4th Wednesday #รักไม่คาดคิดในวันพุธ
“พี่หายดีแล้วใช่มั้ยครับ?”เสียงของแทนกายถามขึ้นมาตอนที่พวกเขามาเรียนด้วยกันในวันพุธถัดมา วันนี้น้องลิลลี่กับน้องลูกเกดมาเรียนไม่ได้เพราะติดกิจกรรมที่โรงเรียน ส่วนน้องต้นไลน์มาขอยกเลิกเรียนโดยไม่เอาค่าคอร์สที่เหลือคืน อันที่จริงเขาเองก็อยากสอนน้องต่อ แต่จากเหตุการณ์เมื่อวันพุธที่แล้ว บางทีวิธีการสอนของเขาอาจจะไม่เหมาะกับน้องจริงๆ
ซึ่งล้งเล้งเองก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากอวยพรให้น้องติดมหาลัยและคณะที่ตัวเองอยากจะเข้า
“พี่ดีขึ้นแล้ว ไม่เป็นไรแล้วล่ะ”
“สรุปพี่เป็นอะไรเหรอครับ?”
แทนกายถามต่อ ใบหน้าของน้องแสดงความกังวลออกมาอย่างปิดไม่มิด ซึ่งมันอดทำให้ล้งเล้งรู้สึกเอ็นดูไม่ได้ เขาถูกชะตากับเด็กคนนี้จริงๆ
“วันนั้นผมตกใจมากเลยนะครับ อยู่ดีๆ พี่ล้มตึงลงไปแบบนั้น”
“คือ...”
“พี่ล้งเล้งล้มเลยเหรอ? เกิดอะไรขึ้นอ่ะ?”
ในขณะที่ล้งเล้งกำลังจะตอบแทนกาย เด็กอีกคนก็แทรกขึ้นมาทันที ซึ่งคนนั้นก็คือน้องโจ้ เด็กที่ปกติเงียบๆ ไม่ค่อยมีปากเสียงอะไร เอาแต่นั่งจ้องหน้าล้งเล้งอย่างเดียวตลอดการสอน โพลงถามเรื่องสุขภาพเขาออกมาทันที
อันที่จริงล้งเล้งไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการที่โจ้จ้องหน้าจนบางครั้งอึดอัด จะมองอะไรก็มองไป หากเรียนได้ล้งเล้งก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับตรงนั้น ขอแค่ตั้งใจเรียนก็พอ นอกนั้นอยากทำอะไรก็ทำเลย จะตีลังกากลางร้านแม็คฯก็ได้ เขาไม่ถือ ทำการบ้านมาด้วยแล้วกัน
“ก็ป่วย หมดสติ ทำนองนั้น” ติวเตอร์คนเก่งพูด คล้ายกับว่ามันเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
“บ้าไปแล้วเหรอพี่ ทำไมไม่ดูแลตัวเอง?”
“แล้วเป็นเดือดร้อนอะไรก่อน” ล้งเล้งถามกลับ เขาขมวดคิ้วลงนิดหน่อยเมื่อโจ้ทำท่าจะพูดต่อคล้ายกับไม่พอใจ “ทำการบ้านหรือยังเถอะ”
“ทำแล้ว”
“ที่โรงเรียนมีการบ้านอะไรมั้ย?”
“ไม่มี พี่ ตอบก่อนดิ ทำไมปล่อยให้ตัวเองป่วยขนาดนั้น?”
“มันต้องมีเหตุผลเบื้องหลังการป่วยมากขนาดนั้นเลยเหรอ? พี่ก็แค่ป่วยอ่ะโจ้”
ล้งเล้งถามกลับ เขาหยิบชีทที่ตั้งใจจะสอนในวันนี้ขึ้นมา ซึ่งอันที่จริงตัวของนักศึกษาปีหนึ่งไม่คิดว่าเด็กมัธยมหกสองคนตรงหน้านี้จะใช้เวลานานมากนักในการทำแบบฝึกหัดเรื่องการอ่านบทความภาษาอังกฤษมากเท่าไหร่นัก พื้นฐานเป็นเด็กหัวไวอยู่แล้ว แถมยังตั้งใจด้วย
แต่หากให้พูดตามตรง ความตั้งใจแบบนี้ต่อให้ช้าแค่ไหนเขาก็สอนได้ เขาไม่มีปัญหากับการสอนเด็กที่ทำความเข้าใจบทเรียนได้ยาก จะทึบแค่ไหนก็มา ขอแค่ตั้งใจเรียน ล้งเล้งสอนได้หมดทั้งนั้น
“ไม่ได้ต้องมีทุกครั้งหรอกพี่ แต่มันก็ไม่ควรขนาดนั้นหรือเปล่า? ทำไมพี่ถึง...” เด็กโจ้ทำท่าเหมือนกับจะพูดต่อ แต่ล้งเล้งตัดบท เพราะรู้สึกว่ามันเลยเวลาที่ควรจะเข้าเนื้อหามานานมากแล้ว
“โอเค งั้นอยากรู้อะไรไปเขียนเป็น Essay มาส่งละกัน”
“...”
“บอกไปเลยว่าคนเราไม่ควรจะป่วยเพราะอะไร เหตุผลคืออะไร ตัวอย่างมีเท่าไหร่ยกขึ้นมาให้หมด เดี๋ยวตรวจ writing ให้ โอเคมั้ย? แต่ตอนนี้มาเรียนก่อนเถอะนะ เรื่องพี่ป่วยอะไรนั่นเอาไว้ที่หลัง”
สิ้นเสียงล้งเล้งพวกเขาถึงได้เริ่มเรียนกันสักที เวลาสองชั่วโมงไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วในความรู้สึกของติวเตอร์หนุ่ม จนนเมื่อสอนเสร็จแล้วเด็กโจ้ที่คนที่บ้านโทรมาตามก็รีบกลับไปก่อนเหมือนกับทุกครั้ง ณ ตอนนี้จึงเหลือเพียงแค่ล้งเล้งกับแทนกายเพียงแค่สองคนเหมือนสัปดาห์ที่ผ่านมา
“วันนี้กลับยังไง?”
ล้งเล้งเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาขึ้นมา เด็กที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือที่ไม่ได้จับเลยตลอดเวลาที่นั่งเรียนกับเขาเงยหน้าขึ้นมา รุ่นพี่มหาวิทยาหยุดนิ่ง รู้สึกคล้ายกับว่าชั่วขณะหนึ่ง เขาถูกดูดเข้าไปในดวงตาคู่นั้น มันดูเหงาอย่างที่เขาไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้
“ผมเหรอ?”
เสียงแผ่วเบาของแทนกายดึงล้งเล้งให้ออกมาจากความคิดของตัวเอง มือขาวซีดของเด็กหนุ่มกางเกงน้ำเงินชี้ไปที่ตัวเอง ท่าทางการขยับตัวของอีกฝ่ายดูเชื่องช้าและไร้ชีวิตชีวา
“ใช่สิ เรานั่นแหละ ก็นั่งกันอยู่สองคนจะให้พี่ถามใคร”
“นั่นสินะครับ”
แทนกายขยับยิ้มเล็กน้อย ล้งเล้งคิดว่าตัวเองได้ยินเสียงหัวเราะแห้งๆ ออกมาจากเด็กที่เขาสอนอยู่ น้องนิ่งไปเล็กน้อยเหมือนกำลังใช้ความคิด เพียงชั่วอึดใจ แทนกายก็ตอบกลับมาสั้นๆ
“ไม่รู้สิครับ”
“เอ้า?! แล้ววันนี้เพื่อนไม่มาเหรอ?”
ครูพี่ล้งเล้งถามกลับเสียงสูง ตามปกติแล้วแทนกายมักจะบอกว่าตัวเองนัด ‘เพื่อน’ เอาไว้ หรือไม่ก็เดี๋ยว ‘เพื่อน’ จะมารับ ถึงแม้ล้งเล้งจะไม่เคยเห็นหน้าเพื่อนคนนั้นของน้องเลยก็ตาม
อันที่จริง ตั้งแต่สอนมา เจอผู้ปกครองเด็กนับครั้งได้ อาจจะเพราะเขาสอนที่สยาม ซึ่งเป็นสถานที่ที่เด็กมักจะมาเรียนพิเศษกันด้วยตัวเองอยู่แล้ว ไม่ได้สอนตามบ้านเหมือนติวเตอร์หลายคน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะไม่เจอผู้ปกครองขอน้องๆ
อีกปัจจัยหนึ่งน่าจะเป็นเพราะเขาสอนเด็กโต เด็กนักเรียนของล้งเล้งทุกคนดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี และโดดเรียนเองเก่งมากด้วยเช่นเดียวกัน
“ผมเองก็ไม่แน่ใจ”
เด็กชายตอบแค่นั้น ใบหน้าของน้องมีรอยยิ้มประดับดู แต่มันช่างดูเหือดแห้งไร้ชีวิตชีวา คล้ายกับว่าเป็นโปรแกรมอัตโนมัติที่ถูกตั้งให้คลี่ริมฝีปากหลังจากพูดจบลง
“วันนี้เราเป็นอะไรเปล่าเนี่ย?”
ล้งเล้งตัดสินใจถามออกไป เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลใจให้ตัวเองเอ่ยปากถามออกไปแบบนั้น แต่วันนี้ล้งเล้งรู้สึกว่าตอนนี้เด็กที่เขาสอนอยู่มีอะไรในใจ
คล้ายกับน้องเหมือนมี… อะไรบางอย่าง
ทุกครั้งที่มองแทนกาย ล้งเล้งรู้สึกคล้ายกับเด็กหนุ่มคนนี้เป็นเขาวงกต เหมือนเด็กชายที่อยู่ตรงหน้าของเขานั้น เป็นเพียงแค่จุดยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น ภายใต้รอยยิ้มสวยนั่นดูมีอะไรซ่อนอยู่มากมาย
ทั้งที่ใบหน้าของเด็กหนุ่มนั้น คล้ายกับพี่แทนใจพี่ชายของเจ้าตัวและรุ่นพี่ที่เขาเคารพราวกับฝาแฝด แต่บรรยากาศของทั้งสองคนกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หากแทนใจเป็นพระอาทิตย์ที่สดใส แทนกายคงเป็นเหมือนท้องฟ้ามืดมิดที่ไม่มีแม้แต่ดาวสักดวงจะส่องแสงมาถึง
หลังจากคำถามของติวเตอร์ แทนกายนิ่งไปครู่หนึ่ง บรรยากาศรอบตัวของน้องเปลี่ยนไปเล็กน้อย คล้ายกับทุกอย่างหยุดนิ่งไปพักหนึ่ง น้องทำท่าเหมือนตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่าง ซึ่งล้งเล้งเองก็เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจเช่นเดียวกัน
“ผม…”
Rrrrrr
เสียงโทรศัพท์ของแทนกายดังขึ้นมา บทสนทนาของพวกเขาหยุดอยู่แค่ตรงนั้น ล้งเล้งเตรียมเก็บของเมื่อนึกว่าคนที่โทรมาจะเป็นเพื่อนของแทนกายที่น่าจะมารับเจ้าตัวไป แต่เหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น
น้องแทนกายคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเรียบนิ่งในตอนแรก แล้วก็ค่อยๆ หมองลงเรื่อยๆ จนล้งเล้งที่ตั้งใจจะขอตัวกลับก่อนในตอนแรก ไม่กล้าทิ้งน้องเอาไว้คนเดียว
“ครับ สวัสดีครับ”
หลังจากที่เด็กหนุ่มวางสาย เขาหันมาหาล้งเล้ง ใบหน้าสวยดูคล้ายกับกำลังจะร้องไห้ออกมา แต่ริมฝีปากของเด็กหนุ่มกลับส่งยิ้มกว้างมาให้ล้งเล้งแทน
“แทนกาย?”
“พี่ล้งเล้งครับ วันนี้ขอบคุณมาก แต่ผมไปก่อนนะครับ”
“เดี๋ยว!”
ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะได้ห้ามหรือพูดอะไรเพิ่มเติม เด็กน้อยที่เขาสอนอยู่ก็ยกมือไหว้ลวกๆ ก่อนที่จะเดินหายไปอย่างรวดเร็ว ไวกว่าที่ล้งเล้งจะได้แม้กระทั่งลุกออกจากที่นั่งเพื่อเดินตาม
สุดท้าย เด็กหนุ่มก็ถอนหายใจ เขายกโทรศัพท์ขึ้นมาตั้งใจจะไลน์ไปถามพี่แทนใจ ที่เป็นพี่ชายของน้องแทนกาย แต่เลือกที่จะชะงักมือเอาไว้ เด็กหนุ่มครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้าย เขากดไลน์เข้าไปในหน้าของชื่อแชทเด็กน้อยที่เขาสอน รูปโปรไฟล์ที่เป็นท้องฟ้า ก่อนที่จะทักแชทส่วนตัวของน้องไป
ล้งเล้ง: แทนกาย
ล้งเล้ง: มีอะไรเล่าให้พี่ฟังได้ รู้ใช่มั้ย
ล้งเล้ง: เราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะน้องไม่ได้ตอบอะไรมา ไม่แม้จะอ่านข้อความของเขาด้วยซ้ำ
------- Wednesday In Class -------
ถึงแม้จะผ่านมาเกือบสัปดาห์แล้ว แต่เรื่องแทนกายยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของติวเตอร์หนุ่ม
“ล้งเล้งเป็นไรวะ? วันนี้ไม่เห็นด่าชุดกู”
มูเตลูในเสื้อสีขาว แต่กางเกงสีเขียวเรืองแสง พร้อมด้วยรองเท้า Adidas เขียวอื๋อ ด้วยเหตุผลที่ว่าวันนี้สีเขียวคือสีมงคล แต่เขียวใบตองน่าเบื่อ ต้องการเขียวที่สามารถมองเห็นได้จากวินรถตู้หน้ามหาลัย
“เอเนอร์จี้มึงขนาดนี้แล้ว”
“ไม่ต้องน้องล้งเล้งหรอก”
“เดี๋ยวพวกกูด่าเอง”
“ไอ้เวร แสบตา”
อันนี้เป็นบทสนทนาของบุ๋มบีมที่พูดต่อจากเพื่อนมูเตลูของกลุ่ม ทุกคนคือดำมืดหมดเมื่อยืนข้างมัน ทั้งที่ทุกคนก็ใส่ชุดนักศึกษาปกติแท้ๆ มีแค่ไอ้มูเนี่ยแหละ ที่กลัวว่าตัวเองจะดวงไม่ดีเลยต้องพึ่งเสื้อสีมงคลออกมาจากหอ
“จนกูกลับมา พวกมึงก็ยังไม่ได้ติวกันเนอะ”
เสียงของผู้มาใหม่คือเจ๋งเป้ง เพื่อนที่เมื่อครู่เดินหายไปหาหนังสือเพิ่มจากมุมหนังสือหายากที่ชั้นสองของหอสมุด
ตอนนี้กลับมาพร้อมกับหนังสือเล่มหนาในอ้อมแขนสี่ห้าเล่ม
พวกเขามารวมตัวกันที่โต๊ะในหอสมุดเพราะว่าวันรุ่งขึ้นจะมีควิซ ล้งเล้งที่คิดว่าจะอ่านหนังสือที่หอคนเดียว เลยยอมนั่งอยู่ตรงนี้ด้วยกันกับเพื่อนในกลุ่ม จะได้แลกเปลี่ยนสิ่งที่เรียนมาด้วยกัน
ถึงแม้จะตั้งใจไว้แบบนั้น แต่สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็มานั่งสุมหัวเพื่อคุยเรื่องเมี่ยงปลาเผาหลังมหาลัยกันมากกว่า ในส่วนของล้งเล้งที่เป็นคนนำทีมตอนนี้ก็คิดเรื่องอื่นอยู่ มูก็เหมือนกับจะเข้าฌานไปแล้ว ออกจากฌานมาแค่เฉพาะตอนที่มีใครวิจารณ์ชุดของตัวเอง บุ๋มบีมเถียงกันเรื่องสเต๊กไก่หรือไส้กรอกซีพีที่อร่อยกว่ากัน เหลือเพียงเจ๋งเป้งคนเดียวแล้วที่ยังมีสติหลงเหลืออยู่
“ล้งเล้ง”
“ว่า?”
“เป็นไรป่าววะ กูเห็นมึงทำหน้าแบบนี้มาสักพักแล้วนะ”
เจ๋งเป้งเลือกที่จะพูดกับเพื่อนข้างๆ ที่ยังคงขมวดคิ้วเหมือนกับคิดอะไรไม่ตกอยู่ แทนที่จะเป็นคนสติไม่ดีทั้งสาม พร้อมกับขมวดคิ้วให้ดูเป็นตัวอย่างว่าล้งเล้งทำหน้าตาอย่างไรอยู่
“ไม่มีอะไรมึง คิดเรื่องสอนพิเศษเฉยๆ”
“อืม”
เจ๋งเป้งอยากที่จะพูดต่อ แต่ถ้อยคำหลายหลากที่อยากจะพูดออกไปนั้นกลับติดอยู่ที่ปลายลิ้น ชายหนุ่มกัดริมฝีปาก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นคลี่ยิ้มบางๆ
“มีอะไรก็บอกกูได้นะ”
“อืม แต๊งกิ้ว”
ล้งเล้งรับคำ แต่ไม่ได้สนใจอะไรเพื่อนตัวเองมากนัก เด็กหนุ่มเปิดชีทขึ้นมาเทียบกับสรุปที่นั่งทำมาเมื่อสองสามวันก่อน ท่าทางที่แสดงออกชัดเจนว่าไม่อยากให้ยุ่งนั้น ทำให้เจ๋งเป้งเกาหัวตัวเองแบบไม่รู้จะทำอย่างไร ทั้งที่อยากถามไถ่แต่อีกฝ่ายดูเหมือนไม่อยากได้ความช่วยเหลือจากเขาเลย
“กินโกโก้มั้ย เผื่อดีขึ้น”
“เออ ก็ดีเหมือนกัน”
“งั้นกูไปซื้อ…”
ในขณะที่เจ๋งเป้งจะอาสาออกไปซื้อน้ำให้เพื่อนนั้น คนที่เมื่อครู่นั่งจมอยู่ในความคิดของตัวเองก็พูดขัดขึ้นมาเสียก่อน
“เฮ้ย พวกมึง เดี๋ยวกูออกไปซื้อของกินแป๊บ มีใครเอาไรป้ะ?”
บุ๋มบีมมองหน้ากันเมื่อล้งเล้งเสนอขึ้นมากลางวง ก่อนที่จะแย่งกันฝากของกินที่อยากได้
“พวกเราเอาสเต๊กไก่”
“กับไส้กรอกซีพี”
“แล้วก็ก๋วยเตี๋ยวชายสี่”
“หมี่หยกเป็ดย่างด้วย”
ล้งเล้งเริ่มรู้สึกเหมือนไมเกรนจะขึ้นนิดหน่อย
“มีใครจะเอาอะไรมั้ย กูหมายถึงนอกจากบุ๋มบีมอ่ะ? กูไม่ซื้อให้พวกมัน รำคาญ”
เด็กหนุ่มพูดกับเพื่อนอีกสองคน โดยเมินเสียง ‘เอ้า!’ ที่พูดขึ้นมาพร้อมเพรียงกันของบุ๋มกับบีม เจ๋งเป้งส่ายหัวเป็นการปฏิเสธว่าไม่ต้องการอะไรเป็นพิเศษ ส่วนมูเตลูที่เมื่อครู่จดจ่ออยู่กับโทรศัพท์มือถือก็พูดขึ้นมาบ้าง
“มึงไปเอาของให้กูหน่อยดิ เพื่อนกูเอามาให้”
“ได้ๆ ที่ไหนวะ”
“วินรถตู้”
“กูจะรู้มั้ยว่าเพื่อนมึงคนไหน”
“เดี๋ยวกูให้เบอร์มึงไป เหมือนมันจะถึงแล้วแหละ เดี๋ยวให้มันโทรหามึงได้ป้ะ?”
“เออๆ เคๆ”
ล้งเล้งรับคำแค่นั้นแล้วรีบเดินออกไปจากหอสมุด ไม่รอฟังเสียงแง๊วๆ ของบุ๋มบีมที่โวยวายว่าอยากได้สเต๊กไก่กับไส้กรอกจริงจัง ช่างหัวพวกมัน ถ้าอยากกินก็ซื้อเอง!
Rrrr
ในขณะที่ล้งเล้งกำลังจะจ่ายเงินรับน้ำปั่นจากคนขายนั้น เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น สายที่โทรเข้ามาต้องเป็นเพื่อนของมูอย่างไม่ต้องสงสัย ชายหนุ่มรีบกดรับโทรศัพท์จากหูฟังโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าจอคนที่โทรเข้ามา เมื่อรับได้แล้วเขาก็รีบเดินจ้ำไปที่วินรถตู้ โชคดีที่ระยะห่างระหว่างหอสมุด โรงอาหาร และวินรถตู้นั้นเป็นระยะคนเดิน ล้งเล้งจึงไม่ต้องกลัวว่าตัวเองจะไปสาย
“ฮัลโหล”
“อยู่ตรงไหน?”
“...”
เสียงยานคางที่ตอบกลับมามันคุ้นมากจนชายหนุ่มขมวดคิ้ว ขาของชายหนุ่มหยุดอยู่กับที่ สักพักก็ส่ายหัว … ไม่หรอกมั้ง คงไม่บังเอิญขนาดนั้น
“เพื่อนมูใช่มั้ย จะถึงแล้ว”
“โอเค”
“รอตรงวินนั่นแหละ ไม่ต้องเดินมา”
“อืม”
สายตัดไปแล้วพร้อมกับล้งเล้งที่วิ่งกระหืดกระหอบพร้อมกับดูดโกโก้ไปด้วย พอถึงที่วินรถตู้นั้นเขาก้มลงมองโทรศัพท์ ตั้งใจจะโทรกลับไปเบอร์ที่เมื่อสักครู่โทรเข้ามา แต่ยังไม่ทันที่จะได้ดูเบอร์ดีๆ เสียงเรียกจากทางด้านหลังก็ดังขึ้น
“ลูกหมา”
ชัดเลย ไอ้สัตว์เอ๊ย
“บังเอิญจังเลยเนอะ”
บังเอิญกับพ่อมึงเถอะ!
.
.
.
“ไหนน้องล้งเล้งบอกไปซื้อน้ำ”
“ทำไมหิ้วผู้ชายตัวใหญ่กลับมาด้วย”
เสียงของบุ๋มบีมดังขึ้นตอนที่ล้งเล้งกลับไปที่หอสมุดพร้อมกับตัวภาระที่ตามมาด้วย ทะเลที่เดินตามหลังอีกคนต้อยๆ เพียงแค่ทำหน้านิ่งๆ ตามสไตล์ แต่ดันมีรอยยิ้มบางๆ อยู่ที่มุมปากเหมือนกับว่าตัวเองอารมณ์ดีหนักหนา
อันที่จริงล้งเล้งไม่เข้าใจเลยทั้งไอ้ทะเล ทั้งไอ้มู
มูบอกให้เขาไปเอาของ แต่พอแบมือขอ ทะเลกับวางมือตัวเองลงบนมือของเด็กหนุ่มแทน พร้อมกับคำตอบกวนประสาทในแบบของมันว่า
‘มันให้กูมาหา’
‘...’
‘อ่ะ เนี่ย เอากูไปดิ’
ไอ้สัตว์เอ๊ย! ไม่รู้ว่าตอนนี้จะต้องต่อยใครก่อนระหว่างไอ้นิสิตต่างมหาลัยที่ดันนั่งรถอ้อมโลกมาถึงที่มหาลัยเขาที่อยู่กลางทุ่ง หรือว่าเพื่อนตัวเองที่ส่งล้งเล้งไปรับหน้าไอ้ตาหน้านิ่งนี่ดี!
“ไม่ต้องอ่านแล้วมั้ง ปากดีนะพวกมึงอ่ะ”
ล้งเล้งพูดกับเพื่อนตอนที่ทรุดตัวลงนั่งในที่ของตัวเอง โกโก้ปั่นที่อุตส่าห์ออกไปซื้อมาเมื่อครู่ตอนนี้เหลือเพียงครึ่งแก้ว เพราะเด็กหนุ่มจิ้มระบายความหงุดหงิด
จะกินให้หมดเลย แม่ง! หงุดหงิด!!
“แล้วมึงจะเอามันมาทำไมเนี่ย?”
“กูไม่ได้ให้มึงเอาเพื่อนกูมา” มูเตลูพูดกับล้งเล้ง “กูให้มึงไปเอาของ หอบมันมาทำไม”
“อ่าว”
ติวเตอร์หนุ่มงงงวย เมื่อหันไปมองตัวการที่ (ถือวิสาสะมา) นั่งอยู่ข้างๆ นั้น อีกฝ่ายก็เพียงแค่ส่งยิ้มกวนส้นตีน พร้อมทั้งกับพูดว่า
“อยากมานั่งด้วย คิดถึงเพื่อนๆ”
“ใครเพื่อนมึง!”
“มูเตลู”
“มึงเจอเพื่อนมึงแล้วก็กลับไปดิ”
“อยากเจอมึงด้วยไง”
“เจอตีนกูก่อนมั้ย?”
อีกสี่คนที่เหลือมองหน้ากันไปมาเมื่อล้งเล้งกับทะเลเถียงกันไม่หยุดหย่อน ในขณะที่เจ๋งเป้งเกาหัวแกรกๆ แบบไม่รุ้จะแทรกยังไง บุ๋มบีมกับมูเตลูส่งสายตาที่แปลความได้ว่า ‘มึงๆ คิดเหมือนกูป้ะ’ ’เออๆ กูก็คิดเหมือนมึงอ่ะ’ กันอยู่
“ตกลงของกูอยู่ไหน”
“เออว่ะ จริงด้วย”
มูเป็นคนที่พูดแทรกสงครามน้ำลายของเพื่อนตัวเองทั้งสองคนที่ทำท่าจะไม่จบง่ายๆ ทะเลเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองถ่อมาทำไม มือของชายหนุ่มล้วงเข้าไปในกระเป๋าของตัวเอง ก่อนที่จะหยิบถุงพลาสติกใบหนึ่งออกมา
“อ่ะ เหนียวไก่อักษรของมึง”
ล้งเล้งถึงกับอ้าปากค้างเมื่อรู้ว่าเพื่อนตัวเองฝากซื้ออะไร ข้าวเหนียวไก่ที่คณะอักษร ของกินขึ้นชื่อของมหาลัย C ที่ล้งเล้งไม่เข้าใจว่ามันวิเศษอะไรนักหนา
“เหยดดดด ได้กินสักที ขอบคุณมากเว้ย”
“แค่นี้อ่ะนะ?”
ติวเตอร์หนุ่มถามย้ำ เผื่อว่ามันอาจจะมีอะไรแอบซ่อนอยู่ในกระเป๋าอีก
“แค่นี้แหละ”
“ไอ้เวร มึงต้องให้มันซื้อที่มหาลัย C แล้วนั่งรถมาให้มึงถึงนี่เลยอ่ะนะ?”
“ก็ธรรมดาป่ะวะ คนมันอยากกิน”
มูพูดพร้อมกับแกะถุงข้าวเหนียวออกมากินตรงนั้น โดยมีบุ๋มบีมที่ร่วมวงแย่งด้วย ในขณะที่เจ๋งเป้งมองเพื่อนตัวเองเล่นกันเหมือนเด็กอย่างสนุกสนาน
“แล้วทำไมมึงไม่ใช้ไลน์แมน?”
“ก็กูมีทะเลแมน จะใช้ทำไมลงไลน์ ไร้สาระ”
อ่ะ เอาเข้าไป
“ลูกหมา”
ในขณะที่ล้งเล้งกำลังหงุดหงิดเพื่อนของตัวเองที่สนใจแต่เหนียวไก่ตรงหน้า เสียงยานคางของคนข้างๆ ก็เรียกเขาเอาไว้
“ต้องบอกอีกกี่ครั้ง ว่ากูไม่ใช่ลูกหมา!”
“นี่ของมึง”
ถุงข้าวเหนียวไก่อีกถุงถูกหยิบขึ้นมาจากกระเป๋าของทะเล มาวางไว้ตรงหน้าของคนที่กำลังจะหันไปว๊ากใส่เพื่อนที่ไม่ยอมนั่งติวกันสักที
“อะไร?”
“เหนียวไก่อักษรไง กูซื้อมาเผื่อมึงด้วย”
“ไม่แดก!”
ล้งเล้งพูด พร้อมกับเอาเหนียวไก่ไปวางไว้ตรงหน้าเด็กต่างถิ่น
“อ้ะ งั้นกูขอ”
มูเตลูที่กำลังจะเอื้อมมือมาหยิบข้าวเหนียวของล้งเล้ง ถูกบุ๋มตีมือเอาไว้ แต่เหมือนกับล้งเล้งและทะเลจะไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก พวกเขายังคงคุยกันต่อไป
“ของมึงอ่ะ กินไปดิ”
“มึงจะซื้อมาทำไมเนี่ย?”
“ก็ให้มึงไง”
“เพื่อ!”
“กินเข้าไป จะได้อิ่มๆ”
“กูไม่กิน”
“มาลูกหมา เดี๋ยวกูป้อน”
“เสือก!”
สรุปวันนั้นพวกเขากว่าจะได้ติวหนังสือกันก็ปาไปเย็น ต้องรอล้งเล้งกับทะเลทะเลาะกันเสร็จสิ้นไปก่อน ซึ่งทะเลก็ไม่ยอมกลับไปจนกว่าล้งเล้งจะกินข้าวเหนียวไก่ ซึ่งถึงแม้เจ้าตัวจะกินแล้ว แต่ทะเลก็ยังนั่งทำการบ้านของตัวเองต่อไป ในขณะที่พวกเขานั่งติวกันไปด้วย
“สักที ไอ้สัตว์ กูปวดหัวมาก”
มูพูดออกมาหลังจากผ่านไปนับชั่วโมงจนตอนนี้ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเข้ม บุ๋มบีมลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสาย ส่วนเจ๋งเป้งยังคงมองสมุดของตัวเองคล้ายกับกำลังทำความเข้าใจบทเรียนตรงหน้า
“มึงปวดหัว เพราะมึงไม่เคยเรียนไงมู”
“โห ล้งเล้ง รุนแรงมาก เพื่อนรับไม่ได้”
มูเตลูหันกลับมาตอบเพื่อนในกลุ่มด้วยท่าทางแกล้งตกใจ ที่มองจากดาวอังคารก็รู้ว่าประดิษฐ์
“ใครจดโน้ตให้มึง ใคร!”
“ล้งเล้งครับผ๊มมมม”
เพื่อนมูเตลูพูดพร้อมกับทำท่าทางคารวะที่ดูประดิษฐ์กว่าเมื่อครู่
“เดี๋ยวพวกกูจะไปกินสเต๊กไก่”
“กับไส้กรอก”
“เป็นมื้อเย็น”
“พวกมึงมาด้วยกันมั้ย?”
เสียงนี้เป็นของบุ๋มบีมที่ถามเพื่อนขึ้นมา ตอนที่ล้งเล้งหันไปเห็นนั้น สองคนนี้พร้อมออกเต็มที่แล้ว หนังสือหนังหาอะไรบนโต๊ะเก็บเรียบร้อยด้วยเวลาเพียงไม่กี่วินาที
“ไม่อ่ะ กูจะนอน”
เจ๋งเป้งพูดคนแรก ก่อนจะแบกร่างไร้วิญญาณของตัวเองขึ้นมายืนยืดเส้นยืดสาย ดูเหมือนคนเพิ่งผ่านสมรภูมิรบมา
“ส่วนกูมีดูดวงต่อ คิวสามทุ่มถึงเที่ยงคืน น่าจะไปไม่ได้”
อันนี้เป็นเสียงของมูเตลูที่พูดออกมา ในบรรดาเพื่อนๆ จะรู้กันว่ามูดูดวงแม่นมาก เป็นที่เล่าลือในคณะจนลามไปถึงคณะอื่นว่าแม่นมากเหมือนจับวาง ซึ่งล้งเล้งไม่เชื่อเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ ถึงแม้มันจะทักมาสักพักแล้วว่าเนื้อคู่วนเวียนอยู่ใกล้ตัวของเขาก็ตาม
ถ้าเนื้อคู่ว่างมาวนไปวนมารอบตัวจริง ก็มาช่วยทำงานด้วย! อย่ามามือเปล่า!
“น้องล้งเล้งกับทะเลล่ะ?”
“มาด้วยกันมั้ย?”
บุ๋มบีมเปลี่ยนเป้าหมายมาชวนสองคนที่เหลืออยู่ ทะเลเลิกคิ้วมองหน้าล้งเล้ง คล้ายกับว่าคำตอบของเขาขึ้นอยู่กับคนข้างๆ
“เอาดิ กูก็หิวอยู่”
“ถ้าลูกหมาไปก็ไป”
ทะเลพูดขึ้นมาทันที พร้อมทั้งสะพายกระเป๋าในท่าเตรียมตัว ล้งเล้งกลอกตาเป็นเลขแปด ถ้ากลอกได้มากกว่านี้เขาก็จะทำ
“งั้นกูไม่ไปละ รำคาญไอ้เหี้ยนี่”
ซึ่งพอพูดแบบนั้น บุ๋มบีมก็พูดพร้อมกันว่า ‘เอ้า!’ ทุกคนมองไปทางทะเลกับล้งเล้งแบบเลิ่กลั่ก แต่ทะเลเพียงแค่ยักไหล่ แล้วพูดต่อ
“เขิน”
“ไอ้สัตว์ มึงแยกแยะเขินกับรำคาญไม่ออกหรือไง?”
“แยกออก” ทะเลพูดด้วยเสียงยานคางกับใบหน้านิ่งตามสไตล์ “อันนี้แปลว่าเขิน”
“กูสอนภาษาไทยใหม่ให้มั้ย? ชั่วโมงละ 300”
“เอาดิ เริ่มเมื่อไหร่ดี? เย็นนี้เลยมั้ย”
“ไอ้สัตว์! กูพูดเล่น”
“อ่าว แต่กูจริงจัง เรียนเลยได้มั้ย?”
“มึงจะเอาใช่ป้ะ!”
สรุปแล้วแผนกินข้าวก็ล่มเพราะล้งเล้งไม่อยากกินข้าวกับเด็กต่างถิ่น ซึ่งกว่าจะแยกกันได้ ล้งเล้งก็ต้องเสียเวลาปะทะคารมกับทะเลอยู่นานสองนาน จนตัวเองเหนื่อยนั่นแหละถึงได้ยอมแพ้แล้วหนีขึ้นมอไซต์รับจ้างกลับหอพักไปโดยยังไม่ได้กินข้าวด้วยซ้ำ
ให้ตายสิ เขาเกลียดไอ้เหี้ยทะเลจริงๆ
ถึงแม้ว่าความเกลียดตอนนี้มันจะไม่ได้เข้มข้นรุนแรงเหมือนช่วงสมัยเด็กเท่าไหร่แล้วก็ตาม
------- TBC -------
[/b]
ให้เวลาลูกหมาหน่อยนะคะ XD
#รักไม่คาดคิดในวันพุธ