Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทพิเศษ ทะเล) [11/10/2021]| จบแล้ว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Homicide : รับจ้างฆาตกรรม | (UPDATE! บทพิเศษ ทะเล) [11/10/2021]| จบแล้ว  (อ่าน 40354 ครั้ง)

ออฟไลน์ FleurDelakour

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โอ้ยฟินกับตอนโนอาห์จับมือเอทอสให้จับหูกระต่ายได้ไม่นาน

ตอนจบนี่มันนนนนนนนนนนนนน

 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ biOmos

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0

    “ติ้ด...”
    “ติ้ด...”
    “ติ้ด...”

    ยามดึกเงียบสงัด ภายในห้องพักฟื้นผู้ป่วยหนักหรือที่รู้จักกันดีในชื่อห้อง ICU มีเสียงสัญญาณชีพดังเป็นจังหวะแผ่วเบาในความมืด สลับกับแสงกะพริบจากอุปกรณ์ช่วยเหลือขนาบข้างเตียงผู้ป่วย บรรยากาศสลัวผสานความเย็นของเครื่องปรับอากาศ ชวนให้รู้สึกวังเวงเสียวสันหลังสำหรับบุคคลทั่วไป แต่ไม่อาจส่งผลต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ชำนาญการ

    นางพยาบาลย่างเท้าไร้เสียงตรวจดูอาการคนไข้แต่ละเตียง จวบจนมาหยุดอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยคนสุดท้ายของห้องนี้ ชายหนุ่มผู้ประสบอุบัติเหตุรถยนต์ชนประสานงากับรถบรรทุกเมื่อสองเดือนก่อน สายระโยงระยางเชื่อมตัวผู้ป่วยกับอุปกรณ์ช่วยชีวิตรอบเตียง แสดงถึงความบอบช้ำรุนแรงของร่างกาย ทว่าไม่น่าเชื่อว่าผู้ป่วยที่ดูอาการสาหัสที่สุดในห้องนี้ กลับเป็นผู้ที่สามารถฟื้นตัวได้รวดเร็วที่สุดเช่นกัน เร็วเสียจนแพทย์ผู้เป็นเจ้าของไข้ยังไม่อยากเชื่อ และต้องให้แพทย์คนอื่นมาช่วยยืนยันว่าตนไม่ได้ประเมินอาการผิด

    ครั้งที่ชายหนุ่มคนนี้ถูกนำตัวส่งถึงมือแพทย์โดยรถพยาบาล สภาพร่างกายและอาการหนักเกินกว่าจะเรียกเพียงคำว่าสาหัส กระดูกหลายส่วนหักทิ่มอวัยวะภายใน ระบบต่าง ๆ ในร่างกายพร้อมล้มเหลวหยุดทำงานทุกเมื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบหายใจ ที่ระหว่างนำตัวส่งโรงพยาบาลและการรักษาเกิดหยุดทำงานบ่อยครั้งจนเจ้าหน้าที่บางส่วนเริ่มถอดใจ ทว่าสุดท้ายก็สามารถกู้คืนสัญญาณชีพกลับมาได้

    หลังผ่านช่วงวินาทีแห่งความเป็นความตายภายในห้องฉุกเฉินนานหลายชั่วโมง ผู้ป่วยรายนี้ในที่สุดก็พ้นขีดอันตราย แพทย์ร่วมรักษาต่างประเมินเวลาพักฟื้นอาจยาวนานนับปี หรือในกรณีเลวร้ายที่สุดอาจกลายเป็นเจ้าชายนิทราไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย ทว่าเมื่อผ่านไปเพียงไม่กี่สัปดาห์ร่างกายของชายหนุ่มกับฟื้นตัวด้วยอัตราที่รวดเร็วในระดับที่แพทย์บางส่วนคาดว่าเกินกว่าปกติ จนต้องตรวจดูอาการของผู้ป่วยรายนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อใช้เป็นกรณีศึกษาในการรักษาผู้ป่วยรายอื่นที่ประสบเหตุคล้ายกัน


    นางพยาบาลผู้กำลังตรวจดูคนไข้พิเศษรายนี้เชื่อว่า หากร่างกายของชายหนุ่มสามารถรักษาระดับการฟื้นตัวให้คงอยู่เช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานแพทย์อาจอนุญาตให้ผู้ป่วยย้ายออกจากห้อง ICU และนั่นคงเป็นข่าวดีสำหรับญาติคนไข้ที่คอยมาเยี่ยมเยียนเป็นประจำทุกวัน

    หลังจากเผลอคิดอะไรเรื่อยเปื่อยขณะตรวจดูอาการคนไข้รายสุดท้ายเรียบร้อย นางพยาบาลจึงได้เดินออกจากห้องพักฟื้นอย่างเงียบเชียบ เพื่อไปตรวจดูคนไข้ห้องถัดไป โดยไม่รู้เลยว่าข่าวคราวเรื่องผู้ป่วยที่คาดการณ์ไว้เมื่อครู่ ผู้ที่ดีใจที่สุดนั้นหาใช่คนที่มาขอเข้าเยี่ยมทุกวัน แต่เป็นปีศาจที่คอยเฝ้าคนป่วยตลอดทุกค่ำคืนต่างหาก


     นัยน์ตาสีแดงเลือดนกเรืองแสงเจือไปด้วยความอ่อนล้า กำลังจ้องมองไปยังชั้นสูงของอาคารที่สัมผัสถึงกลิ่นอายวิญญาณของมนุษย์ ขณะนี้เอทอสนั่งพิงต้นไม้ในมุมมืดของสวนข้างอาคารโรงพยาบาล ความรู้สึกหมดแรงทรมานเหมือนถูกสูบพลังออกจากร่างอย่างต่อเนื่อง กลับเรียกรอยยิ้มบางเบาบนใบหน้าคมดุ เพราะตราบเท่าที่เขายังคงทรมาน นั่นหมายความว่าโนอาร์จะปลอดภัย

    ในช่วงที่มนุษย์หยุดหายใจนั้น วิญญาณของโนอาร์ยังไม่ออกจากร่างและถือว่ายังไม่ตายอย่างสมบูรณ์ เอทอสอาศัยโอกาสสุดท้ายที่เขาสามารถยื้อชีวิตมนุษย์ร่ายคำสาปใส่ร่างไร้สติ แม้จะขึ้นชื่อว่าคำสาปแต่ผลของมันไม่จำเป็นต้องเลวร้ายเสมอไป ทุกอย่างขึ้นกับตัวผู้ร่ายว่าต้องการให้ผู้ถูกสาปเป็นแบบไหน
    ซึ่งเอทอสในขณะนั้นปรารถนาเพียงอย่างเดียวคือ เขาอยากช่วยชีวิตโนอาร์ ดังนั้นเขาจึงสาปให้ทุกครั้งที่มนุษย์บาดเจ็บ ร่างกายจะทนทานต่อความเจ็บปวดและฟื้นตัวรวดเร็วเทียบเท่าปีศาจในสภาพสมบูรณ์พร้อม

    ทันทีที่ร่ายจบ คำสาปพลันแสดงผลในทันที ปีศาจในตอนนั้นทรุดลงจนต้องใช้กรงเล็บยันพื้นไว้ไม่ให้ล้ม เนื่องจากพลังทั้งหมดถูกคำสาปดูดไปอย่างรวดเร็ว เหงื่อกาฬท่วมร่างสูงใหญ่อาบแผ่นหลังกว้างและกรอบหน้าคมดุที่หอบหายใจเหนื่อย ปีศาจพยายามประคองสติค่อย ๆ หยิบโทรศัพท์จากกระเป๋าข้างกางเกงของร่างมนุษย์ไร้สติ โชคดีที่ยังสามารถใช้การได้ เอทอสจึงกดเรียกรถพยาบาลให้มารับตัวมนุษย์

    ปีศาจที่แทบไม่เหลือเรี่ยวแรงนั่งพิงซากรถสีเทาเมทัลลิกพลางกอบกุมมือมนุษย์เอาไว้ จนกระทั่งปีศาจได้ยินเสียงของรถพยาบาลเริ่มใกล้เข้ามา เอทอสจึงจำต้องปล่อยมือก่อนพยายามพาร่างของตัวเองไปแอบหลังเงามืดของต้นไม้ข้างทาง และเมื่อเหล่าเจ้าหน้าที่รับโนอาร์ไปดูแลต่อเป็นที่เรียบร้อย ความกังวลของปีศาจจึงได้เบาบางลง ก่อนทิ้งร่างสูงใหญ่เหนื่อยหอบล้มลงกับพื้นดินแข็งกระด้างพร้อมกับสติที่เริ่มเลือนหาย เพราะฝืนใช้ร่างกายในขณะที่พลังถูกดูดไปอย่างต่อเนื่อง


    หลังคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตจวบจนฟ้าสาง ปีศาจที่คอยเฝ้าคนของตนจึงพยุงตัวลุกเพื่อออกไปหาวิญญาณกินเพิ่ม คำสาปจะได้แสดงผลอย่างเต็มที่ และเป็นจังหวะเดียวกับที่เห็นเพื่อนของมนุษย์ ที่เขาขอให้มาเฝ้าโนอาร์แทนตอนช่วงกลางวัน กำลังเดินเลี่ยงหลบสายตาผู้คนมาหาเขาพอดี

    “คุณพักบ้างก็ได้ เดี๋ยวนี้พวกนั้นก็ไม่มาแล้ว อีกอย่างผมกางเขตกันวิญญาณรอบโรงพยาบาล มันฝ่าเข้ามาไม่ได้ง่าย ๆ หรอก”

    จินเอ่ยบอกเอทอส หลังเห็นร่างสูงใหญ่ของปีศาจอยู่ในสภาพอิดโรยอ่อนแรงมาเดือนกว่าแล้ว

    “ขอบใจในความหวังดีของเจ้า แต่ข้าไม่เป็นไร”

    ปีศาจกล่าวปฏิเสธก่อนหันหลังเดินจากไป เขายังฝังใจกับความไม่ได้เรื่องของตนเอง ที่ไม่ว่ากี่ครั้ง เขาก็ไม่มีปัญญาดูแลปกป้องโนอาร์ และครั้งนี้ความผิดของเขาหนักเกินกว่าที่ตัวเองจะรับได้ ความทรมานเหล่านี้จึงเสมือนโทษทัณฑ์ที่เขาสมควรได้รับ
 
    ส่วนจินที่เห็นร่างสูงใหญ่เดินห่างไปไกลแล้ว จึงเตรียมกลับไปเฝ้าคนป่วยในโรงพยาบาลบ้าง อยู่ ๆ พลันนึกอะไรบางอย่างได้จึงหันไปตะโกนไล่หลังปีศาจด้วยน้ำเสียงไม่ดังนัก เพราะอาจเรียกสายตาคนให้หันมอง โดยหวังว่าข้อความนี้จะส่งไปถึงเอทอส

    “คุณเปิดของขวัญที่โนอาร์ให้คุณหรือยัง ผมว่ามันช่วยคุณได้นะ”



    การไปไหนมาไหนในสังคมมนุษย์ด้วยร่างปีศาจเป็นเรื่องยากลำบาก โดยเฉพาะช่วงกลางวันที่เหล่ามนุษย์ออกมาทำงาน และยิ่งอยู่ในสภาวะหมดกำลังที่เพียงเดินไม่นานก็หอบหายใจเหนื่อย ทำให้การลอบกลับบ้านพักทรงไทยประยุกต์พร้อมหลบสายตาพวกมนุษย์นั้นใช้เวลาหลายชั่วโมง แม้ปีศาจจะรู้จักพื้นที่และรูปแบบการใช้ชีวิตของมนุษย์บริเวณนี้เป็นอย่างดีก็ไม่อาจช่วยอะไรได้มากนัก

    ความจริงเวลานี้เอทอสควรพยายามจับวิญญาณตามสุสานกินให้มากที่สุด เพื่อเป็นพลังให้คำสาปดูดไปรักษามนุษย์ในโรงพยาบาลดั่งที่ทำมาตลอด ทว่าแว่วเสียงที่จินบอกเขาตอนก่อนแยกจากกัน ทำให้ปีศาจจำต้องกลับมาที่บ้านพักอีกครั้ง

    บ้านทรงไทยประยุกต์ยังคงสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีใครพักอาศัยมานับเดือนแล้ว ต้องขอบใจนาวาที่เข้ามาช่วยดูแลทำความสะอาดที่นี่ให้อยู่เสมอ ร่างสูงใหญ่เดินไปหารถกระบะที่จอดนิ่งอยู่ตรงใต้ถุน ก่อนเปิดประตูฝั่งคนขับและสอดตัวขึ้นนั่ง กล่องของขวัญสีดำประดับด้วยโบและริบบิ้นสีแดงเลือดนก วางเด่นอยู่ท่ามกลางเหล่าของขวัญที่คนสวนให้เมื่องานเลี้ยงฉลอง ปีศาจใช้กรงเล็บใหญ่หยิบขึ้นมา ก่อนค่อย ๆ เปิดอย่างเบามือ

    โหลแก้วบรรจุดอกไม้สีน้ำเงินอมม่วงนอนสงบอยู่บนกลุ่มกระดาษฝอยกันกระแทกสีอ่อน เอทอสรู้จักดอกไม้ชนิดนี้ดี เพราะที่ใดก็ตามที่มีดอกไม้หายากนี้ขึ้น นั่นหมายความว่าบริเวณดังกล่าวอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแหล่งอาหารสำหรับปีศาจกินวิญญาณอย่างเขา

    ชอบไหม?

    เสียงกระซิบบางเบาลอยตามสายลมอ่อนที่พัดโชยเข้ามาในตัวรถ

    “...ไม่ ดอกไม้นี่มันอันตรายสำหรับมนุษย์อย่างเจ้า เจ้าไปเอามา-”

    ปีศาจเงยหน้าจากกล่องของขวัญพร้อมเอ่ยตำหนิมนุษย์ ก่อนจะชะงักไปเมื่อภาพเบื้องหน้าหาใช่นัยน์ตารัตติกาลกำลังจ้องมองเขา แต่เป็นกำแพงปูนใต้ถุนบ้านว่างเปล่าไร้เงามนุษย์ ใบหน้าคมดุอิดโรยค่อย ๆ เผยรอยยิ้มเย้ยหยันสมเพชตัวเอง ที่เผลอคิดว่าเสียงจินตนาการในหัวเป็นของจริง

    โนอาร์ไม่มีทางมาอยู่ตรงนี้ เพราะเขาเป็นผู้ขังวิญญาณมนุษย์ไม่ให้ออกจากร่างบอบช้ำกับมือ ส่งผลให้วิญญาณอยู่ในสภาวะหลับใหล ไม่ว่าใครแม้กระทั่งตัวเขาเอง ก็ไม่สามารถสื่อสารกับโนอาร์ในยามนี้ได้ ทำได้เพียงรอคอยวันที่มนุษย์หายดีและฟื้นขึ้นมา หรืออีกทางคือปล่อยให้มนุษย์ตายลงอย่างสมบูรณ์ เขาถึงจะได้คุยกับโนอาร์อีกครั้ง
    ซึ่งแน่นอนเอทอสเลือกวิธีแรก แม้จะต้องเฝ้ารออย่างไร้จุดหมายก็ตาม

    หลังหลุดจากความคิดฟุ้งซ่าน ปีศาจเลือกหยิบเพียงของขวัญจากมนุษย์ ส่วนตัวกล่องวางไว้ในรถตามเดิม ก่อนพาร่างอ่อนแรงออกจากบ้านพักทรงไทยประยุกต์ที่เพิ่งกลับมาได้ไม่นาน เขาไม่อยากเสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระ เพราะทุกวินาทีอาการของโนอาร์สามารถดีขึ้นหรือแย่ลงได้ทุกเมื่อ ขึ้นอยู่กับแหล่งพลังงานอย่างเขา ตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องมานั่งคิดอะไรทั้งนั้น มีหน้าที่แค่กิน กินให้มากที่สุดก็พอ



    ดอกไม้ที่โนอาร์ให้เป็นขวัญ ทำให้ช่วงหลายสัปดาห์มานี้เอทอสสามารถกินวิญญาณได้มากขึ้น เพราะไม่ต้องเสียเวลาไล่จับเหมือนแต่ก่อน ส่งผลให้พละกำลังเริ่มฟื้นคืน เนื่องจากพลังที่ได้รับผ่านการกินวิญญาณมากกว่าพลังที่คำสาปดึงไปรักษามนุษย์
    ทว่าดอกไม้พิเศษนี้ย่อมมีวันเหี่ยวเฉาร่วงโรยเหมือนดอกไม้อื่น ๆ และยามนี้ก็ถึงวาระของมัน จากดอกไม้สีน้ำเงินอมม่วงส่งกลิ่นหอมล่อลวงวิญญาณ บัดนี้เหลือเพียงซากดอกไม้แห้งสีน้ำตาลไร้ค่าภายใต้กรงเล็บทมิฬ
    
    “ข้าว่าเรื่องของเจ้ากับข้า ไม่มีอะไรต้องข้องเกี่ยวกันอีก”

    ปีศาจเอ่ยขึ้นลอย ๆ พลางนำซากดอกไม้เก็บเข้าโหลแก้ว เพราะตอนนี้เป็นเวลาเย็นย่ำที่เขาต้องเตรียมกลับไปเฝ้ามนุษย์ที่โรงพยาบาล แต่ดูเหมือนว่าใครบางคนที่เดินออกมาจากเงาหลังต้นไม้ใหญ่ จะไม่ยอมให้เขาไป

    “เป่าหูนักล่าปีศาจคนอื่นสำเร็จ คิดว่าทุกอย่างจะจบหรือไง ทำเรื่องชั่วช้าสารเลวแล้วคิดจะหนีง่าย ๆ สมเป็นความคิดปีศาจน่ารังเกียจดีหนิ”
    “ชิ้ง!”

    ชายผมเงินหยุดอยู่เบื้องหน้าปีศาจ ก่อนสะบัดอาวุธที่พับซ่อนไว้ทางด้านหลังออกมา แรงเหวี่ยงส่งผลให้กลไกเชื่อมท่อนเหล็กสั้นพร้อมเรียงกันเป็นเส้นตรง โดยส่วนปลายเป็นคมมีดแหลมโค้งขึ้นล้อแสงอาทิตย์ที่จวนลับขอบฟ้า เพียงเสี้ยววินาที ง้าวยาวคมกริบก็อยู่ในมือนักล่าปีศาจที่ตั้งท่าเตรียมโจมตี

    “ไปซะ ข้าไม่มีเวลามาเล่นกับเจ้า”

    ปีศาจกล่าวก่อนหันหลังเดินไปอีกทางเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ ทว่าไม่ทันได้ก้าวขา คมง้าวก็พุ่งแหวกอากาศหมายเสียบทะลุหัวใจจากทางด้านหลัง

    “พรึ่บ!”
    “หมับ!”
    
    ร่างสูงใหญ่เบี่ยงตัวหลบได้อย่างเฉียดฉิว พร้อมกระชากง้าวออกจากมืออีกฝ่าย ทว่านักล่าปีศาจกลับปล่อยมือจากอาวุธง่ายดาย ก่อนอาศัยช่วงจังหวะนั้นหยิบปืนที่ซ่อนไว้ทางด้านหลัง ยิงเข้าไปที่กลางลำตัวปีศาจ

    “ปัง!!!”
    “อั่ก!”

    ด้วยระยะประชิดบวกกับตอนนี้ร่างกายปีศาจไม่ได้อยู่ในสภาวะพร้อมสู้ จึงทำให้เอทอสถูกยิงตรงบริเวณเอวจนเซถอยห่างไปหลายก้าว ตัวง้าวกับโหลแก้วบรรจุดอกไม้แห้งหลุดจากกรงเล็บปีศาจ ก่อนจะตกอยู่แทบเท้าชายผมเงินที่ก้มเก็บของที่ปีศาจพกติดตัวเสมอขึ้นมาพิจารณา

    “อะ... เอามา...”

    เอทอสพยายามทวงของสำคัญคืน พลางใช้กรงเล็บใหญ่กดแผลห้ามเลือดไว้ นัยน์ตาสีแดงเลือดนกจับจ้องไปที่โหลแก้วไม่วางตา การกระทำเหล่านี้ทำให้ภาคินมั่นใจว่า ซากดอกไม้แห้งในโหลแก้วทรงสูงต้องเป็นของที่มีคุณค่าสำหรับปีศาจอย่างมาก
    ดังนั้นรอยยิ้มเหยียดแฝงความคับแค้นของนักล่าปีศาจจึงปรากฏขึ้น ยามคิดวิธีทำให้อีกฝ่ายสัมผัสความเจ็บปวดแบบเดียวกับที่เขาเคยรู้สึก

    “ของนี่มันสำคัญกับแกมากเหรอ ถึงได้หวงนัก” ภาคินเอ่ยพลางโยนของในมือเล่นเพื่อยั่วยุปีศาจ
    “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า... เอามา”
    “หึ... งั้นก็รับให้ดี”

    สิ้นเสียงชายผมเงิน โหลแก้วก็ถูกขว้างทิ้งไปอีกทาง ปีศาจรีบพุ่งตัวเข้าไปรับโหลแก้วที่ลอยอยู่กลางอากาศก่อนที่จะตกลงพื้นแตกเสียหาย การขยับเคลื่อนไหวฉับพลันส่งผลให้แผลบริเวณช่วงเอวฉีกขาดมากขึ้น ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่างสูงใหญ่จนต้องกัดฟันข่ม ทว่าไม่อาจทำให้ปีศาจลดความเร็วลง เพราะหากช้าเพียงเสี้ยววินาที สิ่งที่คว้าไว้ได้อาจเหลือเพียงความว่างเปล่า

    แต่น่าเศร้าเมื่อช่วงจังหวะกรงเล็บใหญ่สีนิลเอื้อมใกล้ถึงโหลแก้ว โชคชะตาก็แกล้งเล่นตลกกับความรู้สึกของปีศาจอีกครั้ง

    “ปัง!!!”

    วิถีกระสุนพุ่งเจาะทะลุกรงเล็บทมิฬ ก่อนพุ่งตัดทำลายโหลแก้วและดอกไม้แห้งจนแหลกละเอียดต่อหน้าต่อตาเอทอส ร่างสูงใหญ่ทรุดเข่าลงกับพื้นดินสกปรก ค่อย ๆ คลายกรงเล็บสั่นเทา หวังเพียงเขาจะสามารถรักษาของที่มนุษย์มอบให้เขาได้ ทว่าความจริงมักไม่เป็นอย่างคำขอ เพราะบนฝ่ามือยักษ์กลับมีแค่เลือดอาบชุ่มปนกับเศษแก้วน้อยใหญ่ ส่วนตัวดอกไม้ เหลือเพียงเศษซากฝุ่นผงสีน้ำตาล ที่เป็นหลักฐานยืนยันว่า ช่วงก่อนที่โหลแก้วจะแตกสลายนั้นเคยมีของสำคัญอยู่ภายใน

    “ก็แค่ดอกไม้ในโหลแก้ว จะอาลัยอาวรณ์อะไรนักหนา”

    ภาคินเดินเข้าไปหาพลางเอ่ยเยาะเย้ยถากถาง ทว่าปีศาจกลับไม่มีทีท่าสนใจ เอาแต่ก้มหน้าคุกเข่ามองเศษแก้วบนฝ่ามืออาบเลือด แม้ขณะนี้นักล่าปีศาจจะยืนอยู่ด้านหลังแล้วก็ตาม

    “ตุ้บ!”

    เอทอสถูกถีบล้มลงกับพื้นง่ายดาย ราวกับร่างสูงใหญ่นั้นหมดสิ้นเรี่ยวแรงต่อต้าน พื้นดินแข็งรอบตัวร่างยักษ์คล้ายเป็นโคลนเหนียวเหนอะ หลังดูดซับของเหลวหนืดสีแดงที่ไหลซึมจากช่วงเอวและกรงเล็บปีศาจอย่างต่อเนื่อง ส่วนผู้กระทำก็เดินวนรอบพลางมองเหยียดสภาพน่าเวทนานั้นด้วยความสะใจ

    “หึ.. ว่าแต่เดี๋ยวนี้คนที่อยู่กับแกไปไหนซะละ อ๋อ... อยู่โรงพยาบาลสินะ บอกตามตรงฉันนึกภาพคนอย่างโนอาร์ต้องมานอนให้น้ำเกลือไม่ออกเลย จนมาอยู่กับแก ดวงซวยจริง ๆ”
    “…”
    “ทีแรกฉันคิดว่าแกหลอกใช้มนุษย์มาเป็นโล่กันนักล่าปีศาจ แต่จากที่เห็นแกคอยไปเฝ้าที่โรงพยาบาลทุกคืน มันทำให้ฉันเริ่มมองแกในมุมใหม่..”
    “…”
    “ความจริงแกก็แค่ปีศาจสวะเหลือขอ ต้องมีมนุษย์คอยคุ้มกะลาหัว พออยู่ตัวคนเดียวก็ทำอะไรไม่ได้ ขนาดแค่เข้าไปเยี่ยมยังไม่มีปัญญา ได้แต่นั่งเฝ้าอยู่ตรงมุมมืดข้างโรงพยาบาลไม่ต่างจากหมาตัวหนึ่ง”

    เจ้าของคำพูดแดกดันหยุดอยู่เบื้องหน้าปีศาจที่นอนนิ่งไม่ยอมโต้ตอบ ก่อนจะใช้ฝ่าเท้าบรรจงเหยียบบนกรงเล็บชุ่มเลือดและบดขยี้ลงกับเศษคมแก้วตามพื้นดินโสโครก

    “ถ้าให้เดา ดอกไม้นี่คงเป็นของดูต่างหน้าที่คนของแกให้ก่อนเข้าโรงพยาบาล หึ.. สุดท้ายก็พัง รักษาไว้ไม่ได้ ฉันล่ะสงสารนักฆ่านั่นเสียจริง ไม่น่าตาต่ำเลือกฝากชีวิตไว้กับกาฝากอย่างแกเลย”
    “…ทำไม” เสียงทุ้มต่ำของปีศาจเอ่ยขึ้น
    “อะไร? เงยหน้าขึ้นมาพูดดี ๆ ฟังไม่รู้เรื่อง”

    ภาคินเลิกขยี้กรงเล็บปีศาจกับเศษแก้ว ก่อนใช้ปลายเท้าช้อนคางปีศาจให้เงยหน้าขึ้นมา เผยให้เห็นนัยน์ตาสีแดงเลือดนกเรืองแสงจ้องกลับด้วยความโกรธแค้นกราดเกรี้ยว ราวกับอยากกระชากวิญญาณคนตรงหน้ามาฉีกเป็นชิ้น ๆ แบบเดียวกับที่อีกฝ่ายทำกับของสำคัญที่มนุษย์มอบให้เขา

    “ปีศาจอย่างแกมีควา-”
    “ตึง!!”
    “อั่ก!”

    ไม่ทันพูดจบ เท้าที่ใช้เชิดหน้าปีศาจกลับถูกกรงเล็บทมิฬฉุดดึงอย่างแรง ส่งผลให้คนไม่ทันตั้งตัวล้มลง ภาคินหมายจะใช้ปืนยิงสั่งสอนให้ปีศาจสิ้นฤทธิ์ ทว่ากลับถูกกรงเล็บใหญ่ปัดทิ้งและบีบกำรอบลำคอราวกับคีมเหล็ก นักล่าปีศาจสำลักอากาศพยายามหยิบอีกหนึ่งอาวุธที่ซ่อนไว้ด้านหลังเพื่อสู้โต้กลับ พลางเตะถีบร่างสูงใหญ่ให้ผละออกไป แต่การกระทำเหล่านั้นกลับไร้ผลมิหนำซ้ำยังเพิ่มแรงบีบตรงลำคอมากขึ้นเป็นเท่าทวี

    “...ทำไมกลิ่นอายวิญญาณเจ้าถึงยังบริสุทธิ์ ทั้งที่เจ้าทำกับข้าขนาดนี้”
    “อะ..อั่ก!”
    “หากไม่ติดสัญญา วิญญาณเจ้าคงแหลกสลายคามือข้า... ข้าอยากรู้นัก ข้าทำอะไรให้เจ้าจงเกลียดจงชังกัน”
    “กะ..โกรธ อั่ก! โกรธเหรอเหอะ.. แค่นี้ยังไม่ถึงครึ่งของความเลวที่แกทำด้วยซ้ำ อั่ก!..”
    “นะ.. นี่ยังน้อยไปสำหรับปีศาจชั่ว ชีวิต..สงบสุขของแก... อย่าหวังว่าจะได้เลย! อั่ก!.. พะ.. เพราะฉันจะทำลายมันให้หมด! ทั้งของของแก.. ละ..และคนของแกะ-”
    “ตึง!!”
    “ตึง!!!!”
    “ตึง!!!!!”
 
    คนเสียเปรียบพูดเย้ยหยัน ไร้ซึ่งความเกรงกลัวต่อนัยน์ตาสีแดงเลือดนกวาวโรจน์ด้วยเพลิงโทสะ เอทอสที่ถูกยั่วยุจนฟิวส์ขาดเผลอปลดปล่อยความดาลเดือด กระชากคอมนุษย์ปากดีขึ้นก่อนทุ่มอัดลงกับพื้นดินแข็งหลายครั้งจนร่างในกรงเล็บนั้นสิ้นเสียงไร้การตอบสนอง ปีศาจถึงพลันได้สติคลายกรงเล็บออกจากลำคอม่วงช้ำ คิดว่าเขาพลั้งมือฆ่านักล่าปีศาจไปเสียแล้ว แต่เมื่อสังเกตดูจึงได้เบาใจว่าภาคินเพียงแค่หมดสติ

    เอทอสค่อย ๆ พยุงตัวขึ้นยืน โดยทิ้งร่างนักล่าปีศาจให้สลบอยู่ตรงนั้น ต่อให้อยากมากเท่าไร เขาก็ฆ่าภาคินไม่ได้ เพราะหากทำ สัญญาที่เขาสร้างไว้จะไร้ค่า มิหนำซ้ำการเพิ่มศัตรูในช่วงที่เขาต้องคอยรับมือผู้คุมวิญญาณ พร้อมกับใช้คำสาปรักษาโนอาร์คงไม่ใช่เรื่องดีนัก ดังนั้นตอนนี้สิ่งที่เขาควรทำที่สุดคือ รีบกลับไปเฝ้ามนุษย์ที่โรงพยาบาล

    “กึก!”

    เท้าของปีศาจสะดุดเข้ากับสิ่งหนึ่ง นัยน์ตาดุก้มมองพบว่าเป็นฐานไม้กลมสีนิล สำหรับใช้ปิดและเป็นที่ตั้งโหลแก้ว กรงเล็บบาดเจ็บหยิบขึ้นมาพลิกดู พบว่าแผ่นไม้ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ไม่ได้ถูกทำลาย ของตรงหน้าพลันให้ความรู้สึกที่ถูกย่ำยีของปีศาจคล้ายฟื้นกลับคืน แม้จะไม่มากนักแต่ก็ยังดี เพราะอย่างน้อย เขาก็รักษาส่วนหนึ่งของของขวัญที่มนุษย์มอบให้เขาไว้ได้




(ต่อด้านล่าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-07-2020 00:45:58 โดย biOmos »

ออฟไลน์ biOmos

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
(ต่อ)


    ในยามค่ำคืน จำนวนผู้ใช้บริการสถานพยาบาลนั้นต่างจากช่วงกลางวันค่อนข้างมาก ส่วนใหญ่เหลือเพียงญาติที่มานอนเฝ้าคนไข้ ยกเว้นชายคนหนึ่งที่นั่งสัปหงกตรงเก้าอี้รับรอง พยายามถ่างตามองไปที่สวนข้างโรงพยาบาล ราวกับเป็นนักสังเกตการเจริญเติบโตของพวกต้นไม้ใบหญ้า จนกระทั่งเห็นพุ่มไม้ในเงามืดสั่นไหวเล็กน้อย คนใกล้หลับจึงตื่นเต็มตา รีบเดินออกจากตัวอาคารไปที่สวน พลางหาวแก้ง่วงไปด้วย

    “ทำไมวันนี้คุณมาช้าจัง ผมรอจนเกือบหลับไปหลายรอบ เดี๋ยวนะ... เฮ้ยคุณ!! ไปโดนอะไรมา!?”

    จากที่กำลังสะลึมสะลือ คราวนี้จินถึงกับสะดุ้งตื่นเต็มตา เมื่อเห็นสภาพสะบักสะบอมของปีศาจที่นั่งพิงต้นไม้ ร่างสูงใหญ่เต็มไปด้วยคราบเลือด และบาดแผลตรงช่วงเอวกับกรงเล็บข้างหนึ่ง ทว่าเอทอสกลับไม่ได้ใส่ใจกับท่าทีของมนุษย์ตรงหน้านัก

    “มีเรื่องนิดหน่อย... วันนี้โนอาร์เป็นยังไงบ้าง แล้วพวกวิญญาณรับใช้มาอีกหรือเปล่า”
    “ก็นอนเป็นผักเหมือนเดิม ส่วนวิญญาณนั่นก็หายหน้าหายตาจนจะครบเดือนแล้วมั้ง คุณน่ะเลิกกังวลได้แล้ว ห่วงตัวเองก่อนดีกว่าไหม”

    จินตอบกลับด้วยประโยคเดิม ๆ ที่ต้องรายงานปีศาจทุกวัน จนเขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเหมือนนกแก้วนกขุนทอง เขาเข้าใจความกังวลของเอทอสดี คนรักโดนเล่นงานต่อหน้าต่อตาแบบนั้น จะระแวงมากก็ไม่แปลก แต่ห่วงถึงขนาดไม่สนใจตัวเองแบบนี้ ถ้าวันหนึ่งพลาดพลั้งขึ้นมา คู่รักต่างเผ่าพันธุ์คงได้จูงมือกันไปปรโลกแน่ เพราะจากที่เขาเข้าเยี่ยมแทนปีศาจทุกวัน ทำให้เห็นว่าอาการโนอาร์ทรงตัวอยู่ได้ ส่วนหนึ่งมาจากพลังของเอทอส

    ทว่าเมื่อคนหวังดีสบกับนัยน์ตาสีแดงเลือดนก จินก็พลันรู้ว่าเขาพูดไปคงเหนื่อยเปล่า เพราะแววตาของเอทอสยามนี้ คล้ายจะสื่อว่าพร้อมทำทุกทางเพื่อให้คนสำคัญปลอดภัย โดยไม่สนว่าตัวเองจะอยู่หรือตาย เป็นแววตาแบบเดียวกับโนอาร์ ตอนเขาพยายามห้ามเรื่องกวาดล้างกลุ่มนักล่าปีศาจ
    
    “คุณกับโนอาร์นี่เหมือนกันมากกว่าที่ผมคิดอีกนะ ไม่น่าล่ะถึงอยู่ด้วยกันได้”
    “อืม”
    “อา... เกือบลืม วันนี้ผมมีข่าวดีมาฝากคุณด้วย โนอาร์ออกจากห้อง ICU แล้วนะ”

    เอทอสเพียงรับฟังนิ่ง ๆ ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ทว่าจินรู้ว่าอีกฝ่ายแอบดีใจไม่น้อย โดยสังเกตจากบรรยากาศรอบตัวร่างสูงใหญ่ที่ผ่อนคลายมากขึ้น และนัยน์ตาสีแดงเลือดนกที่ดูอ่อนลงแฝงด้วยรอยยิ้ม

    หลังบอกข่าวให้ปีศาจรับรู้ จินที่หมดหน้าที่เลยขอตัวกลับ ส่วนเอทอสพออยู่ลำพังจึงเริ่มจับสัมผัสกลิ่นอายวิญญาณของมนุษย์ว่าอยู่ตรงส่วนใดของโรงพยาบาล และไม่นานนัยน์ตาสีแดงเลือดนกก็หยุดอยู่ ณ หน้าต่างบานหนึ่ง ร่างสูงใหญ่ค่อย ๆ พยุงตัวขึ้นยืนพลางใช้สายตาสอดส่องดูกลุ่มมนุษย์บริเวณนี้ เมื่อไม่พบใคร ปีศาจจึงอาศัยโอกาสนี้ลอบออกจากสวน และไม่นานหลังจากนั้น ม่านหน้าต่างห้องพักของโนอาร์ก็มีเงาร่างยักษ์ปรากฏขึ้น

    เอทอสเลื่อนบานกระจกแผ่วเบา ก่อนแทรกกายเข้ามาในห้องพักได้สำเร็จ นัยน์ตาสีแดงเลือดนกเรืองแสงในความมืด จับจ้องร่างเจ้าชายนิทราที่นอนสงบอยู่บนเตียง สายมากมายโยงเชื่อมตัวมนุษย์กับเหล่าอุปกรณ์ ไฟกะพริบกับเสียงสัญญาณคงที่จากเครื่องช่วยชีวิต บ่งบอกว่าคนของปีศาจปลอดภัยดี

    “ไง... ไม่เจอกันนานเป็นเดือน เจ้าดูผอมลงนะ โนอาร์”

    ปีศาจลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง พลางพูดคุยกับร่างไร้สติ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เอทอสได้พบโนอาร์อีกครั้งหลังจากผ่านเหตุกาณ์เลวร้าย เนื่องจากมนุษย์รักษาในห้อง ICU ตลอด ทำให้ปีศาจไม่สามารถลอบเข้าไปเยี่ยมได้ ต้องรอจนกว่าหมอจะอนุญาตให้ออกมาพักห้องปกติ เขาถึงมีโอกาสเข้ามาหาดั่งเช่นครานี้
     ซึ่งการได้เห็นหน้ามนุษย์อีกครั้ง แม้จะยังไม่ฟื้นขึ้นมา ก็ช่วยให้ความเจ็บหน่วงจากแผลตามตัวร่างยักษ์ และความทรมานจากผลของคำสาปลดลงอย่างมาก

    “ข้ามีเรื่องมาขอโทษเจ้า ของขวัญที่เจ้าให้ข้า ข้าทำมันพังเหลือแค่ฐานไม้ หวังว่าเจ้าคงไม่โกรธข้า”
    “…”
    “ข้าถือความเงียบเป็นคำตอบว่าเจ้าไม่โกรธ หึ... ขอบใจ”
    “แกร๊ก!”

    เสียงเปิดประตูดังขึ้น ก่อนตามด้วยร่างของนางพยาบาลเดินเข้ามาเช็กอาการคนไข้รอบดึก เมื่อตรวจดูเรียบร้อย สายตาพลันสะดุดเข้ากับเก้าอี้ตัวหนึ่งที่วางอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย ด้วยความคิดว่าญาติคนไข้อาจลืมเก็บ นางพยาบาลเลยยกเก้าอี้ไปสอดเข้าใต้โต๊ะตามเดิม แล้วค่อยเดินออกจากห้องเพื่อไปเช็กคนไข้รายอื่นต่อ

    หลังทุกอย่างกลับสู่ความสงบอีกครั้ง ปีศาจที่หลบอยู่บริเวณมุมห้องถึงลืมตา เผยให้เห็นนัยน์ตาสีแดงเลือดนกเรืองแสง พร้อมร่างสูงใหญ่ก้าวออกมาจากความมืด คิดในใจว่าเวลานี้คงไม่เหมาะแก่การพูดคุยกับโนอาร์อีกต่อไป แต่ถึงอย่างนั้นปีศาจก็ไม่คิดกลับไปเช่นกัน

    ดังนั้นเอทอสจึงเลือกเดินเข้าไปหาร่างไร้สติ ใช้กรงเล็บเกลี่ยเส้นผมแผ่วเบา ก่อนก้มลงจูบบนผ้าพันแผลตรงหน้าผากมนุษย์ด้วยความนุ่มนวล กดแช่สักพักหนึ่งถึงยอมผละออก นัยน์ตาสีแดงเลือดนกแฝงความอ่อนโยน ขณะกล่าวคำที่อีกฝ่ายมักพูดกับเขาก่อนเข้านอน

    “ราตรีสวัสดิ์ โนอาร์”

    หลังจากนั้นร่างสูงใหญ่จึงไปนั่งเฝ้าตรงโซฟาเงียบ ๆ จนฟ้าใกล้รุ่งสาง ปีศาจถึงได้ออกไปหาวิญญาณกิน

    

    วันเวลาผันผ่านช่วยให้ทุกสิ่งดีขึ้นตามลำดับ รวมถึงการย้ายห้องพักของโนอาร์ทำให้พักหลังมานี้จินสุขสบายขึ้นอย่างมาก เพราะช่วงที่เจ้าชายนิทราหลับใหลในห้อง ICU ข้ารับใช้อย่างเขาเข้าเฝ้าได้ไม่นาน ก็ถูกนางพยาบาลไล่ออกมาข้างนอก ต้องคอยเตร็ดเตร่รอบโรงพยาบาลจนกว่าปีศาจจะมา เขาถึงกลับได้ ทว่ายามนี้เจ้าชายมีห้องพักส่วนตัว เขาที่ต้องอยู่เฝ้าตลอดช่วงกลางวัน ก็คล้ายวิญญาณเร่ร่อนมีที่ให้สิงสถิต มีโซฟานุ่มให้นอนเล่น มีโทรทัศน์ให้ดูแก้เบื่อ ต่อให้เขาต้องคอยดูโนอาร์ทั้งวันทั้งคืนก็ไม่มีปัญหา

    “แกร๊ก!”

    เสียงเปิดประตูห้องพักดังขึ้น ส่งผลให้คนนอนเอกเขนกต้องรีบลุกขึ้นนั่งในท่าสำรวม ทว่าผู้มาเยือนหาใช่นางพยาบาลอย่างที่จินคิด แต่เป็นร่างสูงใหญ่น่าเกรงขามเจ้าของนัยน์ตาดุสีอำพัน รูปลักษณ์ที่จินเห็นครั้งสุดท้ายตอนงานเลี้ยงฉลองสวนรฦกวัลย์

    “โอ้โฮ! พลังแห่งรักทำให้แปลงกลับเป็นมนุษย์ได้หรือครับ คุณเอทอส” จินเอ่ยแซวผู้มาใหม่ที่มุ่งตรงไปหาคนบนเตียงเป็นอันดับแรก
    “ไร้สาระ ก็แค่อาการโนอาร์ดีขึ้นมาก คำสาปจึงไม่รุนแรงเท่าแต่ก่อน ข้าเลยเหลือพลังพอแปลงเป็นมนุษย์ก็เท่านั้น”

    เอทอสตอบกลับพลางมองสำรวจโนอาร์ที่ยังคงไม่ฟื้น มนุษย์ผ่ายผอมลงค่อนข้างมาก แต่ไม่ถึงกลับแขนขาลีบ เพราะได้เจ้าหน้าที่คอยทำกายภาพบำบัดอยู่เสมอ เหล่าเครื่องมืออุปกรณ์กู้ชีวิตล้วนถูกถอดออก เมื่อร่างกายผู้ป่วยสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง ช่วงเวลาวิกฤตน่าเป็นห่วงได้ผ่านพ้นไปแล้ว เหลือเพียงรอวันที่นัยน์ตารัตติกาลจะลืมขึ้นอีกครั้ง ซึ่งนั่นทำให้ปีศาจที่คอยเป็นกังวลอยู่ตลอดพอเบาใจ ก่อนเริ่มคิดสะสางปัญหาที่ปล่อยไว้นานหลายเดือน

    “คุณมาแล้ว งั้นผมกลับเลยนะ ไม่อยากเป็น กขค.” จินเอ่ยขึ้นเตรียมเก็บของ แต่กลับถูกอีกฝ่ายรั้งไว้
    “ไม่ต้อง ข้าแวะมาเยี่ยมไม่นาน เดี๋ยวจะออกไปหาวิญญาณกินเพิ่ม”

    ได้ยินดังนั้น จินเลยนั่งลงตรงโซฟาตามเดิม มีแอบเหลือบมองร่างสูงใหญ่ช่วยห่มผ้าดูแลคนบนเตียงบ้างเล็กน้อย ผ่านไปสักพักหนึ่งปีศาจจึงขอตัวกลับ ห้องพักส่วนตัวเลยเหลือเพียงเจ้าของห้องกับคนเฝ้าอีกครั้ง จินที่แสร้งทำนู้นนี่ไม่สนใจจึงมีโอกาสยืนยืดเส้นยืดสาย ก่อนเดินเข้าไปหาคนที่หลับไม่ยอมตื่นเสียที

    “เคล็ดลับมัดใจปีศาจของนายคืออะไรเหรอโนอาร์ สอนฉันมั่งสิ เผื่อเอาไปใช้หาแฟนดี ๆ แบบคุณเอทอสบ้าง”

    แน่นอนว่าไม่มีเสียงตอบกลับจากคนบนเตียง ซึ่งจินก็มั่นใจว่าถึงรอจนอีกฝ่ายฟื้นแล้วลองถามใหม่ เขาก็คงได้แค่รอยยิ้มมุมปากแบบฉบับเจ้าตัว หรือแย่กว่าอาจโดนมองกลับด้วยแววตาเยาะเย้ยกึ่งสมเพชให้เขายิ่งอิจฉา



    หลังออกจากโรงพยาบาล ปีศาจก็มุ่งตรงไปยังสถานที่ที่มีวิญญาณรวมกลุ่มกัน เป็นแหล่งอาหารที่เขาเพียรตามหาอยู่นานตั้งแต่เกิดเรื่อง จนเมื่อไม่นานนี้ก็ได้พบ แต่เขายังไม่มีโอกาสเข้าไป เพราะห่วงอาการของโนอาร์ที่ยามนั้นไม่สู้ดีนัก ปีศาจจึงต้องรอจนกว่าคนของเขาจะแข็งแรง และในที่สุดเวลาที่เอทอสเฝ้ารออย่างอดทนก็มาถึง

    ร่างสูงใหญ่หยุดยืนอยู่หน้าแหล่งอาหาร ทว่าแหล่งอาหารวันนี้หาใช่ป่าหรือสุสาน แต่เป็นบ้านพักหลังหนึ่งในตัวเมือง มีรั้วไม้ล้อมรอบเขตบ้าน บริเวณด้านในปลูกต้นไม้รกทึบจนแทบมองไม่เห็นตัวที่พักอาศัย ดีที่มีกริ่งฝังตรงเสาปูนหน้าบ้านให้กดเรียก ทว่าเอทอสกลับคิดว่าการเรียกแบบสันติวิธีคงไม่เหมาะสมเท่าไรนัก

    “ตึง!!” ฝ่าเท้าหนักยกขึ้นถีบรั้วไม้หน้าบ้านอย่างแรง
    “ตึง!!!”
    “โครม!!!!!”

    เพียงไม่กี่ครั้ง รั้วไม้ป้องกันภัยก็พังครืนอย่างง่ายดาย ร่างสูงใหญ่ก้าวผ่านเศษซากเละเทะโดยไม่คิดเหลียวมอง เหล่าวิญญาณรับใช้ผู้ทำหน้าที่ดูแลบ้านต่างรุมเข้าจัดการผู้บุกรุก ซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องสิ้นคิดอย่างถึงที่สุด

    “อ๊ากกกกกกกก!!!!!!!!”

    เสียงร้องโหยหวนดังลั่นทั่วบ้านทั้งหลัง วิญญาณตนแล้วตนเล่าถูกขยี้ฉีกกระชากไร้ความปรานี ทุกตนล้วนลิ้มรสความทรมานแสนสาหัส ก่อนถูกจับกินต่อหน้าต่อตาวิญญาณตนอื่น บัดนี้ไม่มีใครกล้าต่อกรกับปีศาจที่กำลังเดือดปะทุด้วยเพลิงแค้น วิญญาณที่เหลือรอดต่างพยายามหลีกหนี กลับถูกเปลวเพลิงสีนิลแผดเผาให้ดิ้นทุรนทุราย รอเวลาถูกจับกินเหมือนเหล่าพวกพ้อง ผ่านไปไม่นานนัก ทุกดวงวิญญาณที่พยายามขับไล่ผู้บุกรุกก็ถูกกินจนสิ้น

    “โครม!!!!”

    ประตูหน้าบ้านถูกถีบพังไม่เหลือซาก ก่อนตามด้วยร่างสูงใหญ่พร้อมบรรยากาศกดดันอันตรายก้าวเข้ามาภายใน คลื่นอารมณ์โทสะกราดเกรี้ยวแผ่กระจายเพิ่มความน่ายำเกรงเป็นเท่าทวี เหล่าวิญญาณหนีตายต่างเห็นเงาผู้บุกรุกคล้ายพญามัจจุราชที่มาฉุดลากพวกตนลงสู่ขุมนรก ทว่าผู้คุมวิญญาณเจ้าบ้านกลับไม่มีทีท่าหวาดหวั่นแต่อย่างใด
    
    “บุกรุกบ้านคนอื่นแบบนี้ รู้ไหมมันเสียมารยาท”
    “เลิกยุ่งกับโนอาร์ซะ ก่อนที่ชะตาเจ้าจะไม่ต่างจากวิญญาณรับใช้พวกนั้น”

    เอทอสเอ่ยขู่พร้อมยื่นโอกาสรอดให้อีกฝ่าย แต่ดูเหมือนผู้คุมวิญญาณจะไม่สนใจเท่าไรนัก ชายเจ้าบ้านลุกขึ้นจากที่นั่งก่อนเดินหยั่งเชิงดูท่าทีปีศาจในร่างมนุษย์เบื้องหน้า

    “ถ้าบอกว่าไม่ล่ะ วิญญาณแข็งแกร่งหายากแบบโนอาร์ ใครก็อยากได้เป็นข้ารับใช้ แล้วอีกอย่างนักฆ่านั่นก็ไม่ใช่คนดีอะไร ตายไปสักคน.. จะเป็นอะไรไป!”
    “ขวับ!”
    “พรึบ! โครม!!”
    “อั่ก!!”

    ทันทีที่พูดจบ ผู้คุมวิญญาณก็สาดบางสิ่งใส่ร่างสูงใหญ่ ทว่าเอทอสกลับเบี่ยงหลบง่ายดาย เพียงพริบตาเดียวปีศาจก็เข้าประชิดตัวชายหนุ่ม พร้อมเหวี่ยงร่างเจ้าบ้านอัดกำแพงอย่างแรง ซึ่งเหล่าวิญญาณรับใช้ไม่อาจยื่นมือเข้าช่วยเหลือ

    “หมับ! อั่ก!!”
    “เจ้าจะเสียใจที่เลือกทางนี้”

    ร่างผู้คุมวิญญาณถูกฝ่ามือใหญ่กำรอบลำคอแน่น ก่อนยกขึ้นจนร่างลอยด้วยมือข้างเดียว วิญญาณรับใช้บางส่วนเห็นผู้เป็นนายกำลังตกอยู่ในอันตราย จึงทำใจกล้าเข้าช่วย ซึ่งผลตอบแทนของความจงรักภักดีก็คือ เปลวเพลิงสีนิลที่เผาไหม้ดวงวิญญาณจนสูญสลาย

    “หะ..หึ คะ... ใครกันแน่.. ที่จะเสียใจ..”

    เสียงขาดช่วงพยายามตอบกลับไร้ซึ่งแววสำนึก ส่งผลให้ฝ่ามือใหญ่เพิ่มแรงบีบลำคอเป็นเท่าทวี ทว่าเมื่อยิ่งออกแรง เอทอสกลับรู้สึกคล้ายพลังของเขายิ่งถูกดึงออกไป คิ้วหนาเริ่มขมวดมุ่นเมื่อสัมผัสถึงความผิดปกติ พร้อมกับโยนร่างในมือทิ้งลงพื้นทันที

    “ตุ้บ!!”
    “เจ้าทำอะไร?”
 
    คำถามของเอทอส ได้รับเพียงรอยยิ้มไม่น่าไว้ใจคืนกลับมา ผู้คุมวิญญาณพยายามพยุงตัวขึ้นยืน ก่อนสวนหมัดโต้กลับชายร่างสูงใหญ่ ซึ่งนั่นถือเป็นการกระทำอันสิ้นคิดในสายตาปีศาจ เขาจึงต้องสั่งสอนให้รู้ถึงความห่างชั้นระหว่างปีศาจกับมนุษย์ธรรมดา

    “กร๊อบ!!”
    “อ๊ากกกกกก!!!!! อึก!!!”

    เสียงกระดูกหักดังลั่น เมื่อเอทอสล็อกแขนที่พยายามต่อยเขา ก่อนหักทิ้งราวกับกิ่งไม้เปราะ ร่างผู้คุมวิญญาณทรุดลง พร้อมกรีดร้องทรมานแสดงถึงความเจ็บปวด ทว่านั่นกลับยิ่งทำให้พลังในร่างปีศาจถูกดูดออกไปมากขึ้นเช่นกัน
    เอทอสรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล จึงเตรียมเค้นถามอีกครั้ง แต่กลับถูกเสียงสายเรียกเข้าของโทรศัพท์หยุดไว้เสียก่อน ซึ่งคนที่โทรมาคือ จิน ปีศาจเลยรีบกดรับทันที เพราะเกรงว่าอาจเกิดอะไรขึ้นกับโนอาร์

    “โครม!!”
    “อั่ก!!”

    ผู้คุมวิญญาณอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายรับโทรศัพท์จู่โจมอีกครั้ง และก็ถูกฝ่าเท้าหนักเตะจนร่างลอยไปกระแทกกับตัวโต๊ะจนล้มระเนระนาด ซึ่งนั่นสร้างความไม่เข้าใจให้กับเอทอสอย่างมาก ว่าเหตุใดมนุษย์นี่ถึงรนหาเรื่องเจ็บตัวนัก

    “มีอะไร จิน”
    [คุณอยู่กับผู้คุมวิญญาณนั่นใช่ไหม!! คุณห้ามทำอะไรมันนะ!! ไอ้หมอนั่นมันเชื่อมวิญญาณกับโนอาร์ ถ้ามันบาดเจ็บ โนอาร์จะเป็นคนรับแทน!]

    สารจากปลายสายถึงกับทำให้ร่างสูงใหญ่ชะงักนิ่งงัน ก่อนไม่นานจะมีเสียงหัวเราะจากมุมหนึ่งของบ้าน นัยน์ตาดุสีอำพันค่อยๆ หันมองต้นตอของเสียง พบว่าบัดนี้ผู้คุ้มวิญญาณกลับไร้ซึ่งอาการบาดเจ็บ กำลังจ้องมองราวกับสมน้ำหน้าปีศาจ พลางแกล้งปัดฝุ่นตามเสื้อ การกระทำราวกับเย้ยหยัน ถึงขั้นทำให้เอทอสคุมอารมณ์ไม่อยู่

    “โครม!!! เพล้ง!!!”
    “พลาดเป้านะ รู้หรือเปล่า หึ ๆ”

    ผู้คุมวิญญาณหัวเราะเยาะ เมื่อหมัดหนักถูกเบี่ยงหลบในวินาทีสุดท้าย ส่งผลให้บานกระจกหน้าต่างเป็นที่รองรับความดาลเดือดแทนใบหน้าของเขา

    “เจ้าทำแบบนี้ทำไม”

    เอทอสกัดฟันกรอด เค้นเสียงลอดไรฟันถาม นัยน์ตาดุกลายเป็นสีแดงเลือดนกวาวโรจน์คล้ายมีเพลิงพิโรธลุกไหม้อยู่ภายใน ทว่าผู้คุมวิญญาณกลับเดินผ่านร่างสูงใหญ่อย่างไม่ใส่ใจ พร้อมสั่งวิญญาณรับใช้ที่เหลือรอด ให้เข้ามาเก็บเศษซากข้าวของที่พังเสียหาย

    “บอกไปแล้วว่าอยากได้โนอาร์มาเป็นข้ารับใช้ ไม่รู้หรอกนะว่านายทำยังไง โนอาร์ถึงอยู่มาได้นานขนาดนี้ แต่สุดท้ายก็ไม่รอดหรอก…”
    “เจ้าทำอะไรอีก! บอกมา!!” เสียงทุ้มหนักของปีศาจตวาดก้องดังทั่วทั้งบ้าน จนวิญญาณรับใช้บางตนหวาดกลัวจนต้องหนีหลบซ่อน
    “ก็แค่กำหนดวันตายให้ ตายแบบไม่ทรมาน เมื่อถึงวันจะหยุดหายใจไปเองเหมือนสับสวิตช์ ต่อให้เป็นพระเจ้าก็ช่วยไม่ได้ ฉันใจดีเลือกวันเป็นสิ้นปีนี้ กว่าจะถึงวันนั้นนายก็ใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้เต็มที่ ฉันจะไม่เข้าไปยุ่ง”
    “…”

     ระหว่างการพูดคุยอยู่นั้น เอทอสพลันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายวิญญาณของใครบางคนกำลังมุ่งตรงมาที่บ้านหลังนี้ ก่อนไม่นานจะได้ยินเสียงรถจอดบริเวณหน้าบ้าน ซึ่งเขารู้จักกลิ่นอายวิญญาณนี้ดี และนั่นทำให้ร่างสูงใหญ่รู้สึกอื้ออึงสับสน คล้ายถูกค้อนทุบอย่างจังจนเสียงพูดโต้ตอบหายไป

    “และนั่นหมายความว่านายก็ห้ามมายุ่งกับฉันเหมือนกัน เพราะไม่อย่างงั้น...”

    ผู้คุมวิญญาณเอ่ยพลางเดินไปหยุดรอใครบางคนตรงหน้าประตูบ้าน เวลาเดียวกับที่ดวงตาของเอทอสจำต้องเปลี่ยนกลับเป็นสีอำพัน เพื่อปกปิดความลับเรื่องปีศาจไม่ให้คนนอกรู้

    “วันตายของโนอาร์อาจเลื่อนเป็นพรุ่งนี้แทน”
    “พี่วรรษเป็นอะไรไหม! ผมมาแล้วเห็นรั้วบ้านพัง ขโมยขึ้นบ้านเหรอ?! แล้วโทรแจ้งตำรวจหรือยัง”
    “ใจเย็น ๆ”

    ผู้คุมวิญญาณผู้บ่งการแผนการเลวร้าย บัดนี้เหลือเพียงพี่ชายแสนดีเดินเข้าไปปลอบน้องชายที่กำลังตื่นตระหนก ใช้เวลาสักพักหนึ่งน้องชายเจ้าบ้านถึงใจเย็นลง ก่อนเริ่มมองสำรวจความเสียหายภายในบ้าน จนสายตาสะดุดเข้ากับชายร่างสูงใหญ่ที่เคยเจอเมื่อหลายเดือนก่อน

    “พี่เอทอส?! เป็นเพื่อนกับพี่วรรษหรือครับ ผมไม่เคยรู้เลย”
    “…สีคราม” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยบางเบา ราวกับไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
    “ใช่ เพื่อนพี่เอง เขามาช่วยพี่จัดการเรื่องขโมยขึ้นบ้านน่ะ แต่เรียบร้อยดีแล้ว และกำลังกลับใช่ไหม” พี่ชายแสนดีออกรับแทน พร้อมเอ่ยไล่คนนอกกลาย ๆ
    “...อืม ต้องกลับแล้ว”
    
    เอทอสอาศัยโอกาสที่ผู้คุมวิญญาณหยิบยื่นให้ รีบหลบเลี่ยงสถานการณ์ทันที ทำให้สีครามไม่ทันได้เอ่ยชวนรุ่นพี่ให้ทานข้าวเย็นด้วยกัน ร่างสูงใหญ่ก็พลันหายออกจากบ้านไปเสียแล้ว ดังนั้นน้องชายเจ้าบ้านที่ยังคงสับสนไม่เข้าใจ จึงหันมาเค้นความจริงกับพี่ชายแทน
    ทว่าหลังผ่านไปสักพักหนึ่ง ฝ่ายคนพูดตอบกลับกลายเป็นสีคราม โดยคำถามของพี่ชายแสนดีส่วนมากมักเกี่ยวกับเรื่องของชายเมื่อครู่ เนื่องด้วยการรู้จักกันของปีศาจและสีครามนั้น อยู่เหนือความคาดหมายของผู้คุมวิญญาณ แต่ที่เออออไปก่อนหน้านี้เป็นเพราะ เขาไม่ต้องการให้สีครามรู้สึกสงสัยแล้วมาข้องเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เท่านั้น



    เวลาล่วงเลยเข้าสู่พลบค่ำ ในที่สุดเอทอสในสภาพหอบเหนื่อยก็มาถึงโรงพยาบาล เรื่องราวที่พบเจอก่อนหน้าถูกโยนทิ้งจนสิ้น ตอนนี้ความคิดร้อนรนของปีศาจเหลือเพียง ความกังวลต่ออาการของโนอาร์ที่ทรุดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งแสดงชัดผ่านผลของคำสาปที่รุนแรงขึ้นทุกขณะ โชคดีที่เมื่อช่วงกลางวันปีศาจกินวิญญาณรับใช้มากพอสมควร เลยพอมีพลังเหลือให้คำสาปดูดไปโดยไม่กระทบต่อการแปลงเป็นมนุษย์ของเขา

    ทว่าไม่ทันที่ร่างสูงใหญ่จะวิ่งเข้าโรงพยาบาลเพื่อไปหามนุษย์ กลับถูกเสียงของจินที่รออยู่ก่อนแล้วเอ่ยขัด ก่อนพาเดินมาคุยกันตรงสวนมืดเพื่อหลบเลี่ยงสายตาผู้คน

    “โนอาร์อยู่ห้อง ICU คุณเข้าไปหาตอนนี้ไม่ได้หรอก แต่อาการทรงตัวแล้วนะ คุณไม่ต้องกังวล”
    “…”
    “แล้ว.. เป็นอย่างไรบ้าง”

    เอทอสค้นหาเสียงตัวเองอยู่นาน ก่อนจะถามถึงอาการมนุษย์แผ่วเบา นัยน์ตาสีอำพันดุดูอ่อนแสงฉายชัดถึงความขมขื่นรู้สึกผิด ร่างสูงใหญ่ดุดันน่าเกรงขาม ยามนี้กลับดูเปราะบางราวกับหินผาแกร่งที่มีรอยร้าวไปทั่วพร้อมพังทลาย เพียงเพราะรู้ว่า สิ่งสำคัญที่เพียรดูแลรักษา กลับแหลกสลายอีกครั้ง โดยคราวนี้เป็นน้ำมือของเขาเอง

    “ที่แขนกับคอ หมอใส่เฝือกดามให้เรียบร้อยแล้ว ส่วนตรงอก…”
    “…”
    “หมอบอกว่าอวัยวะภายในกับกระดูกยังไม่แข็งแรงดี อยู่ ๆ กลับคล้ายถูกของหนักกระแทกอย่างแรง กระดูกซี่โครงเลยหักทิ่มปอด ต้องกลับมาใช้เครื่องช่วยหายใจอีกครั้ง แต่ตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้ว สบายใจได้”

    ฝ่ามือใหญ่กำแน่นเพื่อข่มอารมณ์ เมื่อรับฟังอาการของโนอาร์ เอทอสรู้สึกเหมือนโชคชะตาจะสนุกกับการกลั่นแกล้งหลอกลวงให้เขาตายใจ แล้วคอยบดขยี้ฉีกทำลายความรู้สึกเขาทิ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งครั้งนี้ปีศาจไม่อาจทนฝืนอดกลั้นต่อความด้อยค่าไร้ความสามารถของตนเองได้อีกต่อไป

    ภายหลังจากเพื่อนมนุษย์ขอตัวกลับ กลางดึกเงียบสงัดพลันเกิดเสียงร้องคำรามเจ็บปวดขาดใจดังกึกก้องให้ได้ยินทั่วทุกส่วนของโรงพยาบาล โดยต้นกำเนิดมาจากสวนด้านข้าง มีบางคนใจกล้าพยายามหาต้นตอ ทว่าเพียงเห็นนัยน์ตาสีแดงเลือดนกบ้าคลั่งของบางสิ่งในเงามืด กำลังหักโค่นทำลายต้นไม้พังระเนระนาด ราวกับต้องการปลดปล่อยความรู้สึกเจ็บแค้นอัดอั้น เหล่าพวกอยากรู้ก็พลันกลับใจไม่กล้าเข้าไปยุ่ง ได้แต่ปล่อยให้บางสิ่งระบายจนกว่าจะพอใจและสงบลงไปเอง

    ซึ่งเสียงร้องคำรามราวกับสัตว์ป่าบาดเจ็บนี้ ดังถึงบนอาคารสูงของโรงพยาบาล กลุ่มบุรุษและนางพยาบาลต่างต้องทำหน้าที่อย่างหนัก เพื่อดูแลคนไข้ที่อาจตื่นตกใจ และนั่นรวมถึงการเข้าไปดูความเรียบร้อยภายในห้องพักฟื้นผู้ป่วยหนัก โชคดีที่เหล่าคนไข้ล้วนอยู่ในสภาวะที่ไม่อาจรับรู้สิ่งรอบข้าง จึงไม่ได้รับผลกระทบต่อเสียงประหลาด เว้นเสียแต่ผู้ป่วยรายหนึ่งที่เพิ่งถูกนำตัวมาพักฟื้นในห้องนี้เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน

    นางพยาบาลสังเกตปลายนิ้วของคนไข้ขยับเล็กน้อยคล้ายถูกเสียงกระตุ้น จึงรีบเข้าไปดูเผื่อว่าเสียงประหลาดอาจช่วยให้คนไข้ฟื้นคืนสติ แต่เมื่อลองเช็กดูแล้ว กลับพบว่าผู้ป่วยรายนี้ยังคงไร้ซึ่งการตอบสนอง ทว่าไม่รู้เป็นเพราะบรรยากาศผสานกับเสียงคำรามทุกข์ระทมที่ยังคงดังแว่วอยู่หรือไม่ เธอถึงรู้สึกว่าบริเวณรอบเตียงของคนไข้รายนี้ดูเยียบเย็นมากกว่าปกติ และเมื่อมองใบหน้าสงบของชายหนุ่มบนเตียง แม้จะดูเรียบนิ่งไร้ความรู้สึกไม่ต่างจากผู้ป่วยคนอื่น แต่เธอคล้ายสัมผัสอารมณ์ของคนบนเตียงได้ว่า ชายผู้นี้กำลังรู้สึก... โกรธ
    


    

บท20 สมบูรณ์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-07-2020 21:23:47 โดย biOmos »

ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1

ออฟไลน์ Tassanee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ชอบค่ะ ตื่นเต้นดี

ออฟไลน์ biOmos

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
    
    รถยนต์สีขาวสะอาดเลี้ยวเข้าโรงพยาบาลเฉกเช่นเช้าวันอื่น ๆ แต่ที่ต่างไปคือความวุ่นวายเล็กน้อยบริเวณสวน ที่มีคนรวมกลุ่มมุงดูอะไรบางอย่าง จินที่เห็นเหตุการณ์ขณะขับรถผ่าน พลันหวั่นใจว่าอาจเกิดเรื่องกับปีศาจจึงรีบจอดรถเทียบข้างทาง ก่อนวิ่งเข้าไปดูพลางเบียดเสียดขอแทรกคนที่ยืนขวาง ไม่นานนักสาเหตุความวุ่นวายก็ประจักษ์แก่สายตา

    สวนด้านข้างโรงพยาบาลอยู่ในสภาพพังเละเทะคล้ายถูกพายุถล่ม กลุ่มคนงานกำลังช่วยกันเก็บกวาดซากความเสียหาย เศษดินกระจุยกระจายจากต้นไม้ที่ถูกถอนดึงจนถึงราก บางต้นหักโค่นราวกับถูกสัตว์ป่าคลั่งบดขยี้ โดยสังเกตจากรอยกรงเล็บใหญ่ที่ฝากไว้ตามเนื้อไม้ คนมุงพากันออกความคิดเห็นคาดเดาต่าง ๆ นานา บ้างเล่าว่าได้ยินเสียงร้องคำรามเมื่อคืน บ้างทันเห็นเงาของบางสิ่งอาละวาด ซึ่งนั่นล้วนเรียกความระแวงให้จินเป็นอย่างมากจนต้องแสร้งถาม เพื่อเช็กว่าความลับเรื่องการมีอยู่ของปีศาจยังไม่ถูกล่วงรู้

     “ที่บอกว่าเห็นเงา พอจะรู้ไหมครับว่าน่าจะเป็นตัวอะไร”
    “ไม่รู้หรอก ตาสีแดง ๆ คงเป็นตัวอะไรสักอย่างหลุดมาจากป่ามั้ง”
    “อ๋อ... นั่นสินะ-”
    “สัตว์ประหลาด ต้องเป็นพวกสัตว์ประหลาดออกอาละวาดแน่เลยแม่!”

    เสียงเด็กคนหนึ่งออกของความเห็น ทำให้ทั่วทั้งบริเวณเงียบเสียงลงชั่วขณะ ก่อนไม่นานเสียงพูดคุยจะกลับมาอีกครั้ง โดยไม่มีใครให้ความสนใจกับทฤษฎีของเด็กน้อย เพราะเห็นเป็นเพียงจินตนาการไร้เดียงสา ส่งผลให้จินที่เผลอกลั้นหายใจ ความรู้สึกตกไปที่ตาตุ่มเนื่องจากกลัวความลับแตก ถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอก และค่อย ๆ พาตัวเองออกมาจากกลุ่มคนมุง เพื่อติดต่อหาตัวการว่าหลบอยู่ที่ใด

    “คุณอยู่ที่ไหนเนี่ย แล้วเป็นอะไรหรือเปล่า เมื่อคืนพวกนักล่าปีศาจบุกมาจัดการคุณเหรอ?”
    [ในโรงพยาบาล รอเข้าเยี่ยมโนอาร์]

    ปลายสายเพียงตอบกลับคำถามแรกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ก่อนกดตัดสาย ทำให้จินรู้สึกถึงความผิดปกติของอีกฝ่าย จึงรีบเดินเข้าโรงพยาบาลเพื่อไปสมทบกับปีศาจ เผื่อจะได้สอบถามหาสาเหตุเพิ่มเติม ทว่าเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่นั่งอยู่ที่เก้าอี้รับรองแยกปลีกจากคนอื่นคล้ายต้องการอยู่เพียงลำพัง ความหมองหม่นรู้สึกผิดแฝงผ่านบรรยากาศรอบกาย นัยน์ตาสีอำพันฉายชัดถึงความโศกขื่นขมกล่าวโทษตนเอง ทุกสิ่งอย่างเบื้องหน้าจินเสมือนแทนคำตอบก่อนหน้าทั้งหมดโดยไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยคำใด

    “กว่าจะอนุญาตให้เข้าเยี่ยมก็เกือบเที่ยง คุณไปพักเอาแรงก่อนได้นะ” จินพูดขึ้นขณะนั่งลงตรงเก้าอี้ว่างข้างอีกฝ่าย
    “ข้ากินพอแล้ว ไม่เป็นไร”

    เสียงทุ้มต่ำเอ่ยตอบคล้ายพึมพำ ไม่คิดเหลียวมองคนมาใหม่ สายตาหยุดจ้องเพียงฝ่ามือใหญ่ฟกช้ำจากการลงโทษตัวเองเมื่อคืนวาน แม้ไม่ได้ตั้งใจให้ผลลัพธ์เป็นเช่นนี้ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าความผิดทุกอย่างเป็นของเขา หากเขาเฉลียวใจสักนิด หยุดมือตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้สึกว่าพลังถูกดูดออกไป อาการโนอาร์คงไม่แย่ลงจนต้องเข้าห้องนั้นอีกครา ความเจ็บปวดราวกับความรู้สึกแหลกสลายที่กำลังทนทุกข์อยู่นี้ ถือว่าน้อยไปด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับความโง่เขลาของเขา

    หลังการตอบกลับของปีศาจ บทสนทนาก็จบแต่เพียงเท่านั้น เหลือเพียงความเงียบระหว่างกันที่ค่อย ๆ ดำเนินคู่ไปกับเวลาที่ผันผ่านทีละน้อย จินที่ปกติระหว่างรอมักจะนั่งเล่นโทรศัพท์ไม่ก็แอบงีบหลับ ยามนี้กลับทำได้เพียงวางสายตาไว้ตรงโทรทัศน์ที่แขวนกับเพดาน เนื่องจากความอึดอัดที่ร่างสูงใหญ่เป็นผู้สร้าง ชวนให้รู้สึกผิดบาปหากตนจะหาวิธีผ่อนคลายฆ่าเวลาในสถานการณ์เช่นนี้
    ดังนั้นการรอคอยไม่กี่ชั่วโมงจึงเนินนานนับอนันต์สำหรับหนึ่งปีศาจที่ทนทุกข์สำนึกผิด และหนึ่งผู้คุมวิญญาณที่ถูกหางเลขความรู้สึกไปด้วย


    ในที่สุดช่วงแห่งความอึดอัดใจก็จบลงเมื่อเวลาเข้าเยี่ยมมาถึง เอทอสลุกไปติดต่อขอเยี่ยมด้วยตัวเอง โดยมีจินเดินตามหลังลอบสังเกตอาการ หลังเตรียมตัวเข้าเยี่ยมด้วยการล้างมือ สวมใส่รองเท้าที่โรงพยาบาลเตรียมไว้เรียบร้อย ฝ่ามือใหญ่ค่อย ๆ ดันประตูเปิดแผ่วเบา ก่อนเดินตรงไปที่เตียงด้านในสุด ไม่ต้องเสียเวลามองหา เพราะปีศาจคอยจับสัมผัสกลิ่นอายวิญญาณมนุษย์อยู่เสมอ

    อุปกรณ์ช่วยชีวิตกลับมารายล้อมร่างไร้สติอีกครั้ง เพียงวันเดียวจากมนุษย์ร่างกายเริ่มแข็งแรงรอวันฟื้นคืน ย้อนสู่สภาพสาหัสไม่ต่างจากวันแรกที่เข้ารับการรักษา เฝือกสีขาวสะอาดที่ลำคอและแขนช่วยปกปิดตราบาปจากสายตาผู้กระทำ ทว่ากลับยิ่งตอกย้ำเสียดแทงความรู้สึกให้เจ็บปวด ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศราวกับเยือกแข็งอวัยวะกลางอกทีละน้อย ทุกครั้งที่หัวใจเต้น คล้ายกับฝืนบังคับให้ก้อนน้ำแข็งขยับเคลื่อนไหว ผลที่ได้คือความรวดร้าวจวนแตกสลายทุกลมหายใจ

    เอทอสหยุดนิ่งมองคนบนเตียงเนินนาน นัยน์ตาสีอำพันหมองหม่นไร้แววจนน่าใจหาย ก่อนยื่นฝ่ามือใหญ่บอบช้ำค่อย ๆ ลูบเฝือกแขนมนุษย์แผ่วเบา ความเย็นที่สัมผัสบนพื้นผิวแข็งกระด้าง คล้ายกำลังลากผ่านเกล็ดน้ำแข็งเยียบเย็นจนปลายนิ้วด้านชาไร้ความรู้สึก ทว่าครานี้ปีศาจไม่ยอมให้ความหนาวเหน็บเกาะกุมความรู้สึกเล่นงานเขาฝ่ายเดียว

    ร่างสูงใหญ่หันไปเลื่อนม่านปิดกั้นสายตาคนภายนอก ก่อนกลับมาสัมผัสตัวมนุษย์อีกครั้ง เปลวเพลิงสีนิลพลันลุกติดบนฝ่ามือใหญ่ ค่อย ๆ ลามจนท่วมร่างหลับสนิทบนเตียง จินที่เห็นโนอาร์กำลังถูกไฟเผาทั้งเป็น เผลอยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูกกับภาพตรงหน้าไปชั่วขณะ ก่อนจะรีบเข้าไปกระชากฝ่ามือใหญ่ออกทว่าไม่สำเร็จ

    “คุณหยุด!! สติหลุดไปแล้วเหรอ! จะฆ่าโนอาร์หรือไง”

    จินเอ่ยพลางพยายามใช้มือดับไฟ แต่ทันทีที่สัมผัสตัวเพลิงกลับไม่รู้สึกถึงไอร้อนแผดเผาอย่างที่ควรจะเป็น มีเพียงความอบอุ่นแฝงอยู่ในเปลวสีนิลที่กำลังลามเลียอย่างอ่อนโยน ส่งผลให้คนที่พยายามห้ามปีศาจชะงักไปเล็กน้อย พร้อมกับความตื่นตระหนกที่เริ่มลดคลายลง

    “เปลวเพลิงเอ๋ย...” ร่างสูงใหญ่เอ่ยพึมพำ
    “จงเผาไหม้ทำลายทุกพันธะที่ผูกติดกับชายผู้นี้โดยหาได้กำเนิดจากข้า และแผดเผาต้นกำเนิดแห่งพันธะแปลกปลอมให้สิ้นจนเหลือเพียงเศษเถ้าธุลี”

    หลังเอ่ยจบเพลิงสีนิลที่กำลังลุกท่วมร่างไร้สติพลันมอดดับ ทว่าปีศาจกลับไม่รู้สึกว่าพลังถูกดูดออกไปแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นหมายถึงการร่ายคำสาปเมื่อครู่ไม่สำเร็จ ดังนั้นเปลวเพลิงจึงลุกติดอีกครา แต่สุดท้ายผลลัพธ์ก็เป็นเช่นเดิม ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งที่จับราวเหล็กข้างเตียงไว้ เริ่มกำแน่นมากขึ้นทุกครั้งที่คำสาปจบลงด้วยความล้มเหลว
    และก่อนที่เอทอสจะร่ายคำสาปรอบใหม่ จินที่เฝ้ามองอยู่เงียบ ๆ มาสักพักหนึ่ง เริ่มรู้ถึงความคิดปีศาจ จึงจำต้องกล่าวขัดความพยายามของอีกฝ่าย

    “หมดเวลาเยี่ยมแล้วนะ และก็พลังของคุณ... มันใช้ลบล้างมนตร์มืดไม่ได้หรอก”

    เพียงประโยคเรียบสั้นในตอนท้าย กลับดับแสงความหวังหนึ่งเดียวในทันใด ฝ่ามือใหญ่บีบราวเหล็กแรงขึ้นจนบิดงอ เสียงลั่นเบา ๆ จากเหล็กที่ผิดรูปเรียกสติเอทอสให้ยอมคลายมือ นัยน์ตาสีอำพันว่างเปล่าไร้แววมองส่งร่างมนุษย์บนเตียง ไหล่กว้างที่เคยผึ่งผาย ครานี้คล้ายดูห่อลงอย่างคนสิ้นหนทาง ก่อนยอมหันหลังเดินจากไปง่ายดาย ราวกับยอมรับความพ่ายแพ้ต่อความจริงอันขื่นขม ว่าเขานั้นเป็นเพียงปีศาจไร้ค่าน่าสมเพชตนหนึ่ง


    หลังออกจากห้องพักผู้ป่วยหนักในเวลาเที่ยงกว่า ทั้งสองมาฝากท้องที่ศูนย์อาหารชั้นล่างของโรงพยาบาล เมื่อได้โต๊ะจินอาสาเดินไปสั่งอาหารให้ ทว่าเอทอสกลับส่ายหน้าปฏิเสธคล้ายต้องการอยู่เพียงลำพัง เห็นดังนั้นจินจึงได้แต่ปล่อยให้ร่างสูงใหญ่นั่งจมอยู่กับความคิดตนเอง

    ไม่นานนักคนออกไปซื้อข้าวก็กลับมาพร้อมถาดอาหารในมือ จินนั่งฝั่งตรงข้ามพลางเหลือบมองคนร่วมโต๊ะเล็กน้อย หลังเยี่ยมเสร็จปีศาจก็เอาแต่ซึมไม่ยอมพูดจา เขามั่นใจว่าส่วนสำคัญที่ทำให้เอทอสตกอยู่สภาพนี้คือความรู้สึกผิด อาจต้องใช้เวลาเยียวยาสักพักถึงจะดีขึ้น ดังนั้นสิ่งที่เขาพอทำได้จึงมีเพียงการพูดให้กำลังใจ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายคิดมากจนเกินไป

    “คุณไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก ใครจะไปรู้ว่าผู้คุมวิญญาณนั่นจะใช้วิธีสกปรกแบบนี้”
    “…”
    “เมื่อวานได้คุยกับหมอด้วยนะ เขาบอกว่าโนอาร์ยังแข็งแรงและก็ฟื้นตัวได้เร็วมาก แปป ๆ ก็คงกลับมานอนห้องพักปกติได้แล้วละ”
     “คำสาปแก้ไม่ได้ แล้วมีอะไรแก้ได้บ้าง”

    เสียงทุ้มต่ำอ่อนแรงเอ่ยถาม ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จินกำลังพูดแม้แต่น้อย ดวงตาสีอำพันหมองหม่นมองสบอย่างไร้ความหวัง ราวกับหมดสิ้นแล้วทุกความเชื่อมั่น ไม่กล้าคิดร้องขอหรือคาดหมายสิ่งใดอีก ชวนให้ผู้ตกเป็นเป้าสายตาอย่างจินรู้สึกสงสารเห็นใจปีศาจตรงหน้าเป็นอย่างมาก และหวังว่าคำตอบของเขาอาจพอเรียกขวัญกำลังใจอีกฝ่ายให้กลับคืน

    “ที่จริงแล้วมนตร์มืดที่ผู้คุมวิญญาณใช้กัน มันเลียนแบบมาจากคำสาปแช่งของปีศาจนั่นแหละ แต่ดีกว่าตรงที่มนตร์มืดใช้เลือดของเหยื่อเป็นตัวกำหนด ต่างจากปีศาจที่ใช้พลังของตัวเองผูกกับเป้าหมาย อืม... แล้วไอ้ผู้คุมวิญญาณนั่นมันเอาเลือดมาจากไหน คนอย่างโนอาร์อย่าว่าแต่จะทำให้เลือดออกเลย แค่แตะตัวยังแทบทำไม่ได้ด้วยซ้ำ”

    คำถามตามความสงสัยทั่วไป กลับคล้ายหอกน้ำแข็งปักแทงทะลุกลางอกเอทอสอย่างจัง จนรู้สึกชาเจ็บแทบไม่อยากหายใจ บาดแผลบนหลังมือโนอาร์ในวันนั้น หวนกลับมาตอกย้ำถึงความสะเพร่าของเขาอีกครา ส่งผลให้นัยน์ตาสีอำพันหมองหม่นอยู่แล้วกลับยิ่งดูมืดมน ส่วนจินที่ทันเห็นปฏิกิริยาของปีศาจก็เผลอใจหล่นวูบไปชั่วขณะว่า เขาอาจพูดกระทบอีกฝ่ายโดยไม่ตั้ง จึงต้องรีบข้ามไปเรื่องอื่นแทน

    “อา... ก็นั่นแหละ เพราะใช้เลือดเป็นสื่อกลาง เลยทำให้ตัวผู้ร่ายเป็นอิสระกับเป้าหมาย ไม่ต้องถูกสูบพลังแบบปีศาจ ซึ่งทุกครั้งที่มนตร์มืดทำงานจะดูดพลังวิญญาณจากตัวเหยื่อแทน ดังนั้นต่อให้จัดการผู้ร่ายได้ มนตร์มืดที่ติดตัวก็ไม่หายไป และเพราะเลียนแบบมาจากคำสาป มันเลยถูกลบล้างไม่ได้ตรงนี้คุณคงเข้าใจดี”

    เอทอสที่กำลังฟังพยักหน้ารับเล็กน้อย คำสาปของปีศาจทุกตนเหมือนกันหมด ไม่มีทางแก้ไขหรือลบล้างได้ มีเพียงแค่สองวิธีเท่านั้นคือ หนึ่งให้ปีศาจผู้ร่ายเป็นผู้ถอนคำสาป หรือสอง ฆ่าปีศาจเจ้าของคำสาป ทว่าจากที่จินบอก ต่อให้กำจัดผู้ร่ายทิ้งมนตร์มืดนั้นก็ยังคงอยู่ การหยุดจึงเหลือเพียงวิธีเดียว ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลยที่คนอยากได้วิญญาณโนอาร์เป็นข้ารับใช้ขนาดนั้นจะยอมรามือ

    “แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางแก้เลยนะ” จินพูดขัดก่อนที่ใครบางคนจะคิดไปไกล ซึ่งนั่นทำให้นัยน์ตาสีอำพันมืดมนคล้ายมีแสงแห่งความหวังเล็กน้อย
    “ยังไง...”
    “มันดูเป็นวิธีที่เห็นแก่ตัวสักหน่อยนะ ก็ถ่ายโอนมนตร์มืดให้คนอื่นซะ แต่ถ้าส่งต่อแล้ว ผู้รับแทนจะไม่สามารถแก้หรือโยนให้ใครได้อีก จำต้องอยู่กับมนตร์มืดนั้นไปจนสิ้นลมหายใจ อารมณ์ประมาณหาตัวตายตัวแทนนั่นแหละ”
    “แล้วต้องทำยังไง” เอทอสเร่งถามต่อ นัยน์ตาคล้ายมีประกายความหวังมากขึ้น
    “ก็ใช้เลือดของโนอาร์ กับเลือดของผู้ที่จะมารับแทน เสียดายมันย้อนใส่ผู้ร่ายไม่ได้... งั้นคุณไปหาเลือดใครสักคนมาก็พอ ส่วนที่เหลือผมจัดการเอง”
    “ต้องใช้มากเท่าไร”
    “ขึ้นอยู่กับจำนวนมนตร์มืดที่จะถ่ายโอน โนอาร์โดนแค่อย่างเดียว-”
    “สอง...” ร่างสูงใหญ่เอ่ยขัดเสียงเบา
    “ฮะ?! ไอ้ผู้คุมวิญญาณนั่นมันทำอะไรอีก?”
    “กำหนดวันตายให้โนอาร์... เป็นสิ้นปีนี้”

    ทันทีที่ฟังจบ จินถึงกับสบถคำหยาบคายต่อว่าตัวการออกมาชุดใหญ่ เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเอทอสถึงเสียอาการขนาดนี้ แค่ใช้คนเจ็บมาเป็นโล่ให้ปีศาจทำร้ายคนรักตัวเองโดยไม่ตั้งใจ ก็ถือว่าน่ารังเกียจพอแล้ว ยังกล้ามาขีดเส้นชีวิตคนอื่นอีก
    เขาอยากรู้จริง ๆ ว่าจิตใจผู้คุมวิญญาณนั่นมันดำมืดเท่าโนอาร์ไหม ทำไมถึงคิดแผนการเลวร้ายเล่นกับความรู้สึกเหยื่อได้คล้ายกันนัก หากโนอาร์ไม่พลาดท่าเสียก่อน เขาว่าผู้คุมวิญญาณนี่ต้องได้เป็นของเล่นชิ้นโปรดของฆาตกรเลือดเย็นอย่างแน่นอน

    หลังเผลอร้องโวยวายจนผู้ใช้บริการศูนย์อาหารรายอื่นหันมอง จินเลยยอมเงียบเสียง พลางแกล้งดื่มน้ำแก้เก้อ จึงเพิ่งสังเกตเห็นเอทอสที่นั่งอยู่ฟังตรงข้าม กำลังใช้มือข้างหนึ่งที่เปลี่ยนเป็นกรงเล็บแหลม กำจิกเข้าที่ผิวเนื้อตนเองจนเลือดไหลหยดใส่แก้วเปล่าที่รองอยู่ โชคดีที่โต๊ะที่นั่งอยู่ชิดกำแพง และเอทอสนั่งหันหลังเลยช่วยกำบังไม่ให้คนนอกเห็นเหตุการณ์
    ทว่าภาพตรงหน้ากลับทำให้คนในอย่างจินถึงกับสำลักน้ำ ไอชุดใหญ่จนน้ำหูน้ำตาไหล ก่อนรีบพูดห้ามปีศาจ

    “นี่.. แค่ก ๆ คะ.. คุณทำอะไรเนี่ย!?”
    “เอามนตร์มืดทั้งหมดของโนอาร์ มาไว้ที่ข้า” ร่างสูงใหญ่เอ่ยเรียบนิ่ง คล้ายไม่สนใจต่อผลที่ตามมา
    “คุณเอทอส! ผมบอกให้คุณไปหาคนอื่นมาไง คุณมารับเสียเองแบบนี้ โนอาร์รอดแต่คุณตาย แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร”
    “แล้วเจ้าต้องการใคร”
    “ใครก็ได้ ถ้าคุณไม่อยากรู้สึกผิดมาก ก็ไปเอาพวกเศษเดนอยู่ไปก็รกโลก มีแต่คนอยากสาปส่งให้ตายมาสักคน อย่างน้อยชีวิตพวกนั้นก็พอมีค่าในวาระสุดท้ายอยู่บ้าง”
    “ก็ข้าไง เศษเดนไร้ประโยชน์”

    เพียงคำเรียบสั้น ทว่าทำให้คนฟังรู้สึกจุกจนพูดไม่ออก จินพยายามมองเข้าไปในส่วนลึกของดวงตาปีศาจ กลับพบเพียงความว่างเปล่าไม่มีท่าทีล้อเล่นแต่อย่างใด ก่อเกิดเป็นความเงียบคั่นกลางบทสนทนาให้ขาดช่วง คนหิวโซเมื่อครู่คล้ายไม่อยากอาหารอีกต่อไป ทั้งที่ทานเพียงไม่กี่คำ จินลุกขึ้นรวบจานรวมถึงเลือดที่ปีศาจรองใส่แก้วไปทิ้ง ก่อนไปไม่ลืมพูดทิ้งท้ายให้ใครบางคนได้คิด

    “ผมไม่รู้นะว่าอะไรทำให้คุณคิดแบบนั้น แต่ยังไงถ้าจะทำก็ต้องใช้เลือดโนอาร์ด้วยอยู่ดี ผมจะรอจนกว่าโนอาร์จะออกจาก ICU ระหว่างนั้นคุณก็คิดทบทวนดี ๆ เพราะความคิดชั่ววูบของคุณ อาจไม่ใช่แค่คุณที่จะเสียใจไปตลอด”



    หลังจากวันนั้น ก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องถ่ายโอนมนตร์มืดอีก รวมถึงเหล่าวิญญาณรับใช้ที่หายไป ไม่มายุ่งเกี่ยวตามคำที่ผู้คุมวิญญาณนั่นเคยว่าไว้ ทว่าเอทอสก็ยังคงให้จินมาผลัดเฝ้าเยี่ยม ในช่วงที่เขาต้องออกไปกินวิญญาณเหมือนเดิม
    วันเวลาค่อย ๆ ดำเนินเคลื่อนผ่าน ในที่สุดคนหลับไม่ยอมตื่นก็ได้ย้ายกับมาที่ห้องพักส่วนตัวอีกครั้ง ซึ่งนั่นสร้างความอุ่นใจให้กับปีศาจเป็นอยากมาก สองสามวันมานี้นัยน์ตาสีอำพันหมองหม่นจึงคล้ายมีประกายแสงเพิ่มขึ้น

    “แกร๊ก!”
    “โนอาร์แข็งแรงแล้ว เจ้าจะย้ายมนตร์มืดได้หรือยัง”

    เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นว่าใครเข้ามาในห้อง ส่งผลให้จินชะงักไปครู่หนึ่ง พลางลอบสังเกตร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่ตรงโซฟา ซึ่งพบว่ายามนี้ปีศาจดูมีชีวิตชีวามากขึ้น ไม่ใช่ซอมบี้เดินได้เหมือนเมื่อช่วงแรก จินจึงพอเบาใจเดินเข้ามาวางของ พร้อมตอบกลับคนถามด้วยท่าทีสบาย ๆ

    “ไม่มีปัญหา ว่าแต่ได้เลือดตัวแทนมาแล้วนะ”
    “อืม”

    เอทอสเอ่ยพลางยื่นกระบอกฉีดยาสำหรับเจาะเลือดพร้อมหลอดเก็บตัวอย่างส่งให้ โดยหลอดหนึ่งมีของเหลวสีเข้มบรรจุอยู่เกือบเต็ม ส่วนอีกหลอดว่างเปล่า จินรู้ทันทีว่าปีศาจต้องการให้เขาเก็บเลือดจากโนอาร์ด้วยตนเอง หลังรับของเรียบร้อย ผู้มาใหม่จึงเดินตรงไปที่เตียงเจ้าชายนิทรา เพื่อเอาส่วนประกอบสุดท้ายสำหรับการถ่ายโอนมนตร์มืด

    “เออ! คนที่คุณไปเอาเลือดมายังไม่ตายใช่ไหม ห้ามตายนะไม่งั้นใช้ไม่ได้” จินชวนคุยระหว่างเก็บเลือดจากคนหลับสนิท
    “ยัง”
    “ดีแล้ว ๆ ว่าแต่นี่เลือดใครเหรอ” น้ำเสียงอารมณ์ดีเอ่ยถาม พลางใช้ผ้าหยุดเลือดที่ซึมตรงข้อพับแขนโนอาร์ เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย
    “ข้า”
    “…”
    “เลือดข้า”

    ทีแรกจินคิดว่าเขาหูฝาด ทว่าได้ยินคำยืนยันหนักแน่นจากเจ้าตัว เขาถึงกับหมดคำจะพูด ไม่เข้าใจความคิดอีกฝ่าย เวลาที่ผ่านมาไม่ช่วยให้เอทอสคิดได้เลยหรืออย่างไร ถึงยังยึดติดกับความคิดเดิมเช่นนี้
    จินสูดหายใจเข้าเตรียมต่อว่าปีศาจสิ้นคิดอีกครา ทว่าเมื่อเผลอสบกับดวงตาสีอำพันที่กลับมาแข็งกล้าดั่งเก่า ไร้ซึ่งความขลาดกลัวหมดความเชื่อมั่นแบบวันวาน เขาก็ทำได้เพียงถอนหายใจ พูดไปก็คงเสียแรงเปล่า เพราะครั้งนี้เอทอสตัดสินใจด้วยตัวเอง หาใช่ความคิดชั่ววูบเหมือนคราวก่อน

    “ไม่ลืมใช่ไหมว่าถ้าทำแล้ว จะแก้อะไรไม่ได้อีก” จินถามย้ำอีกครั้ง
    “อืม”
    “…ผมต้องใช้เวลาสักสามสี่วัน ระหว่างนั้นคงมาผลัดเวรเฝ้าให้คุณไม่ได้”
    “ไม่เป็นไร พวกวิญญาณรับใช้นั่นมันไม่มาแล้ว แต่ถ้ามา ข้าก็แค่จับกินให้สิ้น”

    ได้ยินดังนั้น จินจึงจำต้องปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปในแบบที่อีกฝ่ายต้องการ ก่อนเดินไปเก็บหลอดบรรจุเลือดทั้งสองลงกระเป๋าสะพายประจำตัว พลางแอบเหลือบมองเอทอสที่ลุกไปหาคนบนเตียงเล็กน้อย ถึงแม้อาการดีขึ้นของโนอาร์ จะทำให้ปีศาจที่เคยเสียศูนย์กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ทว่าจินกลับรู้สึกว่า การกลับมาคราวนี้ของเอทอสนั้น... มีบางสิ่งไม่เหมือนเดิม




(ต่อด้านล่าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-07-2020 00:46:48 โดย biOmos »

ออฟไลน์ biOmos

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
(ต่อ)

    ‘ปัง!!’
    ‘ปัง!!’
    ‘ปัง!!!’
    ‘มะ.. แม่ครับ.. ผมกลัว’
    
    เด็กชายพูดขึ้นพลางนั่งกอดเข่าตัวเองด้วยความหวาดกลัว ท่ามกลางความมืดภายในห้องและเสียงปืนยิงปะทะดังสนั่นที่ชั้นล่าง เมื่อชั่วโมงก่อนทุกอย่างยังคงปกติสุข แม่กับพี่เลี้ยงมาส่งพลางกล่อมเด็กน้อยเข้านอน ทว่าวินาทีที่ไฟห้องถูกปิดหลังคำกล่าวฝันดี พลันเกิดเสียงปืนยิงติดต่อกันหลายครั้ง เพียงพริบตาความสงบอบอุ่นแปรเปลี่ยนเป็นความโกลาหล พ่อรีบผลักประตูเปิดเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด สั่งให้ทุกคนหลบอยู่ในนี้ห้ามออกมา แววตาคล้ายเอ่ยคำลาของพ่อในยามนั้น เด็กน้อยยังจำขึ้นใจ

    ความวุ่นวายยังคงดำเนินเคียงคู่ไปกับเสียงสาดกระสุน แม่กอดเด็กน้อยสั่นกลัวไว้ในอ้อมอกพลางกล่าวปลอบประโลม ให้ลองจินตนาการเสียงปืนดังเป็นเสียงดอกไม้ระเบิดงดงามบนฟากฟ้า ทว่าเสียงใหม่แปลกปลอม กลับพังทลายโลกที่เด็กน้อยและแม่พยายามสร้างกลบเกลื่อนความหวาดกลัวโดยพลัน นั่นคือเสียงของผู้นำครอบครัวที่หลุดร้องด้วยความเจ็บปวด

    ‘คินคนเก่งอยู่กับพี่สานะครับ แม่จะลงไปหาพ่อ สาฝากคินด้วยนะ ถ้าไม่ใช่ฉันห้ามเปิดประตูเด็ดขาด เข้าใจไหม’ คนเป็นแม่พูดกับลูกในอ้อมกอด ก่อนหันไปสั่งพี่เลี้ยง
    ‘คะ.. ค่ะคุณหญิง’

    เมื่อได้รับคำยืนยัน คุณหญิงของบ้านจึงกอดลูกชายคนเดียวเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนรีบลุกออกไปช่วยสามี ถึงแม้เธอจะดูเหมือนผู้หญิงบอบบาง แต่ก็เคยเป็นอดีตนักยิงปืนมาก่อน ดังนั้นในช่วงเวลาคับขันเช่นนี้ เธอคิดว่าความสามารถเก่าอาจสามารถช่วยเหลือคู่ชีวิตได้
    
    หลังคุณหญิงออกไปสักพักใหญ่ เสียงพายุกระสุนก็ค่อย ๆ สงบลง เด็กชายผู้เป็นห่วงพ่อแม่รบเร้าให้พี่เลี้ยงพาตนออกจากห้อง จังหวะนั้นเองที่หน้าประตูมีเสียงเคาะ ก่อนจะตามด้วยน้ำเสียงอ่อนคุ้นเคยของผู้เป็นแม่ เด็กน้อยจึงรีบสลัดตัวจากพี่เลี้ยงก่อนวิ่งไปเปิดประตู พร้อมกระโจนเข้ากอดคนตรงหน้า หญิงสาวโอบแขนตอบลูกรักด้วยแขนข้างเดียว เนื่องจากมืออีกข้างถือปืนอยู่เลยกลัวเกิดอันตราย แล้วจึงกล่าวปลอบประโลมเด็กชายที่กำลังเสียขวัญ

     ‘ภาคินของแม่เก่งที่สุดเลย ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่เป็นไร...’
    ‘พ่อล่ะครับ พ่อปลอดภัยใช่ไหมครับ’
    ‘ใช่จ้ะ พ่อ-’
    ‘โครม!!!’

    ไม่ทันพูดจบ พลันเกิดเสียงคล้ายบางอย่างล้มกระแทกพื้นอย่างแรงที่ชั้นล่าง คุณหญิงจำต้องฝากเด็กชายกับพี่เลี้ยงอีกครั้ง ทว่าคราวนี้เด็กน้อยไม่ยอมรออยู่ในห้องอีกแล้ว ผู้เป็นแม่จึงให้พี่เลี้ยงคอยดูแลเด็กน้อยและคอยเดินตามหลังมาเงียบ ๆ

    ความมืดที่เข้าปกคลุมทุกพื้นที่ ทำให้การเคลื่อนไหวต้องเต็มไปด้วยความระมัดระวัง บริเวณผนังและกำแพงล้วนมีร่องรอยความเสียหายจากการยิงถล่ม เศษกระจกจากบานหน้าต่างหล่นเกลื่อนกลาดเต็มพื้น รูปถ่ายครอบครัวที่ติดตามผนังร่วงตกกระจายให้คนเหยียบย่ำ เด็กน้อยมองภาพเหล่านั้นด้วยความหวาดกลัวระคนเศร้าหมอง ความจริงเบื้องหน้าลบเลือนบ้านแสนอบอุ่นในความทรงจำจนหมดสิ้น

    ไม่นานนัก ในที่สุดทั้งสามก็มาถึงชั้นล่างต้นกำเนิดเสียงเมื่อครู่ ทั่วบริเวณรายล้อมไปด้วยความมืดเงียบสงัด ทั้งหมดค่อย ๆ เดินเกาะกลุ่มกันในความมืดมิด จนกระทั่งสังเกตเห็นเงาของบางสิ่งขยับเคลื่อนไหว แม้จะเป็นสีเดียวกับบรรยากาศโดยรอบ แต่แสงจากภายนอกที่พอลอดผ่านเข้ามา ทำให้เห็นว่าสิ่งนั้นคือเปลวเพลิงสีนิล กำลังเผาไหม้ร่างชายคนหนึ่งต่อหน้าภรรยาและลูกชาย

   ‘พ่อครับ!!! คุณคะ!!!’
    
    เสียงร้องด้วยความตกใจของกลุ่มคน ทำให้เงาประหลาดข้างกายชายผู้กำลังถูกไฟเผารู้สึกตัว นัยน์ตาสีแดงเลือดนกเรืองแสงดุร้าย จับจ้องมายังกลุ่มผู้มาใหม่ราวกับผู้ล่าเล็งเหยื่อพร้อมกระโจนเข้าใส่ฉับพลัน วินาทีที่เงาประหลาดกำลังใกล้ถึงตัว พี่เลี้ยงตกใจรีบดึงเด็กน้อยเข้ามากอดปกป้อง จังหวะเดียวกับที่ผู้เป็นแม่ก้าวเท้าไปข้างหน้าใช้ตัวเองเป็นโล่กำบัง พร้อมหันปลายกระบอกปืนตรงไปที่เงาประหลาด

    ‘ว้าย!! คุณหนูค่ะ!’
    ‘ปัง!!! ปัง!!!’
    ‘ปัง!!!’

    สิ้นเสียงกระสุนปืน ทุกอย่างพลันสงบนิ่ง เด็กชายพยายามตะเกียกตะกายผลักตัวออกจากพี่เลี้ยงที่ล้มทับ เมื่อออกมาได้ดวงตาสั่นกลัวคู่น้อยค่อย ๆ กวาดมองท่ามกลางความมืด กลับไม่พบเงาเจ้าของนัยน์ตาอันตราย ราวกับตัวประหลาดนั่นล่องหนหายไป เมื่อแน่ใจแล้วว่าปลอดภัย เด็กน้อยจึงรีบเข้าไปสำรวจพี่เลี้ยงและแม่ที่ฟุบอยู่กับพื้นไม่ยอมลุกขึ้นมา

    ‘แม่ครับ! พี่สา! เป็นอะไรไหม’

    เสียงเด็กน้อยเอ่ยเรียกพลางเขย่าร่างทั้งสองท่ามกลางความมืด แต่ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับ สัมผัสชื้นเหนียวเหนอะตรงฝ่ามือทำให้เด็กน้อยหยุดชะงัก แม้มองไม่ถนัด ทว่ากลิ่นคาวเป็นเครื่องยืนยันชั้นดีว่าของเหลวที่รู้สึกเมื่อครู่นั้นคืออะไร

     ‘แม่ครับ!!! พี่สา!!! อย่าเป็นอะไรนะ!! ช่วยด้วยครับ!! ใครก็ได้.. พ่อ!!’

    เด็กชายพลันร้องไห้เสียขวัญ พร้อมตะโกนเรียกขอความช่วยเหลือสุดเสียงในบ้านหลังใหญ่อ้างว้างเพียงลำพัง ก่อนจะหันไปเห็นผู้เป็นพ่อที่นอนห่างไม่ไกลนัก เด็กน้อยรีบเข้าไปหาหวังเพียงแค่มีใครสักคนที่ปลอดภัย ทว่าภาพเบื้องหน้ากลับรุนแรงเกินกว่าที่เด็กคนหนึ่งจะดูได้

    ดวงตาว่างเปล่าไร้แววของผู้เป็นพ่อมองสบกับเด็กน้อย บริเวณช่วงคอบิดหักผิดธรรมชาติอย่างน่ากลัว ภาพเลวร้ายทำให้เด็กน้อยช็อกจนเสียงร้องในลำคอขาดหาย จิตใจพลันแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ  โลกทั้งใบพังทลายลงในพริบตา ร่างไร้แรงของเด็กน้อยทรุดล้มลงคล้ายกล้ามเนื้อทุกมัดพร้อมใจกันหยุดทำงาน สมองในส่วนลึกรีบสั่งการปิดทุกการรับรู้ของเด็กน้อยโดยพลัน เพื่อปกป้องรักษาจิตใจจากเหตุการณ์สะเทือนความรู้สึก ก่อนที่จะถูกทำร้ายจนแหลกสลายเหลือแต่เพียงความว่างเปล่า



    “ติ้ด! ๆ ๆ”
    “ติ้ด! ๆ”
    “ติ้ด-”

    เสียงนาฬิกาปลุกช่วยชายหนุ่มตื่นจากฝันร้ายในยามเช้า ความรู้สึกเจ็บเจียนขาดใจยังคงเด่นชัด ภาคินลุกขึ้นพลางใช้มือไล่ความชื้นเล็กน้อยตรงหางตา เรื่องราวในวัยเด็กยังคงย้อนกลับมาทำร้ายซ้ำ ๆ แม้จะผ่านมานานมากแล้วก็ตาม ชายผมเงินลุกขึ้นจากเตียงเข้าห้องน้ำ ชำละล้างห้วงอารมณ์เศร้าที่ยังหลงเหลือ เพื่อไม่ให้วันนี้เริ่มต้นด้วยความหม่นหมอง

    กิจวัตรของนักธุรกิจหนุ่มพ่วงตำแหน่งนักล่าปีศาจ ยังคงเวียนซ้ำเฉกทุกวัน นั่นคือการเข้าประชุมบริหารบริษัทในช่วงเช้า ตรวจสอบก่อนเซ็นอนุมัติโครงการตลอดบ่าย ส่วนเวลาที่เหลือจะเป็นบทบาทของนักล่าปีศาจ ตามเฝ้าสังเกตข่าวคราวปีศาจเป้าหมายเพื่อหาโอกาสจัดการ

    หลังจากวันนั้นที่เขาประมาทพลาดท่าถูกปีศาจกินวิญญาณเล่นงานจนหมดสติ ปีศาจนั่นดูเหมือนจะระวังตัวมากขึ้น ไม่ยอมออกห่างโรงพยาบาลเหมือนแต่ก่อน ทำให้แผนการสังหารปีศาจยิ่งยากขึ้น จนเมื่อไม่กี่สัปดาห์มานี้ มีข่าวคราวปีศาจเกิดคลุ้มคลั่งทำลายสวนด้านข้างของโรงพยาบาลพังเสียหาย เคราะห์ดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บจากเหตุการณ์นั้น แต่นั่นก็ทำให้เขาไม่มีข้ออ้างเข้าไปกำจัดปีศาจเช่นกัน

    ทว่าการที่ปีศาจวนเวียนแถวโรงพยาบาลตลอด นั่นหมายความว่าปีศาจไม่ได้ออกไปจับวิญญาณกิน แต่กลับมีพลังแปลงเป็นมนุษย์ได้ยาวนาน ความผิดปกตินี้เริ่มเป็นที่น่าสงสัยของกลุ่มนักล่าปีศาจ เพื่อตรวจสอบว่าปีศาจตนนั้นไม่ได้ลอบทำอะไรลับหลัง กลุ่มนักล่าปีศาจจึงคิดส่งคนเข้าไปสอดส่องพฤติกรรม ซึ่งแน่นอนผู้อาสารับงานย่อมหนีไม่พ้น ภาคิน

 
    ในเวลาเย็นย่ำ ชายผมเงินเข้ามาในตัวโรงพยาบาลตามภารกิจ กวาดสายตาหาปีศาจเป้าหมายท่ามกลางกลุ่มคนทว่าไม่พบ ซึ่งนั่นไม่ใช่ปัญหา วิธีเรียกให้ปีศาจยอมเผยตัวนั้นแสนง่ายดาย นักล่าปีศาจคิดในใจพลางเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์

    “ผมมาขอเข้าเยี่ยมคนไข้ชื่อว่าโนอาร์ ไม่ทราบว่าอยู่ชั้นไหนหรือครับ”
    “สักครู่นะคะ... คนไข้ชื่อโนอาร์ อยู่ชั้นXX หมายเลขห้องXXXX ค่ะ ญาติสามารถใช้ลิฟต์ทางด้านนั้นได้เลยค่ะ”

    นางพยาบาลใช้เวลาหาข้อมูลครู่หนึ่ง แล้วจึงแจ้งเลขห้องพร้อมชี้ไปยังทางขึ้นลิฟต์ ชายผมเงินยิ้มกล่าวขอบคุณ ก่อนเดินไปทางทิศที่นางพยาบาลบอก ระหว่างทางไม่ลืมสอดส่องสายตาหาเป้าหมาย จนกระทั่งเห็นชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งยืนพิงกำแพงข้างลิฟต์ กำลังจ้องมาที่เขาด้วยนัยน์ตาอยากคาดเดาความรู้สึก

    “อย่ายุ่งกับโนอาร์” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเตือน
    “ถ้าไม่ยุ่ง ขี้ขลาดอย่างแกจะยอมออกมาหรือไง”
    “หึ... นั่นสิ”

    ปีศาจในร่างมนุษย์เค้นยิ้มพลางหัวเราะเล็กน้อย ก่อนเดินแยกไปทางหนึ่ง ส่งผลให้ภาคินจำต้องเดินตามไป ไม่นานปีศาจก็พามาหยุดอยู่ ณ บริเวณอาคารด้านหลังของโรงพยาบาลที่ไม่ค่อยมีใครเดินผ่านนัก เนื่องจากสถานที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของห้องสำหรับเก็บถนอมร่างไร้ชีวิต และเป็นเส้นทางส่งคืนผู้ล่วงลับให้กับครอบครัว

    “ต้องการอะไรจากข้า” เอทอสเอ่ยถามเสียงนิ่ง
    “ช่วงนี้กลัวหัวหดไม่ยอมออกไปหาวิญญาณกินเลยนี่ แล้วแกเอาพลังที่ไหนมาแปลงเป็นมนุษย์ได้นานขนาดนี้”
    “ถ้าข้าบอกว่ากินวิญญาณคนตายในโรงพยาบาล เจ้าจะเชื่อไหม”
    “อย่ามาโกหกหน้าด้าน ๆ คิดหรือว่าอยู่ที่นี่ฉันจะทำอะไรแกไม่ได้”
    
    ปีศาจเพียงเหยียดยิ้มคล้ายยั่วโมโห ภาคินที่แต่เดิมตั้งใจมาเล่นงานอยู่แล้วเลยไม่คิดเสียเวลา พุ่งเข้าประชิดตัวพร้อมฟาดกระบองเหล็กที่ซ่อนอยู่ทางด้านหลังใส่ปีศาจอย่างจัง ทว่าเอทอสกลับยืนนิ่งไม่ขยับ ส่งผลให้ถูกท่อนเหล็กฟาดใส่ข้างขมับเต็มแรง จนเลือดไหลอาบกรอบหน้าซีกหนึ่งพร้อมเซถอยห่างไปหลายก้าว

    “ยอมรับมาซะดี ๆ ว่าแกแอบฆ่าคนที่นี่เพื่อกินวิญญาณ ฉันจะได้ทรมานแกให้สาสมกับทุกความชั่ว แล้วค่อยส่งแกไปชดใช้ความสารเลวต่อในนรก”

    ชายผมเงินบีบคั้นให้ปีศาจยอมรับสารภาพ แต่มีเพียงรอยยิ้มเย้ยหยันตอบกลับมา เห็นดังนั้นนักล่าปีศาจจึงพุ่งเข้าหาอีกครั้ง พร้อมใช้กระบองเหล็กฟาดใส่ไม่ยั้งมือตามพายุอารมณ์ จนร่างสูงใหญ่ของปีศาจเต็มไปด้วยเลือดและรอยม่วงช้ำน่ากลัว ทว่าตลอดช่วงการถูกทำร้าย ปีศาจกลับไม่โต้ตอบหรือส่งเสียงร้องแม้แต่น้อย มีเพียงแค่รอยยิ้มเยาะเย้ยกับนัยน์ตาคล้ายสะใจอะไรบางอย่าง

    “พอได้แล้ว!”

    เสียงหนึ่งเอ่ยขัด จังหวะที่กระบองเหล็กโชกไปด้วยของเหลวสีเข้มกำลังฟาดใส่กลางศีรษะปีศาจ ชายผมเงินหันมองก่อนจะพบว่าเจ้าของเสียงเป็นนักล่าปีศาจคนหนึ่ง

    “นี่เป็นงานของฉัน นายมาทำอะไรที่นี่”
    “คิดว่ากลุ่มนักล่าปีศาจจะไว้ใจให้คนที่มีความแค้นส่วนตัวแบบนายทำงานนี้คนเดียวหรือไง แล้วอีกอย่างหน้าที่นายคือสอดแนมพฤติกรรม ไม่ใช่มากำจัดปีศาจ” ผู้มาใหม่กล่าวเตือน พลางเหลือบมองสภาพสะบักสะบอมของปีศาจเล็กน้อย
    “ทุกอย่างมันชัดเจนว่าไอ้เลวนี่มันต้องแอบฆ่าคนเพื่อเอาพลัง จะเสียเวลาให้คนบริสุทธิ์ตายเพิ่มทำไม”
    “อย่าเอาคนอื่นมาอ้าง นายเช็กดูหรือยังว่าช่วงที่ปีศาจอยู่มีคนตายเพิ่มขึ้นหรือเปล่า”
    “ก็ต้องมีคนตายมากกว่าเดิมอยู่แล้ว เพราะมันเอาที่นี่เป็นแหล่งอาหารใหม่ของมันไง”

    หลังได้ยินคำตอบของชายผมเงิน นักล่าปีศาจที่ยอมเผยตัวหลังแอบเฝ้ามองเหตุการณ์มาสักพักถึงกับถอนหายใจ ไม่คิดว่าเพื่อนร่วมงานจะถูกความแค้นครอบงำจนมีแต่ความอคติเช่นนี้

    “อัตราการตายปกติ ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยตั้งแต่ปีศาจมาอยู่ที่นี่ เจ้านั่นแค่อาศัยกินวิญญาณที่ตายตามธรรมชาติในโรงพยาบาลนี้เท่านั้น ถึงจะมีวิญญาณไม่มากเท่าออกไปหากินเอง แต่เจ้านี่ก็ยังอุสาเลือกกินแค่วิญญาณบาป และไม่ต้องหาว่าฉันคิดไปเอง อย่าลืมว่าก่อนหน้านี้ฉันเป็นอะไรมาก่อน” อดีตผู้คุมวิญญาณที่ผันตัวเป็นนักล่าปีศาจเอ่ยดักทาง
    “…”
    “ที่เห็นว่ายังแปลงเป็นมนุษย์ได้นานขนาดนี้ เพราะวัน ๆ หมอนี่เอาแต่ขลุกตัวเฝ้านักฆ่านั่นในห้องพัก แทบไม่ทำอะไรพลังแค่นั้นเลยเพียงพอ แต่จากสภาพตอนนี้คงแปลงกลับเป็นมนุษย์ไม่ได้สักพักหนึ่ง”

    พูดจบ นักล่าปีศาจก็มองไปที่ปีศาจบาดเจ็บจนกลับคืนสู่ร่างแท้จริง โชคดีที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ส่งผลให้บริเวณนี้มืดสนิทพอช่วยปิดบังการมีอยู่ของปีศาจ ก่อนจะเริ่มถามอีกฝ่ายถึงสิ่งที่สงสัย

    “ทำไมนายไม่โต้ตอบหรือทำอะไรบ้าง หรือเพราะรู้ว่าฉันดูอยู่”

    นัยน์ตาสีแดงเลือดนกเรืองแสงเต็มไปด้วยความเย้ยหยันสะใจ หันมาสบกับผู้ถาม ทีแรกนักล่าปีศาจผู้มาใหม่คิดว่า นี่คงเป็นแผนของปีศาจเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง จึงพยายามยั่วอารมณ์ภาคินให้เข้ามาเล่นงานฝ่ายเดียว ทว่าเมื่อคำพูดหนึ่งออกมาจากร่างสูงใหญ่ กลับทำให้นักล่าปีศาจผู้ถามขมวดคิ้ว และเปลี่ยนความคิดเหล่านั้นในทันที

     “หึ... ไม่ว่าจะพยายามเท่าไร ปีศาจสวะต่ำช้าเช่นข้า ก็เป็นได้แค่ขยะส่วนเกินของโลกใบนี้ จะพยายามดิ้นรนให้เสียแรงเปล่าทำไม”
    “…”
    “สิ่งใดที่ปีศาจโง่เขลาไร้ประโยขน์สมควรได้รับกัน ใฝ่ฝันหาความสุขสงบเหรอ เรียกร้องความยุติธรรมเหรอ หึ... อย่าหวังเลย ความเจ็บปวด ความด้อยค่า การถูกตราหน้าหยามเหยียด จมอยู่กับความทรมานเหมือนตกนรกทั้งเป็นต่างหาก ถึงจะสาสมกับปีศาจที่แม้แต่โชคชะตายังรังเกียจ”
    “…”
    “ความตายใช่หรือไม่ ที่จะเป็นโทษทัณฑ์สุดท้าย สำหรับความผิดในการมีชีวิตอยู่ของข้า พวกเจ้าไม่ต้องเสียแรงแสร้งหาวิธีชอบธรรมมากำจัดข้าหรอก เพราะอีกไม่นานความปรารถนาของพวกเจ้าจะเป็นจริง”

    นักล่าปีศาจเงียบงัน มีเพียงเสียงกล่าวโทษของปีศาจด้วยความสะใจ เป้าหมายแท้จริงของนัยน์ตาสีแดงเลือดนกแข็งกร้าวเหยียดหยัน และรอยยิ้มเยาะเย้ย บัดนี้พลันเฉลยว่าหาใช่ต้องการยั่วอารมณ์ใครอื่น แต่กำลังสมน้ำหน้าตอกย้ำบาดแผลความล้มเหลวของตนเอง
 
    สองนักล่าปีศาจมองปีศาจเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกต่างกัน คนหนึ่งเห็นใจสงสาร คนหนึ่งสมเพชชิงชัง ชายผมเงินเตรียมสาดใส่คำต่อว่าดูถูกให้ปีศาจยิ่งตกต่ำ ทว่ากับถูกเพื่อนนักล่าปีศาจห้ามปราม พร้อมถูกพาออกจากสถานที่แห่งนี้ เนื่องจากภารกิจที่ได้รับมอบหมายเสร็จสมบูรณ์แล้ว ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งคือ อดีตผู้คุมวิญญาณไม่อยากทนฝืนมอง ความเสียใจผิดหวังในตนเอง ที่ซ่อนอยู่ภายใต้แววตาสีแดงเลือดนกเกลียดชังชีวิตอีกต่อไป


    แสงอาทิตย์มาเยือนในเช้าวันรุ่งขึ้น จินที่ห่างหายไปเพราะต้องเปลี่ยนถ่ายมนตร์มืด ในที่สุดก็กลับมาทำหน้าที่เฝ้าเยี่ยมอีกครั้ง ทว่าเมื่อเข้ามาในห้องพักฟื้นส่วนตัว กลับพบเพียงเจ้าชายนิทรานอนสงบนิ่ง ไร้ซึ่งเงาองค์รักษ์คู่กาย คนเพิ่งมาคิดว่าปีศาจอาจออกไปหาวิญญาณกินตามปกติ เลยนั่งเล่นรอโดยไม่คิดอะไร จนกระทั่งเวลาร่วงเลยจนถึงบ่ายคล้อย ผู้เป็นที่รักของฆาตกรก็ยังไม่มา จินที่เริ่มสงสัยปนกังวลจึงลองโทรหาอีกฝ่าย ถึงรู้ว่าปีศาจอยู่บนดาดฟ้าโรงพยาบาล ซึ่งเป็นเขตหวงห้ามของบุคคลทั่วไป

    ใช้เวลาสักพักใหญ่ สุดท้ายจินก็ลอบขึ้นมาบนดาดฟ้าได้สำเร็จ ยังไม่ทันได้พักให้หายเหนื่อยหอบ จินกลับต้องตกใจซ้ำเพิ่ม เมื่อได้เห็นบาดแผลบอบช้ำทั่วร่างของปีศาจ

    “คุณไปโดนอะไรมาอีกเนี่ย!! ให้ตายเถอะ!” เสียงบ่นดังขึ้นเมื่อเห็นสภาพเละเทะของอีกฝ่ายชัด ๆ
    “หึ... ปีศาจอย่างข้าสมควรโดนแล้ว” เอทอสตอบกลับพลางฝืนยิ้มเล็กน้อย
    “สมควรบ้าอะไรเล่า! คุณผมถามจริง คุณลืมไปแล้วเหรอว่าตัวเองเป็นปีศาจกินวิญญาณ หนึ่งในประเภทปีศาจที่อันตรายที่สุด แค่คุณสะกิดก็ฆ่าพวกที่คอยรังควาญคุณได้แล้ว จะปล่อยให้ตัวเองโดนทำร้ายทำไม เป็นพวกชอบความเจ็บปวดเหรอ”

    จินโวยวายอย่างไม่เข้าใจความคิดเอทอส อีกหนึ่งเหตุผลที่ปีศาจกินวิญญาณถูกกวาดล้างจนแทบสิ้นเผ่าพันธุ์ในอดีต ก็คือความสามารถติดตัวที่อันตราย เพียงสัมผัสหรือถูกตัวสิ่งมีชีวิตเป้าหมาย ก็สามารถดึงเอาวิญญาณออกจากร่างได้ทันที ส่งผลให้เหยื่อตายโดยไม่ต้องเสียแรงฆ่า ไม่รู้ทำไมมีพลังน่ากลัวขนาดนี้อยู่กับตัว แต่กลับไม่ยอมใช้ปกป้องตนเองบ้างเลย

    “ข้าตายเมื่อไร พวกนั่นคงยอมเลิกรา แล้วเรื่องนั้นสำเร็จไหม” เอทอสตอบอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องถามถึงการถ่ายโอนมนตร์มืด
    “นี่คุณ!! อย่าบอกนะที่รับมนตร์มืดแทนโนอาร์ เพราะอยากประชดพวกนักล่าปีศาจ บ้าหรือเปล่า! สิ้นคิด!”
    “อยากได้นัก ข้าก็จะให้ หลังจากนี้ข้าจะได้อยู่อย่างสงบสักที”
 
    หลังได้ฟัง จินรู้สึกโมโหในความอ่อนแอของปีศาจจนไม่อยากเสวนาอะไรอีก ก่อนจะหยิบสิ่งหนึ่งส่งให้ปีศาจรับไป สิ่งนั้นคือลูกแก้วสีชาดสำหรับใช้บอกเวลาที่เหลืออยู่ของอีกฝ่าย ทว่าเอทอสกลับไม่รับ มิหนำซ้ำยังฝากให้ผู้คุมวิญญาณเอาลูกแก้วไปให้ใครบางคนที่อยากได้มันแทน ดังนั้นในช่วงเย็นหลังกลับจากโรงพยาบาล จินจึงจำต้องแวะสถานที่หนึ่งตามคำฝากฝั่งของเอทอส


    ตึกสํานักงานสูงเสียดฟ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง จินมองความหรูหราของตัวอาคารเบื้องหน้าด้วยความประหม่าเล็กน้อย รู้สึกอยากเปลี่ยนสภาพเสื้อยืดกางเกงวอร์มรองเท้าแตะ เป็นชุดเสื้อผ้าทางการเข้ากับสถานที่ ทว่าน่าเศร้าที่รถของเขาไม่ได้มีชุดสำรองเตรียมไว้ จึงได้แต่จำใจเดินเข้าไปติดต่อขอพบใครบางคนทั้ง ๆ แบบนี้ และโชคดีที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบริเวณหน้าทางเข้า ยอมปล่อยให้เขาผ่านเข้ามา ไม่อย่างงั้นเขาคงต้องแห้วกลับบ้านแทน

    “อา... มาติดต่อขอพบคุณภาคินครับ ไม่ทราบว่ากลับไปหรือยังครับ”

    จินสอบถามพนักงานต้อนรับตรงเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม พลางยิ้มแห้ง ๆ สู้สายตาพนักงานสาวที่มองสภาพเขาอย่างพิจารณา

    “ได้นัดไว้หรือเปล่าคะ” พนักงานสาวถามกลับพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจ ทว่าแววตาไม่ได้ยิ้มตาม
    “ไม่ได้นัดไว้ครับ แหะ ๆ”
    “ต้องอภัยด้วยค่ะ หากไม่ได้นัดไว้-”
    “เดี๋ยวก่อนครับ! เดี๋ยวก่อน... บอกคุณภาคินว่า คุณเอทอสเจ้าของสวนกล้วยไม้รฦกวัลย์ให้ผมมาติดต่อแทนครับ คุณภาคินคงเข้าใจ”

    พนักงานสาวจ้องจับผิดชายตรงหน้าสักพักหนึ่ง ก่อนจะยอมสอบถามเลขาของเจ้านาย ซึ่งก็ได้รับการอนุมัติให้เข้าพบ พนักงานสาวจึงบอกให้ชายแปลกหน้าไปนั่งรอตรงส่วนรับรอง เพื่อรอเลขาลงมารับ เนื่องจากเวลานี้คุณภาคินยังคงติดประชุมอยู่

    เมื่อได้ยินคำตอบ จินจึงไปนั่งรอตามคำแนะนำของพนักงานสาว พร้อมลอบถอนหายใจโล่งอกเล็กน้อย เวลาผ่านไปสักพักใหญ่จนเกือบหลับ ในที่สุดก็มีคุณผู้หญิงแต่งตัวดูดีท่าทางเจ้าระเบียบมาเชิญเขาขึ้นไปที่ห้องรับรอง จินนั่งแกร่วรอคนที่อยากพบในห้องไม่นานนัก ชายเจ้าของผมสีเงินเอกลักษณ์ก็เข้ามาก่อนเดินไปนั่งฝั่งตรงข้าม พร้อมบอกให้เลขาออกไปรอด้านนอก บรรยากาศรอบตัวชายหนุ่มดูเป็นมิตรน่าคบหา ทว่าเพียงคำเดียวที่หลุดมาจากปาก จินก็อยากตัดสัมพันธ์กับคนต้องหน้าทิ้งทันที

    “มาเชิญผมไปร่วมงานศพปีศาจเลวนั่นหรือครับ คุณผู้คุมวิญญาณ”
    “เปล่า คุณเอทอสฝากของมาให้คุณ รีบรับไปซะ ผมจะได้กลับสักที” จินกล่าวตอบด้วยสีหน้าบึ้งตึง พร้อมกับหยิบลูกแก้วสีชาดมาวางไว้บนโต๊ะกลาง
    “อะไร?”
    “ลูกแก้วชุบเลือด สำหรับบอกเวลาที่เหลืออยู่ของคุณเอทอส ยิ่งใกล้ถึงวัน สีของลูกแก้วจะค่อย ๆ ซีดลงทีละน้อย และเมื่อไรที่ลูกแก้วกลายเป็นสีใส นั้นหมายถึงลมหายใจของคุณเอทอสได้หมดลงแล้ว”
    “หึ งั้นปีศาจนั่นก็ใกล้ตายแล้วสิ”

    ภาคินหลุดหัวเราะเยาะ ก่อนหยิบลูกแก้วสีชาดที่เริ่มจางขึ้นมาพิจารณา การแสดงออกคล้ายยินดีในจุดจบของปีศาจ ทำให้จินรู้สึกสะอิดสะเอียนชายเบื้องหน้า จนแทบไม่อยากทนใช้อากาศร่วมกัน ผู้คุมวิญญาณรีบลุกเดินไปที่หน้าประตูเพื่อออกจากห้อง ทว่าก่อนไปไม่ลืมเอ่ยเตือนใครบางคนด้วยความหวังดี

    “คุณไม่ต้องดีใจหรอก เพราะบางทีคุณอาจอยู่ไม่ถึงวันนั้นก็ได้”
    “ทำไม? ปีศาจกระจอกนั่นจะมาจัดการผมหรือไง” ชายผมเงินเลิกคิ้วถาม
    “ไม่ใช่คุณเอทอสหรอก... คุณรู้ว่าผมเป็นใคร ก็คงรู้จักคนคนนั้นเหมือนกัน”
    “…”
    “ผมขอแนะนำให้คุณเอาเวลาหัวเราะเยาะคนอื่นนี้รีบหนี หนีไปให้ไกลที่สุด หนีไปให้สุดขอบโลก หนีไปก่อนที่เขาคนนั้น...”
    “…”
    “จะกลับมา”




บท21 สมบูรณ์





ถึงคนอ่าน



    บทนี้ค่อนข้างยากมากสำหรับคนเขียนครับ กลัวว่าอาจเขียนสื่อถึงเอทอสออกมาให้คนอ่านเข้าได้ไม่ดี เลยขอขยายความตรงนี้เพิ่มเติมครับ

    ในบทก่อน ๆ คนเขียนพยายามหยอดให้คนอ่านพอรู้จักนิสัยหนึ่งของเอทอส ที่บางครั้งมักจะกังวลและคิดมาก โดยหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับโนอาร์จะยิ่งคิดเยอะเป็นพิเศษ และพอมาเกิดเรื่องอุบัติเหตุของโนอาร์ เอทอสเลยโทษว่าความผิดทั้งหมดเป็นของตนเอง

    ต่อมาได้ของขวัญจากโนอาร์แต่กลับถูกภาคินทำลายต่อหน้า พร้อมโดนคำพูดแดกดันใส่ว่าที่โนอาร์ต้องนอนโรงพยาบาลเป็นเพราะอยู่กับตน ซึ่งคำพูดพวกนั้นเอทอสพยายามจะไม่ใส่ใจ แต่ลึก ๆ ก็แอบเก็บมาคิดเช่นกัน

    พอโนอาร์เริ่มหายดี เอทอสเลยจะไปจัดการแก้แค้นให้ แต่ก็ถูกสวนกลับจนหน้าหงายและโนอาร์ที่ใกล้หายก็ต้องเข้า ICU ใหม่ คราวนี้เอทอสเลยรับไม่ได้ในความไร้ความสามารถของตัวเอง และระบายความอัดอั้นลงกับสวนข้างโรงพยาบาล

    วันรุ่งขึ้น เอทอสลองพยายามช่วยโนอาร์ด้วยคำสาปอีกครั้งแต่ไม่ได้ผลก็ยิ่งรู้สึกไร้ค่า พอมารู้ทีหลังว่าที่โนอาร์จะมีชีวิตไม่ถึงปีหน้า เป็นเพราะความสะเพร่าของตัวเองที่ปล่อยให้วิญญาณรับใช้เอาเลือดโนอาร์ไปได้ก็ยิ่งจิตตก เลยคิดอยากรับผิดชอบแทน

    เอทอสเอาแต่อยู่เฝ้าโนอาร์เงียบ ๆ ไม่ยุ่งกับใคร ภาคินก็ยังตามมารังควาญถึงที่ โดยคราวนี้หลังจากที่ภาคินถาม เอทอสก็ตอบดี ๆ แต่ก็ยังโดนเล่นงานเหมือนเดิม ความรู้สึกของเอทอสในตอนนั้นนอกจากจะรู้สึกเกลียดตัวเองที่ไร้ความสามารถแล้ว ยังเกลียดโชคชะตาและชีวิตที่ทำให้เขาพบเจอกับเรื่องแบบนี้ จึงยิ้มเย้ยหยันสมเพชชีวิตและปล่อยให้ถูกทำร้าย เพื่อที่จะใช้ทดแทนความเจ็บปวดที่เก็บกดอยู่ภายใน



    การตัดสินใจของเอทอสดูเหมือนจะพาไปสู่ Bad ending แต่ไม่ครับ คนเขียนยืนยันว่าเรื่องนี้จบ Happy ending นะครับ แต่จะหาทางแก้ยังไงก็ต้องฝากติดตามกันต่อไปนะครับ แหะ ๆ ^^



    ป.ล.ขอขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ของคนอ่านทุกท่านด้วยนะครับ เห็นในทวิตมีดราม่าเกี่ยวกับเรื่องการคอมเมนต์กัน คนเขียนก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกหน่อย ๆ เหมือนกัน 555 หากคนอ่านอยากให้คนเขียนปรับปรุงอะไรก็แจ้งได้เลยนะครับ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-08-2020 18:03:27 โดย biOmos »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
อยากเชียร์ให้จินมีคู่จัง เข้าใจเอทอสนะ แต่ถ้าโนอาร์รู้คงไม่ยอมแน่ๆ

ออฟไลน์ nut2557

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
อย่าหายไปนานคนอ่านคิดถึง  :L1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ psychological

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0

ออฟไลน์ biOmos

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
    นัยน์ตาสีอำพันแฝงความหมองหม่นค่อย ๆ ลืมตื่นขึ้นจากห้วงนิทรา ภาพแรกที่เข้ามาผ่านโสตประสาทการรับรู้คือ พื้นขาวสะอาดคุ้นเคยของเพดานห้องนอนบ้านพักทรงไทยประยุกต์ ร่างสูงใหญ่ดันตัวลุกขึ้นนั่งจากเตียงพลางใช้มือคลึงขมับเล็กน้อย เพื่อคลายความรู้สึกมึนหัวราวกับมีใครพายุหมุนอยู่ภายใน ก่อนจะเดินจากห้องพร้อมกับความสับสนว่าเหตุใดเขาถึงกลับมาอยู่ที่นี่แทนที่จะเป็นโรงพยาบาล

    ทันทีที่เปิดประตูออก กลิ่นหอมและเสียงคล้ายมีใครบางคนกำลังทำอาหารในส่วนครัวทำให้ปีศาจเผลอชะงักนิ่งไปชั่วครู่หนึ่ง จนสติกลับคืนอีกครั้งถึงได้รีบวิ่งไปดูต้นตอของเสียง ซึ่งสิ่งที่เห็นนั้นเอทอสไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
 
    ‘วันนี้คุณตื่นสายนะ เอทอส’

    มนุษย์เจ้าของนัยน์ตารัตติกาลมืดมิดกล่าวทักทาย พลางนำมื้ออาหารที่เพิ่งทำเสร็จมาวางบนโต๊ะกินข้าวตำแหน่งประจำ ก่อนจะหันกลับมามองปีศาจเจ้าบ้านที่เอาแต่ยืนนิ่งจ้องเขาตาไม่กระพริบ

    ‘คุณน่าจะแฮงค์อยู่ ผมชงกาแฟให้ไหม’
    ‘แฮงค์?’

    เอทอสเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ ถึงเพิ่งได้ยินเสียงตัวเองว่าแหบแห้งเพียงใด พร้อมกับความรู้สึกกระหายน้ำอย่างมาก โนอาร์ที่เห็นอาการจึงรินน้ำให้อีกฝ่ายดื่ม แล้วเล่าเรื่องก่อนหน้านี้ให้ฟังเพื่อคลายความสับสนของปีศาจ

    ‘เมื่อคืนหลังกลับจากงานเลี้ยงที่สวน ผมชวนคุณดื่มไวน์ฉลองต่อ แต่คุณหลับก่อนผมเสียอีก’
    ‘หลับ? ข้าเนี่ยนะ ไม่มีทาง’

    ปีศาจโต้กลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เขาไม่ใช่พวกคออ่อน เรื่องน่าอายอย่างดื่มจนเมาไม่ได้สติและเผลอหลับไม่มีทางเกิดขึ้นกับเขา และยิ่งเป็นเครื่องดื่มของมนุษย์ที่รสไม่ต่างจากน้ำเปล่าสำหรับปีศาจ ยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่
    ส่วนโนอาร์ที่เห็นเอทอสค้านเสียงแข็ง ก็ได้แต่เปลี่ยนเรื่องชวนมานั่งทานข้าวแทน เพราะเขาไม่อยากตอกย้ำให้ปีศาจผู้เป็นที่รักรู้สึกเสียฟอร์มไปมากกว่านี้ ทว่าแทนที่ปีศาจจะเดินมานั่งตรงเก้าอี้ กลับเลือกเดินไปทางประตูบ้าน ส่งผลให้มนุษย์หนึ่งเดียวต้องเดินตามไป พบว่าอีกฝ่ายกำลังมองไปที่รถสีเทาเมทัลลิกที่จอดคู่กับรถกระบะสีดำตรงใต้ถุนบ้าน

    ‘รถผมมีอะไรหรือเปล่า’ มนุษย์ถามปีศาจที่เอาแต่จ้องรถของเขาจนคิ้วหนาขมวดเป็นปม
    ‘…ไม่มี ช่างเถอะ’

    ปีศาจเจ้าบ้านตอบกลับเรียบสั้น ก่อนเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้เพื่อทานอาหาร โดยมีนัยน์ตารัตติกาลของมนุษย์ที่เฝ้ามองท่าทีที่แปลกไปของปีศาจด้วยความเป็นห่วง


    ‘ผมทำไม่ถูกใจคุณ?’

    เสียงมนุษย์เอ่ยขึ้นท่ามกลางมื้ออาหาร เนื่องจากร่างสูงใหญ่ฝั่งตรงข้ามเอาแต่จ้องหน้าเขา แทบไม่ขยับช้อนส้อมในมือเลย

    ‘ไม่ใช่ ตอนนี้ข้ายังไม่ค่อยหิว โทษที’
    ‘คุณไม่จำเป็นต้องขอโทษกับเรื่องพวกนี้หรอก งั้นผมเอาไปเก็บก่อน คุณหิวเมื่อไรบอกผมอีกที เดี๋ยวจะเอามาอุ่นให้’

    ว่าจบมนุษย์หนึ่งเดียวก็ลุกขึ้นเก็บเหล่ามื้ออาหารโดยมีปีศาจคอยช่วย จนกระทั่งทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย สองชีวิตในบ้านพักทรงไทยประยุกต์จึงมานั่งที่ห้องรับแขก โดยเจ้าบ้านนั่งที่โซฟายาว ส่วนผู้ร่วมอาศัยนั่งโซฟาเดี่ยวเยื้องกับที่ปีศาจนั่ง และจนถึงตอนนี้ นัยน์ตาสีอำพันก็ยังไม่ยอมละไปจากมนุษย์

    ‘คุณมีอะไรอยากคุยกับผมไหม’
    ‘…’

    ปีศาจผู้ถูกถามเอาแต่นิ่งเงียบไม่ยอมตอบ โนอาร์ที่เห็นดังนั้นก็ไม่ได้เร่งเร้าเพียงเฝ้ารอเงียบ ๆ จนมั่นใจว่าปีศาจปากแข็งคงไม่ยอมบอกเขาเป็นแน่ มนุษย์ถึงได้เริ่มพูดอีกครั้ง ทว่าเป็นการเกลี้ยกล่อมให้เอทอสเต็มใจเล่าด้วยตนเอง หาใช่การฝืนบังคับเหมือนคราก่อน

    ‘ผมไม่รู้ว่าคู่ชีวิตของปีศาจเป็นยังไง แต่สำหรับมนุษย์ คู่ชีวิตคือคนที่คอยอยู่เคียงข้างไม่ว่ายามสุขหรือยามทุกข์ คอยรับฟัง ช่วยกันแก้ปัญหาและผ่านพ้นไปด้วยกัน ไม่ใช่มีฝ่ายหนึ่งต้องแบกรับอยู่ข้างเดียว เพราะหากเป็นแบบนั้นก็ไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ด้วยกัน’
    ‘…’
    ‘ทุกเรื่องราวของผม ผมพร้อมให้คุณรับรู้ แล้วคุณรังเกียจไหมหากผมจะขอรู้เรื่องของคุณบ้าง’
    ‘…’
    ‘…’
    ‘หึ... ไม่คิดว่าความคิดเช่นนี้ จะออกมาจากมนุษย์ที่เห็นชีวิตไม่ต่างจากของเล่นอย่างเจ้า’

    เสียงทุ่มต่ำของปีศาจเอ่ยขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้าเครียดขรึมที่ผ่อนคลายลง นัยน์ตาสีอำพันหมองหม่นของผู้ที่แบกรับปัญหามานานคล้ายดูอ่อนลง เมื่อได้ประสานตากับนัยน์ตารัตติกาลดำมืด คำพูดเพียงไม่กี่คำของมนุษย์กลับช่วยให้จิตใจของเขาสงบได้อย่างน่าประหลาด... แม้ชายเบื้องหน้าจะไม่ใช่ตัวจริงก็ตาม

    ‘ข้าจะเล่าให้ฟัง... เมื่อเจ้าฟื้น’
    ‘ผม-’
    ‘ทุกอย่างที่นี่ไม่มีอะไรจริง รวมถึงตัวเจ้า’

    เอทอสพูดขัดขึ้นโดยบนใบหน้ายังคงประดับไว้ด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย พลังของปีศาจกินวิญญาณสามารถรับรู้ได้ถึงวิญญาณของสิ่งมีชีวิตรอบตัว ทว่าที่แหล่งนี้เขากลับสัมผัสได้แต่เพียงความว่างเปล่า เขาไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายบริสุทธิ์หรือชั่วร้ายใด ๆ แม้โนอาร์จะนั่งอยู่ตรงหน้าเขาก็ตาม ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นเครื่องยืนยันว่า ที่แห่งนี้เป็นเพียงความฝันที่เขาจินตนาการขึ้นหาใช่ความจริง

    ‘ทำไมคุณถึงรู้’ มนุษย์นิ่งไปสักพักหนึ่งถึงถอนหายใจเล็กน้อยและเอ่ยถาม
    ‘อย่าลืมว่าข้าเป็นอะไร แล้วทำไมเจ้าถึงหลอกข้า’
     ‘ผมไม่ได้ตั้งใจโกหกคุณนะครับเอทอส แต่คุณดูเครียดเหมือนมีเรื่องให้คิดอยู่ตลอด ผมอยากเป็นที่ปรึกษาคอยรับฟังคุณ ถึงจะเป็นแค่ความฝันที่คุณจินตนาการขึ้นมา แต่หากมีผมอยู่ ผมอยากให้มันเป็นฝันดี’
    
    นัยน์ตารัตติกาลแฝงถึงความเป็นห่วง จ้องนิ่งไม่คิดหลบดวงตาสีอำพันเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจ ซึ่งก็ตรงกับที่เอทอสคาดการณ์ไว้ แต่ถึงอย่างไรเรื่องที่โนอาร์กล้าหลอกเขาก็ต้องมีบทลงโทษเช่นกัน ดังนั้นปีศาจจึงสั่งให้มนุษย์มานั่งที่โซฟาตัวเดียวกับเขา และแน่นอนว่าโนอาร์ยอมทำตามโดยดี แม้ภายนอกจะดูเหมือนมนุษย์ไม่รู้สึกอะไร ทว่าภายในส่วนลึกของดวงตาสีดำสนิทกลับแฝงความกังวลเล็กน้อย

    ‘ไปนั่งชิดมุมอีกฝั่ง ไม่ต้องมานั่งใกล้ข้า’

    ทันทีที่ได้ยินคำสั่งคล้ายขับไล่ คิ้วเหนือนัยน์ตารัตติกาลพลันขมวดมุ่น แต่เมื่อสบกับดวงตาสีอำพันเรียบนิ่งของปีศาจ สุดท้ายก็จำยอมขยับไปนั่งชิดอีกด้านหนึ่งของโซฟา
    เมื่อเอทอสเห็นมนุษย์ที่มักทำหน้านิ่งไร้อารมณ์ กลับแสดงความไม่พอใจผสมปนกับความกังวลผ่านทางแววตาอย่างชัดเจนนั้น ทำให้ปีศาจอารมณ์ดีขึ้นจนต้องแอบลอบยิ้มเล็กน้อย ก่อนล้มตัวลงนอนหนุนตักมนุษย์

    ‘ไม่ต้องพูด ตอนนี้สำหรับข้าเจ้าเป็นแค่หมอน’

    ปีศาจเอ่ยขัดไม่ทันให้มนุษย์เปล่งเสียงแล้วจึงหลับตาลง ปล่อยมนุษย์ที่ยังสับสนมองสำรวจใบหน้าคมดุแฝงความเหนื่อยล้าสักพัก ไม่นานรอยยิ้มมุมปากบางเบาก็ปรากกฎบนใบหน้าเรียบนิ่ง พร้อมกับฝ่ามือที่ยกขึ้นลูบผมหนาของร่างสูงใหญ่อย่างอ่อนโยน ทว่าภายในส่วนลึกของนัยน์ตารัตติกาลมืดมิดกลับเยียบเย็นอย่างน่ากลัว แน่นอนว่าสาเหตุหาใช่เรื่องที่ถูกร่างสูงใหญ่ยั่วอารมณ์เมื่อครู่ แต่หากเป็น ‘สิ่ง’ ที่ทำให้ปีศาจผู้เป็นที่รักของเขาดูหมดสิ้นเรี่ยวแรงและหมองหม่นถึงเพียงนี้



    “คุณ…”
    “นี่... คุณเอทอส”
    “คุณเอทอส ตื่นเถอะ ผมหิวข้าวจนจะเป็นโรคกระเพาะตายแล้วนะ”

     เสียงปลุกไม่คุ้นเคยส่งผลให้ร่างสูงใหญ่ค่อย ๆ ลืมตา ชายเบื้องหน้าหาใช่โนอาร์คนของเขา แต่กลับเป็นจินที่ทำหน้านิ่วไม่ต่างจากคนปวดท้องหนัก ใบหน้าบูดเบี้ยวของจินถึงกับทำให้เอทอสรีบกระเด้งตัวออกห่างด้วยความตกใจปนสับสน ก่อนปีศาจเพิ่งตื่นจะหันดูสิ่งต่าง ๆ รอบตัว แล้วพบเขาอยู่ในห้องพักผู้ป่วยของมนุษย์

    “อย่าทำเหมือนผมเป็นตัวเชื้อโรคสิ คุณเองนั้นแหละที่อยู่ ๆ ก็ล้มใส่ตักผม” จินเอ่ยพลางบีบนวดหน้าขาตัวเองที่เมื่อยชาจากการเป็นหมอนรองให้ใครบางคน
    “แถมคุณตอนหลับยังละเมอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อีก ผมล่ะเสียวกลัวโนอาร์ฟื้นขึ้นมาเจอฉากเด็ดนี้จริง ๆ ไม่งั้นผมคงกลายเป็นผีเฝ้าโรงพยาบาลนี้แน่”
    “…โทษที แล้วเจ้าลุกไหวไหม”

    เอทอสกล่าวขอโทษก่อนเอ่ยถามอาการของจิน ซึ่งคำตอบที่ได้คือการที่คนพยายามฝืนใช้ขาตัวเองล้มหน้าทิ่มกับพื้น ลำบากปีศาจต้องเข้าไปช่วยพยุงให้กลับมานั่งบนโซฟาดี ๆ ก่อนจะอาสาลงไปซื้อของกินให้เพราะแว่วได้ยินว่าอีกฝ่ายบ่นหิว

    “นี่ ตอนคุณหลับคุณฝันดีสินะ ฝันเรื่องอะไรเหรอ”

    จินทักขึ้นขณะที่ปีศาจกำลังเดินออกจากห้อง ส่งผลให้ร่างสูงใหญ่ชะงักเล็กน้อย นัยน์ตาสีอำพันหันมองเจ้าชายนิทราที่ยังนอนไม่ยอมตื่น ก่อนจะกล่าวตอบคำถาม แต่ดูเหมือนคำตอบของปีศาจคล้ายกำลังพูดกับคนบนเตียงมากกว่าตอบเจ้าของคำถามที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

    “ใช่ ข้าฝันดี”



    หลังคนถูกใช้เป็นหมอนรองให้ปีศาจได้ค่าตอบแทนเป็นข้าวกล่องเรียบร้อย จินจึงได้ฤกษ์ลองถามถึงคนที่ปีศาจฝากวานให้เขาไปส่งของให้เมื่อหลายวันก่อน ชายหนุ่มผมเงินเจ้าของบริษัทราศีจับ ยกเว้นปาก

    “นักธุรกิจที่ชื่อคิน ๆ อะไรนั่น คุณไปมีเรื่องอะไรกันมาเหรอ”

    จินลองหยั่งเชิงถามลอย ๆ คล้ายไม่ต้องการคำตอบ ทว่าภายในดวงตากลับอัดแน่นไปด้วยความอยากรู้ เนื่องจากครั้งก่อนอีกฝ่ายบอกแค่ชื่อกับสถานที่พบตัวไม่ได้เล่ารายละเอียดเพิ่มเติม บวกกับตอนนั้นปีศาจบาดเจ็บอยู่ในสภาพไม่สู้ดีนัก เขาเลยไม่อยากเซ้าซี้อะไรมาก

    “ไม่มีอะไร ก็แค่มนุษย์ที่เกลียดขี้หน้าข้าคนหนึ่ง”
    “เหรอ....”

    เสียงตอบรับยืดยานจากผู้คุมวิญญาณราวกับบอกเป็นนัยว่าเขาไม่เชื่อ แต่ถึงอย่างนั้นเอทอสกลับทำเป็นไม่สนใจ คนอยากรู้อยากเห็นจึงได้แต่เก็บความสงสัยของตัวเองต่อไปเพราะเจ้าตัวไม่ยอมเปิดปาก

    “เรื่องนี้คุณก็ไม่ได้บอกโนอาร์ด้วยสินะ พ่อคนผมหงอกนั่นถึงได้อยู่สบายขนาดนี้”
    “เมื่อโนอาร์ฟื้น ข้าจะคุยกับเขาเอง”
    “อะจ้ะ... ถ้าคุณจะเล่า ผมแนะนำให้คุณเล่าแบบหมดเปลือกทีเดียวจบ อย่าคิดหมกเม็ดกับคนอย่างโนอาร์ล่ะ ระวังบ้านจะแตกเอา”
    “หึ ขนาดนั้นเลย” ปีศาจหลุดหัวเราะเล็กน้อย ก่อนเหลือบมองเจ้าชายนิทราที่กำลังโดนนินทาระยะเผาขน
    “ยิ่งกว่าขนาดนั้นอีก โนอาร์แค่ยอมคุณเท่านั้นแหละ คุณถึงไม่เคยเห็นด้านมืดสุด ๆ ของหมอนี่ ผมไม่อยากจะเล่า ช่วงก่อนที่โนอาร์จะมาหลงคุณ ผมน่ะคอยตามเก็บของเหลือจากโนอาร์ เหยื่อแต่ละรายขนาดกลายเป็นวิญญาณไปแล้วยังขยาดไม่กล้าเอาคืนเลย”

    จินเล่าถึงเหตุการณ์ที่เขามักแอบไปเก็บวิญญาณผู้เคราะห์ร้าย หลังจากฆาตกรเลือดเย็นเล่นจนพอใจ ไม่มีวิญญาณสักดวงที่อยากล้างแค้น มีแต่ขอร้องให้เขาพาไปที่ไหนก็ได้ที่จะไม่เจอเพชฌฆาตนั่น หากลองว่ากันตามตรงเขาคิดว่าโนอาร์ดูเหมือนปีศาจยิ่งกว่าคุณเอทอสที่เป็นปีศาจจริง ๆ เสียอีก

    “พวกเจ้าอยากได้วิญญาณทำไม” เสียงทุ้มต่ำของปีศาจเอ่ยถาม พร้อมกับนัยน์ตาดุสีอำพันเริ่มแฝงอารมณ์ยากคาดเดา แต่ที่แน่นอนคือไม่เป็นมิตร
    “นี่ ๆ ถึงผมจะเป็นผู้คุมวิญญาณ แต่ผมไม่ใช่ไอ้บ้านั่นนะ อย่าจ้องอย่างกับจะฆ่ากันสิ”
    “…ข้าไม่ได้ตั้งใจทำให้เจ้ารู้สึกแบบนั้น แต่ข้าอยากรู้จริงว่าทำไมเจ้านั่นถึงอยากได้โนอาร์มากนัก ในเมื่อวิญญาณที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้ายมีอีกตั้งมากมาย” เอทอสพูดพลางพยายามปรับอารมณ์ให้อ่อนลง
    “มีเยอะก็จริง แต่คุณเคยเจอวิญญาณหรือมนุษย์คนไหนที่พลังวิญญาณเข้มข้นเท่าโนอาร์ไหมละ คนชั่วคนเลวแบบเลวบริสุทธิ์อย่างโนอาร์ไม่ได้หาเจอกันง่าย ๆ หรอกนะ”
    “แต่วิญญาณยิ่งแข็งแกร่งมันก็หมายถึงยิ่งคุมยากกว่าวิญญาณทั่วไป ถ้าคุมไม่อยู่นี่ไม่จบแค่ตายนะ แต่วิญญาณผู้คุมเองอาจแตกสลายไปเลยก็ได้ ผมคนหนึ่งล่ะที่ไม่เอาด้วย โคตรคนชั่ว ฆาตกรต่อเนื่องที่ขนาดเหลือแต่วิญญาณยังโคตรน่ากลัว ใครจะอยากยุ่งด้วยกัน... อูย!”
     “พะ.. เพราะโนอาร์ต้องเป็นของคุณเอทอสเท่านั้นแหละเนาะ ปีศาจกินวิญญาณกับฆาตกรหนุ่ม แหม่เหมาะสมกันยิ่งกว่ากิ่งทองใบหยกอีก แหะๆ”

    ผู้คุมวิญญาณที่กำลังสนุกกับการนินทาจนลืมตัว รีบกลับคำพูดเมื่อเผลอสบนัยน์ตาสีอำพันเรียบนิ่งของคนรักฆาตกร เอทอสที่เห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะถามต่อถึงสิ่งที่อยากรู้โดยไม่ใส่ใจเรื่องเมื่อครู่

    “มีวิธีทำให้ผู้คุมวิญญาณสิ้นพลังไหม”

    ปีศาจเอ่ยเข้าเรื่องจริง ๆ ที่อยากรู้ แม้ตอนนี้มนุษย์จะปลอดภัยเพราะเขาเป็นคนรับทุกอย่างแทน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าปลอดภัยไปตลอด ดังนั้นทางเดียวที่จะหยุดปัญหาคือทำให้ผู้คุมวิญญาณนั่นไร้พลัง จะได้หมดโอกาสทำเรื่องพรรณ์นี้กับคนของเขาหรือใครอื่นอีก

    “ความสามารถในการมองเห็นและควบคุมเป็นความสามารถติดตัวนะคุณเอทอส สิ่งที่คุณถามก็เหมือนการหาวิธีให้ปีศาจกินวิญญาณเลิกกินวิญญาณนั่นแหละ มันไม่มีหรอก หาทางให้สิ้นพลัง... ผมว่าหาทางทำให้สิ้นลมหายใจน่าจะง่ายกว่านะ สำหรับคุณยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ ถ้าคุณตั้งใจจะทำมันจริง”
    “…ข้าฆ่าใครไม่ได้ แล้วหากใช้วิธีเดียวกับที่เจ้านั่นทำกับโนอาร์จะได้ไหม”
    “เดี๋ยวหมอนั่นก็ส่งต่อให้คนอื่น ถ้าคุณอยากให้ส่งไม่ได้ ก็ต้องหาคนมารับแทนก่อนแล้วค่อยส่งให้ผู้คุมวิญญาณคนนั้น แต่คุณก็ไม่เอาอีกเพราะไม่อยากดึงคนนอกมาเกี่ยวด้วย ผมถามจริงคุณกับโนอาร์ใครเป็นปีศาจใครเป็นมนุษย์กันแน่เนี่ย”

    จินเริ่มฉุนเล็กน้อยกับความเป็นปีศาจดีของเอทอส  เสี้ยวความคิดหนึ่ง เขาอยากให้ปีศาจซึมซับความเลือดเย็นจากคนรักของตัวเองมาสักนิดบ้างก็คงดี เพราะเรื่องแค่นี้ไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับชายไร้เมตตาอย่างโนอาร์

    “หากใช้คำสาปของข้า”
    “สาปเพื่อกดพลังผู้คุมวิญญาณ มันต้องแสดงผลตลอดเวลาเลยนะ อย่าลืมว่าคุณใช่คำสาปรักษาโนอาร์อยู่ ร่างกายคุณรับผลจากสองคำสาปพร้อมกันได้แน่เหรอ”
    “…”
    “ผมกับโนอาร์เราต่างอยู่ในโลกมืดมานาน ยอมรับว่าความคิดผมอาจไม่ใช่คนดีนักเลยช่วยคุณไม่ค่อยได้ คุณมีใครที่พอไว้ใจได้ไหม บางทีเขาอาจให้คำปรึกษาได้ดีกว่าผมนะ”

    ผู้คุมวิญญาณยอมลดอารมณ์ลงเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่นิ่งเงียบไป เอทอสหลังได้ฟังคำแนะนำจากจินก็พยักหน้ารับเล็กน้อยพร้อมกล่าวขอบใจ ไม่นานห้องพักผู้ป่วยที่เมื่อครู่คลอไปด้วยเสียงสนทนาก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ถึงแม้เรื่องพูดคุยจะจบลงแล้ว ทว่าในนัยน์ตาสีอำพันของปีศาจที่จ้องมองไปยังคนหลับสนิทบนเตียง กลับเต็มไปด้วยความคิดมากมายยากคาดเดา



(ต่อด้านล่าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-01-2021 22:53:59 โดย biOmos »

ออฟไลน์ biOmos

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
(ต่อ)


    ในช่วงเวลายามบ่ายแก่ใกล้ถึงเวลาเลิกงานผู้คนเริ่มทยอยกลับที่พัก บางส่วนเดินสวนกันขวักไขว่บนทางเท้า และก็มีไม่น้อยที่ขับรถยนต์ส่วนตัวหรือนั่งรถโดยสารสาธารณะเพื่อความรวดเร็ว บ่งบอกถึงวิถีชีวิตสังคมเมืองเป็นอย่างดี ซึ่งช่วงเวลานี้ถือเป็นนาทีทองสำหรับเหล่าร้านค้าที่ต่างชักชวนกลุ่มคนที่เดินผ่านให้เข้ามาใช้บริการ และนั่นก็รวมถึงร้านขายดอกไม้ที่มีป้ายหน้าร้านสีน้ำเงินเด่นเป็นเอกลักษณ์เช่นกัน ทว่าต่างจากร้านอื่นตรงที่ไม่ใช่พนักงานออกมาเรียกลูกค้า แต่เป็นวิญญาณหญิงสาวรับใช้ตนหนึ่ง

    “หนุ่มน้อยถ้าคิดไม่ออกว่าจะเอาอะไรให้แฟนดี ไม่ลองจัดดอกไม้สวย ๆ สักช่อดูละ”
    “คุณพี่ดอกไม้ปลอมมันก็ดีอยู่หรอก แต่ดอกไม้ธรรมชาติมันให้ความรู้สึกสดชื่นมากกว่านะคะ”

    วิญญาณหญิงสาวอาศัยความสามารถในการรับรู้ถึงความปรารถนา ดลใจผู้คนที่เดินผ่านให้แวะเข้าร้านดอกไม้ของน้องชายเจ้านาย ที่ทำไม่ใช่ว่าร้านไม่ค่อยมีลูกค้า แต่เดิมถึงไม่ต้องเพิ่งพลังของเธอ ร้านดอกไม้แห่งนี้ก็มีคนเข้ามาใช้บริการไม่ขาดอยู่แล้ว แต่ส่วนมากมักเป็นลูกค้าเจ้าเก่าน้อยครั้งที่จะมีคนใหม่หลงมา วิญญาณหญิงสาวเลยลองขอเจ้านายมาทำงานนี้ ซึ่งเธอก็ได้รับคำอนุญาตในทันที อะไรก็ตามขอแค่เป็นเรื่องดีต่อตัวคุณสีคราม เจ้านายก็เห็นด้วยทั้งหมด และนั่นก็เป็นผลดีกับเธอเช่นกัน เพราะเธอไม่ค่อยอยากติดตามและทนดูมุมโหดร้ายของเจ้านายเท่าไรนัก

    ขณะที่วิญญาณสาวยืนเรียกลูกค้าอยู่นั้น สายตาเธอพลันสะดุดเข้ากับร่างสูงใหญ่ของชายคนหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาทางร้าน เพียงแค่เห็นไกล ๆ กลับทำให้เธอรู้สึกสะท้านไปทั้งตัว ร่างกายบอบบางเริ่มสั่นสู้ เมื่อเผลอสบกับดวงตาสีอำพันดุคู่นั้น ดวงตาของผู้ที่กินพวกพ้องของเธอจนแทบหมดสิ้น

    “ยะ... อย่าทำอะไรคุณสีครามนะ! ฉะ..ฉันไม่ให้แกผ่านไปหรอก เจ้าปีศาจ!!”

    วิญญาณหญิงสาวทำใจกล้ายืนขวางปีศาจทั้งที่ร่างสั่นเทาด้วยความกลัว ร่างสูงใหญ่น่าเกรงขามเพียงก้มมองเล็กน้อย ก่อนเดินทะลุผ่านร่างไปราวกับเธอเป็นแค่แมลงตัวจ้อยในสายตาอีกฝ่าย วินาทีที่ปีศาจเดินผ่าน เธอรู้สึกกลัวจนความคิดว่างเปล่า หลับตายืนนิ่งเตรียมใจที่จะมีจุดจบเหมือนเหล่าเพื่อนของเธอ ทว่าผลปรากฏว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น และกว่าเธอจะรู้ตัว ปีศาจก็เดินไปถึงหน้าประตูร้านแล้ว เห็นดังนั้นเธอเลยรีบตามไปหมายจะใช้พลังอันน้อยนิดฉุดรั้งขัดขวาง

    “พรึบ!”
    “อ๊ายยย!!!”

    ไม่ทันที่วิญญาณหญิงสาวจะถึงตัวปีศาจ พลันเกิดประกายเพลิงสีนิลลุกไหม้ ความร้อนจากไฟทำให้เธอจำต้องถอยห่างออกมา แล้วพบว่าเปลวไฟได้ห้อมล้อมรอบร้านดอกไม้คล้ายเป็นกำแพงเพลิง ทว่าแม้ไฟสีดำนี้กำลังลุกโหม แต่เหล่าพนักงานในร้านและผู้คนภายนอกกลับไม่มีใครสังเกตเห็น มิหนำซ้ำยังเดินผ่านได้อย่างสบาย ๆ ราวกับกำแพงไฟถูกสร้างเพื่อกันวิญญาณอย่างเธอโดยเฉพาะ ซึ่งลำพังเธอคนเดียวไม่อาจฝ่าไปได้แน่นอน วิญญาณหญิงสาวจึงรีบรุดเอาเรื่องนี้ไปบอกเจ้านาย เพื่อให้มาช่วยคุณสีครามที่กำลังตกอยู่ในอันตราย


    “กริ๊ง!”

    เสียงกระดิ่งหน้าประตู เรียกความสนใจพนักงานรวมถึงเจ้าของร้านที่กำลังจัดช่อดอกไม้ให้หันมอง พบว่าเป็นชายร่างสูงใหญ่เจ้าของสวนกล้วยไม้ที่เคยมาติดต่อเมื่อหลายเดือนก่อน

    “อ้าว! สวัสดีครับพี่เอทอส ไม่เห็นบอกก่อนเลยว่าพี่จะมา” สีครามกล่าวทักทายรุ่นพี่ที่รู้จักด้วยน้ำเสียงสดใส
    “ผ่านมาทางนี้พอดีเลยแวะมา ยุ่งอยู่หรือเปล่า” เสียงทุ้มต่ำเอ่ย แน่นอนว่าเป็นข้ออ้าง
    “จัดช่อนี้เสร็จก็หมดแล้วครับ... อาเรียบร้อย”

    เจ้าของร้านตอบคำถามพลางผูกริบบิ้นประดับเรียบร้อย ก่อนยื่นให้พนักงานที่รออยู่เพื่อขับไปส่งให้ลูกค้า แล้วจึงเดินออกมาจากหลังเคาน์เตอร์เพื่อคุยกับแขกที่มาโดยไม่ได้นัดหมาย

    “พี่ดูเครียด ๆ นะ มีอะไรหรือเปล่าครับ”
    “นิดหน่อย... ข้าขอคุยด้วยได้ไหม”

    สีครามเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อได้ฟังคำแทนชื่อที่ไม่ได้ยินมานาน ผสานกับบรรยากาศรอบตัวร่างสูงใหญ่ที่ดูอึมครึม ก็พอบอกเป็นนัยว่าขณะนี้รุ่นพี่ต่างจากปกติ เจ้าของร้านดอกไม้จึงฝากหน้าร้านให้พนักงานช่วยดู ก่อนพารุ่นพี่ไปนั่งคุยกันในห้องทำงานด้านหลังร้าน

    “มีเรื่องอะไรจะคุยกับผมหรือครับพี่เอทอส”

    เจ้าของสถานที่เปิดบทสนทนา หลังจากนำน้ำดื่มมาเสิร์ฟแขกเรียบร้อย ทว่าคำแรกจากรุ่นพี่กลับทำให้คนฟังรู้สึกชาไปทั้งร่าง

    “เจ้าจำคนที่เคยมาที่นี่กับข้าเมื่อหลายเดือนก่อนได้ไหม เขาเป็นคนรักของข้า”
    “คุณโนอาร์... สินะครับ”
    “ใช่ เขาถูกทำร้าย และข้ามารู้ทีหลังว่าคนทำเป็นคนรู้จักของญาติข้าเอง ข้าเคยพยายามห้ามแต่เหมือนคนคนนั้นจะไม่ยอมหยุด ข้าเลยจำต้องเลือกวิธีเด็ดขาด แต่...”
    “พี่กลัวว่าจะทำให้ญาติคนนั้นรู้สึกไม่ดีใช่ไหมครับ” คนรับฟังช่วยต่อประโยค
    “อืม” คำยืนยันจากเจ้าทุกข์ ทำให้ผู้รับฟังยิ้มอ่อนในความใจดีของรุ่นพี่เล็กน้อย
    “ไม่ว่าจะเป็นคนรู้จักของญาติ หรือถึงขั้นเป็นคนในครอบครัว ถ้าเขาทำผิดก็ต้องว่าไปตามผิดครับ เรื่องของความถูกต้องเราไม่ความเอาความรู้สึกหรือความสัมพันธ์ส่วนตัวมาเกี่ยวข้องด้วยหรอกนะครับ”
    “แล้วอีกอย่าง... คนถูกกระทำเป็นถึงคนที่พี่รัก หากพี่ลองเล่าเหตุผลให้ญาติคนนั้นฟัง ผมว่าเขาต้องเข้าใจครับ”
    “งั้นเหรอ... แล้วหากเรื่องนี้เกิดกับเจ้า”
    “…”
    “ถ้าพี่เจ้าทำร้ายคนอื่น เจ้าจะทำยังไง?”

    คนฟังนิ่งเงียบไปสักพักเมื่อได้ฟังคำถามของรุ่นพี่ สำหรับสีครามแล้วพี่วรรษเป็นทั้งพี่ชายและเป็นคนในครอบครัวเพียงคนเดียวที่เขามีอยู่ เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าคนแสนดีอย่างพี่วรรษจะทำเรื่องโหดร้ายได้ลง แต่ถ้าหากมีเหตุการณ์เช่นนั้นจริง...

    “ผมคงต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามกฎหมายครับ” สีครามตอบเสียงเบา
    “…”
    “แต่ไม่ว่าพี่เขาจะเปลี่ยนไปยังไง พี่วรรษก็ยังคงเป็นพี่ชายของผมเสมอครับ”
    
    เอทอสมองรอยยิ้มฝืนของคนคอยให้คำปรึกษา ทว่าในตอนท้ายกลายเป็นฝ่ายเศร้าเสียเอง ก็ได้แต่เอ่ยขอโทษในใจเงียบ ๆ และเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เขาเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายวิญญาณชั่วร้ายของผู้คุมวิญญาณกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่ ปีศาจจึงได้ฤกษ์กล่าวลา สีครามรู้สึกสับสนเล็กน้อยที่อยู่ ๆ รุ่นพี่ขอตัวกลับ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยรั้งพร้อมอาสาเดินมาส่งตรงหน้าร้าน ทว่ากลับถูกรุ่นพี่ปฏิเสธเพราะความเกรงใจ ดังนั้นร่างสูงใหญ่จึงก้าวออกมาจากตัวร้านเพียงลำพัง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับคนที่ปีศาจต้องการพบมาถึงพอดี

    “ไม่ต้องกังวล ข้าไม่คิดใช้วิธีสกปรกอย่างเจ้า แต่เจ้าต้องมากับข้า”
    “ลืมแล้วหรือไง ว่านายไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะต่อรอง”

    ผู้คุมวิญญาณตอบกลับเสียงนิ่ง แต่ดูเหมือนปีศาจผู้ถูกข่มขู่จะไร้ซึ่งความขลาดกลัว เพียงเอ่ยประโยคเรียบสั้นพร้อมก้าวนำไปอีกทาง ทว่านั่นกลับทำให้คนถือไพ่เหนือกว่าจำต้องทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้

    “ถ้าอยากให้สีครามรู้ความลับของเจ้านักก็ตามใจ”



    เส้นทางเปลี่ยวร้างผู้คน เมื่อถึงยามพลบค่ำกลับยิ่งเงียบสงัดดูวังเวงเป็นเท่าทวี ที่แห่งนี้ครั้งหนึ่งเคยมีโจรโชคร้ายถูกจับไปทรมานตัดแขนตัดนิ้ว แน่นอนว่าคนทำเรื่องโหดร้ายนั้นมีแค่คนเดียว ซึ่งเอทอสไม่คาดคิดเช่นกันว่าจะมีวันที่เขาต้องมาใช้สถานที่เดียวกับโนอาร์

    “ไม่น่าเชื่อว่าใจกลางเมืองจะมีที่ลับตาคนแบบนี้อยู่ เลือกที่ได้-”
    “ฟุ่บ! ฉัวะ!!”
    “อ๊ากกกกกกกก!!!!!!”

    ไม่ทันผู้คุมวิญญาณได้กล่าวชม ชายร่างสูงใหญ่ตรงหน้าพลันกลับคืนสู่ร่างปีศาจแท้จริง พร้อมพุ่งเข้าจู่โจมเป้าหมายแบบไม่ให้ตั้งตัว โชคดีที่วิญญาณรับใช้ตนหนึ่งผลักผู้เป็นนายหลบได้ทัน จึงทำให้ผู้คุมวิญญาณมีเพียงรอยบาดจากกรงเล็บทมิฬบริเวณแก้ม ส่วนวิญญาณรับใช้ผู้ภักดีตนนั้น ได้รับรางวัลเป็นการถูกฉีกร่างจนวิญญาณแตกสลายไป

    “ชอบให้คนรักของตัวเองเจ็บตัว- หือ? รับแทนเหรอ นักฆ่านั่นสำคัญขนาดนั้นเลย?”

    ในจังหวะที่ผู้คุมวิญาณกำลังเย้าแหย่ พบว่ารอยแผลเมื่อครู่กลับปรากฏอยู่บนใบหน้าปีศาจแทน ซึ่งนั่นถือเป็นคำอธิบายกลาย ๆ ว่าเหตุใดปีศาจนี่ถึงยังกล้ามาหาเขาอีก แต่ถึงจะรับผลของมนตร์มืดแทนเหยื่อของเขา มันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรนอกจากต่อเวลาออกไปอย่างไร้ค่า

    “ไฟของข้า เจ้าร้อนหรือเปล่า” นัยน์ตาสีแดงเลือดนกเรืองแสงจ้องนิ่ง พลางเอ่ยถึงสิ่งที่อยากรู้ เพราะการจู่โจมเมื่อครู่ เอทอสได้ใช้เพลิงสีนิลหุ้มกรงเล็บอีกทีหนึ่ง
    “นายน่าจะรู้ดีไม่ใช่หรือไง ความรู้สึกของไฟที่เกือบไหม้หน้าน่ะ”
    “งั้นเหรอ...” ปีศาจพึมพำเล็กน้อย ก่อนค่อย ๆ ยกกรงเล็บขึ้นในคล้ายดีดนิ้ว
    “พรึบ!!”
    “อ๊ากกกกกก!!!!!!!”
    “อ๊ากกกกกก!!!!!!!”
    
    ทันทีที่สิ้นเสียงกระทบของกรงเล็บ พลันเกิดเปลวเพลิงสีนิลเผาไหม้ร่างผู้คุมวิญญาณ จนอีกฝ่ายล้มลงไปดิ้นทุรนทุราย และแน่นอนว่าเหล่าวิญญาณรับใช้ก็มีสภาพไม่ต่างกัน ปีศาจมองความเจ็บปวดทรมานเบื้องหน้าด้วยสายตาเรียบนิ่ง ก่อนย่างเท้าเข้าหาเป้าหมายช้า ๆ

    “พลังของเจ้าดูจะมีผลกับแค่อาการบาดเจ็บที่ร่างกาย แต่ไฟของข้าที่ลุกไหม้เจ้าอยู่ กำลังเผาวิญญาณเจ้าหาใช่กายเนื้อ ฉะนั้นอย่าหวังว่าความเจ็บปวดที่เจ้ารู้สึกนี้อีกไม่นานข้าจะเป็นฝ่ายรับแทน เพราะมันไม่มีประโยชน์”
    “เจ้ารู้ดีว่าความจริงเจ้าไม่มีทางสู้ข้าได้ถึงเอาโนอาร์มาเป็นโล่ และข้าก็รู้ดีว่าเจ้าไม่มีทางรามือ ฉะนั้นข้าจะเผาเจ้าซะ จนวิญญาณเจ้าแทบกลายเป็นธุลี และสุดท้ายเจ้าจะมีสภาพเช่นเดียวกับคนของข้า ต่างเล็กน้อยตรงที่เจ้าจะไม่มีวันฟื้น ถูกขังอยู่ในร่างนี้จนสิ้นลมหายใจ แต่...”
    “หมับ!”
    “อื้ออออ!!!!!”

    ปีศาจนั่งยองตรงหน้ามนุษย์ที่กำลังทุกข์ทรมานจากเพลิงท่วมร่าง ก่อนใช้กรงเล็บปิดปากที่กำลังส่งเสียงร้องเจ็บปวด บีบกรามมนุษย์แน่นแล้วค่อย ๆ ดึงขึ้น จนอีกฝ่ายสามารถสบนัยน์ตาสีแดงเลือดนกเรืองแสงได้อย่างชัดเจน

    “ข้าเห็นแก่วิญญาณอันบริสุทธิ์ของน้องเจ้า ข้าจะปล่อยเจ้าไป แต่เมื่อใดเจ้าเกิดความคิดชั่วช้า เปลวเพลิงนี้จะครอบงําเจ้า และกว่าเจ้าจะรู้ตัว สิ่งที่เจ้ารักที่สุดจะถูกทำลายด้วยเงื้อมมือของเจ้าเอง... เหมือนที่เจ้าเคยทำข้าไง คุ้นไหม”
    “อื้อออออ!!!!”
    “เจ้าจะไม่มีโอกาสไปทำเรื่องพรรณ์นี้กับใครอีก หากอยากรู้ผลจากการฝืนคำสาปข้าเป็นเช่นไร ไว้ฟื้นขึ้นมาเจ้าก็ลองดู”
    “ตุบ!!!”

    หลังเอ่ยจบ ร่างของผู้คุมวิญญาณก็ถูกเหวี่ยงไปข้างทาง ผลของความทรมานจากการเปลวไฟที่เผาไหม้อย่างต่อเนื่อง ค่อย ๆ แผดเผาสติให้เลือนหาย ภาพพร่ามัวสุดท้ายที่เห็นก่อนทุกสิ่งอย่างจะย้อมเป็นสีดำ คือปีศาจนัยน์ตาสีแดงเลือดนกเรืองแสง กำลังจับเหล่าวิญญาณรับใช้ของเขาที่ต่างกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวและทรมานกินอย่างไร้ความเมตตา



    ค่ำคืนที่แสนยาวนานในความรู้สึกของปีศาจ ในที่สุดก็จบลงเมื่อแสงแห่งวันใหม่มาถึง อาการบาดเจ็บและพลังที่ลดหาย ถูกทดแทนด้วยเหล่าวิญญาณรับใช้หลายสิบดวงที่เขากลืนกินไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน แม้ยามนี้เป้าหมายของเขาจะบรรลุแล้ว เอทอสเองกลับไม่รู้สึกดีแม้แต่น้อย ซ้ำยังรู้สึกละอายใจ เพราะสุดท้ายเขาก็ไม่ต่างจากผู้คุมวิญญาณนั่นเท่าไรนัก ที่เลือกใช้วิธีสกปรกดึงคนอื่นมาเอี่ยวด้วย
    แต่ถึงอย่างนั้นปีศาจก็พอเขาข้างตัวเองได้บ้าง เพราะนี่ถือเป็นการให้โอกาส เผื่ออีกฝ่ายจะคิดกลับตัวในสักวัน ดีกว่าทำให้หลับใหลไป ทว่าจิตใจยังเต็มไปด้วยความดำมืดเช่นเดิม

    “แกร๊ก!”

    ฝ่ามือใหญ่เปิดประตูเข้าห้องพักผู้ป่วยอย่างเหม่อลอย นัยน์ตาสีอำพันดุเจือความหมองหม่นมองไปยังโซฟาที่มีก้อนผ้าห่มลายการ์ตูนผีน้อยคลุมโปง บ่งบอกว่าคนที่เขาขอให้คอยเฝ้าระวังจนกว่าเขาจะกลับมาแอบอู้ เอทอสส่ายหน้าเล็กน้อยไม่ถือสา วางอาหารเช้าที่แวะซื้อเป็นค่าตอบแทนลงบนโต๊ะ ก่อนหันไปดูอาการเจ้าชายที่ไม่ยอมตื่นเสียที และนั่นถึงกับทำให้ร่างสูงใหญ่นิ่งงันไป พร้อมความรู้สึกบริเวณขอบตาที่ร้อนผ่าวขึ้นเล็กน้อย

    “ไม่คิดทักทายกันเลยหรือไง โนอาร์” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถาม เจ้าของนัยน์ตารัตติกาลมืดมิดที่แอบลอบมองเขาเงียบ ๆ
    “อรุณสวัสดิ์... เอทอส” น้ำเสียงแหบแห้งจากคนบนเตียงกล่าวตอบแผ่วเบา
    


บท22 สมบูรณ์




ถึงคนอ่าน



    ขออภัยที่หายไปนานอีกแล้วครับ คนเขียนไปฝึกงานมาครับ ฝึกตั้งแต่เดือนที่แล้ว ตอนนี้ก็ยังฝึกอยู่แต่ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว ที่จริงบทนี้คนเขียนแอบค่อย ๆ เขียนในที่ทำงานตอนเวลาว่าง ซึ่งเขียนเสร็จตั้งแต่ช่วงกลางวันแล้วครับ แต่ต้องเก็บมาอัพตอนกลางคืนที่บ้านแทน เพราะหน้าเว็บ thaiboys นี่จัดเต็มไปด้วยโฆษณาจัดจ้าน คนเขียนยังไม่กล้าจุดระเบิดเปิดตัวกลางที่ทำงานครับ 5555

    และสุดท้ายขอบคุณสำหรับคนอ่านทุกท่านที่เฝ้ารอเรื่องราวของเอทอสกับโนอาร์นะครับ ^^  :pig4:


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-08-2020 18:02:35 โดย biOmos »

ออฟไลน์ nut2557

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
 :L1:มาแล้วอย่าหายไปอีกนะคิดถึง

ออฟไลน์ ปลายฝน ต้นหนาว

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ชอบๆ มาตามไล่อ่าน รอตอนต่อค้าบ

ออฟไลน์ biOmos

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0

    “โดยรวมผู้ป่วยค่อนข้างแข็งแรงดีครับ หากระหว่างการฟื้นฟูร่างกายไม่มีภาวะแทรกซ้อนอะไร หมอคาดว่าผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างปกติครับ”

    นายแพทย์พูดขึ้นหลังตรวจดูอาการคนไข้ในความดูแลเรียบร้อย จนถึงตอนนี้เขาก็ยังอดรู้สึกทึ่งกับความพิเศษของร่างกายผู้ป่วยรายนี้ไม่ได้ ที่นอกจากจะฟื้นตัวได้รวดเร็วเหนือกว่าคนทั่วไปแล้ว เมื่อฟื้นขึ้นมา กลับสามารถจำเหตุการณ์ก่อนหน้าและถามตอบได้ปกติไร้ซึ่งความสับสนมึนงง ราวกับผู้ป่วยเพียงแค่นอนหลับไป มิใช่อยู่ในสภาวะเจ้าชายนิทราตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา โดยหารู้ไม่ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์พิเศษของคนไข้รายนี้ ก็คือคนที่เขากำลังสนทนาด้วย

    “สามารถออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไรครับ” ญาติคนไข้ผู้มีนัยน์ตาสีอำพันหายากเอ่ยถาม
    “หากทุกอย่างปกติดี คาดว่าไม่เกินสามอาทิตย์คนไข้สามารถกลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้ครับ”
    “ขอบคุณครับ”

    ชายร่างสูงใหญ่ที่สุดในห้องเอ่ยพร้อมค้อมศีรษะเล็กน้อยแสดงความขอบคุณ ส่วนนายแพทย์เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วจึงขอตัวไปตรวจผู้ป่วยรายอื่นต่อ ส่งผลให้ห้องพักกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง เอทอสเดินเข้าไปหามนุษย์บนเตียงที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ยอมเลิกมองเขา นัยน์ตาสีอำพันแสดงชัดถึงความโล่งใจ มองสำรวจคนป่วยที่บัดนี้ไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์กู้ชีพ ไร้ซึ่งผ้าพันแผลและเฝือกอ่อนที่คอยตอกย้ำความผิดของปีศาจ

    “ยังเจ็บอยู่ไหม” เสียงทุ้มเอ่ยถามพลางสัมผัสแขนมนุษย์ ที่ครั้งหนึ่งเคยหักด้วยน้ำมือของเขา แม้มันจะมาจากผลของมนตร์มืดก็ตาม
    “ผมสบายดี ไม่เจ็บตรงไหน คุณไม่ต้องกังวล”

    โนอาร์กล่าวตอบแผ่วเบาเนื่องจากความอ่อนเพลียที่เพิ่งฟื้น ถึงเขาจะรู้สึกดีที่เอทอสแสดงออกว่าเป็นห่วงเขาอย่างชัดเจน แต่เขากลับไม่ชอบความหม่นหมองที่แอบแฝงอยู่ในนัยน์ตาสีอำพันคู่นั้น ความเหนื่อยล้าของร่างกายที่ปีศาจพยายามเก็บซ่อน บรรยากาศรอบตัวที่ผิดแผกของเอทอสตั้งแต่อีกฝ่ายเดินเข้ามาในห้องเมื่อช่วงเช้า ทุกสิ่งอย่างไม่อาจรอดพ้นสายตาเขา ทั้งหมดค่อย ๆ ก่อเกิดความคิดหนึ่งขึ้นภายในหัวใจเยือกเย็นว่า ต้นต่อความผิดปกติของปีศาจอาจมาจากตัวเขาเอง

    “เพราะผมไม่ระวังจนต้องเข้าโรงพยาบาล เลยพลอยทำให้คุณลำบาก... ผมขอโทษ”

    คำขอโทษจริงใจจากชายเลือดเย็น สร้างความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้วให้กับสองสมาชิกในห้องพัก หนึ่งปีศาจรู้สึกจุกในอกจนพูดไม่ออก ส่วนอีกหนึ่งมนุษย์ตรงโซฟาที่ไร้ตัวตนมาตั้งแต่คนรักปีศาจฟื้น ตกใจจนสำลักข้าวหน้าดำหน้าแดง ต้องรีบหยิบขวดน้ำขึ้นดื่ม เนื่องจากไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตนี้จะได้ยินคำขอโทษหลุดมาจากปากโนอาร์

    “แค่ก!! ๆ คำขอโทษติดค- ไม่ใช่!! ข้าวโพดติดคอ... กินเร็วไปหน่อยไม่มีอะไรหรอก คุยกันต่อเลย” ว่าจบก็รีบก้มหน้ากินต่อ เอทอสจึงหันกลับไปพูดคุยกับมนุษย์บนเตียงอีกครั้ง
    “ข้าต่างหากที่ต้องขอโทษ ที่ดูแลเจ้าไม่ดี”

    ปีศาจเอ่ยพลางหลุบตาลง ไม่กล้าสบนัยน์ตารัตติกาลคล้ายคนรู้สึกผิด เสียงมนุษย์เงียบหายไปสักพักหนึ่ง ก่อนค่อย ๆ ดึงแขนออกจากฝ่ามือใหญ่ ปฏิกิริยาราวกับรังเกียจสัมผัส ยิ่งฉุดจิตใจปีศาจให้ดิ่งลงสู่ความหนาวเหน็บ ทว่าวินาทีต่อมาทุกความรู้สึกด้านลบพลันมลายสิ้น ด้วยไออุ่นจากมือขาวที่เปลี่ยนมากอบกุมฝ่ามือใหญ่พร้อมบีบเบา ๆ ให้กำลังใจ ส่งผลให้นัยน์ตาสีอำพันหม่นกล้าเงยขึ้นสบดวงตารัตติกาลมืดมิด

    ผมดีใจที่คุณดูแลผม ผมรู้ว่าคุณพยายามเต็มที่ในแบบของคุณ ฉะนั้นอย่าโทษตัวเอง

    คำพูดไร้เสียงส่งผ่านนัยน์ตารัตติกาลเผยความรู้สึก ช่วยลบล้างความผิดบาปในใจปีศาจให้เลือนหาย สายโซ่สุดท้ายที่ล่ามความรู้สึกปีศาจให้จมอยู่กับความระทมทุกข์ คล้ายถูกหลอมละลายโดยเจ้าชายน้ำแข็ง ที่ยอมคลายความเยือกเย็นของตนลง เพียงเพื่อให้ปีศาจผู้เป็นที่รักรู้สึกอบอุ่น
 
    ไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยคำใด หนึ่งมนุษย์และปีศาจกลับสามารถเข้าใจกันและกันได้อย่างชัดเจน ส่งผลให้บรรยากาศหม่นที่เคยรายล้อมร่างสูงใหญ่ เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความสงบผ่อนคลายระหว่างเขาทั้งสอง เกิดเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ให้พวกเขาได้หยุดพักจากความวุ่นวาย ก่อนที่จะกลับมาเผชิญหน้ากับความจริงในอนาคตอันใกล้



    แสงสว่างแยงตาปลุกชายหนุ่มให้ตื่นขึ้น หลังหมดสติจากการถูกปีศาจโต้กลับไปเกือบวัน พื้นเพดานขาวสะอาดเป็นสิ่งแรกที่เห็น ก่อนวินาทีต่อมาจะถูกแทนด้วยใบหน้าของน้องชายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความดีใจระคนเป็นห่วง

    “พี่วรรษฟื้นแล้ว! เกิดอะไรขึ้นครับทำไมพี่ถึงไปอยู่ในซอยเปลี่ยวแบบนั้น เจ็บตรงไหนหรือเปล่า ให้ผมตามหมอไหม?”

    “ไม่ต้อง ๆ ... พี่ไม่ได้เป็นอะไรมาก”

    น้ำเสียงแหบแห้งตอบกลับพร้อมความรู้สึกฝืดคอคล้ายมีก้อนทรายอยู่ภายใน เห็นดังนั้นสีครามจึงรินน้ำใส่แก้วก่อนส่งให้พี่ชายดื่ม ความชุ่มชื่นจากน้ำช่วยบรรเทาอาการคอแห้งไปได้มาก หลังดื่มเสร็จเรียบร้อยพี่ชายจึงส่งแก้วคืนให้น้อง และเริ่มตอบคำถามเพื่อให้คนคอยเป็นห่วงสบายใจ

    “พี่โดนพวกอันธพาลลากไปที่นั่น แต่เพราะพี่ไม่มีเงินพวกมันเลยทำให้พี่สลบและหนีไป” พี่ชายแสนดีเริ่มแต่งเรื่องหลอกน้อง
    “พี่ไม่ได้เจ็บหนัก ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น แค่ปวดตามตัวนิดหน่อย แปป ๆ ก็หาย แล้วพี่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”

    ผู้คุมวิญญาณกล่าวพลางใช้ฝ่ามือลูบหัวน้องชายเพื่อปลอบประโลม ก่อนถามถึงเหตุที่เขามาฟื้นที่โรงพยาบาล และก็ได้คำตอบว่า มีพลเมืองดีคนหนึ่งโทรมาแจ้งว่าพบเขาหมดสติอยู่ข้างทางเปลี่ยว จึงได้เรียกรถพยาบาลมารับ ก่อนที่นางพยาบาลจะโทรมาแจ้งสีครามเรื่องเขาอีกที และแน่นอน ไม่มีใครรู้ว่าพลเมืองดีคนนั้นเป็นใคร เว้นเสียแต่ตัวผู้ประสบเหตุเองที่พอคาดเดาเรื่องราวได้ และเหลือบมองวิญญาณหญิงสาวที่รอดพ้นจากการถูกจับกินเล็กน้อย

    “หมอบอกให้พี่นอนพักดูอาการที่นี่สักคืนหนึ่ง ถ้าไม่มีอะไรพรุ่งนี้ถึงอนุญาตให้กลับบ้านได้ ผมก็เลยกลับไปเอาชุดมานอนเฝ้าพี่คืนนี้”

    สีครามพูดพร้อมชูเป้ขึ้นให้พี่ชายดูเป็นหลักฐาน วรรษเห็นก็ได้แต่ยิ้มอ่อนใจเล็กน้อย ก่อนถามถึงเรื่องร้านดอกไม้ว่าใครเป็นคนจัดการแทนระหว่างที่เจ้าของร้านอยู่ที่นี่ ซึ่งก็ได้คำตอบเป็นพนักงานที่ทำงานมานานจนน้องชายไว้ใจ แต่พี่ชายไม่ ดังนั้นช่วงจังหวะหนึ่งที่สีครามหันไปทางอื่น เขาจึงเอ่ยสั่งหนึ่งในวิญญาณรับใช้ที่เหลืออยู่ไม่มากให้ไปคอยดูร้านอีกที

    ถึงตรงนี้ วรรษพลันนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันก่อนที่ปีศาจกินวิญญาณไปหาน้องเขาที่ร้านดอกไม้ พี่ชายแสนดีจึงลองลอบถาม เพื่อหาจุดประสงค์ของปีศาจ

    “เหมือนวันก่อน เพื่อนพี่บอกว่าจะแวะไปร้านสีคราม เอทอสมาสั่งดอกไม้ไปให้ใครเหรอ”
    “เปล่า... พี่เอทอสมาขอคำปรึกษาน่ะพี่วรรษ”

    น้ำเสียงตอบกลับแฝงความเศร้าสร้อยเล็กน้อย ซึ่งคนฟังก็ไม่แน่ใจว่าความเศร้านั้นมาจากสาเหตุใด และแน่นอนพี่ชายแสนดีไม่ยอมปล่อยผ่าน

    “ทำไมทำหน้าหงอยแบบนั้นละ เอทอสมันทำอะไรสีครามบอกพี่มาเลย เดี๋ยวพี่จัดการให้”
    “ไม่มีอะไรหรอกพี่วรรษ ผมแค่ยังอินกับเรื่องที่พี่เขาเล่าให้ฟังเฉย ๆ”

    สีครามเลือกตอบกว้าง ๆ แทนการพูดความจริงเรื่องความใจร้ายของรุ่นพี่ ที่รู้ทั้งที่รู้ว่าเขาแอบชอบ แต่ก็ยังเอาเรื่องคนรักมาปรึกษา เนื่องจากความรู้สึกที่เขามีต่อตัวรุ่นพี่นั้น เขายังไม่ได้บอกให้พี่วรรษรู้ และเขาก็ไม่อยากสร้างปัญหาให้ใครเดือดร้อน เพียงเพราะอารมณ์ส่วนตัวของเขาเช่นกัน

    “แน่นะ?”
    “แน่สิ พี่ไม่เชื่อผมเหรอ?”
    “ไม่ใช่อย่างงั้น... แล้วเรื่องปรึกษาอะไรนั่น พอเล่าให้พี่ฟังได้ไหม”
    “ไม่ได้ครับ คนให้คำปรึกษาที่ดี ต้องเก็บทุกอย่างเป็นความลับ ไม่เอาไปเล่าต่อ เพราะไม่อย่างนั้นจะเป็นการทำร้ายความไว้ใจกันครับ” น้องชายปฏิเสธเสียงหนักแน่น
    “แม้แต่พี่ก็ไม่ได้เหรอ”
    “ไม่ได้ครับ ถ้าพี่อยากรู้ต้องไปถามกับพี่เอทอสเอง”

    หลังได้ฟัง วรรษได้แต่เพียงยีผมน้องชายด้วยความมันเขี้ยวในความเป็นคนดี แม้ดูเหมือนการลอบถามครั้งนี้จะไม่ได้อะไร แต่อย่างน้อยผู้คุมวิญญาณก็พอเบาใจได้ว่าปีศาจนั่นไม่ได้ทำอะไรสีครามอย่างที่ปากว่าจริง ๆ

    พอหมดข้อสงสัย พี่ชายแสนดีจึงเปลี่ยนเรื่องคุย สองพี่น้องใช้เวลาร่วมกันในห้องพักฟื้นจวบจนเวลาล่วงเลยถึงยามค่ำคืน สีครามที่มักนอนเร็ว บัดนี้จึงหลับสนิทบนโซฟาห่างเตียงผู้ป่วยไม่มากนัก เมื่อทุกอย่างเงียบสงบ ผู้คุมวิญญาณจึงเริ่มเช็กวิญญาณรับใช้ที่เหลือรอดจากเงื้อมมือปีศาจ ซึ่งล้วนแต่เป็นวิญญาณอ่อนแอใช้ประโยชน์ไม่ได้มาก
    ดังนั้นผู้คุมวิญญาณเลยเริ่มมองหาวิญญาณรับใช้ตนใหม่ สักพักหนึ่งก็สัมผัสถึงสิ่งที่ต้องการอยู่ไม่ไกล เพียงชั้นล่างของโรงพยาบาล ที่ดูเหมือนจะมีใครบางคนเพิ่งหมดลมหายใจ

    “ไปพาตัวมา”

    เสียงเรียบเรื่อยกล่าวสั่งเหล่าวิญญาณ สักพักหนึ่งสมาชิกใหม่พลันปรากฏกายกลางห้องพัก พร้อมพุ่งเข้าจู่โจมคนบนเตียงด้วยความโกรธแค้น โดยเหล่าวิญญาณรับใช้ไม่อาจต้านแรงอาฆาตของผู้ตายจากความเป็นมนุษย์มาหมาด ๆ ได้

    “แร... แรงดีนิ” ผู้คุมวิญญาณกล่าวชม บนใบหน้าแฝงรอยยิ้มยากคาดเดา
     “มึงฆ่ากูทำไม!!!!”
    “ลงไป”

    คำสั่งเรียบสั้นจากคนบนเตียง เสมือนประกาศิตผลักร่างโปร่งแสงร่วงลงจากเตียง วิญญาณแค้นพยายามลุกขึ้นกลับถูกพลังบางอย่างบังคับควบคุมไม่ให้เคลื่อนไหว ทำได้เพียงจ้องตอบคนบนเตียงด้วยความโกรธเกรี้ยว

    “ขอแก้ความเข้าใจผิดก่อน นายตายเอง ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย” ผู้คุมวิญญาณเอ่ยพร้อมก้าวเท้าลงจากเตียง
    “ลืมเรื่องตอนมีชีวิตซะ จากนี้ไปเราเป็นครอบครัวเดียวกัน”
    “ใครอยากเป็นพวกเดียวกับมึง! ไอ้เหี้ยปล่อยกู!!!”

    ผู้คุมวิญญาณย่อตัวนั่งระดับเดียวกับวิญญาณอาฆาต ไม่คิดต่อปากต่อคำ เพียงกัดปลายนิ้วหนึ่งจนเลือดไหลซึม ก่อนยื่นมือข้างนั้นไปกุมใบหน้าของร่างโปร่งแสง ฉับพลันวิญญาณคุ้มคลั่งกลับสงบนิ่งไร้การต่อต้าน ฝ่ามือค่อย ๆ ลูบลงคล้ายการปิดตาคนตาย หยดเลือดจากปลายนิ้วทิ้งรอยไว้บนกรอบหน้าเป็นทางที่มือเลือนลง จวบจนถึงปลายคางจึงดึงมือกลับพร้อมเรียกวิญญาณรับใช้ตนใหม่ให้ลืมตา

    “ยินดีต้อนรับสู่ครอบครัวของเรา”
    “...ครับนาย”

    วิญญาณรับใช้เอ่ยพลางก้มหัวแสดงความเคารพ ไร้ซึ่งท่าทีเครียดแค้นโกรธเคือง ราวกับถูกล้างสมอง ลืมเรื่องราวเมื่อไม่กี่นาทีก่อนจนสิ้น ผู้คุมวิญญาณลุกขึ้นยืนพลางยิ้มพึงพอใจ เตรียมเอ่ยสั่งเหล่าวิญญาณให้จัดการขั้นเด็ดขาดกับนักฆ่าที่ปีศาจหวงนักหนา

    “ไป-”

    เพียงพยางค์เดียวได้เอื้อนเอ่ย เจ้าของคำสั่งกลับชะงักค้างพร้อมเปลวเพลิงสีนิลที่ลุกท่วมร่างอย่างไร้สาเหตุ เหตุการณ์เบื้องหน้าสร้างความตื่นตกใจให้กับเหล่าวิญญาณรับใช้เก่าอย่างมาก ทว่าร่างที่กำลังถูกเพลิงเผาไหม้กลับไร้เสียงกรีดร้องแสดงความเจ็บปวด เพียงแค่เดินไปที่โซฟาที่มีน้องชายของตนนอนอยู่

    ฝ่ามือผู้คุมวิญญาณค่อย ๆ กำรอบลำคอคนหลับสนิทก่อนออกแรงบีบ เหล่าวิญญาณรับใช้เก่าพยายามช่วยกันปกป้องคุณสีครามและเรียกสติเจ้านาย แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้มากนักเมื่อมีเพลิงสีนิลคอยขัดขวาง

    “ยืนบื้ออยู่ทำไม! มาช่วยกันสิ!!” วิญญาณรับใช้ตนหนึ่งต่อว่าวิญญาณรับใช้ใหม่ของเจ้านาย
    “ทำไมต้องช่วย ก็ในเมื่อนายอยากฆ่า” วิญญาณรับใช้ใหม่ถามกลับด้วยความสับสน
    “คุณสีครามเป็นน้องชายของนาย นายถูกไฟบ้านี้ควบคุมอยู่ แค่นี้ก็ดูไม่ออกเหรอ!!!”

    หลังรับรู้สถานการณ์ วิญญาณรับใช้ตนใหม่ที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาวิญญาณรับใช้ทั้งหมด จึงเดินเข้าไปหมายกระชากร่างเจ้านาย ทว่ากลับถูกความร้อนของเพลิงเผาจนต้องถอยห่างออกมา เมื่อเห็นว่าไม่สามารถทำอะไรได้ วิญญาณรับใช้ตนใหม่จึงเริ่มมองหาตัวช่วย ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่คนบนโซฟาสะดุ้งตื่น เนื่องจากขาดอากาศหายใจ

    “พะ... พี่... พี่วรรษ...” สีครามพยายามเอ่ยเรียกสติ สองแขนพยายามแกะมือพี่ชายที่บีบแน่นตรงลำคอออก แต่ก็ไร้ผล
    “พี่... พี่วรรษ.. ผะ.. ผมหาย.. ใจ.. มะ.. ไม่..ออก...”
    “…”
    “พะ... พี่...”
    “…”
    “ปึง!!”

    วินาทีที่ลมหายใจจวนจะหมดลง ประตูห้องผู้ป่วยพลันเปิดกว้างพร้อมเหล่าหมอและพยาบาลกรูกันเข้ามาห้ามผู้ป่วย สีครามที่เป็นอิสระรีบหอบหายใจเข้าพลางไอจนน้ำตาซึม โดยมีนางพยาบาลคนหนึ่งแยกมาดูอาการ

    เสียงไอสำลักอากาศ ช่วยเรียกสติของวรรษให้กลับคืน ภาพน้องชายจับลำคอแดงช้ำหายใจเหนื่อยหอบ สร้างความตื่นตกใจให้กับคนเป็นพี่อย่างมาก พยายามสลัดตัวออกจากการควบคุมหวังเข้าไปดูอาการน้องชายแต่ก็ไร้ผล วรรษจึงเลือกถามเหตุการณ์จากเหล่าหมอพยาบาลแทน ซึ่งคำตอบที่ได้ก็ถึงขั้นทำให้คนฟังช็อกจนพูดไม่ออก ได้แต่ก้มมองมือสั่นเทาของตนเองอย่างไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน

    “ไม่... ไม่มีอะไรหรอกครับ พี่วรรษอาจเก็บเรื่องโดนอันธพาลทำร้ายมาฝันแล้วละเมอ ขอบคุณคุณหมอคุณพยาบาลมากครับ”

    สีครามที่เริ่มกลับมาเป็นปกติ กล่าวแก้ตัวให้พี่ชายจนเหล่าเจ้าหน้าที่ยอมเชื่อและทยอยกลับ นางพยาบาลรายหนึ่งแนะนำให้ลองไปตรวจดูเผื่อบาดเจ็บเพิ่มเติม ทว่าสีครามกลับรับไว้เพียงน้ำใจพร้อมกล่าวขอบคุณอีกครั้ง
    เมื่อทุกอย่างสงบลง ภายในห้องพักเหลือเพียงสองพี่น้อง วรรษจึงรีบเข้ามาดูอาการน้องชายด้วยความเป็นห่วงระคนรู้สึกผิด

    “พี่ขอโทษ เจ็บมากไหม พี่ไม่ได้ตั้งใจ พี่คุมตัวเองไม่ได้ ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง พี่...”
    “ครับ ๆ ผมเข้าใจ พี่เพิ่งเจอเรื่องไม่ดีมาจะเก็บมาคิดมากก็ไม่แปลก ผมไม่ได้ไร้เหตุผลขนาดโกรธพี่วรรษด้วยเรื่องแค่นี้หรอกนะ” คนเจ็บตัวปลอบพี่ชายที่ทำท่าราวกับจะร้องไห้
    “แค่นี้อะไรกัน คอแดงไปหมดแล้ว”

    น้ำเสียงติดสั่นตอบกลับ สายตาไม่ยอมละไปจากรอบคอแดงช้ำของน้องชาย สีครามจึงต้องย้ำอีกรอบว่าเขาไม่เป็นอะไรจริง ๆ ก่อนเอ่ยตัดบทโดยการไล่พี่ชายให้กลับไปนอนที่เตียงเหมือนเดิม เพราะยามนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว
    เมื่อได้ฟังคำยืนยันหนักแน่นจากน้องชาย วรรษก็จำยอมทำตามโดยดี ซึ่งแน่นอนว่าการเพิ่งผ่านเรื่องไม่คาดคิดย่อมไม่มีใครหลับลง ดังนั้นสองพี่น้องจึงลอบมองกันและกันโดยมีความมืดของห้องหลังดับไฟช่วยอำพราง
    
    เหล่าวิญญาณรับใช้ค่อย ๆ เข้ามารายล้อมเผื่อผู้เป็นนายต้องการเรียกใช้ ทว่าเจ้านายเพียงสะบัดมือไล่คล้ายต้องการใช้ความคิด ดังนั้นเหล่าวิญญาณรับใช้ทั้งหมดจึงพลันหายไป เมื่ออยู่ลำพังผู้คุมวิญญาณหวนนึกถึงคำเตือนของปีศาจกินวิญญาณ พร้อมกับฝ่ามือที่เริ่มกำแน่นขึ้นเพื่อระบายความโกรธแค้น

    ‘เมื่อใดเจ้าเกิดความคิดชั่วช้า เปลวเพลิงจะครอบงําเจ้า และกว่าเจ้าจะรู้ตัว สิ่งที่เจ้ารักที่สุดจะถูกทำลายด้วยเงื้อมมือของเจ้าเอง…’
    ‘หากอยากรู้ผลจากการฝืนคำสาปข้าเป็นเช่นไร ไว้ฟื้นขึ้นมาเจ้าก็ลองดู’



(ต่อด้านล่าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-08-2020 17:59:27 โดย biOmos »

ออฟไลน์ biOmos

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
(ต่อ)


    “ตอบแทนตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ขอบใจเจ้ามาก”

    เสียงทุ้มของปีศาจเอ่ยขึ้นพร้อมยื่นกระดาษแผ่นเล็กให้จินในยามสายของวันหนึ่ง ถึงแม้โนอาร์จะฟื้นแล้ว คุณเอทอสก็ยังคงให้เขามาคอยเฝ้าแทนในช่วงที่คุณเขาต้องออกไปหาวิญญาณกิน และใช่ ร่างสูงใหญ่เจ้าของนัยน์ตาสีอำพันดุเพิ่งกลับมาหลังจากหายไปทั้งคืน

    จินรีบรับกระดาษจากอีกฝ่ายมาแบบงุนงง ปนระแวงสายตาเรียบนิ่งอันตรายของคนบนเตียง ที่จ้องเขาอย่างกับขโมยของรักของหวงไป ทั้งที่เขาแค่นอนอืดทำตัวเป็นอากาศธาตุบนโซฟา แต่คุณเอทอสต่างหากที่อยู่ ๆ ก็เดินมาหาเอง
    คนกำลังถูกหมายหัวรีบก้มหน้าดูกระดาษในมือ ตราสัญลักษณ์ของธนาคารแห่งหนึ่งตรงมุมซ้าย มีชื่อของเขาเขียนอยู่ในนั้นพร้อมลายเซ็นเจ้าของกำกับ แต่ที่เว้นว่างไว้คือช่องใส่จำนวนเงิน ทุกองค์ประกอบบ่งบอกว่าสิ่งที่อยู่ในมือนี้คือเช็คเงินสด บอกเป็นนัยให้เขาใส่ตัวเลขได้ตามใจชอบ และนั่นถึงกับทำให้คนรับตาลุกวาว

    “แหม่... คุณเอทอสผมเกรงใจ ที่ทำนี่ก็เพราะเห็นเป็นเพื่อนเป็นคนรู้จักกัน ตอบแทนอะไรกันไม่จำเป็นหรอก แต่คุณเอทอสอุสาให้ทั้งที ผมก็ต้องขอรับไว้เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจแล้วกัน”
    “เท่าไร?”

    เสียงดับฝันดังจากชายเลือดเย็น หยุดจินที่กำลังเก็บเช็คลงกระเป๋าอย่างละเมียดละไม และดูเหมือนคนถามจะไม่รอคำตอบ เมื่อเรียวนิ้วขาวกระดิกเรียกคนตรงโซฟาให้เดินเข้าไปหา ส่งผลให้จินจำต้องส่งกระดาษล้ำค่าให้กับคนใจร้าย

    นัยน์ตารัตติกาลมืดมิดกวาดดูรายละเอียดบนเช็คคร่าว ๆ ก่อนเอ่ยขอปากกากับคุณเอทอส ถึงน้ำเสียงตอนพูดจะเรียบนิ่งไม่ต่างจากตอนเรียกจิน ทว่าแววตายามรับปากกาจากปีศาจ ช่างแตกต่างกับตอนรับเช็คยิ่งกว่าฟากฟ้ากับขุมนรก
    
    “โนอาร์...” ปีศาจเอ่ยเตือนเมื่อเห็นจำนวนเงินที่มนุษย์ระบุให้
    “ผมค้าขายกับจินมานาน เท่านี้เหมาะสมแล้วครับ”

    เมื่อได้ยินคำยืนยันจากชายเลือดเย็น เอทอสได้แต่ส่ายหน้าหน่าย จินรับกระดาษจากคนบนเตียงรีบเอานิ้วปิดจำนวนเงิน ก่อนค่อย ๆ เปิดดูทีละตัวด้วยความระทึก ตัวแรกคือเก้า พอทำให้ผู้คุมวิญญาณใจชื้น ตัวต่อมาคือ
    ศูนย์...
    ศูนย์...
    ศูนย์...
    จุด!!

    ขณะกำลังลุ้นกลับเจอเครื่องหมายจุดสกัดฝัน จินเลิกลีลาเปิดดูจำนวนเงินเต็ม ๆ แล้วถึงกับน้ำตาตกใน ความดีตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาของเขามีค่าแค่เก้าพันบาทถ้วนในสายตาอีกฝ่าย คนน่าสงสารเดินคอตกกลับไปที่โซฟา
    ทว่าช่วงจังหวะที่เดินผ่านปีศาจ หางตาทันเห็นเช็คอีกฉบับหนึ่งที่คุณเอทอสแกล้งทำมือไพล่หลังซ่อนไว้ เนื้อหาบนกระดาษนั้นเหมือนของในมือเขาทุกประการ แต่ที่สำคัญคือช่องใส่จำนวนเงินยังว่างเปล่า จินถึงกับซาบซึ้งในความใจดีของคุณเอทอสจนน้ำตาซึม รีบหยิบเช็คฉบับใหม่ไม่ให้คนใจร้ายเห็น บวกกับปีศาจใช้ร่างสูงใหญ่ช่วยบดบังและชวนชายเลือดเย็นคุยดึงความสนใจ ทำให้ภารกิจลักลอบผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

    “ทำไมเจ้าถึงเคี่ยวนัก”
    “เพราะการเป็นภรรยาที่ดีต้องช่วยสามีประหยัด”
    “เจ้า!-”

    ขณะที่เอทอสกำลังต่อปากต่อคำกับโนอาร์ กลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายวิญญาณของกลุ่มนักล่าปีศาจ ความสุขสงบเล็ก ๆ ที่เกิดได้ไม่นานพลันจบลง เอทอสแกล้งบอกมนุษย์บนเตียงว่าจะลงไปซื้อของข้างล่าง ทว่ากลับถูกมือขาวรั้งแขนไว้ เนื่องจากโนอาร์รู้ถึงบรรยากาศรอบกายที่ตึงเครียดขึ้นของปีศาจ เสียงพูดคุยที่เงียบหายทำให้คนตรงโซฟารู้สึกถึงความผิดปกติเช่นกัน แต่ยังไม่ทันที่จินจะได้เอ่ยถาม ประตูห้องพักพลันเปิดกว้าง พร้อมคนแปลกหน้าสามคนที่เดินเข้ามา ซึ่งหนึ่งในนั้นมีคนที่ผู้คุมวิญญาณจำได้ขึ้นใจ

    “ต้องการอะไรอีก” เอทอสถามเหล่าผู้บุกรุกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
    “สามวันก่อนทำชั่วอะไรไว้น่าจะรู้ตัวเองดีนิ สู้อุสาไปหาที่ลับตา คิดว่าจะหลบหน่วยข่าวกรองนักล่าปีศาจได้หรือไง” ชายผู้มีเส้นผมสีเงินเป็นเอกลักษณ์กล่าวถากถาง
    “เพราะเจ้านั่นรังควาญข้าเหมือนกับเจ้า ข้าจำต้องป้องกันตัว”
    “เหรอ? ทำร้ายผู้คุมวิญญาณ แล้วก็จับวิญญาณรับใช้กินนี้เหรอป้องกันตัว หึ... ฉันว่าแกหิวจนหลุดสันดานเลวออกมามากกว่า”
    “…”
    “มากับพวกเราซะ ปีศาจเสแสร้งแบบแกคงไม่กล้าคิดตุกติกกลางโรงพยาบาล-”
    “พรึบ! เพล้ง!!”
    “โอ้ย!!”

    ภาคินปรามาสได้ไม่นาน ผ้าห่มผืนหนึ่งก็ถูกขวางใส่คนปากดี ผืนผ้าที่แผ่ขยายกลางอากาศเข้าปกคลุมบดบังวิสัยทัศน์ ก่อนวินาทีต่อมาความรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณหน้าผากจะวิ่งไปทั่วร่าง พร้อมกับเสียงแก้วแตกเป็นตัวเฉลยต้นตอของความเจ็บเมื่อครู่ ทว่าไม่ทันจะได้ตั้งตัวผ้าห่มที่คุมร่างกลับถูกกระชากกลับอย่างแรง ส่งผลให้ชายผมเงินล้มลงแทบเท้าปีศาจ ซึ่งทุกอย่างเกิดขึ้นและจบลงเพียงเสี้ยววินาที ไม่มีใครได้ทันตั้งตัว บัดนี้คนที่เคยอยู่บนเตียงกลับอยู่เบื้องหน้าร่างสูงใหญ่ พลางใช้เท้าเหยียบศีรษะคนปากเก่งไม่ให้เงยขึ้นมา

    “ขอโทษหรือตาย เลือกเอา”

    น้ำเสียงเรียบนิ่งกลับทำให้เหล่าผู้บุกรุกรู้สึกหนาวเหน็บ แม้ตอนนี้โนอาร์จะอยู่ในชุดผู้ป่วยดูอ่อนแอ การเคลื่อนไหวฉับพลันกระตุกสายน้ำเกลือหลุดจนเลือดสีแดงสดไหลหยดจากหลังมือกระทบพื้นกระเบื้องขาว ทว่าทุกสิ่งที่กล่าวมากลับถูกกลบด้วยบรรยากาศเยียบเย็นอันตราย นัยน์ตารัตติกาลดำมืดจ้องสองผู้บุกรุกที่มัวแต่ยืนอึ้ง บอกเป็นนัยว่าอย่าคิดตุกติก

    “หึ... หึ... ได้แต่หลบอยู่หลังคนอื่น ปีศาจกระจอกแบบแกก็ทำได้แค่-”
    “ตึง!!!”
    “อั่ก!!”

    ฝ่าเท้าหนักยกขึ้นก่อนกระทืบอย่างแรงลงกลางศีรษะคนไม่สำนึก แรงกระแทกส่งผลให้หน้าผากคนใต้เท้าฟาดพื้นซ้ำแผลเก่า หยาดของเหลวสีแดงทิ้งร่องรอยบนพื้นดูสกปรก สองนักล่าปีศาจที่ยืนมองอยู่ทนไม่ไหว หมายจะเข้ามาจัดการคนป่วย ทว่าปีศาจกลับเร็วกว่า ใช้ร่างสูงใหญ่ของตนขวางกั้นไม่ให้นักล่าปีศาจถึงตัวมนุษย์

    “คนของข้าไม่เกี่ยวด้วย อย่ายุ่งกับเขา”

    น้ำเสียงกดต่ำกล่าวเตือน พร้อมนัยน์ตาดุสีอำพันวาววามอันตรายจ้องนิ่งไปที่สองนักล่าปีศาจ ท่าทางดุดันน่าเกรงขามของปีศาจในยามนี้ ช่างต่างกับช่วงถูกปรามาสถากถางลิบลับ ราวกับว่ามนุษย์ที่อยู่ข้างหลังร่างสูงใหญ่ จะเป็นเรื่องเดียวที่ปีศาจกินวิญญาณไม่ยอมใครหน้าไหนทั้งนั้น

    “ก็บอกแล้วว่าให้หนีไปสุดขอบโลก ทำไมไม่หนีเล่า คุณนักธุรกิจผมหงอก” จินที่เฝ้าดูเหตุการณ์เงียบ ๆ กล่าวหยอกล้อชายใต้เท้าบุคคลอันตราย
     “ทำไมต้องหนีไอ้ปี-”
    “ตึง!!!”
    “อั่ก!!” เพียงแค่พยางค์ต้องห้ามออกจากปาก ฝ่าเท้าหนักก็กระทืบซ้ำอีกครา ทว่าคราวนี้เป็นกลางแผ่นหลัง ส่งผลให้คนโดนโทษทัณฑ์จุกจนหมดเสียงโต้ตอบ
    “ได้ยินแว่ว ๆ พวกคุณเป็นนักล่าปีศาจสินะ ผมขอถามหน่อย หน่วยข่าวกรองของคุณไม่ได้เล่าเหรอว่าผู้คุมวิญญาณนั่นมันทำอะไรกับโนอาร์และก็คุณเอทอสบ้าง ที่โนอาร์ต้องเข้าโรง-”
    “จิน”

    เสียงเรียกชื่อจากปีศาจทำให้คนเผลอหลุดปากพูดบางสิ่งชะงัก จินลองลอบมองคนอันตราย พบว่า เจ้าของบรรยากาศเย็นยะเยือกดูจะไม่สนใจคำพูดเมื่อครู่ เขาถึงได้แอบถอนหายใจโล่งอก และในตอนนั้นเองที่ประตูห้องพักเปิดอีกครั้ง ครานี้เป็นนางพยาบาลที่ได้ยินเสียงตึงตังจึงได้ลองเข้ามาดู ซึ่งสภาพภายในห้องก็ทำให้เธอต้องถามเรื่องราวอย่างตกใจ

    “เกิดอะไรขึ้นคะ?!”
    “เอาออกไป เป็นผู้ดีซะเปล่า แต่มาสร้างปัญหาในโรงพยาบาล ชั้นต่ำ”

    ชายเลือดเย็นในชุดคนป่วยสั่งนางพยาบาลด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น ก่อนแตะอัดคนใต้เท้าไปให้พ้นตัวราวกับอีกฝ่ายเป็นเชื่อโรคน่ารังเกียจ ซึ่งนางพยาบาลที่เพิ่งเห็นเหตุการณ์ก็ไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเหตุใด สิ่งที่เห็นกลับดูขัดกับคำพูดที่ได้ยิน เนื่องจากมีแค่คนก่อความวุ่นวายเท่านั้นที่เป็นฝ่ายเจ็บตัว แต่ถึงอย่างไรเธอก็ต้องทำตามหน้าที่เชิญคนนอกออกไป ซึ่งนั่นก็ทำให้นางพยาบาลถึงกับต้องตกใจซ้ำสอง เมื่อหนึ่งในคนสร้างปัญหา เป็นถึงนักธุรกิจหนุ่มเจ้าของบริษัทใหญ่ ทว่าที่สำคัญกว่าคืออีกฝ่ายศีรษะแตกเลือดไหลอาบอย่างน่ากลัว เห็นดังนั้นเธอจึงต้องรีบพาชายผมเงินไปปฐมพยาบาล

    เมื่อทุกอย่างกลับสู่ความสงบดังเดิม ชายเลือดเย็นไม่คิดปล่อยเรื่องราวผ่านพ้นโดยง่าย ซึ่งผู้ที่ต้องคอยตอบคำถามก็คือร่างสูงใหญ่ที่ถูกนัยน์ตารัตติกาลจ้องมองอย่างคาดคั้น

    “เมื่อเจ้าหายดี ข้าจะตอบทุกสิ่งที่เจ้าอยากรู้”
    “ผมหายดีแล้ว”
    “…”
    “เอทอส ผม-”
    “เจ้ารักข้าไหม?”
    
    การเปลี่ยนเรื่องฉับพลัน ทำให้คนอยากรู้สับสนเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าเอทอสต้องการสื่ออะไร ทว่าสุดท้ายมนุษย์ก็จำต้องตอบเมื่อถูกถามซ้ำอีกครั้ง

    “ผมรักคุณ”
    “รักมากพอที่จะอยู่กับข้าจนสิ้นอายุขัยไหม” ปีศาจถามต่อ
    “ผมรู้ว่าอายุขัยมนุษย์ไม่เพียงพอจะอยู่เคียงข้างคุณไปตลอด แต่ถึงผมจะตายก่อน วิญญาณผมจะอยู่กับคุณเสมอ”
    “ข้าก็เช่นกัน” เอทอสพึมพำแผ่วเบาเกินกว่าโนอาร์จะได้ยิน แล้วจึงเอ่ยเข้าเรื่องที่ต้องการบอกมนุษย์
    “เมื่อปีศาจเลือกคู่ของตนและต้องการครอบครอง ปีศาจจะผูกสัมพันธ์กับคู่ของตน” ร่างสูงใหญ่กล่าวพลางค่อย ๆ โอบเอวมนุษย์ตรงหน้าเข้ามาชิดตัว
    “…”
    “หากปีศาจและคู่ที่ปีศาจเลือกมีความรู้สึกตรงกันและแรงกล้ามากพอ จะก่อเกิดสัญลักษณ์ครองคู่แบบเดียวบนร่างกายของทั้งสอง เพื่อเป็นเครื่องหมายให้ปีศาจตนอื่นรู้ว่ามีคู่ครองแล้ว”

    ใบหน้าคมเข้มติดดุเริ่มก้มต่ำเข้าหาใบหน้าขาวเรียบนิ่งของมนุษย์ทีละน้อย จนเริ่มรู้สึกถึงลมหายใจของกันและกัน
 
    “และถ้าการผูกสัมพันธ์สำเร็จ ความทรงจำในอดีตจะถูกแลกเปลี่ยนกัน แล้วเจ้าจะได้รู้ทุกสิ่งรวมถึงความรู้สึกของข้าที่มีต่อเจ้า”
    “…”
    “ข้าอยากรอให้ร่างกายเจ้าพร้อมก่อน เจ้าอดทนรอให้ถึงตอนนั้นได้หรือไม่”
    “…ผมจะรอ แต่ผมขอรู้ได้ไหมว่าผูกสัมพันธ์ของปีศาจเป็นยังไง”

    เจ้าของนัยน์ตารัตติกาลมืดมืดที่ยามนี้วาววามคล้ายมีหมู่ดาวมากมายแกล้งเอ่ยถาม แม้เขาจะพอคาดเดาคำตอบได้ แต่ก็อยากได้ยินคำยืนยันจากปีศาจเช่นกัน ดังนั้นสองแขนจึงโอบรอบลำคอแกร่ง เพื่อให้ฟังได้อย่างชัดเจน

    “การผูกสัมพันธ์ของปีศาจ หากเทียบกับของมนุษย์ก็คงเรียกว่า...”
    “…”
    “การร่วมรัก”

    เมื่อสิ้นเสียงทุ้มต่ำกระซิบแผ่วเบา สัมผัสร้อนนุ่มนวลจากร่างสูงใหญ่พลันกดลงบนกลีบปากนุ่มหยุ่นของมนุษย์ สัมผัสแนบแน่นบดเบียดขบเม้มชวนให้อวัยวะกลางอกเต้นแรง ก่อนที่ความรู้สึกอุ่นวาบจะกระจายไปทั่วร่าง เมื่อปลายลิ้นร้อนของปีศาจเข้ามาเกี่ยวกระหวัดหยอกล้อกับลิ้นนุ่มของมนุษย์ในโพรงปาก ลิ้นหนารัดรึงเก็บเกี่ยวจดจำทุกรสหวานให้ฝั่งลึก ทุกการเคลื่อนไหวแสดงออกถึงห้วงอารมณ์คะนึงหาผ่านภาษากายอย่างอ่อนโยน สัมผัสวาบหวามเนินนานก่อเกิดเสียงแลกเปลี่ยนลมหายใจดังทั่วห้องพักสงบเงียบ หลงลืมใครบางคนที่ถูกปล่อยเบลอเป็นส่วนเกิน

    จินรู้สึกหน้าร้อนฉ่าเมื่อเห็นคู่รักต่างเผ่าพันธุ์แสดงความรักดูดดื่มต่อหน้า ไม่เข้าใจว่าทำไมเหตุการณ์ตึงเครียดก่อนหน้า สุดท้ายถึงลงเอ่ยด้วยบทจูบลึกล่ำเช่นนี้ รวมถึงไม่อยากเชื่อด้วยว่า พ่อคนเลือดเย็นอย่างโนอาร์จะหลงคารมของคุณเอทอส จนถึงขนาดไม่รู้ว่าคุณเอทอสแค่อยากเบี่ยงเบนประเด็น ถ้าเป็นเขาต่อให้ใช้กล้องส่องทางไกลซูมดูจากอีกตึกหนึ่งยังรู้เลย!


    “เอทอส ผมขออนุญาตได้ไหม” มนุษย์ในอ้อมแขนแกร่งเอ่ยถาม หลังผ่านพ้นช่วงแห่งความหวาน
    “ขออะไร”
    “นะครับ”

    ปีศาจถึงกับนิ่งงันไปชั่วครู่เมื่อมนุษย์พูดจาคล้ายกำลังออดอ้อนเขา เป็นการกระทำที่เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าจะได้เห็นจากชายผู้กลิ่นอายวิญญาณชั่วร้ายเข้มข้นอย่างโนอาร์ และนั่นก็ทำให้ร่างสูงใหญ่เผลอตอบรับโดยไม่รู้ตัว

    “อืม”
    “ผมอยากทำแผล”

    โนอาร์เอ่ยพลางชูหลังมือที่เลือดยังคงไหล เนื่องมาจากการกระชากสายน้ำเกลือ และนั่นถึงกับทำให้นัยน์ตาสีอำพันดุเบิกกว้างอย่างตกใจ รีบพามนุษย์มานั่งที่เตียงพร้อมตำหนิตัวเองในใจไปด้วย ที่มัวแต่หลงอยู่ในห้วงอารมณ์จนลืมไปว่าคนของเขาบาดเจ็บอยู่ ก่อนจะรีบออกจากห้องไปตามพยาบาลมาทำแผล

    หลังห้องพักปราศจากเงาร่างสูงใหญ่ บรรยากาศบางเบาพลันเลือนหาย แทนที่ด้วยความหนาวเหน็บเย็นยะเยือกจากคนบนเตียง ซึ่งนั่นทำให้คนพลอยได้รับผลกระทบอย่างจินถึงกับทำตัวไม่ถูก ลองลอบมองต้นเหตุความอึดอัด ก่อนพบว่าโนอาร์กำลังหยิบโทรศัพท์จากลิ้นชักข้างเตียง เพื่อโทรหาใครบางคน

    […] ปลายสายรับ ทว่ากลับเงียบไม่ยอมตอบ
    “หยกสบายดีไหม”
    [ต้องการอะไร?] น้ำเสียงนิ่งรีบตอบกลับทันที เมื่อได้ยินต้นสายถามถึงคนสำคัญ
    “มีคนให้จัดการ ข้อมูลจะส่งให้ในอีเมลภายในคืนนี้”
    [แปลก... น่าจะชอบลงมือเองมากกว่าไม่ใช่หรือไง]
    “คนแบบเดียวกัน คงรู้จุดอ่อนของกันดี ทำให้ตายทั้งเป็นก็พอ ถือเป็นการเปิดงานเทศกาล ส่วนฉากจบจะเป็นคนจัดให้เอง”

    ผู้ริเริ่มแผนการเลวร้ายกล่าวสรุปก่อนกดตัดสาย เพียงบทสนทนาสั้น ๆ ที่จินเผลอหลุดพูดกับพวกนักล่าปีศาจ ก็มากเพียงพอให้โนอาร์ปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด

    วรรษ อดีตผู้ว่าจ้างคนล่าสุดของเขา อีกบทบาทหนึ่งคือผู้คุมวิญญาณ พี่ชายของสีครามเจ้าของร้านดอกไม้ เบื้องหน้าเป็นพี่ชายแสนดีเบื้องหลังกลับเลวร้ายไม่ต่างจากเขาเท่าไร เขาหาข้อมูลอดีตผู้ว่าจ้างรายนี้ทันทีหลังจบเรื่องคุยงานเมื่อนานมาแล้ว เนื่องจากเอทอสมีท่าทีไม่ไว้ใจ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ลงมือทำอะไรเพิ่มเติม
    จนกระทั่งปีศาจของเขาเริ่มมีท่าทีแปลกไปก่อนยอมเฉลยว่า เขากำลังโดนวิญญาณจ้องเล่นงาน ครานี้ประวัติผู้คุมวิญญาณถึงถูกสืบอย่างละเอียด เพราะมีโอกาสสูงที่จะเป็นตัวการ ตั้งใจว่าหลังจบงานฉลองวันเกิดให้เอทอสจะแวะไปเล่นด้วย ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนชวนก่อน ซึ่งแน่นอนว่าเขาต้องตอบรับคำเชิญด้วยการจัดงานเทศกาลให้อย่างสาสม
    ทว่าจากเรื่องวุ่นวายเมื่อครู่ เขาอาจต้องเชิญแขกคนพิเศษมาร่วมงานด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่คนอื่นไกล ภาคิน นักธุรกิจหนุ่มที่มีอีกบทบาทเป็นนักล่าปีศาจ โดยเขาหวังว่าทุกคนจะชื่นชอบงานที่เขากำลังจะเตรียมให้และจดจำไปจนถึงวินาทีสุดท้ายของลมหายใจ

    “จะบอกเอทอสก็ได้ เพราะไม่ใช่ความลับอะไร แต่รับรองว่าที่นั่งพิเศษสุดในงานที่กำลังเริ่ม จะเป็นของนาย จิน”

     น้ำเสียงเรียบนิ่งของเจ้าภาพงานเทศกาลเลวร้าย กล่าวเตือนใครอีกคนในห้อง ซึ่งคนถูกเรียกชื่อก็ได้แต่ส่ายหน้าระรัว ตอนนี้จินไม่แน่ใจแล้วว่าระหว่างโนอาร์กับคุณเอทอสใครกันแน่ที่หลงคารมอีกฝ่าย แต่ที่แน่คือเขาอยากขอโทษคุณเอทอส เพราะดูเหมือนการเผลอพูดของเขา จะทำให้โนอาร์พอคาดเดาเรื่องราวได้แล้ว
    ทว่าก่อนจะไปถึงขั้นนั้น เขาอยากให้คุณเอทอสรีบกลับมาโดยเร็ว ก่อนที่เขาจะตายเพราะจิตสังหารเยือกเย็นของโนอาร์ ที่แผ่ออกมาไม่ยอมหยุด
    



บท23 สมบูรณ์



ถึงคนอ่าน

    ขอบคุณทุกคนอ่านที่เดินทางกันมาถึงตอนนี้นะครับ วันนี้ไม่มีอะไรพิเศษครับ แค่อยากลองถามคนอ่านว่า คนที่โนอาร์โทรหาน่าจะเป็นใครครับ เขาคนนั้นคือหายไปนานมากกก นานจนคนเขียนก็เกือบลืมไปแล้วเหมือนกัน 5555



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-11-2020 01:49:37 โดย biOmos »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
โนอาร์เอาคืนให้เอทอสหนักๆเลย

ออฟไลน์ biOmos

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
    รถยนต์คันหรูขับเข้าหมู่บ้านจัดสรรในเวลาหัวค่ำ ก่อนหยุดอยู่หน้ารั้วใหญ่ของบ้านหลังหนึ่ง ไม่นานคนดูแลบ้านก็วิ่งมาเปิดประตูให้รถของเจ้านายขับเข้าไป ภาคินสูดอากาศเข้าเล็กน้อยหลังจอดรถในตำแหน่งประจำ พลางมองรอยแผลบริเวณหน้าผากที่เพิ่งได้รับมาเมื่อช่วงเช้า เมื่อพร้อมจึงดับเครื่องยนต์และออกไปหาเหล่าพ่อบ้านแม่บ้านที่คอยยืนรอต้อนรับ

    “ตายแล้ว! คุณภาคินเกิดอะไรขึ้นคะ?!”

    เสียงแม่บ้านคนหนึ่งร้องถามอย่างตกใจ เมื่อเห็นคุณหนูของตนกลับมาพร้อมกับรอยแผลอีกแล้ว ซึ่งนั่นตรงกับปฏิกิริยาที่ชายผมเงินคาดการณ์ไว้ ภาคินได้แต่เพียงยิ้มตอบเล็กน้อยให้กับเหล่าสายตาหลายคู่ที่มองเขาด้วยความเป็นห่วง ก่อนเอ่ยตอบคำถาม

    “ผมซุ่มซ่ามไม่ดูทางเลยเดินชนป้ายเข้าน่ะครับ”
    “ให้หมอลองตรวจดูหรือยังครับคุณภาคิน ถ้ายังให้ผมเรียกคุณหมอให้ไหมครับ” พ่อบ้านอาวุโสคนหนึ่งถามต่อ
    “เรียบร้อยแล้วครับ ได้ยามาทานด้วย ขอบคุณครับ”

    คุณหนูที่บัดนี้เป็นชายหนุ่มตอบพร้อมโชว์ถุงยาให้ดู ก่อนกล่าวขอบคุณตบท้าย ส่งผลให้เหล่าคนที่เสมือนเป็นครอบครัวของเขาพอเบาใจ แล้วจึงชวนกันเข้าบ้านพักหลังใหญ่อบอุ่น

    เมื่อเดินมาถึงส่วนของห้องทานอาหาร บนโต๊ะกินข้าวล้วนเต็มไปด้วยมื้อค่ำของโปรดชายผมเงิน ทุกจานชามยังคงมีควันขาวลอยอ่อนพร้อมกลิ่นหอมชวนลิ้มลอง บ่งบอกว่าอาหารเหล่านี้เพิ่งเตรียมเสร็จ สำหรับรอต้อนรับการกลับมาของเจ้าบ้านโดยเฉพาะ

     “มีแต่ของน่าทานทั้งนั้นเลย ขอบคุณครับ”

    ภาคินกล่าวขอบคุณด้วยแววตาแฝงรอยยิ้ม พร้อมนั่งลงตรงหัวโต๊ะเพียงลำพัง ท่ามกลางเหล่าที่เก้าอี้ว่างเปล่ารายล้อม แม้เขาจะเคยชวนให้เหล่าผู้ดูแลบ้านหลายครั้งให้มาทานร่วมกัน แต่สุดท้ายมักถูกปฏิเสธกลับเสียงแข็งเสมอ เนื่องเพราะความไม่เหมาะสมที่ลูกน้องจะนั่งเสมอนาย ถึงเขาจะย้ำว่าเห็นทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกันและไม่เคยถือสาเรื่องเหล่านั้นเลยก็ตาม

    “งั้นคุณภาคินต้องทาน เยอะ ๆ เลยนะคะ”

    แม่บ้านผู้รับผิดชอบส่วนมื้ออาหารตอบกลับพร้อมรอยยิ้มดีใจ พลางคดข้าวสวยร้อนหอมกลิ่นที่เพิ่งหุงเสร็จใหม่ ๆ ลงบนจานด้านหน้าชายผมเงิน ภาคินค้อมหัวขอบคุณเล็กน้อยก่อนเริ่มทานมื้อเย็นรวบมื้อกลางวัน เสียงชมรสชาติไม่ขาดปากดังขึ้นตลอดมื้ออาหาร ก่อเกิดบรรยากาศอบอุ่นเล็ก ๆ ในบ้านพักหลังใหญ่ แม้บทบาทระหว่างกันจะเป็นเพียงเจ้านายและข้ารับใช้ ทว่าในความรู้สึกของทุกคนล้วนผูกพันแน่นแฟ้น ไม่ต่างจากคนในครอบครัวร่วมสายเลือด


“คุณภาคินครับ เพื่อนคุณภาคินมาขอพบครับ ตอนนี้กำลังรอในห้องรับแขก”

    พ่อบ้านคนหนึ่งกลับเข้ามารายงานที่ห้องอาหาร หลังปลีกตัวไปดูคนที่มากดกริ่งเมื่อครู่ เป็นเวลาเดียวกับที่ชายหนุ่มลุกออกจากโต๊ะทานข้าวพอดี ได้ยินดังนั้นภาคินจึงขอให้พ่อบ้านเชิญเพื่อนคนนั้นไปรอเขาที่ห้องทำงาน ส่วนเขาหลังจากช่วยแม่บ้านเก็บจานชามเรียบร้อยค่อยตามไป ซึ่งแน่นอนว่าแม่บ้านที่ได้ฟังต่างพากันปฏิเสธ และบอกให้คุณหนูของตนรีบไปพบเพื่อนเผื่อมีเรื่องด่วน ทว่าครานี้ชายผมเงินกลับยืนยันหนักแน่น พร้อมอ้างว่าหากมัวแต่ค้าน เพื่อนของเขาก็จะยิ่งรอนาน สุดท้ายเหล่าแม่บ้านจึงได้แต่ปล่อยให้คุณหนูทำตามใจ


    “แกร๊ก!”
    “พานักล่าปีศาจฝึกหัดไปด้วยแบบพลการ แล้วยังสร้างเรื่องอีก รู้สึกว่านายจะทำอะไรตามใจเกินไปไหม ภาคิน”

    เพื่อนร่วมงานในฐานะนักล่าปีศาจด้วยกัน กล่าวขึ้นทันทีเมื่อเห็นเจ้าของห้องเปิดประตูเข้ามา เหตุการณ์ความวุ่นวายในโรงพยาบาลเมื่อช่วงกลางวัน กระจายไปทั่วในหมู่นักล่าปีศาจ ลำบากองค์กรต้องช่วยทำให้เรื่องเงียบ เพราะอาจส่งผลต่อการทำงานของกลุ่มนักล่าปีศาจในอนาคต โซคดีที่พวกนักล่าปีศาจฝึกหัดที่ถูกพาไปไม่ได้เป็นอะไร มิเช่นนั้นบทลงโทษที่เขาเอามาบอกคงได้หนักหนากว่านี้แน่

    “ที่พาไปเพราะอยากให้พวกนั้นได้ลองปฏิบัติ และอีกอย่างประเมินแล้วว่าปลอดภัย เพราะปีศาจเสแสร้งอย่างมันต้องไม่กล้าทำอะไรกลางฝูงชน”
    “แต่รีบเกินจนลืมเช็กอาการนักฆ่าที่ปีศาจเฝ้า ก็เลยหัวแตกกลับมา”
   “…”

    เพื่อนนักล่าปีศาจช่วยต่อประโยค พลางเหลือบมองรอยแผลตรงหน้าผากชายผมเงินเล็กน้อย ส่วนคนถูกเหน็บแนมก็ได้แต่นิ่งเงียบยอมรับความสะเพร่าของตน เห็นดังนั้นเพื่อนนักล่าปีศาจจึงยักไหล่คล้ายไม่ใส่ใจ ก่อนเอ่ยเข้าเรื่องที่เขามาในวันนี้

    “เวลามีข่าวเกี่ยวกับปีศาจนั่นนายชอบทำอะไรพลการเกินจำเป็น อย่างเรื่องเมื่อนานมาแล้วที่นายใส่ไฟจนมีนักล่าปีศาจหลายคนเชื่อ ถึงขั้นเริ่มแผนการกำจัดทั้งที่ปีศาจตนนั้นยังไม่ได้ทำอะไรเลย”
    “ตัดไฟทิ้งซะตั้งแต่ต้นลม ไม่ดีกว่าหรือไง” ภาคินเอ่ยแย้ง แววตาแข็งกร้าวยืนยันความคิดของตน
    “แล้วเรื่องสอดแนมที่นายอาสาทำ แต่กลับเอาไปใช้หาเรื่องปีศาจ กับเรื่องในโรงพยาบาลเมื่อกลางวันนี้ นายจะแก้ตัวยังไง”
    “…” เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไม่ยอมตอบ เพื่อนนักล่าปีศาจจึงกล่าวต่อ
    “จากหลายเรื่องที่นายทำ กลุ่มนักล่าปีศาจเลยลงความเห็นว่า ต่อจากนี้นายห้ามทำงานที่เกี่ยวข้องกับปีศาจตนนั้นอีกทุกกรณี"
    “ไม่มีทาง!! ไม่ว่ายังไงมันต้องตายด้วยมือฉัน! ให้สาสมกับความระยำของมัน ความผิดของปีศาจที่ฆ่ามนุษย์คือต้องถูกกำจัด ฉันก็กำลังลากมันมารับโทษที่มันเคยทำอยู่นี่ไง แล้วทำไมพวกนายถึงเอาแต่คอยปกป้องมัน!!”

    ภาคินโต้กลับด้วยความโกรธเกรี้ยว นัยน์ตาวาวโรจน์ด้วยความเครียดแค้นที่สั่งสมเป็นเวลานาน บรรยากาศดาลเดือดล้อมรอบกายต่างจากช่วงที่อยู่กับเหล่าพ่อบ้านแม่บ้านราวกับเป็นคนละคน ไม่มีใครเคยรู้ว่าอีกด้านหนึ่งของนักธุรกิจหนุ่มมากความสามารถ แท้จริงกลับเก็บซ่อนภูเขาไฟคุกกรุ่นพร้อมประทุตลอดเวลา มีเพียงกลุ่มนักล่าปีศาจเท่านั้นที่รับรู้ถึงมุมนี้ของชายผมเงินจนคุ้นชิน จึงทำให้การพูดตอบของเพื่อนนักล่าปีศาจยังคงน้ำเสียงราบเรียบเช่นเดิม

    “นายจะคิดยังไงก็ช่าง แต่อย่าลืมว่ากลุ่มนักล่าปีศาจเรามีเกียรติ ไม่ใช่คิดจะทำอะไรตามใจชอบ และเราคงไม่ปล่อยให้เกียรติถูกทำลายเพียงเพราะใครบางคนที่คุมอารมณ์ไม่อยู่” เพื่อนนักล่าปีศาจกล่าวพลางเดินไปหน้าประตูเมื่อหมดธุระ
    “…”
    “ส่วนเรื่องโทษที่ปีศาจทำร้ายผู้คุมวิญญาณ ฉันจะทำต่อเองอย่าได้ห่วง ระหว่างนี้นายก็เอาเวลาไปนั่งเขียนรายงานชี้แจงกลุ่มนักล่าปีศาจกับทบทวนความผิดตัวเองแล้วกัน ภาคิน”

    ผู้มาเยือนยามค่ำจากไปพร้อมแนะนำทิ้งท้าย ปล่อยให้คนที่กำลังคุกกรุ่นจมดิ่งอยู่ในห่วงอารมณ์โทสะที่เจ้าตัวสร้างขึ้นมาเพียงลำพัง



    ณ ห้องผู้ป่วยโรงพยาบาลที่มีบุคคลอันตรายพักรักษาตัวอยู่ บ่ายวันนี้คล้ายดูคึกคักเป็นพิเศษ เมื่อศิลากับนาวาเป็นตัวแทนของเหล่าคนงานมาเยี่ยมให้กำลังใจคนรักของนายใหญ่ เสียงเจื้อยแจ้วไม่หยุดปากจากเด็กวัยรุ่นพูดเก่ง กลบบรรยากาศอึมครึมแสดงถึงความรำคาญของผู้ป่วยบนเตียงไม่มีเหลือ ถึงแม้โนอาร์จะพยายามทำหูทวนลมหรือแม้กระทั่งใช้สายตาข่มขู่อ้อม ๆ ก็ดูจะไม่มีผลกับเด็กคนนี้เลย จนสุดท้ายชายเลือดก็จำต้องทนฟังเสียงน่ารำคาญของนาวาต่อไปอย่างช่วยไม่ได้

    โดยช่วงจังหวะหนึ่งโนอาร์ลองส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากปีศาจผู้เป็นที่รัก ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาคือนัยน์ตาดุสีอำพันแฝงความขบขัน และนั่นทำให้เขารู้ทันทีว่า ตัวการที่พาความวุ่นวายเข้ามาในห้องพักแสนสงบสุข ก็คือร่างสูงใหญ่ของเจ้าของสวนที่กำลังนั่งคุยงานกับเลขาตรงโซฟา

    “นี่พี่โนอาร์ ช่วงที่พี่ยังไม่ฟื้นกล้วยไม้พันธุ์ใหม่ที่อาเอทอสเอามาปลูกออกดอกแล้วนะ ผมเก็บมาฝากให้พี่โนอาร์ด้วยดูสิ สีน้ำเงินอมม่วงสวยมาก ขนาดผมเป็นพวกเฉย ๆ กับดอกไม้นะ เห็นครั้งแรกยังชอบเลย”

    นาวาพูดพลางโชว์ดอกกล้วยไม้ที่เพิ่งจัดใส่แจกันเสร็จให้คนบนเตียงดู แม้รูปร่างลักษณะตัวดอกจะไม่เหมือน แต่สีสันนั้นกลับคล้ายคลึงชวนให้นึกถึงดอกไม้ที่ชายเลือดเย็นเคยให้เป็นของขวัญปีศาจ ส่งผลให้คนบนเตียงเริ่มมีท่าทีสนใจ ก่อนรับแจกันที่มีดอกไม้นั้นมาถือเองเพื่อจะดูได้ถนัด ซึ่งปฏิกิริยาดังกล่าวทำให้เด็กวัยรุ่นเผลอเข้าใจว่าการชวนคุยของตนสำเร็จแล้ว จึงรีบสาธยายที่มาของดอกไม้ และนั่นทำให้นายใหญ่ของสวนที่กำลังคุยงานอยู่ไม่ไกล เผลอชะงักไปเล็กน้อย

    “ดอกกล้วยไม้เนี่ยอาเอทอสหวงมากเลยนะพี่โนอาร์ ไม่ยอมให้ขาย แล้วยังให้ลุง ๆ ป้า ๆ ช่วยดูแลอย่างดี แต่รู้ไหมพี่ ตอนผมขออาตัดดอกกล้วยไม้มาเยี่ยม อาเอทอสกลับคะยั้นคะยอให้ผมตัดดอกกล้วยไม้ที่อาโคตรหวง ผมว่าอาเอทอสตั้งใจเก็บไว้ให้พี่แหละ แต่เพราะต้องเฝ้าพี่โนอาร์ที่โรงพยาบาลตลอดเลยฝากผมเอามาให้พี่แทน”
    “นาวา”

    ศิลาเอ่ยปรามลูกชายเล็กน้อย ทว่าเจ้านายกลับโบกมือคล้ายไม่ถือสา ส่วนโนอาร์หลังฟังจบก็ละสายตาจากดอกกล้วยไม้ ก่อนหันมองร่างสูงใหญ่ตรงโซฟาที่แสร้งคุยกับศิลาต่อไม่สนใจเขา และนั่นส่งผลให้รอยยิ้มมุมปากเริ่มปรากฏบนใบหน้าเจ้าชายน้ำแข็ง ก่อนกล่าวตอบกลับนาวาเรื่องดอกไม้ ทว่ากลับทำให้นัยน์ตาดุสีอำพันของปีศาจที่กำลังลอบฟังอยู่ ดูอบอุ่นขึ้นระดับหนึ่ง

    “สวยมากขอบใจ มีดอกไม้จากสวนเป็นกำลังใจคิดว่าคงหายเร็วขึ้น”
    “ใช่พี่! พี่ต้องหายไว ๆ นะ ทุกคนที่สวนคิดถึงพี่โนอาร์กับอาเอทอสมากเลย”
    “อืม ทิ้งสวนไปนานคงต้องรีบกลับไปดูแล โดยเฉพาะกล้วยไม้ต้นนี้”


    กว่าห้องพักผู้ป่วยจะเงียบสงบอีกครั้ง เวลาก็ล่วงเลยมาถึงช่วงเย็นหลังศิลากับนาวาขอตัวกลับ บัดนี้ภายในห้องเหลือเพียงโนอาร์และเอทอส ส่วนคนรับหน้าที่เฝ้าประจำอย่างจินกลับหายตัวไร้วี่แวว ราวกับรู้ว่าวันนี้จะมีคนมาเยี่ยมผู้ป่วยอันตราย

    “ชอบมากหรือไง” ปีศาจเอ่ยถามมนุษย์ ที่มัวแต่มองแจกันตรงโต๊ะข้างโทรทัศน์ไม่วางตา
    “ดอกไม้จากคุณ ทำไมผมจะไม่ชอบ” มนุษย์เอ่ยพร้อมหันมาสบปีศาจ นัยน์ตารัตติกาลมืดมิดดูอ่อนโยนเมื่อประสานเข้ากับนัยน์ตาสีอำพัน
    “จากนาวา ไม่ใช่ข้า”
    
    เมื่อได้ยินคำค้าน โนอาร์ก็ได้แต่ส่ายหน้าอ่อนใจในความปากแข็งของปีศาจ ก่อนเอ่ยถามถึงของขวัญที่เขาเคยให้ เพราะทุกครั้งเมื่อเอทอสอยากทำอะไรเพื่อเขา มักเลียนแบบสิ่งที่เขาเคยทำให้ก่อนเสมอ อย่างเช่นคำพูด ข้อความ และคราวนี้เป็นดอกกล้วยไม้ ที่สีสันคล้ายคลึงกับดอกไม้ล่อลวงวิญญาณที่เขาเคยมอบเป็นของขวัญ มันย่อมไม่ใช่ความบังเอิญ

    “แล้วคุณล่ะ ชอบของที่ผมให้หรือเปล่า” คำถามไร้ที่มาชวนให้สับสนว่าเจ้าตัวกำลังกล่าวถึงอะไร ทว่าปีศาจกลับเข้าใจสิ่งที่มนุษย์ต้องการสื่อทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลานึก
    “ข้าไม่ชอบที่เจ้าสรรหาของอันตรายต่อตัวเจ้ามาให้ข้า แต่ถ้าตัดเรื่องนั้นออกไป...”
    “…”
    “มันเป็นของขวัญที่ดีที่สุด”

    รอยยิ้มมุมปากแบบฉบับชายเลือดเย็น พลันปรากฏขึ้นเป็นครั้งที่สองของวัน เมื่อได้ฟังคำตอบแบบอ้อมโลกของปีศาจ และเป็นช่วงเดียวกับที่เสียงเปิดประตูห้องพักดังขึ้น
    มนุษย์คาดว่าอาจเป็นนางพยาบาลที่เข้ามาตรวจเช็กตามหน้าที่ ทว่าความจริงผู้มาเยือนกลับเป็นชายหนุ่มไม่คุ้นหน้า และนั่นทำให้บรรยากาศอบอุ่นเมื่อครู่ ถูกแทนที่ด้วยรังสีอึมครึมไม่เป็นมิตรจากทั้งร่างสูงใหญ่และผู้ป่วยบนเตียง

    “เมื่อไรจะหยุดรังควานข้าเสียที” น้ำเสียงนิ่งของปีศาจเอ่ยขึ้น
    “ต้องขอโทษด้วยสำหรับความวุ่นวายเมื่อวันก่อน เราสั่งห้ามนักล่าปีศาจคนนั้นให้เลิกยุ่งเกี่ยวกับคุณแล้ว แต่เรื่องที่คุณทำร้ายผู้คุมวิญญาณ ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร ปีศาจที่ทำร้ายมนุษย์ก็ต้องได้รับโทษ”
    “หมับ!”

    คำตอบที่ได้รับพลันเฉลยตัวตนแท้จริงของผู้มาเยือน พร้อมกับโนอาร์ที่หมายเข้าไปจัดการคนรนหาเรื่องทันที ทว่าครานี้กลับถูกฝ่ามือใหญ่ของเอทอสรั้งแขนไว้ นัยน์ตารัตติกาลเยียบเย็นหันมาจ้องร่างสูงใหญ่คล้ายถามเหตุผล แต่กลับได้เพียงการส่ายหน้าเชิงห้ามจากปีศาจเท่านั้น

    “ลงโทษยังไง ฆ่าข้า?” การคาดเดาของปีศาจ ทำให้บรรยากาศรอบตัวคนบนเตียงยิ่งเย็นยะเยือก พร้อมแรงขืนที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทว่าก็ยังไม่อาจหลุดจากการเหนี่ยวรั้งของปีศาจข้างกาย
    “โทษตายใช้กับปีศาจที่สังหารมนุษย์ แต่คุณไม่ได้ถึงขั้นนั้น แค่ใส่เครื่องติดตามก็พอ”

    นักล่าปีศาจกล่าวพลางหยิบบางสิ่งขึ้นมา สิ่งนั้นมีลักษณะคล้ายปลอกคอเหล็กหนาสีดำสนิท มีจุดแสงสีเขียวแสดงสถานะ ของตรงหน้าเรียกคิ้วหนาบนใบหน้าคมของร่างสูงใหญ่ให้ขมวดเข้าหากัน ก่อนไม่นานเจ้าของอุปกรณ์จะช่วยขยายความเข้าใจ

    “ใส่เครื่องติดตามนี้ไว้ที่คอ มันจะบอกตำแหน่งทุกที่ที่คุณไป คุณยังสามารถหากินและใช้ชีวิตได้ปกติ พอถึงเวลาหนึ่งเมื่อเรามั่นใจว่าคุณไม่อันตราย เราจะส่งนักล่าปีศาจมาปลดเครื่องคิดตามให้คุณ แต่ถ้าระหว่างที่ใส่เครื่องติดตามอยู่แล้วคุณเกิดจู่โจมมนุษย์อีก ใบมีดที่ซ่อนอยู่รอบสายจะตัดคอคุณทันที”

    คำอธิบายการทำงานของเครื่องติดตามไม่ต่างจากเครื่องคุมความประพฤติ ที่หากทำผิดพลาดเพียงครั้งเดียวจุดจบคือความตาย พลันเปลี่ยนให้อากาศภายในห้องลดต่ำลงจนคล้ายติดลบในความรู้สึก ต้นตอของความหนาวเหน็บเย็นยะเยือกหาใช่คนอื่นไกล เจ้าของห้องพักที่กำลังจ้องนิ่งไปยังเหลือบไรที่ริอ่านตัดสินชีวิตปีศาจของเขา

    “ให้เอทอสใส่ของแบบนั้น จะเอาอะไรมาเป็นหลักประกันว่าเครื่องนั่นจะไม่เกิดผิดพลาด และทำให้เอทอสตายปล่าว” น้ำเสียงเรียบนิ่งทว่าแฝงความอันตรายของคนบนเตียงเอ่ยถาม
    “ทุกอุปกรณ์ของกลุ่มนักล่าปีศาจได้-”
    “หลัก ประ กัน คืออะไร?” โนอาร์กล่าวขัดเน้นเสียง ไม่คิดฟังคำพูดพร่ำเพ้อไร้สาระ
    “ขอเอาเกียรติของ-”
    “หลัก ประ กัน”
    “…”
    “ชีวิตเอทอสขึ้นอยู่กับเครื่องนี่ สิ่งที่เอามาประกันต้องมีค่าเทียบเท่าหรือมากกว่า ถ้าอยากให้ใส่นัก คนที่เอามาต้องใส่ด้วยเพื่อแสดงความรับผิดชอบ และเอาชีวิตตัวเองเป็นเดิมพัน”
    “...หากยังพยายามขัดขืน ผมขอเตือนว่าบทลงโทษปีศาจของคุณอาจไม่ใช่แค่ใส่เครื่องติดตาม”
    “แค่ใส่ปลอกคอนั่นก็พอใช่ไหม”
    “เอทอส!”

    เอทอสที่เงียบฟังอยู่นาน เอ่ยขัดเพื่อยุติเรื่องราวพร้อมกับรับเครื่องติดตามจากนักล่าปีศาจมาสำรวจครู่หนึ่ง ก่อนสวมใส่ที่คอของตนท่ามกลางสายตาค้านของนัยน์ตารัตติกาล ส่วนนักล่าปีศาจเมื่อเห็นปีศาจยอมทำตามแต่โดยดี จึงบอกระยะเวลาถอดเครื่องติดตามว่าคืออีกหนึ่งเดือนต่อจากนี้ ก่อนเดินออกจากห้องไปโดยไม่สนใจนัยน์ตาดำมืดอันตรายของคนบนเตียงที่จับจ้องเอาชีวิต

    “คุณไม่จำเป็นต้องทำตาม” โนอาร์ติปีศาจข้างกาย พลางขมวดคิ้วมุ่นมองสิ่งแปลกปลอมตรงลำคอแกร่งด้วยความไม่พอใจ
    “ข้าทำผิดก็ต้องรับโทษ นักล่าปีศาจนั่นแค่ทำตามหน้าที่”
    “คุณไว้ใจได้ยังไง กี่ครั้งแล้วที่พวกนักล่าปีศาจพยายามจะกำจัดคุณ”
    “เพราะกลิ่นอายวิญญาณของนักล่าปีศาจเมื่อครู่มันมีแต่กลิ่นอายบริสุทธิ์ ต่างกับเจ้าที่แผ่กลิ่นอายชั่วร้ายรุนแรงขึ้นทุกวินาที เท่านี้ก็มากพอที่จะยืนยันแล้วว่าเจ้านั่นไม่ได้โกหก”

    ปีศาจตอบกลับพลางแกล้งเหน็บแนมมนุษย์เล็กน้อย ทว่าโนอาร์ยามนี้จริงจังเกินกว่าจะเล่นด้วย เห็นดังนั้นเอทอสจึงวางฝ่ามือใหญ่ลงบนกลุ่มผมสีดำขลับ ก่อนยีเบา ๆ คล้ายกำลังกล่อมเด็ก และแน่นอนสิ่งที่ได้รับย่อมเป็นสายตาเคืองจากคนที่กำลังถูกเล่นหัว แต่ถึงจะไม่ชอบใจ โนอาร์ก็ไม่คิดปัดฝ่ามือใหญ่ทิ้ง

    “อย่าเป็นเด็กเอาแต่ใจ แค่เดือนเดียวปลอกคอนี่ก็ถูกถอดแล้ว”
    “ผมไม่เชื่อว่าพวกนักล่าปีศาจจะรักษาคำพูด”

    หลังได้ฟัง เอทอสก็ได้แต่ถอนหายใจกับความคิดแง่ร้ายของโนอาร์ ที่เดือดร้อนเป็นกังวลยิ่งกว่าตัวเขาที่เป็นเจ้าของเรื่องเสียอีก และดูเหมือนยามนี้ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร ชายผู้แผ่กลิ่นอายชั่วร้ายมหาศาลคงไม่ฟังเขาแล้วเช่นกัน ฉะนั้นร่างสูงใหญ่จึงทำได้เพียงใช้ฝ่ามือลูบปลอบคนบนเตียง เพื่อหวังให้จิตใจดำมืดนั้นสงบลง



    ในช่วงเวลาเดียวกันทว่าต่างสถานที่ ณ ห้องพักผู้ป่วยของโรงพยาบาลในตัวเมืองแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มกำลังนั่งทบทวนข้อมูลรายละเอียดบนหน้าจอด้วยท่าทีเคร่งขรึม ซึ่งค่ำคืนนี้ เป็นวันที่เขาต้องลงมือตามคำสั่งในอีเมลจากบุคคลอันตราย และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เขาต้องเตรียมตัวแล้วเช่นกัน

    มังกรพับโน้ตบุ๊กเก็บลงกระเป๋าพลางสำรวจข้าวของเล็กน้อย แล้วจึงลุกไปหาคนสำคัญที่ผล็อยหลับไปตั้งแต่ช่วงบ่าย แววตาชายหนุ่มมองหญิงสาวผู้เสมือนเป็นโลกทั้งใบด้วยความอ่อนโยน พลางค่อย ๆ ก้มลงจุมพิตบนริมฝีปากอิ่มแผ่วเบาปราศจากการรุกล้ำ ทว่าเต็มไปด้วยความรู้สึก

    “กรไปทำงานก่อนนะ แล้วจะรีบกลับมา” ชายหนุ่มกล่าวลาคนรัก ก่อนออกจากห้องไปอย่างเงียบงัน


    เมื่อลงมาถึงบริเวณชั้นล่างของโรงพยาบาล มังกรก็พบกับคนที่อีเมลระบุว่าเป็นผู้ช่วยเขาในงานนี้ ทว่าจากสายตาของชายหนุ่ม เขาไม่คิดว่าชายตรงหน้าจะสามารถพึ่งพาได้มากเท่าไรนัก

    “นายชื่อมังกรสินะ ฉันจิน เป็นทั้งพ่อค้าและก็ผู้คุมวิญญาณ ฉันโดนโนอาร์บังคับมาน่ะ โคตรซวยเงินก็ไม่ได้ ถ้านายใจดีจะเจียดค่าจ้างให้ฉันหน่อยก็ได้นะ”

    คำแนะนำตัวจากเพื่อนร่วมงาน เรียกสายตาดูแคลนให้กับมังกร ทีแรกชายหนุ่มคิดว่าโนอาร์ตั้งใจส่งคนมาเพื่อจับตาดูเขา แต่จากท่าทางและคำพูดจาไม่ค่อยเต็มของอีกฝ่ายแล้ว บางทีเขาอาจจะแค่คิดมากไป

    “หึ... ผู้คุมวิญญาณ... นายชอบดูหนังพ่อมดแม่มดใช่ไหม”
    “...นายรู้ได้ไง!?”

    คนถูกคาดเดานิ่งไปสักพัก ก่อนเบิกตากว้างพร้อมถามกลับด้วยความตกใจ ทว่ากลับได้เพียงเสียงหัวในลำคอสั้น ๆ ก่อนมังกรจะตัดบทโดยการบอกให้ไปเอารถพร้อมเดินนำไป ปล่อยจินที่มัวแต่ยืนอึ้งไว้ข้างหลัง ซึ่งเมื่อคนหัวเราะเยาะทิ้งห่างไปสักพัก จินที่แสร้งทำเป็นตกใจจึงกลับมาทำสีหน้าปกติเช่นเดิมและค่อยเดินตาม โดยระหว่างทางไม่วายต่อว่าโนอาร์ในใจ เรื่องไม่ยอมบอกเขาว่าชายเมื่อครู่เป็นแค่คนธรรมดา ทำให้ตอนนี้เขากลายเป็นตัวตลกพูดจาเพ้อเจ้อในสายตาอีกฝ่ายไปแล้ว



     ความมืดในยามค่ำคืนดึกสงัดเข้าปกคลุม ช่วยอำพรางรถยนต์สองคันที่จอดห่างจากบ้านเป้าหมายไม่มากนัก มังกรและจินต่างลงจากรถในชุดสีดำสนิทพร้อมหมวกคลุมปกปิดใบหน้ามิดชิด ซึ่งของเหล่านี้ดูไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไรนักในสายตาของจิน เนื่องจากสิ่งที่ต้องพยายามหลบซ่อนไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นเหล่าวิญญาณรับใช้ที่รายล้อมตัวบ้านต่างหาก
    ทว่าเหตุผลที่จินยังยอมใส่ตามก็เพราะ ไม่อยากถูกอีกฝ่ายมองเป็นตัวประหลาดเหมือนครั้งที่โรงพยาบาลก็เท่านั้น

    “นี่นายใส่ไอ้นี่ด้วยสิ” จินเรียกชายหนุ่มที่กำลังดูลาดเลา ก่อนยื่นสร้อยเส้นหนึ่งให้
    “อะไร?”
    “ใส่ ๆ ไปเถอะน่า คิดว่าเป็นเครื่องรางแล้วกัน”

    ด้วยเพราะไม่อยากเสียเวลาถกเถียงไร้สาระ มังกรจึงตัดรำคาญด้วยการรับสร้อยดังกล่าวมาสวม ก่อนเดินนำไปยังบ้านเป้าหมายที่ปลูกต้นไม้ล้อมรอบหนาทึบ มิหนำซ้ำไฟบ้านทั้งหลังยังดับสนิทชวนให้รู้สึกพิศวง

    มังกรและจินค่อย ๆ ก้าวเท้าระมัดระวังจนในที่สุดก็สามารถปีนข้ามรั้วไม้เข้ามาในเขตบ้านได้ ท่ามกลางสายตาวิญญาณรับใช้ที่ต่างจ้องมองด้วยความโกรธเกรี้ยว เหตุเพราะบางสิ่งที่คนทั้งสองสวมอยู่ ทำให้พวกตนไม่อาจเล่นงานหรือขับไล่ผู้บุกรุก

    “มังกร นายเข้าไปก่อนเลย เดี๋ยวจัดการข้างนอกเสร็จแล้วจะตามไป”

    จินเอ่ยพลางตบตัวถังน้ำมันที่ถืออยู่เบา ๆ ซึ่งนั่นทำให้ใครอีกคนเข้าใจความหมายในทันที มังกรพยักหน้าเล็กน้อยก่อนย่างเท้าแผ่วเบาเข้าไปในตัวบ้าน เนื่องจากคำสั่งที่ต้องทำในคืนนี้มีด้วยกันสองอย่างคือ หนึ่ง ลักพาตัวน้องชายของคนที่ชื่อวรรษ และสอง เผาสถานที่แห่งนี้อย่าให้เหลือซาก

    “ไปบอกนายเร็ว พวกนี้มันไม่ใช่โจรปกติ” วิญญาณรับใช่ตนหนึ่งเอ่ยขึ้น
    “อย่าเลย มันเสียเวลาตามไล่จับนะ อยู่รวม ๆ กันแบบนี้แหละจะได้จัดการรอบเดียว”

    เสียงพูดแทรกส่งผลให้เหล่าวิญญาณรับใช้ต่างนิ่งอึ้ง หยุดมองชายหนุ่มที่กำลังวางถังน้ำมันลง ก่อนหยิบบางสิ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ซึ่งของในมือโจรขโมยขึ้นบ้านนั้น กลุ่มวิญญาณรับใช้ต่างเห็นและรู้จักเป็นอย่างดี เพราะมันเป็นอุปกรณ์แบบเดียวกับที่เจ้านายใช้เวลาต้องการกักขังลงโทษพวกตน

    “ผู้คุมวิญญาณที่เล่นงานโนอาร์ได้ ไม่น่าจะมีวิญญาณรับใช้ที่อ่อนแอและจำนวนน้อยขนาดนี้นิ อย่าบอกนะว่าพวกตนที่แข็งแกร่งโดนคุณเอทอสจับกินไปหมดแล้ว แบบนี้ก็เอาไปขายไม่ค่อยได้ราคาสิ”

    จินเอ่ยขึ้นพลางแสร้งทำหน้าเสียดาย ซึ่งถ้อยคำคล้ายดูแคลน กลับสร้างความโมโหให้เหล่าวิญญาณรับใช้อย่างมาก ไม่นานการปะทะกันระหว่างหนึ่งผู้คุมวิญญาณกับกลุ่มวิญญาณรับใช้ก็เริ่มขึ้น ทว่าวินาทีต่อมาทุกอย่างพลันจบลงอย่างง่ายดาย ด้วยคำพูดเพียงคำเดียว

    “คุกเข่า”
    “ตึง!!”

    วิญญาณรับใช้รอบบริเวณ พลันเข่าทรุดกระแทกพื้นอย่างไม่อาจควบคุมร่างกายได้ อวัยวะโปร่งแสงทุกส่วนคล้ายถูกพันธนาการด้วยบางสิ่งหมดสิ้นหนทางต่อต้าน ทุกอย่างเกิดขึ้นฉับพลันหลังผู้บุกรุกเอื้อนเอ่ยถ้อยคำเรียบสั้นธรรมดา ทว่ากลับบังคับควบคุมวิญญาณทั้งหมดได้ในคราวเดียว

    “อย่าบังคับให้ออกคำสั่งสิ คุมวิญญาณหลายดวงพร้อมกันมันก็กินแรงเหมือนกันนะ มาญาติดีกันไว้ดีกว่า เพราะคงต้องอยู่ด้วยกันนานเลยล่ะ มา! งั้นเริ่มที่ตนแรกแล้วกัน ชื่ออะไรเหรอ? แล้วมีความสามารถพิเศษอะไรไหม?”

    จินพูดหยอกล้อกับเหล่าวิญญาณรับใช้ ที่อีกไม่นานจะกลายเป็นสินค้าทำเงินให้กับเขา ก่อนเริ่มเก็บพลางประเมินเกรดราคาวิญญาณแต่ละดวงอย่างไม่ทุกข์ร้อน ขัดกับสีหน้าซีดเผือดของวิญญาณบางตน ที่ยังคงตกตะลึงและไม่อยากเชื่อว่า ชายหนุ่มท่าทางขี้เล่นไร้พิษสงนี้ แท้จริงกลับมีพลังเทียบเท่ากับเจ้านาย



(ต่อด้านล่าง)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-10-2020 18:25:59 โดย biOmos »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ biOmos

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
(ต่อ)

    “แกร๊ก!”    

    เสียงสะเดาะกลอนประตูแผ่วเบา ตามด้วยเงาร่างชายหนุ่มลอบเข้ามาในบ้านพักมืดสนิท มังกรมองสำรวจผ่านบรรยากาศสลัวโดยรอบ พลางย่างเท้าไร้เสียงไปยังบันไดขึ้นชั้นสอง ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความเงียบกับสถานที่ไม่คุ้นชินหรือไม่ เขาถึงรู้สึกคล้ายกำลังถูกสายตาจ้องมองอยู่ตลอดเวลา

    “ขวับ!”

    มังกรหันกลับฉับพลันขณะกำลังก้าวขึ้นบันได เมื่อรู้สึกเหมือนเห็นเงาบางสิ่งขยับเคลื่อนไหวตรงหางตา ทว่าหลังพยายามมองหาต้นตอสักพัก เขากลับไม่พบสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด ชายหนุ่มจึงหันกลับมาเตรียมขึ้นบันไดอีกครั้ง ซึ่งนั่นทำให้มังกรเผลอตกใจจนหลุดสะดุ้ง เมื่อทางขึ้นสู่ด้านบนที่ควรโล่ง กลับมีเงาร่างของใครบางคนมายืนประจันหน้าชิดตัวเขา จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่รดใส่

    “ผัวะ!!”
    “อั่ก!! อะ... อาก..”

    ไม่ทันได้ตั้งตัว หมัดหนักจากร่างเงาก็พุ่งเข้าใส่สันกรามของมังกรในทันที ชายหนุ่มเซถอยไปเล็กน้อยทว่ายังไม่ทันตั้งหลัก เสี้ยววินาทีต่อมาบริเวณลำคอกลับคล้ายถูกบางอย่างบีบรัดอย่างแรง พร้อมกับร่างที่ค่อย ๆ ถูกยกให้ขึ้นจนเท้าไปติดพื้น

    มังกรพยายามใช้มือควานหาตัวการในความมืดตามสัญชาตญาณ แต่แล้วกลับต้องรู้สึกตกใจอีกครั้ง เมื่อพบว่าเขากำลังถูกบีบคอและลอยอยู่กลางอากาศโดด ๆ ไร้ซึ่งผู้กระทำ

    “เครื่องป้องกันแบบนี้ มันใช้กันได้แค่วิญญาณระดับต่ำ เตรียมตัวมาดีนิ แต่ยังดีไม่พอ”

    เสียงจากร่างเงาเอ่ยขึ้น ก่อนกระชากสายสร้อยที่ผู้บุกรุกคล้องไว้ออกและปาทิ้งไปด้านข้าง ด้วยระยะที่ใกล้กัน ทำให้มังกรพอมองเห็นหน้าอีกฝ่ายผ่านเงามืดได้ราง ๆ ซึ่งชายเบื้องหน้าก็เป็นคนเดียวกับที่เขาคาดการณ์ไว้ วรรษ พี่ชายของคนที่เขาต้องลักพาตัว

    “มีกันกี่คน และคิดยังไงถึงกล้าเลือกขโมยที่นี่” เจ้าบ้านเอ่ยถามผู้บุกรุกที่กำลังขาดอากาศหายใจ
    “พรึบ!”
    “พลั่ก!!”
    “อั่ก!”

     มังกรอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้ยกเท้าถีบ ทว่าวรรษกลับรู้ทันเอี้ยวตัวหลบ ก่อนสวนคืนด้วยหมัดชกเข้าไปกลางท้อง แรงอัดรุนแรงผสานแรงบีบตรงลำคอที่มากขึ้นทุกขณะ ส่งผลให้มังกรจุกจนแทบประคองสติไว้ไม่ไหว แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ไม่ยอมปล่อยให้โอกาสที่เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีนี้หลุดมือ

    “หมับ!”
    “ผัวะ!!!”

    ฝ่ามือหนึ่งคว้าจับที่คอเสื้อวรรษไว้แน่น ก่อนมืออีกข้างจะล้วงหยิบปืนที่เหน็บไว้ทางด้านหลัง ฟาดใส่ข้างขมับชายตรงหน้าอย่างจัง การโต้กลับไม่คาดคิดถึงกับทำให้วรรษเสียหลักล้มลง พร้อมความรู้สึกคล้ายของเหลวหนืดค่อย ๆ ไหลผ่านกรอบหน้า ทว่าเพียงครู่เดียวความเจ็บบริเวณข้างขมับก็พลันหาย เนื่องด้วยผลของมนตร์มืด และไม่นานเจ้าบ้านก็กลับมายืนได้อีกครั้ง พร้อมตั้งท่าเตรียมเอาคืน

    “โครม!!!!!”
    “ตุ้บ!!”
    “อะ... แฮ่ก.. แฮ่ก...”

    เสียงดังสนั่นจากประตูบ้านที่อยู่ ๆ ก็ถูกพังจากทางด้านนอก พร้อมกับเงาของใครบางคนวิ่งเข้ามาสาดบางสิ่งใส่วิญญาณรับใช้ ซึ่งนั่นทำให้วิญญาณจำต้องถอยห่างและปล่อยร่างผู้บุกรุกร่วงลงกระแทกพื้น เนื่องเพราะความเจ็บปวดจากของเหลวที่กำลังกัดกร่อนร่างโปร่งแสง

    “อะ! อันนี้แบบใหม่ดีกว่าเดิม เท่านี้ระดับเจ้าพวกนั้นก็ทำอะไรนายไม่ได้แล้ว”

    จินจับแขนคนที่กำลังนอนไอหอบอากาศหายใจ ก่อนใส่กำไลโซ่คุ้มกันให้แล้วจึงหันดูหน้าผู้คุมวิญญาณ ผู้ที่ถูกโนอาร์เลือกเป็นของเล่นชิ้นโปรด เป็นช่วงจังหวะเดียวกับที่ไฟทั่วบ้านพลันสว่างวาบ ทำให้คนทั้งสามต้องหรี่ตาปรับแสงชั่วขณะ และเมื่อสามารถกลับมามองเห็นชัดเจนอีกครั้ง ในที่สุดชายผู้เป็นเป้าหมายหลักของค่ำคืนก็เผยตัวลงมาจากชั้นบน

    “พวกคุณเป็นใคร!! ออกไปจากบ้านพวกเราเดี๋ยวนี้! ไม่งั้นผมจะแจ้งตำรวจ”

    ถ้อยคำขู่ไร้ซึ่งความน่ายำเกรง ไม่ต่างอะไรจากเด็กน้อยหัดพูดไร้เดียงสาสำหรับสองผู้บุกรุก จินมองไปยังเป้าหมายที่ยืนอยู่กลางบันได ทันเห็นวิญญาณหญิงสาวตนหนึ่งข้างตัวสีคราม ถ้าหากให้คาดเดา คงเป็นวิญญาณรับใช้ที่วรรษสั่งให้คอยดูแลน้องชาย และก็น่าเศร้า ที่อีกไม่ช้าสิ่งคุ้มครองจะกลายเป็นอาวุธที่ย้อนกลับมาเล่นงานแบบไม่ให้ตั้งตัว เมื่อสิ่งนั้นกำลังอยู่ต่อหน้าศัตรูที่สามารถควบคุมมันได้เช่นเขา

    เรียวนิ้วของจินชี้ไปยังคนที่หยุดยืนอยู่กลางบันได การกระทำไร้สาเหตุสร้างความสับสนให้กับคนโดยรอบเล็กน้อย ก่อนเอ่ยคำพูดเรียบสั้น ทว่านั่นกลับทำให้นัยน์ตาของผู้คุมวิญญาณเจ้าของสถานที่เผลอเบิกกว้างขึ้นหนึ่งระดับ ด้วยความตกใจไม่คาดคิด

    “จับ”
    “หยุด!”
    “อ๊ากกกกกก!!!!!!!!”

    สองคำสั่งขัดแย้งช่วงชิงกันควบคุมร่างกายโปร่งแสง ส่งผลให้วิญญาณหญิงสาวที่เป็นตัวกลางถูกพลังจากผู้คุมวิญญาณทั้งสองบดขยี้ ความทรมานรวดร้าวราวกับถูกแผ่นเหล็กหนาบีบอัดด้วยแรงมหาศาล มากเกินกว่าที่ดวงวิญญาณธรรมดาจะฝืนรับไหว ไม่นานร่างโปร่งแสงจึงพลันสลายเหลือเพียงดวงไฟเล็กไร้พลัง

    “นาย... เป็นผู้คุมวิญญาณ?”

    วรรษเอ่ยถามชายตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา แม้เหตุการณ์เมื่อครู่จะถือเป็นข้อพิสูจน์แล้วก็ตาม ทว่าสิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าหาใช่เรื่องตัวตนแท้จริงของอีกฝ่าย แต่เป็นพลังควบคุมวิญญาณเหลือล้น เพราะในบรรดาเหล่าผู้คุมวิญญาณด้วยกัน น้อยคนนักที่จะสามารถใช้คำสั่งกับวิญญาณรับใช้ของผู้อื่นได้ ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือเขา และดูเหมือนว่าจะมีอีกหนึ่งคนตรงหน้านี้

    “ผู้คุมวิญญาณอะไร? เพ้อเจ้อ! พวกเราแค่จะมาเอาตัวน้องชายนาย ส่งมาดี ๆ และเก็บแรงไว้รอเรื่องต่อจากนี้ดีกว่า”

    จินเอ่ยปฏิเสธทันควัน เนื่องเพราะเขาจะไม่ยอมถูกมองเป็นตัวประหลาดซ้ำสองเด็ดขาด ก่อนเอ่ยถึงจุดประสงค์ของการมาในครั้งนี้ พร้อมให้คำแนะนำผู้คุมวิญญาณที่กำลังตกอยู่ในเกมของโนอาร์ด้วยความหวังดี ทว่าถ้อยคำดังกล่าวกลับให้ผลตรงข้ามแทน

    “จะพาสีครามไปเหรอ ไม่มีทาง... จัดกา-”

    ด้วยเพราะรู้ว่าแท้จริงน้องชายกำลังตกเป็นเหยื่อ วรรษที่พยายามควบคุมอารมณ์อยู่ตลอด จึงเผลอหลุดปล่อยให้โทสะครอบงำ เผยความคิดสั่งการวิญญาณรับใช้ให้สังหารสองผู้บุกรุก และนั่นเป็นผลให้คำสาปของปีศาจทำงาน เปลวเพลิงสีนิลพลันลุกท่วมร่างไม่ทันที่วรรษได้ออกคำสั่ง ซึ่งไฟของปีศาจนี้มีเพียงจินเท่านั้นที่มองเห็น ส่วนมังกรกับสีครามเพียงเห็นว่าชายหนุ่มที่เหมือนกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง อยู่ ๆ กลับนิ่งเงียบไป

    “พี่วรรษ?”

    สีครามเอ่ยถามอย่างสับสน เมื่อเห็นพี่ชายเดินขึ้นมาหา ไร้ซึ่งความสนใจต่อสองผู้บุกรุกที่ยืนอยู่ด้านล่าง จนเมื่อระยะห่างระหว่างสองพี่น้องหมดลง เรื่องไม่คาดฝันก็พลันเกิดขึ้น

    “โอ้ย!! พี่วรรษ! ผม-”
    “ปึง!!!”
    “ปึง!!!!”
    “พะ..”
     “ปึง!!!!”

    ฝ่ามือพี่ชายแสนดีกำจิกกระชากผมน้องชาย ก่อนจับเหวี่ยงโขกอัดกำแพงไร้ความปรานี หยาดหยดเลือดสดสีแดงเปื้อนเปรอะติดผนังมากขึ้นทุกครั้งหลังยามสิ้นเสียงกระแทก แว่วเสียงเจ็บปวดร้องถามจากน้องชายด้วยความไม่เข้าใจ คล้ายเหมือนจะไม่มีวันไปถึงจิตใจพี่ชายที่ถูกครอบงำ

    ภาพเหตุการณ์สลดเบื้องหน้าทำให้สองผู้บุกรุกได้แต่ยืนนิ่งอึ้ง จินแทบไม่อยากเชื่อว่าปีศาจใจดีอย่างคุณเอทอส จะเป็นผู้ร่ายคำสาปโหดร้ายนี้แก่ผู้คุมวิญญาณ ส่วนมังกรหลังหลุดจากห้วงอารมณ์ของความตกใจ ความรู้สึกใหม่ที่เข้ามาแทนที่กลับเป็นความโกรธถึงขีดสุด จนต้องระบายผ่านฝ่ามือทั้งสองข้างที่กำแน่น แววตาแข็งกร้าวดุดันมองเหตุการณ์เบื้องหน้าด้วยความชิงชัง ยามนึกถึงข้อมูลในอีเมลที่โนอาร์ส่งมา ซึ่งส่วนหนึ่งในนั้นบอกถึงความสัมพันธ์ของสองพี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียว
    ทว่าจากภาพตรงหน้า มังกรเห็นเพียงสีครามเท่านั้นที่ยังคงรักและห่วงใยพี่ชาย แม้ตัวเองจะถูกทำร้ายสาหัส ส่วนคนพี่อย่างวรรษ เขาไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความดำมืด

    “ผมขอร้อง ได้โปรดช่วยคุณสี-”
    “ผัวะ!!!!”
    “ตึง!!”

    ไม่ทันที่หนึ่งในวิญญาณรับใช้จะเอ่ยขอร้องจินจบ มังกรที่อยู่ข้างกันกลับพุ่งตรงเข้าไปหาวรรษ ใช้มือกระชากอีกฝ่ายออกจากตัวน้องชาย พร้อมต่อยอัดเข้าไปที่กลางหน้าสุดแรงจนอีกฝ่ายล้มลงกับขั้นบันได ก่อนชายหนุ่มจะรีบเข้าไปอุ้มประคองสีครามที่ถูกทำร้ายสาหัสจนสิ้นสติ

    “ไอ้ชั่ว!!! นี่น้องชายที่มึงรักไม่ใช่เหรอ?! มึงทำกับน้องมึงแบบนี้ได้ยังไง!!!!”
    “ผัวะ!! พลั่ก!! ตุบ!!!”

    คำด่าทอจากผู้ที่โกรธเกรี้ยว และฝ่าเท้าหนักที่เตะกระทืบลงมาหยุด เรียกสติของผู้คุมวิญญาณให้หวนคืน วรรษพยายามมองลอดผ่านแขนที่ยกขึ้นป้องกัน พยายามคิดทบทวนความทรงจำก่อนที่จะดับวูบไปเพราะคำสาป แต่ยังไม่ทันจะนึกได้ สภาพน้องชายใบหน้าชุ่มเลือดเละเทะ ก็พลันเหมือนน้ำเย็นจัดสาดใส่จนทั่วร่างชาไร้ความรู้สึก โดยเฉพาะจิตใจที่ร่วงหล่นจมดิ่งสู่ทะเลเยือกแข็ง

    “สีคราม... พี่...”
    “ผัว!!!”
    “มึงยังกล้าเรียกตัวเองว่าพี่อีกเหรอ!! ไอ้สารเลว!!!!”

    วรรษพยายามเปล่งเสียงเรียกและเอื้อมมือไปหาน้องชาย ทว่ากลับถูกเท้าหนักของมังกรถีบใส่อย่างจัง ก่อนจะตามด้วยคำตะคอกด่าและการกระทืบซ้ำอีกหลายครั้ง สุดท้ายจินต้องเข้ามาห้ามปราม คนฟิวส์ขาดถึงยอมหยุด

    “กูจะทำให้น้องมึงตาสว่างจากพี่ชั่ว ๆ อย่างมึง อย่าหวังว่าชาตินี้มึงจะได้ทำเรื่องระยำพรรณ์นี้อีกเลย ไอ้สวะ!”
    “ถุย!”

    มังกรพ่นคำด่าหยาบคายส่งท้าย ก่อนถ่มน้ำลายใส่ขยะเศษเดนในสายตา แล้วจึงอุ้มพาร่างหมดสติของสีครามจากไป ส่งผลให้ยามนี้เหลือเพียงจินและผู้คุมวิญญาณในสภาพสะบักสะบอม

    “นายน่ะไม่น่าไปยุ่งกับโนอาร์เลยนะ ต่อจากนี้ชีวิตนายคงไม่ต่างจากอยู่ในนรกแล้วล่ะ เพราะหมอนั่นคงไม่ยอมปล่อยนายไปแน่ ๆ แล้วสิ่งที่นายจะเจอมันมีแต่จะหนักขึ้น”
    “…”
    “พวกวิญญาณรับใช้ของนาย ฉันขอหมดเลยแล้วกัน และนายก็รีบออกมาจากบ้านด้วยล่ะ เพราะอีกไม่นานที่นี่จะถูกเผา ฉันไปละ ขอให้โนอาร์เบื่อนายเร็ว ๆ โชคดี”

    หลังจินกล่าวลาผู้คุมวิญญาณเรียบร้อยและเดินออกไปสักพัก ไม่นานรอบบ้านก็เริ่มสว่างขึ้นจากแสงไฟสีส้มที่ค่อย ๆ ลุกลามขยายกลืนกินตัวบ้าน พร้อมกับวรรษลุกขึ้นยืน เมื่อร่างกายกลับมาเป็นปกติด้วยผลจากมนตร์มืด

    ผู้คุมวิญญาณมองส่งบ้านเต็มเปี่ยมด้วยความทรงจำซึ่งตอนนี้กำลังถูกเพลิงแผดเผาด้วยสายตาว่างเปล่า มองรอยเลือดตรงกำแพงด้วยจิตใจระทมทุกข์เจ็บช้ำเกินทน มองฝ่ามือติดสั่นของตนเองที่ยังคงหลงเหลือคราบเลือดฝั่งเป็นตราบาป แล้วก็ได้แต่เกิดคำถามหนึ่งขึ้นมาท่ามกลางเปลวไฟและหมอกควันห้อมล้อมรอบกายว่า ความรู้สึกเจียนแตกสลายนี้...

    ใช่แบบเดียวกับที่ปีศาจเคยบอกไว้หรือเปล่า?



    [ทุกอย่างเรียบร้อย]
    “อืม”
    [เรื่องคนที่พามา ขอจัดการเองได้ไหม]
   “ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ ถ้าน่าพอใจ จะทำอะไรก็ทำไป”
    [ถ้าหมายถึงทำให้คนชื่อวรรษนั่นมันทรมานละก็ ไม่ต้องห่วง]
    “จะรอดู”
    “ติ้ด!”

    โนอาร์ตอบกลับเรียบสั้นก่อนรีบกดตัดสาย หลังฟังรายงานทางโทรศัพท์เรียบร้อย เมื่อรู้สึกถึงกลิ่นคุ้นเคยเจือจางภายในห้องพักมืดสนิท ทว่ากลิ่นนี้มันไม่ควรมีอยู่ที่นี่ กลิ่นของควันไหม้และคาวเลือด

    “นี่ใช่ไหม ที่เจ้าขอข้า” เสียงทุ้มหนักของปีศาจที่นอนเฝ้าอยู่ตรงโซฟาเอ่ยขึ้น
    “ครับ”
    “ผู้คุมวิญญาณนั่นทำเจ้าก่อน ข้าคงไม่มีสิทธิ์ห้ามถ้าเจ้าอยากเอาคืน”
    “พรึบ!”
   “เอทอส คุณ...”

    สิ้นเสียงปีศาจ ไฟห้องพักพลันสว่างเมื่อคนบนเตียงกดเปิดสวิตช์ แสงจากหลอดไฟเผยให้เห็นต้นตอของกลิ่นที่มนุษย์รู้สึก บัดนี้ร่างสูงใหญ่ของปีศาจเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำและรอยไหม้ บริเวณข้างขมับมีเลือดซึมไหลตามกรอบหน้าเป็นทาง อาการบาดเจ็บโดยไม่ทราบสาเหตุของปีศาจผู้เป็นที่รัก ถึงกับทำให้โนอาร์นิ่งงันไปชั่วครู่ ก่อนวินาทีต่อมาชายเลือดเย็นจะรีบลงจากเตียงเพื่อไปหาปีศาจ โดยไม่สนใจฟังเสียงค้านของเอทอส

    “เจ้าทำสายน้ำเกลือหลุดอีกแล้ว” เอทอสเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงระอา ก่อนเอื้อมมือไปหยิบผ้ามาซับเลือดที่ซึมตรงหลังมือของมนุษย์
    “ผมไม่เป็นไร แต่คุณต่างหากที่เป็น เกิดอะไรขึ้นกับคุณ เอทอส”

    เสียงเรียบนิ่งจากชายเลือดเย็นเอ่ยถาม ขัดกลับนัยน์ตารัตติกาลฉายชัดถึงความเป็นห่วง ยามมองรอยแผลตามตัวปีศาจ ที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอยลักษณะคล้ายถูกความร้อนเผาไหม้ และน่าแปลกที่อาการบาดเจ็บของปีศาจ ค่อนข้างสัมพันธ์กับสิ่งที่ได้ฟังจากรายงานทางโทรศัพท์เมื่อครู่ ซึ่งความผิดปกติเพียงเล็กน้อยนี้ ก็มากพอให้โนอาร์สามารถคาดเดาเรื่องราว

    “ผู้คุมวิญญาณนั่นทำอะไรคุณ”
    “เจ้านั่นไม่ได้ทำ ข้าต่างหากที่เต็มใจรับมันเอง”
    “รับ? ผมไม่เข้าใจ”
    “เจ้าคิดว่าแผลแค่นี้จะสะเทือนข้าหรือไง พอถึงตอนเช้าก็หายหมด”

    เอทอสเอ่ยตัดบทพลางขยับร่างกายโชว์ เพื่อแสดงให้โนอาร์เห็นว่าเขาไม่ได้เจ็บหนักอย่างที่คิด ทว่าเรียวคิ้วบนใบหน้าของมนุษย์ก็ยังคงขมวดมุ่นเช่นเดิม ก่อนไม่นานชายเลือดเย็นจะลุกไปหยิบโทรศัพท์เรียกรถดับเพลิงและรถพยาบาล ให้ไปยังจุดเกิดเหตุที่เขาสร้างมันขึ้นมาด้วยตนเอง เพราะคาดว่านี่อาจช่วยลดจำนวนบาดแผลที่เกิดขึ้นบนร่างสูงใหญ่ได้

    “ถึงข้าจะหลุดปากอนุญาตเจ้าไปแล้ว แต่ข้าไม่อยากให้เจ้าเอาคนนอกเข้ามาเกี่ยวด้วย”

    ปีศาจเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง เมื่อเห็นว่ามนุษย์วางโทรศัพท์เรียบร้อย โดยเหตุผลของคำพูดเนื่องเพราะ การที่โนอาร์สามารถลงมือกับผู้คุมวิญญาณได้ ย่อมหมายความว่ามนุษย์รวบรวมข้อมูลของอีกฝ่ายจนมากพอแล้ว และนั่นเป็นไปไม่ได้เลยที่โนอาร์จะไม่รู้ว่าสีครามมนุษย์รุ่นน้องของเขา เป็นน้องชายของคนที่ตนเองกำลังจัดการ
    
    “ไม่ต้องห่วงครับ คนที่ผมดึงเข้ามาด้วยเป็นคนใน ไม่ใช่คนนอก” มนุษย์กล่าวตอบ พร้อมกลับมาดูอาการปีศาจตรงโซฟาอีกครั้ง
    “โนอาร์”

    เอทอสเรียกชื่อเชิงปราม ทว่าขณะนี้โนอาร์ดูสนใจกับการเช็ดรอยเลือดหลงเหลือจากบาดแผลข้างขมับปีศาจ ที่เพิ่งหยุดไหลมากกว่าสิ่งอื่นใด ฝ่ามือขาวค่อย ๆ ดันกรอบหน้าคมดุให้เงยขึ้นสบนัยน์ตารัตติกาลมืดมิด พลางไล่ปลายนิ้วเกลี่ยผิวแก้มสากอย่างนุ่มนวล พร้อมกับรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อยเริ่มปรากกฎ

    ทุกการขยับเคลื่อนไหวของมนุษย์เบื้องหน้าล้วนแฝงไปด้วยความอ่อนโยน ตรงข้ามกับกลิ่นอายชั่วร้ายเข้มข้นรุนแรงขึ้นเป็นเท่าทวี ทว่ากลิ่นอายดังกล่าวกลับยิ่งหอมหวนน่าดึงดูดในความรู้สึกของปีศาจ ส่งผลให้ร่างสูงใหญ่ได้แต่นิ่งฟังคำของมนุษย์คล้ายถูกมนตร์สะกด โดยไม่อาจเอ่ยคัดค้านหรือปฏิเสธ

    “เรื่องคนใน ตอนนี้มีคนของผมขอจัดการแทน ปลอดภัยกว่าอยู่กับผมแน่นอนคุณไม่ต้องกังวล”
    “…”
   “แต่ถ้าผมรู้ทีหลังว่าคนในนั่น มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องรอยแผลตามตัวของคุณ ผมไม่รับปากนะครับว่า...”
    “สีครามจะปลอดภัย”
    


บท24 สมบูรณ์




ถึงคนอ่าน




    Vanda coerulea หรือ ฟ้ามุ่ย เป็นดอกกล้วยไม้ที่เอทอสเก็บไว้ให้โนอาร์ครับ เป็นหนึ่งในกล้วยไม้ที่ชื่อว่าสวยที่สุดชนิดหนึ่ง มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางภาคเหนือ ออกดอกช่วงเดือนกรกฎาคม-ธันวาคม (เหมือนบอกคนอ่านเป็นนัย ๆ ว่าเวลาของเอทอสเหลืออยู่ประมาณกี่เดือน)
(อ้างอิง: https://memorywithp.wordpress.com/2016/02/08/%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A2-vanda-coerulea/)


    บทนี้คนเขียนตั้งใจให้คนอ่านเห็นมุมครอบครัวของแต่ละคนตามชื่อบทเลยครับ เริ่มด้วยภาคินกับกลุ่มพ่อบ้านแม่บ้าน เอทอสโนอาร์กับเหล่าคนงานสวนรฦกวัลย์(เสริมจินด้วย ถึงจินจะดูเหมือนเป็นเพื่อนข้างเดียวของโนอาร์ก็ตามครับ ) มังกรกับหยก และก็วรรษกับสีคราม เพื่อให้คนอ่านได้เห็นภาพกว้าง ๆ ก่อนงานเทศกาลที่ไม่มีใครอยากเข้าร่วมของโนอาร์จะเริ่มขึ้นครับ (จริง ๆ คือเริ่มแล้วครับ โดยบ้านของวรรษถูกเลือกให้เป็นสถานที่เปิดงาน)


     สุดท้ายคนอ่านบางท่านอาจสงสัยเรื่องเอทอสเป็นคนร่ายคำสาปเองแท้ ๆ แต่ทำไมถึงยังเป็นห่วงสีคราม คนเขียนขอไขข้อสงสัยนี้นะครับ เหตุผลก็เพราะ คำสาปที่เอทอสร่ายที่จริงต้องแค่ให้วรรษทำร้ายสีครามแบบเล็กน้อยครับ เช่น สมมติวรรษถูกคำสาปครอบงำแล้วตีสีคราม จะตีแค่ครั้งเดียว หรือถ้าได้ยินเสียงสีครามร้องว่าเจ็บ คำสาปหยุดลงทันทีครับ

    แต่เหตุที่คำสาปมันรุนแรงกว่าที่เอทอสตั้งใจไว้มาก เป็นเพราะตอนที่ร่ายคำสาปคราวนั้น เสี้ยวความคิดหนึ่งในใจลึก ๆ เอทอสอยากให้วรรษรู้สึกแบบเดียวกับที่เขาเป็นครับ มันเลยทำให้ผลของคำสาปยิ่งรุนแรง และแน่นอนว่าเอทอสก็ไม่รู้ตัวครับว่าเผลอทำอะไรลงไป และพอมารู้ทีหลังเอทอสต้องรู้สึก... รู้สึกแบบไหน? ฝากคนอ่านติดตามเรื่องราวของเอทอสโนอาร์ในตอนต่อ ๆ ไปด้วยนะครับ ขอบคุณครับ ^^  :laugh:



:bye2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-10-2020 19:19:47 โดย biOmos »

ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
เมื่อไรที่วรรษเลิกคิดไม่ดีน่ะแหละ คำสาปถึงจะค่อยหาย ทำตัวเองชัดๆ โนอาร์ตื่นมาก็เล่นบทโหดเลย

ออฟไลน์ biOmos

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
    

    ‘ว้าว!! นี่บ้านพี่วรรษเหรอ น่าอยู่จังแต่ปลูกต้นไม้ล้อมบ้านอย่างกับป่าแน่ะ’

    เสียงชื่นชมจากน้องชายเอ่ยขึ้น ขณะเดินสำรวจบ้านหลังใหม่ของพี่ชายอย่างตื่นเต้น บ้านสองชั้นขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ถูกรายล้อมด้วยเหล่าต้นไม้มากมายหลายชนิดจนอาจเรียกได้ว่ามีแรงบันดาลใจเป็นบ้านกลางป่าก็ไม่เชิง ซึ่งที่พักอาศัยแห่งนี้เพิ่งถูกสร้างเสร็จด้วยเงินที่พี่ชายอ้างว่าไปลงทุนในธุรกิจหนึ่งและได้กำไร

    ทีแรกเมื่อได้ฟังสีครามไม่อยากเชื่อ มิหนำซ้ำยังกังวลว่าพี่ชายอาจทำเรื่องผิดกฎหมายถึงได้มีเงินเหลือเก็บจนนำมาสร้างบ้านได้หลังทำงานไม่ถึงปี ทว่าเมื่อพยายามคาดคั้นคำตอบ และได้คำปฏิเสธเสียงแข็งผสานการส่ายหน้ารวดเร็วแสดงถึงความบริสุทธิ์จากพี่ชาย สีครามถึงได้วางใจ

    ‘แล้วตอนเด็กใครบอกถ้ามีบ้าน จะปลูกต้นไม้แบบไม่ให้เหลือที่เดินกัน’ วรรษที่เดินตาม กล่าวเหน็บแนมคำพูดสมัยเด็กของน้องชาย
    ‘แต่นี่มันบ้านพี่นะ พี่จะทำตามคำพูดผมทำไมเล่า’
    ‘ก็ไม่ได้อยู่คนเดียวเสียหน่อย ถ้าทุกอย่างที่นี่เป็นแบบที่พี่ชอบหมด คนแถวนี้คงได้อึดอัดพอดี’
 
    คำพูดสื่อความนัยถึงกับทำให้คนกำลังเดินขึ้นชั้นสองของบ้านชะงัก ก่อนหันกลับมาหาพี่ชาย วรรษเพียงส่งยิ้มเล็กน้อยให้กับน้องชายที่มองเขาด้วยความสับสน และเป็นฝ่ายก้าวนำอีกฝ่ายจนมาหยุดอยู่ ณ ชั้นบนที่แบ่งออกเป็นสองห้อง

    ‘เลือกเลยว่าอยากนอนห้องไหน’ เจ้าบ้านพูดกับน้องชายที่ยังคงนิ่งเงียบตั้งแต่เมื่อครู่
    ‘พี่วรรษ...’
    ‘พี่เคยบอกแล้วไง ว่าสักวันพี่จะมีบ้านเป็นของตัวเองและพาสีครามมาอยู่ด้วย’

    วรรษคลี่ยิ้มบางก่อนพูดถึงคำสัญญาในวัยเยาว์ ชวนให้นึกถึงเรื่องราวในสมัยเด็กที่ไม่น่าจดจำ ช่วงที่เขาและสีครามต้องอาศัยอยู่ในห้องเช่าคับแคบไร้ซึ่งความสงบและอบอุ่น มีเพียงเสียงด่าทอใส่กันของสองผู้ให้กำเนิด ผสมเสียงข้าวของที่ถูกขว้างทำลายเพื่อระบายอารมณ์ทุกวี่วัน หากโชคร้ายบางวันเขาและน้องชายอาจกลายเป็นที่ระบายแทนสิ่งของพวกนั้น

    คำสัญญาของพี่ชายเกิดขึ้นในวันที่สองพี่น้องต้องพลัดพราก เมื่อสองผู้ให้กำเนิดไม่อาจทนอยู่ร่วมกันได้อีกต่อไป ก่อนแยกจากผู้ให้กำเนิดทั้งสองยังไม่วายมีปากเสียงเรื่องเกี่ยงกันรับเลี้ยงดูเด็กที่เกิดจากความคะนองพลาดพลั้ง ซึ่งผลสุดท้ายสีครามจำต้องไปกับมารดาที่ถูกผีพนันเข้าสิง และเขาจำต้องอยู่กับบิดาติดเหล้าไม่เอาถ่าน กว่าสองพี่น้องจะได้เป็นอิสระ และได้กลับมาพบกันอีกครา เวลาก็ล่วงเลยนานนับสิบปีจนพวกเขาโตพอจนสามารถพึ่งพาตนเองได้

    ‘เลิกนอนในร้านแคบ ๆ ได้แล-’

    ไม่ทันวรรษได้พูดจบ สีครามก็พุ่งเข้ากอดพี่ชายผู้เสมือนเป็นคนในครอบครัวเพียงหนึ่งเดียว ความตื้นตันกลั่นเป็นหยาดน้ำใสไหลรินเงียบงัน โดยมีเสื้อของพี่ชายแสนดีคอยซึมซับ วรรษเลือกที่จะไม่เอื้อนเอ่ยคำใดเพื่อปลอบประโลม เพียงยกแขนกอดตอบแผ่วเบาพลางโยกตัวเล็กน้อยกล่อมน้องชายที่กำลังอ่อนไหว โดยภายในใจของชายหนุ่มผู้พี่ตั้งมั่นปฏิญาณว่าต่อจากนี้ไป ชีวิตของเราสองพี่น้องจะมีแต่ความสุข



    ความสุข...

    ขณะนี้วรรษกำลังยืนมองสิ่งก่อสร้างที่เคยเป็นสัญลักษณ์แห่งความสุขด้วยสายตาว่างเปล่า เปลวเพลิงสีเหลืองส้มแผดเผากลืนกินเกินเยียวยา แม้จะมีสายน้ำจากเจ้าหน้าที่คอยระดมฉีดดับไฟ ทว่าสิ่งหลงเหลือคงมีเพียงเศษซากไหม้เกรียม ย้ำเตือนถึงความสูญเสียมากมายในค่ำคืนให้ฝังแน่นลึกกับความทรงจำ

    “พอจะเล่าเหตุการณ์คร่าว ๆ ได้ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้น”

    เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งเข้ามาถามเจ้าบ้าน หลังเจ้าหน้าที่พยาบาลตรวจเช็กอาการบาดเจ็บจนเรียบร้อย ซึ่งหน้าแปลกเพราะตามร่างผู้เสียหายกลับไม่พบร่องรอยบาดแผลใด ๆ เลย นอกเสียจากคราบเขม่าควันดำที่ติดตามตัว

    “มีคนร้ายสองคนบุกเข้ามาแล้วจับตัวน้องชายผมไป” ชายหนุ่มพูดตอบโดยสายตาไม่ละไปจากอดีตบ้านที่เหลือเพียงซากสีดำ
    “ช่วงนี้ได้มีปัญหากับใครหรือเปล่าครับ หรือพอจะสงสัยใครเป็นพิเศษไหมครับ”
    “โนอาร์ คนสนิทของเจ้าของสวนรฦกวัลย์ ได้ยินคนร้ายหลุดพูดชื่อว่าโนอาร์ ผมมั่นใจว่าชายคนนั้นต้องเป็นคนสั่งการเรื่องนี้”
    “เช่นนั้นผมขอรบกวนคุณไปให้รายละเอียดผู้ต้องสงสัยเพิ่มเติมที่สถานีสักครู่นะครับ”

    เมื่อได้ฟังเบาะแสสำคัญ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงกล่าวเชิญผู้เสียหายไปยังสถานีเพื่อให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ซึ่งชายหนุ่มก็ให้ความร่วมมือโดยดี ทว่าแท้จริงวรรษเพียงแค่ทำตามพอเป็นพิธีเท่านั้น เนื่องจากเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ไม่มีทางจับตัวโนอาร์มาดำเนินคดีได้แน่ ซึ่งนั่นก็เป็นจริงอย่างที่คาดการณ์ เพราะหลังจากคำให้การในวันนั้น คดีก็ไม่มีความคืบหน้าอีกเลย เหตุเพราะไม่มีหลักฐานใดยืนยันว่าผู้ต้องสงสัยมีส่วนเกี่ยวข้อง รวมถึงเบาะแสของสองคนร้ายก็เลือนหายเข้ากลีบเมฆไปเช่นกัน


    แม้จะถูกช่วงชิงวิญญาณรับใช้ที่เปรียบเสมือนแขนขาไปจนหมด ทว่าไม่นานผู้คุมวิญญาณก็รวบรวมกลุ่มวิญญาณรับใช้ขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง โดยครานี้ทุกตนล้วนแข็งแกร่งและมีไหวพริบพอจะทำงานเองได้โดยที่เจ้านายไม่ต้องสั่ง เป็นวิญญาณรับใช้กลุ่มใหม่ที่มีทักษะความสามารถเหนือกว่ากลุ่มเก่าที่เคยมีอย่างก้าวกระโดด
    ซึ่งนอกจากการพัฒนาเรื่องวิญญาณรับใช้แล้ว ยามนี้วรรษก็เริ่มควบคุมความคิดและอารมณ์ของตนได้แล้วเช่นกัน เพื่อป้องกันไม่ให้คำสาปเลวร้ายของปีศาจแผลงฤทธิ์อีก

    “ยังไม่พบกลิ่นอายของคุณสีคราม หรือคนที่จับตัวคุณสีครามไปเลยครับนาย”

    วิญญาณรับใช้ตนหนึ่งรายงานผู้เป็นนาย ด้วยถ้อยคำเดิมดั่งที่เคยรายงานมาตลอดหลายวัน วรรษเพียงพยักหน้ารับฟังเล็กน้อย ก่อนสะบัดมือคล้ายไล่ ทว่าวิญญาณรับใช้รู้ดีว่านั่นแทนคำสั่งให้ตนออกตามหาร่องรอยของคุณสีครามต่อไป ดังนั้นวิญญาณรับใช้ที่อดีตเคยเป็นนักโทษประหารจึงค้อมตัวแสดงความเคารพเล็กน้อยก่อนจางหายไป

    นับจากเหตุเพลิงไหม้ ยามนี้เป็นเวลาเกือบสองสัปดาห์แล้วที่การตามหาตัวน้องชายของผู้คุมวิญญาณจบลงด้วยความล้มเหลว สาเหตุหนึ่งวรรษมั่นใจว่าเป็นเพราะ หนึ่งในคนลักพาตัวสีครามที่เป็นผู้คุมวิญญาณเช่นเดียวกับเขา อีกฝ่ายต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อลบกลิ่นอาย จนทำให้เหล่าวิญญาณรับใช้ของเขาหาไม่พบแน่นอน
    
    เห็นจะมีเพียงแต่ตัวการอย่างโนอาร์ที่ไม่เคยคิดหลบซ่อนตัวตน ราวกับกำลังเย้ยหยันทางอ้อมว่าเขาไม่มีปัญญาทำอะไรได้ ซึ่งนั่นเป็นความจริง เขาไม่สามารถออกคำสั่งกับวิญญาณรับใช้ให้จัดการอีกฝ่ายเพราะติดผลของคำสาป แม้สีครามจะไม่อยู่ แสดงว่าเขาไม่มีสิ่งสำคัญให้ทำลาย ทว่าคำสาปจะควบคุมเขาอยู่อย่างนั้นจนกว่าร่างกายของเขาจะอ่อนล้าและหมดสติไป นั่นเป็นเหตุให้ทุกครั้งที่เขาคิดส่งวิญญาณไปจัดการโนอาร์ สติของเขาจะเลือนหาย กว่าจะรู้สึกตัวก็อีกหนึ่งถึงสองวันหลังจากนั้น

    ถึงแม้มีคำสาปคอยขัดขวางก็ไม่อาจทำให้ผู้คุมวิญญาณยอมแพ้ วรรษเลี่ยงคำสาปโดยสั่งการให้วิญญาณรับใช้ไปสอดส่องโนอาร์แทน ซึ่งก็มีวิญญาณบางตนฉลาดพอจะเข้าใจความต้องการแอบแฝงของเขา ทว่าแม้วิธีนี้คำสาปจะไม่เป็นอุปสรรคอีกต่อไป แต่กลับพบอุปสรรคหนักหนากว่าเดิมแทน เพราะหลังรับคำสั่ง ไม่มีวิญญาณสักตนที่ออกไปแล้วมีโอกาสกลับมารายงานเขา ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าวิญญาณทุกตนที่เขาส่งไป ถูกปีศาจที่คอยอยู่ข้างกายโนอาร์กลืนกินทั้งหมด
    ด้วยเหตุนี้ผู้คุมวิญญาณจึงทำได้เพียงคอยส่งวิญญาณรับใช้ออกตามหาน้องชาย และได้แต่ปล่อยให้ตัวการลอยนวลอย่างเจ็บใจ โดยไม่อาจแตะต้องหรือทำอะไรอีกฝ่ายได้เลย



    ณ นอกเขตเมือง มีบ้านเดี่ยวหลังหนึ่งตั้งอยู่อย่างสันโดษบนที่ดินผืนกว้างห่างไกลผู้คน ต้นไม้ตามธรรมชาติกับหญ้าวัชพืชขึ้นจับจองเติมเต็มที่โล่งไม่ได้ใช้สอยมานาน ส่งผลให้บ้านเดี่ยวถูกรายล้อมด้วยพื้นที่สีเขียวคล้ายเป็นบ้านกลางสวนตัดขาดจากโลกภายนอกก็ไม่ปาน ทางเชื่อมติดต่อกับตัวเมืองเห็นจะมีเพียงถนนลูกรังดินแดงที่ทอดยาวสุดสายตา สื่อเป็นนัยว่าการเข้าออกพื้นที่จำเป็นต้องใช้ยานพาหนะช่วยทุ่นแรง หากไม่มีแล้วที่แห่งนี้ก็ไม่ต่างจากคุกกักกันสมบูรณ์แบบ และใช่ น้องชายที่ผู้คุมวิญญาณเพียรตามหาถูกพามาหลบซ่อนอยู่ที่นี่

    “แกร๊ก!”

    เสียงเปิดประตูหน้าบ้าน ก่อนตามด้วยชายหนุ่มท่าทางเคร่งขรึมเดินเข้ามา มือของผู้มาใหม่ข้างหนึ่งเต็มไปด้วยเหล่าเนื้อและผักสำหรับประกอบอาหาร ส่วนอีกข้างถือกล่องข้าวจากร้านในตัวเมือง ก่อนนำของทั้งหมดวางบนโต๊ะกินข้าว ท่ามกลางสายตาของสีครามที่ยังคงมองชายแปลกหน้าอย่างระแวง

    “คุณต้องการอะไรกันแน่ครับ?”
 
    สีครามเอ่ยถามชายผู้เป็นคนลักพาตัวเขามาด้วยความสับสน หลังเขาฟื้นจากการถูกพี่วรรษทำร้ายและพบว่าตัวเองถูกพามาอยู่ที่บ้านหลังนี้ คนลักพาตัวได้แนะนำตัวเองว่าชื่อมังกร กลับเป็นผู้คอยรักษาพยาบาลเขาจนหายดี ไร้ซึ่งการคุกคามฝืนบังคับ มิหนำซ้ำยังปฏิบัติตัวดีกับเขา คอยซื้อของใช้ต่าง ๆ ที่จำเป็นเข้ามาให้อยู่บ่อยครั้ง ผิดวิสัยโจรผู้ร้ายทั่วไปควรเป็น

    “ช่วยนายจากพี่สารเลวนั่นไง”

    มังกรตอบพลางเก็บเนื้อสัตว์และผักแช่ตู้เย็น เผื่อสำหรับให้อีกฝ่ายไว้ทำอาหารกินเองในวันที่เขาไม่มา ถึงบ้านหลังนี้จะห่างไกลตัวเมืองและผู้คน แต่ก็ไม่ได้กันดารถึงขั้นน้ำและไฟฟ้าเข้าไม่ถึง นอกจากตู้เย็นแล้วก็ยังมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่น ๆ อย่าง โทรทัศน์ พัดลม เครื่องปรับอากาศ หรือแม้กระทั่งเครื่องซักผ้า ขาดก็แต่เพียงโทรศัพท์ไว้สำหรับติดต่อกับโลกภายนอก
    หากมองภาพรวมแล้วที่แห่งนี้เปรียบได้กับสรวงสวรรค์ สุขสบายกว่าสถานที่ของโนอาร์ที่จัดเตรียมไว้ให้เป็นไหน ๆ

    “คุณกำลังเข้าใจผิด พี่วรรษไม่ใช่คนแบบนั้น”
    “เหรอ? แล้วที่หัวแตกใครล่ะเป็นคนทำ”
    “…”

    สีครามได้แต่นิ่งเงียบเมื่อได้ยินคำตอบ มังกรเดินกลับมาหลังจัดเรียงของเข้าตู้เรียบร้อย แล้วจึงนั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามสีคราม ก่อนวางกล่องข้าวที่ซื้อจากตัวเมืองบนโต๊ะกลางที่คั่นระหว่างเขากลับอีกฝ่าย

    “กินสิ ไม่ได้ใส่ยาพิษ ถ้าฉันจะทำอะไรนายจริง นายคงไม่ได้อยู่สบายจนถึงตอนนี้หรอก” มังกรเอ่ยดักทางคนมั่วแต่มองหน้าเขาสลับกับกล่องข้าว
    “แล้วคุณล่ะ ทำไมไม่กิน” สีครามถามกลับ พลางมองไปยังกล่องข้าวอีกสองกล่องในถุงเบื้องหน้าอีกฝ่าย
    “เอาไว้กินพร้อมกับเขา เห็นแอบดูเมนูร้านนี้ตั้งหลายครั้ง แต่ไม่ยอมมาขอกันตรง ๆ สักที ไม่รู้จะเกรงใจทำไม”

    มังกรตอบกลับด้วยถ้อยคำติดบ่นคล้ายรำคาญคนที่ตนกล่าวถึง ทว่าแววตาและน้ำเสียงยามพูดถึงใครคนนั้นกลับแฝงไปด้วยความอบอุ่นปนเอ็นดู จนคนนอกอย่างสีครามยังสัมผัสได้ถึงความรักที่ชายตรงหน้ามีให้กับคนสำคัญ ซึ่งนั่นยิ่งทำให้สีครามรู้สึกสับสนว่าตกลงอีกฝ่ายเป็นคนดีหรือร้ายกันแน่

    “สนใจเรื่องของตัวเองเถอะ กินเสร็จแล้วเอานี่ไปดูซะ จะได้ตาสว่างว่านายถูกพี่เลวนั่นหลอกอะไรบ้าง”

    ชายหนุ่มเอ่ยกลับเข้าเรื่องพร้อมท่าทีที่กลับมาเคร่งขรึมดังเดิม ก่อนวางซองเอกสารรวบรวมความดำมืดของวรรษพี่ชายแสนดีที่ลอบทำลับหลังน้องชาย แล้วจึงเดินออกจากบ้านไป

    หลังเสียงรถยนต์ที่ขับออกจากบ้านพักโดดเดี่ยว เริ่มห่างไกลทีละน้อยจนเงียบหายไปในที่สุด สีครามจึงหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลที่อีกฝ่ายทิ้งไว้ขึ้นมาดู ด้านในมีเอกสารมากมายรวมกับรูปภาพและ Flash Drive เก็บข้อมูล ทีแรกน้องชายผู้เชื่อมั่น ต้องการเพียงหาข้อโต้แย้งเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของพี่ชาย ทว่าเมื่อลองอ่านเนื้อหาในเอกสาร ความลับที่ถูกเปิดเผยกลับฉุดดึงผู้เป็นน้องจมลงสู่ห้วงความจริงอันมืดมิด ค่อย ๆ สั่นคลอนเสาหลักภาพจำพี่ชายในจิตใจ คล้ายมีค้อนทุบทำลายฐานเสาให้ไหวเอน จนสักวันหนึ่งอาจพังทลายลงมาเหลือแต่เพียงความผิดหวังเสียใจในตัวพี่ชายที่เคยแสนดี



    ขณะที่ใครหลายคนถูกกักขังควบคุม อาทิวรรษที่ถูกคำสาปจำกัดความคิด สีครามอาศัยในบ้านหลังเดี่ยวเพียงลำพังห่างไกลสังคม หรือกระทั่งภาคินที่โดนกีดกันเรื่องของปีศาจ ทว่าตัวการต้นตอแห่งความเลวร้ายกลับกำลังได้รับอิสระ ความล้มเหลวในแผนสังหารชายผู้มีกลิ่นอายชั่วร้ายรุนแรงที่สุดของผู้คุมวิญญาณ นับว่าเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะยามนี้โนอาร์ได้หวนคืนสู่ตำแหน่งที่ไม่มีใครสามารถทำอะไรเขาได้อีก ยกเว้นเพียง... ปีศาจกินวิญญาณข้างกาย

    “ผมอยากได้เข็มขัดอาวุธคืน”
    “แค่ลงไปซื้อของ จะเอาไปทำไม”

    เอทอสเอ่ยพลางปิดลิ้นชักหน้ารถที่เก็บเข็มขัดของมนุษย์ไว้ ท่ามกลางสายตาค้านของโนอาร์ที่ได้แต่เพียงมองเข็มขัดคู่กายโดยไม่อาจแตะต้อง ตอนนี้หนึ่งมนุษย์และปีศาจอยู่ในลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เพื่อแวะซื้อของกินของใช้กลับเข้าบ้านพักทรงไทยประยุกต์ที่ถูกปล่อยร้างไร้ผู้อาศัยมานาน และใช่ วันนี้อดีตคนป่วยได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล

    “อย่ามัวเสียเวลา เดี๋ยวถึงบ้านมืดค่ำพอดี”

    ร่างสูงใหญ่ตรงที่นั่งฝั่งคนขับเอ่ยขึ้นก่อนก้าวลงจากรถ ส่งผลให้มนุษย์ผู้ถูกขัดใจต้องลงตามไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อหนึ่งมนุษย์และปีศาจเดินออกจากลานจอดรถเข้าสู่ตัวอาคาร รูปร่างโดดเด่นเฉพาะกว่าคนทั่วไปของทั้งสอง ย่อมเรียกสายตาใครต่อใครให้เผลอชื่นชม

    คนหนึ่งสูงใหญ่ใบหน้าคมเข้ม นัยน์สีอำพันติดดุหายากผสานผิวแทนกำยำชวนให้รู้สึกเร่าร้อน ส่วนอีกคนข้างกันแม้จะดูผ่ายผอมเล็กน้อย เนื่องจากต้องนอนพักรักษาตัวเป็นเวลานาน ทว่าผิวพรรณขาวสะอาด ใบหน้าเรียบนิ่งสื่อถึงความทะนงตน และบรรยากาศเยียบเย็นที่แผ่ออกมาโดยรอบ ล้วนทำให้ชายผู้นี้ดุจเจ้าชายแห่งเหมันต์กาลที่ไม่ควรเข้าใกล้ เพราะอาจถูกเยือกแข็งตายโดยไม่รู้ตัว

    “หมับ!”
    “เลิกปล่อยจิตสังหารเย็น ๆ นั่นเสียที พวกมนุษย์เกรงเจ้ากันหมดแล้ว”

    ปีศาจเอ่ยด้วยท่าทีรำคาญ ก่อนคว้าจับมือของมนุษย์ข้างกายเป็นเชิงปราม เหตุเพราะโนอาร์เล่นแผ่รังสีคุกคามทุกคนที่เดินผ่านไปมาแล้วลอบมองเขา ราวกับเด็กที่อยากแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ซึ่งถือว่าการตัดสินใจของปีศาจนั้นได้ผลชะงัด เพราะหลังมนุษย์ขอเปลี่ยนจากการจับมือปกติ เป็นการประสานมืออย่างที่คู่รักมนุษย์มักทำกัน บรรยากาศเยียบเย็นรอบกายจึงพลันเลือนหาย เหลือไว้เพียงรอยยิ้มมุมปากของมนุษย์ที่คงอยู่ตลอดการเดินเลือกซื้อของ


    กว่าจะกลับถึงบ้านพักทรงไทยประยุกต์ก็เป็นเวลาค่ำมืดอย่างที่ปีศาจคาดการณ์ รถกระบะสีดำหยุดสนิท ณ ใต้ถุนบ้านสำหรับเป็นจุดจอดโดยเฉพาะ หนึ่งมนุษย์และปีศาจต่างลงจากรถพากันเดินเข้าบ้านพักที่ห่างหายไปนาน โดยโนอาร์รับหน้าที่ไขกุญแจเปิดประตู ส่วนเอทอสเป็นผู้ถือของทั้งหมด
    แม้นี่จะเป็นคืนแรกที่บ้านพักทรงไทยประยุกต์กลับมามีผู้พักอาศัยอีกครั้ง ทว่าเมื่อเข้ามากลับไม่รู้สึกถึงกลิ่นอับ รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ภายในล้วนเงางามไร้ฝุ่นเกาะ บ่งบอกว่าตลอดระยะเวลาที่เจ้าบ้านไม่อยู่ มีคนคอยเข้ามาดูแลทำความสะอาดให้เป็นอย่างดี ซึ่งใครคนนั้นย่อมหนีไม่พ้นเด็กวัยรุ่นพูดเก่งผู้มีนามว่า นาวา

    หลังสองสมาชิกในบ้านช่วยกันจัดแจงเก็บของเข้าที่เรียบร้อย โชคดีที่ก่อนกลับทั้งคู่เห็นตรงกันว่าควรฝากท้องกับร้านอาหาร ส่งผลให้จากนี้จึงเป็นเวลาให้ทั้งสองแยกกันไปพักผ่อนจากการเดินเที่ยวมาตลอดวัน ทว่าความจริงกลับเป็นการแยกย้ายเพียงไม่กี่นาที เมื่อโนอาร์อาบน้ำชำระล้างความเหนื่อยล้าและเปลี่ยนมาใส่ชุดนอนเนื้อดีเรียบร้อย มนุษย์ก็ถือวิสาสะบุกรุกห้องปีศาจตามความเคยชิน

    เจ้าของห้องเดินออกมาจากห้องน้ำโดยมีเพียงผ้าผืนบางคาดเอว ปรายตามองผู้บุกรุกที่นั่งจ้องเขาบนเตียงเล็กน้อย ก่อนหันไปแต่งตัวบริเวณตู้เสื้อผ้าโดยไม่พูดอะไร เมื่อเรียบร้อยจึงเดินไปปิดไฟพร้อมล้มตัวลงนอนตรงด้านหนึ่งของเตียงที่เว้นว่าง ไม่ได้พูดเอ่ยหรือพยายามไล่ใครบางคนอย่างทุกที

    “พวกวิญญาณยังคอยจ้องเล่นงานผมอยู่?”

    มนุษย์ถามปีศาจข้างกาย เหตุเพราะครั้งหนึ่งที่เอทอสยอมให้เขานอนด้วยนั้นเนื่องมาจากเขากำลังถูกวิญญาณตามรังควาน ซึ่งระหว่างรออีกฝ่ายตอบมนุษย์ก็กระเถิบตัวนอนแนบชิดร่างสูงใหญ่ไปด้วย โดยครานี้พัฒนาขึ้นกว่าครั้งก่อนด้วยการหาญกล้ากอดแขนและหนุนซบไหล่หนา ถึงแม้โนอาร์จะแกล้งหยั่งเชิงยั่วเย้าปีศาจ ทว่าคำตอบที่ได้กลับไม่ได้แฝงท่าทีรำคาญหรืออยากไล่เขาอย่างที่ควรเป็น จนมนุษย์ผู้มักมีสีหน้าไร้อารมณ์ เผลอเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ

    “ทั้งใช่และไม่ใช่”
    “ที่ไม่ใช่คืออะไร? ผมอยากรู้”
    “เลิกถามเสียที ข้าจะนอนแล้ว”

    เอทอสเอ่ยตัดบทพลางดึงแขนที่มนุษย์ยึดไปกลับคืน ส่งผลให้โนอาร์ได้แต่ตำหนิตัวเองในใจที่ทำให้ปีศาจรู้สึกรำคาญจนต้องขยับห่างจากเขา ทว่าวินาทีต่อมาร่างมนุษย์ถึงกับนิ่งค้าง ขัดกับหัวใจเยือกแข็งที่พลันเต้นแรงราวกับได้ยินเสียงดังกึกก้องในความรู้สึก เมื่อท่อนแขนหนาที่ปีศาจยึดคืน ตอนนี้กลับกำลังโอบรวบตัวเขาให้เข้ามานอนหนุนแผงอกกว้าง ก่อนแขนข้างนั้นจะวางนิ่งบริเวณช่วงเอวมนุษย์

    จากที่หวังเพียงนอนกอดแขนปีศาจผู้เป็นที่รัก กลับได้ถึงการนอนภายใต้อ้อมแขนของปีศาจ ความสุขมากล้นที่เอทอสยอมมอบให้ มากเกินกว่าที่มนุษย์จะกล้าร้องขอสิ่งใดอีก ดังนั้นโนอาร์จึงเลือกหลับตาสงบเงียบ ปล่อยคำถามติดค้างมากมายในใจให้หลุดลอย แล้วมุ่งสมาธิกับการฟังเสียงหนักแน่นของหัวใจปีศาจใต้แผ่นอกกว้าง ที่กลายเป็นจังหวะเดียวกับเขาอย่างสมบูรณ์



    รุ่งอรุณแจ่มใสรับวันใหม่เวียนมาถึง กับมนุษย์ซุกตัวในอ้อมกอดปีศาจไม่ยอมลุกไปทำหน้าที่ของตน นั่นคือการเตรียมกาแฟและทำมื้อเช้า นัยน์ตารัตติกาลมืดมิดมัวแต่จับจ้องสันกรามคมไล่จนถึงปลายคางปีศาจที่ยังคงเสมือนอยู่ในห้วงนิทรา แผ่นอกกว้างขยับขึ้นลงสม่ำเสมอผสานสัมผัสจังหวะการเต้นของหัวใจหนักแน่น ผ่านปลายนิ้วที่ลูบไล้วนเล่นไปมาบนแผงอกแกร่งปีศาจ

    ยามนี้ใบหน้านิ่งสงบของโนอาร์เริ่มปรากฏรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อย สื่อว่าเขารู้ทันใครบางคนที่ตื่นก่อนทว่ายังคงแสร้งหลับ พลางขยับมือขาวที่วนเล่นให้ค่อยเลื่อนต่ำลงทีละน้อย จนสัมผัสถึงรอนกล้ามท้องแกร่งภายใต้เสื้อกล้ามเนื้อบาง จนสัมผัสถึงชายขอบกางเกงผ้าเนื้อดีที่ซ่อนสิ่งอันตรายไว้ด้านใน

      “หมับ!!”
    
    ฝ่ามือหนาคว้าจับมือซุกซน พร้อมพลิกร่างขึ้นคร่อมกักขังมนุษย์ให้อยู่ใต้ร่างสูงใหญ่ นัยน์ตาสีอำพันดุไร้ความง่วงงุนค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดนก มองสบนัยน์ตารัตติกาลวาววามของมนุษย์ ที่ยังไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกลงโทษในไม่ช้า

    “ทำไมเจ้าถึงชอบยั่วข้านัก”
    “เพราะผมอยากให้คุณกอด”
    “แล้วเมื่อคืนไม่ใช่?” เอทอสเอ่ยถามเสียงทุ้ม พร้อมกับใบหน้าคมดุที่ขยับต่ำลงเรื่อย ๆ จนมนุษย์ใต้ร่างรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดผิวเนื้อแผ่วเบา
    “ใช่ครับ แต่...” มนุษย์ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย ขยับสองแขนขึ้นคล้องลำคอแกร่งพลางรั้งเล็กน้อยให้ร่างสูงใหญ่ด้านบนก้มลงมาใกล้กันมากขึ้น เพื่อให้ปีศาจฟังคำตอบได้ถนัด
   “คงจะดีไม่น้อย หากคุณกอดผมแบบ ‘ลึกซึ้ง’ กอดแบบที่คุณทำให้ผม…”
    “…”
    “หมดแรง”

      ฉับพลันคำขอของมนุษย์ก็ได้รับการเติมเต็ม เมื่อร่างสูงใหญ่ด้านบนก้มลงมาประกบจูบรวดเร็ว ริมฝีปากอิ่มบางถูกปีศาจขบเม้มดูดดึงอย่างกระหาย ก่อนลิ้นร้อนจะสอดเข้าโพรงปากหยอกเย้าลิ้นนุ่มด้านใน จนรู้สึกถึงความหวานติดปลายลิ้น ฝ่ามือขาวของมนุษย์ที่คล้องลำคอแกร่งเลื่อนขึ้นจับขยุ้มกลุ่มผมหนาสีนิลของร่างสูงใหญ่ตามแรงอารมณ์ พลางกดศีรษะอีกฝ่ายลงมาเพื่อให้สัมผัสดูดดื่มบดเบียดแนบชิดยิ่งกว่าเคย

    “อา...”

    เสียงแลกเปลี่ยนลมหายใจเริ่มแปรเปลี่ยนสลับกับเสียงครางจากมนุษย์ เมื่อฝ่ามือหนาของปีศาจที่คอยลูบไล้เรือนร่างขาวใต้ร่าง กลับหยุดคลึงยอดอกชูชันผ่านเนื้อผ้าลื่นของชุดนอน เอทอสดูดดึงปลายลิ้นนุ่มส่งท้ายก่อนผละจูบเว้นช่วงจังหวะให้มนุษย์พักหายใจ พร้อมเปลี่ยนเป้าหมายเป็นการขบเม้มสูดดมซอกคอขาว ค่อย ๆ ไล่จูบเลื่อนลงจนถึงแนวไหปลาร้าที่มีเสื้อชุดนอนขวางกั้นรำคาญตา

    “แควก!!”

    ชุดนอนมนุษย์ใต้ร่างถูกฝ่ามือใหญ่ดึงทึ้งฉีกขาด ห้วงอารมณ์ร้อนแรงลดทอนความอดทนของปีศาจ ทำให้การปลดกระดุมเรียบง่ายเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดเสียเวลา หลังไร้ซึ่งเศษผ้าเกะกะรำคาญใจ แผ่นอกขาวนวลจึงปรากฎให้นัยน์ตาสีแดงเลือดนกคุกรุ่นด้วยพายุอารมณ์เชยชม จุดสีสวยบนแผ่นอกเปลือยกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะลมหายใจหอบเหนื่อย คล้ายดึงดูดเชื้อเชิญปีศาจให้ลิ้มลอง

    “อืมม... เอทอส..”

    ชายเลือดเย็นที่ใครต่างหวาดกลัว ยามนี้กลับหลุดครางเสียงพร่า เมื่อริมฝีปากหนาของปีศาจครอบครองยอดอกสีสวย ปลายลิ้นร้อนตวัดรัวเร็วสลับดูดเม้มหยอกเย้า ส่วนจุดสีสวยอีกฝั่งก็ไม่ได้รับการละเว้น ถูกนิ้วหนาบดคลึง ผลการถูกกระตุ้นจุดอ่อนไหวสองที่พร้อมกัน สร้างความรู้สึกซาบซ่านคล้ายกระแสไฟฟ้าวิ่งกระจายไปทั่งร่าง จนมนุษย์ใต้ร่างเผลอแอ่นอกขึ้นให้ปีศาจยิ่งรังแกตนได้สะดวก

    ฝ่ามือขาวทั้งสองข้างปัดป่ายไปทั่วตามร่างปีศาจ พลางกดปลายนิ้วจิกมัดกล้ามเนื้อบนแผ่นหลังกว้างเป็นการระบาย ทว่าเสื้อกล้ามตัวบางกลับเป็นอุปสรรคขัดขวาง และดูเหมือนร่างสูงใหญ่ที่กำลังเพลิดเพลินกับการเล่นหยอกล้อยอดอกสีหวานจะรับรู้ ช่วงจังหวะหนึ่งเอทอสจึงผละออกดันตัวขึ้น พร้อมถอดเสื้อน่ารำคาญโยนไปข้างเตียง เผยให้เห็นผิวสีแทนดูดีมีมัดกล้ามเนื้อร้อนแรงประดับอยู่ทุกสัดส่วนบนร่างกายสูงใหญ่กำยำ โนอาร์เผลอสบนัยน์ตาสีแดงเลือดนกร้อนรุ่มคล้ายมีเปลวไฟแห่งความต้องการลุกโชน กำลังจ้องมองเขาที่นอนแผ่อยู่ใต้ร่างราวกับเป็นอาหารอันโอชะ ถึงกับทำให้เขารู้สึกร้อนผ่าวที่ผิวแก้มอย่างประหลาด

    เอทอสที่ยามนี้เต็มไปด้วยห้วงอารมณ์ความต้องการ ไม่คิดปล่อยช่วงเวลาให้เสียเปล่า รีบกลับลงมาแนบชิดกายเพื่อกลืนกินมนุษย์ และดูเหมือนคราวนี้ชายใต้ร่างจะไม่ยอมเป็นผู้ตามเพียงฝ่ายเดียวเช่นกัน ฝ่ามือขาวที่ลูบไล้ตามมัดกล้ามแข็งแรงถึงเลื่อนต่ำลง จนสัมผัสเข้ากับแก่นกายร้อนของปีศาจที่เริ่มแข็งขืน แม้ตอนนี้จะยังไม่ใช่ขนาดแท้จริง ทว่าฝ่ามือขาวก็แทบไม่อาจกอบกุมตัวตนของปีศาจไว้ด้วยมือข้างเดียว

    “อ๊ะ!...”
    “ติ้ด!! ติ้ด!! ติ้ด!!”

    โนอาร์หลุดร้องเมื่อฟันคมของปีศาจขบกัดที่ยอดอกสีหวานด้วยความมันเขี้ยว เหตุเพราะมือซุกซนกำลังลูบจับส่วนอันตราย ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงแปลกปลอมจากเครื่องติดตามตรงลำคอแกร่งดังขึ้น ส่งผลให้ห้วงอารมณ์ที่กำลังพุ่งสูงพลันหยุดชะงัก

    บัดนี้สัญญาณบ่งบอกสถานะของเครื่องติดตามเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีส้มกระพริบ สื่อเป็นนัยว่าตัวเครื่องอนุมานการกระทำเร่าร้อนเมื่อครู่ของปีศาจเป็นการจู่โจมมนุษย์ ถึงได้ส่งเสียงร้องเตือน และนั่นส่งผลให้ทุกสิ่งอย่างที่ค้างอยู่จำต้องจบลงอย่างไม่อาจเลี่ยง

    เอทอสใช้แขนแกร่งดันตัวขึ้นจากมนุษย์ใต้ร่างเล็กน้อย หลับตาพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ที่หลงเหลืออยู่สักพัก ก่อนน้อมตัวจูบลงข้างขมับโนอาร์คล้ายเป็นการปลอบประโลม แล้วจึงผละออกเดินหายเข้าห้องน้ำไป ทิ้งให้ใครอีกคนนอนควบคุมห้วงความรู้สึกที่ติดค้างบนเตียงยับย่นเพียงลำพัง


    หลังผ่านพ้นช่วงหฤหรรษ์ที่ล่มลงไม่เป็นท่า หนึ่งมนุษย์และปีศาจที่แยกกันไปอาบน้ำสงบสติอารมณ์ จึงได้มาทานมื้อเช้าร่วมกันในบรรยากาศเงียบสงบของบ้านพักทรงไทยประยุกต์ โชคดีที่กำหนดการกลับไปดูแลสวนของนายใหญ่คือวันพรุ่งนี้ มิเช่นนั้นกลุ่มคนงานคงไม่กล้าเข้ามาแสดงความยินดีกับคนเพิ่งหายป่วย เหตุเพราะรังสีทะมึนดำมืดชวนอึดอัดที่แผ่ออกมาจากตัวโนอาร์ไม่หยุด ซึ่งปีศาจก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าสิ่งใดเป็นต้นเหตุ

    “แค่เดือนเดียว” เอทอสแสร้งพูดลอย ๆ เมื่อโนอาร์จ้องเขม็งที่เครื่องติดตามตรงลำคอเขาแทบไม่ละสายตา ราวกับถ้าเครื่องนี่มีชีวิต คงถูกชายเลือดเย็นจับถลกหนังทรมานให้สาสมความผิดอย่างแน่นอน
    “ตั้งเดือนหนึ่ง เอทอส ไม่ใช่แค่”

    ได้ยินดังนั้น ปีศาจจึงได้แต่ปล่อยให้มนุษย์หงุดหงิดต่อไปโดยไม่อาจทำอะไรได้ ทว่าหลังผ่านไปสักพักหนึ่ง โนอาร์ก็ดูเหมือนจะคิดหาหนทางแก้ปัญหาได้ แต่มีหรือที่วิธีการของชายผู้มีกลิ่นอายวิญญาณชั่วร้ายเข้มข้นที่สุดจะเป็นเรื่องดี

    “ผมจะไปลากคอพวกนักล่าปีศาจ ให้มาปลดเครื่องติดตาม”
    “หยุดความคิดเจ้าซะ หากเจ้าทำ ก็อย่าหวังว่าข้าจะกอดเจ้าอีก”
    “เอทอส!”



บท25 สมบูรณ์



ถึงคนอ่าน


    บทนี้จะเห็นว่าทุกคนที่ตกเป็นของเล่นของโนอาร์ล้วนถูกควบคุมไม่ทางใดก็ทางหนึ่งครับ ไม่ว่าจะเป็น วรรษ สีคราม หรือภาคิน แต่ดูเหมือนแผนจะผิดพลาดเล็กน้อยเพราะคนที่อยู่เหนือเกมอย่างโนอาร์ก็ถูกควบคุมเช่นกัน แล้วดูเหมือนสิ่งที่โนอาร์โดนควบคุมค่อนข้างเป็นปัญหาใหญ่มากมากเสียด้วยล่ะครับ 5555


    ป.ล. นี่ถือเป็นครั้งแรกในการเริ่มเขียนเนื้อหาแนว NC ของคนเขียนเลยครับ ฝากคนอ่านช่วยคอมเมนต์ชี้แนะด้วยนะครับ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-11-2020 22:13:19 โดย biOmos »

ออฟไลน์ biOmos

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
    รถกระบะสีดำธรรมดาคันหนึ่งเลี้ยวเข้าสวนกล้วยไม้ขึ้นชื่อของจังหวัด กลับสร้างความโกลาหลครั้งใหญ่ภายในพื้นที่ กลุ่มชาวสวนพนักงานต่างทิ้งภารกิจทุกสิ่งอย่างที่ทำอยู่ เพื่อไปรวมตัวต้อนรับการกลับมาของนายใหญ่และคนรัก

    หลังงานเฉลิมฉลองก่อตั้งสวนรฦกวัลย์และงานวันเกิดของนายใหญ่ ไม่มีใครคาดคิดว่าวันต่อมาจะต้องรับฟังข่าวร้ายสะเทือนความรู้สึก อย่างเรื่องคุณโนอาร์ประสบอุบัติเหตุถูกรถบรรทุกที่คนขับหลับในพุ่งชน อาการบาดเจ็บสาหัสเป็นตายเท่ากัน ราวกับลมหายใจของคุณโนอาร์พร้อมหยุดลงทุกวินาที ข่าวสะเทือนใจสร้างความเศร้าโศกให้กับเหล่าคนงานเป็นอย่างมาก ทว่าผู้เจ็บช้ำที่สุดคงเป็นนายใหญ่ ผู้เกือบสูญเสียคนสำคัญในค่ำคืนครบรอบวันเกิดที่ควรจะมีแต่ความสุข ส่งผลให้ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาสวนกล้วยไม้แห่งนี้จึงไร้เสียงคึกคักพูดคุยอย่างเคย

    จวบจนกระทั่งวันนี้ที่ทุกความหม่นหมองได้ถูกปัดเป่ามลายสิ้น ด้วยไอบรรยากาศเยือกเย็นเอกลักษณ์ประจำตัวของคนรักนายใหญ่ ที่ก้าวลงจากรถกระบะพร้อมเจ้าของสวนที่ห่างหายไปนาน

    “ในที่สุดเรื่องร้าย ๆ ก็ผ่านไปสักที ยินดีต้อนรับกลับมานะ คุณโนอาร์ นายน้อย” ลุงสมัยเป็นตัวแทนกลุ่มคนงานกล่าวแสดงความยินดีกับนายใหญ่ของสวน และคนรักของเจ้านายที่ออกจากโรงพยาบาล
    “ฉันรู้อยู่แล้วล่ะค่ะว่าคนดีแบบคุณโนอาร์ต้องแคล้วคลาดปลอดภัย ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้”
    “หึ... ขอบคุณครับ”

    คำพูดเยินยออย่างบริสุทธิ์ใจของสาวชาวสวนคนหนึ่ง ถึงกับทำให้โนอาร์หลุดหัวเราะเล็กน้อยก่อนแสร้งกล่าวขอบคุณ ทว่าภายในความมืดชั่วร้ายที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากากเข้าสังคมพลันเกิดคำถามหนึ่งขึ้นว่า หากพวกคนงานแสนไร้เดียงสาของปีศาจได้รู้จักตัวตนแท้จริงรวมถึงสิ่งที่เขาจะทำต่อจากนี้ จะยังกล้าชื่นชมว่าเขาเป็นคนดีอีกไหม

     “ระหว่างที่ฉันไม่อยู่ ทุกคนสบายดีไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม ขอโทษที่ทิ้งสวนไป ฉันคงเป็นนายที่ไม่ได้เรื่องจริง ๆ”

     เอทอสเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มแฝงความรู้สึกผิด ส่งผลให้กลุ่มชาวสวนโดยรอบต่างละล้าละลังทำอะไรไม่ถูกไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบผลัดกันพูดให้กำลังใจนายใหญ่ ส่วนชายเลือดเย็นข้างกายที่สัมผัสถึงห้วงอารมณ์หม่นหมองของปีศาจ เพียงยื่นมือมาจับแขนแกร่งพลางเกลี่ยนิ้วลูบปลอบอย่างอ่อนโยน

    “คุณเอทอสต้องคอยเฝ้าอาการคุณโนอาร์ แล้วยังต้องเครียดกังวลตอนคุยกับคุณหมออีก เท่านี้ก็หนักมากพอแล้ว พวกเราเข้าใจดีเลยช่วยกันดูแลสวนให้ดีที่สุด คุณเอทอสอย่าตำหนิตัวเองแบบนั้นเลยครับ”
    “ใช่ค่ะ ๆ พวกเราเต็มใจช่วยกันทำงานเพื่อไม่ให้นายต้องห่วงที่นี่ นายอย่าโทษตัวเองเลยนะคะ”
    “...ขอบคุณทุกคนมาก”

    ร่างสูงใหญ่เจ้าของสวนกล่าวขอบคุณน้ำใจมากล้น พร้อมค้อมตัวเล็กน้อยให้กับเหล่าคนงานอย่างไม่ถือศักดิ์ความเป็นเจ้านายของตน ซึ่งนั่นยิ่งทำให้กลุ่มชาวสวนยิ่งทำตัวไม่ถูกหนักกว่าเก่า ลุงสมัยที่เฝ้าดูจึงยุติเรื่องราวโดยการเข้าไปตบบ่าใหญ่ที่ทนแบกรับปัญหาเพียงลำพังอย่างให้กำลังใจ ดวงตาเริ่มฝ้าฟางของผู้อยู่มานานฉายความอบอุ่นภูมิใจ เมื่อเห็นนายน้อยในความทรงจำเติบโตกลายเป็นชายหนุ่มที่น่าเคารพ เฉกเช่นเดียวกับนายใหญ่สวนรฦกวัลย์รุ่นก่อน ๆ


    หลังได้พูดคุยแสดงความยินดีสักพักใหญ่จนพอหายคิดถึง เอทอสและโนอาร์จึงพากันเดินไปทางสำนักงานที่ตั้งอยู่ทางด้านหลังของสวน โดยมนุษย์เพียงมาส่งปีศาจแล้วจะแยกไปดูกล้วยไม้พันธุ์ใหม่ของเจ้าของสวน
    ทว่าเมื่อสองคู่รักต่างเผ่าพันธุ์มาถึงสำนักงาน ประตูกระจกทึบของตัวอาคารกลับเปิดอย่างฉับพลัน พร้อมด้วยตัวการผู้มากับเสียงทักทายสดใสตามแบบฉบับเจ้าตัว โดยด้านหลังมีผู้เป็นพ่อเดินตามออกมาด้วยสีหน้าปลงตก

    “สวัสดีครับอาเอทอส พี่โนอาร์ กะแล้วว่าพี่คงไม่ยอมอยู่บ้านคนเดียวแน่ ผมเลยมารอที่สวนและก็ใช่จริง ๆ ด้วย… ว่าแต่อาเอทอสใส่อะไรเหรอครับ อย่างกับปลอกคอเลย”
    “นาวา เสียมารยาท”

    ศิลาเอ่ยปรามลูกชายที่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของนายใหญ่มากเกินไป แม้ในใจเขาก็รู้สึกสงสัยเรื่องอุปกรณ์สีดำตรงลำคอของนายเช่นกัน แต่ด้วยตำแหน่งหน้าที่การถามตรง ๆ เพื่อเติมเต็มความอยากรู้ย่อมไม่ใช่สิ่งที่สมควรแน่ และคนงานคนอื่น ๆ คงคิดเช่นเดียวกับเขา เว้นเสียนาวาที่ยังเป็นแค่เด็กมัธยมปลายอีกทั้งยังค่อนข้างสนิทกับคุณเอทอส จึงไม่ค่อยคำนึงเรื่องสถานะเหมือนผู้ใหญ่มากนัก

    ซึ่งเครื่องยืนยันถึงความไม่เหมาะสมโดยอิงจากประสบการณ์ส่วนตัวของศิลาก็คือ ไอบรรยากาศรอบตัวคนรักของนายใหญ่ ที่คล้ายลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ยามนาวาเอ่ยทักเรื่องปลอกคอ และคล้ายลูกชายของเขาจะสัมผัสถึงกระแสอารมณ์ได้เช่นกัน ถึงได้กล่าวขอโทษก่อนหันไปคุยกับต้นตอความอึดอัดแทน ทว่าในสายตาของศิลา วิธีแก้สถานการณ์ของลูกชายเขานั้นเข้าขั้นเลวร้ายถึงที่สุด

     “พี่โนอาร์เพิ่งหายดี ผมขอเป็นลูกมือช่วยพี่ทำงานนะ”

    นาวาหันมาสนใจรุ่นพี่ที่ตัวเองยกยอเป็นไอดอล พร้อมเสนอตัวเป็นผู้ช่วยโดยไม่จำเป็นต้องมีใครร้องขอ ศิลาเตรียมเข้าไปห้ามลูกชายเพราะเกรงคุณโนอาร์อาจรำคาญ แล้วลูกชายคนเดียวของเขาจะถูกบรรยากาศเยียบเย็นผสานแววตาเรียบนิ่งทำร้ายความรู้สึก แบบเดียวกับที่เขาเคยโดนมาก่อน ทว่าคำตอบจากชายผู้ที่ศิลากลัวเกรง กลับทำให้ทุกความคิดหยุดชะงักในทันที

    “อืม แล้วไม่มีเรียน?” โนอาร์ถามกลับ น้ำเสียงเรียบเรื่อยไร้วี่แววความหงุดหงิด
    “โรงเรียนหยุดช่วงสอบครับพี่โนอาร์ แต่ผมอ่านสอบหมดแล้วนะพี่ไม่ต้องห่วง วันนี้ผมว่างทั้งวันเลย” นาวารีบตอบเพื่อกันการถูกปฏิเสธ ส่วนโนอาร์หลังรับฟังเพียงหันไปคุยกับร่างสูงใหญ่ข้างกาย
    “ผมขอไปดูกล้วยไม้ที่คุณเก็บไว้ให้ แล้วพักเที่ยงจะกลับมากินข้าวกับคุณ”
    “ตามใจ”

    เมื่อได้ยินคำอนุญาต ชายเลือดเย็นจึงเดินแยกไปอีกทางโดยมีเด็กวัยรุ่นพูดจาเจื้อยแจ้วตามหลัง ทิ้งให้ศิลามองความสนิทสนมระหว่างนาวากับชายผู้คาดเดาอารมณ์ยากด้วยความมึนงง แต่ในความสับสนนั้นกลับมีความดีใจอยู่ลึก ๆ ว่าคนรักของนายไม่ได้มีท่าทีรังเกียจลูกชายของเขา แม้คุณโนอาร์ดูจะไม่ค่อยชอบหน้าเขาเท่าไรก็ตาม

    “เข้าไปข้างในเถอะ”

    เอทอสตบไหล่เรียกสติเลขาของตนเล็กน้อย ก่อนเดินนำเข้าสำนักงานไป ศิลาที่มัวแต่อ้ำอึ้งจึงต้องพับเก็บกลุ่มก้อนความคิดข้อสงสัยทั้งหมดลง เพื่อมุ่งสมาธิกับการช่วยเหลือเจ้านายจากภาระงานมหาศาลที่กำลังรออยู่ด้านใน


    ภายในเรือนกล้วยไม้ซ่อมทดแทนเรือนเก่าที่เคยพังเสียหาย ยามนี้กลับเต็มไปด้วยกล้วยไม้ใหม่หลากหลายพันธุ์ จัดเรียงเป็นแถวแบ่งแยกตามชนิดอย่างเป็นระเบียบ ซึ่งในบรรดากล้วยไม้ที่แข่งกันออกดอกสีสันสวยงาม กลับมีกล้วยไม้เพียงสายพันธุ์เดียวเท่านั้นที่สามารถดึงดูดนัยน์ตารัตติกาลมืดมิด และเรียกรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อยให้กับชายเลือดเย็นได้

    “ดีจังเลยนะครับที่พี่โนอาร์กลับมาทันตอนที่มันยังบานอยู่” นาวาเอ่ยขึ้นพลางมองดอกกล้วยไม้สีฟ้าอมม่วงที่ชูช่อไสวอวดดอกงดงาม
    “ขวับ!!”

    อยู่ ๆ กรรไกรตัดกิ่งในมือของพี่ที่เคารพลันตวัดขึ้นฉับพลัน ปลายแหลมคล้ายตั้งใจพุ่งแสกกลางใบหน้าเด็กหนุ่มข้างกาย วินาทีที่ส่วนคมใกล้สัมผัสผิวเนื้อนาวารีบขยับหลบได้อย่างเฉียดฉิว พร้อมคว้าจับข้อมือรุ่นพี่และออกแรงบิดตามสัญชาตญาณ จนอาวุธกรรไกรตัดกิ่งร่วงลงพื้นอย่างง่ายดาย

    “พี่โนอาร์! ทำอะไรเนี่ย?! มันอันตรายนะพี่”

    เด็กหนุ่มโวยวายเสียงดังด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ทว่ากลับได้เพียงรอยยิ้มมุมปากจากคนจ้องทำร้ายเท่านั้น และเพราะบริเวณนี้ไม่มีคนงานอยู่ จึงไม่มีใครรับรู้หรือเป็นพยานต่อเหตุการณ์อันตรายเมื่อครู่เลย

    “เคลื่อนไหวเร็วขึ้น ฝึกคนเดียว?”

    หลังฟังคำถาม นาวาจึงคลายความตื่นตกใจลง เมื่อรู้ว่ารุ่นพี่เพียงต้องการทดสอบเขาเท่านั้น ก่อนจะยอมปล่อยมือและเล่าถึงช่วงเวลาตลอดหลายเดือนที่ขาดพี่โนอาร์เป็นคู่ซ้อมว่า เขาอึดอัดจนต้องขอพ่อกับแม่ซื้อกระสอบทรายมาฝึกเตะต่อย โดยอาศัยเรียนรู้จากคลิปวีดีโอทางอินเทอร์เน็ต ส่วนความคล่องตัวก็ฝึกผ่านการเล่นกีฬารูปแบบต่าง ๆ อย่าง บาสเกตบอล ฟุตบอล ปิงปอง แบดมินตัน จนครูเห็นแล้วดึงเขาเข้าเป็นนักกีฬาของโรงเรียน
    ในตอนท้ายนาวาก็ได้เล่าความลับเมื่อไม่นานนี้ เขาแอบไปต่อยตีกับพวกนักเลงเพื่อช่วยเพื่อนที่กำลังโดนไถเงิน ถึงจะเจ็บตัวกับมีแผลนิดหน่อยแต่ก็เอาชนะมาได้ ไม่ลืมกำชับแกมขอร้องพี่โนอาร์ว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับใคร เพราะกว่าเขาจะหาเรื่องแก้ต่างกับพ่อแม่เรื่องรอยแผลได้ก็แทบแย่เหมือนกัน

    ซึ่งเด็กหนุ่มก็ไม่ทันสังเกตว่าคำสารภาพเมื่อครู่ ทำให้นัยน์ตารัตติกาลมืดมิดของชายเลือดเย็นเกิดประกายวาวอันตราย เฉกเช่นเดียวกับยามมองของเล่นกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมาน

    “สนุกหรือเปล่า”
    “ครับ?” นาวาเอ่ยถามอย่างสับสน ไม่เข้าใจสิ่งที่รุ่นพี่ต้องการสื่อ
    “ตอนที่ได้ชกคนแบบเต็มแรง ได้กระทืบคนอย่างไม่ต้องยั้งมือ ตอนที่เห็นพวกนั้นล้มอยู่แทบเท้าพยายามตะเกียกตะกายหนี รู้สึกสนุกหรือเปล่า”

    นัยน์ตารัตติกาลยากคาดเดาความคิด จ้องนิ่งเข้าไปในดวงตาของเด็กหนุ่มราวกับล่วงรู้ความจริงที่พยายามเก็บซ่อน และก่อนที่นาวาจะขยับปากพูดตอบ โนอาร์ก็เอ่ยดักทางล่อลวงให้เด็กหนุ่มยอมรับตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง

    “ไม่ต้องเอาความผิดถูกมาหักล้างความรู้สึก ตอบมาตามตรง เรื่องนี้จะเป็นความลับระหว่างเราเท่านั้น ไม่มีใครรู้แม้กระทั่งเอทอส”
    แต่ถ้าเอทอสถาม จะบอกและเล่าทุกอย่าง

    โนอาร์ต่อประโยคในใจและรอฟังคำตอบจากเด็กหนุ่ม ส่วนนาวาเมื่อได้ฟังคำยืนยันจากพี่ที่เคารพจึงยอมเปิดใจพูดในที่สุด โดยหารู้ไม่ว่าคำมั่นนั้นมีข้อยกเว้นต่อท้ายที่คนเจ้าแผนการไม่ยอมบอก

    “ครับ… ตอนนั้นรู้สึกสนุกมาก ถึงจะโดนสวนกลับก็แทบไม่รู้สึกเจ็บเลย พอเห็นมือเปื้อนเลือดที่ผมต่อยพวกนั้นจนปากคิ้วแตก ผมยิ่งตื่นเต้นจนอยาก...”
    “อยากชกอีกซ้ำ ๆ ให้เลือดเปื้อนเต็มมือ ให้หน้าพวกนั้นเต็มไปด้วยเลือด เสียงร้องโอดโอยมันทำให้รู้สึกดีใช่ไหม?” คนอันตรายช่วยต่อประโยค
    “…คะ ครับ... พี่โนอาร์ผมเป็นคนไม่ดีใช่ไหมถึงมีความคิดแบบนี้อยู่ในหัว ผมควรทำยังไงดี ผม-”
    “ไม่เห็นต้องทำอะไร แค่ยอมรับความจริง และสนุกให้เต็มที่เมื่อมีโอกาส”
 
    ชายเลือดเย็นกล่าวปลอบนาวาที่กำลังสับสน พลางยิ้มมุมปากคล้ายให้กำลังใจเล็กน้อย เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่คนงานกลุ่มหนี่งเริ่มเดินทยอยเข้ามาในบริเวณนี้ พร้อมรถของสวนสำหรับขนส่งกล้วยไม้โดยเฉพาะ ซึ่งหลังสอบถามได้ความว่า ช่วงบ่ายจะนำกล้วยไม้ไปส่งให้กับร้านดอกไม้ในตัวเมือง และเมื่อโนอาร์ได้ฟังชื่อร้าน นัยน์ตารัตติกาลพลันหันสบกับเด็กหนุ่มเหมือนกำลังสื่อถึงอะไรบางอย่าง ก่อนจะตามด้วยคำชวนเรียบเรื่อย ทว่ากลับทำให้มุมมืดในจิตใจอันบริสุทธิ์ของนาวากู่ร้องอย่างบ้าคลั่ง

    “โอกาสมาแล้ว ไปไหม”



    การมอบอำนาจตัดสินใจทุกอย่างให้ใครสักคนบริหารกิจการแทน ย่อมเป็นเรื่องน่ากังวลและอันตรายเพราะมีโอกาสถูกโกงหรือหักหลัง ทว่าเรื่องเหล่านี้ล้วนไร้ความหมาย เมื่อนายใหญ่เจ้าของธุรกิจสามารถรับรู้ถึงความบริสุทธิ์และชั่วร้ายจากกลิ่นอายวิญญาณ ดังนั้นการทิ้งสวนไปนานหลายเดือนจึงไม่ก่อให้เกิดปัญหาใด ๆ ทิ้งสิ้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าหลังจากนายใหญ่กลับมา จะไร้ภาระงานให้สะสาง

    “ต่อจากรายงานผลผลิตกล้วยไม้ จะเป็นรายงานบัญชี รายงานความคืบหน้าของทุกโครงการ ต่อด้วยแผนดำเนินงานในอนาคตที่ยื่นเสนอให้นายช่วยพิจารณาอนุมัติ และรายชื่อบริษัทที่มาเสนอขายอุปกรณ์ปลูกกล้วยไม้ ผมสรุปรายละเอียดของแต่ละเจ้าให้แล้วครับ”

    ศิลาแจงลำดับงานถัดไปเมื่อเห็นว่านายใหญ่จัดการงานล่าสุดเรียบร้อย พร้อมเก็บแฟ้มเอกสารเบื้องหน้าร่างสูงใหญ่ไป ก่อนแทนด้วยแฟ้มใหม่ให้เจ้าของสวนพิจารณาต่อทันที เอทอสเหลือบมองกองภูเขาแฟ้มที่กำลังรอเขาอยู่ตรงมุมห้อง แล้วได้แต่ถอนหายใจ

    “ช่วงที่ฉันไม่อยู่ นายแอบอู้หรือเปล่าศิลา ทำไมงานถึงได้มากมายขนาดนี้”
    “ผมทำงานเต็มที่ครับนาย เพียงแต่นายต้องอ่านรายงานสรุปผลตลอดระยะเวลาที่นายไม่อยู่ เพิ่มจากการเซ็นเอกสารปกติเลยทำให้ดูเยอะครับ” ศิลาตอบกลับโดยมือและสายตาไม่ได้ละไปจากการจัดเรียงเอกสารเพื่อรอส่งให้เจ้านายจัดการ
    “อืม... จากที่ฉันดูผลกำไรความก้าวหน้า นายก็ทำได้ไม่เลวหนิศิลา” ร่างสูงใหญ่ตรงโต๊ะทำงานเอ่ยชม
    “ขอบคุณครับ”
    “ปีหน้าฉันยกสวนให้ เอาไหม”
    “นายจะไม่อยู่ช่วงไหนครับ แล้วระยะเวลาคร่าว ๆ ประมาณเท่าไรหรือครับ”
    “ตลอดไป... ฉันคงไม่มีโอกาสได้กลับมาแล้ว ฉันไว้ใจนายที่สุด ช่วยดูแลที่นี่แทนฉันได้ไหม”

    ศิลาถามกลับตามปกติ เพราะคิดว่านายใหญ่คงมีแผนออกไปทำธุระในอนาคต ทว่าคำตอบจากเจ้าของสวนกลับทำให้เลขาถึงกับชะงัก ก่อนหันมองเจ้านายตรงโต๊ะทำงานด้วยความไม่เข้าใจ แต่เมื่อสบนัยน์ตาสีอำพันดุของผู้เป็นนาย เขาก็รู้ทันทีว่าเรื่องนี้ไม่ใช่การพูดเล่นหยอกล้อแต่อย่างใด

    “นายหมายความว่ายังไงครับ ที่ว่าตลอดไป?”
    “ก็แบบที่นายเข้าใจ ฉันจะยกสวนรฦกวัลย์ให้-”
    “ขอปฏิเสธครับ”

    ไม่ทันที่เอทอสจะได้พูดจบประโยค ศิลาก็รีบเอ่ยปฏิเสธด้วยท่าทีจริงจัง เขาไม่รู้ว่านายคิดอะไรถึงได้พูดราวกับกำลังสั่งเสีย แต่เขาไม่มีวันยอมเด็ดขาด สวนรฦกวัลย์นี้เป็นมรดกและความภาคภูมิใจของตระกูลนาย จะมายกให้คนนอกง่าย ๆ ได้อย่างไร ถึงในอนาคตความรักระหว่างคุณเอทอสกับคุณโนอาร์อาจทำให้ไม่สามารถมีทายาทมาสานต่อ และสุดท้ายต้องจบลงด้วยการส่งมอบเจตนารมณ์ให้คนอื่นดูแลต่อไป แต่กว่าจะถึงวันนั้น เขามั่นใจว่านายใหญ่และคุณโนอาร์ต้องมีใครสักคนที่เหมาะสมยิ่งกว่าเขาแน่นอน

    “ลองเอากลับไปคิดดู การเป็นเจ้าของธุรกิจที่มั่นคงจะทำให้เมียกับลูกนายอยู่อย่างสุขสบาย ความลำบากในการดิ้นรนเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวมันหนักแค่ไหน นายก็เคยสัมผัสมันมาแล้วหนิ โอกาสดี ๆ แบบนี้ทำไมถึงไม่คว้าไว้”
    “ก๊อก ๆ ๆ”

    เจ้าของนัยน์ตาสีอำพันแนะให้เลขาของตนนำข้อเสนอกลับไปคิดทบทวน เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงเคาะประตูหน้าห้องทำงานดังขึ้น ซึ่งเข็มนาฬิกาตรงหน้าปัดที่แจ้งเวลาใกล้เที่ยงเป็นตัวบ่งบอกได้อย่างดีว่า ใครกำลังยืนอยู่หน้าห้อง ศิลาวางมือจากงานเบื้องหน้าแล้วเตรียมเปิดประตูให้คนสำคัญของนายใหญ่เข้ามา ทว่าก่อนที่ประตูจะเปิดออก ผู้ที่ได้รับโอกาสก้าวหน้าในชีวิตก็ยังคงยืนกรานไม่เปลี่ยนแปลง

    “ขอบคุณครับนาย แต่ผมคิดดีแล้วครับ”
    “แกร๊ก!”

    ประตูห้องทำงานเปิดออก เผยให้เห็นชายผู้มีบรรยากาศเยือกเย็นรายล้อมในสภาพชุดชาวสวน พร้อมถาดอาหารมีควันขาวลอยส่งกลิ่นหอม นัยน์ตารัตติกาลเรียบนิ่งเหลือบมองศิลาที่เป็นคนเปิดประตูให้ครู่หนึ่ง ก่อนเดินผ่านไปวางมื้อเที่ยงตรงโต๊ะกระจกโดยไม่พูดอะไร เห็นดังนั้นเลขาผู้รู้หน้าที่จึงค้อมตัวลาเล็กน้อยและออกจากห้องไป

    เมื่อหนึ่งมนุษย์และปีศาจอยู่กันเพียงลำพังในห้อง เอทอสลุกจากโต๊ะทำงานมาทิ้งตัวลงตรงโซฟาพลางเอนหลังพิงและหลับตาอย่างหมดแรง โนอาร์ที่กำลังจัดวางมื้อกลางวันบนโต๊ะได้เห็นสภาพเหนื่อยล้าของปีศาจก็พลันทิ้งทุกอย่างทันที ก่อนจะอ้อมไปทางด้านหลังโซฟาที่เอทอสนั่งอยู่ และลงมือบีบนวดช่วงบ่ากว้างแข็งเกร็งเพื่อให้ร่างสูงใหญ่รู้สึกผ่อนคลาย

    การปรนนิบัติจากมนุษย์ทำให้ปีศาจที่กำลังพักสายตารู้สึกดี จนเผลอส่งเสียงครางทุ้มแสดงถึงความพึงพอใจในลำคอเบา ๆ มนุษย์ผู้มีความดีความชอบจึงถือวิสาสะขอรางวัล ด้วยการโน้มตัวลงไปประกบจูบปีศาจที่กำลังหลับตาเอนหัวพิงโซฟาอยู่ โดยฝ่ามือขาวทั้งสองข้างก็ยังคงนวดผ่อนคลายบ่าแกร่งไปด้วย

    ริมฝีปากมนุษย์บดเบียดแนบชิดกับปากปีศาจอย่างนุ่มนวล เกิดเป็นเสียงแลกเปลี่ยนลมหายใจแผ่วเบาคลอให้ได้ยินกันเพียงสองคน เอทอสยอมเปิดทางให้ลิ้นเล็กของมนุษย์เข้ามาในโพรงปากและปล่อยโนอาร์เป็นผู้ควบคุมทุกสิ่งตามต้องการ ลิ้นอ่อนนุ่มเข้ากระหวัดดูดดึงลิ้นหนาที่ให้ความร่วมมือสอดประสานรัดรึงเป็นอย่างดี ต่างฝ่ายต่างตักตวงความหวานจากปลายลิ้นที่เกี่ยวพันไม่รู้เบื่อ จนเมื่อมนุษย์และปีศาจรู้สึกอิ่มเอมพอใจ ริมฝีปากที่แนบสนิทเนินนานจึงถึงคราวผละออก พร้อมกับนัยน์ตาดุสีอำพันที่ลืมตื่นขึ้นมองริมฝีปากมนุษย์ฉ่ำวาวด้วยหยาดน้ำใสที่เพิ่งแลกเปลี่ยนกัน

    “งานคุณหนักขึ้นเพราะคุณเฝ้าผมที่โรงพยาบาล มีอะไรที่ผมพอช่วยคุณได้บ้างไหม” ชายเลือดเย็นเอ่ยถาม นัยน์ตารัตติกาลสงบนิ่งคล้ายแฝงความอ่อนโยนยามมองปีศาจผู้เป็นที่รักเพียงหนึ่งเดียว
    “แค่เจ้าไม่หาเรื่องปวดหัวมาให้ข้า เท่านี้ก็มากเพียงพอแล้ว” คำตอบของเอทอสทำให้ผู้กำลังวางแผนชักชวนเด็กหนุ่มให้รู้จักความสนุกดำมืด ถึงกับชะงักเล็กน้อยก่อนยิ้มมุมปากแก้เก้อส่งให้ปีศาจ
    “ครับ ผมจะพยายาม”

    เอทอสมองรอยยิ้มนั้นอย่างไม่ค่อยไว้ใจเท่าไรนักก่อนจะยอมปล่อยผ่าน โนอาร์จึงรีบเบี่ยงเบนความสนใจปีศาจด้วยการชวนทานมื้อกลางวัน สองชีวิตในห้องทำงานใช้เวลาร่วมกันในบรรยากาศสงบเงียบผ่อนคลาย ไม่จำเป็นต้องสรรหาหัวข้อสนทนามาพูดคุย เพียงรู้ถึงการมีอยู่ของกันและกัน ก็มากพอให้สองหัวใจเต้นสอดประสานกันอย่างเป็นสุข แม้อีกไม่นานดวงหนึ่งจำต้องหยุดลงเพื่อสละให้อีกดวงเต้นต่อไปก็ตาม


    “บ่ายนี้ผมจะติดรถส่งกล้วยไม้เข้าเมือง ถ้าเย็นแล้วผมยังไม่มา คุณกลับบ้านก่อนได้เลย”

    เมื่อเวลาพักเที่ยงหมดลง โนอาร์กล่าวบอกปีศาจขณะกำลังเตรียมออกจากห้อง เอทอสพลันรู้ถึงความคิดมนุษย์ทันที เพราะบ่ายวันนี้มีแค่รถขนส่งกล้วยไม้ไปให้ร้านของสีครามเท่านั้น ซึ่งจากที่เขาเคยลอบฟังโนอาร์คุยโทรศัพท์ครั้งที่อยู่โรงพยาบาล ตอนนี้สีครามคงถูกคนของโนอาร์ลักพาตัวไปที่ไหนสักแห่ง และผู้ที่ดูแลร้านดอกไม้แทนต้องเป็นผู้คุมวิญญาณอย่างแน่นอน

    “ข้าไม่อนุญาต”
    “คุณบอกว่าจะไม่ห้าม ถ้าผมอยากเอาคืน” มนุษย์ยกคำที่ปีศาจเคยว่าไว้ ส่งผลให้เอทอสต้องจำยอมในที่สุด
    “มันอันตราย”
 
    ความเป็นห่วงอย่างไม่คิดปิดบังที่ปีศาจแสดงออกมา ทำให้มนุษย์ผู้รับความห่วงใยนั้นรู้สึกถึงความอบอุ่นภายในหัวใจเยือกแข็ง จนต้องระบายผ่านรอยยิ้มมุมปากและนัยน์ตารัตติกาลเจือความสุข โนอาร์อ้อมมือไปทางด้านหลัง ก่อนหยิบหนึ่งในมีดรอบเข็มขัดอาวุธออกมา มีดทำจากแร่สีขาวบริสุทธิ์ที่ปีศาจเคยให้เป็นของตอบแทนเมื่อนานมาแล้ว

    “มีดของคุณจะทำให้ผมปลอดภัย”

    โนอาร์เอ่ยพลางลูบคมมีดในมือด้วยความทะนุถนอม เอทอสมองมีดที่เขาทำเล่นเมื่อนานแล้วด้วยความสงสัยเล็กน้อย เรื่องแร่ขาวที่เขาเอามาทำตัวมีดนี้สามารถสร้างบาดแผลให้กับร่างวิญญาณได้ ตัวเขาเองก็เพิ่งรู้ตอนโนอาร์เอาไปใช้ป้องกันตัวจากวิญญาณในป่าช้าเช่นกัน ทว่าถึงจะมีอาวุธก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัย เมื่อต้องต่อกรกับศัตรูที่มองไม่เห็นและไม่อาจรับรู้ถึงการมีอยู่ ดังนั้นปีศาจจึงต้องให้สิ่งที่สามารถปกป้องมนุษย์ได้อย่างแน่นอน

    “หมับ!”

    ชายเลือดเย็นพุ่งตัวเข้าสวมกอดร่างสูงใหญ่อย่างรู้งาน ยามเห็นแขนทั้งสองของปีศาจอ้าออก แขนแกร่งโอบตัวมนุษย์ไว้ ฝ่ามือใหญ่กดศีรษะคนในอ้อมแขนให้ซุกกับแผงอกกว้างและลูบกล่อมเบา ๆ ส่งผลให้มนุษย์หลับตาซึมซับสัมผัสจากปีศาจอย่างเป็นสุข

    “ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใด ข้าจะปกป้องเจ้าเสมอ”

    คำพูดคล้ายคำสัญญาจากปีศาจดังขึ้น พร้อมกับเปลวเพลิงสีนิลอบอุ่นลามเลียปกคลุมร่างในอ้อมแขนไว้อย่างอ่อนโยนโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ จวบจนประกายเพลิงทั้งหมดมอดดับเลือนหาย เอทอสถึงคลายกอดจากมนุษย์

    “คุณดูเหนื่อยนะเอทอส งานวันนี้พอก่อนดีไหม” โนอาร์เอ่ยถาม เมื่อสังเกตเห็นความอ่อนล้าในนัยน์ตาดุสีอำพันที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก
    “ข้าสบายดี แข็งแรงกว่าเจ้าเยอะ”
    “แต่-”
    “เสร็จธุระของเจ้าแล้วกลับมาที่นี่ ข้าจะรอ”

    เมื่อได้ฟังคำยืนยันจากปีศาจ โนอาร์จึงยอมพยักหน้าตกลงในที่สุดแล้วออกจากห้องไป เพื่อรีบสะสางทุกอย่างให้เรียบร้อยและกลับมาหาปีศาจในช่วงเย็น หลังห้องทำงานไร้เงามนุษย์ เอทอสที่ช่วงนี้ยังไม่มีเวลาออกไปหาวิญญาณกิน แต่ต้องสูญเสียพลังร่ายคำสาปเดินกลับมาทิ้งตัวตรงโซฟาอย่างหมดแรง โชคดีว่าพลังที่เหลืออยู่เพียงพอต่อการคงร่างมนุษย์ไว้ เลยไม่ค่อยน่ากังวลเท่าไรนัก

    ผ่านไปสักพักหนึ่งศิลาถึงเข้ามาในห้องทำงาน และพบว่าเจ้านายอยู่ในสภาพไม่สู้ดีเลยรีบเข้ามาสอบถามอาการ ทว่านายใหญ่กลับเพียงบอกปัดว่าไม่เป็นไร ก่อนกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงาน ระหว่างอ่านเอกสารเอทอสก็พลันนึกถึงเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อโนอาร์กลับมา จึงเอ่ยสั่งกับศิลาให้ฝากบอกคนงานทุกคนว่า วันนี้ให้เลิกงานเร็วกว่าเดิม



(ต่อด้านล่าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-11-2020 21:35:10 โดย biOmos »

ออฟไลน์ biOmos

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
(ต่อ)

    รถขนกล้วยไม้สองคันจอดสนิท ณ บริเวณร้านดอกไม้อันคุ้นเคย ชายเลือดเย็นลงจากรถพร้อมกับเด็กหนุ่มและกลุ่มคนงาน นัยน์ตารัตติกาลมืดมิดประสานเข้ากับพี่ชายเจ้าของร้าน ที่ต้องมาดูแลกิจการแทนน้องชายที่หายไป แม้ว่าจะพยายามสะกดความรู้สึกอาฆาตเกรี้ยวโกรธมากแค่ไหน ก็ไม่อาจหลบพ้นสายตาผู้จับจ้องทุกความรู้สึกเหยื่อ เพื่อจะได้บดขยี้จิตใจเหล่าของเล่นให้แหลกเหลวไม่เหลือชิ้นดี

    “ไม่คิดว่าจะได้พบกันอีก คุณอดีตผู้ว่าจ้าง... แล้วสีครามไปไหนถึงทิ้งร้านให้คุณดูแล เป็นคนที่ไร้ความรับผิดชอบจริง ๆ”
    “หุบปาก...”

    เพียงคำทักทายระหว่างกันของตัวแทนสวนและร้านดอกไม้ กลุ่มคนงานโดยรอบก็ต่างสัมผัสถึงบรรยากาศอึมครึมน่าอึดอัด จึงได้แต่ช่วยกันรีบขนกล้วยไม้หลังรถเข้าร้านโดยเร็ว ส่วนนาวาที่ยืนอยู่ข้างโนอาร์ ก็ได้แต่มองสลับระหว่างรุ่นพี่กับคนที่น่าจะเป็นเจ้าของร้านด้วยความสับสนไม่เข้าใจ

    “สีครามอยู่ไหน” วรรษกัดฟันถามตัวต้นเหตุเบื้องหน้า พยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้ปะทุ
    “คงอยู่ที่ไหนสักที่ แต่จะอยู่บนพื้นหรือฝังดิน อยู่บนโลกนี้หรือโลกหน้า ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะให้ความร่วมมือตอบคำถามผมดีแค่ไหน”

    ขณะที่ผู้มาเยือนกำลังยื่นข้อเสนอ เหล่าวิญญาณรับใช้รอบบริเวณก็พุ่งเข้าจู่โจมเป้าหมายโดยไม่ต้องรอคำสั่ง ไม่จำเป็นต้องดูท่าทีหรือเกรงกลัวสิ่งใด เพราะปีศาจที่คอยอยู่ข้างกายชายผู้นี้ไม่ได้มาด้วย ทว่าเมื่อร่างโปร่งแสงเกือบได้สัมผัสตัวบุคคลอันตราย เปลวเพลิงสีนิลไร้ที่มาก็พลันลุกโหมห่อหุ้มปกป้องชายเลือดเย็นทันที

    “อ๊ากกกก!!! ร้อน!!! นายช่วยผมด้วย!! อ๊ากกกก!!!!”

    วิญญาณรับใช้หลายตนที่ถูกสะเก็ดไฟสีนิล ต่างร้องดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด เมื่อสะเก็ดเพลิงเล็กน้อยนั้นกลับลุกลามกลายเป็นเปลวไฟร้อนคลอกทั่วร่างโปร่งแสง เผาไหม้จนดวงวิญญาณสลายดับสูญสิ้นไป ส่งผลให้วิญญาณรับใช้ที่เหลือรอดต่างหวาดหวั่น ถอยห่างไม่กล้าทำอะไรอีก

    วรรษเป็นผู้เดียวที่มองเห็นไฟปีศาจและรับรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ทำได้เพียงกำมือแน่นข่มอารมณ์ เพราะไฟน่ารังเกียจที่เคยเผาไหม้เขาเจียนตายและบงการเขาให้ทำร้ายสีครามจนสาหัส ยามนี้กลับห้อมล้อมปกป้องศัตรูเขาอย่างอ่อนโยน เพลิงดำสนิทที่พัดไหวเบื้องหน้าคล้ายกับกำลังตอกย้ำเย้ยหยันเขา ว่าไม่มีทางแตะต้องชายผู้นี้ได้อีกต่อไป

    “ถามอะไร?” ผู้คุมวิญญาณจำยอมรับข้อเสนออย่างไม่อาจเลี่ยง
    “ตอนบ้าน​ไฟไหม้​ อยู่ ๆ เอทอสก็มีแผลขึ้นตามตัว หมายความว่ายังไง?”

    เรื่องคราวก่อนในโรงพยาบาลที่ปีศาจเกิดรอยไหม้และฟกช้ำไปทั่วร่างอย่างไร้สาเหตุ ยังคงติดค้างอยู่ในความคิดโนอาร์จนถึงวันนี้ ซึ่งเมื่อผู้คุมวิญญาณฟังคำถามก็ถึงกับหลุดหัวเราะสะใจเล็กน้อย ก่อนเอ่ยไขข้อสงสัยพร้อมรอยยิ้มยากคาดเดา

    “ดูท่าเจ้านั่นจะรักแกน่าดูถึงได้รับแทน ไม่รู้ว่ารับมนตร์นั้นไปด้วยหรือเปล่า ถ้าใช่ก็ยินดีกับแกด้วยแล้วกัน ที่ได้เจอความรักดี ๆ ยอมมอบให้ทุกอย่าง แม้กระทั่งชีวิต”
    “พูดอะไร?” นัยน์ตารัตติกาลพลันเย็นเยียบอย่างน่ากลัว เมื่อรู้ว่าเอทอสต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อเขา โดยอาจแลกกับชีวิตของตัวเอง
    “ไม่ลองถามเพื่อนผู้คุมวิญญาณของแกดูล่ะ หมอนั่นเป็นคนยื่นความตา-”
    “โครม!!!”
    “พี่โนอาร์!! เดี๋ยวพี่!! ใจเย็นก่อน!”

    ไม่ทันที่วรรษได้เอ่ยคำยั่วยุจบ ฝ่าเท้าหนักจากชายอันตรายก็ถีบเข้ากางอกเต็มแรง ส่งผลให้ร่างคนปากดีเสียหลักล้มใส่ชั้นวางดอกไม้หน้าร้านพังระเนระนาด นาวาที่อยู่ใกล้คนฟิวส์ขาด รีบรั้งตัวโนอาร์ไว้สุดกำลัง เพื่อไม่ให้เข้าไปทำร้ายอีกฝ่ายซ้ำพร้อมพยายามพูดเรียกสติ กลุ่มงานที่กำลังเร่งขนกล้วยไม้พลันรู้ในทันทีว่าสิ่งที่กลัวที่สุดเกิดขึ้นแล้ว จึงต่างรีบพากันเข้าไปช่วยดูอาการและแยกเจ้านายทั้งสองออกจากกัน

    “หึ.. หึ... มันสายไปแล้วโนอาร์ ถ้าแกยอมตายง่าย ๆ เจ้านั่นก็คงไม่ต้องมาตายแทนแกหรอก ถ้าอยากจะโทษก็โทษตัวเองเถอะ!”
    “ผัวะ!! โครม!!!”

    แม้จะมีถึงสามคนที่คอยดึงรั้ง ทว่าชายผู้เต็มไปด้วยจิตสังหารดำมืดกลับสลัดคนพยายามสกัดกั้นอย่างง่ายดาย ก่อนตรงเข้าไปปล่อยหมัดหนักเข้าที่สันกรามคนปากดีจนล้มอีกรอบ พร้อมหันไปหยิบกระถางดอกไม้ที่ตกกระจายเกลื่อนพื้น ยกขึ้นเตรียมฟาดใส่กลางศีรษะคนกำลังลุกขึ้นมา

    “พี่โนอาร์!! พอแล้วพี่! อาเอทอสต้องไม่ชอบใจแน่ที่พี่ทะเลาะกับลูกค้าแบบนี้ พี่คงไม่อยากถูกอาโกรธหรอกใช่ไหม พอเถอะพี่กับสวนกัน”

    นาวารีบเข้าไปยื้อแย่งกระถางพร้อมพยายามเกลี่ยกล่อมอีกครั้ง โดยครานี้อ้างถึงคนที่รุ่นพี่รัก ส่งผลให้ชายอันตรายชะงักไปชั่วครู่ แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น เมื่อฝ่าเท้ารุ่นพี่พลันยกขึ้นก่อนฟาดเข้าที่กลางศีรษะคนกำลังลุกขึ้นจนอีกฝ่ายล้มหน้าคะมำกระแทกพื้น ท่ามกลางเสียงร้องตกใจของคนงานร้านดอกไม้ที่ไม่อาจช่วยพี่ชายเจ้านายของตนได้

    โนอาร์สะบัดมือนาวาที่พยายามฉุดรั้งออก ก่อนเดินไปทางถนนและเรียกรถแท็กซี่ นาวารีบตามไปถามรุ่นพี่ ทว่ากลับได้เพียงสายตาเยียบเย็นอันตรายและคำสั่งให้เขากลับไปพร้อมคนงานเท่านั้น ก่อนรุ่นพี่จะขึ้นรถและหายไป ทิ้งเด็กหนุ่มที่อยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบให้จมอยู่กับความสับสนไม่เข้าใจเรื่องราว


    รถแท็กซี่หยุดจอดหน้าโกดังแห่งหนึ่ง ก่อนรีบเลี้ยวออกไปทันทีที่ลูกค้าผู้แผ่ไอเย็นราวกับสามารถเยือกแข็งลมหายใจได้ลงจากรถ โนอาร์ย่างเท้ารวดเร็วเพื่อเข้าไปหาคนที่รออยู่ในโกดัง เมื่อเข้าไปด้านในพบรถหุ้มเกราะตามที่เคยสั่งไว้ก่อนออกจากโรงพยาบาล และพ่อค้ายืนพิงรถโบกมือทักทายอย่างไม่รู้ตัวว่าชะตาจวนจะขาดในอีกไม่ช้า

    “มาเร็วจังโนอา… เดี๋ยว! อย่า!”
    “ปึง!!!”
     “อั่ก!!..”

    กว่าจินจะรู้ตัวว่าลูกค้าเอาใจยากไม่ได้อยู่ในอารมณ์ปกติ โนอาร์ก็ยืนห่างจากเขาเพียงเอื้อมมือแล้ว ดังนั้นพ่อค้าที่กำลังตั้งท่าวิ่งหนีตายเอาชีวิตรอดจึงถูกกระชากคอเสื้อ ก่อนถูกเหวี่ยงอัดกระแทกกับรถหุ้มเกราะ ตามด้วยฝ่ามือจากคนอันตรายคว้าบีบเข้าที่คอเต็มแรงไร้ความเมตตา

    “เอทอสกำลังจะตาย หมายความว่ายังไง” น้ำเสียงเยียบเย็นเอ่ยถามพร้อมเพิ่มแรงบีบรอบลำคอเป็นเท่าทวี
    “ปะ... ปล่อย.. ก่อน... อั่ก! อาก...”

    จินพยายามยื่นคำขอพลางแกะมือตรงช่วงคอออก ทว่านอกจากจะไม่มีอะไรดีขึ้นแล้ว โนอาร์ยังเตรียมหยิบมีดตรงช่วงเอวขึ้นมาหมายจะใช้ทรมานให้เขาคายความลับ เห็นดังนั้นคนกลัวตกเป็นของเล่นฆาตกรจึงรีบพูดทุกสิ่งอย่างในทันที

    “ม... มันเป็น.. อั่ก!.. ความตั้งใจของ... คุ.. คุณเอทอส อั่ก!.. คะ... เคยห้ามละ.. แล้ว อาก!... แต่คุณเขาไม่ฟัง”
    “ตุบ!!!”
    “แค่ก!! ๆ ๆ”

    ร่างพ่อค้าถูกเหวี่ยงล้มนอนกับพื้นปูนสากสกปรก จินมีเวลาไอสำลักกอบโกยอากาศเพียงครู่เดียว ปลายมีดแหลมก็จี้กดเข้าที่ลำคอ พร้อมกับดันให้เงยหน้าขึ้นทีละน้อยจนสบนัยน์ตารัตติกาลดำมืดเยียบเย็นยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เพียงเท่านี้พ่อค้าก็รู้ดีว่าต้องทำอย่างไรต่อโดยที่คนอันตรายไม่ต้องเอ่ยสั่ง

    “ตะ... ตอนที่นายยังไม่ฟื้น นายถูกมนตร์มืดสองอย่างโนอาร์ อันแรก... ถ้าผู้คุมวิญญาณนั่นบาดเจ็บ นายจะเป็นคนรับอาการบาดเจ็บแทนทุกอย่าง ส่วนอีกอัน...”
    “…”
    “นายถูกกำหนดให้ตายตอนสิ้นปีนี้... วิธีช่วยคือต้องถ่ายมนตร์มืดให้คนอื่น แต่คุณเอทอสเขากลับเลือกรับทุกอย่างไว้เอง”
    “เอาของสกปรกพรรณ์นั้นออกไปจากตัวเอทอสให้หมด” คำสั่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้ ถึงกับทำให้คนฟังหน้าซีดเผือกกว่าเดิม ก่อนจะพยายามอธิบายให้คนอันตรายเข้าใจ
    “ทะ... ทำไม่ได้... มนตร์มืดส่งต่อได้ครั้งเดียว คนรับแทนจะต้องอยู่กับมนตร์มืดไปตลอดชีวิต ไม่มีทางแก้ได้อีก ระ!.. เรื่องนี้เคยเตือนคุณเอทอสแล้ว! แต่คุณเขาก็ยังยืนยันคำเดิม!! ตอนนั้นคุณเขาน่าสงสารมาก.. เหมือนกำลังตายทั้งเป็น ฉันแค่ช่วยทำตามคำขอคุณเขาเองนะ!! จะฆ่ากันเลยเหรอ!!!”
    “พลั่ก!! ตุบ!”

    จินละล้าละลังรีบอธิบายเหตุผลในมุมของตัวเอง เมื่อโนอาร์เพิ่มแรงกดมีดมากขึ้นจนรู้สึกถึงหยดเลือดที่ไหลตรงลำคอ ยามบุคคลอันตรายได้ยินว่าไม่มีทางช่วยปีศาจ ก่อนวินาทีสุดท้ายที่คมมีดจะตัดสะบั้นหลอดลมกลางลำคอ ร่างของคนเกือบชะตาขาดก็ถูกผลักออกให้รอดพ้นโทษประหารอย่างหวุดหวิด

    “ไป”

    น้ำเสียงเยือกเย็นที่พยายามสะกดกลั้นเอ่ยขึ้น พร้อมกับร่างชายอันตรายลุกขึ้นยืนขยับถอยห่าง จินสังเกตเห็นมือทั้งสองข้างของโนอาร์ที่กำแน่นจนสั่นเกร็งอย่างควบคุมอารมณ์ ก็พลันรู้ในทันทีว่าเขาต้องรีบหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ก่อนที่อีกฝ่ายจะคุมตัวเองไม่อยู่และลงมือจัดการเขาจริง ๆ

    ดังนั้นจินจึงไม่รีรอคว้าโอกาสรอดไว้ โดยวิ่งหน้าตั้งออกจากโกดังทันทีอย่างไม่คิดเหลียวมองกลับมา และเมื่ออาคารหลังใหญ่เหลือเจ้าของไอบรรยากาศอาฆาตเยือกเย็นเพียงลำพัง โนอาร์จึงเดินขึ้นรถหุ้มเกราะก่อนขับไปยังสถานที่สุดท้ายซึ่งเป็นจุดหมายแท้จริงในวันนี้



    “โครม!!!”

    รถหุ้มเกราะพุ่งชนราวกั้นของป้อมยาม ขับเข้าไปในอาณาเขตตึกสํานักงานสูงเสียดฟ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ เสียงสนั่นดังทั่วบริเวณส่งผลให้เหล่าพนักงานต่างตื่นตกใจ รวมถึงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่กรูกันเข้าไปหารถผู้บุกรุกหมายจะจับตัวมารับโทษ ทว่านั่นกลับเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะผู้สร้างความโกลาหลครั้งนี้ เป็นบุคคลอันตรายเกินกว่าที่ใครคาดคิด และลำพังแค่กระบองในมือไม่อาจสู้ปืนและคมมีดได้อย่างแน่นอน

    “ปัง!! ปัง!! ปัง!! ปัง!!”
    “อ๊ากกกก!!! กรี๊ด!!!!!”

    เสียงปืนสาดกระสุนใส่กลุ่มยามที่รายล้อมรถหุ้มเกราะ ทำให้เหล่าพนักงานยิ่งตื่นตระหนกกรีดร้องวิ่งหนี เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยผู้ทำหน้าที่สุดความสามารถ ต่างได้รับสิ่งตอบแทนเป็นลูกตะกั่วฝังร่างกันถ้วนหน้า ทรุดกองดิ้นร้องกับพื้นโดยไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้าช่วย เมื่อชายเลือดเย็นก้าวลงจากรถพร้อมสวมหน้ากากกันแก๊สปิดบังใบหน้า มีกระเป๋าสะพายซึ่งด้านในล้วนบรรจุอุปกรณ์อันตราย และปืนหนึ่งกระบอกที่เล็งไปยังคนกล้าคิดขอความช่วยเหลือ

    “ปัง!!!”
    “กรี๊ด!!!!”

    พนักงานสาวหลังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ร้องลั่น เมื่อมือที่กำลังยกหูโทรศัพท์ถูกกระสุนจากหน้าทางเข้าตึกยิงใส่อย่างแม่นยำ ก่อนตามด้วยเจ้าของปืนเดินมุ่งตรงมาที่เข้าเคาน์เตอร์ จิตสังหารเยือกเย็นที่มาจากตัวผู้บุกรก ถึงกับทำให้หญิงสาวได้แต่หลับตายืนนิ่งตัวสั่นด้วยความกลัว

    “กรี๊ด!!!! ปึง!!!”

    สาวเคราะห์ร้ายไม่ได้รับความเห็นใจใด ๆ ทั้งสิ้น ผมสลวยถูกมือเพชฌฆาตกระชากไร้ความปรานีพร้อมกดกระแทกลงกับตัวเคาน์เตอร์อย่างแรง ความเย็นจากพื้นผิวโต๊ะที่สัมผัสจากผิวแก้ม ราวกับพื้นน้ำแข็งหนาวเหน็บกัดผิวเนื้อจนคล้ายชาไร้ความรู้สึก ทว่าอีกหนึ่งสัมผัสจากวัตถุโลหะเย็นที่กดลงตรงข้างขมับ กลับกระตุ้นความรักตัวกลัวตายเป็นอย่างดี

    “ภาคินอยู่ไหน” น้ำเสียงเยียบเย็นเอ่ยถาม พร้อมกับแรงกดปลายกระบอกปืนที่มากขึ้นคล้ายเป็นการเตือนให้ระวังคำพูด
    “ยะ.. อยู่ชั้นบนสุดค่ะ นะ..น่าจะกำลังประชุ-”
    “พลั่ก! ปัง!!!”
    “กรี๊ด!!!!!!”

    รางวัลจากการตอบคำถามคือการถูกผลักไปชนกำแพงด้านหลัง ก่อนตามด้วยกระสุนปืนยิงเข้าที่ต้นขาหมดโอกาสหนี สาวพนักงานผู้โชคร้ายกรีดร้องครู่อยู่หนึ่งแล้วจึงสลบไป นัยน์ตารัตติกาลเยียบเย็นกวาดมองเหล่าพนักงานที่กลัวตายหลบซ่อนตามมุมต่าง ๆ ก่อนจะหยิบบางสิ่งรูปร่างคล้ายกระป๋องเครื่องดื่มออกมาจากกระเป๋าสะพายและปาลงพื้น ทันทีที่ตัวกระป๋องตกกระทบพลันเกิดควันขาวพวยพุ่งปกคลุมบดบังทัศนวิสัยทั่วบริเวณ เหล่าพนักงานที่สัมผัสตัวควันต่างร้องดิ้นด้วยความแสบร้อนระคายเคืองตรงดวงตาและจมูก

    โนอาร์มองความวินาศโดยรอบด้วยน้ำมือเขา ก่อนก้าวผ่านควันขาวอำพรางกายมีเสียงร้องระงมเป็นองค์ประกอบอย่างไม่ใส่ใจ เพราะเป้าหมายเดียวในตอนนี้คือชั้นบนสุดของตึก


    เสียงอึกทึกจากชั้นล่างที่เริ่มดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ถึงกับทำให้เหล่าผู้บริหารในห้องประชุมนั่งกันไม่ติดเก้าอี้ และกลับยิ่งตกตะลึงพร้อมความเชื่อใจที่สั่นคลอน ยามรู้ว่าผู้ร้ายที่กำลังบุกบริษัทยักษ์ใหญ่มีเพียงแค่หนึ่งเดียว

    “นี่มันอะไรกันคุณภาคิน ชีวิตพวกผมต้องแขวนบนเส้นด้ายเพราะปัญหาส่วนตัวของคุณเหรอ?”
    “แค่คน ๆ เดียวยังไม่มีปัญญาทำอะไรได้ หลังจบเรื่องวันนี้ฉันขอลาขาด-”
    “โครม!!!!”
    “ปัง!! ปัง!! ปัง!! ปัง!!”
    “อั่ก!! อ๊ากกก!!!!!! กรี๊ด!!!!!”
    

    ขณะที่เหล่าผู้บริหารสูงศักดิ์กำลังโต้เถียง ประตูห้องประชุมที่ควรจะมีหน่วยรักษาความปลอดภัยดูแล กลับพังโครมเสียงดัง ตามด้วยกระสุนปืนยิงใส่ทักทายทุกคนในห้อง เว้นเพียงเจ้าของบริษัทเท่านั้นที่ยังไร้รอยขีดขวน และสุดท้ายตัวการผู้แผ่บรรยากาศเยียบเย็นเยือกแข็งก็ก้าวเข้ามาในห้อง

    “ฉลาดเลือก... ใช่ ถ้ายังห่วงชีวิตกลัวตายอยู่ก็เลิกยุ่งเกี่ยวกับบริษัทนี้ เพราะอีกไม่นานที่นี่ต้องล่มจมไม่มีเหลือ”

    น้ำเสียงเรียบนิ่งชวนให้รู้สึกเย็นยะเยือกถึงภายใน กล่าวเตือนเหล่าผู้บริหารที่หนีไปรวมกลุ่มกันตรงมุมห้อง ก่อนจะหันมาสบกับเจ้าของบริษัทที่มองผู้บุกรุกด้วยความโกรธเคือง

    “กะ... แกมีปัญหากับคุณภาคินคนเดียวก็ปล่อยพวกฉันไปสิ คุณคนนี้เขาเสียเลือดมากต้องรีบไปโรงพยา-”
    “ปัง!! ปัง!! ปัง!!”
    “อ๊ากกกก!!!!!!”
    “ปัง!! ปัง!! แกร๊ก!”

    คำพูดเห็นแก่ตัวเรียกรอยยิ้มมุมปากเชิงสมเพชให้กับโนอาร์ได้เล็กน้อย ก่อนสนองด้วยการระดมยิงซ้ำใส่แผลตรงขาที่ใช้อ้างจนหมดแม็ก ส่งผลให้บัดนี้ขาของผู้ที่ถูกใช้อ้างเอาตัวรอด กลับเต็มไปด้วยหยาดเลือดไหลทะลักอาบทั่วบริเวณ ผิวเนื้อถูกพิษกระสุนฉีกทำลายอยู่ในสภาพเหวะหวะเกินกว่าใครจะฝืนมอง ส่งผลให้เจ้าของบาดแผลช็อกสลบในเวลาถัดมา เหล่าผู้บริหารช่างเจรจายามนี้กลับก้มหน้ากดแผลห้ามเลือดตัวเองเงียบสนิทไม่กล้าปริปาก เพราะเกรงกลัวว่าจะได้รับการตอบกลับอย่างเมื่อครู่

    “เป้าหมายนายคือฉันไม่ใช่เหรอ ปล่อยพวกเขาไป” ภาคินเอ่ยเจรจา
    “เล่นละครเรียกคะแนน หึ... นี่พวกคุณรู้ไหม ภาคินน่ะรู้อยู่แล้วว่าเรื่องวันนี้ต้องเกิดขึ้น ถึงได้แอบพกอาวุธป้องกันตัวไว้ แต่น่าเสียดายที่เพื่อนธุรกิจเขาไม่เหลียวแลตัวเบี้ยหมากอย่างพวกคุณ”
    “พูดอะไรขอ-”
    “ถ้าอยากพิสูจน์ก็ถอดชุดสูทและหันหลัง หรือพอเป็นคนดีขึ้นมาบ้าง ไม่อยากหลอกคนพวกนี้จนวินาทีสุดท้าย ก็เอาอาวุธมาวางบนโต๊ะให้หมด แล้วจะตอบแทนโดยการปล่อยพวกเบี้ยหมากออกไปจากห้อง”

    คำพูดจงใจใส่ร้ายป้ายความผิด ทำให้ผู้เป็นแพะอย่างภาคินทำได้เพียงกำมือแน่นข่มอารมณ์ เขาจำน้ำเสียงเยียบเย็นภายใต้หน้ากากนั้นได้ดีว่าคือใคร ทุกสิ่งอย่างที่อีกฝ่ายพูดล้วนเป็นเรื่องแต่งลวงหลอกทั้งหมด เขาไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าโนอาร์จะกล้าทำถึงขนาดนี้ ส่วนเรื่องอาวุธเป็นสิ่งที่นักล่าปีศาจทุกคนต้องพกติดตัวตลอดอยู่แล้ว แต่ที่ไม่เอาออกมาเพราะเขาไม่ได้เตรียมตัวจึงมีแค่อาวุธระยะประชิด จะเอาไปใช้ข่มขู่สู้กับกระบอกปืนได้อย่างไร

    ทว่าหากจะพยายามพูดอธิบายก็เห็นจะเป็นเพียงข้อแก้ตัวฟังไม่ขึ้น เพราะเหล่าสายตาผู้เคราะห์ร้ายที่มองมาล้วนเต็มไปด้วยความเคลือบแคลง ดังนั้นนักล่าปีศาจผู้ตกเป็นหุ่นเชิดของบุคคลอันตรายจึงทำได้เพียงหยิบอาวุธทุกอย่างที่เก็บซ่อนไว้ทางด้านหลังมาวางลงบนโต๊ะ

    “ไม่คิดเลยว่าจะเป็นคนแบบนี้ เสียชื่อพ่อแม่คุณที่พยายามสั่งสมมาจริง ๆ”
    “กะแล้วอายุแค่นี้ประสบการณ์ก็ไม่มี จะขึ้นมาบริหารบริษัทได้ยังไง คงไปแอบตกลงกับใครไว้สินะ แล้วมีปัญหาขึ้นมาก็ลากพวกฉันมารับเคราะห์ด้วย”
    “อุสาเห็นว่าเป็นลูกชายของท่านทั้งสอง แต่วางแผนงานแต่ละอย่างดูท่าจะไปไม่รอดเลยอยากอยู่ช่วย  รู้แบบนี้ฉันออกตามคนอื่นไปตั้งแต่แรกคงดีกว่า”
    “ทำตามที่สั่งแล้ว ปล่อยพวกเขาไปได้หรือยัง”

    ภาคินเลือกเมินคำต่อว่าถากถาง ก่อนเอ่ยทวงข้อตกลงจากบุคคลอันตราย แม้อยากแก้ไขความเข้าใจผิดมากเท่าไร แต่ทุกอย่างคงกลับกลายเป็นหอกหนามยิ่งทิ่มแทงความรู้สึกตัวเขาเอง เพราะทุกคำพูดที่ได้ฟังแสดงให้เห็นแล้วว่าคนเหล่านี้ไม่เคยเชื่อมั่นในตัวเขาแม้แต่น้อย ราวกับทุกความเหน็ดเหนื่อยพยายามที่เขาฝ่าฟันจนมายืนตรงนี้ได้ ไม่มีค่าใด ๆ ในสายตาของพวกผู้ใหญ่ทั้งสิ้น

    เศษเสี้ยวความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่หลบซ่อนในดวงตาเรียบนิ่ง ทำให้ผู้ควบคุมบทละครพึงพอใจเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยไล่พวกหมดประโยชน์ออกจากห้องไป ส่งผลให้ตอนนี้ภายในห้องประชุมเหลือเพียงเจ้าของบริษัทและผู้บุกรุกเพียงสองคน

    “ถูกใส่ร้ายความผิดที่ไม่ได้ทำ รู้สึกยังไง” โนอาร์เอ่ยถาม หลังสนองคืนสิ่งที่อีกฝ่ายเคยทำกับปีศาจเรียบร้อย
    “หึ.. ที่ทำทั้งหมดเพราะอยากแก้แค้นให้ไอ้ปีศาจนั่นเหรอ เรื่องใหญ่ขนาดนี้นายจะปิดยังไง อีกไม่นานพวกตำรวจทั้งประเทศคงตามจับนาย คุ้มกันไหม”
    “ไม่มีหลักฐานให้ตามตัวได้ จะมีก็แต่พยานหนึ่งเดียวที่รู้จักคนทำเป็นอย่างดี แต่พยานจะให้ความร่วมมือกับตำรวจไหม ถ้าต้องแลกกับชีวิตเหล่าพ่อบ้านแม่บ้านแสนสำคัญทั้งหมด”
    “พวกเขาไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้” ภาคินเอ่ยพูดเสียงเย็น เมื่อเหล่าคนในครอบครัวถูกใช้เป็นเครื่องมือ
    “จะเกี่ยวหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายตอนตอบคำถามพวกตำรวจ และถ้าอยากขอความช่วยเหลือพวกนักล่าปีศาจก็ตามใจ แต่ก็ให้รู้ไว้ว่าถ้ากลุ่มพวกนักล่าปีศาจพังพินาศเป็นเพราะนายดึงเข้ามา”

    คำขู่ที่ไม่เกินจริงจากบุคคลอันตราย ทำให้ภาคินพูดไม่ออก ก่อนโนอาร์จะหยิบบางอย่างจากกระเป๋าสะพายและโยนให้เจ้าของบริษัท ปลอกคอสีดำสนิทหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับอุปกรณ์ติดตามปีศาจ ถึงกับทำให้ภาคินขมวดคิ้วแน่น
 
    “ใส่ซะ”
    “เครื่องติดตามปีศาจใช้ไม่ได้กับมนุษย์ ไม่รู้หรือไง” ภาคินกล่าวเย้ยหยัน ทว่าสิ่งที่ได้กลับมาคือเสียงหัวเราะหึหนึ่ง เชิงสมเพช
    “มองไม่ออกหรือไงว่านั่นเป็นของที่สั่งทำเลียนแบบ จะมีผลกับมนุษย์ไหม ใส่แล้วจะรู้เอง”
    “ทำไมต้องใส่”
    “ตู้ม!!!! กรี๊ด!!”

    สิ้นเสียงคำถาม คำตอบกลับเป็นเสียงระเบิดสนั่นและเสียงกรีดร้องของพนักงานชั้นล่างดังขึ้นมาถึงชั้นบน พร้อมแรงสั่นสะเทือนของตัวตึกที่สัมผัสได้เล็กน้อย ภาคินเบิกตากว้างมองอุปกรณ์สั่งการในมือโนอาร์ ไม่อยากเชื่อว่าอีกฝ่ายจะทำรุนแรงเอิกเกริกถึงเพียงนี้

    “นายมันบ้าไปแล้วโนอาร์ ถ้าระเบิดตึกทุกคนจะตายกันหมด รวมถึงนายด้วย”
    “ไม่มีใครโง่พอที่จะตายเพราะกับดักตัวเองหรอก”

    คำต่อว่าถากถางกลาย ๆ คล้ายกำลังสื่อว่าถึงตึกแห่งนี้จะถล่มและสูญเสียชีวิตมากมาย ก็ไม่มีผลต่อตัวการทั้งสิ้น นอกจากนี้อีกฝ่ายยังเป็นเพียงหนึ่งเดียวที่รอดจากโศกนาฏกรรมอย่างไร้รอยขีดข่วน ทั้งหมดล้วนไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยหากผู้พูดคือชายอันตรายที่ชื่อว่าโนอาร์ ดังนั้นเจ้าของบริษัทผู้รับผิดชอบต่อชีวิตมากมายจึงไม่ยอมเสี่ยงเดิมพันใด ๆ และยอมสวมใส่ปลอกคอแต่โดยดี

    “นิ่งดี ควบคุมอารมณ์ใช้ได้”

    โนอาร์เอ่ยชม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่แสดงท่าทีทรมานหลังใส่ปลอกคอ ชายเลือดเย็นจึงจำเป็นต้องกระตุ้นให้อุปกรณ์ทำงาน ด้วยการหยิบปืนกระบอกใหม่ขึ้นมาสาดกระสุนใส่อีกฝ่าย

    “พรึบ!"
    “ปัง!! ปัง!! ปัง!!”

    ภาคินโยกตัวหลบกระสุนได้ทัน พร้อมคว้าหยิบหนึ่งในอาวุธที่วางไว้แล้วรีบหลบหลังโต๊ะ โนอาร์ไม่รอช้าเดินไล่ยิงตามจนกระสุนหมด ภาคินอาศัยช่วงโอกาสนั้นเข้าประชิดตัวอีกฝ่ายหมายจะจับทุ่มลงพื้นและล็อกตัวไม่ให้ดิ้นหนี ทว่าโนอาร์กลับหลบทันอย่างเฉียดฉิวพร้อมสลับปืนในมือเป็นขวานสั้นข้างเอวเตรียมจามเข้ากลางหลัง ภาคินจวนจะพลาดท่าจึงหันปลายคมของอาวุธในมือที่ถือไว้ตอนแรกไปยังโนอาร์ก่อนกดปลดอาวุธ ฉับพลันกลไกของอาวุธได้ยืดขยายเปลี่ยนมีดสั้นเป็นหอกยาว พุ่งแทงใส่กลางอกศัตรู และด้วยระยะกระชั้นชิดไม่มีทางเลยที่จะหลบพ้น

    “พรึบ!”
    “ฉึก!!!”

   เปลวเพลิงสีนิลไร้ที่มา พลันลุกไหม้กลางอากาศกั้นระหว่างคมหอกกับเป้าหมายคล้ายเป็นเกราะปกป้อง ก่อนไฟสีดำสนิทจะวิ่งลามกลืนกินตัวหอกอย่างรวดเร็ว จนเจ้าของต้องผละตัวออกห่างจากอาวุธ เพียงครู่เดียวหอกเหล็กกล้าสำหรับกำจัดปีศาจก็ถูกเปลวเพลิงเผาสลายหายไปพร้อมประกายไฟที่มอดดับ

    โนอาร์และภาคินต่างหยุดชะงักกับเหตุการณ์เมื่อครู่ ชายเลือดเย็นจำได้ดีว่าไฟนี้เป็นของปีศาจ แสดงว่าเอทอสต้องลอบทำบางสิ่งเพื่อปกป้องโดยไม่บอกเขาอีกแล้ว ส่งผลให้นัยน์ตารัตติกาลยิ่งทวีความดำมืดอันตราย ยามนึกถึงสิ่งที่ปีศาจต้อสละเพื่อดูแลเขา ความโกรธพิโรธในรูปแบบไอเย็นยิ่งเพิ่มพูนความหนาวเหน็บ

    ภาคินสัมผัสถึงบรรยากาศรอบตัวโนอาร์ที่ทวีความอันตรายขึ้นอย่างรวดเร็ว เตรียมขยับออกห่างเพื่อตั้งตัวใหม่ ทว่าร่างกลับไม่ขยับตามใจคิดคล้ายถูกแช่แข็งโดยจิตสังหารเยียบเย็นจากอีกฝ่าย ซึ่งการพลาดเพียงครั้งเดียวก็เท่ากับความพ่ายแพ้ในทันที เพราะคนอันตรายพุ่งเข้าหาร่างเจ้าของบริษัทก่อนทุ่มลงกลางโต๊ะประชุม

    “โครม!!”
    “อั่ก!”
    “ฉึก!! ฉึก!!”
    “ฉึก!! ฉึก!!”
    “อ๊ากกกกก!!!!! อึก!!...”

    เสียงร้องเจ็บปวดของเจ้าของบริษัทดังก้อง เมื่อมีดทั้งสี่เล่มปักแทงทะลุตรึงขาและแขนทุกข้างกับตัวโต๊ะไม่ให้ขยับ หยาดเลือดทะลักย้อมพื้นเนื้อไม้สีน้ำตาลให้กลายเป็นสีแดงส่งกลิ่นคาวคลุ้ง ทว่าความทรมานไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะการถูกทำร้ายฉับพลันส่งผลให้หัวใจสูบฉีดเลือดเต้นเร็วขึ้นจนถึงจุดที่อุปกรณ์ตรงลำคอตั้งไว้ กระแสไฟฟ้าพลันวิ่งช็อตกระจายไปทั่วร่าง อาการเกร็งแน่นของกล้ามเนื้อทุกส่วนจนไม่อาจส่งเสียงร้องเจ็บปวด ทำให้เพชฌฆาตรู้ในทันทีว่า เครื่องมือที่บังคับให้อีกฝ่ายสวมใส่เริ่มทำงานแล้ว

    “คุมสมาธิและอารมณ์ไว้ให้ดี เมื่อไรที่หัวใจเต้นเร็วเกินกำหนดจะถูกปลอกคอช็อตแบบนี้” โนอาร์นั่งยองพูดกับคนกำลังชักเกร็ง
    “…”
    “ปลอกคอจะไม่หยุดปล่อยไฟฟ้าจนกว่าจังหวะหัวใจจะเต้นต่ำกว่าที่ตั้งไว้ มนุษย์ไม่มีทางควบคุมจังหวะหัวใจได้อยู่แล้ว ฉะนั้นวิธีรอดก็มีแค่ปล่อยให้ถูกช็อตจนหัวใจเต้นผิดจังหวะช้าลง ไม่ก็ช็อกจนหัวใจหยุดเต้นไป”
    “…”
    “แต่นั่นก็เท่ากับตาย มันง่ายไป ครั้งนี้จะช่วยหยุดให้ก่อน แต่ครั้งหน้าระวังไว้ให้ดี และอย่าคิดถอดออก เพราะถ้าฝืนมันจะระเบิด”

    โนอาร์กล่าวเตือนทิ้งท้าย ก่อนหยิบอุปกรณ์ควบคุมปลอกคอในกระเป๋าสะพายมากดหยุดการทำงาน ส่งผลให้กระแสไฟฟ้าที่กำลังช็อตร่างภาคินหายไป แต่ผู้รับโทษทัณฑ์ก็หมดสติไปแล้วเช่นกัน ดังนั้นเมื่อสิ้นธุระเพชฌฆาตจึงเตรียมตัวกลับ ทว่าหลังออกมาจากห้องประชุมกลับพบเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชุดใหม่ขึ้นมาถึงชั้นบนพอดี และแน่นอนสิ่งที่ตามมาย่อมเป็นเสียงร้องระงมทรมานของเหล่ากลุ่มคนที่กล้าท้าทาย


(ต่อด้านล่าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-11-2020 21:34:36 โดย biOmos »

ออฟไลน์ biOmos

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
(ต่อ)

    ชายเลือดเย็นกลับมาถึงสวนกล้วยไม้รฦกวัลย์ในช่วงเวลาเย็นจวนค่ำ รถแท็กซี่ที่จอดส่งผู้โดยสารเลี้ยวออกจากสวนตามปกติ โดยหารู้ไม่ว่าตนเพิ่งช่วยผู้ร้ายหลบหนีออกมาจากสถานที่เกิดเหตุ โนอาร์เดินมุงตรงไปทางสำนักงานด้านหลังของสวน พบว่าด้านในล้วนปิดไฟดับสนิทเพราะเหล่าพนักงานกลับกันหมดแล้ว มีเพียงไฟในห้องทำงานเจ้าของสวนที่ยังคงสว่างอยู่ คนเพิ่งมาถึงไม่รอช้าเปิดประตูเข้าไปโดยไม่เคาะถามอย่างทุกครั้ง

    ภาพเบื้องหน้าคือเอทอสในสภาพครึ่งมนุษย์ครึ่งปีศาจอ่อนแรง กำลังนอนพักตรงโซฟาและเหลือบมองเขาเล็กน้อย ก่อนพยายามลุกขึ้นนั่งเพื่อพูดคุย สิ่งที่เห็นยิ่งทำให้บรรยากาศรอบตัวโนอาร์ยิ่งเย็นเยียบยิ่งกว่าทุกช่วงเวลาที่ผ่านมาทั้งหมด

    “คุณทำอะไรลงไป เอทอส!!” มนุษย์ตวาดลั่นใส่ปีศาจอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ทว่าอีกฝ่ายเพียงตอบกลับด้วยรอยยิ้มฝืน
    “ช่วยเจ้าไง”
    “แต่คุณไม่ต้องทำถึงขนาดนี้!!! ชีวิตคุณอยู่ได้อีกหลายร้อยปี จะเอามาแลกกับชีวิตมนุษย์ไม่กี่ปีของผมทำไม? ยังไงถ้าไม่มีเรื่องพรรณ์นี้คนตายก่อนก็คือผม แค่ผมตายเร็วกว่าเดิมมันไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว และถึงผมจะเหลือแต่วิญญาณมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน เพราะผมยังอยู่กับคุณเหมือนเดิม สิ่งที่คุณทำให้ผมทั้งหมด... มันไม่มีค่าอะไรเลย”
    “...หากเจ้าช่วยข้าตอนนี้ได้ แต่ต้องสละชีวิตของเจ้า เจ้าจะให้ข้าไหม”
    “ต้องทำยังไง?” มนุษย์รีบตอบรับทันที นัยน์ตาดำมืดคล้ายมีประกายความหวังขึ้นเล็กน้อย
    “ทำไมเจ้าถึงตัดสินใจง่ายนัก” เอทอสถามต่อ
    “เพราะผมรักคุณ คุณกำลังจะตาย ถ้ามีทางไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนหรือต้องแลกกับอะไร ผมพร้อมทำให้ทุกอย่าง ไม่มีใครทนดูหรือปล่อยคนที่ตัวเองรักตายไปได้หรอก”
    “นั่นคือคำตอบของข้า”
    “…”

    คำตอบพร้อมรอยยิ้มจริงใจจากปีศาจ ถึงกับทำให้ผู้แผ่ไอบรรยากาศเยือกเย็นอันตรายนิ่งงันไป ทั้งความโกรธและตื้นตันต่างหมุนวนอยู่ในหัวใจน้ำแข็ง จนภายในมนุษย์รู้สึกปั่นป่วนสับสน ไม่อาจหาวิธีจัดการกับห่วงอารมณ์มากมายที่เกิดขึ้น เอทอสที่รู้จักมนุษย์ตรงหน้าเป็นอย่างดี จึงอ้าแขนรอให้มนุษย์เข้ามาพึ่งพิงไออุ่น

    โนอาร์เดินเข้าไปหาปีศาจก่อนนั่งตักและกดหน้าซุกกับบ่ากว้างแข็งแรง ท่อนแขนแกร่งทั้งสองข้างโอบกอดร่างมนุษย์อย่างอ่อนโยน ก่อนฝ่ามือใหญ่อบอุ่นจะลูบกล่อมคนในอ้อมแขน พลางกดจูบแผ่วเบาทว่าหนักแน่นในความรู้สึกลงข้างขมับเป็นการปลอบประโลม

    “ข้าอยากบอกความรู้สึกของข้า ในวันที่เราเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ตอนนี้เจ้าคงล่วงรู้หมดแล้ว ข้าจึงอยากยืนยันให้เจ้ามั่นใจ” เอทอสเอ่ยบอก ก่อนก้มลงไปกระซิบคำที่มนุษย์เฝ้ารอมานานที่ข้างหู เพื่อให้โนอาร์ได้ฟังชัด ๆ
    “ข้ารักเจ้าแล้ว โนอาร์”
    “พูดอีก” มนุษย์สั่งเสียงเบา ฝ่ามือขาวพลันขยุ้มเสื้อปีศาจที่จับไว้แน่นขึ้น
    “ข้ารักเจ้า” น้ำเสียงทุ้มอ่อนโยนกล่าวตอบตามคำสั่ง เมื่อสัมผัสถึงความรู้สึกชื้นตรงบ่า
    “พูดอีก”
    “รักเจ้าเพียงผู้เดียว โนอาร์”
    “พูดอีก”
    “ข้าเอทอสขอให้คำสัญญาว่าหากแม้สิ้นลมหายใจ จะยังคงรักโนอาร์...”
    “…”
    “ไม่เสื่อมคลาย”
    


(บท26 สมบูรณ์)



ถึงคนอ่าน

    บทนี้ค่อนข้างยาวมากครับ คนเขียนสองจิตสองใจว่าจะแบ่งออกเป็น 2 บทดีไหม แต่เพราะเหตุการณ์ทั้งหมดมันเกิดภายในวันเดียว คนเขียนเลยตัดสินใจไม่แบ่งเพื่อความต่อเนื่องครับ แต่ก็แลกกับทำให้ลงช้าลง คนอ่านก็ถือซะว่าได้อ่านสองบทต่อเนื่องในบทเดียวแล้วกันนะครับ แหะ ๆ


    บทนี้เนื้อหาค่อนข้างยาวและมีรายละเอียดค่อนข้างเยอะ คนอ่านค่อย ๆ แบ่งอ่านก็ได้นะครับ แต่หากอ่านรวดเดียวเลย คนอ่านเก่งมากและขอบคุณมากเลยครับ ^^


    ในบทนี้ที่โนอาร์ชวนนาวา ความจริงตั้งใจจะชวนไปเล่นถล่มบริษัทภาคินด้วยกันครับ แต่โดนวรรษขัดก่อน โนอาร์เลยหมดอารมณ์และไปคนเดียวครับ


    มีช่วงหนึ่งในบทนี้ที่ศิลาพูดถึงเอทอสกับโนอาร์ว่าอาจไม่มีทายาท คนเขียนไปเจอตารางนี้ของคุณ @charlot_KT ในทวิตเตอร์มา คนเขียนเลยอยากเอามาเล่นดูว่า ถ้าเอทอสกับโนอาร์มีลูกขึ้นมา ใครจะรับหน้าไหนกันบ้างครับ แต่คนเขียนใส่ภาพไม่ได้ หากคนอ่านอยากดูรูป รบกวนเข้าไปดูผ่านลิงค์นี้แทนนะครับ https://drive.google.com/file/d/1NcyFyJ-FSathMHMHpVxy14XX8hj-1EJE/view
    ขอบคุณครับ  :pig4:


    ป.ล. คนเขียนรู้สึกเปลืองหน้ากระทู้มาก แต่คนเขียนไม่สามารถยันเนื้อหาบทนี้ทั้งหมดภายใน 2 กระทู้ได้ เลยมีเศษนิดหน่อยตรงนี้ครับ   :ling1:


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-11-2020 21:34:01 โดย biOmos »

ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
ไม่อยากให้เอทอสตายเลย ฮือออ

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
“...หากเจ้าช่วยข้าตอนนี้ได้ แต่ต้องสละชีวิตของเจ้า เจ้าจะให้ข้าไหม”
    “ต้องทำยังไง?” มนุษย์รีบตอบรับทันที นัยน์ตาดำมืดคล้ายมีประกายความหวังขึ้นเล็กน้อย
    “ทำไมเจ้าถึงตัดสินใจง่ายนัก” เอทอสถามต่อ
    “เพราะผมรักคุณ คุณกำลังจะตาย ถ้ามีทางไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนหรือต้องแลกกับอะไร ผมพร้อมทำให้ทุกอย่าง ไม่มีใครทนดูหรือปล่อยคนที่ตัวเองรักตายไปได้หรอก”
    “นั่นคือคำตอบของข้า”

แค่บทพูดบทนี้ ทำให้เราไปกดบวกโดยไม่รู้สึกตัว อิอิอิ โอ๊ย....ฟินๆๆๆ
แต่เราเชื่ออย่างว่า อายุของปีศาจ มากว่ามนุษย์ ดังนั้นแล้วในส่วนของ
ที่ว่าโนอาร์อยู่ได้อีกปี ก็เท่ากับว่าอายุปีศาจจะถูกลดอายุเท่ากับมนุษย์
ทำให้เอทอสมีอายุแก่เฒ่าไปพร้อมกับโนอาร์ เราคิดอย่างนี้จริงๆ นะ

ขอบคุณคนเขียนที่มีเรื่องดีๆ มาให้อ่านนะ
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


ออฟไลน์ biOmos

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
    ในความมืดมิดยามค่ำคืนดึกสงัด รถกระบะสีดำกลมกลืนกับบรรยากาศจอดสนิทท่ามกลางต้นไม้และหลุมศพอย่างโดดเดี่ยว อุณหภูมิรอบสถานที่ลดต่ำลง ลมหนาวชวนให้รู้สึกเสียวสันหลังพัดผ่านเมื่อขาดแสงอาทิตย์ให้ความอบอุ่น ทว่าความเย็นที่เข้าปกคลุมสุสานเก่าแห่งนี้ กลับไม่เท่าความหนาวเหน็บอันว่างเปล่าราวกับจักรวาลไร้แสงของบุคคลหนึ่งเดียวภายในรถ

    “สีครามอยู่ไหน” โนอาร์ที่กำลังนั่งรอปีศาจกินวิญญาณ เอ่ยถามปลายสายด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
    [...บอกว่าขอจัดการเองไง และอีกอย่างแผนที่วางไว้เกือบสำเร็จแล้ว] ปลายสายพยายามต่อรอง เพราะรู้ดีว่าหากเขาส่งตัวประกันคืน สีครามจะไม่มีวันกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติได้อีกเลย
    “แผนอะไร?”
    [ถ้าคนที่ชื่อวรรษนั่นมีจุดอ่อนเป็นน้องชายจริง คงไม่มีอะไรที่เจ็บปวดเท่าการถูกรังเกียจจากคนที่ตัวเองหวังดีและห่วงใย]

    มังกรตอบกลับพลางนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ครั้งที่เขาถูกใช้เป็นตัวหมากในเกมของโนอาร์ ความผิดหวังเสียใจในแววตาของหยกหญิงสาวผู้เป็นที่รัก ยังคงสร้างความรวดร้าวฝังลึกในความทรงจำ หากวรรษเป็นคนประเภทเดียวกับเขาอย่างที่โนอาร์เคยว่าไว้ การถูกน้องชายรังเกียจย่อมไม่ต่างจากการตกนรกทั้งเป็น

    ซึ่งความจริงแล้วมังกรไม่ได้สนใจว่าวิธีนี้จะได้ผลหรือไม่ เขาต้องการเพียงพิสูจน์ว่าไอ้พี่ชายเลวนั่นมันรักน้องจริงไหม เพราะสิ่งที่เขาเห็นด้วยตากับข้อมูลที่ได้มันสวนทางกันหมด และถ้าหากผลออกมาเป็นวรรษไม่ได้ให้ค่าอะไรกับน้องชายตัวเองเลย อย่างน้อยเขาก็ทำให้สีครามตาสว่างและหลุดพ้นจากพี่ชั่ว

    “แล้วไปถึงไหน” โนอาร์ถามถึงความคืบหน้า
    [ให้สีครามรู้ธาตุแท้ที่วรรษมันซ่อนไว้แล้ว แต่หมอนั่นมันยึดติดกับพี่มาก เลยต้องใช้เวลาให้ความคิดตกตะกอน]
    “…พรุ่งนี้ปล่อยสีคราม” ชายเลือดเย็นเงียบคิดสักพักแล้วจึงเอ่ยสั่งปลายสาย ทว่าเนื้อความของคำสั่ง กลับทำให้มังกรนิ่งไปชั่วครู่หนึ่งก่อนถามกลับด้วยความไม่เข้าใจ
    [...หมายความว่ายังไง?]
    “จัดการเรื่องสีครามเสร็จ ไปหาที่เงียบ ๆ สำหรับเตรียมขังคนไว้”

    เอ่ยจบชายเลือดเย็นกดตัดสายทันทีเมื่อหมดธุระ เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่บรรยากาศมืดวังเวงเบื้องหน้าเริ่มปรากฎจุดแสงสีแดงเลือดนก พร้อมเงาสูงใหญ่ในม่านหมอกสีดำยามค่ำคืนเคลื่อนขยับมุ่งตรงมาทางรถ ไม่นานเอทอสในร่างปีศาจสมบูรณ์ก็หยุดยืนอยู่ข้างรถกระบะ ตำแหน่งคนขับที่มีมนุษย์นั่งรออยู่

    “คุณไม่เป็นไรแน่ใช่ไหม อยากกินอีกหรือเปล่า ผมรอได้” โนอาร์รัวคำถามใส่ปีศาจ พลางมองสำรวจอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง แม้ยามนี้ร่างสูงใหญ่จะไร้ท่าทีอ่อนล้าเหมือนตอนแรกแล้วก็ตาม
    “ขอบใจ แต่ข้ากินมากพอถึงขนาดอยู่ได้เป็นอาทิตย์ และเจ้าก็เลิกมองเหมือนข้าจะตายวันนี้ได้แล้ว ข้าแค่หมดแรงเพราะร่ายคำสาป”
    “ผมจะไม่ยอมให้คุณตาย”
    “…”

    นัยน์ตารัตติกาลสบกับดวงตาสีแดงเลือดนกเรืองแสงอย่างแน่วแน่คล้ายให้คำมั่น ส่งผลให้เอทอสชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง คำหักหาญน้ำใจว่าไม่มีทางถูกกักขังข้างในความคิด อย่าให้เล็ดลอดออกมา ถึงแม้จะคล้ายหลอกให้โนอาร์จมอยู่กับความหวังที่ไม่มีวันเป็นไปได้ แต่ปีศาจคิดว่าเป็นเช่นนี้คงดีกว่า เพราะเขาไม่อยากเป็นผู้ทำให้มนุษย์กลับมามีดวงตาว่างเปล่าแหลกสลายเหมือนคราวรู้ความจริงอีก

    ครั้งเมื่ออยู่สวนก่อนจะมายังสุสานแห่งนี้ เอทอสได้ยอมเล่าเรื่องทั้งหมดให้โนอาร์รับรู้อย่างไม่คิดปิดบัง ทั้งเรื่องคำสาปและผลข้างเคียง การรับมนตร์มืด เอาคืนผู้คุมวิญญาณ และสารภาพเรื่องของขวัญที่มนุษย์ให้ พร้อมหยิบฐานไม้กลมที่เหลืออยู่ซึ่งปีศาจเก็บติดตัวไว้เสมอออกมา โนอาร์เพียงมองเล็กน้อยก่อนส่งคืนโดยไร้ความขุ่นเคือง ส่งผลให้ปีศาจที่คอยแอบกังวลพลอยโล่งอกไปด้วย ทว่าท่าทีตลอดการฟังเรื่องราวของโนอาร์ กลับสร้างความไม่สบายใจใหม่ให้เอทอสเสียแทนเพราะ ปฏิกิริยาสงบเงียบราวกับห้วงอวกาศมืดสนิทนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาคุ้นเคย และไม่รู้ว่าภายใต้นัยน์ตารัตติกาลนิ่งคู่นั้นกำลังคิดอะไรอยู่

    “ไปนั่งอีกฝั่ง ข้าจะขับเอง” ปีศาจเอ่ยเปลี่ยนเรื่องสนทนา หลังเงียบหายไปสักพักหนึ่ง
    “ไม่ วันนี้คุณเหนื่อยพอแล้ว ให้ผมได้ดูแลคุณบ้าง”
    “…ตามใจ”

    ปีศาจจ้องตามนุษย์ครู่หนึ่ง เมื่อไม่เห็นแววว่าจะโอนอ่อน เอทอสจึงถอนหายใจก่อนยอมตกลงและเดินอ้อมไปนั่งฝั่งข้างคนขับเพื่อจบปัญหา เนื่องเพราะเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่แล้ว หากมัวแต่ต่อล้อต่อเถียงกัน กว่าจะได้กลับถึงบ้านพักทรงไทยประยุกต์คงรุ่งสางพอดี



