ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563  (อ่าน 65410 ครั้ง)

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


บทนำ


    โบราณว่าเข้าป่าให้ระวังเสือ หากแต่ว่าในป่าไม่ได้มีแค่เสือ แต่มีอีกหลายอย่างที่คนเมืองไม่รู้

    “ไอ้จอม! นี่มึงโดนจับเป็นรอบที่เท่าไรแล้ววะ ทำไมไม่รู้จักเข็ดจักหลาบบ้าง”

    จอม หรือจ้าวจอม เด็กหนุ่มวัยใกล้สิบแปดปี ใช้ปลายนิ้วก้อยแหย่ใบหูข้างขวาตัวเองเล่น ขณะที่ร้อยทำหน้าซังกะตายใส่ ตัวเองก็จำไม่ได้หรอกว่าโดนจับข้อหา ‘บุกรุกป่า’ เป็นครั้งที่เท่าไร แต่ก็คงจะมาครั้งอยู่พี่หมู่ร้อยเวรถึงถอนหายใจเฮือกๆ แบบนี้

   “ก็ของมันขายได้เงินอ่ะ” จอมตอบแบบกำปั้นทุบเดิน โสมป่าหายากยิ่งกว่าทอง กิโลหนึ่งเป็นหมื่นๆ ได้แค่ขีดสองขีดก็อยู่ได้เป็นเดือนแล้ว

   “แต่นั่นมันป่าสงวน! ถึงมันจะติดหลังบ้านมึงก็เถอะ” พี่หมู่ร้อยเวรถลึงตาใส่ จนน่ากลัวว่าตาจะหลุดจากเบ้า แต่ก็ไม่ได้ทำรุนแรงไปมากกว่านั้น เพราะอย่างที่บอก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จ้าวจอมถูกจับ หากแต่นับครั้งไม่ถ้วนแล้วต่างหาก

   “โคตรเหง้าผมมาอยู่ก่อนที่พวกพี่จะยกฐานะให้มันเป็นป่าสงวนอ่ะ” จอมแย้งหน้าตาย ปู่เคยเล่าให้ฟังว่าเมื่อห้าสิบปีก่อน ผืนป่าแห่งนี้เปรียบเสมือนขุมทองของชาวบ้าน แต่เมื่อรัฐเข้ามากันพื้นที่แล้วยกฐานะให้เห็นเขตป่าสงวน เพื่อนบ้านก็พากันย้ายลงไปอยู่ในเมืองเพราะหาของป่าไม่ได้ ไม่มีเงินมาจุนเจือครอบครัว คงมีแต่บ้านของจอมเท่านั้นที่ยังยืนหยัดอยู่ที่เดิม เพราะนี่คือที่ดินที่ปู่กับย่าลงแรงเอาไว้ และสั่งเสียก่อนที่จะท่านจะจากไปว่าห้ามขายและห้ามย้ายไปอยู่ที่อื่นเด็ดขาด

    “ไอ้นี่! ทำไมเถียงคำไม่ตกฟากอย่างนี้วะ เดี๋ยวพ่อก็จับเข้าคุกจริงๆ หรอก”

    แต่เด็กจอมไม่มีทีท่าจะกริ่งเกรงกันแม้แต่น้อย ใบหน้าขาวแบบหนุ่มเหนือเอียงไปเอียงมาทำเหมือนไม่ได้ยินคำขู่ นายตำรวจหนุ่มได้แต่ถอนใจ ไม่ได้นึกอยากจะเอาเรื่องนักหรอกเพราะอย่างไรก็คนไดเดียวกันซ้ำข้อได้หา ‘หาของป่า’ ก็ไม่ได้รุนแรงถึงขนาดต้องจับขังคุก

   ส่วนคนที่มาแจ้งความก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คนหาของป่าบ้านใกล้ๆ กัน ไม่ใช่เพราะกลัวว่าพื้นที่ป่าสงวนจะถูกทำลายแต่เพราะอิจฉาในความสามารถปนดวงดีของจ้าวจอมมากกว่า

   แต่จะให้ปล่อยไปง่ายๆ มันก็กระไรอยู่ เลยจำต้องถ่วงเวลาให้ไอ้เด็กหัวแข็งอยู่โรงพักสักสองชั่วโมงก่อนแล้วค่อยปล่อยไป

    “ช่วยด้วยค่ะ! ลูกชายฉันหายเข้าไปในป่าสี่วันแล้ว”
   
    เสียงเอะอะโวยวายเรียกความสนใจจากสองหนุ่มต่างวัยได้เป็นอย่างดี นายตำรวจหนุ่มหันสายตาไปยังร่างของเจ้าของเสียง หญิงวัยกลางคนรูปร่างผอมบาง ถึงจะมีอายุแล้วแต่ความสวยเมื่อสมัยสาวๆ ยังมีให้เห็น ทว่านั่นไม่น่าสนใจเท่ากับความร้อนรนบนใบหน้า

   หล่อนถลาเข้ามาหาร้อยเวรที่รับเรื่องด้วยความตื่นตระหนก ดวงตาแดงเรื่อแสดงความกระวนกระวายออกมาอย่างเห็นได้ชัด มือทั้งสองข้างสั่นเทาจับขอบโต๊ะเกร็งแน่นจนเส้นเลือดบนหลังมือปูดขึ้น

    “ใจเย็นๆ นะครับคุณป้า มีอะไรไหนลองเล่าให้ผมฟังหน่อย”

    หญิงร่างผอมบางไม่ได้นั่งลงตามที่ร้อยเวรบอก และรีบแจ้งในสิ่งที่กำลังเดือดร้อนให้ฟัง “ลูกชายฉัน! พะ...พันนา หายเข้าไปในป่า สะ สี่วันแล้ว ฉันติดต่อไม่ได้เลย โทรไปก็ไม่มีสัญญาณ ฉันกลัวว่าเขาจะมีอันตราย”

    “แล้วคุณป้าแจ้งเจ้าหน้าที่หรือยังครับ” ร้อยเวรที่รับเรื่องใจเย็นต่างกับผู้หญิงคนนั้นลิบลับ

    “แจ้งแล้ว แต่เขาบอกว่าต้องรอให้สว่างก่อน เพราะเข้าไปตอนนี้มันอันตราย” หล่อนบอกปากคอสั่นไปหมด

   “ก็ต้องทำตามที่เขาบอกนั่นแหล่ะครับ เราเข้าไปตอนนี้ไม่ได้หรอก มันมืดแล้ว ผมว่าคุณป้ารอให้สว่างตามที่เจ้าหน้าที่บอกจะดีกว่า”
 
   “คุณจะบ้าหรือไง! นั่นลูกชายฉันนะ ขืนรอต่อไป เขาได้ตายจริงๆ พอดี สองวันแล้วนะที่เขาหายไป ฉันจะขาดใจตายอยู่แล้ว ฮือ! ตาพัน! ตาพันลูกแม่!”

    สิบเอกบันลือหันกลับมามองหน้าเด็กดื้อประจำตำบล คิ้วที่เริ่มจะแซมด้วยสีขาวเลิกสูง ส่วนเจ้าตัวดียิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก ไม่ได้ยี่หระกับปัญหาของผู้หญิงคนนั้น ปลายนิ้วเคาะเบาๆ ที่โต๊ะอยู่สามครั้งก่อนจะดีดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้

   “ให้ผมช่วยไหมล่ะ”

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-06-2020 20:53:10 โดย libra82 »

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
ตอนที่ 1 เปิดป่า
«ตอบ #1 เมื่อ09-09-2019 22:01:03 »

บทที่ 1 เปิดป่า

    ป่าสำหรับจ้าวจอมแล้วแทบจะเรียกได้ว่าเป็นบ้านหลังที่สามด้วยซ้ำต่อจากโรงเรียน แม้หลังๆ จะไม่ค่อยได้เข้าไปเพราะมีกฎหมายห้าม แต่ก็ยังลักลอบเข้าไปเรื่อยๆ ถ้าหากว่าได้ค่าตอบแทนงาม เหมือนคราวนี้

    ตาสั่งห้ามไม่ให้เข้าป่าตอนกลางคืนเพราะอันตรายมาก ถึงจะมีคาถาอาคมมากแค่ไหนก็ห้ามทำเด็ดขาด ที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ห้ามเอาไว้คือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว

   ทว่าหัวใจของคนเป็นแม่กำลังจะสลาย หลังจากให้เวลาหล่อนได้สงบสติอารมณ์อยู่ร่วมสิบนาที จ้าวจอมก็ได้ข้อมูลคร่าวๆ มาว่า ลูกของหล่อนที่ชื่อพันนาหายเข้าไปในป่าพร้อมกับเพื่อนอีกสี่คนและพรานป่าที่ทำหน้าที่นำทางอีกคนสอบถามชื่อถึงได้รู้ว่าคือ ‘พรานกล้า’ ตามจริงกำหนดระยะเวลาจะต้องกลับออกมาตั้งแต่เย็นเมื่อวานซืน แต่เกินเวลามาสองวันแล้ว ซ้ำยังติดต่อไม่ได้ แม้แต่พรานกล้าก็หายไปด้วย ญาติพี่น้องก็ติดต่อไม่ได้ จะเข้าไปตามก็ถูกห้ามเพราะมันอันตรายเกินไป

    จ้าวจอมพยักหน้ารับรู้ นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนต่างถิ่น ป่าแถบนี้ค่อนข้างสมบูรณ์ซ้ำยังติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เคยได้ยินลุงทหารพรานปลดเกษียณเล่าให้ฟังว่ามันเป็นเส้นทางขนยาเสพติดเข้ามาในประเทศด้วย พวกขนส่งถูกจับหลายครั้ง แต่หัวหน้าใหญ่ที่สั่งการอยู่อีกประเทศยังลอยนวล ปัญหายาเสพติดเลยไม่เคยหายไปจากบ้านนี้เมืองนี้

   แต่พรานกล้านี่สิทำไมถึงได้หายตัวไปกับเด็กพวกนั้นด้วย แน่นอนว่าจ้าวจอมรู้จักพรานกล้าดี แต่ไม่ค่อยจะถูกชะตากันเท่าไรนัก เพราะพรานกล้านี่แหล่ะที่ชอบเอาเรื่องที่เขาเข้าป่าไปเอาโสมป่ามาชายไปแจ้งตำรวจ เลยกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเขามานานหลายปี

    หมูปิ้งไม้ที่สามพร้อมกับข้าวเหนียวถูกจับใส่ปาก อาหารเย็นราคาไม่กี่สิบบาทก็ทำให้อิ่มท้องได้เหมือนกันแต่มันก็ยังสู้รสมือแม่นุชไม่ได้อยู่ดี

   “ละ แล้วเธอจะช่วยฉันยังไง”

    คำถามจากผู้หญิงตรงหน้าทำให้จ้าวจอมปัดผัดเผ็ดหูเห่าฝีมือแม่นุชออกจากสมองไปชั่วขณะ “หนูยังพาป้าเข้าป่าตอนนี้ไม่ได้หรอก มันอันตรายอย่างที่เขาว่าจริงๆ แต่หนูจะไปตอนเช้าตรู่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น”

    “ถะ ถ้าอย่างนั้นฉันจะให้เธอช่วยทำไม! ฉันรอไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่ไม่ดีกว่าเรอะ!” หล่อนทำเสียงดัง ใช้หลังมือปาดน้ำตาลวกๆ

   จ้าวจอมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยกน้ำโพลาลิสขวดละห้าบาทขึ้นดื่มแก้ติดต่อแล้วค่อยอธิบายต่อ “เจ้าหน้าที่ของป่าทำงานแปดโมงครึ่ง แต่หนูทำงานตีห้า งานเลิกตอนเจอลูกชายป้า แล้วป้าก็ไม่ต้องไปกับหนูด้วย หนูไปเองได้”

   หล่อนนิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนจะพยักหน้าตอบตกลง “ฉันจะให้เงินมัดจำเธอก่อนครึ่งหนึ่ง แล้วจะจ่ายทั้งหมดตอนที่เธอพาลูกชายฉันกลับมาครบ 32”

   จ้าวจอมยักไหล่ก่อนหน้านี้ไม่กี่นาที เขาขอวันเดือนปีเกิดพันนาลูกชายหล่อนมาดู จับยามสามตาเรียงร้อยตัวเลขตามแบบที่ตาเคยสอน ดวงชะตาของพันนายังไม่ขาด แต่กำลังตกอยู่ในอันตรายภายใน 3 วัน 7 วันนี้ หากไม่ได้รับการช่วยเหลือก็อาจจะไม่รอด

    ยังพอมีเวลา

    จ้าวจอมหอบเงินหนึ่งหมื่นบาทกลับบ้าน ไม่ได้หนักใจแม้แต่น้อยกับภาระที่รับมา เพราะคนที่ทำหน้าที่นี้ไม่ใช่แค่เขาคนเดียว…



    กระต๊อบหลังเก่าที่สร้างจากใบจากกับไม้ไผ่ผ่าซีก ดูจากภายนอกแล้วมันพร้อมจะพังได้ทุกเมื่อ แค่ลมพายุแรงๆ หอบใส่แค่สองทีก็คงจะพันครืนลงมา

    ไฟดวงน้อยที่ห้อยลงมาจากหลังคาใบจากแกว่งไหวตามแรงลมในยามราตรี แสงสว่างวูบวาบเคลื่อนไหวไปมาสะท้อนเงารูปร่างประหลาดชวนให้ขนลุก

     แต่น้อยคนนักจะรู้ว่ากระต๊อบเก่าๆ หลังนี้ มันแข็งแรงมากแค่ไหน อายุการใช้งานมากกว่าเจ้าของด้วยซ้ำ น้ำฝนสักหยดก็ไม่เคยไหลผ่านใบจากตับเก่าๆ เข้าไปได้ ซึ่งก็มีไม่กี่คนหรอกที่จะรู้ว่าทำไม และหนึ่งในนั้นก็คือจ้าวจอม

    จ้าวจอมยืนเท้าสะเอวมองบ้านหลังเก่า พร้อมกับโทรศัพท์หาใครบางคน ไม่กี่อึดใจประตูบ้านไม้ไผ่ผ่าซีกก็เปิดออก ก่อนที่ร่างใหญ่โตของชายหนุ่มวัยฉกรรจ์จะเดินออกมา

   “โทรมาทำอะไรวะ คนกำลังจะนอน”

   พี่โหร ผู้ที่มีชื่อเล่นและชื่อจริงว่าโหร ชายหนุ่มวัย 25 ปี ผิวเข้มออกไปทางคล้ำผิดกับเชื้อสายที่เป็นคนภาคเหนือ 100% คิ้วหนาขมวดมุ่นอย่างคนหัวเสีย ท่อนบนเปลือยเปล่า สวมแค่กางเกงผ้าเนื้อลื่นๆ สีเข้มกับผ้าขาวม้าพาดบ่าอีกผืน

    “มีงานมาให้อ่ะพี่ คนหายเข้าไปในป่าอีกแล้ว”

   โหรทำหน้ายุ่ง ยกมือขึ้นเกาเส้นผมสั้นเกรียนอย่างหงุดหงิด ก่อนจะกวักมือเรียกเจ้าเด็กจอมยุ่งให้ขึ้นมาบนบ้านหลังน้อยของตัวเอง

    บ้านของโหรเป็นสมบัติตกทอดมาจากปู่ ปู่เป็นพรานหาของป่ามาขายให้คนเมืองและยึดอาชีพนี้จนสิ้นอายุขัย แต่กว่าปู่จะละโลกนี้ไปก็เกือบจะ 80 แล้ว ส่วนพ่อ เกลียดความลำบาก เกลียดกลิ่นชื้นในป่าเลยหนีเข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่เป็นหนุ่ม วันดีคืนดีก็เอาโหรมาทิ้งไว้ให้ บอกว่าได้กับแม่ของโหรที่กรุงเทพฯ หลังคลอดโหรแม่ก็หนีไป พร้อมกับจดหมายขอโทษอีกหนึ่งฉบับ พ่อที่ไม่มีความรู้ด้านการเลี้ยงเด็กเลยเอาโหรมาทิ้งไว้กับปู่ นานทีปีหนถึงจะกลับมาเยี่ยมเยียนกันสักครั้ง

    แต่โหรไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กกำพร้า ปู่เลี้ยงดูโหรอย่างดี ให้กินของดีๆ ที่ได้มาจากป่า โหรเป็นเด็กแข็งและฉลาด อายุแค่ 10 ขวบก็เข้าป่าคนเดียวได้ และกลับออกมาพร้อมกับของป่าราคาแพง วิชาความรู้สามารถจากปู่ถ่ายทอดมาที่โหรเต็มที่ โหรทำตามที่ปู่สอนทุกอย่าง จนได้อายุ 15 มีโอกาสได้บวชเรียนกับพระครูที่ดังด้วยเรื่องคาถาอาคม อันที่จริงท่านเลิกรับลูกศิษย์ลูกหาแล้ว แต่เพราะสิทธิของการเป็นเพื่อนสมัยเด็กกับปู่เหม โหรเลยได้เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของท่าน วิชาความรู้ ถูกถ่ายทอดให้แทบหมด รวมทั้งคำสอนทางศาสนาที่ต้องควบคู่กันไป

   โหรศึกษาพระธรรมอยู่สามปี พระครูก็ละสังขารด้วยโรคชรา หลังเสร็จสิ้นพิธีโหรก็ลาสิขาบถด้วยวัย 18 ปี แม้วิชาความรู้ทางด้านคาถาอาคมจะเต็มเปี่ยม แต่ในทางโลกโหรมีวุฒิการศึกษาแค่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามเท่านั้น เพราะไม่อยากถูกมองว่าเป็นคนด้อยการศึกษาเลยยอมเสียเวลาเรียนการศึกษานอกโรงเรียนอยู่ 2 ปี ได้วุฒิมัธยมปลายมานำไปศึกษาต่อระดับปริญญาตรี ในมหาวิทยาลัยของจังหวัด

    ด้วยเพราะเป็นห่วงปู่ โหรเลยไม่ไปเรียนที่อื่น ระหว่างที่เรียนก็ช่วยปู่ทำหน้าที่พรานไปด้วย ความชำนาญในพื้นที่อาจจะไม่เท่ากับปู่ แต่เรื่องสมุนไพรโหรไม่เป็นสองรองใคร ไม่นานชื่อเสียงของพรานสมัครเล่นที่ชื่อว่าพรานโหรเลยถ่ายทอดจากปากต่อปาก ซ้ำยาสมุนไพรของโหรยังได้รับความนิยมชมชอบไม่น้อย

   ไม่เพียงแต่เป็นพรานป่า แต่โหรยังรักษาโรคต่างๆ ได้ด้วย ไม่ใช่ด้วยเวทมนต์หากแต่เป็นสมุนไพรจากป่า ชาวบ้านแถวนี้เรียกโหรว่าหมอ หมอโหรเก่งกว่าหมอในโรงพยาบาลเสียอีก แถมไม่ต้องต่อแถวนั่งรอคิวเป็นวันๆ แค่บอกอากาศ หมอโหรก็จะเลือกสมุนไพรมาให้ ค่ารักษาก็ไม่กี่บาท

    “มีงานอะไรก็เล่ามา เสียเวลานอนกูจริงๆ”

   โหรถามเสียงห้วน หน้าตาถมึงทึงเพราะถูกขัดจังหวะการพักผ่อน ภายในกระต๊อบหลังเล็กแทบจะไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่ออำนวยความสะดวกใดๆ มีแค่หลอดนีออนหลอดเดียว วิทยุทรานซิสเตอร์รุ่นเก่า และหม้อหุงข้าวอีกใบ จ้าวจอมเคยถามโหรหลายครั้งว่าทำไมไม่เอาเงินไปซื้อบ้านหลังใหม่ แต่โหรส่ายหน้าปฏิเสธบอกสั้นแค่ว่า ‘ที่นี่เป็นบ้านของปู่กู’

    “ลูกคุณนายในเมืองหลงป่าอ่ะ หายไปกับเพื่อนอีกสี่คน แล้วก็น้ากล้า” จ้าวจอมบอกสั้นๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนหลงป่า เพราะความคะนองของพวกคนเมืองเลยมีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง

    “พี่กล้า?” โหรเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ “กี่วันแล้ว”

   “สี่” จ้าวจอมกางนิ้วทั้งสี่ออก

   “เหลืออีกสามคืน” โหรบอก “งานนี้ได้เท่าไร”

   “สามหมื่น ป้าแกให้มัดจำมาก่อนหมื่นห้า” จ้าวจอมล้วงเอาเงินปึกใหญ่ออกมาจากระเป๋าสะพายส่งให้โหรดู “รับเงินเขามาแล้วอ่ะพี่ ไม่ทำก็ไม่ได้”

    “ไอ้เลว! มึงรับเอง เข้าไปคนเดียวเลย” โหรก่นด่า ผลักศีรษะทุยจนแทบจะหงายหลัง จ้าวจอมบุ้ยปาก

   “ไม่เอาอ่ะ เหนื่อย ไม่รู้เดินไปถึงฝั่งโน้นหรือยัง”

   “ไอ้ห่านี่รับงานไม่รู้เรื่อง” โหรบ่น แต่ก็รับเงินพลางใช้นิ้วกรีดไปตามแบงค์สีเทา “ตื่นให้ไวนะมึง ถ้าสายกูไม่ให้แม้แต่บาทเดียว”




    เสียงไก่ฟ้าดังอยู่ไกลๆ มันขันแข่งกับไอ้แจ้ แก่โต้งประจำบ้านหมอโหร จ้าวจอมเปิดปากหาววอดๆ อยู่หลายหน จนหางตาปริ่มน้ำ ถึงจะรู้ว่าต้องเข้าป่าตอนตีห้า แต่ความง่วงที่โดนปลุกตั้งแต่ก่อนตีสี่ครึ่งทำให้อาการง่วงเหงาหาวนอนยังไม่หายไปง่ายๆ สองเท้าก้าวผิดก้าวถูก เดินโซเซตามหลังลูกพี่โดยอาศัยแต่แสงไฟจากกระบองไฟฉายช่วยนำทาง

   ป่าผืนนี้ทั้งโหรและจ้าวจอมรู้จักเป็นอย่างดี แต่จ้าวจอมดูจะห่างชั้นจากโหรสักหน่อยเพราะจ้าวจอมมักจะเดินเส้นทางเดิมที่พ่อเคยพาไป ส่วนโหรเดินตามปู่เข้าป่าตั้งแต่ 5 ขวบ รู้ดีว่าจุดไหนอันตราย จุดไหนมนุษย์อาศัยอยู่ได้
 
   สำนักงานป่าไม้ตั้งอยู่ตีนเขา ห่างจากบ้านหมอโหรไม่กี่กิโลเมตร โหรกับเจ้าหน้าที่รู้จักมักจี่กันดี เพราะหลายครั้งที่ต้องทำร่วมงานกัน อย่างเช่นคนหาย ลำพังเจ้าหน้าที่อย่างเดียวคงไม่สามารถตามหามนุษย์ตัวเล็กๆ ในป่าที่กว้างนับร้อยนับพันไร่นี้ได้ ต้องอาศัยผู้รู้ทางอย่างพรานป่า และพรานที่มีอยู่ก็เหลือแค่ไม่กี่คน หนึ่งในนั้นก็คือโหร ส่วนอีกคนคือทิดสิงห์ พ่อของจ้าวจอม แต่รายหลังพักฝีมือไปหลายปีแล้วเพราะมีปัญหาเรื่องสุขภาพ

   สิ่งที่หมอโหรกับจ้าวจอมนำติดตัวไปอาหารกระป๋องนิดหน่อย ของแห้งที่ปิ้งย่างกินได้ เพราะไม่อยากไปเบียดเบียนชีวิตใครในป่า ข้าวเหนียวอีกคนละกระติบแค่นี้ก็อยู่รอดได้เป็นสองสามวัน

   มีดหมอลงอาคมสมบัติตกทอดจากปู่เหน็บอยู่ข้างเอว กระเป๋าคาดเอวเก่าๆ บรรจุสมุนไพรรักษาโรค ยาดม ยาหม่องเผื่อโดนแมลงมีพิษกัดต่อย โหรไม่ห่วงตัวเอง แต่ห่วงไอ้เด็กที่เดินตามหลังมากกว่า ด้วยความที่อ่อนวัยทำให้ไม่ค่อยจะระวังตัวสักเท่าไร โดนหนามเกี่ยวบ้าง โดนผึ้งหรือต่อแตนต่อยบ้าง เดือดร้อนยาหม่องสูตรพิเศษของหมอใหญ่ประจำหมู่บ้านทุกที

    อากาศในป่าเย็นและค่อนข้างชื้น ถึงช่วงนี้จะยังเป็นฤดูร้อน แต่ป่าที่อุดมไปด้วยต้นไม้ใหญ่อากาศในยามไร้แสงอาทิตย์จะเย็นกว่าด้านนอกหลายองศานัก เสียงหรีดหริ่งเรไรยังคงขับขานแม้ว่าอีกไม่ถึงชั่วโมงพระอาทิตย์ก็จะจับขอบฟ้าแล้วก็ตาม
 
   เดินกันมาสักพักหมอโหรก็หยุดลง ใต้ต้นไม้ใหญ่มีศาลเก่าๆ พังๆ ตั้งอยู่ หากไม่สังเกตดีๆ ก็อาจจะมองไม่เห็น ผ้าสามสีเก่าเสียจนกลายเป็นสีน้ำตาลคล้ำทั้งสามผืน แต่ตุ๊กตาตัวเล็กๆ ด้านในยังตั้งอยู่ที่เดิม ไม่ได้เก่าตามตัวศาลราวกับว่าไม่มีอะไรทำอะไรมันได้

    โหรนั่งลงพร้อมกับดึงธูปออกมาจุดเก้าดอก ปากพึมพำภาวนาบางอย่างก่อนจะเอามีดทิ่มดินแล้วก็พลิกดินขึ้นมา 3 ครั้ง พร้อมจับใบไม้ที่ทั้งสดและแห้งที่ตกอยู่แถวนั้นพลิกหงายขึ้น

   “ไปได้”

   จ้าวจอมพยักหน้าหงึกหงัก ไม่ได้สงสัยในพิธีกรรมของหมอโหรเพราะตนเองก็เคยทำ ถึงคาถาอาคมจะมีแค่หางอึ่ง แต่การ ‘เปิดป่า’ มันจำเป็นมากสำหรับคนจะเข้าป่า ดังนั้นการเข้าป่าจึงจำเป็นต้องผู้รู้เป็นคนนำทาง ไม่อย่างนั้นอาจจะไม่ได้กลับออกมา หรือไอ้หนุ่มคนเมืองทั้งห้าคนนั่นก็ได้

    หมอโหรก้าวเดินฉับๆ เหมือนตอนกลางวัน ทางเล็กๆ แค่พอคนเดินขรุขระ เพราะมันไม่ใช่ทางที่เปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้น แต่มันเป็นทางลัดที่จะทำให้ไปถึงจุดสำคัญได้เร็วกว่าปกติเป็นเท่าตัว

    ตั้งแต่จำความได้ ปู่ก็พาโหรเข้าป่า เริ่มจากพาขึ้นห้างส่องสัตว์ป่าที่หาดูไม่ได้ในสวนสัตว์ โหรทำตามที่ปู่สอนทุกอย่าง โหรเลยได้เห็นช้างป่าตั้งแต่ยังไม่เข้า ป.1 พอเอาไปอวดเพื่อนที่โรงเรียนก็โดนล้อว่าขี้โม้ จากนั้นโหรก็ไม่เคยเล่าประสบการณ์ตื่นตาตื่นใจให้ใครฟังอีก ยกเว้นไอ้เด็กที่เดินตามหลัง

   ชีวิตของโหรกับจ้าวจอมไม่ค่อยต่างกันเท่าไรนัก พอโหรอายุ 7 ขวบ จ้าวจอมก็ลืมตาดูโลก ปู่ของโหรกับตาของจ้าวจอมเป็นเพื่อนร่วมอาชีพกัน แต่ตาของจ้าวจอมวางมือไปก่อนเพราะลูกชายขอร้อง ส่วนปู่ของโหรทำอาชีพนี้จนวาระสุดท้ายของชีวิต ดังนั้นโหรเลยมีประสบการณ์มากกว่าจ้าวจอมอยู่มากนัก

   น้อยคนนักจะรู้ว่าหมอโหรพรานป่าคนนี้จบการศึกษาถึงระดับปริญญาตรี แถมยังเลือกเรียนทรัพยากรตามอาชีพที่เลือกอีกด้วย โหรหัวดี ฉลาด รักไม่ยุ่งมุ่งแต่เรียน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีคนรัก เพราะแฟนสาวคนล่าสุดเพิ่งเลิกรากันไปก่อนที่โหรจะเรียนจบ

   เจ้าหล่อนเลือกที่จะไปใช้ชีวิตอยู่ในเมืองกรุง และพยายามชักชวนโหรทุกทาง แต่โหรปฏิเสธเด็ดขาด ดังนั้นเจ้าหล่อนก็เลยเลือกที่จะทิ้งโหรแล้วไปวิ่งตามความฝัน แน่นอนว่าคนอย่างโหรย่อมไม่เสียน้ำตาให้กับอาการที่เรียกว่า ‘อกหัก’ โหรใช้เวลาพักใหญ่ในการทำใจ บาดแผลจากความรักมันหนักหนายิ่งกว่าถูกรถยนต์เสียอีก แผลทางใจย่อมสาหัสกว่าแผลทางกาย กินเหล้าหัวราน้ำอยู่หลายวันกว่าจะทำใจได้ หลังจากนั้นก็เข้าป่าไปเดินอยู่สามวัน กลับออกมาเรื่องของผู้หญิงคนนั้นก็กลายเป็นเพียงแค่หนึ่งความทรงจำเท่านั้น

   พ่อของโหรเคยขอให้โหรไปทำงานด้วยกันที่กรุงเทพฯ แต่โหรก็ปฏิเสธเช่นกัน ยอมรับตามตรงว่าโหรรักปู่มากกว่าพ่อ พ่อที่แทบจะจำหน้าไม่ได้ ปีหนึ่งเจอกันไม่กี่ครั้ง เงินก็ส่งมาบ้างไม่ส่งบ้าง ได้ข่าวว่าพ่อมีครอบครัวใหม่แล้ว ท่าทางอบอุ่นดี เลยไม่มีเหตุผลอะไรให้โหรต้องทิ้งปู่และอาชีพพรานป่าไป

    ในวันที่ปู่ทิ้งโลกนี้ไป ปีนั้นโหรอายุได้ 21 ปี โหรทำเรื่องกับมหาวิทยาลัยเพื่อขอลาบวช 1 เดือน ทดแทนบุญคุณของปู่ หลังจากนั้นพอศึกออกมา ก็ได้เวลาจับใบดำใบแดงพอดี โหรโชคดีที่ไม่ต้องรับใช้ชาติ เลยได้กลับมาศึกษาต่อและได้ปริญญาบัตรไว้ครอบครอง ซึ่งจนถึงตอนนี้มันก็ยังอยู่ในซองสีน้ำตาล ไม่เคยไปยื่นให้บริษัทที่ไหนดู เพราะอาชีพของโหรไม่จำเป็นต้องใช้ใบปริญญา

    หลังจากถูกทิ้งโหรก็ไม่เคยให้ผู้หญิงคนไหนเข้ามากล้ำกรายในชีวิตได้อีก ปู่เคยสอนไว้ว่าหากจะมีคนรักผู้หญิงคนนั้นต้องดีพร้อมที่จะเป็นแม่ของลูกด้วย โหรไม่เคยเห็นย่าตัวเป็นๆ เพราะย่าตายไปก่อนโหรจะเกินหลายปี แต่ปู่บอกเสมอว่ารักย่า ย่าเป็นผู้หญิงที่พร้อมทุกด้าน เข้าป่าตามปู่ไปได้โดยไม่บ่น แถมงานบ้านงานเรือนก็ไม่เคยบกพร่อง เสียดายที่ย่าอายุสั้นเพราะโรคประจำตัว

   พระอาทิตย์เริ่มจับขอบฟ้า แต่ในป่าไม่ได้สว่างตามไปด้วย ยังคงมืดและเงียบสนิท นานๆ ทีจะได้ยินเสียงไก่ป่าดังมาบ้าง แทรกด้วยเสียงหรีดหริ่งเรไร แถวนี้ยังไม่มีร่อยรอยของสัตว์ป่าให้เห็น เพราะยังเป็นตีนเขา ต้องเดินเข้าไปอีกหลายกิโลกว่าจะถึงในส่วนที่ทางการห้ามไม่ให้เข้าไป เว้นเสียแต่จะได้รับอนุญาต แน่นอนว่าระดับโหรกับจ้าวจอมไม่จำเป็นต้องทำเรื่องขอให้เสียเวลา แค่ใช้ทางลัดนิดหน่อยก็เข้าไปได้แล้ว แถมยังไม่เคยโดนจับได้อีกด้วย

    เสียงหาวของจ้าวจอมยังมีให้ได้ยิน เจ้าเด็กคนนี้ขี้เซานัก เคยเข้าป่าไปนั่งห้างด้วยกัน ไอ้เด็กคนนี้หลับยันเช้า ไม่ได้สะทกสะท้านกับเสียงของสัตว์กลางคืนสักนิด ถ้าหากว่าตกห้างแล้วโดนเสือคาบไปก็คงไม่แปลก

   โหรเดินไปเงียบๆ เสียงเท้าที่เหยียบใบไม้เงียบไม่ต่างจากแมวเดิน สายตามุ่งตรงไปข้างหน้า ระยะการมองเห็นไปได้ไกลกว่าแสงไฟฉายเสียอีก กิ่งไม้ที่เกี่ยวผ่านแทบไม่ทำให้ผิวระคาย ทางเดินเล็กๆ ไม่ราบเรียบ ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเดินสักนิด
 
   เกือบเจ็ดโมง แสงแดดเริ่มลอดผ่านกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ พอให้เห็นทางเล็กๆ ขรุขระบ้างโดยไม่ต้องเพ่งมอง กลิ่นไอแห่งความผิดปกติเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งเข้าสู่ช่วงตีนเขาพระอาทิตย์ก็โผล่ขึ้นเต็มดวง

   “พี่ว่าไอ้เด็กพวกนั้นมันไปอยู่ตรงไหน” จ้าวจอมทำลายความเงียบขณะที่ก้าวยาวๆ เพื่อให้ทันคนข้างหน้า

   “ไม่น่าจะถึงยอดเขาหรอก” โหรออกความเห็น “อย่างดีก็แค่ห้างส่องสัตว์ ถ้าไม่ตายซะก่อน”

    “ตายเลยเหรอ ไม่ได้นะ เดี๋ยวถูกลดค่าจ้าง”

   “ไอ้งกเอ๊ย”

    โหรส่ายหัวเบาๆ ให้กับความขี้งกของเด็กจอม เท่าที่รู้ฐานะทางบ้านของจ้าวจอมไม่ได้แย่อะไร ถึงไม่ใช่เศรษฐีระดับจังหวัด แต่ก็มีกินมีใช้ เรียกได้ว่าส่งให้จ้าวจอมเรียนจนจบมหาวิทยาลัยได้สบายๆ แต่จ้าวจอมมันรั้น ชอบหนีเข้าป่าหาของป่ามาขาย มันบอกสนุกกว่าเรียนหนังสือในห้องสี่เหลี่ยมเป็นไหนๆ ซึ่งเขาก็เห็นด้วย

    “พี่โหร ที่เขาลือกันว่าพี่สักอสิสัตติจริงไหมอ่ะ”

   โหรไม่ตอบ เพราะเห็นว่าไม่ใช่คำถามสำคัญ เจ้าเด็กพูดมากเลยถามต่อ “ฉันเคยได้ยินแม่ค้าในตลาดเล่าด้วยว่าเคยเห็นรอยสักอิติปิโสแปดทิศด้วย”

   “ไร้สาระ” โหรตัดบท

   “โธ่พี่ ฉันอยากสักบ้าง พี่สักให้ฉันไม่ได้เหรอ” จ้าวจอมอ้อน “ฉันเองก็อยากฟันแทงไม่เข้าเหมือนกัน”

   “ปู่กูสัก แต่ก็ตายอยู่ดี” โหรดับฝัน จ้าวจอมถึงกับร้องครวญ    

    แล้วทั้งคู่ก็สนทนากันไปเรื่อยๆ ด้วยสรรเพเหระ เพื่อไม่ให้การเดินทางน่าเบื่อจนเกินไป อีกไม่นานเจ้าหน้าที่ป่าไม้คงจะเริ่มออกตามหาเด็กที่หลงป่าเหมือนกัน พวกเราต้องรีบหน่อย ถ้าหากหาตัวเจอก่อน จะสามารถเรียกค่าแรงได้อีก

   โหรไม่คิดว่ามันเป็นการเอารัดเอาเปรียบ หากแต่คนพวกนี้หาเรื่องเดือดร้อนเอง เงินแค่หลักหมื่นมันน้อยไปด้วยซ้ำถ้าเทียบกับวิชาของเขา

    พลันจมูกก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง หากแต่มองด้วยสายตาไม่อาจหาแหล่งที่มาได้ ใช้เพียงแค่ความรู้สึกเท่านั้น เสียงร้องของสิ่งมีชีวิตดังก้องในหู หันไปมองเด็กอีกคนก็เห็นมันนิ่งเฉย ไม่ได้ผิดปกติแต่อย่างใด

   โหรหยุดเดิน ทำเอาคนเดินตามชนหลังดังกึก

   “อ้าว! พี่โหร หยุดเดินทำไมอ่ะ” จ้าวจอมถาม คลำจมูกป้อยๆ เพราะชนกับแผ่นหลังกว้างเต็มรัก

   “กูได้ยินเสียงร้อง”

   “เสียงร้อง? เสียงอะไรอ่ะ”

   “มันไม่ชัด แต่เหมือน...คน” โหรบอกไปตามความรู้สึก คิ้วหนาขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิด

   “คนเหรอ คนที่ไหนอ่ะ” จ้าวจอมยังสงสัยไม่เลิก หันมองไปรอบกายเผื่อว่าจะเจอที่มาของเสียง

   “เขาโกรธ” โหรบอกสั้นๆ เสียงที่ดังในหูนั้นแม้จะไม่ชัดมาก แต่สัมผัสได้ถึงความเคียดแค้น

   “นี่อย่าบอกนะว่าไอ้เด็กพวกนั้น...” จ้าวจอมหยุดพูดแค่นั้น หัวใจเต้นรัวด้วยความคิดที่ผุดขึ้นในสมอง “ไอ้พวกบ้าเอ๊ย! ตายห่ายกทีมแล้วมั้ง”

   จ้าวจอมสบถ ไอ้พวกเด็กในเมืองนั่นคงทำให้เจ้าป่าเจ้าเขาโกรธ ไม่รู้ว่ามันทำอะไร แต่คงจะหนักหนาไม่น้อย โหรถึงได้ยินเสียงแห่งความโกรธแค้น

   “กูว่าเรารีบกันหน่อยดีกว่า ก่อนที่พวกมันจะตายห่ากันหมดจริงๆ”
    

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
 o13

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
แอบขนลุก ตื่นเต้น ๆ รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
 แนวลึกลับเนี่ยชอบเลย

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
ตอนที่ 2 เดินป่า


    ‘กุมภ์’ จำไม่ได้ว่านอนอยู่ตรงนี้นานเท่าไรแล้ว เรี่ยวแรงมันถดถอยลงเรื่อยๆ พอๆ กับสัญญาณชีวิตหากย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่ยอมตกปากรับคำมากับคนพวกนี้แน่นอน

   ด้วยความที่เป็นคนกรุงเทพฯ ทำให้กุมภ์แสวงหาธรรมชาติ อยากจะดื่มด่ำกับบรรยากาศที่สดชื่น เหมือนที่เคยเห็นในภาพถ่าย จะเรียกว่า ‘โชค’ หรือ ‘คราวเคราะห์’ ก็ไม่อาจบอกได้ บังเอิญเหลือเกินว่า ‘พันนา’ เพื่อนสนิทของกุมภ์มีบ้านอยู่กาญจนบุรี แค่เจ้าตัวเอ่ยปากชวนให้มาเที่ยวบ้านระหว่างปิดเทอมกุมภ์ก็ตอบรับทันทีแทบจะไม่เสียเวลาคิดด้วยซ้ำ

    “กูว่าจะขอพ่อเข้าไปถ่ายรูปในป่า” พันนา เพื่อนสนิทของกุมภ์เอ่ยขึ้น “พวกมึงจะไปกับกูไหม”

    “ไปบ้านมึงแล้วทั้งที จะไม่ไปกับมึงได้ยังไงวะ” ชาร์ล หนุ่มลูกครึ่งอิตาลีเปรยขึ้นระหว่างที่กำลังเก็บของลงกระเป๋าเตรียมพร้อมเดินทาง

   “เออว่ะ น่าสนุกดี” รชต เพื่อนร่วมแก็งค์อีกคนเห็นด้วย พลางยกกระป๋องเบียร์ขึ้นจิบ “ปิดเทอมทั้งทีต้องหาอะไรทำเจ๋งๆ สิวะ”

    “มึงรู้หรือเปล่าว่าในป่ามีอะไรบ้าง” พันนาเอ่ยถาม

   กุมภ์ส่ายหัว ยอมรับว่าไม่มีความรู้อะไรเลย แค่อยากไป อยากเห็นสักครั้งเท่านั้น

   “ก็มีเสือ มีช้าง มีลิงไง” ชาร์ลตอบ “เหมือนทุ่งสะวันนาไง เมื่อปีก่อนพ่อพากูไป โคตรร้อน”

   “ไม่เหมือน ที่นี่มันป่าเมืองไทย แถมเขาไม่ได้เปิดให้มึงเข้าไปเดินเล่นง่ายๆ ด้วย”

   “จะป่าที่ไหนก็เหมือนกันแหล่ะมั้ง” คะนิ้ง แฟนสาวคนสวยของชาร์ลออกความเห็นบ้าง เธอไม่ได้ปฏิเสธตอนที่ชาร์ลบอกว่าจะไปกาญจนบุรี แถมยังขอติดตามไปด้วย

    “ไม่เหมือนหรอก” พันนาบอกสั้นๆ แล้วไม่ยอมอธิบายอะไรเพิ่มแม้ว่ากุมภ์กับคนอื่นๆ จะคะยั้นคะยอสักแค่ไหนก็ตาม…




    บ้านของพันนาหลังใหญ่สมกับเป็นเศรษฐีประจำจังหวัด พื้นที่อาณาบริเวณคะเนด้วยสายตาน่าจะเกือบห้าไร่ มีรั้วรอบขอบชิดและเป็นส่วนตัว ถนนใหญ่ตัดผ่านหน้าบ้าน ใช้เวลาเดินทางไม่กี่นาทีก็ถึงตัวเมือง รอบๆ มีบ้านหลังใหญ่ขนาดใกล้เคียงกัน พันนาบอกว่าเป็นบ้านของพวกนายทหารใหญ่หลายนาย

   กุมภ์ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับบ้านหลังใหญ่ของเพื่อนสนิท หากแต่จดจ่ออยู่กับการเดินป่าครั้งแรกในชีวิตมากกว่า พันนาอธิบายคร่าวๆ ว่า ป่าที่จะไปเดินกันนั้นเป็นป่าสงวน ต้องทำเรื่องขออนุญาตเสียก่อนถึงจะเข้าได้ ซึ่งพันนาให้บิดาที่เป็นข้าราชการระดับสูงในกระทรวงหนึ่งบอกกับเจ้าหน้าที่ไว้ก่อนแล้ว โดยมีข้อแม้ว่าทุกคนจะต้องปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัดและห้ามทำอะไรพิเรนทร์เด็ดขาด

    ทุกคนพยักหน้าหงึกหงักรับรู้ตอนที่พันนาบอกกฎที่ต้องปฏิบัติ มีเพียงแค่ชาร์ลเท่านั้นที่ฟังไปหาวไปคงเพราะเพลียจากการเดินทาง

   ครอบครัวของพันนาให้การต้อนรับเป็นอย่างดี เลี้ยงดูปูเสื่อประหนึ่งแขกคนสำคัญ ห้องพักก็จัดให้อย่างดิบดีไม่ต่างจากโรงแรมระดับห้าดาว ทุกคนได้พักผ่อนกันที่บ้านใหญ่ก่อนสองคืน แล้วเริ่มออกเดินทางผจญภัยในป่ากว้างกันในวันรุ่งขึ้นของวันที่สาม

    กุมภ์ตื่นเต้นกับการเดินครั้งนี้มากกว่าใคร ผิดกับพันนาที่เงียบขรึมผิดปกติ ถึงแม้ว่าพันนาจะไม่ใช่พวกพูดมากเป็นต่อยหอยเหมือนชาร์ลหรือรชต แต่คราวนี้พันนาเงียบกว่าที่เคยเห็นจนกุมภ์รู้สึกได้ ทว่ากุมภ์ก็ตื่นเต้นกับการเดินป่าเสียจนจะถามไถ่อาการของเพื่อนสนิท

    กำหนดการผจญภัยคือเจ็ดโมงเช้า มีพรานป่าซึ่งเป็นคนในพื้นที่นั่นเองเป็นผู้นำทาง คราแรกพวกเราปฏิเสธไม่ต้องการให้คนอื่นไปด้วย แต่พ่อกับแม่ของพันนายืนกรานว่าจำเป็นจะต้องมีคนนำทางไม่เช่นนั้นจะหลงป่าได้ กุมภ์ไม่คัดค้านเช่นเดียวกับคนอื่นๆ มีแต่ชาร์ลเท่านั้นที่ยังบ่นให้ได้ยินว่าพรานป่าคนนั้นมีแต่จะทำให้เกะกะเปล่า

   ทุกคนมาถึงที่ทางเข้าอุทยานตอนเกือบเจ็ดโมงเช้า พรานป่าที่เป็นคนนำทางอายุค่อนไปทางสี่สิบตอนปลาย ผิวเข้มคล้ำ หน้าตาดุดัน แต่งตัวไม่ต่างจากคนอื่นๆ แต่มีสร้อยปะคำห้อยอยู่ที่คอ พรานกล้าไม่พูดอะไรมาก แค่บอกให้ทำตามที่บอก ห้ามเดินออกนอกเส้นทาง เพราะถ้าหากถูกสัตว์ป่าทำร้ายพรานกล้าจะไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้นเพราะถือว่าได้เตือนแล้ว

   พรานกล้ามองมาที่คะนิ้ง เอ่ยเตือนด้วยเสียงเรียบนิ่ง “เป็นประจำเดือนหรือเปล่า”

    คะนิ้งหน้าแดงเรื่อ แววตากรุ่นโกรธ ก่อนจะสะบัดหน้าแรงๆ “เปล่าค่ะ!”

    พรานกล้าไม่พูดอะไร กระชับบางอย่างที่คาดอยู่แถวเข็มขัดแล้วก้าวยาวๆ เดินนำหน้าไป

   ที่จริงแล้วอุทยานแห่งนี้มีจุดกลางเต็นท์สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป แต่มันตื่นเต้นโจรทะยานมากพอสำหรับวัยหนุ่มสาวที่เต็มไปด้วยพลังงานเช่นนี้ ก่อนหน้าที่จะมากุมภ์ได้ศึกษาพื้นที่ป่าแห่งนี้มาบ้าง พบว่ามันจุดที่น่าสนใจอยู่มากทีเดียว นั่นคือการนั่งห้างส่องสัตว์ เพราะถ้าหากโชคดีอาจจะได้เห็นเสือตัวเป็นๆ หรือสัตว์ป่าหายากก็เป็นได้ พอเสนอกับเพื่อนๆ ไปว่าอยากจะส่องสัตว์ ทุกคนเห็นดีเห็นงาม ดังนั้นพ่อแม่ของพันนาเลยต้องจ้างพรานป่าเพราะถ้าหากพวกเราไปส่องสัตว์กันเองนอกจากจะไม่ได้เห็นสัตว์แล้ว อาจจะเกิดอันตรายได้อีกด้วย

   ‘อันตรายอะไรเหรอครับ’ ชาร์ลถาม สีหน้าระแวงสงสัยตามประสาหนุ่มลูกครึ่งที่ไม่มีความเชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้

    ‘สัตว์ป่าน่ะ ไม่เหมือนสัตว์เลี้ยงนะ หากไม่มีวิชาคาถาอาคมมันจะทำร้ายเรา’ พ่อของพันนาบอกเรียบๆ พลางกันไปทางบุตรชาย ‘ระวังตัวให้มากนะลูก รู้ใช่ไหมว่าในป่ามันอันตราย’    

   พันนาพยักหน้ารับเพียงครั้งเดียว และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้การเดินทางครั้งนี้จำเป็นต้องมีพรานกล้ามาด้วย

    การเดินทางในช่วงแรกไม่ได้เหนื่อยมากนัก อาจเป็นเพราะอยู่ตีนเขาไม่ต้องใช้กำลังขามาก หากแต่เดินไปได้อีกสักสองชั่วโมงร่างกายก็เริ่มเหนื่อยล้า แสงแดดในยามสายร้อนจัด แม้จะมีต้นไม้ให้ร่มเงา แต่ไม่มีลมพัดให้ชื่นใจเลยแม้แต่น้อย พันนายกกล้องคู่ใจถ่ายรูปเก็บภาพไปเรื่อยๆ แต่ที่อยากได้ที่สุดคือรูปสัตว์ เพราะฝันว่าครั้งหนึ่งในชีวิตอยากจะมาส่องสัตว์ และมีรูปเก็บไว้เพื่อเป็นหลักฐานแห่งความประทับใจ

    คะนิ้งเริ่มบ่นอิดออดว่าร้อนบ้าง เมื่อยบ้าง อยากพัก อยากกินโน่นกินนี่ แต่พรานกล้าไม่อนุญาตให้พักเพราะต้องเดินให้ถึงจุดหมายก่อนจะมืด คะนิ้งกระฟัดกระเฟียดทำท่าจะไม่เดินต่อเดือดร้อนถึงชาร์ลที่ต้องเอากระเป๋าแบรนด์เนมดังมาล่อ เจ้าหล่อนถึงมีแรงเดินต่อ

   จนเกือบเที่ยงพรานกล้าถึงบอกให้พักกินข้าว ระหว่างที่จัดแจงดึงเสบียงมาจากกระเป๋าเป้ใบใหญ่ พรานกล้าก็หาใบไม้แถวนั้นมารอง ก่อนจะแบ่งข้าวเหนียวและหมูทอดเกรียมๆ วางบนใบไม้ ทำปากขมุบขมิบ แล้วจัดการกินมื้อเที่ยงที่เหลือของตน ทิ้งให้กุมภ์กับคนอื่นๆ อยู่กับความแปลกใจ แต่ก็ไม่มีใครถามอะไร เพราะท้องร้องหิวจนไส้แทบขาด

   กินข้าวอิ่มก็ออกเดินทางต่อ การเดินป่าไม่ได้สนุกเหมือนที่จินตนาการไว้ มันเหนื่อยและร้อนจนอยากจะหันหลังกลับ แต่ก็เดินมาไกลจนกว่าจะกลับไปได้แล้ว คะนิ้งบ่นหนักขึ้น จนพรานกล้าหันมาตำหนิด้วยสายตา เจ้าหล่อนชักสีหน้าไม่พอใจ ฟ้องชาร์ลชุดใหญ่ แต่ชาร์ลก็เหนื่อยอ่อนเกินกว่าจะเอาเรื่องพรานกล้า อีกอย่างก็นึกรำคาญความงี่เง่าของคนรักตัวเองอยู่เหมือนกัน
   ล่วงเข้าบ่ายคล้อย ทั้งหมดก็ขึ้นมาถึงเกือบกลางเขา พรานกล้าบอกว่าเลยจุดสำหรับให้นักท่องเที่ยวกางเต็นท์นอนแล้ว คงเพราะเดินมาในเส้นทางลัดเลยไม่รู้ทิศทางที่ชัดเจน

   กุมภ์ยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่หลังหน้าผาก อากาศร้อนและอบอ้าวกว่าที่คิดไว้เยอะทีเดียว เขาหันไปมองเพื่อนร่วมขบวน แต่ละคนมีสภาพไม่ต่างกันนัก แต่คะนิ้งดูจะแย่กว่าใคร ใบหน้าเธอซีดเซียว เหมือนคนใกล้จะเป็นลมเต็มที

   “คืนนี้พักแถวนี้ก็แล้วกัน” พรานกล้าบอกสั้นๆ แล้วลงมือรื้อข้าวของออกจากกระเป๋าเป้ของตัวเอง

   คะนิ้งร้องไชโยด้วยความดีใจ เสียงของเธอดังก้องไปทั้งป่า พรานกล้าหันมาใช้สายตาตำหนิในการกระทำที่ไม่สมควรของเธอ แต่คะนิ้งไม่สนใจทิ้งตัวลงนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ เหยียดขายาวเพื่อคลายความเมื่อยล้า ปากก็พร่ำบ่นไม่หยุด ขณะที่คนอื่นๆ เริ่มลงมือการเต็นท์ง่ายๆ เพื่อใช้สำหรับการพักผ่อนในคืนนี้

   กองไฟถูกก่อขึ้นง่ายๆ ด้วยเศษไม้แห้งแถวนั้น แสงสว่างจากกองไฟช่วยทำให้รอบๆ บริเวณไม่น่ากลัวจนเกินไปนัก ชาร์ลถามหาถึงห้างที่ใช้ส่องสัตว์ ได้คำตอบจากพรานกล้าว่าอยู่ห่างไปอีกหลายกิโล อาจจะถึงพรุ่งนี้ตอนบ่าย คะนิ้งบ่นอีกรอบ เพราะเธอไม่ได้อาบน้ำ เหนียวตัวไปหมด ใช้แค่ทิชชู่เปียกทำความสะอาดเนื้อตัวเท่านั้น มื้อเย็นเป็นอาหารกระป๋องที่พกกันมากับขนมปัง ส่วนของพรานกล้ายังเป็นข้าวเหนียวกับหมูทอดอีกตามเคย

   พรานกล้าทำเหมือนเมื่อตอนกลางวันคือนำอาหารเล็กน้อยวางบนใบไม้ ปากขยับพึมพำบางอย่างแล้ววางมันไว้ข้างๆ ตัว

   “ทำแบบนั้นทำไมเหรอ” รชตถาม ขณะที่ใช้ขนมปังจิ้มปลากระป๋อง

   “แบ่งให้เจ้าที่เจ้าทาง” พรานกล้าตอบสั้นๆ แต่รชตกลับหัวเราะในคอ

   “ของกินมีจำกัด ยังจะแบ่งให้ผีให้สางอีก” รชตออกความเห็น

   “ถ้าไม่รู้อะไรก็อย่าพูดมาก” พรานกล้าเตือน ทว่าเด็กที่โตมากับแสงสีอย่างรชตยังไม่หยุด

   “ผมไม่รู้จริงๆ นั่นแหล่ะ แต่แค่เสียดายอาหารที่ต้องสละให้กับอะไรก็ไม่รู้” รชตสายหน้า เลิกสนใจพรานกล้าก่อนจะยกกระป๋องเบียร์ขึ้นจิบ

   พรานกล้าไม่ต่อล้อต่อเถียง แต่กุมภ์สัมผัสได้ถึงความไม่พอใจ

   เมื่อจัดการมื้อเย็นเสร็จ แสงแดดก็หายไปหมดแล้ว ความมืดของยามค่ำคืนเข้ามาแทนที่ ทั่วทั้งป่าเงียบสงบ มีเพียงแต่เสียงแมลงกลางคืนเท่านั้น พรานกล้าสั่งให้ทุกคนเข้านอน หากมีเสียงผิดปกติก็ไม่ต้องลุกออกมาจากเต็นท์ ส่วนตนจะทำหน้าที่เฝ้ายามให้ ไม่มีใครคิดแย่งหน้าที่นี้กับพรานกล้า เพราะทุกคนเหนื่อยล้าจากการเดินป่าวันแรก

   กุมภ์นอนเต็นท์เดียวกับรชตและพันนา ส่วนชาร์ลกับคะนิ้งนอนด้วยกันที่เต็นท์ข้างๆ ในป่าไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ทำให้หมดสิทธิ์เล่นโซเชี่ยว แสงจากกองไฟสว่างวาบสะท้อนกับเต็นท์เกิดเงารูปร่างแปลกๆ กุมภ์จ้องมองอยู่นานและผล็อยหลับไป กระทั่งมารู้สึกตัวตื่นอีกทีตอนที่มีบางอย่างมาเขย่าที่หัวไหล่

   “กุมภ์ๆ ออกไปฉี่เป็นเพื่อนหน่อยสิ”

   “ไม่เอา ง่วง ปลุกให้พันสิ” กุมภ์โยนภาระให้เพื่อนอีกคนหน้าตาเฉย เขาเหนื่อยและเพลียมาก

   “ไอ้เพื่อนเลวเอ๊ย!”

    กุมภ์ได้ยินเสียงรชตสบถเบาๆ จับใจความได้ว่าเจ้าเพื่อนคนนี้ต่อว่าเขากับพันนาที่เอาแต่นอนไม่สนใจตัวเอง จากนั้นกุมภ์ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก เพราะถูกความง่วงงุนเข้าครอบงำ

    กุมภ์สะดุ้งตื่นอีกทีตอนได้ยินเสียงร้องเรียกของพรานกล้า เปลือกตาหนักอึ้งบวกกับเมื่อยล้าที่เกาะกุมร่างกายทำให้ไม่อยากจะตื่น แต่ก็ไม่อาจทำอย่างนั้นได้เลยจำต้องฝืนสังขารลุกออกจากเต็นท์นอน …




   พรานกล้าต้อนรับวันใหม่บางอย่างที่กำลังเสียบไม้ปิ้งเหนือกองไฟ กุมภ์แปลกใจเล็กน้อยที่ไม่ได้เห็นความเหนื่อยล้าบนสีหน้าของพรานกล้าเลย กลับดูกระฉับกระเฉงมากกว่าพวกเขาที่นอนกันมาทั้งคืนเสียอีก พรานกล้าส่งของปิ้งให้คนละไม้ คะนิ้งเบ้หน้าจนพรานกล้าต้องบอกว่ามันคือเนื้อหมูแห้งที่พกมา เธอถึงยอมกิน

   นอกจากจะมีเนื้อหมูแห้งย่างแล้ว พรานกล้ายังมีกาแฟดำที่ต้มด้วยกระป๋องเก่าๆ ให้อีกคนละแก้ว รสชาติของมันเข้มข้นเสียจนคะนิ้งยอมแพ้ แต่กุมภ์กลับชอบเพราะมันช่วยกระตุ้นให้ตื่นเต็มตัว พรานกล้าให้เวลาเก็บเต็นท์ครึ่งชั่วโมงแล้วจะออกเดินทางทันที เพราะถ้าหากสายแดดจะร้อนพวกเราจะหมดแรงก่อนที่ถึงห้างส่องสัตว์เสียก่อน

   คะนิ้งอิดออดอ้างว่านอนไม่ค่อยหลับ เวียนหัว แต่พอคนรักของเธอยื่นข้อเสนอเป็นบุฟเฟต์เค้กในร้านเบเกอรี่ชื่อดังเธอก็ยอมลุกขึ้นไปเก็บข้าวของเตรียมออกเดินทาง

   อากาศในวันที่สองของการเดินป่าไม่ได้ร้อนอบอ้าวแบบเมื่อวาน แต่กลับมีเมฆฝนตั้งแต่เช้า ก้อนเมฆสีเทาจับตัวเป็นก้อนในเวลาอันรวดเร็ว พรานกล้าให้พวกเราเร่งฝีเท้าเพราะไม่อย่างนั้นจะติดฝน ความลำบากจะทวีขึ้นเป็นเท่าตัว

   เสียงจักจั่นร้องดังระงมป่า เมฆก็คล้อยต่ำลงเรื่อยๆ แม้ว่ามันจะทำให้เดินทางสบาย แต่ถ้าหากฝนตกลงมาจริงๆ ต้องเดือดร้อนแน่นอน ร้ายสุดอาจมีน้ำป่า กุมภ์ชักใจคอไม่ดีพยายามเดินให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ปริปากบ่นสักคำเช่นเดียวกับพันนา
   กุมภ์เพิ่งสังเกตว่าพันนาเงียบผิดปกติ ถึงจะไม่ใช่พวกชอบคุย แต่ก็ไม่เคยเงียบขนาดนี้ หลายครั้งที่พันนาขมวดคิ้วคล้ายมีบางอย่างอยู่ในใจ แต่กุมก์ก็ไม่กล้าถามเพราะรู้ดีว่าเพื่อนสนิทคนนี้จะไม่ยอมเปิดปากพูดอะไรจนกว่าจะถึงเวลา

   ขณะที่กุมภ์ พันนาและพรานกล้ารีบเดินเพื่อหวังว่าจะหนีฝนพ้น แต่อีกสามคนกลับไม่รู้สึกรู้สาอะไร คะนิ้งคุยเจื้อยแจ้ว เล่าเรื่องเพื่อนที่คณะ และอริที่ไม่เคยลงรอยกัน โดยมีสองหนุ่มรับฟังเงียบๆ กุมภ์หันไปมองเพื่อนสองคน รู้สึกว่ารชตพูดน้อยกว่าทุกวัน และมักจะหันไปมองข้างหลังเป็นระยะ

    “กูว่าไอ้ชตมันแปลกๆ” กุมภ์กระซิบกับพันนา

   “มันแปลกตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” พันนาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เบาไม่ต่างกัน

   “ยังไงวะ”

   “กูได้ยินมันละเมอ” พันนาบอกพลางหันกลับไปมองรชต “มันทำท่าผลักอากาศ”

    “คงแค่ฝันร้ายละมั้ง เดินมาทั้งวันแถมยังต้องมานอนในป่าอีก” กุมภ์ออกความเห็น พันนาทำท่าเหมือนจะพูดบางอย่างแต่ก็เงียบไป

    เดินมาได้อีกสักพักฝนก็เริ่มจะหยดเม็ด พรานกล้าเร่งให้เดินเร็วขึ้นกว่าเดิม เพราะห่างจากจุดนี้ไปไม่ไกลมีเพิงไม้ที่พวกนายพรานสร้างไว้บังแดดบังฝน

    ทั้งหมดเร่งฝีเท้าจนเกือบจะวิ่งเพราะฝนตกแรงขึ้นเรื่อยๆ แม้จะไม่มีลมพายุพัดโหม แต่เมื่ออยู่ในป่าที่มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมรอบด้านความหวาดหวั่นเลยมีมากกว่าปกติ

   กุมภ์หอบแฮก รู้สึกเหมือนใกล้จะขาดใจ ตอนที่หยุดพักก้มหน้าลงหอบหายใจก็ได้ยินเสียงพรานกล้าแข่งกับเม็ดฝนว่าถึงเพิงที่พักแล้ว

    เพิงไม้ง่ายๆ ถูกสร้างด้วยไม้ไผ่และใบจากช่วยกันแดดกันฝน สภาพมันเหมือนไม่แข็งแร แต่ไม่น่าเชื่อว่าไม่มีฝนสักเม็ดผ่านใบจากเก่าๆ มาได้ แคร่ไม้ไผ่เก่าๆ จุคนนั่งได้สี่ถึงห้าคน พวกเราเข้าไปนั่งเบียดกันในนั้นโดยมีพรานกล้าเสียสละนั่งหมิ่นๆ เปียกฝนไปครึ่งตัว ไม่รู้ว่าแม่ของพันนาจ้างพรานกล้ามาเท่าไร แต่นายพรานพูดน้อยคนนี้ทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมทีเดียว

    “ไอ้พัน กูรู้สึกแปลกๆ ว่ะ เหมือนมีคนเดินตาม” รชตกระซิบกับพันนา แต่เสียงดังจนกุมภ์ได้ยินที่นั่งข้างๆ พันนาได้ยิน

   “มึงคิดมาก” พันนาบอกเรียบๆ นั่งมองสายฝนที่ตกลงมาหนาเม็ดกว่าเดิม

   “จริงๆ นะโว้ย ตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว กูลองหยุดเดินเสียงมันก็เงียบไป แต่พอกูเดินเสียงมันก็ดังขึ้นอีก”

    พันนาไม่ถามหรือมีข้อคิดเห็นอะไร พอเห็นปฏิกิริยาของเพื่อนรชตก็เงียบไปอีกคน ก้มหน้าต่ำเหมือนไม่อยากสนทนากับใคร

   เสียงเม็ดฝนกระทบกับหลังคาตับจากดังทุ้มต่ำกว่าที่เคยได้ยิน ลมพัดมาเป็นระยะ ด้วยความที่อยู่ในป่าทำให้อากาศหนาวลงกว่าปกติ รอบข้างมืดครึ้มทั้งที่ยังไม่ถึงเที่ยง กุมภ์ดึงขนมปังแห้งๆ ขึ้นมากินรองท้อง พาลคิดถึงสเต็กหรือไม่ก็พัดกระเพราซักจาน ไม่คิดว่าในป่าจะลำบากขนาดนี้

   กุมภ์หันไปมองคะนิ้ง รายนี้ยิ่งหนักกว่าเพระเป็นผู้หญิง ใบหน้าของเธอซีดเซียวเพราะไร้เครื่องสำอาง ดวงตาแสดงความเหนื่อยล้าออกมาให้เห็น ศีรษะทุยสวยเอนซบกับหัวไหล่กว้างของชาร์ล เสียงพูดคุยเงียบหายไปพักใหญ่แล้ว ดูเหมือนว่าทุกคนกำลังตั้งใจฟังเสียงฝน ทว่าความจริงแล้วต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเองต่างหาก

    “รอฝนหยุดแล้วค่อยออกเดินต่อ อีกไม่ไกลก็ถึงแล้วล่ะ” พรานกล้าบอบเรียบๆ เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเดินทางอีกรอบ

   ฝนเริ่มซาเม็ดลง ถึงจะไม่ใช่พายุฟ้าคะนองจนมีน้ำป่า แต่มันก็สร้างความลำบากให้ไม่น้อย พรานกล้าสั่งให้ดึงกางเกงขายาวลงมาคลุมขาให้มิดชิด เพราะตัวทากจะเกาะดูดเลือดได้ คะนิ้งวี๊ดว๊ากรีบดึงขากางเกงที่พับไว้ลงมาถึงตาตุ่ม เท่านั้นไม่พอเธอยังดึงถุงเท้าให้สูงขึ้นอีก ตรวจสอบหลายรอบกว่าจะแน่ใจว่าอาภรณ์ที่สวมใส่มิดชิดดีแล้ว ส่วนกุมภ์กับผู้ชายคนอื่นๆ ใส่กางเกงขายาวกับรองเท้าหนังหุ้มข้อพร้อมถุงเท้าสูงกันอยู่แล้ว ถึงจะไม่ค่อยรู้ว่าป่าแถบนี้มีสัตว์ดูดเลือดเร้นกายอยู่หรือไม่ แต่สัตว์เลื้อยคลานจำพวกงูต้องมีแน่นอน กันไว้ดีกว่าแก้

    ตัวทากที่พรานกล้าพูดถึงกระโดดขึ้นจากพื้นดินชื้นแฉะขึ้นเกาะขากางเกงอย่างน่าขยะแขยง โชคดีที่พันนามีสเปรย์ไล่ทากติดมาด้วย เลยไม่ต้องอาศัยยาเส้นของพรานกล้ายามที่ได้เจ้าตัวดูดเลือดลอดผ่านกางเกงเข้าไป

   พื้นดินและใบไม้แห้งอุ้งน้ำทำให้การเดินทางยากลำบากมากกว่าเดิม เป้ที่สะพายอยู่ด้านหลังหนักขึ้นเหมือนมีของเพิ่มหลายชิ้น แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นเพราะความเหนื่อยล้าต่างหากที่ทำให้รู้สึกว่าเป้มันหนักขึ้น

   “เมื่อไรจะถึง ฉันเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว” คะนิ้งบ่นเสียงดัง จากนั้นก็พร่ำพูดไม่หยุดว่าไม่ควรตกปากรับคำชวนของรชตเลย หากตนปฏิเสธป่านนี้คงได้เดินชอปปิ้งตากแอร์อยู่ในกรุงเทพฯ แล้ว

   โดยปกติแล้วหากโดนต่อว่าเช่นนี้รชตจะต้องโต้กลับ หากแต่คราวนี้รชตกลับเก็บปากเก็บคำ เอาแต่ก้มหน้าเดิม มีบ้างที่หันไปมองข้างหลัง แต่น้อยกว่าเมื่อตอนเช้า

   จนล่วงเข้าสู่ตอนเที่ยงพรานกล้าบอกว่าจุดหมายปลายทางใกล้จะถึงแล้ว เลยขอให้ทั้งหมดเก็บท้องไว้กินที่ห้าง ไม่มีใครคัดค้านแม้แต่คะนิ้ง คงเพราะอยากจะพักยาวๆ ทีเดียว

   เกือบจะบ่ายสองคณะเดินทางก็ถึงห้างส่องสัตว์ ลักษณะของมันคล้ายกับกระต๊อบที่ก่อสร้างง่ายๆ ด้วยเศษไม้ และมีหลังคาตับจาก คล้ายกับจุดพักที่เพิ่งผ่านมาเพียงแต่มันถูกสร้างอยู่บนต้นไม้ที่ทั้งสูงใหญ่และแข็งแรง มีแผ่นไม้ตอกเรียงขึ้นไป เว้นระยะห่างพอให้ปีนขึ้นได้

   ทุกคนเงยหน้าขึ้นมอง ความเหนื่อยล้าจางหายไปจากใบหน้า ดวงตาเป็นประกาย ราวกับได้พบขุมทรัพย์สำคัญ
 
   “เดี๋ยวเราจะขึ้นไปอยู่บนนั้น พวกคุณสามคนอยู่หลังนั้น ส่วนผมกับคุณไปอีกหลัง” พรานกล้าบอก พลางชี้นิ้วไปที่กุมภ์และพันนา
 
   ห้างส่องสัตว์มีสองหลัง ปลูกอยู่บนต้นไม้ใกล้ๆ กัน ลักษณะเหมือนกันแทบจะทุกประการ พันนาปีนขึ้นไปบนห้างที่พรานกล้าพูด ด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่ทำให้ใช้เวลาไม่ถึงนาทีก็ถึงบนห้าง กุมภ์ตามเพื่อนไปติดๆ ระหว่างที่กำลังปีนก็ก้มลงไปมองที่พื้น เห็นรชตกำลังจดๆ จ้องๆ อยู่ที่บันไดขั้นแรก เขาส่ายหัวนึกขำในความขลาดกลัวของเพื่อน แต่จังหวะที่กำลังจะหันหน้ากลับมาที่เดิม หางตาคล้ายกับจะเห็นเงาร่างของใครบางคน

    แม้จะไม่ชัดเจนแต่พอจะมองออกว่าเป็นผู้หญิง กุมภ์ค่อนข้างแน่ใจว่าไม่ใช่คะนิ้งเพราะชุดที่สวมใส่ต่างกันมาก ภาพที่เห็นคือเธอสวมผ้าซิ่นสีมอๆ แต่พอเขาหันไปมองอีกครั้งก็พบแต่ความว่างเปล่า กุมภ์สะบัดหัวเบาๆ เขาคงจะเก็บเรื่องที่รชตเล่าให้ฟังมาคิดมากเกินไป เลยสร้างภาพขึ้นเองเป็นตุเป็นตะแบบนี้

   บนห้างไม่ได้เลวร้ายนัก เหมือนบ้านพักตามชนบทเก่าๆ หลังเล็ก และขาดการดูแลมาพักใหญ่ พื้นไม้มีฝุ่นเกาะจนเป็นสีขาว รอยเท้าของพันนาชัดเจนจนน่าขำ พันนาวางกระเป๋าเป้ นั่งไปบนพื้นโดยไม่สนใจฝุ่นละออง คงเป็นเพราะกะทันหันเกินไปเลยไม่มีใครมาขัดห้างให้

   “โคตรเหนื่อย” พันนาบ่นสั้นๆ

   กุมภ์พยักหน้าเห็นด้วย ตั้งแต่เกิดมาจนอายุ 21 ปียังไม่เคยพบพานกับความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าขนาดนี้ ค่าของคนเมืองทำให้ไม่เคยต้องลำบากอะไร ฐานะทางครอบครัวก็จัดอยู่ขั้นดี เหนื่อยที่สุดก็แค่กิจกรรมรับน้องตอนปีหนึ่งแต่มันเทียบไม่ได้เลยกับการเดินป่าส่องสัตว์ครั้งนี้

    ไม่นานนักพรานกล้าก็ขึ้นมาสมทบ บอกว่าเดี๋ยวจะทำปลาปิ้งให้กิน แค่ได้ยินว่าจะได้กินของสดเราก็หูผึ่ง รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที

   กุมภ์ขอตามพรานกล้าไปด้วย ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้คัดค้าน ส่วนพันนาอาสาก่อกองไฟรอ กุมภ์ตะโกนถามอีกสามคนที่อยู่บนห้างอีกหลัง แต่ทั้งหมดปฏิเสธโดยอ้างว่าเหนื่อยแล้วขอรอกินอย่างเดียวดีกว่า

    พรานกล้าเดินผ่านต้นไม้ใหญ่ไปหลายสิบเมตรจนถึงพงหญ้ารกที่สูงเกือบเท่าศีรษะ กุมภ์หวั่นใจอยู่บ้างเพราะไม่รู้ว่าเบื้องหน้าจะมีอะไร แต่เมื่อผ่านพงหญ้ารกก็พบกับแม่นำสายหนึ่ง

   กุมภ์มองอย่างตื่นตะลึงเพราะคิดไม่ถึงว่าแถวนี้จะมีลำธารอยู่ด้วย ถึงมันจะไม่ได้ใหญ่แต่คงสภาพความเป็นธรรมชาติอยู่มากทีเดียว สายน้ำไหลเอื่อย ไม่ได้ขุ่นมัวทั้งที่ฝนเพิ่งจะหยุดตกได้ไม่นาน บริเวณนี้เย็นสบาย เสียงน้ำไหลเอื่อยๆ รื่นหู ทำให้จิตใจสงบได้อย่างไม่น่าเชื่อ

   พรานกล้าเตรียมการตกปลาอย่างเงียบๆ กุมภ์เห็นริมฝีปากสีเข้มขยับเล็กน้อย ก่อนจะเดินลงไปในน้ำ ค้อมตัวลง ใช้ผ้าขาวม้าผืนเก่าๆ หย่อนลงในน้ำ กางมันออกกว้างไม่นานก็มีปลาไหลเข้ามาติด พรานกล้าใช้มือข้างเดียวคว้าลำตัวของมันไว้ แล้วโยนขึ้นมาบนบก

   กุมภ์รีบตะครุบเจ้าปลาดวงกุด ปลาตัวใหญ่ที่ไม่รู้สายพันธุ์พยายามดิ้นรนกระเสือกกระสนลงหาสายน้ำ แต่มือของกุมภ์เหนียวพอๆ กับปลาหมึก จับมันแน่น แล้วแทบไม่น่าเชื่อ เพียงไม่กี่วินาทีเจ้าปลาก็หยุดดิ้น สิ้นใจในมือของเขา

   แต่กุมภ์ไม่มีเวลาให้สงสัยมากนักเพราะพรานกล้าโยนปลาตัวที่สองและสามตามมาติดๆ แล้วมันก็เหมือนเจ้าปลาตัวแรก แค่กุมภ์จับตัว มันก็ตายทันที ไม่ถึงสิบนาทีพรานกล้าก็หาปลาได้หกตัว พอดีกับจำนวนคนพอดี กุมภ์ทึ่งในความสามารถของพรานกล้า ไม่รู้ว่าใช้ฝีมือหรือคาถาเรียกปลา แต่มันก็ทำให้ตื่นตาตื่นใจไม่น้อย

    “คุณทำปลาเป็นไหม” พรานกล้าถาม กุมภ์ส่ายหัวดิก ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยจับปลาเป็นๆ ด้วยมือเปล่าเลยด้วยซ้ำ แต่วันนี้ที่ทำได้เพราะไม่อยากให้พรานกล้ารู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระ

   พรานกล้าไม่ได้ต่อว่าในความไม่ประสาของกุมภ์ เดินขึ้นมาจากน้ำ ดึงมีดพกสั้นที่เหน็บไว้ข้างเดียว ขอดเกล็ด ดึงไส้ปลาอย่างชำนาญ แกว่งปลาลงในสายน้ำ เลือดสีแดงไหลไปตามแรงพัดของน้ำ กลิ่นคาวลอยคลุ้งในอากาศ กุมภ์รู้สึกพะอึดพะอมเพราะกลิ่นคาวของมัน

    พรานกล้าใช้กิ่งไม้ไผ่ที่เหลาเป็นตอกด้วยมีดเล่มเดิมร้อยปลาทั้งหกตัวไว้ด้วยกัน พยักหน้าส่งสัญญาณบอกให้รู้ว่าการหาปลาเสร็จสิ้นลงแล้ว ทั้งคู่เดินกลับทางเดิมพร้อมกับมื้อกลางวันชุดใหญ่

    ทันที่ที่เห็นปลา อีกสี่คนที่ลงจากห้างมานั่งรอบกองไฟต่างก็อุทานด้วยความแปลกใจแกมยินดี ปลาที่พรานกล้าหามาได้ตัวใหญ่มากจริงๆ ชาร์ลถึงกับลุกขึ้นมาดูใกล้ๆ

   “ไปแป๊บเดียวเอง ทำไมหามาได้เยอะนักล่ะ” ชาร์ลถาม

   “พรานกล้าเก่งมากเลยล่ะ แค่ใช้ผ้าขาวม้าผืนเดียวก็จับปลาได้แล้ว” กุมภ์คุยโวราวกับเป็นคนจับปลากพวกนี้ด้วยตัวเอง

   “ผมมีข้าวสารมาด้วย มื้อนี้เราจะหุงกินกัน บนห้างมีหม้ออยู่” พรานกล้าบอก “พวกคุณไปเอาน้ำมาที”

   พวกคุณที่พรานกล้าว่าคือ รชต ชาร์ลและคะนิ้ง รายสุดท้ายแสดงปฏิกิริยาต่างไปจากทุกที เพราะปกติแล้วเธอจะหงุดหงิดหรือปฏิเสธ แต่คราวนี้กลับทำท่าดีใจ

   “มีลำธารอยู่ใกล้ๆ คุณเดินไปตามหญ้าที่ผมแหวกเอาไว้” พรานกล้าแนะ

    ไม่มีใครปฏิเสธ ทั้งสามปีนกลับขึ้นไปบนห้าง นำหม้อที่พรานกล้าบอกแล้วเดินไปตามทาง กุมภ์เห็นคะนิ้งเอากระเป๋าเป้ใบเล็กไปด้วย เดาว่าเธอคงจะอาบน้ำหรือล้างหน้าล้างตาเพราะไม่ได้เจอน้ำมาสองวันแล้ว

    พันนาช่วยพรานกล้าเหลาไม้ไผ่ที่หาได้จากแถวนั้น เหลาเป็นก้านยาวๆ แล้วแทงเข้าไปตามความยาวของตัวปลา แล้วปิ้งปลาบนกองไฟ พลิกไปพลิกมาเพื่อให้ปลาสุกทั่ว

   กุมภ์ขึ้นไปเอาอาหารกระป๋องลงมาเพิ่ม กลิ่นหอมของปลาที่เริ่มจะสุกกระตุ้นความหิวให้มากกว่าเดิม เผลอกลืนน้ำลายลงคออยู่หลายหน จนพันนาหันมาทำหน้าสมเพชใส่

    “ทำไมพวกนั้นหายไปนานจัง” กุมภ์ถามด้วยความสงสัย

   “อาบน้ำกันละมั้ง” พันนาออกความเห็น

   “ก็คงจะอย่างนั้น”

   แต่ทั้งสามคนหายไปนานผิดปกติจริงๆ เวลาที่ออกไปกันราวๆ บ่ายโมง แต่นี่รวมจะบ่ายสองโมงแล้วก็ยังไม่กลับมา พรานกล้าเองก็รู้สึกอย่างนั้น

   พรานป่าหนุ่มใหญ่ลุกขึ้นจากกองไฟ ส่งปลาที่ปิ้งจนสุกแล้วให้กุมภ์ บอกสั้นๆ ว่าจะไปตามพวกนั้นเพราะรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาเหมือนกัน…

*เรื่องนี้แต่งขึ้นจากจินตนาการ เหนือธรรมชาติ ข้อมูลไม่ได้แน่นมากนัก ขออภัยมา ณ ที่นี้ค่ะ**


ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
รอตอนต่อไปจ้า

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 o13
 :3123:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
 :katai5: :katai5: รออออออ  น่าสนุกมากค่ะ

ออฟไลน์ koikoi

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3862
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +311/-13
สนุกมากรอตอนต่อไป

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
ตอนที่ 3 ป่าพิโรธ


    แม้จะเป็นแค่ลำธารเล็กๆ แต่สายน้ำใสสะอาดจนมองเห็นปลาที่ว่ายผ่านไป คะนิ้งตื่นตาตื่นใจอย่างบอกไม่ถูก มือบางกวักลงในน้ำ มันเย็นชื่นใจจนอยากจะเอาตัวลงไปแช่ ร่วมสองวันแล้วที่เธอไม่ได้อาบน้ำ ร่างกายเหนียวหนับไปหมด ทั้งเหงื่อไคลและเม็ดฝนที่ตกมาในช่วงสาย

   นึกแล้วก็อดหงุดหงิดไม่ได้ นี่ถ้าเธอไม่บ้าจี้ตามผู้ชายพวกนี้มาป่านนี้เธอคงได้เดินเล่นอยู่ในห้างชอปปิ้งเพลินไปแล้ว

   ไหนจะอาหารการกินที่มีจำกัด เธอคิดถึงสเต๊กนุ่มๆ มักกะโรนีชุ่มซอส แต่ถ้าตอนนี้มีแค่หมูปิ้งสักไม้เธอก็ยินดีเหลือล้นแล้ว

   “ชาร์ล คะนิ้งอยากอาบน้ำ” เธอบอกกับคนรักที่กำลังหย่อนเท้าลงในน้ำ

   “เอาสิ เดี๋ยวเรารอ”   

   “แต่เราต้องเอาน้ำไปหุงข้าวนะ” รชตแย้ง

   “ไม่เป็นไรหรอก แค่แป๊บเดียวเอง อีกอย่างกูก็อยากลองจับปลาแบบพรานกล้าดูบ้าง มึงดูสิ ปลาเต็มไปหมด” ชาร์ลบอก ตาแววระยับจ้องมองฝูงปลาที่แหวกว่ายอยู่ในสายน้ำ

   รชตส่ายหัว อยากจะห้ามปรามเพื่อนแต่รู้นิสัยของชาร์ลดี ด้วยความเป็นลูกครึ่ง นับถืออีกศาสนา และไม่เคยเชื่อสิ่งเหนือธรรมชาติ ทำให้ชาร์ลมั่นใจในตัวเอง ติดหัวดื้อด้วยซ้ำ

   คะนิ้งเลือกที่จะเดินห่างจากสองหนุ่ม เลือกจุดที่มีพุ่มไม้กำบัง พลางกำชับไม่ให้ใครหันมามอง เธอปลดเสื้อผ้าน่ารำคาญออกจากตัว จนเหลือแต่กายเปลือยเปล่า ปล่อยเส้นผมให้สยายออก อาศัยโขดหินเล็กๆ นั่งทรงกาย กวักน้ำเย็นชำระล้างคราบไคลที่สะสมมาร่วมสองวัน น้ำใสเย็นชวนให้สดชื่น สบู่ก้อนเล็กๆ ที่พกติดตัวมาด้วย ถูจนเป็นฟองนุ่ม ก่อนจะใช้มันปาดป้ายไปทั่วใบหน้าและผิวกาย พอเนื้อตัวสะอาดก็จัดการสระผมที่เริ่มมีกลิ่นไม่พึงประสงค์

    “แฟนมึงเอาสบู่มาด้วยเหรอวะ” รชตถามขณะที่ชาร์ลกำลังตั้งหน้าตั้งตาจับปลาด้วยมือเปล่า พลางฟองสบู่ไหลมาตามน้ำ

   “เออ” ชาร์ลตอบสั้นๆ

   โชคดีที่รชตตักน้ำใส่หม้อและกระบอกน้ำที่พกติดตัวมาด้วยไว้ก่อนแล้ว ไม่อย่างนั้นพวกเขาต้องกินน้ำที่เจือคราบไคลและฟองสบู่ของคะนิ้งแน่

   “ทำไมจับไม่ได้วะ กูไม่เห็นไอ้พรานนั่นเอาอะไรไปเลย แต่จับได้ตั้งห้าหกตัว” ชาร์ลบ่น เพราะเจ้าปลาที่ว่าเยอะแยะนั่น ต่างก็พากันว่ายรอดผ่านมือชาร์ลไปหมด

   “มึงไม่ลองโยนหินใส่มันล่ะ ดักมันไว้” รชตเสนอ เขาเองก็อยากไปจากที่นี่เต็มแก่ ขืนรอใหชาร์ลจับปากด้วยมือเปล่าคงได้กลับไปที่ห้างเย็นค่ำแน่

    ชาร์ลไม่คัดค้าน จับก้อนหินขนาดเท่าลูกฟุตบอลทุ่มลงไปในฝูงปลา เสียงตูมของน้ำดังไปทั่วบริเวณ แต่เพียงแค่อึดใจเดียวก็เงียบเป็นปกติ ซ้ำยังได้ผล เพราะมีปลาตัวหนึ่งดิ้นพลาดๆ อยู่ใต้ก้อนหิน เลือดสีแดงไหลไปตามสายน้ำ

    “ได้แล้วโว๊ย!!” ชาร์ลร้องตะโกนด้วยความยินดี ยกก้อนหินออกจากเจ้าปลาโชคร้าย แล้วรับจับปลาชูขึ้นเหนือศีรษะ รชตเองก็พลอยดีใจไปด้วย รับปลากที่ชาร์ลส่งให้ “เดี๋ยวกูจะจับอีกสักสองสามตัว เผื่อจะได้กินอิ่มไปถึงพรุ่งนี้เช้าเลย”

   ชาร์ลลิงโลด ใช้วิธีเดิมจับปลาได้อีกหลายตัว โดยหารู้ไม่ว่าเรื่องที่ตนก่อจะนำผลร้ายแรงถึงชีวิตมาให้…




    พรานกล้าเดินตามรอยเดิมมาถึงลำธาร ขมวดคิ้วเพ่งมองฟองสีขาวที่ลอยอยู่เหนือผืนน้ำ มองปราดเดียวก็รู้ว่ามันคือฟองของสบู่ เด็กบ้าพวกนั้นอาบน้ำในลำธาร สารเคมีพวกนั้นอาจะทำให้ปลาเจ็บป่วยจนถึงตายได้

   คนแถวนี้รู้กันดีว่าผืนป่าแห่งนี้ยังคงความสมบูรณ์ของธรรมชาติเอาไว้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ชาวบ้านมีน้ำสะอาดใช้ก็เพราะภูเขาลูกนี้ ไม่เคยมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาทำลายระบบนิเวศ นี่ถ้าหากว่าคนที่มาขอร้องไม่ใช่เพราะพิเดช พ่อของพันนาขอร้องเขาคงไม่รับหน้าที่พรานป่านำทางให้แน่ ใครก็รู้ว่าพวกคนเมืองคะนองแค่ไหน โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่น หากว่าไม่เป็นห่วงความเป็นอยู่ของครอบครัวและเงินอีกสามหมื่นบาท เขาจะปฏิเสธงานนี้ทันที

    “เฮ้ยๆ ดูสิได้ชตกูจับปลาได้อีกแล้ว ตัวนี้ใหญ่กว่าของไอ้พรานกล้าอีก เห็นแล้วอยากกินแกงส้มแป๊ะซะเลย”

    เสียงตะโกนโหวกเหวกที่อยู่ห่างจากจุดที่พรานกล้ายืนไม่ถึงสิบเมตร ทำให้ต้องหันไปมองด้วยความแปลกใจ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นความโมโหจนได้ยินเสียงหวีดหวิวในหู

   พรานกล้าก้าวยาวๆ ไม่กี่ครั้งก็ถึงตัวคนก่อเรื่อง เด็กหนุ่มลูกครึ่งกำลังเริงร่าอยู่กับการจับปลา ในมือมีปลาตัวใหญ่เขื่องที่กำลังดิ้นพลาดๆ ด้วยความทรมาน เลือดสดหยดจากตัวมันลงสายน้ำ กวาดสายตาไล่มองก็สะดุดกับก้อนหินขนาดใหญ่ที่ลักษณะเหมือนถูกจับพลิกขึ้นมา เดาได้ไม่ยากว่าเด็กคนนี้ใช้วิธีอะไรจับปลา

    “พวกคุณทำบ้าอะไรกัน!”

   ทั้งหมดหยุดชะงัก ทั้งเด็กหนุ่มลูกครึ่งที่กำลังจับปลาและกองเชียร์อีกสองคนที่อยู่บนบก ต่างหันมามองเป็นตาเดียว

   “นี่ๆ พราน ดูสิผมจับปลาได้ด้วยล่ะ ผมเก่งไหมล่ะ” คนจับปลาคุยโว ชูปลาในมือขึ้น เดินลุยน้ำเข้ามาหา

   พรานกล้าปัดมือเด็กหนุ่มทิ้ง จนปลากระเด็นหลุดจากมือ ในอกเดือดดาลเหมือนกาต้มน้ำ “แล้วใช้วิธีไหนตับมัน”

   “ก็เอาหินโยนใส่มันสิ แป๊บเดียวได้เพียบ”

   “แล้วคุณได้ขอเขาหรือเปล่า”

   “ขอใคร” เด็กหนุ่มเอียงคอมอง ดวงตาสีน้ำเงินฉงนสงสัย

   “เจ้าป่าเจ้าเขา!” พรานกล้าตะคอกใส่ หากแต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะเสียงดัง

   “ไหนล่ะเจ้าป่าเจ้าเขา ถ้าเห็นก็ขอแล้วสิ” ชาร์ลยักไหล่ “ปลาอยู่ในน้ำ ไม่ได้อยู่ในบ่อของใคร ไม่มีเจ้าของ ใครๆ ก็กินได้”

    “ผมให้คุณมาตักน้ำ แต่พวกคุณเล่นมาจับปลาแบบไม่ได้ขอ แถมยังให้...” พรานกล้ากันไปทางคะนิ้ง เนื้อตัวของเธอสะอาดจากที่เคยเห็น ผมเปียกชื้นแถมยังเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ “ผู้หญิงอาบน้ำอีก!”

    “ทำไมฉันถึงอาบน้ำไม่ได้” คะนิ้งถามกลับ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “ป้ายก็ไม่มีห้าม ฉันแค่อาบน้ำน่ะ ไม่ได้ฆ่าใครตาย!”

    พรานกล้ามองทั้งสามคนเขม็ง ทั้งโกรธทั้งหวาดหวั่น รู้สึกได้ทันทีว่าเรื่องไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้น พรานหนุ่มใหญ่นับหนึ่งถึงสิบข่มอารมณ์ให้สงบ

   “ปลาที่จับมา คุณต้องกินให้หมด อย่าเหลือทิ้งเด็ดขาด”

    พรานกล้าบอกสั้นๆ แล้วเดินจากมา ได้แต่ภาวนาขออย่าให้เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นเลย...





     พรานกล้าพาเด็กหนุ่มสาวทั้งสามกลับมาที่ห้าง ปลาทั้งหกตัวก็เกือบสุกแล้ว พันนากับกุมภ์ทำหน้าที่ได้ดี กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบริเวณ กุมจัดแจงหาใบตองมารองปลาเพิ่มความหอมได้อีกนิดหน่อย ทั้งสองหนุ่มทำหน้าแปลกใจเมื่อเห็นชาร์ลหิ้วห่วงไม้ไผ่ที่มีปลาร้อยเรียงรายอยู่ร่วมสิบตัว แต่สภาพของพวกมันไม่ได้น่ากินเท่ากับปลาที่พรานกล้าหามา ทว่ากลับดูเละเทะเหมือนถูกบางอย่างทับมา บางตัวปากแตกขาดวิ่น บางตัวหางขาด ตัวแหว่ง แม้จะผ่านการแหวกเอาไส้ออกหมดแล้วก็ยังไม่น่ากินอยู่ดี
 
    “จับปลามาอีกทำไมเยอะแยะ เดี๋ยวก็กินไม่หมดหรอก” กุมภ์ถาม เพราะปริมาณปลามีมากเกินจำนวนคนกิน หากแต่ชาร์ลไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ

    “ก็ย่างให้สุก เอาใส่ใบตองห่อไว้กินมื้ออื่นสิ”

   กุมภ์เหลือบมองพรานกล้าที่ตอนนี้สีหน้าไม่ค่อยดีสักเท่าไร กุมภ์คิดเอาเองว่าพรานกล้าคงไม่ชอบใจนักเรื่องที่ชาร์ลหาปลามาเพิ่ม

   พรานกล้าไม่พูดอะไร ลงมือหุงข้าวเงียบๆ ระหว่างนั้นชาร์ล รชตและคะนิ้งก็ช่วยกันย่างปลาที่เหลือ ทั้งสามพูดคุยสนุกสนาน ย่างปลาไปก็แกะกินไปด้วย ส่วนไหนไม่น่ากินก็โยนทิ้ง พันนาหันหน้ามามองกุมภ์บ่อยครั้ง คิ้วขมวดเข้าหากันทำท่าเหมือนจะพูดบางอย่าง แต่ก็ไม่ยอมขยับปาก

   ใช้เวลาพักใหญ่ข้าวถึงสุกดี ข้าวเม็ดขาวสุกหอมหุงด้วยวิธีโบราณด้วยฝีมือของพรานกล้า ถึงแม้ว่าเม็ดข้าวจะหักไม่สวยเหมือนที่เคยกิน แต่ในยามนี้มันกลับน่ากินที่สุด คะนิ้งตาโตเพราะไม่เคยเห็นกรรมวิธีที่พรานกล้าทำมาก่อน ตั้งแต่เอาข้าวใส่หม้อที่มีน้ำ ตั้งบนกองไฟ พอเดือดก็ใช้ไม้ขัดฝาหม้อยกหม้อขึ้นเขย่า ที่จริงแล้วมันไม่ก็ต่างจากการหุงข้าวโดยหม้อหุงข้าว เพียงแต่ต้องคอยยกหม้อข้าวตลอดเวลาไม่อย่างนั้นข้าวก้นหม้อจะไหม้

    มื้อบ่ายจนเกือบเย็นนี้มีทั้งข้าวสวยร้อนๆ ปลาย่าง อาหารกระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป นับว่าเป็นมื้อที่สมบูรณ์ที่สุดตั้งแต่เข้าป่ามา บนห้างมีช้อน ชามให้ไว้ แต่เก่าเขรอะขระจากการใช้งาน ทว่าไม่มีใครรังเกียจเพราะหิวจนเกินกว่าจะเรียกร้องหาสิ่งที่ดีกว่านี้

   ปลาในลำธารเนื้อหวานรสดี ตอนย่างพันนาโรยเกลือไปนิดหน่อยเพื่อเพิ่มรสชาติ กุมภ์อารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะอาหารรสเยี่ยมมันคุ้มความกับเหนื่อยล้า ระหว่างมื้อ พรานกล้าบอกให้ทุกคนไปล้างเนื้อล้างตัวที่ลำธารได้ แต่ห้ามให้เย็นจนเกินไปเพราะถ้าพระอาทิตย์ตกเดินพวกสัตว์จะออกมาหาน้ำกิน อาจจะทำร้ายมนุษย์ได้ สัตว์ป่าน่ากลัวกว่าที่คิด แม้แต่พรานป่าที่ชำนาญทางยังถูกสัตว์ป่าทำร้าย

    กว่าจะจบมื้อนี้ก็เกือบจะสี่โมงแล้ว ท้องฟ้ามืดลงอย่างรวดเร็ว คงเป็นเพราะวันนี้ฝนตกแต่เช้า เมฆสีเทายังลอยอยู่บนฟ้า บดบังแสงอาทิตย์ ยิ่งอยู่ในป่าด้วยแล้ว มันเลยยิ่งทำให้ดูมืดกว่าปกติ ทั้งห้าคนเดินกลับไปที่ลำธาร ชำระเนื้อตัวเท่าที่จะทำได้ กุมภ์ดีใจที่อย่างน้อยก็ได้ล้างหน้าล้างตามันทำให้สดชื่นได้ขึ้นมาบ้าง พรุ่งนี้พวกเขาก็จะกลับแล้ว หากคืนนี้โชคดีอาจจะได้เห็นเสือหรือหมูป่าสักตัวก็ยังดี

    “เออ ไอ้ชาร์ล มึงกินปลาไม่หมดนี่ ห่อใส่ใบตองไว้แล้วหรือยัง” กุมภ์ เพราะจำได้ว่าปลาที่ชาร์ลหามานั้นเหลืออีกหลายตัวทีเดียว

   “ใส่แล้ว” ชาร์ลตอบ แต่เหมือนจะตอบส่งๆ มากกว่า ก่อนจะกวักน้ำล้างหน้า

   กุมภ์พยักหน้าหงึกหงัก ปลากพวกนั้นถ้าไม่ย่างเลยมีแต่จะเน่าส่งกลิ่นเหม็น ถ้าอย่างแล้วห่อเป็นไว้ในใบตอง พรุ่งนี้เช้าเอามาอุ่นเสียหน่อยก็จะได้กินปลาอีกมื้อ

   ทั้งหมดเดินกลับไปที่ห้างตอนเกือบจะสี่โมงครึ่ง พรานกล้านั่งอยู่ข้างกองไฟ สีหน้าเคร่งเครียด บอกสั้นๆ ให้ทุกคนกลับไปขึ้นบนห้าง กำชับเสียงหนักแน่นว่า หากได้ยินเสียงอะไร หรือใครเรียกห้ามลงมาเด็ดขาด คาดว่าเหตุการณ์คืนนี้คงไม่ปกติ แต่เมื่อถามหาเหตุผล พรานกล้าก็ไม่บอก ได้แต่สั่งให้ทุกคนทำตามที่สั่นเท่านั้น

    กุมภ์กับพันนาปีนกลับขึ้นมาบนห้าง จัดแจงแบ่งปันที่นอน พอหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อน แต่เอนกายลงนอน ก็เข้าสู่ห้วงนิทราแทบจะทันที

   เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ กุมภ์สะดุ้งตื่นตอนที่มีบางอย่างสะกิดที่หัวไหล่ กุมภ์ขยับเปลือกตาหนักอึ้ง ภาพที่เห็นพร่ามัวและมืดไปหมด ใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะปรับสภาพสายตาได้

   “มึงๆ ตื่นมาดูหมูป่าเร็ว” พันนากระซิบบอกผ่านความมืด

    กุมภ์งัวเงียขยับตัวออกมาหน้าห้าง เพิ่งรู้ว่าพรานกล้าดับกองไฟไปแล้ว ทั้งป่าเลยมืดสนิทไม่แสงใดๆ มาช่วยในการมองเห็น อาศัยแค่สายตาของตัวเองเท่านั้น

   กุมภ์ชะโงกหน้าลงไปมองเบื้องล่าง เห็นเงาตะคุ่มๆ ลักษณะคล้ายกับหมูกำลังขยับไปมา เพ่งมองอยู่สักพักถึงได้เห็นว่าหมูป่าที่พันนาว่ามันกำลังเอาจมูกดุนบางอย่างอยู่บนพื้นดิน

   “มันหาดินโป่งกิน” พรานกล้าบอก เสียงเบาคล้ายกับกำลังกระซิบ

    “ดินโป่ง?” กุมภ์สงสัย ไม่รู้จริงๆ ว่าดินโป่งคืออะไร

   “ดินโป่ง เป็นดินชนิดหนึ่ง มีแร่ธาตุอยู่ พวกสัตว์ป่ามันชอบมาหากิน ก็คล้ายๆ กับอาหารเสริมอะไรทำนองนั้นนั่นแหล่ะ” พันนาเป็นคนตอบคำถาม

    กุมภ์พยักหน้าหงึกหงัก รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่าจะเคยเห็นหมูป่าในสวนสัตว์มาก่อน แต่ไม่เคยเห็นหมูป่าที่อยู่ในป่าจริงๆ ตัวมันใหญ่กว่าที่เคยเห็น เสียดายที่เขาไม่ได้เห็นเขี้ยวของมัน

   พันนาพกกล้องมาด้วย สองมือประคองกล้องหาจุดโฟกัสแล้วกดชัตเตอร์เก็บภาพหมูป่าตัวใหญ่ที่กำลังกินดินโป่ง พรานกล้าได้เตือนแล้วว่าห้ามส่งเสียงดัง โชคดีที่กล้องของพันนาไม่มีเสียง เลยเก็บภาพได้เต็มที่ แต่แสงสว่างวูบวาบจากแฟลชก็ทำให้น่าหวั่นใจไม่น้อย

   “พอได้แล้ว” พรานกล้าเตือน พันนายอมเก็บกล้องแต่โดยดีแม้จะเสียดายอยู่ไม่น้อย

    หมูป่าจากไปหลังจากนั้นไม่ถึงสิบนาที พรานกล้าบอกว่าดินโป่งบริเวณนี้มีไม่เยอะ นานๆ ครั้งจะมีสัตว์ป่ามาหากิน แล้วทั้งป่าก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง กุมภ์หาวแล้วหาวอีกก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีสัตว์ป่าตัวไหนออกมาให้เห็นอีก ขณะเดียวกันกุมภ์ก็รู้สึกถึงความเงียบผิดปกติ ทั้งที่ตอนที่เห็นหมูป่ายังได้ยินเสียงแมลงและนกที่ออกหากินในเวลากลางคืนอยู่เลย

   พรานกล้าบอกให้กุมภ์กับพันนากลับเข้าไปนอน ถ้าหากมีตัวอะไรออกมาอีกจะปลุก กุมภ์พยักหน้ารับแต่โดยดีเพราะง่วงเหลือเกิน ส่วนพันนาก็เก็บกล้องแล้วเดินกลับเข้าไปด้านในเงียบๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะเข้าสู่ห้วงแห่งความฝันอีกรอบ…




    รชตกำลังเดินอยู่ในป่า น่าแปลกที่มันไม่ได้น่ากลัวทั้งที่เป็นเวลากลางคืน พยายามกวาดตามองหาเพื่อนรักทั้งสี่คนรวมถึงพรานกล้า แต่กลับไม่เห็นใครเลย สองเท้าก้าวเดินไปเรื่อยๆ ผ่านต้นไม้น้อยใหญ่จนถึงริมลำธาร ผิวน้ำสะท้อนกับแสงจันทร์จนเป็นประกายระยิบระยับ รชตมองไปที่กลางลำธาร พลันสายตาก็เป็นร่างหนึ่งยืนนิ่งอยู่ในนั้น

   แม้จะมีแค่แสงจันทร์เป็นแค่แสงสว่าง แต่เขากลับเห็นหญิงสาวใบหน้าสะสวยอย่างชัดเจน เธอหันหน้ามาทางเขา พลางกวักมือเรียก เส้นผมของเธอเป็นสีดำสนิท ปล่อยยาวสยายจนถึงบั้นเอว ชุดที่เธอสวมใส่เหมือนชุดชาวบ้านตามชนบทที่เคยเห็น แต่ความสวยของเธอไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ชนิดที่คะนิ้งเห็นจะต้องอิจฉาแน่นอน

   รชตเดินเข้าไปหาเธอ ไม่สนใจสายน้ำที่สูงถึงบั้นเอว ความสวยของเธอสะกดนิ่งจนทำให้เขาหลงลืมทุกอย่าง เมื่อเข้าใกล้ ความสวยของเธอยิ่งเจนกว่าเดิม ทว่าดวงตาของเธอดูน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก แล้วทันทีที่เธอเปล่งคำพูด รชตก็ตกใจแทบสิ้นสติ

    “พวกมึงลบหลู่กู! กูจะเอาพวกมึงไปทุกคน!”

    พูดจบริมฝีปากสวยก็ฉีกกว้างแทบจะถึงหู เลือดสีแดงสดไหลลงเปื้อนชุด ดวงตากลายเป็นสีขาว ชี้นิ้วมือตรงมาที่เขาอย่างอาฆาตแค้น

   “อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก!!”


(มีต่อ)
    

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
        รชตสะดุ้งตื่น เหงื่อกาฬไหลเต็มตัว หัวใจเต้นแรง ภาพที่เห็นเมื่อครู่ยังติดอยู่ในความทรงจำ มันชัดเจนและน่ากลัวจนแทบแยกไม่ออกว่าสิ่งไหนจริง สิ่งไหนคือความฝัน ขนในกายลุกชูชัน กว่าจะตั้งสติได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นแค่ความฝัน ก็ผ่านไปนานหลายนาที

   ชาร์ลงัวเงียตื่นขึ้น ชะโงกตัวขึ้นถามด้วยความสงสัย รชตได้แต่ส่ายหน้าบอกแค่ว่าตัวเองฝันไป ชาร์ลเลยล้มตัวลงไปนอนแต่

    แต่ถึงจะรู้ว่ามันเป็นแค่ความฝัน ทำไมเขาถึงได้กลัวจนตัวสั่นแบบนี้ รชตยกแขนขึ้นกอดตัวเอง รู้สึกได้ถึงความสั่นเทาที่มีไปทั่วสรรพางค์ ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน และต้องการอะไรจากเขา คำว่า ‘จะเอาพวกเขาไป’ มันหมายความว่าอย่างไร เขาคิดหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ และจะไปถามจากใครก็ไม่ได้

    รชตล้มตัวลงนอนอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่จะได้ปิดตา ก็ได้ยินเสียงเรียก...มันเป็นชื่อของเขา

    “..ระ..ชต...ร..ชต”

    เสียงหวานของผู้หญิงเหมือนดังมาตามสายลม เสียงของเธอเพราะเหมือนนกร้อง รชตยันกายขึ้น เกิดความสงสัยครามครัน ใครกันมาเรียกเขา หรืออาจจะเป็นคะนิ้ง

    เมื่อคิดได้ดังนั้นก็ชะโงกหน้ามองหาร่างของคะนิ้ง แต่ข้างกายชาร์ลว่างเปล่า ถึงจะอาศัยแสงสว่างจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือส่องไปรอบๆ ห้าง เขาก็ไม่เห็นคะนิ้ง หมายความว่าคนที่เรียกเขาคงจะเป็นคะนิ้งจริงๆ บางทีเธอคงจะลงไปทำธุระแล้วไม่กล้าปีนขึ้นมา

   รชตถอนหายใจเล็กน้อย ถึงจะแปลกใจว่าทำไมคะนิ้งถึงไม่ยอมเรียกชาร์ลที่เป็นคนรักของตัวเอง แต่กลับเรียกหาเขาแทน

   ชายหนุ่มเดินไปนอกห้าง แสงจันทร์ส่องสว่างไปทั่วบริเวณทำให้มองเห็นรอบด้านได้ชัดกว่าในห้าง พระจันทร์ดวงใหญ่ลอยอยู่กลางท้องฟ้า รํศมีสีนวลของมันแผ่ขยายเป็นวงกว้าง รชตก้มหน้าลงไปเบื้องล่างก็พบกับร่างระหงของคะนิ้ง แต่ก็ต้องตกตะลึง เพราะร่างกายของเธอเปลือยเปล่า ไร้อาภรณ์ห่อหุ้มร่างกาย

   “คะนิ้ง! ลงไปทำอะไรข้างล่าง แล้วทำไมถึงไมใส่เสื้อผ้า” รชตร้องถาม พยายามบังคับสายตาไม่ให้มองไปที่ปทุมคู่ยวนใจ

   “ฉัน...ลงไปอาบน้ำ...แต่พอขึ้นมา...เสื้อผ้าก็หายไปแล้ว...รชต..ฉันหนาวมากเลย” คะนิ้งบอก น้ำเสียงของเธอแผ่วเบาและเยือกเย็นกว่าที่เคย ทว่าเรือนร่างอรชรของเธอมันทำให้รชตไม่ได้คิดเอะใจ

   “เอ่อ...แล้วทำไมเธอไม่ปีนขึ้นมาล่ะ”

   “ฉัน..ไม่..มี..แรง...รชตลงมาหาฉัน...หน่อยสิ...ฉันหนาว” คะนิ้งยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ใบหน้าน่ารักระดับเดือนคณะ เงยขึ้นมา ผิวกายใต้แสงจันทร์ดุนวลผ่องไปหมด ทั่วทั้งสรรพางค์ไร้ตำหนิ หน้าอกอวบขนาดน่าจับต้อง เอวคอดกิ่ว สะโพกผายกำลังดี ท่อนขาเปล่าเปลือยแม้แต่ปลายเท้าก็ยังน่ามอง

    “ดะ ได้ รอเดี๋ยวนะ”

   รชตทำท่าจะปีนลงไปหาคะนิ้ง ทว่าเสียงหนึ่งก็ดึงขึ้น หยุดฝีเท้าที่กำลังจะก้าวลง

   “อย่าลงไป!”

    “พรานกล้า!” รชตอุทานด้วยความตกใจ ถึงจะยังไม่เห็นอีกฝ่าย แต่แค่น้ำเสียงก็จำได้แล้ว

   พรานกล้าอยู่บนห้างอีกฝั่ง ใบหน้าสีเข้มแทบจะกลืนไปกับผืนราตรี ในมือมีปืนอยู่ด้วยซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าพรานกล้าเอามาจากที่ไหน รชตนึกหงุดหงิดที่พรานกล้าสั่งห้าม ผู้หญิงร่างเปลือยเปล่าอยู่ข้างล่าง ซ้ำอากาศคืนนี้ยังหนาวเหน็บ ขืนช้ากว่านี้คะนิ้งคงได้เป็นปอดบวมกันพอดี

   “จะห้ามผมทำไม นั่นมันเพื่อนผมนะ”

   “บอกแล้วไงว่าได้ยินอะไรก็ห้ามลงมา” พรานกล้าเตือนเสียงเข้ม ถึงจะอยู่ห่างกันหลายเมตร แต่รชตก็เห็นแววตาขุ่นมัวของอีกฝ่ายชัดเจนดี

    “แต่นั่นมันเพื่อนของผม!” รชตแย้งอย่างไม่ยอมแพ้ พยายามจะปีนลงห้าง แต่พรานกล้าตะโกนลั่น

   “แหกตาดูให้ดีซิว่ามันใช่เพื่อนของคุณหรือเปล่า!”

    รชตเกือบจะโต้กลับไปแล้วหากสายตาไม่หลุบลงไปด้านล่าง พลันหัวใจก็เต้นระรัว เหงื่อที่เพิ่งแห้งไปผุดขึ้นอีกรอบ ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตื่นตระหนก ร่างอรชยวนตาของคะนิ้งกลับกลายเป็นเสือตัวใหญ่ เดินป้วนเปี้ยนอยู่บนพื้นดิน เสียงคำรามของมันน่ากลัวกว่าที่เคยเห็นในสารคดีเสียอีก รชตสับสนงงงวยไปหมด ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน

   ดวงตาของเสือตัวนั้นเป็นสีเหลืองวาววับน่ากลัว มันแยกเขี้ยวอ้าปากราวกับกำลังรอคอยเหยื่ออันโอชะ รชตกลัวจนตัวนั่น กระถดตัวกลับเข้าไปในห้าง ปลายนิ้วกระทบกับร่างของใครบางคน เมื่อหันไปมองก็เห็นคะนิ้งนอนอยู่ในอ้อมแขนของชาร์ล

   แล้วคะนิ้งที่เขาเห็นนั่นคือใคร? ไม่สิ นั่นมันตัวอะไร?

   “มึงกลับไปเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นกูจะยิงมึงด้วยปืนในมือกู!”

    เสียงของพรานกล้าดังชัดเจน แม้แต่รชตที่กำลังตื่นกลัวยังได้ยิน รชตพยายามปลุกเพื่อนทั้งสอง แต่ก็ไม่มีใครตื่น ทิ้งให้เขาเผชิญกับเรื่องเหนือจินตนาการแต่เพียงผู้เดียว

    พรานกล้าเล็งปืนในมือไปยังร่างใหญ่โตของเสือสมิง ใช่! ไอ้เสือตัวนั้นมันคือเสือสมิง ซึ่งหาได้ยากนักในยุคสมัยที่เต็มไปด้วยแสงสี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันหายไป เสือตัวใหญ่เบนหน้ามาทางห้างที่พรานกล้าอยู่ มันแยกเขี้ยวคำรามขู่อย่างไม่กลัวเกรง พรานกล้าไม่กลัวเสือสมิง เพราะเคยเห็นมันมาหลายครั้งตั้งแต่เริ่มเข้าป่า คาถาอาคมฝังแน่นอยู่ในสมอง พรานหนุ่มใหญ่หลับตา พนมมือทั้งที่ยังถือปืนอยู่ บริกรรมคาถาที่เคยร่ำเรียนมาอยู่ชั่วอึดใจร่างเสือสมิงก็กลายเป็นชายชรา หัวขาวโพลน หนวดเครารุงรัง สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง หลังงองุ้ม

   “หวา! อะไรน่ะ!”

    เสียงร้องอุทานด้วยความตื่นกลัวทำให้พรานกล้าหลุดจากสมาธิ หันไปมองต้นเสียงที่กำลังเบิกตากว้าง แม้แสงจันทร์จะไม่สว่างเท่าแสงไฟ แต่กลับเห็นใบหน้าขาวซีดเหมือนกระดาษชัดเจน

   “ตื่นมาทำอะไร” พรานกล้าถาม น้ำเสียงติดหงุดหงิดเล็กน้อย

   “ผะ ผมได้ยินเสียงคนคุยกัน ก็เลยตื่นขึ้นมาดู” กุมภ์ตอบ น้ำเสียงสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว

    “อยู่เฉยๆ นะ แล้วก็อย่ากวนผมถ้าไม่อยากตายกันหมด” พรานกล้าสั่ง กุมภ์พยักหน้าหงึกหงัก ปากคอสั่นไปหมด

   พรานกล้าหันหน้ากลับไปที่เบื้องล่าง ชายชราใบหน้าเหี่ยวย่นน่าเกลียด ส่งสายตาอาฆาตเกลียดชัง ชี้นิ้วมาทางพรานกล้า

    “ไอ้ระยำ มึงมาขวางกูทำไม!”

    “นึกว่าใคร ที่แท้ก็ตาเวกนี่เอง เห็นหายไปเป็นสิบๆ ปี นึกว่าตายแล้ว” พรานกล้าทำเสียงเยาะ

    ตาเวกคือพรานป่ารุ่นปู่ อายุอานามมากโข ช่วงแรกพรานเวกเป็นที่เลื่องลือเรื่องความสามารถ วิชาคาถาอาคม ว่ากันว่าแม้แต่เสือก็โค่นได้ แต่ระยะหลังมานี่ พรานเวกเริ่มทำตัวผิดแปลก ไม่ออกล่าสัตว์ ซ้ำยังปิดบ้านเงียบ เคยมีคนเดินผ่านไปบ้านแกแล้วได้ยินเสียงเหมือนเสือคำราม ข่าวลือต่างๆ นานา บ้างก็ว่าแกถูกวิญญาณเสือที่แกฆ่ามาตามล้างแค้น บ้างก็ว่าแกถูกเสือฆ่าตายไปแล้ว แต่ก็ไม่มีใครรู้ความจริง ไม่นานกระต๊อบของแกก็กลายเป็นบ้านร้าง ไม่เคยมีใครเห็นสิ่งมีชีวิตเข้าออกบ้านแกอีกเลย ชาวบ้านเลยลงความเห็นว่าแกตายเพราะถูกเสือฆ่าไปแล้วจริงๆ

     “เออ กูยังไม่ตาย”

    “แต่ก็ไม่ใช่คน” พรานกล้าทำเสียงเย้ย นึกไม่ถึงว่าพรานป่า เก่งกาจ มากวิชาอาคมจะมีสภาพครึ่งคนครึ่งปิศาจแบบนี้

    “เรื่องของกู” พรานเฒ่าตะคอกกลับ “มึงอย่ามาเสือกเรื่องของกู ส่งไอ้เด็กนั่นมาให้กูซะดีๆ”

    “ไม่ได้ ฉันต้องดูแลเด็กพวกนี้” พรานกล้าบอก กระชับปืนในมือให้แน่นขึ้น จ้องร่างงองุ้มของชายชราเขม็ง

    “มึงจะไปดูแลมันทำไม ถึงไม่มีกู พวกมันก็ต้องตายอยู่ดี” พรานชราหัวเราะเสียงต่ำ ฟังแล้วน่าขนลุกพิกล

   “กลับไปซะ ถ้าไม่อยากตายอีกรอบ” พรานกล้าไม่ยอม เล็งปืนในมือไปยังร่างเหี่ยวย่น “ลุงก็รู้นี่ว่าผมมีลูกกระสุนลงคาถา”

   “กูไม่กลัว!”

    พูดจบร่างชายชราก็เปลี่ยนเป็นเสือร้ายตัวใหญ่ ส่งเสียงคำรามก้องป่า คราวนี้ไม่ใช่แค่กุมภ์ที่ตื่นขึ้นมาดูเหตุการณ์ด้วยใจระทึก พันนาก็ด้วยอีกคน ความฝันที่ไม่ปะติดปะต่อเมื่อครู่หายไปสิ้น ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ ร่างสูงใหญ่ผุดลุกขึ้นนั่ง เพ่งมองฝ่าความมืดไปเบื้องหน้าพลางถามเพื่อนสนิท

   “เกิดอะไรขึ้นวะ”

    “สะ เสือ ไม่ใช่ คนกลายเป็นเสือ หรือว่าเสือกลายเป็นคนวะ” กุมภ์พูดวกไปวนมา ตาจ้องเขม็งไปเบื้องล่าง

    พันนาขยับตัวเข้าไปใกล้เพื่อนสนิท ชะโงกหน้าลงไปด้านล่าง ความตกใจทับทวีเมื่อเห็นร่างของเสือโคร่งตัวใหญ่ มันกำลังคำรามก้อง เขี้ยวยาวขาวน่ากลัว มันเดินวนไปมาอยู่ที่เดิม บางครั้งก็ทำท่าจะกระโดดปีนขึ้นมา เล็บของมันวาววับเห็นชัดแม้จะเป็นเวลากลางคืน พันนาตกใจจนขนในกายลุกชัน ตั้งแต่เกิดมาเคยเห็นแค่เสือในสวนสัตว์ซึ่งมันไม่ได้ดุร้ายเช่นนี้ ท่าทางของมันเหมือนจะขย้ำจับคนกิน แต่ในความตกใจเขาก็ยังสังเกตเห็นว่าดวงตาของมันเป็นสีแดงเหมือนเลือด ไม่ได้เป็นสีเหลืองเหมือนสัตว์ที่ออกหากินเวลากลางคืน

   “ตะ ตัวอะไรเหรอครับพรานกล้า” พันนาถามเสียงสั่น มือเลื่อนไปที่กล้องโดยอัตโนมัติ

   “เสือสมิง” พรานกล้าตอบ “มันชื่อไอ้เวก เมื่อก่อนก็เป็นพรานป่าเหมือนกันนี่แหล่ะ แต่ไม่รู้อีท่าไหนถึงได้กลายเป็นเสือสมิงไปได้ สงสัยของจะเข้าตัว”

    เสือสมิงที่เคยได้ยินแต่ในนิยาย ทั้งพันนาและกุมภ์ต่างไม่เคยคิดว่ามันมีอยู่จริง ทว่าบัดนี้ทั้งคู่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง พันนาสะดุ้งโหยงตอนที่เสือปิศาจกระโจนใส่ลำต้นไม้ ห้างสั่นคลอนไปทั้งหลัง พรานกล้ากระชับปืนแน่น ปากขมุบขมิบบางอย่าง แล้วเล็งปืนไปยังร่างของสัตว์ร้าย

   เปรี้ยง!

   ลูกกระสุนสีเงินวาววับแหวกผ่านอากาศตรงไปยังร่างของเสือสมิงพร้อมกับแสงสว่างวาบจากสิ่งที่อยู่ในมือของพันนา ความแม่นยำระดับนักกีฬายิงปืนระดับชาติทำให้ลูกกระสุนเจาะไปที่ต้นขาหน้าซ้าย เสือโคร่งร้องลั่นป่าด้วยความเจ็บปวด ร่างของมันกระเด็นถอยไปด้านหลังหลายหลา แล้วล้มคลุกฝุ่นตลบ เพียงพริบตาเดียวร่างของเสือก็พลันเปลี่ยนเป็นสตรีงดงามนอนขดอยู่บนพื้นดิน ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด

    “โอ๊ย! พันนา ฉันเจ็บเหลือเกิน พันนาด้วยฉันด้วย”

   เสือสมิงในร่างของคะนิ้งเนื้อตัวเปลือยเปล่า แต่ที่ต้นแขนซ้ายมีเลือดไหลเป็นทาง พันนานิ่งอึ้งตะลึงงัน ไม่เคยพบเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน มันเป็นเรื่องเหนือจินตนาการหรือมีอยู่แค่ในนิทานเท่านั้น เจ้าเสือดุร้ายกลายเป็นเพื่อนของเขา กำลังนอนร้องครวญคราง อย่างน่าเวทนา

   “รีบไปซะ ก่อนที่กูจะฆ่ามันจริงๆ” พรานกล้าตะโกนบอก ปืนเล็งไปยังเสือร้ายในร่างของคะนิ้ง

    ดวงตากลมโตดุดัน สีแดงเรืองรองจ้องมองมาอย่างอาฆาตมาดร้าย มันยันกายขึ้นจากพื้นดิน กัดฟันกรอดขู่คำราม ลมหายใจฟืดฟาด ชั่วพริบตาก็เปลี่ยนกลับไปเป็นร่างของเสือร้าย แล้ววิ่งทะยานหายเข้าไปในความมืดพร้อมกับหยดเลือดที่ไหลไปตามทาง

    “น่า น่ากลัวจังเลย” กุมภ์ยกมือขึ้นกุมหัวใจ มันเต้นรัวเหมือนกลองชุด ลมหายใจกระชั้นถี่ เหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า จนถึงตอนนี้ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่จะเป็นเรื่องจริง

   “พวกคุณไปนอนได้แล้ว เดี๋ยวผมจะอยู่ยามให้เอง แล้วพรุ่งนี้เราจะกลับกันแต่เช้า”

   กุมภ์กับพันนาพยักหน้ารับทันที ถึงว่าการได้เห็นหมูป่าจะน่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อย แต่เสือสมิงตัวเมื่อครู่มันน่าหวาดกลัวมากกว่าหลายเท่า ทว่าไม่มีใครรู้ว่ายังมีบางสิ่งที่น่ากลัวกว่าเสือสมิงกำลังรออยู่...


*หากเจอคำผิดต้องขอโทษด้วยค่ะ ตาลาย 5555*
**เป็นเรื่องที่แต่งยากมากค่ะ หากไม่สมจริง หรือเหนือจินตนการไปบ้าง ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ**


ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ตื่นเต้น รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
พวกนี้ตายก็ไม่แปลก  ดูนิสัยแต่ละคนสิ

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
สนุกจริงๆ เป็นแนวที่ รอคอยเลยกระว่าได้ ขอบคุณผู้แต่งมากๆ จร้า ติดตามๆ รออัฟตอนต่อไป ^^

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
รชตแอบทำอะไรลบหล่ป่า ทำไมถึงตามมาจะเอาตัวไป
คะนิ้งกับชาล์ลอันนี้รู้ ทีคดีเรื่องปลากับน้ำ ชะตาคู่แฟนไม่น่าจะดี จะได้ออกจากป่ามั้ย
ปริศนาคือพันนา รอบที่แล้วเคยเข้ามาแล้วมีอะไร ทำไมครั้งนี้ถึงอยากกลับมาอีก

กดไลค์ด้วยบวกรัวๆ พี่โหรมาช่วยเร็วๆ



ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
ไพรพิศวง : [ตอนที่ 4 : ผู้รอด] 24/09/2562
«ตอบ #18 เมื่อ24-09-2019 20:49:24 »

ตอนที่ 4 ผู้รอด


    รชตตื่นนอนตอนได้ยินเสียงไก่ขัน ตาลืมโพลงคล้ายกับตกใจ เมื่อคืนนี้เขาเผลอหลับไปตอนที่ทุกอย่างกลับมาสงบเงียบอีกครั้ง มันเงียบเสียจนไม่ได้ยินอะไรแม้แต่เสียงแมลง ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนยังชัดเจน ตอนที่พรานกล้าใช้ปืนยิงเสือตัวนั้นเขาก็เห็นเต็มสองตา แต่ซ่อนตัวอยู่ในห้างไม่กล้าออกไปมองโดยตรง เพราะกลัวว่าจะถูกทำร้าย แต่ที่น่าแปลกอีกอย่าง ทั้งเสียงปืนดังก้องป่าขนาดนั้น ชาร์ลกับคะนิ้งก็ยังไม่ตื่น ทั้งคู่หลับสนิท

   ไม่ใช่แค่เพื่อนของเขาที่เงียบ ป่าทั้งผืนก็เงียบผิดปกติเช่นกัน คืนแรกที่นอนเขายังเสียงสัตว์กลางคืนบ้าง แต่เมื่อคืนนี้มันเงียบสนิท ราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ ในป่านอกจากพวกเขา

   รชตยันกายขึ้นจากพื้นไม้แข็งๆ หันมองรอบกายก็รู้ว่าเริ่มจะมีแสงสว่างจากพระอาทิตย์บ้างแล้ว เขาพาตัวเองออกมานอกห้าง ก้มลงมองด้านล่างเห็นพรานกล้า กุมภ์และพันนากำลังล้อมวงจิบกาแฟ ก่อไฟที่มอดไปตั้งแต่เมื่อคืนกลับมามาชีวิตอีกครั้ง

   หมอกจางๆ ลอยเหนือพื้นดิน น้ำค้างเกาะบนยอดหญ้าดูชุ่มฉ่ำไปหมด เสียงนกร้องออกหากินในตอนเช้าทำให้ใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง รชตค่อยๆ ปีนลงจากห้าง รู้สึกปวดหัวนิดหน่อยคงเพราะเมื่อคืนเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ซ้ำภาพผู้หญิงคนนั้นยังติดตา ทำให้เขารู้สึกเหมือนนอนไม่พอ

   “อ้าว ตื่นแล้วเหรอ” กุมภ์ร้องทัก พลางกวักมือเรียก “มาๆ กินกาแฟ หน้าตาดูไม่จืดเลยนี่”

   รชตไม่อิดออด ตอนที่พรานกล้ารินกาแฟสีดำสนิทใส่แก้วสังกะสีเก่าๆ ให้ เขารับแก้วแล้วนั่งลงข้างๆ พรานกล้า ใช้ความอุ่นจากแก้วช่วยลดความหนาวเย็นของอากาศในยามเช้า กลิ่นไหม้ของกาแฟทำให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง รสขมจัดช่วยกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัวดี

    “เมื่อคืนมึงเห็นเสือสมิงหรือเปล่าวะ”

    กุมภ์ถาม ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น รชตพยักหน้ารับ “กูเห็นมันเป็นคะนิ้ง เกือบจะลงไปหาแล้วถ้าพรานกล้าไม่ห้ามเอาไว้”
   พรานกล้าถอนหายใจเบาๆ “มันยังไม่ตายหรอกนะ แต่โดนกระสุนลงคาถาไปคงจะเจ็บไปอีกหลายวัน ที่จริงมันไม่ได้เป็นเสือหรอก มันเป็นคน แต่คงจะเล่นของมากเกินไปก็เลยเข้าตัว”

    “พรานรู้จักมันด้วยเหรอ” พันนาถาม ขณะยกกล้องคู่ใจถ่ายรูปป่าในยามเช้า รูปหมูป่าเมื่อคืนชัดเจนดี เสียดายที่ตอนเสือสมิงปรากฏตัวไม่เหลือสติจับกล้องขึ้นมาถ่ายเลยไม่มีหลักฐานหากไปเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง

   “รู้” พรานกล้าพยักหน้า “มันชื่อเวก เป็นพรานรุ่นปู่ อายุมากโข เกือบร้อยแล้วละมั้ง หลังๆ ไม่มีคนตาเวก ก็คิดว่าตายไปแล้ว”

   ทุกคนรับฟังเรื่องราวของตาเวกเงียบๆ ไม่มีใครโต้แย้งเพราะได้เห็นอิทธิฤทธิ์ของอดีตพรานด้วยตาตัวเอง

   “ไอ้ชาร์ลกับคะนิ้งยังไม่ตื่นอีกเหรอ” กุมภ์ถาม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปบนห้าง

   “ยัง ไม่รู้ว่าหลับหรือตาย ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เสียงปืนดังขนาดนั้นมันก็ยังไม่ตื่น” รชตบอก

   “ผมว่ามันแปลกๆ นะ คุณขึ้นไปปลุกเพื่อนคุณดีกว่า” พรานกล้าแนะ

   รชตพยักหน้า ปีนกลับขึ้นไปบนห้างอีกครั้ง คะนิ้งตื่นแล้ว สีหน้าของเธอไม่ค่อยดีสักเท่าไรนัก ใบหน้าขาวซีดเซียว ทั้งที่นอนหลับสนิทตลอดทั้งคืน แต่ท่าทางเหมือนคนไม่ได้นอน ส่วนชาร์ลยังหลับสนิทในท่าเดิม แผ่นอกที่สะท้อนขึ้นลงตามจังหวะการหายใจทำให้รู้ว่าชาร์ลแค่หลับ ไม่ได้ตายตามที่เขาบอกกับเพื่อนๆ

   “ชาร์ลยังไม่ตื่นเหรอ”

   “ยัง” คะนิ้งตอบสั้นๆ “ฉันปลุกแล้ว แต่ไม่ตื่น นายลองปลุกดูซิ”

    รชตออกแรงเขย่าเพื่อนลูกครึ่งตัวใหญ่ ทว่าชาร์ลก็ยังนิ่งเฉย นี่ถ้าหากว่าเนื้อตัวเย็นเฉียบหรือแผ่นอกไม่สะท้อนขึ้นตามจังหวะการหายใจเขาต้องคิดว่าชาร์ลไหลตายไปแล้ว

   “ไอ้ชาร์ล! ไอ้ชาร์ล! ไอ้ห่าชาร์ล!!!” รชตตะโกนสุดเสียง

   ชาร์ลสะดุ้งตื่น ร่างหนาเด้งลุกขึ้นนั่งเหมือนตกใจ ดวงตาคมสีอ่อนเบิกโพลง หันหน้ามองเลิกลัก ท่าทางไม่เหมือนคนที่เพิ่งตื่น นานเกือบชั่วอึดใจชาร์ลถึงได้สติ

   “ตื่นแล้วเหรอไอ้ขี้เซา รู้จักกันมาสองปีกูเพิ่งรู้ว่ามึงขี้เซาขนาดนี้” รชตแซว เบาใจขึ้นมาหน่อยที่ชาร์ลตื่นขึ้น

   “กู...ฝันไม่ค่อยดีว่ะ” ชาร์ลยกมือขึ้นลูบหน้าแรงๆ “หิวด้วย ปลากูอยู่ไหนวะ”

    “ตื่นมาก็หิวเลยนะ โน่น ยังอยู่ที่เดิม” รชตชี้ไปที่มุมห้าง ปลาย่างที่เหลือเมื่อวานห่ออย่างดีในใบตอง มดเริ่มดำเริ่มไต่ตอม

   ชาร์ลไม่พูดอะไร ลุกขึ้นไปคว้าห่อปลาย่างของตัวเองแล้วปีนลงไปด้านล่าง โดยไม่รอใคร

   สีหน้าชาร์ลย่ำแย่ไม่ต่างจากคะนิ้ง ทั้งสองรับกาแฟจากพรานกล้าอย่างไม่อิดออด คะนิ้งไม่บ่นตอนที่ลิ้นได้รสขมจัด มือจับประคองแก้วเอาไว้ เธอปฏิเสธปลาที่ชาร์ลส่งให้ ขณะที่คนอื่นๆ เริ่มกินมื้อเช้า ที่มีแค่ขนมปังกับปลากระป๋อง

   “ฉันฝันไม่ค่อยดี” คะนิ้งเอ่ยขึ้น มือจับแก้วกาแฟแน่นกว่าเดิม “ฉันฝันเห็นผู้หญิง ผู้ชาย มายืนล้อมฉัน ไม่มีใครพูดกับฉัน แต่พวกเขามองฉันเหมือนโกรธจัด บางคนเอามือชี้หน้าฉันด้วย”

   ทุกคนนิ่งเงียบไปเกือบชั่วลมหายใจ แล้วก็เป็นกุมภ์ที่เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ “ไม่มีอะไรหรอก  เมื่อวานแกกินอิ่มเกินไปน่ะซิ เลยคิดมาก”

   “กูก็ฝันเหมือนกัน” คราวนี้เป็นชาร์ลที่พูดขึ้น สีหน้าของหนุ่มลูกครึ่งเคร่งเครียดกว่าเดิม “กูฝันว่ามีผู้หญิงชวนกูไปบ้านเขา ในฝันกูเดินตามเขาไป เขาบอกว่าเขาอยู่ที่นี่มานานแล้ว เดินไปสักพักก็ถึงบ้านเขา มันเป็นกระต๊อบเก่าๆ พอจะเปิดประตูเขาก็หันมามองหน้ากู แต่หน้าเขาดุมาก เขาตวาดใส่กู ชี้หน้าด่ากูว่ากูฆ่าพวกเขา แล้วเขาก็จะเอากูไปอยู่ด้วย กูตกใจก็เลยวิ่งหนี แต่เขาก็วิ่งตาม แถมยังหัวเราะไล่หลัง กูกลัวเขามาก ตอนที่เขากำลังจะเอื้อมมือมาแตะที่ไหล่ กูก็สะดุ้งตื่น เพราะไอ้ชตปลุก ตอนนี้เสียงหัวเราะผู้หญิงคนนั้นยังดังในหูกูอยู่เลย”

    ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้ง ไม่มีใครพูดอะไร เพราะทุกคนคิดเหมือนกันว่าบางทีมันไม่ใช่ความฝัน ในป่าแห่งนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ เหมือนเสือสมิงเมื่อคืน กุมภ์เหลือบมองพรานกล้า ที่มีสีหน้าเงียบขรึม หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างคนใช้ความคิด

   รชตใจสั่นรุนแรง ความฝันของทั้งคะนิ้งและชาร์ลคล้ายกับของเขามาก ภาพน่ากลัวของผู้หญิงคนนั้นยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำ ไหนจะเหตุการณ์ประหลาดที่เขาพบเจอเมื่อวานนี้เอง

   คืนก่อน เขาปวดปัสสาวะกลางดึก ปลุกใครก็ไม่มีใครลุกขึ้นไปเป็นเพื่อน เลยจำต้องออกจากเต็นท์ไปคนเดียว โชคดีที่กองไฟยังไม่มอด แต่ไม่ได้สว่างเท่าเดิม พรานกล้านอนในเปลที่ผูกขึ้นง่ายๆ เพราะความกลัวเขาเลยเดินห่างออกมาจากจุดตั้งเต็นท์เพียงนิดเดียว หลังจากปัสสาวะเสร็จ ก็กลับเข้าไปนอน และหลับไปทันที ทว่าไม่นานนักก็รู้สึกเหมือนถูกเบียน เลยขยับหนี เพราะคิดว่าพันนานอนดิ้น แต่ร่างนั้นก็เบียดเข้ามาอีก จนตัวเขาเกือบจะติดกับกุมภ์

   เขาผงกหัวขึ้นหวังจะเตือนให้พันนาขยับห่างออกไป แต่กลับพบพื้นที่ว่างเปล่าเกือบเท่าตัวคน ส่วนร่างของพันนาอยู่เกือบชิดเต็นท์ ถ้าไม่ใช่พันนา แล้วใครกันที่นอนเบียดเขา ตอนนั้นเขารีบห้ามความคิดตัวเอง ล้มตัวลงนอนตามเดิมพยายามท่องบทสวดมนต์แบบงูๆ ปลาๆ แล้วก็หลับไป

   ระหว่างเดินทางในวันที่สอง เขาก็รู้สึกเหมือนมีคนเดินตาม เสียงฝีเท้าเป็นจังหวะเดียวกับเขา เมื่อเขาหยุด เสียงนั้นก็จะหยุดตามไปด้วย แต่พอหันไปมองก็ไม่เจอใคร มันเป็นอย่างนั้นตลอดทั้งวันจนเขาชักจะเสียประสาท

   แล้วไหนจะความฝันน่ากลัวเมื่อคืนนั่นอีก นี่ยังไม่รับรวมเสือผีที่แปลงร่างได้อีก

   ป่าแห่งนี้ประหลาดเกินไปแล้ว!

    “ผมว่าเรารีบกลับกันดีกว่า ผมไม่อยากให้อยู่ค้างอีกคืน” พรานกล้าบอก พลางเริ่มดับกองไฟ “พวกคุณรีบไปล้างหน้าตาเก็บของได้แล้ว อ้อ คุณชาร์ล”

   ชาร์ลเงยหน้าขึ้นมองพรานกล้า “มีอะไร”

   “คุณไปขอขมาปลาพวกนั้นเถอะ”

   “ขอขมาทำไม เรื่องที่ผมกินพวกมันไม่หมดน่ะเหรอ” ปลาที่ชาร์ลหามายังอยู่ในใบตอง ไม่มีใครอยากจะกินมันอีกหลังจากได้ยินคะนิ้งและชาร์ลเล่าถึงความฝันเมื่อคืน

   “ใช่ แล้วก็...เรื่องที่คุณฆ่าพวกเขา” พรานกล้าพยักหน้าจริงจัง แต่ชาร์ลปฏิเสธ

   “ไร้สาระ ไปคะนิ้งไปล้างหน้ากันจะได้ออกไปจากไอ้ป่านี่ซะที ผมเบื่อจะตายอยู่แล้ว”

   พรานกล้าถอนหายใจ สีหน้ายังไม่คลายจากความเคร่งเครียด “ผมเตือนคุณแล้วนะ ถ้าเกิดว่าสายเกินไปผมอาจจะช่วยคุณไม่ได้”
    “ชาร์ลกูว่า...”

   “พอเลยไอ้ชต! มึงก็รู้ว่ากูเป็นคริสต์” ชาร์ลห้ามเพื่อน สีหน้าหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะลุกขึ้นเดินตึงตังกลับไปบนห้างเพื่อเก็บของ…





   ฟ้าฝนตั้งเค้ามาตั้งแต่เช้า น่าหวั่นใจว่าอาจจะมีพายุเหมือนเมื่อวาน นั่นหมายความว่าพวกเขาอาจจะต้องค้างในป่าอีกคืน พันนาหมดอารมณ์เก็บภาพไปตั้งแต่เห็นเสือสมิงเมื่อคืนแล้ว ถึงมันน่าจะตื่นเต้นสักแค่ไหน แต่มันไม่คุ้มที่จะเอาชีวิตมาเสี่ยง รู้ดีว่าหากไม่มีพรานกล้า พวกเขาอาจจะถูกเสือผีตัวนั้นฆ่าตายกลายเป็นผีเฝ้าป่าไปแล้วก็ได้

    พรานกล้าบอกให้ทุกคนเร่งฝีเท้าให้เร็วกว่าเดิมเป็นเท่าตัว อย่างน้อยที่สุดให้ถึงตีนเขาในช่วงเย็น เพราะบริเวณนั้นปลอดภัยกว่ากลางป่าแน่นอน ถ้าจำเป็นต้องค้างอีกคืน

   ขามากับขากลับ บรรยากาศต่างกันลิบลับ ไม่มีเสียงพูดคุยหยอกล้อ หรือแม้แต่ตัวพันนาเองที่ชื่นชอบการถ่ายภาพยังไม่อยากหยิบกล้องขึ้นมาเก็บภาพความงามของธรรมชาติเลยสักนิด เขารู้สึกถึงฝีเท้าที่เหยียบย่ำตาม ไม่ใช่เสียงเดียวแต่เหมือนมากันเป็นกลุ่ม แต่เมื่อหยุดเดินเสียงนั่นก็จะหายไป เหมือนหูแว่ว แต่เขารู้ว่ามันไม่ใช่

    ความกระวนกระวายใจก่อตัวขึ้นเงียบๆ แม้จะเคยฟังพ่อเล่าเรื่องในป่าให้ฟังมานักต่อนัก แต่การประสบด้วยตัวเองมันน่ากลัวกว่าเยอะนัก

   ในป่ายังมีเรื่องราวอีกมากมายที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้

    พันนาล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกมาดู แบตเหลือไม่ถึงครึ่ง ส่วนพาวเวอร์แบงก์ที่พกมาคงพึ่งพาได้อีกแค่ครั้งเดียว เขาลองกดเบอร์แม่ หวังว่าเสียงของแม่จะช่วยทำให้จิตใจสงบลง แต่ในป่าผืนนี้แทบหาสัญญาณโทรศัพท์มือถือไม่ได้เลย ถึงแม้เครือข่ายที่ใช้อยู่จะเป็นเจ้าใหญ่ที่สุดในประเทศก็ตาม

    “แถวนี้ไม่มีสัญญาณหรอก ต้องไปแถวบ้านเจ้าหน้าที่” พรานกล้าบอกเรียบๆ

   “อีกไกลไหมครับ” กุมภ์ถาม

   “ก็ตีนเขานั่นแหล่ะ รีบหน่อยเถอะ ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไร”

    ไม่มีใครคัดค้านพรานกล้า แม้แต่คะนิ้งที่อิดออดในตอนแรก ทว่าเวลานี้เธอก้าวเดินฉับๆ ไม่กลัวเปื้อน ไม่กลัวล้ม

    พวกเขาพักกินข้าวกันตอนเที่ยง แต่ก็แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ถึงจะเหนื่อยแทบขาดใจ แต่ชีวิตสำคัญกว่า ฝนตั้งเค้าแต่ยังไม่ตก ทว่าเมฆสีเทามันบดบังแสงอาทิตย์ อากาศเย็นชื้นยิ่งทำให้เสียวสันหลังอย่างบอกไม่ถูก ในป่ามืดครึ้มเหมือนตอนเย็นทั้งที่เพิ่งจะบ่ายโมงนิดๆ เท่านั้นเอง พันนาหวั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกอย่างดูผิดปกติไปหมด นี่มันฤดูร้อน ทำไมฝนถึงได้ตกทุกวันแบบนี้

    ไม่มีใครพูดอะไร ในป่าก็เงียบสนิท คงมีแต่เสียงฝีเท้าที่เหยียบย่ำไปบนใบไม้แห้ง กระทั่งสี่โมงเย็น ป่าก็มืดเหมือนช่วงหัวค่ำ พรานกล้าส่งสัญญาณมือให้ทุกคนหยุดเดิน

   “เกือบถึงตีนเขาแล้ว แต่มันมืดเกินไป เราต้องค้างอีกคืน”

   “ค้างอีกคืน! ไม่ได้นะ ฉันทนอยู่ในป่านี้ไม่ไหวแล้ว” คะนิ้งค้านทันที สีหน้าเธอประหวั่นพรั่นพรึง “เดินต่อเถอะ ฉันมีไฟฉาย อีกไม่ไกลไม่ใช่หรือไง”

   “ถึงมีไฟฉายก็อันตราย ผมไม่ได้กลัวความมืด แต่ผมกลัวสิ่งที่ไฟฉายของคุณก็ส่องไม่เห็นต่างหาก”

      พรานกล้าก่อกองไฟให้ไออุ่น ทุกคนภาวนาไม่ให้ฝนตกลงมาไม่อย่างนั้นอาจจะป่วยกันได้ เต็นท์หลังเล็กไม่แข็งแรงพอที่จะต้านทานพายุฝนได้ อาหารกระป๋องชุดสุดท้ายถูกนำมาประกอบอาหารกันจนหมด ไม่มีใครสนใจมื้อเช้า เพราะตั้งใจว่าหากพระอาทิตย์ขึ้นเมื่อไรจะรีบออกเดินทางทันที ตอนนี้ชีวิตสำคัญมากกว่าปากท้อง

    กุมภ์เล่าเรื่องเสือสมิงให้หนุ่มสาวคู่รักฟัง เพราะทั้งคู่หลับสนิทไม่ได้ตื่นขึ้นมาดูเหตุการณ์น่าตื่นเต้น ชาร์ลทำหน้าเหมือนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นออกมา ส่วนคะนิ้งยิ่งหวาดกลัวลนลานกว่าเดิม ใบหน้าขาวเผือดกอดท่อนแขนคนรักแน่น

   “พวกคุณนอนกันเถอะ ผมจะอยู่เฝ้าให้เอง” พรานกล้าอาสาอย่างเคย แต่แปลกที่คืนนี้พรานกล้าไม่ได้แค่ปลุกเปลนอนเฉยๆ ทว่าเดินไปรอบๆ จุดตั้งเต็นท์ ปากพึมพำบางอย่างอยู่นานสองนาน ในมือโรยบางอย่างที่ไม่มีใครเดาออกว่าเป็นอะไร

    กุมภ์อยากจะถาม แต่ก็ปากหนักเกินกว่าจะเค้นคำออกมาได้ เขาล้มตัวลงนอนข้างๆ พันนา คืนนี้รชตขอนอนริม เขาเลยต้องมานอนตรงกลางแทน หลากหลายคำพูดอัดแน่นอยู่ในอก มันอึดอัดไปหมด

   “กู...รู้สึกแปลกๆ” กุมภ์พูดขึ้นเบาๆ แสงวูบวาบจากกองไฟด้านนอกสร้างเงารูปร่างประหลาด บางครั้งมันก็เป็นรูปเสือ บางครั้งก็เป็นรูปคน

   “ยังไง” พันนาถามสั้นๆ พลิกตัวนอนตะแคงหันหน้าเข้าหา

   “กู...อึดอัด เหมือนมีคนมองตลอดเวลา”

   “...กูก็รู้สึก” พันนาตอบกลับมาเงียบๆ “กูคงจะประสาทแดกเหมือนไอ้ชตไปแล้ว”

   “งั้นพวกเราก็คงเหมือนกัน” กุมภ์พยักหน้าเบาๆ แล้วความเหนื่อยล้าก็พรากเอาสติให้หลุดลอยไปอยู่ในความฝัน…




    “ชาร์ล...ชาร์ล...ออกมาหาแม่หน่อยสิ”

    เสียงเรียกแสนคุ้นเคยดังอยู่ใกล้ๆ ชาร์ลลืมตาขึ้นในความมืด แสงจากกองไฟริบหรี่ลงจนเกือบจะดับ หนุ่มลูกครึ่งกวาดตามองไปรอบๆ ก็เห็นเงาร่างท้วมของผู้หญิงยืนอยู่นอกเต็นท์ เขาจำได้ในทันทีว่าเป็นเงาของใคร

   “แม่!”

    ชาร์ลลุกพรวด อารามดีใจทำให้หลงลืมไปว่าที่นี่เป็นป่าลึก เหตุใดมารดาของตนถึงมายืนหน้าเต็นท์ได้ มือหนารูดซิปขึ้นสุดความยาว มุดพาตัวออกมา เขารีบเดินเข้าไปหาเงานั้นที่อยู่ห่างจากจุดตั้งเต็นท์ราวห้าเมตร เป็นแม่ของเขาจริงๆ ท่านสวมชุดอยู่บ้านสบายๆ ไม่เหมือนมาเดินป่าสักนิด ใบหน้าใจดีและรอยยิ้มอบอุ่นซ่อนอยู่ในเงามืดของยามราตรี

    “แม่! แม่จริงๆ แม่มาได้ยังไงครับ” ชาร์ลร้องถามด้วยความยินดี ฉวยมืออิ่มมากุมไว้ ทว่ามันเย็นเฉียบเหมือนถูกแช่ในน้ำแข็ง “ทำไมมือแม่เย็นจัง”

   “ก็เพราะกูไม่ใช่แม่มึงไง!”

    ชั่วพริบตาเดียวสตรีที่เขาคิดว่าเป็นแม่ก็เปลี่ยนเป็นผู้หญิงหน้าตาดุดัน ดวงตาสีดำสนิทราวกับไม่มีแก้วตา จมูกกลืนหายเข้าไปในใบหน้าเหลือแค่รูเล็กๆ ที่กำลังเพยิบขึ้นลง ริมฝีปากฉีกกว้างแทบจะถึงใบหู ฟันซี่แหลมเรียงซ้อนกัน คล้ายกับปลา แต่มันน่ากลัวว่าเป็นล้านเท่า มือที่กุมเมื่อครู่ เหนียวเหนอะหนะ ช่องว่างระหว่างนิ้วมีพังพืดเกาะติด เมือกสีขาวซึมผุดออกมาจากผิวหนัง เส้นผมหลุดร่วงแล้วเปลี่ยนเป็นครีบสีดำขึ้นมาแทน

   “มึงฆ่าพวกกู! มึงจะต้องชดใช้!” ปิศาจตัวนั้นตวาดลั่น ดวงตาสีดำด้านจ้องเขม็ง

    ฝัน! นี่ต้องเป็นความฝันแน่ๆ มันไม่ใช่ความจริง!

   มือเหนียวด้วยเมือกจับกุมเอาไว้แน่น บีบเค้นจนถึงเจ็บถึงกระดูก ใบหน้ายาวแหลมเอียงพับไปทางขวาอย่างผิดรูป กระทั่งซีกหน้าซบลงกับหัวไหล่ กระดูกขากรรไกรทิ่มทะลุผิวหน้าออกมา เลือกสีแดงสดไหลเป็นทางยาว รอยแผลน่าเกลียดเหมือนถูกของแข็งทุบ

   “มึงดูแผลนี่สิ! มันเป็นแผลที่มึงทำกับพวกกู!”

    ปิศาจตนนั้นตะคอกใส่ เลือดข้นเหนียวไหลออกจากปากเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าเก่าขาดรุ่งริ่ง ดวงตาสีดำแม้จะไร้แววแต่กลับน่ากลัวจนขนลุกไปทั่วกาย

   ชาร์ลพยายามสั่งให้ตัวเองตื่น เพราะหลงคิดว่าภาพที่เห็นเป็นแค่ความฝันเหมือนดั่งเช่นเมื่อคืน แต่กลิ่นคาวจัดที่พัดโชยเข้าจมูกมันทำให้เขาขวัญเสียกว่าเดิม

   ถ้าหากเป็นแค่ความฝัน ทำไมถึงได้กลิ่นล่ะ

   แรงบีบที่ข้อมือมีมากขึ้น มันเจ็บจนต้องเบ้หน้า ชาร์ลพยายามสะบัดตัวหนี แต่เรี่ยวแรงคล้ายกับจะหลงเหลือ เขาได้แต่ยืนจ้องหน้าปิศาจตนนั้น อย่างไร้ปัญญาที่จะตอบโต้ คงมีเพียงแค่ความหวาดกลัวเท่านั้นที่อาบไล้ทั่วร่าง ขนในกายลุกชัน เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นเต็มแผ่นหลัง ดวงตาน้ำเงินเข้มสั่นระริก ริมฝีปากอ้าค้าง แต่กลับไม่มีเสียงใดเปล่งออกมาได้

    “กูจะฆ่ามึง! กูจะเอามึงไปอยู่กับกู!!!”

    เสียงกรีดร้องโหยหวนดังก้อง ชาร์ลรู้สึกถึงความกลัวที่ไหลเวียนเข้ามาในกระแสเลือด ภาพปลาที่ตนทำร้ายเมื่อวานแทรกเข้ามาในความคิด ปลาตัวแล้วตัวเล่าที่ถูกก้อนหินโยนใส่ บางตัวปากแตก บางตัวเหงือกทะลัก เนื้อขาดวิ่นไปก็มี นาทีนั้นเขามีความสุขที่จับปลาได้ แต่ตอนนี้เขากลับอยากร้องไห้

   มือเหนียวเปียกเมือกลื่นสีขาวขยับขึ้นมาที่ต้นแขน ทว่าแรงบีบยังคงหนักหนาไม่ต่างจากเดิม ใบหน้าเอียงพับยกขึ้นกลับมาที่เดิม แต่เลือดสีเข้มยังไหลไม่หยุด ตอนนี้ชาร์ลสังเกตเห็นว่าผิวกายของปิศาจตนนี้เต็มไปด้วยบาดแผล ชาร์ลอยากวิ่งหนี อยากจะร้องเรียกใครสักคน ทว่าร่างกายคล้ายกับถูกสาป ไม่มีส่วนไหนขยับได้เลย เว้นเสียแต่ดวงตาที่เบิกกว้าง

   “กูจะเอามึงไปอยู่กับกู!” ริมฝีปากเบะกว้างอวดฟันซี่แหลมน่าเกลียด

   เล็บแหลมคมกรีดไปบนผิวกายจนได้เลือด มือน่าเกลียดขยับสูงมาที่ลำคอแล้วกดบีบรุนแรง ชาร์ลดิ้นพราดๆ ดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงจะกลับมาในตอนนั้น เขาตะปบมือเปียกลื่นเอาไว้พยายามง้างออก แต่มันกลับไม่ขยับเลย อากาศในปอดลดลงอย่างรวดเร็ว แรงบีบที่คอมีมากเสียจนทำให้เท้าลอยขึ้นเหนือพื้นดินได้ ภาพใบหน้าน่าเกลียดนั่นพร่าเลือนขึ้นเรื่อยๆ ปลายเท้าถีบเร่าๆ หมายจะหาที่ยึดเพื่อต่อลมหายใจ ทว่ามันมีแต่ความว่างเปล่า ลำคอถูกบีบรัดแน่นขึ้น ลมหายใจถูกคั่น แม้จะพยายามอ้าปากหายใจแต่ก็ไร้ผล ปอดเจ็บปวดเหมือนจะฉีกขาดเสียให้ได้ ดวงตาเหลือกกลับขึ้นไปข้างบน การมองเห็นเสียหาย ลิ้นค้างระหว่างฟัน มือและเท้าหงิกงอเพราะอาการเกร็ง

   แต่ก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายจะถูกพรากไป เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

   “เฮ้ย! ทำอะไรวะ”

   พรานกล้าร้องลั่นด้วยความตกใจ รีบถลาเข้าไปหาร่างสูงใหญ่ของเด็กหนุ่มลูกครึ่งที่เกร็งกระตุกอยู่ใต้ต้นไม้ โดยมีเชือกไนล่อนพันอยู่รอบลำคอ

    พรานหนุ่มใหญ่ใช้พร้าที่พกมาตัดฉับที่เชือก กิ่งไม้หักพร้อมกับร่างใหญ่ที่หล่นลงมาบนพื้น ชั่วจังหวะหนึ่งหางตาเหลือบเห็นชายผ้าสีขาวสะบัดหายเข้าไปในความมืด แต่พอหันไปมองก็ไม่พบกับสิ่งใด

   ชาร์ลนอนแน่นิ่ง ใบหน้าเริ่มซีดขาวเพราะขาดอากาศ แต่แผ่นอกยังสะท้อนขึ้นลงแสดงถึงการมีชีวิต พรานกล้ารีบปลดเอาเชือกไนล่อนออกจากลำคอ ก่อนจะตบแก้มของเด็กหนุ่มแรงๆ สองครั้ง ไม่นานเปลือกตาก็เปิดขึ้นพร้อมกับอาการลนลานหวาดกลัว

   “ผมขอโทษ! ผมขอโทษ ผมกลัวแล้ว ผมขอโทษ!” ชาร์ลพนมมือ พูดแทบไม่เป็นภาษา กระเสือกกระสนดิ้นหนีจนพรานกล้าต้องจับยึดหัวไหล่เอาไว้

   “ผมเอง! นี่ผมเอง ตั้งสติไว้”

    ชาร์ลเบิกตามองพรานกล้า แก้วตาสีน้ำเงินเข้มดูเหมือนจะไร้เงาอยู่ชั่วประเดี๋ยว ก่อนจะกลับมาเป็นปกติภายในไม่กี่วินาที ชาร์ลหยุดดิ้นแต่มือยังพนมค้าง

   “พราน...พรานกล้า”

   “ใช่ผมเอง” พรานกล้าพยักหน้า “เกิดอะไรขึ้น คุณผูกคอตัวเองทำไม”

   “ผมเปล่า” ชาร์ลส่ายหน้า น้ำตาไหลเปื้อนอาบแก้ม ไม่ปิดซ่อนความหวาดกลัว “แม่มาเรียกผม ไม่ใช่สิ มันเป็นผี ผีปลาที่ผมฆ่า มันหลอกให้ผมไปหา แล้วมันก็บีบคอผม มันจะฆ่าผม”

   “ผีปลา?”

    อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ชาร์ลทำเรื่องหนักหนาเอาไว้ ให้ไปขอขมาก็ไม่ยอม ปลาพวกนั้นโกรธแค้นที่ถูกฆ่าตายทั้งที่ยังไม่หมดอายุขัย ในป่า ทุกชีวิตมีผู้คุ้มครอง หากไม่เอ่ยขอก็ไม่มีสิทธิ์นำเอาไปได้ และต้องเป็นพวกที่หมดอายุขัยเท่านั้น แต่ชาร์ลทำผิดประเพณี ซ้ำร้ายยังท้าทาย อีกพรานกล้าถอนหายใจหนักๆ คาถาที่ร่ายป้อยกันรอบจุดตั้งเต็นท์มันปกป้องไม่ให้ดวงวิญญาณร้ายเข้ามา ทว่าชาร์ลกลับเดินออกไปหามันเอง

   ท่าทางดวงวิญญาณพวกนี้จะแกร่งกล้ากว่าที่คิดไว้

    “รีบกลับเข้าไปในเต็นท์ แล้วก็อย่าออกมาอีก” พรานกล้ากำชับ ชาร์ลพยักหน้ารับ อาการสั่นเทายังไม่หายดี สองขาอ่อนเปลี้ยไปหมด เดินล้มเหมือนเด็กหัดเดินอยู่หลายรอบกว่าจะถึงเต็นท์ 

    ชาร์ลคลำรอยรอบลำคอ อาการปวดตุบๆ เป็นระยะช่วยย้ำเตือนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความฝัน ชาร์ลประจักษ์แจ้งด้วยตัวเองแล้วว่ายังมีอีกหลายอย่างที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้…


*จินตนาการสำคัญกว่าเรียนรู้ ฮาาาาาาา*

**โปรดติดตามตอนต่อไป**

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
สนุกมากกก พี่โหรมาเร็วๆๆๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
มันมีคนแบบนี้จริงๆนะ เข้าป่าส่งเสียงดัง เจอดีทุกราย  ลุ้นๆๆ รอติดตามจ้า

ออฟไลน์ Janemera

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :ling3: :ling3: :ling3: :ling3:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
กันไว้ดีกว่าแก้ เข้าป่าต้องสำรวม จะทำอะไรต้องขอ
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
รู้เหตุของรชตล่ะ แต่ยังไม่รู้ผลการกระทำ
ส่วนชาล์กรรมติดจรวด มาเร็วเคลมเร็วทันใจ เหลือรอลุ้นว่าจะเอาชีวิตรอดจากป่านี้ได้มั้ย
คะนิ้งเหมือนระเบิดเวลา รอวันเบาๆ ของนางมา ชาวป่าได้กระเจิงแน่งานนี้
เอาใจช่วยกุมภ์ น่าจะมีบุญรักษาพอช่วยเหลือจุนเจือเพื่อนๆ ในกลุ่มได้บ้างเนาะ

กดบวกติดสินบนส่งพี่โหรมาสมทบเร็วๆ
 :mew6:

ออฟไลน์ Pawana

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ใครจะเป็นรายต่อไป เจ้าที่แรงสมาก. รอๆค่า สนุกดี

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 :hao7:


 :3123: :pig4: :pig4: :pig4: :3123:

 o13

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
 :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
ลุ้น

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ระทึกหัวใจ รอลุ้นตอนต่อไปจร้า

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
 :katai5: :katai5: รอ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด