เหมียวสมบูรณ์
วิฬาร์ไม่ได้ไปส่งพี่เก้าเดินทางที่สนามบินพร้อมกับป้าเกดและลุงคาร์ลที่เอ่ยปากชวนให้ไปด้วยกัน เขาคิดว่าในเมื่อตั้งมั่นที่จะตัดใจแล้วก็ไม่ควรอาลัยอาวรณ์อีกฝ่ายมากนัก เหมียวเลยเลือกที่จะส่งข้อความไปบอกลาแทน แต่ก็ถูกตัดพ้อว่าเป็นคนใจร้ายซะอย่างนั้น
ถึงเวลานี้พี่เก้าไปต่างประเทศได้เกือบห้าเดือนแล้ว แต่เหมียวกลับรู้สึกว่าไม่ได้อยู่ไกลกันเลย อีกฝ่ายทักทายเขาทางข้อความอยู่เป็นประจำ บางครั้งก็วิดีโอคอลคุยกัน แต่นั่นก็เกิดขึ้นนาน ๆ ครั้ง เพราะเวลาไม่ได้ตรงกัน ครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นหน้าก็เกือบเดือนละมั้ง
วิฬาร์เองก็รู้สึกเป็นห่วงพี่เก้าไม่น้อย ก่อนหน้านี้ก็ดูเหมือนว่าไม่ค่อยสบาย ทั้งเวียนหัวและอาเจียนอยู่บ่อย ๆ จนต้องลางานหลายครั้ง บอกให้ไปหาหมอก็ไม่ยอมไป อ้างแต่ว่าการรักษาพยาบาลของที่นั่นไม่ได้สะดวกเหมือนกับที่ไทย พี่เก้าบอกว่าน่าจะเกิดจากการนอนไม่พอ ถ้าได้นอนเยอะ ๆ ก็อาจจะดีขึ้น
แมวเหมียวคิดว่าตนเองไม่ได้มีสิทธิ์จะไปบังคับให้พี่เก้าทำอะไรตามใจตัวเอง เลยทำได้แค่เป็นห่วงอยู่ตรงนี้ และบอกให้พี่เก้าดูแลตัวเองให้ดี ล่าสุดนี้ที่ได้คุยกันพี่เก้าบอกว่าดีขึ้นจนเป็นปกติแล้ว แบบนี้เขาก็ค่อยเบาใจขึ้นหน่อย ไม่อย่างนั้นเขาจะไปฟ้องลุงคาร์ลกับป้าเกดแน่
ในตอนนี้แมวเหมียวเริ่มคุ้นเคยกับการที่ไม่มีพี่เก้าไปมาหาสู่กัน อย่างวันวาน รวมทั้งความรู้สึกเจ็บปวดที่เคยมีก็เบาบางลงแทบไม่เหลือ แต่ไม่ใช่ว่าความรักที่มีมันหายไปพร้อมกัน
เขายังคงรักพี่เก้า..ความรักที่มีอยู่มันไม่ได้จางหายไปไหน..ถึงแม้ว่าวันใดความรักนี้อาจเปลี่ยนรูปแบบไปไม่เหมือนเดิม หรือสักวันเขาอาจเจอคนที่เหมาะสมที่จะรัก
..แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็ยังคงรัก ‘พี่ชาย’ คนนี้ตลอดไปอยู่ดีนั่นแหละ..
“ดูสิกินจนตัวบวมไปหมดแล้ว” พี่ชายคนโตที่เพิ่งกลับจากที่ทำงานยืนมองน้องที่กำลังนอนเคี้ยวขนมหยับ ๆ ดูทีวีบนโซฟา จนอดไม่ได้ที่ต้องออกปากแซว
ช่วงนี้วิฬาร์ใช้เวลาหลังจากการทำการบ้านและทบทวนบทเรียนหมดไปกับการนอนเล่นเกม ดูเน็ทฟลิกซ์และกินขนม จนรูปร่างที่เคยผอมบางดูมีเนื้อมีหนังขึ้นพอสมควร
ดวงตากลมโตมองเฮียตาขวาง มือข้างที่ว่างดึงชายเสื้อที่ร่นขึ้นทำเห็นให้เห็นท้องป่อง ๆ ลงมาปิดให้มิด
“นี่เฮียบูลลี่เหมียวเหรอ”
ธีราหัวเราะ ทรุดตัวนั่งลงเบียดกับน้อง เอื้อมมือไปดึงแก้มยุ้ยอย่างเบามือ
“บูลลี่ที่ไหนกัน พูดเรื่องจริงหรอก ดูสิ! แก้มย้วยเชียว”
“อื้อ!” แมวเหมียวสะบัดหน้าหนี
“แม่ว่าแบบนี้ก็ดีนะ น่ารักออก” เกวลินยกจานขนมให้ลูกชายคนโต “แม่อยากให้แมวเหมียวตัวนุ่มนิ่มแบบนี้มานานแล้ว”
ความจริงวิฬาร์ก็ไม่ได้อ้วนอะไรมากมายนัก แต่ถ้าเทียบกับที่ผ่านมาแล้ว ตั้งแต่เด็ก ๆ เขาค่อนข้างผอมมาก ไม่ใช่เป็นเพราะกินอะไรก็ไม่อ้วน แต่เพราะกินน้อยเหมือนแมวดมต่างหาก
เกวลินที่เห็นลูกชายคนเล็กกินเก่งขึ้นก็รู้สึกดีใจ ตอนนี้แมวเหมียวของเธอแก้มกลมขึ้น รูปร่างก็มีน้ำมีนวลขึ้น จับไปก็แทบไม่เจอกระดูกซี่โครงกับกระดูกสันหลังแล้ว
“ดูเป็นเด็กสมบูรณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว” ป๊าเงยหน้าขึ้นจากหนังสือในมือบอกพร้อมรอยยิ้มบาง มองลูกทั้งสองคนด้วยแววตาเอ็นดู โดยเฉพาะคนเล็ก
“ป๊าบูลลี่เหมียว!” ลูกคนเล็กเด้งตัวขึ้นนั่งพร้อมกับร้องโวย
“พุงเป็นชั้นเลยน้า~” ธีราเอื้อมมือไปบีบพุงน้อง
“แม่~~” พอถูกรุมเจ้าตัวก็โผหามารดาทันที ทำเอาทั้งป๊าและเฮียต่างหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน
“ป๊ากับเฮียเขาก็พูดหยอกหนูไปอย่างนั้นแหละครับ” เกวลินบอกพร้อมกับลูบหัวลูบหลัง “หนูไม่ได้อ้วนขึ้นอะไรเยอะแยะขนาดนั้นหรอกลูก”
“แต่กางเกงเหมียวก็คับขึ้นจริง ๆ นะแม่” เจ้าตัวแย้ง
แม่ดันตัวลูกชายคนเล็กออก ขยับสายตามองไปรอบ ๆ “แต่แม่ชอบที่เหมียวเป็นแบบนี้นะครับ” ไม่ว่าลูกจะเป็นยังไงเธอก็ชอบอยู่ดีนั่นแหละ
“อันที่จริงป๊าก็ชอบนะ น่ารักดี” จักรชัยเอ่ยขึ้นด้วยความกลัวว่าลูกคนเล็กจะคิดมากขึ้นมาจริง ๆ
“แล้วเฮียล่ะ” แมวเหมียวหันไปถามตัวต้นเรื่อง
ธีราทำท่าลีลาเล็กน้อยก่อนจะยอมพูดเมื่อโดนน้องเล็กถลึงตาใส่ “ชอบจ๊ะชอบ”
วิฬาร์ยิ้มกริ่มหายหงุดหงิดขึ้นมาทันที น้องน้อยขยับตัวไปนอนที่เดิม หยิบขนมที่ยังกินไม่หมดเข้าปากเคี้ยวต่อจนแก้มป่อง
อันที่จริงแมวเหมียวก็ไม่ได้สนใจกับรูปร่างของตัวเองสักนิด แต่พอถูกคนในบ้านแซวแล้วมันก็ทำให้หงุดหงิดขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผลซะอย่างนั้น พักหลังนี้พวกแฝดมันก็ชอบบอกว่าเขาดูแปลก ๆ บทจะอารมณ์ดีก็ดี๊ดี หงุดหงิดง่ายแต่ก็หายเร็ว อารมณ์ขึ้นลงเร็วจนน่าตกใจ นี่ถ้าเขาเป็นผู้หญิงพวกมันคิดว่าเขาคงฮอร์โมนเปลี่ยนเพราะวันแดงเดือดแน่ ๆ
โทรศัพท์ที่วางอยู่บนโซฟาดังขึ้น วิฬาร์เหลือบมองเห็นว่ามันอยู่ใกล้กับพี่ชาย
“ใครไลน์มาเหรอเฮีย”
ธีราหยิบขึ้นมาดูแจ้งเตือนบนหน้าจอ “ศรุต”
“มันว่าไงอะ”
“เอาไปอ่านเองสิวะ” พี่ชายส่งให้เด็กขี้เกียจที่ไม่ยอมขยับตัวเอาแต่ขยับปาก
“อย่าพูดวะกับน้องสิ” เกวลินตีแขนลูกเบา ๆ เป็นการเตือน
คนถูกแม่เอ็ดกลอกตาให้กับความรักของแม่ที่มีต่อน้อง “ครับคุณแม่~~” เจ้าตัวลากเสียงประชด จนมารดาหัวเราะตาหยี
วิฬาร์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาปลดล็อก สักพักแล้วที่เขาไม่ได้ติดต่อกับศรุตเลย ตั้งแต่ที่ถูกปฏิเสธไปหมอนั่นก็บอกว่าจะหายไปทำใจสักระยะ สงสัยหายดีแล้วมั้งถึงได้ทักกลับมา
‘ทำไรอยู่’
‘กินขนม นอน ดูทีวี’
‘สบายจริงนะมึง ระวังอ้วนเป็นหมู’
สงสัยจะสบายดีแล้วจริง ๆ ถึงได้กวนตีนแบบนี้ แต่เขาจะไม่ถือสาหรอกนะ ถือซะว่าชดใช้ที่ไปหักอกมัน
‘อ้วนแล้ว’
‘อ้วนได้ไง มึงกินยังกับแมวดม’
‘ไม่ดมแล้วโว้ย เขมือบเลย’
ศรุตส่งสติ๊กเกอร์หัวเราะก๊ากมาให้
‘อยากเจอเลยว่ามึงจะอ้วนขนาดไหน’
‘ว่าง ๆ ก็ลงมาเที่ยวดิ’
‘ไปนอนค้างบ้านมึงได้ปะ’
เหมียวคิดก่อนจะหันไปเอ่ยถามบิดา “ป๊าครับ ถ้าเพื่อนของเหมียวมาเที่ยวจะมานอนค้างที่บ้านเราได้ไหม”
“สองแฝดเหรอ”
วิฬาร์ส่ายหัว “เพื่อนที่โรงเรียนกวดวิชาที่กรุงเทพอะครับ”
“ไว้ใจได้เหรอ” ธีราย้อนถาม
แมวเหมียวกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะพยักหน้ารัว “ได้สิ ๆ เหมียวคอนเฟิร์ม”
“งั้นก็ตามใจหนูเลย” คนเป็นพ่อตอบ ยิ้มยินดีที่เห็นลูกชายมีเพื่อนคนอื่นนอกจากสองแฝดบ้าง ลูกคนเล็กของเขามันเพื่อนน้อยเกินไป
“มาวันไหนก็บอกนะจ๊ะ แม่จะได้เตรียมห้องให้”
“ไม่ต้องหรอกครับ ให้มันนอนกับเหมียวก็ได้ ขอแค่ฟูกก็พอครับ” เหมียวเกรงใจแม่ แค่ทำงานในบ้านก็เหนื่อยมากแล้ว
‘จะมาก็มา ป๊ากับแม่อนุญาตแล้ว’
หลังจากนั้นไม่กี่วันศรุตก็เดินทางมาเที่ยวตามคำที่ได้บอกไว้ เหมียวยืนรอรับเพื่อนที่คิวรถตู้สายที่อีกฝ่ายนั่งมาใบหน้าน่ารักบึ้งตึง ด้วยอากาศที่อบอ้าวบวกกับความหิวเลยทำให้เจ้าตัวรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
“หน้าบูดเหมือนอมขี้เลยนะมึง”
เสียงคุ้นเคยทักขึ้นโดยที่วิฬาร์ไม่ทันได้ตั้งตัว “อมขี้พ่อง”
ศรุตหัวเราะร่า ดวงตามองสำรวจอีกฝ่ายไปทั่ว “มึงดู..อวบขึ้นจริง ๆ ด้วย”
คนถูกทักเหล่มองพุงตัวเองนิดหน่อย “ก็บอกแล้ว”
“แต่ทำไมมึงดูลงพุงจังวะ” ศรุตขมวดคิ้ว รูปร่างของเหมียวมันแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้ ดูไม่สมส่วน
“พุงอาเสี่ยไง” แมวเหมียวยิ้มพลางตบพุงตัวเอง “แล้วนี่มึงกินข้าวมายัง”
“จะชวนกินว่างั้น”
“เออ”
ศรุตยักไหล่ก่อนจะเดินเข้าไปกอดไหล่เพื่อนแล้วพาเดินไปด้วยกัน “กูหิวจนจะแดกควายได้ทั้งตัวละ”
วิฬาร์นัดสองแฝดเอาไว้ที่ห้างสรรพสินค้า เขาอยากกินชาบูมานานแล้ว ในที่สุดก็หาโอกาสได้สักที
“ไหนมึงว่าไม่ค่อยชอบกินบุฟเฟต์ไง” ศรุตพูดขึ้นทันทีที่มายืนอยู่หน้าร้านชาบู
“ก็ตอนนี้กูอยากกิน” เหมียวตอบเสียงห้วน
“เอ้า” ศรุตร้อง “ทำไมต้องหงุดหงิดใส่กูด้วยเนี่ย” ช่วงขายาวเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในร้าน อะไรของมัน..ผีเข้าผีออก
“คนนี้ต้นกล้า คนนี้ต้นข้าว ส่วนนี่ศรุต รู้จักกันไว้นะพวกมึง” วิฬาร์ชี้คนนั้นทีคนนี้ทีพร้อมกับบอกชื่อไปด้วย เจ้าตัวรีบลุกขึ้นไปตักอาหารอย่างหิวโหย ทิ้งเพื่อนใหม่ไว้กับเพื่อนเก่าโดยไม่สนใจไยดี
ทั้งสามคนมองหน้ากันไปมาพร้อมกับยิ้มแห้งอย่างทำตัวไม่ถูก
“หวัดดี” ศรุตบอกด้วยท่าทีประดักประเดิด “พวกนาย..”
“คุยแบบปกติก็ได้” ต้นข้าวบอกยิ้ม ๆ
“พวกกูไม่ถือ” ต้นกล้าเสริม
ศรุตพยักหน้าก่อนจะชี้ไปที่ซุ้มอาหาร “ไปตักก่อนแล้วค่อยมาคุยกันดีกว่า กูหิวจะแย่แล้ว”
ทั้งสามคนแยกย้ายกันไป ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับของกินที่วางจนเต็มโต๊ะ ศรุตเข้ากันได้ดีกับเพื่อนของแมวเหมียว โดยเฉพาะต้นกล้าที่มีอะไรหลายอย่างที่ชอบคล้าย ๆ กัน
“ไอ้นี่ก็เอาแต่กินไม่พูดไม่จาเลยนะ” ศรุตเหล่มองคนข้างตัว
แมวเหมียวโยกศีรษะในขณะที่กำลังเคี้ยวเต็มปากอย่างอารมณ์ดีก่อนที่จะหยุดเคี้ยวเมื่อรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติกับร่างกายของตัวเอง เรียวคิ้วบางขมวดแน่น
“เป็นอะไรวะ” ต้นข้าวถามเมื่อเห็นเพื่อนมีอาการแปลกไป
“ไม่รู้ว่ะ เหมือนมีอะไรดุน ๆ ในท้อง” เหมียวตอบพร้อมกับยกมือขึ้นลูบท้องเบา ๆ ตรงตำแหน่งที่มีอาการ
“ไปหาหมอไหมมึง” ต้นกล้าบอกด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ต้อง ๆ” เจ้าตัวส่ายหน้า “ดีขึ้นแล้ว”
“ถ้ามีอาการอีกรอบต้องรีบไปหาหมอนะเว้ย” ต้นกล้าว่าคนกลัวหมอกลัวโรงพยาบาล
“อือ ๆ” วิฬาร์ตอบรับเนือย ๆ ความอยากอาหารลดลงไปในพริบตา เมื่อเพื่อนถามว่าไม่กินอีกเหรอก็ตอบกลับไปว่าอิ่มแล้ว
“แล้วพวกกูต้องมานั่งเก็บกวาดของมึงเนี่ยนะ!” ศรุตว้าก
“แดก ๆ ไปเถอะ อย่าพูดมาก” เพื่อนตัวน้อยว่าก่อนจะหยิบเอาซูชิยัดเข้าปากอีกฝ่ายให้หุบปาก
“ถ้าอาการไม่ดีขึ้นยังไงก็ต้องไปหาหมอนะรู้ไหม” ต้นข้าวย้ำคำพี่ชายอีกรอบ
แมวเหมียวพยักหน้ายิ้มบาง “จ๊ะ ๆๆ”
ต้นข้าวส่ายหน้ายิ้มหน่าย เขารู้ว่าเหมียวตอบรับไปอย่างนั้นแหละ ถ้าไม่ร้ายแรงจริง ๆ มันเองก็คงไม่ยอมไปโรงพยาบาลหรอก
“สวัสดีครับ ผมชื่อศรุต” ศรุตยกมือไหว้พร้อมกับแนะนำตัวเองท่ามกลางครอบครัวของเหมียวที่อยู่กันอย่างพร้อมหน้า เขาไล่สบสายตาทุกคนเริ่มจากพ่อกับแม่ที่มองเขายิ้ม ๆ พลางทักทายกลับ จนมาที่คนสุดท้าย..พี่ชายของไอ้เหมียว
..ทำไมจะต้องมองเขาหัวจรดเท้าด้วยสายตาแบบนั้นด้วยนะ..
“เฮีย!” วิฬาร์เรียกพี่ชายเสียงดัง
คนถูกเรียกหันไปมองน้องชายช้า ๆ “จะเรียกเสียงดังทำไม”
“นั่งจ้องหน้าเพื่อนเหมียวอะไรขนาดนั้น ไม่ทักทายหน่อยเหรอ” คนน้องว่าหน้านิ่วคิ้วขมวด ยังไงเขาก็อยากให้เพื่อนได้รับการต้อนรับที่ดีจากครอบครัวอยู่นะ
“สวัสดี”
“แค่เนี้ยะ!”
“ก็แล้วจะเอาแค่ไหนล่ะ”
คนน้องจ้องพี่ชายตาโตพร้อมอ้าปากค้าง อยากจะด่า..ถ้าไม่ติดว่าเป็นเฮียนี่ต้องโดนสักที!
“ทั้งสองคนกินอะไรมากันหรือยังครับ” เกวลินถามขึ้นมาก่อนที่ลูกชายสองคนจะตีกัน
“เมื่อกลางวันกินไปแล้วครับ” ศรุตตอบ
“แล้วเย็นนี้มีอะไรอยากกินเป็นพิเศษไหมจ๊ะ”
“เอ่อ..” ศรุตเหล่มองไปที่เหมียว “ผมกินอะไรก็ได้ครับ”
“เหมียวอยากกินหมึกไข่นึ่งมะนาว!” ลูกชายคนเล็กออกความเห็นแทน
“ได้เลย” เกวลินตอบรับก่อนจะหันไปหาลูกชายคนโต “น้ำครับ ไปตลาดซื้อของให้แม่หน่อยสิ”
“แม่..นี่วันหยุดผม”
“ทำให้น้องแค่นี้ไม่ได้เหรอครับ”
“ทำให้เหมียวแค่นี้ไม่ได้เหรอครับ”
ธีรามองไอ้น้องตัวแสบที่เลียนแบบประโยคพูดของแม่เพื่อมากวนประสาทเขา
“แต่..”
“หรือจะให้แม่ไปเองครับ”
“ครับ ๆๆ ไปให้ก็ได้” ธีราจำยอมต้องไปอย่างช่วยไม่ได้ ตอนนี้เองก็เย็นแล้ว โชคดีที่จังหวัดที่เขาอยู่ติดทะเล ขับรถไปไม่ไกลมากก็จะมีสะพานปลาที่มีพ่อค้าแม่ค้ามาขายของทะเลสด ๆ กันให้เต็ม เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง หันไปเรียกน้องชายกับเพื่อนให้ไปด้วยกัน
“ทำไมเหมียวต้องไปด้วยเล่า~” เจ้าตัวร้อง
“ใครอยากกินคนนั้นก็ต้องไป” พี่ชายพยายามดึงแขนให้น้องลุกขึ้น “ดูสิ! ตัวหนักชะมัด”
เสียงทะเลาะอย่างไม่จริงจังของสองพี่น้องเรียกรอยยิ้มให้กับศรุตได้อย่างดี เขาคิดอยู่แล้วว่าเหมียวจะต้องเติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่น เพราะแบบนี้เหมียวถึงได้เป็นคนที่น่ารักและมองโลกในแง่ดี
..ต่างจากเขา..
“ไอ้หนู!”
ศรุตสะดุ้ง “ครับ?”
“เหม่ออะไรน่ะ ลุกเร็ว” ธีราเร่งพร้อมกับลากน้องชายที่กำลังโวยวายไปที่รถ
ขับรถจากบ้านไปถึงสะพานปลาใช้เวลานานกว่าที่คิด เพราะวันนี้เป็นวันหยุดยาวเลยทำให้รถติด แถมยังหาที่จอดรถยากมาก น้องคนเล็กบ่นหิวเป็นหมีกินผึ้งมาตลอดทาง
“สมน้ำหน้า อยากกินอะไรที่มันไม่มีในบ้านดีนัก” เฮียว่า
แมวเหมียวเบะปากเอ่ยเสียงเครือ “ก็เหมียวอยากกินนี่”
คนเป็นพี่ชะงักไปด้วยไม่คิดว่าแค่นี้จะทำให้น้องชายร้องไห้ได้ “แมวเหมียว..ร้องไห้ทำไม” เขาเอ่ยถามพลางเอื้อมมือไปลูบหัวน้องชาย
“ก็เฮียว่าเหมียว” เจ้าตัวเช็ดน้ำตาป้อย ๆ รู้สึกโมโหตัวเองที่ดันร้องไห้ต่อหน้าเพื่อนอีกด้วย
ศรุตปิดปากเงียบเมื่อบรรยากาศในรถไม่ค่อยดี เขาเองก็แอบตกใจไม่น้อยที่เห็นว่าเหมียวอารมณ์แปรปรวนมากขนาดนี้ วันนี้เขายังอยู่กับอีกฝ่ายไม่เต็มวันยังเปลี่ยนไปมาเร็วจนเขายังผิดสังเกต จำได้ว่าตอนเรียนด้วยกันที่กรุงเทพ เหมียวมันก็ไม่ใช่คนที่อารมณ์ขึ้นลงไวแบบนี้
“แค่หยอกเล่นเอง” ธีราบอกเสียงอ่อน นึกสงสัยว่าทำไมน้องชายของเขาถึงอ่อนไหวผิดปกติ ฝ่ามือใหญ่ลูกผมนิ่มอย่างเบามือ “เฮียขอโทษนะ”
วิฬาร์สูดน้ำมูก “เฮียต้องไถ่โทษ”
“อยากได้อะไรอีกล่ะเรา” พี่ชายถามยิ้มมุมปาก เพื่อน้องชายคนนี้แล้ว..เขาให้ได้ทุกอย่างนั่นแหละ
“เกมใหม่”
ธีราหัวเราะในลำคอ “โอเค ๆ พรุ่งนี้เราไปซื้อกัน”
“เย้!” น้องคนเล็กชูมือดีใจ ยิ้มกว้างทั้งที่ขอบตายังแดง
ศรุตเห็นแบบนี้ก็ส่ายหน้ายิ้มขำ คนอะไรอารมณ์ขึ้นลงไวแบบนี้ เขาลอบมองพี่ชายของเหมียว..เห็นหน้านิ่ง ๆ แบบนี้ใจดีกว่าที่คิดอีก อาจจะเพราะช่วงวัยที่ห่างกันมากและร่างกายที่ดูไม่ค่อยแข็งแรงเลยทำให้เหมียวถูกประคบประหงมดูแลจากพี่ชายดีมากขนาดนี้ก็เป็นได้
ธีราพาเด็ก ๆ เดินตลาดสะพานปลาเพื่อเลือกซื้อของสดตามที่ได้รับคำสั่งจากมารดา เขาได้ปลาหมึกไข่ขนาดกำลังพอดีสองกิโล ปลาทูสดอีกหนึ่งกิโล และกุ้งแชบ๊วยตัวใหญ่อีกสองโล โดยมีเด็กหนุ่มเพื่อนของน้องชายรับหน้าที่อาสาถือของให้ ส่วนแมวเหมียวแยกตัวไปซื้อลูกชิ้นทอดใกล้ ๆ นี้
“อยากกินอะไรไหม” ธีราถามศรุต
“เอ่อ..ผมอะไรก็ได้ครับ”
ดวงตาคมจ้องใบหน้าเด็กหนุ่มนิ่ง “ไม่มีหรอกนะไอ้อะไรก็ได้น่ะ”
“...” ศรุตอึ้งเมื่อถูกย้อน ในหัวคิดหาคำตอบเอาตัวรอด “ผม..กินอะไรก็ได้ที่พี่ชอบครับ”
เรียวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ไอ้เด็กนี่มันเข้าใจตอบ ธีราพยักหน้าช้า ๆ “แล้ว..ชอบแมวเหมียวเหรอ”
“ครับ?” เด็กหนุ่มไม่เข้าใจว่าจากถามเรื่องของกินแล้วเปลี่ยนมาเรื่องนี้ได้ไง
“ต้องให้ถามซ้ำเหรอ”
“ไม่ครับ” ศรุตส่ายหน้าหวือ แล้วทำไมต้องโหดกับเขาขนาดนี้ด้วยเนี่ยยย
“คำตอบล่ะ”
“...ก่อนหน้านี้เคยชอบครับ แต่ตอนนี้ไม่ได้ชอบในแบบนั้นแล้ว” ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะดูหวงน้องมากแค่ไหน แต่เขาก็เลือกที่จะตอบความจริงออกไป “น้องพี่หักอกผมดังเป๊าะเลย”
คนอายุมากกว่าหลุดขำ ศรุตหน้าตึงขึ้นมาเล็กน้อย ถึงเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับเหมียวแล้ว แต่พอถูกหัวเราะเหมือนเยาะเย้ยแบบนี้แล้วมันก็อดที่จะหงุดหงิดไม่ได้
ธีรากระแอม “โทษที ไม่ได้หัวเราะที่เธอถูกหักอกหรอกนะ แต่หัวเราะที่คนอย่างแมวเหมียวมันหักอกคนเป็นแล้วต่างหาก ไม่นึกว่าเด็กหน้าตาดีอย่างเธอจะมาชอบคนบ๊อง ๆ แบบนี้ด้วย”
“แต่นั่นก็เป็นเสน่ห์ของเหมียวนะครับ”
คนฟังเหลือบมองเด็กหนุ่มที่พูดจาถูกใจเขาเหลือเกิน “นั่นสิเนอะ” ธีรายิ้มให้ก่อนจะก้าวขาเดินไปหาน้องชายที่กลับมาพร้อมลูกชิ้นถุงใหญ่
ศรุตนิ่งไปเมื่อได้รับรอยยิ้มแรกจากพี่ชายของเพื่อน สายตามองภาพตรงหน้า ไม่รู้ทำไม..ทั้งที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้เป็นมิตรกับเขาสักเท่าไหร่ แต่ภาพของพี่ชายตัวใหญ่ที่ยิ้มพร้อมกับยกมือขึ้นลูบหัวน้องด้วยความอ่อนโยนมันช่างตราตรึงใจเขาเหลือเกิน
“กินให้เยอะ ๆ เลยนะจ๊ะ จะได้โตไว ๆ นะ” เกวลินบอกกับเพื่อนลูกชายที่มองกับข้าวบนโต๊ะตาโต
“โห ถ้าแค่นี้ยังไม่เรียกว่าโต เหมียวก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้วครับ” ลูกคนเล็กว่าก่อนจะจิ้มกุ้งชุบแป้งทอดขึ้นมากัดคำโต
“ถ้าตัวโตได้เท่ากับป๊าหรือเฮียก็ดีนะจ๊ะ”
“ศรุตอายุน้อย ยังมีโอกาสสูงได้อีกนะคุณ” จักรชัยเอ่ยกับภรรยา
“แต่เด็กแถวนี้…” ธีราลากเสียง สายตาเหลือบมองน้องชาย “ดูท่าจะขยายข้างมากกว่านะ”
“เฮีย!!”
นานมากแล้วที่ศรุตไม่ได้นั่งกินข้าวกับครอบครัว ความทรงจำที่มีร่วมกับพ่อและแม่มันเลือนรางจนเขาคิดถึงความรู้สึกที่ได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาไม่ออก แต่วันนี้..เขากลับได้รับมันจากครอบครัวของเหมียว
ได้ทานอาหารพร้อมหน้า อบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะและความอบอุ่น นั่นคือสิ่งที่เขา..เคย..ปรารถนาอยากได้จากพ่อกับแม่มาตลอด แต่ในตอนนี้เขาคิดว่ามันไม่ได้จำเป็นเท่ากับสมัยเด็กอีกต่อไปแล้ว
เพราะในสักวันหนึ่งเขาจะต้องได้พบกับครอบครัวของเขาเอง คนที่จะเป็นความสุข เป็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เป็นทุก ๆ อย่างของกันและกันเหมือนกับครอบครัวของแมวเหมียว
เด็กหนุ่มอมยิ้มให้กับภาพของสองพี่น้องตรงหน้า คุณแม่ของบ้านตักกับข้าวที่อยู่ใกล้กับท่านมาวางบนจานของเขาพลางบอกว่า ‘กินให้หมดนะ’
ศรุตกล่าวขอบคุณด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจ เขากล้าพูดได้เลยว่าอาหารมื้อนี้เป็นมื้อที่อร่อยที่สุด..และเขาก็มีความสุขมาก
“เดี๋ยวกูล้างให้ มึงรอเช็ดจานไป”
หลังจากทานอาหารเสร็จ เด็กหนุ่มทั้งสองคนก็รับหน้าที่ล้างจานไป ศรุตบอกกับเพื่อนตัวเล็กที่กำลังกวาดเศษอาหารลงถุง
“โอเค” วิฬาร์ยิ้ม เขาไม่ค่อยชอบล้างจานสักเท่าไหร่อยู่แล้ว
“ยิ้มแป้นเลยนะมึง” ศรุตผลักหัวอีกฝ่ายเบา ๆ ก่อนจะหยิบจานขึ้นมาล้างน้ำเปล่าก่อนหนึ่งน้ำแล้วค่อยต่อด้วยน้ำยาล้างจาน
“มึงล้างจานเก่งดีนะ” เหมียวบอกอย่างคาดไม่ถึงว่ามันจะทำเรื่องแบบนี้ได้คล่องแคล่ว ศรุตมันดูเป็นลูกคุณหนูออก
เจ้าตัวหัวเราะในลำคอ “กูเก่งทุกเรื่องน่ะแหละ”
“จ้ะ ๆๆ” แมวเหมียวตอบรับด้วยความหมั่นไส้ในความมั่นใจในตัวเองของศรุต
“อ้าว! ทำไมแมวเหมียวไม่ช่วยเพื่อนล่ะลูก” เกวลินที่ยกกับข้าวที่เหลือเข้ามาเก็บในครัวเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าลูกชายยืนกอดอกพิงเคาน์เตอร์เฉย ๆ
“ผมเป็นคนบอกให้เหมียวเป็นคนเช็ดจานแล้วค่อยเก็บเองครับ”
ลูกคนเล็กผงกหัวหงึก “เราแบ่งหน้าที่กันแล้วนะครับ”
“จ้า ๆ งั้นหนูมาช่วยแม่เก็บกับข้าวหน่อยมา”
วิฬาร์ไม่มีท่าทีอิดออด เขาหยิบจานกับข้าวที่เหลือเทลงกล่องให้เรียบร้อยก่อนที่จะเก็บแช่ตู้เย็น
“โอ๊ะ!” แมวเหมียวร้องขึ้นในทันทีที่รู้สึกว่ามีอาการแปลก ๆ เกิดขึ้นในท้องของตัวเองอีกครั้ง
“เป็นอะไรเหรอลูก” แม่ถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นลูกชายร้องก่อนจะเอามือลูบท้องไปมา
“มัน..ในท้องเหมียวมัน..แปลกจังเลยครับ”
“เจ็บเหรอครับ”
แมวเหมียวส่ายหัว “เหมียวก็บอกอาการไม่ถูกเหมือนกัน มัน..เหมือนมีอะไรกระตุกหรือดุน ๆ ในท้องเลย”
เกวลินที่คิ้วขมวดอยู่แล้วยิ่งขมวดแน่นเข้าไปอีก เธอไม่อยากคิดเอาเองว่ามันเป็นคืออาการของโรคอะไร เลยชวนลูกไปให้หมอวินิจฉัยดีกว่า แต่แมวเหมียวก็เม้มปากแน่นไม่ยอมตอบว่าจะไปหรือไม่ไป
“ไปเถอะลูก ไม่ต้องกลัวนะครับ” บอกพร้อมกับลูบศีรษะอย่างแผ่วเบา
วิฬาร์ที่กลัวการไปหาหมอมาก ยอมพยักหน้าแต่โดยดี ก็เพราะกลัวว่าตัวเองจะเป็นอะไรหนัก แล้วจะแก้ไขอะไรไม่ทันถ้าช้าเกินไป
TBC…
มาช้าอีกแน้ววว
ค่อยเป็นค่อยไปค่า
ใครที่ทายว่าแมวเหมียวจะป่องหรือเปล่าก็คงเดาได้แล้ว
ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะค้า
ขอบคุณค่ะ