    ยามเช้ามาเยือนพร้อมแสงนวลอ่อนลอดเข้ามาในห้องผ่านทางหน้าต่าง นัยน์ตาสีอำพันดุลืมขึ้นเมื่อกระชับอ้อมแขนแล้วพบว่าร่างใครบางคนหายไป ไออุ่นหลงเหลือจากผืนเตียงข้างกายบ่งบอกว่ามนุษย์เพิ่งลุกไปได้ไม่นานนัก กลิ่นอายวิญญาณชั่วร้ายตรงบริเวณส่วนครัวของบ้านเสมือนแทนคำตอบว่าโนอาร์หายไปไหน

    เอทอสในร่างมนุษย์สมบูรณ์ลุกจากเตียงเพื่ออาบน้ำ ระหว่างเดินผ่านตู้เสื้อผ้าทันเห็นชุดทำงานแขวนเตรียมไว้เรียบร้อย การปรนนิบัติดูแลของมนุษย์ทำให้ใบหน้าคมดุเผลอกระตุกยิ้มเล็กน้อย ความรู้สึกในส่วนลึกยิ่งเรียกร้องให้เขารับมนุษย์เป็นคู่ครอง แน่นอนว่าเขาก็อยากทำเช่นนั้น หากไม่ติดเรื่องเครื่องติดตามล่ามคออยู่
    ในความจริง ปลอกคอนี้ไม่ใช่เป็นปัญหาเลยถ้าเขาโอบกอดมนุษย์อย่างอ่อนโยน แต่เพราะรู้จักตัวเองดีจึงทำได้เพียงรอเวลาจนกว่าเครื่องนี่จะถูกถอดไป เนื่องจากเมื่อถึงเวลานั้น เขาคงไม่สามารถควบคุมหรือสะกดกลั้นความอยากเป็นเจ้าของโนอาร์ให้แสดงออกมาอย่างนุ่มนวลได้แน่


    มื้อเช้าก่อนเดินทางไปทำงานที่สวนกล้วยไม้ บริการนำเสิร์ฟโดยชายเลือดเย็น ถูกวางบนโต๊ะกระจกห้องรับแขกที่เจ้าบ้านกำลังนั่งฟังข่าวอย่างจดจ่อ การกระทำอุกอาจของผู้ร้ายรายหนึ่งบุกตึกบริษัทเพียงลำพัง ภาพความเสียหายจากคมกระสุนและแรงระเบิดฉายผ่านทางหน้าจอระหว่างการบรรยายของนักข่าว คำสัมภาษณ์ของผู้อยู่ในเหตุการณ์ล้วนบอกเป็นเสียงเดียวว่าเป้าหมายของคนร้ายคือนักธุรกิจหนุ่มเจ้าของบริษัท ซึ่งตอนนี้ถูกทำร้ายสาหัสพักรักษาตัวในโรงพยาบาล

แม้เหตุการณ์ระทึกนี้ไม่รุนแรงถึงขั้นมีผู้เคราะห์ร้ายเสียชีวิต แต่ต้องแลกด้วยความพิการ ทั้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบางส่วนถูกยิงเข้าจุดสำคัญจนเป็นอัมพาต พนักงานสาวต้อนรับผู้เสียมือขณะพยายามโทรขอความช่วยเหลือ และผู้บริหารท่านหนึ่งต้องตัดขาเนื่องจากถูกกระสุนหลายนัดเจาะทะลุเกินเยียวยา ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจคาดการณ์ว่านี่เป็นความตั้งใจของคนร้ายที่ต้องการไว้ชีวิต เนื่องจากภาพของกล้องวงจรปิดที่บันทึกได้ บ่งบอกว่าคนร้ายมีความชำนาญในการใช้อาวุธเป็นอย่างมาก ฉะนั้นการยิงเพื่อสังหารจึงไม่ใช่เรื่องยากเลยถ้าต้องการ

การกระทำของคนร้ายราวกับจงใจทิ้งข้อความสื่อสารอะไรบางอย่างนั้น มีบางคนว่าคล้ายคลึงกับคดีของท่านนิรัชในอดีต ทว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจกลับปฏิเสธว่าไม่น่าใช่คนเดียวกัน เหตุผลเพราะประเภทกระสุนและวิธีลงมือต่างกันอย่างมาก ในคดีท่านนิรัชคนร้ายไม่เหลือทิ้งร่องรอยหลักฐานใดให้ตามสืบได้เลย ต่างกับคดีนี้ที่พบเบาะแสสำคัญหลายอย่าง ทางเจ้าหน้าที่จึงประกาศให้โอกาสคนร้ายเข้ามอบตัวด้วยตนเอง มิเช่นนั้นจะถือว่าคนร้ายคิดหลบหนี และเมื่อดำเนินการจับกุมจะไม่มีการลดหย่อนโทษเด็ดขาด


    หลังหัวข้อข่าวคดีร้อนที่เกิดขึ้นเมื่อวานจบลง เอทอสได้ละสายตาจากโทรทัศน์หันมองมนุษย์ข้างตัวทันที ตัวการเพียงยกกาแฟดื่มอย่างใจเย็นก่อนหันมาตอบปีศาจ ทว่าบรรยากาศสงบนิ่งว่างเปล่าของโนอาร์ ที่หาใช่ความหนาวเหน็บเยือกแข็งเช่นเคย นั้นยิ่งทำให้ร่างสูงใหญ่รู้สึกไม่ไว้ใจความคิดมนุษย์

    “อย่างที่คุณคิด ทั้งหมดเป็นผีมือผม” โนอาร์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยอย่างไม่ทุกข์ร้อน
    “เจ้าทำเพื่ออะไรโนอาร์? เอาคืนให้ข้า? ถามสักคำไหมว่าข้าต้องหรือเปล่า สิ่งที่เจ้าทำมันสิ้นคิดมีแต่สร้างความลำบากให้ตัวเอง ข่าวบอกตำรวจกำลังตามจับเจ้าจะทำยังไง ในสังคมมนุษย์ข้าเป็นแค่คนขายกล้วยไม้ธรรมดาจะเอาอำนาจที่ไหนมาช่วยเจ้า” ปีศาจต่อว่าการกระทำของมนุษย์ทันที คิ้วหนาเหนือนัยน์ตาดุสีอำพันขมวดเข้าหากันแน่นด้วยความไม่พอใจ
    “หากเป็นเมื่อก่อน คุณคงไล่ผมไปมอบตัว”
    “โนอาร์ ข้าไม่มีอารมณ์มาเล่นกับเจ้า” ปีศาจเตือนด้วยน้ำเสียงกดต่ำ ทว่ามนุษย์ก็ยังคงท่าทีนิ่งสงบ
    “เจอเศษเสี้ยวเบาะแสระบุตัวก็ดีใจจนเนื้อเต้น หวังสร้างผลงานปิดคดีให้เร็วจนไม่เฉลียวใจว่านั่นใช่ผู้ร้ายตัวจริงหรือเป็นเพียงแพะรับบาป คุณไม่ต้องห่วงหรอกครับเอทอส พวกตำรวจแค่กำลังทำหน้าที่ของเบี้ยหมากบนกระดาน”
    “เจ้าคิดจะทำอะไร?” ปีศาจถามด้วยความระแวงในสิ่งที่มนุษย์กำลังทำ
    “เล่นเกมที่ไม่มีผู้แพ้หรือชนะ มีแค่ทางเลือกว่าจะตายจริง ๆ หรืออยู่แบบตายทั้งเป็น”
    “…”
    “ทีแรกผมคิดว่าจะวางทางไว้ให้เลือกจุดจบกันเอง แต่ผมเปลี่ยนใจแล้ว ทุกอย่างผมจะเป็นคนกำหนด พวกนั้นมีหน้าที่แค่ทนและห้ามตายจนกว่าผมจะสั่ง ในข่าวจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมไม่ฆ่าหากยังไม่ขอคุณ หลังจากนี้จนกว่าเรื่องทั้งหมดจะจบลง สัญญาของเราเป็นโมฆะ”
    “เจ้า!-”
    “ถึงเป็นคุณก็ห้ามผมไม่ได้เอทอส พวกนั้นทำอะไรไว้ ต้องได้รับสิ่งที่หนักหนากว่าสนองคืน และเช้านี้ผมมีธุระคงไปสวนกลับคุณไม่ได้ แต่ผมจะรีบกลับมาให้ทันทานมื้อเที่ยงกับคุณ”
    “เดี๋ยว! ข้ายังคุยไม่จ-”

    โนอาร์เอ่ยตัดบทสนทนาพลางลุกขึ้นเตรียมออกจากบ้านพักทรงไทยประยุกต์ เอทอสถึงเพิ่งสังเกตว่าวันนี้มนุษย์ไม่ได้ใส่ชุดชาวสวนอย่างทุกที ร่างสูงใหญ่ลุกตามหมายจะเหนี่ยวรั้งอีกฝ่ายไว้ ทว่าช่วงขณะที่กำลังดันตัวยืนขึ้น บ่าแกร่งกลับถูกมือขาวกดไว้พร้อมสัมผัสนุ่มหยุ่นจากริมผีปากมนุษย์ประทับลงกลางหน้าผาก การกระทำไม่คาดคิดส่งผลให้ปีศาจชะงักค้างราวกับถูกสะกด และกว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้ง ชายผู้เต็มไปด้วยกลิ่นอายวิญญาณชั่วร้ายก็ได้หายไปเสียแล้ว



    ณ บ้านหลังโดดเดี่ยวตั้งอยู่นอกเขตเมือง บนโต๊ะภายในห้องพักของผู้อาศัยเพียงลำพัง กระจัดกระจายไปด้วยสำเนาพินัยกรรมและเอกสารโอนทรัพย์สินหลายฉบับ ทุกฉบับล้วนมีชื่อผู้รับเป็นบุคคลเดียว เป็นบุคคลที่สีครามรู้จักเป็นอย่างดี หลังเอกสารมีข้อมูลแนบท้ายบอกสถานะปัจจุบันของเจ้าของสินทรัพย์เดิม แต่ละคนต่างจากโลกนี้ไปแล้วด้วยสาเหตุต่างกัน ทว่าทุกคนกลับจบชีวิตหลังผ่านวันที่บันทึกในเอกสารมอบทรัพย์สินได้ไม่นาน

    ถึงหลักฐานเหล่านี้ไม่ได้ชี้ชัดว่าวรรษเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง แต่ก็ช่วยไขข้อสงสัยเรื่องเงินมากมายที่พี่ชายอ้างว่ามาจากการทำงานได้อย่างกระจ่าง รวมถึงคลิปในตัวเก็บข้อมูลที่ถูกอ่านและฉายวนซ้ำบนหน้าจอโทรทัศน์ กลับช่วยคลายอีกหนึ่งคำถามติดค้างในใจสีครามมาตลอดหลายปี คำถามที่เกิดขึ้นเมื่อสมัยมัธยมปลายทว่าไม่เคยค้นพบคำตอบ คำถามที่ว่าเหตุใดแม่ถึงทิ้งเขา ปล่อยให้เขาต้องมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบากด้วยตัวคนเดียว

    “บรื้น… กึก ๆ …แกร๊ก!”

    เสียงรถยนต์คันหนึ่งหยุดจอดบริเวณหน้าบ้าน สักพักหนึ่งถึงได้ยินเสียงพยายามเปิดประตูและปลดล็อกตามลำดับ การมาของใครบางคนส่งผลให้สีครามหลุดจากภวังค์ความคิด รีบเก็บรวบเอกสารพร้อมปิดโทรทัศน์ ก่อนออกไปหาคนลักพาตัวเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต

    “ตื่นสายหรือไง”
    “นิดหน่อยครับ... วันนี้แปลก คุณไม่ซื้ออะไรเข้ามา”

    มังกรที่เพิ่งใช้กุญแจสำรองไขเข้ามาเอ่ยถามคนเพิ่งออกจากห้อง สีครามเพียงตอบกลับเล็กน้อยก่อนเปลี่ยนเรื่องถาม เพราะเห็นว่ามือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายว่างเปล่าไม่ได้ถือถุงอย่างทุกครั้ง ซึ่งคำตอบที่ได้ก็ถึงกับทำให้คนถูกลักพาตัวเผลอขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ

    “ไม่จำเป็นแล้ว เจ้านั่นมันสั่งให้ฉันปล่อยตัวนาย”
    “เจ้านั่น? ใครครับ ผมนึกว่าทุกอย่างเป็นความตั้งใจของคุณเสียอีก” สีครามถามกลับด้วยความสงสัย
    “ฉันก็แค่คนทำตามใบสั่ง ส่วนเจ้านั่นเป็นใคร อย่ารู้จักจะดีกว่า คนโรคจิตอันตรายพรรณ์นั้นรู้ไปก็มีแต่ฉุดให้ชีวิตต่ำลง”
    “ถ้าเป็นแบบนั้น ทำไมคุณยังติดต่อกับเขา?”
    “อยากยุ่งด้วยเสียที่ไหน ถ้ามันไม่โทรมาแล้วเอาเรื่องนั้นมาขู่ ฉันคงไม่ต้องมาอยู่ตรงนี้หรอก... แล้วนี่ทำอะไรเสร็จหมดหรือยัง ถ้าไม่มีแล้วจะได้ไปกันเลย เดี๋ยวไปส่งในเมือง”

    มังกรเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ ยามนึกถึงช่วงที่โนอาร์โทรมาแล้วแกล้งถามถึงหยกคนรักของเขา ก่อนจะตัดบทให้สีครามไปเตรียมตัวให้เรียบร้อยจะได้ออกเดินทางเสียที ซึ่งสีครามเพียงพยักหน้าตกลงแล้วกลับเข้าห้องเพื่อเก็บของ คนกำลังได้รับอิสระนำเหล่าเอกสารและ Flash Drive ที่เสียบค้างหลังโทรทัศน์เก็บเข้าซองสีน้ำตาลตามเดิมเตรียมส่งคืนเจ้าของ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยจึงออกไปหาคนที่รออยู่ด้านนอกอีกครั้ง โดยไม่คิดหยิบของอื่น ๆ ติดไปด้วย เพราะตอนถูกพามาที่นี่ เขาก็มาเพียงตัวเปล่า

    “ไม่ต้องคืน เก็บไว้เตือนความจำตัวเองเถอะ แล้วเป็นไง? ตาสว่างบ้างหรือยัง”

    ซองเอกสารถูกเจ้าของเก่าปฏิเสธ ส่งผลให้สีครามต้องดึงกลับมาถือไว้ข้างตัวตามเดิมและนิ่งเงียบไป ส่วนมังกรเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่อยากตอบคำถามก็ไม่ได้คาดคั้น ทว่ายังคงย้ำคำให้สีครามได้คิดแล้วจึงเดินนำออกจากสถานที่แห่งนี้


    สองข้างทางโล่งกว้างมีต้นไม้ขึ้นประปรายเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นตึกรามบ้านช่อง บ่งบอกว่ารถยนต์ใกล้เข้าสู่ตัวเมืองหลังจากนั่งมาสักพักใหญ่ ภายในห้องโดยสารมีเสียงจากวิทยุช่วยไม่ให้บรรยากาศชวนอึดอัดเกินไป สีครามมองออกไปนอกหน้าต่างปล่อยความคิดให้ไหลผ่านอย่างเหม่อลอย มือเล็กยังคงจับซองเอกสารบนตักราวกับเป็นของสำคัญ

    ท่าทางนิ่งเงียบของสีคราม ถูกมังกรที่นั่งฝั่งคนขับเหลือบมองเฝ้าสังเกตเป็นระยะ ตอนเข้าไปรับอีกฝ่ายทีแรกเขาคิดว่าคงต้องฟังคำแก้ต่างหรือไม่ก็คำถามไถ่ถึงพี่ชายอย่างเคย ทว่าครั้งนี้สีครามกลับไม่แม้แต่จะพูดถึงเรื่องนั้น มิหนำซ้ำเมื่อรู้ว่าจะได้กลับไปหาวรรษ น้องติดพี่ก็ไม่ได้แสดงความดีใจอย่างที่ควรเป็น
    คล้ายมีเส้นบางค่อย ๆ ก่อตัวขีดกั้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่ สื่อเป็นนัยว่าไม่นานนี้สีครามคงรู้ความจริงบางอย่างที่รุนแรงมากจนความเชื่อมั่นไว้ใจลดหาย แต่ถึงเขาจะไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนไปคืออะไร ทว่านั่นก็ไม่สำคัญเท่าเรื่องที่เขาอยากให้สีครามตาสว่างนั้น อาจสัมฤทธิผลแล้ว

    “จะลงตรงไหน ฉันไม่ได้ใจดีถึงขนาดไปส่งหน้าบ้าน” คนขับถามเมื่อรถเข้าเขตเมืองเป็นที่เรียบร้อย
    “ส่งผมตรงป้ายรถเมล์ข้างหน้าก็ได้ครับ”
 
    เมื่อได้ยินดังนั้นมังกรจึงขานรับในลำคอ พร้อมเปิดไฟเลี้ยวเตรียมเข้าจอดบริเวณป้ายรถประจำทาง หลังรถจอดสนิทสีครามกล่าวขอบคุณส่งท้ายก่อนลงจากรถ ทว่าขณะที่กำลังเปิดประตูกลับถูกคนขับรั้งไว้ก่อน

    “เดี๋ยว”
    “ครับ?”
    “สร้อยนั่นถอดได้แล้ว อยากโดนสะกดรอยต่อหรือไง”

    มังกรเอ่ยเตือนพลางเหลือบมองกำไลโซ่ที่สีครามใส่อยู่ โดยของชิ้นนี้ได้มาจากจิน ชายนิสัยแปลก ๆ ที่เคยร่วมงานกันตอนลักพาตัวสีครามออกจากบ้าน หมอนั่นบอกว่ามันคือเครื่องติดตามที่โนอาร์สั่งให้ใส่และจะถอดได้ก็ต่อเมื่อเสร็จงานเท่านั้น ซึ่งตัวเขาเองก็ต้องใส่ด้วยเช่นกัน

    ซึ่งความจริงแล้วกำไลโซ่นั้นหาใช่เครื่องติดตามอย่างที่มังกรเข้าใจ แต่มันคืออุปกรณ์คุ้มกันและลบกลิ่นอายวิญญาณของผู้สวมใส่ ทำให้เสมือนล่องหนหายไปจากการรับรู้ของวิญญาณทั้งปวง และแน่นอนว่าจินแค่เอาชื่อโนอาร์มาแอบอ้าง มีหรือที่คนอย่างโนอาร์จะลงมาสนใจความเป็นตายของพวกของเล่น มีก็แต่จินเท่านั้นที่ต้องคอยดูแลพวกเดียวกันเอง
    โดยทุกอย่างที่จินทำก็เพื่อให้แน่ใจว่า มังกรจะปลอดภัยจากการตามล่าของวิญญาณรับใช้ และสีครามจะไม่ถูกหาตัวเจอ และนั่นก็ถือเป็นการสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตตัวเองเช่นกัน เพราะถ้าวรรษได้ตัวสีครามไปก่อนเวลาอันสมควร คนที่ต้องรับกรรมย่อมหนีไม่พ้นจิน ผู้คุมวิญญาณที่น่าสงสารที่สุด

    “นี่ครับ” สีครามส่งสร้อยข้อมือคืนให้มังกร
    “อืม... อะ เอาเงินไป ไว้ใช้เป็นค่ารถ และนี่เบอร์ฉันถ้ามีปัญหาอะไรหรืออยากหนีจากพี่เลวนั่นก็โทรมาได้” มังกรหยิบเงินจำนวนหนึ่งส่งให้ เพราะตอนนี้ทั้งตัวสีครามมีเพียงเสื้อผ้า รองเท้าแตะ และซองเอกสารเท่านั้น ไม่ลืมเขียนเบอร์ใส่กระดาษให้ไว้สำหรับติดต่อยามอีกฝ่ายต้องการความช่วยเหลือ
    “…”
    “เกือบลืม ถ้ายังรักชีวิตตัวเองอยู่ อย่าปากเบาบอกอะไรกับตำรวจละ เพราะเจ้านั่นมันไม่ใจดีเหมือนฉันหรอก”
    “…ขอบคุณครับ ผมจะจำไว้”

    สีครามกล่าวขอบคุณครั้งสุดท้ายก่อนลงจากรถ มองส่งจนไม่เห็นรถยนต์ของโจรลักพาตัวอีกต่อไป เรื่องแจ้งตำรวจที่มังกรเอ่ยเตือนนั้น สีครามไม่คิดจะแจ้งอยู่แล้ว เนื่องจากอีกฝ่ายเพียงทำตามคำสั่ง ซ้ำยังปฏิบัติตัวดีกับเขา และเขาก็ไม่ได้บาดเจ็บหรือถูกทำร้ายใด ๆ เลยไม่อยากติดใจเอาความ

    ทว่าทั้งหมดที่กล่าวมาก็เป็นเพียงแค่ข้ออ้างยกมาเพราะไม่อยากยอมรับความจริงว่า ถ้าหากเขากล้าแจ้งจับมังกร คนที่เขาสมควรแจ้งจับก่อนอาจต้องเป็นวรรษ พี่ชายของเขาเอง แต่สีครามไม่ใช่คนด่วนตัดสินอะไรง่าย ๆ ในส่วนลึกยังคงมีความหวังริบหรี่ ว่าทุกอย่างอาจเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดที่เขาตีความไปเอง ดังนั้นสีครามจึงเลือกพิสูจน์โดยไปยังสถานที่หนึ่ง ซึ่งเขาเชื่อว่าจะได้รู้ทุกคำตอบจากที่นั่น



    “นายครับ ผมจับกลิ่นอายวิญญาณของคุณสีครามได้” วิญญาณรับใช้ตนหนึ่งรีบเข้ามารายงานผู้เป็นนายทันที เมื่อเริ่มสัมผัสถึงการมีอยู่ของคนที่ตามหา
    “อยู่ที่ไหน!! ปลอดภัยหรือเปล่า?!!”

    วรรษเผลอหลุดถามกลับเสียงดังด้วยความดีใจระคนเป็นห่วง ส่งผลให้พนักงานภายในร้านดอกไม้ต่างสะดุ้งตกใจ ซึ่งผู้คุมวิญญาณก็ไม่ได้สนใจปฏิกิริยาของลูกจ้างแม้แต่น้อย เพียงวางมือจากทุกสิ่งตรงหน้าก่อนรีบเดินเข้าไปในห้องทำงานด้านหลังร้าน เพื่อให้สามารถพูดคุยกับเหล่าวิญญาณรับใช้ได้สะดวก

     “สีครามอยู่ไหน?” วรรษถามวิญญาณรับใช้ทันทีเมื่อประตูห้องปิดลง
    “เหมือนคุณสีครามกำลังนั่งรถเมล์ครับ ตอนนี้มีวิญญาณรับใช้สองตนคอยตามดู-”
    “ดี ฉึก!!”

    นิ้วมือของผู้คุมวิญญาณทิ่มทะลุดวงตาของร่างวิญญาณโปร่งแสงทันทีหลังเอ่ยคำชม ภาพน้องชายที่ขณะนี้กำลังนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างของรถโดยสารประจำทางพลันปรากฎขึ้นในความคิด วรรษขยับนิ้วคว้านลูกตาวิญญาณรับใช้เพื่อเป็นสื่อควบคุมวิญญาณอีกตนหนึ่งที่อยู่กับสีคราม บังคับให้หันมองบรรยากาศรอบตัวจึงรู้ว่าสายรถเมล์ที่สีครามนั่งอยู่ไม่ใช่ทางกลับบ้านหรือมาที่นี่ ยิ่งกว่านั้นถนนที่รถเมล์วิ่งยังมุ่งออกจากตัวเมือง ราวกับสีครามตั้งใจจะไปที่ไหนสักแห่ง

    หลังรับรู้สถานะน้องชายว่าไม่เป็นอันตราย วรรษถึงยอมดึงนิ้วมือออกพร้อมเช็ดเลือดติดตามนิ้วกับร่างโปร่งแสง ส่วนวิญญาณรับใช้ที่ตอนนี้ใบหน้าอาบไปด้วยเลือด ดวงตาถูกขวักออกจากเบ้ามีเพียงเส้นเอ็นเชื่อมติดห้อยอย่างน่ากลัว เพียงค้อมตัวเคารพเล็กน้อยก่อนพยายามนำลูกตายัดกลับเข้าไปในเบ้าตามเดิม

    “บอกวิญญาณสองตนนั้นตามดูแลอย่าให้คาดสายตา ส่วนนายพาฉันไปหาสีคราม”
    “...ครับนาย”

    เมื่อได้ฟังคำตอบรับจากวิญญาณรับใช้ วรรษจึงเดินออกจากห้องพร้อมสั่งพนักงานทุกคนให้เลิกงานสำหรับวันนี้และเตรียมปิดร้านดอกไม้

    “ไม่ต้องถึงกับปิดร้านหรอกครับคุณวรรษ พวกผมทำจนรู้งานช่วยดูร้านแทนได้ครับ คุณวรรษอย่าห่วงเลย”

    พนักงานคนหนึ่งอยู่ทำงานกับสีครามมาตั้งแต่ช่วงแรก คาดเดาว่าพี่ชายของเจ้านายอาจรีบไปธุระด่วน เลยหวังดีอาสาช่วยดูร้านแทนเพื่อไม่ให้เสียรายได้ เพราะขณะนี้มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเรื่อย ๆ ทว่าคำตอบจากพี่ชายเจ้านายกลับทำให้เหล่าพนักงานหน้าตึง

    “ฉันไม่ไว้ใจ ถ้าอยากช่วยนัก ก็ช่วยทำตามที่สั่งด้วย”

    เมื่อได้ยินดังนั้น พนักงานร้านดอกไม้ก็ได้แต่เก็บกลั้นความขุ่นเคืองไว้ภายใน ก่อนจะช่วยกันเก็บของตรงหน้าร้าน บางคนรีบเข้าดูแลลูกค้าที่หลงเหลืออยู่ ไม่นานร้านดอกไม้ก็ปิดบริการก่อนกำหนดถึงครึ่งวัน วรรษตรวจดูความเรียบร้อยโดยรวมอีกครั้งแล้วจึงไล่พนักงานกลับไปให้หมด ส่วนตัวเองก็เดินอ้อมไปทางหลังร้านเพื่อขึ้นรถยนต์คันใหม่ ที่เพิ่งซื้อมาแทนคันเก่าซึ่งถูกเผาทำลายไปพร้อมบ้านพัก และขับออกถนนมุ่งไปตามทางที่วิญญาณรับใช้บอก

    หลังรถยนต์ของผู้คุมวิญญาณขับออกไป ส่งผลให้ร้านดอกไม้เหลือเพียงวิญญาณรับใช้ไม่กี่ตนคอยทำหน้าที่เฝ้าดูแล ทว่าการเลือกวางใจวิญญาณใต้อาณัติมากกว่ามนุษย์พนักงานจริง ๆ นั้นถือเป็นอีกหนึ่งการตัดสินใจที่ผิดพลาด เพราะหลังวรรษไปได้ไม่นาน บริเวณหลังร้านดอกไม้ก็มีชายสองคนเดินมาหยุดตำแหน่งเดียวกับที่เคยมีรถยนต์จอดอยู่ คนหนึ่งเอ่ยวาจาควบคุมวิญญาณโดยรอบอย่างง่ายดาย ส่วนอีกคนนิ่งเงียบ ทว่าความอันตรายซึ่งแสดงชัดผ่านกลิ่นอายวิญญาณที่แผ่ออกมากลับเข้มข้นรุนแรง ถึงขนาดวิญญาณรับใช้ทั้งหมดในที่นี้ก็ไม่อาจเทียบเคียง



(ต่อด้านล่าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-11-2020 02:20:08 โดย biOmos »

ออฟไลน์ biOmos

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
(ต่อ)


    สุสานเก่าสำหรับเก็บศพนิรามและไร้ญาติเป็นจุดหมายที่วิญญาณรับใช้พามา วรรษรู้สึกแปลกใจอย่างมากที่สีครามมาสถานที่เช่นนี้ แต่กระนั้นเขาก็ไม่คิดเสียเวลาสงสัย รีบลงจากรถวิ่งตามเส้นทางที่วิญญาณรับใช้เป็นฝ่ายนำ

    ภาพเบื้องหน้าปรากฏน้องชายที่ห่วงหากำลังยืนมองหลุมศพหนึ่ง ในมือถือซองเอกสารสีน้ำตาล โดยด้านข้างมีวิญญาณรับใช้สองตนคอยยืนเฝ้าดูแล สิ่งที่เห็นทำให้บนใบหน้าของผู้คุมวิญญาณหลุดยิ้มด้วยความดีใจ ก่อนรีบวิ่งเข้าไปหาสีคราม

    “สีคราม!!”
 
    เจ้าของชื่อหันตามเสียงเรียก ทว่ายังไม่ทันได้ตอบกลับหรือทำอะไร ร่างของผู้เป็นพี่ก็พุ่งเข้าสวมกอดน้องชายด้วยความคิดถึง สักพักหนึ่งวรรษถึงยอมคลายกอดพร้อมจับสีครามหมุนไปมาพลางถามอย่างเป็นห่วง

    “ทำไมมาอยู่นี่ พี่ตามหาสีครามตลอดเป็นห่วงแทบแย่ แล้วพวกมันไม่ได้ทำอะไรสีครามใช่ไหม ปลอดภัยไม่เจ็บตรงไหนนะ”
    “พี่วรรษรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่” สีครามถามกลับด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ไร้ความดีใจเสียจนวรรษยังรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
    “เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก แต่ถ้าสีครามอยากรู้เดี๋ยวระหว่างทางพี่จะเล่าให้ฟัง พี่จำได้นะว่าสีครามกลัวผีคงไม่อยากอยู่นี่นานนักหรอก”
    “ถ้าผีที่ว่าคือแม่ของเรา... ผมว่าเขาคงกลัวพี่จนไม่กล้ามาหลอกผมแล้วล่ะครับ”

    คำตอบจากน้องชายราวกับล่วงรู้ตัวตนแท้จริงถึงกลับทำให้วรรษนิ่งอึ้ง ความรู้สึกวูบคล้ายทั้งร่างดิ่งร่วงจากผาชันกระจายไปทั่วกายจนพี่ชายได้แต่ชะงักค้าง ปฏิกิริยาของวรรษยิ่งตอกย้ำข้อสันนิษฐานของสีครามว่าคือเรื่องจริง ดังนั้นน้องจึงอาศัยโอกาสนี้ขืนตัวออกห่างผู้เป็นพี่ ทว่าหาใช่เพราะความหวาดกลัว แต่เป็นความผิดหวังเสียใจ

    “…พูดอะไรน่ะสีคราม แม่จะกลัวพี่ทำไม” วรรษพยายามแสร้งตอบกลบเกลื่อน
    “ต้องกลัวสิครับ ก็ในเมื่อพี่วรรษเป็นคนทำให้เขากลายเป็นศพไร้ญาติอยู่ที่นี่”
    “…”
    “ผมจำได้นะ.. วันที่แม่หายออกจากบ้านไป เขาใส่เสื้อสีแดงสดที่ผมซื้อให้ เขาออกไปเจอผู้ชายคนหนึ่ง... ถึงในคลิปมองไม่ชัดคนอื่นอาจไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ผมแค่เห็นแป๊บเดียวก็จำได้แล้วละ ก็ในเมื่อผมอยู่กับชายคนนั้นมาตั้งนานหนิเนอะ”

    สีครามพยายามควบคุมน้ำเสียงติดสั่นของตน เล่าถึงคลิปจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกในตัวเก็บข้อมูลซึ่งเขาดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในคลิปนั้นมีบุคคลอยู่สองคนคล้ายกำลังยืนคุยกันตรงทางเปลี่ยว คนหนึ่งเป็นผู้หญิงชุดแดงแม่ของเขา ส่วนอีกคนภาพเบลอเกินกว่าจะรู้ว่าเป็นใคร แต่ลักษณะท่าทางของบุคคลในคลิปเขามั่นใจว่าคือพี่วรรษ สักพักหนึ่งแม่เริ่มแสดงอาการหวาดกลัวก่อนวิ่งหายลงไปข้างทาง โดยมีพี่วรรษเดินตามไป ไม่นานนักในคลิปก็ปรากกฎร่างบุคคลอีกครั้ง ทว่ามีเพียงพี่วรรษคนเดียวที่กลับออกมา

    จากข้อมูลเสริมต่อในเอกสารบ่งบอกว่า ร่างแม่ของเขาถูกพบเป็นซากกระดูกแห้งในป่าข้างทางหลังผ่านไปนานหลายเดือน ไม่มีหลักฐานใดระบุตัวตนนอกจากเสื้อผ้าและแหวนเก่าสกปรก ดังนั้นหลังเสร็จสิ้นกระบวนการทุกอย่าง โครงกระดูกเหล่านั้นจึงถูกนำมาฝังไว้ที่สุสานแห่งนี้ โดยได้มีการจดบันทึกหลักฐานระบุตัวตนและเลขหลุมไว้ เผื่อวันหนึ่งญาติอาจมาตามหา

    แต่เพราะเรื่องนี้ผ่านมานานมาก เศษซากกระดูกของแม่จึงถูกขุดขึ้นมาเผาไปนานแล้ว สิ่งที่หลงเหลือจึงมีเพียงเลขหลุมศพที่ตอนนี้ถูกใช้เก็บร่างใครสักคน กับประวัติที่เคยบันทึกไว้ ซึ่งแหวนที่แม่ใส่ประจำและเสื้อผ้าก็เป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงได้อย่างดี ความจริงที่ว่าพี่ชายแสนดีของเขาคือฆาตกรที่ฆ่าได้แม้กระทั่งผู้ให้กำเนิด

    “พี่ไม่รู้ว่าสีครามพูดเรื่องอะไร แต่สีครามกำลังเข้าใจผิด พวกที่จับสีครามไปมันแค่ปั่นหัวให้สีครามสับสน อย่าไปเชื่อพวกมัน”

    วรรษพูดแก้ต่างพร้อมค่อย ๆ เดินเข้าหาน้องชาย ทว่าสีครามกลับขยับถอยห่าง การแสดงออกของน้องชาย ถึงกับทำให้ผู้คุมวิญญาณชะงักอีกครั้ง ก่อนจะยอมยืนนิ่ง ๆ ไม่เข้าหาอีก เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายระแวงในตัวเขาไปมากกว่านี้

    “จะมีสักครั้งไหม... ที่พี่วรรษอยากพูดความจริงกับผม”
    “พี่ไม่เคยหลอกสีคราม” พี่ชายแสนดียังคงโกหกต่อไปเพราะคิดว่ามันอาจได้ผลอย่างทุกครั้ง ทว่าทุกอย่างกลับยิ่งเลวร้าย
    “งั้นบอกมาสิพี่วรรษ ว่าพี่ทำงานอะไรกันแน่ และเงินพวกนั้นพี่ได้มายังไง”
    “พี่ทำงานบริษัทธรรมดา เงินพี่ก็ค่อย ๆ เก็บสะสมตั้งแต่พี่เริ่มทำงานครั้งแรก สีครามก็รู้ว่าพี่ไม่ใช่คนใช้เงินเก่ง พี่มีเงินเก็บเหลือพอที่เราไม่ต้องกลับไปลำบากแบบตอนเด็กอีก มันเป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอ”
    “เงินทั้งหมด... พี่วรรษเป็นคนทำงานเก็บเองหมดเลยเหรอครับ”
    “ใช่”

    คำตอบจากผู้เป็นพี่ถึงกับทำให้สีครามสะอึกจนพูดไม่ออก วรรษสังเกตเห็นแววตาไหววูบผิดหวังฉายชัดในดวงตาสีครามหลังได้ฟังคำตอบจากเขา ความกลัวในจิตใจยิ่งเพิ่มทวีขึ้นรีบหวนนึกว่าเมื่อครู่เขาหลุดพูดอะไรผิดไปหรือไม่ ทว่ายังไม่ทันได้นึกคิด สีครามกลับยื่นซองเอกสารที่ถือไว้ทีแรกมาให้ วรรษจึงจำต้องรับมาและเปิดดู สิ่งที่อยู่ด้านในราวกับสายโซ่ผูกคล้องทุกถ้อยคำโกหกเพื่อบีบรัดเขาจนหมดหนทางดิ้นหนี

    “…พวกมันเอามาให้สีครามใช่ไหม” วรรษเอ่ยถามเสียงเบา
    “ครับ... บอกผมทีว่าพี่วรรษไม่ได้ทำอะไรพวกเขาเหมือนที่ทำกับแม่ พวกเขาแค่บังเอิญถึงเวลาต้องไป”
    “อืม พวกนี้ตายเอง พี่ไม่ได้ฆ่าหลังจากบังคับให้เซ็นมอบทุกอย่างให้... ยังอยากให้พี่พูดแบบนี้อีกเหรอ ทั้งที่สีครามก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันแค่คำโกหกแก้ตัวของพี่”

    คำสารภาพยอมรับของพี่ชาย ถึงกับทำให้หยาดน้ำตาของผู้เป็นน้องหลั่งรินอย่างเงียบงัน ความผิดหวังเสียใจพลันถาโถมกัดกินจิตใจให้รวดร้าวเจียนแหลกสลาย ภาพจำของพี่ชายผู้อ่อนโยนแสนดีถูกความจริงดำมืดฉีกกระชากไม่มีเหลือ ทว่าเหตุการณ์นี้หาใช่สีครามคนเดียวที่กำลังรู้สึกเหมือนทุกสิ่งอย่างพังทลาย วรรษที่ยืนนิ่งมองน้องร่ำไห้ผิดหวังในตัวเขา ก็รู้สึกเจ็บปวดเจียนตายไม่ต่างกัน

    “พี่ทำทำไมครับ... พี่วรรษทำแบบนั้นกับพวกเขาเพื่ออะไร” สีครามพยายามฝืนถามหาเหตุผล
    “ทุกอย่างพี่ทำเพื่อเราสีคราม พี่แค่อยากมั่นใจว่าน้องพี่จะไม่มีวันกลับไปลำบากอีก ทรัพย์สมบัติของพวกนั้นถึงจำเป็น”
    “แต่ผมไม่ต้องการ เราช่วยกันทำงานก็ได้ไม่เห็นต้องไปแย่งของคนอื่น”
    “หึ... คนเรียนจบแค่มอต้นแบบพี่ ทำงานให้ตายทั้งชีวิตจะหาเงินมาได้สักเท่าไรกัน”
    “…” อีกหนึ่งความจริงที่วรรษไม่เคยเล่า ถึงกับทำให้ผู้เป็นน้องนิ่งค้างไปด้วยความตกใจ
    “ไอ้แก่นั่นมันทำให้พี่ไม่ได้เรียนต่อ ต้องออกมาทำงานหาเงินซื้อข้าวประทังชีวิต แต่พอจะมีเงินเก็บบ้างก็ถูกมันเอาไปละลายกับขวดเหล้า คิดว่าถ้าพี่ยังทนอยู่ชาตินี้พี่จะมีเหมือนทุกวันนี้ไหม”

    วรรษบอกเล่าถึงช่วงเวลาที่ไม่อยากจดจำ ช่วงที่เขายังเด็กและยังไม่รู้ว่าพลังของตัวเองทำอะไรได้บ้าง ตอนนั้นหลังจบมอต้น เขาจำต้องทิ้งการเรียนและความฝันทุกอย่างเพื่อดิ้นรนให้มีชีวิตรอดในแต่ละวัน ตื่นเช้าออกหางานรับจ้างเพื่อเลี้ยงชีพยันค่ำมืด กลับมาที่ห้องเช่าสกปรกแทนที่จะได้พักผ่อน กลับถูกพ่อเลวใช้เป็นที่ระบายทำร้ายทุบตี เงินที่หามาเลือดตาแทบกระเด็นเพื่อเก็บไว้จ่ายค่าเช่าก็ถูกมันเอาไปซื้อเหล้าจนหมด เป็นช่วงชีวิตที่อยากตายไปให้พ้น ๆ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะเป็นห่วงน้องชายที่ตอนนี้คงมีชะตาไม่ต่างจากเขา

    ทุกวันเวลาผันผ่านไปอย่างยากลำบาก จนวันหนึ่งเขาได้รู้ความสามารถของตน ที่ไม่ใช่เพียงแค่มองเห็นแต่ยังควบคุมออกคำสั่งกับวิญญาณได้ หนูทดลองพลังคนแรกของเขาก็คือไอ้แก่ขี้เหล้า หน้าตาตื่นกลัวสุดขีดของมัน ยามเห็นวิญญาณรับใช้ตนแรกและรับรู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย เป็นภาพที่สวยงามซึ่งเขาจะจดจำไม่มีวันลืม

    หลังไม่มีตัวถ่วงชีวิตอีกต่อไป เขาพบว่าชีวิตสุขสบายขึ้นมาก เงินเก็บก็มีมากพอจะไปเยี่ยมสีครามน้องชายที่ไม่ได้เจอมานาน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจไปหา ถึงได้รับรู้ว่าชีวิตของน้องชายก็ลำบากเช่นเดียวกับเขา ปัญหาเกิดจากนางผู้หญิงที่ควรทำหน้าที่แม่เลี้ยงดูสีคราม กลับสร้างหนี้พนันไม่หยุดหย่อนจนน้องของเขาต้องทำงานหนักหลังเลิกเรียนเพื่อช่วยล้างหนี้ ฉะนั้นเขาจึงต้องทำให้นางนั่นหายไป เพื่อหลังจากนี้สีครามจะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ส่วนเรื่องหนี้สินไม่จำเป็นต้องใช้คืน เพราะในไม่ช้าพวกเจ้าหนี้ทั้งหมดจะกลายเป็นวิญญาณรับใช้ของเขา

    เมื่อแก้ปัญหาทุกอย่างให้สีครามเรียบร้อย วรรษไม่ได้กลับไปหาน้องชายทันที เหตุเพราะเขายังรู้สึกสมเพชในสภาพของตัวเอง ดังนั้นวรรษจึงตัดสินใจกลับไปสร้างตัวสร้างฐานะของตัวเองให้เร็วที่สุด โดยไม่คิดสนใจวิธีการ ทั้งหมดเพื่อที่เขาจะได้กลับมาอีกครั้งอย่างภาคภูมิ ทำให้น้องชายผู้เป็นครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวของเขาภูมิใจ


    “เพราะแบบนั้นพี่ถึงต้องทำให้ไอ้แก่มันหายไป นางนั่นก็เหมือนกัน”
    “ถึงพวกเขาจะไม่ดี แต่เขาก็เป็นพ่อแม่-” น้องชายพยายามโต้เถียง ทว่ากลับถูกพี่เอ่ยขัด
    “มันแค่พลาดทำพวกเราเกิดมาสีคราม พวกมันไม่มีอะไรให้น่านับถือสักนิดเดียว”
    “…”

    ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง เมื่อสีครามไม่อาจเถียงความจริงข้อนั้นได้ เพราะคำพูดเรื่องพวกเขาไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ ผู้มีพระคุณเป็นคนพูดตอกย้ำใส่พวกเขาด้วยตัวเองตั้งแต่สมัยเด็ก รวมถึงการกระทำตลอดช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน ลึก ๆ ในใจของสีครามก็แอบคิดเช่นเดียวกับพี่ชาย แต่เพราะได้เห็นครอบครัวที่อบอุ่นของเพื่อนคนรู้จัก สีครามจึงวาดหวังว่าสักวันหนึ่งผู้มีพระคุณของเขาอาจเปลี่ยนแปลงตัวเองจนกลายเป็นพ่อแม่ที่น่าเคารพดั่งครอบครัวอื่น ทว่าน่าเศร้าที่สุดท้ายเรื่องราวเหล่านั้นไม่เคยเป็นจริง

    “…รู้แบบนี้แล้ว สีครามยังอยากอยู่กับคนเลวแบบพี่อยู่ไหม หรือถ้าอยากเอาพี่ส่งตำรวจชดใช้ความผิด พี่ก็ยินดี” วรรษเสนอหนทางให้สีครามตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นทางไหนหากสีครามต้องการ เขาก็จะยอมรับและทำตามทั้งหมด
    “หายไปได้ไหมครับ” น้องชายถามเสียงเบา
    “…”
    “ต่อจากนี้ผมขออยู่คนเดียว พี่วรรษช่วยหายไปจากชีวิตผมได้ไหมครับ”

    คำขอคล้ายไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากยุ่งเกี่ยวอีกต่อไป ถึงกับทำให้วรรษรู้สึกหนาวเหน็บเหมือนทั้งร่างถูกแช่แข็ง เจ็บชาจนไม่อาจรับรู้สิ่งใด อวัยวะกลางอกขยับอย่างทรมานราวกับมีหยาดน้ำแข็งเข้าเกาะกุม ภายในความคิดอันขาวโพลนกลับเห็นว่า หากเขาถูกสีครามแจ้งจับคงรู้สึกรวดร้าวน้อยกว่า เพราะอย่างน้อยสีครามก็ยังคงรำลึกถึงเขาในฐานะฆาตกรคนหนึ่ง ไม่ใช่ถูกลบหายไปเหมือนไม่เคยมีเขาอยู่ในชีวิตเช่นนี้

    “...ได้สิ พี่เคารพการตัดสินใจของสีครามอยู่แล้ว แต่อย่างน้อยพี่ขอไปส่งสีครามได้ไหม แล้วหลังจากนี้พี่จะไม่มาให้สีครามเห็นหน้า ไม่ทำให้สีครามรู้สึกไม่ดีอีก” ผู้เป็นพี่ฝืนยิ้มตอบกลับน้องชาย
    “ครับ... ส่งผมที่ร้านดอกไม้นะครับ ส่วนของที่บ้านผมจะไปทยอยเอาออกมา”
    “…อืม”

    วรรษเพียงขานรับในลำคอ ไม่คิดบอกความจริงเรื่องบ้านที่ตอนนี้เหลือเพียงซากเพลิงไหม้ แล้วจึงเดินนำทางไปยังรถยนต์ที่จอดอยู่หน้าสุสาน ระหว่างเดินวรรษไม่แม้แต่จะคิดหันกลับไปมองน้องชาย เพราะในใจลึก ๆ เขากลัว กลัวที่จะเห็นระยะห่างที่เว้นวางราวกับรังเกียจกัน
    จวบจนกระทั่งออกมานอกเขตสุสาน สีครามรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่พี่ชายเปลี่ยนรถคันใหม่ แต่ก็เพียงเก็บงำความสงสัยไว้ในใจ ไม่คิดเอ่ยถามอย่างทุกที เนื่องจากตอนนี้เขาเหนื่อยล้าจนไม่อยากรับรู้สิ่งใดอีกแล้ว


    บรรยากาศภายในรถยังคงเงียบงันไร้การพูดคุย แม้ขณะนี้จะถึงที่หมายแล้วก็ตาม วรรษคืนกุญแจร้านดอกไม้ให้เจ้าของแท้จริง สีครามเพียงค้อมศีรษะเชิงขอบคุณเล็กน้อย และลงจากรถไปโดยไม่แม้แต่จะกล่าวลา ทันทีที่ประตูรถปิดลง ผู้คุมวิญญาณพลันเอ่ยถามหนึ่งในวิญญาณรับใช้ เมื่อเห็นว่าวิญญาณที่เขาสั่งให้เฝ้าดูแลร้านนั้นหายไป

    “เจ้าพวกนั้นอยู่ไหน”
    “สัมผัสถึงกลิ่นอายไม่ได้เลยครับนาย ไม่แน่ว่าอาจถูกกำจัดไปแล้ว”

    คำตอบจากวิญญาณรับใช้ ส่งผลให้คิ้วบนใบหน้าของผู้คุมวิญญาณขมวดเข้าหากันแน่น เขารู้ดีว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนการของใคร แต่เขาไม่รู้จุดประสงค์จริง ๆ ของมันว่าคิดจะทำอะไรกันแน่ และจากนี้เขาต้องห่างจากสีครามยิ่งเป็นเรื่องอันตราย วิญญาณรับใช้ก็แทบไร้ประโยชน์เพราะมันมีผู้คุมวิญญาณที่พลังทัดเทียมกับเขาเป็นพวก เท่ากับตอนนี้เขาตกเป็นรองอย่างสมบูรณ์ ที่ทำได้คงมีเพียงการตั้งรับสิ่งที่กำลังมาอย่างระมัดระวังเท่านั้น

    “เหลืออยู่กับฉันแค่สองตน ส่วนที่เหลือทั้งหมดคอยดูแลสีคราม ถ้าเกิดอะไรขึ้นให้รีบบอกฉัน”
    “ครับ/ค่ะนาย” วิญญาณรับใช้ทุกดวงขานรับอย่างพร้อมเพรียง



    หลายวันหลังจากเหตุการณ์ทำร้ายความรู้สึก วรรษก็ได้หายไปอย่างที่สีครามต้องการ ไร้วี่แววไร้การติดต่อ ราวกับทุกอย่างของคนคนนั้นค่อย ๆ เลือนรางลงทีละน้อย และอีกไม่นานคงกลายเป็นความเคยชิน เหล่าพนักงานในร้านก็คล้ายรับรู้สถานการณ์ นอกจากแสดงความดีใจที่เจ้านายกลับมา ก็ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องของใครคนนั้นเลย

    เวลาช่วยเยียวยาทุกสิ่งให้เริ่มหวนคืนสู่ชีวิตปกติเรียบง่ายอย่างที่ควรเป็น จนกระทั่งการมาของกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจในเช้าวันหนึ่ง กลับเหมือนเสียงลั่นไกปืนยิงซ้ำใส่บาดแผลในจิตใจที่กำลังรักษา ย้ำเตือนทุกผู้คนที่ข้องเกี่ยวให้ตระหนักว่า เกมของใครบางคนเพียงเพิ่งเริ่ม

    “สายของเรารายงานว่า วรรษผู้ก่อคดีบุกทำร้ายเจ้าของบริษัทเมื่อไม่นานนี้ เคยอยู่ที่นี่ในช่วงก่อเหตุ เราจึงขออำนาจเข้าตรวจค้นครับ”

    เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งรายงานต่อเจ้าของร้าน พร้อมแสดงหมายค้นเพื่อเป็นเครื่องยืนยัน สีครามได้แต่นิ่งอึ้งไม่คาดคิดว่าคดีร้ายแรงในขณะนี้ก็เป็นฝีมือของพี่ชายตัวเอง ความคิดว่างเปล่าพร้อมกับความรู้สึกเจ็บร้าวหวนกลับมาอีกครั้ง เสี้ยวหนึ่งของสัญชาตญาณเรียกร้องให้เขาพูดปกป้องพี่ชายเหมือนอย่างเคย ทว่าความกลัวว่าจะถูกหักหลังซ้ำอีก กลับถ่วงดึงทุกคำแก้ต่างให้คั่งค้างอยู่ตรงลำคอ ความเหนื่อยล้าจากการถูกลวงหลอกทำให้ใบหน้าเศร้าหมองของสีครามก้มต่ำลง เสมือนการพยักหน้ายอมรับให้กลุ่มตำรวจเข้าตรวจค้นตามหน้าที่

    อาวุธปืนกับอุปกรณ์สั่งการปลอกคอไฟฟ้า ถูกพบซ่อนอยู่ในห้องทำงานด้านหลังร้าน หลักฐานพิสูจน์มัดตัวยิ่งกรีดแทงจิตใจสีครามให้แหวะแหว่งจนอาจเกินเยียวยา และเมื่อการตรวจค้นสิ้นสุดลง เจ้าของร้านถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจพาตัวไปสอบปากคำเพราะถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด

    การสอบสวนหาความจริงใช้เวลานานนับชั่วโมง ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปยืนยันความบริสุทธิ์ โดยน้องชายของผู้ต้องหาต้องเป็นสายล่อลวงให้วรรษยอมเผยตัว สีครามที่ตอนนี้เหน็ดเหนื่อยอ่อนแรง อยากให้ทุกอย่างจบลงเสียทีเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องรับรู้อะไรอีก จึงเลือกพยักหน้าตอบตกลง


    การนัดทานอาหารถูกจัดฉากขึ้นในช่วงเย็นวันนั้น สีครามเลือกนั่งโต๊ะกลางร้านตามแผนการของเจ้าหน้าที่ ไม่นานนักผู้ต้องหาก็เข้ามาในร้าน การแต่งกายของวรรษถึงกลับทำให้สีครามเผลอเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ เพราะเสื้อผ้าและผมที่จัดทรงอย่างดีของวรรษนั้นบ่งบอกถึงความพิถีพิถันตั้งใจในการมานัดครั้งนี้ ความดีใจที่แสดงผ่านใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุขของพี่ชาย ถึงกับทำให้ผู้เป็นน้องรู้สึกจุกหน่วงที่กลางอก ได้แต่เอ่ยขอโทษในความคิดซ้ำ ๆ

    “สีครามอุสาใจดียอมเจอพี่อีกครั้ง พี่ขอเลี้ยงมื้อนี้นะ” วรรษพูดขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
    “ไม่ครับ ผมเป็นคนชวนต้องเป็นเจ้ามือสิ”
    “โอเค ๆ แล้วสั่งอะไรหรือยัง” ผู้เป็นพี่ตกลงอย่างง่ายดาย พลางหยิบเมนูอาหารขึ้นมาเปิดดู
    “ยังครับ ผมรอพี่วรรษ จะได้สั่งแล้วทานพร้อมกัน”

    ได้ยินดังนั้นวรรษจึงยกมือเรียกพนักงาน สองพี่น้องผลัดกันสั่งอาหาร แต่ถึงอย่างนั้นรายการอาหารส่วนมากกลับเป็นของที่สีครามชอบ เนื่องจากวรรษเอาแต่สั่งให้น้องชายแม้จะโดนทักท้วงก็ไม่ฟัง ระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ วรรษได้ถามถึงความเป็นอยู่ของสีคราม ทั้งเรื่องร้านดอกไม้ และความสะดวกสบาย เพราะตอนนี้สีครามเลือกนอนที่ร้าน เหมือนเมื่อครั้งอดีตก่อนที่เขาจะชวนมาอยู่บ้านด้วยกัน

    ไม่นานอาหารทั้งหมดก็ถูกจัดวางจนเต็มโต๊ะ เสียงพูดคุยไถ่ถามยังคงคลออยู่ตลอดมื้ออาหาร บรรยากาศอบอุ่นหวนกลับมาชวนคิดถึงจนไม่อยากให้จบลง ดังนั้นสีครามจึงเลือกพูดคุยมากกว่าทานข้าว เพื่อหวังยืดช่วงเวลาให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ไม่ว่าจะพยายามมากเพียงไร ทุกสิ่งอย่างย่อมถึงคราวต้องลาจาก

    “ทำไมวันนี้พี่วรรษแต่งตัวดีจังครับ ทั้งที่ผมแค่ชวนกินข้าวธรรมดา” สีครามเอ่ยถามถึงสิ่งที่สงสัยในตอนแรก หลังช่วงเวลามื้ออาหารหมดลง
    “ก็ครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่พี่จะได้ทานข้าวแบบนี้กับสีครามแล้วหนิ ก่อนที่จะถูกจับ เลยอยากดูดีในสายตาน้องชายตัวเองอีกสักครั้ง”

    คำตอบพร้อมรอยยิ้มมีความสุขของวรรษ ส่งผลให้หยาดน้ำใสที่สีครามพยายามสะกดกลั้น พลันไหลรินอาบผิวแก้มทั้งสองข้าง ความจุกหน่วงที่กลางอกยิ่งเพิ่มทวีบีบรัดหัวใจราวกับแหลกละเอียดลงในวินาทีนั้น ความจริงที่ว่าวรรษรู้ทุกอย่างนี้เป็นกับดัก แต่ก็ยังคงมาเพราะเป็นโอกาสเดียวที่จะได้มาเจอเขา ยิ่งทำให้สีครามรู้สึกผิดเสียใจในความเลวร้ายของตัวเอง ที่กล้าเอาสายสัมพันธ์มาเป็นเครื่องมือลวงหลอก

    “ผม... ผะ.. ผมขอโทษ” น้ำเสียงสะอึกสะอื้นเต็มไปด้วยความละอาย เอ่ยขอโทษพี่ชายซึ่งกำลังถูกใส่กุญแจมือ
    “ไม่เอา ไม่ร้อง มือพี่ตอนนี้เช็ดน้ำตาสีครามไม่ได้หรอกนะ”

    วรรษกล่าวปลอบน้องชายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่านั่นกลับยิ่งทำให้สีครามไม่อาจฝืนกลั้นได้อีกต่อไป เสียงร้องไห้ปานขาดใจดังทั่วทั้งบริเวณ แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาช่วยกันปลอบประโลมก็ไม่อาจช่วยอะไรได้ ความเศร้าโศกเสียใจจากทุกเรื่องราวที่พยายามเก็บกดไว้ ถูกระบายออกผ่านหยาดน้ำตาที่คล้ายจะไม่มีวันแห้งเหือด ทุกความเข้มแข็งที่พยายามสร้างพังทลายไม่เหลือชิ้นดี ความรวดร้าวเสียใจของสีครามสะท้อนในนัยน์ตาของวรรษ ที่มีน้ำตาคลอหน่วยจวนเกือบจะหลั่งรินไม่ต่างกัน ผู้เป็นพี่เลือกหันหลังให้น้องชายเพราะไม่อยากฝืนทนมอง พร้อมกล่าวกับเจ้าหน้าที่ให้รีบนำตัวเขาออกจากที่นี่เสียที


    เจ้าหน้าที่นำผู้ต้องหามาฝากขังในสถานีตำรวจ เพื่อเตรียมแถลงข่าวและทำแผนประกอบการรับสารภาพในวันรุ่งขึ้น วรรษนั่งพิงกำแพงภายในห้องขังโดยมีวิญญาณรับใช้สองตนคอยตามดูแลอารักขา การออกจากคุกแห่งนี้นั้นแสนง่ายดาย เพียงแค่เขาออกคำสั่งกับวิญญาณรับใช้ ทว่าที่ไม่ทำเพราะเขาเคยบอกแล้ว ว่าเขาจะเคารพการตัดสินใจของสีคราม แม้นั่นหมายความว่าเขาต้องเดิมตามแผนที่ใครบางคนวางไว้ก็ตาม

    “พรึบ!!”

    อยู่ ๆ ไฟทั่วทั้งสถานีตำรวจพลันดับลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ ส่งผลให้ม่านหมอกสีดำของยามค่ำคืนเข้าปกคลุมพื้นที่แห่งนี้ทันที วิญญาณรับใช้สองตนรีบยืนขวางปกป้องเจ้านาย เมื่อสัมผัสได้ถึงการมาของศัตรู เสียงร้องตื่นตระหนกของเจ้าหน้าที่เฝ้าเวรด้านนอกดังขึ้นเป็นระยะสลับกับเสียงปืน ทว่าเพียงครู่เดียวเสียงเหล่านั้นก็หยุดลง พร้อมกับกลิ่นอายวิญญาณที่วรรษสัมผัสได้พลันเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว บอกเป็นนัยว่าตำรวจทุกนายที่เคยส่งเสียงร้องเมื่อครู่ ต่างหลงเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณกันหมดแล้ว

    หลังเหตุการณ์วุ่นวายกลับคืนสู่ความเงียบสงัดเพียงไม่นาน หมอกมืดจากยามค่ำคืนเบื้องหน้าห้องขังได้ปรากฏเงาร่างของชายสองคนกำลังยืนอยู่ แม้ไม่อาจมองเห็นแต่วรรษกลับมั่นใจว่าหนึ่งในนั้นคือผู้คุมวิญญาณที่เคยลักพาตัวสีครามไป ส่วนอีกหนึ่งคือ

    “คิดแล้วว่าทุกอย่างต้องเป็นฝีมือแก โนอาร์”




บท27 สมบูรณ์



ถึงคนอ่าน


    เกร็ดเล็กน้อยในบทนี้นะครับ สุสานที่โนอาร์พาเอทอสไปกินวิญญาณ กับสุสานที่สีครามไปคือสุสานเดียวกันครับ นักอ่านบางท่านอาจพอเดาได้ ใช่ครับ โนอาร์ต้องการให้เอทอสไปกินวิญญาณของแม่สีครามครับ
    ถามว่าเอทอสรู้ไหมว่าวิญญาณดวงไหนคือแม่ของสีคราม คำตอบคือไม่รู้ครับ เพราะวิญญาณแต่ละดวงจะมีลักษณะเฉพาะเป็นเอกเทศกัน หมายความว่าต่อให้ในช่วงที่มีชีวิต จะมีความเกี่ยวเนื่องกันทางสายเลือด แต่เมื่อตายไปเหลือแค่วิญญาณ จะไม่มีอะไรสามารถบ่งบอกได้เลยครับว่าเคยเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกันมาก่อน


    แล้วสรุปว่าเอทอสได้กินวิญญาณของแม่สีครามเข้าไปหรือเปล่านั้น ตรงนี้เป็นปริศนาครับ^^



     ป.ล. ตรงนี้เป็นการตอบกลับคุณคนอ่านท่านหนึ่งนะครับ เนื้อความอาจสื่อไปในทางสปอยล์เล็กน้อย คนอ่านที่ไม่อยากทราบสามารถข้ามผ่านได้เลยครับ  o13

"ใช่ครับ!!! ถึงจะไม่ถูกทั้งหมด แต่คุณ k2blove คาดเดาได้ใกล้เคียงมากๆ เลยครับ^^ ในท้ายสุดแล้วอายุขัยของเอทอสและโนอาร์จะไม่ใช่อุปสรรคอีกแล้ว แต่จะทำยังไงนั้น คงต้องฝากคุณคนอ่านช่วยติดตามต่อไปด้วยนะครับ ^^"


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-11-2020 02:23:36 โดย biOmos »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด