”

“กล้าอยู่แล้ว”

“เมื่อวานเธอเพิ่งบอกว่ามันเหมือนฉัน”

“หลงตัวเอง”

“เอาดีๆ ฉันน้อยใจนะเนี่ย เมื่อเช้าก็ทำให้ป้าสำลีกับพี่มอญ ทีของฉันได้กินแบบธรรมดา”

“ใครบอก ของพี่สิงห์น่ะพิเศษสุดเลยนะ”

“ตรงไหน”

“ตรงที่ใส่ใจคนชงลงไปด้วยไง”

“เหรอ” สิงห์เขยิบไปใกล้อีกนิดและกระซิบที่ข้างหู “แต่ฉันอยากกินคนชงมากกว่านะ”

อิงค์หน้าร้อนวาบ อีกนิดเดียวริมฝีปากหยักก็จะโดนแก้มเขาอยู่แล้ว อิพี่สิงห์นี่ชอบแกล้งแหย่เขาเล่นโดยไม่เลือกเวล่ำเวลาจริงๆ

อินถาเดินกลับมา สิงห์จึงขยับกลับไปยืนที่เดิมและทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“เป็นอย่างไรบ้างครับ” อิงค์ถาม

กมลหันไปฟังคำตอบจากผู้ช่วยก่อนจะหันมาบอกอิงค์ “ฉันเปลี่ยนใจไม่รับกาแฟจากร้านเธอแล้ว”

อิงค์หน้าเสีย “ผม… ผมทำอะไรไม่ถูกใจ…”

“แต่ฉันจะจ้างเธอมาทำงานที่นี่แทน” กมลพูดต่อจนจบ

“คุณ… ล้อผมเล่นหรือเปล่าครับ”

“เรื่องแบบนี้ฉันไม่เอามาล้อเล่นหรอก” กมลบอก “ตอนนี้ร้านเรากำลังขาดคน ถ้าเธอไม่รังเกียจจะร่วมงานกับเรา เธอสามารถเริ่มงานได้ทันทีที่พร้อม”

“แต่ว่าผมมีร้านอยู่แล้วนะครับ”

“ทำงานสัปดาห์ละห้าวันจันทร์ถึงศุกร์ วันเสาร์อาทิตย์ฉันให้เธอหยุด เธอจะไปเปิดร้านหรือทำอะไรก็ตามใจเธอ เงินเดือนฉันให้สามหมื่นไม่รวมโอทีและโบนัสประจำปี”

“ขอโทษจริงๆ ครับแต่ผมรับข้อเสนอของคุณไม่ได้จริงๆ” อิงค์ค้อมศีรษะปฏิเสธ

“มีอะไรที่เธอไม่พอใจหรือ ลองเสนอมาสิ ฉันคิดว่าเราตกลงกันได้นะ” กมลกล่าว “ถ้าเธอแค่อยากจะชงกาแฟ เธอก็เห็นแล้วว่าที่นี่มีให้เธอพร้อมทุกอย่าง แถมเธอยังไม่ต้องมาคอยกังวลกับค่าใช้จ่ายต่างๆ ด้วย”

“ผม…” อิงค์รวบรวมความกล้าและตอบไปตามตรง “จริงอยู่ว่าข้อเสนอนั่นทั้งน่าสนใจและค่อนข้างมั่นคงทางการเงิน แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการครับ ผมอยากจะมีร้านเป็นของตัวเอง ถึงจะไม่ใหญ่โตแต่อบอุ่นและมีความสุขด้วยรอยยิ้มของคนที่แวะเวียนมาชิมกาแฟที่ผมชง นั่นต่างหากครับคือความฝันของผม”

“ถ้าอย่างนั้นก็น่าเสียดายนะ” กมลกล่าว “เพราะแทนที่จะได้ร่วมงานกัน เราจะกลายเป็นคู่แข่งทางการค้ากันทันที”

“ถ้าเป็นเช่นนั้นผมก็ยินดีมากเลยครับ”

กมลเลิกคิ้ว “แทนที่จะตกใจหรือเสียใจ เธอกลับดีใจงั้นหรือ ประหลาดคนจัง”

“ต้องดีใจถูกแล้วครับ ห้องอาหารใหญ่ของโรงแรมอันดับหนึ่งในจังหวัดน่านยอมรับผมเป็นคู่แข่ง แสดงว่าผมต้องเก่งพอตัวเลยใช่ไหมล่ะครับ”

“สรุปเจ้าหนูนี่กำลังชมฉันหรือชมตัวเองกันแน่นะ” กมลหันไปหัวเราะกับอินถาอย่างชอบอกชอบใจ

“คุณอิสระครับ ลูกค้าท่านนั้นบอกว่าชอบลาเต้อาร์ตรูปสิงโตมาก อยากจะขอพบบาริสต้าเจ้าของผลงานหน่อยครับ ไม่ทราบว่าคุณสะดวกไหมครับ” อินถากล่าว

“สะดวกมากๆ เลยครับ”

“เชิญครับ” อินถาผายมือพร้อมกับเดินนำไปยังโต๊ะที่ชายคนนั้นนั่งอยู่

“ผมพาคุณอิสระ บาริสต้าที่ชงกาแฟให้คุณมาแล้วครับ”

ชายคนนั้นพับหนังสือพิมพ์ที่อ่านค้างไว้ลงและหันมา

ตอนที่เห็นข้างหลัง อิงค์คะเนว่าเขาคงสักวัยกลางคนแต่พอมาดูใกล้ๆ กลับพบว่าหน้าตายิ่งดูอ่อนกว่าอายุหลายปีนัก เขามีโครงหน้าคมชัด ตาคม แผงคิ้วหนา ดูหล่อเหลาราวกับรูปสลัก

“เธอเองเหรอที่เป็นคนทำสิงโตน่ารักๆ ตัวนี้” เสียงนุ่มทุ้มของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชม

“ผมเองครับ”

พอฟังจบ ชายคนนั้นก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมืออิงค์จนเขาตกใจและพูดเสียงดัง

“ชอบนะ อยากได้”

“ว… ว่าไงนะครับ” อิงค์ถึงกับไปไม่เป็น เขาหันมองหน้าสิงห์เลิ่กลั่ก

“ปู่ ฉันชอบคนนี้ ฉันจะเอาคนนี้ ปู่เจรจาเรียบร้อยแล้วใช่ไหม” ชายคนนั้นพูดรัวเร็ว

“เจรจาล้มเหลวครับท่าน เขาเพิ่งปฏิเสธผมมาเมื่อสักครู่นี่เอง”

“ปู่นี่ไม่ได้เรื่องเลย” ชายคนที่กมลเรียกว่า ‘ท่าน’ ทำเสียงฮึดฮัดในลำคอแล้วหันมาหาอิงค์ “ฉันให้เพิ่มจากราคาที่ปู่บอกอีกหมื่นนึง ไม่ต้องทำงานที่ร้าน หน้าที่ของเธอคือตามฉันไปทุกที่และชงกาแฟให้ฉันกินคนเดียว ตกลงไหม… เอ๊ะ! หรือว่าน้อยไป ปลายปีฉันให้โบนัสหกเดือน แถมพาไปเที่ยวต่างประเทศฟรีปีละหนด้วยนะ หรือจะมากกว่านั้นก็ได้ถ้าเธอสะดวกไป”

“คือ… ผม… ไม่…”

“วันหยุดพิเศษสิบห้าวันต่อปี ตกลงไหม” ชายคนนั้นพูดต่อ “เงินต่อรองได้ แต่จำนวนวันหยุดอย่าต่อรองเลยนะ ฉันคงขาดใจตายแน่ๆ ถ้าไม่ได้กินกาแฟฝีมือเธอ”

“ถ้างั้นก็ให้มันขาดใจตายไปเลยครับ” สิงห์เข้ามาแทรกกลางพร้อมกับคว้าข้อมือชายคนนั้น

“พ… พี่สิงห์…” อิงค์ตาเหลือก ทั้งสิงห์และชายคนนั้นทำท่าพร้อมจะวางมวยใส่กันได้ทุกเมื่อ

“มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของแก”

“ใช่สิครับเพราะผมเป็นคนพาเขามา” สิงห์ตอบ

“เด็กแกเหรอไอ้สิงห์”

“แล้วถ้าผมบอกว่าใช่ล่ะครับ… คุณพ่อ”

อิงค์ตาโต สมองขบคิดอย่างหนัก พยายามประมวลผลกับคำว่า ‘คุณพ่อ’ ที่สิงห์เรียกชายคนนั้น ...พ่ออุ้ย? ... ภาษาเหนือมันแปลว่า ปู่หรือตา… ไม่น่าใช่สินะ เอ๊ะ! หรือจะหมายถึงพ่อเลี้ยง ที่คนเหนือเขาเอาไว้เรียกพวกเจ้านายหรือคนมีเงิน… แล้วคนๆ นี้ถ้าดูจากการแต่งตัวที่ใส่สูทอย่างเนี้ยบแล้วก็น่าจะรวยไม่หยอก ใช่แล้ว! พี่สิงห์ต้องหมายความแบบนั้นแน่ๆ

“คุณท่านกับคุณหนูลดเสียงลงหน่อยได้ไหมครับ แขกท่านอื่นๆ เริ่มมองแล้วนะครับ” อินถาเอ่ยขึ้นเบาๆ

อิงค์หันควับ …คุณหนู? อะไรอี๊กกกก…

ชายคนนั้นหันไปค้อมศีรษะรอบๆ เป็นเชิงขอโทษ ก่อนจะหันมาหาเขาและผายมือไปยังเก้าอี้ข้างตัวที่ว่างอยู่ “เชิญคุณอิสระนั่งครับ”

“ครับ”

อิงค์ยังไม่ทันจะนั่ง สิงห์ก็กระแทกตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามแล้วคว้ามืออีกข้างของอิงค์พร้อมสะบัดสายตาไปยังที่ว่างข้างตัว “มานั่งนี่”

“เอ่อ… ผม” อิงค์เหลือบตามองมืออีกข้างที่ชายคนนั้นยังจับไว้ไม่ปล่อย

ชายคนนั้นยอมปล่อยมือ อิงค์จึงเดินไปนั่งกับสิงห์อย่างงงๆ ว่าตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันแน่

“ขออนุญาตแนะนำครับ” อินถาเอ่ยขึ้น ดูท่าเขาจะเข้าใจเครื่องหมายคำถามมากมายบนหน้าอิงค์ “นี่คุณเหมราช เป็นประธานคณะกรรมการผู้บริหารโรงแรมในเครือไกรสรกรุ๊ปคนปัจจุบันครับ”

“อ่อ” อิงค์พยักหน้า รู้สึกสมองมันประมวลผลช้าๆ ชอบกล

“ฉันเป็นเจ้าของที่นี่” เหมราชสรุปให้อีกครั้ง

อิงค์รีบยกมือไหว้แทบไม่ทัน “สวัสดีครับ ขอโทษครับที่ผมเสียมารยาทกับท่าน”

“เธอยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลย” เหมราชโบกมือ “ฉันต่างหากที่ชอบเจ้าสิงโตน้อยของเธอมากจนเผลอทำตัวเป็นเด็กๆ ไปหน่อย ทีแรกนึกว่าเป็นฝีมืออินถา ไม่คิดเลยว่าจะเป็นคนของเจ้าสิงห์… นี่ๆ ยกให้พ่อเถอะนะ”

“เจ้าหนูนี่ไม่ใช่สิ่งของจะมายกให้กันง่ายๆ ได้ยังไงล่ะพ่อนี่ก็”

“ซื้อตัวไง ซื้อตัว ทำไมแกนี่เข้าใจอะไรยากจัง” เหมราชว่า “จะเรียกเท่าไหร่ก็ว่ามาเลย พ่อสู้เต็มที่”

“เจ้าหนูนี่ไม่ใช่ลูกน้องผมเสียหน่อย”

“อ้าว ก็เมื่อกี้แกบอกว่าเด็กแก ตกลงมันยังไงล่ะ”

อิงค์เหลือบตามองสิงห์ เขาเองก็แอบลุ้นคำตอบอยู่นิดๆ เหมือนกัน แต่สุดท้ายแล้วก็คิดว่าสิงห์คงจะไม่ตอบอะไรที่มากไปว่า ‘คนรู้จัก’

“ก็ดูๆ กันอยู่”

อิงค์สะดุ้งโหยง จ้องสิงห์ตาไม่กะพริบ

“ดูนี่ดูยังไงวะ ถ้ามากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่แฟนมันก็กิ๊กน่ะสิ”

“ไม่ใช่กิ๊ก” สิงห์ตอบ “ผมไม่มีแฟนจะมีกิ๊กได้ไง”

“คุยกับแกปวดหัว ฉันถามคุณอิสระดีกว่า” เหมราชหันมาหาเขา “ขอเสียมารยาทนะครับ คุณอิสระเป็นอะไรกับลูกชายผมครับ”

คำเรียกขานนั้นสร้างความตกใจให้อิงค์มากกว่าคำถามเสียอีก “ลูก… ลูกชาย?”

เหมราชหันไปมองหน้าสิงห์ “นอกจากจะบอกไม่ได้ว่าเป็นอะไรกันแล้วนี่แกยังไปหลอกอะไรคุณอิสระเขาไว้อีกเนี่ยไอ้สิงห์”

“ผมไม่ได้หลอกอะไรเลยนะ เจ้าหนูนี่มันเข้าใจผิดไปเอง” คนโดนกล่าวหารีบพูด

“พี่สิงห์ไม่ใช่พนักงานของข่วงเมืองสิงห์เหรอ” อิงค์ถาม

“เป็น” สิงห์ตอบ

“แต่ถ้าพี่สิงห์เป็นลูกชายของคุณเหมราชที่เป็นเจ้าของเฮือนไกรสร แล้วทำไมพี่สิงห์ต้องไปเป็นลูกจ้างเขาด้วยล่ะ” อิงค์ยังไม่มีทีท่าจะเข้าใจ

“ไม่ได้เป็นลูกจ้างแต่เป็นเจ้าของ” สิงห์ว่า “ชื่อก็บอกอยู่ไม่ใช่เหรอว่า ‘ข่วงเมืองสิงห์’ แปลตรงตัวก็คืออาณาจักรของสิงห์ หรือก็คือฉันไง”

อิงค์มองชายสองคนตรงหน้าสลับกัน เขารู้สึกว่าตัวเองหลงเข้ามาในอาณาจักรของสิงห์จริงๆ เสียแล้ว


(ต่อข้างล่างค่ะ)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-10-2019 22:50:27 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Last Room บทที่ 6(25/09/2019)
«ตอบ #29 เมื่อ01-10-2019 22:45:09 »

(ต่ตรงนี้ค่ะ)

“เจ้าพ่อบ้านี่ตื๊อไม่เลิกจริงๆ เธอเองก็ไม่ยอมตอบไปให้ชัดๆ ว่าไม่เอา ดูสิ! กว่าจะหนีมาได้ปาไปเกือบชั่วโมง” สิงห์บ่นขณะเดินมาขึ้นรถ

“พี่สิงห์เองก็ตอบไม่ชัดเหมือนกัน” อิงค์เอ่ยขึ้นเบาๆ

“อะไร”

“ที่บอกว่าดูๆ กันอยู่ไง… เอ่อ แต่บอกตามตรงแค่นี้ผมก็ดีใจนะ มันฟังดูดีกว่าคนรู้จักเยอะเลย” พูดเองก็เขินเอง อิงค์ก้มหน้าซ่อนแก้มที่ต้องเริ่มเปลี่ยนสีขึ้นแน่ๆ “เอ่อ.. พี่สิงห์ยังไม่ต้องรีบกลับกับผมก็ได้นะ พ่อพี่บ่นว่านานๆ พี่จะกลับบ้านทีนี่นา แล้วเห็นว่าเมื่อกี้แม่ก็กำลังมาด้วย พี่สิงห์ไม่อยู่เจอแม่ก่อนเหรอ”

“ไม่เอาหรอกไม่อยากเจอ” เสียงของสิงห์เข้มขึ้นทันที

“ทำไมล่ะ”

“แม่ฉันเสียไปตั้งแต่ตอนฉันเกิด คนนี้เป็นแม่เลี้ยงน่ะ”

“แบบนั้นพี่ก็ยิ่งต้องอยู่คอยเอาอกเอาใจพ่อสิ พี่ไม่กลัวพ่อพี่ยกสมบัติให้แม่เลี้ยงกับลูกหมดเหรอ” อิงค์พูดติดตลก

“เขาอยากให้ใครก็ตามใจ ฉันก็มีข่วงเมืองสิงห์แล้วไง” สิงห์ว่า “หรือว่าถ้าเขาตัดฉันออกจากกองมรดก เธอก็จะไม่สนใจฉันแล้วเหรอ”

“พูดไปนั่น ผมคิดว่าพี่เป็นแค่พนักงานต้อนรับจนๆ ด้วยซ้ำ ก็ดูแต่งตัวเข้าสิ”

“แล้วเธอไม่โกรธเหรอ ฉันนึกว่าเธอจะดราม่าแบบในละครหลังข่าวว่าฉันโกหกหลอกลวงเธอ แล้วเธอก็จะหนีฉันไปซะอีก”

“หนีทำไม นี่ผมกำลัง ‘ดูๆ กันอยู่’ กับลูกชายเจ้าของโรงแรมใหญ่เลยนะ” อิงค์เน้นคำแกล้งแซวเขาพร้อมกับยกมือขึ้นคล้องแขนไว้ข้างหนึ่ง “รู้แบบนี้ยิ่งต้องจับให้แน่นสิ จะหนีไปทำไม เผื่อฟลุคตกถังข้าวสาร สบายไปทั้งชาติเลยนะ”

“เหรออออ” สิงห์ลากเสียงล้อเลียน

“แล้วนั่นเขายังจับนกกันไม่เสร็จอีกเหรอ” อิงค์ชี้มือไปที่คนงานซึ่งยังคงสาระวนอยู่ตรงปากรูปปั้นสิงโต

“นั่นน่ะสิ นานแล้วนะเนี่ย” สิงห์เดินเข้าไปใกล้และร้องถาม “มีปัญหาอะไรหรือเปล่า ให้ตามคนมาช่วยไหม”

“ลูกแมวน่ะครับคุณสิงห์” คนงานที่จับบันไดอยู่ตอบ “มันขึ้นไปติดบนนั้นได้ยังไงก็ไม่รู้ แล้วพอพวกผมจะจับลงมามันก็มุดเข้าไปแอบอยู่ตรงซอกด้านในน่ะครับ จะล้วงมือเข้าไปจับก็ขู่ฟ่อ เอาอาหารไปล่อก็ไม่ยอมออกมา ว่าจะเลิกแล้วล่ะครับ มันขึ้นไปได้เดี๋ยวก็คงลงมาได้”

“ขอฉันดูหน่อย” สิงห์ว่าและจับราวบันไดโลหะปีนขึ้นไปอย่างคล่องแคล่ว

“พี่สิงห์ระวังนะครับ” อิงค์ป้องปากตะโกนตามหลัง

คนงานที่ขึ้นมาก่อนเบี่ยงตัวหลบให้สิงห์เข้ามายืนแทนที่ก่อนจะส่งไฟฉายให้ สิงห์รับไฟฉายมาคาบไว้ในปากแล้วมุดเข้าไปตรงปากรูปปั้นสิงโต

แสงไฟสาดไปโดนเจ้าก้อนขนสีส้มขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อยขดตัวกลมดิกอยู่ตรงโคนลิ้นด้านใน นัยน์ตากลมโตสีอำพันวาวโรจน์สุกสว่างสู้แสงไฟ มันอ้าปากแยกเขี้ยวพองขนขู่ฟ่อใส่ผู้บุกรุก

สิงห์เท้าแขนลงบนปากรูปปั้นหินแล้วเขยิบตัวเข้าไป เขาอาศัยความยาวของช่วงแขนให้เป็นประโยชน์เอื้อมไปจนถึงตัวมัน

เจ้าก้อนขนน้อยนั้นก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ มันสู้ยิบตาทั้งตะปบและกัดมือใหญ่ที่พยายามจะจับตัวมัน

“โอ๊ย! มันเจ็บนะเว้ยไอ้ตัวเล็กนี่” สิงห์คำรามแข่งกับเสียงขู่ฟ่อ

“พี่สิงห์อย่ากินมันนะครับ” อิงค์ตะโกนบอกด้วยความเป็นห่วง

“ใครจะไปกินแมววะ!” สิงห์ฮึดฮัดในลำคอ ในที่สุดเขาก็สามารถคว้าเข้าที่หลังคอและลากเจ้าก้อนขนนั้นออกมาได้ “ได้ตัวล่ะ”

แต่เจ้าก้อนขนนั่นก็ยังไม่สิ้นฤทธิ์ง่ายๆ มันดิ้นรนทั้งข่วนและถีบเท้าสุดชีวิต

“เฮ้ยๆ อย่าดิ้นสิ” สิงห์ที่ใช้มือเพียงข้างเดียวจับมันไว้เพราะต้องประคองตัวเองลงบันไดไปด้วยเริ่มเอามันไม่อยู่

เจ้าก้อนขนเริ่มเรียนรู้วิธีจู่โจมให้เกิดผล มันกางกรงเล็บคู่หน้าทั้งสองข้างออกเต็มที่แล้วข่วนควับลงบนหน้าคม

“เฮ้ย!”

สิงห์ร้องเสียงหลง ซวนเซจะตกบันได เขาปล่อยมือจากมันแล้วคว้าขั้นบันไดไว้แต่ก็ก้าวพลาดร่วงพรืดไถลลงมารวดเดียวจนถึงขั้นล่างสุด

“ไอ้แมวบ้าเอ๊ย!” สิงห์สบถพลางกุมสะโพก และท่อนแขนกับแก้มที่เป็นรอยข่วนเต็มไปหมด “หนีไปไหนแล้วล่ะ” เขากวาดตามองหารวดเร็ว แล้วเขาก็เจอเจ้าก้อนขนที่ฝากรอยแผลไว้เต็มตัวไปนอนขดอยู่ในอ้อมแขนชายหนุ่มเจ้าของร้านกาแฟ

“พี่สิงห์อย่าดุน้อง น้องตกใจกลัวแล้วเห็นไหม” อิงค์เอ็ดเบาๆ

สิงห์จ้องมองเจ้าก้อนขนจอมอาละวาดที่จู่ๆ ก็กลายร่างเป็นลูกแมวน้อยแสนเชื่องไปเสียได้

เจ้าแมวส้มดันหัวกลมๆ ถูไถกับมืออิงค์อย่างออดอ้อนพลางเหลือบตามามองคนตัวโตที่มองมันอยู่ราวกับจะประกาศตัวว่ามันได้เลือกเจ้านายแล้ว… และคนอื่นก็ห้ามมายุ่งเด็ดขาด

สิงห์ยกมือขึ้นกอดอก

…เจ้าแมวนี่ แกตั้งใจจะเป็นศัตรูกับฉันสินะ…

ณ ห้องอาหารบัวพันกาบ หญิงสาวสวยในชุดผ้าไทยล้านนาสีชมพูเดินนวยนาดเข้ามา เรือนผมดำขลับที่ยาวถึงกลางหลังถูกรวบตึงขมวดเป็นมวยตรงท้ายทอยประดับด้วยดอกพุดซ้อนสีขาวนวลเช่นเดียวกับสีผิวของเธอ

เธอเดินเข้าไปหาเหมราชและนั่งลงข้างกัน

“คุณมาช้าไปนิดเดียวเองเกต เจ้าสิงห์เพิ่งจะออกไปเมื่อสักครู่นี่เอง” เหมราชกล่าวกับเกตถวาผู้เป็นภรรยาคนที่สอง พลางชี้มือออกไปด้านนอกผนังซึ่งเป็นบานกระจกเห็นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งกำลังวิ่งออกไป

หญิงสาวมองตาม สายตาของเธอมองชายหนุ่มผิวแทนผู้เป็นคนขับก่อนจะหยุดอยู่ที่ชายหนุ่มผู้เป็นคนซ้อนบนตักของเขามีแมวส้มตัวจ้อยเกาะอยู่

“ร้อยวันพันปีไม่เห็นจะยอมกลับบ้าน วันนี้มาได้ยังไงคะ แล้วนั่นเขาพาใครมาด้วย”

“แฟน” เหมราชตอบ

“ผู้ชาย?” เกตถวาถาม

เหมราชหันไปพยักหน้าให้ “ตอบผมว่าดูๆ กันอยู่ เป็นพ่อลูกกันมาสามสิบกว่าปี ผมเพิ่งเคยได้ยินคำนี้จากปากเจ้าสิงห์นี่แหละ ปกติจะตอบแค่เพื่อน แถมยังดูหวงมากด้วยนะ ท่าทางคนนี้จะเอาจริง”

“เหรอคะ”

“แต่ผมแปลกใจอยู่นิดนึงนะ”

“อะไรคะ”

“ผมกับลูกชายนี่สเปคเดียวกันจริงๆ” เหมราชพูดด้วยรอยยิ้มขำขันพลางจับคางภรรยาเชยขึ้นมองหน้าสะสวยนั้นให้ชัดๆ “ก็เด็กคนนั้นน่ะ หน้าคล้ายคุณมากเลยน่ะสิเพียงแต่เป็นผู้ชายเท่านั้น”

************************TBC*************************

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด