Wicked (2)
....
ผมถูกใครบางคนอุ้มออกมาจากโรงยิม เสียงโวยวายนั่นห่างไกลออกไปจนสุดท้ายผมก็ไม่ได้ยินอะไรอีกเลย ผมนิ่งเงียบตลอดทางจนในที่สุดก็รู้ตัวว่าตกอยู่ในวงแขนแข็งแกร่งของบรูค ...คนขับรถจอมยุ่งของผม
"จะไปไหน"
"พาคุณไปสงบสติอารมณ์" เขาตอบแบบหน้าตาย
"วางฉันลง ได้ยินมั้ย?" ผมเงยหน้าขึ้นสั่งคนที่อุ้มผมเดินออกมาด้านนอก เสียงแห่งความวุ่นวายเงียบลงเมื่อเราห่างไกลจากบริเวณนั้น บรูคอุ้มผมมายังโรงจอดรถส่วนตัวชั้นสองของครอบครัวแคปรินคอร์นที่พ่อผมจ่ายเงินบริจาคสร้างโรงจอดรถให้กับโรงเรียน
"ปาร์คเกอร์!!"
“คุณสงบสติอารมณ์ได้แล้วหรือยัง ถ้ายัง ผมก็ไม่ปล่อย"
"นายเป็นใคร ว่าฉันลง ฉันสั่ง!!"
"บอกผมสิว่าคุณใจเย็นลงแล้ว..." เขาเหลือบตาลงมองผม ดวงตาสีฟ้าขุ่นทำให้ผมหงุดหงิด เพราะแม้ในยามที่เขาดูสุขุมเยือกเย็นกว่าปกติ เขาก็ยังดูดีแบบไร้ที่ติด
ผมเป็นบ้าหรือไงที่ไปชมคนขับรถแบบนี้!!
"เอาล่ะ ผมจะวางคุณลง แล้วคุณก็ช่วยยืนอยู่เฉย ๆ ด้วยนะ” บรูคว่าพร้อมกับวางผมลงด้วยท่าทางสุภาพกว่าทุกครั้ง ความอ่อนโยนของผู้ชายคนนี้ดูสวนทางกับลักษณะของเขาที่มีต่อผม
"นายทำให้ฉันขายหน้ารอบสอง!!" ผมสะบัดหน้าหันไปตะคอกใส่เขา
"ผมช่วยคุณจากเหตุการณ์ทำร้ายเพื่อนร่วมชั้นเรียนต่างหาก และมันเป็นครั้งที่สองแล้วที่ผมช่วยคุณไว้ ก่อนอื่นสิ่งที่คุณต้องทำคือการกล่าวคำว่า ขอบคุณ"
"ละเมอหรือไง?" ผมขมวดคิ้วถาม "ฉันจะไปขอบคุณคนแบบนายทำไม?"
"เพราะผมช่วยคุณไว้ ไม่งั้นคุณคงจะโดนข้อหาพยายามฆ่าหรือจงใจทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดนเจตนา"
"เหอะ..." ผมสะบัดหน้าหนีจากอีกฝ่าย ดูท่าว่าบรูคเป็นคนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านประจำเมืองงั้นสิ เขาไม่จำเป็นต้องเข้ามาช่วยเหลือผมเพราะผมไม่ต้องการ
สิ่งเดียวที่ต้องการตอนนี้คือการเอาคืนแม็กทีสอย่างสาสม เขาสมควรรู้ไว้ว่าคนอย่างบารอนจะไม่ยอมให้ใครจุดไฟเผาอยู่ฝ่ายเดียว!
“มือคุณแตก มานี่ส่งมือมาผม ผมขอดูแผลหน่อย”
"นายเกิดมาเพื่อสาระแนทุกเรื่องงั้นเหรอ?" ผมถามอย่างหงุดหงิดตอนที่บรูคพยายามเอื้อมมือมาจับมือของผมไว้
"ผมแค่อยากรู้ว่าคุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ขอผมดูแผลหน่อย"
"ฉันไม่เป็นอะไรทั้งนั้น พอใจหรือยัง อยู่ให้ห่างฉันจะได้มั้ย?” ผมตวาดอย่างเหลืออด ผมเกลียดที่เขาคอยแต่จะทำตัวเป็นผู้พิทักษ์ “นายไม่น่ามาขวางฉันเลย ฉันกำลังจะอัดหน้าคนทุเรศนั่นให้ยับ และมันเป็นเพราะนายฉันถึงไม่ได้เอาคืนแม็กทีส”
"คุณต่อยหน้าเขาใช้ความรุนแรงในการจัดการคน มันไม่เข้าท่า"
บรูคกอดอกและยักคิ้วยียวนใส่ สีหน้าแววตาของเขายิ่งทำให้ผมอยากจะชกหมัดใส่หน้าของเขาถ้าไม่ติดว่ามือของผมเจ็บอยู่ล่ะก็ เขาเจอดีแน่!
"ปาร์คเกอร์ คนอย่างนายเนี่ยนะ มาสั่งสอนฉัน..."
“ผมไม่ได้กำลังสอนคุณ ผมแค่มาดูแลคุณ มันคืองานของผมนั่นแหละคำตอบที่ว่าทำไมผมต้องยุ่งเรื่องของคุณนัก ถ้ามันไม่ใช่งาน ไม่ใช่เพราะหน้าที่ของผม เชื่อได้เลยว่าผมไม่มีทางเสียเวลากับเด็กอายุสิบหกที่นิสัยแย่แบบคุณ”
“!!! ”
‘ฉันจะบอกไว้เลยนะ ว่าคนแบบนายจะไม่มีใครรักจริงบารอน นายมันก็แค่คนเห็นแก่ตัวที่รักได้แค่ตัวเอง’
ผมเม้มริมฝีปากและเบือนหน้าหนี พระเจ้า...ผมเกลียดน้ำตาของตัวเอง ผมเกลียดมันเหมือนกับรากผักชีที่อยู่ในอาหาร ผมไม่ชอบให้ตัวเองร้องไห้ ไม่ชอบให้ขอบตาร้อนผ่าวแบบนี้
“เฮ้อ...เอามือมา ส่งมือคุณมาให้ผม”
“อย่ามายุ่งกับฉัน ถ้าฉันนิสัยไม่ดีก็อย่ามายุ่งกับฉัน!!”
"ส่งมือมานี่...คุณหนู" แม้ว่าน้ำเสียงของบรูคจะทำให้ผมใจอ่อน แต่มันไม่มีทางทำให้ผมเปราะบางมากกว่าที่เป็นอยู่ ผมยังคงเบือนหน้าหนีอีกฝ่ายและพยายามทำเหมือนตัวเองเข้มแข็งอย่างที่เป็นมา
ผมพยายามที่จะเป็นสิ่งนั้น... แต่มันยากที่จะคงความเป็น แคปรินคอร์นอยู่ตลอดเวลา
"บารอนอย่าดื้อ..."
"ฉันไม่..." และถึงผมจะอยากตอบโต้ แต่เหมือนกับบรูคจะไม่ฟัง อีกฝ่ายดึงดันที่จะให้ผมนั่งลงตรงนั้น นั่งลงที่ตักของเขาในขณะที่เขานั่งบนหลังกระโปรงรถยนต์ของผม
แม้ว่าผมพยายามดิ้น แต่บรูคกอดเอวไว้และล็อกตัวของผมให้นั่งเกยทับอยู่บนตักของเขา “คุณไม่ต้องอวดเก่งเกินวัยก็ได้ มานี่...ผมจะล้างแผลที่หลังมือให้”
“ไม่ต้องยุ่ง...”
“คุณก็อย่าดื้อสิครับ...” บรูคว่าพร้อมกับโอบกอดผมจากด้านหลังไว้แน่น สุดท้ายผมก็ตกอยู่ในวงล้อมของอีกฝ่าย บรูคเอี้ยวตัวไปหยิบเอาอุปกรณ์ทำแผลที่ไม่รู้ว่ามันมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ตอนไหน เขายกขวดน้ำเกลือขึ้นก่อนใช้สำลีชุบและเช็ดเลือดจากหลังมือของผมเบา ๆ
มันเป็นแผล...แต่มันไม่ได้ทำให้ผมเจ็บเท่ากับการถูกเหยียบย่ำด้วยคำพูดพวกนั้นจากแม็กทีส
“อะ...” ผมกัดริมฝีปากตอนที่บรูคกำลังเช็ดล้างทำความสะอาดด้วยน้ำเกลือ ก่อนจะใช้แอลกอฮอล์ล้างแผลป้ายลงบนแผลสด เขาโน้มเข้ามาเป่ามาเบา ๆ จนผมรู้สึกเย็นหลังมือ
ในระหว่างที่ทุกความเงียบงันเกิดขึ้น สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและความสุภาพจากอีกฝ่ายที่ผิดไปจากปกติ ...
“มันแสบ...”
“เดี๋ยวก็หาย แผลแค่นี้เอง”
“ฉันไม่ชอบ...” ผมพูดน้อยคำอย่างประหลาด ปกติแล้วผมไม่ใช่คนแบบนี้ และนั่นคงเพราะว่าผมกำลังอ่อนแออย่างเห็นได้ชัด ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ผมจะเปราะบางได้เท่ากับในเวลานี้
มันเหมือนกับเกาะทุกอย่างที่สวมถูกถอดจนร่างกายเปลือยเปล่า สุดท้ายคนเราก็ไม่ได้เข้มแข็งได้ตลอดเวลา...
"เจ็บนิดหน่อยนะ อดทนได้ใช่มั้ย?"
"ฉัน...ไม่...ไม่ใช่เด็กนะปาร์คเกอร์" ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงตำหนิเล็กน้อย "อีกอย่างแผลแค่นี้ฉันไม่ตายหรอก"
"เมื่อกี้คุณยังบอกว่ามันแสบอยู่เลย"
"แต่มันไม่ได้ทำให้ฉันเจ็บจนทนไม่ได้นี่" ผมเหลือบมองไปยังแผลที่หลังมือในขณะที่บรูคเริ่มล้างแผลด้วยแอลกอฮอล์อีกครั้ง แม้ว่ามันจะแสบมาก แต่ผมไม่ได้รู้สึกเจ็บจนทนไม่ไหวแบบที่เขาคิดหรอกนะ...
“คุณชกหน้าเขาทำไม?"
"..."
ผมไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะตอบคำถามใคร จึงได้เงียบและแม้ว่าบรูคจะยังถามไม่เลิกผมก็ไม่คิดที่จะบอกเขาหรอก เราไม่ได้สนิทกัน ผมอาจจะสนิทใจกับเขาในเวลานี้ แต่ผมไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น
"คุณโกรธขนาดนั้นเลยเหรอคุณหนู?”
"ไม่รู้เหมือนกัน..."
เมื่อพูดจบก็เกิดความเงียบขึ้นท่ามกลางบรรยากาศแปลก ๆ ระหว่างเราทั้งคู่ ผมและบรูคไม่มีใครพูดอะไรกันอีก ผมเป็นฝ่ายเหม่อลอยอย่างไม่มีจุดหมาย ในขณะที่ถูกทำแผลโดยผู้ชายที่มักจะยุ่งไม่เข้าเรื่อง แต่ว่าปฏิเสธไม่ได้ว่าบรูคทำให้ผมอบอุ่นในนาทีที่น่าอึดอัด
"นายได้ยินที่พวกเขาพูดใช่มั้ย"
"หืม?"
"ก็เรื่องที่แม็กทีสพูดถึงพ่อของฉัน...เรื่องพวกนั้น นายได้ยินหรือเปล่า?"
"ผมไม่รู้หรอกว่าเขาพูดเรื่องอะไร" ผมว่าบรูคคงแค่ทำไขสือ มันไม่มีทางเป็นไปได้ที่เขาจะไม่รู้ อย่างเขาเหรอจะไม่ตามมาเฝ้าผมทุกฝีก้าว ถ้าบรูคอยู่ห่างจากผม เขาก็คงไม่เข้ามาช่วยผมจากเรื่องชกต่อยเมื่อครู่ได้ทันเวลาหรอก!
"ฉันรู้ว่านายรู้ นายคงจะได้ยินทั้งหมด..."
บรูคไม่ตอบและยังคงทำเพียงใส่ใจกับแผลของผม แต่ผมเชื่อว่ามันเป็นแค่เพียงวิธีการหลบเลี่ยงที่จะตอบคำถามเท่านั้นเอง
"นายเชื่อว่ามันจริงมั้ยปาร์คเกอร์?"
"เรื่องไหนละครับ?"
"ที่บอกว่าพ่อฉันคือคนที่ร้ายกาจ บงการทุกอย่าง เป็นเทพบุตรแค่กับลูกชายของเขา มันจริงใช่มั้ยล่ะ?"
"ถึงมันจะจริงหรือไม่จริง คุณแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วบารอน..." บรูคกล่าว และน้ำเสียงนี้ก็ฟังดูอ่อนโยนซึ่งแตกต่างจากเขาในเวลาปกติที่ผมเคยเจอ
"มันเป็นเรื่องที่คุณเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าเขาจะเป็นแบบไหน"
"ฉันสมควรที่จะต่อยหน้าหมอนั่น...คิดว่างั้นมั้ย?" ผมยิ้มคนเดียวตอนที่บรูคเป่าปากเบา ๆ ระหว่างที่เขาใส่ยาลงบนแผลที่หลังมือให้แก่ผม
"การใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ปัญหายุติหรอกนะ และผมคิดว่าปกติคุณไม่ใช่คนที่ชอบใช้กำลัง แม้ว่าจะถนัดใช้คำพูดให้เจ็บปวด แต่คุณไม่เคยทำร้ายใครขนาดนั้น”
“หมายความว่าไง...นายอย่ามาทำเป็นรู้ดีหน่อยเลย นายไม่มีวันเข้าใจหรอก”
"ใช่ผมไม่เข้าใจคุณหรอก แต่ผมเชื่อว่าเด็กคนนั้นก็มีส่วนพูดถูก คุณยกย่องตัวเองได้ แต่นั่นต้องไม่เบียดเบียนหรือเหยียดหยามศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของใคร" เขาพูดออกมาได้ยังไงนะ มีสิทธิ์วิจารณ์ผมงั้นเหรอ?
"ฉันทำตอนไหนกัน"
“เยอะแยะไป เช่นกับผม กับเด็กสาวคนนั้น กับเพื่อนร่วมห้อง กับใครสักคน ทั้งที่พวกเขาไม่สมควรได้รับการดูถูก แม็กทีสเองก็โดนคุณเหยียดหยามหลายต่อหลายครั้งเหมือนกัน"
"ฉัน..."
"คุณคงไม่รู้ตัวสินะ" บรูคไม่ได้มีถ้อยคำหรือน้ำเสียงตำหนิ ประชดประชัน มันมีความเอ็นดูในนั้น ผมสัมผัสได้
"ความรุนแรงของคำพูดและการใช้กำลังมันมีผลเท่า ๆ กัน คุณเจ็บปวดทางใจ แต่แม็กทีสก็เจ็บปวดทางร่างกายเหมือนกัน พวกคุณต่างเจ็บปวดคนละแบบ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณจะชกหน้าคนทั้งโลกที่พูดจาแย่ ๆ ใส่คุณ พวกเขามีสิทธิ์ที่จะพูดอะไรก็ได้ ตราบใดที่คุณเองก็มีสิทธิ์ที่จะพูดจาแบบนั้นกับพวกเขาเหมือนกัน”
เขาว่าและชูกำปั้นของผมขึ้น ก่อนจะเป่ามันเบา ๆ ผมสบตากับดวงตาสีฟ้าขุ่น ในเวลานี้ผมสัมผัสได้ว่าหัวใจตัวเองกำลังเต้นผิดปกติ
อัลฟ่าสมองกลวงแบบเขาส่งผลกับผมแบบนี้...
“แต่ว่า...แม็กทีสเริ่มก่อน เขาถึงได้มีจุดจบแบบนั้น!”
“คุณเองก็เริ่มทำร้ายเขาเหมือนกันนะ แต่คุณแค่ไม่รู้ว่าตัวเองใช้คำพูดทิ่มแทงเขา ...เอามือมาอีกข้างสิ” บรูคว่าและเอื้อมมือมาจับมือผมอีกข้างโดยพลการ ผมไม่ได้มีท่าทางขัดขืนสักนิด แถมยังนั่งอยู่บนตักและปล่อยให้บรูคจัดการทำแผลให้ต่อไปแบบนั้น
บอกไว้เลยว่าที่ผมยอมให้มันเป็นแบบนั้นก็เพราะว่านาทีนี้ไม่มีใครปลอบโยนผมได้ดีเท่าบรูค ปาร์คเกอร์อีกแล้ว ซึ่งผมรู้ว่าเขาทำไปด้วยความหวังดี...
"สงสัยฉันอาจจะเป็นคนแบบที่พวกเขาบอกล่ะมั้ง..."
"คนแบบไหน?" บรูคพึมพำและขยับตัวตอนที่พวกเรานั่งเกยตักกันอยู่หลังกระโปรงรถ
"คนเลว...พวกเขานิยามฉันแบบนั้น คนชั่วร้าย คนร้ายกาจ คนเห็นแก่ตัว"
"ผมไม่รู้หรอกว่าคุณเป็นคนเลวหรือเปล่า แต่พ่อผมสอนไม่ให้ตัดสินใครจากอดีตที่เขาผ่านมา..."
"และถ้าฉันเป็นคนแบบนั้นทั้งอดีตและปัจจุบันล่ะ" ผมไม่รู้ว่าตัวเองถูกตัดสินไปหรือยัง แม้ว่าบรูคจะพูดประโยคปลอบใจแบบนั้นแต่ผมไม่ปักใจเชื่อ อย่างไรเสียในสายตาของเขาหรือใคร ผมก็คือคนนิสัยไม่ดีคนหนึ่งเท่านั้นแหละ...
"พ่อผมเคยพูดไว้ว่าถ้าเราทำผิด เราแค่ต้องเปลี่ยนความผิดพลาดเหล่านั้นให้เป็นบทเรียน และความจริงแล้วว่าบนโลกนี้มีใครบ้างที่ไม่เคยทำผิด?"
"เขาพูดแบบนั้นจริงเหรอ?"
"ใช่...คนบอกว่าที่น่านับถือคือคนที่พยายามแก้ไขตัวเองและเลือกที่จะโยนอดีตไว้ข้างหลัง บางอย่างเราทำอะไรกับมันไม่ได้ นั่นแหละมั้งที่ว่าบางทีเราอาจจะมองไม่เห็นตัวเองเท่ากับที่คนอื่นมองเรา"
"แบบที่ฉันมองไม่เห็นในสิ่งที่พ่อทำ" ผมกำลังตัดพ้อบางอย่างแบบน่าละอาย...
"ผมรู้ว่าสิ่งที่คุณได้ยินมามันทำให้คุณสับสน แต่ผมก็เชื่อว่าพ่อคุณเองก็ไม่ได้เป็นผู้วิเศษที่จะไม่เคยทำผิดพลาดเลยสักครั้ง ซึ่งนั่นรวมถึงตัวคุณเองก็ด้วยบารอน..."
ถ้าผมไม่ได้คิดไปเอง ตอนนี้รู้สึกเหมือนอ้อมกอดที่อยู่รอบเอวของผมจะแน่นขึ้น ลมหายใจอุ่น ๆ ที่เป่ารดข้างกกหูของผม ทั้งกลิ่นกายอัลฟ่าอันเป็นเอกลักษณ์จากเขาก็กำลังผ่อนคลายผมอย่างไม่น่าเชื่อ...
"เราทุกคนล้วนเคยทำเรื่องเลวร้ายกันทั้งนั้น แต่มันไม่ใช่ข้ออ้างให้คุณไปทำร้ายใคร เวลาที่พวกเขาพูดถึงสิ่งที่คุณทำไม่ดี...คุณต้องยอมรับว่ามันคือสิ่งที่คุณเคยทำ นับจากนี้การแก้ไขตัวเองมากกว่า คือข้อพิสูจน์ว่าคุณไม่ได้เลวร้ายแบบที่พวกเขาพูดกัน"
"ถึงจะอย่างงั้น แต่ว่าฉันไม่เชื่อว่าพ่อจะทำแบบนั้น..." หลังจากที่นิ่งไปนาน ผมก็ยืนยันเรื่องพวกนี้ด้วยน้ำเสียงที่ดังและหนักแน่นเหมือนกำลังปลุกใจตัวเอง
"นั่นคือเรื่องของคุณบารอน"
"แสดงว่านายเชื่อว่าพ่อของฉันทำแบบที่แม็กทีสบอกงั้นสิ?"
ผมเอี้ยวตัวไปมองอีกฝ่ายที่กอดผมเอาไว้ ผู้ชายคนนี้ซับซ้อนจนผมคาดเดาอะไรไม่ได้ โดยปกติแล้วผมจะมองทะลุปรุโปร่งความคิดของผู้ชายทุกคน แต่ดูเหมือนจะต้องยกเว้นเขา...
บรูค ปาร์คเกอร์ ลึกลับอย่างไม่น่าเชื่อ
"งั้นผมขอถามหน่อย ถ้าผมเชื่อแบบนั้น แล้วคุณจะทำอะไรได้"
ผมตอบคำถามนี้ไม่ได้ รู้แค่ว่าถ้าเขาเลือกที่จะไม่เชื่อแบบนั้นก็คงฝืนใจอะไรใครไม่ได้
"คุณจะบังคับให้ผมเชื่อในสิ่งที่คุณเชื่อหรือไงล่ะ แล้วถ้าผมยืนยันที่จะเชื่อว่าพ่อคุณไม่ใช่คนดี คุณจะทำยังไงคุณหนู"
"..."
"สักวันคุณจะเข้าใจว่าเราไม่สามารถบังคับความคิดของใครได้ ในโลกของผู้ใหญ่ ความจริงบางอย่างทำได้แค่ปล่อยวาง"
ในทีแรกผมเชื่อว่าตัวเองจะสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของคนอื่นที่มีต่อผมได้ แต่ว่าตอนนี้ผมรู้แล้วว่าตัวเองเปลี่ยนใจใครไม่ได้ ถึงแม้จะอยากทำได้ก็ตาม
"ไม่ว่าคนพวกนั้นจะมองและคิดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ยังไง คุณเปลี่ยนแปลงความคิดของพวกเขาไม่ได้แน่ ๆ"
"แล้ว..ถ้าเกิดว่าพ่อเป็นแบบที่ใครบอกล่ะ ฉันจะรู้สึกยังไงดี?" ผมชักไม่แน่ใจว่าความจริงคืออะไร และผมจะยังเผชิญหน้ากับมันได้มั้ย?
"ต่อให้เรื่องที่คุณบอกเป็นความจริง แต่เขาก็ยังจะเป็นพ่อของคุณเสมอบารอน"
"..."
"คุณอาจจะรับความจริงไม่ได้ ...แต่โปรดรู้ไว้ว่าเขาทำทุกอย่างเพื่อปกป้องคุณ"
ผมรู้ว่าตอนนี้ตัวเองเปราะบางแค่ไหน ดูเหมือนผมจะอ่อนแอจนถึงขั้นต้องนั่งให้คนขับรถกอดปลอบด้วยประโยคดีเหล่านั้น
"แม้ว่าวิธีการของเขาจะแตกต่างออกไป แต่นั่นคือการแสดงความรักอีกอย่าง สำหรับผมมันไม่มีผิดถูก ถ้าขึ้นชื่อว่ารักไม่ว่ารูปแบบไหน มันก็คือความรักและมันยิ่งใหญ่เสมอ"
"ฉันคิดว่าเขาเป็นคนที่สมบูรณ์มาตลอด"
"บารอน... คุณว่านิ้วมือคนเราเท่ากันมั้ย" บรูคถามเสียงอ่อน หลังจากที่พ่นลมหายใจออกมา ผมเหลือบขึ้นมองเขาที่ใช้คางเกยอยู่ที่หัวไหล่ของผม "ดูมือคุณสิ นิ้วมือของคุณยังไม่เท่ากันเลย"
"มันเกี่ยวกันตรงไหน?"
"คุณว่ามีส่วนไหนในร่างกายเท่ากันบ้าง ดวงตา ติ่งหู เส้นผม มีอะไรที่ดูเท่ากันมั้ย?"
"นายถามอะไรงี่เง่าของนาย" ผมเหมือนกำลังรำคาญ แต่น้ำเสียงอ่อนลงสวนทางกับคำพูด
"ทุกอย่างถูกสร้างมาให้มีข้อบกพร่องด้วยกันทั้งนั้น และสิ่งที่คุณคิดว่าสมบูรณ์มันอาจจะเป็นเพียงนิยามสำหรับของบางสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง" บรูคเอียงหน้าซบลงกับไหล่ของผม และผมไม่พยายามต่อต้านเหมือนอย่างที่ควรเป็น
อะไรกัน...ทั้งที่ผมไม่ชอบบรูค และคิดเสมอว่าเขาเป็นคนน่ารังเกียจ...
"ชีวิตของเราจะมีรสชาติ เมื่อมันมีหลากหลายอารมณ์ หลากหลายประสบการณ์ ตอนนี้คุณกำลังเผชิญหน้ากับความผิดหวังที่เกิดจากพ่อของคุณ สำหรับผมนั่นถือว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ"
"นายจะบอกว่าพ่อนายก็ทำไม่ดีงั้นเหรอ?"
"สำหรับผม นั่นไม่ได้สำคัญ และต่อให้ใครบอกว่าเขาเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่ผมรู้สึกต่อพ่อจะไม่ถูกสั่นคลอน ผมเชื่อว่าเขาจะเป็นพ่อที่เก่งและดีที่สุดในสายตาของผม ต่อให้ตอนนี้เขาจะแข้งขาสั่นดูไร้ประสิทธิภาพ และป่วยเป็นโรคร้าย แต่ผมก็เชื่อว่าเขายังเป็นฮีโร่แบบที่ผมเคยเห็นมาตลอดหลายปี" น้ำเสียงที่บรูคที่กล่าวถึงพ่อของเขา ช่างเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจและชื่นชม
แม้ว่าผมจะไม่รู้จักพ่อของเขา แต่ผมรู้สึกได้ว่าเขาจะต้องเป็นผู้ชายที่วิเศษสำหรับบรูค มาก ๆ
"พ่อของคุณเป็นแบบไหนในใจของคุณ ก็ขอให้เขาเป็นแบบนั้นต่อ และแม้ว่าให้ความจริงพวกนั้นจะเปลี่ยนแปลงความเชื่อมั่นของคุณที่มีต่อเขา แต่อย่าทำให้มันมีอิทธิพลกับคุณเลย รู้ไว้แค่ว่าพ่อคุณรักคุณมากที่สุด เท่าที่ชีวิตของเขาจะรักใครได้ก็พอแล้ว"
ทุกอย่างมันอบอุ่นไปหมด ความเชื่องช้าและสุขุมจากการเป็นบรูค ปาร์คเกอร์กำลังทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับเรื่องราววุ่นวายที่รบกวนจิตใจไม่สามารถแตะต้องผมได้อีก ...
สิ่งเหล่านั้นไม่มีผลกับผมอีกเลย ผมพยายามเข้มแข็งแต่สุดท้ายผมกลับทรุดตัวลงในอ้อมกอดของบรูค และมันเป็นครั้งแรกที่ผมยอมให้เขากอดเพราะเชื่อว่าเขาช่วยทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นได้... เขาช่วยได้จริง ๆ
"ไม่ว่าวันนี้หรือวันไหน เรื่องอะไรก็ตามที่จะทำให้คุณผิดหวัง โปรดบอกตัวเองไว้ว่าพ่อของคุณจะยังรักคุณที่สุด และนั่นแหละที่คุณควรจะรับรู้ไว้... มันมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น"
“นายมีบุหรี่มั้ย?” ผมถามหลังจากที่ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับข้อคิดดี ๆ ของเขา... "ก็แหม...ฉันแค่อยากจะลองดู เวลาที่เครียด ๆ หาทางออกไม่ได้"
“เกเรขนาดไหนนะถึงได้มาถามหาบุหรี่กับผม?”
“ปาร์คเกอร์อย่ามากวนประสาทนะ ฉันต้องการมัน!!”
“คนแบบคุณไม่เหมาะกับนิโคตินเลยนะครับคุณหนู” เขาเย้าแหย่ด้วยน้ำเสียงขบขันที่ข้างใบหู ในขณะที่ผมถูกโอบเอวไว้หลวม ๆ และตอนนี้กลับไม่ได้ปฏิเสธว่าท่วงท่าที่เกิดขึ้น เรานั่งซ้อนกันอยู่นี้มันล่อแหลม ซึ่งถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่ผมกลับรู้สึกประหลาดใจที่ตัวเองเกิดความสบายใจ...
กับคนขับรถตกงานเนี่ยนะ?
“คุณรู้มั้ยว่าบุหรี่น่ะมันทำให้ริมฝีปากของเราคล้ำและกลิ่นของมันก็เหม็น”
“อย่ามาสอนเหมือนฉันไม่รู้อะไรเลยจะดีกว่าปาร์คเกอร์”
“ฮ่า ๆ คุณต้องไม่รู้แน่ว่าเด็กวัยสิบหกที่ดูน่าทะนุถนอมแบบคุณน่ะไม่ควรทำตัวแบบนี้”
เป็นอีกครั้งที่คำพูดของบรูคเล่นงานผมอย่างจัง เขาประคบประหงมและใส่ใจกับการทำแผลที่มือทั้งสองข้างให้แก่ผมจนผมไม่กล้าทัดทานอะไรอีกฝ่าย
มันก็ดีอยู่เหมือนกันแหละที่มีคนมาใส่ใจแบบที่ผมเคยได้รับมาตลอด และกับช่วงเวลาที่แสนเปราะบางแบบนี้ด้วย
“สรุปว่านายมีหรือไม่มีกันแน่ หรือว่านายไม่อยากให้ฉันสูบ”
“ถ้าคำตอบของผมคืออย่างที่สอง มันจะทำให้คุณหนูเปลี่ยนใจหรือเปล่า” ผมหันไปสบตากันกับเขาในระยะใกล้ชิด ลมหายใจเราแทบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผมรับรู้ว่าหัวใจผมเต้นแรงพอ ๆ กับลมหายใจที่ผ่อนเข้าออกอย่างถี่รัว
สัญชาตญาณงั้นเหรอ หรือว่าเพราะอะไร...
“อย่าสูบเลย ริมฝีปากนุ่ม ๆ ของคุณเหมาะที่จะคาบอย่างอื่นมากกว่า”
“นี่ปาร์คเกอร์--” ผมหันหน้าไปเพื่อเผชิญหน้ากับเขา แต่แล้วปลายจมูกโด่งนั้นกับประทับลงที่แก้มเนียนของผม หัวใจผมเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง ผมอยู่ในท่าที่ดูประหลาดกำลังถูกกอดไว้บนตักแกร่ง แก้มข้างซ้ายถูกปลายจมูกโด่งของบรูคคลอเคลียไม่ห่าง
“...”
ไม่มีคำพูดใดเข้าแทรกกลางระหว่างเรา ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความเงียบงัน...
“ขยับออกไป...แล้วก็ส่งบุหรี่มาให้ฉัน” ผมพยายามควบคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่น ทั้งที่มันทำได้ยากยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น ให้ผมกระโดดสิบครั้งแล้ววิ่งไปหน้าโรงเรียนยังดูเป็นไปได้มากกว่าเลย
“ถ้าคุณได้กลิ่น คุณจะรู้ว่าริมฝีปากของผม มีบุหรี่กลิ่นสตรอว์เบอร์รี่อยู่...”
ผมเผยอริมฝีปากเมื่อเขาจูบลงที่หัวไหล่ ฝ่ามือของเขาวางลงที่หน้าขาของผม วินาทีนั้นผมรู้สึกโลดโผนราวกับอยู่บนรถไฟเหาะ ผมไม่กล้าคิดเลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำอยากจะทำอะไรต่อไป
ทำตามคำท้าทายหรือคำเชิญชวนนั่น...
“นายกำลังจะท้าทายฉันอยู่งั้นสิ” ผมถามและเผลอกัดริมฝีปากตอนที่เขาเคลื่อนมือไปตามหน้าขาของผม มืออีกข้างของเขาล้วงเข้าไปในเสื้อพละของผม
พระเจ้า...ผมกำลังทำตัวเป็นเฟลลอน แคร์ริงตัน จากเรื่อง dynasty อยู่งั้นสิ ไอ้ความสัมพันธ์ของคุณหนูไฮโซกับคนขับรถที่ผมคิดว่ามีแค่ในละครเท่านั้น!!
“ฉันไม่ชอบรสสตรอว์เบอร์รี่”
“บางทีตอนนี้คุณอาจจะชอบขึ้นมาก็ได้....ซึ่งหมายถึง ริมฝีปากของผม”
และทุกอย่างก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมถูกดึงเข้าไปคร่อมทับบนตัวของเขาและริมฝีปากของเราก็ประทับกัน มันเป็นจูบที่โจ่งแจ้งแต่ผมไม่สนใจ เราทั้งคู่แทบไม่สนใจด้วยซ้ำว่าวินาทีนี้จะมีใครผ่านมาเห็นมั้ย
แน่นอนล่ะว่านี่คือที่จอดรถวีไอพีของคนตระกูลแคปรินคอร์น จะมีใครกล้าเหยียบเท้าเข้ามา...
ผมบดขยี้ริมฝีปากกับบรูค ปาร์คเกอร์ และเขาจูบเก่งกว่าที่คิด พวกเราดูดเรียวลิ้นสลับกันไปมา ผมได้กลิ่นสตรอว์เบอร์รี่จากริมฝีปากของเขา รู้สึกได้ว่าช่องท้องปั่นป่วนไปหมด เขายกผมคาบที่เอวแกร่งกำยำ และดันตัวผมนอนลงกับฝากระโปรงรถ
ผมเผยอปากและอ้ามันกว้างขึ้นเหมือนกับคนที่หิวกระหาย ตอนที่เขาสอดปลายลิ้นเขาไปมันทำให้ผมละลายลงกับฝากระโปรง...สายตาที่เขามองผมช่างทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเปลือยกายล่อนจ้อน ฝ่ามือของผมจิกข่วนที่แผ่นหลังของเขา ริมฝีปากของเราไม่ห่างกันเลย
ไม่เลย!!
ท่ามกลางความเงียบในโรงจอดรถส่วนตัวที่มีแค่รถของผมคนเดียว และมีเพียงเสียงแลกน้ำลายของเราสองคนดังไปทั่ว ผมกัดริมฝีปากล่างจนรู้สึกบวมช้ำ ตอนที่บรูคเริ่มซุกไซ้ซอกคอของผม ผมเขินอายยามที่ได้ยินกันเพียงสองคนในพื้นที่แห่งนี้
ผมบดริมฝีปาก แลกลิ้น และกระชับกอดแน่นขึ้นแม้ว่าภายในใจจะมีสัญญาณเตือนว่าเราไม่ควรทำแบบนี้ ผมไม่ควรเกลือกกลั้วกับคนขับรถ
“อา...” ผมพริ้มตาพร้อมทั้งเชิดหน้าขึ้นรับสัมผัสจากบรูคที่กำลังซุกไซ้ซอกคอของผมอย่างหลงใหล ผมเป็นราชินีโอเมก้า และการทำให้อัลฟ่าสูญเสียสัญชาตญาณของตัวเองมันเป็นสิ่งที่ราชินีไม่ได้ตั้งใจ
หรือบางทีผมอาจจะพยายามทำให้มันเกิดขึ้นก็ได้...
“อ๊ะ...ปาร์ค--เกอร์” ผมขย้ำกลุ่มผมสีเทาและแอ่นหน้าอกขึ้นจนแผ่นหลังลอยจากกระโปรงรถ และเมื่อมือแกร่งลูบลงไปที่หน้าขาจนทำให้ผมขนลุกไปทั่วทั้งตัว
“คุณรู้ว่าผมหยุดไม่ได้ คุณหยุดมันสิบารอน...”
เขางี่เง่าหรือไงนะ
“เพราะมันได้กลิ่นของคุณจนเสียตัวตนตัวเองไปหมดแล้ว...” บรูคยอมรับออกมา ผมไม่คิดที่จะหยุดและเหยียดยิ้มอย่างพึงพอใจ ไหนบอกว่าตัวเองควบคุมตัวเองได้เป็นอย่างดีไง...
เหอะ พอได้กลิ่นโอเมก้า พวกอัลฟ่าก็เข่าอ่อนกันทุกคน!
“ฉันอยากได้กลิ่นสตรอว์เบอร์รี่จากปากของนายอีก...อื้อ”
“ชอบเหรอ?” บรูคเอ่ยขึ้นหลังจากผละริมฝีปากร้อน ๆ ออกห่างเล็กน้อย
ผมไม่ตอบคำถามนั้น และทำแค่กำคอเสื้อของเขาแล้วดึงลงมาบดขยี้ริมฝีปากช่างพูดที่กระตุ้นให้ผมมีอารมณ์มากยิ่งขึ้น เขาลูบไปตามผิวเนียนของผม ก่อนจะสอดมือเข้าไปภายใต้กางเกงกีฬาขาสั้น ก้านนิ้วยาวสอดไปในกางเกงชั้นในสีขาว
เขาช่างปลุกปั่นอารมณ์ของผมได้ดี แม้เพียงแค่ปลายนิ้ว!!
“ถ้าคุณไม่ต้องการก็หยุดผมสิ แต่ถ้าคุณไม่หยุด ผมก็จะไม่หยุดเหมือนกัน...” เขากระซิบบอกและจูบไปตามกรอบหน้าของผม ผมยิ้มพลางหอบหายใจแม้ว่าเขาจะสั่งแต่ผมยังไม่อยากหยุด เขาสามารถทำให้ผมใจเต้นแรงแบบไม่เคยมีใครทำได้ เพราะแบบนั้นผมยังอยากจะลิ้มรสของเขาอีกสักหน่อย...
ไม่มีใครอยากจะหยุดและเมื่อริมฝีปากของเรานั้นสัมผัสกันอย่างเปลือยเปล่าอีกครั้ง ผมค้นพบแต่ความวิเศษที่ไม่อยากจะหยุด ลิ้นของเขามันเกี่ยวพันลิ้นของผมเอาไว้
พระเจ้า...จูบของเขานั้นช่างดีอย่างที่สุด มันดีมากกว่าที่เคยลิ้มรสจากใครต่อใครมากมาย และผมมีประโยคสั้น ๆ ว่า
'ได้โปรด อย่าหยุดเลยนะ'
Talk
นังตัวดี นังตัวดี เธออยากจะทำให้เขาแจ้งความข้อหาพรากผุ้เยาว์ถูกมั้ย? 55555555555 ฝากน้องจ้าาาาาาาาาาาาา ควีน ๆ แซ่บ ๆ ปมชีวิตไม่ซับซ้อนไม่ต้องกลัวดราม่า เพราะมันมี !!
ป.ล. หากมีคำผิดขออภัยเป็นอย่างสูงนะคะ