รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ
สิบสาม...อาทิตย์ที่คบกัน
“อุก...ซีดสสส”
รอยซ้ำตัดสีผิวที่มุมปากส่ออาการเจ็บปวดทุกครั้งยามมีการเคลื่อนไหวขบริมฝีปากบนล่าง ดูท่าอาหารมื้อนี้คงไม่อร่อยสำหรับเกรทไปเสียแล้ว
“ทานไหวมั้ย ผมว่าไปหาอะไรอ่อนๆทาน...” มือผมตั้งท่าจะคว้าจานตรงหน้าอีกฝ่ายเก็บแต่กลับโดนล็อกไว้เสียก่อน
“ไม่เป็นไรครับ พี่อิมอุตส่าห์ทำให้กินทั้งที” เจ้าตัวโปรยรอยยิ้มมาให้ แต่มันทั้งเจื่อนและฝืดเฝือนอยู่ในที
“ข้าวไข่เจียวจะกินที่ไหนก็ได้ ไปเถอะออกไปกินข้างนอกกัน” ผมตีมือเกรทเบาๆเกลี้ยกล่อม
“แต่เสื้อผ้าพี่ยังไม่แห้งเลยนะครับ” เกรทเตือนสติผม เหตุผลส่วนหนึ่งที่พวกเราไม่ยอมออกไปข้างนอกนั้นมาจากการที่เสื้อผ้าซึ่งเกรทได้ทิ้งซากวีรกรรมยามเมาไว้มันยังไม่แห้ง ในเมื่อไร้เครื่องในสารพันสิ่งอันผมเลยไม่มีปัญญาห้อยเจ้าลูกชายน้อยเดินโตงเตงไปไหน เลยได้แต่วนเวียนอยู่ในห้องของเกรท
“แต่ถึงยังไงผมก็มีเรียนตอนสิบโมง ให้รอจนกว่าจะแห้งยังไงก็ไม่ทัน ทนใส่ชื้นๆไปก่อนได้ไม่เป็นไรหรอก” เกรททำหน้าครุ่นคิดอยู่สักพักเหมือนกลัวแทนลูกชายผมที่จะเจอกับความอับชื้น ไม่นานเจ้าตัวก็โพล่งขึ้นมา
“ยังไงถ้าไม่รังเกียจ ใส่ของผมไปก่อนมั้ยครับ ผมมีตัวใหม่ที่พึ่งแกะกล่อง” มาถึงตอนนี้ เอ่ยปากขนาดนี้ ถ้าผมบอกว่ารังเกียจจะเสียมารยาทมั้ย ดูจากความรักสะอาดระดับหนึ่งของเด็กเกรทอย่างการพกผ้าเช็ดหน้าไปไหนต่อไหน หรือจะการพกผ้าขนหนูไว้เผื่อหลังเล่นกีฬา ก็ดูไม่น่าจะรังเกียจอะไร แต่ทว่า...
“นี่มัน...สีอะไรของคุณกันเนี่ย”
ผ้าชิ้นน้อยสีแดงสดขอบดำลายตัวอักษร CALVIN KLEIN 1981 รูปทรงบรีฟถูกส่งมาให้ผมจากในตู้เสื้อผ้า มันเป็นสีที่ผมไม่เคยถูกจริตคิดซื้อมาใช้ใส่บั้นท้ายเลยสักครั้ง
“ของใหม่ก็มีแค่ตัวนี้แหละครับ เพื่อนผมมันซื้อมาให้เป็นของขวัญวันเกิด”
“ของขวัญวันเกิด เฮ้ยแล้วเอามาให้ผมใส่เนี่ยนะ ไม่เอาอ่ะ” ผมดันมือเขาออกอิดออดที่จะรับมันไว้
“ไม่เป็นไรหรอกพี่ เอาไปเถอะ ปกติผมไม่หยิบขึ้นมาใส่อยู่แล้ว”
“ทำไมถึงไม่ใส่ สีไม่ถูกใจ”
“เปล่าครับ ปกติผมไม่ชอบใส่แบบบรีฟอยู่แล้ว เวลาขยับตัวออกกำลังกายหนักๆมันชอบบาดขา”
“ชอบใส่แบบทรังค์สินะ” ผมหยิบกางเกงในในมือเขามาพินิจพิเคราะห์ เอาวะ ก็ใส่แค่ชั่วคราวเอง สีแดงแล้วไงทำอย่างกับจะมีใครมามอง ภาวะเงียบงันจากสภาพแวดล้อมเกิดขึ้นมาอย่างผิดสังเกต ผมเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าของกางเกงในตัวจิ๋วที่กำลังเม้มปากย่นคิ้วข้างหนึ่งมองหน้าผมนิ่ง
“อะ...อะไร...อยู่ๆก็หวงขึ้นมาเหรอ ผมไม่ยืมก็ได้นะ” ผมยื่นกลับไปแต่อีกฝ่ายไม่ยอมรับ
“เปล่าครับ แค่สงสัย พี่รู้ได้ไงว่าผมชอบใส่แบบทรังค์”
“...!!”
“พี่เคยมารื้อตู้เสื้อผ้าผมเหรอ”
“คะ เคยดิ...ก็รื้อเอาชุดนอนไง แต่ไม่ถึงกับเปิดชั้นกางเกงในดูหรอกนะ”
“ถ้างั้นแล้วทำไมถึง...”
“...” เล่นถูกจ้องจับผิดขนาดนี้ จากที่ไม่คิดก็ทำให้คิดได้ ผมไม่ได้ตั้งใจมองซะหน่อยเมื่อวานน่ะ เขาเป็นคนถอดเองทั้งนั้น
“จริงด้วยสิ เมื่อวานพี่บอกว่ามีพาผมไปอาบน้ำ พี่พาผมไปอาบน้ำยังไง ดันหลังเข้าไปในห้องน้ำให้ผมอาบเองเหรอ แต่ทำไมผมไม่เห็นจะจำได้เลยว่าอาบน้ำ อย่างน้อยมันก็น่าจะมีอยู่ในความทรงจำบ้าง แล้วหุ่นอย่างพี่เนี่ยนะ...” เจ้าตัวลากสายตาตั้งแต่หัวยันไปจรดปลายนิ้วหัวแม่โป้งตีนผม “ไม่อ่ะ ไม่มีทางแบกผมกลับได้หรอก”
ตุบ!!
จบคำผมตบตู้เสื้อผ้าดังฉาดจนเกรทสะดุ้ง แอบมีฉุนเด็กบ้าไม่รู้จักบุญคุณคนที่หามมา แถมยังมากราดมองสายตาดูถูกหุ่นชาวบ้านเขาได้ ร่างกายผมไม่ได้แย่ สูงร้อยแปดสิบเอ็ดจะติดก็แค่ตัวผอมบางจนเมื่อก่อนคนชอบทักว่าขาดสารอาหารแม่เลยหมั่นทำแต่ของดีดีให้กิน ตอนนี้ที่มีน้ำมีนวลมาได้ขนาดนี้ฝีมือแม่ผมล้วนๆ ถ้าจะมาดูถูกรูปร่างกันสู้เอาตีนมายันหน้าผมดีกว่า
“ไอ้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคุณเนี่ยแหละเป็นคนแบกคุณกลับ ถ้าเพื่อนคุณไม่ใช้ข้อความไลน์คุณส่งมาป่านนี้นู้น...” ผมยกมือชี้ขึ้นมั่วซั่ว “คุณไปนอนกับเสาธงที่หน้าแปลงเพาะคณะเกษตรแล้ว หัดเห็นความลำบากของคนอื่นซะบ้าง คนอุตส่าห์เห็นว่าเตะบอลมาตัวเหม็นเหงื่ออย่างกับอะไรจะปล่อยให้นอนจนกองขี้ไคลกองเหล้าตายก็ใช่ที่ ผมก็หวังดีเถอะ ถึงพาคุณไปเข้าห้องน้ำ พอให้อาบเองก็ทำไมได้ แต่พอสั่งให้ถอดก็ถอดมันซะโล่งเตียน แล้วอย่างนี้ไม่ให้ผมเห็นอะไรๆก็บ้าแล้ว!”
“...” เป็นคำด่าที่ยาวที่สุดตั้งแต่เกิดมาในชีวิต ผมหอบเพราะพูดเร็วเกิน เซ็งจิตอุตส่าห์ช่วยแท้ๆแต่ไม่เห็นบุณคุณ ส่วนเกรทนั้นก็นิ่งไปแล้ว เจ้าตัวเหมือนค่อยๆฟื้นความทรงจำก่อนหน้าจะรื้นแดงขึ้นสีจนต้องยกมือปิดปากกุมคาง
“จำได้แล้วใช่มั้ย” ผมกระแทกเสียงเหมือนตั้งใจจะสมน้ำหน้าอยู่นิดๆด้วยคำพูดว่า ‘เห็นมั้ยล่ะ’
“ตอนนั้น...”
“เออถ้าจำได้แล้วก็ช่างมันเถอะ ทีหลังก็อย่า...”
“ผมตามพี่เข้าไป...ตอนพี่อาบน้ำด้วยใช่มั้ย”หา?
ผมรู้สึกว่าคำมันทะแม่งทะแม่งจึงยกนิ้วชี้หน้าตนเอง
“ผม...”
“ครับ”
“อาบน้ำ?”
เกรทพยักหน้าหงึกหงักยืนยันว่าผมไม่ได้ฟังผิด
“ผมอาบน้ำตอนไหน?”
จู่ๆเสียง
‘แกร่ก’ ดังขึ้นมาในห้วงภวังค์
อย่าบอกนะ ตอนนั้น ตอนนั้นเหรอวะ!!
สายตาตื่นๆตวัดขึ้นมองหน้าคนที่อยู่สูงกว่าเกรทเม้มปากเสตาลงพื้นเขี่ยเท้าเล่นไปมา
“ขอโทษครับ...ดันนึกออกพอดี” สีหน้าของเกรท...แดงแจ๊ด
“มะมะมะมะมะไม่ใช่แล้ว ไม่ใช่!! คุณเอาเรื่องอะไรมาพูด ฝันเปล่าฮะ คะคะคะใครกันวะจะเอาคนเข้าไปอาบน้ำด้วย บ้าเปล่าเนี่ย!!”
เนียน!! บอกได้เลยว่าเนียนมาก ณ จุดนี้ ร่างสูงเลิกคิ้วมองเหมือนเห็นตัวตลกและจับผิดอยู่ในทีจนผมต้องพูดหาข้ออ้างต่อ
“คะ...คุณอาจจะฝันแล้วคิดว่ามันเป็นความจริงก็ได้ คนตอนเมาจะเอาอะไรมาคิดก็คิดได้ทั้งนั้นแหละ” รวมถึงผมที่สร้างฉากมโนฉากใหญ่มาให้เกรทตรงนี้ด้วย
“อ้าว...งั้นเหรอครับ งั้นก็ช่วยไม่ได้แฮะ”
ช่วยไม่ได้? ช่วยไม่ได้อะไร?
“ตอนแรกผมก็คิดว่าจะให้ต่างคนต่างเห็นเจ๊าๆกันไปแท้ๆเลย” ร่างสูงขยับเข้าประชิดจนผมต้องทำตัวลีบไปกับบานตู้เสื้อผ้าเงยหน้ายกมือที่ยังมีกางเกงในสีแดงถือค้างอยู่ตั้งการ์ดอย่างกล้าๆกลัวๆ
“คะ...คุณจะทำอะไรน่ะ” เกรทหลุดหัวเราะขึ้นจมูก รอยยิ้มหล่อราวเทพบุตรอดีตดาราส่งตรงมาให้ผม
“อิม”!!!ความรู้สึกแปลกๆปรากฏขึ้น แววตาผมสับสน คนตรงหน้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ามึนงงจนเกินเข้าใจ
“มะ...เมื่อกี้คุณเรียกผมว่าอะไรนะ” เจ้าตัวเลิกคิ้วก่อนตอบมาอย่างฉะฉานว่า
“อิมครับ”
“ใครให้เรียก”
“ขี้เกียจเรียกพี่แล้ว”
“ขี้เกียจ? ของอย่างนี้มันขี้เกียจกันได้ด้วยเหรอวะ”
“มีให้เลือกสามช้อยครับ ระหว่างอิม ดาร์ลิ้ง หรือตัวเอง”
“ไม่เอามันทั้งนั้นแหละ!”
“ถ้าไม่เลือก ผมก็จะเรียกมันสลับทั้งสามข้อ”
“เกรท!”
“ชอบจังเวลาพี่เรียกชื่อผมน่ะ”
“เกรท!”
“ครับ!” กวนโว้ยยย
“บอกมาดิว่าชื่อจริงคุณชื่ออะไร”
“ทำไมครับ”
“ผมจะได้เรียก”
“งั้นไม่บอก”
“บอกมา!”
“บอกแค่นามสกุลได้มั้ยครับ เผื่อเอาไปใช้”
“ใช้บ้าใช้บออะไร”
“ใช้ต่อชื่อจริงพี่”
“ผมมีนามสกุลของผมอยู่แล้ว!”
“ไม่อยากเป็นภรรยาผมเหรอ”
“ไม่อยาก ไม่ต้องการ ไม่เอาโว้ย แล้วต่อให้เป็นจริงมีภรรยาบ้านไหนเขาไม่รู้จักชื่อสามีกันบ้างวะ!”
“คิรากร”
“...!!”
“ผมชื่อคิรากรครับ คุณภรรยา”
“คิรากร?”
“หืม?”
“ชื่อแปลก”
“แต่นามสกุลไม่แปลกนะ คุณ
‘ตั้งปณิธาน จิตต์มั่นคง’ ” เกรทรู้จักชื่อจริงผม แถมยังเอามาต่อท้ายนามสกุลเจ้าตัวอย่างหยอกเย้า
“คุณนี่มันไม่ใช่คิรากร...แต่เป็นคิลเล่อร์ชัดๆ”
“ได้ครับ ให้ผมเป็นคิลเล่อร์ก็ได้ จะทำให้สมชื่อเลย” มือใหญ่เคลื่อนมาดึงชายเสื้อผมยกขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัวเลยต้องจับล็อกไว้พร้อมมือที่กำกางเกงในไม่ปล่อยเป็นระวิง
“เชี่ยเกรท! คุณจะทำอะไรน่ะ!!”
“ผมขาดทุน”
“ขาดทุนอะไร!”
“ก็อิมเห็นแต่ของผม แต่ผมไม่เห็นของอิมสักกะนิด” มือใหญ่ขยันดึงจนกลัวว่าเสื้อจะขาด ผมฝืนไหลไปตามแรงจนต้องดันตัวเบียดคนขี้แกล้งพยายามแกะมือเขาออก แรงอีกฝ่ายมีมากกว่าที่คิด จนเริ่มจะต้านไม่ไหว
“ปล่อยดิวะเกรท”
“ไม่ปล่อย”
“ปล่อยดิโว้ย”
“ไม่ปล่อยครับ”
“เชี่ยเกรท คุณจะขาดทุนได้ไงในเมื่อคุณก็เห็นผมเปลือยทั้งตัวแล้วน่ะ!!”
“...!!”
“...!”
วินาทีนี้คือเกรทอึ้ง ส่วนผม...อยากจะตีปากตัวเองให้แตก พูดให้ตัวเองขายหน้าทำไมวะไอ้อิม!!
“ไม่ใช่ความฝันจริงๆด้วย”
“...!!”
“อิมแม่ง...โคตรน่ารัก”
“...!!!” โว้ยยยยยย ช่วยพาผมไปส่งโรงพยาบาลที วินาทีนี้ไม่เกรทก็ผมเนี่ยแหละบ้า!! ทำไมต้องมาเขินด้วยวะกับการโดนเพศเดียวกันเห็นตอนแก้ผ้า
...ผมจะบ้าตายอยู่แล้ว!!...
“เย็นนี้กลับด้วยกันนะครับ”
“ทำไมต้องกลับด้วยกัน”
“เป็น
‘แฟน’ กันก็ต้องกลับด้วยกัน”
“...”
พักนี้แปลกๆ เหมือนคนตัวสูงจะอ้างผมด้วยสถานะว่า
‘แฟน’ มากยิ่งขึ้น และจากที่สามสัปดาห์ไม่เห็นหน้ากลายเป็นว่าโผล่หัวมาทุกวันให้ผมเจอเท่าที่จะเป็นได้ มันไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเท่าไร เพราะผมรู้สึกถึงกลิ่นอายไม่ชอบมาพากลจากตรงนี้
แทนที่ความสัมพันธ์ของพวกเราจะถอยหลังเข้าคลอง แต่นี่กลับคืบหน้าเหมือนเรือหางยาวติดเทอร์โบแล่นในแม่น้ำเจ้าพระยา...บางครั้งมันก็จะน้ำเน่าอยู่หน่อยๆตอนที่เกรทเหมือนจะอ้อนผม...ฟังไม่ผิดหรอกครับ...เขาเริ่มจะอ้อนผมตั้งแต่วันนั้น
“ไปดูหนังด้วยกันมั้ยครับ”
“เรื่องอะไร”
“แอนนาเบลล่า”
“ไอ้หนังตุ๊กตาผีนั่นใช่มั้ย ผมไม่ดูหรอก ไม่ชอบดูหนังผี ดูแล้วมันติดตา”
“ไม่ใช่หนังผีนะครับ หนังรักโรแมนติกต่างหาก”
“นั่นล่ะยิ่งไม่ชอบดูเลย คุณไปชวนคนอื่นเถอะ”
“หนังรักไม่ให้ดูกับ
‘แฟน’ แล้วจะให้ดูกับใครล่ะครับ”
“จะดูกับใครมันก็เรื่องของคุณดิวะ”
“เชี่ยเกรท ไอ้เด็กบ้า ผมบอกแล้วไงว่าไม่ดูไม่ดูน่ะ!”
สุดท้ายก็ได้แต่โวยวายหลังจากโดนจับลากมาโรงหนังแบบโคตรบังคับฝืนใจ แล้วไอ้ที่เด็กเกรทบอกหนังรัก แม่งรักมากเลยจ้า รักจนข่วนเลือดสาดนางเอกแปลงร่างเป็นแวมไพร์เลยเว้ย!!
“อ้าว ก็ผมบอกแล้วไงว่าหนังรัก ความรักที่เกิดจากคนธรรมดาที่กลายเป็นแวมไพร์สาวสิงร่างอยู่ในตุ๊กตาค่อยจับฆ่าคนที่เป็นเจ้าของคนแล้วคนเล่าเพราะเหม็นความรักที่เขามีให้กับหล่อน”
“เรื่องอย่างนี้แหละที่ไม่อยากดู! ดูแล้วมันติดตารู้มั้ยแล้วคืนนี้ใครมันจะนอนหลับลงวะ!” ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ผมกล้าสบถ กล้าโจมตีใช้คำด่าหยาบๆกับเจ้าตัว ความรู้สึกที่เหมือนเห็นหัวผมเป็นรุ่นพี่นับวันจะไม่มี แล้วอย่างนี้ผมจะใจดีกับเขาไปเพื่อ
“มานอนห้องผมดิ ถ้ากลัว”
“กลัวคุณยิ่งกว่าอ่ะดิ!”
“ผมน่ากลัวตรงไหน”
“...”
...ทุกตรงบอกเลย...
ผ่านมาหลายเดือนแล้ว ความสัมพันธ์ของเรายังเข้ารูปเข้ารอย คบกันเป็นแฟนได้อย่างราบรื่นเสียจนน่าตกใจ เห็นเถียงกันเป็นเจ้าเด็กน้อยอย่างนี้แต่พวกเรากลับเข้ากันได้ดีเหลือเชื่อ
ไม่ว่าจะเป็นรสนิยมการกิน ที่เป็นคนง่ายๆกินอะไรก็ได้ทั้งคู่ พวกเราชอบขลุกกันนั่งเล่นเกมมือถืออยู่ในห้อง บางครั้งเบื่อๆก็ออกไปนั่งจิบกาแฟอ่านหนังสือ หรือต่อให้เป็นเรื่องที่ต่างคนต่างไม่ถนัดอีกฝ่ายก็จะเฝ้าดูกิจกรรมของอีกคนด้วยความเพลิดเพลินไม่รู้จักเบื่อ
อย่างวันไหนเกรทไปเตะบอลผมก็ชอบที่จะนั่งดูและเชียร์อยู่ข้างๆสนาม อีกฝ่ายเล่นเกมรุกได้มันถึงใจสุดๆไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายทำประตูได้เลย ส่วนวันไหนว่างๆผมก็จะชอบนั่งวาดรูปอยู่ในห้อง อันนี้น่ะงานอดิเรกผมเลยล่ะ แล้วเจ้าตัวมักจะอาสาเป็นแบบวาดให้ แถมบางทียังเสนอตัวว่าจะถอดเสื้อเหลือแต่กางเกงในโชว์ซิกแพคให้ผมวาดนู้ดเก็บไว้เป็นที่ระทึกอีก...โคตรระอา...
ตอนแรกๆไอ้เบส มักจะเตือนผมอยู่เสมอว่าจะให้เลิกเสียทีก่อนอะไรมันจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ ส่วนไอ้ฟ่างกับดาวก็เอาแต่เชียร์ให้พวกเราป้าบป้าบในเชิงของคนคิดเรื่องสัปดนอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งการไปมาหาสู่ระหว่างผมกับเกรทเป็นเรื่องที่ชินตา...เออ ก็ไม่เชิงชินตาเท่าไรหรอก แค่ผมไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนกับเพื่อนจนพวกมันชินกัน แล้วก็ไม่ได้มีการเอ่ยถึงเกรท การแจ้งเตือนต่างๆเลยดูเหมือนจะน้อยลงไปราวกับว่า การที่ผมมีแฟนนั้นเป็นความฝัน
“ไปนอนห้องผมเถอะ ดึกแล้ว”
“ดึกที่ไหนนี่มันพึ่งจะสามทุ่ม”
“อิมกล้านอนคนเดียวเหรอ”
...นี่เป็นอีกอย่างที่เปลี่ยนไป เด็กเกรทมันจะแทนผมว่า
‘อิม’ โดยไม่เรียกพี่อีกแล้ว...
“กล้า”
“เชื่อตาย คราวก่อนจำได้ว่าตาโหลมาเรียนเลย”
คราวก่อน...มันก็คราวเดียวกับที่โดนนายหลอกไปดูหนังผีนั่นแหละ!
“เออ บอกว่ากล้าก็กล้าดิ!”
“ค้างสักคืนไม่เห็นจะเป็นไร เสื้อผ้าอิมที่หอก็มีพร้อมอยู่แล้ว เดี๋ยวนี้คุณน้าก็ไม่ว่าอะไรแล้วด้วย”
“...” นี่แหละที่ไม่ยินดี หลังจากเคยหิ้วปีกเกรทกลับเพราะเมาไปครั้ง ต่อจากนั้นพวกเพื่อนเจ้าเด็กบ้านี่มันก็คิดว่าผมเป็นสารถี เป็นคนใช้ที่แสนดีคอยแสตนด์บายช่วยแบกคุณชายคิรากรกลับบ้านยามเมาเสมอๆ จนทุกวันนี้ต้องหอบผ้าหอบผ่อนย้ายตาม ‘สามี’ อย่างที่ไอ้ฟ่าง ไอ้ดาวมันเรียกกัน มาฝังตัวในห้องใหญ่ๆสี่เหลี่ยมห้องนั้น ส่วนแม่ผมก็ทำใจได้แล้วเรื่องที่ว่าหากกลับบ้านเกินสี่ทุ่มคือเข้าใจตรงกันว่า...ค้างหอเกรท
“ค้างเถอะครับ ดึกแล้ว ไม่อยากให้อิมกลับดึกๆคนเดียว”
...นี่แหละสกิลการอ้อนของเขา...
แปลกดีนะ...ทั้งที่เตียงออกจะกว้าง แต่ผมกับเกรทกลับนอนกอดกันจนเป็นนิสัย จะมีบ้างบางครั้งที่รู้สึกจะตะขิดตะขวงใจที่ตื่นมาแล้วไอ้ตรงนั้นเด่เพราะฝันเปียกตามประสาผู้ชาย
พวกเรา...แค่กอดกัน...ไม่มีอะไรไปมากกว่านั้นซึ่งมันเป็นเรื่องที่แปลก...
ผมไม่เข้าใจว่าคนอย่างเกรทที่ชอบผู้หญิงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จะมายินดีอะไรกับการได้กอด ‘ผู้ชาย’ อย่างผมนอน อาจจะแค่กอดแทนหมอนข้างล่ะมั้ง
แล้วพักนี้เหมือนเกรทจะไม่ค่อยพูดถึงใยไหม ไม่มีการมองหาตอนอยู่ใต้ตึก เหมือนตัวตนของใยไหมค่อยๆเจือจางออกไปจากความคิด...
“กินที่ กินที่ กินที่” ผมเอามือเขี่ยดันเกรทให้หลบไปอีกข้าง เตียงออกจะกว้างเรื่องอะไรมายืนกางแขนกางขาเกะกะชาวบ้านคนจะล้มตัวลงนอนขนาดนี้เนี่ย
“หึ” เกรทหลุดขำออกมายามผมทำหน้ามู่ทู่
“หัวเราะอะไร”
“ขยับยังไงสุดท้ายก็ต้องนอนกอดกันอยู่ดี”
“งั้นวันนี้ก็ไม่ต้องกอดดิ ผมไม่ได้ขอด้วยซ้ำ”
“เดียวอิมจะฝันร้ายนะ”
“...”
ไม่เถียง...ผมแม่งฝันร้ายจริงหากตอนนอนแล้วนึกถึงหนังสยองขวัญเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ไปดูมาวันนั้น
เกรทเอี้ยวตัวให้ผมคลานขึ้นเตียงแค่เสี้ยวเดียว ผมเลยล้มตัวลงไปในอ้อมแขนเขาอย่างง่ายดาย
“นอนเถอะครับ” ไฟในห้องยังสว่างโร่ เจ้าตัวรู้ดีว่าผมจะไม่ยอมนอนปิดไฟหากเป็นวันใดที่ผ่านโรงหนังมา แขนเกรทขยับโอบกระชับผม ตอนแรกแปลกแต่ตอนนี้ชิน...ผมชุกหน้าเข้าไปกับแผ่นอกเขาพรูลมหายใจยาวเหยียด ไม่นานก็อยู่ในสภาวะที่นิ่งเรียบสม่ำเสมอ ความง่วงเริ่มบังเกิดครอบงำสมองส่วนหนึ่ง
“ไม่เมื่อยบ้างเหรอไงให้นอนบนแขนทุกครั้ง” เสียงผมถามงึมงำด้วยความสงสัยตลอดเวลาที่ผ่านมา ครั้งแรกคิดว่าแกล้งหากแต่หลังจากนั้นกลับทำจนเป็นนิสัย กลายเป็นเรื่องเคยชินของเราไปในที่สุด
“หัวอิมไม่ได้หนักขนาดนั้นซะหน่อย” รู้สึกถึงสัมผัสนุ่มหยุ่นเบาๆแนบลงบนหน้าผาก แต่ผมง่วงเกินกว่าจะเงยหน้าไปยืนยันว่าเกรททำอะไร
“เลิกแกล้งได้แล้ว...นอนเถอะ”
“ครับ...คนดีของผม”“อะแฮ่ม!!” เสียงราวกับกระแทกเสลดที่ติดค้างอยู่ในลำคอมาสามชาติดังขึ้นขัด ผมกับเกรทเดินคุยกันไปพลางระหว่างทางมุ่งหน้าสู่อาคารเรียนถึงกับต้องเหลียวมองเพราะพึ่งรู้ตัวว่าเพลินจนเดินขวางทางชาวบ้าน แต่สิ่งที่ทำให้แปลกใจกลับไม่ใช่ใครอื่น ใบหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยราวกับอยากแซวพวกผมเต็มแก่ของไอ้ดาวกำลังมองมาตามพวกผมจากทางด้านหลัง
“ไอ้ดาว”
“มาด้วยกันเหรอ”
“แยกกันมา”
“โอเค เชื่อจ้า” หน้ามันไม่เชื่อสักนิด แล้วถ้าเชื่อก็เรียกว่าโง่แล้ว
“พี่ดาว หวัดดีครับ” เกรทเรียกร้องความสนใจโดยการยกมือไหว้เพื่อนผม
“หวัดดีจ้าน้องเกรท ไหว้พระเถอะนะ”
“ไหว้พี่แหละครับ” ไอ้สองคนนี้มันยิ้มใส่กันบรรยากาศกวนส้นตีนพิลึกเลย
“ทำไมถึงมาพร้อมกันได้ล่ะ นัดกันมาด้วยกันทุกวันเลยเหรอ”
“เปล่าครับคือ...”
“วันนี้บังเอิญเจอน่ะ” เกรทไม่ทันตอบผมก็ดักคอเขาไปเสียก่อน เข้าใจว่าทุกวันนี้ต่างคนรู้กันดีว่าพวกเราเป็นอะไรกัน หากเรื่องไม่อึกทึกครึกโครมขนาดนั้นป่านนี้เราคงเป็นแฟนแล้วจบกันแบบเงียบๆไปแล้ว แต่เรื่องราวกลับดำเนินมาถึงตรงนี้คงมีเพียงการคงสถานะไว้ไม่ให้หวือหวาเตะสายตาชาวบ้านมากเกินไป แล้วพอถึงเวลาที่คนอื่นเขาลืมกันถึงตอนนั้นค่อย...
ไม่คิดเลยว่าการเดินก้าวน้อยคิดเรื่องอนาคตของพวกเราจะถูกสายตาคมจับจ้องทุกอิริยาบถ ใบหน้าคมคายจางหายสิ้นซึ่งความขี้เล่นเมื่อครู่ เกรทสบตาผมไม่หลบเหมือนราวกับต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง มันจริงจังเสียจนผมต้องเอาศอกเข้าสะกิด
“เฮ้ย...จู่ๆมามองหน้าผมทำไมล่ะ”
“มองหน้า
‘แฟน’ ไม่ได้เหรอครับ”
“...” ลมหายใจสะดุดเมื่อเจอคำหยอกปนสายตาตัดพ้อ...
...ตัดพ้อ? ไม่หรอก เจ้าตัวคงพยายามแกล้งผมเหมือนทุกที แต่ทำไมคราวนี้กลับดูซีเรียสจริงจังกว่าครั้งไหนๆ
“อย่าหวานออกสื่อนักได้มั้ยชั้นขอร้อง อิจฉาจนจะอ้วกตายอยู่แล้ว” เสียงผู้ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์อีกหนึ่งแทรกขึ้นมา ไอ้ดาวมองเย้ยผมที่หันไปทำหน้าดุใส่ เพื่อนสาวขมุบขมิบส่งเสียงข่มขู่เบาๆให้เฉพาะเราสองคนได้ยิน “ชั้นจะไปฟ้องไอ้เบส ว่าแกยังไม่เลิกกับน้องเขา”
“เชี่ยดาว อย่าบอกไอ้เบสนะ!” เรื่องนี้รู้ถึงหูมัน มีหวังโดนบ่นงุ้งงิ้งจนหูชา เรื่องอุตส่าห์ซาเพราะผมพยายามไม่พูดถึงเกรทให้เพื่อนซี้ผมได้ยิน จนหลอกมันให้ตายใจว่าผมเลิกกับเกรทไปถึงไหนต่อไหน ไม่มาซักไซ้ไล่เลียงแล้วแท้ๆ
แต่จะว่าไปก็ไม่ถูก ให้พูดจริงคือพักหลังมานี้เหมือนเบสไม่ค่อยมีเวลาโผล่หน้ามาหา ทั้งดาวและข้าวฟ่างต่างคิดไปเองว่ามันน่ะติดแฟน เห่อจนไม่เห็นหัวเพื่อนจนเลิกคิดที่จะสนใจ แต่ถึงยังไงผมก็ไม่อยากให้มันมาทำหน้าเหม็นเบื่อแบบผู้หญิงมีเมนส์ใส่อีกแล้ว
“เรื่องอะไรที่บอกพี่เบสไม่ได้” เย็นยิ่งกว่าน้ำแข็งในช่องฟรีสเห็นทีคงไม่พ้นเสียงเกรทตอนนี้ เจ้าตัวดูไม่ยินดีกับสิ่งที่ผมกล่าว รอยยิ้มบนใบหน้าเรียกได้ว่าติดลบด้วยซ้ำ
“เออคือ...”
“เชี่ยอิม นั่นมันไอ้เบสเปล่าวะ” เหมือนสวรรค์เมตตาหยิบยื่นโอกาสหนีมาให้ ผมตัดสินใจคว้าเอาไว้อย่างไม่ลังเล ปลายนิ้วของดาวกำลังชี้ไปยังจุดหนึ่งตรงลานจอดรถ
รถคันหนึ่งพึ่งจอดนิ่งพร้อมการปรากฏกายของร่างคุ้นตาเปิดประตูก้าวเดินออกมาในคลองจักษุ รถคันนั้นเป็นของเบสผมจำได้ ตามด้วยหญิงสาวรูปร่างอ้อนแอ้นซึ่งนั่งข้างกายคนขับ...อันนี้ผมก็จำได้เหมือนกัน เพราะเป็นคนที่เกรทมองตามอยู่ทุกวันอย่าง...ใยไหม...
...หรือว่าเรื่องที่แก๊งเพื่อนอย่างพวกเราคิดไว้...อาจจะเป็นเรื่องจริง...
มันเป็นภาพที่ไม่เคยคิดอยากจะชินตาแต่ก็ไม่ทำให้ประหลาดใจสำหรับผม ส่วนคนที่เหลือ...
“เชี่ยโว้ย...ไอ้เบสจริงๆด้วยอ่ะแก” ไอ้ดาวอุทานไม่เป็นภาษายกมือขึ้นมากระตุกแขนเสื้อผม พอสติกลับมาผมรีบหันขวับไปมองดวงหน้าด้านข้างของเกรททันที
ร่างสูงยืนนิ่งมองไปทางเป้าสายตาของสามคน แววตาเหมือนตกอยู่ในห้วงภวังค์ความตกใจ มันดูสั่นไหวแปลกๆ
“เกรท...”
“พี่...ใยไหม” เสียงเกรทเบาและเจือจางราวกับจะหายไปในอากาศอยู่ทุกเมื่อแต่มันกลับดังก้องในสมองของผม
“เอ๊ะ...นั่นใยไหมคณะเราเหรอ”
ใช่...เป็นใยไหมตัวจริงเสียงจริง ผมจำรูปร่าง บุคลิก ลักษณะท่าทาง และความเป็นตัวตนของเธอได้ อาจจะเพราะเคยชินกับการต้องไล่ตามสายตาคู่คมของคนด้านข้างที่หันไปมองอยู่เสมอ เลยทำให้เห็นเพียงแวบเดียวก็สามารถบ่งชี้
‘ผู้หญิงที่แฟนผมชอบ’ ได้
“บ้าน่ะ ไม่ใช่หรอก....ใยไหมกับไอ้เบสเนี่ยนะ อย่างนี้เรื่องที่พี่สิงบอก...”
หนึ่งประโยคจากดาวสะกิดใจผม เหมือนทฤษฎีทุกอย่างที่มาขมวดปมมันผิดเพี้ยนบิดเบี้ยวไปจากความจริง การเชื่อมโยงปะติดปะต่อเรื่องราวยิ่งดูซับซ้อนมากขึ้น จนวัตถุดิบในสมองผมไม่เพียงพอ ผมจับต้นแขนดาวให้หันมาเผชิญหน้า
“พี่สิง? พี่สิงบอกอะไรแก”
“หะ...ฮะ? เป็นอะไรของแกน่ะอิม จู่ๆก็...” สีหน้าคนตัวสูงดูสลดลงไปขนาดนั้น หากไม่จัดการอะไรสักอย่างความรู้สึกหนักๆนี้คงคั่งค้างไปทั้งวัน ไอ้ดาวคงเห็นท่าทีผิดวิสัยเลยขมวดคิ้วมองหน้าผม
“ไอ้อิม แกก็นะ ถ้าเป็นเรื่องไอ้เบสเนี่ยท่าทีเปลี่ยนเลย รู้หรอกว่าสนิทกับมันมากกว่าชั้นกับฟ่างแต่ก็ไม่ต้องทำตัวเหมือนหวงแฟนขนาดนี้ก็ได้เปล่าวะ ไอ้เบสก็อีกตัว พอแกไม่ได้โผล่หัวมาเข้ากลุ่มบ่อยๆก็เอาแต่ถามชั้นอยู่นั่นแหละว่าแกไปไหน ยังคบกับน้องเขาอยู่รึเปล่า...ชะอุ๊ย” ไอ้ดาวเอามือปิดปากย่นคอทำหน้าตาตื่น สายตามองเลยผมไปทางด้านหลัง
ผมหันไปมองตาม คนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างซ้ายผมกำลังจับจ้องตรงมา สีหน้าแสดงอารมณ์หลากหลายแต่หนึ่งในนั้นที่ผมระบุได้คือความไม่พอใจที่ทวีขึ้นคูณสิบ
...หรือว่าหงุดหงิดที่รู้ว่าใยไหมคบกับเบส...“เกรท...”
“พี่เบสกับอิมสนิทกันขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
ฮะ?
“อย่าว่าสนิทเล้ย ตัวติดกันอย่างกับตังเม พวกมันเจอกันตอนปีหนึ่งพร้อมกับพี่ แต่สนิทกันมากกว่าเพราะเจอตั้งแต่ปฐมนิเทศน์” ไอ้ดาวขยายความ มันเป็นสิ่งที่ผมไม่ต้องการในตอนนี้เลยด้วยซ้ำ ผมพยายาม...พยายามอ่านสีหน้าเกรทตอนที่ได้ฟังจนจบประโยค แล้วรีบยกมือจับข้อศอกของเขาแน่น
“สนิท แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นรู้ทุกเรื่องหรอกนะ” ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ กลับมาเป็นเหมือนเดิมสิ ยิ้มสิยิ้ม “เรื่องแฟนก็ด้วย ผมไม่รู้...”
“พี่อยากรู้เรื่องแฟนเพื่อนสนิทไปทำไม?” คำสรรพนามเรียกผมเปลี่ยนไปจนรู้สึกขัดใจแปลกๆ
“อ้าวจะไม่อยากได้ไง ก็เขาเป็นคนที่...”
เพี้ยะ!!
เสียงดังลั่นจากมือข้างหนึ่งที่ยกขึ้นตีปาก ทั้งเกรทและดาวต่างยืนอึ้งมองผมราวกับคนบ้า
กะ...เกือบไปแล้ว...ผมขยับสายตาไปเห็นร่างสูงที่เลิกคิ้วมองผมหนักกว่าเก่า ความกระอักกระอ่วนเกิดขึ้นในจิต ลืมไปเลยว่าเกรทไม่เคยเอะใจเรื่องที่ผมทราบความรู้สึกของเขาที่มีต่อใยไหม
“เชี่ยโว้ย ไอ้อิมพวกแกจะเสียงดังทำไม...ไอ้เบสมันหันมาแล้ว!” หา? ทุกอย่างเกิดไวจนผมอึ้ง กว่าจะรู้ตัว สองคนที่เคยยืนอยู่ที่ไกลๆกลับเดินเข้าใกล้ การกระทำสดใหม่เป็นของใยไหมที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหา
“อิมเมจ น้องเกรท” ยิ้มเริงร่าขัดกับดวงตาและสีหน้าอิดโรยซึ่งฉาบชัดไว้ภายใต้เครื่องประทินโฉม ผมผละแขนออกจากศอกเกรทโดยอัตโนมัติย้ายมันมาไว้ด้วยหลังอย่างกระอักกระอ่วนใจ ไม่มีเวลาแม้แต่สำรวจสีหน้าคนข้างกายว่าจะรู้สึกแย่เพียงไหนที่ผมสัมผัสเขาต่อหน้าหญิงสาวที่แอบชอบ
“บังเอิญจัง เจอเพื่อนเบสตั้งสองคน แถมยังเจอน้องเกรทอีก” รอยยิ้มอ่อนหวานส่งตรงให้คนตัวสูง ผมเสตาลงมองพื้น ความรู้สึกไม่อยากมองที่ผุดขึ้นมานี้คืออะไร?
“สวัสดีครับ พี่ใยไหม” เสียงทุ้มบ่งอาการประหม่าจนเกือบสั่น แต่ความนุ่มนวลยามเรียกชื่อคนตรงหน้านั้นยังอยู่
“แหม ไอ้เบส ยืนนิ่งเป็นเป่าสากเลยนะ ไม่คิดจะแนะนำตัวแฟนให้เพื่อนหน่อยเหรอ” ดาวยิงใส่คนยืนจับสายกระเป๋าหน้ายู่เป็นตูดอยู่ด้านหลัง ไอ้เบสเขม้นมอง
‘แฟนผม’ ไม่ปิดบังเหมือนทุกครา คล้ายตอนได้ยินชื่อร่างสูงในบทสนทนาของกลุ่ม
“แฟน?” ใยไหมหันมองไอ้เบสหน้าตาเลิ่กลั่ก “นี่อย่าบอกนะว่า คิดว่าเรากับเบส...”
ฮะ?
“อิม” เสียงทุ้มจากคนข้างกายเรียกชื่อ ผมไม่รู้ว่าเกรทคิดอะไร ร่างสูงสอดมือคล้องเกี่ยวนิ้วผมไว้มั่น จ้องลงมาลึกในดวงตา “ไปเถอะครับ ผมมีเรียนเช้า”
“หา?” ร่างโดนฉุดรั้งให้สับขาตามจังหวะการก้าวยาว พวกเราเดินห่างออกมาจากทั้งสามคนเรื่อยๆ ผมไม่เห็นสีหน้าของเกรท แผ่นหลังกว้างที่เผชิญอยู่ไม่อาจบอกความจริงอะไรได้ แต่มือที่อีกฝ่ายกระชับมันแน่นราวกับพันธนาการที่มิอาจสะบัดหลุด
...ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ แค่นี้ผมก็รู้สึกเหมือนจะสะบัดคุณออกไปจากชีวิตไม่ได้แล้ว...…TBC….
++++++++++++++
เมาเรื้อนจนจำไม่ได้ แต่จำร่างเปลือยพี่อิมดันได้ เอ๊ะยังไง
มโนสำนึกนายช่างร้ายกาจนัก