ร้าย:เพราะ:รัก Just Love (ใหม่!!!!!!!!!!! อัพเดทตอน 29 End)​
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ร้าย:เพราะ:รัก Just Love (ใหม่!!!!!!!!!!! อัพเดทตอน 29 End)​  (อ่าน 24039 ครั้ง)

ออฟไลน์ Jackkiesatg

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

***************************















***************************
กล่าวเกริ่นย่อๆ

เรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้รับความรักจากชายหนุ่มที่หลงรักมานาน

แต่ความรักกลับไม่เป็นดังหวัง เพราะชายที่เธอรักกลับไปสานสัมพันธ์กับตำรวจหนุ่มคนดัง เธอจึงหาทางเพื่อที่จะขัดขวางจนพลั้งพลาดเป็นความสูญเสีย แต่ลึกๆแล้วมันมีบางอย่างที่ใครบางคนยังปิดบัง เอาไว้

**** เนื้อหา เป็นความรักของชายรักชาย แต่เนื้อเรื่องเพื่อความสมจริง จึงต้องนำผู้หญิงมาเป็นตัวแปรในการเดินนำเรื่องนะครับ****

เรื่องราวทั้งหมดถูกแต่งขึ้นมาตามความรู้สึกของผู้แต่ง อาจจะมีเนื้อหา ข้อมูล สถานที่ ที่ถูกระบุขึ้นมา ล้วนแล้วแต่เป็นการอ้างอิง เรื่องทางการแพทย์ ทางตำรวจ หรือกฎหมายใดๆที่เขียนขึ้น ขอให้อ่านเพื่อความสนุกนะครับ และถ้าหากมีความผิดพลาดประการใด ในเนื้อหา หรือ ข้อมูลต้องขออภัยมา ณ ที่นี้

********************************************************


   
สารบัญ

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-09-2019 19:10:43 โดย Jackkiesatg »

ออฟไลน์ beedy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ร้าย:เพราะ:รัก Just Love
«ตอบ #1 เมื่อ22-08-2019 09:14:51 »

 :hao7: :hao7: อย่าลืมแปะกฎของเล้าด้วยน้าาาาา ติดตามจ้า

ออฟไลน์ Jackkiesatg

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: ร้าย:เพราะ:รัก Just Love
«ตอบ #2 เมื่อ22-08-2019 17:52:55 »

:hao7: :hao7: อย่าลืมแปะกฎของเล้าด้วยน้าาาาา ติดตามจ้า

ต้องทำยังไงอ่ะครับ แนะนำได้มั้ย

ออฟไลน์ Jackkiesatg

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: ร้าย:เพราะ:รัก Just Love
«ตอบ #3 เมื่อ22-08-2019 18:49:15 »

Cahpster1


ชีวิตของผมในวันหนึ่งๆก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ นอกจากคนไข้กับโรงพยาบาล และวันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันในรอบหลายๆเดือนที่ผมสามารถจัดการกับเคสคนไข้ที่เข้ามาตรวจรักษากับผมได้อย่างรวดเร็ว

“อ้าว คุณหมอตั้ม ออกมาเดินแบบนี้ เคสหมดแล้วหรอคะนี่พึ่งเที่ยงเองนะคะ” ดา พยาบาลสาวที่ปกติเธอจะเป็นคนจัดการตารางคนไข้ให้กับผม แต่วันนี้ เวรของเธอคือการเป็นประชาสัมพันธ์ให้กับโรงพยาบาล

“ใช่ วันนี้ผมมีผ่าตัดใหญ่ตอนบ่ายสอง ก็เลยอยากพักก่อน”ผมตอบกลับเธอไปอย่างอารมณ์ดี ก็ใช่น่ะสิ นานๆทีผมถึงจะเวลาพักนานๆกับเขาบ้างนี่นา และในตอนที่ผมกำลังยืนคุยอยู่กับดานั้น หูของผมก็ได้เสียงดนตรีแว่วๆมาจากห้องโถงของโรงพยาบาล ซึ่งเป็นเสียงที่คุ้นเคยของคนที่นี่


(เสียงดนตรี)


“วันนี้เขามาเล่นดนตรีด้วยหรอ ปกติจะได้ยินแค่เสาร์ไม่ก็อาทิตย์นะ”

“ช่วงนี้มาเล่นบ่อยน่ะค่ะ อาทิตย์ละ 2-3 ครั้งได้ แล้วอีกอย่างหมอตั้มก็อยู่แต่ในห้องตรวจกับห้องผ่าตัด จะไปได้ยินได้ยังไงล่ะคะ” พยาบาลสาวพูดไปพร้อมกับมือที่กำลังพิมพ์รายละเอียดคนไข้อย่างชำนาญ

“โอเค ตั้งใจทำงานละกัน ผมไปละ” ผมกล่าวลาเธอเพียงสั้นๆก่อนที่จะเดินตรงไปยังร้านกาแฟเจ้าประจำที่อยู่ในศูนย์อาหารของโรงพยาบาล
ผมแทบจะเป็นเจ้าประจำของร้านกาแฟแห่งนี้ก็เป็นได้ เพราะเพียงแค่ผมก้าวเดินเข้าไป พนักงานประจำร้านก็รู้ทันทีว่าต้องจัดการเมนูอะไรให้กับผม ก็ทำไงได้ละครับ เวลาพักผมมีน้อยก็พึ่งได้แค่โกโก้ปั่นกับแซนวิชทูน่า จนบางทีผมคิดว่ายอดขายของทางร้านก็มาจากผมสะส่วนใหญ่นะเนี้ย (555)

“หมอตั้ม” เสียงเรียกที่คุ้นเคยนี้ไม่ใช่ใคร หมอแพรว เพื่อนคนสนิทตั้งแต่เรียนคณะแพทย์มาด้วยกัน แล้วแถมยังได้มาบรรจุทำงานที่เดียวกันอีก โชคดีชะมัด
   “ไหงวันนี้มาโผล่ที่นี่ได้ ปกติเห็นต้องให้ที่ร้านไปส่งให้ทุกที”....ก่อนที่เธอจะหันไปสั่งน้ำสุดโปรดปรานของเธอ “ขอกาแฟร้อนหวานๆนะคะ”
   “ก็วันนี้มีผ่าตัดตอนบ่ายสอง ก็เลยขอรับเคสน้อยน่ะ และก็ว่าจะขึ้นไปหาอาจารย์ใหญ่ก่อนผ่าตัดด้วย” 
   “เคสที่บอกว่าต้องผ่าตัดไขสันหลังใช่มะ”
   “ใช่ ผมถึงอยากมีเวลาเตรียมตัว”

   --“โกโก้ปั่นกับแซนวิชทูน่าได้แล้วค่ะ”—

   เสียงพนักงานประจำร้าน บอกกล่าวผมกับยืนแก้วน้ำกับกล่องแซนวิชให้ผม
   “งั้นตั้มไปก่อนนะ” ผมกล่าวลาเธอเพียงสั้นๆก่อนที่จะเดินลับสายตาเธอไป ขณะที่ผมเดินเพื่อที่จะกลับไปยังห้องพักของผม เสียงดนตรีที่บรรเลงอยู่ที่กลางห้องโถงของโรงพยาบาล เหมือนมีเวทย์มนต์สะกดให้ผมยืนนิ่งรับฟังอย่างไม่รู้ตัว ชายหนุ่มคนหนึ่ง ที่กำลังยืนเล่นไวโอลิน หุ่นและรูปร่างของเขาสำหรับผมนี่บอกเลยว่ามันมีเสน่ห์มาก สูงๆผิวแทนๆ หุ่นที่ล่ำกำลังดี แต่ตัวเข้ากลับใส่หน้ากากสีขาวปกปิดใบหน้าซะอย่างนั้น ขนาดท่ามกลางความวุ่นวายของโรงพยาบาลที่มีทั้งญาติผู้ป่วยและบุคลากรที่กำลังเดินทำงานกันขวักไขว่ ก็ยังคงมีสาวๆที่น่าจะเป็นแฟนคลับขาประจำของเจ้าตัวมานั่งฟังกันอย่างมีความสุข แต่จากที่ผมฟัง เพลงที่เขาคนนั้นกำลังเล่น มันไม่ใช่เพลงที่มีความสุขซักเท่าไหร่ ผมก็เป็นคนเล่นดนตรีคนหนึ่งก็พอที่จะรู้ว่า เพลง Sad Romance ที่เขากำลังบรรเลง มันอาจจะทำให้ผู้ฟังรู้สึกมีความสุขที่ได้ฟังก็จริงแต่สำหรับผู้เล่นถ้าเขาไม่มีความทุกข์ เขาจะเล่นเพลงเศร้าทำไมล่ะ ใช่มั้ยครับ ยิ่งรวมกับความเฉยเมยของหน้ากากที่เขาใส่ มันยิ่งทำให้เพลงนั้น มันยิ่งเศร้ามากกว่าเดิม ผมยืนฟังเสียงไวโอลินเพราะๆนั้นไม่ได้ไม่นาน การแสดงตรงนั้นก็พลันจบลง ชายหนุ่มคนนั้นโค้งคำนับเป็นการของคุณที่มีผู้ฟังหลายๆคนปรบมือให้กับเขา รวมทั้งตัวผมด้วย ก่อนที่เขาจะจัดเก็บไวโอลินตัวนั้นอย่างถนอมมือ ส่วนตัวผมเมื่อยกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นมาดูอีกที ก็ปาเข้าไปจะบ่ายโมงแล้ว ตัวผมเลยต้องรีบจ้ำอ้าวกลับไปยังห้องเพื่อไปเตรียมการผ่าตัด ส่วนโกโก้กับแซนวิชน่ะหรอครับ เป็นหมันสิครับ
   และไม่นาน เวลาอันแสนยาวนานที่ผมจะต้องเข้าห้องผ่าตัดก็มาถึง ผมต้องจัดการทำความสะอาดมือและแขนของผมให้สะอาดมากที่สุด และทำการฆ่าเชื้อด้วยน้ำยา และแอลกอฮอร์อีกครั้ง ก่อนที่จะเดินเข้าไปยังห้องผ่าตัด ก่อนที่พยาบาลประจำห้องผ่าตัด จะนำ surgical wear มาสวมใส่ให้กับผม พร้อมกับถุงมือ ก่อนที่จะลงมือผ่าตัด
   จากการที่ใช้เวลาในการผ่าตัดไปเกือบ 5 ชม. ทุกอย่างก็เสร็จสิ้นลง หลังจากที่ผมจัดการเช็คอาการคนไข้อีกครั้งพร้อมกับสายน้ำเกลือ สายสวนปัสสาวะ สายระบายเลือดจากแผลผ่าตัด และสายบันทึกสัญญาณชีพจรต่างๆจนเรียบร้อย หน้าที่ของผมก็ยังคงมีต่อ หลังจากเปิดประตูห้องผ่าตัดออกมา เหล่าญาติๆของผู้ป่วยก็ต่างมารอฟังผลการผ่าตัดจากผม
   “การผ่าตัดผ่านไปด้วยดีครับ และผมจะยังให้ผู้ป่วยพักฟื้นอยู่ในห้อง ICU ก่อนนะครับ  ถ้าผู้ป่วยไม่มีอาการอื่นใดแทรกซ้อน วันพรุ่งนี้ก็สามารถย้ายไปยังห้องพักฟื้นได้แล้วครับ” หลังจากพูดคุยกับญาติผู้ป่วยเป็นที่เรียบร้อย ผมก็เดินกลับไปยังห้องทำงานประจำของผม ก่อนที่จะขึ้นไปพบกับท่านอาจารย์ใหญ่อีกครั้ง
ในเวลาเกือบสามทุ่ม ภารกิจประจำวันของผมก็เสร็จสิ้น พร้อมกับเรี่ยวแรงที่กำลังจะหมดไป


--- กริ๊งงงงงงงงงง ---

เสียงมือถือของผมดังขึ้น  ตาล น้องสาวตัวแสบของผมนั้นเอง
   “ว่าไงตาล พี่พึ่งผ่าตัดเสร็จ โทดทีที่ไม่ได้บอก”
   “รีบพูดเลยนะคะพี่ตั้ม  แล้วนี่พี่จะกลับบ้านมั้ยค่ะ ถ้ากลับ...ตาลจะได้อยู่รอเปิดประตูให้น่ะค่ะ”

   “ไม่ต้องรอพี่หรอก กว่าจะถึงก็คงดึกน่ะ ตาลเข้านอนเลย ล็อคบ้านดีๆล่ะ”
   “งั้นก็โอเคค่ะ พี่ตั้มเดินทางกลับดีๆนะ”
   “ฝันดีนะ”
หลังจากที่วางสายจากตาล ผมก็รีบเก็บของเข้ากระเป๋า ก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป เมื่อเดินไปถึงหน้า โรงพยาบาลก็ได้มีรถคันหนึ่งเปิดกระจกออกมาเรียกทักผม
   “หมอตั้ม ไม่ได้ขับรถมาหรอครับวันนี้” หมอเอก เพื่อนสนิทของผมอีกคนในโรงพยาบาล
   “ขับมา แต่วันนี้เพลียมากเลยไม่อยากขับกลับ กะว่าจะนั่งแท็กซี่กลับบ้าน”
   “งั้นขึ้นรถมาเลย เดี๋ยวผมไปส่ง”
   “ไม่เป็นไร บ้านเอกกับบ้านตั้มคนละทางกันเลย ลำบากเปล่าๆ ตั้มกลับแท็กซี่ได้”
   “แน่นะหมอตั้ม”
   “อืมมมม...”ผมพยักหน้าตอบรับกลับไปอีกที “แต่ยังไงก็ขอบคุณมากนะ ขับรถดีๆ” หลังจากที่หมอเอก เห็นว่าดึงดันยังไงผมก็ไม่เป็นอยู่ดีก็เลยล้มเลิกสิครับ ก่อนที่จะขับรถออกไป
   จากหน้าโรงพยาบาลออกไปปากทางถนนใหญ่ก็ไม่ได้ใกล้กันมากและด้วยความโชคดีที่เมื่อเดินออกมา ก็เรียกแท็กซี่ได้พอดี
   “ไป หมู่บ้าน สันติบุรี แถวเลียบด่วนฯ น่ะครับ” ผมบอกกล่าวกับโชเฟอร์ ก่อนที่คนขับจะตอบตกลง ผมจึงไม่รอช้าที่จะรีบก้าวขึ้นไปนั่ง และด้วยความอ่อนเพลียของร่างกายตัวเอง ยังไงล่ะครับ ผมก็เผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัว


         ...


   “คุณ...คุณ...คุณได้ยินผมหรือเปล่า”เสียงเรียกที่แว่วเข้ามาในโสตประสาทของผม พร้อมกับแรงประทะเข้ามาที่ใบหน้าของผมเบาๆ

   “ครับๆ” ผมเอ่ยตอบออกไป พร้อมกับค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างไม่มีแรง แต่...ทำไมผมถึงรู้สึก ปวดระบมตามตัวไปหมด

   “คุณไหวมั้ย ผมโทรเรียกรถพยาบาลให้แล้ว อีกสักพักคงมา” เสียงชายคนเดิมพูดขึ้น ผมจึงค่อยลุกขึ้นนั่ง โดยมีผู้ชายคนนั้นช่วยพยุงผมขึ้น ก่อนที่จะให้ผมไปนั่งพิงต้นไม้ตรงรถที่เกิดเหตุ ผมกวาดสายตามองไปรอบๆก่อนที่จะเห็นแท็กซี่คนที่ผมนั่ง จอดแน่นิ่งทิ่มต้นไม้อยู่
   “ดีนะที่คุณไม่เป็นไร ผมเรียกคุณอยู่ตั้งนาน นึกว่าจะแย่ซะแล้ว”
   “แล้วคนขับเป็นยังไงบ้างครับ” ผมถามออกไปด้วยความเคยชินนี่ครับ (ห่วงตัวเองก่อนมั้ยเนี้ย)
   “หนีไปแล้วสิครับ พวกผมขับรถลาดตระเวนมาเห็น เปิดดูในรถก็มีแต่คุณนั้นละ”
   “-----------------“

   “เกิดไรขึ้น” ตัวละครใหม่ในที่เกิดเหตุเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้วสินะ
   “พอดีลาดตระเวนมาเจอผู้ประสบเหตุน่ะครับ ส่วนคนก่อเหตุไม่อยู่ในพื้นที่ละครับ”
   “จัดการตามเรื่องให้เรียบร้อย โทรไปสอบถามที่อู่แท็กซี่ด้วยว่าเจ้าของรถเป็นใคร แล้วดำเนินการซะ...ส่วนคนเจ็บ...เดี๋ยวผมดูแลต่อเอง ไปจัดการเรื่องหลักฐานเถอะ”
   “ครับ!!!!!!!!”
ส่วนผมที่นั่งพิงต้นไม้อยู่ เป็นยังไงหรอครับ ก็มีความรู้สึกระบมมากขึ้น แต่ก็พยายามที่จะลุกขึ้น ซึ่งนั้นมันไม่เกินความสามารถของผมในเวลานั้น
   “คุณจะลุกไปไหน รถพยาบาลกำลังมา” ชายคนนั้นถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาเป็นที่สุด
   “ผมจะกลับบ้านน่ะ ผมแค่ปวดๆตามร่างกายไม่ได้เป็นไรมาก” ผมจึงค่อยๆเดินออกไปริมถนน เพื่อที่จะรอเรียกแท็กซี่อีกครั้ง แต่ชายคนนั้นก็ดันเดินตามผมมาก่อนที่จะพาผมเดินไปที่รถของเขา
   มา...เดี๋ยวผมไปส่ง แต่คุณแน่ใจนะ ว่าจะไม่ไปโรงพยาบาลจริงๆ”เขาถามผมอีกครั้ง
   “อืม....” ผมตอบเขาเเค่นั้น ก่อนที่เจ้าตัวจะเปิดประตูรถให้ผมขึ้นไปนั่ง หลังจากที่เขาคนนั้นขึ้นมานั่งบนรถ และเห็นว่าผมนั้นนั่งแน่นิ่งเป็นผักเปื่อย เขาจึงเอื้อมมือของเขาไปจับ safty belt มาคาดให้กับผม ยังไง...ก็ตกใจสิครับ หน้าผมกับหน้าของเขาคนนั้น แทบจะชนกันอยู่แล้ว แต่ตอนนั้นผมจะทำไรได้ ก็เจ็บอยู่นี่ครับ
   “บ้านคุณอยู่ที่ไหนครับ”
   “ไปส่งผมที่คอนโดก็ได้ครับ อยู่ทองหล่อ 12” 
   ขณะที่รถกำลังสัญจรอยู่บนถนนที่เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจ แต่ในรถที่เขากับผมนั่งนั้นกลับเงียบเหมือนในโลกนี้มีแค่ผมกับเขาสองคน แถมรู้จักก็ไม่รู้จัก แต่ผมกลับให้เขามาส่งสะอย่างนั้น บ้าไปแล้ว

   “คุณชื่ออะไรครับ ผมตั้มนะ”ผมถามขึ้นทำลายความเงียบ

   “....................”

   “นี่คุณ ได้ยินที่ผมถามหรือเปล่า”

   “...................”

ผู้ชายคนนี้ท่าจะบ้า ผมถามอะไรไปเขากลับนิ่ง ทำเหมือนผมไม่มีตัวตน ประจวบเหมาะกับที่รถกำลังชะลอเพราะติดไฟแดงที่แยกข้างหน้า ผมเลยตัดสินใจว่าจะปลด safty belt ออก แล้วเดินไปขึ้นรถต่อเอง แต่เขากลับยื่นมือมาจับมือผมที่กำลังจะปลดล็อคในเวลานั้น

   “ผมชื่อ ชัช” อยู่ดีๆก็ตอบผมมาซะงั้น

   “จริงๆผมไปต่อเองก็ได้นะครับ อีกไม่ไกลก็ถึงแล้ว ขอบคุณนะครับ” ผมตัดสินในปลดล็อค safty belt อีกครั้ง แล้วเปิดประตูรถออกไปทันที หลังจากที่สัญญาณไฟเปลี่ยนสีทำให้รถเคลื่อนตัวอีกครั้ง ผู้ชายคนนั้นกลับขับรถไปหน้าตาเฉย โดยที่ไม่ได้สนใจอะไรผมอีก แต่ผมจะไปว่าอะไรเขาได้ล่ะครับ แค่เขาช่วยมาส่งผมแค่นี้ก็ดีแล้ว สำหรับคนที่ไม่รู้จักกัน ไม่สิ รู้จักเพียงว่า ชื่อ “ชัช”
   ผมใช้เวลาประมาณเกือบ 20 นาที ในการเดินกะเพลกๆมาถึงยังหน้าปากซอยทองหล่อ 12 ความรู้สึกปวดที่มีอยู่ก่อนหน้ามันยิ่งทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่กำลังจะเดินเลี้ยวเข้าซอย ผมก็พบกับเขาคนนั้นอีกครั้ง  แต่ผมก็ทำเฉยๆไม่ได้สนใจอะไรเขา ผมก็เดินของผมไปเรื่อยๆ จนความเจ็บมันพุ่งปรี๊ดขึ้นมาอีกครั้ง ผมจึงหยุดเดินต่อเพื่อที่จะพักให้อาการนั้นทุเลาลง แต่อยู่ดีๆเขาคนนั้นก็เดินมาหยุดที่ข้างหน้าผมอีกครั้ง ก่อนที่จะย่อตัวเองลง
   “ขึ้นมาขี่หลังผม แค่ที่ผมไม่พาคุณไป รพ. ก็รู้สึกผิดมากพอแล้ว อย่าให้ผมต้องรู้สึกแย่มากไปกว่านี้” นายคนนี้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาอีกตามเคย แต่เพราะอะไรไม่รู้...ผมค่อยโน้มตัวลงไปพร้อมกับเอื้อมแขนไปกอดที่คอของเขา ก่อนที่เขาจะค่อยๆพยุงตัวผมขึ้นแล้วก้าวเดินไปอย่างช้าๆ
   “ผมนึกว่า...คุณกลับไปแล้วซะอีก” ผมพูดขึ้นขณะที่ใบหน้าแนบอยู่ที่ไหล่ของเขา ไม่ใช่ว่าอยากจะอะไรหรอกนะครับ แค่แรงยกคอตัวเองยังจะไม่มี
   “หน้าที่ผมยังไม่เสร็จ กลับไม่ได้” เขาตอบกลับผมมาแค่นั้น แต่เวลานั้นผมก็ไม่อะไรแล้วล่ะ เพราะร่างกายมันเริ่มไม่ฟังผมเท่าไหร่แล้ว
   ไม่ถึง 10 นาที เขาก็พาผมเดินมาถึงยังคอนโด ก่อนที่จะมายืนนื่งรออยู่ตรงทางเข้าหน้า lobby ผมจึงค่อยๆล้วงเอากระเป๋าตังค์ในกางเกงอย่างทุลักทุเล ก่อนที่จะยื่นให้เขาสแกนบัตรผ่านเข้าประตู
   “ผมอยู่ชั้น 20 ห้อง xxxx รหัส xxxxx” ผมพูดบอกเขาเพียงเท่านั้น ไม่ถึง 5 นาที เขาก็พาผมมาถึงที่ห้อง หลังจากที่เปิดประตูเข้ามา เขาก็พาผมมานั่งที่โซฟา
   “ตู้ยาของคุณอยู่ตรงไหน”
   “อยู่ที่ตู้หลังกระจกในห้องน้ำ”
ผมบอกกับเขาด้วยท่าทีที่ไม่โอเคเอาซะเลย ความอ่อนล้าและเจ็บปวดในร่างกายของผมมันคงถึงสุดๆแล้วจริงๆ เพรามันทำให้ผมแทบจะไม่สามารถลืมตาขึ้นมามาองสถานการณ์รอบๆได้เลยว่า เขาคนนั้นที่ชื่อ ชัช กำลังทำอะไรอยู่บ้าง
“เดี๋ยวผมจะเช็ดตัวและทายาให้ ยังไง ผมคงต้องถอดเสื้อของคุณออก…นี่ ยาแล้วก็น้ำกินซะ” เขาพูดพร้อมกับยื่นแก้วน้ำกับยาให้ผม หลังจากที่ทานยาเสร็จ ผมก็กลับกลายเหมือนเด็กที่ว่าง่าย เขาสั่งให้ผมทำอะไร ผมแทบจะทำตามเขาหมดทุกอย่าง และผ่านไปไม่นานฤทธิ์ของยาที่ผมทานเข้าไป มันกำลังเริ่มออกฤทธิ์อย่างเต็มที่ สติผมเริ่มไม่รับรู้อะไรตรงหน้า
 ความรู้สึกสุดท้ายที่ผมรับรู้ได้ก็เพียงแค่ เขาคนนั้นกำลังทายาบรรเทาปวดให้กับผม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-08-2019 07:57:08 โดย Jackkiesatg »

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Jackkiesatg

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: ร้าย:เพราะ:รัก Just Love อัพเดทตอน 2
«ตอบ #5 เมื่อ23-08-2019 05:59:17 »

Chapster2


กริ๊งงงงงงงงงงง


เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้น ด้วยความสะลืมสะลือ ตื่นอย่างไม่เต็มตา ผมก็แค่ได้ควานหามือถือของผมไปเรื่อยๆ

พลั่ก!!!!!!!!!!!

ผมลืมตัวหรือว่าผมกำลังมึน ผมนึกขึ้นได้ว่าผมไม่ได้นอนอยู่บนที่นอนนี่นา ความเจ็บปวดที่มีเป็นทุนเดิมกลับกลายเพิ่มอย่างทวีคูณ อย่าให้ผมรู้นะว่าใครโทรมา ผมจะจัดการให้ และในที่สุดผมก็นึกขึ้นได้ ว่าเจ้ามือถือตัวการอยู่ในกระเป๋าเป้ของผมนั้นเอง

“ว่ายังไงตาล โทรมาแต่เช้า มีอะไรหรือเปล่า” ผมพูดทักทายน้องสาวอย่างงัวเงีย พร้อมกับร่างกายที่นอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้นหน้าโซฟา

“ เช้าอะไรล่ะพี่ตั้ม นี่ จะเที่ยงแล้ว พี่แพรวเขาโทรมาหาตาลบอกว่าติดต่อพี่ไม่ได้ ตกลงนี่..พี่ไม่ได้ไปทำงานหรอคะ”

“อืม… พอดี taxi ที่พี่นั่งกลับเมื่อวาน คนขับหลับใน ก็เลยเกิดอุบัติเหตุน่ะ ตอนนี้นอนเป็นศพอยู่ที่คอนโด

“ห๊ะ!!!!!....แล้วทำไมพี่ไม่โทรบอกตาล เดี๋ยวตาลจะรีบไปเดี๋ยวนี่ค่ะ” น้องสาวผมพูดขึ้นด้วยความตกใจ ก่อนที่จะวางสายไป ในเวลานั้น ผมก็ยังคงนอนราบอยู่กับพื้นหน้าโซฟาอยู่อย่างนั้น ทำยังไงได้ แรงจะลุกยังไม่มี แถมพรมที่ปูมันก็ดันนิ่มกว่าโซฟาที่ผมนอนซะอีก

……

“พี่ตั้ม!!!ทำไมมานอนอยู่กับพื้นอย่างนี้ล่ะคะ เป็นอะไรอีกหรือเปล่า”ตาลน้องสาวผมพูดขึ้นอย่างตกใจก่อนที่จะช่วยพยุงตัวผมให้นั่ง

“ป่าว...แต่ทำไม...แกมาถึงเร็วจัง พี่รู้สึกว่าพึ่งวางสายจากแกไปได้ไม่นาน”

“bts สิคะ ขืนขับรถมา พี่ตายก่อนพอดี”สิ้นคำพูดเธอก็พยายามพยุงผมให้ขึ้นนั่งบนโซฟา ก่อนที่จะซักถามผมไม่หยุด พอผมแกล้งโวยวายหงุดหงิดใส่ จิตวิญญาณแม่ก็เริ่มเข้าสิงร่างน้อง
สาวของผมทันที ทำไงได้ล่ะครับ ก็ต้องทนฟังมันบ่นอยู่แบบนั้น หรือว่านี่น้องสาวผมลืมว่าผมกำลังเจ็บป่วยอยู่

“นี่แกเริ่มเหมือนแม่เข้าทุกวันแล้วนะ…ห้ะ” ผมแซว

“ก็พี่ชอบทำให้บ่นอยู่เรื่อย แต่เอาเถอะ ทานอะไรไปบ้างยังคะ แล้วไปหาหมอรึยัง”

“ยัง...แกมาพี่ก็พึ่งจะตื่นนี่ละ ส่วนหมอ...นี่ไงหมอ”ผมชี้ตัวเอง

“ค่ะ คุณหมอธีร์ รออยู่นี่แหละ จะไปทำอะไรมาให้กิน”เธอแสดงอาการเอือมระอาผม ขณะที่เธอกำลังจะลุกขึ้นอยู่ดีๆเธอก็ชะงักพร้อมกับหันหน้ากลับมาหาผมอีกครั้ง

“แต่เอ๊ะ…หนูก็ยังมีเรื่องข้องใจอยู่ดี ข้องใจไม่หาย”

“ข้องใจอะไร”ผมถามกวนๆ

“พี่อ่ะ...ชื่อจริงก็สั้นอยู่ล่ะ ยังจะตั้งชื่อเล่นอีก ไม่เข้าใจเลย”

“แกก็...ไปถามแม่ละกัน” แล้วเธอก็ลุกไปเพื่อจะไปจัดหาอาหารที่เธอเอามาจากร้านให้ผมทาน ผมลืมแนะนำไป น้องสาวของผมมีร้านที่พ่อกับแม่เปิดให้หลังจากที่เธอเรียนจบ ตอนนี้เธอดูแลร้านอาหารนั้นกับ พล แฟนหนุ่มที่คบหากันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย น้องสาวผมมันแก่นเกินกว่าจะเป็นผู้หญิงซะด้วยซ้ำ แต่ไม่น่าเชื่อที่มันจะทำให้ผู้ชายที่ชื่อ พล รักมันได้ขนาดนี้ ผมล่ะนับถือเลย แต่เรื่องทำอาหารนี่ไม่เป็นสองรองใคร ก็เวลาผมอยู่บ้านก็มีแต่ตาลนี่ล่ะที่ทำอาหารให้ผมทาน

“มาแล้วค่า ข้าวต้มกุ้งร้อนๆ”ตาลยกถาดอาหารพร้อทกับน้ำดื่มมาวางไว้ให้กับผมตรงหน้า

“ทานตอนร้อนๆ น่าจะช่วยทำให้กระปรี้กระเปร่าขึ้นบ้าง”

“ขอบใจ”ผมตอบกล่าวเธอเพียงสั้นๆก่อนที่เธอจะกลับไปจัดเตรียมอาหารมื้อต่อไปไว้ให้กับผม

“อืม…ตาลลืมบอก ว่าตาลโทรไปหาพี่แพรวบอกว่าพี่ไม่สบายนะ เผื่อพี่แพรวจะได้ไปแจ้งกับทางโรงพยาบาลให้” ผมก็ได้แค่รับฟังเธอ
“ตาลถามอะไรหน่อยสิ” น้ำเสียงดูเข้มขึ้น
“ถามอะไร..ว่ามาสิ”ผมตอบเธอขณะที่สายตากำลังจ้องมองรายการทีวี ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินเข้ามานั่งข้างๆผม
“พี่กับพี่แพรว ตกลงเป็นอะไรกัน” เมื่อผมได้ยินคำถาม ถึงกับนิ่งไปสักพัก ก่อนที่จะตอบออกมา
“จะให้เป็นอะไรได้ ก็เป็นเพื่อนกันไง ตาลก็รู้” ผมก็ยังคงตักอาหารเข้าปาก ทำเหมือนไม่มีอะไร
“ค่ะ ตาลรู้ แต่ตาลว่าพี่แพรวไม่รู้…ตาลไม่ได้อยากก้าวก่ายเรื่องพี่ตั้มนะ แต่ตอนนี้ตาลว่าพี่แพรวคิดไปไกลแล้ว เมื่อสองวันก่อน พี่แพรวมาหาตาลที่ร้าน แล้วบอกกับตาลว่า ถ้าพี่แพรวจะขอพี่ตั้มแต่งงาน…จะน่าเกลียดมั้ย”
คำว่าแต่งงาน ทำเอาผมสำลักข้าวต้มกันเลยทีเดียว
“แต่งงาน แต่งงานอะไรตาล เราเป็นแค่เพื่อนกัน”
“แต่การกระทำพี่คงไม่ใช่ “
“ตาล...พี่เป็นคน friendly ตาลก็รู้ พี่ให้ความสำคัญกับเพื่อนทุกคนเท่ากัน แต่แค่พี่กับแพรวทำงานอยู่โรงพยาบาลเดียวกัน มันก็แค่เจอกันมากกว่าเพื่อนคนอื่นก็เท่านั้นเอง”
“ตาลไม่รู้จะช่วยพูดกับพี่แพรวยังไงเหมือนกัน แต่ตาลก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไมพี่ตั้มถึงไม่ยอมเป็นแฟนกับพี่แพรว ทั้งที่ๆรู้จักกันมาจะเป็นสิบปีแล้ว”
“………”
ผมได้แต่นิ่งเงียบ ซึ่งผมก็ไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่าทำไม หรืออาจเป็นเพราะผมกับแพรวเรารู้จักกันมากเกินไป ตอนนี้ในหัวผมมันปั่นป่วนไปหมด ความเจ็บปวดตามร่างกายในตอนนี้ ผมแทบจะไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดเหล่านั้นเลย
“พี่….ควรทำยังไง”
“..........”
กลับมีแต่มืออุ่นๆมาแตะที่ไหล่ของผมแทนคำตอบ ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นไป หลังจากช่วงเวลาแห่งความกดดันของตัวผม ค่อยๆคลี่คลายลงจากเสียงไวโอลินที่ผมเปิดจาก ยูทูป ในเพลงที่เขาคนนั้นบรรเลงไว้ตอนที่อยู่ที่โรงพยาบาล ผมก็บอกไม่ถูกว่าทำไมมันทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นได้ ทั้งๆที่บทเพลงนั้นมีเนื้อหาที่เศร้า ส่วนน้องสาวผมที่กำลังยืนทำอาหารกับน้องเขยผมที่พึ่งมาถึงคอนโดได้ไม่นาน ภาพของสองคนนั้น มันทำให้ผมมีความรู้สึกว่าอยากมี ช่วงเวลาเเบบนี้บ้าง แต่อยู่ๆมันก็มาฉุกคิดขึ้นว่า ก็เพราะตัวผมเองที่ปิดกั้นมันอยู่  หรือผม…อาจจะไม่เหมือนคนอื่นๆ
              “พี่ตั้ม ตาลกลับก่อนนะ”น้องสาวผมเดินเข้ามาสะกิดขณะที่ผมกำลังเพลิดเพลินกับการฟังดนตรีบรรเลง
“อ้าว พี่นึกว่าจะนอนค้างที่นี่”
“ก็อยากอยู่ แต่ว่าพรุ่งนี้ที่ร้านมีคนมาเช่าจัดงาน คืนนี้เลยต้องไปเตรียมสถานที่ก่อนน่ะ”
ผมก็ได้แค่พยักหน้าตอบรับก่อนที่จะลากับเธอ
“อ่อ...ตาลลืม...คือตาลทำอาหารไว้ให้ในตู้เย็นนะคะ เอามาเวฟก็ทานได้เลย แล้วก็ทานข้าวทานยาให้ตรงเวลาด้วย เข้าใจ!!!!”เธอหันกลับมาบอกกับผมอีกครั้งก่อนที่จะเดินออกไป ผมว่าผมไม่ได้มีน้องแล้วล่ะ น่าจะมีแม่เพิ่มมากกว่า
             ในคืนนี้ทำไมผมถึงมีความรู้สึกที่มันไม่สามารถอธิบายได้ ตั้งแต่รับรู้เรื่องที่แพรวมาคุยกับตาล มันทำให้ผมครุ่นคิดไม่ตก และอีกหลายๆเรื่องที่ผมไม่เคยคิด มันกลับมารุมเร้าผม ผมจะหลุดพ้นช่วงเวลาแย่ๆแบบนี้ไปได้ตอนไหนกัน

......................................................................................

   เช้าวันนี้ผมรู้สึกมีเรี่ยวมีแรงมากกว่าเมื่อวาน อาจด้วยการพักผ่อนอย่างเต็มที่ ผมจึงตัดสินใจแต่งตัวไปทำงาน ถึงแม้ว่าจะมีอาการเจ็บแปลบๆตามร่างกายอยู่บ้าง แต่แค่นี้ไม่น่าจะทำให้มีอุปสรรคในการทำงานเท่าไหร่ ผมมาถึงโรงพยาบาลตอน 08.00น. หลังจากที่เข้ามายังห้องทำงานของผม คิวชาร์จคนไข้ก็วางอยู่เต็มโต๊ะไปหมด ส่วนมากเป็นเคสที่ผมต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิด รายละเอียดการเข้าตรวจหลายๆรายเป็นหมอเอก ที่เข้าตรวจแทนผม
   ก๊อกๆๆๆ
   “เห็นพยาบาลบอกว่ามาทำงานแล้ว...ไหวนะหมอตั้ม” หมอเอกเปิดประตูเข้ามาทัก
   “ก็..โอเค ดีขึ้นมากแล้ว แล้วก็ ขอบคุณมากนะที่เมื่อวานทำหน้าที่แทนผม เหนื่อยแย่เลยดิ” ผมพูดบอกหมอเอก ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมานั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะของผม
   “ไม่ขนาดนั้นหรอกหมอตั้ม...แต่...หมอตั้มมาวันนี้ก็ดีแล้ว  ผมมีเรื่องอยากให้ช่วย”หมอเอกพูดด้วยสีหน้าที่ดูไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่
   “ได้สิ...แต่ว่าเรื่องที่จะให้ผมช่วยนี่เรื่องอะไร...แต่ถ้าเรื่องจีบหญิงแบบครั้งก่อนผมขอบายนะ ผมไม่ถนัดจริงๆ”ผมพูดแซว
   “ไม่ใช่ หมอตั้มก็...คือพอดีว่า ทางตำรวจเขาได้รับแจ้งว่ามีการฆาตกรรม สภาพศพถูกตัดมือทั้งสองข้างแล้วก็รวมถึง...อวัยวะเพศ”
   “มือ กับอวัยวะเพศงั้นหรอ?”
   “ใช่...แล้วที่สำคัญ...เป็นตำรวจ...ทางแพทย์กับตำรวจเลยรวมความเห็นว่าน่าจะเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่เคยเกิดขึ้น เมื่อ  เดือนก่อน แล้วนี่ก็เป็นศพที่ 5 ในเวลาไม่ถึงครึ่งปี ทางตำรวจเลยอยากให้เราเป็นคนชันสูตรพลิกศพให้ เพราะญาติผู้ตายข้องใจมีการวางยาหรือเปล่า”
“แต่เท่าที่ผมทราบ ปกติเวลามีเคสชันสูตร จะเป็นหมอแพรวที่รับผิดชอบไม่ใช่หรอครับ”
“ใช่ แต่ ผอ. มาบอกกับผมว่า อยากเปลี่ยนให้ผมมาเป็นคนรับหน้าที่นี้แทน เพราะเกรงว่าหมอแพรวจะต้องทนรับแรงกดดันมากเกินไป แต่ประเด็นก็คือ อย่างที่หมอรู้ ว่าผมจะต้องเดินทางไปช่วยงานในอีก 2 อาทิตย์ ผมคงไม่สามารถรับหน้าที่ตรงนี้ได้ เพราะถึงผมรับ...ยังไงวันหนึ่งก็ต้องโอนงานไปให้คนอื่นรับผิดชอบอยู่ดี ผมเลยอยากให้หมอตั้มเป็นคนรับผิดชอบงานนี้แทน แล้ว ผอ.ท่านก็ไว้ใจที่จะให้หมอตั้มรับผิดชอบหน้าที่นี้”
   “หมอเอกพูดมาแบบนี้ ผมปฏิเสธได้ด้วยหรอครับ” เหมือนผมถูกมัดมือชกเลย แต่ทำยังไงได้ล่ะครับ ก็ผมเป็นแพทย์ ก็ต้องทำหน้าที่ของแพทย์ให้ดีที่สุด
   “เดี๋ยวผมจะเอาเรื่องนี้ไปแจ้งกับ ผอ.ให้ ส่วนรายละเอียดเดี๋ยวว่ากัน ขอบคุณมากนะหมอตั้ม” หมอเอกเดินออกไปด้วยท่าทีที่ดูโล่งใจเป็นพิเศษ ส่วนผม ไม่ต้องพูดถึงเลยครับ แค่รู้ว่าเป็นคดีอะไรก็หนาวแล้ว แต่ผมก็ไม่มีเวลาที่จะมานั่งนิ่งเฉย ในตลอดวันของวันนั้น เคสคนไข้ของผมก็มากันอย่างไม่ขาดสายทั้งเคสนัด และเคสแทรกฉุกเฉิน และก็เป็นเหมือนอย่างทุกๆครั้งที่ เวลาอาหารมื้อกลางวันของผม ได้เดินลาจากผมไปอย่างเงียบๆ จนเป็นความคุ้นชินที่แสนคุ้นเคยไปแล้วครับ แต่พอผมมีเวลาว่าง ผมจึงไม่รอช้าที่จะรีบวิ่งไปยังร้านกาแฟเจ้าประจำของผม และไม่นานเกินรอโกโก้ที่เป็นเหมือนแสงสว่างของผมในตอนนี้ก็ได้เข้ามาอยู่ในมือของผมเป็นที่เรียบร้อย
   “หมอตั้มค่ะ มีตำรวจมาขอพบน่ะค่ะ” เสียงพยาบาลนางหนึ่งบอกกับผมในตอนที่ผมกำลังเดินผ่านหน้าเคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์พอดี
   “ตำรวจหรอครับ!?” ผมถามย้ำอีกครั้ง ก่อนที่จะหันไปเห็น ชัช คนที่ช่วยผมวันนั้นยืนอยู่ที่หน้าเคาท์เตอร์
   “สวัสดีครับคุณชัช คุณมาทำอะไรที่นี่ครับ”
   “มาพบคุณ...ผมแค่จะมาแจ้งเรื่องคู่กรณีที่เป็นโชว์เฟอร์ของคุณวันนั้น” เมื่อชัชพูดขึ้นก็ทำให้ผมเข้าใจในทันที แต่ทำยังไงได้ ผมยังติดเคสคนไข้อยู่เลย   
   “เอ่อ...คือตอนนี้ผมยังติดเคสคนไข้อยู่เลย แต่อีก 1ชม. ผมจะลงเวรแล้ว คุณรอก่อนได้มั้ย”
   “ครับ” เป็นคำตอบที่ง่ายๆสั้น ไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่ก็ดีสำหรับผม ถ้านายชัชตอบไม่ได้นี่สิ ผมแย่เลย หลังจากที่จบบทสนทนาเมื่อสักครู่ ผมก็ได้มาจัดการหน้าที่ที่ยังคงค้างอยู่ให้เสร็จ เหล่าบรรดาคนไข้ที่กำลังรอตรวจก็ค่อยๆลดลงเรื่อยๆจนหมด หันดูนาฬิกาอีกที 4 โมงกว่าแล้ว มันเลยเวลานัดมาแล้ว ผมจึงรีบจัดการเก็บเอกสารและอุปกรณ์ที่จำเป็นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะรีบวิ่งออกมาที่หน้าโถง ปรากฏว่าเขาก็ยังคงนั่งรอผมอยู่ผมจึงเดินตรงเข้าไปหาเขาทันที
   “ขอโทษครับ...พอดีเคสแทรกเพิ่มเติม เลยต้องทำให้คุณรอนาน”
   “ไม่เป็นไรครับ ผมออกเวรแล้ว ก็เลยไม่ได้รีบ”เขาบอกผมก่อนที่จะเอี้ยวตัวเพื่อหยิบสมุดที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงด้านหลัง
   “คุณชัชครับ คือ เรื่องคดีไว้ค่อยคุยกัน คือตอนนี้ ไปหาอะไรทานกันเถอะ ผมหิวมากกก” ผมบอกไปตามตรงในเวลานั้น ท้องของผมมันกำลังส่งสัญญาณฉุกเฉินระดับสิบแล้ว แต่คำพูดของผมกลับทำให้เขานิ่งเงียบ แต่ผมก็รู้ว่าผิดที่ผม ทำให้เขารอแล้วก็จะมายืดเยื้ออีก ก็มันไม่ไหวจริงๆนี่นา
   “งั้นเชิญคุณหมอไปทานข้าวเถอะครับ ผมขอตัว”
   “เดี๋ยวก่อนสิคุณ”ผมรีบยื่นมือไปจับที่ข้อมือของเขา ขณะที่เขากำลังจะหันหลังเดินกลับไป จนเขาหันมามองหน้าผม ผมจึงรีบปล่อยมือ
   “ผมก็จะให้คุณไปทานกับผมด้วย อยากเลี้ยงขอบคุณ...ที่คุณช่วยเหลือผมวันนั้น ส่วนเรื่องคดีที่คุณอยากจะคุยกับผมน่ะ ทานไปคุยไปก็ได้ไม่ใช่หรอ”
   “......”
   “ไปนะ” ผมพูดบอกกับเขาอีกครั้ง มองใบหน้าที่เหมือนจะไร้ความรู้สึกของเขา แต่ก็ไม่รู้เพราะอะไรที่ทำให้ผมมั่นใจว่าเขาจะไม่ปฎิเสธผม
แล้วก็เป็นไปตามความรู้สึก เขาเดินตามผมมาอย่างห่างๆ แต่ผมก็รู้สึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันว่า ทำไมเวลาที่ผมได้อยู่กับเขามันทำให้ผมมีความรู้สึกแปลกๆ ถึงแม้จะพึ่งเคยเจอครั้งนี้เป็นครั้งที่สองก็เถอะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-08-2019 07:57:42 โดย Jackkiesatg »

ออฟไลน์ Jackkiesatg

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Chapster3


   หลังจากที่ผมพาเขานั่งรถเมล์จนจะมาถึงแยกประตูน้ำ ด้วยความที่การจราจรติดขัดเป็นอย่างมาก ผมเลยตัดสินใจที่จะลงเดินมากกว่ารอให้รถไปถึงยังจุดหมายที่อยู่อีกไม่ไกล
   “ขอโทษนะที่ผมพาคุณมาเหนื่อย ผมแค่รู้สึกว่าผมยังไม่พร้อมที่จะขับรถน่ะ” ผมพูดกับเขาไปด้วยความรู้สึกผิดที่เหมือนพาเขามาลำบากจริงๆ แต่ผมพึ่งจะมาสังเกตว่า เขาใส่หมวกเพิ่มหลังจากที่ลงรถ จะใส่เพื่ออะไรกัน แต่ก็นะ...เขาก็ดู...หล่อดี
   “ไม่เป็นไร” เขาตอบผมมาเพียงสั้น แต่มันกลับไม่เหมือนกับทุกครั้ง น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไป ดูมีความรู้สึกมากขึ้น แถมที่มากไปกว่านั้น เขาเผยรอยยิ้มเล็กๆตอนที่พูดประโยคนั้นออกมา สงสัยเขาคงจะเริ่มสนิทกับผมบ้างแล้วล่ะมั้ง คิดว่างั้นนะ
   หลังจากที่ใช้เวลาเกือบ 30นาทีจากจุดที่ผมลงรถจนมาถึงห้างๆหนึ่ง ผมก็เลยตัดสินใจเดินตรงไปร้านอาหารร้านหนึ่งที่การตกแต่งและรสชาติของอาหารในสไตล์ฝรั่งเศส ไม่ใช่ว่าผมจะอวดเขาว่าผมมีเงินนะ แต่ว่าร้านนี้เป็นร้านที่น้องสาวผมชอบพามาทาน ผมไม่รอช้าที่จะรีบก้าวเข้าไปนั่งยังโต๊ะด้านในสุด
   “ผมไม่คิดว่าคุณจะมาทานร้านหรูๆแบบนี้”ชัชพูดกับผมอย่างเป็นกันเอง พระเจ้า
   “มันก็ไม่ได้แพงอย่างที่คุณคิดหรอก แล้วอีกอย่างผมอยากเลี้ยงตอบแทนคุณ ต้องจัดเต็มหน่อย” ผมตอบกลับอย่างยิ้มแย้มเลยเชียวล่ะ
ไม่นานเกินรอ พนักงานก็นำเมนูมาวางให้กับที่โต๊ะของผม ซึ่งในเวลานั้นมันแทบไม่จำเป็นกับผมซะเลย ผมเลยจัดการสั่งอาหารจานประจำที่ผมกับน้องสาวมาแล้วไม่เคยที่จะพลาด
   “ผมขอ Escargots with Garlic Butter ครับ แล้วก็ Tuna Steak  แล้วคุณล่ะคุณชัช”
   “คุณสั่งให้ผมได้เลยครับ ผมไม่สันทัดด้านอาหารฝรั่งเศส” เขาพูดขึ้นอย่างเรียบๆ
   “งั้นผมขอ Pasta Cabonara เพิ่มอีกที่นึงด้วยนะครับ ส่วนเครื่องดื่มผมขอเป็น น้ำดื่มนะครับ”
   “ผมก็เช่นกันครับ”เขาพูดแทรกขึ้นมาทันทีหลังจากที่ผมพูดจบ หลังจากที่สั่งอาหารไปเป็นที่เรียบร้อย เจ้าตัวก็เริ่มที่จะหยิบสมุดเล่มเล็กนั้นจากกระเป๋าด้านหลังอีกครั้ง แล้วก็พลิกดูรายละเอียดภายในเล่มเล็กน้อยก่อนที่จะหันมาคุยกับผม
   “ทางเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาที่ขับรถ taxi วันนั้นได้เรียบร้อยแล้วนะครับ จากการตรวจร่างกาย ผู้ต้องหาไม่ได้มีอาการหลับในอย่างที่สันนิฐานไว้ แต่เป็นเพราะผู้ต้องหาเสพยาเกินขนาดทำให้เกิดภาพหลอนว่ามีผู้ไม่หวังดีไล่ตาม ทางจ่าที่ดำเนินคดีนี้ เลยอยากให้คุณเข้าไปให้ปากคำอีกครั้ง ผมกับแจ้งเรียกร้องค่าเสียที่เกิดกับตัวของคุณที่ สน.”
   หลังจากที่ผมได้ยินคำว่าเสพยาเกินขนาด มันก็ยิ่งทำให้ผมหวาดกลัวการที่จะขึ้นรถบริการสาธารณะไปเลย
   “จริงๆแล้ว ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก ก็แค่รอยฟกช้ำตามร่างกายเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องเรียกร้องค่าเสียหาย...ผมคงไม่เอาดีกว่า แต่ถ้าจะให้ผมไปให้ปากคำ ผมยินดีนะ แต่ปัญหาก็คือ วันที่ผมนั่งรถวันนั้น ผม...เผลอ...หลับ อาจจะให้ปากคำอะไรได้ไม่มาก”ผมพูดตะกุกตะกักขึ้นมาทันที
ก็ทำยังไงได้มันเป็นเรื่องจริง แต่มันก็ทำให้ผมอายที่จะพูดนี่นา
   “ยังไงเรื่องนี้คุณคงต้องไปคุยกับทางเจ้าหน้าที่อีกที เพราะผมไม่ได้ดูแลคดีนี้”
   “ไม่ได้ดูแลคดีนี้...แล้วทำไมคุณถึงต้องมาบอกรายละเอียดเรื่องนี้ด้วยตัวคุณเองละ จริงๆให้จ่าคนนั้นมาจัดการก็ได้นะ” ผมพูดไปตามความคิดเวลานั้น แต่พอมาฉุกคิดอีกที ผมกำลังฉีกหน้าเขาหรือเปล่าวะเนี้ย แต่เหมือนโชคเข้าข้าง พนักงานได้นำอาหารมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะพอดี เหล่าบรรดาเมนูที่ผมสั่งไป มันแทบทำให้ผมอดใจแทบไม่ได้...แต่ก็นะ ผมก็เกือบทำเสียบรรยากาศไปซะแล้ว
   “อันนี้ผมสั่งให้คุณ Tuna Steak กับ Escargots   ผมจัดแจงขยับจานอาหารเหล่านั้นให้กับเขา
   “แล้วของคุณล่ะ” เขาถามขึ้น เมื่อเห็นว่าผมเอาเมนูเกือบทั้งหมดให้กับเขา
   “นี่ไงของผม”ผมก็ขยับจาน Pasta จานนั้นมาไวตรงหน้าของผมอีกที
   “งั้นเรามาทานกันเลยเนอะ”ผมจึงไม่รอช้าที่จะชักชวนเขาอีกครั้งก่อนที่จะจัดการอาหารอันแสนหอมกรุ่นตรงหน้าเข้าไปในท้องของผมทันที ขณะที่ผมทาน มันทำให้ผมพึ่งสังเกตว่า มารยาทการทานอาหารของเขานั้นมันช่างดูดี กว่าเพื่อนของผมบางคนซะอีก บางทีอาจจะดูดีกว่าผมในเวลานี้ก็ได้ และในเวลานั้นผมก็เห็นมือของคนตรงหน้ายื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้ ผมก็ได้แต่มองหน้าของเขาด้วยความงุนงง ก่อนที่เจ้าตัวจะเปลี่ยนจากการยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นเป็นการเอื้อมมือมาเช็ดแก้มให้กับผมแทน
   “..........”ผมนิ่งไปด้วยความเขินอาย บ้าชะมัดผมกลายเป็นคนกินมูมมามขนาดนั้นเลยหรอ
   “ผมเห็นว่ามันจะเข้าตาคุณ ผมเลยเช็ดให้” แล้วเขาก็เริ่มต้นทานต่อ เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ตัวผมกลับเขินไม่หยุด เลยต้องยกน้ำขึ้นมาดื่มแก้เขินไปซะอย่างนั้น...แต่...ทำไมผมต้องเขินด้วยอ่ะ...งง
   หลังจากที่พยายามจัดการกับ Pasta ตรงหน้า อย่างเหนียมๆอายๆจนหมด ผมก็เห็นว่าเขากำลังจัดการกับเจ้าหอยตรงหน้า โดยการค่อยๆแกะ ก่อนที่จะนำใส่ช้อนยื่นมาให้กับผม
   “ทานสิ” แต่ผมก็ส่ายหน้าปฎิเสธเขาไป เพราะผมยกเมนูเหล่านั้นให้กับเขาไปแล้วนี่นา
   “จะทานเอง หรือจะให้ผมป้อนครับ” นี่เขาพูดบ้าอะไรเนี้ย แล้วทำไมผมถึงรู้สึกว่าเลือดในร่างกายมันกำลังสูบฉีดอย่างหนักหน่วงแบบนี้
เกิดอะไรขึ้นกับผมเนี้ย “ด...เดี๋ยวผมทานเองครับ”ผมตอบก่อนที่จะยื่นมือไปรับช้อนที่เขายื่นมาให้กับผม  หลังจากนั้น เขาก็ยื่นช้อนมาให้กับผมจน เจ้าหอยทากในจานนั้น หมดโดยผมเป็นคนกิน
   “ผมสั่งมาให้คุณทาน แต่คุณไม่เห็นทานเลย กลับเอามาให้ผมทานซะหมด”ผมถามเขา แต่ทำไมผมมีความรู้สึกว่าผมอายที่จะพูดกับเขายังไงไม่รู้
   “ผมทานแค่ Tuna ก็อิ่มแล้วครับ” คำตอบเพียงสั้นๆพูดกลับมา แต่เวลานี้ผมรู้สึกว่าผมกำลังที่จะเริ่มทำอะไรไม่ถูก ผมไม่รู้ว่าตัวผมกำลังเป็นอะไร เขินอะไร ผมเลยเรียก พนักงาน มาจัดการเก็บเงินเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน รอเพียงไม่นานใบเสร็จค่าอาหารก็มายังโต๊ะของผม ผมไม่สนใจที่จะเช็คอะไร ได้แต่เพียงนำบัตรเครดิตใส่ลงไปในแฟ้มเก็บเงินเท่านั้น หลังจากที่จัดการเซ็นต์และรับบัตรคืนมาเรียบร้อย หลังจากที่เดินออกมาจากร้าน ด้วยความที่ผมไม่ระวังหรือพวกเด็กวัยรุ่นเหล่านั้นไม่เห็นผมกันแน่ ดันวิ่งมาชนผมซะเต็มแรง เป็นยังไงน่ะหรอ ก็ล้มไปตามระเบียบสิครับ ก็ขาผมยิ่งไม่มีแรงบวกกับยังเจ็บอยู่ ผลก็เลยเป็นไปตามนั้น แล้วไงล่ะครับ หันมามองผมยังไม่มีเลย
   “เจ็บมากมั้ยคุณ ลุกไหวมั้ย”ชัชถามผมพร้อมกับค่อยๆพยุงผมลุกขึ้น น้ำเสียงเขาดูเป็นห่วงมากกว่าทุกครั้งที่เขาเคยพูดกับผม
   “ผมเจ็บขากับสะโพก”เขาจึงค่อยๆพาผมเข้าไปนั่งในร้านที่พึ่งเดินออกมาอีกครั้ง  ก่อนที่จะค่อยๆนั่งลงและนวดคลึงที่ขาผมเบาๆ
   “เดี๋ยวนั่งพักก่อน ดีขึ้นแล้วค่อยลองลุกอีกที”เขาบอกกับผมพร้อมกับมือที่กำลังบีบนวดผมอยู่ ไม่น่าเชื่อว่าคนร่างกายกำยำแบบเขามือจะเบาได้ขนาดนี้
   “ผมโอเคขึ้นแล้วครับ”ผมบอกกับเขาหลังจากที่ผมนั่งนิ่งๆมาสักพัก เขาจึงถามย้ำความแน่ใจของผมอีกครั้งก่อนที่จะค่อยๆพยุงผมให้ยืนขึ้น ก่อนที่จะพาผมเดินออกไปอย่างช้าๆ จากวันก่อน จนมาวันนี้ อาจเพียงแค่ไม่กี่วัน ที่ผมรู้จักกับเขา ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเป็นคนอ่อนโยน และสุขุมกว่าที่ผมคิดไว้มาก แต่ทุกอย่างที่ผมเห็นอาจเป็นเพียงเพราะแค่เขาเห็นผมเป็นแค่ผู้ป่วยคนนึงก็ได้
“ไอ้ชัช” เสียงตะโกนเรียกชื่อดังขึ้น ก่อนที่เขาจะเห็นว่าเพื่อนของเขากำลังเดินตรงเขามา
“มึงมาทำอะไรที่นี่วะเนี้ย เดี๋ยวนี้เที่ยวเป็นกับเขาแล้วหรือไง ไอ้ฤๅษี” ไอ้ฤๅษี ฉายานี่ก็เหมาะกับเขาดีนะ
“กูมาธุระ แล้วก็กำลังจะกลับ” เขาพูดบอกกับเพื่อนสนิทของเขาคนนั้น ก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะหันมามองที่ผมแล้วก็ยิ้ม แล้วทำไมต้องยิ้ม
“ไม่คิดจะแนะนำให้กูรู้จักหน่อยหรอว่ะ”
“เพราะมึงไม่จำเป็นที่ต้องรู้จัก”พูดโคตรตัดมิตรเลย ไอ้ฤๅษี
“ผม ปวีณ ครับ”เล่นชิงแนะนำตัวเองมาก่อนแบบนี้ ทำไงได้ละก็ต้องไปตามน้ำสิครับ ก็ผม Friendly นี่นา
“ผมตั้มครับ...ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เรื่องมารยาทผมชนะเลิศ ผมบอกเลย
“จะกลับได้หรือยัง” น้ำเสียงสุดแข็งกร้าวพร้อมกับความเย็นชา มันเริ่มหวนกลับมาอีกละ ทำไมมันฟังดูน่ากลัวจังแหะ ผมยังไม่ได้ทำความรู้เขามากขึ้นเลยนะ
“เอางี้...เดี๋ยวกูเดินไปส่ง...ช่วยพยุงสองคนดีกว่าเดินพยุงไปคนเดียวนะเว้ย” คือถามผมก่อนก็ได้นะว่าต้องพยุงไปมั้ย แค่เดินพยุงมาคนเดียว คนก็มาจะแย่ และยิ่งมาตอนนี้ ควบสอง คนอื่นเขาจะมองผมยังไงกัน แต่ถ้าผมเป็นผู้หญิงนี่ ผมคงจะสุดแสนจะภูมิใจเชียวล่ะ
“เดี๋ยวผมค่อยๆเดินไปก็ได้ครับ จะได้ไม่ต้องลำบากคุณทั้งสองคน”ผมรีบพูดแทรกขึ้น ก่อนที่จะเดินนำออกไปโดยที่ไม่รอฟังคำตอบ แค่นี้ก็เด่นจะแย่ละ ก่อนที่เขาทั้งคู่จะเดินตามหลังผมมา แต่ก็นะ
“เดี๋ยวถ้าล้มขึ้นมาอีกจะว่ายังไง”ชัชเดินมาพยุงที่ตัวผมอีกครั้ง พร้อมกับน้ำเสียงดุพิฆาตตามสไตล์ ทำไมเวลาเขาพูดดุๆผมถึงไม่ค่อยกล้าเถียงเขาสักที แล้วยังไงล่ะครับ ก็ยอมนิ่งๆไปตามระเบียบ เมื่อเดินก้าวพ้นออกจากประตูห้างฯ เหล่ากลุ่มมวลชนที่มากล้นอยู่บน BTS ต่างพากันเดินขวักไขว่ จนเวียนหัวไปหมด ถึงแม้ผมจะมาใช้บริการบ้างก็ตามแต่ก็ยังไม่คุ้นชินกับภาพแบบนี้สักที
“เดี๋ยวคุณยืนรออยู่ตรงนี้ เดี๋ยวผมจะไปจัดการเรื่องบัตรให้”เขาพูดทิ้งท้ายก่อนทีจะเดินไปต่อคิวแลกเหรียญ
“คุณนี่...คงพิเศษกับมันน่าดู ปกติไอ้ชัชแม่งไม่เคยออกไปไหนกับใครเลย ขนาดกับผมเพื่อนสนิทมัน ยังชวนมันไปไหนมาไหนยาก” ปวีณ พูดขึ้น
“คงไม่ใช่หรอกครับ ผมแค่พาเขามาเลี้ยงข้าวขอบคุณ ที่เขามาช่วยผมไว้ก็เท่านั้นเอง”
“นั้นล่ะครับ ที่พิเศษ เพราะ...มันยอมที่จะมากับคุณ...คุณรู้หรือเปล่า ว่ามีสาวต่างพากันมาจีบไอชัชไม่เว้นแต่ละวัน อย่าว่าแต่สาวๆเลย หนุ่มๆก็ยังมี แต่พวกนั้นโชคร้ายครับ โดนไอ้ชัชปฏิเสธตัดสัมพันธ์ไม่เหลือชิ้นดีสักคน”ตกลงผมจะโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่เนี้ยที่สนิทกับนายฤๅษีคนนี้ ผมเลยมองตามไปที่เขาที่กำลังไปยืนต่อคิวที่จะกดบัตรโดยสารให้กับผม ทำไมเขาถึงดูโดดเด่นในกลุ่มคนเหล่านั้น “ถ้าเมื่อไหร่ที่ไอ้ชัชมันจริงจังกับคุณ ผมอยากจะบอกว่าคุณเป็นคนโชคดีที่สุดในโลกเลยล่ะ”
“ผ...ผมกับคุณชัช ม...ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณปวีณคิดนะครับ”ทำไมผมรู้สึกเขินที่ได้ยินเพื่อนของเขาพูดแบบนั้น ผมเริ่มจะทำตัวไม่ถูก
“นี่บัตรคุณ”ชัชเดินเข้ามาพร้อมกับยื่นบัตรโดยสารให้กับผม
“เออ งั้นเดี๋ยวกูไปก่อน พรุ่งนี้เจอกันที่สน. ... ผมไปก่อนนะครับคุณตั้ม”เขาส่งยิ้มให้ผมแบบนี้มันหมายความว่าอะไรกัน ผมต้องสะบัดสิ่งที่เขาพูดมาออกจากหัวผมให้หมด ไม่ๆๆๆๆๆๆ ก่อนที่ผมจะค่อยๆเดินไปที่ช่องเสียบบัตรทางเข้าอย่างทุลักทุเล หลังจากที่เดินเข้าไปด้านใน ผมก็ไม่คิดว่าเขาจะเดินตามผมเข้ามาเหมือนกัน แต่ผมก็ไม่กล้าที่จะถามอะไรออกไป เพราะบางทีความจริงมันอาจจะต่างจากสิ่งที่ผมคิด ขณะที่บันไดเลื่อนกำลังเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ เขากับเดินก้าวขึ้นมายืนที่บันไดขั้นเดียวกับผม ผมก็ได้แค่แอบเหลือบมองไปเท่านั้น ตอนนี้หลายๆสิ่งที่เพื่อนของเขาพูดไว้ มันทำให้ความรู้สึกผมปั่นป่วนไปหมด เมื่อขึ้นมาถึงชานชลาที่ผมจะต้องยืนรอรถไฟ ทำไมคนมันมากมายขนาดนี้ ผมจึงตัดสินใจเดินไปต่อแถว ที่ดูไม่ค่อยเป็นแถวสักเท่าไหร่ ยืนรอได้ไม่นาน รถไฟก็เคลื่อนมาเทียบที่ชานชลา  ยังไงล่ะครับ ประมาณคนในอยากรีบออกคนนอกอยากรีบเข้าเลยล่ะ แต่ในที่สุดผมก็สามารถย่างกรายเข้ามาอยู่ในขบวนได้สำเร็จ แต่ก็อย่างว่าเขาคนนั้นก็เดินตามผมเข้ามา พร้อมกับผู้โดยสารอีกหลายๆคนที่ต่างพากันเบียดเสียดเข้ามาจนแทบจะไม่มีที่จะให้ยืน กลายเป็นว่าตอนนี้ตัวผมแนบชิดกับตัวของเขามาก เขายื่นมือมาโอบที่ตัวของผมไม่รู้เพราะสาเหตุอะไร แต่ตอนนี้มันทำให้ผมเหมือนอยู่ในอ้อมกอดของเขา ผมได้แต่ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก เมื่อรถไฟเคลื่อนขบวนผมกับเห็นสายตาบางคู่ที่กำลังจ้องมองมาทางผมกับเขา มันยิ่งทำให้ผมได้แต่ยืนก้มหน้าทำอะไรไม่ถูกจริงๆ  ในตอนนี้ผมกำลังยืนโดยที่ไม่ได้จับอะไรยึดเหนี่ยวไว้เลย และด้วยความพิการของผมในเวลานี้ทำให้เวลารถไฟจอดเทียบชานชลา ผมไม่สามารถบังคับตัวเองให้ยืนอยู่โดยไม่เซได้
ชิบหายละ!!!! ปากผมดันไปจูบกับปากของเขา ผมนี่แม่งทำไมทำให้เกิดแต่เรื่องว่ะเนี้ย สายตาจากเดิมที่มองผมหนักอยู่แล้วยิ่งมองผมหนักเข้าไปอีก “ผ...ผมขอโทษ” ตอนนี้ไม่กล้าแม้แต่จะสบตา ทำไมกว่าจะถึงทองหล่อมันนานขนาดนี้  ผมได้แต่ยืนก้มหน้า สะกดจิตใจตัวเองให้นิ่งเข้าไว้

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Jackkiesatg

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: ร้าย:เพราะ:รัก Just Love (Chapster4)​
«ตอบ #8 เมื่อ25-08-2019 09:43:17 »

Chapster 4


เป็นเช้าอีกหนึ่งวันที่ผมต้องฝืนลุกขึ้น จากสภาวะร่างกายที่ยังไม่พร้อมเท่าไหร่นัก ฤทธิ์ของยาที่ผมทานไปก่อนนอนมันยังค้างคาและออกฤทธิ์อยู่เป็นเนืองๆอย่างไม่หยุด และยิ่งหลังฝ่ากลุ่มมวลชนที่ต่างเร่งรีบในยามเช้ามาแล้วนั้น มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกเหนื่อยคูณสองเลย
   “หมอตั้มค่ะ เดี๋ยวตอน 9 โมง หมอตั้มมีประชุมที่ห้องประชุมเล็กนะคะ เกี่ยวกับเรื่องคดี เลยทำให้คิวลงตรวจของหมอตั้มย้ายไปเป็นช่วงบ่ายนะคะ ” พยาบาลสาวหน้าเคาท์เตอร์บอกกับผม ผมก็ได้เพียงแต่พยักหน้าและตอบขอบคุณเธอไปก็เท่านั้น  เมื่อผมยกนาฬิกาขึ้นมาดูก็เหลือเพียงแค่ 20 นาที เท่านั้นก่อนเข้าประชุม ผมจึงไม่รอช้าที่จะรีบเข้าไปเก็บของแล้วขึ้นไปรอยังห้องประชุมทันที  แต่เมื่อผมเปิดประตูเข้าไปในห้องประชุมกลับกลายเป็นว่าทุกคนมานั่งรอกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา กลายเป็นว่าผมเป็นคนสุดท้ายที่มาช้า แต่ที่ตกใจไปกว่านั้นก็คือ นายชัช กับคุณปวีณ แค่ชื่อเรียกก็สองมาตรฐานแล้ว ยังไงล่ะผม
   “ไม่ต้องตกใจหรอกหมอตั้ม มานั่งก่อน พวกเราแค่เข้ามานั่งรวบรวมเอกสารต่างๆที่เรามี ให้พร้อมก่อนเข้าประชุมจริงน่ะ”ท่าน ผอ.พูดบอกกับผมอย่างยิ้มแย้ม “แล้วนี่อาการที่เกิดจากอุบัติเหตุดีขึ้นเยอะหรือยัง” ท่านถามผมอีกครั้ง
   “ก็ดีขึ้นตามลำดับครับ แต่ก็ยังมีปวดๆอยู่บ้าง”ผมตอบกลับพร้อมกับลงนั่งข้างๆหมอแพรวกับหมอเอก
   “สวัสดีครับหมอตั้ม เราเจอกันอีกแล้วนะครับ” ปวีณพูดขึ้นด้วยอารมณ์ที่ยิ้มแย้ม ผมก็ได้เพียงทักทายกลับตามมารยาทเพียงเท่านั้น
   “งั้นเรามาเริ่มประชุมกันเลยดีมั้ยครับ”หมอเอกพูดเปิดขึ้น ท่านผอ.เห็นตามนั้นจึงเริ่มเปิดการประชุมขึ้นในทันที
   “คือจริงๆแล้วที่ผมนัดขึ้นมาประชุมวันนี้ก็เพื่อที่จะสรุปรายละเอียดการชันสูตรที่เคยได้กระทำไว้ก่อนหน้า แล้วก็จะได้แจ้งกับท่านผู้หมวดทั้งสองด้วยว่า แพทย์ที่จะทำการชันสูตรจะมีการเปลี่ยนตัว จาก แพทย์หญิงวีรวัลย์ มาเป็น นายแพทย์ ธีร์ เพราะเนื่องจากผมเห็นว่า ในการทำการชันสูตรแต่ละครั้ง มักจะใช้เวลาและมักจะมีความกดดันสูง ผมกลัวว่าแพทย์หญิงวีรวัลย์ จะกดดันจากการทำงานมากเกินไป ผมเลยจะให้แพทย์หญิงวีรวัลย์ ชี้แจงถึงรายละเอียดทั้งหมดที่ได้ทำการชันสูตรเอาไว้ในเคสก่อนหน้าให้นายแพทย์ธีร์ และผู้หมวดทั้งสองรับทราบอีกครั้ง
   “งั้นแพรวขอเริ่มเลยนะคะ เคสแรก ผู้ตายชื่อว่าดาบตำรวจตรีพงศธร กลัดนิล อายุ 36 ปี ถูกฆาตกรรมในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2561 สันนิฐานเวลาตายคือ 20.00-00.00 น.สภาพศพของผู้ตายถูกตัดมือทั้งสองข้าง และถูกตัดอวัยวะเพศ และจากการชันสูตร สภาพศพของผู้ตายไม่พบร่องรอยของการต่อสู้ หรือบาดแผลฟกช้ำภายในร่างกาย แต่พบว่าผู้ตายถูกฆาตกรฉีดยานอนหลับและยาคลายกล้ามเนื้อเพื่อให้กล้ามเนื้อหยุดหายใจ   
เคสที่2 ผู้ตายชื่อว่าจ่าสิบตำรวจอนุชา เฟื่องจันทร์ อายุ 30 ปี ถูกมาตกรรมในวันที่  12 มกราคม 2562 สันนิฐานเวลาตาย อยู่ที่ช่วง 18.00 – 22.00น. สภาพศพของผู้ตายถูกตัดมือทั้งสองข้างและอวัยวะเพศเหมือนกัน  แต่ในเหยื่อรายนี้ พบว่าบริเวณศรีษะถูกทุบด้วยของแข็ง มีปากแผลกว้าง 4 ซม. และซี่โครงขวาหัก 2 ซี่ ค่ะ
เคสที่ 3 ผู้ตายชื่อว่า สิบตำรวจโทเอกพันธ์ วันวิลาศ อายุ 33 ปี ถูกฆาตกรรมในวันที่ 22กุมภาพันธ์ 2562 สันนิฐานเวลาตาย อยู่ที่ช่วง 20.00 – 00.00น. สภาพศพของผู้ตายก็ถูกตัดมือทั้งสองข้างและอวัยวะเพศเหมือนกัน  แต่เหยื่อรายนี้ไม่ได้ถูกฆ่าด้วยการฉีดยา แต่เป็นการให้เหยื่อทานสารพิษที่ชื่อว่า Potassium cyanide โดยเหยื่อรายนี้ถูกมัด ที่แขนและขาก่อนที่จะถูกฆาตกรรม
เคสที่ 4 ผู้ตายชื่อว่าร้อยตำรวจตรีเผ่าพันธุ์ อเนกประการ อายุ 28 ปี ถูกฆาตกรรมในวันที่ 9 เมษายน 2562สันนิฐานเวลาตายอยู่ที่ช่วง 14.00 – 18.00 น. สภาพศพของผู้ตายก็ไม่ต่างจากรายแรกๆ คือโดนตัดมือและอวัยวะเพศเหมือนกัน  แต่ยังพบร่องรอยการทุบตีทั่วบริเวณร่างกาย
แขนซ้ายของผู้ตายหัก กระดูกซี่โครงซ้ายหัก 4 ซี่  และจากร่องรอยจากการชันสูตร ผู้ตายขาดอากาศหายใจเนื่องจากถูกแขวนคอ มากกว่าที่จะเสียเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว
   และเคสสุดท้าย ผู้ตายชื่อว่า ร้อยตำรวจตรี มนตรี อนุศรีวรกุล อายุ 30 ปี ถูกฆาตกรรมในวันที่ 3 สิงหาคม 2562 สันนิฐานเวลาตายอยู่ที่ช่วง 22.00 – 03.00 น. สภาพศพของผู้ตายรายนี้ ตายเพราะขาดอากาศหายใจเนื่องจากการจมน้ำ แต่ก็ยังถูกตัดมือและอวัยวะเพศเช่นเดิม และบางส่วนกำลังอยู่ในการชันสูตร ว่าผู้ตายได้ถูกให้ทานสารพิษอะไรเข้าไปหรือเปล่าค่ะ อีกไม่นานก็คงจะทราบผล”
   “ครับ จากที่ผมฟังทางหมอแพรวพูด เหยื่อส่วนมากของฆาตกรรายนี้ จะเป็นตำรวจ ส่วนสถานที่ที่พบศพนะครับ จะกระจัดกระจาย อยู่ในบริเวณเขตปริมณฑล อย่างเหยื่อรายแรก ถูกพบศพที่เขตป่ารกร้างแถวนนทุบรี  เหยื่อรายที่สอง ถูกพบที่กองเผาขยะในเขตกรุงเทพ เหยื่อรายที่สาม ถูกพบที่โกดังเก่าแถวสมุทรปราการ  เหยื่อรายที่สี่ถูกพบที่ บริเวณตึกร้างในเขตกรุงเทพ และเหยื่อรายสุดท้าย พื้นที่รกร้าง ในจังหวัดปทุมธานี จะสังเกตว่าในแต่ละที่ที่ฆาตกรนำศพไปทิ้งนั้นจะเป็นพื้นที่ที่ไม่มีกล้องวงจรปิด หรือเป็นพื้นที่ตาบอด และที่สำคัญฆาตกรมักจะส่งข้อความไปยังเครื่องของญาติของผู้ตาย และสถานที่ๆส่งข้อความก็คือพื้นที่ที่เหยื่อถูกนำไปทิ้ง จากที่ทางตำรวจพยายามตรวจสอบหารอยนิ้วมือ หรือสารคัดหลั่งที่นอกเหนือจากของผู้ตายก็ไม่พบอะไรที่ผิดปกติ และที่สำคัญมากไปกว่านั้น อวัยวะที่ถูกตัดทิ้ง ทั้งมือและอวัยวะเพศ จากการค้นหารอบๆบริเวณ ก็ตรวจหาไม่พบ ตอนนี้จากที่ผมทราบมา เรายังไม่สามารถหาหลักฐานสาวถึงตัวฆาตกรรายนี้ได้ เพราะฆาตกรไม่เหลือร่องรอยอะไรไว้กับศพหรือบริเวณที่พบศพเลย” หมวดชัชกล่าว
   “ถ้าเราลองมองเหตุการณ์พวกนี้ดีๆ จะสังเกตว่าฆาตกรเป็นคนที่มีความรู้ทางด้านการใช้ยาและอุปกรณ์เป็นอย่างดี จากรูปที่ผมเห็น ร่องร่อยการตัดมือหรือเฉือนอวัยวะเพศ บาดแผลมันดูเรียบร้อยเกินกว่าที่บุคคลธรรมดาจะสามารถกระทำได้ และฆาตกรต้องมีเวลามากพอถึงจะกระทำการพวกนี้ได้ทัน”ผมพูดเสริม
   “พอได้ยินหมอตั้มพูดแบบนี้มันทำให้ผมนึกได้ว่า จากรายงานที่เคยได้รับ เหยื่อจะหายไปจากที่ทำงานหรือบ้านพักก่อนเป็นเวลา 3- 4 วันก่อนที่จะพบอีกทีว่ากลายเป็นศพ ฆาตกรคงมีการวางแผนล่วงหน้า แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่าฆาตกรหลอกล่อเหล่าตำรวจพวกนี้ออกไปหาง่ายๆได้ยังไง
และจากการสอบถามบุคคลรอบข้าง ก็ไม่มีใครทราบถึงคนที่ตำรวจพวกนี้ออกไปพบ เราได้สอบปากคำญาติ คนใกล้ชิด และบุคคลที่คิดว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ก็ไม่ได้ความคืบหน้าอะไร”หมวดปวีณกล่าว และจากที่ผมนั่งฟังการประชุม ทุกฝ่ายก็ยังไม่สามารถระบุได้ว่าฆาตกรเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง แต่ก็คิดว่านี่เป็นอีกคดีหนึ่งที่ไม่ง่าย ทั้งสำหรับผมแล้วผู้หมวดทั้งสอง พวกเราใช้เวลาการประชุมไปร่วมชั่วโมงกว่า ก็ถึงเวลาที่ต้องแยกย้ายกลับไปปฏิบัติหน้าที่ตามเดิม ส่วนผมที่ก็รวบรวมเอกสารชันสูตรที่แพรวจัดเตรียมมาไว้ให้ผม
   “ต่อไปนี้ก็เป็นหน้าที่ของตั้มแล้วนะ แพรวฝากด้วย”แพรวพูดพลางช่วยรวบรวมเอกสาร
   “แล้วนี่หายไปไหนมา วันสองวันนี้ไม่เห็นหน้าเลย”ผมถามขึ้น
   “ก็ชันสูตรศพนี่ล่ะ แล้วก็พยายามตรวจหาข้อสงสัยประเด็นอื่นๆด้วย ญาติผู้เสียชีวิตรายนี้เขายังไม่ค่อยเชื่อกับผลชันสูตรเท่าไหร่”ใบหน้าของแพรวบ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด
   “เดี๋ยวหลังจากนี้ ตั้มรับหน้าที่ต่อเอง แพรวจะได้พักเต็มที่สักที”หลังจากที่รวบรวมเอกสารเสร็จกำลังที่จะเดินออกไป แพรวกับพูดประโยคหนึ่งที่ทำให้ผมถึงกับต้องหยุดชะงัก
   “ตาลบอกเรื่องที่แพรวคุยกับตาลให้ตั้มฟังแล้วใช่มั้ย” น้ำเสียงที่ดูเหมือนไม่มีความมั่นใจนั้น มันทำให้ผมยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก แต่ในเวลานั้นผมคิดว่าผมควรจะพูดกับเธอไปตรงๆ
   “บอกแล้วล่ะ...แล้วตั้มก็ไม่ได้คิดอะไรกับแพรวแบบนั้น ตั้มไม่ได้รักแพรวแบบคนรักกัน ตั้มรักแพรว...แบบเพื่อน”ผมหันหลังกลับมาพูดกับเธอ “ขอโทษนะ” ผมทิ้งคำพูดสุดท้ายก่อนที่จะเดินออกไป ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมทำมันทำร้ายความรู้สึกของแพรว แต่ผมก็ไม่อยากปล่อยเอาไว้ให้มันคาใจตัวผมเองอีกต่อไป ผมไม่รู้ว่าหลังจากที่ผมเดินออกมา แพรวจะมีความรู้สึกแย่มากกว่าเดิมขนาดไหน แล้วความเป็นเพื่อนของผมกับเธอจะยังคงเป็นเหมือนเดิมอยู่มั้ย มันทำให้ผมคิดไม่ตก
   หลังจากเสร็จสิ้นการประชุม ผมก็ยังคงพอที่จะมีเวลาเหลืออีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวรลงตรวจของผม ซึ่งปกติผมจะไม่ค่อยมีเวลาแบบนี้เท่าไหร่นัก จึงไม่พ้นที่จะเดินไปยังศูนย์อาหารในโรงพยาบาลที่ผมห่างหายจากมันมาเป็นเวลานาน  ผมมองเห็นร้านเจ้าประจำที่ผมเคยมาอุดหนุนในช่วงที่ผมมาอยู่โรงพยาบาลนี้ใหม่ๆ และร้านนี้ ก็ยังคงเอกลักษณ์อาหารแบบเดิมๆ คือขายแต่อาหารที่มีรสชาติแบบที่เด็กสามารถรับประทานได้ทุกอย่าง คือไม่มีอาหารรสชาติเผ็ดเลยนั้นเอง
   “ไม่ได้มาซะนานเลยนะคะคุณหมอ”เสียงที่ดูใจดีถามผม
   “ครับป้า ผมติดเคสคนไข้ เลยไม่ค่อยได้ลงมาทานหรอกครับ”ผมพูดตอบเธอพร้อมกับมองอาหารในตู้ที่วางอยู่เต็มไปหมด “ผมขอผัดผักรวมแล้วก็หมูทอดนะครับ” นี่ล่ะครับเมนูโปรดของผมล่ะ
   “ขอแบบนี้เพิ่มอีกจานด้วยครับ”เสียงที่ผมคุ้นเคยพูดแทรกขึ้นมาทางด้านหลังของผม
   “คุณชัช” กลายเป็นเขาอีกแล้ว ทำไมผมกับเขาถึงได้บังเอิญมาเจอกันบ่อยจัง “คุณยังไม่กลับ สน.หรอครับ หรือว่ายังมีเรื่องอะไรเพิ่มเติมอีกหรือเปล่า”

--อาหารได้แล้วจ้ะ—

   คุณป้าขายอาหารส่งเสียงบอกพร้อมกับยื่นจานอาหารเหล่านั้นมาให้กับผม
   “นี่ครับ...จ่ายทั้งสองจานเลยนะครับ”เขารับจานอาหารพร้อมกับยื่นเงินให้ป้าในร้านทันที
   “เดี๋ยวผมจ่ายเองไม่เป็นไร”แต่ก็เหมือนทุกทีนั้นละครับ ที่คำพูดของผมเป็นเหมือนสายลมที่ผ่านไปกระทบหูของเขาเท่านั้นเอง
   “ไม่ครับ...ผมอยากเลี้ยงคุณ”เขาหันมาพูดใส่ผมก่อนที่จะเดินไปนั่งที่โต๊ะว่างบริเวณแถวหน้าร้าน ผมก็ได้แต่ยืนนิ่งสิครับ ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาคนนี้กำลังทำ มันมีความหมายหรือจุดประสงค์อะไร “เหม่ออะไรครับ...มานั่งทานด้วยกันสิ” เขาทำภวังค์ผมแตกซ่านอีกแล้ว แล้วทำไมเขาต้องยื่นหน้ามาพูดใกล้ผมด้วย
   “ค...คุณทำแบบนี้เดี๋ยวคนอื่นเขาก็เข้าใจผิดหมดหรอก”ผมพูดด้วยอารมณ์เขินอายและตกใจสุดๆก่อนที่จะเดินไปนั่งที่โต๊ะ
   “นี่...ของชอบของคุณ”เขาเลื่อนแก้วน้ำมาให้กับผม และสิ่งที่แปลกอีกอย่าง เขารู้ได้ยังไงว่าผมชอบทานโกโก้ “คุณรู้ได้ยังไงว่าผมชอบทาน...คุณ… นี่...น่ากลัวชะมัด” เขาก็ได้แต่นั่งนิ่งไร้ความรู้สึก ผมจึงไม่อยากสนใจอะไรมากนัก ก็กลายเป็นต่างคนก็ต่างทานอาหารของตัวเองไป แต่ทว่า
   “นี่ พี่ชัช หนุ่มcleo ใช่มั้ยค่ะ” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งเดินมากับเพื่อนพูดขึ้นอย่างดีใจ แต่เอ๊ะ...เดี๋ยวนะ นายชัชคนนี้เนี้ยนะ เป็นหนุ่มคลีโอ ทำไมผมไม่เห็นรู้เรื่อง
   “พวกหนูขอถ่ายรูปด้วยได้มั้ยคะ”เสียงของหญิงสาวทั้งสองที่ต่างพากันขอร้องที่จะถ่ายรูปกับชัช แต่เจ้าตัวกลับทำหน้าไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด แต่จะทำอะไรได้ ยังไงก็ต้อง keep look ที่เป็นคนของประชาชนไว้อยู่ดี แต่ก็ยังหารอยยิ้มบนใบหน้าไม่เจอน่ะนะ
   “คุณหมอช่วยถ่ายให้พวกหนูสองคนหน่อยได้มั้ยคะ” ซะงั้น...ผมกลายเป็นตากล้องจำเป็นไปซะแล้ว แต่ก็ไม่เป็นไร การมอบความสุขก็เป็นหน้าที่ของผมอย่างหนึ่งเหมือนกัน เต็มใจ... หลังจากถ่ายรูป ดูผู้หญิงสองคนนั้นจะเป็นปลื้มเอามากๆ ต่างเปิดรูปชื่นชมกันใหญ่ (ขนาดหน้านายแบบบึ้งแบบนั้นเนี้ยนะ) ก่อนที่จะอำลาแล้วเดินจากไป
   “เป็นคนดังก็ไม่บอก...แอบซุ้มนะคุณน่ะ”ผมแซวขึ้น
    “ก็เเค่ตำแหน่งที่ผมไม่ได้อยากได้ ผมไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายกับผม แล้วอีกอย่าง...ผมก็ไม่ใช่หุ่น ที่ใครเห็นอยากจะเข้ามาจับ ก็จับ อยากจะเข้ามาทำอะไรก็ทำ ”
   “แต่พวก เขารักคุณ คุณก็ต้องมีความสุขสิ...พวกเขาต้องการรอยยิ้มจากคุณ ผมไม่รู้หรอกนะว่าเพราะอะไรคุณถึงดูเศร้า...แต่ผมว่าเวลาคุณยิ้มน่ะ คุณดูน่ารักนะ...รู้รึเปล่า” เขากลับเงยหน้าขึ้นมามองผม  “ขนาดผมเป็นผู้ชายเหมือนกับคุณ รอยยิ้มคุณเมื่อวาน ผมยังว่ามันน่ารักเลย”  ตอนนั้นไม่รู้ว่าในหัวของผมคิดอะไร ผมสลับแก้วน้ำของผมกับเขา ถึงแม้ว่าผมจะดูดมันไปบ้างแล้วก็ตาม
   “เห็นเขาบอกกันว่า...ถ้าเราทานช็อกโกแลตหรือโกโก้...มันจะทำให้เรามีความสุข...งั้น...ผมขอเอาความสุขของผมให้คุณ...ส่วนเจ้าชาเขียวแก้วนี้ ผมจัดการเอง”เมื่อผมพูดจบผมก็ลงมือทานอาหารต่อโดยที่ไม่ได้สนใจคนตรงหน้าว่าเขานั้นเป็นยังไง เพราะตัวผมมันกลับเขินที่พูดแบบนั้นออกไป เลยต้องรีบแสร้งทานอาหารที่อยู่ตรงหน้าแก้ขัด

“ผมทำอะไรลงไปว่ะเนี้ย”

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ใครร้ายหว่า?

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Jackkiesatg

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
:pig4: :pig4: :pig4:

ใครร้ายหว่า?

พึ่งเริ่มครับ อีกนิดก็จะรู้

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ everlastingly

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 476
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
 :impress2: Story น่าสนุกและน่าติดตามอ่านต่อมากเลย เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะ

ออฟไลน์ Jackkiesatg

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
:impress2: Story น่าสนุกและน่าติดตามอ่านต่อมากเลย เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะ

ขอบคุณมากๆครับติชมกันได้นะครับ

ออฟไลน์ Jackkiesatg

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Chapster 5


(พาร์ทของตาล)

   “พี่ตั้มคะ เดี๋ยวคืนนี้ตาลไปหานะคะ ตาลมีเรื่องอยากคุยด้วย”นี่คือสิ่งที่ตาลบอกกับพี่ชายค่ะ ตาลไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่ตาลได้บอกกับพี่ตั้มไปวันนั้น มันจะมีผลในอนาคตยังไง แต่ถ้ามันทำให้พี่ชายของตาลมีความสุข ตาลก็ต้องทำ วันนี้ช่วงหัวค่ำ พี่แพรวเข้ามาหาตาลที่ร้าน แค่เพียงเห็นก็รู้ทันทีว่าคงไม่ใช่เรื่องมีความสุขแน่นอน
   “สวัสดีค่ะพี่แพรว แวะมาทานอาหารหรอคะ”ก็ถามไปตามมารยาทน่ะค่ะ ถึงจะรู้อยู่แล้วว่ามาด้วยเหตุผลอะไรจากที่คาดเดา
   “ตาลพอมีเวลาว่างมั้ย พี่มีเรื่องอยากคุยด้วย”
   “.......... งั้นพี่แพรวรอตาลแปปนะ เดี๋ยวตาลไปฝากงานกับพลก่อน เดี๋ยวมาค่ะ” ในช่วงเวลานั้นจะทำอะไรได้ล่ะคะ นอกจากจะต้องปลีกตัวเข้ามานั่งคุย เพราะยังไงพี่แพรวก็เหมือนพี่สาวที่ตาลรู้จักมานานคนหนึ่ง
   “พี่แพรวมีอะไรหรือเปล่าคะ...หน้าตาดูเครียดๆ”
   “........ ตาลได้บอกในสิ่งที่พี่คุยกับตาลให้ตั้มใช่มั้ย”
   “บอกค่ะ พี่แพรวก็อยากให้บอกอยู่แล้วไม่ใช่หรอคะ ถึงมาคุยกับตาล”
   “วันนี้ตั้มมาบอกกับพี่ว่า ยังไง...เราก็เป็นได้แค่เพื่อนกัน มันคืออะไรตาล”น้ำเสียงสั่นเครือของพี่แพรวมันทำให้ตาลรู้ว่าพี่แพรวกำลังรู้สึกยังไง
   “ตาลเคยบอกกับพี่แล้ว ว่าพี่ตั้มเป็นคนยังไง หรือว่าพี่แกล้งทำเป็นไม่รู้...และสิ่งที่พี่กำลังทำ มันคือการบังคับ...ไม่ใช่ความรัก พี่เข้าหาทางพี่ตั้มไม่ได้ พี่ก็ให้ตาลช่วย ใช่ค่ะ ตาลยินดี แต่หลายๆครั้งที่พี่สารภาพกับพี่ตั้มว่าพี่คิดอะไร พี่รู้คำตอบอยู่แล้ว แต่พี่ก็ยังทำ ทำเพื่อให้ตัวเองเจ็บ..ตาลว่าพี่หยุดเถอะ ” ตาลไม่รู้ว่าสิ่งที่ตาลพูดออกไปมันจะกระทบจิตใจของพี่แพรวแค่ไหน แต่ถ้าในเมื่อพี่ชายของตาลพูดไปแล้ว ตาลก็คงไม่จำเป็นที่จะต้องมานั่งโกหกหรือช่วยอะไรพี่แพรวอีก
   “ตาลรู้ใช่มั้ยว่าพี่รักตั้มมาก...รักมานานมาก...พี่อยากให้เขามาเป็นปัจจุบันของพี่...เป็นอนาคตของพี่...ช่วยดึงพี่ให้พ้นจากอดีตที่เลวร้าย แต่เขากลับไม่เคยมองเห็นถึงความรักที่พี่มีให้เลย”
   “พี่แพรวคิดไปกันใหญ่แล้วค่ะ...ก็เพราะรักไงค่ะพี่ตั้มถึงบอกกับพี่ตรงๆ ไม่ต้องให้พี่มานั่งคิดเอง...และตัวพี่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครเข้าหา พี่เคยบอกกับตาลเอง  ว่ามีคนมาคอยตามจีบพี่...ตื้อพี่ แต่เป็นพี่ที่ไม่สนใจ นี่ล่ะค่ะความรัก ยิ่งต้องการ ก็ยิ่งสูญเสีย” ตาลก็ไม่รู้ว่าบทสรุปเรื่องนี้ระหว่างตาลกับพี่แพรวมันจะเป็นยังไง ตาลแค่อยากให้พี่เขาเข้าใจ เข้าใจในความเป็นจริง ไม่ใช่เข้าใจในสิ่งที่พี่เขาคิดไปเอง “ถ้าพี่แพรวไม่มีอะไรแล้ว ตาลขอตัวนะค่ะ” ตาลคงจะทำสิ่งที่เสียมารยาทที่สุด แต่ถึงให้ตาลนั่งต่อไป มันก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น หลังจากที่ตาลลุกมาทำงานต่อได้ไม่นาน พี่แพรวก็เดินออกไปจากร้านอย่างเงียบๆ ไม่แน่ พี่เขาอาจจะกำลังทำใจอยู่ก็เป็นได้
      
         ...

ตั้ม   
- - - ก๊อก ก๊อก ก๊อก - - -

   “ทำไมวันนี้มาถึงเร็วล่ะ เคลียงานที่ร้านเสร็จแล้วหรอ” ผมทักทายเธอตามปกติ
   “เหลืออีกนิดหน่อยน่ะค่ะ ตาลให้พลจัดการต่อแล้ว” จากคำพูดที่ได้ยิน เธอดูไม่ค่อยสดใสเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
   “มาๆนั่งก่อน แล้วนี่ทานอะไรมารึยัง พี่มีเมล่อน พึ่งซื้อมาวันนี้เอง เอามั้ย” ผมพยายามทำให้เธอมีความสุข เพราะเธออาจจะเครียดกับงานที่ร้านมาก็ได้
   “ก็ดีค่ะ”
“งั้นรอแปบ เดี๋ยวพี่ไปจัดการให้” ผมจึงเดินกลับไปยังห้องครัว เพื่อจัดเตรียมเมล่อนให้กับเธอ ผมบอกก่อนนะว่า สกิลการทำอาหารหรือแม้กระทั่งหั่นผลไม้ ของผมนี่เป็นศูนย์ แต่ผมก็เต็มใจที่จะทำ (พี่ชายที่แสนดีมั้ยล่ะ 555)
 “พี่ตั้มค่ะ” ตาลเดินเข้ามาหาผมที่กำลัง จัดการกับเปลือกเมล่อนอย่างเก้ๆกังๆ “วันนี้พี่แพรวมาคุยกับตาลที่ร้าน...เรื่องพี่”
“..............” ผมได้แต่ยืนนิ่ง เมื่อได้ยินเรื่องราวแบบนี้อีกครั้ง
“พี่แพรวบอกว่า พี่บอกไม่ชอบเธอ คบกับเธอเป็นแฟนไม่ได้ แต่ตาลเข้าใจพี่ค่ะ ตาลก็เลยเคลียร์กับพี่แพรวไปยกใหญ่ จนบางทีคิดว่า...สิ่งที่ตาลพูด...มันรุนแรงกับความรู้สึกของพี่เขาไปหรือเปล่า”
“..................”  ผมควรทำยังไง สิ่งที่ผมคิดว่ามันจะดีผมก็ทำมันไปหมดแล้ว “ตาลไปนั่งเถอะ...เดี๋ยวพี่ยกผลไม้ไปให้” ผมหันมาพูดกับเธอด้วยรอยยิ้ม ถึงแม้ว่าผมจะต้องฝืนมันออกมาก็ตาม ไม่นานนัก ผลไม้ที่ผมพยายามตัดตกแต่งให้เธอก็เสร็จเป็นที่เรียบร้อย ก่อนที่ผมจะวางไปให้ตรงข้างหน้าของเธอ
   “ตาล...ความรักที่เขาเรียกกัน...มันเป็นยังไงหรอ” ผมถามขึ้นพลางนั่งลงข้างๆ
   “เป็นยังไงหรอค่ะ...ตาลก็บอกพี่ไม่ได้...แต่พี่จะรู้สึกมันเอง รู้สึกมากกว่าที่พี่เคยรู้สึก ”    
“...................” ผมก็เพียงได้แต่ฟังแล้วก็คิดตามคำพูดของเธอ ความหนักอึ้งในใจของผม ตอนนี้มันกำลังถาโถมเข้ามาหาผม จนแทบจะต้านเอาไว้ไม่ไหว “พี่อาจจะต้องเสียเพื่อนที่ดีอย่างแพรวไป... ก็พี่รักเขาแบบนั้นไม่ได้จริงๆ “
“มีพบ...ก็ต้องมีจาก มันเป็นสัจธรรมค่ะ...แต่อาจจะมีบางเรื่องบางเหตุผลที่สัจธรรมพวกนี้อาจจะใช้ไม่ได้ก็ได้นะค่ะ” แค่ตอนนี้ผมมีน้องสาวที่รักผม เป็นคนคอยให้กำลังใจผม แค่นี้ผมก็มีความสุขแล้ว


      ...

เริ่มต้นวันใหม่ พร้อมกับงานและหน้าที่ที่เพิ่มขึ้น เป็นแพทย์ใครว่าจะสบายล่ะครับ ความรับผิดชอบมันมากมายนัก ตั้งแต่เช้าที่ผมมาทำงาน ก็ยังไม่ได้หยุดกับการลงตรวจคนไข้ แต่มันคืออาชีพที่ผมรัก เคยคิดจะเปลี่ยนใจ แต่ก็ทำไม่ได้ซักที แต่เนื่องจากช่วงนี้ หลังจากที่ผมมีหน้าที่เพิ่มขึ้น ทางผอ.เลยมีคำสั่งให้ผมลงเวรตรวจแต่ช่วงเช้า เพราะเผื่อมีเหตุฉุกเฉินที่จะต้องไปปฏิบัติจะได้ไม่มีผลกระทบต่อคนไข้ที่เป็นเคสของผม มันก็เลยทำให้ผมมีเวลาที่จะทำอะไรได้มากขึ้นด้วย
“คุณหมอตั้มคะ” เสียงใสที่ผมคุ้นเคยตะโกนเรียกผมมาแต่ไกล แถมยงวิ่งกระหืดหระหอบเข้ามาหาผมอีกตะหาก “ดาวิ่งตามหาคุณหมอตั้งนาน โอ๊ย เหนื่อยมาก” เธอพูดไปหอบไป น่าสงสารซะจริง   
“ผมก็อยู่ไม่กี่ที่หรอก นี่ไปทานข้าวมา มีอะไรรึเปล่า”
“นี่ค่ะ”
เธอยื่นซองๆหนึ่งมาให้ผม รูปแบบหน้าตาซองแบบนี้สำหรับผมมันดูคุ้นๆ แล้วก็เป็นไปตามที่คิด มันเป็นการ์ดงานแต่งงาน ของเธอกับแฟน
   “การ์ดงานแต่ง...สายย่อของหมอจะแต่งงานกับเขาด้วย”
   “คุณหมอก็...ดาก็ไม่ได้ขนาดนั้นมั้ยคะ ที่เห็นมันเป็นภาพลวงตาค่ะ ตัวจริงเรียบร้อยขนาด” ภาษาถิ่นชาวเหนือก็มา เธอดูดีออกดีใจเป็นอย่างมาก เพราะเธอเคยมาปรึกษากับผมว่า ทำไมแฟนของเธอถึงไม่ขอเธอแต่งงานสักที แล้วผมจะไปตอบอะไรได้ล่ะครับ แฟนสักคนผมยังไม่เคยมีเลย
   “แต่ทำไมมันกระชั้นชิดจัง อีกแค่สองวันเอง มีเวลาเตรียมตัวหรอ”
   “สำหรับดา ไม่ต้องใช้เวลาเตรียมเยอะค่ะ สวยอยู่แล้ว” คำตอบที่มาพร้อมกับเสียงหัวเราะแห่งความมั่นใจของเธอ “คุณหมอต้องมาร่วมงานให้ได้นะคะ คุณหมอเป็นแขกคนสำคัญของดาเลย ถ้าไม่มา ดาโกรธคุณหมอจริงๆนะ” เธอกำชับเสียงเข้ม
   “ก็ถ้าไม่ได้ติดเคสหรือติดอะไร หมอก็จะไป” ก็ต้องตามนั้นล่ะครับ เพราะตัวผมเองก็ไม่รู้ว่าอีกสองวันข้างหน้า มันจะมีอะไรรอคอยให้ผมทำอยู่รึเปล่า
   “หวังว่าคุณหมอจะมาได้นะคะ” เธอพลางก้มดูเวลาที่ข้อมือ ก่อนที่จะดูตกใจๆนิด “งั้นดาไปก่อนนะคะ วันนี้ดาเป็นผู้ช่วยหมอเอก เดี๋ยวโดนเชือด” เธอรีบพูดบอกลา ก่อนที่จะหันหลังวิ่งกลับไป “คุณหมอคะ ธีมงานเป็นสายแว๊น สายย่อนะคะ แต่งแซ่บๆไปนะคะคุณหมอ”เธอก็ยังอุตส่าห์หลังกลับมาบอกธีมงานกับผมอีก ถ้าวิ่งชนอะไรเข้าผมจะยืนขำให้อายไปเลย แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะครับ เห็นอย่างนี้ เธอครองรางวัล พยาบาลยอดเยี่ยม เกือบทุกเดือนที่มีการจัดโพลกันเลยทีเดียว
   ผ่านไปไม่นานหลังจากที่ผมแยกย้ายกับพยาบาลสาวสายย่อ ก็ต้องมีเหตุให้ผมต้องเริ่มภารกิจของหน้าที่ที่ผมพึ่งได้รับมาสดๆร้อนๆ
   “สวัสดีครับ หมวดปวีณ” ใช่ครับ หมดปวีณ เข้ามาหาผมยังห้องทำงานกันเลยทีเดียว “วันนี้มีอะไรคืบหน้าหรือเปล่าครับ ถึงมาหาผมถึงที่”
   “คุณหมอนี่เหมือนมี sense นะครับ...ถูกเผงเลย” แซวผมกลับซะอย่างนั้น ก่อนที่จะหย่อนก้นนั่งลงตรงหน้าผม “ใช่ครับ ผมจะมาขอพาตัวคุณหมอ ไปยังที่พบศพของเหยื่อรายล่าสุด เพราะตอนนี้เริ่มมีความคืบหน้าแล้วครับ”
   “มีความคืบหน้าหรอครับ...งั้น...เราไปกันเลยก็ได้ครับ” ผมรีบจัดการเก็บแฟ้มเอกสารรายงานคนไข้ก่อนที่จะคว้ากล้องที่อยู่บนโต๊ะติดมือออกไปด้วย หมวดปวีณไม่รอช้าที่จะรีบเร่งขับรถพาผมไปให้ทันเวลาที่เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบที่เกิดเหตุ ที่อยู่ที่พื้นที่รกร้าง จังหวัดปทุมธานี
   “ที่บอกผมว่าเริ่มมีความคืบหน้า มันคืออะไรหรอครับ”ผมถามขึ้นอย่างสงสัย
   “ครับ ได้มีเจ้าหน้าที่โทรมาบอกผมว่าได้พบมีดและอุปกรณ์ที่ใช้ในการตัดมือและอวัยวะเพศของศพ อยู่ห่างจากจุดที่พบศพ และวงล้อมที่เรากั้นไว้ไปอีก 50 เมตรครับ เพราะมีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเห็นว่ามีรอยเลือดที่หยดเป็นทางออกไปในบริเวณนั้น น่ะครับ ตอนนี้ทางตำรวจและเจ้าหน้าที่เลยขยายวงในการค้นหาหลักฐานให้กว้างขึ้นน่ะครับ”
   จากสิ่งที่หมวดปวีณบอกกับผม มันทำให้ผมมีข้อสงสัยในหลายๆประเด็นเกิดขึ้น ทั้งเวลาที่ฆาตกรใช้ในการฆ่าเหยื่อ เวลาที่มีคนพบศพ มันเหมือนกำลังขัดแย้งกับสิ่งที่หมอแพรวเคยอ่านผลชันสูตรให้ฟังตอนประชุม และเพียงไม่ถึง ชม. หมวดปวีณก็พาผมมาถึงยังสถานที่พบศพ ซึ่งตอนนี้กำลังมีเจ้าหน้าที่กำลังปฏิบัติงานกันอยู่เป็นจำนวนมาก รวมถึง เขาคนนั้น และซึ่งในสถานที่ๆผมยืนอยู่ ทั้งสองฝั่งถนนมีเพียงพื้นที่ที่ดูเป็นที่รกร้าง และป่ากกขึ้นอยู่ทั่วไปเป็นแนวยาวไปตามเส้นถนน  นานๆทีถึงจะมีรถวิ่งผ่านมาไปมาจากการสังเกตของผม  ไม่น่าล่ะครับฆาตกรถึงเลือกที่นี่เป็นที่ทิ้งศพหรือกระทำการ
   “นี่คืออาวุธที่ฆาตกรใช้ในการชำแหละศพ” ปรากฏเป็นหมวดชัช ที่เป็นคนยื่นหลักฐานชิ้นสำคัญนั้นมาให้กับผม
   ผมรับมา ก่อนที่จะตั้งใจจดจ่ออยู่กับอาวุธเหล่านั้น “อุปกรณ์พวกนี้ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในทางการแพทย์นี่ครับ”
   “ใช่ครับ ทางเจ้าหน้าที่ก็บอกผมมาแบบนั้นเหมือนกัน ก่อนหน้าที่คุณจะมาถึง เจ้าหน้าที่ได้นำมีดพวกนี้ ไปตรวจปฏิกิริยาลูมินอล พบว่า ไม่ได้มีเลือดของคนเพียงคนเดียว แต่มีมากถึง 5 คน”
   “ถ้าอย่างงั้นก็แปลว่า ฆาตกรใช้อุปกรณ์พวกนี้ชำแหละศพของเหยื่อทุกรายสิครับ แล้ว นอกเหนือจากเลือด พบรอยนิ้วมือบนมีดเหล่านี้บ้างมั้ยครับ”
   “ไม่ครับ”
“ผมถามหน่อยสิครับ ว่าญาติของผู้เสียชีวิตรายล่าสุด เขาได้ให้ปากคำอะไรกับทางคุณไว้บ้าง
    “ก็ไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับทางเราเท่าไหร่ แทบจะไม่ได้อะไรเลยดีกว่า”เขาพูดด้วยท่าทีที่ดูเบื่อหน่ายอยู่บ้าง
    “ผมอยากไปพบเขา พาผมไปหน่อยได้มั้ย อยู่ที่นี่ผมก็ช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้” เขายืนมองหน้าผมอยู่อย่างนั้น ก่อนที่จะยอมเอ่ยปากพาผมไป   
    “............. งั้นคุณไปรอผมที่รถ” ผมก็ยอมทำตามอย่างว่าง่ายเลยล่ะครับ เพราะในหัวของผมตอนนี้ มันมีแต่คำว่า ทำไม เพราะอะไร อยู่เต็มไปหมด ถ้าผมได้รู้ข้อมูลบางอย่างที่เป็นประโยชน์ คดีนี้อาจจะถูกปิดได้โดยเร็ว ไม่อย่างนั้น ไม่รู้ว่าจะต้องมีตำรวจอีกกี่นายที่ต้องมาสังเวยชีวิตให้กับฆาตกรคนนี้
   
   หลังจากที่ใช้เวลา เกือบ 2 ชม เพื่อมาถึงบ้านของเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย บ้านของเหยื่อตั้งอยู่ในบริเวณหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งแถวถนนชานเมือง หมวดชัชจึงตัดสินใจจอดรถไว้บริเวณก่อนที่จะถึงหน้ารั้วบ้านของพ่อแม่ตำรวจรายนั้น นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตผมที่ต้องมาทำการแบบนี้ นอกเหนือจากการรักษาคนไข้ มันน่าตื่นเต้นเหมือนกันนะ ผมตัดสินใจเดินไปกดกริ่งที่หน้าบ้าน เพียงไม่นานก็มีผู้หญิงสูงวัยดูท่าทางไม่ค่อยเป็นมิตรเดินมา
   “มาหาใคร” ดูไม่เป็นมิตรจริงด้วย
   “คือผมเป็นหมอนะครับ ผมรับหน้าที่ให้ทำการชันสูตรพลิกศพ ร้อยตำรวจตรี มนตรี น่ะครับ แล้วที่ผมมาวันนี้ ผมแค่อยากจะมาสอบถามอะไรเพิ่มเติม สักหน่อย จะเป็นการรบกวนมั้ยครับ” ผมพยายามใช้น้ำเสียงที่ดูอ่อนโยนมากที่สุด เพื่อเป็นการไม่ทำให้ญาติของเหยื่อรู้สึกไม่พอใจ
   “ชั้นไม่มีอะไรจะพูด ลูกชั้นตายไปแล้วจะมาเอาอะไรอีก พูดอะไรไปแล้วทำให้ลูกของชั้นกลับมาได้มั้ย ก็ไม่ได้...ทำไมตอนที่ลูกของชั้นหายไปไม่เห็นมีใครมาดูดำดูดีชั้นเลย”
   “ใช่ครับผมทำไม่ได้ ผมถึงต้องให้คุณช่วย ผมว่าถ้าถึงเวลาแบบนี้ คุณมนตรีลูกของคุณก็คงทำแบบพวกผมเหมือนกัน เขาเป็นตำรวจที่จริงจังกับงานไม่ใช่หรอครับ ถึงตอนนี้เขาไม่อยู่กับพวกเราแล้ว แต่ผมมั่นใจว่าเขาก็อยากจะช่วยพวกเราเหมือนกัน คุณไม่อยากช่วยลูกชายของคุณให้ปิดคดีนี้สำเร็จหรอครับ” ผมพยายามใช้คำพูดที่ผมคิดได้ในเวลานั้นให้เขาฟังแล้วดูนิ่มนวลที่สุด
   “ผมว่าเรากลับเถอะ คือเรา...............................” หมวดชัชพูดขึ้นมาไม่ทันสิ้นเสียง เราก็ได้รับคำตอบที่เหนือความคาดหมายออกมาจากแม่ของเหยื่อรายนั้น
   “เขามานั่งคุยกันข้างใน” น้ำเสียงของเขาดูเบาลงกว่าเมื่อกี้เป็นอย่างมาก ผมทั้งคู่จึงรีบพากันเข้าไปด้านในในทันที ความรู้สึกภายในบ้าน มันเศร้าอย่างบอกไม่ถูก ทุกๆมุมในบ้านมีแต่รูปลูกชายเพียงคนเดียวของเขาตั้งอยู่เต็มไปหมด    
   “พวกคุณอยากถามอะไร ก็ถามมา”เธอยกน้ำมาวางให้กับเราก่อนที่จะนั่งลงที่โซฟาข้างๆ ผมเลยสะกิดให้ หมวดชัชเป็นคนถามคำถามเหล่านั้น
   “ผมแค่อยากถามน่ะครับว่า ก่อนวันเกิดเหตุ คุณมนตรี มีท่าทียังไงบ้างครับ แล้วหายออกไปจากบ้านตั้งแต่ช่วงเวลาเท่าไหร่  หรือถ้าคุณแม่มีรายละเอียดอะไรที่อยากจะเล่าให้พวกเราฟัง พวกเราจะขอบคุณเป็นอย่างมากเลยครับ”ไม่น่าเชื่อว่ามุมอ่อนโยนของนายหมวดชัชคนนี้จะดาเมจแรงขนาดนี้ น้ำเสียงดูต่างอย่างกับเป็นคนละคน ถือว่าเป็นบุญหูของผมเลยนะเนี้ย
   “ยิ้มอะไรของคุณ” เขาคงอายผมล่ะสินะ

ออฟไลน์ Jackkiesatg

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ต่อ


“วันนั้นเป็นวันศุกร์ที่ 30 เมษายน ตามนมาบอกกับแม่ว่า วันนี้เขามีนัดทานข้าวกับคนๆนึง ที่รู้จักกันมาได้ไม่นานเท่าไหร่ ด้วยความที่เป็นแม่ ก็พยายามที่จะขอดูรูปของผู้หญิงคนนั้น แต่เขากลับบอกว่า เธอคนนั้นไม่ชอบให้ถ่ายรูป แต่ปกติเวลาเขาคบใคร เขามักจะพามาที่บ้านเพื่อให้พ่อกับแม่ได้รู้จัก แต่หน้าเธอคนนี้แทบจะไม่เคยได้เห็นเลย เวลาตอนประมาณ 1 ทุ่ม ผู้หญิงคนนั้นก็โทรเข้ามา เพื่อให้ตามนเดินออกไปหา แต่ปกติเวลาเขาออกไปไหน มักจะขับรถออกไปเองเสมอ ตอนที่เขาเดินออกไปหาผู้หญิงคนนั้น แม่ก็เลยคิดว่าจะเดินไปส่งเขา เผื่อจะได้เห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นบ้าง แต่พอเดินออกไป เขากลับจอดห่างจากจุดที่พวกคุณจอดไปอีกหน่อย เขาขับรถคันสีแดง แต่ฟิล์มที่ติดรถของเขามันดำมาก
แต่พอได้แสงจากบริเวณนั้น ก็พอที่จะเห็นเค้าโครงหน้าบ้างแต่ก็ไม่ชัดสักทีเดียว เธอคนนั้นเป็นผู้หญิงผมยาว ใส่หมวกปีกปิดหน้าเอาไว้ หลังจากที่เขาเดินไปขึ้นรถผู้หญิงคนนั้น แม่ก็เลยเดินเข้าบ้านมา และในช่วงเวลาประมาณ 5 ทุ่ม เขาโทรเขามาหาแม่ บอกว่า วันนี้เขาจะนอนที่บ้านผู้หญิงคนนั้น แล้วเช้าเขาจะกลับไปเข้าเวรที่ สน.เลย แม่ก็เลยไม่ได้อะไรมากตอนนั้น พอวันเสาร์ ทางสน.โทรเข้ามาที่บ้านตอน 11โมง บอกว่า ตามนไม่ไปเข้าเวร ที่ สน. แล้วก็ติดต่อไม่ได้ แม่ก็เลยลองโทรไปหาเขา ก็ปรากฏว่าติดต่อไม่ได้เหมือนกัน แม่เลยรีบโทรไปหา ต้นเพื่อนของเขาที่สน.บอกให้ช่วยโทรหามนตรีให้หน่อย ทางนั้นก็บอกกลับมาว่า ทุกคนลองโทรหมดแล้วไม่มีใครติดต่อได้ ทางนั้นก็เลยบอกกับแม่ว่า ต้นอาจจะแบตหมดกลางทางหรือว่าไปที่ไหนต่อกับผู้หญิงคนนั้น  แม่ก็พยายามไม่คิดมาก พยายามเชื่อในสิ่งที่ตำรวจพวกนั้นบอก แต่ผ่านไปวันก็แล้ว สองวันก็แล้ว ไม่มีการติดต่อกลับมาจากเขาเลย พอวันจันทร์ทุกคนเริ่มออกตามหาตามที่ๆเขาเคยไป ไปหาคนที่เขารู้จัก แต่ก็ไม่มีใครรู้เลยว่าไปไหน ทาง สน.ออกตามหากันตลอดทั้งวัน จนเวลาประมาณ 5 ทุ่ม ได้มีข้อความส่งเข้ามาที่เครื่องของแม่ว่า เบอร์โทรศัพท์ของเขาสามารถติดต่อได้แล้ว แม่ก็เลยรีบโทรกลับไป แต่ก็ไม่มีคนรับ พยายามกดโทรอยู่เรื่อยๆจนมีข้อความหนึ่งส่งเข้ามาจากเบอร์ของเขาบอกว่า “ลูกของแกนอนเป็นศพอยู่ที่ป่ารกร้างแถวปทุมฯ”
ตอนนั้นแม่ตกใจมาก เลยรีบโทรหาต้นให้เขาจัดการ หลังจากที่เขาขับรถมาหาแม่แล้วบอกว่ารู้แล้วว่ามนตรีอยู่ที่ไหน เมื่อไปถึงที่ ก็มีรถมูลนิธิ รถตำรวจเต็มไปหมด สิ่งที่แม่เห็นก็คือร่างของเขา ที่อยู่ในชุดวันที่ออกไป แต่ไม่มีมือทั้งสองข้าง แล้วต้นก็เดินออกมาบอกกับแม่ว่า มนตรีเสียเพราะขาดอากาศหายใจจากการจมน้ำ และที่สำคัญ อวัยวะเพศของเขาถูกตัดออกไป” น้ำเสียงของคุณแม่ที่เล่าออกมา มีทั้งความทุกข์ใจ เศร้าใจ เสียงสะอื้น และน้ำตาที่ไหลออกมา มันทำให้ผมที่เห็น แทบที่จะทำอะไรไม่ถูก ถึงแม้ว่าผมจะเคยผ่านเหตุการณ์เหล่านี้ที่โรงพยาบาลมาก็ตาม แต่ทำไมผมถึงรู้สึกถึงความเจ็บปวดกับเหตุการณ์มากกว่าก็ไม่รู้
   “ขอบคุณๆแม่นะครับที่ยอมบอกเล่าให้ผมฟัง เดี๋ยวผมจะไปขอดูกล้องวงจรปิดจากหมู่บ้านในวันและเวลาที่คุณแม่บอก เอาไว้ เราจะรีบดำเนินการและจับกุมฆาตกรรายนี้ให้ได้เร็วที่สุด ผมสัญญา” คำพูดจริงจังที่ออกมาจากปากของหมวดชัช มันจะทำให้แม่ของเหยื่อรายนี้ ดีขึ้นบ้างหรือเปล่าผมก็ไม่ทราบ  หลังจากที่ใช้เวลาในการพูดคุยไปนานพอสมควร ออกมาอีกทีฟ้าก็เริ่มมืดไปซะแล้ว
   “ขอบคุณๆนะ ที่ทำให้ผมได้ข้อมูลอะไรสำคัญๆอีกเยอะเลย”
   “จะขอบคุณทำไม ผมไม่ได้ทำอะไรให้สักหน่อย”ผมพูดส่งท้ายก่อนที่จะก้าวขึ้นรถไป“ผมยังมีอีกหลายเรื่องเลยที่ยังสงสัย วันนี้...คุณพาผมไปดูแฟ้มคดีหน่อยได้มั้ยครับ”
   “คุณสงสัยเรื่องอะไร”
   “ผมแค่อยากจะเห็นสภาพของศพหลายๆมุม อยากดูบาดแผลแบบชัดๆ แล้วก็จากที่แม่ของคุณมนตรีเล่า ผมมีความสงสัยว่า ฆาตกรทำงานคนเดียวมั้ย เพราะทำไมเขาถึงสามารถต่อสู้หรือต้านแรงผู้ชายตัวใหญ่ๆได้ขนาดนั้น แล้วถ้าฆาตกรใช้ยา ทำไมในผลชันสูตรถึงไม่มีการตรวจพบสารหรือยาชนิดใดเลยในร่างกาย” ผมพูดกับเขาพลางมองออกไปนอกหน้าต่างรถ มันยิ่งทำให้ผมเข้าใจถึงความรู้สึกของแม่คุณมนตรีมากยิ่งขึ้น เพราะขนาดเราอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย ทั้งที่รู้จักละไม่รู้จัก เรายังรู้สึกเหงาขึ้นมาได้เลย แต่กับเธอ ความเหงาและความเสียใจจากการที่ต้องเสียลูกชายสุดที่รักไป มันคงไม่สามารถหาคำพูดหรือความรู้สึกไหนมาอธิบายได้   
   การเดินทางบนถนนในกรุงเทพมหานครนี่คงเหมือนกับการเทียมเกวียนในสมัยก่อนได้ละมั้ง กว่าจะกลับมาถึงห้องทำงานของหมวดชัช ก็ปาเข้าไปสามทุ่มกว่าแล้ว พาลเอาเพลียกันไปเลย
“แฟ้มคดีอันนี้มีข้อมูลตั้งแต่เหยื่อรายแรก จนถึงคุณมนตรี ทั้งรูป สถานที่เกิดเหตุและผลการชันสูตรของศพทุกศพ คุณเลือกเปิดดูได้เลย”หมวดชัชเปิดแฟ้มข้อมูลให้ผมดูทันที ตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องทำงาน ( ฟิตดีจริงนะนายคนนี้) หลังจากที่เข้าดูข้อมูล แทบจะไม่มีรายละเอียดตรงส่วนไหนที่จะสามารถโยงหาตัวคนร้ายได้เลย ผมจึงค่อยๆไล่ดูใหม่ทีละราย จนมาสะดุดกับผลการชันสูตรที่ออกมา
“คุณชัช...ผลการชันสูตรพวกนี้ ใครเป็นคนส่งมาให้คุณ ทางสถาบัน หรือใคร” ผมถามอย่างสงสัย
“ก็ทางคงเป็นทางสถาบันฯ เพราะผมพึ่งมารับช่วงต่อคดีนี้ได้ไม่นาน”
“แต่ผมว่าทางสถาบันไม่น่ามีผลการชันสูตรแบบนี้  เพราะปกติไม่ว่าฆาตกรจะกระทำการอำพรางศพยังไงก็ตาม  หรือเก่งแค่ไหนก็เถอะ ยังไงก็สามารถที่จะแกะรอยสืบได้จากสิ่งที่ฆาตกรได้กระทำหลงเหลือเอาไว้ แล้วคุณดูนี่สิ ผลชันสูตรของทุกคนที่ออกมาเป็นแบบเดียวกันหมด ไม่สามารถค้นหาหลักฐานอะไรได้เลย มีแต่ข้อมูลพื้นฐานทั้งนั้น”
“คุณจะบอกว่า... ทั้งหมดเป็นข้อมูลเท็จงั้นหรอ”
“ผมแค่สันนิษฐาน แต่คุณไม่สงสัยบ้างหรอ...ว่าทำไม ฆาตกรเก่งมากเกินคน ขนาดทางสถาบันนิติฯยังไม่สามารถที่จะตรวจสอบอะไรจากศพได้เลย”
“ผมว่าคุณใจเย็นๆก่อน กว่าเอกสารจะออกมาผมว่ามันก็มีขั้นตอนของมัน ถ้าเกิดมีการปลอมแปลง ใครสักคนก็ต้องเห็นความผิดปกติของเอกสารบ้างแหละ” เขากลับพูดอย่างใจเย็น ในแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน
“แต่คุณชัช ผมว่า...........................”อยู่ดีๆเขาก็เอื้อมมือมาแตะที่ไหล่ของผมเบาทั้งสองข้าง ก่อนที่จะค่อยๆบีบนวดอย่างเบามือ ทำเอาผมตกใจไปเลย “ค...คุณ ทำ...ทำ อะไร”
“ผมไม่ชินที่เห็นคุณเครียด ก็เลยคิดว่าการนวดแบบนี้น่าจะช่วยคุณได้” ไม่ชินที่เห็นผมเครียด คำพูดแบบนี้ แปลว่าเขาเห็นการกระทำของผมตลอดอย่างงั้นหรอ ทำไมเขาต้องไม่ชิน แล้วทำไมผมต้องตัวสั่น
“ผ...ผมว่า ค...คุณ พอเถอะ  ผ...ผม ไม่ชินที่มีคนมาทำให้แบบนี้”ผมรีบจับเอามือของเขาออกจากไหล่ทั้งสองข้างของผมทันที
“คุณเขินผมหรอ”
“เขิน บ้าอะไรคุณ พูดไปเรื่อยๆ”เบือนหน้าหนีสิผม
“แล้วทำไมคุณถึงจับมือผมไม่ยอมปล่อยสักทีล่ะ แถมหลบตาผมอีกตะหาก” จับมือ!!! ไม่ยอมปล่อย!!! เฮ้ย!!! ผมยังจับมือเขาอยู่แบบนั้น
“ผมขอโทษ”ผมรีบปล่อยมือออกทันที ก่อนที่จะรีบหันกลับมาจ้องยังหน้าจอ notebook อีกครั้ง  ทำไมเขาชอบหาจุดที่จะแกล้งผมได้อยู่เรื่อย ผมมันไก่อ่อนสุดๆ


ผมใช้เวลาสักพักกว่าจะดึงตัวเองให้กลับมามีสติกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้เหมือนเดิม ผมพยายามค้นหาข้อมูลเท่าทั้งหมดที่มี ดูวนไปวนมา ซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ
“คุณ...เดี๋ยวตอนเที่ยงคืนผมมีเวรออกตรวจพื้นที่ ยังไงคุณก็นั่งรอผมอยู่ที่นี่ก่อน แล้วถ้าจะกลับยังไงก็ค่อยว่ากัน” หมวดชัชพูดขึ้นมา ผมจึงหันไปดูนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้อง ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว นี่ผมนั่งดูแทบจะไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ
“โอเค...เดี๋ยวผมรออยู่ที่นี่แหละ คุณไปทำหน้าที่ของคุณเถอะ”ผมบอกกับเขา ก่อนที่ผมจะกลับมาจดจ้องกับข้อมูลคดีเหล่านั้นต่อ เพราะยิ่งผมพยายามสืบค้นข้อมูลมากเท่าไหร่ เปอร์เซ็นต์ที่จะได้ผลสรุปที่สอดคล้องกับคดีก็มีมากขึ้นเท่านั้น หลังจากที่ผมจดจ้องอยู่กับหน้าจอ Notebook พอหันกลับมาอีกที นายคนนั้นก็หายออกไปจากห้องซะแล้ว


ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

มีความเป็นไปได้ว่า  ฆาตกรน่าจะเป็นหมอแพรว หว่ะ

นางน่าจะมีปมในอดีต (จากบทสนทนาระหว่างนางกับตาล)

ออฟไลน์ Jackkiesatg

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
พาร์ทนี้ผมจัดให้ยาวหน่อยนะครับ


Chapster6

หลังจากที่ผมนั่งสืบค้นข้อมูลคดีอยู่นานหลาย ชม. เมื่อคืน ทำให้เช้าวันนี้ ผมมีจุดมุ่งหมายที่จะทำอะไรต่ออะไรเยอะแยะไปหมด และสิ่งที่ผมจะทำ ผมจะไปตามบ้านของญาติผู้เสียชีวิตทั้งหมด เพื่อที่จะรวบรวมรายละเอียดในบางส่วนที่ทางตำรวจยังไม่มี
   ผมเริ่มต้นจากบ้านของ ดาบตำรวจตรีพงศธร กลัดนิล เหยื่อรายแรก จากข้อมูลที่ผมได้จดมา ดาบตำรวจคนนี้อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งแถวมีนบุรี และเมื่อผมไปถึง สภาพบ้านเป็นบ้านสองชั้นและดูไม่ใหม่นัก ผมจึงตัดสินใจจอดรถเทียบอยู่บริเวณหน้าบ้านของเขาในเวลานั้น
   “สวัสดีครับ...นี่ใช่บ้านของดาบตำรวจตรีพงศธร กลัดนิล หรือเปล่าครับ”ผมเริ่มบทสนทนาอย่างยิ้มแย้มเชียวล่ะ แต่อีกฝ่ายที่มองเห็นหน้าผม กลับเหมือนจะรู้ว่าผมมาในวันนี้เพื่ออะไร กิริยาท่าทางของเธอพอที่จะมองออกว่าไม่ค่อยอยากที่จะสนทนากับผมสักเท่าไหร่นัก
   “ใช่ แล้วคุณมาทำอะไร...คะ”
   “มาหา คุณบราลี น่ะครับ อยากจะสอบถามเกี่ยวกับเรื่องคดีสักหน่อยน่ะครับ”
   “มันจะได้อะไร ผ่านมาหลายเดือนแล้ว ชั้นไม่เห็นว่าจะมีอะไรคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องสามีของชั้นเลย” เธอยิ่งไม่สบอารมณ์หนัก แต่ก็ยังพูดตอบโต้ด้วยอารมณ์ที่ไม่รุนแรงมากอย่างที่คิดไว้
   “มันจะคืบหน้าครับ ถ้าคุณช่วยผม” ผมไม่รู้จะตอบอะไรในเวลานั้น คิดแค่เพียงว่าทำให้เธอรู้สึกมั่นใจในตัวผมก็พอ “ผมไม่อยากให้ใครต้องมาสังเวยชีวิตกับเรื่องแบบนี้ ”
   เธอมองหน้าผม จ้องมองผมอยู่แบบนั้น ก่อนที่ใบหน้าของเธอจะดูผ่อนลง ก่อนที่จะเปิดประตูรั้วให้ผมเดินเข้าไป
   “ชั้นเชื่อคุณ” คำพูดต้อนรับผมเพียงสั้นๆ แต่มันแฝงไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกมากมายไปหมด หลังจากที่ผมเดินเข้ามาในบ้าน ความรู้สึกมันเงียบเหงาอย่างบอกไม่ถูก ชุดของดาบฯถูกแขวนอยู่คู่กับรูปงานแต่งงานของเขากับภรรยา ยิ่งผมเห็นมันยิ่งทำให้ผมรู้สึกหดหู่มากขึ้นไปอีก
   “เชิญนั่งค่ะ” เสียงพูดของเธอมันทำให้ผมหลุดจากภวังค์ความรู้สึกสั้นๆตอนนั้น “ชั้นก็ไม่ได้รู้อะไรมากมายนักหรอก...แต่ถ้าในสิ่งที่ชั้นรู้ มันมีประโยชน์ ชั้นก็ยินดี”
   “ผมอยากทราบว่า วันที่ดาบ พงศธร ออกไปก่อนที่จะหายตัว คุณสังเกตหรือพบเห็นอะไรบ้างมั้ยครับ” ผมยิงคำถามใส่เธอทันที แต่เธอกลับไม่ตอบอะไรผม แต่เธอพลันลุกขึ้นก่อนที่จะเดินไปยังโต๊ะที่คาดว่าน่าจะเป็นโต๊ะทำงานของดาบฯ ก่อนที่เธอจะเปิดลิ้นชักพร้อมกับหยิบสิ่งๆหนึ่งติดมือมา ก่อนที่จะยื่นมาให้กับผม
   “นี่คือข้อความที่ดาบคุยกับผู้หญิงคนนั้น...คุณลองอ่านดู” ผมรับโทรศัพท์มาพร้อมกับอ่านข้อความเหล่านั้น
“คุณรู้ได้ยังไงครับ ว่าคู่สนทนาที่ดาบคุย...เป็นผู้หญิง ทั้งๆที่ข้อความ มันเหมือนผู้ชายคุยกันปกติทั่วไป”
“ก็เพราะว่าเขาเป็นสามีของชั้น ชั้นถึงได้รู้ ไอ้การกระทำหลบๆซ่อนๆแบบนี้ ชั้นจับมาได้ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ” เธอพูดด้วยอารมณ์สีหน้าที่ดูนิ่งเฉย ดูไม่มีอารมณ์หรือโกรธแค้นอะไร และหลังจากนั้น เธอก็เล่าเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุให้กับผมฟัง ใบหน้าของเธอที่ผมเห็น มันดูไร้ความรู้สึกอย่างที่ผมเคยบอก แต่ในดวงตาของเธอมันกำลังร้องไห้อย่างทุกข์ทรมาน อย่าว่าแต่เพียงเธอเลยครับ ในบรรดาอีกหลายๆบ้านที่ผมไปในวันนั้น ก็มีสภาวะที่ไม่แตกต่างอะไรกันสักเท่าไหร่ ทุกคนต่างเศร้าเสียใจการกับศูนย์เสียเสาหลักของครอบครัวหรือลูกชายอันเป็นที่รักของพวกเขา
กว่าผมจะพูดคุยกับญาติของผู้เสียชีวิตคนสุดท้ายเสร็จ ก็กินเวลาไปจนค่ำ วันนี้ผมแทบจะไม่ได้รับรู้เรื่องราวส่วนตัวของตัวเอง หรือแม้กระทั่งเรื่องงานหรือคนไข้ของผม เมื่อผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู กลับมี miss call มาเป็นร้อยๆสาย แต่มีเบอร์ๆหนึ่ง ที่ผมไม่คุ้น โทรมาหาผมเป็นจำนวนเกือบ 90 กว่าสาย แล้วไงต่อหรอครับ ไม่ต้องคิดให้ปวดหัว ผมรีบโทรกลับทันทีเลยสิครับ
“สวั..........ส”
“ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนคุณตั้ม ทำไมผมโทรหาคุณไม่รับสายผม”เสียงจากปลายทางพูดแทรกผมขึ้นมาทันทีหลังจากที่เขากดรับสายผม เสียงของเขาดูโกรธเอามากๆ จากที่ผมรู้สึก งงสิครับ
“เดี๋ยวๆคุณ นี่คุณเป็นใคร อยู่ดีๆมาพูดโมโหใส่ผม”
“ผมชัช” นายชัช แล้วทำไมเขาต้องมาโมโหผมด้วย “ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน บอกผมมา” เขาย้ำคำพูด
“ผมอยู่แถวศาลายา กำลังจะกลับ”
“ผมจะรออยู่ที่คอนโดคุณ จนกว่าคุณจะมาถึง” คำพูดทั้งท้ายก่อนที่เขาจะตัดสายไปโดยไม่ฟังอะไรผมสักคำ ในหัวผมตอนนี้มีแต่เครื่องหมายคำถามเต็มไปหมด ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
เกือบสามทุ่มในคืนนั้นกว่าผมจะมาถึงที่คอนโด พอผมเลี้ยวรถเข้าไปเท่านั้น ผมก็เห็นนายชัช ยืนประจันหน้าอยู่ตรงทางเข้าพอดี สายตาของเขาดูดุและน่ากลัวว่าที่ผมเคยเห็น ผมจึงตัดสินใจที่จะเลือกจอดรถที่ลานจอดด้านล่าง  แค่เพียงรถถอยเข้าซองยังไม่ทันเรียบร้อยดี เขาก็เดินตรงมาที่ด้านฝั่งคนขับที่ผมนั่งอยู่ และพยายามเปิดประตูรถทันที
“เดี๋ยวๆๆๆๆ”ผมร้องบอก กลัวประตูรถผมจะเจ๊งเอาสะก่อน ผมรีบจัดการดับเครื่องยนต์ ก่อนที่จะปลดล็อคประตู และเปิดออกไป “นี่คุณทำอะไรของคุณ เดี๋ยวรถผมก็พังหมดหรอก” ผมก็พูดแกมหยอกออกไป ถึงแม้จะคิดจริงๆก็เถอะ
“ผมรู้ว่าวันนี้คุณไปไหนมา คุณไม่กลัวอันตรายบ้างรึไง ถ้ามาตกรมันตามรอยคุณที่คุณพยายามจะไปสืบเรื่องของมัน มันทำอะไรคุณขึ้นมา...”
“เดี๋ยวๆคุณชัช คุณใจเย็นๆ ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย ครบ 32 ตามปกติ”ผมรีบพูดแทรกขึ้นมาทันที
“แต่ผมเป็นห่วงคุณ เข้าใจมั้ย มันไม่ใช่เรื่องที่คุณจะต้องมาเสี่ยง...ผมขอร้องล่ะ”น้ำเสียงและท่าทีของเขามันทำให้ผมเถียงไม่ออก ใบหน้าที่ดูเคร่งเครียด น้ำเสียงที่ดูเป็นห่วงและโมโหผมในเวลาเดียวกัน
“ซีเรียสมากขนาดนั้นเลยหรอ”ผมถามเสียงแผ่ว
“ใช่...ผมซีเรียส”
เขาย้ำคำผมอย่างเต็มคำ ผมก็ทำได้แต่เพียงยืนนิ่งพูดอะไรไม่ออก เหตุการณ์วันนี้มันทำให้ผมงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นไปหมด เขาคนนั้นเป็นอะไร ตั้งแต่ที่รารู้จักกันมา ผมไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้
“ผมขอโทษ...ผมไม่ได้อยากก้าวก่ายงานคุณ แล้วก็ไม่ได้อยากทำให้คุณต้องเป็นห่วง แค่อยากจะช่วยจริงๆ”
เขาได้แต่ยืนเงียบๆพลางถอนหายใจ  “คุณปลอดภัยกลับมาก็ดีแล้ว รีบขึ้นห้องเถอะ”น้ำเสียงของเขาดูอ่อนลง ขณะที่ผมกำลังจะก้าวเดินออกไป เขาก็ได้ยื่นขนมปังที่สภาพดูบี้แบนไปหมด
“ผมจะเอาคุณเมื่อเช้า แต่กลับเข้าไปก็ไม่เห็นคุณอยู่แล้ว” เขาพยายามหลบสายตาของผม “แต่ตอนนี้มันดูไม่น่ากินแล้ว …….”
“ไม่เห็นจะเป็นไรเลย คิดมากน่ะ”ผมรีบบอกกับเขาแทบไม่ทัน ก่อนที่จะรับขนมปังมากจากมือของเขา “ขอบคุณนะ …แล้วคุณก็ไปหาอะไรทานซะด้วย ไปละ” แล้วผมก็เดินห่างออกมาจากเขา ทำไมผู้ชายคนนี้มักมีอะไรให้ผมเเปลกใจได้ทุกวัน บางทีก็น่ากลัว บางทีก็ดูกวน แต่บางทีก็…น่ารัก อย่างวันนี้ ผมก็ต้องขอบคุณเขานะ ที่เข้ามาทำให้ชีวิตผมมีอะไรมากกว่า โรงพยาบาล คนไข้ กับคอนโด


………………………………

ทำไมในเช้าวันนี้ งานผมถึงมากขนาดนี้ก็ไม่รู้ อาจจะเป็นเพราะที่ผมออกไปตามหาเบาะแสเมื่อวาน ก็อย่างว่านะครับ คนเจ็บไข้ได้ป่วยยังมีอยู่ทุกวัน แถมแนมโน้มก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ วันนี้โชคดีนิดหน่อยครับที่ไม่ต้องออกไปปฎิบัติภาระกิจนอกสถานที่ที่ไหน แต่ภาระกิจภายในนั้นแน่นขนัดอย่างไม่ต้องพูดถึงเชียวครับ ทั้งครึ่งวันเช้า ผมนั่งง่วนอยู่แต่กับผู้ป่วยในห้องตวรจ แล้วยังต้องมีไปตรวจคนไข้ตามห้องพักอีก ทำยังไงได้ละครับ พยาบาลประจำของผมหนีไปแต่งงานซะแล้ว พยาบาลที่มาช่วยงานแทนก็ทำงานยังไม่ค่อยเข้าขากับผมเท่าไหร่ ก็เลยทำให้ช้าไปบ้าง
กว่าภาระกิจในวันนี้ของผมจะเสร็จสิ้นก็แทบทฃให้ผมเป็นลมคาโต๊ะกันไปเลยทีเดียว
ก๊อกๆๆ
“ขออนุญาตนะหมอตั้ม”
“อ้าว หมอแทน กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นรู้เลย” หมอแทนเป็นหมอรุ่นน้องที่ผมฝึกสอนครับ ก่อนหน้าน้องถูกย้ายไปช่วยงานที่โรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่ง เนื่องจากแพทย์เฉพาะทางทางด้านจักษุแพทย์ไม่เพียงพอ
“พึ่งมาถึงได้สักพักเองครับพี่ตั้ม มาถึงก็รีบมาหาพี่ตั้มก่อนเลย”
“แล้วเป็นยังไงบ้าง ไปช่วยงานที่โรงพยาบาล หัวหมุนเลยมั้ย”
“ยิ่งกว่าหัวหมุนอีกครับ ที่นั้นมีผู้ป่วยที่เป็นโรคต้อเยอะน่ะครับ ผมไปได้ไม่กี่วันก็มีคิวให้ผมทำการลอกตา ยาวเป็นห่างว่าวเลยล่ะ”
“ก็ดีแล้ว…จะได้ฝึกความชำนาญให้มากขึ้น….แล้วนี่ ต้องกลับไปช่วยเขาอีกทีวันไหน”
“ไม่ต้องแล้วครับ ตอนนี้ทางโรงพยาบาลได้รับคุณหมอมาเพิ่มเติมละครับ เห็นว่าจบมาจากเมืองนอก คงเก่งสุดๆไปเลย” แล้วแทนก็นั่งเล่าอะไรให้ผมฟังสารพัด ตามเหตุการณ์ที่เขาได้ไปพบเจอมา จนเวลาผ่านล่วงไปอย่างน่าตกใจเลยทีเดียว
“อืมนี่ หมอแทน เย็นนี้ว่างมั้ย ไปงานแต่งงานเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ ดูท่าทางวันนี้หมอเอกกับหมอแพรวน่าจะติดเคสผ่าตัดน่ะ”ผมเปิดประเด็นขึ้น
“งานแต่งใครครับพี่ตั้ม หรือว่าจะเป็น….พี่”ทำไมเสียงอ่อย!?
“ไม่ใช่ๆ งานแต่งดา ที่เป็นพยาบาลผู้ช่วยของผมไง”ผมรีบแย้งทันทีเชียวละ จะไปแต่งกะเขาได้ไง แฟนยังไม่มีกับเขาเลย
“อ่อ…พี่ดา อะไรกันหนีไปแต่งงานซะละ”
“ก็ใช่น่ะสิ สละโสดสายฟ้าแลบขนาดนี้ เอาตกใจไปเลย แต่ก็ดีใจแทน”
“แล้วที่พี่ตั้มมาชวนผมไปงานน่ะ เคลียร์งานเรียบร้อยแล้วหรอครับ”
“ ก็ใกล้จะเรียบร้อยแล้วละขออีก 15 นาที” ผมบอกกับแทนก่อนที่จะลงมือเคลียร์กับเอกสารของคนไข้ที่ผมต้องดูแลเป็นพิเศษ แล้วก็ไม่เกินการคาดคะเนของผม เพียงไม่เกิน 10 นาที งานเคสคนไข้ของวันก็พร้อมที่จะลงมือได้ในวันพรุ่งนี้ทันที ผมจึงรีบเก็บของเพราะกลัวว่าจะไม่มีเวลาเตรียมตัว
“ผมใส่ชุดนี้ไปเลยได้ใช่มั้ยครับ พี่ตั้ม”
“ ไม่ๆๆ ดาเขาตั้ง ธีมงานเป็น แว๊นๆ สก๊อยๆอะไรนี่ละ “
“ห๊ะ” ใช่ นายฟังไม่ผิดหรอกหมอแทน มันเป็นธีมที่แหวกแนวจริงๆนั้นละ “โคตรแนวเลยพี่ตั้ม”
“แนวเกินจนไม่รู้จะใปหาชุดที่ไหนเลยนะสิ” ไม่ใช่ว่าแอ๊บใสอะไรหรอกนะครับ แต่ตั้งแต่จำความได้ผมมีแต่เสื้อผ้าที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นลูกคุณหนูได้เลยเชียวล่ะ ก็อย่างว่ามีแต่แม่ที่จับผมแต่งตัว จะไปหวือหวาอะไรมากละครับ
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงเลยพี่ตั้ม เดี๋ยวผมพาไป” เจ้าแทนพูดพร้อมกับเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ๆของเขาออกมา  แล้วผมจะเป็นผู้เป็นคนกับเขามั้ยเนี้ย
หลังจากที่ผมจัดการเก็บของในห้องจนเเรียบร้อย เจ้าแทนไม่รอช้าที่จะพาผมไปยังสถานที่ๆเขารับประกันว่าไม่ผิดหวังแน่นอน แต่ก็ถือว่าสบายผม รถก็ไม่ต้องขับ แถมยังไม่ต้งกังวลเรื่องหาเสื้อผ้าอีก มันจะมีะไรชิลลลล์ไปมากกว่านี้อีกมั้ยน้า

การที่ผมแต่งตัวแบบนี้เข้าไปในโรงแรมระดับนี้ เขาจะให้ผมเข้าไปมั้ยนะ รู้สึกเพลียใจกับเจ้าของงานแต่งงานนี่ชะมัดเลย
“นี่พี่ต้องลงไปแบบนี้จิงๆหรอหมอแทน พี่ว่า มันดูขัดแย้งกับสถานที่จัดงานแบบสุดโต่งเลยนะ”
“นี่ละพี่หมอ ธีมเด็กแว๊นมันต้องแบบนี้…นี่ถือว่ายังเบานะครับ ถ้าเพื่อนผมจัดหนักกว่านี้ พี่แย่เเน่ๆ” ขนาดเบาๆนี่ยังกางเกงขาสั้นลายจุดสะท้อนแสง กับเสื้อยืดที่เหมือนว่าหยิมมาใส่แบบผิดไซด์ ผสมผสานกับรองเท้าแตะหูคีบที่ดูเก่าเก็บ แถมยังต้องผูกจุกยังกับกุมาร. ทำไมไอ้หมอแทนมันดูไม่อายแถมยังสนุกกับการแต่งตัวแบบนี้ หมดกันพอดีความน่าเคารพในการเป็นหมอของผม
“รีบไปเถอะพี่หมอ เข้างานเลทมากๆเดี๋ยวโดนเจ๊ดาขาแว๊น จัดการหรอก วันนี้วันสำคัญของพี่ดานะพี่”ก็เพราะไอ้วันสำคัญนี่ละถึงยอมทำ
ผมพยายามตั้งสติรวบรวมลมหายใจอีกครั้งก่อนที่จะก้าวลงจากรถอย่าง…เอ่อ….กล้าๆกลัวๆ ก่อนที่เจ้าแทนมันจะดึงมือพาผมวิ่งเข้ายัง lobby โรงแรม เพื่อไปสู่ยังห้องจัดงาน
แต่เมื่อขึ้นมาถึงยังที่จัดการ การแต่งตัวของผมดูเบาบางไปถนัดตา เพราะเเต่ละเจ้าแต่ละนางต่างมากันด้วยองค์ประกอบที่จัดหนักจัดเต็ม ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม แต่ถึงยังไง ผมก็ยังไม่ชินกับการแต่งตัวแบบนี้อยู่ดี
“นี่เด็กแว๊นสายไหนค่ะเนี้ย เปรี้ยวมากกกกกก” คำพูดทักทายของเจ้าของงานแต่งงานสุดแปลกในครั้งนี้ “ ดานึกว่าคุณหมอจะมาไม่ได้สะอีก แล้วนี่พาใครมาด้วยคะเนี้ย“สายตายั่วยวนของเธอเริ่มปฎิบัติการอีกครั้ง
“ก็หมอแทน หมอรุ่นน้องที่ผมเคยเป็นพี่ฝึกสอนให้ไง จำไม่ได้หรอ”
“ก็รู้สึกคุ้นๆแต่ไม่กล้าทักนี่คะ หายไปซะนานกลับมานี่หล่อจนจำไม่ได้เลยนะคะหมอแทน” เสียงอ่อนเสียงหวานเชียวนะ ผช.ดา
“นี่ของขวัญแต่งงาน” ผมพูดพลางยื่นกล่องของขวัญใบเล็กๆให้กับเธอ
“ขอบคุณมากๆเลยนะคะหมอตั้ม มาๆมาถ่ายรูปด้วยกันก่อน เชิญหมอแทนด้วยนะคะ” เธอไม่รอช้ารีบดึงผมไปเข้าเฟรมถ่ายรูปหน้างานในทันที แต่ผมไม่ค่อยจะ :m16:ภูมิใจกับการถ่ายรูปครั้งนี้สักเท่าไหร่ ทำไมน่ะหรอครับ ก็ไม่อยากให้มีการบันทึกว่าผมเคยแต่งตัวประหลาดๆแบบนี้มาก่อนยังไงละ แต่นะ ทำได้แต่ยิ้ม ยิ้ม แล้วก็ยิ้มอย่างเดียวๆ
หลังจากถ่ายรูปเสร็จผมก็รีบไปนั่งที่โต๊ะตามที่ เจ้าสาวเเสนเห้วคนนั้นได้จัดไว้ให้ผม ส่วนเจ้าหมอแทนน่ะหรอครับ เปรียบเสมือนเป็นงาน re -union ย่อมๆได้เลย เพราะเหล่าบรรดาคุณหมอและพยาบาลที่มาต่างรู้จักนายหมอหนุ่มคนนี้ซะเกือบหมด ก็คุยเก่งซะขนาดนั้นน่ะนะ
บรรยากาศในงานเป็นที่สนุกสนานเป็นอย่างมาก เหมือนเป็นวันที่ทุกคนได้ปลดปล่อยหลังจากเคร่งเครียดกับงานมาหนักหน่วง ส่วนผมน่ะก็ขอนั่งนิ่งๆอยู่ที่โต๊ะดีกว่า ไม่ใช่ว่าไม่ชอบนะครับ แต่แค่ยังไม่ชินกับเครื่องแต่งกายเท่านั้นเอง หึหึ


“ขออนุญาตขัดจังหวะความสนุกสักครู่นะครับ ตอนนี้ถึงเวลาที่คู่บ่าวสาวจะต้องขึ้นมาบนเวทีเพื่อกล่าวอะไรสักนิดกับแขกในงานหน่อย”
เสียงป่าวประกาศดังขึ้นจาก mc ประจำงาน  ไม่ทันสิ้นเสียง เจ้าบ่าวและเจ้าสาว ก็พากันเดินเข้างานมาทางประตูหลักทางเข้าของห้องจัดเลี้ยงเป็นความลงตัวหรือไม่ยังไงผมก็ไม่ทราบ ชุดเจ้าสาว สำหรับผมมันคือความจัดจ้านที่ผมไม่สามารถจำกัดความได้ว่าสก๊อยจริงๆเป็นยังไงแต่สำหรับดา ผู้ช่วยของผมนั้นมันน่าจะมากกว่าสก๊อยแล้วละ แล้วแถมยังมี Bridal veils เป็นพร๊อบเสริมเพิ่มเติมเข้ามาอีก มันคือความลงตัวที่แตกต่างสินะ แต่เอาเถอะวันนี้มันคือวันแห่งความสุข ของเธอและว่าที่สามี
“วันนี้ดาต้องขอขอบคุณแขกทุกๆท่านมากนะคะที่สละเวลาอันมีค่ามาร่วมงานแต่งงานของดากับพี่เป๊ก  แถมยังแต่งตัวตามธีมบ้าๆในแบบที่ดาตั้งขึ้นมาอีก ขอขอบคุณจากใจจริงๆเลยค่ะ และต้องขอขอบคุณ เพื่อนตำรวจของพี่เป๊กทุกๆคนด้วยนะคะ ที่ยอมแต่งตัวแบบนี้กันด้วย ซึ่งในตอนแรกพี่เป๊กก็จะไม่ยอมหรอกค่ะ”
“แต่เพราะรักไงครับถึงยอม” เสียงของเจ้าบ่าวพูดเเทรกขึ้น ทำให้มีเสียงโห่แซวดังทั่วห้องไปหมด หลังจากนั้นเจ้าสาวก็เริ่มเล่าถึงสิ่งที่ทำให้เขาทั้งคู่ได้พบเจอกัน และรักกันมาจนถึงทุกวันนี่ พอได้ฟังผมก็รู้สึกว่าดาเป็นผู้หญิงที่โชคดีมากคนหนึ่งที่เจอผู้ชายที่ยอมรับในความเป็นตัวตนของเธอได้ดีขนาดนี้ หวังว่าวันนึงผมคงจะมีโอกาศแบบนี้บ้างนะเนี้ย หลังจากจบงานพิธี ความสนุกสนานก็ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เพลงแดนซ์มันเขย่าโลกไผมขึ้นมาด้เริ่มต้นขึ้น ทุกคนไม่รอช้ารวมทั้งเจ้าสาวประจำงานยังต้องออกมาวาดลวดลายสาวขาแดนซ์ แหมช่างแก่นซะจริงๆ ส่วนผม…ก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ได้แต่นั่งมองผู้คนเหล่านั้น โยกย้ายกันอย่างสนุกสนาน

บรรยากาศในงานที่กำลังสนุกสนานแต่ตัวผมกับสวนทางไปซะอย่างนั้น อาการอ่อนเพลียจากการทำงานเริ่มออกฤทธิ์ขึ้นมาบ้างแล้ว
“เป็นยังไงบ้างครับหมอตั้ม ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้คนเดียวละครับ” เสียงของพี่เป็กสามีของดาเข้ามาทักทาย
“ไม่ล่ะครับ วันนี้ผมรู้สึกเพลียกับงานนิดหน่อย ปล่อยให้พวกเขาสนุกกันไปดีกว่า”
“งั้นเอาไว้งานรอบหน้าผมจะแจ้งคุณหมอเเต่เนิ่นๆนะครับ”
“งานหน้า?” เล่นเอาซะผมงงเลย
“คือรอบนี้เราจัดแบบกันเองน่ะครับ แต่รอบหน้าจะมีพิธีลอดซุ้มกระบี่น่ะครับ คือเอา อาฟเตอร์ปาร์ตี้มาก่อนพิธีจริงน่ะครับ”พี่เป็กพูดอย่างอารมณ์ดี ก็อย่างว่าละเนอะขืนแต่งตัวแบบนี้ในงานพิธีล่ะก็ พี่เป็กคงได้อยู่ย้ายไปอยู่สามชายแดนแน่ๆ ก็แซวไปนะครับ
“สงสัยก่อนถึงงานพิธีจริงคงต้องส่งเจ้าสาวไปเข้าคอร์สความเป็นกุลสตรีเพิ่มแล้วล่ะมัง้ครับ”
“ผมก็ว่าอย่างนั้นล่ะครับ ดีดซะเหลือเกิน” ดันตบมุขกลับผมอีก ไม่น่าละ ดา ถึงได้เลือกผู้ชายคนนี้เป็นคู่ชีวิต
“ยังไงวันนี้ผมคงต้องขอตัวกลับก่อน พอดียังมีงานที่รอสะสางอีกเยอะเลยล่ะครับ”ผมพูดบอกลากับเจ้าของงานอีกคนก่อนที่จะปลีกตัวเดินออกมาจากงานโดยที่ก็ยังมีพี่เป็กเจ้าบ่าวนี่ละที่เดินมาส่งผม ส่วนตัวเจ้าสาวน่ะหรอครับ องค์กำลังลงอยู่กลางฟลอร์เลย
   หลังจากที่ผมเดินออกมาจากงานและมานั่งรอแท็กซี่อยู่ที่ ล็อบบี้ของโรงแรม ก็อย่างที่ผมบอกตั้งแต่ตอนเข้างานนั้นล่ะครับ ว่าการแต่งตัวในวันนี้ผมช่างขัดแย้งกับสถานที่จัดงานมากขนาดไหน ขนาดมีพนักงานของโรงแรมไม่กี่คนนะ ยังรู้สึกตัวลีบแบนได้ขนาดนี้  เฮ้อดานะดา แต่ก็เหมือนฟ้าเป็นใจให้ผมไม่ต้องเป็นคนตัวเล็กอีกต่อไป แท็กซี่ที่ผมได้เรียกผ่านแอพพลิเคชั่นได้มาจอดเทียบที่หน้าโรงแรมพอดี
“ไป...”     ในเวลานั้นผมรู้สึกว่ามีคนมาดึงแขนผมเอาไว้ แต่พอหันไปดูก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คนคุ้นเคยที่ไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่ นายชัชไงจะใครละ
เขาหยิบเงินออกจากกระเป๋าเพื่อที่จะไปยื่นให้กับคนขับแท็กซี่คนนั้น
“ค่าเสียเวลาของคุณครับ  เดี๋ยวผมจะขับรถไปส่งเขาเอง”
“อ้าว...คุณ” งงเลยสิผม
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ถือว่าผู้โดยสารยังไม่ได้ขึ้น ยังไงมันก้เป็นทางผ่านอยู่แล้วด้วย”
“รับไว้เถอะครับ”เขาก้มเข้าไปยัดเงินใส่มือให้กับคนขับแท๊กซี่คนนั้นก่อนที่จะถอยออกมาพร้อมกับปิดประตู
“ไมทำงี้อ่า”
“ก็เดี๋ยวผมไปส่ง”
“ที่พักคุณกับคอนโดผมมันคนละทางกันเลยนะ ขับไปขับกลับเหนื่อยตายเลย”
“เอาเถอะ ตามผมมา” เป็นอย่างนี้อีกละไอ้นายคนนี้ทำไมชอบมาบังคับผม แล้วก็เอาอีกนั้นละ แล้วทำไมผมต้องเดินตามเขาไปด้วย เออ...งงกับชีวิตจิงๆ
“ไม่คิดว่าคุณจะมางานนี้กับเขาด้วย” ผมพูดทำลายความเงียบขึ้น
“ก็เพื่อนตำรวจแต่งงานทั้งที ถึงแม้จะอยู่กันคนละที่ก็เถอะ....”วันนี้เจ้าตัวก็มาในรูปแบบการแต่งตัวไม่ต่างจากผมไม่ว่าจะเป็นกางเกงขาสั้น  กับเสื้อยืดที่ซักแล้วมันหดหรือไงก็ไม่รู้  บวกกับทรงผมที่ดูไม่ได้จัดแต่งอะไรมากมายแต่ผมกลับมองว่าเขาดูดีกว่าผมอีก อาจจะเป็นเพราะรูปร่างของเขาที่มันดูทรมานใจสาวด้วยล่ะมั้ง
“ผมรู้นะว่าคุณกำลังคิดอะไร” เขาพูดขึ้นในขณะที่ผมกำลังเดินตามหลังเขา
“ก็แค่คิดน่ะแหม...ว่าคุณแต่งแบบนี้ก็...ดูน่า...รัก...ดี”ทำไมต้องพูดเสียงเบาด้วย งง แต่เขาก็ไม่ได้ตอบกลับอะไรผมนะ ไม่รู้ว่าได้ยินหรือเปล่าด้วยซ้ำ
“คุณรออยู่ตรงนี้ล่ะ ผมจะเข้าไปเอารถ”แล้วผมก็ทำตามอย่างว่าง่าย ไม่เข้าใจจริงๆ
แต่ในขณะที่ผมยืนรอเขาอยู่นั้น ก็ได้มีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง เข้ามาเทียบจอดข้างหน้าผม แต่ว่าเอ๊ะ สีเสื้อกับสีกางเกงมันคุ้นๆ
“นี่...หมวกของคุณ”เขาพลางถอดกระเป๋าใส่หมวกกันน็อคที่สะพายอยู่ด้านหลังให้กับผม  แต่พวกคุณรู้หรือเปล่า ว่าผมกับการนั่งมอเตอร์ไซค์เนี้ย มันเป็นอะไรที่ไม่ถูกกันเลย เพราะอะไรน่ะหรอ ไม่ว่าผมจะนั่งมอไซค์ไปกับเพื่อนคนไหนก็แล้วแต่  ถ้าไม่ล้ม ก็ชน....ไม่คนก็หมาแมวข้างทาง พากันเจ็บตัวไปหมด มันเลยทำให้ผมขยาดกับการนั่งมอเตอร์ไซค์ไปเลยล่ะ
“มานี่มา...ผมใส่ให้”สงสัยเขาคงรอที่ผมทำใจนานไม่ได้ล่ะมั้ง
“ไม่เป็นไร...เดี๋ยวผมใส่เอง”ผมรีบพูดสวน ก่อนที่จะรีบใส่หมวกกันน็อคใบโตอันนั้น ก่อนที่จะก้าวขึ้นมอเตอร์ไซค์อย่างเก้ๆกังๆ
 แล้วไอ้มอเตอร์ไซค์ที่เขาพามาด้วยเนี้ย มันเป็นรุ่นอะไรผมไม่รู้หรอก แต่มันคันใหญ่เกิน ขึ้นก็ขึ้นยาก เบาะก็สูง ที่จับข้างหลังก็ไม่มี แล้วผมจะรอดมั้ยเนี้ย
“ต้องจับด้วย ไม่จับดีๆเดี๋ยวก็ตกลงไปหรอก” ทำมาเป็นพูดดี ไม่ได้อยากมาขึ้นด้วยเลย
“จะให้จับตรงไหนล่ะ ไอ้ที่จับข้างหลังก็ไม่มี” ก็มันจริงนี่หว่า
“จับตรงนี้ไง”แล้วเขาก็จับมือของผมให้ไปเกาะที่เอวของเขา ทำเอาตกใจทำไรไม่ถูก
“จะบ้าไงคุณ ผู้ชายขึ้นมาไซค์แล้วมานั่งกอดเอวกันเนี้ยนะ”
“ก็ผมไม่ได้สนใจคนอื่นไง...แต่ก็แล้วแต่คุณ” สิ้นเสียงคำพูดของเขา เสียงกระหึ่มคำรามจากรถมอเตอร์คันโตของเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่จะบิดพุ่งไปข้างหน้า จนผมแทบหงายหลังตกลงไป เขาคงได้ยินเสียงร้องตกใจของผม แต่เขาก็ยังคงขี่ต่อไป จะให้ทำไงได้ล่ะครับ  ก็มันมีที่เกาะอยู่ที่เดียว มันก็เลยต้องเกาะ ....นี่มันอะไรกันเนี้ย
   หลังจากที่ผมกับกับเขาเดินทางกันมาได้สักพักหนึ่ง ก็อย่างว่านะครับ เส้นทางในกรุงเทพฯมันจะทำให้เขาขี่เร็วได้แค่ไหนกันเชียว แต่ก็นะ เหมือนตานี่มันแกล้งผม พอผมปล่อยมือออกจากเอวเขาเมื่อไหร่ เขาก็จะรีบเบิ้ลเครื่องให้มันเร็วจนกระชากจะทำให้ผมต้องหงายหลังได้ทุกที อย่าให้ถึงทีของผมบ้างก็แล้วกัน ยังไงผมก็คงต้องก้มหน้าเกาะเอวของเขาไปจนถึงคอนโดของผมนั้นล่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-08-2019 07:56:36 โดย Jackkiesatg »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

นายชัชนี่  เกาะติดเป็นเห็บหมาเลยเนอะ  อิอิ

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
เจอกันบ่อยดีแล้วค่ะ​ ห่วงคุณ​หมอ​ ให้คุณชัชคอยดูแลจะได้หายห่วง​ แสดงว่าฆาตกร​เกลียดคนเจ้าชู้แน่เลยแรงจูงใจ​อาจจะเกลียด​ตำรวจที่เจ้าชู้แค้นเลยหาเหยื่อมาฆ่า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Jackkiesatg

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
พาร์ทของชัช  (ตอนนี้แบ่งเป็น 2 ส่วนนะครับ มันจะยาวหน่อย)​


   นี่ก็เป็นอีกวันนึงที่เหมือนกับทุกๆวันที่ชีวิตของผม มีแต่งาน งาน แล้วก็งาน ไม่ใช่เพราะอะไรหรอกครับ ผมแค่ไม่อยากวกกลับไปคิดในเรื่องเก่าๆเท่านั้นเอง หลายๆคนชขอบถามผมว่า ทำไมผมไม่เริ่มต้นชีวิตใหม่ หาแฟนใหม่ สาวใหม่ ไม่เห็นที่จะต้องมาจมอยู่กับอดีตแบบนี้ แล้วผมจะตอบอะไรได้ล่ะครับ ถ้าคนๆนั้นไม่ได้เจอสถานการณ์แบบผม เขาก็คงไม่เข้าใจหรอกว่ามัน blank แค่ไหน จนเมื่ออาทิตย์ก่อน พี่เป็ก รุ่นพี่ร่วมสายงานเดียวกับผม ที่แต่ก่อนเคยเข้าร่วมอบรมในหลักสูตรเดียวกัน มายื่นการ์ดแต่งงานให้กับผม ที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกภายในไม่กี่วันข้างหน้า
   “ไอ้ชัช…การ์ดงานแต่งกู นี่กูมาเรียนเชิญมึงด้วยตัวเองเลยนะเว้ย”เสียงของรุ่นพี่ที่มาพร้อมกับแรงปะทะที่หัวของผมในขณะที่ผมกำลัง เวท เทรนนิ่ง
   “อ่าว หวัดดีครับพี่มาถึงก็เคาะเรียกสติผมเลยนะ”ผมผ่อนเครื่องที่ผมกำลังเล่นพร้อมกับยื่นมือไปรับการ์ดจากมือพี่เป็ก
   “ได้ฤกษ์แต่งแล้วหรอพี่ ยินดีด้วยนะครับ”
   “แล้วเมื่อกี้มึงได้ยินที่กูพูดใช่ป่าว ว่ากูมาเรียนเชิญมึงด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้น จะเป็นจะตายยังไง มึงก้ต้องไป” เหมือนพี่เป็กจะอ่านเกมส์ผมออก เลยพูดดักคอผมเอาไว้ก่อน “เพราะถ้ามึงไม่ไปงานกู กูจะถือว่ามึงไม่ได้เคารพกูเหมือนเดิมแล้ว เคนะ?
   “โห…พี่เป็ก เอาแบบนี้เลยหรอพี่ โหดไปเปล่า?”
   “ก็กูอยากให้มึงกลับไปเป็นไอ้ชัชคนเดิมที่กูเคยรู้จักเมื่อสองปีก่อนนี่หว่า มึงเล่นเป็นแบบนี้ ใครบ้างว่ะที่จะไม่เป็นห่วง กูว่ามึงควรวางอดีตเเล้วเริ่มปัจจุบันได้แล้ว มึงไม่คิดหรอว่ะ ว่าถ้าพลอยเขารับรู้ว่าเขาทำให้มึงต้องทนทุกข์ทรมานแบบนี้ แล้วเขาจะรู้สึกดีหรอว่ะ” มาเป็นชุดเลยพี่ผม
   “ไม่ใช่ผมไม่พยายาม แต่ยิ่งผมพยายามมากแค่ไหน ผมก็ยิ่งทำให้ผมลืมเรื่องพวกนั้นยากขึ้นเรื่อยๆ”
   “กูไม่ได้บอกให้มึงลืม แต่กูหมายถึง ให้มึงใช้ชีวิตโดยที่มีเขาเป็นแค่ความทรงจำที่คอยสอนมึงว่า อะไรที่มึงควรทำหรือมึงไม่ควรทำ ไอ้ชัช
ไม่มีใครลืมอดีตหรือเรื่องอื่นๆได้หรอกเว้ย แต่เพียงแค่เเขาต้องอยู่กับอดีตให้เป็นเท่านั้นเอง มึงอย่าทำให้คนที่จากไป เขามีห่วงดิว่ะ ตอนมีชีวิตเขาก็อยากให้มึงมีความสุข ถึงตอนนี้เขาไม่มีชีวิต เขาก็อยากให้มึงมีความสุขเหมือนกัน”
   ผมก็ได้แต่เพียงนั่งนิ่ง เพราะไม่ได้มีพี่เป็กแค่คนเดียว คนอื่นๆที่พยายามมาให้กำลังใจผมแบบนี้มีมากมายไปหมด แต่มันคงเป็นที่ตัวผม ที่อ่อนแอเอง
   “มึงต้องหาใครสักคน…หรือใครก็ได้ที่มึงอยู่กับเขาแล้วความรู้สึกหม่นหมองที่มึงมีอยู่มันหายไป ในชีวิตมึงมันต้องมีบ้างละน่ะ”
   “ผมจะลองดูอีกทีพี่”
   “จำไว้นะเว้ย ชีวิตเรามันไม่แน่ไม่นอน อยากทำไรรีบทำ เพราะยิ่งมึงไม่รู้ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น มึงยิ่งต้องทำในสิ่งที่ใจของมึง อยากทำ” คำคมทิ้งท้ายจากพี่ชายผม ก่อนที่จะเดินออกไปจากฟิตเนส เป็นไงครับ เฉียบเลยใช่มั้ยล่ะ  และในวันนั้น คำพูดที่พี่ของผมพูด มันก็วนเวียนอยู่ในหัวของผม และถ้าการเริ่มต้นใหม่ของผมมันเป็นการเริ่มต้นที่ใครคนอื่นไม่เข้าใจ แล้วผมจะสู้มันไปได้ไกลแค่ไหนกัน ผมอาจจะแข็งแกร่งในเรื่องของพละกำลังร่างกาย แต่ใจผมมันอ่อนแอจนบางทีตัวผมเองยังกลัวเลย

            ....................................................................................

ผมเผลอหลับไปตอนไหนว่ะเนี้ย ชิ-หายแล้ว ทำไมคุณไม่ปลุกผมละคุณชัช” อาการสลึมสลือของผมของผมหายเป็นปลิดทิ้งหลังจากที่ค้นพบว่าตัวเองนั้นนั่งหลับบนรถมอเตอร์ไซค์
   “ก็ผมเห็นว่าคุณกำลังหลับสบาย เลยไม่อยากปลุก”
   “รู้ได้ยังไงว่าผมหลับสบาย ผมอาจจะนั่งจนเป็นตะคริวขยับไม่ได้เลยก็ได้” แถไปไหนเนี้ย
   “ก็น้ำลายคุณไหลเต็มหลังผมแบบนั้น อันนั้นแหละที่บอกว่าคุณกำลังหลับสบาย”การอมยิ้มแบบนั้นของเขา มันกำลังสื่ออะไร ทำไมการอยู่กับนายคนนี้ผมถึงมีแต่เรื่องโก๊ะๆตลอดเวลา
   “ผมขอโทษคุณด้วยละกัน”ผมก็พูดได้แค่เสียงอ่อยๆ ตอนนี้หน้าแตกแบบหมอเพื่อนผมก็ไม่รับเย็บแล้วล่ะ “คุณกลับไปพักเถอะ อีกไม่กี่ ชม.ก็จะเช้าแล้ว”
   “ที่นี่ก็บ้านผม จะให้ผมไปไหนละ”
   “......” งงสิครับ
   “แต่ว่าคุณใจร้ายมากนะ ขนาดผมทำขนาดนี้ คุณยังไล่ให้ผมกลับไปบ้านที่อีก”พูดมาแบบนี้ พาลเอาตัวเองทำอะไรไม่ถูกเลย “ผมแซวเล่นน่ะคุณ...ไปเถอะ ขึ้นไปข้างบนกัน” ทำไมผมหน้าชาแบบบอกไม่ถูก หลังจากที่เขาก้าวถอยลงจากรถ อาการยืนไม่คงที่ก็มีปรากฎให้เห็นบ้าง และมันก็คงมาจากผมที่ต้องทำให้เขานั่งหลังแข็งแบบนั้นเป็นเวลานาน
   “ไปกันเถอะคุณ” เสียงเขาของแทรกเข้ามาในภวังค์ความรู้สึกผิดของผม เราทั้งคู่ต่างพากันเดินเข้าในในคอนโด โดยที่มีคีย์การ์ดของเขาเป็นตัวผ่านทางให้กับผม
   “แล้วคุณพักอยู่ชั้นอะไรล่ะครับ คุณชัช” ผมถามทำลายความเงียบขณะที่เราทั้งคุ่กำลังอยู่ในลิฟท์
   “ชั้นไหนเดี๋ยวคุณก็รู้”ไอ้การอมยิ้มแบบมีเลศนัยของเขาเนี้ย มันทำให้ผมยิ่งฟุ้งซ่าน ถือว่าเป็นโชคดีของเขานะเนี้ยที่ประตูลิฟท์เปิดที่ชั้นของผมซะก่อน
   “คุณไม่ต้องเดินมาส่งผมหรอก”ผมพูดพลางล้วงหากุญแจห้องในกระเป่ากางเกงของตัวเอง แต่ทำไมผมหามันไม่เจอสักที “ผมไม่รู้ว่าผมเอากุญเเจห้องไปไว้ไหน  แถมกระเป๋าตังค์ก้ด้วย”
   “ลองนึกดูดีๆคุณ ว่าตั้งแต่คุณออกมาจากที่ทำงาน แล้วคุณไปแวะที่ไหนบ้าง” การประมวลผลในสมองของผมเริ่มการทำงานทันที และเพียงไม่กี่วินาที ความทรงจำที่เลือนหายไปเพราะความงัวเงียก้ปรากฎขึ้น
   “ผมลืมไว้ที่รถของหมอแทน” เบื่อความสัพเพร่าของตัวเองซะจริง
   “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยคุณ ยังไงพรุ่งนี้คุณก็ต้องไปทำงานอยู่แล้ว”
   “จะไปยังไงล่ะคุณ เงินก็ไม่มี รถก็จอดอยู่ที่โรงพยาบาล ขืนให้น้องสาวมารับผมแต่เช้า มันด่าผมตายเลย”
   “แต่คุณมีผมไง” คำพูดที่แทรกขึ้นมาทำให้ผมอึ้งไปชั่วขณะ “งั้นวันนี้คุณไปพักที่ห้องของผมก่อนก็แล้วกัน อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลห้องคุณหรอก”
ไอ้คำว่าไม่ใกล้ไม่ไกลของเขามันคือห้องข้างๆผมนี่ละ ทำไมผมไม่เคยรุ้มาก่อนว่านายชัชคนนี้มีห้องพักอยู่ข้างๆผม
   “เชิญเข้ามาเลยคุณ”เสียงกล่าวชวนหลังจากที่เจ้าตัวเปิดประตูห้องเดินเข้าไป หลังจากที่แสงไฟสว่างขึ้น ภาพที่ปรากฏ คือความเรียบร้อยและสะอาดตามากกว่าที่ผมคิดทั้งเครื่องใช้และของตกแต่ง เป็นสไตล์คล้ายแบบเดียวกับห้องของผม แม้กระทั่งสีของโซฟา พรม และที่สำคัญ การจัดวางเหมือนกับในห้องของผมไม่มีผิดเพี้ยน
   “เป็นอะไรคุณ ยืนนิ่งไปเลย”
.   “อ้อ เปล่าน่ะไม่มีอะไร” ผมพูดก่อนที่จะทิ้งตัวลงยังโซฟาในห้องรับแขก ก่อนที่เขาจะยื่นผ้าและชุดนอนมาให้กับผม
   “คุณพอจะใส่ได้หรือเปล่า ลองดู”
   ส่วนตัวผมก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธ ผมจึงจัดการเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการกับธุระส่วนตัวของผมดดยที่ไม่สนใจว่า เสื้อผ้าที่เขายื่นมานั้นจะใส่ได้หรือเปล่า แต่ว่าหลังจากที่ผมได้เปลี่ยนชุดแล้วมันทำให้ผมรู้สึกว่า ชีวิตของผมกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง หลังจากที่ชุดรัดติ้วพวกนั้นได้หลุดออกไปจากร่างกายผมได้สักที  แต่ทว่า......เจ้าของห้องหายไปไหนกันละเนี้ย ด้วยความถือวิสาสะ ผมจึงเดินไปดูยังห้องต่างๆ ทั้งในห้องครัว ห้องนั่งเล่น และก็เหลือเพียง....ห้องนอน...แต่ยังดีนะ ที่ผมยังสามารถยื้อมือตัวเองเอาไว้ได้ทัน ผมจึงตัดสินใจทิ้งตัวเองลงบนโซฟาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็มันทั้งดึกทั้งเพลีย จะให้ต้านไหวยังไงละครับ



   “ปี๊ด ปี้ ปี้ดๆๆๆ” เสียงนาฬิกาปลุกจากมือถือของผมดังขึ้นทำลายโสตประสาทที่หลับไหลให้ตื่นขึ้นมาอย่างรำคาญเสียไม่ได้ หลังจากที่ผมค่อยๆลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆด้วยความงัวเงีย ก็ได้ยินเสียงเเว่วๆดังมากจากห้องครัว เลยเหมือนถุกบังคับให้เดินไปดูอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ผมเตรียมอาหารเช้าเอาไว้ให้ นั่งทานก่อนได้เลยนะคุณ”เขาบอกกับผมด้วยท่าทีที่ยิ้มแย้ม ซึ่งผมไม่ได้เคยเห็นมันมาก่อน
   คุณตื่นมาทำตั้งแต่กี่โมงเนี้ย แต่ไม่อยากเชื่อเลยว่า คุณจะทำอาหารได้น่าตาดีขนาดนี้”ปากหมาซะอย่างนั้นผม
   “ก็ผมใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมาตั้งนาน จะให้ใครเขามาทำให้ผมทาน ก็ต้องทำเองอ่ะดิ”เขาพูดพลางล้างจานใบสุดท้ายขึ้นจากอ่าง “แต่ไม่รู้ว่ารสชาติจะถูกปากคุณรึเปล่า เพราะคุณทานอาหารรสจัดไม่ได้ ก็เลยได้เมนูพวกนี้ละ”
   ซุปเห็ด กับขนมปังกระเทียม คือเขาเก่งที่สามารถทำของพวกนี้ได้เอง เรื่องอะไรที่ผมต้องรอช้า กระเพาะของผมเรียกหาของกินตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว....มันอร่อยมาก!!!!.... ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนแข็งกระด้างอย่างเขาจะมีฝีมือมากขนาดนี้
   “เป็นไงบ้างคุณ พอทานได้รึเปล่า” เขามานั่งตรงหน้าพร้อมกับถามผมอย่างเกรงๆ
   “ไม่ใช่แค่พอทานได้ แต่มันอร่อยมากเลยล่ะ”ผมกินอย่างไม่เกรงใจเจ้าภาพเลยล่ะ เพียงไม่กี่นาทีอาหารที่จัดเตรียมไว้พาลหายเรียบเข้าท้องผมไปหมด
       “เอาเพิ่มอีกมั้ยคุณ ยังมีอยู่ในหม้ออีกเยอะเลย” เขาพูดบอกผมขณะที่กำลังกินอยู่ แต่ก็นะด้วยความเกรงใจของผม จะรอช้าอยู่ทำไมล่ะครับ รีบไปตักเพิ่มอย่างเร็วเลยล่ะ ก็ทำไงได้มันอร่อยจริงๆนี่ แถมมันยังหิวอยู่ไม่หายเลย
      “แล้วนี่คุณจะต้องไปถึงโรงพยาบาลกี่โมง ผมจะได้กะเวลาถูก”
      “ก็ไม่เกินแปดโมงอ่ะคุณ วันนี้มีตรวจคนไข้พักฟื้นตอนเช้า”
      “แล้วหลังช่วงบ่ายไป คุณว่างหรือเปล่า?”
      “ก็มีชันสูตรศพนี่ละ ผมรู้สึกว่าผมทิ้งคดีมานานเกินไป วันนี้กะว่าจะตรวจสอบอะไรเพิ่มเติม เผื่อจะมีอะไรสาวถึงตัวคนร้ายได้บ้าง
      “งั้นเดี๋ยววันนี้ช่วงบ่ายผมเข้าไป ยังไงผมจะโทรเขาหาคุณอีกที”
      “โทรหาผม?”
      “ใช่….โทรหาคุณ”
      “คุณจะโทรหาผม…คุณมีเบอร์ของผมด้วยหรอ”สงสัยเข้าไปใหญ่
      “ก็ถ้าคุณจำวันที่ผม miss call ไปหาคุณเป็นร้อยสายได้ คุณก็จะรู้ว่าผมมีเบอร์ของคุณ” น้ำเสียงเย็นชาแบบนี้มัน come back มาแล้ว “คุณไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะ เดี๋ยวตรงนี้ผมจัดการเอง” มาแบบเต็มรูปแบบเเล้วด้วย จะให้ผมทำยังไงละ ผมเป็นพวกสมองปลาทอง จะจดจำได้ก็พวกเรื่องเรียนกับเรื่องงานที่ทำเท่านั้นละ ผมก็รู้ว่ามันก็เป็นการทำร้ายน้ำใจเขาเหมือนกัน แต่มันก็พลั้งปากพูดไปแล้ว
      หลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จ ออกมาที่หน้าห้องน้ำก็พบกับชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแล็คสีน้ำตาลแขวนอยู่ ถ้าให้ผมเดาจากสถานการณ์แล้ว ก็คงเป็นชุดที่ผมจะต้องใส่ทำงานทำในวันนี้อย่างแน่นอน ก็ผมมาตัวเปล่านี่ครับ ถ้าจะให้ใส่ชุดของเมื่อคืนออกไป ผมยอมลางานซะดีกว่า หลังจากจัดการกับการแต่งตัวจนเรียบร้อย ผมก็ตัดสินใจมานั่งรอเขาที่โซฟา ไม่เกิน 10 นาที เขาก็เดินมาจากห้องนอนของอีกฝั่งมาที่ห้องรับแขก พร้อมด้วยชุดตำรวจที่เนี้ยบ เรียบ เป๊ะ ไม่น่าล่ะทำไมสาวๆถึงชอบใจละลายกับผู้ชายในเครื่องแบบ
      “ถ้าคุณไม่ได้ติดอะไรแล้วก็ไปกันเถอะ ผมไม่อยากให้คุณต้องสายในวันที่ผมต้องไปส่ง” เขาคนเดิมกลับมาอย่างเต็มรูปแบบ ที่ดูไม่สนใคร ไม่แคร์ใคร ก็รับกรรมกันไปตามระเบียบแล้วกันผม
      หลังจากที่เราทั้งคู่ก้าวขึ้นรถ พอขับลงมาถึงลานจอดรถหน้าคอนโด ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งมายืนดักหน้ารถตอนที่เขากำลังจะสแกนบัตรออก
     “เขาบอกเขามารอคุณชัชน่ะครับ” รปภ.คนหนึ่งบอกกับเขาด้วยท่าทางที่ดูสนิทกันพอสมควร และผู้หญิงคนนั้นก็เดินไปทางฝั่งที่ชัชนั่งอยู่ ก่อนที่เจ้าตัวจะลดกระจกลงเพียงคืบเดียวเท่านั้น
     “ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่ใหม่ อันดาเข้าถึงตัวคุณยากจังเลยนะคะชัช” เสียงของผู้หญิงคนนั้นลอดผ่านช่องกระจกเขามา
     “ก็ดีแล้วที่คุณเข้าถึงตัวผมยาก เพราะมันก็ตรงกับความต้องการของผมอยู่แล้ว” ผู้ชายคนนี้น่ากลัวแท้
     “แล้วไม่คิดจะเปิดประตูให้อันเขาไปนั่งในรถคุณบ้างหรอคะ” ผู้หญิงคนนั้นโน้มตัวท้าวมาที่กระจกรถและมองมาที่นายชัชด้วยสายตาที่เรียบนิ่ง
แต่ก็ไม่เท่าความนิ่งของนายคนนี้หรอก เขาทำเหมือนเธอคนนั้นไม่มีตัวตนด้วยซ้ำ
“เดี๋ยวผมโทรหาน้องสาวให้ไปส่งผมที่โรงพยาบาลแทนก็ได้ ถ้าคุณมีธุระ……”
“ไม่หรอก ธุระจบละ” เขาพูดสวนขึ้นมาพร้อมกับเลื่อนกระจกปิดก่อนที่จะค่อยๆเคลื่อนตัวรถออกไปจากบริเวณดังกล่าว
     ตลอดการเดินทางมานั้น ความรู้สึกอึมครึมมันเกิดขึ้นเต็มรถไปหมด ไอ้บทอยากจะเอ่ยปากถามหรือพูดอะไร มันก็ดันไม่ใช่เรื่องที่ผมควรจะก้าวก่ายเขาด้วยซ้ำ แต่ความรู้สึกแบบนี้มันน่าอึดอัดชะมัด ผมจึงถือวิสาสะเอื้อมมือไปกดเปิดเพลงที่วิทยุในรถ เมื่อเสียงเพลบรรเลงงดังขึ้น ความอึดอัดที่มีมันก็พลันเบาบางลงบ้าง
     “คุณชอบฟังดนตรีแนวนี้หรอคุณชัช” ผมถามทำลายความเงียบที่เขากำลังสร้างขึ้น แต่ก็แปลกนะ รอบนี้เขาดันตอบผมง่ายกว่าทุกๆที
     “ ใช่ …ผมชอบฟัง แล้วเสียงดนตรีพวกนี้ ก็มักละลายความเครียดอออกไปจากหัวของผมได้” ยังจะมาทำเสียงขรึม
     “ถ้าคุณชอบฟังมากขนาดนี้ แปลว่าคุณก็ต้องเล่นเครื่องดนตรีพวกนี้เป็นด้วยล่ะสิ”
     “ก็พอได้” ตอบง่ายๆสั้นๆแค่นี้ ก็ตามใจ  และไม่นาน เจ้าตัวก็พาผมขับรถมาถึงโรงพยาบาล ซึ่งในอีกหนึ่งนาทีถ้าผมไม่ทันมันจะทำให้ผมเข้าตรวจคนไข้ช้ากว่าเวลาที่กำหนดไว้ “ผมไปก่อนนะคุณ ขอบคุณมากๆที่มาส่ง”ก่อนที่ผมจะเปิดประตูและรีบวิ่งไปในมันที สปีดเร็วกว่านรกของผม ทำให้ผมมาถึงห้องภายในเวลาไม่ถึง 2 นาที แต่ก็พาเอาผมเหนื่อยแทบตายเหมือนกัน
     “วันนี้สาย 1 นาทีนะคะหมอตั้ม” จะเป็นใครละครับ พยายาลผู้ช่วยสุดซี้ของผม
     “แหม ก็นิดนึงน่า ไม่ได้ตั้งใจให้มันสายสักหน่อย….อืม แล้วนี่ เตรียมชาร์จคนไข้ที่มีคิวผ่าตัดในอีก 2 วันข้างหน้าให้ด้วย ที่จะผ่าเรื่องหมอนรองกระดูกทับเส้นน่ะ เห็นญาติคนไข้บอกว่าคนไข้เป็นโรคโลหิตจางร่วมด้วย แต่จากที่ผมอ่านชาร์จรอบก่อน ไม่มีระบุไว้”ผมบอกกับดาอย่างคร่าวๆก่อนที่ลงตรวจตามเวลาที่ผมได้นัดคนไข้ไว้


                   พาร์ทของชัช
      หลังจากที่ผมไปส่งหมอตั้มที่โรงพยาบาล ผมก็ใช้เวลาเกือบ ชม.ที่กว่าจะฝ่าฝูงรถติดมาจนถึง สน.ได้ แต่มาถึงก็พาลมีเรื่องให้ผมต้องทำทันที
“ผู้หมวดครับ มีรายงานจากสายที่เราให้ไปติดตามคนที่คาดว่าเป็นคนร้ายน่ะครับ สองคนจากปากคำผู้ให้การ สองคนนั้นเป็นแค่ผู้หญิงขายบริการครับ และจากการที่สายเราล่อซื้อ พฤติกรรมของทั้งสองคนนั้นไม่ตรงกับคำที่ผู้เห็นเหตุการณ์ให้ไว้ครับ”
“ผมก็คิดไว้เหมือนกัน เพราะมีหลักฐานหลายอย่างที่บ่งบอกว่าคนร้ายมีความรู้และความสามารถมากกว่าที่เราคิด และคาดว่าคนร้ายน่าจะเคยทำหรือกำลังทำงานโรงพยาบาล แต่ไม่เป็นไร....เดี๋ยวเรื่องนี้ผมสืบต่อเอง ขอบใจมาก” คดีนี้มันมีหลักฐานที่ขัดแย้งกับข้อมูลที่ถูกแจ้งมาหลายอย่าง เลยทำให้การสืบสวนออกนอกเส้นทางจนแทบจะไม่สามารถสืบสาวไปยังคนร้ายตัวจริงได้ ผมจึงหยิบแฟ้มคดีขึ้นมาอ่านอีกครั้ง ก็รู้สึกเอะใจว่า สถานที่ที่พบศพ อาจไม่ใช่สถานที่ๆทำคดีฆาตกรรมก็เป็นได้ เพราะในแต่ละสถานที่ ไม่ได้มีความเหมาะสมที่จะเป็นที่ฆาตกรรมได้เลยสักนิด
แล้วก่อนที่เหยื่อเหล่านั้นจะถูกฆ่า พวกเขาได้ไปที่ไหนกันมาบ้าง ผมไม่รอช้าที่จะรีบโทรหา ปวีณ ในทันที
     “ไอ้วีณ ตอนนี้มึงอยู่ที่ สน. หรือเปล่า”
     “กูกำลังจะเข้าไปนี่ละ พอดีออกไปเอาเอกสารมาว่ะ แล้วมึงมีอะไรรึเปล่า!?” ผมจึงจัดการเล่าความต้องการที่ผมต้องการให้มันมาร่วมมือช่วยผมในวันนี้ ให้มันฟัง เพียงไม่กี่ประโยคที่ผมพูดไปมันก้ตบปากรับคำทันที
      “งั้นเดี๋ยวอีก 10 นาทีเจอกัน ส่วนมึงก็เอารายละเอียดของญาติผู้เสียชีวิตมาให้ครบ จะได้จัดการรวดเดียวไปเลย”มันบอกสั่งผมก่อนวางสาย ผมก็ไม่รอช้าที่จะรวบรวมข้อมูลและหลักฐานสำคัญเอาไปจนหมด และไม่นาน ไอ้ปวีณมันก็มาถึง ผมจึงรีบลงไปในทันที
     “แล้วมึงจะเริ่มจากใครเป็นอันดับแรก” มันถามผม
     “กูว่าจะเริ่มจากบ้าน รต.มนตรี”
     “แล้วนี่มึงมีแผนในหัวหมดแล้วใช่อ่ะ”
ผมพยักหน้าเป็นคำตอบให้กับมันในขณะที่สายตาของผมกำลังอ่านรายละเอียดอย่างรอบคอบอีกครั้ง ก่อนที่ไอ้วีณจะเหยียบคันเร่งไปตามสถานที่ที่ผมกำหนดลงไปใน gps เราทั้งคู่ใช้เวลาเกือบ 2 ชม. จนมาถึงบ้านของ รต.มนตรี
“มึงมั่นในนะว่าจะได้ข้อมูลที่มึงต้องการจากบ้านของตำรวจคนนี้” ไอ้วีณถามขึ้น
“จะได้หรือไม่ได้มันก็ต้องลองดู”สิ้นคำพูดผมผมก็ก้าวลงจากรถทันที
~~กิ๊งก่อง~~
“อ้าวคุณ....มาที่ต้องการอะไรอีก” ดุดันเหมือนครั้งก่อนไม่ทีผิด
“สวัสดีครับ หวังว่าคุณป้าคงจำผมได้ ส่วนข้างๆผมคือร้อยตำรวจโทปวีณ ครับ คือ…ผมมีเรื่องอยากให้คุณป้าช่วยผมอีกสักเรื่องน่ะครับ ผมรบกวนเวลาเพียงไม่นาน “เขายืนมองหน้าผมเหมือนกับครั้งก่อน ก่อนที่จะเดินมาเปิดประตูให้เราทั้งคู่เข้าไป
     “ไหนว่าเรื่องที่คุณต้องการให้ดิฉันช่วยมาสิคะ”
     “คือผมอยากทราบว่า รถกับมือถือของ รต.มนตรี ยังอยู่หรือเปล่าครับ” ผมถามตรงทันที
     “มือถือก็ยังอยู่ ส่วนรถ…พ่อของเขาเอาขับไปข้างนอก อีกไม่นานก็คงกลับมา แล้วคุณมาถามถึงของสองสิ่งนี่ทำไม”
     “ผมแค่อยากแกะรอยว่าลูกชายของคุณป้าได้ไปที่ไหนมาบ้างน่ะครับ ถึงแม้ว่าวันที่เกิดคดีลูกชายของคุณป้าจะไม่ได้ขับรถออกไปก็ตาม เราแค่อยากแกะรอยจาก gps จากรถของเขาน่ะครับและ ผมขอสอบถามเรื่องส่วนตัวของลูกชายคุณป้ได้มั้ยครับ”
    “เรื่องอะไรล่ะ ถ้ารู้…ฉันก็จะบอก”
     “ลูกชายของคุณป้าพักที่บ้านที่เดียวหรือเปล่าครับ หรือว่ามีพักที่บ้านพักของข้าราชการด้วย”
     “ตลอดสองปีที่ผ่านมาก็มีบ้างที่เข้าจะไปที่บ้านพัก แต่ส่วนใหญ่เขาจะกลับมาที่บ้านหลังนี้มากกว่า”
     “แล้วลูกชายของคุณป้าเคยบอกมั้ยครับ ว่าเขาเคยคบกับใครหรือเป็นแฟนกับใครบ้าง”
     “เท่าที่เขาเคยเล่า ก็มีสองคน แต่เขาก็เลิกลากันไปก่อนที่จะเกิดเรื่องนานอยู่เหมือนกัน”
     “แล้วคุณป้ารู้จักเป็นการส่วนตัวกับผู้หญิงสองคนนี้หรือเปล่าครับ”
     “ก็พอตัว แต่ก็ไม่ได้รู้อะไรมากทุกวันนี้เขาทั้งสองคนก็ยังแวะมาเยี่ยมเยียนหลังจากทราบข่าวว่า ตามนเสีย แต่เขาทั้งคู่ก็มากับแฟนของเขานะเท่าที่เขาแนะนำให้ป้ารู้จัก
     “แล้วเรื่องสุดท้ายครับ กับผู้หญิงคนล่าสุดที่คุณป้าเคยเห็น พอทราบมั้ยครับว่าเขาทั้งคู่ได้พูดคุยกันมานานเท่าไหร่เเล้ว”
     “เท่าที่เขาบอกก็ไม่น่าเกินสี่เดือน” ขณะที่ผมกำลังนั่งจดรายละเอียด คุณป้าก็เดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นมาให้ผม
     “หวังว่าคุณจะทำให้ลูกชายของดิฉันหลุดพ้นได้ซักทีนะคะ””สิ้นคำพูดของเธอคนนั้นผมก็ได้แต่มองหน้าเธอตอบ  ผมอาจจะไม่สามารถรับปากเธอได้ว่าผมจะทำให้เรื่องมันคลี่คลายได้หรือเปล่า แต่ผมก็จะเต็มที่ และผมก็หวังว่าเธอผู้นั้นจะเข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังทำ หลังจากที่จบการสนทนาผมก็เลยตัดสินใจกลับไป สน.อย่างเดิม
     “มึงได้มือถือมาจะทำอะไรได้วะ ยังไงมันก็คงไม่น่ามีอะไรให้มึงสืบได้อยู่แล้ว”
     “กูขอลองวิธีที่กูคิดก่อนท่าไม่มีอะไรพลาด มันน่าจะได้เบาะแสอะไรบ้าง”
     “แล้วทำไมมึงไม่ไปหาเบาะแสจากญาติผู้เสียชีวิตคนอื่นอีก เผื่อมันจะยืนยันสมมุติฐานที่มึงกำลังอยากรู้ได้
     ”เพราะกูกำลังคิดว่าถ้าจะลงมือตีสนิทหรือรู้จักอะไรกับใครสักคนมันจะใช้วิธีไหนเขาหาคนๆนั้น แล้วอีกอย่างจากที่ดูมือถือเครื่องนี้ ไม่ได้ถูกตั้ง fringerprint scan ไว้ มันต้องเข้าด้วยรหัสผ่านเท่านั้น ดูจากสภาพแล้วคนร้ายไม่น่ามีความรู้เรื่องเครื่องมือไอทีสักเท่าไหร่ และเป็นเพียงคนเดียวที่คนร้ายทิ้งมือถือไว้กับศพ เพราะทรัพย์สินของผู้ตายทุกคน ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลยสักชิ้นเดียว”
  ในเวลาเกือบเที่ยงของวันนั้นกว่าผมจะกลับมาถึง สน. ผมไม่รอช้าที่จะรีบกลับมาทำในสิ่งที่ผมคิดไว้ ผมจัดการสอบถามอีเมลของ รต.มนตรี จาก เพื่อนร่วมงานของเขาจากข้อมูลเบื้องต้น จนได้อีเมลมาจากเพื่อนสนิทคนหนึ่งซึ่งเขายืนยันว่า รต.มนตรี ใช้อีเมลนี้ติดต่อมากกว่าอีเมลของทางราชการ แต่ก็อย่างว่านะครับ ได้อีเมลแต่ไม่มีพาสเวิร์ดก็ไม่เป็นผล แต่ผมแค่หวังใจให้อีเมลตรงกับในตัวเครื่องที่ผมได้มาเป็นพอ แล่วมันก็เป็อย่างที่ผมคาดไว้ แต่ปัญหาอีกอย่างคือผมจะเข้ารหัสมือถือเครื่องนี้ได้ยังไง แต่ผมลืมไปว่ามือถือของเขาไม่ได้ต่างจากของผมสักเท่าไหร่ คือถ้ามีข้ความส่งเข้ามา มันก็สามารถโชว์ให้เราเห็นว่ามีรายละเอียดข้อความอะไรบ้าง แต่อยู่ดีๆเพื่อนของ รต.มนตรีคนที่ผมได้โทรไปถามเรื่องอีเมลก็โทรกลับมาบอกถึงเรื่องพาสเวิร์ดของเมลนั้น เนื่องจาก 
    “หมวดชัช นะครับ”
     “ครับ ผมหมวดชัช”
     “ คือเมื่อสักครู่ ผมลองสอบถามเพื่อนๆเรื่องอีเมลที่หมวดถามผมมา  มีเพื่อนของหมวดมนอีกคนหนึ่งที่พอรู้เรื่องรายลละเอียดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ เขาบอกว่า รหัสที่หมวดมนชอบใช้มีอยู่ไม่กี่แบบ เขาเลยลองคร่าวๆมาให้ ยังไงหมวดจดตามผมเลยนะครับ
อันแรก 12092531mt อันนี้เป็นวันเกิดของหมวดมนครับ อันที่สอง  04062501 อันที่สาม 384412 ส่วนอันสุดท้ายเหมือนจะเป็นพาสเวิร์ดเข้ามือถือ น่ะครับเห็นเจ้าตัวบอกว่าเคยกดเล่นมือถือของหมวดมนหลายครั้ง แต่ไม่แน่ใจว่าจะยังใช้พาสฯเดิมอยู่หรือเปล่านะครับ 1739 แล้วก็ 3304 ยังไงหมวดลองดูนะครับ พวกเราพร้อมช่วยเหลือเต็มที่”
     “ ขอบคุณมากนะครับ ไม่งั้นผมคงนั่งงมกับพาสเวิร์ดตายแน่ๆ ขนาดตอนนี้ผมยังจะลองใช้ระบบทางไอทีแก้ไข ยังไม่รู้จะสำเร็จรึเปล่าเลย”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-08-2019 08:23:13 โดย Jackkiesatg »

ออฟไลน์ Jackkiesatg

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ต่อจาก C7 นะครับ


หลังจากกล่าวขอบคุณ ผมก็จัดการเอาพาสเวิร์ดที่ผมได้มา ลองใส่กับมือถือก่อนทันที โดยผมลองจากรหัสแรก 1739 แต่ก็ไม่เป็นผล แล้วตอนนี้มันก็เหลือเพียงอันเดียว คือ 3304 ปรากฏว่ามันสำเร็จ ผมสามารถเข้ารหัสมือถือของหมวดมนได้ คราวนี้ก็เหลือแค่ลองตรวจสอบว่าหมวดมนได้ขับรถไปที่ไหนมาบ้างก่อนที่จะถูกฆาตกรรม ผมเลยลองเข้าผ่านโปรแกรมๆหนึ่ง google location history แต่คราวนี้ก็เป็นการเสี่ยงกับรหัสของอีเมล โดยผมดูอีเมลจากการ log in เข้าใช้เครื่อง และลองใช้รหัสที่ทางเพื่อนของหมวดมนให้มา ผมจึงตัดสินใจเลือกใช้รหัสตัวแรกในการเข้าใช้ ปรากฏว่ามันสามารถเข้าได้อีกเช่นเคย เลยทำให้การตรวจสอบนี้ร่นระยะเวลามากกว่าที่ผมคิด  และจากเส้นทางที่ปรากฏใน map แสดงให้เห็นถึงสถานที่ๆหมวดได้ไปมา ผมจึงเลือกดู ก่อนหน้าสองอาทิตย์ก่อนถูกฆาตกรรม มีจำนวนถึง 15 สถานที่ แต่ก็ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นสถานที่ใดบ้างที่หมวดไปซ้ำๆกันหลายๆครั้ง ผมจึงรีบลุกขึ้นเดินไปหาปวีณที่นั่งทำงานอยู่อีกห้องหนึ่งทันที
     “ไอ้วีณ กูพอได้เบาะแสมาบ้างแล้วว่ะ ว่าก่อนถูกฆาตกรรมหมวดมนไปสถานที่ไหนมาบ้าง มีทั้งหมด 14 สถานที่ แต่ตอนนี้ที่กูตัดออกไปได้4 ที่ก็คือ บ้านพ่อแม่เขากับห้างสรรพสินค้าอีก 3 แห่ง” ผมพูดพลางเดินไปนั่งตรงหน้าไอ้วีณมัน
    “ ก็เหลืออีก 9 สถานที่ ที่เราต้องสืบค้น…. มันไม่ใช่น้อยๆเลยนะเว้ย และดูจาก list ที่มึงจดมา 4  สถานที่คือโรงแรม 1 สถานที่คือบ้านพัก อีก 2 เป็นผับบาร์ ส่วน 2 ที่สุดท้ายคือรีสอร์ท ที่ปราณฯ กับ ที่เขาใหญ่ มึงจะตามไปเชคยังไงได้ว่ะ แล้วอีกอย่าง ถ้าการจองที่พักที่รีสอร์ททั้งสองที่ไม่ได้ใช้ชื่อหมวดมนขึ้นมา มันก็จะยิ่งสืบค้นยากเข้าไปอีก”
     “มึงอย่าลืมสิว่ามีกล้องวงจรปิด แล้วเเค่ลองเอารูปหมวดไปให้ Reception ที่นั้นดู อาจจะพอได้รู้อะไรบ้าง”
     “แต่วันนี้ไม่ได้แล้วดิวะ กูพึ่งได้รับคำสั่งมาสดๆร้อนๆให้ไปลงพื้นที่เรื่องยา แต่ท่าพรุ่งนี้ไม่น่ามีปัญหา”
     “แต่กูรอไม่ได้เว้ย….” ผมทักท้วงเสียงแข็ง แตก็นะ “งั้นเอางี้ เดี๋ยวเรื่องวันนี้กูจัดการเอง ส่วนพรุ่งนี้มึงออกนอกพื้นที่กับกู ไปปราณฯ กับเขาใหญ่กัน”
พอพูดคุยกับปวีณจนเสร็จเรียบร้อย ผมก็เริ่มต้นภารกิจที่ผมได้วางแผนเอาไว้ทันที แต่พอดูเวลาอีกที มีนเลยนัดที่ผมได้นัดกัยหมอตั้มเอาไว้แล้วนี่ แต่ผมไม่อยากเป็นครผิดคำพูด ถึงจะเลยเวลายังไงผมก็ต้องไป จากสน.ผมไปยัง รพ.ที่หมอตั้มอยู่ปกติใช้เวลาไม่ถึง 15 นาที แต่ด้วยการจราจรมันอาจจะทำให้เกินไปมมากกว่าที่เกณฑ์ไว้ ผมจึงตัดสินใจใช้ มอเตอร์ไซค์ที่ใช้ออกลาดตระเวน เป็นพาหนะหลักซะเลย
   จนเมื่อถึง รพ.ผมรีบสับเท้าอย่างไวในแบบที่ผมสามารถ ณ เวลานั้น จนมาถึงหน้าห้องตรวจ ที่หมอตั้มนั่งประจำเวรอยู่ ผมจึงรีบเปิดประตูเข้าไป
แต่เมื่อผมเห็นหน้าหมอตั้ม มันกลับทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก
     “เป็นอะไรคุณ เดินเข้ามาไม่พูดไม่จา…เชิญนั่งก่อนสิ” ยิ่งได้ฟังคำพูดและน้ำเสียงนุ่มนวลแบบนี้ มันยิ่งทำให้ผมพูดไม่ออกเข้าไปใหญ่ ในตอนนี้มันมีทั้งความรู้สึกผิด ความเขินอายผสมผเสอยู่เต็มไปหมด
     “ผมขอโทษที่ผมมาช้า เลยเวลาที่นัดคุณไว้” ในที่สุดก็พูดอะไรออกมาได้สักที
     “ไม่เห็นเป็นไรเลยคุณ คุณก็ต้องทำงานเหมือนกัน ผมเข้าใจ แต่ไหนบอกว่าจะโทรเข้ามาก่อนไง”
     “ก็เห็นว่ามันเลยมานานแล้วเลยเข้ามาเลยดีกว่า…แล้ว…..คุณ..ทานอะไรไปหรือยัง”
     “ยังเลย…ก็คิดว่าคุณจะเข้ามา…ก็เลยรอ หวังว่าคุณคงจะยังไม่ได้ทานมาใช่ป่ะ?” ทำไมถึงทำหน้าทะเล้นแบบนั้น
     “ยังหรอกครับ แต่ถ้าออกไปทานคงมีเวลาไม่มาก พอดีพึ่งได้เบาะเเสเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมมา เลยอยากจะไปสถานที่เพื่อตรวจสอบเบื้องต้นหน่อยน่ะ
     “ จริงหรอ….งั้นผมไปด้วย เดี๋ยวเราหาอะไรทานตามร้านสะดวกซื้อก็ได้ จะได้ไม่เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ งั้นเดี๋ยวผมขอเก็บเอกสารแปปนึง”
     “งั้นเดี๋ยวผมไปรอคุณหน้าห้องแล้วกัน”
ผมก็ปลีกตัวเองออกมานอกห้องทำงานของเขา เพื่อที่เขาจะได้ทำอะไรได้สะดวกขึ้น ไม่นานหลังจากที่ผมเดินออกมา เขาก็เดินตามออกมาพร้อมกับกระเป๋าเป้ใบเล็กที่คาดหน้าอกออกมา
     “พร้อมแล้วคุณ ไปกันเลย” ไฟแรงซะจิงไอ้คุณหมอคนนี้

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Jackkiesatg

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
"ขับช้าๆหน่อยยยยยยยยย”
เสียงที่พยายามเปล่งให้ดังกว่าลมปลิวมาสะท้านที่ข้างหูผม  แต่กลับกลายเป็นผมกับสนุกกับการที่เห็นไอ้คุณหมอคนนี้กลัวอะไรแบบนี้ซะอย่างนั้น ก็เลยแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินไปซะเลย  แต่ดันมามีไฟจราจรดักหน้าผมไว้ซะก่อนล่ะสิ
     “ผมไม่ไปต่อแล้วคุณ คุณไปจัดการเรื่องของคุณคนเดียวเหอะ”น้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความกลัวและโกรธไปพร้อมกัน ขณะที่เขากำลังจะก้าวลงจากมอเตอร์ไซค์ของผมตรงแยกไฟแดง พอดีมือของผมไวกว่าขาของเขาน่ะนะ
     “ขี่หลังเสือแล้วลงไม่ได้แล้วนะคุณ”
     “ แต่คุณก็รู้ว่าผมไม่ชอบนั่งอ่ะ”เขารีบพูดสวนเลยล่ะ
     “เดี๋ยวคุณก็จะชอบ…แล้วอีกอย่างผมเคยบอกคุณแล้ว ว่าให้กอดที่เอวผม…ถ้าไม่เชื่อ…คุณก็ลองทำดู แล้วมันจะไม่มีอะไรน่ากลัวเลย”
     “แต่นี้มันตอนกลางวันนะคุณ แถมคนเต็มถนนไปหมด”
     “คุณอยากหายกลัวหรือคุณอยากจะกลัวต่อไปละ คุณเชื่อผมดิ ผมไม่เคยหลอกคุณ” ผมถือว่าเป็นคำพูดที่จะทำให้เขาสบายใจและไม่ต้องสนอะไรกับใครที่เราแค่เพียงผ่านไปมากับพวกเขา
      “คุณนี่มันพวกรั้นชัดๆ”เสียงที่บ่นพึมพำอยู่ในหมวก แต่ผมกลับได้ยินซะชัดเชียวขณะที่ไฟจราจรกำลังจะเปลี่ยนสี ปรากฏว่าเขาเอื้อมมือลงมากอดเอวของผมด้วยแขนทั้งสองข้าง พร้อมกับหน้าที่ซบอยู่บนแผ่นหลังของผม มันกลับกลายเป็นว่า ผมรู้สึกมีความสุขซะอย่างนั้น แต่ใช่ว่าเรื่องพวกนี้ ผมจะอนุญาตกับทุกคนซะหน่อย ถ้าผมไม่รู้สึกอะไรด้วยละก็นะ
 และจนในที่สุด เราทั้งคู่ก็มาถึงสถานที่แรกที่เป็นโรงแรมมิลเลเนียม ฮิลตัน กรุงเทพ เราทั้งคู่ต่างไม่รอข้ารีบเข้าดำเนินการในทันที  เมื่อไปถึงยัง Reception ของโรงแรม ผมจึงขอติดต่อกับผู้จัดการ เพื่อที่จะดำเนินการอะไรได้สะดวก หลังจากพูดคุยไม่ถึง 5 นาที ทางโรงแรมก็ยืนยอมให้ทางเราตรวจดูกล้องวงจรปิดได้
     “ แล้วหมวดจะให้เราโฟกัสใครในกล้องวงจรละครับ” ผู้จัดการถามขึ้น จึงทำให้ผมนึกได้ รีบเปิดมือถือให้ผู้จัดการและพนง.ในบริเวณนั้นได้ดู ผู้จัดการจึงสอบถามถึงชื่อของหมวดมนตรี ก่อนที่จะให้พนง.ที่รับจองโต๊ะที่นั่งในภัตาคารของโรงเเล้วตรวจสอบว่าได้มีการลงชื่อจองเอาไว้หรือไม่ในเวลาเดียวกันเราก็ได้ตรวจดูเทปกล้องวงจรปิดก่อนหน้า สองอาทิตย์ก่อนเกิดเหตุ แต่เหมือนการสอบสวนนี้เป็นใจ ทำให้เรารู้ว่า หมวดมนตรี ได้จองโต๊ะเอาไว้ในวันที่ 24 เมษายน ในเวลา 20.00 น.หลังจากที่ได้ทราบวันที่แน่ชัด พนง.จึงรีบเปิดเทปไปยังวันที่ 24 ในทันที และเราก็ได้เห็นหมวดมนตรีมาพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่งที่แต่งกายเป็นชุดเดรสกระโปรงสั้นสีน้ำเงิน ผมสั้นหยักโศก ใส่แว่นกันแดดแฟชั้นที่ทีลักษณะใหญ่ แต่ที่สำคัญเธอกำลังพยายามหลบมุมกล้อง  แม้กระทั่งตอนขึ้นลิฟต์ เธอหยอกล้อและเล่นกับหมวดมนตรีจนเราไม่สามารถจับรูปพรรณสัณฐานของเธอได้อย่างชัดเจน แต่จากที่เห็น ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนรูปร่างเล็ก สูงประมาณ 170-175ผิวขาวเหลือง จนลิฟต์ไปจอดอยู่ที่ชั้น 32 ซึ่งเป็นห้องอาหาร Three sixty lounge ตลอดระยะเวลาการเดิน เราไม่สามารถจับใบหน้าของเธอผู้นั้นได้เลย และโต๊ะที่เธอได้ก็เป็นโต๊ะที่กล้องวงจรปิดไม่สามารถจับไปถึง
“งั้นถ้าเราขอทราบว่า พนักงานที่ประจำตำแหน่งในวันนั้นมีใครบ้างจะได้มั้ยครับ ผมอยากสอบถามอะไรเพิ่มเติม”เสียงหมอตั้มดังขึ้นในขณะที่ผมกำลังวนอยู่ภาพกล้องวงจรปิดซ้ำๆ
     “คุณ…..ผมว่าเราลองไปสอบถามคนที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นดีกว่า บางทีผมว่าอาจจะได้รูปพรรณที่ชัดเจนมากกว่า เพราะจากในกล้องมันยากมากที่จะสัณนิฐานว่าเป็นใคร”
     “งั้นคุณนำขึ้นไปก่อนเลย เดี๋ยวผมขอเก็บภาพตรงนี้ก่อน เสร็จแล้วเดี๋ยวจะรีบตามไป”


…………………..
     “เป็นยังไงบ้างคุณ พอได้อะไรเพิ่มเติมบ้างรึเปล่า” ผมถามตั้มที่กำลังนั่งสอบถามพนักงานที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น
     “ส่วนมากก็บอกว่าเห็นแค่ผ่านๆ แล้วก็ไม่ได้จดจำอะไรขนาดนั้น เพราะส่วนมากลูกค้าหลายๆคนก็แต่งตัวมาแบบนั้นจนเป็นเรื่องปกติ แต่มีน้องพนักงานที่เป็นเชฟ ทำงานอยู่ข้างหน้าขอเธอคนนั้นพอดี บอกว่า เธอรับประทานอาหารอย่างระมัดระวังมาก และสวมแว่นตาอยู่ตลอดเวลา และเขาก็เห็นว่าหมวดมน พยายามเอื้อมมือเพื่อที่จะไปถอดแว่นของเธอ แต่ดูเหมือนจะไม่สำเร็จ”
     “แล้วไม่มีใครเห็นอะไรมากกว่านี้อีกหรอ เช่น เข้าไปเจอในห้องน้ำ หรือตอนเข้าไปบริการตามโต๊ะน่ะ” ผมถามเสริมขึ้น แต่ก็เหมือนจะไม่เป็นผล
     “คือ….หนู อ่ะค่ะ” พอมีผลบางแล้ว “คือมีลูกค้าท่านหนึ่งให้หนูเข้าไปช่วยรูดซิบชุดของเธอในห้องน้ำเพราะเธอบอกว่าซิบมันหวานจนทำให้ล็อคไม่อยู่  ตอนที่หนูกำลังแก้ซิบให้กับชุดลูกค้า หนูก็เห็นเธอคนนั้นออกมาจากห้องน้ำ แล้วก็ออกมาล้างมือแต่งหน้าตรงที่ล้างมือน่ะค่ะ แต่เธอก็ไม่ได้ถอดแว่นนะคะ แต่จากที่หนูสังเกตุเห็นก็คือตอนที่เธอกำลังหยิบเครื่องสำอางค์ เธอทำบัตรใบนึงตกลงที่พื้น หนูก็เลยรีบเอื้อมมือไปเก็บให้ กับเธอ
 แต่ว่าหน้าบัตรมันคว่ำนะคะ หนูเลยไม่รู้ว่าเธอชื่ออะไรแล้วก็เป็นบัตรอะไรด้วย”
“โอเค…ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวะขอชื่อพวกน้องไว้ แล้วถ้าพี่จะสอบถามอะไรเพิ่มเติม พี่จะติดต่อมาทางหัวหน้าพวกน้องอีกที”ผมพูดบอกกับพวกน้องๆอีกครั้ง ก่อนที่หมอตั้มจะตามจดชื่อของพวกน้องๆเหล่านั้นเอาไว้ หลังจากจัดการเรื่องจนเสร็จเรียบร้อย เราทั้งคู่ก็วางแพลนที่จะไปยังโรงแรมต่อไป คือ โรงแรมอนันตา สาทร
     “ เหลืออีก 3 ที่จะทันหรอคุณ แต่ละที่ไม่ได้ใช้เวลาน้อยๆเลยนะ” หมอตั้มถามผมขึ้นมา แต่จากที่สังเกตุหมอตั้มดูอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด
     “ ทันสิคุณ  3 ที่ แค่แปปเดียว” ผมพูดบอกกับเขา ผมก็ได้แต่เพียเห็นงการพยักหน้าเบาๆเป็นคำตอบของเขา “เอาอย่างนี้ เดี๋ยวคุณรออยู่ตรงนี้แปปนึง เดี๋ยวผมมา” ผมรีบวิ่งไป ร้านสะดวกซื้อร้านหนึ่งที่อยู่ไกลจากตัวโรงเเรมเท่าไหร่ เมื่อไปถึงผมก็ไม่รู้จะซื้ออะไรให้กับเขา ผมจึงตัดสินใจหยิบในสิ่งที่ผมชอบทานในเวลาที่หิวมากๆ นั้นก็คือ Snickers  เมื่อคว้าได้ผมก็รีบชำระเงินแล้วก็วิ่งกลับไปที่รถทันที
    “ไปไหนมาอ่ะคุณ”
    “คุณทานลองท้องไปก่อน …มันคงพอแก้หิวได้” ผมยื่น Snack bars ให้กับเขาพร้อมกับน้ำดื่มขวดเล็ก
    “ แล้วของคุณละ” ผมเลยตบที่กระเป๋ากางเกงของผมเพื่อสื่ให้เขารู้ว่า ผมไม่พลาดอยู่แล้ว
    “ คุณทานก่อนก็ได้นะ”
    “ไม่เป็นไร ยังพอไหวอยู่ รีบทำงานของเราต่อดีกว่า”
ผมก็ไม่อยากขัดศรัทธา ผมจึงก้าวนำขึ้นค่อมมอเตอร์ไซค์ ก่อนที่เขาจะก้าวขึ้นค่อมตามผมขึ้นมา แต่คราวนี้เขาดูคล่องแคล่วมากกว่าสองครั้งแรกที่ดูขัดๆยังไงก็ไม่รู้  เรื่องอะไรที่ผมจะต้องรอช้า ก็ต้องรีบพุ่งตัวไปยังที่ที่สองเลยสิครับ โรงแรมที่สองนี้คือโรงแรมอนันตา สาทร อยู่ห่างจากที่แรกไปไม่มาก ก่อนที่เราทั้งสองจะจัดการตามขั้นตอนที่เราได้เคยทำไว้ที่โรงแรมก่อนหน้าทันที แต่คราวนี้ ภาพจากกล้องวงจรปิดกลับไม่ได้แสดงให้เห็นถึงผู้หญิงปริศนาคนนั้น กลับพบแต่ หมวดมนตรีกำลังถือกล่องสีน้ำตาลอิฐใบหนึ่ง ที่หน้ากล่องสกรีนลายแบรนด์กระเป๋าสุดหรู แต่ปลายทางจากการขึ้นลิฟต์ ตรงไปยังห้องพักห้องหนึ่งที่ชั้น 31 (เป็นห้องSkyline Premier) ผมก็รีบให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบทันทีว่า ผู้ที่ลงชื่อจองห้องพักเป็นใคร แต่จากที่พนักงานตรวจสอบชื่อนามสกุลมาจนเรียบร้อย ผมจึงให้ปวีณตรวจสอบ ปรากฏว่าชื่อที่ทำการจองมีทะเบียนราษฎร์อยู่ในจังหวัดพัทลุงและยิ่งมีการสืบค้นลึกต่อไปเรื่อยๆ หญิงสาวผู้นี้เป็นเพียงแม่ค้าที่ค้าขายอยู่ในตลาดใต้โตนดเท่านั้น เราจึงย้อนดูกล้องวงจรปิดอีกครั้ง จนพบกับหญิงสาวเจ้าปัญหาที่เข้ามาเชคอินตอนเวลา 13.00 น ของวันที่ 22 เมษายน จนผมต้องเรียกพบพนักงาน Reception ทีปฎิบัติงานในช่วงเวลานั้น
  “ตอนที่ผู้หญิงคนนั้นมาเชคอินตอนเวลา 13.00 น. ใครเป็นคนรับเรื่องครับ”
  “ ดิฉันค่ะ…เธอมาแจ้งว่าได้ติดต่อห้องพักเอาไว้ทางเวบไซต์น่ะค่ะ ดิฉันก็ตรวจสอบตามปกติ ชื่อก็ตรงตามบัตรประชาชน เธอก็จัดการจ่ายค่าห้องพักเป็นเงินสดน่ะค่ะ ดิฉันก็เลยจัดการให้พร้อมกับยื่นกุญแจให้กับเธอ” พนักงานคนแรกเป็นคนพูด
     “แล้วตอน check-out ละเป็นยังไง” ผมถามต่อ
     “ตอนเช็คเอ้าท์เป็นดิฉันที่รับเรื่องค่ะ แต่เป็นคุณผู้ชายนะคะ ที่เป็นคนจ่ายค่าส่วนต่างเรื่องค่าอาหารและน้ำดื่มน่ะค่ะ แล้วก็มาเพียงคนเดียวไม่ได้มีใครติดตามมาด้วย”
     “แล้วคุณจำเค้าโครงหรือรูปพรรณของผู้หญิงคนนั้นได้บ้างมั้ย” ผมถามกลับไปยังพนักงานคนแรก
     “ก็คงจะหุ่นกำลังดีน่ะค่ะ ถึงแม้เธอจะใส่ Overcoat อยุ่แต่ดูจากใบหน้าของเธอแล้วน่าจะหุ่นดีแน่นอน ส่วนความสูงก็พอๆกับดิฉัน ประมาณ 172 มั้งคะ ผิวดูขาวเหลือง จากที่ดิฉันเห็นที่มือกับลำคอนะคะ”
     “ แล้วใบหน้าล่ะ มีจุดสังเกตุอะไรบ้าง”
     “เธอใส่แว่นกันแดดเข้ามาค่ะ แว่นอันใหญ่พอสมควร ส่วนรายละเอียดบนใบหน้าส่วนอื่นๆก็ไม่ได้มีอะไรให้เป็นจุดสังเกตุค่ะ แต่เธอดูเป็นคนสวยคนนึงเลยนะคะ
     “ ยังไงผมต้องขอบคุณพวกคุณทุกคนมากที่ให้ความร่วมมือ ถ้าผมต้องการคำให้การอะไรเพื่มเดี๋ยวผมจะติดต่อกับมาอีกที” ผมรีบพูดปิดงานในเวลานั้น เพราะถึงแม้เราจะมาเป็นโรงแรมที่สองแต่เราแทบไม่ได้อะไรคืบหน้าขึ้นมาเลย
     “ เธอคนนั้นระวังตัวเองดีมาก ขนาดสถานที่ใหญ่ๆมีกล้องวงจรปิดนับไม่ถ้วน แต่เธอก็สามารถปิดบังใบหน้าของเธอจนเราไม่สามารถที่จะตาม
หรือตรวจสอบอะไรได้เลย” ผมพูดกับหมอตั้มที่เดินอยู่ข้างๆผม
     “มันปกติน่ะคุณ ถ้าคุณเป็นคนร้ายคุณก็ต้องปกปิดระวังตัวเองถึงที่สุดเหมือนกัน แต่เราก็ยังรู้ว่ารูปร่างเธอเป็นยังไง สูงประมาณเท่าไหร่ มันก็พอที่จะได้เค้าลางๆมาบ้างแล้วน่ะคุณ” คำพูดของหมอตั้มมันก็ทำให้ผมคล้อยตามได้ เพราะความจริงแล้ว วงค้นหาที่เกำลังทำ มันแคบลงมากจากคำให้การและภาพหลักฐานต่างๆ “แล้วนี่เราจะไปไหนต่ออ่ะคุณ นี่ก็จะห้าโมงแล้ว”
เเละเราทั้งคู่ก็ออกเดินทางไปยัง โรงแรมที่ 3 คือโรงแรม สยามแอทสยามดีไซน์โฮเทลแอนด์สปาห่างจากโรงแรมที่เราอยู่ไปประมาน 4.1 กม.ผมใช้เวลาขี่มอเตอร์ไซค์ประมาน 15 นาที เพราะด้วยการจราจรที่แออัดพอสมควร  และหลังจากการครวจสอบปรากฏว่า หมวดมนตรีได้จองโต๊ะที่ห้องอาหาร The Roof Restaurant ช่วงเวลา 21.00 น.ในวันที่ 25 เมษายน แต่ทั้งคู่มาช้ากว่าเวลานัด 10 นาที แต่คราวนี้ มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เพราะจากสองโรมแรมก่อนหน้า ผู้หญิลที่มากับหมวดมนตรีมีลักษณะเปลี่ยนไป คือมีลักษณะผมยาวเกือบถึงกลางหลังดัดลอน และไม่มีการอำพรางใดๆบนใบหน้า ลักษณะใบหน้าที่เราเห็นผ่านกกล้องนั้นไม่สามารถลงรายละเอียดได้ว่าเป็นอย่างไร จนมีน้องพนักงานชายคนหหนึ่งที่ทำหน้าที่ต้อนรับในวันนั้นไดเปิดเผยรายละเอียดให้เราฟังว่า
     “ตอนนั้นเป็นเวลา 21.15 นาทีครับ คุณผู้ชายเดินมาสอบถามถึงเรื่องโต๊ะที่ได้จองไว้ ก่อนที่จะมีผู้หญืงอย่างในภาพเดินตามมาทีหลังครับ ลักษณะของเธอ เป็นผู้หญิงผิวขาวเหลือง สูงราวๆ 174 ได้ครับ ถ้ารวมรองเท้าที่เธอใส่อยู่ด้วย หุ่นผอมกำลังดี ผมยาวเป็นลอน มีหน้าหม้า แต่งเหมือนสไตล์ญี่ปุ่นน่ะครับ ตาโและเธอก็มีนัยต์ตาสีน้ำตาลเทาๆ ดูๆแล้วอายุไม่น่าเกิน 25 ปีนะครับ”
    “แล้วมีอะไรเป็นจุดสังเกตุมากกว่าที่เห็นมั้ยครับ อย่างเช่น ใฝ่ ปาน หรือรอยแผลเป็นที่ใบหน้า หรือตามจุดที่พอมองเห็นได้”หมอตั้มถามขึ้น
     “ ไม่นะครับ หน้าเธอเนียนสวย ไม่มีร่องรอยอย่างที่คุณหมอกล่าวเลยครับ”
     “คุณยังพอจำหน้าของเธอคนนั้นได้อยู่มั้ย” ผมถามขึ้น
     “ก็ยังพอจำได้ครับ แต่อาจจะไม่ได้ละเอียดอะไรมาก”
     “งั้นดี เดี๋ยวผมจะนัดคุณให้เขาไปช่วยร่างภาพสเก็ตคนร้ายคนนี้อีกประมาณวันถึงสองวัน”
    ~~คนร้ายหรอครับ/ค่ะ~~
 ทุกคนประสานเสียงด้วยความตกใจในสิ่งที่ผมพูด
     “ยังไม่แน่ใจหรอกครับว่าใช่เธอคนนี้หรือเปล่า และก็ยังไม่แน่ใจว่าเธอคนนี้กับผู้หญิงที่ผมตามตระเวนตรวจสอบจะเป็นคนๆเดียวกันมั้ย ยังไงมันก็ต้องรอรวบรวมข้อมูล”
     “ผมถามได้มั้ยครับว่าถ้าเธอเป็นคนร้าย เธอเป็นคนร้ายคดีอะไร”
     “ผมคงยังบอกพวกคุณไม่ได้…ยังไง ผมขอความร่วมมือพวกคุณ ถ้าพบ เจอ หรือมีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมจากที่พวกคุณบอกผม ให้ติดต่อไปที่ สน.××× แล้วบอกติดต่อหมวดชัช เดี๋ยวพวกเขาจะโอนสายพวกคุณมาที่ผมเอง ยังไงวันนี้ผมต้องขอบคุณพวกคุณทุกคนมาก หวังว่าพวกเราจะช่วยกันคลี่คลายคดีนี้จนสำเร็จ” หลังจากที่ผมบอกลากับเหล่าพนักงาน เราทั้งคู่ก็ต่างรีบลงมาเพื่อจะไปยังสถานที่สุดท้ายในหมวดของโรงแรม นั้นก็คือโรงแรมโฟร์ พอยท์ บาย เชอราตัน
     “แต่ผมสงสัยน่ะคุณชัช ทำไมรอบนี้เธอถึงไม่ปิดบังอำพรางใบหน้าของตัวเอง หรือเธอคิดว่า แค่เปลี่ยนลุค ก็จะไม่มีใครจำเธอได้” หมอตั้มถามผม แต่ผมกับสังเหตุเห็นว่าหมอตั้มเอา Snicker ที่ผมให้เอาขึ้นมาทานระหว่างรอลิฟต์ลงไปด้านล่าง เหมือนเด็กชะมัด
     “ผมก็สงสัย แต่…ตอนนี้เริ่มหิวแล้วเหมือนกัน กินล่อตาล่อใจผมขนาดนั้น แถมจะทุ่มแล้วเราสองคนยังไม่มีอะไรรองท้องเลย” ผมก็หยอกแกมจริงซะหน่อย
     “งั้นเอาสิ…แบ่งกัน” แล้วเขาก็ยื่นอีกครึ่งอันมาให้ผม
     “คุณลืมหรือไงว่าผมก็ซื้อของผมมาเหมือนกัน”ผมเลยล้วงออกมาให้ดูซะเลย
     “ก็…แค่แสดงน้ำใจ ไม่ได้จะให้จริงๆซะหน่อย” พูดแก้อายอยู่ละซิคุณหมอ เรื่องอะไรผมจะทำให้เสียน้ำใจละใช่มั้ย
     ~~อ้ำ~~ ผมยื่นหน้าเข้าไปกัดไอ้เจ้า snicker ซะคำโต ก่อนที่เจ้าตัวกำลังจะเอาเข้าปากหน้าของผมเลยไปชนกับหน้าของเขานิดหน่อย ถือว่าเป็นกำไรแล้วกันเนอะ
     “คุณทำอะไรของคุณๆชัช” เขาโผลงพูดขึ้นอย่างตกใจ
     “ก็ไม่อยากให้คุณเสียน้ำใจ  ก็เลยขอสักคำ”
     “ทำอะไรเป็นเล่นนะคุณน่ะ”
     “แล้วใครว่าผมเล่นล่ะ”สอดคล้องกับเสียงประตูลิฟต์ที่กำลังเปิดพอดี เขาก็รีบจ้ำอ้าวเดินออกไปเลย  ก็…ว่ากันไป ผมก็รีบเดินตามเจ้าตัวที่กำลังก้าวเดินอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
     “เป็นอะไรคุณ…เดินซะไวเลย”แซวสักหน่อยละกัน
     “ก็….เปล่า….ก็แค่….จะได้ไปที่ใหม่เร็วๆไง”
     ผมก็ได้แต่พยักหน้าแกล้งใส่เขาก็นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นว่าหมอตั้มเขินมากขนาดนี้ หน้าแดงหูแดงไปหมด
    “ยังจะมายืนมองหน้าผมอีก รีบๆขึ้นรถดิ” ดันมาแกล้งโวายวายใส่ผม แต่นี่….คือโวยวายแล้วใช่มั้ยครับ หมอตั้ม 
     หลังจากที่อมยิ้มกับการกระทำของหมอตั้มไปเป็นที่เรียบร้อย เราก็มุ่งหน้าไปยังที่สุดท้ายที่ห่างไปอีก 6.0 กม. ยิ่งเวลานี่ในกรุงเทพไม่ต้องพูดถึงเรื่องการจราจร ขนาดผมจะลัดเลาะมอเตอร์ไซค์ยังลำบากเลย แต่อยู่ดีๆก็มีความรู้สึกหนักอึ้งที่หลังขึ้นมา เลยพยายามหันไปมอง ปรากฏว่าหมอตั้มเผลอหลับไปสงสัยจะไม่ชินกับการออกมาตระเวนพร้อมกับเจออากาศร้อนๆแบบนี้และแต่ มันประจวบเหมาะกับการติดไฟแดงแยกสุดท้ายของผมพอดีผมเลยถือโอกาส หยิบมือถือจากในกระเป๋าขึ้นมาถ่ายรูปของเขาและผมเอาไว้ มันอาจจะเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมในขณะที่ผมสวมใส่ชุดตำรวจ แต่มันก็เป็นโอกาสเพียงไม่กี่ครั้งในชีวิตผมเหมือนกัน จนเวลาผ่านไปอีกเพียงไม่กี่นาที เราก็มาถึงโรงแรมสุดท้ายตอนเวลา 19.45 นาที เมื่อผมจอดรถ ผมก็พยายามส่งเสียงเรียกเขาอย่างเบาๆเพราะไม่อยากให้ตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ แต่การเรียกเบาๆแบบนี้ก็ทำให้ใช้เวลานานอยู่เหมือนกันนะ แต่ก็ไม่เกินความพยายามของผม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-08-2019 04:50:37 โดย Jackkiesatg »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

อิตาชัชเนี่ยหลงเสน่ห์หมอตั้มตั้งแต่แรกพบเลยสินะ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด