พิมพ์หน้านี้ - #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 16 (18/12/2019)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: babybaphomet ที่ 15-05-2019 16:37:37

หัวข้อ: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 16 (18/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: babybaphomet ที่ 15-05-2019 16:37:37
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : Prologue (15/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: babybaphomet ที่ 15-05-2019 16:38:11
Wednesday In Class
#รักไม่คาดคิดในวันพุธ



"บังเอิญจังเลยเนอะ"
"..."

ไปเนอะกับพ่อมึงเถอะ!!



------- ♡ Wednesday In Class ♡  -------



สารบัญ

Prologue (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70287.msg3974065#msg3974065)
1st Wednesday (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70287.msg3975313#msg3975313)



------- ♡ Wednesday In Class ♡  -------
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : Prologue (15/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: babybaphomet ที่ 15-05-2019 16:40:10
Prologue
#รักไม่คาดคิดในวันพุธ



วันพุธนี้ก็เป็นเหมือนกับทุกวันพุธของสัปดาห์


เด็กมหาลัยคนหนึ่งในชุดนักศึกษาเดินสบายๆ เข้าไปในร้านแม็คโดนัลสาขาสยามพารากอนอย่างคุ้นเคย ใบหน้าน่ารักหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อรำคาญคนที่เยอะตลอดเวลา ตั้งแต่ห้างนี้เปิดให้บริการ เขาไม่เคยจะเห็นว่ามันมีวันไหนที่คนร้างเลยสักครั้ง


วันนี้เขาเลือกแม็คโดนัล สาขาที่ติดกับธนาคาร ทั้งที่ปกติแล้วเขามักจะเลือกร้านอาหารนี้แต่อีกสาขามากกว่า แต่วันนี้ล้งเล้งรำคาญคน ร้านนั้นคนเยอะเกินไป


“ผมขอชุดแม็คฟิชชุดนึงครับ”
“ทานนี่หรือกลับบ้านคะ?”
“ทานนี่ครับ” 


พนักงานสาวหน้าตาท่าทางเหนื่อยอ่อน (นี่ยังไม่เที่ยงด้วยซ้ำ ทำไมถึงรีบเหนื่อย) ฉีกยิ้มการค้าอย่างไร้พลังงานมาให้ชายหนุ่ม ก่อนที่เธอจะทวนเมนูอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเย็นชา เขายื่นเงินให้ก่อนที่จะรับใบเสร็จแล้วเดินขึ้นไปหาที่นั่งที่ชั้นสองด้วยความเคยชิน

นอกจากเป็นนักศึกษาแล้ว ล้งเล้งเป็นติวเตอร์ด้วยเช่นกัน


‘ครูพี่ล้งเล้ง: รับสอนภาษาอังกฤษราคากันเอง คอร์สละไม่แพง รายชั่วโมงก็มี ติวเตอร์แสนดีแถมหล่อ’ นี่คือสโลแกนของโรงเรียนสอนพิเศษ ‘ครูพี่ล้งเล้ง’

เขามองซ้ายมองขวาแล้วพุ่งไปที่โต๊ะโซฟาที่มีสองโต๊ะติดกันทันที ไม่รู้เว้ย! ทีมกูคนเยอะ กินเยอะด้วย ใช้พื้นที่เยอะด้วย ถึงตอนนี้ยังมีคนเดียวอยู่ก็เถอะ แต่คนเดียวก็เยอะได้เว้ย! เดี๋ยวก็มีมาอีกเป็นฝูงเว้ย!

หลังวางกระเป๋าผ้ากับพวกชีทที่เตรียมมาไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ล้งเล้งก็รีบสับขาไปเอาอาหารที่สั่งเอาไว้อย่างว่องไว เขาคิดเอาเองว่าอาหารน่าจะเสร็จเรียบร้อย วันนี้ถึงแม้คนจะเยอะแต่ยังถือว่าบางตากว่าเสาร์-อาทิตย์มากโข


17.00 น.

ยังได้อยู่ เริ่มสอนตอนหกโมงเย็น ตอนนี้เหลือเวลาอีกเป็นชั่วโมง เขายังกินข้าวทันอยู่

ปกติแล้วล้งเล้งมักจะมาก่อนเวลาสอนเสมอ (ถ้าทำได้ แต่บางครั้งอาจารย์ก็ปล่อยช้าเหลือเกิน) มาเตรียมบทเรียนแล้วก็กินข้าวให้เรียบร้อยก่อนที่จะสอน แต่หลายครั้งด้วยความจำเป็นก็ทานข้าวไปสอนไป ถึงแม้มันจะดูไม่ค่อยเป็นมืออาชีพมากนักก็ตาม

อ่าว มีคนมานั่งแล้วว่ะ

เมื่อเดินกลับขึ้นมา โต๊ะข้างๆ ที่ควรจะว่างอยู่ถูกจับจองด้วยชายหนุ่มอีกคนเสียแล้ว ล้งเล้งเพียงแค่ยักไหล่ไม่ใส่ใจ แล้วเดินไปวางถาดบนโต๊ะ แล้วเตรียมตัวทานอาหารเหมือนกับทุกครั้ง คนที่กำลังจะอ้าปากงับแฮมเบอร์เกอร์ของตัวเองเลิกคิ้วมองไปทางทิศของโต๊ะที่เคยว่าง พอดีกับที่ชายคนนั้นหันมากระตุกยิ้มชั่วให้พอดี

ติวเตอร์คนเก่งอ้าปากค้าง รอยยิ้มกวนตีน ตาที่หรี่ลงเหมือนกำลังเจอเรื่องสนุกสนาน กับหน้ามึนๆ นั่นมันดูกวนส้นตีนจนเขาปรี๊ดขึ้นมา


มึง! มึงอีกแล้ว!!


ไอ้เวรที่เป็นคู่แข่งทางการค้าและกวนตีนเขามาตลอดหลายเดือน โผล่มานั่งอยู่ข้างเขา อีก-แล้ว!!


“บังเอิญจังเลยเนอะ”



ไปเนอะกับพอมึงเถอะ! ไอ้เหี้ย!



------- TBC -------


สวัสดีค่า
ลองมาแต่งแนวมหาลัยมั่ง ฮือ

ติชมได้อย่างที่ใจอยากเลยนะคะ 55555

ฝากแท็กนิดนึงนะก๊ะ
#รักไม่คาดคิดในวันพุธ

ขอบคุณมากค่า XD

ป.ล. อันนี้สามารถอ่านแยกกับเรื่องวันจันทร์ และวันอาทิตย์ได้นะคะ เนื้อเรื่องไม่ต่อเนื่องกันค่า
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : Prologue (15/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 16-05-2019 00:47:53
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : Prologue (15/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: มะเขือม่วง ที่ 16-05-2019 09:40:17
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : Prologue (15/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 16-05-2019 15:05:49
 :L2:

รออ่าน
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : Prologue (15/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: babybaphomet ที่ 19-05-2019 20:03:15
1st Wednesday
#รักไม่คาดคิดในวันพุธ



วันพุธช่วงเย็นเป็นเวลารถติด


ล้งเล้งนั่งกระสับกระส่ายอยู่บนรถตู้ วันนี้เขามีสอนเด็กตอนหกโมงครึ่ง ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมง การจราจรกรุงเทพทำให้รถที่ควรจะไปถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมินั้น กระจุกตัวรวมกันอยู่บนทางด่วนด้วยความเร็วเต่าขาขาดคลานไปมา

เมื่อไหร่จะถึงสักทีวะแม่ง

เด็กหนุ่มนั่งกัดเล็บอย่างหงุดหงิด ในใจนึกด่าการจราจรกรุงเทพฯ ไปจนถึงระบบการจัดการของรัฐบาลในทุกสมัยที่ไม่เคยเอาชนะปัญหานี้ได้ เด็กหนุ่มกระวนกระวาย เขาเป็นผู้สอนพิเศษ เขาไม่ควรไปสอนสาย มันจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับเด็กน้อยที่เรียนพิเศษกับเขา ถึงแม้น้องจะนั่งบีทีเอสไปเรียนได้ ในขณะที่เขาต้องอ้อนวอนรถตู้จากรังสิตไปลงอนุเสาวรีย์ก่อน แล้วต่อบีทีเอสอีกทอดหนึ่งก็ตาม

หากเลิกเรียนแล้วนั่งๆ นอนๆ อยู่หอล่ะก็ ล้งเล้งจะไม่บ่นเลยแม้แต่น้อย รถจะติดแค่ไหนก็ช่างหัวมันไปสิ คนเราเดินไปเรียนได้ ไม่แคร์เว้ย!

แต่ชีวิตของเขาไม่ได้น่ารักขนาดนั้น 

ชายหนุ่มต้องเดินทางไปสอนพิเศษหลังจากเลิกเรียนตอนสี่โมงครึ่ง ฝูงเด็กนักเรียนมอปลายที่อยากเข้ามหาลัยกำลังนั่งรอเขาด้วยความหวังอยู่ที่แม็คโดนัล สยามพาราก้อน ซึ่งป่านนี้คงจะยังเดินเล่นอยู่ในห้างนั้นเพื่อรอเวลาเรียนอยู่

ส่วนตัวเขาเหรอ? อ๋อ รถติดอยู่บนทางด่วน ตอนนี้ยังไม่ถึงอนุสาวรีย์เลย แล้วชาติไหนมันจะถึงรถไฟฟ้ากันล่ะวะ! แม่งเอ้ย

หงุดหงิดฉิบหาย

ล้งเล้งสบถในใจอีกครั้ง ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าเดี๋ยวเหล่าน้องๆ ที่ตัวเองสอนจะต้องมานั่งรอเดินรอนาน ชายหนุ่มล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป่ากางเกง มือกดพิมพ์ข้อความลงไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจคนข้างๆ ที่ทำเหมือนจะหลับแต่แอบเหล่มาที่หน้าจอโทรศัพท์ของเขา ซึ่งล้งเล้งไม่เคยเข้าใจว่ามันจะมาสนใจโทรศัพท์คนอื่นเพื่ออะไร ใช้ชีวิตของมึงไปสิ!

16.50 น.

น้องๆ ของครูล้งเล้งผู้หล่อเหลา (5)
ล้งเล้ง: พี่ว่าพี่น่าจะเลท
ล้งเล้ง: รถยังติดอยู่เลย
ล้งเล้ง: ทำการบ้านรอกันไปก่อนนะ

เด็กน้อยอ่านแทบจะทั้งหมดในทันที ส่วนใหญ่ส่งสติกเกอร์โอเคมาให้ รวมถึงเด็กที่ซนที่สุดที่เขากำลังสอนอยู่ด้วย ไม่ต้องบอกก็รู้ มันส่งโอเคมาแล้วไปเย้วๆ กันอยู่ในร้านแมคฯ ยินดีที่เขาไปถึงช้าแน่นอน

รอก่อน ใครไม่ทำการบ้านนะ จะดีดเหม่งให้!

เขาค่อนข้างจะสนิทสนมกับน้องสอนพิเศษมากพอสมควร ตั้งแต่เริ่มสอนพิเศษน้องๆ นี่ก็เข้าเดือนที่สามแล้ว เขาเริ่มสอนตอนที่ขึ้นปีหนึ่งใหม่ๆ ด้วยความรู้สึกอันแรงกล้าว่าอยากจะเป็นคนที่สามารถทำให้เด็กนักเรียนเป็นนิสิตนักศึกษาในมหาลัยที่ต้องการให้ได้

ล้งเล้งจะเป็นครูที่ดี

เขาเชื่อว่าครูที่ดีไม่ใช่แค่คนที่ทำให้เด็กเข้ามหาลัยดังๆ ได้ แต่ต้องเป็นคนที่ทำให้เด็กสามารถเข้าคณะที่ตัวเองจะเรียนอย่างมี ‘ความสุข’ ได้

ชายหนุ่มเริ่มสอนตั้งแต่เริ่มเทอมแรกที่นี่ใหม่ๆ ช่วงมัธยมปลาย ล้งเล้งเป็นหนึ่งในหลายๆ คน ที่ไม่มั่นใจว่าตัวเองอยากเรียนหรืออยากเป็นอะไรในอนาคตกันแน่ เขาแค่รู้ว่าตัวเองจำเป็นจะต้องมีที่เรียน ช่วงมัธยมปลายเลยพุ่งเป้าไปที่แผนการเรียนวิทย์-คณิต โดยไม่ลังเล เพราะเชื่อว่ามีทางเลือกรออยู่ในอนาคตมากกว่า

เขาคิดว่าตัวเองพอจะทำชีวะได้ คณะวิทยาศาสตร์ ภาคธรณีวิทยา ที่มหาลัยหนึ่งจึงเป็นช็อยส์แรกในการเลือกยื่นคะแนนเข้าไป คิดด้วยความหวังว่าจะเรียนมันได้แล้วจบมาทำงานในห้องแล็ปเท่ๆ แอดมิชชั่นเข้าไปได้ มันก็ต้องเรียนได้สิวะ!

คิดผิดที่สุดในชีวิต

ตอนที่ติดแล้วถึงรู้ว่าตัวเองไม่ใช่แนวนี้เลยแม้แต่น้อย เพื่อนก็โอเคแต่ไม่ได้สนิทใจมากนักเพราะไม่ได้อยู่ด้วยกันนาน เรียนได้สัปดาห์เดียวก็เลยตัดสินใจนอนอ่านหนังสืออยู่บ้าน

‘ซิ่วแม่งเลย ไอ้สัตว์เอ๊ย!’ คือคำตอบ

อย่างน้อยก็ตัดสินใจถูก ตอนนี้รู้เลยว่าตัวเองยอมเสียเวลาแค่ปีเดียว คุ้มค่ากว่าทนทู่ซี้เรียนต่อไปมากโข

ไลน์!

พวกกูต้องตั้งชื่อกรุ๊ปสินะ (5)
เหี้ยบีม: มึง ใครทำการบ้านในหนังสือแล้วมั่ง
เหี้ยบุ๋ม: อิ๊งอ่ะ ที่อาจารย์สั่ง
เหี้ยบีม: เราสองคนต้องการลอก
เหี้ยบุ๋ม: เราขี้เกียจ
เหี้ยบีม: เราเหนื่อยล้า
เหี้ยบุ๋ม: เราเปิดตาไม่ขึ้นแล้ว
เหี้ยบีม: มันหนักหนา
เหี้ยบุ๋ม: มันสาหัส

เขามองกรุ๊ปไลน์ที่ไหลเร็วมากเพราะเพื่อนในกลุ่มสองคนดันแชทเหมือนว่างแต่ดันไม่ยอมทำการบ้านที่อาจารย์สั่งด้วยสายตาเหมือนกับที่มองกองขยะเปียกในวิชาแยกขยะและพลเมืองดีที่เรียนวันเสาร์

สองคนนี้นี่มันน่าเบื่อจริงๆ

บุ๋ม และ บีม เป็นเพื่อนสองคนที่อยู่กลุ่มเดียวกันกับชายหนุ่ม บุ๋มเป็นชาวใต้ที่ผิวขาว ล้งเล้งจำไม่ได้เหมือนกันว่าเพื่อนมาจากจังหวัดไหน อาจจะเพราะบุ๋มเรียนที่กรุงเทพมาตลอด เลยไม่ได้ติดสำเนียงถิ่นมากนัก เพียงแต่ว่ามันฟังภาษาใต้รู้เรื่อง แล้วก็มักจะมีของกินหิ้วมาให้เสมอเวลามาเรียน

ถามว่าของกินเอามาจากไหน? ล้งเล้งจะตอบให้ว่ามันซื้อจากลอว์สันใต้หอ

นอกจากโอเด้งของร้านลอว์สันในบางวัน ของกินอีกอย่างที่จะเห็นบุ๋มถือติดไม้ติดมือไปไหนมาไหนด้วยก็คือสเต็กไก่ ซึ่งล้งเล้งก็ไม่เข้าใจว่าเพื่อนตัวเองเป็นเหี้ยอะไรถึงถือสเต็กไก่ไปมา


อีกคนหนึ่งคือบีม

บีมนั้นมีแม่เป็นคนเชียงรายพ่อเป็นคนปทุม ที่รู้เพราะว่ามันพูดแบบนี้ตลอดเวลาที่เจอกันตั้งแต่ครั้งแรก อันที่จริง มันพูดไม่หยุดพอๆ กับบุ๋ม เหมือนเป็นแฝดคนละฝาที่เพิ่งจะหากันเจอตอนเข้ามหาลัย แต่เข้ากันได้ดีเหมือนผีเน่าโลงผุ
หากเทียบกับบุ๋มแล้ว บีมผิวออกจะสีคล้ำกว่าหน่อย แต่ความกวนประสาทและมั่นหน้านั้นกินกันไม่ลงเลยทีเดียว ล้งเล้งเองก็ไม่แน่ใจว่าพวกมันสองคนไปทำอีท่าไหนถึงกลายเป็นคู่หูที่คอยกวนประสาทชาวโลกไปเรื่อยแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ของกินที่ถือไปไหนมาไหนคือไส้กรอกซีพี งงเหมือนกันว่าจะกินไส้กรอกอะไรนักหนา

ใช่ สองคนนี่เป็นเพื่อนในกลุ่มของล้งเล้ง 

หากพูดถึงการคบ ‘เพื่อน’ ในมหาลัย สำหรับล้งเล้งแล้วมันไม่ยากเลย เขาจับกลุ่มกับไอ้พวกที่นั่งใกล้ๆ กัน คุยกันรู้เรื่อง เต้นแจวมาแจวจ้ำจึกน้ำนิ่งไหลลึกนึกถึงคนแจวมาด้วยกัน เลยตั้งกรุ๊ปไลน์กันแล้วลงเรียนด้วยกันมาตั้งแต่วันนั้น  ตอนนั้นเขาเองก็ไม่รู้จักใคร คิดเอาเองว่ามีเพื่อนไว้ก็น่าจะอุ่นใจกว่า อย่างน้อยพวกนี้ก็พูดกันรู้เรื่อง

แต่เมื่ออยู่กันได้สองสัปดาห์ เขาก็ค้นพบว่าตัวเองคิดผิด

เราดันเอาคนบ้ามาเป็นเพื่อนว่ะ

พวกกูต้องตั้งชื่อกรุ๊ปสินะ (5)
ล้งเล้ง: พวกมึงเป็นเหี้ยอะไร?

เหี้ยบุ๋ม: น้องล้ง
เหี้ยบีม: น้องเล้ง
เหี้ยบุ๋ม: อย่าร้าย
เหี้ยบีม: มันไม่เข้ากับน้อง

ล้งเล้ง: ทำไม?
ล้งเล้ง: มึงจะทำอะไรกู?

เหี้ยบุ๋ม: เราจะโป้ง
เหี้ยบีม: ไม่ให้เกี่ยวก้อยด้วย
เหี้ยบุ๋ม: ไม่ยอมคืนดี
เหี้ยบีม: โป้งแล้วโป้งเลย

สรุปคือ นอกจากรถติดแล้ว ยังต้องเจอเพื่อนเป็นบ้าอีกเหรอ?

ล้งเล้งถอนหายใจอีกครั้ง ข้อดีข้อเดียวของสองคนนี้คือทำให้เขาที่นั่งด่ารถติดและการจัดการจราจรที่ไม่ได้เรื่องของประเทศนี้ เปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นด่าพวกมันแทน

ชื่อ ‘เหี้ยบุ๋ม’ กับ ‘เหี้ยบีม’ ที่เขาเมมในไลน์นั้น ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย 

พวกกูต้องตั้งชื่อกรุ๊ปสินะ (5)
เหี้ยบีม: อันที่จริงแล้ว
เหี้ยบุ๋ม: เราด่าล้งเล้งไม่ได้
เหี้ยบีม: เดี๋ยวไม่มีใครติวปลายภาค
เหี้ยบุ๋ม: สิ่งเดียวที่เราทำได้
เหี้ยบีม: คือด่าไอ้มู
เหี้ยบุ๋ม: ใช่ เราจะด่าไอ้มู
เหี้ยบีม: ไอ้เหี้ยมู ไอ้หมาโง่!
เหี้ยบุ๋ม: แกทำให้ชั้นอยู่แย่!

ล้งเล้ง: … สัดเอ้ย
ล้งเล้ง:  เสียเวลาอ่านของกูฉิบหาย

เขารู้สึกเหมือนกับเส้นเลือดในสมองเต้นตุบๆ ในหัวคือคิดแล้วว่าถ้าเจอหน้าจะต้องเตะมันคนละที ไม่เตะขานะ จะเตะข้อมือ อย่างน้อยมันน่าจะมือหักพิมพ์ไม่ได้สักสองสามวัน โลกจะได้สงบสุขขึ้นบ้าง

พวกกูต้องตั้งชื่อกรุ๊ปสินะ (5)
เจ๋งเป้ง: กูบอกพวกมึงหรือยังว่ากูเกลียดชื่อกรุ๊ปฉิบหาย
เจ๋งเป้ง: ไม่คิดจะเปลี่ยนกันมั่งหรือไง
เจ๋งเป้ง: ปัญญาอ่อน

เจ๋งเป้ง คือเพื่อนอีกคนของกลุ่ม มันเป็นคนที่สูงมาก อันที่จริงเวลายืนกับเพื่อนในกลุ่มดูไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ หากไม่นับล้งเล้งละก็นะ ทุกคนเหมือนจะกินนมกันมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว ถึงแม้ล้งเล้งจะไม่ต้องถึงระดับเงยหน้ามองเพื่อน แต่เวลายืนในรถสองแถวด้วยกัน เขาจะเป็นคนเดียวที่ไม่ต้องก้มหัว

พูดแล้วก็เศร้า แต่เราทำอะไรไม่ได้แล้ว

หากพูดถึงระดับสติของเจ๋งเป้งนั้น ล้งเล้งจะให้คะแนนมากกว่าบุ๋มบีมอยู่หน่อย สองคนนั้นเหมือนลูกคู่บีหนึ่งบีสองในกล้วยหอมจอมซน ส่วนเจ๋งเป้งเหมือนต้นไม้ในเรื่อง ไม่ค่อยมีปากมีเสียง รู้ตัวทีเอากิ่งฟาดหน้าคนอื่นเรียบร้อยแล้ว

สำหรับล้งเล้งนั้น เจ๋งเป้งนิสัยดีที่สุดในบรรดาพวกนั้นแล้ว ไม่สิ ต้องบอกว่าเป็นคนที่มีสติมากที่สุดในกลุ่มต่างหาก มันเป็นผู้ใหญ่กว่าบุ๋มบีมเยอะ หล่อกว่าด้วย เขาจะชมตรงๆ แบบนี้แหละ ทั้งที่กระดากปากเวลาชมเพื่อนตัวเองก็ตาม

แต่หากให้พูดกันจริงๆ ล่ะก็ คนที่หล่อที่สุดในกลุ่มคือล้งเล้ง

ใช่ เขาเองแหละ

พวกกูต้องตั้งชื่อกรุ๊ปสินะ (5)
เหี้ยบีม: นายเจ๋งเป้ง!
เหี้ยบุ๋ม: นายเกลียดอะไรเรา!
เหี้ยบีม: ชื่อนี้ดีที่สุดแล้ว! 
เหี้ยบุ๋ม: พวกเราช่วยกันตั้งชื่อนี้ด้วยความตั้งใจ 
เหี้ยบีม: พวกเราสองคนคิดขั้นมาอย่างปราณีต
เหี้ยบุ๋ม: นายมันคนหยาบคาย
เหี้ยบีม: นายมันคนเหี้ย
เหี้ยบุ๋ม: เราขอไล่นายออกจากกลุ่ม!
เหี้ยบีม: ไปไป๊ ชิ่วชิ่ว!

ล้งเล้งเลิกคิ้ว นี่ขนาดรถตู้เขามาจอดที่อนุสาวรีย์แล้วนะ พวกมันยังเถียงกันเรื่องไร้สาระไม่จบอีกเหรอ? เป็นบ้ากันไปหมดแล้ว นี่หรือคือสมองของอนาคตประเทศ?

ปล่อยให้พวกมันคุยกันไป หลังจากที่รถตู้จอดเรียบร้อย เขารีบกระโดดแล้ววิ่งไปขึ้นรถไฟฟ้าทันที โชคดีที่มหาลัยเขามีรถตู้มาถึงบีทีเอส ไม่งั้นถ้าต้องนั่งรถเมล์ออกมานี่คงจะใช้เวลาประมาณสามปี จากรังสิตกว่าจะถึงสยาม

ไลน์!

เชี่ย น้องตามหรือเปล่าวะ?

ล้งเล้งเสียวสันหลังแว๊บตอนที่ได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากแอพแชทชื่อดังที่เอาไว้คุยกับชาวโลก มองดูเวลา เอ้า ก็ยังไม่สายนี่หว่า นักศึกษาคนเก่งส่ายหัวพลางดูแจ้งเตือนอีกที

อ่อ ไอ้กลุ่มเหี้ยนี่อีกแล้ว

พวกกูต้องตั้งชื่อกรุ๊ปสินะ (5)
ไอ้มู: กูบอกแล้ว พวกจับได้ไพ่ 7ถ้วย ชอบฟุ้งซ่าน
ไอ้มู: นั่นก็คือพวกมึงสองคน
ไอ้มู: ไอ้เวร
ไอ้มู: กูดูดวงอยู่
ไอ้มู: สมาธง สมาธิหายหมด

คนสุดท้ายของกลุ่มพวกเขาคือ มู อันที่จริงชื่อเล่นมันคืออะไรไม่รู้ ลืมไปแล้ว แต่ว่ามันทักว่าเขามีเนื้อคู่วนเวียนอยู่รอบตัวตอนที่เจอกันวันแรก ทุกวันนี้มันก็ยังทักแบบนั้น พวกเขาเลยเรียกมันว่า ‘มู’ แน่นอนว่าย่อมาจาก มูเตลู

เห็นมันเป็นบ้าแบบนี้ ….

แต่มันก็เป็นบ้าแบบนี้แหละ ใช่ครับ ไม่มีอะไรน้อยเลยนอกจากสติ

วันดีคืนดีมูมันก็เหลืองมาเรียนทั้งตัว บอกวันนี้สีเหลืองเป็นสีมงคล หรือบางทีก็บอกเพื่อนว่าเลขที่ห้องไม่ดี (ไอ้บุ๋มตอนนี้มียันต์แปะประตูห้องแล้วครับ ไอ้มูจัดการให้) หรือแม้กระทั่งคำนวณเบอร์โทรศัพท์เพื่อนให้เสร็จสรรพ หรือวันไหนเกิดอาเพศอะไรไม่รู้ มันก็จะทักเพื่อนแบบนี้

‘ล้งเล้ง มึงกำลังมีเนื้อคู่อยู่รอบตัวนะ’
‘ฮะ?’
‘มึงกำลังมีเนื้อคู่มาวนเวียนอยู่ใกล้ตัว’
‘อะไรของมึงวะ?’
‘ระวังท้องก่อนแต่ง’
‘ไอ้สัตว์’

หากให้พูดตามจริง ล้งเล้งไม่เชื่ออะไรที่มันบอกมาเลยสักนิด แต่ในเมื่อมันไม่ได้เดือดร้อนการใช้ชีวิต ชายหนุ่มเลยปล่อยให้เพื่อนมูนั้น มูเท่าที่ใจอยากจะมู

ถึงแม้ในหลายๆ ครั้ง การมูของมูมันจะน่ารำคาญไปหน่อยก็ตาม

อย่างเช่นครั้งหนึ่ง เขามาเรียนด้วยเสื้อนักศึกษาไปเรียน ตอนเย็นโดนมันลากไปตลาดนัดเพื่อซื้อเสื้อใหม่ เพราะมันบอกว่าเสื้อขาวเป็นกาลกิณี

กูถามจริง? ตอนสอบทำไง? ถอนทิ้งแล้วลงใหม่งี้เหรอ?

พอถามมันออกไปแบบนี้ มูก็เลยเปิดมาว่าเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นแล้วสมัยมันไปสอบแกทแพทช่วงมัธยมหก ตอนนั้นมันจะแก้เคล็ดด้วยการใส่เสื้อคาร์ดิแกนทับเสื้อนักเรียน จนถึงตอนนี้มันก็ยังคิดว่าตัวเองสามารถเข้ามหาลัยได้เพราะวันที่สอบแกทแพทใส่คาร์ดิแกนสีมงคล

เอาที่มึงสบายใจ แต่ไม่ต้องมายุ่งกับเสื้อของกู

พวกกูต้องตั้งชื่อกรุ๊ปสินะ (5)
เหี้ยบุ๋ม: เพื่อนมู
เหี้ยบีม: ทำอิ๊งยัง
เหี้ยบุ๋ม: ที่จารสั่งเมื่อเช้า
เหี้ยบีม: ที่มีการบ้าน
เหี้ยบุ๋ม: ทำหรือยัง
เหี้ยบีม: เราขอลอก
เหี้ยบุ๋ม: เราขี้เกียจ
เหี้ยบีม: เราคิดไม่ออก

ล้งเล้งปล่อยให้เพื่อนเถียงกันไปแบบนั้นในตอนที่กำลังจะแตะบัตรออกจากสถานีสยาม อันที่จริงเขาตั้งใจว่าจะนัดน้องเรียนใกล้ๆ ฟิวเจอร์ปาร์ค รังสิต เพราะมหาลัยเขาอยู่แถวนั้น แต่เด็กๆ ที่สอนอยู่นั้นมีเรียนพิเศษที่อื่นกันก่อน ส่วนใญ่ไม่สะดวกเดินทางด้วย ล้งเล้งก็เลยเลยตามเลย

สยามก็ได้วะแม่ง ถึงจะไกลฉิบหายเลยก็เถอะ แต่เลือดครูสอนพิเศษมันเข้มข้น สอนที่ไหนก็ได้ขอแค่ให้ได้สอน


------- ต่อด้านล่างนะคะ -------
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : Prologue (15/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: babybaphomet ที่ 19-05-2019 20:04:20
ต่อนะคะ

------- Wednesday In Class -------


เอาล่ะ จะถึงแล้ว

ครูสอนพิเศษรีบสับเท้าเพื่อไปให้ถึงร้านอย่างว่องไว เขากึ่งเดินกึ่งวิ่งหลบคนไปเรื่อย ในใจเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีกแล้ว ยิ่งเมื่อต้องฝ่าฝูงนักท่องเที่ยวที่เดินช้าๆ คอยแต่จะถ่ายรูปกันอยู่ได้ ไม่เห็นหรือไงว่าคนอื่นเขารีบ! แล้วทำไมคนอื่นเขาถึงเกิดมาขายาวกันจังวะ ไม่รู้สึกเกะกะกันมั่งเลยหรือไง น่าหงุดหงิดฉิบหาย! 

วิ่งไม่นานก็ถึงร้านอาหาร ชายหนุ่มหันซ้ายหันขวานิดหน่อย ก่อนจะประสานสายตากับหนึ่งในเด็กที่เขาสอนพอดี น้องมันสะดุ้งแล้วรีบพูดกับเพื่อนเลย แต่คงรีบไปหน่อย หรือไม่เขาก็เดินเร็วไปนิด เลยได้ยินที่มันพูดกันทั้งหมดโดยที่ไม่ต้องพยายาม 

“เฮ้ย พี่ล้งเล้งมาแล้ว”
“เชี่ย กูยังไม่เสร็จแบบฝึกหัดเลยอ่ะ”
“มึงๆ กูขอลอกข้อนี้ก่อน”
“มาลอกอะไรตอนนี้ต้น”
“ก็เมื่อคืนกูลืมทำ”
“ไม่ทันแล้ว พี่แม่งอยู่นี่แล้วเนี่ย”
“การบ้านเสร็จแล้วใช่ป้ะ นั่งคุยกันเนี่ย?!”

พอเขาพูดปุ๊ปเด็กๆ ร้อง ‘เฮ้ย!’ ‘เชี่ย’ แล้วก็ ‘ฉิบหาย!’ ออกมา ฝูงเด็กน้อยแตกฮือ โต๊ะด้านข้างหันมามองกันสองสามโต๊ะ คาดว่าน่าจะเพราะไอ้เด็กพวกนี้มันเสียงดัง เขาเดินเข้าไปวางกระเป๋าที่ที่นั่งว่าง เมื่อกวาดตามองไปบนโต๊ะแล้วก็เห็นว่ามันมีชีทการบ้านที่เขาสั่งน้องๆ ไปตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ววางอยู่ มีแผ่นหนึ่งวางอยู่ตรงกลาง น่าจะเป็นของเกดที่เป็นต้นฉบับให้เพื่อนลอกอยู่

“พี่ล้งเล้ง หวัดดีค่ะ”

น้องลี่เป็นคนแรกที่ยกมือขึ้นมาไหว้ชายหนุ่ม ซึ่งเขาก็รับไหว้แต่โดยดี ลิลลี่เป็นเด็กผู้หญิงจากโรงเรียนเอกชนที่หนึ่ง น้องก็ภาษาอังกฤษดี หัวไว แต่ขี้เกียจทำการบ้าน มาแต่ละครั้งน้องไม่เคยทำการบ้านให้พี่เลย แต่พอเห็นเด็กผู้หญิงถักเปียทำหน้าจ๋อยๆ ตัวชายหนุ่มก็ดุไม่ลง

ล้งเล้งเป็นคนรักเด็ก

ถัดจากน้องลิลลี่ก็คือลูกเกด น้องเป็นเด็กตัวผอมๆ ทานน้อย ทำการบ้านตลอด แต่ผิดทุกครั้งที่ทำส่งมา ซึ่งนั่นไม่ใช่ปัญหาเลย ในฐานะครูดูให้ได้อยู่แล้ว ทำผิดมายังดีกว่าไม่ทำอะไรมาเลย อย่างน้อยจะได้รู้ว่ามันทำอย่างไร ผิดจะได้แก้ไข เพื่อไปเจอโจทย์ที่ยากขึ้นจะได้ทำได้ แต่ถ้าไม่ทำการบ้านมาเลยสักนิด ตัวคนที่เป็นครูก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร เด็กไม่เข้าใจตรงไหน สอนไปอาจจะไม่ถูกจุดก็ได้

คนต่อมาคือน้องต้น ซึ่งปกติล้งเล้งมักจะเรียกติดปากว่าไอ้เด็กต้น น้องเป็นเด็กกวนประสาท การบ้านไม่ค่อยทำ ยังดีหัวไวเลยไปตามเพื่อนได้ทัน แต่เหมือนน้องมันจะมีความสุขตอนที่เขาดุยังไงไม่รู้บอกไม่ถูก เขาคิดตั้งแต่ตอนที่เจอน้องมันครั้งแรกๆ แล้วว่าน้องมันน่าจะเป็นบ้านิดหน่อย

คนสุดท้ายของกรุ๊ปนี้คือน้องโจ้ เอาจริงน้องโจ้เป็นเด็กผู้ชายเงียบๆ  ไม่ค่อยพูดอะไรเท่าไหร่ แต่ยังดีที่ทำการบ้านดี เรียบร้อย แถมยังแทบไม่เคยมาลอกให้เห็น อาจจะเพราะน้องตั้งใจเรียนทั้งในคลาส แล้วก็ชอบถามเขาในแชทหลังจากเรียนเสร็จ บางครั้งก็ทักมาคุยเล่นซึ่งตัวล้งเล้งก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร

จากใจของติวเตอร์ น้องจะทำอะไรก็ได้ พี่ขอแค่ตั้งใจเรียนเป็นพอ

“ไหนพี่ล้งเล้งบอกจะมาเลทไงคะ? หนูก็เลย… เผื่อเวลาให้พี่มาเลทไง”

น้องลี่รีบพูดพร้อมกับส่งยิ้มแผล่มาให้เขา ซึ่งตอนนั้นคนอื่นที่โต๊ะคืออยู่ในสภาพของการลนลานโกยการบ้านของตัวเองกันใหญ่ เหมือนโจรที่พยายามจะปกปิดความผิดดทั้งที่ของกลางเต็มโต๊ะ

“การบ้านมันต้องทำตั้งแต่เรียนครั้งที่แล้วป่าว?”
“ก็แบบ” เด็กสาวเลิ่กลั่ก คล้ายกับกำลังหาข้ออ้างที่ดีที่สุดในเวลานี้ “ตารางหนูแน่นมากเลยพี่ ไหนจะกีฬาสี ไหนจะสามัคคีชุมนุม โห ไม่นับลูกเสืออีกนะ…”
“ลูกเกด เธอเป็นผู้หญิง”

ทั้งหมดเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดต่อ

“เห่ย ผู้หญิงก็เรียนลูกเสือได้”
“ลูกเกด เธออยู่มอปลาย ลูกเสือมันเรียนมอต้น”

บรรยากาศเงียบไปแป๊บนึง ก่อนที่เด็กน้อยจะพูดต่อ
 
“งั้นหนูเรียนรด.ก็ได้”
“ลูกเกด เรายังเป็นผู้หญิงเหมือนเดิมว่ะเอาจริง”
“ผู้หญิงก็เรียนรด.ได้พี่”
“แล้วเธอลงมั้ย?”
“ไม่อ่ะ”

แล้วจะพูดเพื่อ!

“ขออีกทีได้ป้ะ?”
“อ่ะได้ ให้โอกาส ขอดีกว่านี้อีกนิด”

ล้งเล้งมองหน้าเด็กน้อยที่ยิ้มเผล่มาให้ ก่อนที่ติวเตอร์หนุ่มจะพยักหน้า พร้อมกับพูดอนุญาต เด็กน้อยถึงได้เริ่มพูดต่อ

“งานหนูเยอะมากจริงพี่”
“ขอใหญ่กว่านี้ เอาแบบ พรรณนาโวหาร”

ติวเตอร์หนุ่มกอดอกมองเด็กหญิงที่เริ่มส่งสายตาไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมคลาสเรียนพิเศษบ้างแล้ว แต่เเพราะรู้จักกันดี ล้งเล้งจึงรู้ว่าที่เด็กน้อยขอความช่วยเหลือน่ะ ไม่ใช่ในส่วนของข้ออ้าง แต่เป็นสายตาที่สามารถตีความหมายได้ว่า

 ‘ฉิบหายแล้ว! พรรณาโวหารคืออะไรวะพวกมึง!’

ทุกคนล้วนหลบตากันอย่างพร้อมเพียง ทิ้งเด็กหญิงให้ต่อสู้กับพี่ล้งเล้งอยู่คนเดียว

“คือมันแบบ พี่ล้งเล้ง… ก็แบบ ใช่ๆ พี่เห็นภาพถ่ายหลุมดำป้ะ? ไอ้ดำๆ ข้างในนั้นอ่ะ งานหนูหมดเลย ทับถมจนไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน”
“...”

ล้งเล้งทำหน้านิ่ง ทั้งที่ในใจเต็มไปด้วยคำถาม … กรรมอะไรของกู มาสอนเด็กเป็นบ้า

“นี่สุดตัวแล้วนะ เชื่อเถอะ หมดข้ออ้างจะแถแล้วจริงจัง”

เขามองน้องที่ยกมือไหว้เหมือนกับเขาเป็นเครื่องรางการเรียนที่พวกนี้ชอบพรีออเดอร์แล้วมาอวดเขา ก่อนจะพยักหน้าให้อย่างอ่อนใจ เด็กๆ ทั้งกลุ่มร้อง ‘เย้ะ' ก่อนที่จะเขยิบออก เพื่อให้เขาได้ทรุดลงไปนั่งตรงกลางวง ที่ประจำของล้งเล้งเวลาจะสอนพิเศษน้องๆ

เอาเถอะ ถึงแม้น้องมันจะทำหรือไม่ทำการบ้านเขาก็ดุไม่ลงอยู่ดี เห็นแบบนี้แต่ล้งเล้งเป็นคนขี้ใจอ่อนมากเลยจริงๆ

“เดี๋ยวหยิบชีทที่เรียนคราวที่แล้วขึ้นมานะ ถ้าการบ้านยังไม่ทำก็ไม่ต้องทำแล้ว เดี๋ยวมาดูไปพร้อมกัน”

ชายหนุ่มพูดพลางหยิบกระเป๋าขึ้นมาเพื่อเอากระเป๋าสตางค์ เพราะรีบร้อนออกมาทันทีที่เรียนเสร็จคาบบ่าย (แอบหนีออกมาก่อนด้วยอันที่จริงแล้ว) ตัวเองเลยยังไม่ได้กินอะไรแม้แต่น้ำเปล่า ตอนนี้ท้องของเขาร้องดังเซ็งแซ่เพราะหิวมากแล้ว

“นั่งทวนกันไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่มา รอบนี้เราจะมาต่อกันที่ค้างไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนกัน เคนะ แป๊บนึงขอซื้อของกินก่อน”

.
.
.


อ่าว มีคนใหม่มานั่งแล้วแฮะ 

ล้งเล้งถือถาดแม็คฟิช น้ำโค้ก และเฟรนช์ฟราย เดินกลับมาที่โต๊ะเพื่อพบว่าโต๊ะด้านข้างที่เคยเป็นคู่หนุ่มสาวนักท่องเที่ยวลุกออกไปแล้ว แทนที่ด้วยเด็กนักเรียนมัธยมที่ยังอยู่ในชุดนักเรียนสองสามคน พร้อมกับสมุดหนังสือบนโต๊ะ มองเพียงแว๊บเดียวก็รู้ว่าโต๊ะข้างๆ เองก็คงมาเรียนพิเศษหรือไม่ก็ติวหนังสือ ซึ่งล้งเล้งไม่ได้สนใจมากนัก เขาไม่ได้เป็นเจ้าของร้าน ใครจะนั่งก็ปล่อยให้เขานั่งไป

“คราวที่แล้วเราเรียนความแตกต่างของ active voice กับ passive voice ไปแล้ว คราวนี้เราจะมาเจาะลงที่ passive voice กันนะครับ”

เขาพูดตอนที่วางอาหารลงไปไว้ฝั่งหนึ่งของโต๊ะ ก่อนที่จะเปิดชีทขึ้นมาเพื่อทำการสอนเด็กน้อยที่นั่งทำตาปริบๆ อยู่ ซึ่งไอ้เด็กต้นนั่งหาว เห็นนะเว้ย! ไอ้เด็กบ้านี่

การสอนของล้งเล้งเริ่มต้นขึ้นด้วยการยกตัวอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องเรียนครั้งที่แล้ว หรือไม่ก็เรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เพื่อให้เด็กนักเรียนเข้าใจได้ง่าย และสามารถคิดตามได้อย่างรวดเร็ว

อันที่จริงเขาไม่รู้ว่าวิธีนี้ถูกต้องหรือไม่ เท่าที่เคยอ่านๆ มา การสอนมีหลายรูปแบบ เพียงแค่เขาเลือกใช้วิธีนี้เพราะมันเหมาะกับวิธีการเรียนของตัวเขาเองเท่านั้น

‘ครืดดดดด’

พูดไปพูดมาได้สักพัก โต๊ะข้างๆ ก็มีผู้มาใหม่เดินเข้ามานั่ง ซึ่งล้งเล้งเองก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก จนกระทั่งได้ยืนเสียงลากเก้าอี้ พร้อมกับเสียงพูดยานคางอันเป็นเอกลักษณ์ลอยเข้ามากระแทกหู

“อ้าว บังเอิญจังเลย เจอครูพี่ล้งเล้งอีกแล้วนะเนี่ย”

คิ้วของชายหนุ่มกระตุกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เขาพยายามดึงหน้านิ่งในขณะที่เด็กๆ ทั้งสี่คนมองกันไปมองกันมาเหมือนกำลังกลัวว่าเขาจะระเบิดอารมณ์หรือคว่ำโต๊ะในร้านแม็คทิ้งอะไรแบบนั้น

เหอะ! เขาไม่ทำลายข้าวของแบบนั้นหรอก!

ในตอนนี้น่ะนะ…

“เมื่อกี้พี่พูดถึงไหนแล้วนะ Passive ใช่ป้ะ”

ล้งเล้งดึงความสนใจทุกคนกลับมาที่บทเรียนตรงหน้า หยิบชีทที่ทำขึ้นมาเองแล้วซีร็อกส์มาร้อนๆ เมื่อบ่าย แจกจ่ายให้กับน้องๆ พยายามไม่สนใจเจ้ากรรมนายเวรโต๊ะข้างๆ ทั้งที่ในจินตนาการคือเฟรนช์ฟรายข้างหน้าคือหัวไอ้เวรนั่นที่กำลังถูกเขาเคี้ยวอยู่

สักวันเถอะ กูจะแดกหัวมึงแบบที่แดกเฟรนช์ฟราย! 

“ใครตอบพี่ได้บ้างว่า Active Voice คืออะไร?”

ทั้งวงเงียบ รู้เลยนะครับว่าตั้งใจเรียนกันเบอร์ไหน

“ที่เราเรียนกันไปอาทิตย์ที่แล้ว”
“...”
“ประธาน กริยา กรรม”
“...”
“นี่อาทิตย์ที่แล้วพี่สอนผีเหรอวะ? ตอบหน่อยเด็กๆ”
“...”

สอนดีขนาดไหนเด็กจำไม่ได้เลย น้ำตาไหลแล้วได้มั้ย

“โอเค ไม่เป็นไร มาเดี๋ยวพี่อธิบายให้ฟังนะ คราวนี้ก็ตั้งใจกันหน่อย” ล้งเล้งหยิบชีทของคราวที่แล้วขึ้นมา แล้วชี้ไปตรงความหมายที่เขียนเอาไว้ให้เด็กๆ ดู

“Active Voice คือรูปประโยคที่ประธานเป็นผู้กระทำ เช่น Jojo eats cake ในประโยคนี้…”

เขาอธิบายเรื่องที่สอนไปคราวที่แล้วใหม่อีกรอบ น้องๆ ส่วนใหญ่ก็ดูตั้งใจฟังดี เหมือนกับทุกครั้งที่สอน มีแค่ต้นเท่านั้นที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นบ้าง แต่ถ้าเล็กน้อยล้งเล้งก็ไม่ได้จะดุอะไร

อันที่จริง นอกจากพวกนักเรียนตรงหน้าของล้งเล้งแล้ว ไอ้ติวเตอร์โต๊ะข้างๆ เอง ก็ดูเหมือนจะตั้งใจฟังที่เขาพูดด้วยเช่นกัน แจ้งตำรวจมาจับมันได้มั้ย? เงินก็ไม่จ่ายยังจะมาเนียนเรียนพิเศษด้วยอีก

“อันนี้คือรูปประโยคแบบ Active ส่วน Passive เนี่ยจะตรงข้ามกัน คือประธานของประโยคเป็นผู้ถูกกระทำ เช่น The cake is eatten by Jojo…”

ในตอนที่เขากำลังจะตอบน้อง โต๊ะข้างๆ ก็ดันพูดขึ้นมาว่า

“น้องๆ ครับ วันนี้เราจะมาเจาะไปที่คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับพวกรูปร่างกันนะครับ” เสียงยานคางเรียบเฉยพูดขึ้นมา เขาไม่ได้หันไปมอง แต่น้องๆ ในโต๊ะเขาหันหมด

เออดี เด็กกูแต่ละคน

“เรามาต่อ…” ล้งเล้งพยายามจะเรียกความสนใจเด็กกลับมา แต่ไอ้โต๊ะข้างๆ มันไม่ปล่อยให้ชีวิตการเป็นติวเตอร์ของเขามีความสุขง่ายขนาดนั้น

“อย่างเช่น” ไอ้โต๊ะข้างๆ นั่นพูดเสียงดังขึ้นมาหน่อย  “ถ้าโจโจ้กินเค้กมากเกินไป ในภาษาอังกฤษก็ If Jojo eats too much cake… ทุกคนรู้กันดีว่าโจโจ้ก็จะอ้วน คำว่าอ้วนในภาษาอังกฤษที่เราคุ้นเคยดีก็คือ fat ใช่มั้ยครับ? ไหน มีใครรู้คำอื่นอีกมั้ย?”

เด็กๆ ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะข้างๆ ล้งเล้งมองหน้ากันเลิ่กลั่กคล้ายกับจะสื่อสารทางสายตาว่า ‘คำว่าอะไรวะ?’ ‘กูไม่รู้ มึงอ่ะ’ ‘มึงตอบดิสัตว์ กูไม่รู้ พี่เขาถามเชี่ยไรเนี่ย? สอนก็ยังไม่สอน กูจะไปหาคำศัพท์มาจากไหน!?’

ในขณะที่ล้งเล้งแอบเห็นไอ้เด็กโจ้ที่ตัวเขาเอามาแต่งประโยคเม้มปากเหมือนกลั้นขำ พอกวาดสายตาไปที่น้องๆ คนอื่น เด็กผู้หญิงสองคนก้มหน้าลงเหมือนจะกลั้นยิ้มในขณะที่ศอกสะกิดกันเหมือนกับกำลังเจอเรื่องฟิน ส่วนไอ้ต้นนั้นผิวปากอย่างถูกใจที่ครูของตัวเองโดนล้อ

 ดี มันต้องมีสักคนนี่แหละต้องตอบคำถาม! 

“โจ้ ฟังพี่อยู่ป้ะ?”
“ฟังครับพี่”

น้องตอบแล้วมองหน้าเขา ล้งเล้งขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองถูกมองไม่วางตา จ้องนานไปมึง จ้องนานกว่าที่มองหนังสือเรียนอีกมั้งน่ะ ถ้าตอบคำถามไม่ได้ล่ะก็นะ!  ไอ้เด็กกวนประสาท

“เมื่อกี้พี่พูดอะไร?”
“ก็พูดเรื่องประโยค passive voice ว่า….”

ล้งเล้งพยักหน้าตามเมื่อน้องตอบถูกหมด เดิมทีโจ้เป็นคนเก่งอยู่แล้ว เอาเถอะ อยากจะทำอะไรก็ทำ หากสามารถเรียนรู้เรื่อง ตอบคำถามของเขาได้ ทำการบ้านมาส่ง ล้งเล้งก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องไม่พอใจอะไร เอาอารมณ์โกรธไปลงกับไอ้ติวเตอร์โต๊ะข้างๆ ดีกว่า

“เห็นแล้วใช่ป้ะว่ารูปประโยคมันจะไม่เหมือนพวก active voice…”

ล้งเล้งพูดต่อ แต่ยังพูดไม่ทันจบ เขาก็ได้ยินเสียงยานคางลอยมาให้ได้ยิน

“เห็นแล้วใช่มั้ยว่านอกจากคำว่า fat เรายังมีคำที่ความหมายคล้ายๆ กัน เยอแยะ อย่างเช่น chubby, overweight, …”

กวนส้นตีน

ล้งเล้งพยายามไม่สนใจโต๊ะข้างๆ ที่พูดเสียงยานคางสอนน้องทันที โดยลอกเลียนจากประโยคที่เขาพูดไปเป๊ะๆ ล้งเล้งพยายามไม่มองหน้าไอ้ครูโต๊ะข้างๆ การเป็นครูเราต้อง keep cool ถึงแม้ว่าอันที่จริงแล้วเขาอยากจะเอาตีนตบหน้ามันก็ตาม

“มีใครสงสัยอะไรมั้ย?”

ติวเตอร์ที่ดั้นด้นมาจากแถบชานเมืองถามเด็กน้อยที่ตัวเองกำลังสอนอยู่ หลังจากที่อธิบายโครงสร้างเบื้องต้นของ passive voice พร้อมยกตัวอย่างให้เห็นภาพไปเรียบร้อย น้องลี่ถามมาสองสามคำถาม ส่วนคนอื่นเหมือนว่าจะไม่สงสัยอะไร ไอ้น้องต้นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น ลูกเกดน้องมองชีทขมวดคิ้วแต่ไม่ได้ถามอะไร ส่วนน้องโจ้มองหน้าเขาอยู่ ไอ้นี่ก็มองไม่หยุดสักที

“โจ้ถามไรป้ะ? ถามได้นะ”
“ไม่ครับพี่”
“โอเค ถ้าไม่มีใครถามอะไรแล้ว พี่จะปล่อยให้ทำแบบฝึกหัดนะ”

พอเขากำลังจะแจกแบบฝึกหัดให้น้อง ได้ยินโต๊ะข้างๆ พูดขึ้นมาพอดี

“เฮ้ย พี่เพิ่งรู้ว่าเอาชีทพวกเราไว้ในกระเป๋าอีกใบ งั้นเดี๋ยวพี่ส่งให้ทีหลังนะครับการบ้านวีคนี้ มาลองทำโจทย์กัน เดี๋ยวพี่คิดให้ ขอห้านาที”

ล้งเล้งเผลอแสยะยิ้มออกมาเมื่อเจอช่องว่างที่จะด่าขู่แข่งทางการค้า

เสร็จกู! 

“น้องๆ ดูไว้นะครับ คนเราทำอะไรต้องมีการเตรียมพร้อม ถ้าไม่พร้อมแบบนี้จะโตไปเป็นคนไม่มีคุณภาพ”

เขาพูดลอยๆ พลางเอาชีทมาโบกเป็นพัดให้อีกคนดู เหมือนกับกำลังร้อน พร้อมทั้งสีหน้าที่แสดงความเหนือชั้นกว่า ไงล่ะมึง เห็นมั้ยกูเตรียมตัวดีกว่า!

“ถ้าเตรียมแล้วได้แค่นั้นก็อย่าเตรียมเลย เสียเวลา”
“...”
“ใช่มั้ยน้องหนูแดง”
“อ่า… มั้งคะ แฮะๆ”

ไอ้ติวเตอร์โต๊ะข้างๆ มันพูดกับเขาแน่นอน แต่ทำเนียนไปคุยกับน้องผู้หญิงที่มันสอนอยู่ ตอนนี้หากเป็นหม้อตั้งเตาละก็ ล้งเล้งคงจะเดือดระดับที่ส่งเสียงร้องดังไปสามบ้านแปดบ้านได้

 ดูมัน ดูนิสัยมัน! กวนตีนยังไงกวนตีนอย่างนั้น! 

เขาหันไปมองหน้ามันเต็มๆ เป็นครั้งแรกของวันนี้ นักศึกษา… เออ ขอโทษ! นิสิต!

นิสิตมหาวิทยาลัยดังที่ยังอยู่ในชุดเครื่องแบบนั่งมองหน้าเขาอยู่พอดี เครื่องแบบที่ดูเรียบร้อยขัดกับหน้ากวนตีนของมันนั่นทำให้ล้งเล้งเหม็นเบื่อ ลองเป็นมหาลัยเขาน่ะหรือ? คนใส่เสื้อนักศึกษาเต็มยศผูกเนกไทมีแค่ในจินตนาการละมั้ง เหมือนเป็นตำนาน ไม่เคยมีใครใส่จริง

ล้งเล้งไล่มองไปถึงส่วนหัว ผมของอีกฝ่ายยาวจนต้องมัดรวบยุ่งๆ ไว้ทางด้านหลัง ดวงตาของอีกฝ่ายไม่ได้เรียกว่าเล็กแต่ก็ไม่ได้โต ตาคมคิ้วเข้มมองแล้วล้งเล้งรู้สึกรำคาญเป็นบ้า หน้าตาของมันยังคงเป็นลูกหลานคนจีนเหมือนที่เคยเห็น ผิวตัวเหลืองซีด ใบหน้านิ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับอะไรนั้นส่งยิ้มกวนส้นตีนมาให้ ตาของมันหรี่ลง มุมปากยกขึ้นยิ้มคล้ายกับว่ากำลังเจอเรื่องสนุก

เรื่องสนุกของมึงคือกูหรือไงไอ้เวร!

คนที่ล้งเล้งรู้สึกว่า ‘ไม่เห็นจะหล่อเลยไอ้สัตว์เอ้ย!’ มองมาทางล้งเล้งพร้อมกับยักคิ้วทำหน้าตากวนตีนส่งมาให้ เพียงแค่นั้นก็ทำให้เขาหักนิ้วด้วยความไม่สบอารมณ์ได้แล้ว โดยมีเด็กน้อยทั้งสองโต๊ะทำหน้าเลิ่กลั่ก มองติวเตอร์สองคนที่เขม่นกันไปมา ในขณะที่ล้งเล้งเหมือนจะระเบิดแล้ว แต่นิสิตอีกคนยังไงทำหน้ามึนกวนประสาท พร้อมกับเผยรอยยิ้มกว้างขึ้น และกว้างขึ้นเรื่อยๆ   

สิ่งสุดท้ายในโลกที่เขาจะรักคือไอ้ผู้ชายในชุดนิสิตคนนี้!

กูเกลียดมึง! 

ไอ้เหี้ยทะเล!




-------- TBC ------- 



สวัสดีจ้า
ทะเลค่าตัวแพงเนอะ 555555
ฝาก #รักไม่คาดคิดในวันพุธ ด้วยนะก๊ะ <333
ติชมเราได้นะ เราเขินๆ แต่งมหาลัย ฮือ ไม่คุ้นชิน 555555

ปล. อ่านแยกจากวันจันทร์ กับวันอาทิตย์ได้นะคะ



หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 1 -- กวนส้นตีน (19/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 20-05-2019 16:58:32
:กอด1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 1 -- กวนส้นตีน (19/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Mamamapp ที่ 20-05-2019 20:07:38
น่ารักกกกก  :pig4:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 1 -- กวนส้นตีน (19/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: nisaday ที่ 20-05-2019 22:29:40
น้องทะเลนี่พี่คิดแฮชแท็กไว้ให้ล่วงหน้าเลยนะคะ
#ผีทะเล ค่ะล้งเล้ง สู้เค้านะ
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 1 -- กวนส้นตีน (19/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 20-05-2019 23:08:04
 :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 1 -- กวนส้นตีน (19/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 21-05-2019 00:29:09
ชอบๆๆ ติดตามครับ,,,
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 1 -- กวนส้นตีน (19/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: babybaphomet ที่ 22-05-2019 17:49:52
2nd Wednesday
#รักไม่คาดคิดในวันพุธ


ถ้าถามว่าล้งเล้งรู้จักกับไอ้ทะเลได้ยังไง


ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่เริ่มจำความได้ เด็กชายล้งเล้งในวัยสามขวบเป็นที่รักของบ้านมาก เพราะเขาเป็นลูกชายคนแรกของครอบครัว มีพี่สาวคนหนึ่งที่อายุห่างกันหลายปี แต่พี่สาวของล้งเล้งก็มักจะเล่นกับเด็กน้อยเสมอเวลาที่อยู่บ้าน ทั้งพ่อกับแม่เองก็เป็นปลื้มกันใหญ่ แม่ถึงกับพูดทุกวันว่า


‘ล้งเล้งของเรา หล่อที่สุดในหมู่บ้านแล้ว!’


แน่นอนว่าล้งเล้งเชื่อสุดใจว่าตัวเองหล่อตั้งแต่เกิด มันคือเรื่องจริง ผู้ใหญ่ไม่พูดโกหกกับล้งเล้งอยู่แล้ว!   


วัยเด็กของเขาเป็นอะไรที่มีความสุข กินอิ่มนอนหลับน้ำหนักตามเกณฑ์ ตัวโตสมวัย วันว่างๆ ก็เล่นกับพี่สาว (บ้านของเขาเรียกว่าเจ๊) พี่สาวของเขาชื่อกุ๊กกิ๊ก เราห่างกันแปดปี พี่เขาดูแลน้องดีอย่างที่ล้งเล้งจะถามหาได้จากคนเป็นพี่ ถึงแม้จะไม่ยอมให้เขาไปโดดยางกับเพื่อนๆ ในซอยด้วย แต่ก็ยอมมานั่งเล่นกับน้องชายสองคนในบ้าน


อย่างที่บอกว่าพวกเรารักกันดี พวกเราจึงไม่ค่อยมีเรื่องอะไรให้ปวดหัวมากนัก

อันที่จริงแล้ว ปัญหามีอยู่เพียงแค่เรื่องเดียว

พี่กุ๊กกิ๊ก… อยากมีน้องสาว

ล้งเล้งเลยต้องไปเป็นน้องสาวให้พี่ตัวเอง


ตอนแรกๆ ล้งเล้งเองก็ไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาหรอก พี่จับมัดจุกก็ยิ้ม พี่จับใส่กระโปรงก็หัวเราะ ตอนนั้นเด็กเกินกว่าจะรู้เรื่องรู้ราวอะไร หากให้พูดตามตรง ตอนนั้นล้งเล้งคอนข้างที่จะไร้สาระไปวันๆ เขาจำได้ว่าตัวเองยังอยากโตไปเป็นโดเรม่อนอยู่เลย


‘ล้งเล้งน่ารักมากเลย ยิ้มหน่อยเจ้าตัวเล็ก!’



เขายิ้มแผล่ทุกทีที่ได้ยินแบบนี้ ตอนนั้นเห็นว่าแม่ก็ชมพ่อตอนอุ้มเขาว่าน่ารักมาก เขาเลยเข้าใจว่าผู้ชายชาติทหารเขาน่ารักกันเป็นเรื่องปกติ


 เขาไม่เคยคิดว่าการผูกแกะใส่กระโปรงมันเป็นเรื่องแปลก จนกระทั่งเพื่อนข้างบ้านคนแรกเข้ามาที่บ้าน เขาจำได้ดีว่าเด็กผู้ชายคนนั้นมองเขานิ่งๆ ใบหน้าตี๋แบบเด็กๆ ทำตาเป็นขีดเหมือนกับคนที่เพ่งอะไรบางอย่าง คนแปลกหน้ามองเขาคล้ายกับมองประโยคสัญลักษณ์ที่ไม่เคยมาก่อน


นายนั่นนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดถามด้วยเสียงยานคางว่า

 
“นายเป็นเด็กชายใช่มั้ย?”
“อือ”
“นายใส่ชุดผู้หญิงทำไมเหรอ?”
“อะไรนะ?”
“ก็เสื้อนายเขียนว่า ‘I am a Barbie Girl, in a Barbie world’ น่ะ”
“แล้วยังไงเหรอ?...”
“มันแปลว่าฉันเป็นบาร์บี้ ในโลกของบาร์บี้อ่ะ”


ล้งเล้งก้มลงมองเสื้อของตัวเอง ที่เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษที่เขายังสะกดไม่ออกด้วยซ้ำ เด็กน้อยจำได้ว่าเจ๊กิ๊กพูดว่าเสื้อตัวนี้เหมาะกับเขาที่สุดแล้ว แม่ก็บออกว่าน่ารัก พ่อก็บอกว่าเข้ากับเขาที่สุดในตู้แล้ว แบบนี้มันหมายความว่าอะไร?


“แล้วบี้ๆ เมื่อกี้คืออะไรเหรอ? มันแปลว่าหล่อเหรอ?”


นายนั่นนิ่งไปพักหนึ่งเมื่อเจอล้งเล้งถามต่อตาแป๋ว เด็กชายแปลกหน้าสำหรับล้งเล้งหรี่ตาลงอีกครั้งเหมือนกับเวลาที่เจ้าตัวพยายามใช้สมาธิท่องสูตรคูณที่มันออกจะเกินวัยอนุบาลไปหน่อย


“มันแปลว่าฉันเป็นสาวน้อย คิดว่านะ ไม่น่าจะผิดหรอก เราชอบภาษาอังกฤษ”
“...”
“ส่วนบาร์บี้คือตุ๊กตาเด็กผู้หญิงน่ะ”
“...”
“นายเหมือนตุ๊กตาบาร์บี้เลย”
“...”
“เราเลยนึกว่านายเป็นเด็กผู้หญิงซะอีก เหมือนบาร์บี้จริงๆ ด้วย”


ที่ทุกคนในบ้านเคยพูด มันหมายความว่าอะไรน่ะ…


“เอ้า เด็กๆ มาอยู่นี่เอง”


เสียงผู้หญิงที่ล้งเล้งไม่คุนเคยดังขึ้นมาให้ได้ยิน เด็กน้อยคิดว่าคนแปลกหน้านี่น่าจะเป็นแม่ของไอ้ตี๋ที่มาพูดเรื่องบาร์บี้ใส่เขาแน่นอน เมื่อแม่ของเจ้าตัวเดินมาใกล้ เด็กนั่นน่าจะยังสงสัยในสิ่งเมื่อกี้อยู่ ไอ้ตี๋นั่นมันเลยชี้มาที่ล้งเล้งพลางพูดกับแม่ตัวเอง


“แม่ครับ ทำไมล้งเล้งเป็นผู้ชายถึงได้ใส่กระโปรงกับเสื้อ ‘I am a Barbie Girl, in a Barbie world’ ด้วยครับ?”
“...”
“มันแปลว่าสาวน้อยไม่ใช่เหรอครับ? หรือว่าเขาเป็นสาวน้อยที่เป็นเด็กผู้ชาย? เด็กผู้ชายไม่ต้องใส่กางเกงเหรอครับ?”


ถ้าจำไม่ผิด ผมคิดว่าผู้หญิงที่น่าจะเป็นแม่มันนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นมา


“น้องทะเลคะ ไม่ใช่แค่ผู้ชายที่ใส่กางเกงได้ หรือต้องเป็นผู้หญิงถึงจะใส่กระโปรง ใครๆ จะใส่อะไรก็ได้ถ้าตัวเองอยากใส่ ไม่เกี่ยวว่าจะต้องเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายนะคะ…”


เขาจำได้ว่าตัวเองตอนเด็กนิ่งงันกับความจริงใหม่ที่เพิ่งได้รับรู้ หูอื้อไปหมดแล้ว ไม่ได้ยินด้วยซ้ำว่าไอ้เด็กคนนั้นมันพูดอะไรกับแม่ของมัน ผมยืนแข็งเป็นหินอยู่แบบนั้นจนแม่มาอุ้มไปกินข้าว


หลังจากวันนั้น เด็กชายล้งเล้งก็เริ่มเห็นว่า พ่อไม่ได้ผูกผมสองแกละ


และที่สำคัญ

พ่อ… ไม่ได้ใส่กระโปรง

.
.
.


ชั้นประถมหนึ่ง


วันแรกที่เปิดเรียนประถม ล้งเล้งตื่นเต้นมาก เด็กชายถือกระติกน้ำที่ได้เป็นของขวัญวันเกิดไม่ปล่อยตั้งแต่ตอนกินข้าว ขึ้นรถมาถึงโรงเรียน จนกระทั่งเข้าแถวเสร็จแล้วนั่งเรียนอยู่ในห้อง ตัวเขากับกระติกน้ำอันใหม่ก็ยังรักกันดี เหมือนหมีพูห์และโถน้ำผึ้งของมัน


ตอนนี้เขาไม่ได้ใส่กระโปรงอีกแล้ว ถึงแม้พี่กุ๊กกิ๊กจะเสียใจมากที่ยังถ่ายรูปน้องชายที่น่ารักไม่หนำใจก็ตาม
 

ล้งเล้งเข้าเรียนที่โรงเรียนเอกชนไม่ไกลจากบ้านนัก วันแรกที่เข้าไปเรียนเพื่อนๆ รอบตัวของเด็กน้อยก็ดูน่ารักดี สิ่งที่ประทับใจที่สุดคือล้งเล้งสูงที่สุดในห้อง ป. ⅓ เขาดีใจมากขนาดที่ว่าเจ๊กุ๊กกิ๊กต้องคอยฟังเขาพูดถึงมันและความภูมิใจในส่วนสูงของตัวเองทุกวันจนเบื่อ (และพยายามจะหาทางให้เขาใส่เสื้อสีมพู ถักเปีย มัดแกะ และใส่กระโปรงสีหวานแหววต่อไป)


ประถม ⅓ เป็นห้องที่ดี เขาเป็นที่รักของเพื่อนๆ แล้วเพื่อนๆ ในห้องก็รักล้งเล้ง 

ทุกอย่างดีไปหมด

จนกระทั่งสัปดาห์ที่สอง


ไอ้เด็กตาตี่ข้างบ้านคนนั้นมันมาโรงเรียน แล้วมาอยู่ห้อง ป.⅓ เหมือนกัน!


ล้งเล้งจำมันได้ทันทีที่เห็นแค่คิ้วหนาๆ กับตาที่หรี่ลงทุกครั้งที่มองหน้าเขานั่นก็รู้สึกมวนท้องไปหมด ไอ้เด็กนั่นมีแค่ตาโผล่พ้นมาส์กปิดปากออกมาในการมาเรียนวันแรก ครูบอกว่าเมื่อสัปดาห์ก่อนไอ้ตี๋นั่นมันไม่สบายเลยมาเรียนไม่ได้ ครูจับให้มันมานั่งข้างเขาเพราะว่าเขาตัวสูง และไอ้บ้านี่ก็สูงเหมือนกัน


สิ่งที่เจ็บใจคือ มัน-สูง-กว่า!


ล้งเล้งจำได้ว่าตัวเองโมโหไปหมด โกรธกว่าตอนที่ตัวเองวิ่งตามรถไปติมไม่ทัน ตัวเขาที่เคยได้ตำแหน่งการยืนหลังสุดในห้อง ท้ายแถวของเพื่อนๆ ทุกคน ตอนนี้ที่ของเขาถูกแทนที่ด้วยไอ้ตี๋ข้างๆ ที่ยังซ่อนครึ่งใบหน้าอยู่ใต้หน้ากากอนามัย พลางไอค๊อกแค๊กน่ารำคาญทั้งวัน


“นายๆ”
“...”
ทะเเลพยายามจะพูดคุยกับล้งเล้งที่นั่งทำหน้าบู้บี้


กวนคนที่กำลังเรียน นิสัยไม่ดีเลย!


“เราทะเลนะ เราเคยเจอกันบ่อยๆ ตอนที่เราไปบ้านพี่กุ๊กกิ๊ก นายจำเราได้มั้ย?”
“...”


ไม่จำ! ไร้สาระ!


“ตอนเราไปบ้านนายน่ะ นายไม่ยอมมาเล่นกับเราเลย เราเล่นกับพี่กุ๊กกิ๊กกับพี่ชายนายอีกคน ชื่ออะไรนะ… ซกมก?”
“ซุกซน!”


ล้งเล้งแก้ชื่อญาติของตัวเองที่ไอ้คิ้วหนานี่เรียกชื่อลูกพี่ลูกน้องที่มาพักบ้านเขาช่วงปิดเทอมผิด ซึ่งมันไม่ได้ใส่ใจขนาดนั้น


“นั่นแหละ ซกมก... แคกๆ” ไอ้คนข้างๆ มันยังพูดไปไอไป โดยไม่สนใจว่าเขาทำหน้าบึ้งแค่ไหนตอนที่มันเรียกชื่อญาติเขาผิด
“บอกว่าชื่อซุกซน!”


ทะเลไอแบบไม่ใส่ใจชื่อของซุกซน แต่ดันพูดกับล้งเล้งต่อ


“นายไม่ยอมมาเล่นกับเรา”
“ก็เราไม่อยากเล่นด้วย”
“ทำไมไม่เล่นกับเรา?”


ไอ้คนป่วยนั่นยังคงพูดต่อไปด้วยเสียงยานคาง พร้อมกับทำหน้านิ่งๆ แต่คิ้วขมวดลงคล้ายกับสิ่งนี้เป็นปัญหาเชาว์ที่ไม่รู้วิธีคิด ในขณะที่ล้งเล้งหงุดหงิด คนไม่อยากเล่นด้วยจะมาชวนคุยทำไมนักหนา น่ารำคาญ!


น่ารำคาญกว่ากระดุมของเสื้อนักเรียนที่ติดยากๆ อีก!


“เพราะเราไม่ยอมใส่กระโปรงผูกโบว์เหมือนนายตอนอยู่บ้านเหรอ?”
“...”
“หรือเพราะว่าเราไม่มีเสื้อ ‘I am a Barbie Girl, in a Barbie world’ สีชมพูเหมือนกับนาย?”
“...”
“หรือว่าเพราะเรา… โอ้ย!”

 
นั่นเป็นครั้งแรกที่เขารู้ว่านอกจากกระติกใช้เก็บน้ำเอาไว้กินแล้ว ยังใช้ฟาดหัวคนจนมันร้องไห้ได้เหมือนกัน 


.
.
.


มัธยมหนึ่ง


ล้งเล้งเกลียดการเข้าแถว

จากเด็กยักษ์ที่เคยสูงสุดในแถวตอนนั้น กลายมาเป็นไอ้ตัวจิ๋วที่อยู่หน้าสุดของแถวในวันนี้


หากพูดกันตามความจริง นี่เป็นเรื่องที่เขาไม่เคยเข้าใจ ล้งเล้งจำได้ว่าตัวเองสูงสุดในห้องได้แค่สัปดาห์แรกของปอหนึ่งเท่านั้น หลักจากนั้นห้องเขาก็มีไอ้ทะเลที่สูงสุดอยู่หลังเขา พอเริ่มโตมาเรื่อยๆ ทุกคนก็สูงขึ้นพรวดพราด ในขณะที่เขาค่อยๆ ยืดตัวอย่างเชื่องช้า คล้ยสล็อธเวลาที่ข้ามถนนอย่างใจเย็น จนตอนนี้ขนาดเด็กผู้หญิงบางคนยังสูงกว่าเขาเลย


โลกนี้มันอะไรวะแม่ง


ข้อดีข้อเดียวของเรื่องนี้คือไม่ต้องนั่งติดกับไอ้ทะเลอีกต่อไป ในขณะที่ล้งเล้งตัวไม่ต่างจากเด็กประถมเท่าไหร่ ไอ้ทะเลมันสูงพรวดพราดตลอดทุกปี สูงเร็วเหมือนกับมันกินนมทุกวันมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว ตอนนี้ล้งเล้งไม่กล้าคิดด้วยซ้ำว่าตัวเขากับทะเลสูงห่างกันกี่เซ็นต์ และตอนนี้ทะเลสูงที่สุดในห้องตอลดมา มันเลยต้องไปนั่งหลังสุดตลอดเวลาหกปีในขั้นประถม


ในขณะที่เขาน่ะเหรอ?... นั่งหน้าสุดตลอดมา 


ชั้นมัธยมหนึ่งก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก เด็กหนุ่มได้แต่คิดปลอบใจตัวเองว่าเพราะว่าตั้งใจเรียกหรอก ครูเลยให้นั่งหน้าสุดกับเด็กผู้หญิงสองคนที่ตัวพอๆ กัน ไม่ใช่เพราะว่าสูงน้อยเสียหน่อย! ถ้าให้วัดกันจริงๆ แล้วล่ะก็ ใจเขาใหญ่มากเลยด้วยซ้ำ! 


ตามปกติเขาก็อยู่กับเพื่อนผู้ชายของตัวเอง มีต่อยตีบ้างตามภาษา ล้งเล้งมักจะกระจุกอยู่กับพวกเด็กผู้ชายหลังห้อง ที่เรียนหนังสือบ้าง แต่หลับเสียมาก แล้วก็โดดเรียนกันเป็นว่าเล่นเลยด้วยซ้ำ


ไม่มีครูคนไหนชอบพวกเขา เพื่อนในห้องเองก็คุยได้แต่บางส่วนก็ไม่อยากจะยุ่งด้วยเท่าไหร่นัก แต่ถ้าหากถามล้งเล้งล่ะก็ เขาคิดว่าเพื่อนตัวเองก็นิสัยดีนะ ถึงแม้จะขี้เกียจเรียนไปบ้างก็ตาม


ชีวิตโดยรวมของเขาโอเคดี ยกเว้นแค่วิชาเดียวเท่านั้น 


คหกรรม


อาจารย์สุ่มเลขที่ให้ทำงานกลุ่มละสามคนไปจนจบปี เลขที่ของเขาต้องทำงานกับเด็กผู้หญิงเงียบๆ คนหนึ่งของห้อง ซึ่งเขาจำชื่อเล่นของเพื่อนคนนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำเพราะไม่ได้สุงสิงกันมากเท่าไหร่นัก นั่นไม่ใช่ปัญหา มีงานอะไรก็ทำๆ ไปให้มันหมดเวลาก็พอ


ปัญหาน่ะคือ… กลุ่มของเขาดันมีไอ้เหี้ยทะเลอยู่ด้วย


ไอ้ทะเลที่ตอนนี้ก็ยังคงเรียนอยู่ห้องเดียวกันอย่างที่เขาเกลียด ล้งเล้งทำให้ไอ้หน้านิ่งนี่มั่นใจว่าหกปีของชั้นประถมนั้นไม่ได้เข้าใกล้เขาเกินสามเมตร ทะเลไม่ใช่ส่วนหนึ่งในแก๊งเด็กผู้ชายสุดเท่ของเขา ไม่เล่นด้วยช่วงประถมหนึ่ง หนีตอนประถมสี่ พยายามแข่งวิ่งให้ชนะมันตอนประถมหก (และแน่นอนว่าแพ้ย่อยยับ ช่วงขามันจะยาวไปไหนไอ้เวร! โกงฉิบหายไอ้บ้าเอ้ย!)


ล้งเล้งเกลียดไอ้เหี้ยทะเล

เคยเกลียดยังไง ตอนนี้เกลียดมากกว่าเดิมอีกพันเท่า!


“ทะเลเก่งจัง เรียนก็เก่ง ขนมก็ทำเก่ง”


เด็กผู้หญิงเงียบๆ คนนั้นที่เขาก็ยังจำชื่อไม่ได้พูดขึ้นมาในตอนที่ทะเลเทก้อนแป้งลงหม้อต้มบัวลอย ล้งเล้งคิ้วกระตุกหน้าตึงทันที คิ้วขมวดลงอย่างไม่เข้าใจ ทะเลน่ะเหรอเก่ง? มันเก่งอะไรวะ คนที่ปั้นก้อนแป้งเฉยๆ น่ะเหรอเรียกเก่ง?


 เหอะ! คนที่ตั้งเตา เตรียมกะทิ คือกูนี่! กู!!


“ไม่หรอก เราไม่ได้ทำอะไรเลย ล้งเล้งเก่งกว่าเยอะ”


ไอ้ทะเลที่เทก้อนแป้งลงหม้อหมดแล้วหันมาพูดกับเพื่อนร่วมคลาสตัวน้อยด้วยเสียงยานคางกับหน้านิ่งๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัว เพราะส่วนสูงที่ค่อนข้างต่างกันมากในช่วงหกปีมานี้ ทำให้เวลาที่ชายหนุ่มมองเพื่อนสมัยเด็กของตัวเอง เขาต้องก้มหน้าลงมามอง


“มันก็ต้องอย่างนั้นอยู่แล้ว”


ล้งเล้งยืนกอดอกอยู่ข้างๆ พูดขึ้นมาด้วยเสียงขึ้นจมูกอย่างหงุดหงิด


“โห ไม่ถ่อมตัวเลยว่ะนาย”
“อะไรของมึง?”


ล้งเล้งถามกลับด้วยน้ำเสียงหาเรื่อง เมื่อทะเลพูดกับเขาด้วยเสียงยานคางอันกวนประสาทในความคิดของเด็กหนุ่ม ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังทำหน้านิ่งอยู่เลย แต่เมื่อคุยกับเขานั้น ไอ้ทะเลมันกระตุกยิ้มกวนประสาททันทีคล้ายกับเป็นระบบตอบรับอัตโนมัติ ซึ่งนั่นทำให้ล้งเล้งหงุดหงิด


เขาไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมรุ่นพี่ชอบทะเละเยอะแยะอะไรนักหนา ไม่เเห็นจะมีอะไรดีเลยมันน่ะ! 


“ก็เปล่า”
“ไม่เปล่า มึงทำไม มึงมีอะไร พูดมาเลยดีกว่า!”


ล้งเล้งมั่นใจว่าสิ่งที่เขาเกลียดไม่น้อยกว่าทะเล นั่นคือท่าทางเฉยเมยกวนประสาทของมัน น้ำเสียงยานคางนิ่งๆ ของมัน รวมไปถึงการหรี่ตา และรอยยิ้มมุมปากของมัน ทุกอย่างที่ว่ามานั่น มันทำให้เขาเท้ากระตุก


เกลียดมัน ไอ้เวรทะเล!


“ไม่มีอะไร”
“มึงมี! อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่องหน่อยเลยดีกว่า!” 


ล้งเล้งกระชากคอเสื้อทะเลอย่างแรง ถึงแม้จะต้องใช้ความพยายามนิดหน่อยในการยืดตัวให้สามารถกระชากถึงก็ตาม ไอ้ทะเลมันขมวดคิ้วลงเล็กน้อยคล้ายรำคาญ อาจจะเพราะมันต้องย่อลงมาเมื่อเขาดึงคอเสื้อมัน เออ ลงมาเลยมึง! จำใส่หัวเอาไว้ว่าล้งเล้งคนนี้ฆ่าได้หยามไม่ได้!

“บอกว่าไม่มีไงเล่าไอ้ลูกหมา”


มันพูดพร้อมกับสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมของเพื่อนสมัยเด็ก โชคร้ายที่ทะเลกะแรงผิดไปนิดหน่อย เพียงแค่การออกแรงให้พ้นจากการเกาะกุมครั้งเดียวนั่น ทำให้คนที่ยืนเขย่งกระชากคอเสื้ออีกคนอยู่นั่นเสียหลัก ล้งเล้งเซล้มไปชนกับโต๊ะของอีกกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งจะลุกออกจากที่นั่งพอดี เก้าอี้ไม้ยาวแบบโต๊ะโรงอาหารล้มลงเสียงดังลั่น


โครม!


“ว้าย!”
“เฮ้ย!”


เสียงเพื่อนในห้องบางคนร้องขึ้นมาแต่ล้งเล้งไม่สนใจ เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้นมายืนทันที เขาจำได้ว่าตอนนั้นโมโหจนเลือดขึ้นหน้า หูอื้ออึงด้วยความโกรธไปหมด ทะเลมันดูช็อกนิดหน่อยเหมือนกันที่เห็นเขาล้มกลิ้งไปแบบนั้น หน้าตาของมันดูตกใจแล้วก็ทำอะไรไม่ถูก


ชั่วขณะหนึ่งล้งเล้งเองก็ประหลาดใจที่ได้เห็นสีหน้าแบบนี้ของมัน เพียงพริบตาเดียว ความเจ็บปวดที่หลังก็เข้ามาแทนที่ เด็กหนุ่มสลัดความประหลาดใจทิ้งไป แล้วสวมใส่อารมณ์โมโหเข้ามาแทน


“ล้งเล้ง คือ…”
“ไอ้สัตว์ มึงจะเอาใช่ป้ะ!”


ผล้ัวะ!


เด็กหนุ่มเหวี่ยงหมัดหนักๆ เข้าหน้าทะเลทันทีด้วยความโมโห เสียงเนื้อกระทบกันเรียกความสนใจของคนทั้งห้อง เขารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงครูผู้หญิงวี๊ดว๊ายดังมาจากไกลๆ ซึ่งดังพอๆ กับเสียงฮือฮาของเพื่อนในห้อง แต่ตอนนั้นไม่สนใจอะไรแล้ว เด็กหนุ่มหูอื้อไปหมด เลือดขึ้นหน้าจนมั่นใจว่าเขาสามารถเอาโต๊ะทุ่มหัวไอ้กวนส้นตีนนี่ได้


“มึงว่าใครเป็นลูกหมาวะ?!”


ผล้ัวะ!


ตอนที่มันกำลังจะยืนขึ้นมาได้ ล้งเล้งอาศัยความว่องไวกระโดดเกาะทะเลเหมือนลูกลิงที่เกาะต้นไม้ คนที่ถูกนิยามว่า ‘ไอ้เหี้ยกวนส้นตีน’ เสียการทรงตัวล้มลง ตอนนั้นคนตัวเล็กขึ้นคร่อมทะเลแล้วปล่อยหมันลุนๆ ไปที่หน้าอีกฝ่ายอีกครั้ง นาทีนั้นล้งเล้งคิดเพียงแค่ว่า ปากหมาอย่างงี้อย่าได้เหลือไว้กินข้าวเลยมึง!


วันนี้ถ้าทะเลไม่ตายคาตีน อย่ามาเรียกเขาว่าล้งเล้ง!!


.
.
.


แน่นอนว่าหลังจากนั้น ทะเลมันก็ยังเหลือปากไว้กินข้าว

ส่วนตัวของล้งเล้งนั้น มีอะไรเปลี่ยนไปนิดหน่อย


ผลจากการต่อยคนกลางห้องเรียนอย่างแรกคือ เพื่อนในห้องไม่ค่อยกล้าคุยกับล้งเล้งไปเป็นเดือน (โดยเฉพาะพวกเด็กผู้หญิง เขาเคยเห็นพวกนั้นเกาะกลุ่มกันจ้องมาที่เขาแล้วซุบซิบว่าเป็น ‘ลูกหมามือเปื้อนเลือด’ ซึ่งเป็นชื่อที่เขาไม่รู้ว่าควรจะดีใจในความโหดของตัวเองดีมั้ย) ในสายตาของหลายๆ คนเขากลายเป็นลูกหมาอารมณ์ร้อนไปแล้ว ไม่รู้ใครแม่งปล่อยข่าวว่าถ้าพูดคำว่า ‘ลูกหมา’ เขาจะพุ่งเข้าไปต่อย


ไอ้พวกปัญญาอ่อน

แต่ก็อยากต่อยแม่งทุกคนจริงๆ นั่นแหละ! ปัญญาอ่อน! ไอ้เวรเอ้ย โมโห!


มีแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่นั่งข้างเขานั่นแหละที่ยังคุยกันอยู่ เธอชื่อเอิน อันที่จริงเด็กหนุ่มได้เอินช่วยไว้เยอะเหมือนกันสมัยเรียน เพราะเพื่อนของล้งเล้งนั้นไม่ใช่พวกที่พึ่งพาเรื่องเรียนได้ พวกการบ้านหรืองานอะไร เขาได้เอินที่คอยคุยกัน ช่วยถาม ช่วยตาม ช่วยกันทำงาน อาจจะเป็นผู้หญิงเพียงไม่กี่คนในห้องที่ยังคุยกับเขาอยู่ด้วยซ้ำ


ส่วนพวกเพื่อนหลังห้องสถาปนาให้เขาเป็นหัวหน้าแก๊งพวกมันไปเรียบร้อยหลังจากนั้น เหตุผลเพราะล้งเล้งตัวเท่าลูกหมา สามารถล้มทะเลตัวเท่าแป้นบาสได้ด้วยมือเปล่า


อ่ะ ไอ้พวกนี้ก็บ้าพอกัน


อย่างที่สอง ล้งเล้งถูกเข้าห้องปกครองพร้อมทะเลคู่กรณี ตอนนั้นเจ๊กุ๊กกิ๊กที่เรียนมหาลัยแล้วมาเป็นผู้ปกครองให้เพราะเด็กหนุ่มไม่อยากบอกแม่ (ซึ่งไม่รู้ว่าคิดถูกหรือผิด) เขาถูกเจ๊ด่าหูชา ถูกตัดค่าขนม แถมมันยังให้เขาไปขอโทษไอ้ทะเลถึงบ้านอีก
 

ตอนที่ไปถึงบ้านไอ้ทะเล ล้งเล้งจำได้ดีว่าพี่สาวของเขาหน้าเสียแล้ว ส่วนตัวเด็กหนุ่มหน้าบึ้ง เขาไม่ได้อยากมาที่นี่เสียหน่อย!


เจ๊กุ๊กกิ๊กจับเขาก้มหน้าขอโทษพ่อแม่ของคู่กรณีถึงบ้านพร้อมด้วยกระเช้าของขวัญเซ็ตใหญ่ ล้งเล้งได้ยินเสียงใจดีของแม่ทะเลพูดว่าไม่เป็นไร เด็กเล่นกัน แค่ล้งเล้งมาขอโทษพวกท่านก็ไม่โกรธอะไรแล้ว


ส่วนคู่กรณีน่ะเหรอ?


“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่เจ็บ” 


เขาเงยหน้ามองไอ้ทะเลที่พูดด้วยเสียงยานคางตามแบบฉบับของเจ้าตัว ช้ำไปครึ่งหน้าน่ะเหรอไม่เจ็บ?

 
“ยังไงพี่ก็ต้องขอโทษอีกทีนะน้องทะเล หน้าเป็นแผลเลย เพราะไอ้เด็กนี่แท้ๆ!”
“ไม่เป็นไรครับ”
“มันน่านัก!” 
“โอ๊ย! เจ๊! ไม่เอาไม่หยิกเล้งดิ!”


เขาโวยวายเมื่อพี่สาวหยิกแขนเขาต่อหน้าต่อตาไอ้เหี้ยทะเล ถึงแม้จะเป็นเด็กผู้ชายแต่การโดนพี่สาวทำเล็บมาหยิกจังๆ เข้าที่เนื้อต้นแขนนี่มันก็เจ็บเหมือนกันนะ


“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับพี่กุ๊กกิ๊ก”


ไอ้ทะเลมันพูดเสียงนิ่งๆ ยานคางตามสไตล์ มันปรายตามองเขาที่ยังคงลูบแขนตัวเองด้วยความเจ็บปวดอยู่ ใบหน้าที่ช้ำของมันไม่มีความโกรธเคืองอย่างที่ปากพูดจริงๆ มีเพียงแค่แววตาที่ล้งเล้งอ่านไม่ออกว่ามันหมายความว่าอะไรให้เห็นเท่านั้น


“เหมือนลูกหมากัดอ่ะพี่ ผมไม่ถือสาหรอก”
“ไอ้ทะเล! มึง! … โอ๊ย! พี่กิ๊ก อย่าหยิกเล้ง!”


เขาเกลียดมัน

ไอ้เหี้ยทะเล! ไอ้เวรเอ้ย!!!

.
.
.

------- TBC -------


เกลียดทะเล เกลียดทะเล
อิ____อิ

ฝาก #รักไม่คาดคิดในวันพุธ ไว้ด้วยนะคะ
เห็นแบบนี้น่ะ เรา insecure มากเลย
สองเรื่องที่ผ่านมาคือวัยทำงาน และนี่กลับมามหาลัยที่ลืมไปเยอะแล้ว ;A;
ถ้ามีตรงไหนติดขัด/เจอคำผิด สามารถแจ้งเราได้ทุกช่องทางเหมือนเดิมน้า

ขอบคุณมากค่า
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 2 -- นายเป็นเด็กผู้หญิงเหรอ? (22/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 22-05-2019 18:07:18
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 2 -- นายเป็นเด็กผู้หญิงเหรอ? (22/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 22-05-2019 19:35:37
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 2 -- นายเป็นเด็กผู้หญิงเหรอ? (22/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-05-2019 21:09:09
เด็กผู้ชาย​มักจะชอบแกล้งคนที่ชอบนะ
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 2 -- นายเป็นเด็กผู้หญิงเหรอ? (22/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: nisaday ที่ 23-05-2019 00:59:10
 อ๋ออออออออออ
ที่แท้ก็กัดกันมาตั้งแต่ป.1
ฉายาลูกหมามือเปื้อนเลือกไม่น่าจัวเลยอ่ะล้งเล้ง
น่าเอ็นดูววววว
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 2 -- นายเป็นเด็กผู้หญิงเหรอ? (22/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Jiraapp ที่ 25-05-2019 14:00:27
ล้งเล้งนี่ล้งเล้งจริง ๆ เลย ทะเลนี่เห็นล้งเล้งน่ารักตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วมั้ง เด็กผช.ชอบแกล้งคนที่ชอบนี่ท่าจะจริง
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 2 -- นายเป็นเด็กผู้หญิงเหรอ? (22/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 25-05-2019 23:01:05
ทะเลจีบมาตั้งแต่เด็กนี่เอง,,,
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 3 -- คนอย่างมึงจะเข้าใจอะไร! (29/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: babybaphomet ที่ 29-05-2019 16:15:52
2nd Wednesday (Last Half)
#รักไม่คาดคิดในวันพุธ

ถ้าหากว่าต่างคงต่างแยกย้ายกันไปล่ะก็ ล้งเล้งคงจะลืมๆ ไอ้ตัวเท่าแป้นบาสนั่นไปได้ง่ายๆ เหมือนกับการ์ตูนที่เคยตื่นมาดูสมัยประถม หากแต่ชีวิตเขาไม่ได้ดีขนาดนั้น

มัธยมสี่

ล้งเล้งเพิ่งพบเจอกับอาการอกหักครั้งแรกของชีวิต

หากย้อนกลับไปช่วงมัธยมต้นแล้วล่ะก็ เด็กผู้หญิงที่ยอมคุยกับเขามีเพียงจำนวนหยิบมือ ซึ่งในบรรดานั้น คนที่เขาคุยด้วยมากที่สุดก็คือ ‘เอิน’

เอินเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กกว่าล้งเล้ง ตอนที่เขาไม่ได้คิดอะไรเอินก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิงเรียนเก่งธรรมดา แต่พออยู่มาวันหนึ่ง จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าเพื่อนที่นั่งเรียนข้างกันน่ารักขึ้นมาเสียอย่างนั้น กว่าจะรู้ตัว เพลงรักทุกเพลงในตอนนั้นก็มีหน้าของเอินลอยมาแทนที่นางเอกเอ็มวีเสียแล้ว

ล้งเล้งตกหลุมรักเอินเข้าเต็มเปา

เขาตั้งใจเรียนมากขึ้นเพราะเอินบอกว่าชอบคนเรียนเก่ง การต่อยตีก็ลดลงเพราะเอินบ่น (แต่ยังไม่เลิกเด็ดขาด เพราะล้งเล้งเชื่อว่ามันเป็นวิถีของลูกผู้ชาย) ล้งเล้งพยายามเล่นบาส ร่วมทำงานและกิจกรรมต่างๆ ของห้อง ทำทุกอย่างที่เขาคิดว่าจะทำให้เอินหันมามองได้ อย่างน้อยถึงแม้จะไม่ได้เป็นแฟนกัน แต่เขาอยากให้เอินจดจำล้งเล้งในภาพลักษณ์ของเพื่อนผู้ชายที่ดีเอาไว้

ตอนจบมอสาม ล้งเล้งจำได้ว่าตัวเองดีใจจนแหกปากโวยวายเสียงดังเมื่อเอินชวนไปเที่ยวดรีมเวิลด์ด้วยกันในวันหนึ่งของปิดเทอมขึ้นมอสี่ ตู้เสื้อผ้าถูกรื้อออกมาเพื่อที่ล้งเล้งจะได้เสื้อตัวที่ใส่แล้วหล่อที่สุดไปหาเอิน เดทในฝันของเขากับเอินจะเกิดขึ้นจริงแล้ว!

ชีวิต มักไม่เป็นอย่างที่คิดไว้

เดทในฝันพังทลายเมื่อพบว่าที่ดรีมเวิลด์ไม่ได้มีเพียงแค่เขากับเอินแค่สองคน

พอมาถึงที่ดรีมเวิลด์ ล้งเล้งเจอเพื่อนต่างห้องสองสามคนรออยู่แล้ว เขาถึงได้รู้จากปากเอินว่าอันที่จริงแล้วเอินอยากมาเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนต่างห้องแต่ตัวเองมาคนเดียว เลยชวนล้งเล้งมาเป็นเพื่อนด้วยเฉยๆ เด็กหนุ่มจำได้ว่าตัวเองส่งยิ้มแห้งให้กับเอินเมื่อได้รู้ความจริงจากปากของเด็กสาว ถึงแม้ว่าเพื่อนจะขอโทษขอโพยเขาหลายครั้ง แต่มันก็ยังรู้สึกแปลกๆ อยู่ดี

ดรีมเวิลด์วันนั้นเหมือนตลกร้าย เดทที่เขาละเมอไปเองคนเดียวไม่มีอยู่จริง

พวกเขาสี่ห้าคนเล่นเครื่องเล่นกันจนเย็น ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน เอินมีคุณพ่อมารับ ตัวเขาเจ๊กิ๊กมารับ เพื่อนคนอื่นบ้างก็มีผู้ปกครองมารับ บ้างก็กลับเอง มีเพียงแค่เต้ หนึ่งในเพื่อนต่างห้องที่ไปด้วยวันนั้นคนเดียวเท่านั้นที่ขอติดรถเขากลับไปด้วย ตัวล้งเล้งเองก็เห็นว่าทางเดียวกันเลยไม่ได้ว่าอะไร ปล่อยให้เต้นั่งอยู่เบาะหลัง ส่วนเขาก็ทะเลาะกับเจ๊กิ๊กไปตลอดทาง

หลังจากดรีมเวิลด์วันนั้น เขาก็ไม่ได้คุยกับเอินอีกเลยจนกระทั่งเปิดเทอมชั้นมัธยมสี่

ล้งเล้งตัดสินใจเรียนต่อที่โรงเรียนเดิม เหมือนกับเอิน ทะเล แล้วก็เพื่อนคนอื่นๆ อีกหลายคน ครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งแรกที่เขาได้อยู่คนละห้องกับทะเล มันไปอยู่ห้องคิง ส่วนตัวเขาอยู่ห้องควีน ซึ่งเป็นห้องเดียวกับเอิน

ตอนที่รู้ว่าตัวเองได้ห้องนี้เหมือนเพื่อนสนิทเขาดีใจแทบตาย คิดว่าครั้งนี้ก็คงนั่งเรียนด้วยกันเหมือนกับเมื่อสามปีที่ผ่านมา แล้วมันอาจจะมีสักวันที่เขาจะหาช่วงเวลาดีๆ สารภาพความรู้สึกกับอีกคนออกไป แต่พอวันเปิดเทอมวันแรก ความรักของเด็กชายวัยมัธยมกลับทำตัวแปลกไป

เอินทำเป็นไม่รู้จักเขา

ล้งเล้งจำได้ว่าตัวเองโคตรงง เขาไม่เข้าใจ ตอนแรกเขาคิดในแง่ดีว่าเพื่อนสนิทอาจจะมองไม่เห็น หรือไม่แน่ใจว่าเขาคือล้งเล้งใช่มั้ย เขาไม่ได้สูงขึ้นกว่าเดิมเท่าไหร่ แต่อาจจะหล่อขึ้นหรือเปล่าเพื่อนเลยจำไม่ได้

แต่จนแล้วจนรอด ล้งเล้งก็มั่นใจว่าเอินตั้งใจทำเป็นเหมือนกับไม่รู้จักเขาจริงๆ ถึงจะไม่อยากยอมรับนักก็ตาม

เด็กหนุ่มปล่อยให้ความสงสัยเรื่องของเพื่อนต่างเพศอยู่กับเขาเพียงแค่ไม่กี่วัน เมื่อความอยากรู้ที่กดทับไว้มันระเบิดออกมา เขาสบโอกาสเขาจึงถามเพื่อนสนิทไปตรงๆ ช่วงพักเที่ยงของวันพุธที่พวกเราเดินสวนกันในโรงอาหาร

บทสนทนาในวันนั้นยังคงติดอยู่ในใจเขาจนถึงตอนนี้

‘เราไม่อยากเป็นเพื่อนกับล้งเล้งแล้ว’
‘เฮ้ย ทำไมอ่ะเอิน? เราขอโทษ เอินโกรธอะไรเรา? เราทำอะไรผิดบอกเราดิ’
‘ล้งเล้งจำวันที่ไปเที่ยวกันตอนมอสามได้มั้ย? เราชวนล้งเล้งไปเพราะว่าเต้เอาแต่ถามถึงล้งเล้ง แถมเอาเพื่อนมาด้วยเพราะคิดว่าล้งเล้งอาจจะไม่มา ความจริงเราอยากไปกับเต้แค่สองคน’
‘...’
‘เราสารภาพรักกับเต้ แต่เต้ไม่ได้ชอบเรา’
‘...’
‘เต้ชอบล้งเล้ง’
‘ให้เราไปต่อยมันมั้ย? มันทำเอินร้องไห้’

ล้งเล้งได้ยินเสียงตัวเองถามออกไป ทั้งที่ตัวเขาแทบจะไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว

‘ล้งเล้งยังไม่เข้าใจอีกเหรอ? เรารู้สึกแย่ทุกทีที่เห็นหน้าล้งเล้ง’

ใบหน้าของเด็กผู้หญิงที่น่ารักที่สุดในสายตาของเขามีน้ำตานองหน้า ในขณะที่ล้งเล้งยื่นมือออกไปหมายจะเช็ดน้ำตาให้ อีกฝ่ายกลับเบี่ยงตัวหลบ

‘คนที่เราชอบ ดันไปชอบแกอ่ะ แกจะให้เรามองหน้าแกติดได้ยังไง?’
‘แต่เราไม่ได้ชอบมัน...เราชอบเอิน’


เอินเงียบไปหลังจากที่ได้ยิน แววตาของเธอไม่มีท่าทีตื่นตระหนก คล้ายกับเรื่องที่เขาพูดไปเป็นเพียงสิ่งที่เธอรับรู้อยู่แล้ว เอินนิ่งเงียบไปเพียงพักเดียว ก่อนจะพูดต่อ

‘ขอโทษนะ แต่เลิกชอบเราเถอะ เราไม่มีวันชอบล้งเล้งได้หรอก’
‘เพราะไอ้เต้เหรอ?’
‘ต่อให้ไม่มีเต้ หรือไม่มีใครเลย เราก็ไม่มีทางชอบล้งเล้ง’
‘...’
‘ล้งเล้งอาจจะไม่เคยรู้ แต่ก่อนหน้าที่จะชอบเต้ เราแอบชอบเพื่อนในห้องคนนึง เราโดนปฏิเสธมาด้วยเหตุผลเดียวกับของเต้เลย ’
‘...’
‘คนที่เราชอบสองคน ชอบล้งเล้งทั้งคู่เลย’


นอกจากจะโดนผู้หญิงที่ชอบปฏิเสธ ยังต้องมารับรู้ว่ามีตัวผู้แอบชอบตัวเองอีกเหรอ?

‘ล้งเล้งเคยเป็นเพื่อนที่ดีของเรานะ’
‘...’ เคยเป็น… อย่างงั้นหรือ?
‘แต่ถ้าให้เป็นแฟน เราไม่ได้ชอบผู้ชายที่หน้าตาเหมือนผู้หญิงแบบล้งเล้ง’
‘...’
‘ล้งเล้งน่ารักเกินไป ตัวเล็ก เหมือนผู้หญิงมากเกินไป เราคบกับล้งเล้งไม่ได้หรอก ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากคบเป็นแฟนกับคนแบบล้งเล้งด้วย’
‘...’
‘จำไว้นะล้งเล้ง … บนโลกนี้ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากได้แฟนที่หน้าตาน่ารักกว่าตัวเองหรอก’


โคตรเจ็บเลย

เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าในคาบบ่ายเรียนอะไรไปบ้าง หูอื้อไปหมด รู้ตัวอีกทีคือตอนเย็นที่เป็นเวรทำความสะอาดห้อง ล้งเล้งต้องเป็นคนเอาขยะไปทิ้ง คล้ายกับคนที่หมดแรง หลังจากที่เทขยะเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขายืนจ้องถังขยะโง่ๆ ของโรงเรียนอยู่สักพัก มีความคิดบ้าบิ่นวิ่งไปวิ่งมาในหัวมากมาย แต่สุดท้ายเขาก็ไม่มีแรงแม้แต่จะทำอะไร

เด็กหนุ่มพาร่างแห้งเหี่ยวของตัวเองไปนั่งตรงซอกบันไดขึ้นตึก ที่ ณ ขณะนั้นปราศจากเด็กนักเรียนเพราะเลยเวลาเลิกเรียนไปนานมากแล้ว

“เฮ้อ”

เด็กหนุ่มทำเพียงแค่ถอนหายใจออกมา แทนความคิดวุ่นวายในหัว เขาไม่รู้ว่าการอกหักหรือสิ่งที่หญิงสาวตอกหน้าในความจริงที่เขาปฏิเสธมาตลอดมันเจ็บปวดกว่ากัน

เขาหน้าเหมือนเด็กผู้หญิง

เอินไม่ใช่คนแรกที่พูดเรื่องนี้ ล้งเล้งรู้ตัวมาตลอด หลายคนมักพูดกับเขา ตอนไปข้างนอกก็เคยมีผู้ชายเดินเข้ามาขอเบอร์ แต่เขาไม่ได้ชอบผู้ชาย การเป็นเกย์ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่ตัวเขาชอบผู้หญิง มันแค่นั้นเลยจริงๆ 

ซึ่งตอนนี้ ผู้หญิงที่เขาชอบปฏิเสธเพราะว่าเขาดันหน้าตาน่ารักเกินไป

โลกนี้แม่งคือเหี้ยอะไรวะ?

ล้งเล้งเกลียดหน้าตาตัวเอง เกลียดความตัวเตี้ยของตัวเอง เขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองดูแมนขึ้น ทั้งเสื้อผ้า พยายามเล่นกีฬา ทำทุกอย่างแล้วแต่สุดท้ายเอินก็ปาความจริงอันเจ็บปวดใส่หน้าว่าตัวเขายังคงเป็นเหมือนเดิม

‘จำไว้นะล้งเล้ง … บนโลกนี้ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากได้แฟนที่หน้าตาน่ารักกว่าตัวเองหรอก’

ถ้าเลือกเกิดได้ เขาเองก็คงไม่เลือกมามีหน้าตารูปร่างแบบนี้หรอก

“โรงเรียนไม่อนุญาตให้พาหมามาเดินเล่นหลังเวลาเลิกเรียน”

เสียงยานคางที่พูดขึ้นมา พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นมาจากด้านหลังดึงเด็กหนุ่มออกมาจากภวังค์ของตัวเอง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครที่ปากแกว่งตีนแบบนี้ คนที่เขาเกลียดขี้หน้ามาตั้งแต่จำความได้

ไอ้เหี้ยทะเล

“เอ้า ลูกหมาทำไมเงียบ”
“...”
“กระดูกมั้ย?”
“ว่างก็ไปตาย กูไม่เล่น”
“ทำไมยังไม่กลับบ้าน?”

ทะเลวัยมัธยมสี่เมินคำด่าของเขา พร้อมทั้งพูดสวนกลับมาด้วยคำถามปัญญาอ่อนตามแบบฉบับกวนตีนตามสไตล์ของมัน หากนี่เป็นล้งเล้งในยามปกติ เด็กหนุ่มเลือดร้อนคงกระชากคอเสื้อขึ้นมาต่อยสักหมัดสองหมัดให้มันไม่มีปากจะพูดไปสองสามวัน

แต่ตอนนี้เขาไม่มีแม้แต่แรงมากพอที่จะพาตัวเองกลับขึ้นไปบนห้องเรียนด้วยซ้ำ

“เสือก”
“โมโหหิวเหรอ?”
“กูบอกว่าไม่เล่นไงไอ้เหี้ย ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง?!”

ล้งเล้งหันหลังกลับไปตวาดอีกคน แววตาวาวโรจน์ด้วยอารมณ์โกรธและเสียใจไหลวนอยู่ในนั้น ทะเลที่ยืนอยู่บนบันไดเหนือจากล้งเล้งไปสามสี่ขั้นไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา เด็กหนุ่มห้องคิงเพียงแค่ยืนนิ่ง ใบหน้าเรียบนิ่งที่คิ้วขมวดคล้ายกับกำลังคิดอะไรอยู่ตามแบบฉบับของเจ้าตัวที่ล้งเล้งเห็นจนชินตา

บนไหล่ของทะเลมีกระเป๋าเป้ของโรงเรียนสะพายอยู่คล้ายกับคนที่เตรียมจะกลับบ้าน ซึ่งตอนนี้ล้งเล้งก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันจะมาวุ่นวายกับเขาทำไม กลับบ้านกลับช่องมึงไปสิไอ้เวรเอ๊ย

“หิวก็กลับบ้าน อยู่ทำไมเย็นๆ”
“เสือก!”
“หิวเหรอตกลง?”
“อย่ามายุ่งกับกู”

เมินทุกคำต่อว่าจากเพื่อนสมัยเด็ก ทะเลหรี่ตามองล้งเล้งเหมือนกับคนสายตาสั้นที่ไม่ยอมใส่แว่นแล้วเพ่งกระดานดำหน้าห้องเรียน ก่อนที่จะเดินลงมานั่งข้างๆ กับเด็กห้องควีนที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งล้งเล้งจำใจต้องเขยิบหนีออกไปโดยอัตโนมัติ เพราะอีกคนทำท่าจะนั่งทับตัวเขาถ้ายังคงไม่ลุกหนี

แล้วถ้าพูดกันตามตรงแบบไม่อาย ล้งเล้งคิดว่าตัวเองไม่มีปัญญาผลักอีกคนออกไปจากตักแน่นอน ถ้าลองมันล้มตัวลงมาทับแล้วน่ะนะ

ในใจของล้งเล้งเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง คนเพิ่งจะถูกหักอกมา ยังเจอหมามากวนส้นตีนอีก วันนี้เวรกรรมอะไรของเขานักหนาวะเนี่ย

“ทำไมทำหน้าตาบู้บี้แบบนี้?”
“เสือก!”

ทะเลยังคงไม่ลุกไปไหน นั่งทำหน้านิ่งกวนส้นตีนอยู่ข้างๆ เขาเหมือนกับถูกตั้งโปรแกรมมาให้ทำแบบนั้น ตอนนี้ล้งเล้งได้มีโอกาสมองหน้าอีกฝ่ายอย่างเต็มที่ ทะเลในวัยนี้โตกว่าภาพจำที่เขามีอยู่มากโข หน้านิ่งของมันยังคงนิ่งเหมือนเคยไม่มีเปลี่ยน เพียงแต่กรอบใบหน้าดูชัดขึ้น คิ้วดูเข้มขึ้น เหมือนจะมีไรหนวดเล็กน้อย

เชี่ยอะไรของมันวะ ทำไมมันถึงได้ดูหน้าตาดีขึ้นได้ขนาดนี้ ในขณะที่เขาเพิ่งโดนหักอกเพราะน่ารักเกินไปมาเนี่ยนะ?! 

ตอนนี้ล้งเล้งไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำสีหน้าอย่างไรอยู่ แต่มันคงแย่มาก เขารู้สึกเหมือนพร้อมที่จะร้องไห้ออกมาตลอดเวลา ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่ล้งเล้งก็ไม่อยากให้ใครเห็นว่าเขาร้องไห้  โดยเฉพาะถ้าคนคนนั้นคือไอ้เหี้ยทะเลนี่!

“ออกไป กูจะนั่งคนเดียว”

เด็กหนุ่มไล่คนที่เขาเรียกว่า ‘ไอ้เหี้ยทะเล’ อีกครั้ง แต่คู่สนทนาก็ยังคงทำเหมือนหูทวนลมตามเคย

“มึงเป็นไร?”
“กูไม่ได้เป็นอะไร”
“โกหก”
“เสือก”

ทะเลไม่ได้พูดอะไรออกมาเพิ่มเติม เด็กหนุ่มอีกคนทำเพียงแค่นั่งอยู่ข้างๆ ล้งเล้งอย่างเงียบๆ นั่งมองถังขยะสีฟ้าข้างหน้าเป็นเพื่อนเขา ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร แต่ล้งเล้งไม่มีแรงในการจะขยับตัวลุกหนีออกไป ในขณะที่เขานั่งก้มหน้าเช็ดน้ำตาที่มันพร้อมจะไหลทันทีที่อ้าปากเอ่ยอะไรออกมา   

“มึงเป็นไร?”
“กูบอกว่าไม่ได้เป็นอะไร”
“อืม”

มันพูดแค่นั้นแต่ยังไม่ลุกไปไหน ส่วนเขาก็ยังไม่อยากลุกเช่นเดียวกัน ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจจะร้องไห้ แต่น้ำตาโง่ๆ นี่แม่งไม่หยุดไหลสักที เรื่องราวที่เขาเจอมาในวันนี้มันหนักหนาเกินไปสำหรับเด็กมอสี่ที่เพิ่งจะมีความรักครั้งแรก แล้วก็เพิ่งจะพบเจอกับการปฏิเสธความรู้สึกครั้งแรกในชีวิตเช่นเดียวกัน

เด็กหนุ่มมอสี่ทั้งสองนั่งอยู่แบบนั้นจนกระทั่งฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี ตอนนี้ล้งเล้งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพื่อนในห้องมันยังอยู่กันหรือเปล่า หรือล็อกประตูห้องแล้วลืมเขากับถังขยะเอาไว้แล้ว ช่างแม่งทั้งหมด ตอนนี้เขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้นอีกแล้ว

“มึงเป็นไร?”
“โอ้ย มึงสิเป็นเหี้ยอะไรเนี่ย!  ยุ่งกับกูทำไมนักหนา!”

คนที่กำลังเล่นเอ้มวีอกหักถึงกับต้องเบรกมาด่าคนที่นั่งข้างๆ ด้วยความหงุดหงิด เด็กหนุ่มไม่เข้าใจว่ามันทำไมนัก

“ยุงกัด”
“กลัวยุงกัด มึงก็กลับบ้านมึงไป”
“กลับด้วยกันดิ”

ทะเลพูดด้วยเสียงยานคางเรียบนิ่งตามสไตล์ ล้งเล้งยอมเงยหน้าขึ้นมาจากเข่าที่เขาก้มลงไปร้องไห้เมื่อครู่ ตอนนี้มันไม่มีอารมณ์พระเอกเอ็มวีอกหักหลงเหลืออยู่แล้ว มีแต่วิญญาณบัวขาวที่อยากต่อยคนจนน็อกเข้ามาสิงแทน

มันทำไมนักหนา!

“เป็นเหี้ยอะไรกับกูเนี่ย ยุงกัดมึงก็แค่กลับบ้านไป!”
“ยุงกัดมึงด้วย กลับกัน”

บางทีเขาก็คิดว่าไอ้เหี้ยนี่มันอาจจะเป็นมนุษย์ต่างดาวที่ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง

“ถามจริง มึงเป็นอะไรกับกูเนี่ย?”

ล้งเล้งหันไปมองหน้ามันเต็มตาอีกครั้ง ใบหน้าน่ารักมีความไม่พอใจให้เห็น ทะเลยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่งเหมือนเคย เพียงแค่คิ้วของอีกฝ่ายเท่านั้นที่ขมวดมุ่นเหมือนกับรำคาญใจในอะไรบางอย่าง

มันจะไม่ยินดียินร้ายกับอะไรหน่อยหรือไง หน้านิ่งไปไหน น่ารำคาญ!

“เป็นคนที่อยากกลับบ้านแล้ว ไปเร็วๆ ไอ้ลูกหมา ยุงกัดเต็มขาแล้ว”
“ลูกหมาที่หน้ามึงอ่ะไอ้เหี้ย!”
“ที่หน้ามึงไม่ใช่หน้ากู
“ไอ้เหี้ย!”

ล้งเล้งด่าคนข้างๆ อย่างไม่สบอารมณ์ เขาหงุดหงิดจนแทบจะบ้าอยู่แล้ว

“กลับบ้านกัน เร็วไอ้ลูกหมา”
 “จ้างเท่าไหร่เลิกวอแวกูวะถามจริง กูรำคาญ”
“หมื่นห้า ค่าแรงขั้นต่ำ”
“แพงไป เอาไปทำไรเยอะแยะ”
“ทำแผลตอนโดนมึงชก”
“ไอ้สัตว์เอ๊ย”

เด็กหนุ่มด่าคนข้างกายแค่นั้น ก่อนจะลุกขึ้นยืนปัดฝุ่น พอได้มีความรู้สึกกลับมาอีกครั้ง เขาก็เพิ่งรู้สึกจริงๆ ว่าตอนนี้ยุงเยอะมาก ไอ้ยุงเวรนี่ มันน่าตบตายให้หมด! ตอนนี้ล้งเล้งยืนเต็มความสูง เขากำลังคิดว่าจะเอาถังขยะที่ถือติดมือมาทิ้งขึ้นไปเก็บบนห้อง เด็กหนุ่มหน้ามุ่ยด้วยความหงุดหงิดเมื่อรู้สึกไม่สบายตัว

ยุงเวรนี่จะกัดทั้งแขนทั้งขาเลยหรือไง!
 
“ลูกหมา จะไปไหน?”
“เสือก!”

ครั้งนั้นอาจจะเป็นวันแรกที่เขาไม่ได้เกลียดมันมากเท่าไหร่ อันที่จริง กลุ่มก้อนในจิตใจตอนนี้มันคือความไม่เข้าใจมากกว่า จะมานั่งทำตัวกวนส้นตีนทำไม หรือเพราะเห็นว่าเขากำลังอยู่ในช่วงเวลาตกต่ำของชีวิตมันเลยมานั่งโดนยุงกัดเป็นเพื่อน?

จะอะไรก็ช่าง ถือว่าวันนี้มันรอดไปที่เขาอกหักนะ ถ้าครั้งหน้ามีแบบนี้อีกสัญญาด้วยเกียรติของล้งเลยว่าจะซัดมันจนกว่าฟันจะโยก! ไอ้เหี้ยทะเล ไอ้สูง ไอ้เรียนเก่ง ไอ้เวรเอ๊ย! 

เป็นบ้าอะไรเรียกคนอื่นลูกหมาๆ อยู่ได้

น่ารำคาญ!

 
.
.
.

------- Wednesday In Class -------
[/b]
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 3 -- คนอย่างมึงจะเข้าใจอะไร! (29/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: babybaphomet ที่ 29-05-2019 16:17:36

มัธยมหก

“ล้งเล้งมึงจะเรียนพิเศษจนอ้วกออกมาเลยหรือไงวะ?”

เพื่อนในโรงเรียนคนหนึ่งทักล้งเล้งตอนที่บังเอิญเดินเจอกันที่ตึกเรียนพิเศษชื่อดังแถวพญาไท ซึ่งล้งเล้งที่เพิ่งจะออกจากห้องเรียนคณิตศาสตร์กะพริบตาปริบๆ ทำหน้าเมาสูตรตอบกลับไป

เขาไม่รู้จะตอบอะไร เพราะก็เรียนเยอะจริงๆ 

ถึงแม้ช่วงมัธยมต้นล้งเล้งจะไม่ได้สนใจเรียนมากนัก เรียกได้ว่าเกเรเสียด้วยซ้ำ มีเรื่องต่อยตีไม่เว้นวัน โดดเรียนไปเล่นเกมบ้าง ต่อยกับพวกเด็กห้องอื่นบ้าง เรียกได้ว่าสนิทกันดีกับอาจารย์ปกครองเลยก็ว่าได้

ทุกชีวิต มีจุดเปลี่ยน

การชกต่อยที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตของเขาเกิดขึ้นเมื่อช่วงมัธยมสอง เขาจำได้ว่าเฮโลไปกับเพื่อนแก๊งหลังห้องที่ไปหาเรื่องคู่อริ สุดท้ายถูกจับได้และพาตัวเข้าห้องปกครองยกกลุ่ม เรื่องใหญ่ระดับที่ว่าเขาและเพื่อนๆ จะถูกเชิญให้ออกจากโรงเรียน เจ๊กุ๊กกิ๊กที่มักจะรับหน้าเป็นผู้ปกครองให้ตลอดอยู่ในช่วงสอบพอดี คนที่มาหาอาจารย์วันนั้นจึงเป็นแม่ของเด็กหนุ่ม

แม่ร้องไห้

แม่ร้องไห้เสียจนจะขาดใจ ท่านเพิ่งจะรู้ตอนนี้เองว่าเขาเป็นเด็กเกเรขนาดไหน ตามปกติแล้วแม่ดูเพียงแค่ผลการเรียนที่เขาสามารถทำมันได้ดี และฟังเรื่องราวในรั้วสถาบันการศึกษาผ่านคำบอกเล่าของเขาเพียงอย่างเดียว ท่านจึงเชื่อมาตลอดว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเป็นเพียงแค่เด็กซนๆ แต่ตั้งใจเรียนคนหนึ่งเท่านั้น

ภาพของมารดาที่มาทำเรื่องขอให้เขาได้เรียนต่อทำให้เด็กหนุ่มตระหนักได้ เขาเบรกเส้นทางเกเรของตัวเองตั้งแต่ตอนนั้น เพื่อนยังคบอยู่หากแต่ไม่ไปสุงสิงกับพวกมันแล้ว โทษพักการเรียนหนึ่งสัปดาห์ และสายตาผิดหวังของครอบครัวนั้นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ล้งเล้งอยากให้มันเกิดขึ้นซ้ำสอง

เขาจะเป็นคนใหม่

หลังจากนั้นมาล้งเล้ง (พยายาม) ไม่ไปมีเรื่องแบบเดิมอีก เรื่องการเรียนตามปกติแล้วเขาไม่ได้มีปัญหาอะไร อยู่ในระดับกลางๆ ของห้อง เมื่อมีเวลามาสนใจมันมากขึ้น ทำให้ผลการเรียนของเขากระโดดขึ้นสู่จุดสูงสุดของมัธยมต้น ตอนนั้นเองที่เด็กหนุ่มได้เรียนรู้แล้วว่าอันที่แท้จริง ตัวเองควรจะทำอะไร

พอขึ้นมัธยมปลาย เส้นทางชีวิตเริ่มชัดเจนมากขึ้น

เพื่อนกลุ่มเดิมบางส่วนก็แยกย้ายกันไปโรงเรียนอื่น บางส่วนก็เลือกเรียนคนละแผนการเรียน ทำให้มีเพียงแค่ล้งเล้งคนเดียวที่อยู่ห้องวิทย์-คณิต เพราะว่าที่บ้านบอกว่าดี ซึ่งตัวเองก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับมัน เพราะว่าลุ่มๆ ดอนๆ มาถึงสองปี เมื่อรวมผลการเรียนแล้ว เขาจึงได้อยู่เพียงแค่ห้องควีนเท่านั้น

เรื่องดีที่สุดของมันคือเขาอยู่คนละห้องกับทะเล

เรื่องที่แย่… ไอ้เหี้ยทะเลคนนั้น อยู่ในจุดสูงกว่าเขาจนก้าวตามไปไม่ทัน 

กว่าจะรู้ตัว ทะเลคนนั้นก็เป็นหัวกะทิของโรงเรียนไปเสียแล้ว เขามักจะได้ยินชื่อจริงของมันประกาศหน้าเสาธงในตอนเช้า มักจะได้ยินครูพูดสรรเสริญมัน (และเพื่อนๆ ในห้องคิงของมัน)  ให้ฟังอยู่เป็นนิจ หากถ้าพูดด้วยความสัตย์จริง ล้งเล้งไม่ได้รู้สึกประหลาดใจในความอัจฉริยะของมันขนาดนั้น เด็กหนุ่มรับรู้มาตั้งแต่ประถมแล้วว่าทะเลเรียนเก่ง กิจกรรมก็ดี กีฬาก็เล่นได้ เป็นหัวหน้าห้องตอนประถมช่วงปลายๆ ส่วนตอนมัธยมก็ได้เป็นหัวหน้าสามปีมอต้น เป็นตัวแทนไปสอบนอกโรงเรียนก็บ่อย

จนกระทั่งตอนนี้ ทะเลก็ยังคงเป็นที่หนึ่งของระดับชั้นมอหกในเกือบทุกวิชา

นึกแล้วก็หงุดหงิด คนเหี้ยอะไรวะแม่ง สมองเลี่ยมทองหรือไง

ส่วนล้งเล้งน่ะหรือ? ในบางวิชาไม่ตกมีนห้องเขาก็ถือว่าตัวเองเก่งแล้วล่ะ!

สามปีมอปลายนั่นทำให้เขารู้เลยว่าตัวเองไม่ได้เก่งวิทย์มากเท่ากับที่คิดไปเอง ชีวะคาบแรกแทบทำให้เขาเป็นบ้า แต่เมื่อเลือกมาทางนี้แล้วล้งเล้งจะถอยไม่ได้ เด็กหนุ่มจึงทุ่มเวลาทั้งหมดไปที่การลงเรียนพิเศษ หาติวเตอร์จากทุกที่ที่คิดว่าจะช่วยให้เขาได้เกรดดีมากขึ้น อาจจะถือเป็นโชคดีที่ที่บ้านไม่ได้มีปัญหาในการส่งเข้าสถาบันกวดวิชาเท่าไหร่ แม่ถึงกับตื้นตันจนน้ำตาไหลเมื่อเขาบอกว่าอยากเรียนพิเศษวิชาคณิตเพิ่มเติม เพราะอาจารย์ในห้องสอนไม่เข้าใจ

เป้าหมายแท้จริงที่เขากัดฟันทำทุกอย่าง ก็เพื่อที่จะเข้ามหาลัย C 

บ้านล้งเล้งเองก็เหมือนครอบครัวใหญ่เชื้อสายจีนทั่วไป ทุกวันสำคัญของปี บรรดาญาติๆ ของเขาก็จะมารวมตัวกัน  พร้อมกับอวดอ้างสรรพคุณของลูกหลานในบ้านตัวเอง เขาได้ยินจนเบื่อ ทุกคนต่างเรียนมหาลัยที่ดี มีหน้าที่การงานมั่นคง มันเลยเป็นจุดที่หล่อหลอมให้เขามองความสำเร็จของการศึกษามัธยมไว้ที่การได้เข้ามหาลัยชั้นนำ

ญาติสนิทของตัวเด็กหนุ่มเองก็ไม่ต่างกันมากนัก เจ๊กุ๊กกิ๊กก็สามารถสอบ SMART WIN จนเข้าคณะบัญชีของมหาวิทยาลัย T ที่มีชื่อเสียงได้ ลูกพี่ลูกน้องที่สนิทกันอย่างพี่ซุกซนก็เข้ามหาลัย T คณะบัญชีได้ด้วยการแอดมิชชั่น รวมถึงลูกพี่ลูกน้องหลายๆ คนที่เรียนมหาลัยรัฐดังๆ กันทั้งนั้น

ล้งเล้งจะต้องเป็นหนึ่งในนั้นให้ได้ เขาจะต้องติดมหาลัย C ให้ได้!

“เออ ก็มันต้องเรียนว่ะ” เขาพูดตอบเพื่อนต่างห้องไป พลางคิดว่าตอนบ่ายต้องไปเรียนอะไรต่อ “กูอยากติดม. C”
“เชี่ย ถามจริง?”
“เออ”
“คะแนนสูงตายห่า”
“ก็เออไง กูถึงได้กัดฟันเรียนจนจะฝันเห็นครูสมศรีอังกฤษอยู่แล้วเนี่ย ท่องได้หมดแล้วแม่ง”
“มึงเรียนโหดจริงๆ นะ พักบ้างเหอะเดี๋ยวเส้นเลือดในสมองแตก…  กูไปละ จองตั๋วหนังไว้”

ที่มันพูดไม่ได้เกินจริงเลย ล้งเล้งถือว่าเป็นหนึ่งในคนที่มีตารางเรียนพิเศษแน่นที่สุดในห้อง เขาเรียนจันทร์ถึงศุกร์ช่วงหลังเลิกเรียนจนถึงสี่ทุ่ม พอเสาร์อาทิตย์ก็เรียนต่อทั้งวัน เด็กหนุ่มเรียนทุกวิชา ลงทุกสถาบันเท่าที่จะทำได้ ขนาดเพื่อนในห้องหลายคนที่เป็นสายตระเวนเรียนพิเศษเหมือนกันยังมองเขาแบบทึ่งๆ เมื่อเห็นว่าเขาลงเรียนอัดแน่นขนาดไหน

เรียนทุกวิชา เรียนให้ตายก็ได้ จะอ้วกออกมาเป็นพันธะเคมีอาจารย์มุ๊ก็ได้ แต่เขาจะต้องติดมหาลัย C!

22.00 น.

เขายืนหมุนไปมาอยู่ในร้าน 7-11 หน้าปากซอยบ้านอย่างเบลอๆ วันนี้เขาเรียนชดเชยที่ป่วยไข้ขึ้นไปเรียนไม่ได้เมื่อสัปดาห์ก่อน แถมวันนี้ก็มีทั้งเรียนเคมี คณิต สังคม เพิ่มเติมมาอีก เขาคิดว่าถ้าวันนี้ไม่โดดเรียนอังกฤษอีกเทป จะต้องอ้วกออกมาเป็นหน้าอาจารย์สถาบันกวดวิชาแน่นอน

ล้งเล้งยืนมองตู้แช่ที่วางไส้กรอก แฮม แซนด์วิช มองเลยไปจนถึงบรรดาโยเกิร์ตต่างๆ อย่างไม่รู้จะกินอะไร นมนี่ตัดทิ้งไปเลย ตอนเด็กๆ เด็กหนุ่มเคยอัดนมแกลลอนในครั้งเดียวด้วยความหวังว่ามันจะสูงขึ้น ผลสรุปคือเขาอ้วกแตกอ้วกแตน เข้าโรงพยาบาล หลังจากนั้นก็เลยขยาดนมวัวไปเลย นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่เขาไม่สูงสักที ตัวไม่ต่างจากตอนมอต้นเลย แม่งเอ๊ย

เด็กหนุ่มมองไปมาอีกครั้ง ความรู้สึกที่ว่าหิวแต่ไม่รู้จะกินอะไรดีนี่มันน่าหงุดหงิดชะมัด 

“ไอ้ลูกหมา ยืนขวางทางทำไม?”

เสียงยานคางคุ้นเคยทางด้านหลังนั่นไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร เด็กหนุ่มกลอกตาถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างไม่สนใจว่าคนข้างหลังจะรู้สึกอย่างไร  ตลอดชีวิตสิบแปดปีที่ผ่านมา มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีเสียงยานคางน่ารำคาญแบบนี้

มึงอีกแล้วไอ้ทะเล มึงตลอด!

อยู่ทุกที่ในจักรวาล น่ารำคาญเหมือนเชื้อราข้างฝาบ้าน!

“กูไม่ใช่ลูกหมา!”

ล้งเล้งพูดกับผู้มาใหม่ แววตาเต็มไปด้วยความหงุดหงิด หน้าตาบึ้งตึงแสดงอารมณ์ของเด็กหนุ่มออกมาได้เป็นอย่างดี ซึ่งทะเลรับฟังด้วยใบหน้านิ่งเรียบเหมือนกับปกติ เด็กหนุ่มตัวสูงยืนล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ข้างหลังล้งเล้งด้วยท่าทางกวนประสาท

แม่งมายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมเขาไม่รู้เรื่อง เคลื่อนตัวแบบผีหรือไงไอ้เวรนี่!

“มึงขวางตู้”
“เรื่องของกู มึงจะทำไม?!”

ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงจะหลบให้ แต่พอเป็นไอ้เหี้ยทะเลแล้วล่ะก็ ล้งเล้งทำให้แน่ใจว่าเขายืนกางแขนกางขาหน้าตู้แช่อย่างที่อีกฝ่ายไม่มีทางหยิบของได้อย่างแน่นอน

ให้มันรู้บ้างว่าใครเป็นใคร!

ทะเลมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเรียบนิ่งเหมือนอย่างเคย อันที่จริงล้งเล้งเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าทะเลสูงกว่าเขามากขนาดที่ว่าเด็กหนุ่มต้องเงยหน้ามองอีกคน ยิ่งเห็นยิ่งหงุดหงิด ไอ้เหี้ยนี่มันจะไม่หยุดสูงจริงๆ ใช่มั้ย? มึงคอสเพลย์เป็นเปรตหรือไง?

ถึงจะสูงต่างกันประมาณยี่สิบกว่าเซ็นต์แต่ล้งเล้งก็แหงนหน้ามองอีกฝ่ายอย่างหาเรื่อง สูงแล้วไง! ตัวใหญ่ไปก็เท่านั้น! ไม่เคยกลัวเว้ย!

“ลูกหมา หลบ  กูจะกินถั่วเแระ”
“ไม่! ทำไมฮะ? มึงเป็นอะไรนักกับคำว่าลูกหมานักหนาวะ เรียกกูอยู่ได้ กูเกิดปีเดียวกับมึงแหละเว้ยไอ้… เชี่ย!”

ล้งเล้งร้องเสียงหลงเมื่อทะเลดึงคอเสื้อของเด็กหนุ่มตัวจ้อยด้วยแรงมหาศาลในความคิดของตัวเอง แล้วจับเหวี่ยงไปด้านหลังจนเขาเสียหลังเซเกือบจะชนชั้นวางของ คนตัวสูงหันมามองอีกฝ่ายนิดหน่อย เมื่อเห็นว่าปลอดภัยดีก็พยักหน้ากับตัวเอง เปิดตู้แช่หยิบถั่วแระ แล้วเดินไปทางแคชเชียร์ด้วยหน้านิ่งๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในขณะที่พนักงานคิดเงินมองหน้ากันเลิ่กลั่ก คล้ายกับไม่รู้ว่าจะต้องเข้ามาห้าม เรียกตำรวจ หรือปล่อยเบลอดี

“มึง! ไอ้ทะเล! มึงมานี่เลยนะ เหวี่ยงกูทำเหี้ยอะไร? คิดว่าตัวสูงกว่าแล้วกูไม่กล้าต่อยมึงเหรอ?!”

พอได้สติ ล้งเล้งก็เดินตามคู่กรณีที่ถือถุงถั่วแระญี่ปุ่นออกจากเซเว่นไป ไม่กงไม่กินอะไรทั้งนั้นแล้วตอนนี้ ในใจมีเพียงแค่ความคิดว่าจะต้องเอาเลือดหัวไอ้เหี้ยนี่ออกให้ได้!

“ลูกหมาเป็นไร หิวเหรอ?”
“เสือก!”
“แสดงว่าหิวจริง”

มันพูดด้วยเสียงยานคางกับหน้ามึนๆ ของมัน เพียงแต่มุมปากมีรอยยิ้มกวนส้นตีนประดับอยู่ ไอ้ทะเลหยิบถั่วแระขึ้นมาชิ้นนึง ยื่นมาตรงหน้าเขา 

“อ่ะ กิน”
“พ่อมึงสิ ไอ้สัตว์!”

ล้งเล้งปัดมืออีกฝ่ายจนถั่วตกลงไปที่พื้น ไอ้เหี้ยนี่ คิดว่ากูเป็นตัวอะไรเอาถั่วมาให้เหมือนป้อนขนมหมาเนี่ย ไอ้เวร!

“ทำไมกลับดึก หลงทางเหรอ ปลอกคอหายนี่”
“กูไม่มีปลอกคอ”
“มึงเป็นลูกหมาเร่ร่อน?”
“ไอ้เหี้ยทะเล มึงจะเอาใช่ป้ะ?!”

ล้งเล้งเลือดขึ้นหน้า โมโหมากพอที่จะชกมันให้หมอบ เด็กหนุ่มตัวเล็กตั้งท่าจะกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายมาคุยให้รู้เรื่อง วันนี้ไอ้เรียนเก่งนี่มันต้องโดนเขาสักหมัดไม่งั้นอย่าเรียกเขาว่าล้งเล้ง!

ทั้งที่ล้งเล้งพร้อมจะกระทืบอีกฝ่ายให้ตายคาตีน แต่เหมือนทะเลไม่ได้สนใจอารมณ์โกรธเกรี้ยวของอีกฝ่ายมากนัก คนตัวสูงกว่ามองเลยไปที่มืออีกข้างของล้งเล้งที่ถือหนังสือเรียนเอาไว้ ไวกว่าความคิด ทะเลจับมือข้างนั้นของล้งเล้งขึ้นมา แล้วแย่งเอากองหนังสือเรียนพิเศษของอีกคนมาถือไว้เอง

“มึงไปเรียนพิเศษมา?”
“แล้วทำไม!”
“เรียนทั้งหมดนี่เลย?”
“มึงจะเสือกอะไร!”

ล้งเล้งพยายามที่จะเอาหนังสือคืน แต่เหมือนหมากระเป๋ากับยักษ์วัดแจ้ง เขาทำได้แค่เพียงขู่แง่งๆ ในขณะที่มันยกหนังสือขึ้นสูง เปิดดูทั้งหมดอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ล้งเล้งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่งนั่น

“มึงเรียนพิเศษทำไมวะ?”
“เสือก”
“กูถามดีๆ”
“ก็กูอยากเรียน กูอยากเข้าม.C มึงจะทำไม?!”
“มอ C งั้นเหรอ…”

หน้าทะเลยังคงเรียบนิ่งเหมือนเดิม คิ้วอีกฝ่ายขมวดลงเหมือนกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ซึ่งล้งเล้งไม่สนใจ เขาควรจะได้กลับบ้านไปรีบเข้านอนได้แล้ว วันรุ่งขึ้นเขามีเรียนอังกฤษแต่เช้า ต่อด้วยคณิต แล้วก็สังคมอีกทั้งวัน ถ้าง่วงไปเรียนนี่เละเทะหมดแน่นอน เขายังไม่อยากให้หน้ากระดาษของคอร์สวันพรุ่งนี้มีแต่ลายมือที่ละเมอเขียนแต่อ่านไม่ออกหรอกนะ

“มึงจะเรียนทำไมวะ?”
“เอ้า! ก็บอกไปแล้วไง ฟังสิวะ มีหูไว้ทำไมเนี่ย?!”
“ก็รู้ แต่กูแค่สงสัยว่าทำไมมึงไม่อ่านเอง ในห้องไม่ได้เรียนเหรอ?”
“อ่านเองห่าอะไร เข้าใจที่ไหนเล่าแม่ง”

ล้งเล้งบ่นกับตัวเองอย่างหงุดหงิด สาบานเลย ถ้าได้เป็นครูนะ เขาจะไม่สอนแบบที่ครูที่โรงเรียนทำแน่นอน

ในโรงเรียนที่เจอมา ครูหลายคนชอบพูดกับกระดาน อีกหลายคนให้ข้อสอบเด็กมาท่องจำเพื่อให้ผ่านไปครั้งต่อครั้ง เขานั่งกลางๆ ห้อง ไม่ใช่เด็กเก่งเหมือนไอ้ทะเล ไม่ได้เข้าใจทุกอย่างแม้ครูจะพูดคนเดียวกับกระดาน ไม่ได้เป็นที่รักของครูที่สามารถถามซ้ำหลายๆ ครั้งแล้วไม่โดนว่า

เขาเป็นแค่เด็กธรรมดาที่อยากจะเข้ามหาลัยเท่านั้น

“กูสอนให้เอามั้ย? ฟรี”
“...” เขามองหน้ามันงงๆ เป็นบ้าอะไร เมาถั่วแระเหรอ?
“เออไม่น่าได้ว่ะ กูพูดภาษาลูกหมาไม่ได้”
“ไอ้เหี้ย! คือมึงจะเอาจริงๆ ใช่ป้ะ!!”

ล้งเล้งกระชากเสียงถาม พยายามจะเอาหนังสือคืนมาแต่มันดันชูสุดมือ แน่นอนว่าส่วนสูงที่ต่างกันเกือบ 20 เซ็นต์เป็นปัญหาโคตรๆ เลย

“มึงแค่ต้องตั้งใจในห้อง ไอ้ลูกหมา มึงก็เข้ามหาลัยได้”
“...”
“ตอนสอบมึงก็แค่…”
“อย่างมึงจะไปเข้าใจออะไรวะ!”

ล้งเล้งถามกลับอย่างโมโห

คนอย่างไอ้เหี้ยนี่น่ะเหรอจะมาเข้าใจอะไรเขา? เหอะ น่าขำ! คนที่ได้ที่หนึ่งตลอดเวลาโดยแทบจะไม่ต้องพยายามเรียนพิเศษอะไรเลย จะมาเข้าใจคนที่หัวกลางๆ ต้องพยายามสายตัวแทบขาดเพื่อที่จะทำข้อสอบให้ได้ได้อย่างไร?

อันที่จริงทะเลคือเด็กอัจฉริยะ

ล้งเล้งเองก็พอรู้อยู่ ถึงแม้จะเกลียดมันฉิบหายแต่ทุกคนพูดถึงทะเลกันหมดทั้งโรงเรียน มันเป็นเด็กเรียนดี กีฬาเก่ง กิจกรรมก็ทำ ให้ทำอะไรมันทำเป็นแม่งทุกอย่าง หน้าตาก็ดี ดูนิ่งๆ แบบที่ผู้หญิงชอบ สูงฉิบหายด้วย อย่างกับคนที่ไม่มีอยู่จริง

แถมมันไม่เรียนพิเศษเลย

เรื่องนี้ล้งเล้งรู้จากเพื่อนในห้องตอนที่พวกมันนั่งคุยกัน เพื่อนคนหนึ่งในห้องของเขาสนิทกับทุกคนในระดับชั้น ตอนที่พวกเขานั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบกัน เพื่อนคนนี้ก็พูดทำนองว่าจะไปขอสรุปของทะเลมาให้ แล้วก็พูดชมไอ้หน้านิ่งนี่ให้พวกเขาทั้งหมดฟัง

‘กูงงสมองมันมากเลย มันไม่เรียนพิเศษเลยเชื่อป้ะ?’
‘ถามจริง?’
‘’จริงมึง กูไปถามมันไงว่าเรียนเลขที่ไหน มันบอกไม่ได้เรียน มันเรียนแค่ในห้องแค่นั้นแหละ’

“กูไม่เข้าใจ มึงก็อธิบายดิวะลูกหมา”

เสียงยานคางของทะเล ดึงล้งเล้งให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน แววตาของมันเต็มไปด้วยความสงสัย มันทำให้เขานึกย้อนไปถึงตอนอนุบาลที่มันอ่านคำสกรีนภาษาอังกฤษบนเสื้อเขาได้ ทั้งที่ตัวเองไม่รู้เลยสักนิดว่าสิ่งนั้นหมายความว่าอะไร

คนแบบมันทำให้ล้งเล้งเดือดดาล ยิ่งคิดว่ามันเก่งมันดีแค่ไหนโดยไม่ต้องทำอะไรเลยล้งเล้งก็ยิ่งไม่พอใจ ในขณะที่ตัวเขาตั้งใจเรียนในห้องแทบตายไม่เข้าใจ ไปเรียนพิเศษจนเหนื่อยอยากจะร้องไห้ออกมาทุกวันยังไม่รู้ว่าปลายทางของเทอมนี้จะไปอยู่ตรงไหน

คนอย่างไอ้เหี้ยทะเล เขาเกลียดฉิบหายเลย!

“เอาหนังสือกูคืนมา”

ล้งเล้งพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ความจริงจังที่ส่งผ่านออกมาทำให้คู่สนทนารู้สึกได้ คิ้วหนาขมวดลงอย่างไม่เข้าใจ เมื่อกี้ยังคุยกันอยู่ดีๆ ทำไมตอนนี้ถึงได้โมโหอีกแล้วล่ะ

“ลูกหมา?”
“คนแบบมึงน่ะ กูโคตรเกลียดเลย รู้ไว้ด้วยไอ้เหี้ย”
“ลูกหมา มึงเป็นอะ… โอ๊ย!”

ก่อนที่ทะเลจะได้พูดจนจบประโยค ล้งเล้งอาศัยความคล่องตัวเตะเต็มแรงเข้าไปที่ข้อพับของอีกฝ่าย จนทะเลเสียหลักทรุดตัวล้มลง เขาถึงได้ชิงเอาหนังสือเรียนของตัวเองคืนมา ในเมื่อได้ของที่ต้องการมาไว้กับตัวแล้ว ล้งเล้งก็เดินหันหลังหนีไป ทิ้งทะเลที่มองตามอีฝ่ายด้วยสายตาความขุ่นเคืองและเคลือบแคลงจากข้างหลัง

ไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติม ล้งเล้งหอบหนังสือของตัวเองหันหลังไปอีกทางโดยมีจุดมุ่งหมายคือบ้าน มือของเด็กหนุ่มกอดหนังสือเรียนตัวเองเอาไว้แน่น

คนที่ไม่ต้องทำอะไร แต่ได้ทุกอย่างมาง่ายๆ อย่างมัน

เขาโคตรเกลียดเลย

.
.
.


-------- TBC ------- 


จบพาร์ทย้อนอดีตของล้งเล้งเขาแล้วนะคะ
อยากให้เข้ใจถึงความเกลียด(?)ทะเลของน้องเขาอ 55555

ฝาก #รักไม่คาดคิดในวันพุธ ไว้ด้วยนะคะ <3

Baby Baphomet
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 3 -- คนอย่างมึงจะเข้าใจอะไร! (29/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: nisaday ที่ 29-05-2019 22:01:31
อีกคนที่บอกว่าชอบล้งเล้งค้องเป็นทะเลแน่เลย
ชอบที่ทะเลเรียกลูกหมาแล้วมานั่งเป็นเพื่อนตอนร้องไห้อ่ะ
รอฉากทะเลหิ้วคอเสื้อล้งเล้งไปฟัด
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 3 -- คนอย่างมึงจะเข้าใจอะไร! (29/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 29-05-2019 22:14:20
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 3 -- คนอย่างมึงจะเข้าใจอะไร! (29/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Jiraapp ที่ 29-05-2019 22:34:12
ทะเลกวนกับแค่ล้งเล้ง หรือจริงอาจแค่เลือกใช้คำพูดไม่เก่งเวลาอยู่กับล้งเล้งมันเลยดูเหมือนทะเลไปกวนทีนล้งเล้งหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 3 -- คนอย่างมึงจะเข้าใจอะไร! (29/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 31-05-2019 00:28:23
สนุกมาก มาต่ออีกนะครับ,,,
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 3 -- คนอย่างมึงจะเข้าใจอะไร! (29/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: babybaphomet ที่ 01-06-2019 19:29:41
3rd Wednesday
#รักไม่คาดคิดในวันพุธ


“ล้งเล้ง”
“มึงทำหน้าเหมือนข้าวหมา”
“มึงทำหน้าบู้บี้”
“มึงทำหน้าเหมือนคนขี้ไม่สุด”

บางที ล้งเล้งก็คิดว่าตัวเองทำกรรมอะไรต้องมีเพื่อนแบบไอ้พวกนี้ 

“กูแค่คิดอะไรนิดหน่อย”

เขาตอบบีมบุ๋มกลับไป ตอนนี้เด็กนักศึกษาทั้งห้าคนนั่งกันอยู่ที่โรงอาหารคณะวารสารศาสตร์ที่เรียกติดปากว่าโรงเจซี ซึ่งอันที่จริงพอออกจากตึกเรียนมามันมีโรงอาหารไว้ให้ทานข้าวถึงสองโรง แต่ด้วยปริมาณเด็กที่อัดแน่นจนล้น ไม่ว่าจะไปไหนก็เหมือนกัน เพื่อนเขาอยากกินร้านอาหารในนี้เลยเดินเข้ามา

ประเทศนี้ มหาลัยนี้แม่งก็ร้อนเหลือเกินเว้ย ล้งเล้งมั่นใจว่าถ้าหากเขาเดินจากหอมาเรียนที่ตึกทุกวันนะ สี่ปีผิวที่แขนเปลี่ยนสีแน่นอน แดดแผดเผาอะไรขนาดนี้ ไม่เข้าใจ

แน่นอนว่าเด็กที่มีเป้าหมายจะเข้ามหาลัย C อย่างล้งเล้งน่ะ

 ตอนนี้… อยู่มหาลัย T ครับ

ล้งเล้งเข้าม. C ไปแล้ว ติดคณะที่เลือกไปแบบที่ตัวเองไม่ชอบ แต่ด้วยอารมณ์ของเด็กมัธยมหก ล้งเล้ง ณ ตอนนั้นขอเพียงที่นั่งสักที่ในมหาลัย ไม่ว่าจะเป็นคณะอะไรเขาก็โอเค แต่พอเข้าไปเรียนเทอมแรกเขาก็รู้แล้วว่า

นี่มันเหี้ยอะไรวะ

ไม่ใช่ว่ามหาลัยไม่ดี แต่เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ควรอยู่ตรงนี้ พอตัดสินใจแน่วแน่ว่ามองไม่เห็นอนาคตตัวเองในที่นี้จนถึงปีสุดท้าย ล้งเล้งก็ไปลาออกทันทีโดยไม่คิดเสียดายเวลาหรืออะไร กลับมาอยู่บ้าน ทบทวนหนังสือเรียนพิเศษกองพะเนิน แล้วสอบแกทแพทใหม่ เพื่อยื่นคะแนนแอดมิชชั่นอีกครั้ง

คราวนี้เขาได้คณะที่ตัวเองอยากได้ ในมหาลัย T

เท่าที่ใช้ชีวิตมาเกือบหนึ่งเทอม ล้งเล้งรู้สึกว่าที่นี่ ทั้งตัวคณะและมหาลัยเหมาะกับเขามากกว่าที่เก่า แถมเขายังได้เพื่อนที่ดี ถึงแม้จะไม่ค่อยมีสติก็ตามที

อีกสาเหตุที่ซิ่วน่ะเหรอ?

เหตุผลง่ายๆ

ไอ้เหี้ยทะเลมันอยู่มหาลัย C

คนที่ฉลาดอย่างมันเข้ามหาลัยท็อปเขาก็ไม่แปลกใจหรอก แต่ไอ้การที่มันมาเคาะประตูบอกเขาด้วยหน้านิ่งแต่มีรอยยิ้มกวนประสาทที่มุมปากว่า ‘เราเรียนที่เดียวกันอีกแล้วนะ’ มันทำให้เขาปักธงในใจเลย ว่าถ้ากูจะซิ่วครั้งนี่

กูจะไม่เรียนที่เดียวกับมึง!

หากพูดแค่นี้ก็ดูจะปัญญาอ่อนไปหน่อย อันที่จริงตอนช่วงเวลาหลังจากลาออกมหาลัย C ล้งเล้งว่างมากพอที่จะเข้าไปนั่งดูวิชาเรียนกับวิชาเอกแบบคร่าวๆ ของคณะที่อยากเข้าในหลายๆ มหาลัย ดูไปดูมา ถามเจ๊กุ๊กกิ๊กกับพี่ซุกซนที่จบจากที่นี่ รวมถึงญาติหลายคนจากทั้งสองมหาลัย จนสรุปได้ว่าเขามาที่นี่ดีกว่า

ตอนแรกพี่ๆ ก็เตือนว่ามหาลัยมันร้อนนะ
ก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าแม่งจะร้อนขนาดนี้

“มึงกินไอ้นี่ทุกวันไม่เบื่อเหรอวะน่ะ?”

มูถามขึ้นมาเมื่อเห็นว่าล้งเล้งถืออะไรขึ้นมาวางบนโต๊ะที่พวกเขานั่งกัน มันคือข้าวปลาซาบะจากร้านอาหารญี่ปุ่นที่เขาถูกปาก เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว คืออะไร? กูกินข้าวซ้ำกันทุกวันแล้วโลกมันร้อนขึ้นหรือเปล่า? ก็ไม่ไง

“ไม่อ่ะ กูเบื่อมึงมากกว่าอีก”
“เนี่ย พวกจับได้ไพ่ Chariot แข็งเป็นหิน ไม่มีความอ่อนโยน”

ผมปล่อยให้มันพูดพล่ามอะไรของมันไป ถ้าให้เดานี่แม่งต้องเข้าท็อปปิคมูเตลูแล้วแน่นอน บอกแล้ว ชื่อมูเตลูไม่ได้มาเพราะความบังเอิญ

“ตอนแรกกูก็กะจะเปลี่ยนเมนู แต่กินให้มึงถามอ่ะ รู้อยู่ละว่าเป็นคนขี้สงสัย”
“ด่ากูเสือกเลยสิ”
“เสือก”
“โห กูว่าละ พวกโหวงเฮ้งแบบมึงนี่โบราณว่าไว้ว่าเป็นพวกปากเปราะ”

อ่ะ เปรียบซะกูไม่ใช่คนเลย

เมื่อกี้บอกกูไม่อ่อนโยน ตอนนี้บอกกูโหวงเฮ้งปากเปราะอีก มึงเกิดมาเพื่อด่ากูหรือไง?

ล้งเล้งหันไปทำหน้าบึ้งใส่มันนิดหน่อยแต่มันยักไหล่ไม่สนใจ ตัวเด็กหนุ่มเลยเริ่มกินข้าวตรงหน้าตัวเองบ้าง มูเป็นสีสันของมหาลัย ซึ่งสีสันที่เขาพูดถึงคือ ‘สีสัน’ ตรงตัว

อย่างเช่นวันนี้ วันพฤหัส

สีมงคลของปีนี้สำหรับวันพฤหัสคือสีน้ำเงินแน่นอน

ถามว่ารู้ได้ยังไง? ไอ้เหี้ยมูมันคอสเพลย์เป็นสเมิร์ฟวันนี้ เพื่อนของเขามันน้ำเงินทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า หมวกฟ้า เสื้อลายตารางสีฟ้าน้ำเงิน กางเกงยีน รองเท้าผ้าใบสีฟ้านีออน ถ้าทำได้ล้งเล้งคิดว่ามูคงจะเอาตัวจุ่มถังสีก่อนออกจากห้องแล้วแหละ

มันมีประโยชน์มากเวลาจองโต๊ะในโรงอาหาร เพื่อนคนอื่นไม่ต้องเสียเวลาในการมองหาโต๊ะที่แทบจะกลืนไปกับฝูงนักศึกษาที่หลั่งไหลออกมาจากห้องเรียน เรามีคนที่ที่สุดในโลกนั่งอยู่นี่แล้ว

มูเป็นนิยามของคนที่มาทางสายมูเตลูโดยแท้ ในคณะที่งานวิจัยก็อ้างอิงหลักวิทยาศาสตร์ไป มันก็อ้างอิงหลักโหราศาสตร์ โหวงเฮ้งศาสตร์ เสื้อมงคลวิทยาอะไรของมันไปเรื่อย

“ปากกูงับหัวมึงได้”
“อย่าทำผ้ม”
“สัตว์! นั่งแดกข้าวไป มึงเป็นอะไรเนี่ย? ไม่หิวหรือไง?” 
“กูเป็นผู้รู้ ที่กำลังตื่น และอารมณ์เบิกบาน”
“โอเคผู้รู้ กูเป็นผู้หิวข้าว กูกินละนะ”

ล้งเล้งตอบไปมันพร้อมกับกินข้าวตรงหน้าไปด้วย ความจริงแล้วเขาไม่ได้ชอบอาหารจานนี้ขนาดนั้น มันดันเป็นร้านที่เร็ว กินได้ และราคาไม่แพง ก็เลยเลือกทาน

“เพื่อนมู น้องล้งเล้ง”
“พวกนายเห็นเจ๋งมั้ย?”
“เจ๋งเป้งหาย”
“เจ๋งเป้งตายหรือยัง?”

นอกจากมูแล้ว ไอ้สองหน่อนี่ก็ทำให้ประสาทเสียไม่แพ้กัน

บุ๋มบีมเดินเข้ามาพร้อมกับถาดอาหารในมือ โดยบุ๋มถือมาสองถาด ของตัวเองกับของบีม ส่วนบีมถือของมูมาให้ ทดแทนที่มูต้องนั่งเฝ้าโต๊ะแทนพวกเขาที่จะลงไปซื้อข้าวกิน

“เมื่อเช้าเจ๋งเป้งมันโดด ยังไม่เจอเหมือนกัน แต่เห็นบอกว่าจะไปกับเราตอนบ่ายด้วยนะ”

ล้งเล้งตอบเพื่อนไป ตอนนี้เขาทานอาหารตรงหน้าเสร็จเรียบร้อย เลยนั่งเล่นมือถือรอเพื่อนกินไปก่อน อันที่จริงตอนเช้าวันนี้เขามีเรียนกับเจ๋งเป้งสองคน วิชาภาษาจีน แต่ไอ้เจ๋งมันโดด ในคลาสเลยมีเพียงแค่ล้งเล้งนั่งอย่างหงอยเหงาอยู่คนเดียวเท่านั้น   

“เอ้า ทำไมมันไม่มาเรียนวะ มันไปไหน?” มูถามพลางกินข้าวตรงหน้าไปด้วย 
“ตื่นสาย เลยขี้เกียจเข้า”
“อ่อ แต่ไปต่อตอนบ่ายได้?”
“มันว่างั้นนะ” 

มูมันพยักหน้ารับรู้ก่อนจะกินข้าวต่อพร้อมกับเล่นมือถือไปด้วย ล้งเล้งมองปราดเดียวก็เห็นว่ามันเป็นมือถือสำหรับใช้ทำงาน

พูดถึงมูแล้ว การมีมือถือสองเครื่องหรือมากกว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะตัวมันเองแปลกกว่านั้นเยอะมาก

ในช่วงแรกที่ยังไม่สนิทกันมากนัก บีมมันเคยถามว่าทำไมมูถึงมีมือถือตั้งสองเครื่อง มันก็ตอบกลับมาง่ายๆ ว่าเครื่องนึงมีไว้ใช้ อีกเครื่องมีไว้คอยรับดูดวง

จะบอกอีกครั้ง ชื่อมูเตลูนั้น ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย

ไลน์!

ล้งเล้งหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาดูอ เขารีบกดเข้าไปดูเพื่อตอบเพื่อนในกลุ่มอย่างว่องไว พูดถึงเจ๋ง เจ๋งก็ไลน์มา ไอ้นี่มันตายยากจริง



เจ๋งเป้ง: ล้งเล้ง
เจ๋งเป้ง: เลิกแล้วใช่เปล่า
เจ๋งเป้ง: กินข้าวไหนกันวะ
 
ล้งเล้ง: โรงเจซี

เจ๋งเป้ง: โอเค
เจ๋งเป้ง: กำลังไป

ล้งเล้ง: เอาไรป้ะ?

เจ๋งเป้ง: ไม่เป็นไร กินแล้ว

ล้งเล้ง: เค

เจ๋งเป้ง: กินโกโก้ปั่นมั้ย
เจ๋งเป้ง: ซื้อให้
เจ๋งเป้ง: มึงชอบนี่

ล้งเล้ง: ไม่อ่ะ
ล้งเล้ง: แต้ง

ล้งเล้งมองข้อความตอบกลับล่าสุดจากเพื่อนซึ่งเป็นสติกเกอร์โง่ๆ แว๊บเดียวแล้วปล่อยทิ้งเอาไว้แบบนั้น เจ๋งเป้งเป็นเพื่อนที่ดี แต่บางทีก็น่ารำคาญ ชอบวอแวจนบางทีผมรู้สึกเหมือนมีพ่อคนที่สอง

“ไอ้เจ๋งกำลังมานะ”
“เออๆ เคๆ”

ล้งเล้งบอกเพื่อนที่กำลังคุยกัน พอบอกพวกมูมันก็อืมๆ เออๆ ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ในขณะที่พวกเขากำลังจะลุกไปวินรถตู้นั้น มีเสียงเรียกมาจากอีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะพอดี

“เอ่อ…ขอโทษนะคะ”

ทั้งสี่หันขวับ คนที่เรียกพวกเขาคือเด็กผู้หญิงเขาดำในชุดนักศึกษาคนหนึ่ง ซึ่งยิ้มเห็นเหล็กดัดฟันมาให้ ล้งเล้งเป็นคนแรกที่ตอบออกไป เพราะว่าเธอยืนส่งยิ้มให้เด็กหนุ่มพอดี

“ครับ?”
“ขอไลน์ได้มั้ยคะ?”

พวกเขาทั้งสี่คนเงียบนิ่ง มองหน้ากันเพราะไม่แน่ใจว่าเขาขอไลน์ใครกันแน่ จนผู้หญิงคนนั้นยื่นโทรศัพท์มาตรงหน้าเขาอย่างอายๆ

เชี่ย! เขาขอไลน์กู!!!

สำหรับล้งเล้งแล้ว นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตมหาลัยที่มีคนมาขอไลน์ด้วยเหตุผลอื่นที่ไม่ใช่ทำงานกลุ่ม เพื่อนของเขาอีกสามคนก็มองอึ้งๆ เช่นเดียวกัน ในส่วนของล้งเล้งนั้น หลังจากที่เลิกตกใจ ก็ยืดอกเชิดขึ้นด้วยความภูมิใจในตัวเอง

ก็คนมันหล่ออ่ะนะ

“เธอชื่อไรเหรอ?”
“ล้งเล้งครับ”

ล้งเล้งตอบในขณะที่พิมพ์ไลน์ของตัวเองใส่โน้ตให้เด็กผู้หญิงตรงหน้าไปด้วย เด็กหนุ่มมั่นใจว่าเขาเห็นอีกฝ่านกระพริบตาเล็กน้อย เหมือนไม่แน่ใจว่าได้ยินถูกหรือเปล่า ในขณะที่ล้งเล้งกำลังมือไม้เย็นเพราะตื่นเต้น เด็กผู้หญิงคนนั้นยิ้มๆ นิดหน่อย

“ชื่อน่ารักจรัง”
“อ่า… ครับ”

ในขณะที่ล้งหัวเราะแก้เขินอยู่นั้น กลุ่มเพื่อนๆ อีกสามคนมองหน้ากันด้วยสายตา ‘มึงๆ คิดเหมือนกูป้ะ?’ ‘เออๆ กูก็คิดเหมือนมึงเว้ย’ อยู่ เมื่อได้สิ่งที่ต้องการเรียบร้อย เด็กผู้หญิงผมดำกำลังจะเดินจากไป ในขณะนั้นเอง ล้งเล้งก็ได้เรียกเธอเอาไว้

“เดี๋ยว! เออ… แล้วเธอชื่ออะไรอ่ะ?”
“เราชื่อกิ๊บ”
“อ่อ คือ…”
“ไม่ต้องสนเราหรอก ไม่ต้องห่วงเราไม่แอดเธออยู่แล้ว เราขอไลน์เธอให้เพื่อนเรา”

เอ๊ะ?

ในขณะที่เขากำลังทำหน้าหมางงอยู่นั้น กิ๊บก็เดินจากไป ชายหนุ่มยักไหล่ สงสัยเพื่อนของกิ๊บอาจจะเป็นคนขี้อายล่ะมั้ง  คงไม่กล้าเดินมาขอไลน์ผู้ชายเองตรงๆ เลยฝากเพื่อนมาขอไลน์ให้แทน

โห รู้สึกหล่อขึ้นอีกแล้ว

“ไปกันยังไงดีวะ? เพื่อนมึงจองตั๋วที่ไหนไว้ พารากอนป้ะ?”

บีมเป็นคนถามขึ้นมาโดยมีบุ๋มพยักหน้าสนับสนุนอยู่ข้างๆ บางทีเขาก็สงสัย สองคนนี้เป็นบ้าอะไรต้องทำตัวติดกันอย่างกับฝาแฝดแบบนี้

“รถตู้ไง หรือมึงจะเดินไป?” มูพูดขึ้นมาพลางดูดน้ำแดงในแก้ว อ่ะ คอสเพลย์เป็นกุมารทองก็มา
“ถ้าเดินบนหัวมึงก็ได้อ่ะ” บีมเป็นคนตอบ โดยที่มีบุ๋มเป็นลูกคู่พูด ‘หว่ายยยยยยยย หว่ายยยยยยยย’ อยู่ข้างๆ
“งั้นเหาะไปก็ได้”
“ยากเลย กูเลืมเอาผ้าคลุมล่องหนมา”
“เขาใช้ไม้กวาดป้ะมึง แฮร์รี่ พ็อตเตอร์เข้าไม่ถึงหรือไงวะ เท่ๆ ขี่ไม้กวาดงี้”
“อย่างมึงเอามากวาดพื้นกูยังสงสารไม้กวาด”
“มันต้องสงสารพื้นป้ะ?”
“ไม่ สงสารไม้กวาดที่ถูกมึงจับ”

ไอ้บีมกับไอ้มูมันเถียงกันครับ อันที่จริงพวกมันเป็นบ้าเป็นบอกันทั้งหมด เหมือนในกลุ่มมีเขาที่มีสติอยู่คนเดียว อาจจะมีเจ๋งเป้งอีกคน ถ้ามันไม่เลิกทำตัวเป็นพ่อของเขา

“ตกลงขึ้นรถตู้นะ กูจะได้บอกเจ๋งให้มันไปเจอที่วิน”

ล้งเล้งถามอย่างเหนื่อยใจ ถ้าไม่พาพวกมันเข้าเรื่อง เย็นนี้ไม่ได้ไปหรอกสยามเนี่ย นั่งแม่งอยู่แต่โรงอาหารนี่แหละ เถียงกันจนหนังออกโรงไปเลยเถอะพวกมึง

“น้องล้งเล้งว่าไง”
“พวกพี่ก็ว่าตามนั้นครับโผ้ม”
“โหย เราสองคนนี่โคตรเท่เลยว่ะบีม”
“นั่นสิบุ๋ม”

ล้งเล้งกลอกตาเมื่อเพื่อนเขาเริ่มทำตัวไร้สาระกันอีกแล้ว ถ้าไอ้มูมันพูดจริงเรื่องนรกสวรรค์อะไรของมันนะ ล้งเล้งมั่นใจว่าเขาจะต้องได้ขึ้นสวรรค์ เพราะถ้าลงนรกแล้วไปเจอพวกมันอีกคือพอแล้ว ลาขาด รำคาญเว้ย!


สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ไปถึงสยามกันจนได้

“กูไม่เข้าใจว่าทำไมเราไม่ดูที่ฟิวเจอร์วะ จะถ่อมาถึงนี่ทำไม”

เจ๋งเป็นคนแรกที่พูดขึ้นมา ตอนนี้พวกเขากำลังยืนอยู่บนบันไดเลื่อนขึ้นบนของห้างสยามพารากอน วันนี้คลาสบ่ายของพวกเขาทุกคนยกเลิก ตอนนี้ก็เลยว่างมากพอที่จะออกมาดูหนังกันที่สยาม โดยตอนแรกมูเป็นคนที่จะจัดการทุกอย่างให้ พอมาถึงตอนเที่ยงล้งเล้งถึงได้รู้ว่าอันที่จริงแล้ว มูให้เพื่อนจัดการให้ สมกับเป็นเพื่อนมูจริงๆ

“กูให้เพื่อนจองตั๋วให้ มันก็จองที่ที่ใกล้มันป้ะวะ”

มูพูดพร้อมกับดูดแก้วน้ำแดงที่มันถือติดมือมาตั้งแต่รังสิตยันสยาม

“แล้วทำไมเราไม่จองกันเอง?” บีมถาม ซึ่งเป็นคำถามที่ล้งเล้งก็คิดอยู่ในใจ 
“กูถือเคล็ด วันนี้กูไม่ควรทำอะไร” 
“แต่เมื่อเช้ามึงเข้าเรียน ไอ้ควาย”

คนด่าเป็นบุ๋มที่ยืนอยู่ข้างหลังของล้งเล้ง อันที่จริงแล้ว ล้งเล้งเกลียดการยืนอยู่กับเพื่อนในกลุ่ม ข้อแรกเลยคือพวกมันเป็นบ้า ซึ่งการอยู่กับคนบ้าเราจะกลายเป็นคนบ้าไปด้วย

แต่เหตุผลสำคัญที่สุดก็คือ เพื่อนของล้งเล้งทุกคนสูงถึงสูงมาก

เขายอมรับว่าตัวเองสูงมาตรฐานชายไทย นอกจากไอ้ทะเลคอสเพลย์เป็นเปรตแล้ว เด็กผู้ชายวัยเดียวกันทุกคนก็สูงไล่เลี่ยกันหมด แต่พอมาอยู่กับกลุ่มพวกมันแล้วเหมือนเป็นด็อบบี้ท่ามกลางฝูงโทร์ล หรือถ้าให้เห็นภาพง่ายๆ ก็เหมือนผมเป็นหมาปอมท่ามกลางฝูงไซบีเรียนที่กำลังทำตัวโง่ 

เด็กหนุ่มมองเพื่อนที่เถียงกันว่าไก่กับไข่ทำไมเกิดหลังไดโนเสาร์ด้วยสายตาครุ่นคิด อันที่จริงเขาไม่เคยถามพวกมันเลยว่าสูงเท่าไหร่ แต่ถ้าให้กะน่าจะเกิน 180 แน่นอน ส่วนตัวเขาน่ะ ถ้าพยายามเขย่งกับทำผมตั้งๆ หน่อย ก็จะวัดได้เต็มที่คือ 171 เซนต์ 

คิดแล้วก็แค้น ถ้าตอนเด็กกูไม่ขยาดนมนะ ป่านนี้ไอ้เจ๋งไม่ได้แดกหรอกเดือนคณะน่ะ!

อันที่จริง ตอนแรกรุ่นพี่มาทาบทามพวกมันทั้งหมดให้ไปเป็นหลีดคณะด้วย เล่นเดินมาขอไลน์ทุกคนในกลุ่มยกเว้นล้งเล้ง ตอนนั้นเด็กหนุ่มน้อยใจมาก ยังดีหน่อยที่บรรดาเพื่อนไม่มีใครไปคัดหลีดเลย (เขาเลยไม่ต้องเท้งเต้งอยู่คนเดียว) บุ๋มบีมบอกขี้เกียจ เสียเวลาเล่นเกม ไอ้มูมันต้องนั่งสมาธิทำจิตอะไรไม่รู้ ส่วนเจ๋งเป้งมันลงแค่เดือน มันบอกขี้เกียจซ้อม แค่กิจกรรมคณะก็หนักหนาแล้ว ซึ่งพอเจ๋งเป้งได้เป็นเดือนคณะแล้ว ก็ถอนตัวหลังจากที่รู้ว่าต้องไปเก็บตัวต่อเพราะขี้เกียจ จนตอนนี้ล้งเล้งไม่รู้แล้วว่าเดือนคณะคือใคร 

อันที่จริง คณะภาษาที่พวกเขาเรียนกันมีผู้ชายเพียงแค่หยิบมือ จากเด็กเกือบพันนั้นเป็นผู้หญิงไปแล้วเก้าร้อย เหลือตัวผู้อยู่ไม่ถึงร้อย ซึ่งในร้อยคนนั้น ตั้งแต่เปิดเทอมมาเริ่มปัดมาสคาร่าไปทีละคนสองคน จนตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเหลือเพศชายจนจบกันกี่คน

“แล้วนี่เพื่อนมึงอยู่ไหนวะ?”

ล้งเล้งหันไปถามมูที่ตอนนี้กำลังทะเลาะกับเจ๋งเป้งเรื่อง ‘ทำไมมึงใส่เสื้อสีม่วงในวันนี้ ไม่รู้หรือไงว่าเสื้อม่วงในวันพฤหัสมันกาลกิณี’ พวกมันถึงหยุดเถียงกัน เจ๋งเป้งกระแอม ส่วนมูมันเช็กโทรศัพท์มือถือแป๊บนึง ก่อนจะตอบกลับมา 

“แม็คชั้นล่าง ตรงใกล้ๆ ฟูจิ”
“งั้นเราไปเดินเล่นรอกันก่อนมั้ย ค่อยเจอเพื่อนมึงตอนเวลาใกล้ๆ จะดูหนัง?”

ล้งเล้งเสนอ จะให้ไปนั่งจ้องหน้าเพื่อนมูกินข้าวมันก็ไม่ใช่เรื่องเท่าไหร่ ซึ่งหลังจากเด็กหนุ่มพูดจบ มีเสียงแสดงความคิดเห็นจากเจ๋งเป้งตามมา

“เอางั้นก็ได้”

ตามด้วยเสียงคลอเป็นลูกคู่ของบุ๋มบีม

“น้องล้งเล้งว่าไง”
“พวกเราก็ว่าอย่างงั้น”
“โห เรานี่โคตรเท่เลยว่ะบีม”
“จริงด้วยบุ๋ม”

ล้งเล้งกลอกตาด้วยความเบื่อหน่าย ถ้าเลือกเพื่อนได้ อย่าเลือกที่เป็นบ้า


.
.
.



เหลือเพียงล้งเล้งคนเดียวที่อยู่ร้านหนังสือ

จากที่เมื่อครู่คุยกัน อีกสี่คนที่เหลือยกโขยงกันไปนั่งรอในร้านกาแฟ ส่วนตัวเด็กหนุ่มอยากดูหนังสือสักหน่อยเลยแยกจากเพื่อนทั้งโขลงมาคนเดียว เมื่อนึกเหตุผลที่พวกมันไปหากาแฟแล้วยังหงุดหงิดไม่หาย

‘มึงไปเลย กูขอนั่งรอร้านกาแฟ กูไม่อยากเห็นเหี้ยอะไรที่เป็นตัวหนังสืออีกแล้ว แค่สไลด์เมื่อเช้าทำกูจะอ้วก’

ดูไอ้เหี้ยมูมันพูด มึงเห็นตัวหนังสือตรงไหนก่อน คนจดทั้งหมดให้พวกมึงซีร็อกส์กันคือกู กูนี่! ส่วนมึงนู่น มาถึงแล้วก็นอนกรน! 

เด็กหนุ่มสะบัดหัวเอาเรื่องเพื่อนปัญญาอ่อนออกไป ก่อนที่จะเดินดูบรรยากาศโดยรอบไปด้วย ตั้งแต่เด็กล้งเล้งชอบฝังตัวอยู่ในร้านหนังสือ ถึงแม้ว่าบางทีจะเป็นการเข้ามาเพื่อนั่งอ่านการ์ตูนก็เถอะ กว่าจะรู้ตัวอีกที เขาก็โตมาด้วยนิสัยที่ชอบเดินเข้าร้านหนังสืออยู่เป็นประจำไปแล้ว ถึงแม้หลายครั้งจะไม่ได้ซื้ออะไรติดมือออกมาเลยก็ตาม

สยามนี่ดีชะมัด มีร้านหนังสือใหญ่ๆ หลายร้าน ไม่เหมือนถวทุ่งรังสิต…

พอพูดถึงสยามแล้ว เด็กหนุ่มก็อดคิดถึงทะเลไม่ได้ เอาเถอะ วันนี้มันควรจะนั่งเรียนหัวฟูอยู่ที่คณะ โดนงานทับตายไปเลยก็ดี จะได้ไม่ต้องมายุ่งเวลาเขาสอนเด็กอีก

“ไอ้ลูกหมา”

พูดถึงเหี้ย เหี้ยก็ทักทายเราทันที

ล้งเล้งกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย ทำกรรมอะไรเอาไว้ถึงได้เจอมันถี่ขนาดนี้ ไอ้คนที่เรียกเขาว่าลูกหมาเมื่อครู่มายืนอยู่ข้างๆ วันนี้คู่แข่งทางการค้ามันก็ยังคงทำหน้าเหมือนง่วงนอนคล้ายกับทุกครั้งที่ล้งเล้งเจอ ใบหน้าหล่อมีรอยยิ้มกวนตีนคุ้นหน้าคุ้นตาประดับอยู่

นี่อาจจะเป็นครั้งแรกๆ ที่ล้งเล้งสังเกตว่าส่วนสูงของพวกเขาต่างกันขนาดไหน นี่เขาว่าตอนที่ยืนอยู่ในดงเพื่อนตัวเองเป็นหลุมแล้วนะ เมื่อมายืนเทียบกับทะเลแล้วทำไมรู้สึกว่าตัวเองต้องเงยหน้ามากกว่าเดิมอีก มันคอสเพลย์เป็นเปรตจริงหรือไม่ก็ยังคงเป็นที่น่าสงสัยอยู่

“ยังมีชีวิตอยู่เหรอ?”

เขาทักทายมันอย่างสุภาพ

“อ่อ เปล่าอ่ะ ที่นี่นรก กูบังเอิญอยู่ขุมเดียวกับมึง”

มันตอบกลับอย่างสามานย์

เป็นอีกครั้งที่ล้งเล้งกลอกตาอย่างเบื่อๆ กรุงเทพก็ตั้งกว้างก็ดันมาเดินเจอกันที่สยาม รู้อยู่แหละว่ามหาลัย C มันใกล้แถวนี้ แต่มึงช่วยไปเดินที่อื่นได้มั้ย โลตัสเชียงใหม่ เซ็นทรัลหาดใหญ่อะไรก็ไปสิวะ รำคาญหน้า
 
ไลน์!

เด็กหนุ่มเลิกสนใจคนที่เดินตามเขาไปทั่วร้านเหมือนเป็นล้งเล้งเป็นเข็มทิศประจำตัว เด็กหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือที่เมื่อครู่มีแจ้งเตือนดังขึ้นมาดู บนหน้าจอแสดงว่ามีข้อความจากผู้ติดต่อที่เขาไม่รู้จักทักมา หัวใจของล้งเล้งเต้นตึกตักอย่างควบคุมไม่ได้ มันต้องเป็นกิ๊บ เด็กผู้หญิงที่มาขอไลน์เขาที่โรงอาหารเมื่อครู่แน่นอน

เอ๋า ทำไมชื่อไลน์ gap ไหนบอกว่าชื่อกิ๊บไง

gap: เธอ
gap: ได้ไลน์มาจากโรงอาหาร
gap: มีแฟนยัง?
gap: เราจีบได้เปล่า?

ล้งเล้งขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ตอนที่กำลังจะพิมพ์ตอบกลับไปว่า ‘โสด จีบได้ครับ’ เขารู้สึกตงิดใจแปลกๆ ไวกว่าความคิด มือของเด็กหนุ่มจิ้มไปที่ดิสไลน์ของผู้ติดต่อใหม่ทันที

เอ้า ไอ้เหี้ย ทำไมเป็นตัวผู้?!



------- Wednesday In Class -------


วันนี้มีแต่เรื่องปวดหัว

เรื่องแรก คนที่ไลน์มาจีบเป็นผู้ชาย คณะไหนชั้นปีอะไรก็ไม่รู้ พอล้งเล้งรู้ว่าไอ้ที่ทักไลน์มาเชิงชู้สาวเป็นตัวผู้ เด็กหนุ่มก็ด่าพ่อแล้วบล็อกไป เอาแบบที่เจอหน้ามันต้องมาต่อยเขาแน่นอน แล้วยังไงวะ? กลัวที่ไหน! มาเลยไอ้เหี้ยจะเตะให้ลืมตารางสอบกลางภาคเลยคอยดู!

เรื่องที่สอง

เพื่อนที่มูให้จองตั๋วหนังให้น่ะ … ชื่อทะเล

โลกกลมจนน่าเกลียด มูเป็นเพื่อนในค่ายที่ไอ้ทะเลมันเคยไปเข้ามาสมัยมอปลาย ค่ายรังนกซุปไก่อะไรก็ไม่รู้ ล้งเล้งไม่สนใจ ตอนมอปลายเด็กหนุ่มมัวแต่ทุ่มเรียนพิเศษจนไม่สนใจจะหากิจกรรมหรือค่ายอะไรทำเลย เขาเพิ่งรู้ว่าเพื่อนตัวเองเป็นเพื่อนกับตัวเหี้ย

ที่น่าตกใจกว่านั้น คือสองคนนี้สนิทกันฉิบหาย

มูมันเคยเล่าให้ฟังบ่อยๆ ว่าสมัยมอปลายมันมีเพื่อนเยอะมาก ทั้งจากโรงเรียนแล้วก็กิจกรรมนอกโรงเรียนที่มันทำ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าโลกของมันกว้างแค่ไหน ล้งเล้งไม่รู้ว่าสีหน้าของตัวเองอุบาศว์ขนาดไหนตอนที่มูโบกมือให้เขาอยู่หน้าร้านหนังสือ แต่เสือกเดินเข้ามาหาทะเล

“มึงไม่เห็นบอกกูเลยว่าเป็นเพื่อนกับทะล”
“บอกกี่รอบแล้วว่ามันไม่ใช่เพื่อนกู!”

ล้งเล้งเถียงเป็นรอบที่ห้า ตอนนี้พวกเขานั่งกันอยู่ในร้านแม็คโดนัลระหว่างรอขึ้นไปดูหนัง พวกเขานั่งโต๊ะใหญ่กันเพราะมีกันเกือบสิบคน

“โห ลูกหมา ต้องให้กูบอกเหรอว่าเสื้อสมัยอนุบาลของมึงเป็นลาย…”
“หยุด!”

ล้งเล้งรีบกระโดดจนกมุมโต๊ะไปที่อีกฝั่งที่ทะเลนั่งอย่างรวดเร็ว เพื่อปิดปากไอ้คนที่ทำท่าว่าจะพูดมากออกมา

“น้องล้งเล้งทำงี้”
“พวกพี่ยิ่งอยากรู้เลยนะเนี่ย”

บุ๋มบีมที่นั่งแทะเฟรนช์ฟรายพูดขึ้นมาอย่างสนใจ สองคนนั้นนับวันยิ่งหน้าเหมือนกันเข้าไปทุกวัน หากล้งเล้งไม่รู้พื้นเพมาก่อนต้องคิดว่ามันเป็นฝาแฝดกันแน่นอน

“ไม่ต้องสนใจ มันเป็นเรื่องไร้สาระ”
“เฮ้ยเราเข้าใจ พวกเราทุกคนต่างมียุคเทพซ่าด้วยกันทั้งนั้น ฮ่าๆ”

โซดาพูดบ้าง โซดาเป็นเพื่อนของทะเลกับมูที่มาดูหนังด้วยกัน  ล้งเล้งเองก็ไม่แน่ใจว่าเพื่อนคนนี้เรียนคณะอะไรเพราะไม่ได้สนใจขนาดนั้น โซดาเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ หน้าตาอิ่มเอิบรูปร่างจ้ำม่ำ ดูเป็นคนตลกเพราะระหว่างที่นั่งด้วยกันนี่ โซดาปล่อยมุกแป้กหลายครั้งมาก ซึ่งลูกคู่รับมุกก็คือบุ๋มบีมเจ้าเก่า

“เออๆ นั่นแหละๆๆๆ เป็นลายล้งเล้งเทพจังจ้า อิอิซ่า ห้าห้าบวก”

เด็กหนุ่มรีบเออออห่อหมกไปด้วย หวังให้ประเด็นสนทนาออกห่างจากเรื่องชุดน่าอายของเขาเสียที

“...”
“ยิ่งทำงี้ กูยิ่งอยากรู้”

เจ๋งเป้งเป็นคนที่พูดขึ้นมา ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ทุกคนในวงคิดตรงกัน อาจจะยกเว้นทะเลที่นั่งดูดน้ำไม่รู้ไม่ชี้ โดยมีล้งเล้งแยกเขี้ยวคู่อยู่ข้างๆ

“ก็บอกแล้วไงว่าอิอิซ่า ห้าห้าบวก มึงสนใจอะไร”
“น่าเชื่อมากไอ้เหี้ย”
“มีใครบอกมั้ย ว่ามึงโกหกได้กากมากจริงๆ”

เพื่อนในกลุ่มของล้งเล้งเริ่มออกความเห็นไปในทางเดียวกัน ซึ่งคนที่ตกเป็นเป้าเริ่มเลิ่กลั่ก เชี่ย พวกมึงคุยเรื่องการเมืองกันดิ เรื่องอากาศร้อนหนาวอะไรก็ทำไป มาสนใจเสื้อกูทำไมเนี่ย

“กูมีรูปนะ”
“เชี่ย!”

ล้งเล้งสบถเมื่ออยู่ดีๆ ทะเลก็พูดขึ้นมา ใบหน้าหล่อของทะเลที่ปกติแล้วแทบจะไม่แสดงอารมณ์อะไร บัดนี้มีรอยยิ้มกวนส้นตีนประดับอยู่

“ไอ้เหี้ย มึงไม่มี!”
“มี”
“ไม่มี!”
“มีจริงๆ”
“ไม่มี มึงโกหก มึงจะไปมีได้ไง!”
“กูขอพี่กุ๊กกิ๊กถ่ายจากอัลบั้มรูปบ้านมึงนานแล้ว ตอนไปหามึงที่บ้านแล้วมึงเรียนพิเศษ”

ล้งเล้งทำหน้าเหมือนตึกถล่ม ในเสี้ยวเล็กๆ ของจิตใจนึกโกรธพี่สาวที่ตอนนี้จ่ายค่าเทอมให้ ส่วนเสี้ยวใหญ่ในจิตใจคือนึกด่าไอ้เหี้ยทะเล มึงจะมาหากูที่บ้านทำไม! บ้านมึงก็ไม่ใช่ เสือกจริง!

“ไม่มี มึงลบไปแล้ว”
“กูเปิดให้ดูได้นะ”
“ไอ้สัตว์! มึงจะเอายังไง!”

ล้งเล้งถามอีกคนด้วยน้ำเสียงหาเรื่องตามปกติของเจ้าตัว ใบหน้าน่ารักบูดบึ้งอย่างหงุดหงิด เขาจะต้องทำยังไงไอ้ทะเลมันถึงจะคิดได้ว่าตัวเองควรบวชไม่สึกตลอดชีวิต แล้วหายไปจากชีวิตเขาสักที

“มาแข่งกัน”

ทะเลพูดพลางดูดน้ำคำสุดท้าย ก่อนจะวางแก้วลงกับโต๊ะ สีหน้าแสดงความมั่นใจนั่นทำให้ล้งเล้งหงุดหงิด มึงเป็นเหี้ยอะไรนักหนา

“ว้าว การแข่งขัน”
“น่าสนุก น่าสนุก”

บุ๋มบีมพูดต่อด้วยความสนใจ ตอนนี้ทั้งวงหันมาตั้งใจฟังในสิ่งที่ทะเลจะท้า ไม่เว้นแม้แต่มูที่ตอนแรกกำลังจัดคิวคนนัดดูดวงด้วยเช่นกัน

“น่าสนุกห่าอะไร มันแกล้งกูอยู่เนี่ย”

ล้งเล้งพูดกับเพื่อนของตัวเอง แต่ไม่มีใครสงสารเลย ทุกคนดูสนุกสนานกันมากกับการที่ทะเลกวนตีนเขา แม่งเอ๊ย ไม่มีมิตรแท้ในหมู่นักศึกษามหาลัย

“นั่นแหละที่น่าสนุก”

 เจ๋งเป้งเป็นคนตอบ ตอนนี้มันลูบหัวเขาเหมือนที่ชอบทำด้วย เอื้อมมือยาวๆ ผ่านหน้ามูมาลูบเนี่ย ซึ่งล้งเล้งปัดออกอย่างหงุดหงิด ไอ้เหี้ยนี่ก็ลูบหัวกูเป็นหมาเลย

“เอาไง กูเปิดรูปได้นะ”

ทะเลชูมือถือตัวเองขึ้น ทำท่าจะเปิดไปที่อัลบั้มจริงๆ ท่าทางไม่ล้อเล่นนั่นทำให้ล้งเล้งหงุดหงิด จากเดิมที่หงุดหงิดตลอดเวลากับเกือบทุกเรื่องอยู่แล้ว โดยเฉพาะเมื่อเป็นเรื่องของทะเล เขาหงุดหงิดสิบเท่าจากเวลาปกติไปเลย

“มึงสิ จะเอายังไง แข่งอะไรก็ว่ามา”

ล้งเล้งกระชากเสียงถามอย่างขุ่นเคือง ซึ่งนั่นเข้าทางเพื่อนสมัยเด็กหน้านิ่งของเจ้าตัวพอดี

“ถ้าตลอดการดูหนังนี่ มึงไม่เข้าห้องน้ำเลย มึงก็ชนะไป กูจะไม่โชว์รูปสมัยเด็กของมึง”
“แค่นี้อ่ะนะ?”
“แค่นี้แหละ”
“โหย กระจอก”

ล้งเล้งเชิดหน้าขึ้น ไม่ว่ามองจากมุมไหนเขาก็ชนะใสๆ อยู่แล้ว ไม่เห็นต้องพยายามอะไรเลย แค่อั้นฉี่ ฮี่โถ่!

ในขณะที่ล้งเล้งยินดีกับกติกากากๆ ของทะเลอยู่นั้น เพื่อนทุกคนที่เหลือมองหน้ากันไปมา มันจะรู้มั้ยว่าหนังที่กำลังจะดูกันคือหนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่มีความยาวสามชั่วโมง

“ยังไงกูก็ชนะ”
“แต่ถ้าแพ้ นอกจากกูจะเอารูปให้ดูแล้ว มึงต้องเลี้ยงข้าวเย็นด้วยนะ”
“เออ ได้! แต่ถ้ากูชนะมึงจ่าย! แล้วก็ต้องลบไอ้รูปเหี้ยนั่นด้วย”
“ไม่มีปัญหา”
“มึงเตรียมเก็บปากไว้แตกเถอะ ไม่ได้แดกข้าวกูแน่นอน!”


------- TBC -------



ห้าวสุดในหมู่บ้านแล้วน้องล้งเล้ง

ขอฝาก #รักไม่คาดคิดในวันพุธ ไว้ด้วยนะคะ <3
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 3 -- แข่งอะไรก็ว่ามา! (01/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: kingkongkaew ที่ 01-06-2019 20:05:30
ทะเลดูจะวนเวียนอยู่ในชีวิตล้งเล้งตลอด ล้งเล้งก็ดูล้งเล้งสมชื่อเมื่อเจอทะเล
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 3 -- แข่งอะไรก็ว่ามา! (01/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 02-06-2019 00:33:22
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 3 -- แข่งอะไรก็ว่ามา! (01/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 03-06-2019 08:41:54
เรียบร้อยเลยล้งเล้ง,,,
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 3 -- แข่งอะไรก็ว่ามา! (01/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: nisaday ที่ 03-06-2019 10:02:18
สงสารล้งเล้ง
ทะเลทำไมแกล้งอะไรแบบนี้มันเสียสุขภาพ
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 3 -- แข่งอะไรก็ว่ามา! (01/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Jiraapp ที่ 04-06-2019 21:47:17
ไม่น่ารอดอ่ะล้งเล้ง ทะเลไมขี้แกล้งจังฮะ
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 3 -- แข่งอะไรก็ว่ามา! (01/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: babybaphomet ที่ 08-06-2019 16:02:52
4th Wednesday
#รักไม่คาดคิดในวันพุธ


ถ้าถามว่าผลการแข่งเป็นอย่างไร ล้งเล้งก็จะบอกแค่ว่า ‘แพ้หมดรูป’

ใครจะไปคิดว่าการนั่งดูหนังยอดมนุษย์ทะเลาะกันในหนังเรื่องนึงมันจะยาวนานแสนสาหัสขนาดนี้ ตามปกติแล้วเขาไม่ใช่คนที่ลุกไปเข้าห้องน้ำระหว่างดูหนังบ่อยขนาดนั้น แต่นี่ก็กระเพาะปัสสาวะคนธรรมดาไง ไม่ใช่กำแพงเมืองจีนที่จะยืดยาวเหลือเฟือ พยายามสุดๆ ได้จนเกือบจะจบเรื่อง ไปตกม้าตายเอาชั่วโมงสุดท้าย ไม่ไหวแล้วจริงๆ เลยต้องยอมแพ้ ลุกไปเข้าห้องน้ำจนได้

เมื่อแพ้ ล้งเล้งก็ยอมรับผลของมัน

ซึ่งพอทะเลโชว์รูปนั่น มันเป็นแค่รูปเขาตอนสมัยประถม

มันเป็นรูปตอนที่เขาแข่งกีฬาสีรวมห้องประถมหนึ่งหรือสองนี่แหละ ตัวล้งเล้งเองก็จำไม่ได้เหมือนกันเพราะผ่านมานานมากแล้ว แต่เห็นตัวเองถือเหรียญยิ้มแช่งให้กล้อง พร้อมกับเพื่อนในห้องอีกหลายสิบชีวิต ซึ่งตรงขอบๆ รูปมีไอ้ทะเลนั่งทำหน้านิ่งอยู่

ไอ้สารเลว!

ล้งเล้งก็อั้นฉี่แทบตาย นึกไปสารพัดว่ามันจะเป็นเสื้อตัวน่าอาย I am a Barbie girl หรือตัวไหน เพราะหากให้พูดตามจริง เมื่อสมัยก่อนพี่กุ๊กกิ๊กไม่เคยปราณีเขาเลยสักนิด เจออะไรน่ารักๆ หน่อยก็ซื้อมาใส่ให้น้องชายตลอด ล้งเล้งยังจำได้ดีตอนที่ขนของเก่าไปบริจาค เสื้อผ้าของเขาล้วนแล้วแต่เป็นสีชมพูหวานแหววทั้งสิ้น

หลังจากดูหนังเสร็จ พวกเด็กหนุ่มทั้งหมดก็ยกโขยงมาที่ร้านอาหารญี่ปุ่นแบบบุฟเฟ่ต์ ตอนแรกล้งเล้งถึงกับหน้าซีดเมื่อเห็นว่าตัวเองจะต้องเลี้ยงอะไรเพื่อน แต่คนอื่นเหมือนจะเห็นใจเด็กหนุ่มเลยเสนอว่าต่างคนต่างจ่าย ยกเว้นคนเดียวที่จะให้ล้งเล้งเลี้ยงให้ได้

แน่นอนว่าคนนั้นก็คือ… ไอ้เหี้ยทะเล

“กินมั้ย?”
“ให้พ่อมึงกินนะ”

ล้งเล้งที่กำลังหงุดหงิดได้ที่ ปัดมือคนที่ยื่นอาหารมาจ่อปากอย่างไม่เบานัก หงุดหงิดที่ตัวเองแพ้ยังไม่พอ มานั่งร้านอาหาร พวกมูบุ๋มบีมแม่งส่งสายตา ‘มึงๆ คิดเหมือนกูป้ะ?’ ‘เออๆ กูก็คิดเหมือนมึงอ่ะ’ แล้วจับให้เขานั่งข้างกับไอ้ทะเลเฉย ซึ่งโซดาก็ดูไม่สนใจเลยว่าไม่ได้นั่งข้างเพื่อนตัวเอง แถมยังคุยเรื่องหนังกับเจ๋งเป้งที่เป็นแฟนหนังเรื่องที่เพิ่งดูกันอย่างออกรสอีกต่างหาก

“ถั่วแระผิดอะไร”

ทะเลพูดกับล้งเล้งนิ่งๆ เมื่อเห็นว่าถั่วแระของตัวเองกระเด็นลงไปที่พื้นเพราะฝีมือของอีกคน

“ผิดที่เป็นมึงเนี่ย!”

ล้งเล้งตอบกลับอย่างหัวร้อนตามเคย ไม่สนใจทะเลที่ยังคงทำหน้าตาไว้อาลัยถั่วแระตัวเอง อันที่จริงล้งเล้งก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันจะมาวุ่นวายอะไรกับเขานักหนา ทำไมมึงไม่นั่งนอกร้านไป รำคาญ

“ใจร้ายว่ะ ลูกหมา”
“เรียกกูลูกหมาอีกคำ แล้วข้าวกูจะไปอยู่บนหน้ามึง”
“อ่ะ จะป้อนเหรอ? เล็งดีๆ นะเดี๋ยวเข้าจมูก”

ทะเลพูดนิ่งๆ ก่อนจะอ้าปากเหมือนรอให้คนข้างๆ ป้อนอย่างที่ว่าไว้ แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นพริกป่นบนโต๊ะที่ล้งเล้งฉวยเอามาไว้ในมือแล้วเทใส่ปากอีกคนแทน ซึ่งนั่นทำให้คนตัวสูงไอหน้าดำหน้าแดง

“แคกๆ อะ… แค่ก!”
“อะไรมึง”
“ไอ้… แค่ก … ลูกหมาเหี้ย”
“กวนตีนกูยังเร็วไปร้อยปีครับ จำไว้”

ล้งเล้งกินอาหารตรงหน้าตัวเองต่อ โดยไม่สนใจทะเลที่ไอหน้าดำหน้าแดงอยู่ข้างๆ เลยแม้แต่น้อย สมน้ำหน้า อยากกวนส้นตีนดีนัก



------- Wednesday In Class -------



ล้งเล้ง แม่ขายของเจ๊งเลยต้องมาสอนพิเศษ -- 1 minute ago
สำหรับใครที่มองหาการสอนภาษาอังกฤษที่มีคุณภาพ ที่นี่เรามอบคลาสเรียนที่สนุกสนาน เฮฮา ปาร์ตี้ มีทั้งเพื่อนๆ คอยช่วยการบ้าน ครูสอนที่เป็นกันเอง ช่วยทำกันบ้าน ช่วยสอนแกรมม่า คำศัพท์ก็มา ตัวอย่างการใช้ก็มี
 
 สมัครคอร์สวันนี้ฟรีแม็คฟิช!!! Inbox เข้ามาเลยครับ!!
 
Liked by Tanjai Kraikiratikulchai, ซุกซน ใจทราม, and 67 others    8 comments
 
พ่อชื่อองแม่ชื่ออุ๋ม แต่ทำไมกูชื่อกึกก้อง : สมัครคร่าาาา
ล้งเล้ง แม่ขายของเจ๊งเลยต้องมาสอนพิเศษ เสือก!!! มึงทำ TU104 ยังวะ
พ่อชื่อองแม่ชื่ออุ๋ม แต่ทำไมกูชื่อกึกก้อง: เอ้า จารย์สั่งด้วยเหรอ?
ล้งเล้ง แม่ขายของเจ๊งเลยต้องมาสอนพิเศษ: อ่ะ กูถามคนผิดจริงๆ
พ่อชื่อองแม่ชื่ออุ๋ม แต่ทำไมกูชื่อกึกก้อง: ลอกมึงได้ป้ะ?
ล้งเล้ง แม่ขายของเจ๊งเลยต้องมาสอนพิเศษ: ถ้ามึงจะ F ก็อย่าลากกูเข้าไป   
   พ่อชื่อองแม่ชื่ออุ๋ม แต่ทำไมกูชื่อกึกก้อง : ไม่ต้องห่วง กูคิดว่ากูไปซุยพรุ่งนี้เช้าได้ กูเรียน  D
   Tanjai Kraikiratikulchai : สู้ๆน้า


คอมเมนต์ล่าสุดของรุ่นพี่ในคณะทำให้เด็กหนุ่มยิ้มออกมา Tanjai Kraikiratikulchai คือเฟซบุ๊คของพี่แทนใจ อันที่จริง พี่แทนใจไม่เชิงเป็นรุ่นพี่โดยตรง เขาเป็นคนที่เด็กหนุ่มเช่าหอต่อในปีที่แทนใจเรียนจบพอดี ซึ่งคุยไปคุยมารุ่นพี่คนนี้ดันเข้ากับเขาได้ดีกว่าที่คิด พวกเขาทั้งคู่เลยติดต่อกันตั้งแต่ตอนนั้นมาจนถึงตอนนี้ บางครั้งเวลามีเรื่องอะไรในมหาลัย หรือคณะที่ไม่รู้จะถามใคร แทนใจถือเป็นคนแรกๆ ที่ล้งเล้งจะคิดถึง


อาจจะเพราะพี่แทนใจให้ความรู้สึกคุยง่าย เป็นกันเอง แถมยังเป็นรุ่นพี่ที่น่ารัก คอยช่วยเหลือตลอดเลย
พอพี่แทนใจทักมาว่าจะให้น้องชายมาเรียนพิเศษด้วยกัน ล้งเล้งตอบรับทันที และตอนนี้พวกเขากำลังคุยกันเรื่องรายละเอียดการเรียนของน้องชายพี่แทนใจอยู่ 


“เดี๋ยวผมสอนฟรีให้ก็ได้”
“เฮ้ยย ไม่ได้ๆๆ”


รุ่นพี่ร่วมคณะปฏิเสธผ่านสายโทรศัพท์ทันที ด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่เป็นกันเองของเจ้าตัว


“ล้งเล้งเรียนมาตั้งนาน จะมาเหนื่อยฟรีได้ยังไง”
“ไม่เป็นไรจริงๆ พี่ ตอนนั้นพี่แทนใจก็ช่วยเล้งไว้เยอะเลย”
“มันแค่เรื่องเรียนนิดหน่อยเอง พี่เรียนมาตั้งสี่ปี ไม่ได้มีอะไรสักหน่อย แต่สอนพิเศษมันเหนื่อยนะ เอาเงินไป พี่ทำงานแล้ว พี่จ่ายได้ ห้ามดื้อกับพี่นะ!”
“ฮ่าๆ ถ้าพี่ว่างั้นก็ได้ครับ”
“ดีมากเจ้าล้งเล้ง” พวกเขาหัวเราะกันเล็กน้อย ก่อนที่แทนใจจะพูดต่อ “ฝากดูน้องชายพี่ด้วยนะ เอาจริงน้องชายพี่หัวไว แต่ไม่ค่อยเก่งอังกฤษ เมื่อก่อนพี่ก็สอนน้องเอง แต่ตอนนี้พี่งานเยอะมากเลย บางวันก็เลิกเย็น สอนเองไม่ได้”

“โอเคเลยพี่ ไม่ต้องห่วง ว่าแต่น้องพี่ชื่ออะไรครับ?”


แทนใจเงียบไปสักพัก ก่อนจะพูดด้วยเสียงเริงร่าตามปกติของเจ้าตัว


“น้องชายพี่ชื่อ...แทนกาย”


.
.
.


วันพุธหลังจากนั้น ในคลาสของล้งเล้งก็มีนักเรียนเพิ่มมาหนึ่งคน


แทนกายเป็นเด็กผู้ชายเงียบๆ ยิ้มเก่ง อันที่จริงน้องหัวไวระดับที่ว่าพอมานั่งเรียนแล้ว แม้กระทั่งโจ้ที่มักจะหัวไวที่สุดในกลุ่มยังอึ้งๆ เวลาที่เห็นการบ้านของแทนกาย ซึ่งตัวล้งเล้งเองแทบหาข้อผิดพลาดจากการบ้านของน้องเขาไม่เจอเลย มีเพียงบางอย่างที่คอมเม้นต์เพิ่มไป เพื่อทำให้น้องได้เรียนรู้คำศัพท์เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น


น้องชายของแทนใจฉลาดเสียจนล้งเล้งไม่แน่ใจว่าแทนกายจะต้องการติวเตอร์ไปเพื่ออะไร


ถึงแม้จะเป็นเด็กที่ดูเงียบไปบ้าง แต่แทนกายดูโดดเด่นออกมาแม้น้องจะนั่งอยู่เฉยๆ ใบหน้าที่คล้ายกับพี่แทนใจราวกับเป็นฝาแฝดเป็นหลักฐานชั้นดีที่บอกว่าสองคนนี้เป็นพี่น้องกัน หากแต่แทนกายดูต่างจากพี่ชายของตัวเองอยู่มาก อย่างแรกคือ แทนกายค่อนข้างสูง อย่างที่สอง เด็กชายจะนิ่งกว่าแทนใจ ดูจนบางครั้งให้ความรู้สึกว่าเป็นคนที่มีเรื่องอะไรในใจตลอดเวลา


อย่างสุดท้าย … แทนกายดูมีแววตาที่อัดแน่นด้วยความเศร้าโศก


ไม่ว่าจะยิ้มสักแค่ไหน แต่ลึกๆ ด้านในก็ยังดูเศร้าอยู่ดี


นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่ในคลาสของล้งเล่งมีห้าคน น้องลิลลี่ยังคงมาลอกงานเพื่อน ลูกเกดทำการบ้านผิดทุกข้อเหมือนเดิม โจ้กับแทนกายก็ยังคงเงียบ ส่วนต้นก็ยังคงไม่สนใจเรียนเหมือนเคย


“ไอ้ต้น! เก็บมือถือ”
“โหยพี่ แป๊บนึง”


ไอ้เด็กกวนประสาทโอดครวญเมื่อยังตอบข้อความในแอพแชทไม่เสร็จ หากเป็นปกติเขาคงยื่นมือไปหยิบมือถือของอีกฝ่ายมาคว่ำไว้กับโต๊ะ แต่ตอนนี้พวกเขาไม่ได้นั่งติดกัน ติวเตอร์คนเก่งเลยทำแค่พูดกับเด็กน้อยเท่านั้น


“ตอบไลน์ได้ ก็ต้องตอบคำถามพี่ได้ ข้อ 5 ตอบอะไร”
“ยังทำไม่ถึงเลยพี่”
“งั้นทำถึงข้อไหน?”
“ยังไม่ทำสักข้อ”
“ไอ้ต้น!”


ล้งเล้งเอาชีทเคาะหัวเด็กกวนประสาทไม่แรงนัก ซึ่งไม่ทำให้เด็กนักเรียนสะทกสะท้าน ต้นยังคงหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างอารมณ์ดี


“มันสำคัญนะเว้ย ถ้าแกอ่านประโยคพวกนี้ไม่รู้เรื่อง แกจะอ่านบทความในข้อสอบ GAT  ได้ช้ามากเลยนะ มันจะงงมาก ถ้าทำคะแนน GAT ได้ดีโอกาสติดมหาลัยทีอยากเข้ามากขึ้นนะ”


ล้งเล้งอธิบายสิ่งที่ตัวเองสอนไปพร้อมกับพูดถึงความสำคัญของบทเรียนไปด้วย เด็กที่เขาสอนอยู่ทุกคนตอนนี้อยู่มอหก ยังไม่ทันหายใจทั่วท้องก็ต้องไปตะลุยสอบเข้ามหาลัยแล้ว เขาไม่อยากเห็นน้องเข้าไปในห้องสอบแล้วนั่งสวดมนต์ หรือคิดว่าตัวเองน่าจะตั้งใจเรียนมากกว่านี้


เขาเข้าใจ เพราะล้งเล้งผ่านมาทั้งหมดแล้ว


“โหย ก็พวกผมมาเรียนแล้วนี่ไง มันก็ต้องทำได้อยู่แล้วป่าว”
“การบ้านไม่ทำ มันจะได้ฝึกมั้ยเนี่ย?”
“ฟังที่พี่สอนมันก็เหมือนฝึกแล้วไง”
“เหมือนกันที่ไหนเล่า”
“พี่ก็ทำให้เหมือนดิ”
“ไอ้ต้น!”


ตอนที่ล้งเล้งกำลังจะว้ากเด็กที่ไม่ตั้งใจเรียนนั้นเอง เสียงยานคางจากทางด้านหลังก็ดังแทรกขึ้นมาให้ได้ยินทันที 


“ทะเลาะกับเด็กอีกแล้วเหรอลูกหมา”


แน่นอนว่าเป้าหมายของคุณครูพี่ล้งเล้งก็เปลี่ยนจากเด็กไม่ตั้งใจเรียน ไปเป็นบุคคลที่มาใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย


“เสือก!”


ทะเลยิ้มนิดๆ คล้ายกับว่าพอใจนักหนาที่อีกคนหันหน้ามาเหวี่ยงคำด่าใส่ ยักไหล่ที่สะพายกระเป๋าหนังเหมือนกับกับคนที่ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ความจริงล้งเล้งไม่แน่ใจว่าอีกคนเรียนคณะอะไรกันแน่ เขามีทะเลเป็นเพื่อนในเฟซ (เพราะเคยต้องทำงานด้วยกัน) ก็จริง แต่ไม่เคยสนใจมันเลยแม้แต่น้อย แล้วก็ไม่อยากสนใจด้วย


“คิดถึงมึงเหมือนกัน”
“มึงเป็นบ้าเหรอ?”


ล้งเล้งถามกลับทันทีด้วยเสีงเบื่อๆ กะว่าถ้ามันยอมรับว่าเป็นบ้า เขาจะจับมันส่งโรงพยาบาล จะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายกันอีก


“ไม่ต้องเขินนะลูกหมา”
“คือมึงเป็นบ้าจริงๆ ใช่มั้ย?”


ล้งเล้งถามอย่างเริ่มไม่แน่ใจนัก แต่เมื่อคิดได้ว่าทะเลเป็นแค่ไอ้ทะเลเขาจึงยักไหล่ไม่สนใจ จะเป็นอะไรก็เป็นไปไม่เกี่ยวกับล้งเล้งอยู่แล้ว เมื่อคิดได้ดังนั้นติวเตอร์หนุ่มก็หันหน้ามาหาเด็กที่ตัวเองดูแลต่อ ตอนนี้ทุกคนนั่งตาปริบๆ เหมือนจะสนใจกับการปะทะกันตรงหน้าของติวเตอร์ตัวเองกับรุ่นพี่อีกคนตรงหน้า มากกว่าบทเรียนที่เมื่อครู่ล้งเล้งพยายามจะยัดใส่หัว


“ลูกหมาสอนไรอ่ะวันนี้?”
“น้องมึงยังไม่มาหรือไง? ไปสอนเด็กมึงสิวะ!”
“วันนี้ไม่มีสอน น้องจะสอบ”
“อ้าว”
“มาเสือกมึงเฉยๆ”
“ไอ้เวร”


ทะเลยกมุมปากคล้ายกับจะยิ้มพึงใจ ในขณะที่ล้งเล้งหัวฟัดหัวเหวี่ยงจนไม่ได้ทันสังเกต เด็กๆ ที่นั่งเรียนพิเศษมองหน้ากันไปมา บทเรียนเรื่องการอ่านพารากราฟถูกเปิดเอาไว้แต่ไม่มีใครสนใจแล้วแม้กระทั่งแทนกายที่เพิ่งเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ครั้งแรก


“พี่คนนี้คือพี่ทะเล” ลูกเกดพูดกับแทนกายที่นั่งมองคนสองคนที่ยังเถียงกันอยู่ “เป็นติวเตอร์เหมือนกัน”
“เขาเป็นแบบนี้กันตลอดเลยเหรอ?”


แทนกายถามเพื่อนที่เรียนพิเศษด้วยกัน ตอนนี้ล้งเล้งโมโหจนไปยืนเท้าเอวมองหน้าคนที่สูงกว่าเป็นวาแล้ว ดูจากมุมของเด็กหนุ่มแล้ว เหมือนกับหมาปอมกับเจ้าของเลย


“ถ้าเจอพี่ทะเลเมื่อไหร่ ก็เถียงกันแบบนี้ทุกครั้งแหละ”
“อ๋อ…”


เป็นเวลาหลายนาที กว่าล้งเล้งจะกลับมานั่งหัวเสียที่ที่นั่งของตัวเองเหมือนเดิม เด็กๆ มองหน้ากัน ดูทรงยังไงก็รู้ว่าแบบนี้เถียงแพ้มาแน่นอน


“เด็กๆ เดี๋ยวทำแบบฝึกหัดนี้นะ”


ล้งเล้งบอกก่อนจะนั่งลง ปวดหัวชะมัด ตอนนี้ไม่รู้แล้วว่าหัวที่ร้อนอยู่ตอนนี้เพราะอุณหภูมิประเทศไทยหรือเพราะไอ้เหี้ยทะเล


“ลูกหมา กูทำด้วยได้มั้ย?”


น่าจะหัวร้อนเพราะไอ้เหี้ยทะเล


“เสือก!”


ให้ตายสิ เขาเกลียดไอ้เหี้ยทะเลจริงๆ!


.
.
.


วันนี้เขาจะหนีมัน 


ล้งเล้งตั้งใจไว้ตั้งแต่นั่งรถออกจากมหาลัย วันนี้เขาจะเปลี่ยนที่สอนจากร้านแมคโดนัลที่นั่งประจำไปเป็นที่อื่น ที่ไหนก็ได้ที่จะไม่เจอทะเล


 หากพูดตามตรงการเถียงแพ้ทะเลบ่อยๆ ทำให้เขาหงุดหงิด มันดูไม่เป็นผู้ใหญ่เวลามาเถียงกับติวเตอร์อีกคนต่อหน้าเด็ก แต่ถามว่าห้ามตัวเองได้มั้ย? แน่นอนว่าไม่ ก็ไอ้เหี้ยนั่นมันมากวนตีนก่อน! เขาก็ต้องด่ามันก็ถูกแล้วหรือเปล่า


ความผิดไอ้เหี้ยทะเลคนเดียว!


น้องๆ ของครูล้งเล้งผู้หล่อเหลา (6)
ล้งเล้ง: ยังไม่ถึงกันใช่ป้ะ?
ล้งเล้ง: วันนี้เราเรียนกันที่สตาร์บัคนะ
ล้งเล้ง: ตรงสยามวัน สาขาที่มี 3 ชั้นนะ
ล้งเล้ง: ถ้าหาพี่ไม่เจอ โทรมาได้ๆ



รอไม่นานน้องๆ ก็เริ่มตอบกลับมา ส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาอะไร มีบางคนที่ไม่ได้ตอบอะไร แต่เมื่อขึ้นว่าอ่านครบหมดทั้งกลุ่ม ล้งเล้งถือว่าตัวเองบอกน้องแล้วเรียบร้อย ถ้าน้องไม่มาเขาค่อยโทรตามทีหลัง


ครึ่งชั่วโมงแรกของการสอนเป็นไปด้วยดี


น้องเกือบทุกคนมาตรงตามเวลา ส่วนต้นก็บอกจะมาแต่เลยเวลามาครึ่งชั่วโมงแล้วยังไม่โผล่ ล้งเล้งถอดใจเรื่องเด็กนักเรียนคนนี้ของตัวเองไปแล้วเรียบร้อย


อยากมาค่อยมาละกัน


จริงอยู่ที่เขาชอบสอน รักเวลาที่เห็นน้องเข้าใจในสิ่งที่สอน แต่ถ้าน้องไม่รับเขาก็ไม่จับกรอกปากเด็กแน่นอน ทุกคนที่อยู่ในคลาสอยู่มัธยมหกกันหมด อายุสิบเจ็ดสิบแปดกันหมดแล้ว เป็นอายุที่ควรจะมีความรับผิดชอบมากพอที่จะรู้ว่าตัวเองควรหรือไม่ควรทำอะไร


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้นโดดเรียน


การสอนของเขาตามปกติ ล้งเล้งยอมรับคำติและพยายามปรับปรุงคลาสจากฟี๊ดแบคของน้องๆ ตลอด ช่วงแรกน้องบอกว่าเขาพูดเร็วเกินไป ตอนนี้เขาก็พูดช้าลงเยอะมากๆ น้องตามไม่ทันเพราะตัวอย่างยากเกินไป ล้งเล้งก็เปลี่ยนสื่อการสอนให้ง่ายขึ้น แต่ไม่ใช่ง่ายเกินไปจนเด็กไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากการเรียนกับเขา บางทีล้งเล้งก็อยากให้น้องต้นตั้งใจเรียนเหมือนกับโจ้ หรือน้องแทนกายบ้าง


เขาเต็มที่กับน้อง ถ้าน้องไม่อยากได้ ล้งเล้งก็จนปัญญา


“สอบเป็นไงมั่งลูกเกด? ลิลลี่?”


เด็กผู้หญิงสองคนที่นั่งทำชีทที่เขาให้เงยหน้าขึ้นมา เมื่อวานน้องสองคนนี้มีสอบภาษาอังกฤษ ล้งเล้งจึงถามถึงฟี๊ดแบคการสอบของน้อง ใบหน้าของลิลลี่มีรอยยิ้มมั่นใจ ในขณะที่ลูกเกดมียิ้มแหยเป็นคำตอบ


“ติดตรงไหน? พี่จะได้ช่วยอธิบายเพิ่ม”
“หนู… ไม่แน่ใจคำศัพท์”
“มีตัวอย่างมั้ย? ข้อสอบของอาจารย์เป็นเรื่องอะไร?”


ในขณะที่พวกเขากำลังคุยกันเรื่องข้อสอบของน้องที่เพิ่งผ่านมาในเวลาพักครึ่งของการสอนครั้งนี้นั้น เสียงยานคางจากข้างหลังก็ดังขึ้นมา


“บังเอิญจังเลย เจอครูพี่ล้งเล้งที่นี่ได้ยังไงเนี่ย?”


ไอ้เหี้ย! ยังจะตามกูมาถึงนี่!


ล้งเล้งถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด เมื่อหันไปข้างหลัง นอกเหนือจากชาวต่างชาติหนึ่งคนที่นั่งอยู่ตรงมุมร้าน กับนักศึกษาสองสามคนที่นั่งคุยงานกันอยู่ไม่ไกล มีไอ้ทะเลยืนยิ้มด้วยสีหน้ากวนตีนเหมือนอย่างเคย


“เสือก!”
“ลูกหมาพูดจาไม่น่ารัก”


ทะเลขมวดคิ้วเหมือนกับจะติ ในขณะที่ยกแก้วชาเขียวปั่นของตัวเองขึ้นมาดูด ส่วนเด็กสองสามคนที่เดินตามมาข้างหลังนั้น เดินไปหาที่นั่งกันเป็นกลุ่ม คล้ายกับจะรู้ว่าสงครามระหว่างติวเตอร์สองสถาบันไม่จบลงง่ายๆ


“มึงมาได้ไง? ไอเหี้ย! รู้ได้ไงว่ากูจะสอนน้องที่นี่?!”
“ไม่รู้สิ”


ทะเลตอบเสียงยานคางอย่างกวนประสาทในสายตาของล้งเล้ง ยิ่งท่าทางเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทั้งที่เขาแทบลุกขึ้นมาชี้หน้าอีกฝ่ายด้วยความหงุดหงิด


“ไปนั่งไกลๆ กูเลย ที่นี่มีตั้งสามชั้น ขึ้นมาทำเหี้ยอะไรชั้นสาม!”
“ตอนแรกก็ตั้งใจจะอยู่ชั้นหนึ่ง แต่พอดีขายาว เลยเดินเลยมาถึงชั้นสาม”
“...”
“แหม่ แย่จังเนอะ”
“ไอเหี้ย! มึงด่ากูขาสั้นเหรอ?!”


ล้งเล้งยืนขึ้นมา โดยไม่สนใจว่าน้องแทนกายที่เงียบๆ มาตั้งแต่ต้นจะมองด้วยสายตางุนงงว่าติวเตอร์ของตัวเองทำลังจะทำอะไร (ส่วนเด็กคนอื่นนั้น มองเหมือนกำลังดูเรื่องสนุกสนาน)


“นั่นมึงพูดออกมาเอง”
“มึงหมายความว่าแบบนั้น”
“ไม่ใช่เว้ยลูกหมา กูแค่บอกว่ากูขายาว ไปเรียนภาษาไทยใหม่นะ”
“หน้าอย่างมึงน่ะเหรอ กล้ามาสอน…”


“ขอโทษนะครับคุณลูกค้า”


ก่อนที่พวกเขาสองคนจะทะเลาะกันไปมากกว่านี้ พนักงานหนุ่มของร้านกาแฟเรียกพวกเขาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม


“รบกวนคุณลูกค้าลดเสียงลงหน่อยนะครับ เพราะมีลูกค้าท่านอื่นกำลังใช้บริการอยู่ด้วยเช่นกันครับ”


พวกเขาขอโทษขอโพยหนักงานไปแล้วแยกย้ายกันนั่งลงในที่ตัวเองอย่างเงียบๆ ซึ่งทะเลเหมือนกับจะไม่ได้รู้สึกอะไรมาก ใบหน้านิ่งของทะเลมีรอยยิ้มเล็กๆ คล้ายกับกำลังพึงใจ ในทางตรงกันข้าม ล้งเล้งที่ยอมนั่งลงในที่ของตัวเองอย่างจ๋อยๆ ตวัดสายตาแข็งกร้าวไปที่คู่แข่งทางการค้า ที่ยังนั่งดูดชาเขียวปั่นของตัวเองอย่างสบายอารมณ์และกวนส้นตีนในสายตาของล้งเล้ง


ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้เหี้ย!

ไอ้ทะเล ไอ้เวร! กูเกลียดมึง!!

จะไม่มีวันญาติดีด้วยเลย คอยดูเถอะ!!!




------- TBC ------- 


จะไม่มีวันญาติดีด้วยแหละ! คอยดูกันไว้นะคะ ไม่ญาติดี!! อิ___อิ

#รักไม่คาดคิดในวันพุธ
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 4 -- ไม่ญาติดีด้วยหรอก! (08/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 08-06-2019 17:00:19
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 4 -- ไม่ญาติดีด้วยหรอก! (08/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 08-06-2019 19:20:18
 o13 o13
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 4 -- ไม่ญาติดีด้วยหรอก! (08/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 09-06-2019 00:53:51
ตามไปทุกที่เลยนะ,,,
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 4 -- ไม่ญาติดีด้วยหรอก! (08/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: nisaday ที่ 09-06-2019 23:45:28
น้องต้นเป็นสายให้พี่ทะเลใช่มั้ย55555
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 4 -- ไม่ญาติดีด้วยหรอก! (08/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: babybaphomet ที่ 12-06-2019 20:38:38
5th Wednesday

#รักไม่คาดคิดในวันพุธ




ปวดหัวชะมัด





ล้งเล้งรู้สึกเหมือนตัวเองอยากจะอ้วกตลอดเวลาตอนที่นั่งอยู่บนรถตู้ที่กำลังจะไปสอนพิเศษเหมือนกับปกติทุกสัปดาห์ที่เขาทำเป็นกิจวัตร แต่วันนี้ต่างจากทุกวันเล็กน้อย เขารู้สึกเหมือนหัวตัวเองพร้อมจะระเบิดออกมาในสิบหรือยี่สิบนาทีข้างหน้า



ล้งเล้งไม่สบาย



หากพูดด้วยความสัตย์จริง ล้งเล้งรู้สึกไม่ดีมาตั้งแต่เช้าแล้ว ไม่บ่อยนักที่เด็กหนุ่มจะป่วย แต่เวลาเป็นที่เขารู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย วันนี้เองก็เช่นกัน เมื่อวันจันทร์เด็กปีหนึ่งตากฝนตอนที่ช่วยเพื่อนระบายสีโต๊ะ (ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมของคณะที่ล้งเล้งเรียน หนึ่งในกิจกรรมมหาศาลที่เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองจะมีเวลาทำทุกอย่างที่รุ่นพี่พูดหรือไม่)



กว่าจะกลับถึงห้อง กว่าจะได้พักก็สี่ทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว ไหนเขาจะต้องอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวทำควิซภาษาจีนในวันรุ่งขึ้น ซึ่งตรงนี้ตอนที่เลือกเรียนภาษาจีน เขารู้อยู่แล้วว่ามันจะหนักหนา แต่ไม่มีใครเตือนว่ามันจะหนักขนาดที่ต่อให้ป่วยก็ยังต้องถ่างตาขึ้นมาอ่านหนังสือเพื่อสอบ



พอวันอังคารมาถึง เขาก็ต้องตื่นมาเรียนแต่เช้าจรดเย็น ควิซภาษาจีนที่ยากจนทำให้ปวดหัวเข้าไปอีก ตอนเที่ยงกินข้าวกับเพื่อน ซึ่งไอ้มูก็ใส่ชุดสีส้มแปร๊ด ระดับที่เขาสงสัยว่านี่มันคือสีมงคลของวันอังคาร หรือเพื่อนของตัวเองกำลังซ้อมเป็นกรวยจราจร



ช่วงบ่าย เด็กหนุ่มต้องเข้าไปนั่งฟังบรรยายที่ห้องเรียนใหญ่ ถึงแม้จะเหมือนว่ามีเวลานอน แต่ล้งเล้งไม่สามารถนอนได้ ไม่มีเขาก็ไม่มีใครจดโน๊ตแล้ว บุ๋มบีมเถียงกันเรื่องหมี่หยกต้องลวกหรือไม่ลวก เจ๋งเป้งหลับ มูเตลูนั่งเช็คดวง



เลือกเพื่อนผิดคิดจนตัวตาย



พอตกเย็น เขาก็ต้องเข้ากิจกรรมกับเพื่อนๆ ในโต๊ะเหมือนเดิม ตอนแรกเขาบอกแกนโต๊ะปีสอง (แกนโต๊ะ คือตำแหน่งของกิจกรรมกลุ่มสำหรับคณะ และมหาลัยของเขา เป็นคล้ายๆ กับผู้นำของกลุ่มที่ร่วมทำกิจกรรมร่วมกัน) ว่าตัวเองเหมือนจะรู้สึกไม่ดี อยากขอกลับห้องไปนอน แต่เมื่อเห็นว่าแทบไม่มีใครมาทำกิจกรรมเลย ตัวเองเลยต้องอยู่เพื่อช่วยเพื่อนระบายสีให้เสร็จ



ล้งเล้งจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเมื่อคืนเขากลับมาถึงห้องกี่โมง รู้แค่ว่าหัวถึงหมอนปุ๊บก็หลับปั๊บ ไม่ได้อาบน้ำด้วยซ้ำ ตื่นมาก็รีบๆ ลวกๆ มาเรียน อย่าว่าแต่กินยาเลย แค่เวลาจะพักผ่อนยังแทบไม่มี จนตอนนี้เขาก็ยังไม่ดีขึ้นเลยสักนิด หัวมันหนักเหมือนกับจะหาหมอนตลอดเวลาแม้ตรงหน้าเป็นถาดเฟรนช์ฟรายก็ตาม 



เพื่อนในกลุ่มก็เตือนให้เขาโดดไปนอน เพราะหน้าตาของล้งเล้งดูเหมือนศพเดือนได้ แต่ตัวเขาต้องเข้าเพราะไม่รู้ว่าอาจารย์จะเอาอะไรมาออกสอบ เด็กๆ เองก็ขาดเรียนไม่ได้



และในฐานะติวเตอร์ เขาเองก็จะไม่ขาดสอนเช่นเดียวกัน



“ต้นล่ะ?”



ล้งเล้งถามเด็กๆ ตอนที่ถึงเวลาเรียนแล้ว ทุกคนนั่งมองหน้าเขาเพื่อรอเริ่มเรียนในวันนี้ แต่เขาไม่เห็นน้องคนที่มักจะมาสายเป็นประจำอยู่ในคลาส



“ต้นบอกผมว่า เดี๋ยวมันมาชั่วโมงที่สองอ่ะพี่”

“ทำไม?”

“มันไลน์มาบอกว่ามีงานที่โรงเรียน ไปเอาคะแนนสอบก่อนด้วย”



โจ้พูดพร้อมกับเปิดมือถือเป็นหลักฐานว่าตัวเองได้คุยกับเพื่อนร่วมคลาสทางแอพแชทจริงๆ ซึ่งล้งเล้งก็ทำแค่เพียงพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเก็บชีทแผ่นสุดท้ายที่เพิ่งหยับออกมาจากแฟ้มกลับเข้าไปที่เดิม



“โอเค วันนี้เรามาต่อกันที่...”




การสอนดำเนินไปอย่างเชื่องช้ากว่าทุกครั้ง ปัญหาหลักเกิดมาจากการที่ตัวล้งเล้งปวดหัวจนพูดได้น้อยลงกว่าปกติมาก แถมยังต้องมาตรวจงานเขียนของน้องที่เขาสั่งไว้เป็นการบ้านอีก มันเลยยิ่งกินเวลาการสอนเข้าไปกันใหญ่



ปวดหัวฉิบหาย




ล้งเล้งสะบัดหัวเล็กน้อย ตอนนี้ครบสองชั่วโมงที่เขาสอนเด็กน้อยไป น้องๆ เกือบทั้งหมดแยกย้ายกันกลับหมดแล้ว เหลือเพียงล้งเล้งที่ยังคงไม่ลุกไปไหนเพราะมึนหัว กับแทนกายที่มีนัดที่แม็คโดนัลสาขาสยามเลยยังนั่งอยู่เป็นเพื่อนล้งเล้ง ตอนแรกเด็กโจ้เหมือนจะอยู่ด้วย แต่เพราะที่บ้านโทรมาเลยต้องรีบกลับบ้านก่อน




“พี่ไม่สบายเหรอ?”

“อืม” ล้งเล้งรับคำสั้นๆ ตอนที่แทนกายถาม เขาหลับตาลงเมื่อรู้สึกว่าสมองจะระเบิด “ดูออกเลยเหรอ?”

“มั้ง ผมก็แค่เดาเอา ไม่รู้จริงๆ หรอก”




แทนกายตอบ เด็กหนุ่มเงยหน้าจากโทรศัพท์มือถือขึ้นมามองรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ตรงหน้า อะไรบางอย่างของพี่ล้งเล้ง ทำให้เด็กหนุ่มนึกถึงพี่แทนใจ พี่ชายของตัวเอง เขาสนิทกับพี่แทนใจมาก แต่ยังคงมีช่องว่างของช่วงวัย เหมือนกับคู่พี่น้องหลายๆ คู่ เรื่องบางอย่างเขาก็ไม่อยากให้พี่รู้



“...”

“ก็พี่ดูพูดช้าลง ขยับตัวช้าลง แถมยังดูเหนื่อยๆ ตอนแรกผมก็คิดว่าพี่อาจจะแค่เหนื่อยจากกิจกรรมที่มหาลัย แต่พอสังเกตดีๆ พี่มีเหงื่อออกตลอดเวลาเลย”

“...” ไอ้เด็กนี่เป็นโคนันหรือไง?

“ก็เลยคิดว่าน่าจะป่วย”

“อืม ก็ประมาณนั้น”



ล้งเล้งบอกปัด นิสัยที่ไม่ชอบแสดงความอ่อนแอต่อหน้าคนอื่นยังคงอยู่ โชคดีที่ไอ้เหี้ยทะเล (ที่มานั่งจุ้มปุ๊ก อยู่โต๊ะข้างเขาตลอดเวลาที่สอน) เดินหายหัวไปแล้ว ไม่อย่างนั้นมันต้องล้อเลียนเขาอย่างแน่นอน



“ไม่ไปหาหมอเหรอ?”

“ไม่ว่าง”

“อืม”




พวกเขาเงียบกันอยู่แบบนั้นสักพัก ล้งเล้งตั้งใจจะกลับหอ แต่เมื่อเห็นว่าแทนกายยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ชายหนุ่มก็ตัดสินใจว่าจะรอให้แทนกายมีคนมาหาก่อน



“พี่กลับบ้านไปเถอะ”

“แล้วเราล่ะ?”

“ผมรอ… คนมาหา”




ล้งเล้งคิดว่าเขาอาจจะรู้สึกไปเอง แต่น้ำเสียงของเด็กหนุ่มดูเหมือนมีอะไรมากกว่านั้น




“พี่จะรอให้เขามาก่อน”

“อย่าเลยครับ ไม่เป็นไร กลับไปเถอะ”

“เกิดคนนั้นมาสาย เราก็ต้องอยู่คนเดียวอ่ะดิ?”

“อืม ก็คงต้องเป็นแบบนั้น”

“นี่แหละ ให้พี่อยู่เป็นเพื่อนก่อน”

“อ่า ครับ แล้วแต่พี่”




พวกเขานั่งอยู่แบบนั้นสักพัก จนกระทั่งล้งเล้งคิดว่านี่มันนานมากเกินไปแล้ว คนที่น้องแทนกายรอก็ไม่มีท่าทีจะมาเสียที




“แทนกาย นัดใครไว้เหรอ”

“เพื่อนครับ”

“เขาจะมาหรือเปล่า?”

“ไม่รู้ครับ”

“ไม่รู้?”




ติวเตอร์หนุ่มถามกลับ แทนกายที่ยังคงอยู่ในชุดนักเรียนตรงข้ามเขาพยักหน้าตอบเบาๆ ใบหน้าที่เรียกได้ว่าสวยระบายยิ้มเล็กน้อย ที่อัดแน่นไปด้วยความสิ้นหวัง




“เขานัดผมไว้ตั้งแต่เมื่อชั่วโมงที่แล้ว”

“แล้วเราก็รอ”

“อือ”

“...”

“ก็ผมทำได้แค่นี้”




ล้งเล้งขมวดคิ้วกับคำตอบนั้น เขาไม่เข้าใจ ไม่แน่ใจว่าเพราะอาการปวดหัวที่มากขึ้นจนตอนนี้ตื้อไปหมดหรือเปล่าที่ทำให้เขาไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มกำลังพูดถึงอะไรกันแน่




“ถ้าเขาไม่มาก็กลับกันเถอะ”

“พี่ล้งเล้ง ไหวมั้ย?”

“ไหวดิ ทำไมอ่ะ?”




ยังไม่ทันที่ล้งเล้งจะได้พูดอะไรเพิ่มเติม เขาก็เห็นว่ามีคนหนึ่งเดินตรงมาทางนี้ ซึ่งเมื่อหรี่ตามองดีๆ ล้งเล้งก็เห็นว่าคนที่เดินมาคือเด็กที่ควรจะมานั่งเรียนในคลาสวันนี้




น้องต้น




“ต้น? ทำไมเพิ่งมา?”




ล้งเล้งถามอีกฝ่ายออกไป แต่เหมือนเด็กตรงหน้าไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่พร้อมจะรับสารที่เขาจะสื่อมากเท่าไหร่นัก น้องต้นที่เคยน่ารัก และกวนประสาทเวลาเรียน กลับเดินมาพร้อมกับกระดาษแผ่นหนึ่งในมือ




“พี่สอนเหี้ยอะไร?”

“ฮะ?”

“ผมถามว่าพี่สอนเหี้ยอะไร ทำไมคะแนนควิซผมถึงเป็นแบบนี้!”




นี่มันเรื่องอะไร?




ในขณะที่ล้งเล้งกำลังประมวลผลสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยสมองที่เหมือนกับจะระเบิดออกมาเพราะอาการป่วย เด็กหนุ่มที่เพิ่งมาใหม่ก็พูดต่อดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด




“ผมมาเรียนกับพี่ เพราะผมหวังว่าตัวเองจะเรียนได้ดีขึ้น”

“แล้ว...”

“แต่คะแนนที่ผมควิซไปเมื่อวันก่อน มันแย่… มันแย่มาก”




ต้นเสือกกระดาษใบเล็กมาตรงหน้าของติวเตอร์หนุ่ม ล้งเล้งพยายามจะมองคะแนน อาจจะด้วยพิษไข้ทำให้เขาเห็นไม่ชัดว่าเลขตัวเดียวสีแดงบนกระดาษนั้นคือเลขอะไรระหว่าง 6 กับ 8 แต่ยังไงก็น้อยมากเมื่อเทียบกับคะแนนเต็มสามสิบตัวใหญ่ยักษ์




“พี่… ขอโทษ”




ล้งเล้งพยายามพูด เมื่อครู่เขารุ้สึกว่าตัวเองไม่ได้เป็นหนักขนาดนี้ อาจจะเพราะตัวเองนั่งตากแอร์อยู่นาน ตอนนี้มันเลยตื้อไปหมด




“ขอโทษแล้วคะแนนผมกลับมาหรือไง?”

“เฮ้ย ต้น เราว่านี่มันเกินไปหรือเปล่า?”




แทนกายที่นั่งมองสถานการณ์เงียบๆ มาสักพักพูดแทรกออกมาบ้าง ใบหน้าสวยของเด็กหนุ่มบึ้งตึงคล้ายกับจะไม่พอใจ




“เงียบไปเลย คนเพิ่งมาเรียนอย่างมึงจะมารู้อะไร”




ต้นพูดต่อ เด็กชายตบโต๊ะแสดงความไม่พอใจเสียงดัง ก่อนที่จะพูดกับติวเตอร์ของตัวเอง




“พี่ดีแต่กินเงินแม่ผม ไม่ได้อยากให้เด็กเข้าใจจริงนี่หว่า แค่อยากได้เงินไปใช้เฉยๆ อ่ะ สอนอะไรไม่ได้เรื่องเลย”

“...”


“ผมไม่น่าเสียเวลามาเรียนกับติวเตอร์ห่วยๆ แบบพี่เลยว่ะ”




ห่วยงั้นหรือ?




คล้ายกับล้มทั้งยืน ล้งเล้งพูดไม่ออก เขาตัวชาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ถึงแม้ว่าเขาอาจจะไม่ใช่ครูที่ดีอะไร แต่ล้งเล้งตั้งใจกับการสอนมากจนไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งตัวเองจะทำมันไม่ได้




เขาสอนแย่อย่างนั้นหรือ?”


ในขณะที่ล้งเล้งจมอยู่กับความรู้สึกหดหู่ที่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว เด็กน้อยที่ติวเตอร์หนุ่มเคยสอนก็อ้าปาก พูดประโยคต่อมาทันที




“คนอย่างพี่น่ะ ไม่เหมาะจะเป็นครู…”




‘ปั้ก!!’




ก่อนที่ต้นจะได้พูดอะไรเพิ่ม ก็มีถาดฟาดลงมาบนหัวของเขาเสียก่อน เพราะศรีษะได้รับการกระแทกไม่เบานัก เด็กหนุ่มตอนนี้รู้สึกคล้ายกับเห็นภาพตรงหน้าเป็นสีขาวไปชั่วครู่ มือของต้นจับที่หัวตัวเองอย่างมึนงง ในขณะที่สมองสั่งการให้หาคนร้าย เสียงยานคางก็ดังเข้ามาให้ได้ยิน




“หยุดพูดได้ยัง? ฟังอยู่นานแล้ว รำคาญ”




คนที่พูดคือทะเล ติวเตอร์ต่างสถาบันที่เด็กหนุ่มจำได้ว่าเป็นปรปักษ์กับติวเตอร์ของตนเอง ใบหน้าหล่อที่เด็กหนุ่มเคยชื่นชมของทะเลนั้น บัดนี้กลับเรียบนิ่งจนดูน่ากลัว คล้ายกับว่าเจ้าตัวกำลังโกรธเขามาก ทั้งที่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับทะเลเลยสักนิด




“พี่ทะเล?”

“รู้บ้างมั้ยว่าคนที่น้องกำลังด่าว่าสอนห่วยน่ะ ตั้งใจสอนขนาดไหน ตอนที่พี่เขาสอนน่ะ เคยสนใจมั่งป่าว?”

“ก็…”

“พี่เห็นทั้งหมดมาตลอด” ทะเลพูดด้วยน้ำเสียงยานคางเหมือนเดิม หากแต่คนฟังรู้สึกได้ว่าเจ้าตัวไม่เล่น ไม่มีรอยยิ้มบางๆ ประดับหน้าเหมือนกับที่คุ้นเคย

“...” 

“คนที่น้องกำลังด่าว่าสอนไม่ได้เรื่องน่ะ ทำชีทสรุปมาเอง อธิบายสามสี่ครั้งเพราะมีเด็กไม่ตั้งใจเรียน พี่ไม่เคยเห็นมันโกรธเลย ทั้งที่การบ้านน้องไม่เคยทำมาส่งมันสักครั้ง เคยคิดถึงตรงนี้มั่งมั้ย ในสมองเนี่ย เคยมีอะไรนอกจากเรื่องเล่นบ้างมั้ย?

“...”

“มีสักเสี้ยวที่นึกถึงความตั้งใจของพี่เขามั่งหรือเปล่า?”

“...”

“เรียนพิเศษแบบนี้แล้วยังคาดหวังผลแบบไหนเหรอ? คิดว่าติวเตอร์เป็นทุกอย่างหรือยังไง? พี่เขาก็คนมั้ย ไม่ใช่พระเจ้า”

“...”

“นี่ไอ้ลูกหมาติวเตอร์น้องมันยังใจดีนะ เด็กแบบน้องน่ะ พี่ไม่สอน”

“...”

“อันที่จริงถ้าถามพี่นะ พี่ว่าอาจจะไม่มีติวเตอร์ที่ไหนอยากสอนเด็กแบบน้องหรอก”




ล้งเล้งรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังดูละครอะไรบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจเนื้อเรื่องมากนัก ทะเลที่ยืนเถียงกับเด็กนักเรียนในความดูแลของเขาตรงหน้าดูคล้ายกับเป็นเรื่องห่างไกล หูที่เริ่มอื้อฟังเรื่องตรงหน้ารู้เรื่องไม่ถึงครึ่ง เขารู้เพียงแค่ทะเลกำลังด่าเด็กของเขา 




ถึงแม้ต้นจะไม่ตั้งใจเรียน แต่ถ้าอยากเรียน ล้งเล้งก็จะสอน น้องอาจจะต้องการวิธีใหม่ในการเรียนรู้เพื่อให้เข้าใจภาษาอังกฤษมากกว่าที่เป็นอยู่




เด็กหนุ่มพยายามจะลุกขึ้นมายืน ในใจคิดแต่ว่าเขาจะลองคุยกับน้องดู รอบตัวเขาโคลงเคลงคล้ายยืนอยู่บนเรือที่แล่นผ่านมหาสมุทธร ติวเตอร์คนเก่งเห็นว่าแทนกายทำหน้าคล้ายกับว่าเป็นห่วง เขาตั้งใจจะยกมือขึ้นไปลูบหัวน้องเพื่อบอกว่าตัวเอง ‘ไม่เป็นไร ไม่ต้องเป็นห่วง พี่ไม่ตายง่ายๆ หรอก’ แต่หัวมันหนักตื้อไปหมด ทุกอย่างตรงหน้ามันมืดลงไป แล้วอยู่ดีๆเด็กหนุ่มก็ไม่สามารถทรงตัวยืนอยู่ได้




สิ่งสุดท้ายที่ล้งเล้งได้ยิน คือเสียงเรียกอย่างตกใจของคนที่ควรจะไปไหนก็ไปได้แล้ว

 

ไอ้ทะเล … อย่ามายุ่ง




“เฮ้ย ลูกหมา!”


แล้วภาพทุกอย่างก็ตัดไป





------- Wednesday In Class ------- 




เกิดอะไรขึ้น?




นี่คือสิ่งแรกที่ล้งเล้งคิดตอนที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมา หัวยังคงหนักอยู่เหมือนกับก่อนจะหมดสติไป ชายหนุ่มโคลงหัวเล็กน้อย ก่อนจะมองซ้ายมองขวา ห้องสีขาวสะอาดบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ที่บ้านตัวเอง ชายหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวไม่ใช่ที่ที่เขาคุ้นเคย กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อเบาบางจนรู้สึกได้ลอยเข้ามาแตะจมูก




โรงพยาบาล?




เด็กหนุ่มเหลือบไปเห็นโลโก้ของโรงพยาบาลเอกชนที่คุ้นเคยดีบนเสื้อของตัวเอง เขาหันมองรอบห้อง เหมือนว่าตัวเองจะนอนร่วมห้องกับใครไม่รู้อีกคน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจนัก เขาอยากรู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แล้วนี่เป็นเวลาเท่าไหร่แล้ว




โชคดีที่โทรศัพท์มือถือของเขาวางอยู่ข้างเตียง ล้งเล้งรีบเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมาทันที




23.00 น.




“ตื่นแล้วเหรอ?”




คนแรกที่เด็กหนุ่มเห็นหน้าคือพี่สาวตัวเอง พี่กุ๊กกิ๊กเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ สูงร้อยห้าสิบกว่าๆ แต่ฝ่ามือหนักเท่าบ้าน ถึงแม้จะอายุห่างกันหลายปี แต่ล้งเล้งก็สนิทกับพี่สาวมากพอที่จะคุยกันได้เกือบทุกเรื่อง ถึงแม้ว่าในอดีตพี่คนนี้นี่แหละที่เอาเสื้อ I am a Barbie Girl มาให้เขาใส่ก็ตาม




“ยังปวดหัวอยู่มั้ย?”

“ไม่ค่อยแล้ว” เด็กหนุ่มลุกขึ้นมานั่ง ทั้งที่ยังคงรู้สึกมึนหัวเล็กน้อย “น้องแทนกายล่ะเจ๊?”

“แทนกาย?”

“เด็กที่เล้งสอนพิเศษ”

“ไม่น่าจะตามมาด้วยนะ เจ๊ไม่เห็น”




เด็กหนุ่มพยักหน้ารับรู้ มือตั้งใจจะพิมพ์หาน้องที่เขาดันทิ้งเอาไว้โดยไม่รู้ตัว ทั้งที่ตั้งใจจะอยู่ด้วยจนกว่าเพื่อนจะมาแท้ๆ แต่กลับทำไม่ได้ ไหนจะเรื่องต้นอีก




“นี่แกรู้มั้ยเนี่ยว่าเป็นอะไร?”




เสียงของพี่สาวคนสนิท ดึงความสนใจล้งเล้งออกมาจากความคิดของตัวเอง เด็กหนุ่มยักไหล่ เป็นเชิงบอกว่า ‘ไม่รู้ แล้วก็ไม่เห็นว่าจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลยเสียหน่อย’




“เป็นไข้ พักผ่อนน้อย ร่างกายอ่อนแอ”

“อ่อ อืม”

“ไม่หลับไม่นอนหรือไง?”

“ก็เรียน”

“แล้วยังสอนพิเศษเนี่ยนะ? มันไม่หนักไปเหรอ? ปีหนึ่งกิจกรรมเยอะจะตาย”

“เล้งอยากทำ”

“แต่…”

“เราคุยเรื่องนี้กันแล้วนี่เจ๊”




ล้งเล้งพูดตัดบทพี่สาว




ตั้งแต่เขาเริ่มไปปรึกษาเรื่องสอนพิเศษกับพี่กุ๊กกิ๊ก เด็กหนุ่มไม่ค่อยได้รับเสียงสนับสนุนเท่าไหร่นัก จริงอยู่ที่เจ๊กุ๊กกิ๊กไม่ได้ห้าม แต่เพราะว่าตัวพี่สาวผ่านการเรียนมาสี่ปีแล้ว บวกกับประสบการณ์ทำงานห้าปีกว่า เธอมั่นใจว่าน้องชายจะต้องรู้สึกว่ามันหนักหนา




เธอไม่อยากให้น้องชายรู้สึกเหนื่อยจากเรื่องอื่นนอกจากมหาลัย เพียงแค่กิจกรรมกับการเรียนในช่วงปีหนึ่งก็มากพอที่จะทำให้เด็กมัธยมหมาดๆ ต้องปรับตัวมากเพียงพอในความรู้สึกของเธอ หากแต่พอล้งเล้งบอกว่า ‘เล้งอยากสอน ให้เล้งสอนนะ เล้งอยากเป็นครู’ เธอก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปหักล้างความตั้งใจน้องชายอีก




“ว่าแต่....” เด็กหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง เขาเกรงว่าถ้าพูดวนอยู่เรื่องสอนพิเศษแล้วจะคุยกันไม่รู้เรื่อง “เล้งมาอยู่นี่ได้ไงอ่ะ?”

“ทะเลแบกมา”




เป็นคนอื่นไม่ได้หรือไงวะ 




“มันมายุ่งกับเล้งทำไมวะเนี่ย? ไม่มีอะไรทำหรือไง” ล้งเล้งบ่นอุบ

“ปากแกนี่นะ!”

พี่กุ๊กกิ๊กที่กำลังดูโทรศัพท์อยู่หันมาแว๊ดคนบนเตียงเข้าให้ เธอไม่เข้าใจว่าน้องชายจะจงเกลียดจงชังอะไรเเพื่อนบ้านขนาดนี้

“เอ๊า ก็เรื่องจริง”




ล้งเล้งตอบแบบไม่ใส่ใจ เด็กหนุ่มหันหน้าไม่พอใจไปทางอื่น หลบสายตาพี่สาวที่มองมาคล้ายกับว่าเขาทำผิดร้ายแรงอย่างไรอย่างนั้น


ก็แค่ไอ้เหี้ยทะเล




“น้องทะเลยอมแบกแกมาก็ดีเท่าไหร่แล้ว!”




หญิงสาวพูดกับน้องชายที่กอดอกหันหน้าไปอีกทางอย่างฉุนเฉียว ลองเป็นเธอนะ ถ้ามีเพื่อนแบบล้งเล้งนี่ นอกจากจะเลิกคบแล้วยังขอเอาไปขายซาเล้งด้วย




“ก็มันมาวุ่นวายกับเล้งอ่ะ!”

“มันก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไงวะ?”

“ดีอะไรเล่า!”

“ล้งเล้ง!”

“อย่าดุดิ!”

“ก็มันน่าดุมั้ยล่ะ เจ๊ไม่ได้สอนให้เป็นคนแบบนี้นะ?!”

“...”




ล้งเล้งยอมเงียบเมื่อเห็นว่าพี่สาวมีท่าทางจะโกรธจริงจัง อย่างที่บอกว่าพวกเขาสนิทกัน ถ้าจะผิดใจมันควรจะเป็นเรื่องการแย่งกินขนมในตู้เย็น ไม่ใช่เพราะคนอย่างไอ้เหี้ยทะเล! เปลืองน้ำลาย!




“แกรู้มั่งมั้ยว่าน้องทะเลแบกแกมาจากสยาม เรียกแท็กซี่ พามาโรงพยาบาลนี่ ติดต่อเรื่องทั้งหมด โทรหาเจ๊ด้วย แล้วนี่คือสิ่งที่แกตอบแทนน้ำใจของเขาเหรอ? ด้วยคำด่าแบบนี้อ่ะนะ? เจ๊ถามจริง?”

“...”



“ถ้าไม่มีทะเลนะ แกถูกทิ้งให้นอนแอ้งแม้งอยู่ที่พื้นพารากอนที่สยามแล้ว สำนึกซะบ้าง!”




.

.

.



------- TBC -------



ใช่ๆ สำนึกซะไอ้ลูกหมา! อิ___อิ


#รักไม่คาดคิดในวันพุธ




หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 5 -- ติวเตอร์ห่วยๆ (12/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: nisaday ที่ 12-06-2019 21:09:36
เด็กแบบน้องต้น
เป็นเราๆก้ไม่สอน
ถ้าเราเป็นทะเลเราจะต่อยให้
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 5 -- ติวเตอร์ห่วยๆ (12/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 12-06-2019 21:56:49
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 5 -- ติวเตอร์ห่วยๆ (12/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 13-06-2019 13:28:58
มีลูกศิษย์แบบนี้เหนื่อยหน่อยนะครับ,,,
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 5 -- ติวเตอร์ห่วยๆ (12/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Jiraapp ที่ 14-06-2019 01:54:43
ตอนเรียนก็ไม่ตั้งใจคิดว่าแค่มานั่งเฉย ๆ ให้จบคลาสคะแนนสอบมันจะออกมาดีได้เหรอ ล้งเล้ง...ทะเลทำขนาดนี้แล้วอย่าจงเกลียดจงชังทะเลนักเลยนะ
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 5 -- ติวเตอร์ห่วยๆ (12/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: babybaphomet ที่ 15-06-2019 21:28:51
6th Wednesday
#รักไม่คาดคิดในวันพุธ


“เชี่ย ล้งเล้งขาดเรียน”
“กูนี่โคตรตกใจตอนรู้”
“น้องล้งเล้งเป็นไงมั่ง?”
“น้องล้งเล้งหายแล้วใช่มั้ย?”

นี่เป็นบทสนทนาของเพื่อนๆ เด็กหนุ่มสี่คนหลังจากที่เขาถูกนอนโรงพยาบาลไปหนึ่งคืน ถูกบังคับให้กลับบ้านไปอยู่กับพ่อแม่อีกหนึ่งวัน กว่าจะกลับมาเรียนได้ก็คือวันศุกร์ พวกเพื่อนๆ ของเขาต่างถามไถ่อย่างใส่ใจ อาจจะเพราะว่าตั้งแต่ล้งเล้งเข้ามหาลัยมา เขาไม่เคยป่วยให้ใครเห็นเลยสักครั้ง

“ควิซเมื่อวันพฤหัสนี่กูไปขอเขาทำใหม่ได้มั้ยวะ?”

ล้งเล้งเมินทุกคำของเพื่อน หันไปคุยกับเพื่อนร่วมคลาสภาษาจีนอย่างเจ๋งเป้งแทน ตอนแรกเขาเองก็เหงาๆ ที่เพื่อนลงเรียนจีนด้วยกันแค่คนเดียว แต่ตอนนี้ขอบคุณสวรรค์ที่คนคนนั้นเป็นเจ๋งเป้ง ลองคิดสภาพว่าถ้าไอ้บีมบุ๋มมาลงด้วย เขาต้องปวดประสาทมากๆ หรือยิ่งถ้าเป็นไอ้มูนี่ไม่ต้องทำอะไรเลยวันๆ นั่งโดนมันบ่นเพราะไม่ยอมใส่เสื้อสีมงคลไปควิซแน่นอน

“กูว่าไม่น่าจะได้ว่ะมึง”

เพื่อนเจ๋งเป้งพูดพร้อมกับส่งป๊อกกี้มาให้ ชายหนุ่มเลิกคิ้วสงสัย คือซื้อมาให้กูเพื่อ? ไม่ได้ฝาก

“ก็เห็นมึงชอบกินโกโก้ปั่น กูเลยซื้ออย่างอื่นให้ มึงแดกของเย็นไม่ได้”

เพื่อนตอบเรียบๆ ล้งเล้งพยักหน้าเออออ แล้วก็รับขนมไป เมินสายตา ‘มึงๆ คิดเหมือนกูป้ะ?’ ‘เออๆ กูก็คิดเหมือนมึงอ่ะเพื่อน’ ของไอ้สามตัวที่เหลือ อยากคิดอะไรก็คิดไป ตอนนี้ล้งเล้งสนใจแค่ว่าตัวเองจะไปขอเหล่าซือควิซใหม่ได้มั้ย ไอ้หวัดเหี้ย! คะแนนควิซกู!

“เออๆ แล้วนี่ตอนเย็นพวกมึงจะไปไหนกันป้ะ?”
“พวกกูไปดูหนัง”
“น้องล้งเล้งไปด้วยกันมั้ย?”

บุ๋มบีมตอบมาเมื่อชายหนุ่มเปลี่ยนบทสนทนา เขาส่ายหน้าเป็นคำตอบ เมื่อหันไปหาเพื่อนที่วันนี้ใส่สีเหลืองทั้งตัว ทั้งเสื้อยืดแล้วก็กางเกงขาสั้นเสมอเข่า เพราะว่าวันนี้สีเหลืองเป็นสีมงคลด้านเงินทองในวันศุกร์ ล้งเล้งก็พบว่ามูเองก็ส่ายหัวเช่นเดียวกัน

“กูกลับบ้าน วันนี้เจอญาติ”

มูเตลูตอบอย่างไม่สนใจมากนัก

“แล้วยังไง?”
“ดูหนังก่อนเจอญาติก็ได้”
“กฎหมายไทยไม่ได้ห้ามดูหนังถ้าจะนัดเจอญาติ”

บุ๋มบีมสลับกันพูดไปมา บางทีล้งเล้งก็คิดเหมือนกันว่าสองคนนี้มันสื่อสารกันทางลำไส้ใหญ่ พูดอะไรรู้ใจกันไปหมด

“กูคิดว่าน่าจะได้เงิน กูไปกับมึงไม่ได้จริงๆ เว่ยเพื่อน คือกูก็รักพวกมึงนะ แต่กูรักเงินมากกว่า”

ล้งเล้งพยักหน้าเข้าใจ เขาก็รักเงินมากกว่าพวกมันเหมือนกัน เป็นมิตรภาพที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ซึ่งกันและกันเท่าไหร่ แต่ก็พอคบกันได้ เพราะมันจองที่โรงอาหารให้ในตอนกลางวัน

“มึงอ่ะเจ๋ง?”
“กูจะนอน”

เพื่อนตัวสูงตอบอย่างหนักแน่น สำหรับมันไม่มีคำว่าทำกิจกรรมหลังเลิกเรียนอะไรทั้งนั้น คนขี้เกียจก็คือคนขี้เกียจ เกิดมาเพื่อนอนอย่างแท้จริง

“เออ เค” ล้งเล้งพูดต่อ “งั้นกูก็คงกลับบ้านเหมือนกันว่ะ”

ไม่น่าเลยกู

ล้งเล้งคิดกับตัวเองตอนที่เขาขึ้นรถตู้อนุสาวรีย์หลังจากรอคิวมากว่าชั่วโมง ปกติแล้วเขาชอบกลับบ้านวันเสาร์เช้าหรือไม่ก็ให้พี่สาวมารับ แต่วันนี้พี่กุ๊กกิ๊กดันต้องปิดบัญชีบริษัท อะไรสักอย่างที่เขาก็ไม่ได้สนใจมากนัก รู้เพียงว่าพี่สาวมารับไม่ได้เลยต้องกลับเอง

คล้ายกับว่าคนทั่วโลกมารอรถตู้ร่วมกับเขาด้วย กว่าจะถึงคิวเล่นเอาแบตมือถือหมดไปรอบหนึ่ง อ่านหนังสือจนไม่รู้จะอ่านยังไง ซึ่งพอได้ขึ้นรถตู้แล้วก็ต้องมาต่อบีทีเอสที่สยามอีกตามชะตากรรมของคนบ้านไกล ซึ่งคนก็เยอะแยะจนล้งเล้งหงุดหงิด คิ้วของเด็กหนุ่มตัวกะทัดรัดขมวดเป็นปม เขาไม่เคยเกลียดความสูงตัวเองเท่าตอนที่ต้องยืนโหนราวบีทีเอสมาก่อน

คือกูก็เตี้ยไง คนแม่งก็เบียดอยู่นั่น หายใจไม่ออก!

เขาจะไม่บ่นเลยถ้ารอบข้างไม่ใช่ผู้ชายตัวใหญ่ๆ ยืนประกบเขาเสียจนแหงนหน้าไปก็เห็นแต่แผงขอของพวกนั้น ไหนจะเหงื่อไหนจะอะไร อย่าให้ชาติหน้าสูงสักสองเมตรนะ พ่อจะยืนมองทุกคนจากที่สูงมั่ง คอยดู!

“ลูกหมา?!”

เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนเป็นล้านตรงหน้ายังมีไอ้เหี้ยทะเล

ล้งเล้งเบ้หน้าทันทีที่ได้ยินเสียงทักตัวเองจากข้างหลังตอนที่ลงจากรถไฟฟ้าสายสุขุมวิท เพื่อรอต่อรถไฟฟ้าไปสายสีลม นึกด่าความบังเอิญของโลกใบนี้ คือเขาก็รู้แหละว่าไอ้ทะเลมันเรียนแถวนี้ ขึ้นรถไฟฟ้าสายเดียวกัน บ้านก็อยู่ทางเดียวกัน แต่ไม่จำเป็นจะต้องเจอกันก็ได้มั้ยวะ?!

เด็กหนุ่มตัวกะทัดรัดหันไปมองตามเสียงเรียกด้านหลัง คู่แข่งทางการค้ายืนเสนอหน้าอยู่ข้างหลัง ใบหน้าที่ตามปกติแล้วเรียบนิ่งของเจ้าตัวมีรอยยิ้มประดับอยู่ ล้งเล้งขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

นี่มึงไปเรียนหนังสือหรือไปดูดเนื้อ? คนล้นสถานี มึงจะอารมณ์ดีอะไรขนาดนั้น?

“หายแล้วเหรอมึง?”
“เสือก”
“หายดีแล้วแหละแบบนี้ ปากหมาเชียว”
“อ่ะ ไอ้สัด ก็มึงเสือกอ่ะ จะให้กูบอกว่าอะไร รักนะจุ๊บๆ หรือไง?”
“ก็ดีนะ ลองดูดิ”
“...”
“เร็วมึง รักนะจุ๊บๆ ไง ไหน พูดดิ”
“ไอ้สัดนี่ กวนส้นตีน!”

เด็กหนุ่มจากมหาลัยห่างไกลพูดได้แค่นั้น ก่อนที่บีทีเอสจะมาจอด ล้งเล้งจึงเลือกเดินเข้าไปในขบวนรถ โดยไม่ได้สนใจคนข้างหลังอีก ในใจคิดแต่ว่าจะรีบเดินๆ ให้พ้นประตู ไปไกลๆ เลย เดินไปอีกฝั่งของขบวนเลยก็ดี จะได้ไม่ต้องเห็นหน้ามึนๆ กวนตีนของไอ้เหี้ยทะเล

แน่นอนว่า ไอ้เหี้ยทะเล ก็ยังคงเป็นไอ้เหี้ยทะเล

คนที่ล้งเล้งหนีตั้งแต่อนุบาล มายืนข้างๆ สลัดยังไงมันก็ไม่ไปไหนสักที ดื้อด้านประหนึ่งเป็นหมากฝรั่งที่ติดรองเท้า ยิ่งคนไหลเข้ามาในรถไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น ตัวของเด็กหนุ่มก็ถูกเบียดเข้าไปให้ชิดกับทะเลมากขึ้นไปอีก

สาบานเลยว่ากลับบ้านเองครั้งหน้า ล้งเล้งจะเรียบแกร๊บ!

“มึงยืนได้มั้ยลูกหมา?”

เสียงยานคางถามมาจากด้านบน ไม่ต้องเงยหน้าไปมองก็พอจะรู้ว่าคนถามเป็นใคร ตอนนี้จุดโฟกัสสายตาของล้งเล้งอยู่ซอกคออีกฝ่าย ใช้อะไรซักเสื้อนิสิตวะทำไมมันถึงได้ไม่เหลืองทั้งที่ผ่านมาทั้งวัน ยังดีที่ไอ้ทะเลมันไม่เล่นกีฬา ไม่งั้นล้งเล้งคงเป็นลมกลิ่นเหงื่อไปแล้ว

“ไม่ได้ยืน ลอย”
“โห เท่ว่ะ สอนหน่อย”
“กูกวนตีน”
“เหรอ ไม่เห็นรู้”
“ไอ้ควาย ไม่ใช่กูละที่กวนส้นตีน! นั่นมันมึง”
“อ๋อเหรอ ไม่เห็นรู้”
“สัตว์”

 พวกเขากระซิบคุยกันในรถไฟฟ้าที่คนเยอะมาก ล้งเล้งถูกล้อมไปด้วยมนุษย์ตัวยักษ์ทั้งหลาย จริงอยู่ที่เขาไม่ได้เตี้ยขนาดนั้น แต่ถ้าเทียบกับไอ้พวกที่มาอยู่รอบๆ ในตอนนี้ เขาพูดได้เต็มปากว่าตัวเองมองอะไรไม่เห็นเลย นอกจากไอ้เหี้ยทะเลที่ยืนอยู่ตรงหน้า

หน้าอกมันจะกว้างไปไหนวะ มึงจะตัวสูงไหล่ใหญ่เผื่อคนทั้งโลกเลยหรือไง?

แล้วทำไมไม่มีผู้หญิงตัวเล็กๆ ยืนติดกูมั่งวะ? คือไม่ได้อะไร ล้งเล้งมองไม่เห็นแล้วว่าตอนนี้มันสถานีไหน

“มึง”

นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ล้งเล้งเรียกทะเลก่อนโดยไม่หาเรื่อง ถึงแม้ว่าน้ำเสียงจะไม่ได้ดูเป็นมิตรมากนักก็ตาม

“ว่า?”
“ตอนนี้สถานีอะไรแล้ววะ กูไม่ได้ยินที่เขาประกาศเมื่อกี้”

ที่ล้งเล้งพูดไม่เกินจริงเลยสักนิด ตอนที่เสียงประกาศสถานีตามสายมา เขาก็มัวแต่เถียงกับทะเลอยู่ ตอนนี้รถจอดที่สถานีแล้วซึ่งล้งเล้งก็ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ตรงไหนของโลก

“ศาลาแดง”
“โอเค ขอบใจ”
“อืม”

พวกเขาพูดกันแค่นั้น ก่อนที่ล้งเล้งจะขยับตัวเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าขึ้นมาเล่นเพื่อป้องกันบทสนทนาอื่นที่อาจจะเกิดขึ้นอีก หากพูดตามความเป็นจริงเขาไม่อยากคุยกับผู้ชายตรงหน้ามากนัก ก็คนมันไม่ชอบ ไม่อยากยุ่งด้วยมันเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว

“ช่องนนทรี”
“...”
“สุรศักดิ์แล้วมึง”
“..,”
“ตอนนี้ถึงสถานีสะพานตากสิน”
“กูถามจริง มึงเป็นเหี้ยอะไร?”

ล้งเล้งเงยหน้าจากโทรศัพท์มองคนที่พูดชื่อสถานีกับเขาทุกสถานีอย่างหงุดหงิด ที่ถามเมื่อกี้เพราะว่าเขาไม่ทันฟังแล้วก็มองป้ายไม่เห็น แต่เหี้ยอะไรคือการที่มันเล่นบอกทุกสถานีที่รถขับไปถึง

“ก็เห็นเมื่อกี้มึงถาม”

ทะเลตอบด้วยน้ำเสียงยานคางตามสไตล์ ใบหน้าหล่อมีรอยยิ้มมุมปากนิดๆ แบบที่ล้งเล้งเกลียดประดับอยู่ รอยยิ้มนั้นมันเหมือนกับคนที่กำลังสนุกเวลาทำอะไรสักอย่าง ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นคือการที่ได้กวนตีนเขา

“กูถามแค่สถานีเดียว!”
“กูแถมให้”
“...”
“สถานีหน้ากรุงธนบุรีนะ”
“...”
“ฟังไม่เข้าใจ? งั้นเดี๋ยวกูพูดเป็นภาษาอังกฤษให้ Next station, Krung Thon Buri”
“ไอ้สัตว์!”
“โอ๊ย!”

สิ้นคำพูดทะเล ล้งเล้งก็กระทืบเท้าอีกฝ่ายพร้อมกับด่าไปอย่างจัง แต่เหมือนกับเขาจะเล็งผิดไปหน่อย เพราะคนที่ร้อง ‘โอ๊ย’ ออกมานั้น ไม่ใช่ทะเล แต่เป็นผู้ชายวัยทำงานอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ต่างหาก

“ขอโทษครับๆ ผมไม่ได้ตั้งใจ”

เด็กหนุ่มรีบละลักละล่ำพูดเมื่อผู้ชายคนนั้นเงยหน้าออกมาจากโทรศัพท์มือถือของตัวเอง พร้อมกับมองหน้าเขาด้วยความเดือดดาล

“แต่เมื่อกี้น้องด่าพี่ว่า ‘ไอ้สัตว์’ ด้วย”
“ผมไม่ได้ด่าพี่ ผมด่าไอ้เหี้ยนี่ครับ” เด็กหนุ่มพูดด้วยสีหน้าสำนึกผิด พร้อมกับชี้ไปที่ทะเลที่ยืนกลั้นขำอยู่ข้างๆ “ไม่ได้ตั้งใจจะหมายถึงพี่หรือทำร้ายร่างกายพี่จริงๆ ครับ ขอโทษนะครับ”
“จะให้พี่เชื่อเหรอ?”
“จริงๆ นะครับ ขอโทษนะครับ”

ถึงแม้จะเป็นคนที่มีนิสัยมึงมาพาโวยแค่ไหนแล้ว แต่กับเรื่องที่ตัวเองทำผิดจริงๆ ล้งเล้งไม่ใช่คนที่จะปัดความรับผิดชอบออกจากตัวเอง ผิดก็คือผิด แล้วเขาก็ขอโทษอีกฝ่ายจากใจจริงๆ

“แต่พี่เจ็บมากเลยนะ”
“ผมไม่ได้ตั้งใจ”
“งั้นขอเบอร์หน่อย”
“ครับ?”

ล้งเล้งทวนถามอย่างไม่แน่ใจ ทะเลที่ยืนดูสถานการณ์มาตั้งแต่ต้นจนตอนนี้รถไฟฟ้าเลยสถานีกรุงธนบุรีมาจนถึงสถานีวงเวียนใหญ่แล้วด้วยเช่นกัน

“ก็เบอร์ไงน้อง คือน้องจะไม่ชดใช้พี่เลยงี้?”
“ผมขอโทษไปแล้วไงครับ”
“แต่พี่ยังไม่พอ” ชายหนุ่มวัยทำงานพูดต่อ “น้องไม่ได้เหยียบธรรมดานะเมื่อกี้ คือกระทืบเลย กะให้เท้าพี่หลุดติดเท้าน้องเลยนะแรงแบบนั้น”
“ก็ไม่ได้ตั้งใจไงครับ”

ล้งเล้งเริ่มมีน้ำโหมั่งแล้ว เขาไม่เข้าใจว่าพี่คนนี้จะเอาเบอร์โทรศัพท์ตัวเองไปทำไม มันเป็นของส่วนตัว ถ้าจะเรียกเงินหรืออะไรก็ควรทำมาเลยตอนนี้ ไม่ใช่มาเอาข้อมูลส่วนตัวของเขา

“คือจะไม่ให้พี่เหรอ?”
“ผมแค่ไม่เห็นประโยชน์อะไร”
“อันนี้ผมเห็นด้วย”

ทะเลพูดเสริมเป็นครั้งแรก ซึ่งถึงแม้ในใจล้งเล้งจะมีคำว่า ‘เสือก’ แว๊บขึ้นมา แต่ว่าตอนนี้เขาไม่โง่พอที่จะไล่คนเดียวที่เป็นพวกเขาไป ถึงแม้ว่าคนนั้นจะเป็นไอ้เหี้ยทะเลก็ตาม

“น้องไม่เกี่ยวนี่” ชายหนุ่มออฟฟิศพูดขึ้นมา
“มันเป็นเพื่อนผม เมื่อกี้ไอ้ลูกหมานี่ก็ตั้งใจจะแกล้งผม ไม่ใช่พี่”

ล้งเล้งหันไปตวัดสายตาที่อ่านออกได้ว่า ‘กูไม่ใช่ลูกหมา ไอ้เหี้ย’ ใส่ทะเล แต่ไม่ได้เปิดปากพูดอะไร สถานการณ์ตรงหน้าอาจจะน่าสนใจสำหรับคนที่เงยหน้าจากโทรศัพท์ขึ้นมามอง แต่สำหรับล้งเล้งที่ยังพัวพันอยู่ตรงนี้ เขาไม่สนุกเลยสักนิด

“งั้นเอาเบอร์น้องมาด้วยก็ได้”
“อะไรนะครับ?”

ตอนนี้กลายเป็นทะเลที่งงแทน ชายหนุ่มออฟฟิศตรงหน้าทำหน้าหงุดหงิด ล้งเล้งไม่รู้ว่าเพราะโมโหที่โดนเหยียบเท้าหรือว่าอะไรกันแน่ หากให้พูดตามตรง เขาไม่เข้าใจเรื่องตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย

“มันต้องมีคนรับผิดชอบ ขอเบอร์สักคน”
“...”
“เร็วๆ พี่ต้องลงสถานีหน้าแล้ว”

เสียงประกาศตามขบวนรถทำให้พวกเขารู้ว่าตอนนี้มาถึงสถานีตลาดพลู ซึ่งเป็นสถานนีก่อนที่ผู้ชายแปลกหน้าอ้างว่าตัวเองจะต้องลง เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไร ล้งเล้งก็ยอมเอาโทรศัพท์ของอีกฝ่าย มากดเบอร์ตัวเอง แล้วยื่นส่งคืนไปให้ มันจะได้หมดเรื่องเสียที

ท้ายสุดแล้ว เมื่อได้เบอร์ของเด็กหนุ่มตัวกะทัดรัดตามที่หวังไว้ ชายคนนั้นก็หันมาส่งยิ้มให้พวกเขาหนึ่งครั้ง ก่อนจะลงไป เขาบอกกับล้งเล้งและทะเลเอาไว้ว่า

“น้องล้งเล้งนะครับ”
“อ่า ใช่ครับ”
“ชื่อน่ารักดี”
“...”
“แล้วจะโทรหานะครับ”
“...”
“อ่อ เกือบลืมไป ...พี่ชื่อธนานะ”
“...”
“ยินดีที่ได้รู้จัก น้องล้งเล้ง”



------- Wednesday In Class -------




“มึงให้เบอร์เขาไปทำไม?”
“เสือก”
“แล้วตกลงมึงให้เบอร์เขาไปทำไม?”
“นี่จะไม่จบจริงๆ ใช่มั้ย?”

ล้งเล้งถามคนที่เดินมาด้วยกันอย่างหงุดหงิด หลังจากเหตุการณ์บนรถไฟฟ้าเมื่อสักครู่ ทะเลแม่งก็เอาแต่ถามคำถามนี้ไม่จบไม่สิ้น จนกระทั่งตอนที่กำลังจะเดินเข้าหมู่บ้านแบบตอนนี้ ไอ้ทะเลก็ยังคงไม่หยุดถามคำถามเดิม ล้งเล้งเมินก็แล้ว ด่าก็แล้ว มันก็ยังคงพูดวนซ้ำแบบเดิมอยู่ได้

ที่เขาว่ามันน่ารำคาญนั้น ไม่ใช่เรื่องโกหก

ไอ้เหี้ยทะเล! ไอ้คนขี้เสือก!

“แบบนี้เขาก็รู้เบอร์มึงหมดดิ”
“แล้วมึงเดือดร้อนอะไรด้วย?”

ล้งเล้งถามกลับ ตอนนี้เขาหยุดเดินเพื่อจะตั้งใจด่ามัน วันนี้ถ้าไม่ได้ฟาดปากทะเลละก็ ล้งเล้งคิดว่าตัวเองจะต้องนอนไม่หลับอย่างแน่นอน

“เบอร์ก็เบอร์กู ชื่อก็ชื่อกู ไม่เกี่ยวกับมึงเลยสักนิด”
“ก็ไอ้เหี้ยนั่นมันได้ไปง่ายๆ อ่ะ”
“อะไรของมึง กูงง”

เด็กหนุ่มตัวสั้นถามกลับอย่างไม่เข้าใจ ง่ายเหี้ยอะไรของมันวะ? ซึ่งทะเลเองก็ไม่ได้ตอบอะไรเพิ่มเติม นอกจากมองหน้าเขาพร้อมทั้งหรี่ตาคล้ายกับผู้ใหญ่ที่กำลังจับผิดเด็กประถมที่ทำแจกันแตกแล้วโบ้ยว่าแมววิ่งมาชนล้มลงไปเอง

 ซึ่งข้อแรกเลย กูผิดอะไรวะ? ไม่ได้ทำอะไรใครพังนะเว้ย และข้อสองก็คือ มึงอายุเท่ากับกู! ไอ้เหี้ยทะเล! อย่ามาเนียน

“ช่างแม่งเถอะ”
“เอ้า เหี้ยไรมึงเนี่ย?”

เด็กหนุ่มขาสั้นเกาหัวอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนักเมื่ออีกคนไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม โชคดีที่จากสถานีรถไฟฟ้ามาถึงบ้านของพวกเขานั้นอยู่ในระยะที่สามารถเดินได้ เลยไม่ได้ลำบากอะไรในการเดินทางเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าล้งเล้งจะนึกรำคาญใจกับอะไรหลายอย่างแถวบ้านตัวเองก็ตาม

“แวะเซเว่นแป๊บนึงได้ป้ะ?”

ทะเลเปลี่ยนเรื่องเมื่อพวกเขาเดินมาถึงหน้าหมู่บ้านที่มีร้านสะดวกซื้อตั้งอยู่ ซึ่งล้งเล้งที่ยังไม่เข้าใจตั้งแต่เมื่อกี้ก็ขมวดคิ้วอีกรอบ

บอกกูเพื่อ?

“เหี้ยอะไรมึงเนี่ย? จะแวะก็แวะไปสิ”
“โอเค งั้นมึงเดินเข้ามากับกู กูซื้อถั่วแระแป๊บเดียว”
“เพื่อ?”
“กูหิว วันนี้ยังไม่ได้กินถั่วเลยสักถุง”
“...”
“ร่างกายกูต้องการถั่วแระ”
“ไม่ใช่เรื่องถั่วแระสิวะ” ล้งเล้งพูดอย่างหงุดหงิด “หมายถึง มึงจะบอกกูทำไม แวะก็แวะไปดิ กูจะได้เดินเข้าบ้าน”
“รอกูแป๊บนึงนะลูกหมา”

ไม่ฟังคำพูดของอีกคน ทะเลขยี้หัวล้งเล้งทีหนึ่งแล้วรีบเดินเข้าเซเว่นไป ก่อนที่ล้งเล้งจะได้ทันด่าพ่อล่อแม่อีกฝ่ายหรือทำร้ายร่างกายอย่างที่เคยทำมาเป็นประจำ

ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ถูกเล่นหัวด้วยความเอ็นดูนั้น อารมณ์ขึ้นทันที

“ไอ้สัตว์เอ๊ย ไปไหนก็ไปเลยมึง!”

ไลน์!

ล้งเล้งที่ตั้งใจจะเดินไปเซเว่นเพื่อด่าทะเลสักทีนั้นเปลี่ยนความสนใจของตัวเองไปที่โทรศัพท์มือถือที่สั่นเตือนว่ามีคนส่งข้อความเข้ามา เมื่อเปิดดูก็เห็นเป็นข้อความจากพี่สาวของตนเอง ซึ่งไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ ตามปกติแล้วพี่กุ๊กกิ๊กมักจะถามไถ่เขาเสมอหากต้องกลับบ้านเอง

เจ๊กุ๊กกิ๊ก: ล้งเล้ง
เจ๊กุ๊กกิ๊ก: ขอบคุณทะเลหรือยัง?

อ่าว พี่เขาไม่ได้เป็นห่วงกูหรอกเหรอ? ถ้าเกิดน้องชายกลับไม่ถึงบ้านนี่คือยังไง?

ล้งเล้ง: ขอบคุณแล้ว

เจ๊กุ๊กกิ๊ก: แค็ปมาให้ดู

ล้งเล้ง: อะไรอ่ะเจ๊
ล้งเล้ง: มันต้องขนาดนี้เลยเหรอ?

เจ๊กุ๊กกิ๊ก: ขนาดนี้แหละ
เจ๊กุ๊กกิ๊ก: เจ๊รู้ว่าแกยังไม่ได้พูด

สมกับเป็นพี่สาวที่คลานตามกันมา รู้ใจกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

เด็กหนุ่มหงุดหงิด แต่ที่บ้านเขาก็ไม่ได้สอนให้ไม่รู้คุณคนจริงๆ นั่นแหละ ลึกๆ ในใจแล้วล้งเล้งก็รู้ดีว่าเขาควรจะขอบคุณทะเลที่ไม่ปล่อยให้เขาตายคาแม็คโดนัลเมื่อวันก่อน แต่มันแบบ ให้ขอบคุณไอ้เหี้ยนั่นอ่ะนะ? แค่นึกถึงหน้านิ่งๆ กวนส้นตีนของมัน กับเสียงยานคางนั่นก็รู้สึกฝืนใจชะมัด

ล้งเล้ง: ไม่มีไลน์มัน
เจ๊กุ๊กกิ๊ก: send you a contact
ล้งเล้ง: …

ขนาดนี้แล้ว ถ้าเขาปล่อยเบลออีก เจ๊กุ๊กกิ๊กน่าจะมาแหกอกเขาถึงห้องนอน

ล้งเล้งกดเข้ากดออกไลน์อยู่หลายที อันที่จริงเด็กหนุ่มโกหกพี่สาว เขามีไอ้ทะเลเป็นเพื่อนในไลน์ตั้งนานแล้ว ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้มีไลน์มันด้วยก็ตาม

โอ๊ย! ไอ้เหี้ย! ทำไม่ได้!

ชายหนุ่มตัดสินใจเพียงแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น เขาเดินดุ่มๆ เข้าไปในร้านสะดวกซื้อที่อีกคนเพิ่งจะผลุบหายเข้าไป ตรงไปที่ตู้ที่มีอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งวางไว้เพียบ เด็กหนุ่มเมินอาหารทั้งหมด เป้าหมายของเขาอยู่ที่อาหารซองเล็กๆ ที่วางไว้ตรงซอกหนึ่งของตู้ ซึ่งเมื่อหยิบได้แล้วก็เดินดุ่มๆ ไปต่อคิวจ่ายเงิน ซึ่งเป็นข้างหลังทะเลพอดี ไม่รู้ว่ามันเข้ามาทำอะไรในนี้นานขนาดนั้น จนเขาเข้ามา หยิบของแล้ว มันก็ยังเพิ่งจะจ่ายเงิน

“เอ้า ไอ้ลูกหมา?”

ทะเลทักเมื่อตัวเองจ่ายเงินเสร็จแล้วเพิ่งจะเห็นว่าคนที่ต่อคิวจากตัวเองคือเพื่อนสมัยเด็กนั่นเอง ล้งเล้งไม่ได้ตอบอะไรอีกฝ่ายกลับไป เขาเพียงแค่ยัดของที่เพิ่งซื้อมาใส่มืออีกฝ่ายที่ยังยืนอยู่ใกล้ๆ เหมือนกับจะระรั้งระรอให้ล้งเล้งทำธุระให้เสร็จแล้วเดินเข้าบ้านไปพร้อมกัน

“เอาไป!”
“ฮะ?”
“พูดอะไรมากวะ เอาไปไง!”

ชายหนุ่มขาสั้นยังคงยืนยันอย่างเดิม เขาหันหน้าหนีทะเลและหมาหน้าเซเว่นที่มองมาอย่างสนใจ ไม่รู้ว่าหูบ้านี่จะร้อนอะไรนักหนา

“ถั่วแระ? กูซื้อแล้ว”
“ก็เอาไปแดกอีกอัน”
“ฮะ?”
“ก็ขอบคุณไง ที่วันนั้นช่วย แค่นั้นแหละ!”
“...”
“ถะ… ถ้าเจ้กุ๊กกิ๊กไลน์ไปถามก็บอกไปว่ากูขอบคุณมึงแล้ว เข้าใจมั้ย?!”
“...”
“ยิ้มเหี้ยอะไร แดกเข้าไปสิวะ!”

ล้งเล้งเริ่มทำตัวไม่ถูก จากเดิมที่เมื่อครู่แดงแค่หูตอนนี้เขารู้สึกว่าแม้กระทั่งคอของตัวเองก็น่าจะแดงไปด้วยแล้วแน่นอน ยิ่งไอ้เหี้ยทะเลมันยิ้มกว้างจนตาปิดแบบนี้หูยิ่งแดง ยิ้มทำไม ไม่เคยเห็นถั่วแระหรือไง!

 “น่ารักนะเนี่ยเราอ่ะ”
“คือมึงไม่อยากตายดีใช่ป้ะ?!”

ทะเลหัวเราะเมื่ออีกคนด่าสวนมาแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรกลับไป เพราะว่าเขารู้จักลูกหมาดีที่แล้วนั่นแหละ ถึงแม้จะตามมาด้วยการถูกกระทืบเท้าเต็มแรงก็ตาม

เจ็บฉิบหายเลย

.
.
.

------- TBC -------
[/b]



น่ารักนะเนี่ยเราอ่ะ #รักไม่คาดคิดในวันพุธ
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 6 -- หายป่วยแล้วเหรอ? (15/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 15-06-2019 21:51:06
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ล้งเล้งชอบด่า
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 6 -- หายป่วยแล้วเหรอ? (15/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 15-06-2019 22:40:18
 :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 6 -- หายป่วยแล้วเหรอ? (15/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 15-06-2019 22:59:11
 :pig4:
ล้งเล้งน่ารักดี
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 6 -- หายป่วยแล้วเหรอ? (15/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 15-06-2019 23:50:06
สนุกดีค่ะติดตาม
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 6 -- หายป่วยแล้วเหรอ? (15/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 16-06-2019 01:59:01
คงต้องเก็บไว้เลยหล่ะ ไม่กินแน่นอน ถั่วแระอ่ะ,,,
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 6 -- หายป่วยแล้วเหรอ? (15/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: nisaday ที่ 16-06-2019 02:15:16
พี่คนนั้นได้เบอร์แต่ทะเลกำลังโดนแอดไลน์ไปหานะ
เหนือกว่าเห็นๆไม่ต้องหงุดหงิดไปนะ
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 6 -- หายป่วยแล้วเหรอ? (15/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Jiraapp ที่ 19-06-2019 08:16:05
ใต้ความกวนทีนที่บอกว่าถึงสถานีไหนทุกครั้งของทะเลก็คือน่ารักจะตาย แล้วนี่ซื้อถั่วแระเพื่อขอบคุณทะเลทำไมต้องหน้าแดงขนาดนั้นอ่ะล้งเล้ง
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 6 -- หายป่วยแล้วเหรอ? (15/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: babybaphomet ที่ 20-06-2019 21:12:49
4th Wednesday
#รักไม่คาดคิดในวันพุธ



“พี่หายดีแล้วใช่มั้ยครับ?”

เสียงของแทนกายถามขึ้นมาตอนที่พวกเขามาเรียนด้วยกันในวันพุธถัดมา วันนี้น้องลิลลี่กับน้องลูกเกดมาเรียนไม่ได้เพราะติดกิจกรรมที่โรงเรียน ส่วนน้องต้นไลน์มาขอยกเลิกเรียนโดยไม่เอาค่าคอร์สที่เหลือคืน อันที่จริงเขาเองก็อยากสอนน้องต่อ แต่จากเหตุการณ์เมื่อวันพุธที่แล้ว บางทีวิธีการสอนของเขาอาจจะไม่เหมาะกับน้องจริงๆ

ซึ่งล้งเล้งเองก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากอวยพรให้น้องติดมหาลัยและคณะที่ตัวเองอยากจะเข้า

“พี่ดีขึ้นแล้ว ไม่เป็นไรแล้วล่ะ”
“สรุปพี่เป็นอะไรเหรอครับ?”

แทนกายถามต่อ ใบหน้าของน้องแสดงความกังวลออกมาอย่างปิดไม่มิด ซึ่งมันอดทำให้ล้งเล้งรู้สึกเอ็นดูไม่ได้ เขาถูกชะตากับเด็กคนนี้จริงๆ

“วันนั้นผมตกใจมากเลยนะครับ อยู่ดีๆ พี่ล้มตึงลงไปแบบนั้น” 
“คือ...”
“พี่ล้งเล้งล้มเลยเหรอ? เกิดอะไรขึ้นอ่ะ?”

ในขณะที่ล้งเล้งกำลังจะตอบแทนกาย เด็กอีกคนก็แทรกขึ้นมาทันที ซึ่งคนนั้นก็คือน้องโจ้ เด็กที่ปกติเงียบๆ ไม่ค่อยมีปากเสียงอะไร เอาแต่นั่งจ้องหน้าล้งเล้งอย่างเดียวตลอดการสอน โพลงถามเรื่องสุขภาพเขาออกมาทันที

อันที่จริงล้งเล้งไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการที่โจ้จ้องหน้าจนบางครั้งอึดอัด จะมองอะไรก็มองไป หากเรียนได้ล้งเล้งก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับตรงนั้น ขอแค่ตั้งใจเรียนก็พอ นอกนั้นอยากทำอะไรก็ทำเลย จะตีลังกากลางร้านแม็คฯก็ได้ เขาไม่ถือ ทำการบ้านมาด้วยแล้วกัน 

“ก็ป่วย หมดสติ ทำนองนั้น” ติวเตอร์คนเก่งพูด คล้ายกับว่ามันเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา 
“บ้าไปแล้วเหรอพี่ ทำไมไม่ดูแลตัวเอง?”
“แล้วเป็นเดือดร้อนอะไรก่อน” ล้งเล้งถามกลับ เขาขมวดคิ้วลงนิดหน่อยเมื่อโจ้ทำท่าจะพูดต่อคล้ายกับไม่พอใจ “ทำการบ้านหรือยังเถอะ”
“ทำแล้ว”
“ที่โรงเรียนมีการบ้านอะไรมั้ย?”
“ไม่มี พี่ ตอบก่อนดิ ทำไมปล่อยให้ตัวเองป่วยขนาดนั้น?”
“มันต้องมีเหตุผลเบื้องหลังการป่วยมากขนาดนั้นเลยเหรอ? พี่ก็แค่ป่วยอ่ะโจ้”

ล้งเล้งถามกลับ เขาหยิบชีทที่ตั้งใจจะสอนในวันนี้ขึ้นมา ซึ่งอันที่จริงตัวของนักศึกษาปีหนึ่งไม่คิดว่าเด็กมัธยมหกสองคนตรงหน้านี้จะใช้เวลานานมากนักในการทำแบบฝึกหัดเรื่องการอ่านบทความภาษาอังกฤษมากเท่าไหร่นัก พื้นฐานเป็นเด็กหัวไวอยู่แล้ว แถมยังตั้งใจด้วย

แต่หากให้พูดตามตรง ความตั้งใจแบบนี้ต่อให้ช้าแค่ไหนเขาก็สอนได้ เขาไม่มีปัญหากับการสอนเด็กที่ทำความเข้าใจบทเรียนได้ยาก จะทึบแค่ไหนก็มา ขอแค่ตั้งใจเรียน ล้งเล้งสอนได้หมดทั้งนั้น 

“ไม่ได้ต้องมีทุกครั้งหรอกพี่ แต่มันก็ไม่ควรขนาดนั้นหรือเปล่า? ทำไมพี่ถึง...” เด็กโจ้ทำท่าเหมือนกับจะพูดต่อ แต่ล้งเล้งตัดบท เพราะรู้สึกว่ามันเลยเวลาที่ควรจะเข้าเนื้อหามานานมากแล้ว

“โอเค งั้นอยากรู้อะไรไปเขียนเป็น Essay มาส่งละกัน”
“...”
“บอกไปเลยว่าคนเราไม่ควรจะป่วยเพราะอะไร เหตุผลคืออะไร ตัวอย่างมีเท่าไหร่ยกขึ้นมาให้หมด เดี๋ยวตรวจ writing ให้ โอเคมั้ย? แต่ตอนนี้มาเรียนก่อนเถอะนะ เรื่องพี่ป่วยอะไรนั่นเอาไว้ที่หลัง”

สิ้นเสียงล้งเล้งพวกเขาถึงได้เริ่มเรียนกันสักที เวลาสองชั่วโมงไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วในความรู้สึกของติวเตอร์หนุ่ม จนนเมื่อสอนเสร็จแล้วเด็กโจ้ที่คนที่บ้านโทรมาตามก็รีบกลับไปก่อนเหมือนกับทุกครั้ง ณ ตอนนี้จึงเหลือเพียงแค่ล้งเล้งกับแทนกายเพียงแค่สองคนเหมือนสัปดาห์ที่ผ่านมา

“วันนี้กลับยังไง?”

ล้งเล้งเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาขึ้นมา เด็กที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือที่ไม่ได้จับเลยตลอดเวลาที่นั่งเรียนกับเขาเงยหน้าขึ้นมา รุ่นพี่มหาวิทยาหยุดนิ่ง รู้สึกคล้ายกับว่าชั่วขณะหนึ่ง เขาถูกดูดเข้าไปในดวงตาคู่นั้น มันดูเหงาอย่างที่เขาไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้

“ผมเหรอ?”

เสียงแผ่วเบาของแทนกายดึงล้งเล้งให้ออกมาจากความคิดของตัวเอง มือขาวซีดของเด็กหนุ่มกางเกงน้ำเงินชี้ไปที่ตัวเอง ท่าทางการขยับตัวของอีกฝ่ายดูเชื่องช้าและไร้ชีวิตชีวา

“ใช่สิ เรานั่นแหละ ก็นั่งกันอยู่สองคนจะให้พี่ถามใคร”
“นั่นสินะครับ”

แทนกายขยับยิ้มเล็กน้อย ล้งเล้งคิดว่าตัวเองได้ยินเสียงหัวเราะแห้งๆ ออกมาจากเด็กที่เขาสอนอยู่ น้องนิ่งไปเล็กน้อยเหมือนกำลังใช้ความคิด เพียงชั่วอึดใจ แทนกายก็ตอบกลับมาสั้นๆ 

“ไม่รู้สิครับ”
“เอ้า?! แล้ววันนี้เพื่อนไม่มาเหรอ?”

ครูพี่ล้งเล้งถามกลับเสียงสูง ตามปกติแล้วแทนกายมักจะบอกว่าตัวเองนัด ‘เพื่อน’ เอาไว้ หรือไม่ก็เดี๋ยว ‘เพื่อน’ จะมารับ ถึงแม้ล้งเล้งจะไม่เคยเห็นหน้าเพื่อนคนนั้นของน้องเลยก็ตาม

อันที่จริง ตั้งแต่สอนมา เจอผู้ปกครองเด็กนับครั้งได้ อาจจะเพราะเขาสอนที่สยาม ซึ่งเป็นสถานที่ที่เด็กมักจะมาเรียนพิเศษกันด้วยตัวเองอยู่แล้ว ไม่ได้สอนตามบ้านเหมือนติวเตอร์หลายคน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะไม่เจอผู้ปกครองขอน้องๆ

อีกปัจจัยหนึ่งน่าจะเป็นเพราะเขาสอนเด็กโต เด็กนักเรียนของล้งเล้งทุกคนดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี และโดดเรียนเองเก่งมากด้วยเช่นเดียวกัน

“ผมเองก็ไม่แน่ใจ”

เด็กชายตอบแค่นั้น ใบหน้าของน้องมีรอยยิ้มประดับดู แต่มันช่างดูเหือดแห้งไร้ชีวิตชีวา คล้ายกับว่าเป็นโปรแกรมอัตโนมัติที่ถูกตั้งให้คลี่ริมฝีปากหลังจากพูดจบลง

“วันนี้เราเป็นอะไรเปล่าเนี่ย?”

ล้งเล้งตัดสินใจถามออกไป เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลใจให้ตัวเองเอ่ยปากถามออกไปแบบนั้น แต่วันนี้ล้งเล้งรู้สึกว่าตอนนี้เด็กที่เขาสอนอยู่มีอะไรในใจ

คล้ายกับน้องเหมือนมี… อะไรบางอย่าง

ทุกครั้งที่มองแทนกาย ล้งเล้งรู้สึกคล้ายกับเด็กหนุ่มคนนี้เป็นเขาวงกต เหมือนเด็กชายที่อยู่ตรงหน้าของเขานั้น เป็นเพียงแค่จุดยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น ภายใต้รอยยิ้มสวยนั่นดูมีอะไรซ่อนอยู่มากมาย

ทั้งที่ใบหน้าของเด็กหนุ่มนั้น คล้ายกับพี่แทนใจพี่ชายของเจ้าตัวและรุ่นพี่ที่เขาเคารพราวกับฝาแฝด แต่บรรยากาศของทั้งสองคนกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

หากแทนใจเป็นพระอาทิตย์ที่สดใส แทนกายคงเป็นเหมือนท้องฟ้ามืดมิดที่ไม่มีแม้แต่ดาวสักดวงจะส่องแสงมาถึง

หลังจากคำถามของติวเตอร์ แทนกายนิ่งไปครู่หนึ่ง บรรยากาศรอบตัวของน้องเปลี่ยนไปเล็กน้อย คล้ายกับทุกอย่างหยุดนิ่งไปพักหนึ่ง น้องทำท่าเหมือนตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่าง ซึ่งล้งเล้งเองก็เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจเช่นเดียวกัน

“ผม…”

Rrrrrr

เสียงโทรศัพท์ของแทนกายดังขึ้นมา บทสนทนาของพวกเขาหยุดอยู่แค่ตรงนั้น ล้งเล้งเตรียมเก็บของเมื่อนึกว่าคนที่โทรมาจะเป็นเพื่อนของแทนกายที่น่าจะมารับเจ้าตัวไป  แต่เหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น

น้องแทนกายคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเรียบนิ่งในตอนแรก แล้วก็ค่อยๆ หมองลงเรื่อยๆ จนล้งเล้งที่ตั้งใจจะขอตัวกลับก่อนในตอนแรก ไม่กล้าทิ้งน้องเอาไว้คนเดียว

“ครับ สวัสดีครับ”

หลังจากที่เด็กหนุ่มวางสาย เขาหันมาหาล้งเล้ง ใบหน้าสวยดูคล้ายกับกำลังจะร้องไห้ออกมา แต่ริมฝีปากของเด็กหนุ่มกลับส่งยิ้มกว้างมาให้ล้งเล้งแทน

“แทนกาย?”
“พี่ล้งเล้งครับ วันนี้ขอบคุณมาก แต่ผมไปก่อนนะครับ”
“เดี๋ยว!”

ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะได้ห้ามหรือพูดอะไรเพิ่มเติม เด็กน้อยที่เขาสอนอยู่ก็ยกมือไหว้ลวกๆ ก่อนที่จะเดินหายไปอย่างรวดเร็ว ไวกว่าที่ล้งเล้งจะได้แม้กระทั่งลุกออกจากที่นั่งเพื่อเดินตาม

สุดท้าย เด็กหนุ่มก็ถอนหายใจ เขายกโทรศัพท์ขึ้นมาตั้งใจจะไลน์ไปถามพี่แทนใจ ที่เป็นพี่ชายของน้องแทนกาย แต่เลือกที่จะชะงักมือเอาไว้ เด็กหนุ่มครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้าย เขากดไลน์เข้าไปในหน้าของชื่อแชทเด็กน้อยที่เขาสอน รูปโปรไฟล์ที่เป็นท้องฟ้า ก่อนที่จะทักแชทส่วนตัวของน้องไป

ล้งเล้ง: แทนกาย
ล้งเล้ง: มีอะไรเล่าให้พี่ฟังได้ รู้ใช่มั้ย
ล้งเล้ง: เราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะ


น้องไม่ได้ตอบอะไรมา ไม่แม้จะอ่านข้อความของเขาด้วยซ้ำ



------- Wednesday In Class -------

ถึงแม้จะผ่านมาเกือบสัปดาห์แล้ว แต่เรื่องแทนกายยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของติวเตอร์หนุ่ม

“ล้งเล้งเป็นไรวะ? วันนี้ไม่เห็นด่าชุดกู”

มูเตลูในเสื้อสีขาว แต่กางเกงสีเขียวเรืองแสง พร้อมด้วยรองเท้า Adidas เขียวอื๋อ ด้วยเหตุผลที่ว่าวันนี้สีเขียวคือสีมงคล แต่เขียวใบตองน่าเบื่อ ต้องการเขียวที่สามารถมองเห็นได้จากวินรถตู้หน้ามหาลัย

“เอเนอร์จี้มึงขนาดนี้แล้ว”
“ไม่ต้องน้องล้งเล้งหรอก”
“เดี๋ยวพวกกูด่าเอง”
“ไอ้เวร แสบตา”

อันนี้เป็นบทสนทนาของบุ๋มบีมที่พูดต่อจากเพื่อนมูเตลูของกลุ่ม ทุกคนคือดำมืดหมดเมื่อยืนข้างมัน ทั้งที่ทุกคนก็ใส่ชุดนักศึกษาปกติแท้ๆ มีแค่ไอ้มูเนี่ยแหละ ที่กลัวว่าตัวเองจะดวงไม่ดีเลยต้องพึ่งเสื้อสีมงคลออกมาจากหอ 

“จนกูกลับมา พวกมึงก็ยังไม่ได้ติวกันเนอะ”

เสียงของผู้มาใหม่คือเจ๋งเป้ง เพื่อนที่เมื่อครู่เดินหายไปหาหนังสือเพิ่มจากมุมหนังสือหายากที่ชั้นสองของหอสมุด
ตอนนี้กลับมาพร้อมกับหนังสือเล่มหนาในอ้อมแขนสี่ห้าเล่ม

พวกเขามารวมตัวกันที่โต๊ะในหอสมุดเพราะว่าวันรุ่งขึ้นจะมีควิซ ล้งเล้งที่คิดว่าจะอ่านหนังสือที่หอคนเดียว เลยยอมนั่งอยู่ตรงนี้ด้วยกันกับเพื่อนในกลุ่ม จะได้แลกเปลี่ยนสิ่งที่เรียนมาด้วยกัน

ถึงแม้จะตั้งใจไว้แบบนั้น แต่สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็มานั่งสุมหัวเพื่อคุยเรื่องเมี่ยงปลาเผาหลังมหาลัยกันมากกว่า ในส่วนของล้งเล้งที่เป็นคนนำทีมตอนนี้ก็คิดเรื่องอื่นอยู่ มูก็เหมือนกับจะเข้าฌานไปแล้ว ออกจากฌานมาแค่เฉพาะตอนที่มีใครวิจารณ์ชุดของตัวเอง บุ๋มบีมเถียงกันเรื่องสเต๊กไก่หรือไส้กรอกซีพีที่อร่อยกว่ากัน เหลือเพียงเจ๋งเป้งคนเดียวแล้วที่ยังมีสติหลงเหลืออยู่

“ล้งเล้ง”
“ว่า?”
“เป็นไรป่าววะ กูเห็นมึงทำหน้าแบบนี้มาสักพักแล้วนะ”

เจ๋งเป้งเลือกที่จะพูดกับเพื่อนข้างๆ ที่ยังคงขมวดคิ้วเหมือนกับคิดอะไรไม่ตกอยู่ แทนที่จะเป็นคนสติไม่ดีทั้งสาม พร้อมกับขมวดคิ้วให้ดูเป็นตัวอย่างว่าล้งเล้งทำหน้าตาอย่างไรอยู่

“ไม่มีอะไรมึง คิดเรื่องสอนพิเศษเฉยๆ”
“อืม”

เจ๋งเป้งอยากที่จะพูดต่อ แต่ถ้อยคำหลายหลากที่อยากจะพูดออกไปนั้นกลับติดอยู่ที่ปลายลิ้น ชายหนุ่มกัดริมฝีปาก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นคลี่ยิ้มบางๆ

“มีอะไรก็บอกกูได้นะ”
“อืม แต๊งกิ้ว”

ล้งเล้งรับคำ แต่ไม่ได้สนใจอะไรเพื่อนตัวเองมากนัก เด็กหนุ่มเปิดชีทขึ้นมาเทียบกับสรุปที่นั่งทำมาเมื่อสองสามวันก่อน ท่าทางที่แสดงออกชัดเจนว่าไม่อยากให้ยุ่งนั้น ทำให้เจ๋งเป้งเกาหัวตัวเองแบบไม่รู้จะทำอย่างไร ทั้งที่อยากถามไถ่แต่อีกฝ่ายดูเหมือนไม่อยากได้ความช่วยเหลือจากเขาเลย

“กินโกโก้มั้ย เผื่อดีขึ้น”
“เออ ก็ดีเหมือนกัน”
“งั้นกูไปซื้อ…”

ในขณะที่เจ๋งเป้งจะอาสาออกไปซื้อน้ำให้เพื่อนนั้น คนที่เมื่อครู่นั่งจมอยู่ในความคิดของตัวเองก็พูดขัดขึ้นมาเสียก่อน

“เฮ้ย พวกมึง เดี๋ยวกูออกไปซื้อของกินแป๊บ มีใครเอาไรป้ะ?”

บุ๋มบีมมองหน้ากันเมื่อล้งเล้งเสนอขึ้นมากลางวง ก่อนที่จะแย่งกันฝากของกินที่อยากได้

“พวกเราเอาสเต๊กไก่”
“กับไส้กรอกซีพี”
“แล้วก็ก๋วยเตี๋ยวชายสี่”
“หมี่หยกเป็ดย่างด้วย”

ล้งเล้งเริ่มรู้สึกเหมือนไมเกรนจะขึ้นนิดหน่อย

“มีใครจะเอาอะไรมั้ย กูหมายถึงนอกจากบุ๋มบีมอ่ะ? กูไม่ซื้อให้พวกมัน รำคาญ”

เด็กหนุ่มพูดกับเพื่อนอีกสองคน โดยเมินเสียง ‘เอ้า!’ ที่พูดขึ้นมาพร้อมเพรียงกันของบุ๋มกับบีม เจ๋งเป้งส่ายหัวเป็นการปฏิเสธว่าไม่ต้องการอะไรเป็นพิเศษ ส่วนมูเตลูที่เมื่อครู่จดจ่ออยู่กับโทรศัพท์มือถือก็พูดขึ้นมาบ้าง

“มึงไปเอาของให้กูหน่อยดิ เพื่อนกูเอามาให้”
“ได้ๆ ที่ไหนวะ”
“วินรถตู้”
“กูจะรู้มั้ยว่าเพื่อนมึงคนไหน”
“เดี๋ยวกูให้เบอร์มึงไป เหมือนมันจะถึงแล้วแหละ เดี๋ยวให้มันโทรหามึงได้ป้ะ?”
“เออๆ เคๆ”

ล้งเล้งรับคำแค่นั้นแล้วรีบเดินออกไปจากหอสมุด ไม่รอฟังเสียงแง๊วๆ ของบุ๋มบีมที่โวยวายว่าอยากได้สเต๊กไก่กับไส้กรอกจริงจัง ช่างหัวพวกมัน ถ้าอยากกินก็ซื้อเอง!

Rrrr

ในขณะที่ล้งเล้งกำลังจะจ่ายเงินรับน้ำปั่นจากคนขายนั้น เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น สายที่โทรเข้ามาต้องเป็นเพื่อนของมูอย่างไม่ต้องสงสัย ชายหนุ่มรีบกดรับโทรศัพท์จากหูฟังโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าจอคนที่โทรเข้ามา เมื่อรับได้แล้วเขาก็รีบเดินจ้ำไปที่วินรถตู้ โชคดีที่ระยะห่างระหว่างหอสมุด โรงอาหาร และวินรถตู้นั้นเป็นระยะคนเดิน ล้งเล้งจึงไม่ต้องกลัวว่าตัวเองจะไปสาย

“ฮัลโหล”
“อยู่ตรงไหน?”
“...”

เสียงยานคางที่ตอบกลับมามันคุ้นมากจนชายหนุ่มขมวดคิ้ว ขาของชายหนุ่มหยุดอยู่กับที่ สักพักก็ส่ายหัว … ไม่หรอกมั้ง คงไม่บังเอิญขนาดนั้น

“เพื่อนมูใช่มั้ย จะถึงแล้ว”
“โอเค”
“รอตรงวินนั่นแหละ ไม่ต้องเดินมา”
“อืม”

สายตัดไปแล้วพร้อมกับล้งเล้งที่วิ่งกระหืดกระหอบพร้อมกับดูดโกโก้ไปด้วย พอถึงที่วินรถตู้นั้นเขาก้มลงมองโทรศัพท์ ตั้งใจจะโทรกลับไปเบอร์ที่เมื่อสักครู่โทรเข้ามา แต่ยังไม่ทันที่จะได้ดูเบอร์ดีๆ เสียงเรียกจากทางด้านหลังก็ดังขึ้น

“ลูกหมา”

ชัดเลย ไอ้สัตว์เอ๊ย

“บังเอิญจังเลยเนอะ”

บังเอิญกับพ่อมึงเถอะ!


.
.
.


“ไหนน้องล้งเล้งบอกไปซื้อน้ำ”
“ทำไมหิ้วผู้ชายตัวใหญ่กลับมาด้วย”

เสียงของบุ๋มบีมดังขึ้นตอนที่ล้งเล้งกลับไปที่หอสมุดพร้อมกับตัวภาระที่ตามมาด้วย ทะเลที่เดินตามหลังอีกคนต้อยๆ เพียงแค่ทำหน้านิ่งๆ ตามสไตล์ แต่ดันมีรอยยิ้มบางๆ อยู่ที่มุมปากเหมือนกับว่าตัวเองอารมณ์ดีหนักหนา

อันที่จริงล้งเล้งไม่เข้าใจเลยทั้งไอ้ทะเล ทั้งไอ้มู

มูบอกให้เขาไปเอาของ แต่พอแบมือขอ ทะเลกับวางมือตัวเองลงบนมือของเด็กหนุ่มแทน พร้อมกับคำตอบกวนประสาทในแบบของมันว่า 

‘มันให้กูมาหา’
‘...’
‘อ่ะ เนี่ย เอากูไปดิ’

ไอ้สัตว์เอ๊ย! ไม่รู้ว่าตอนนี้จะต้องต่อยใครก่อนระหว่างไอ้นิสิตต่างมหาลัยที่ดันนั่งรถอ้อมโลกมาถึงที่มหาลัยเขาที่อยู่กลางทุ่ง หรือว่าเพื่อนตัวเองที่ส่งล้งเล้งไปรับหน้าไอ้ตาหน้านิ่งนี่ดี!

“ไม่ต้องอ่านแล้วมั้ง ปากดีนะพวกมึงอ่ะ”

ล้งเล้งพูดกับเพื่อนตอนที่ทรุดตัวลงนั่งในที่ของตัวเอง โกโก้ปั่นที่อุตส่าห์ออกไปซื้อมาเมื่อครู่ตอนนี้เหลือเพียงครึ่งแก้ว เพราะเด็กหนุ่มจิ้มระบายความหงุดหงิด

จะกินให้หมดเลย แม่ง! หงุดหงิด!!

“แล้วมึงจะเอามันมาทำไมเนี่ย?”
“กูไม่ได้ให้มึงเอาเพื่อนกูมา” มูเตลูพูดกับล้งเล้ง “กูให้มึงไปเอาของ หอบมันมาทำไม”
“อ่าว”

ติวเตอร์หนุ่มงงงวย เมื่อหันไปมองตัวการที่ (ถือวิสาสะมา) นั่งอยู่ข้างๆ นั้น อีกฝ่ายก็เพียงแค่ส่งยิ้มกวนส้นตีน พร้อมทั้งกับพูดว่า

“อยากมานั่งด้วย คิดถึงเพื่อนๆ”
“ใครเพื่อนมึง!”
“มูเตลู”
“มึงเจอเพื่อนมึงแล้วก็กลับไปดิ”
“อยากเจอมึงด้วยไง”
“เจอตีนกูก่อนมั้ย?”

อีกสี่คนที่เหลือมองหน้ากันไปมาเมื่อล้งเล้งกับทะเลเถียงกันไม่หยุดหย่อน ในขณะที่เจ๋งเป้งเกาหัวแกรกๆ แบบไม่รุ้จะแทรกยังไง บุ๋มบีมกับมูเตลูส่งสายตาที่แปลความได้ว่า ‘มึงๆ คิดเหมือนกูป้ะ’ ’เออๆ กูก็คิดเหมือนมึงอ่ะ’ กันอยู่

“ตกลงของกูอยู่ไหน”
“เออว่ะ จริงด้วย”

มูเป็นคนที่พูดแทรกสงครามน้ำลายของเพื่อนตัวเองทั้งสองคนที่ทำท่าจะไม่จบง่ายๆ ทะเลเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองถ่อมาทำไม มือของชายหนุ่มล้วงเข้าไปในกระเป๋าของตัวเอง ก่อนที่จะหยิบถุงพลาสติกใบหนึ่งออกมา

“อ่ะ เหนียวไก่อักษรของมึง”

ล้งเล้งถึงกับอ้าปากค้างเมื่อรู้ว่าเพื่อนตัวเองฝากซื้ออะไร ข้าวเหนียวไก่ที่คณะอักษร ของกินขึ้นชื่อของมหาลัย C ที่ล้งเล้งไม่เข้าใจว่ามันวิเศษอะไรนักหนา

“เหยดดดด ได้กินสักที ขอบคุณมากเว้ย”
“แค่นี้อ่ะนะ?” 

ติวเตอร์หนุ่มถามย้ำ เผื่อว่ามันอาจจะมีอะไรแอบซ่อนอยู่ในกระเป๋าอีก

“แค่นี้แหละ”
“ไอ้เวร มึงต้องให้มันซื้อที่มหาลัย C แล้วนั่งรถมาให้มึงถึงนี่เลยอ่ะนะ?”
“ก็ธรรมดาป่ะวะ คนมันอยากกิน”

มูพูดพร้อมกับแกะถุงข้าวเหนียวออกมากินตรงนั้น โดยมีบุ๋มบีมที่ร่วมวงแย่งด้วย ในขณะที่เจ๋งเป้งมองเพื่อนตัวเองเล่นกันเหมือนเด็กอย่างสนุกสนาน

“แล้วทำไมมึงไม่ใช้ไลน์แมน?”
“ก็กูมีทะเลแมน จะใช้ทำไมลงไลน์ ไร้สาระ”

อ่ะ เอาเข้าไป

“ลูกหมา”

ในขณะที่ล้งเล้งกำลังหงุดหงิดเพื่อนของตัวเองที่สนใจแต่เหนียวไก่ตรงหน้า เสียงยานคางของคนข้างๆ ก็เรียกเขาเอาไว้

“ต้องบอกอีกกี่ครั้ง ว่ากูไม่ใช่ลูกหมา!”
“นี่ของมึง”

ถุงข้าวเหนียวไก่อีกถุงถูกหยิบขึ้นมาจากกระเป๋าของทะเล มาวางไว้ตรงหน้าของคนที่กำลังจะหันไปว๊ากใส่เพื่อนที่ไม่ยอมนั่งติวกันสักที

“อะไร?”
“เหนียวไก่อักษรไง กูซื้อมาเผื่อมึงด้วย”
“ไม่แดก!”

ล้งเล้งพูด พร้อมกับเอาเหนียวไก่ไปวางไว้ตรงหน้าเด็กต่างถิ่น

“อ้ะ งั้นกูขอ”

มูเตลูที่กำลังจะเอื้อมมือมาหยิบข้าวเหนียวของล้งเล้ง ถูกบุ๋มตีมือเอาไว้ แต่เหมือนกับล้งเล้งและทะเลจะไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก พวกเขายังคงคุยกันต่อไป

“ของมึงอ่ะ กินไปดิ”
“มึงจะซื้อมาทำไมเนี่ย?”
“ก็ให้มึงไง”
“เพื่อ!”
“กินเข้าไป จะได้อิ่มๆ”
“กูไม่กิน”
“มาลูกหมา เดี๋ยวกูป้อน”
“เสือก!”
สรุปวันนั้นพวกเขากว่าจะได้ติวหนังสือกันก็ปาไปเย็น ต้องรอล้งเล้งกับทะเลทะเลาะกันเสร็จสิ้นไปก่อน ซึ่งทะเลก็ไม่ยอมกลับไปจนกว่าล้งเล้งจะกินข้าวเหนียวไก่ ซึ่งถึงแม้เจ้าตัวจะกินแล้ว แต่ทะเลก็ยังนั่งทำการบ้านของตัวเองต่อไป ในขณะที่พวกเขานั่งติวกันไปด้วย

“สักที ไอ้สัตว์ กูปวดหัวมาก”

มูพูดออกมาหลังจากผ่านไปนับชั่วโมงจนตอนนี้ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเข้ม บุ๋มบีมลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสาย ส่วนเจ๋งเป้งยังคงมองสมุดของตัวเองคล้ายกับกำลังทำความเข้าใจบทเรียนตรงหน้า

“มึงปวดหัว เพราะมึงไม่เคยเรียนไงมู”
“โห ล้งเล้ง รุนแรงมาก เพื่อนรับไม่ได้”

มูเตลูหันกลับมาตอบเพื่อนในกลุ่มด้วยท่าทางแกล้งตกใจ ที่มองจากดาวอังคารก็รู้ว่าประดิษฐ์

“ใครจดโน้ตให้มึง ใคร!”
“ล้งเล้งครับผ๊มมมม”

เพื่อนมูเตลูพูดพร้อมกับทำท่าทางคารวะที่ดูประดิษฐ์กว่าเมื่อครู่

“เดี๋ยวพวกกูจะไปกินสเต๊กไก่”
“กับไส้กรอก”
“เป็นมื้อเย็น”
“พวกมึงมาด้วยกันมั้ย?”

เสียงนี้เป็นของบุ๋มบีมที่ถามเพื่อนขึ้นมา ตอนที่ล้งเล้งหันไปเห็นนั้น สองคนนี้พร้อมออกเต็มที่แล้ว หนังสือหนังหาอะไรบนโต๊ะเก็บเรียบร้อยด้วยเวลาเพียงไม่กี่วินาที

“ไม่อ่ะ กูจะนอน”

เจ๋งเป้งพูดคนแรก ก่อนจะแบกร่างไร้วิญญาณของตัวเองขึ้นมายืนยืดเส้นยืดสาย ดูเหมือนคนเพิ่งผ่านสมรภูมิรบมา

“ส่วนกูมีดูดวงต่อ คิวสามทุ่มถึงเที่ยงคืน น่าจะไปไม่ได้”

อันนี้เป็นเสียงของมูเตลูที่พูดออกมา ในบรรดาเพื่อนๆ จะรู้กันว่ามูดูดวงแม่นมาก เป็นที่เล่าลือในคณะจนลามไปถึงคณะอื่นว่าแม่นมากเหมือนจับวาง ซึ่งล้งเล้งไม่เชื่อเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ ถึงแม้มันจะทักมาสักพักแล้วว่าเนื้อคู่วนเวียนอยู่ใกล้ตัวของเขาก็ตาม

ถ้าเนื้อคู่ว่างมาวนไปวนมารอบตัวจริง ก็มาช่วยทำงานด้วย! อย่ามามือเปล่า!

“น้องล้งเล้งกับทะเลล่ะ?”
“มาด้วยกันมั้ย?”

บุ๋มบีมเปลี่ยนเป้าหมายมาชวนสองคนที่เหลืออยู่ ทะเลเลิกคิ้วมองหน้าล้งเล้ง คล้ายกับว่าคำตอบของเขาขึ้นอยู่กับคนข้างๆ

“เอาดิ กูก็หิวอยู่”
“ถ้าลูกหมาไปก็ไป”

ทะเลพูดขึ้นมาทันที พร้อมทั้งสะพายกระเป๋าในท่าเตรียมตัว ล้งเล้งกลอกตาเป็นเลขแปด ถ้ากลอกได้มากกว่านี้เขาก็จะทำ

“งั้นกูไม่ไปละ รำคาญไอ้เหี้ยนี่”

ซึ่งพอพูดแบบนั้น บุ๋มบีมก็พูดพร้อมกันว่า ‘เอ้า!’ ทุกคนมองไปทางทะเลกับล้งเล้งแบบเลิ่กลั่ก แต่ทะเลเพียงแค่ยักไหล่ แล้วพูดต่อ

“เขิน”
“ไอ้สัตว์ มึงแยกแยะเขินกับรำคาญไม่ออกหรือไง?”
“แยกออก” ทะเลพูดด้วยเสียงยานคางกับใบหน้านิ่งตามสไตล์ “อันนี้แปลว่าเขิน”
“กูสอนภาษาไทยใหม่ให้มั้ย? ชั่วโมงละ 300”
“เอาดิ เริ่มเมื่อไหร่ดี? เย็นนี้เลยมั้ย”
“ไอ้สัตว์! กูพูดเล่น” 
“อ่าว แต่กูจริงจัง เรียนเลยได้มั้ย?”
“มึงจะเอาใช่ป้ะ!”

สรุปแล้วแผนกินข้าวก็ล่มเพราะล้งเล้งไม่อยากกินข้าวกับเด็กต่างถิ่น ซึ่งกว่าจะแยกกันได้ ล้งเล้งก็ต้องเสียเวลาปะทะคารมกับทะเลอยู่นานสองนาน จนตัวเองเหนื่อยนั่นแหละถึงได้ยอมแพ้แล้วหนีขึ้นมอไซต์รับจ้างกลับหอพักไปโดยยังไม่ได้กินข้าวด้วยซ้ำ

ให้ตายสิ เขาเกลียดไอ้เหี้ยทะเลจริงๆ

ถึงแม้ว่าความเกลียดตอนนี้มันจะไม่ได้เข้มข้นรุนแรงเหมือนช่วงสมัยเด็กเท่าไหร่แล้วก็ตาม


------- TBC -------
[/b]


ให้เวลาลูกหมาหน่อยนะคะ XD
#รักไม่คาดคิดในวันพุธ

หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 7 -- บังเอิญเนอะ (20/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 20-06-2019 21:38:39
น้องแทนกายซึมเศร้าทำไมใครทำอยากรู้
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 7 -- บังเอิญเนอะ (20/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 21-06-2019 01:11:11
 o13 o13 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 7 -- บังเอิญเนอะ (20/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 21-06-2019 08:35:39
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 7 -- บังเอิญเนอะ (20/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Jiraapp ที่ 22-06-2019 17:01:46
สายเปย์เหลือเกินพ่อคุณ ซื้อเหนียวไก่ข้ามมหาลัยมาจีบล้งเล้ง :hao6:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 7 -- บังเอิญเนอะ (20/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 25-06-2019 23:00:43
นี่คือจะตั้งใจจีบจริงๆเลย?,,,
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 7 -- บังเอิญเนอะ (20/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 26-06-2019 08:04:27
 :katai2-1:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 7 -- บังเอิญเนอะ (20/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: babybaphomet ที่ 27-06-2019 21:36:24
**** เหตุการณ์ในตอนนี้เป็นเรื่องสมมุติที่อ้างอิงจากเหตุการณ์จริงของคนใกล้ตัวที่ประสบมา ไม่ได้ต้องการให้วิชาชีพไหนเสียหาย อย่าดราม่าเลยนะคะ เราแค่อยากเขียนนิยาย แงแง TT***




8th Wednesday

#รักไม่คาดคิดในวันพุธ





น้องแทนกายเป็นอะไร


ในคลาสเรียนวันนี้ล้งเล้งสังเกตว่าแทนกายดูไม่มีสมาธิ เด็กน้อยที่ล้งเล้งคิดเอาไว้แล้วว่าจะต้องจับตาดูมากกว่าปกติด้วยความเป็นห่วงนั้นทำตัวแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด เมื่อก่อนถึงแม้แทนกายจะเงียบ แต่ไม่ใช่คนที่ดูเหมือนล่องลอยขนาดนี้


“แทนกาย”

“ครับ”

“เป็นอะไรหรือเปล่า?”

“เปล่าครับ”


น้องตอบพร้อมกับส่งรอยยิ้มมาให้เหมือนกับทุกครั้ง ซึ่งมันเหมือนกับดอกไม้ที่ถูกบังคับให้บานเพียงแค่ต้องการให้คนมองสบายตาเท่านั้น


“งั้นตอบข้อนี้ให้พี่หน่อย”

“เอ่อ… ข้อไหนนะครับ?”

“ข้อ 47”


เด็กที่ตั้งใจเรียนเสมอมามองหน้าชีทคล้ายกับว่าไม่เคยเห็นมันมาก่อน กระดาษตรงหน้าคือข้อสอบภาษาอังฤษในการใช้เข้ามหาวิทยาลัยที่ล้งเล้งเอามาให้น้องลองทำพาร์ท Error Identification แทนกายนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตอบออกมา


“ตอบข้อ 1”

“ทำไมล่ะ?”


น้องก้มลงมองชีทอีกครั้ง ซึ่งคล้ายกับว่าเด็กหนุ่มจ้องกระดาษเปล่า ในแววตาคู่นั้นไม่ได้สะท้อนว่าแทนกายคิดตามโจทย์บนนั้นเลยสักนิด


“ผมไม่แน่ใจว่า genetic แปลว่าอะไร”

“Genetic” ล้งเล้งเริ่มพูด “หมายถึง สิ่งที่เกี่ยวข้องกับยีนส์ หรือเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม มันเป็น adjective ของยีนส์ (genes) น่ะ”

“อ๋อ ครับ”


น้องตอบรับ ถึงแม้ว่าจะยังดูไม่รับสิ่งที่เขาพูดไปเลยก็ตาม เด็กน้อยจดสิ่งที่เขาพูดใส่สมุดโน้ตของเจ้าตัว ล้งเล้งมองไปรอบวง เด็กที่เขาสอนคนอื่นก็ทำเช่นเดียวกัน ตามปกติเวลาที่เขาอธิบายคำศัพท์ใหม่


“ในข้อนี้นะ โจทย์ให้หา error ของประโยค A breed of cat with genetic health issues are hugely popular as a result of celebrity owners like Taylor Swift”

“...”

“คำตอบมันต้องเป็น are เพราะว่า cat เป็นคำนามเอกพจน์ กิริยาต้องเป็นรูปเอกพจน์เหมือนกัน ต้องเปลี่ยนเป็นจาก are เป็น is”

“ครับ” 


ล้งเล้งพยักหน้ารับคำเด็กน้อย เขาจดบันทึกเอาไว้ในใจว่าหลังจากนี้เขาต้องคุยกับแทนกายจริงจังสักที ติวเตอร์หนุ่มรู้สึกว่าสิ่งที่แทนกายเป็นอยู่นั้นมันรบกวนการเรียนของเด็กน้อยมากเกินไปแล้ว


เป็นไปได้ยากมากที่แทนกายจะไม่รู้คำตอบของโจทย์เมื่อกี้


ตามปกติที่เขาสอนมา ล้งเล้งจะรู้ว่าเด็กแต่ละคนอ่อนอะไร อย่างเช่น ลิลลี่ไม่แม่นคำเชื่อม กับรูปประโยค Complex sentence ส่วนน้องลูกเกดไม่ tense โดยเฉพาะถ้าเป็นในรูป perfect น้องโจ้แม่นแกรมม่า และหัวไวถ้าเป็นเรื่องของโครงสร้าง หากแต่จำคำศัพท์ไม่ได้ และไม่แม่นกิริยา 3 ช่อง  ซึ่งนี่เป็นปัญหาเดียวกับที่แทนกายเป็น เพียงแค่แทนกายสามารถจำการผันรูปของคำกิริยาได้


“เอาล่ะ ข้อต่อไป น้องลิลลี่ ตอบข้อ 48”


ล้งเล้งเปลี่ยนเรื่อง เด็กที่ถูกเรียกสะดุ้งโหยงจนโทรศัพท์เคสลายหมีสีชมพูตกไปอยู่บนตัก เด็กหญิงรีบพูดต่อ


“เอ้า ทำไมเป็นหนูอ่ะ?”

“ก็เมื่อกี้เธออัพไอจีสตอรี่”

“เฮ้ย พี่รู้ได้ไง?”

“อัพจริงใช่มั้ย! ตอบมาเลย!

“โหยยยยยย”


การเรียนการสอนในชั่วโมงหลังเป็นไปอย่างผ่อนคลายเหมือนอย่างเคย ล้งเล้งให้น้องผลัดกันตอบ แล้วเขาก็อธิบายคำตอบของน้องๆ ไปด้วย หลายเรื่องน้องๆ รู้อยู่แล้ว แค่ต้องการความมั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองคิดนั้นถูกต้อง แต่หลายข้อที่น้องไม่เข้าใจว่าโจทย์ต้องการอะไร หน้าที่ของล้งเล้งคือให้ไกด์ไลน์และวิธีการทำความเข้าใจกับคำถาม และการหาคำตอบในเวลาสอบอันจำกัด


“โอเค วันนี้พอแค่นี้นะ”


ล้งเล้งพูดพร้อมกับเก็บปากกาเก็บเข้าแฟ้ม ซึ่งหลังจากเขาพูดจบ น้องลิลลี่ปรบมือด้วยความยินดี ส่วนน้องลูกเกดถึงกับแสดงความดีใจออกมาทั้งทางสีหน้าและน้ำเสียง


“เย้!”

“น้อยๆ หน่อยลูกเกด”

“แฮ่”


เด็กน้อยยิ้มเผล่ น้องลิลลี่กับลูกเกดคุยกันงุ้งงิ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะยกมือไหว้ลาแล้วออกจากร้านแมคโดนัลไป น้องโจ้ออกจากร้านเป็นคนต่อไป เด็กหนุ่มกดโทรศัพท์ที่คาดว่าน่าจะคุยกับที่บ้าน ก่อนจะลุกออกปเป็นคนที่สาม เหลือเพียงแค่ล้งเล้งกับแทนกายที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม


“แทนกาย วันนี้กลับยังไง?”

“อ๋อ… ผม...”


น้องนิ่งไปพักหนึ่ง คล้ายกับกำลังประมวลผลคำตอบนั้น ล้งเล้งพยายามมองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายเผื่อว่าเขาจะสามารถเจออะไรที่กวนใจน้องได้บ้าง แต่สิ่งที่เขาได้รับมีเพียงความว่างเปล่า


“ผมไม่รู้ครับ”

“อ้าว แล้วคนที่ปกติมารับเราล่ะ?”

“ไม่มีแล้วครับ”

“อะไรนะ?”


ล้งเล้งทวนถามเสียงสูงกว่าปกติเล็กน้อย เขาไม่แน่ใจว่าน้องตั้งใจจะสื่ออะไรกันแน่ แทนกายนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะรู้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไป


“คือ…”

“หมายถึงอะไร”

“คนที่มารับปกติไม่ได้มีคนเดียว”

“...”

“ผมจำหน้าคนสัปดาห์ที่แล้วไม่ได้ด้วยซ้ำ”


ทั้งที่แทนกายพูดพร้อมกับรอยยิ้มเหมือนทุกครั้ง แต่ติวเตอร์กลับขมวดคิ้ว ล้งเล้งกำลังพยายามประติดประต่อเรื่องโชเฟอร์ของเด็กน้อย แทนกายก็พูดต่อ


“พี่ล้งเล้ง”

“ว่า?”

“ผม…ผม”


แทนกายเริ่มต้นพูดด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ มือหยิบลูกอมสีแดงเม็ดเล็กจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาแกะกินเหมือนกับปกติ แทนกายติดลูกอม เรื่องนี้ล้งเล้งรู้ดี เขาเห็นน้องแทนกายแกะลูกอมกินเสมอตอนที่เขาสอนมาตลอดร่วมเดือน


“ผม… ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่”

“...”

“ผมไม่ชอบตัวเอง”


ล้งเล้งนิ่งเงียบ เขารอให้เด็กหนุ่มอธิบายความรู้สึกของตัวเองออกมาเพิ่มเติม แทนกายตรงหน้าของเขาดูเหมือนมีความคิดอะไรไหลวนอยู่ภายในมากมาย น้องทิ้งช่วงเวลาเอาไว้ครู่หนึ่ง มันเป็นเพียงแค่ไม่กี่วินาทีที่นานนับชั่วโมงสำหรับคนที่รอคอย


ในที่สุด ความเงียบระหว่างพวกเขา ก็ถูกทำลายลงด้วยน้ำเสียงที่ติดจะแห้งเหือดของแทนกาย   


“ผมเกลียดตัวเอง ไม่อยากอยู่ ทรมาน ไม่อยากเป็นแบบนี้แล้ว”

“คือยังไง? ไม่อยากเป็นอะไร?”

“ผม…”


แทนกายกัดริมฝีปาก สูดลมหายใจเฮือกใหญ่คล้ายกับกำลังทำใจพูดสิ่งที่คั่งค้างอยู่ข้างในหัวออกมา


“ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายมันออกมาเป็นคำพูดยังไง ทุกอย่างมันอยู่ในหัวเต็มไปหมด”

“...”

“มันแย่จนผมไม่อยากอยู่แล้ว มันไม่ดีเลย”

“....”

“ผม… ไม่รู้ว่าจะเล่ายังไง ไม่ชอบตัวเองตอนนี้เลย”


ล้งเล้งมองเด็กน้อยที่ก้มหน้าลงอีกครั้ง ตอนนี้น้องมองมือตัวเองเหมือนกับมันเป็นสิ่งเดียวที่สายตาของเด็กหนุ่มจะกล้าจับโฟกัส ไหล่ของน้องห่อลงอย่างคนที่มีเรื่องไม่สบายใจ


“ลองค่อยๆ เล่าให้พี่ฟังหน่อย”


ล้งเล้งทำเหมือนตรงนี้ไม่ใช่ร้านแมคโดนัลที่มีคนเดินไปเดินมาควั่กไคว่ เขาพยายามดึงแทนกายให้มองมาที่ตัวของเขา ถึงแม้ว่าจะยังทำไม่สำเร็จในตอนนี้ก็ตาม


“ผมไม่ชอบตัวเอง”

“...”

“ผมแย่ คือผมหมายถึง ผมรู้สึกว่าตอนนี้สมองไม่ทำงาน มันแย่ไปหมด เหมือนมีหมอกบังทางข้างหน้า เหมือนมีคนยัดแต่เรื่องราวเลวร้ายที่ตัวเองทำมาใส่หัว แล้วผมเอาออกไปไม่ได้ ผมสลัดความห่วยแตกของตัวเองไม่ได้ มันแย่พี่ มันแย่มาก”

“...”

“ผมพยายามอยู่ ผมอยากจะสู้กับมัน”


เสียงของเด็กหนุ่มสั่น ไหล่ของเขาสั่นไหวเล็กน้อย แต่น้องไม่ได้ร้องไห้ออกมาอย่างที่ล้งเล้งคาดเอาไว้ ในหัวของติวเตอร์หนุ่มมีคำถามบางอย่าง


แทนกายกำลังสู้กับอะไร?


แต่จนแล้วจนรอด เขาก็ไม่ได้ถามออกไป ล้งเล้งทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี รอให้น้องพูดถึงศัตรูในใจออกมา


“ผมรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า เหมือนเป็นก้อนขยะที่ควรจะหายๆ ไปสักทีเพราะว่าถ้าไม่มีผม โลกน่าจะน่าอยู่กว่านี้ ผมเหมือนปีศาจ ผมไม่น่าเกิดมา”


แทนกายกำมือแน่นแล้วคลายออก ก่อนจะกำมืออีกครั้ง ล้งเล้งสังเกตเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างใกล้ชิด แทนกายในตอนนี้พูดวนซ้ำๆ ในเรื่องที่ตัวเองทำไม่ได้ เหมือนกับปลาที่ว่ายวนอยู่ในอ่างของความรู้สึกแย่ที่ตัวเองสร้างขึ้นมา


แทนกายที่เด็กหนุ่มถูกชะตานั้น ดูสิ้นหวังอย่างแท้จริง


 “ผมกำลังกินยาอยู่ แต่เหมือนมันไม่ช่วยอะไรผมเลย ไม่รู้ว่าเพราะว่ายามันไม่ได้ผลแล้ว หรือมันเป็นเพราะว่าผมเองที่แย่จนยาช่วยไม่ได้ ผมไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำยังไงแล้ว”

“...”

“ผมอยากตาย แต่ตายไม่ได้ ผมทำอะไรไม่ได้เลย หมอก็ช่วยไม่ได้ ยาก็ช่วยไม่ได้…”


เหมือนเด็กตรงหน้าจะน็อตหลุดไปแล้ว ใบหน้าสวยของน้องมีน้ำตาไหลนองหน้า ถึงแม้ในแววตาจะดูเศร้าเสียจนล้งเล้งอยากจะร้องไห้ตาม แต่ปากของแทนกายยังมีรอยยิ้มกว้างประดับอยู่


“แทนกาย… เราเป็นอะไร?”

“ผม…”


น้องกัดปาก ในขณะที่ติวเตอร์หนุ่มใจจดใจจ่อ


ในวินาทีที่นานนับชั่วโมง แทนกายก็เอ่ยออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา


“ผมเป็นซึมเศร้า”



.

.

.




‘ผมเป็นมานานแล้ว เพิ่งไปหาหมอมาเมื่อสามสี่เดือนที่แล้ว มันก็โอเค ก็ดีขึ้นมาหน่อยนึง ผมได้ยามากิน มันดีขึ้นนะพี่ ผมนอนหลับ ผมหายคิดมาก มันเป็นวินาทีแรกในชีวิตที่รู้สึกว่าดีจังที่เราไม่เป็นแล้ว’

‘...’

‘แต่พอช่วงหลังมันแย่ แย่ลงมากๆ’

‘...’

‘ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องทำยังไงแล้ว ไม่ชอบที่เป็นอยู่ แต่นึกวิธีแก้ไขไม่ได้ นอกจากตายๆ ไป’

‘...’

‘พี่ล้งเล้ง… ผมควรทำยังไงดี?’


เสียงของแทนกายยังคงก้องอยู่ในหัวของติวเตอร์หนุ่ม เขาเดินคิดเรื่องของเด็กในความดูแลมาตั้งแต่ออกจากร้านอาหารเมื่อครู่ ตอนแรกเขาจะไปส่งน้อง แต่แทนกายยืนยันว่าอยากกลับเอง เขาเลยรอส่งจนกระทั่งน้องขึ้นแกร๊บไปเมื่อครู่


เขาควรจะช่วยน้องยังไง?


ตอนแรกล้งเล้งคิดว่าตัวเองควรจะบอกเรื่องนี้กับพี่แทนใจ พี่ชายของเจ้าตัว แต่น้องกลับน้ำตาไหลออกมาอีกรอบ ย้ำกับเขาอย่างหนักแน่นว่าไม่อยากให้บอกพีแทนใจว่าตัวเองเป็นอะไร


‘ใครบนโลกจะรู้ว่าผมเป็นปีศาจก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่พี่แทนใจ’

‘แต่...’

‘ผมขอร้อง ผมยังอยากเป็นน้องที่ดีในสายตาพี่แทนใจ’

‘นี่เราก็เป็นน้องที่ดีอยู่นะ’

‘นะครับพี่ล้งเล้ง ไม่บอกพี่แทนใจนะครับ’


ยิ่งเป็นแบบนี้ ล้งเล้งเลยเหมือนกับเป็นผู้ใหญ่คนเดียวที่รับรู้เรื่องนี้ของเด็กที่สอน เด็กหนุ่มคิดไม่ตก เขาควรจะทำอย่างไรถึงจะสามารถช่วยน้องได้กัน



‘ปั่ก’


“ขอโทษครับ”


ล้งเล้งที่เดินคิดอยู่กับตัวเองขอโทษคนที่ตนเดินชนบสถานีรถไฟฟ้า ตอนที่เขากำลังจะเดินหนีอีกฝ่าย กลับโดนจับข้อมือเอาไว้


“ลูกหมา มองไม่เห็นกูจริงดิ”

“ทะเล”


ล้งเล้งเรียกชื่ออีกฝ่ายนิ่งๆ ซึ่งตัวคนที่ถูกเรียกชื่อเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ นี่อาจจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ล้งเล้งไม่ได้พ่นคำด่าหลังชื่อของเขา


“นี่มึงเป็นอะไร?”


ทะเลถามอีกคนที่ดูเหมือนสติไม่อยู่กับร่องกับรอยเท่าไหร่ ทะเลกล้าพูดได้ว่าตัวเองรู้จักล้งเล้งมาเกินครึ่งชีวิต ไม่บ่อยนักที่อีกฝ่ายจะหน้านิ่ง ค้วขมวดแบบมีเรื่องให้คิด ไม่ใช่หน้าบึ้งตึงแบบหงุดหงิดเหมือนที่เห็นจนชินตา


“กูมีเรื่องต้องคิด”

“เรื่องอะไร?”

“...”

“ให้กูช่วยคิดมั้ย?”

“...”

“กูช่วยมึงได้จริงๆ นะ”


อาจจะเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ล้งเล้งพยักหน้าเห็นด้วยกับทะเลโดยปราศจากการถูกบังคับ




------- Wednesday In Class -------
[/b]




เรื่องราวของเด็กนักเรียนที่เพิ่งได้รับมา ถูกเรียบเรียงใหม่ผ่านปากของล้งเล้งอย่างระมัดระวัง เขาไม่อยากให้ทะเลรู้ว่าเด็กคนไหนที่เขาดูแลอยู่ที่มีปัญหาสุขภาพแบบนี้ ในขณะเดียวกัน เขาก็ต้องการคำแนะนำ ล้งเล้งอยากจะเป็นที่พึ่งให้น้องเวลาไม่มีใคร แต่เขาไม่มั่นใจว่าตัวเองจะสามารถทำมันได้ดีนัก หากคิดแค่คนเดียว


“สรุปคือ น้องคนนึงที่สอนอยู่เป็นโรคซึมเศร้า?”

“กูไม่รู้ว่าถึงขนาดเป็นโรคหรือเปล่า”


ล้งเล้งถอนหายใจ เขาหัวตื้อไปหมด ยอมรับว่าตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้ เด็กหนุ่มไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนในชีวิต


สำหรับล้งเล้งนั้น ชื่อโรคที่ได้ยินบ่อยในช่วงหลังถือว่าเป็นเรื่องไกลตัว อาจจะเพราะเขาไม่เคยเจอคนรอบข้างที่ประสบปัญหานี้จริงๆ เลยไม่รู้ว่าตัวเองควรจะรับมืออย่างไร


เขาควรจะช่วยน้องยังไง


“ถ้าไม่เป็นโรคแล้วเป็นอะไร ภาวะเหรอ?”

“ประมาณนั้น”


จากการเสิร์ชกูเกิลของล้งเล้งเมื่อสักครู่ เขาค้นพบว่า ‘ซึมเศร้า’ ที่น้องแทนกายพูดถึงนั้นมีได้สองประเภท คือผู้ที่อยู่ในสภาวะซึมเศร้า ซึ่งเท่าที่อ่านมามีอาการคล้ายแทนกายจากคำพูดหลายอย่างของน้อง ถ้าหากคนที่อยู่ในภาวะซึมเศร้านานเกินไป ภาวะนี้จะพัฒนากลายเป็นโรคในเวลาต่อมา


“ยากเหมือนกันว่ะ”

“อืม” ล้งเล้งถอนหายใจ “กูคิดไม่ออกเลยเนี่ยว่าจะช่วยน้องยังไงดี”


หนึ่งนิสิตกับอีกหนึ่งนักศึกษานั่งอยู่ในร้านกาแฟที่ยังคงเปิดอยู่แม้จะดึกดื่น พวกเขาสองคนนั่งตรงข้ามกัน โดยมีแก้วชาเขียวปั่นกับโกโก้เย็น คั่นกลางระหว่างชายหนุ่มทั้งสอง


โชคดีที่ตอนนี้ไม่มีคนใช้บริการเยอะมากเท่าไหร่ พวกเขาเลยไม่ต้องหงุดหงิดเพราะคนเยอะมากเกินไปจนต้องตะเบงเสียงคุยกันเหมือนเวลาคุยกับเพื่อนในโรงอาหาร


“น้องไปหาหมอหรือยัง?”

“ไปมาแล้ว”


ล้งเล้งถอนหายใจ ตอนที่เขาคุยกับน้องมันเหมือนกำลังจมน้ำ สมองเบลอเพราะข้อมูลที่เพิ่งจะถูกป้อนใส่หัวเป็นครั้งแรก


“มึงไม่ได้เล่าให้กูฟัง”


นักศึกษาที่ดูดช็อกโลกแล็ตเย็นดับความหงุดหงิดเมื่อครู่ถอนหายใจออกมาอย่างหนักอก ชายหนุ่มค่อยๆ ถ่ายทอดเรื่องที่ฟังจากน้องมาอีกครั้ง


“หมอบอกว่าน้องเป็นปุถุชน น้องควรจะเป็นเด็กที่ดีกว่านี้”

“...ปุถุชนอะไรวะ”

“เอาจริงกูก็งง”


ล้งเล้งถอนหายใจอย่างหนักอก วันนี้ทั้งวันเขาอาจจะถอนหายใจมากกว่าที่เป็นมาทั้งสัปดาห์แล้วก็ได้ ยิ่งเวลาที่เขาฟังแทนกายพูดออกมามากๆ เข้า เขายิ่งรู้สึกว่ามันหาทางออกไม่ได้เลย


“หมอบอกว่าน้องเป็นปุถุชนธรรมดา ไม่ใช่พระพุทธเจ้า ควรไปนั่งสมาธิให้หายเศร้า อะไรสักอย่าง”

“แล้วมันหายเหรอ?”

“ไม่รู้ว่ะ กูนั่งสมาธิแล้วกูง่วงนะ”

“อือ เหมือนกัน”


เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด เขาไม่ชอบเวลาที่ตัวเองหาคำตอบไม่ได้ ในขณะที่ปากคาบหลอดช็อกโกแล็ตเย็นอยู่ ยิ่งมองไม่เห็นทางออกของหวานยิ่งสำคัญ ในเวลานี้โกโก้เย็นเท่านั้นที่จะสามารถเยียวยาเขาได้


“หมอบอกน้องให้ทำใจว่าตัวเองเป็นคนธรรมดา สามารถนิสัยไม่ดีได้ มันถูกต้องแล้ว แต่น้องเขายิ่งรู้สึกว่าตัวเองถูกกดทับ น้องมันบอกว่ามันยิ่งรู้สึกไร้ค่าขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่มียาก็ไม่มีอะไรแล้ว”

“... ดูเศร้าจังวะ”

“อืม”

“น้องลองเปลี่ยนหมอหรือยัง?”

“มันเปลี่ยนได้เหรอวะ?”


นักศึกษาที่เมื่อครู่มองแก้วเงยหน้าขึ้นมาถามอีกคน นิสิตที่ยังมองอีกฝ่ายตั้งแต่เข้ามาพูดตอบ


“ก็ต้องเปลี่ยนได้สิวะ มึงไม่เคยเปลี่ยนหมอเลยเหรอ?”

“กูไม่ค่อยป่วย หมอก็ตรวจๆ ไปไม่ได้มีผลกับกูเท่าไหร่”


ล้งเล้งไม่ได้โกหก ในชีวิตนี้เขาป่วยไข้นับครั้งได้ แถมทุกครั้งที่เขาไปโรงพยาบาลนั้น ชื่อของหมอไม่เคยใช่ปัจจัยแรกที่เขาจะเลือกดู อันที่จริง ล้งเล้งเป็นประเภทที่โรงพยาบาลไหนก็ได้ ขอเร็ว สะดวก ง่ายไว้ก่อน ส่วนที่บ้านเขาจะมีโรงพยาบาลรัฐประจำกันอยู่ แต่ตัวชายหนุ่มไม่สนใจมากนัก


“มีผลสิมึง” ทะเลพูดตอบเสียงยานคาง “ยิ่งกับโรคแบบนี้ หมอโคตรสำคัญเลยนะ”

“...”

“อะไรที่มันไม่พอดีมันก็ต้องเปลี่ยนหรือเปล่าวะ? ขนาดมึงตอนแรกเรียนๆ ไปยังเลือกซิ่วไปคณะใหม่เลย มันไม่พอดี ก็ต้องเปลี่ยน”

“...”

“ลองไปคุยกับน้อง หาหมอใหม่

“มันจะไม่เป็นไรเหรอวะ?”


ล้งเล้งถามด้วยความไม่แน่ใจ เขากลัวจะไปทำให้น้องรู้สึกไม่ดีมากขึ้นไปอีก อันที่จริง เขาอยากจะช่วยแต่ไม่รู้จะช่วยน้องยังไง ในชีวิตการเป็นติวเตอร์มา การช่วยน้องที่สอนไม่ได้นั้น แย่กว่าถูกตราหน้าว่าตัวเองสอนห่วยเสียอีก


“ถ้าไม่ดีก็เปลี่ยนกลับมาคนเดิม”

“มัน…”

“กังวลอะไรนักหนา”

“...”

“ไม่สมกับเป็นมึงเลยนะไอ้ลูกหมา”


ทะเลเพียงแค่หัวเราะเล็กน้อยเมื่ออีกคนตอบกลับมาด้วยคำว่า ‘เสือก’ อย่างที่ทำเป็นประจำ นิสิตหนุ่มดูดชาเขียวตรงหน้า มองล้งเล้งที่เขาเห็นมาตั้งแต่เด็กอยู่ในอาการสับสน ดูน่าเอ็นดูจนอดเอามือไปขยี้หัวอีกฝ่ายแรงๆ ไม่ได้ เขาไม่ได้คิดจะแกล้งอะไร ทำเพียงแค่พอให้ได้ยินเสียงด่าทอกลับมาให้สบายใจเล่นเท่านั้น


“มันจะต้องโอเค เชื่อสิ”

“...”

“น้องเขาจะต้องดีขึ้น มึงจะช่วยน้องได้ มันจะโอเค เชื่อกู”

“...”

“ถ้าไม่อยากเชื่อกูก็เชื่อในตัวมึงเอง มึงทำได้อยู่แล้ว กูรู้”

“...”

“แล้วูก้เชื่อในตัวมึงด้วย” 



------- Wednesday In Class ------- 



“มันจะต้องโอเค มันจะต้องไม่เป็นไร”


ล้งเล้งย้ำกับน้องแทนกายอีกครั้ง ในวันเสาร์ที่เด็กส่วนใหญ่คอยเฝ้าช่องการ์ตูนนั้น พวกเขาอยู่หน้าห้องตรวจในโรงพยาบาลเอกชนแห่งใหม่ที่แทนกายไม่เคยย่างกรายมาก่อน บรรยากาศร่มรื่นของที่นี่ทำให้จิตใจเขาสงบลงเล็กน้อย เด็กหนุ่มวัยมัธยมยังคงมีร่องรอยแห่งความสิ้นหวังปรากฏชัดเจน


นอกจากติวเตอร์หนุ่มที่นั่งจับมือน้องอยู่แล้วนั้น ข้างๆ กันก็มีทะเลที่ล้งเล้งเองก็ไม่เข้าใจว่าจะมาด้วยทำไม แต่ตอนที่เขาออกจากบ้านในตอนเช้า เจ้าตัวที่อยู่บ้านข้างๆ ดันพูดออกมาว่า ‘ว่าง’ แล้วกระโดดติดสอยห้อยตามมาถึงโรงพยาบาลจนได้


ถึงแม้จะมาพร้อมทั้งถุงถั่วแระญี่ปุ่นในมือก็ตาม


“พี่ล้งเล้ง”


แทนกายพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ตั้งแต่วันนั้นจนถึงตอนนี้ แทนกายไม่ได้ไปโรงเรียน น้องบอกเพื่อนว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ เขาไม่อยากเจอหน้าใคร ล้งเล้งไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าน้องกินข้าวครบทุกมื้ออย่างที่เจ้าตัวบอกเขาหรือเปล่า


“ครับ”


ชายหนุ่มบีบมือเด็กน้อยกลับไป เขาต้องการให้กำลังใจแทนกาย ล้งเล้งนึกภาพไม่ออกว่าการเป็นซึมเศร้ามันเป็นอย่างไร แต่เท่าที่เขาเห็นแทนกาย น้องดูเหมือนกำลังต่อสู้กับสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ด้วยมือเปล่า ล้งเล้งพยายามทำความเข้าใจ เขาพบกว่าตัวเองอาจจะรู้เพียงแค่ผิวเผิน


หมอที่ดีจะช่วยให้แทนกายมีอาวุธไปต่อสู้กับสัตว์ประหลาดนั้น


เขาเชื่อแบบนั้น


“ขอบคุณนะครับ”


คำพูดธรรมดาของเด็กหนุ่มที่ยังคงนั่งมองมือตัวเองดังมาให้ได้ยิน แทนกายยิ้มเล็กๆ มันเป็นยิ้มเล็กน้อยมากจริงๆ นัยน์ตาโตกลมของเด็กมัธยมดูบวมเป่งเหมือนเพิ่งจะผ่านการร้องไห้มาไม่นาน ถึงแม้จะเป็นแบบนั้น แทนกายที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาตอนนี้ กลับไม่มีน้ำตาเลยแม้แต่น้อย


“ขอบคุณอะไร?”

“ขอบคุณที่อยู่ข้างๆ ในเวลา… แบบนี้”


เสียงของเด็กหนุ่มเบาลงในช่วงท้ายประโยค โรงพยาบาลนี้ไม่ได้เงียบเชียบอย่างที่ล้งเล้งเคยเข้าใจ แผนกสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นที่พวกเขานั่งอยู่นั้นบุผนังด้วยภาพสีสันสดใส เสียงเด็กหัวเราะและร้องไห้ดังระงมไปหมด รอบตัวของพวกเขามีเด็กตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนไปถึงคนที่ดูเป็นวัยรุ่นแบบพวกเขาหรือแทนกาย หลายคนมาที่นี่กับผู้ปกครอง บางส่วนมากับเพื่อน หรืออาจจะรุ่นเดียวกันแบบพวกเขา หลายคนมาคนเดียว


“ไม่ต้องคิดมากน่า” ล้งเล้งปลอบใจน้อง พลางบีบมือแน่นขึ้น “พี่ไม่ทิ้งให้เราอยู่คนเดียวหรอก”

“ขอบคุณจริงๆ ครับ”

“พอแล้ว ไม่ต้องขอบคุณแล้ว”

“ขนาดผมเป็นภาระพี่ … พี่ยัง…”

“พอๆ”


คราวนี้เป็นเสียงทะเลที่พูดขึ้นมาแทน ตอนแรกเขาไม่ได้อยากให้ทะเลมาด้วย เพราะเกรงว่าน้องแทนกายจะไม่โอเค แต่ตอนที่ไลน์ไปถามน้องว่าทะลเมาด้วยได้มั้ย แทนกายก็ไม่ได้ติดอะไร ยังตอบเขาว่าตัวล้งเล้งจะได้มีคนนั่งด้วยเวลาที่แทนกายเข้าห้องตรวจ


“ไม่มีใครเป็นภาระใครทั้งนั้นแหละ”


ทะเลพูดตอนที่แกะถั่วแระเข้าปาก น้ำเสียงยานคางเหมือนกับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรอย่างที่เจ้าตัวบอกจริงๆ


“ผมก็ยังอยากจะขอบคุณอีกที”

“เรียนให้ดี พอแล้ว”


ล้งเล้งพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วยกับคำพูดของทะเล ช่วงนี้อาจจะเป็นช่วงเดียวของชีวิตที่ล้งเล้งไม่ได้คิดว่าทะเลกวนส้นตีนจนน่าเอาอะไรฟาดปากให้กินถั่วเงียบๆ ไป


ไม่มีคำพูดอะไรเพิ่มเติมนอกจากรอยยิ้มบางๆ ของแทนกาย ที่ยังคงดูแห้งเหือดเหมือนกับที่ล้งเล้งชินตาในช่วงนี้ ยิ่งดูแล้วเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าแทนกายมีหน้าตาที่เหมือนกับพี่แทนใจราวกับฝาแฝด แต่แววตานั้น กลับดูเป็นคนละคนกันอย่างสิ้นเชิง


“คุณแทนกายคะ เตรียมพบคุณหมอที่ห้องตรวจ 3 นะคะ”


พยาบาลเดินมากระซิบด้วยรอยยิ้มพร้อมกับเดินนำแทนกายไปที่ห้องตรวจ น้องหันมายิ้มให้พวกเขาทั้งสองคนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหายเข้าห้องตรวจเบอร์ 3 ไป อย่างเงียบๆ


“มึงว่าน้องจะเป็นยังไง?”


ท่ามกลางเด็กที่วิ่งเล่นไล่จับกันตรงหน้า ล้งเล้งถามอีกคนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ภายในห้องตรวจไม่รู้ว่าแทนกายจะเจอกับอะไร เขาอยากจะไปนั่งข้างๆ น้องด้วย อยากทำให้อีกคนรู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้คนเดียว แต่ล้งเล้งก็พอรู้ว่าตัวเองไม่สามารถเข้าไปด้วยได้ แล้วเขาก็่มีควรด้วยเพราะเขาไม่ใช่ญาติที่โตมากับแทนกายจริงๆ


“น้องจะต้องโอเค”

“...”

“ครั้งนี้ มันจะต้องโอเค”


นี่อาจจะเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ล้งเล้งหันไปยิ้มให้กับทะเลจากใจจริง


บางที


ทะเลอาจจะไม่ได้เหี้ยอย่างที่เขาเคยนึกเกลียดเมื่อตอนเด็กก็ได้




------- TBC -------
[/b]







ตอนนี้เป็นตอนที่เราคุยกับเพื่อนนานมากว่าจะเขียนออกมายังไงดี



อย่างที่บอกไป เราไม่ได้ต้องการกล่าวหาวิชาชีพไหนนะคะ แต่โดยส่วนตัว เรามีเพื่อนที่เป็นโรคนี้ค่อนข้างเยอะ (รวมถึงตัวเราด้วย ;A;) หลายครั้งมากๆ ที่หมอมีผลกับการรักษาจริงๆ เลยตัดสินใจนำมาเขียนเพราะเรื่องนี้มีคนใกล้ตัวเจอเหตุการณ์นี้จริงๆ ค่ะ คำพูดหมอก็ของจริง 5555



ยังไงก็ตาม ไม่ว่าใครที่กำลัง suffer กับโรคนี้ หรือคนใกล้ตัวที่เป็น ลองหาหมอดูนะคะ เรามีเพื่อนทั้งที่ยังต้องอยู่กับโรคนี้ และจากไปเพราะซึมเศร้า เรารู้สึกได้ว่าหมอ(ที่เข้ากับเรา)ช่วยได้จริงๆ



ก้าวแรกที่ไปหาหมอยากมาก เจอหมอที่คลิ๊กกับเรานั้นยากยิ่งกว่า

ยังไงก็ขอฝาก #รักไม่คาดคิดในวันพุธ ไว้ด้วยนะคะ




ขอบคุณมากค่า



 ปล. โจทย์ภาษาอังกฤษ นำมาจาก ข้อสอบ GAT ภาษาอังกฤษ ปี 2561 ข้อที่ 47, จากเพจ http://WWW.FACEBOOK.COM/GATENGTHAILAND, สืบค้นเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2561











หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 8 -- เล่าให้กูฟังบ้าง (27/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 27-06-2019 23:10:27
 :pig4:

น้องแทนกายเป็นซึมเศร้าจากสาเหตุอะไรที่กดดันอยู่
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 8 -- เล่าให้กูฟังบ้าง (27/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 28-06-2019 01:46:13
 :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 8 -- เล่าให้กูฟังบ้าง (27/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Jiraapp ที่ 28-06-2019 16:23:58
ไม่คิดว่าน้องแทนกายจะเป็นซึมเศร้าเลยหวังว่าน้องจะดีขึ้นนะ :mew6:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 8 -- เล่าให้กูฟังบ้าง (27/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: kingkongkaew ที่ 28-06-2019 17:16:50
เอาใจช่วยน้องแทนกาย ขอให้คุณหมอคนใหม่เข้าใจและให้คำปรึกษาน้องถูกทางค่ะ อยากให้น้องกลับมาสดใสสมวัยเร็วๆ ที่จริงอยากให้น้องได้บอกครอบครัวให้รับรู้เพราะคิดว่าครอบครัวที่เข้าใจจะมีส่วนช่วยให้อาการน้องดีขึ้นได้และช่วยระวังเหตุการณ์อื่นๆที่อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงที่น้องรู้สึกไม่ดี แต่ตอนนี้อย่างน้อยน้องก็มีล้งเล้งและทะเลเป็นกำลังใจและรับฟังน้องขอให้น้องอาการดีขึ้นเร็วๆนะคะ

หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 8 -- เล่าให้กูฟังบ้าง (27/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 01-07-2019 00:37:47
ปักรอค่า เห็นใจทะเลมากสู้ๆน้า ล้งเล้งต้องแอบเขินจริงๆสักวัน
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 8 -- เล่าให้กูฟังบ้าง (27/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 02-07-2019 00:22:59
เป็นภาวะซึมเศร้านี่เอง,,, เดี๋ยวก็ดีขึ้นครับ,,,
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 8 -- เล่าให้กูฟังบ้าง (27/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: zeit ที่ 02-07-2019 07:35:10
น้องแทนกาย เป็นกำลังใจให้หนูนะ

ล้งเล้ง เป็นหมาที่น่ารักจริงๆ ตอนนี้คุยกับทะเลได่แล้ว

Sent from my HMA-L29 using Tapatalk

หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 8 -- เล่าให้กูฟังบ้าง (27/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: babybaphomet ที่ 10-07-2019 23:57:16
9th Wednesday

#รักไม่คาดคิดในวันพุธ





“เนื้อคู่มึงอยู่ใกล้ตัวมากเลยนะ” 





เสียงมูเตลูพูดขึ้นในตอนที่พวกเขากำลังนั่งทำงานกลุ่มด้วยกัน มันเป็นวิชาที่พวกเขาจะต้องแบ่งกันอ่านหนังสือ แล้วอัดเสียงวิเคราะห์ว่าตัวเองคิดยังไงกับหนังสือเรื่องนั้น เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยประเด็นไหน ซึ่งตอนนี้ประเด็นที่คุยกันดันไม่ใช่สิ่งที่อาจารย์ถามแล้ว




กูว่าเนื้อคู่เนี่ย ไม่น่าใช่งาน




“เอาล่ะ เนื้อคู่เกี่ยวเหี้ยอะไรกับฟ้ามีตา”

“เนื้อคู่มึงไง กูเห็นจริงๆ นะ”

“ไร้สาระ”




ล้งเล้งพูดตัดบทโดยไม่สนใจท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือในการพูดเรื่องเนื้อคู่ของมูเตลู ล้งเล้งถอนหายใจ ถ้ามนุษย์เพื่อนในเสื้อสีส้มแสบตา กับกางเกงสีม่วงไลเลคจะเข้าใจบทเรียนเหมือนที่สนใจเรื่องเนื้อคู่ที่ตัวเขาก็ไม่อยากรู้ว่าใครบ้าง เย็นวันอังคารของล้งเล้งคงไม่ต้องปวดหัวขนาดนี้




สิ่งหนึ่งที่ล้งเล้งรู้แน่ชัดคือสีเสื้อมงคลของวันนี้ไม่เป็นสีส้มก็ต้องม่วงแน่นอน




“น้องล้งเล้งอย่ากริ้ว”

“พี่ๆ เป็นห่วง”

“สเต๊กไก่มั้ยเย็นนี้?”

“หรือจะกินไส้กรอกซีพีดี?”




แน่นอนว่าสองเสียงนี้เป็นของบุ๋มกับบีม ที่ทิ้งชีทแล้วแอบกินไส้กรอกกับสเต๊กที่ไปซื้อมาจากไหนก็ไม่รู้ แล้วเอาเข้ามาในห้องสมุดได้อย่างไรล้งเล้งก็ไม่รู้ว่ามีความสามารถไหนในการแอบเอาของกินเข้ามาที่นี่เหมือนกัน




อันที่จริงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ความหิวคนมันห้ามไม่ได้


แต่… สเต๊กไก่ มันก็ออกจะเกินคาดหมายไปนิดเหมือนกัน




“พวกมึงอ่านจบหรือยัง กูถามแค่นี้”




เจ๋งเป้งถอดแว่นพร้อมกับนวดขมับอย่างหงุดหงิด เขานั่งถ่างตาอ่านหนังสือ ‘ฟ้ามีตา’ มาเป็นสัปดาห์สลับกับการคัดภาษาจีน แต่ต้องมาเจอเพื่อนนั่งกินสเต๊กกันอยู่ตรงหน้า บางทีเขาก็อยากจะเป็นบ้าไปให้รู้แล้วรู้รอด




“อ่านแล้ว”

“พวกเราแบ่งกันอ่าน”

“คนละบท”

“สลับกันไป”




บุ๋มบีมตอบทั้งที่กำลังนั่งกินกันอยู่ ซึ่งล้งเล้งถอนหายใจหนักมาก ในวิชานี้พวกเขาตัดสินใจแบ่งกันอ่านหนังสือคนละหมวด ล้งเล้งรับการอ่านหนังสือเรื่องหนึ่ง ซึ่งเจ๋งเป้งกับมูอ่านอีกเล่ม ส่วนอีกเล่มเป็นของบุ๋มบีมที่อ่านด้วยกัน ซึ่งล้งเล้งไม่รู้ว่างานตัวเองจะได้คะแนนเท่าไหร่ พนันด้วยอะไรก็ได้ว่ามันอ่านไปกินสเต๊กไก่ กับไส้กรอกแน่นอน



“พวกมึงรู้เรื่องแน่นะ”




ล้งเล้งถามย้ำอีกครั้ง คะแนนกลุ่มนะเว้ย! พวกเหี้ย!




“แน่นอน!”

“น้องล้งเล้งไว้ใจพวกเรา!”




ในเมื่อบุ๋มบีมบอกมาแบบนั้น เขาก็ปล่อยๆ มันไป ตอนนี้กำลังอัดเทปเล่มของเจ๋งเป้งกับมูอยู่ซึ่งจบไปแล้วรอบหนึ่ง ต่อมาพวกเขาจะรีวิวว่ามันโอเค ก่อนที่จะอัดเทปเรื่องของล้งเล้งต่อ แล้วบุ๋มบีมเป็นเรื่องสุดท้าย เพราะมันมือเปื้อนซอสอยู่ เลยยังไม่พร้อมทำงาน




ไลน์!




ล้งเล้งพักเรื่องปวดประสาทของเพื่อนที่ยังคงคุยเรื่องของกิน กับเนื้อคู่แล้วมาสนใจโทรศัพท์มือถือของตัวเอง เมื่อเห็นว่าใครทักมา เขาก็รีบกดเข้าไปดู


น้องแทนกาย




sky: พี่ล้งเล้ง

sky: ผมขอบคุณมากๆ เลยนะครับ

sky: สำหรับเรื่องเมื่อวันก่อน ที่พี่ไปโรงพยาบาลกับผม

sky: ไม่รู้จะพูดยังไง แต่ผมขอบคุณมากจริงๆ

sky: ขอบคุณครับ




รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นมาบนหน้าของชายหนุ่ม บางทีการที่เขาลงแรงไปทั้งหมดมันสร้างความรู้สึกดีให้เด็กอีกคน ซึ่งหากพูดให้ลึกลงไปกว่านั้น น้องแทนกายเป็นเด็กที่เขาเอ็นดูโดยส่วนตัวอยู่แล้วด้วย วันนั้นน้องผิดปกติจริงๆ ตามปกติแล้วเด็กที่นิ่งเงียบตลอดคลาสพูดเรื่องของตัวเองเยอะขนาดนั้น ไม่ว่ามองยังไงมันก็แปลก



ล้งเล้ง: ไม่เป็นไรเลย

ล้งเล้ง: พี่เต็มใจมากๆ

ล้งเล้ง: ตอนนี้เป็นไงมั่ง?

ล้งเล้ง: ดีขึ้นแล้วใช่ป้ะ?




ทันทีที่เขาส่งข้อความไปนั้น น้องแทนกายอ่านทันทีเหมือนกับกำลังเปิดอ่านหน้าจอไลน์ของเขาอยู่แล้ว เพียงแค่อึดใจเดียว เด็กน้อยก็ตอบกลับมา




sky: ผมดีขึ้นมากเลยครับ

sky: พอเจอหมอคนใหม่ คนนี้เขาดีกับผมมากเลย

sky: อย่างน้อยก็ไม่ไล่ผมไปนั่งสมาธิแล้ว

sky: เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ผมอยากหาย

sky: ถ้าไม่ได้พี่ล้งเล้ง ผมก็คงไม่ได้เจอหมอคนนี้

sky: ขอบคุณมากเลยครับ

sky: ขอบคุณพี่ทะเลด้วย




บางที นี่อาจจะเป็นโมเมนต์แรกตั้งแต่เป็นติวเตอร์มา ที่ล้งเล้งรู้สึกว่าหัวใจตัวเองพองฟูอย่างแท้จริง





------- Wednesday In Class -------




“ลูกหมา!”




เสียงเรียกจากทางด้านหลังเรียกให้ล้งเล้งหันไปมอง ตอนนี้ล้งเล้งอยู่ที่มหาลัยแถวกลางเมือง เพราะวันนี้น้องลูกเกด ลิลลี่ แล้วก็โจโจ้ลงสอบวัดระดับภาษาอังกฤษของทางมหาวิทยาลัยเอาไว้ ตัวเขาเลยมาให้กำลังใจน้อง




แต่ที่ไม่คิดว่าจะเจอ ก็คือนายทะเลที่เดินยิ้มกวนส้นตีนเข้ามาหานี่แหละ



“กูไม่ใช่ลูกหมา”




ล้งเล้งพูดปัดแบบขอไปที เอาจริงสำหรับพวกเขาสองคน การพูดแบบนี้มันก็คล้ายกับการทักทายไปแล้ว ล้งเล้งไม่ได้ขัดอะไรตอนที่ทะเลเดินมานั่งเสนอหน้าอยู่ข้างๆ เขาที่เมื่อครู่เปิดสมุดจดโน๊ตภาษาจีนที่เพิ่งเรียนไปเมื่อวันพฤหัส ปิดมันลงเพราะรู้สึกไม่มีสมาธิอีกต่อไป




“มึงมาทำไรสามย่าน?”




ทะเลชวนอีกฝ่ายคุย ชายหนุ่มวางกระเป๋าใบใหญ่ลงข้างตัว วันนี้คู่ปรับของล้งเล้งไม่ได้อยู่ในชุดนักศึกษาแบบที่มักจะบังเอิญเจอในวันพุธ ทะเลอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนสบายๆ ผมของอีกฝ่ายที่ยาวจนล้งเล้งนึกงงว่ามันไม่ตัดมั่งหรือไงวะถูกรวบแบบหลวมๆ ไปด้านหลัง




ถ้ามองแบบไม่อคติ ทะเลก็ถือว่าหน้าตาดีระดับหนึ่ง


แค่ระดับเดียวเท่านั้นแหละ! มองรวมๆ ยังไง ล้งเล้งก็รู้สึกว่าตัวเองหล่อกว่าอยู่ดี




“เมื่อเช้าเด็กติวกูมาสอบ CU-TEP”

“มึงก็เลยมาเป็นดินสอให้น้อง?”

“กูมาเป็นปากกา”

“เห้ยมึง เขาใช้ดินสอสอบ”

“มาเป็นกำลังใจก็พอมั้งไอ้เหี้ย กวนตีนกูจังเลยนะมึงน่ะ”




ทะเลหัวเราะเมื่อสามารถทำให้เพื่อนสมัยเด็กของตัวเองทำหน้าบู้บี้ด้วยอารมณ์หงุดหงิดที่ถูกกวนประสาทได้ มือใหญ่ยื่นไปขยี้หัวอีกคนเล่นอย่างอารมณ์ดี ซึ่งก็ถูกปัดออกอย่างแรงทันทีเช่นเดียวกัน




“แล้วมึงมาทำไร มีเรียนวันเสาร์ด้วยเหรอวะ?”




ล้งเล้งถามอีกฝ่ายกลับบ้าง หลังจากผ่านเรื่องแทนกายมาเขาก็มานั่งคิดว่าบางที (แค่บางทีนะ) ทะเลอาจจะไม่ใช่เด็กหน้านิ่งกวนส้นตีนในความทรงจำคนนั้นที่เขาเคยเกลียดมาตลอดก็ได้




หากเป็นตัวเองสมัยมัธยมเขาคงจะตบหัวตัวเองไปแล้วที่มีความคิดแบบนี้ แต่ล้งเล้งในวัยที่เริ่มเป็นผู้ใหญ่ เขานิ่งกว่าเดิมมาก แล้วก็ยอมรับแบบหน้าไม่อายว่าตัวเองเติบโตขึ้นจากเมื่อหลายปีก่อน ทั้งในด้านความคิด และอารมณ์




บางที เขากับทะเลอาจจะเป็นเพื่อนกันได้… ละมั้ง?




“กูมาช่วยงานเพื่อน”




ทะเลตอบด้วยน้ำเสียงยานคางตามสไตล์ มือเสยผมที่เริ่มยาวลงมาปรกหน้า ล้งเล้งนึกรำคาญแทน มันอาบน้ำสระผมจะใช้เวลาเท่าไหร่กันวะในชีวิตเนี่ย มันต้องนานแน่นอน ขนาดผมเขาไม่ได้ยาวมากยังหงุดหงิดเวลาที่ต้องสระผมให้เสร็จ กว่าจะแห้งอีก รำคาญ!




“แล้วมานั่งกับกูทำไม? ไปทำงานมึงสิ”

“ก็เสร็จแล้ว”

“งั้นมึงก็กลับบ้านไปดิ”

“โหย ลูกหมา ไล่เหรอวะ”




ทะเลเอามือขยี้หัวอีกฝ่ายเล่นอย่างสนุกสนาน โดยที่ล้งเล้งโวยวายด่าพ่อของเขาไปด้วย ซึ่งทะเลไม่ถือสาเอาความ หากพูดตามจริงแล้ว กับล้งเล้งน่ะ เขาไม่เคยถือสาอะไรเลย แม้ว่าอีกฝ่ายจะเคยต่อยเขาเสียตาเขียวก็เถอะ




สำหรับทะเลแล้ว ล้งเล้งเป็นข้อยกเว้นเสมอ




“ใช่ กูไล่”




ไอ้ตัวเล็กที่ทะเลเรียกในใจหันมาพูดด้วย ใบหน้าน่ารักของอีกฝ่ายบูดบึ้งแต่ไม่มีแววตาของการพูดเล่นอยู่ในนั้น หนึ่งในเรื่องที่ล้งเล้งไม่เคยรู้ตัวเลยก็คือเจ้าตัวน่ารักแค่ไหน




ถึงแม้จะดูห่ามๆ แต่ล้งเล้งจัดเป็นเด็กที่มีใบหน้าน่ารักเหมือนกับตุ๊กตา ไม่ใช่เรื่องแปลกที่สมัยมัธยมจะมีเด็กผู้ชายมาขอเบอร์ (แล้วก็โดนกระทืบ) อยู่เสมอ แต่สิ่งที่ทำให้ทะเลชอบที่จะเข้าไปวอแวล้งเล้งไม่ใช่หน้าตาแบบที่คนอื่นเป็น




เขามองลึกลงไปกว่านั้น




“ไปสิมึง ไป๊!”

“ไปกับกู”

“อะไรของมึงนะ?”

“ไปไง ไปกับกู”



ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรให้มากกว่านั้น ทะเลจับแขนอีกฝ่ายฉุดให้ลุกขึ้นยืน ล้งเล้งที่ตอนแรกกำลังนั่งอยู่ก็เหวอ ไม่เข้าใจว่าอีกคนจะทำอะไร แต่ด้วยขนาดร่างกายที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ล้งเล้งต้องลุกขึ้นแล้วเดินตามมันไปเสียอย่างนั้น




“มึงจะลากกูไปไหนเนี่ย?!”

“ขึ้นรถป๊อป”



ทะเลพูดนิ่งๆ ยานคางแบบตามปกติที่ล้งเล้งคุ้นเคย จนเมื่อมั่นใจว่ามันไม่ยอมปล่อยแน่ๆ ล้งเล้งก็เลยตามเลย ขึ้นรถป๊อปไปกับมันด้วย อาจจะเป็นโชคดีของพวกเขาที่ไม่ต้องรอรถป๊อปนานมากนัก สายที่ต้องการก็มาถึง




“แล้วตกลงมึงจะพากูไปไหน”

“สยาม”

“ไปสยามเพื่อ?”

“แดกข้าวกัน”

“มึงก็แดกของมึงไปสิ มาวุ่นวายกับกูเพื่อ?”

“หาคนหาร”

“สารเลว! พ่อมึงจะต้องรู้เรื่องนี้!”

“อินมัลฟอยในแฮร์รี่ พ็อตเตอร์เหรอ? งั้นกูเป็นอะไรดี?”




พวกเขาคุยกันบนรถป๊อป วันนี้คนมามหาลัย C มหาศาล พวกเขาทั้งสองคนเลยต้องยืนกันอยู่บนนั้น โดยที่ล้งเล้งกับทะเลยืนกันสบายๆ โดยที่ก็ยังคงเถียงกันอยู่แบบนั้น โดยไม่ได้สนใจเด็กผู้หญิงในชุดนักศึกษาสองสามคนที่ศอกกันไปมาเหมือนกับกำลังชี้ชวนให้ดูพวกเขา




“เดรโก มัลฟอย ในแฮร์รี่ พ็อตเตอร์มันฟ้องพ่อตัวเองมั้ย อันนี้กูจะฟ้องพ่อมึง!”




ล้งเล้งพูดถึงตัวละครในหนังที่เขาชอบดู ซึ่งตัวละครหัวทองที่ดูเย่อหยิ่งนั้น มีคำพูดติดปากว่า ‘พ่อฉันจะต้องรู้เรื่องนี้แน่!’ ทะเลที่คุยกับเขารู้เรื่อง ก็คงจะดูหนังเรื่องนี้เหมือนกัน


“อ่อ งั้นเดี๋ยวกูฟ้องพ่อกูเอง มึงจะฟ้องพ่อกูด้วยก็ได้นะ แบ่งๆ กัน”

“เพื่อ? ไอ้สัตว์นี่! ยืนเฉยๆ ไป!”

“นี่กูก็ยืนอยู่นะ” ทะเลพูดนิ่งๆ ใบหน้าเรียบเฉยนั้นมีรอยยิ้มกวนประสาทอยู่ “หรือว่ามึงนอน?”

“มึงอยากลงไปนอนมั้ยล่ะ? เดี๋ยวกูยัน!”




เถียงกันไปมาสักพักก็ถึงสยามอย่างที่ตั้งใจไว้ ล้งเล้งเดินตามทะเลลงจากรถ เขาไม่ได้สนใจเพื่อนสมัยเด็กของตัวเองที่เดินนำหน้ามากนัก อาจจะเพราะว่าตอนนี้กำลังวุ่นวายอยู่กับแชทกลุ่มสอนพิเศษ ตอนแรกเขาตั้งใจจะรอให้น้องออกมา ดูฟี๊ดแบคหลังจากสอบของน้องๆ แต่คิดอีกทีก็ไม่จำเป็นเท่าไหร่นัก เพราะสองในสามของน้องมีพ่อแม่มารอรับอยู่แล้ว




น้องๆ ของครูล้งเล้งผู้หล่อเหลา (5)

ล้งเล้ง: สอบเสร็จแล้วบอกพี่หน่อยนะ

ล้งเล้ง: พอดีพี่ถูกเพื่อนลากมากินข้าว

ล้งเล้ง: เลยไม่ได้รอจนพวกเราสอบเสร็จ

ล้งเล้ง: อย่าลืมบอกพี่นะ!




มีคนอ่านหนึ่งคน ซึ่งล้งเล้งคิดว่าน่าจะเป็นน้องแทนกาย เด็กคนเดียวที่ไม่ได้ลงสอบกับเพื่อนคนอื่นด้วย เพราะเจ้าตัวไม่รู้ว่าอยากจะเข้าอะไร แต่ไม่อยากจะเข้าภาคอินเตอร์เลยไม่ได้สอบตั้งแต่แรก ซึ่งต่างจากน้องลูกเกด ลิลลี่ แล้วก็โจ้ที่อยากหาโอกาสให้ตัวเองมากเท่าที่มากได้ เลยกว้านสอบไปทั่ว




“มึงอยากกินอะไร?”




ล้งเล้งถูกดึงออกมาจากหน้าจอโทรศัพท์เมื่อคนที่เดินอยู่ข้างหน้าหยุดแล้วถามเขา ชายหนุ่มสั่นหัวยักไหล่คล้ายกับจะบอกว่า ‘ไม่รู้ แล้วกูก็ไม่สนใจด้วย’ ซึ่งนั่นไม่ใช่คำตอบที่ทะเลต้องการ




“มึงจะกินอะไร?”

“อะไรก็ได้”

“ร้านไหนในสยามขายอะไรก็ได้ พากูไปหน่อย”

“เอ๊ะ มึงกวนตีนกูเหรอ?!”




ตอนนี้ล้งเล้งสนใจทะเลมากกว่าโทรศัพท์เรียบร้อยแล้ว ถึงแม้จะเป็นความสนใจที่คล้ายๆ กับการอยากต่อยให้ตาเขียวก็ตาม




“เอ๊า กูก็ไม่รู้” ทะเลยังคงพูดนิ่งๆ ใบหน้ามีรอยยิ้มมุมปากคล้ายกับกำลังทำเรื่องสนุกเหมือนเคย “เผื่อมึงรู้ไง เลยถาม”

“ไอ้สัตว์ กวนส้นตีน”

“แล้วสรุปอยากกินไร?”

“เลือกๆ มาเถอะ สักร้านอ่ะ!”




มื้อเที่ยงของวันนั้นตกเป็นร้านสุกี้ชื่อดังที่พวกเขารู้จักกันดีอยู่แล้ว นั่นก็คือ MK สุกี้ ล้งเล้งถลึงตามองอีกคนด้วยความแบบ ‘นี่มึงเอาจริง?’ แต่ทะเลไม่ได้สนใจอีกฝ่าย เขาลากล้งเล้งดุ่มๆ ไปเอาคิวที่ร้านสาขาสยามสแควร์วัน ถึงแม้จะขึ้นมาสูงหน่อยแต่พวกเขาคิดว่าสาขานี้น่าจะคนน้อยกว่าสาขาสยามพาราก้อนแน่นอน




“ถ้าบอกตัวเองตอนประถมว่าวันนึงจะมานั่งกินสุกี้หม้อเดียวกันกับมึงนะ กูคงหัวเราะฟันหัก”




ล้งเล้งพูดตอนที่พวกเขากำลังดูเมนูในหน้าจอ ตอนนี้เขากำลังกดสั่งเนื้อและผักลงหม้อไว้กินด้วยกันอยู่ มีบางทีที่ทะเลกวนตีนคอยเลื่อนกลับหลังตอนที่เขากำลังจะสไลด์เมนูให้เลื่อนไปบ้าง แต่พอเตะขามันใต้โต๊ะสักที ก็ยอมนั่งเงียบๆ เรียบร้อยไปสักพักเหมือนกัน




“มึงกินติ่มซำป้ะ?”

“เอาๆๆ กูขอฮะเก๋ากับซาลาเปาหมูแดง”

“ฮะเก๋าอร่อยยังไงวะ ขนมจีบดิดีกว่าเยอะ”

“เสือก! มึงมันลิ้นจระเข้”

“ก็มันจริง จะให้กูโกหกหรือไง?”

“กดเลือกเมนูไปเถอะมึงน่ะ กูจะแดก!”




ทะเลพยักหน้าเงียบๆ ปล่อยให้ล้งเล้งกดเลือกติ่มซำที่ตัวเองอยากกินไป เท่าที่สั่งดูแล้วเมนูที่รอให้มาส่งนั้นมีอะไรเบสิกสามัญตามแบบที่คนทานร้านนี้ส่วนใหญ่จะสั่ง หมี่หยดเป็ดย่าง ผักชุดเล็ก ชุดเนื้อ กับซีฟู๊ดตามปกติ อาจจะเป็นโชคดีที่พวกเขาทั้งสองคนไม่มีใครแพ้อาหารทะเล เลยสั่งกันได้อย่างเต็มที่ตามที่อยากทาน




รอไม่นานนักอาหารบางส่วนที่พวกเขาสั่งไว้ก็มาเสิร์ฟ เท่าที่กองอยู่บนโต๊ะตอนนี้เหมือนส่วนใหญ่จะเป็นพวกชุดผัก ลูกชิ้นต่างๆ แล้วก็มีบะหมี่หยกเป็ดย่างที่มาเสิร์ฟก่อน




ล้งเล้งมองอาหารตรงหน้าแล้วขมวดคิ้ว นี่หมี่ห้าก้อนกับเป็ดจานใหญ่เหรอวะ ทำไมมันน้อยขนาดนี้ เดี๋ยวไอ้เหี้ยทะเลแย่งกินหมดแล้วเขาจะทำยังไง? ถึงจะถามแบบนี้ แต่ในใจมีภาพตัวเองเอาถาดบะหมี่ฟาดหัวมันไปเรียบร้อยแล้ว




“มึง”

“ว่า?”




นักศึกษาหนุ่มมองอีกคนที่จ้องจานหมี่หยกที่วางอยู่บนโต๊ะระหว่างพวกเขาสองคนด้วยสายตาจริงจัง ก่อนที่เสียงยานคางนั่นจะเอ่ยถามออกมา




“มึงลวกหมี่หยกมั้ยวะ?”




คำถามวัดใจ


ล้งเล้งนิ่งไปนิดนึง ก่อนจะตอบกลับไปด้วยเสียงราบเรียบ




“กูลวก บ้านกูลวกทั้งบ้านอ่ะ ทุกคนลวกทุกอย่างในหม้อหมด เหมือนอาม่าจะเชื่อว่าถ้าอะไรที่ยังไม่ลงหม้อสุกี้ถือว่าไม่สุก”




เด็กหนุ่มไม่พูดเปล่า เขาเปิดฝาหม้อสุกี้ที่ตอนนี้กำลังเดือดปุด กลิ่นน้ำซุปหอมฟุ้งลอยออกมาแตะจมูกของพวกเขาทันที ล้งเล้งรู้สึกเหมือนกับท้องของเขากำลังกรีดร้องโหยหวนอย่างบ้าคลั่ง




เขาต้องการอาหาร เดี๋ยวนี้!




หิวเว้ย!




“อืม”




ทะเลรับคำแต่ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม ล้งเล้งไม่รู้ว่าเพราะอีกฝ่ายกำลังวุ่นวายอยู่กับการเอาผักลงหม้อหรือเปล่า




“แล้วมึงอ่ะ?” ล้งเล้งถามอีกฝ่ายดูบ้าง

“ไม่ลวก”

“นั่นไง กูว่าแล้ว”




ล้งเล้งตบโต๊ะด้วยความยินดีเมื่อสิ่งที่ตัวเองคิดเอาไว้ถูกต้อง อย่างไอ้ทะเลน่ะเหรอจะมีอะไรเหมือนกันกับเขา ไม่มีทางหรอกชาตินี้




“ว่าอะไร?”

“ยังไงมึงก็ต้องตรงข้ามกูอยู่แล้ว ถ้ากูลวกมึงก็ต้องไม่ลวกไง เดาไม่เห็นยาก”

“เดาไม่ยากจริงเหรอ?”

“ใช่สิ”  ล้งเล้งตอบคำถามก่อนหน้านั้น พร้อมทั้งเอาเนื้อหมู กับลูกชิ้นลงไปในหม้อ “มันก็เป็นแบบนี้มาตลอดไม่ใช่หรือไง?”




ทะเลไม่ได้ตอบอะไรเพิ่มเติม สิ่งที่ชายหนุ่มทำคือเขาเอาตะเกียบคีบหมี่หยกบนจานขึ้นมาส่วนหนึ่ง ก่อนที่จะเอาใส่กระชอน แล้ววางไว้ในหม้อต้ม




“อ้าว! ไหนมึงบอกมึงไม่ลวกหมี่หยกไง?”

“กูแค่พูดตรงข้ามกับมึงไปงั้นอ่ะ”

“เพื่อ?”




ล้งเล้งถามอย่างไม่เข้าใจ ในขณะที่มือก็ตักกุ้งที่เพิ่งสุกในหม้อมากินด้วย ปากก็เคี้ยวกุ้งไป ตาก็มองหน้าคนที่นั่งตักอาหารทานอยู่ฝั่งตรงข้าม




“ล้อเล่น”

“โว๊ะ!”

“งั้นจริงจังละกัน”

“ฮะ?”

“เพื่อกวนตีนมึงไง”

“...”

“กวนตีนมึงอย่างจริงจัง”

“ไอ้เหี้ย!”




ทะเลพูดเรื่องต่างๆ กับล้งเล้งด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งยานคางของเจ้าตัว ใบหน้าของอีกคนประดับด้วยรอยยิ้มมุมปากแบบที่ล้งเล้งเห็นจนชินตา ซึ่งล้งเล้งก็แก้แค้นอีกฝ่ายด้วยการแย่งกุ้งมากินคนเดียว มึงแดกผักไปเล กวนส้นตีนดีนัก กุ้งนี้เป็นของกู!




ท่ามกลางการแย่งเป็ดและโต้เถียงกันเล็กน้อยนั้น สุกี้หม้อนี้ผ่านไปได้ดีกว่าที่ล้งเล้งเคยคิดไว้มากโข พวกเขาคุยเล่นกัน กัดกัน หัวเราะเรื่องตลกที่ต่างคนต่างเจอมา ตัวตนที่เป็นมิตรของทะเลที่ล้งเล้งเพิ่งจะสัมผัสได้ครั้งแรกนั้นทำเอาภาพความทรงจำในวัยเด็กเลือนราง




อันที่จริง ทะเลแม่งก็ไม่ได้เหี้ยนี่หว่า




“ลูกหมา”

“กูต้องบอกมึงกี่ครั้งว่ากูไม่ใช่ลูกหมา”




ล้งเล้งตอบอีกคนกลับไปเสียงขุ่น ตอนนี้พวกเขามายืนอยู่หน้าโรงหนังด้วยกัน หากนับกันตามตรง นี่เป็นครั้งที่สองที่พวกเขาจะดูหนังร่วมโรงเดียวกัน ซึ่งในครั้งแรกนั้น ล้งเล้งแพ้อีกฝ่ายหมดรูปในการแข่งขันไม่เข้าห้องน้ำ ครั้งนี้ทะเลเลยยื่นข้อเสนอให้แข่งกันใหม่ ซึ่งล้งเล้งกระโดดรับคำท้าทันที




“ตกลงน้องคนนั้น เขาโอเคแล้วใช่มั้ย?”

“คนไหน?”

“แทนกาย”




ติวเตอร์ตัวเล็กนิ่งไปสักพักเมื่อใบหน้าเปื้อนน้ำตาของเด็กที่สอนแว๊บเข้ามาในหัวทันทีหลังสิ้นคำของอีกคน ชายหนุ่มส่ายหัวสะบัดภาพนั้นทิ้งไป ก่อนจะตอบอีกฝ่าย




“น้องโอเคแล้วมึง ล่าสุดก็ไลน์มาบอกว่าโอเคนะ แต่อาจจะต้องดูอาการไปเรื่อยๆ เพราะหมอใหม่ยังไม่อยากปรับยาอะไรน้อง เลยแค่นัดเจอเพื่อพูดคุยก่อน อันนี้ตามที่น้องบอกกูมานะ”

“อืม” ทะเลรับคำสั้นๆ ใบหน้าของอีกฝ่ายคลายความกังวลลงเล็กน้อย “ดีแล้วแหละ”

“นั่นดิ กูสงสารน้อง”

“อืม”

“ตอนนั้นกูโคตรเครียด แบบมึงเข้าใจใช่มั้ย เด็กที่มึงสอนอ่ะ เห็นเขาเป็นแบบนั้นกูก็อดเป็นห่วงไปด้วยไม่ได้ ไหนจะไม่อยากให้กูบอกพี่ชายอีก เหมือนเป็นผู้กุมความลับอะไรบางอย่างแต่ไม่รู้ว่าจะช่วยเขาได้ยังไง โคตรเครียด” 




ทะเลพยักหน้ารับคำพูดยืดยาวของอีกคน พร้อมกับกดจองตั๋วหนังไปด้วย รอบนี้พวกเขาเลือกดูภาพยนตร์แอคชั่นคล้ายกับครั้งที่แล้ว อันที่จริงทะเลไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าหนังที่กดมันคืออะไร เลือกๆ มาสักเรื่องนั่นแหละ




เขาแค่อยากดูหนังกับล้งเล้ง หนังเรื่องอะไรก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับว่าคนข้างๆ ของเขาเป็นใคร 




“ตอนที่น้องไลน์มาบอกว่าตอนนี้สบายใจขึ้นกว่าตอนที่หาหมอคนเดิม กูเหมือนยกภูเขาออกจากอกเลยว่ะ โคตรดีใจ”




ล้งเล้งยังคงพูดบ้งเบ้งเหมือนอย่างเคย ใบหน้าของอีกฝ่ายเปื้อนยิ้มกว้างที่เป็นหลักฐานชั้นดีว่าตัวเองมีความสุขแค่ไหน ซึ่งนั่นทำให้คนที่ยืนอยู่ข้างๆ อดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้


ล้งเล้งเหมือนพระอาทิตย์

ไม่ว่าใครอยู่ใกล้ก็ได้รับพลังบวกจากตัวชายหนุ่มเสมอ 




“เก่งแล้ว ไอ้ลูกหมา”




ทะเลพูดพร้อมกับเอามือไปขยี้หัวคนที่ตัวเล็กกว่าทันที ส่งผลให้อีกคนโวยวายด่าพ่อเหมือนที่ชอบทำ แต่ครั้งนี้นั้นพวกเขาทั้งคู่ต่างรู้ดีว่ามันมีอะไรแปลกไป ล้งเล้งไม่ได้โกรธ ทะเลไม่โดนทำร้ายร่างกาย บรรยากาศของพวกเขาทั้งสองคนนั้น ต่างจากเมื่อหลายเดือนก่อนอย่างสิ้นเชิง




“ต้องบอกมึงอีกกี่ทีว่ากูไม่ใช่ลูกหมา!”




นิสิตหนุ่มไม่ได้สนใจคนข้างๆ ที่แย้งออกมาอยู่แบบนั้น เขาเดินดุ่มๆ เพื่อไปซื้อป๊อปคอร์นกับน้ำสำหรับสองที่ ยังไม่ทันที่ล้งเล้งจะอ้าปากบอกว่าตัวเองเอาอะไร ทะเลก็จัดการทุกอย่างเสียหมด




“รสหวานครับ”

“ไอ้เหี้ยทะเล กูไม่กินหวาน”

“กูรู้” ทะเลตอบนิ่งๆ ใบหน้ามีรอยยิ้มมุมปากปรากฏอยู่

“แล้วซื้อมาเพื่อ? กวนตีนกูหรือไง?”

“เก่งนี่หว่า”

“สัตว์เอ้ย คนอย่างมึงนี่นะ!”




พวกเขาเล่นกันอย่างไม่จริงจังนัก การดูหนังครั้งนั้นเป็นไปด้วยความสนุกสนาน ทั้งที่มันเป็นแค่การใช้เวลาร่วมกันไม่กี่ชั่วโมงกับจอภาพยนตร์ตรงหน้า แต่ล้งเล้งกลับรู้สึกสบายใจ บางที เขาอาจจะมองอีกฝ่ายในแง่ดีขึ้นมากตั้งแต่เรื่องแทนกาย หากพูดแบบไม่อายล่ะก็ เพียงตัวเขาคนเดียว ณ ตอนนั้นน่ะ ไม่สามารถหาทางออกเรื่องนั้นได้แน่นอน




ยิ่งพอมาเจอกันในตอนนี้ ตอนที่ล้งเล้งเริ่มวางอคติในใจของตัวเองลงไปแล้ว เขาค้นพบว่าทะเลเป็นคนที่ความคิดดี อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ไม่ต้องเกร็ง หากพูดด้วยความสัตย์จริงเลย ทะเลเป็นคนที่คุยสนุกมากคนหนึ่ง




ถ้าพูดแบบจริงมากกว่านั้นอีกล่ะก็ … พวกเขาเข้ากันได้ดีกว่าที่คิด




ไม่ว่าล้งเล้งจะพูดหรือจะทำอะไร เดินไปที่ไหนในห้างนั้น ทะเลเหมือนจะรู้จักเขาดีไปหมด พวกเขาไปร้านหนังสือด้วยกัน ตัดสินใจดูหนังด้วยกันแบบที่ไม่ต้องคิดอะไรมาก


“โคตรสนุก”




ล้งเล้งเป็นคนแรกที่เปิดปากหลังจากออกมาจากโรงภาพยนตร์ พวกเขาเดินแทรกตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่บางส่วนก็คุยกันออกรสถึงเนื้อเรื่องที่เพิ่งจะจบไป บ้างก็เล่นโทรศัพท์มือถือของตัวเอง ซึ่งล้งเล้งอยู่ในกลุ่มแรกอย่างไม่ต้องสงสัย




“มันก็ดี”

“ใช่ป้ะมึง” คนตัวเล็กยังจ้อไม่หยุด “ยิ่งตอนที่พระเอกกระโดดนะ กูแบบ โห ไปสุดว่ะ”




พวกเขาเดินคุยเรื่องหนังกันมาเรื่อยๆ จนถึงบนสถานีรถไฟฟ้า ตอนแรกล้งเล้งที่คิดว่าตัวเองจะต้องโหนรถกลับไปบ้านคนเดียวนั้นก็ได้เพื่อนร่วมทางเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง เพราะบ้านของพวกเขาอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ขึ้นกลับทางเดียวกันมันก็ถูกแล้ว




ทั้งที่ตามปกติแล้วการขึ้นรถไฟฟ้าสำหรับล้งเล้งเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน แต่ครั้งนี้กลับสั้นลงเพียงอึดใจเดียวเท่านั้น อาจจะเพราะมีเพื่อนร่วมทางที่คุยกันรู้เรื่องมาด้วย ชายหนุ่มทั้งสองคุยเรื่องภาพยนตร์ เรื่องหนังสือ เรื่องแนวคิดทางการเมืองบางมุม แม้กระทั่งลวกหมี่หยกยังลวกเหมือนกันน่ะ!




นี่มันมิตรภาพชัดๆ!




“มึงรู้ป้ะ?”




ล้งเล้งเปิดประเด็นตอนที่พวกเขายืนอยู่บนรถไฟฟ้าด้วยกัน อีกสามสถานีจะถึงบ้านของทั้งคู่ ตอนนี้โทรศัพท์ของนักศึกษาหนุ่มที่แบตหมดไปแล้วอยู่ในมือของเจ้าตัว ที่เอาพาวเวอร์แบงค์ของคนที่มาด้วยกันชาร์จไว้อยู่




“ไม่รู้ว่ะ”

“อ้ะ ไอ้เหี้ยทะเล จะช่วยดีกับกูสักวินาทีได้มั้ย?”




เด็กหนุ่มคนที่ตัวเล็กกว่าพูดพร้อมกับแกล้งศอกใส่คนที่ยืนโหนราวอยู่ข้างๆ ไม่แรงมากนัก คล้ายกับจะเป็นการหยอกเย้ามากกว่าทำให้เจ็บตัว




“ตกลงมึงมีไร?”

“กูแค่รู้สึกดี” ล้งเล้งพูดด้วยหน้าตาเปล่งปลั่ง ดวงตากลมของอีกคนเป็นประกายคล้ายกับเด็กที่ได้เจอเรื่องสนุก “หมายถึง กูมีความสุขนะที่ออกมากับมึงวันนี้ เชี่ย รู้งี้กูคุยกับมึงไปตั้งนานแล้ว เสียเวลากระทืบมึงฉิบหาย”

“...”

“ตอนอยู่กับมึงแม่งโคตรสบายใจเลยว่ะ แบบยอมรับแมนๆ เลยเนี่ย”

“...”

“กูอยากเป็นเพื่อนกับมึงว่ะ ทะเล”



พูดออกไปแล้ว




เด็กหนุ่มตัดสินใจเรียบเรียงคำพูดในหัวแล้วเปล่งออกไปให้อีกฝ่ายรับรู้ ล้งเล้งยังคงตื่นเต้นกับความรู้สึกใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น ชายหนุ่มค่อนข้างมั่นใจว่าถ้าเขาสามารถ แฮงก์เอาท์กับเพื่อนคนนี้ได้บ่อยๆ มันคงต้องสนุกมาก ทะเลอาจจะเป็นเพื่อนที่ดี … น่าจะเป็นเพื่อนที่ดี




ฉับพลัน สีหน้าทะเลเปลี่ยนไป




มันยังคงเป็นใบหน้านิ่งเรียบ หากแต่รอยยิ้มมุมปากที่ล้งเล้งเห็นจนชินตานั้นละลายหายไป แววตามีความสุขของอีกคนหม่นแสงลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่จะรู้ตัว ทะเลพูดออกมาด้วยน้ำเสียงยานคางเรียบนิ่งเหมือนเดิม แต่น้ำหนักของมันกลับจริงจังเสียจนหัวใจของล้งเล้งรับรู้ได้




“ไม่อ่ะ”

“...”

“กูไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับมึง”




------- TBC -------







เรางานเยอะมาก แบบมากๆ (บ่นไม่ได้อีกเพราะรับฟรีแลนซ์ งานเยอะคือดีแล้ว แง)

เลยมาอัพช้ามาาาาาาา


ขอบคุณทุกคนที่อ่านน้า


#รักไม่คาดคิดในวันพุธ

หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 9 -- เเนื้คู่อยู่ใกล้ตัว (11/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 11-07-2019 02:05:16
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 9 -- เเนื้คู่อยู่ใกล้ตัว (11/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Misakiiz ที่ 11-07-2019 10:47:05
อยากเป็นแฟน ได้ยินมั้ยอยากเป็นแฟนนนน!!! ((ทะเลไม่ได้กล่าว))
โถถถถ ลูกกกก วงวาร พอเปิดใจอยากเป็นเพื่อนกับเค้า เค้าก็ไม่อยากเป็นเพื่อนด้วย น้องเข้าใจผิดหมดแล้ว เอ๊ะ หรือพี่ทะเลแค่กวนน้องกันคะ
ปล. นิยายสนุกมากเลยค่ะคุณนักเขียน เซ็ตติ้งมธ.นี่คือนึกภาพออกเลย อยากเดินไปหาน้องที่ตึกสินสาดจังเลย จะเจอมั้ยน้าาา 55555555 รอตอนต่อไปนะคะ
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 9 -- เเนื้คู่อยู่ใกล้ตัว (11/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: QueenPedGabGab ที่ 11-07-2019 16:57:00
 สนุกมากกกก :pig4:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 9 -- เเนื้คู่อยู่ใกล้ตัว (11/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 11-07-2019 18:36:07
 :pig4:
 :L2: :3123: :L1:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 9 -- เเนื้คู่อยู่ใกล้ตัว (11/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: nisaday ที่ 11-07-2019 22:36:51
โอ๊ยๆถ้าทะเลบอกไปตอนนี้ล้เล้งจะรับไหวหรอ
ตั้งตัวทันมั้ยนั่น
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 9 -- เเนื้คู่อยู่ใกล้ตัว (11/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 12-07-2019 00:02:26
เล้งอย่าพึ่งเข้าใจผิดนะลู้กกกก ทะเลเขาน่ะเกินเพื่อนไปนานแร้วว
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 9 -- เเนื้คู่อยู่ใกล้ตัว (11/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 12-07-2019 10:58:05
ทำไมตัดแบบเนร้ล่าาาาาาา
ล้งเล้งเงิบแน่นอนอะตอนนี้
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 9 -- เเนื้คู่อยู่ใกล้ตัว (11/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 13-07-2019 10:48:37
ทะเลจะสารภาพแล้วหรอ??
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 9 -- เเนื้คู่อยู่ใกล้ตัว (11/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Jiraapp ที่ 15-07-2019 18:29:41
ทะเลเขาอยากเป็นแฟนนะล้งเล้งไม่อยากเป็นเพื่อน แล้วนี่ต้องพูดต่อให้จบเด้อเดี๋ยวล้งเล้งใจเสียขึ้นมายากเลยนะ
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 9 -- เเนื้คู่อยู่ใกล้ตัว (11/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: babybaphomet ที่ 16-07-2019 20:31:33
10th Wednesday

#รักไม่คาดคิดในวันพุธ



นี่มันเรื่องอะไรกันวะ?




ล้งเล้งถามตัวเองเป็นรอบที่สาม หลังจากที่ทะเลพูดประโยคทำร้ายจิตใจของล้งเล้งแบบนั้นเสร็จ ชายหนุ่มก็เดินออกจาก BTS ไปเลย ทิ้งไว้เพียงแค่ล้งเล้งที่ยืนเอ๋อ กว่าเขาจะรู้ตัวประตูรถไฟก็ส่งเสียงร้องแจ้งเตือนว่าจะปิด แล้วรถก็วิ่งต่อเพื่อไปสถานีบ้านของเขาที่เขาควรจะต้องลงกับทะเล




แต่กลับเหลือเพียงล้งเล้งคนเดียว




ชายหนุ่มไม่ได้ฉงนกับการกระทำของมนุษย์มากนัก แล้วเขาไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมานั่งหาเหตุผลกับคำพูดและการกระทำของทะเลเลยสักครั้งในชีวิตนี้


ทั้งที่เขากำลังคิดว่าพวกเราจะเข้ากันได้ อีกฝ่ายกลับพูดออกมาว่า ‘ไม่อยากเป็นเพื่อน’ กัน มันใช้ได้ที่ไหนวะ!




นอกจากความรู้สึกงุนงงแล้ว อีกอย่างที่เขามั่นใจว่าตัวเองรู้สึกแน่นอนคือความไม่เข้าใจ เขาทำอะไรผิดอย่างนั้นหรือ? ทำไมคนๆ หนึ่งที่ดูเหมือนจะคุยกันรู้เรื่องถึงไม่ได้อยากเป็นเพื่อนด้วย


งง


ไม่เข้าใจ


เหี้ยอะไรวะ!?


ล้งเล้งจมอยู่กับความไม่เข้าใจตั้งแต่วินาทีที่ทะเลก้าวขาออกจากรถไฟฟ้าออกไปในวันนั้น จนกระทั่งถึงตอนนี้ เรื่องทั้งหมดผ่านมาสองสามวันแล้ว ล้งเล้งกลับไม่สามารถสลัดมันออกไปจากห้วงความคิดได้ ในหัวของชายหนุ่มมีแต่คำถาม


อะไรวะ ไม่เข้าใจอ่ะ


ไอ้ทะเล ไอ้เวรเอ๊ย!


.

.

.



“น้องล้งเล้ง เป็นอะไร?”

“ทำไมเหม่ออ่ะ?”

“เกิดอะไรขึ้น?”

“เที่ยงนี้กินสเต็กไก่มั้ย?”

“หรือจะกินไส้กรอกซีพี?”


บุ๋มบีมที่นั่งอยู่ข้างๆ พูดกับล้งเล้งที่ดูเหมือนกำลังหงุดหงิดอยู่ น่ากลัวน้อยเสียทีไหน บางทีก็เหมือนกับคนที่งงบทเรียน แต่หลายครั้งก็ส่ายหน้าเหมือนกับไม่มั่นใจในสิ่งที่อยู่ตรงหน้า พอบุ๋มบีมสังเกตมากๆ เข้าถึงได้รู้ว่ามันเป็นบ้าแล้ว ไม่ใช่เป็นที่อาจารย์สอนแต่อย่างใด


“ไม่อ่ะ ไม่หิว”


เนี่ย! แปลก!!


การที่บุ๋มบีมกวนประสาทแล้วไม่โดนล้งเล่งด่าเนี่ย แปลก!


นักศึกษาหนุ่มออีกสี่คนมองหน้ากันโดยปล่อยให้เสียงอาจารย์ที่กำลังบรรยายอะไรสักอย่างอยู่หน้าห้องเป็นเพียงแค่เสียงนกเสียงกา เรื่องเพือนที่นั่งอยู่ตรงหน้าย่อมน่าสนใจกว่าอยู่แล้ว


“ล้งเล้ง มึงไม่สบายเหรอ?”

“เปล่านี่”


ล้งเล้งพูดตอบเพื่อน เด็กหนุ่มปล่อยให้เรื่องของแนวคิดของนักจิตวิทยาชื่อคุ้นหูไหลผ่านไปอย่างไม่ใส่ใจ ตอนนี้เขาไม่สามารถสลัดความสงสัยที่มีต่อทะเลออกไปได้


“ล้งเล้ง วันนี้ไม่ปกตินะ เป็นไรบอกพวกกูได้นะ”


เจ๋งเป้งถามเพื่อนตัวเล็กอีกครั้งตอนที่พวกเขาทั้งหมดขนย้ายตัวเองมานั่งอยู่ที่โรงอาหาร ในขณะที่มูเตลูนั่งอยู่ในชุดสีแสบตาเหมือนเคย แต่วันนี้ล้งเล้งไม่มีอารมณ์จะใส่ใจมากนัก


ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของไอ้เหี้ยทะเล! ทุกอย่างนั่นแหละ!


“ไม่อ่ะ”

“...”

“มีนิดหน่อยก็ได้”


ตอนนี้แม้กระทั่งบุ๋มบีมที่กำลังแย่งลูกชิ้นในจานกันถึงกับหันมามอง มูเตลูเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์ที่กำลังจัดคิวดูดวงให้ลูกค้า แม้กระทั่งเจ๋งเป้งที่ตอนแรกคิดว่าตัวเองจะลงไปซื้อโกโก้ปั่นให้อีกฝ่ายถึงกับต้องหยุดเพื่อฟัง น้อยครั้งมากที่ล้งเล้งจะไม่ตั้งใจเรียน มันต้องมีเหตุผลเบื้องหลัง!


“ถ้ามีคนบอกว่าไม่อยากเป็นเพื่อนกับมึง มึงจะทำไงวะ?”


ทั้งวงเงียบ มองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนที่มูเตลูจะเป็นคนแรกที่พูดขึ้นมา


“ก็ช่างหัวแม่งไง”

“ช่างหัวมันเลยเหรอ?”

“ก็เออดิ วุ่นวาย ไม่อยากคบกูก็ไม่ต้องคบครับผม คนอย่างกูเลือกเพื่อนด้วยวาสนาเท่านั้น พวกบุญไม่ถึงคือไม่มีสิทธิ์เป็นเพื่อนกับกู!”


มูเตลูพูดพร้อมกับสะบัดหัวที่วันนี้ใส่หมวกปีกกว้างสีม่วงนีออน คล้ายกับจะบอกว่าเรื่องนีไร้สาระเกินจะใส่ใจ


“มันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอวะ?”


ล้งเล้งถามต่ออย่างไม่แน่ใจ มูเตลูยักไหล่เหมือนกับจะบอกว่า ‘ง่ายอย่างงั้นแหละ ทำอะไรให้มันยาก’


“มันก็ง่ายน่ะสิ”

“ทำไมน้องล้งเล้งต้องทำให้มันยากด้วยล่ะ?” 


บุ๋มบีมพูดตอบมา ซึ่งล้งเล้งขมวดคิ้วให้กับคำพูดของเพื่อนสนิทในกลุ่ม


“มันจะไม่เหี้ยไปหน่อยเหรอวะ?”

“ไม่เห็นเกี่ยว”  มูเตลูพูดขัด เจ้าตัวถึงกับถอดหมวกปีกกว้างบนหัวลงเพื่อคุยกับล้งเล้ง “มันไร้สาระมากมึง กูพูดเลย”

“เหรอวะ”

“อ่ะ ลองแบบนี้ ถ้ากูบอกว่าไม่อยากเป็นเพื่อนกับมึงอ่ะ มึงจะทำไง?”

“เอ้า ไอ้เหี้ย ทำไมพูดงี้”

“สมมุติสิเว้ย” มูเตลูว้ากขึ้นมาที “ตอนเจอกันครั้งแรก ถ้ามึงถามกูว่าเรามาเป็นเพื่อนกันมั้ย แล้วกูบอกไม่เป็นเพื่อนกับมึงงี้อ่ะ มึงจะทำไง?”

“ก็เรื่องของมึงไงไอ้เหี้ย”

“เออ ก็แค่นั้นแหละ”


มูเตลูวางโทรศัพท์ที่เป็นเคสสีม่วงไว้บนโต๊ะ (ล้งเล้งเพิ่งสังเกตวันนี้เองว่าแม้กระทั่งเคส มันก็เปลี่ยนตามวันที่ใช้เป็นสีมงคล ไปให้สุดเลยเว้ยเพื่อน) ล้งเล้งเงยหน้าสบตาเพื่อนที่มองอยู่ก่อนแล้ว มันทำท่าเหมือนอยากจะเอามือมาลูบหัวหรือไม่ก็ดีดเหม่งอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ทำ มูพูดทิ้งท้ายไว้แค่ว่า


“มันไร้สาระ เห็นมั้ยล่ะ”

“...”

“ถ้าคนที่พูดไม่สำคัญกับมึงจริงๆ มึงคงไม่มานั่งคิดมากกับเรื่องไร้สาระของเขาขนาดนี้หรอก”




------- Wednesday In Class -------



วันนี้เขาจะต้องเจอไอ้เหี้ยทะเล


ติวเตอร์ตัวเล็กคิดถึงแต่การไปเจอหน้านิสิตในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนทั้งเช้าทั้งบ่ายเขามีแต่วิธีที่จะง้างปากทะเลอยู่ในหัว ล้งเล้งหมายมั่นปั้นมือมาจากมหาลัย วันนี้เขาจะต้องเจอไอ้เหี้ยทะเลให้ได้ ต่อให้จะต้องเคี้ยวมันเหมือนกับกินแมคฟิชก็จะต้องรู้ให้ได้ว่าทำไมมันถึงพูดจาหมาไม่แดกแบบนั้นออกมา


มันหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก


เขาไม่เข้าใจว่าทำไม ตัวเองทำอะไรผิดไป จะเทมันทิ้งเหมือนกับที่เทคนอื่นก็ประหลาดอยู่ดี คนมันเคยเห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ แถมก็รู้สึกว่าเข้ากันได้แล้วด้วย… แค่เสียดายหรอก แค่อยากรู้ด้วย! มันก็แค่นั้นแหละ!


ในแม็คโดนัลร้านประจำของครูล้งเล้ง โต๊ะที่เขามักจะเลือกนั่งเสมอมีเด็กหลายคนนั่งอยู่ ล้งเล้งโยนเรื่องของติวเตอร์คู่แข่งที่ติดอยู่ในหัวมาสามสี่วันทิ้งไปอย่างไม่ใยดี บทบาทของคุณครูคนเก่งกลับมาอีกครั้ง


ช่างหัวไอ้เหี้ยทะเล ตอนนี้เขาต้องเอาน้องมาก่อนเป็นอันดับแรก



“เด็กๆ มากันนานแล้วเหรอ?”


ล้งเล้งทักเมื่อเห็นว่าพวกน้องๆ นั่งกันอยู่ที่โต๊ะแล้ว กวาดตามองบรรดาเด็กน้อยที่เขาชินตา ทุกคนนั่งกันอยู่ตรงโต๊ะแล้ว ตอนที่กวาดตามองครั้งแรกนั้น เด็กที่เห็นมีมากกว่าที่เขาสอนอยู่เสียหน่อย ซึ่งไม่แปลกเพราะบางครั้งลิลลี่กับลูกเกดก็พาเพื่อนมานั่งด้วย บางทีเพื่อนของโจโจ้ก็มาส่ง หรือแม้แต่บางครั้งสมัยที่เด็กต้นยังเรียน เขาก็เคยเห็นเด็กผู้ชายโรงเรียนเดียวกับน้องเป็นกลุ่มมานั่งอยู่ใกล้ๆ คิดว่าคงรอให้เพื่อนเรียนพิเศษเสร็จแล้วจะได้ไปเที่ยวเล่นกันต่อ


แต่เมื่อมองดีๆ อันที่จริงเด็กนักเรียนของเขา กับเด็กอีกกลุ่มนั้นนั่งแยกโต๊ะกัน ไม่ได้คุยเล่นกันเสียด้วยซ้ำ …


เอ๊ะ?


ติวเตอร์หนุ่มหรี่ตามองดีๆ นั่นมันเด็กของทะเลงั้นหรือ?


ใช่จริงๆ ด้วย!


เด็กผู้หญิงที่นั่งอยู่ที่มุมโต๊ะฝั่งหนึ่งคือน้องหมูแดงหรือหนูแดงอะไรสักอย่าง ที่เป็นเด็กที่ทะเลมันสอน ข้างๆ กันนั้นก็เป็นน้องผู้หญิงในเครื่องแบบลายสต็อกเหมือนกันกับเด็กหนูแดง ที่น่าจะชื่อซีน เด็กหน้าจีนที่อยู่ในชุดมอปลายรัฐบาลอีกคนเหมือนจะชื่อปาล์มมี่


ล้งเล้งคิดว่าตัวเองมองไม่ผิด สามคนนี้เป็นนักเรียนของทะเล!


“ใช่ค่ะพี่ล้งเล้ง มานั่งนี่ๆ”


น้องลิลลี่เป็นคนแรกที่พูดดึงความสนใจของเขากลับมาที่โต๊ะของน้องตัวเอง เด็กๆ ที่เหลือจัดแจงที่นั่ง ให้มีที่พอสำหรับล้งเล้งแทรกตัวลงไปนั่งได้ ในขณะที่สามเด็กหญิงที่ทะเลสอนนั้นเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมามองเขาเล็กน้อย แล้วก็ก้มลงไปคุยกันต่อเท่านั้น


ถ้านี่มีเด็กของทะเล แสดงว่าเดี๋ยวอีกสักพักมันต้องโผล่หัวมา


“ทำการบ้านมาใช่มั้ย?”


ติวเตอร์คนเก่งสลัดเรื่องของไอ้หน้านิ่งออกไปจากหัว ล้งเล้งถามน้องๆ ที่นั่งมองหน้าเขาตาแป๋ว รวมถึงแทนกายที่ตอนนี้ดูสดใสขึ้นกว่าช่วงที่เขาเคยเป็นห่วงเด็กหนุ่มอย่างเห็นได้ชัดเจน ซึ่งนี่ถือว่าเป็นเรื่องดีๆ ในวันนี้ของเขาแล้วล่ะนะ


“ทำค่า”

“ทำครับ”

“เรียบร้อยแล้ว… เมื่อกี้เลย”


เด็กๆ ต่างตอบรับกันเกรียวกราว เอาเถอะ ถึงแม้จะเพิ่งทำเมื่อกี้แต่ก็ยังรับผิดชอบชีวิตตัวเองได้ ล้งเล้งก็ไม่มีอะไรที่จะต้องมีปัญหาล่ะนะ


“งั้นเรามาต่อกันจากคราวที่แล้วนะ”


ล้งเล้งหยิบชีทข้อสอบ GAT ขึ้นมา ซึ่งเป็นฉบับเดียวกับที่เขาซีร็ออกส์ให้น้องไปทำเพื่อให้ชินกับข้อสอบจริงที่น้องจะเจอตอนสอบ


“น้องแทนกาย”

 

ติวเตอร์คนเก่งเรียกคนที่เขาเขียนชื่อเอาไว้ในกระดาษว่าจะเียกถามเป็นคนแรก เพราะในการเรียนครั้งที่แล้วน้องตอบน้อยสุด


“ครับ”

“ข้อ 22 ตอบอะไร?”


เด็กน้อยที่นั่งตรงข้ามกับเขาพร้อมกับน้ำเปล่าหนึ่งขวดตรงหน้ามองกระดาษอย่างไม่แน่ใจ ก่อนที่เจ้าเด็กที่เขาเอ็นดูจะตอบออกมาเบาๆ


“ข้อ 3”

“ทำไมถึงได้ตอบ 3”


หากมองไม่ผิด ล้งเล้งรู้สึกว่าเด็กน้อยเกร็งตัวมากขึ้น เหมือนกับว่าตัวเองไม่ได้เตรียมไว้ว่าทำไมถึงได้ตอบแบบนี้


“โจทย์ถามว่า… เอ่อ บางประเทศจะทำยังไงกับภาษาอังกฤษ เพราะว่าต้องการทำอะไรสักอย่างกับภาษาพื้นเมืองของพวกเขา ผมเลยตอบข้อ 3 เพราะ เมื่อรวมกันแล้วจะได้ว่า บางประเทศจะเอาภาษาอังกฤษออกจากภาษาราชการ เพราะว่าต้องการรักษาภาษาถิ่นเดิ่มครับ”

“ถูกต้อง”


ล้งเล้งมองชีทพร้อมับพยักหน้าให้เด็กน้อย ทุกคนมองเขาเหมือนกับว่ารอให้อธิบายต่อ ซึ่งติวเตอร์คนเก่งตั้งใจจะทำแบบนั้นอยู่แล้ว


“โจทย์บอกว่า Some countries have tried to ... English as their official language as a way of … their native tongue. ที่แทนกายพูดมาถูกแล้ว บางประเทศพยายามที่จะทำอะไรสักอย่างกับอิ๊ง ในฐานะของการเป็นภาษาราชการของพวกเขา official language คือภาษาราชการเนอะ” 

“...”

“ส่วน phrase หลัง as a way of คือในทาง หรือในวิธีการที่อะไรบางอย่าง ของ their native tongue อย่างที่พวกเรารู้กันว่า their คือของพวกเขา ส่วน native tongue เนี่ย tongue ในที่นี้หมายถึงภาษา native คือพื้นเมือง หรือดั่งเดิม เหมือนกับ local ในบริบทนี้”

“...”

“อย่างตรงนี้ เราสามารถเจอคำคล้ายๆ กับ native tongue ได้ อย่างเช่นคำว่า mother tongue ซึ่งแปลว่าภาษาแม่ ความหมายใกล้เคียงกัน เข้าใจใช่ป้ะ?”

“...”

“ซึ่งคำตอบคือ ข้อสาม  eliminate ที่แปลว่าเอาออก หรือกำจัด และ  maintaining ซึ่งแปลว่ารักษาไว้ มีใครตอบข้ออื่นป้ะ?”

“...”


เด็กๆ มองหน้ากันไปมาแต่ไม่มีใครตอบอะไร ซึ่งล้งเล้งคิดเอาเองว่าทุกคนตอบเหมือนกันหมด แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น เขาก็จำเป็นจะต้องอธิบายช็อยส์ข้ออื่นอยู่ดี


“ข้อหนึ่ง... ”


ในขณะที่ล้งเล้งกำลังพูดอยู่นั้น หางตาของเขาก็เหลือบไปเห็นร่างคุ้นเคยที่เดินเข้ามาในร้าน ล้งเล้งเพิ่งจะสังเกตตอนนี้เองว่าทะเลเป็นคนที่หน้าตาดีเหลือร้ายจริงๆ


ทะเลมองมาทางนี้แล้ว


เดี๋ยวมันก็คงเข้ามาหาเรื่องเขาเหมือนกับที่ทำอยู่เป็นประจำ


ล้งเล้งเตรียมถ้อยคำเอาไว้ร็ปด่าอีกฝ่ายเรียบร้อย เพราะคิดว่าอย่างไรเสีย เดี๋ยวทะเลก็ต้องเข้ามาทำตัวกวนส้นตีน เรียกเขา ‘ไอ้ลูกหมา’ อยู่ดี…


เดี๋ยว?!


ติวเตอร์คนเก่งถึงกับเหวอ เมื่อคนที่เขาคิดว่ายังไงๆ ก็ต้องเดินเข้ามาหาเรื่องนั้น เดินผ่านเขาไปเหมือนกับว่ามองไม่เห็นล้งเลยด้วยซ้ำ คล้ายกับว่าเขาเป็นเพียงแม็คฟิชก้อนหนึ่งที่วางไร้ค่าอยู่บนโต๊ะอย่างไรอย่างนั้น


ไอ้เวร!


ทะเลเดินผ่านไปนั่งโต๊ะใกล้ๆ กับล้งเล้ง เป็นตรงที่เด็กผู้หญิงสามคนเมื่อกี้นั่งอยู่ พวกน้องยกมือไหว้ไอ้ทะเลเล็กน้อย ก่อนที่เจ้าตัวจะนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับเด็กๆ พวกนั้น บนโต๊ะมีชีทหลากหลายวางกองเอาไว้คล้ายกับว่าพวกน้องเองก็ทำการบ้านรอทะเลมาเหมือนกัน


เออ เมินกันให้สุด!


ติวเตอร์คนเก่งยังคงสอนต่อไป โดยมีความคิดเสี้ยวเล็กๆ ว่าเดี๋ยวอสักพักไอ้ติวเตอร์โต๊ะข้างๆ มันจะต้องมากวนตีนเขาแน่นอน


“ช็อยส์ข้อหนึ่งนะ take out กับ obtaining” ล้งเล้งเงยหน้ามองน้องๆ เล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ “ตรงนี้ take out แปลว่าเอาออก ส่วน obtaining แปลว่าได้รับ ซึ่งขัดกับโจทย์เนอะ เราตอบข้อนี้ไม่ได้...”


จนอธิบายครบทั้งห้าช็อยส์ ทะเลก็ยังไม่มีท่าทีจะเข้ามาหาเรื่องเขาเหมือนที่เจ้าตัวมักจะทำ อันที่จริงแล้ว ทะเลเพียงแค่นั่งสอนเงียบๆ ไป เงียบแบบที่ล้งเล้งคิดว่าเจ้าตัวทำเป็นไม่เห็นเขาด้วยซ้ำ


เมินอะไรนักหนาวะ เป็นแค่ไอ้เหี้ยทะเลแท้ๆ!


ความหงุดหงิดของล้งเล้งชัดเจนจนวกเด็กๆ คนอื่นรู้สึกได้ พวกเด็กน้อยองหน้ากันเลิ่กลั่กตอนที่ล้งเล้งเปลี่ยนสีหน้าเป็นหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด


ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป เขาต้องสอนไม่รู้เรื่องแน่


“เดี๋ยวพี่มานะ ขอไปเข้าห้องน้ำแป๊บ” ล้งเล้งพูดกับน้องๆ ที่พยักหน้ารับกันเกรียวกราว “ในระหว่างนี้ทำชีทอันนี้รอพี่นะ ความจริงจะให้เป็นการบ้านแต่พวกเราทำไปเลยก็ได้ มันเป็นข้อสอบโอเน็ตอิ๊งเก่า ไม่ยากหรอก ลองดู”


ลับหลังจากที่ติวเตอร์สั่งงานแล้วเดินออกไปจากโต๊ะแล้ว ลิลลี่ก็เป็นคนแรกที่เปิดประเด็นในสิ่งที่เธอสงสัยขึ้นมา


“พวกมึง พี่ล้งเล้งกับพี่ทะเลเขาทะเลาะกันเหรอวะ?”

 

ลิลลี่เป็นคนแรกที่พูดขึ้นมา พวกเธอสังเกตมาตั้งแต่เริ่มคาบเรียน พี่ทะเลไม่สนใจครูพี่ล้งเล้งของพวกเธอเหมือนกับทุกครั้ง แถมพี่ล้งเล้งก็หน้าบู้บี้ลงเรื่อยๆ ทั้งที่ปกติไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าพี่ทเลจะกวนประสาทพี่ล้งเล้งของเธอมากแค่ไหนก็ตาม


“กูก็ไม่รู้ว่ะ” ลูกเกดพูดขึ้นมาต่อ “แต่ถ้าเป็นแบบนั้นนะ ต้องเป็นพี่ทะเลนั่นแหละที่มากวนพี่ล้งเล้งก่อน ปกติพี่ล้งเล้งไม่เป็นแบบนี้สักหน่อย”


“ก็เป็นไปได้ ปกติพี่ทะเลก็หาเรื่องพี่ล้งเล้งก่อนอยู่แล้ว ไม่แน่อาจจะแบบ…”


ยังไม่ทันที่ลิลลี่จะพูดต่อจนจบประโยค เสียงเด็กผู้หญิงจากโต๊ะข้างๆ ก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน


“เรื่องนี้ถ้าจะมีใครสักคนผิดล่ะก็ ยังไงก็ต้องเป็นพี่ล้งเล้งอยู่แล้ว ของมันเห็นๆ กันอยู่อ่ะ”


หนึ่งในคนที่นั่งโต๊ะข้างๆ กับเด็กนักเรียนของล้งเล้งพูดขึ้นมา เธอคือหนูแดง หนึ่งในนักเรียนของทะเลนั่นเอง ท่าทางของเธอคือพูดนิ่งๆ คล้ายกับกำลังคุยกับชีทเรียนตรงหน้า แต่ว่าคำพูดกลับจบใจให้โต๊ะข้างๆ ได้ยินด้วย


“ถ้ามีตามันก็ต้องรู้ป้ะว่าคนที่หาเรื่องคนอื่นก่อนตลอดคือพี่ทะเล ไม่ใช่พี่ล้งเล้ง”


ลูกเกดตอกกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้


“แต่ปกติพี่ทะเลเขาก็พูดดีๆ ด้วยป่าว มีแค่พี่ล้งเล้งนั่นแหละที่ทำเสียงดัง มึงมาพาโวยตลอดเลย พี่ทะลเไม่เคยทำอะไรแบบนั้นสักหน่อย”


คนต่อมาที่พูดคือซีน ซึ่งเป็นเด็กที่ทะเลสอนเช่นเดียวกัน โดยมีหนูแดง กับปาล์มมี่ที่เป็นเด็กติวของทะเลเหมือนกัน นั่งพยักหน้าสนับสนุนอย่างขันแข็ง


“ก็คนมันโดนกวนตีนอ่ะ จะให้พูดว่าสวัสดีครับ ยินดีต้อนรับสู่โรงเรียนล้งเล้งสอนอังกฤษ ขอบคุณครับที่ด่าผมหรือไง ประสาทป่าววะ!”


ลิลลี่พูดตอกกลับ ตอนนี้เด็กทั้งสองโต๊ะไม่สนใจชีทเรียนตรงหน้าแล้ว ลิลลี่ ลูกเกด พร้อมรบกับเด็กสามคนจากอีกโต๊ะหนึ่งมาก ในขณะที่โจ้มองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไม่แน่ใจ ในขณะที่แทนกายนั่งดูดน้ำ มองไปมองหมาเหมือนกับกำลังดูหนังแอคชั่นอยู่


“มารยาทดีก็ต้องขอบคุณป้ะวะ อีกอย่าง พี่ทะเลไม่ได้ด่า คำว่าลูกหมาคือคำทักทาย”

“ทักทายบ้านเธอเป็นคำว่าลูกหมา เราทักทายเธอว่าไอ้บ้ามั่งได้ป้ะ?”

“อย่ากวนตีนดิ”

“พวกเธอสิกวนตีน พี่ทะเลไม่ทำใครแน่ๆ ขนาดยุงยังไม่ตบเลย”

“ตบยุงแล้วมันทำไม!”

“เลือดเย็น”


โจ้มองผู้หญิงทั้งฝั่งเพื่อนตัวเองและอีกฝั่งหนึ่งเถียงกันอย่างออกรส ในขณะที่แทนกายดูเหมือนจะไม่ได้มีอารมณ์ร่วมกับเหตุการณ์ตรงหน้ามากนัก เหมือนกับมองแค่ดูหนังอยู่ในโรงอย่างไรอย่างนั้น

“แต่อย่างน้อย พี่ล้งเล้งก็ไม่เอาถั่วแระมากินในร้านแม็คอ่ะ”

“กินถั่วละมันทำไม”

“ไม่ทำไม ก็พี่ล้งเล้งไม่ได้ทำ นั่นหมายความว่าพี่ทะเลทำ”

“นี่มึง 99H แล้วป้ะ?”

“ไม่อ่ะ พี่มึงสิทำพี่กู”

“ไม่ พี่มึงอ่ะทำ”




เมื่อลิลลี่กับลูกเกดที่เป็นเด็กติวของฝั่งล้งเล้ง ทะเลากับหนูแดง ซีน และปาล์มมี่ที่เป็นเด็กติวของทะเลไปเรื่อยๆ หัวข้อเริ่มออกไปนอกลู่นอกทางจนเกินไปแล้ว โจ้ที่เป็นหนึ่งในสองของผู้ชายตรงนี้จึงเริ่มที่จะห้ามขึ้นมาเพราะไม่อยากให้มันเลยเถิดไปมากกว่านี้




“เดี๋ยวดิ ใจเย็นก่อน ด่ากันทำไม เป็นผู้หญิงนะเว้ย เรียบร้อยห่อย”

“มึงเหยียดเพศเหรอโจ้” ลิลลี่หันมาแว๊ดใส่เขาอย่างหัวร้อน

“จริง ผู้หญิงแล้วมันทำไม? ด่าไม่ได้หรือไง?” อันนี้เสียงของคนที่ชื่อหนูแดง

“เอ้า ทำไมกูโดนแทนวะเนี่ย?”




โจ้พูดอย่างงงๆ พลางมองแทนกายที่นั่งเงียบมาตั้งแต่เริ่ม รายนั้นเพียงแค่ยักไหล่เป็นเชิงว่าเจ้าตัวไม่รู้แล้วก็ไม่ได้สนใจอะไร ให้ตายสิ แทนกายจะนิ่งไปไหนกันนะ




ส่วนผู้หญิงพวกนั้นก็เริ่มเถียงกันหนักขึ้น ตอนนี้ถึงขั้นยืนเถียงกันแล้ว โจ้ไม่รู้ว่าทะเลหายไปไหนในเวลาแบบนี้ ส่วนตัวเขานั้นไม่สนใจพี่ทะเลอะไรนั่น โจ้เเพียงแค่ภวนาให้ล้งเล้งรีบกลับมาจากห้องน้ำ เผื่อโต๊ะฝั่งนั้นจะเงียบลงบ้าง




ปัญหาไม่ใช่อะไรเลย เขาปวดหู




“ถ้ามีใครสักคนผิดนะ คนนั้นต้องเป็นพี่ล้งเล้งของพวกมึงนั่นแหละ”




หนูแดงพูดขึ้นมา ซึ่งลูกเกดสวนกลับไปทันที




“มันต้องเป็นพี่ทะเลของพวกมึงต่างหากที่ผิด!”

“พี่ล้งเล้งผิด!”

“พี่ทะเลผิด!”


ล้งเล้งเดินกลับจากห้องน้ำที่คนดันเยอะทั้งที่ปกติไม่เป็นแบบนี้แล้วดันเจอว่าเด็กของตัวเองทะเลาะกับเด็กโต๊ะข้างๆ ติวเตอร์ตัวเล็กถึงงง เพราะเขาไม่เคยเห็นว่าลูกเกดกับลิลลี่จะทะเลาะกับใครให้เขาเห็น


“เฮ้ย ทะเลาะอะไรกันเนี่ย?”


นักศึกษาหนุ่มถามอย่างไม่เข้าใจ ซึ่งเด็กสาวสองคนหันมาฟ้องเขาทันที


“พี่ล้งเล้ง ก็พวกมันอ่ะ บอกว่าพวกพี่ทะเลาะกันเพราะว่าพี่ผิด!”

“ก็พี่พวกมึงอ่ะแหละที่ผิดจริงๆ เพราะพี่ทะเลไม่ทำแบบนั้นหรอก!”


หนูแดงยังไม่จบ เด็กผู้หญิงในชุดนักเรียนลายสก็อตยังคงพูดปรักปรำล้งเล้งอย่างต่อเนื่อง โดยที่เด็กอีกสองคนในฝั่งนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย


“ไม่ดิ มันแค่เรื่องเข้าใจผิดกัน จะทะเลาะกันเพื่ออะไรเนี่ย?”


ตอนนี้ล้งเล้งกลายเป็นผู้ห้ามทัพเพียงคนเดียวในสงครามนี้ ซึ่งทะเลที่ไม่รู้ว่าเมื่อครู่ไปไหนตอนนี้ก็เดินกลับมาแล้ว ยืนมองเด็กๆ ที่ทะเลาะกันอยู่ไม่ไกล ด้วยใบหน้านิ่งเรียบที่ไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมาเลย ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มมุมปากเล็กๆ ที่ล้งเล้งเห็นจนชินตาด้วยซ้ำ


“เนี่ยเห็นมั้ยพี่ทะเลก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร แสดงว่าพี่ล้งเล้งผิด!”


เด็กที่ชื่อหนูแดงพูดอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ล้งเล้งเริ่มโมโหมั่งแล้ว ไม่รู้ว่าตัวเองโมโหที่เด็กของอีกฝั่ง หรือว่าท่าทีนิ่งเฉยๆม่ห้ามปรามของทะเลที่ทำให้เขาหงุดหงิดขนาดนี้


มึงเห็นเด็กทะเลาะกัน ไม่คิดที่จะเข้ามาห้ามเลยหรือไง?


เป็นครูประเภทไหนกันวะ!


“พี่ล้งเล้งนั่นแหละผิด”

“ไม่ พี่ทะเลผิด”

“พี่ล้งเล้งต่างหากที่ผิด!”


ถึงแม้ล้งเล้งจะเห็นว่าทะเลถือถาดอาหารอยู่ เหมือนกับว่าเมื่อครู่เพิ่งจะไปซื้อของกินมาเลยไม่ทันมาห้ามเด็กนักเรียนตีกัน แต่วินาทีนี้เขาไม่สนใจ ในเมื่อตัวเองเห็นแล้วทำไมไม่ห้าม แล้วยังปล่อยเด็กให้ทะเลาะกันอย่างนี้น่ะเหรอ?


ทั้งเด็กทั้งครู่แม่งน่ารำคาญทั้งหมด!


ไม่ว่าสาเหตุหลักจะเป็นเพราะอะไร แต่นี่มันน่าโมโหชะมัด!


“ไปถามพี่พวกมึงเลยนะ ว่าใครกันแน่ที่ผิด!”

“...”

“กูอุตส่าห์ถามแล้วด้วยนะว่าทำไม เป็นอะไร ทำไมไม่เป็นเพื่อนกัน พี่พวกมึงอ่ะ เสือกบอกว่าไม่ยอมเป็นเพื่อนกัน  ไม่รู้มันเป็นเหี้ยอะไร แล้วนี่แม่งก็มาเมินอีก ใครกันแน่วะที่ผิด!”

“...”


เด็กทั้งสองโต๊ะเงียบ รวมถึงทะเลที่ตอนนี้เดินเข้ามาใกล้กับโต๊ะแล้วด้วยเช่นกัน ล้งเล้งตวัดสายตาไปมองอีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจ


“เนี่ย มึงตอบดิ เป็นเหี้ยอะไรวะ? มึงอ่ะ ไอ้ทะเลไอ้สัตว์!”

“...”

“จะเงียบอีกนานป้ะ? ขนาดเด็กทะเลากันแล้วอะไรก็แล้ว มึงก็ยังไม่พูด อมอะไรเอาไว้วะ!”

“...”

“สัตว์! กูไม่น่ามาเสียเวลากับคนแบบมึง...”

“เออ! ก็กูไม่อยากเป็นเพื่อนกับมึงไง!”




ทะเลพูดกับล้งเล้งเป็นครั้งแรกในรอบสัปดาห์ ซึ่งคนที่กำลังจะด่าอีกฝ่ายต่อถึงกับหยุดแล้วฟัง แถมเสียงที่ออกมาให้ได้ยินนั้นผสมอารมณ์ฉุนเฉียวเอาไว้มากจนล้งเล้งถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย เพราะไม่เคยเจอทะเลในโหมดนี้เลยสักครั้ง รวมถึงเด็กน้อยที่ทะเลสอนเช่นกัน ตอนนี้อ้าปากค้างไปเรียบร้อยแล้ว พี่ทะเลคนเรียบหรูดูดีของพวกเธอขึ้นเสียงเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่รู้จักกันมา




“เป็นเพื่อนกูแล้วมันทำไมวะ ฮะ!”

“มันไม่ทำไม! ไอ้สัตว์! กูแค่ไม่อยากเป็น!”

“แล้วมึงจะเอายังไง!! มึงจะเป็นอะไร” 

“กูจะเป็นแฟน!”

“...”

“คิดที่ตลอดมาเป็นสิบๆ ปีนี่กูแค่ยอมมึงเฉยๆ เหรอ? พ่อมึงตาย ถ้าเป็นคนอื่นทำแบบนี้กูเผาบ้านไปแล้ว อย่างเหี้ย ไอ้โง่!! กูรู้ว่ามึงเป็นหมาโง่แต่ไม่คิดว่าจะขนาดนี้!”

“...”

“กูชอบมึงไง ไอ้ลูกหมา ไอ้ควายเอ๊ย!”







------- TBC -------



เอาแล่วววววววววว

#รักไม่คาดคิดในวันพุธ



ป.ล. นี่ขอสอบ GAT อิ๊งเก่านะคะ ใครจะสอบอ่านได้ อธิบายไว้ให้แล้ว 55555
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 10 -- ชอบมึงไอ้โง่ (16/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 16-07-2019 21:32:59
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 10 -- ชอบมึงไอ้โง่ (16/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Mminky ที่ 16-07-2019 21:47:52
ล้งเล้งอึ้งเลยดิเจองี้
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 10 -- ชอบมึงไอ้โง่ (16/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 16-07-2019 23:47:09
แดรกจุดแน่ๆ. สารภาพมีพยานขนาดนี้,,,
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 10 -- ชอบมึงไอ้โง่ (16/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: kingkongkaew ที่ 17-07-2019 01:44:34
คิดว่าไม่ใช่แค่ล้งเล้งที่อึ้งแน่ๆ นึกภาพน้องๆที่กำลังนั่งเรียนอยู่ออกเลย

หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 10 -- ชอบมึงไอ้โง่ (16/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 17-07-2019 02:10:13
เอิ่มมม........
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 10 -- ชอบมึงไอ้โง่ (16/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: kosmos ที่ 17-07-2019 08:15:32
ล้งเล้ง แปลงร่างจากลูกหมายเป็นควายน้อยแล้ว อิอิ
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 10 -- ชอบมึงไอ้โง่ (16/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 17-07-2019 10:16:11
 :katai2-1:

มิติใหม่ของการบอกรัก

 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 10 -- ชอบมึงไอ้โง่ (16/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 17-07-2019 12:09:05
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 10 -- ชอบมึงไอ้โง่ (16/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 17-07-2019 15:29:35
คนแต่งรับติวอิ๊งสามัญไหมคะ  555
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 10 -- ชอบมึงไอ้โง่ (16/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: appattap ที่ 20-07-2019 21:16:22
โอ้ววววว ก้อยากเป็นแฟนไม่ได้อยากเป็นเพื่อนอ่ะเนอะ สนุกมากเลยค่า ตลกด้วย ชอบตอนเด็กๆเถียงกัน ดูมีความเป็นเด็กที่ปกป้องพี่ๆของตัวเอง รอติดตามตอนต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 10 -- ชอบมึงไอ้โง่ (16/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 21-07-2019 00:51:58
เปนการสารภาพที่ฮาร์ดคอร์มาก55555555555555544
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 10 -- ชอบมึงไอ้โง่ (16/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: babybaphomet ที่ 24-07-2019 20:44:47
11th Wednesday

#รักไม่คาดคิดในวันพุธ




นี่มันเรื่อง ‘เหี้ย’ อะไรกันวะ?


ล้งเล้งถามตัวเองเป็นพันล้านครั้งได้แล้วมั้งตั้งแต่คุยกับทะเลครั้งล่าสุด เขาไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไง ไม่รู้ว่าจะต้องคิดอะไร ทุกอย่างในหัวมันตีกันไปหมดจนล้งเล้งรู้สึกคล้ายกับว่าตัวเองจะระเบิดเป็นโกโก้ครั้นช์ออกมาในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าถ้าสมองยังวุ่นวายแบบนี้


สุดท้ายแล้ว เขาก็ไม่ได้ระเบิด


ทะเลทิ้งเขาเอาไว้กับความวุ่นวายในหัวสมอง ใจเต้นรัวเร็วเป็นกลองชุดกลังจากได้ยินข้อความนั้น มันไม่ใช่ความเขิน… มั้ง ไม่รู้เว้ย! ล้งเล้งรู้แค่ว่าตัวเองทำตัวไม่ถูก เขาคิดอะไรไม่ออก ในหัวมีแต่คำพูดของทะเลในตอนนั้น พร้อมกับสีหน้าจริงจังของอีกฝ่ายที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต


‘กูจะเป็นแฟน!’

“...”

“คิดที่ตลอดมาเป็นสิบๆ ปีนี่กูแค่ยอมมึงเฉยๆ เหรอ? พ่อมึงตาย ถ้าเป็นคนอื่นทำแบบนี้กูเผาบ้านไปแล้ว อย่างเหี้ย ไอ้โง่!! กูรู้ว่ามึงเป็นหมาโง่แต่ไม่คิดว่าจะขนาดนี้!”

“...”

‘กูชอบมึงไง ไอ้ลูกหมา ไอ้ควายเอ๊ย!’ 



หลังจากที่ทะเลพูดจบด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดนั้น คนในร้านแม็คฯก็ดันตบมือกันเกรียวกราว เป่าปากเชียร์ทะเลกันยกใหญ่ ซึ่งไอ้เหี้ยนั่นก็ไม่ได้มีสีหน้าต่างจากเดิมเลยสักนิด ยังคงทำหน้านิ่งคิ้วขมวดเหมือนเดิมอย่างที่ผมเคยเห็นตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในขณะที่น้องติวของมันนิ่งค้างกันไปแล้ว (อันที่จริง ล้งเล้งแอบเห็นน้องหนูแดงหยิกตัวเอง คล้ายกับว่าอยากยืนยันว่าเธอไม่ได้ฝันไป ไม่ใช่แค่น้องเขาหรอก ตัวล้งเล้งเองก็อยากหยิกตัวเองเหมือนกัน)


ส่วนตัวล้งเล้งน่ะเหรอ?

จะไปมีหน้าอยู่ที่นั่นอีกได้ไงล่ะ!


เขาจำได้ว่าตัวเองเคลื่อนที่เหมือนหุ่นยนต์ เมินทะเลและหน้านิ่งๆ ของมัน ปัดประโยคยาวๆ ของอีกฝ่ายที่แทบจะพันคอเขาออกไปเหมือนกับว่าตัวเองไม่ได้ยิน แล้วรีบวิ่งแจ้นหนีมาตั้งหลักที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์แทน โดยที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าตัวเองเดินมาถึงนี่ได้ยังไง ในหัวมันเบลอๆ ไปหมด หน้าก็ร้อนมาก มีแค่คำเดียวเท่านั้นที่ล้งเล้งคิดออก


ฉิบหาย!


เมื่อได้สติติวเตอร์หนุ่มก็ไลน์ไปตามน้องให้มานั่งเรียนกันที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์แทน เขาสอนผิดๆ ถูกๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ล้งเล้งรู้ดีว่าเขาไม่เป็นตัวของตัวเองนัก อันที่จริง สภาพตอนนี้คล้ายกับว่าวิญญาณได้ลอยออกไปตั้งแต่ที่ทะเลพูดจบแล้วเสียด้วยซ้ำ


‘กูชอบมึงไง ไอ้ลูกหมา ไอ้ควายเอ๊ย!’ 


เอาออกจากหัวไปไม่ได้ ทำยังไงก็เอาออกไปไม่ได้


ไอ้เหี้ยทะเล ไอ้เวรเอ้ย!



------- Wednesday In Class -------



ย้อนกลับไปเมื่อหลายวันก่อน


ทะเลเดินออกมาจากรถไฟฟ้าทันทีที่ตัวเองพูดกับอีกคนเสร็จ เขาไม่สนใจว่าล้งเล้งจะคิดยังไง เดินออกมาเลยทั้งๆ ที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตอนนั้นบีทีเอสจอดอยู่ที่สถานีไหน เดินลงมานั่งอยู่ที่สถานีเฉยๆ ทำเพียงแค่มองรถไฟฟ้าที่วิ่งไปมา ผู้คนมากมายเดินผ่านเขาไปโดยที่ตัวเองยังคงรวบรวมเศษเสี้ยวหัวใจกลับมาไม่ได้


‘กูอยากเป็นเพื่อนกับมึงว่ะ ทะเล’


แค่เพื่อนเหรอวะ?


เพื่อนพ่อมึงอ่ะ ไอสัตว์


ชายหนุ่มคิดวนไปวนมากับตัวเอง เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองจะต้องคิดอะไรอีก ในหัวมีแต่ความเงียบ เขาคิดอะไรไม่ออก ภาพของล้งเล้งยิ้มที่มักจะทำให้วันของเขาสดใสขึ้นมา บัดนี้กลับเป็นสิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกับถูกผลักลงรางรถไฟข้างหน้า


ไม่เคยตื้อขนาดนี้มาก่อน


ทะเลถอนหายใจ เขานั่งจ้องมองทางข้างหน้า ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ควรจะคิดอะไร ทุกอย่างมันว่างเปล่าไปหมด


ในตอนอนุบาล เขาเคยคิดว่าสิ่งที่ต้องการที่สุดคือมิตรภาพของอีกฝ่าย อยากเล่นกับล้งเล้ง อยากเป็นคนที่ไปเที่ยวด้วยกัน ทำการบ้านด้วยกัน นั่งเรียนข้างกัน มีเรื่องอะไรให้คุยกันตลอด จนเมื่อไหร่ไม่รู้ที่ทุกอย่างมันพัฒนาไปมากกว่านั้น


สำหรับทะเลแล้ว ล้งเล้งไม่ควรเป็นแค่เพื่อน


ไม่เคยเป็นแค่เพื่อน


พอได้มาคุยกันเยอะขึ้น ใกล้ชิดกันมากขึ้น มิตรภาพของความเป็นเพื่อนนั้น ไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำให้เขาพึงพอใจได้อีกต่อไป เขาอยากเป็นคนแรกที่ล้งเล้งเลือกจับคู่ตอนทำงานในช่วงประถม อยากเป็นคนที่ล้งเล้งมาปรึกษาเรื่องเรียนในช่วงมัธยม ถึงแม้จะโดนต่อยจนเจ็บหน้า เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าเด็กผู้ชายคนนี้น่ารักน้อยลงเลยสักนิด


ตรงกันข้าม ล้งเล้งน่ารักมากขึ้นทุกวัน 


ถึงแม้ว่าจะถูกอีกฝ่ายด่าว่าเท่าไหร่ เขาก็ไม่เคยคิดร้ายกับอีกคนได้เลยสักนิด มีหงุดหงิดบ้างเพราะล้งเล้งมันดื้อ แต่สุดท้ายแล้ว ความรู้สึกของเขาที่มีต่ออีกฝ่ายก็ลบล้างทุกเสียจนเกลี้ยง


เพื่อนที่ไหนจะทนให้มันขนาดนี้วะ


ล้งเล้ง… ไอ้ลูกหมาโง่


ไลน์!

โซดา: ทะเลอยู่ไหนวะ

โซดา: ทะเลเว้ย กูจะเอาชีทเจนเอ็ด

โซดา: ซีร็อกส์แล้วแดกเข้าไปหรือไงไอ้เหี้ย


ทะเลมองหน้าจอโทรศัพท์ที่มีข้อความจากเพื่อนสนิทของตัวเองในมหาลัยขึ้นมา เขาพิมพ์ตอบกลับไปอย่างไม่มีสติ


ทะเล: มึง

ทะเล: กู

ทะเล: 5555555555555555


โซดา: มึงเป็นไรวะ?

โซดา: กินยาลืมเปิดฝาเหรอ?


ทะเล: กูแม่ง

ทะเล: พัง

ทะเล: เหี้ยเอ้ย

ทะเล: แค่เพื่อนเองเหรอ

ทะเล: สัด

ทะเล: 55555555555555

ทะเล: เกือบยี่สิบปีที่กูแอบรักมันเนี่ย

ทะเล: แม่งแค่ได้แค่น่าจะเป็นเพื่อนที่ดีเองเหรอวะ

ทะเล: ความรู้สึกกูส่งไปไม่ถึงแม่งเลยสักนิดเหรอวะ?

ทะเล: เหี้ยชิบหาย

ทะเล: 55555555555555


โซดา: …


เหมือนเพื่อนจะเริ่มรู้สึกว่าตอนนี้ทะเลไม่ปกติ โซดารีบขอโลเคชั่นเพื่อน อาจจะเป็นโชคดีที่ตัวชายหนุ่มไม่ได้อยู่ห่างจากที่นี่มากนัก ไม่ถึงสิบห้านาทีถัดมา นิสิตหนุ่มทั้งสองคนก็มานั่งอยู่ที่ร้านกาแฟข้างล่างสถานีรถไฟฟ้าแห่งนั้น ซึ่งจนถึงตอนนี้ทะเลก็ไม่รู้ว่าตรงนี้สถานีอะไร แล้วเขาก็ไม่สนใจด้วย


เหี้ยฉิบหาย


ในหัวของทะเลมีแต่คำว่า ‘เหี้ย’ อัดแน่นอยู่เต็มไปหมด มันแย่กว่าที่เขาคิดไว้ ทั้งที่ตอนแรกคิดว่าตัวเองได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตอีกคนบ้างก็คงดี มันคงจะต้องรู้มั่งแหละว่าเขาแอบชอบอยู่ แต่เมื่อความจริงแสกหน้ามาเสียจนเขาตั้งหลักไม่ทัน ทะเลเพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เองว่าอีกฝ่ายมองความทุ่มเททั้งหมดของเขาในรูปแบบของความเป็นเพื่อน


ทุ่มให้แม่งหมดตัวหมดใจขนาดนี้ เพื่อนก็เหี้ยแล้ว


ไอ้หมาโง่


“มึงเล่าให้ฟังตั้งแต่แรกดิ๊”


โซดาที่เพิ่งจะได้เครื่องดื่มของตัวเองถามเพื่อนอีกครั้ง ชายหนุ่มยังไม่อยากจะด่วนตัดสินอะไร จริงอยู่ที่เขารู้จักทะเลตั้งแต่เฟิร์สเดท วันแรกตั้งแต่เหยียบรั้วมหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่ใช่ทุกเรื่องของเพื่อนที่เขาจะรู้


“ก็กูจีบมัน จีบแม่งมาตลอดสิบกว่าปี แต่เสือกไม่เคยรู้เหี้ยอะไรเลย”

“มึงจีบยังไง?”

“ก็จีบแบบที่กูจีบ”

“ยังไงล่ะ? อภิปรายสิวะนิสิต”


โซดาพูดย้ำ ชายหนุ่มใส่แว่นผมสั้นขยุ้มหัวตัวเองด้วยความขัดใจ ทำไมใครต่อใครบอกว่าทะเลแม่งเป็นคิวท์บอยเย็นชาวะ กับเขามันแค่ผู้ชายปากหนักไม่ยอมพูดสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาแค่นั้นเอง


ซึ่งแม่งโคตรน่ารำคาญเลย ไอ้ควายเอ้ย!


“ให้กูเล่าตั้งแต่ตอนไหน?”

“ตั้งแต่แรก ไอ้เวร”


โซดาพูดด้วยความหงุดหงิด นี่เขาอุตส่าห์ถ่อจากสยามมาหามันที่ตลาดพลู มึงจะอมอะไรไว้วะ!


“เรื่องมันเริ่มที่ครั้งแรกที่กูเจอมัน...”


.

.

.


ครั้งแรกที่ทะเลเจอกับล้งเล้งยังคงชัดเจนในความทรงจำเหมือนกับเรื่องราวมันเกิดขึ้นเมื่อวาน


ตอนนั้นเขาเป็นเพียงเด็กอนุบาลที่ถูกบังคับให้ท่องสูตรคูณ เรียนดนตรี และภาษาอังกฤษตั้งแต่จำความได้ ถึงแม้ว่าพอมาคิดดูตอนโตแล้วว่านั่นมันออกจะเป็นการทรมานเด็กเล็กไปหน่อย แต่ทะเลก็ต้องรู้สึกขอบคุณ เพราะการปลูกฝังของพ่อแม่ในตอนนั้น ทำให้เขามีพัฒนาการก้าวกระโดดกว่าเด็กในวัยเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด


ซึ่งนั่นรวมถึงการเข้าใจในภาษาอังกฤษเท่าเด็กประถมด้วยเช่นกัน


ครั้งแรกที่เขาเจอหน้าล้งเล้ง เด็กน้อยตาแป๋วมักผมแกละสองข้างในเสื้อสีชมพูกับกระโปรงหวานแหววนั้นสะดุดตาทะเลตั้งแต่แว๊บแรกที่ได้สบตา


น่ารัก


ในหัวเขามีแต่คำว่า ‘น่ารัก’ ปรากฏอยู่ ล้งเล้งเป็นเด็กที่มีหน้าตาน่ารักมาก คล้ายกับตุ๊กตาเด็กผู้หญิงที่เขาเคยเห็นเวลาที่ไปห้างสรรพสินค้ากับครอบครัว เด็กคนนั้นที่ตัวเล็กกว่าเขาเล็กน้อยยิ้มกว้าง ตอนที่กำลังนั่งวาดรูประบายสีของตัวเองอยู่คนเดียว


น่ารักมากๆ


ทะเลเดินเข้าไปหาล้งเล้งตามคำบอกเล่าของคุณแม่ของตัวเองกับล้งเล้งที่ให้ไปเล่นกับเพื่อน นั่นเป็นครั้งแรกที่ทะเลรู้สึกว่าเขาอยากจะรู้จักล้งเล้งเอง โดยที่แม่ไม่ต้องบอกให้ทำเลยด้วยซ้ำ


วินาทีที่ล้งเล้งเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา ตอนนั้นเองที่ทะเลเพิ่งรู้สึกถึงคำว่า


ชอบ


มันไม่ได้ง่ายและซื่อตรงขนาดนั้น ทะเลในวัยสามขวบแค่อยากเล่นกับล้งเล้ง ถึงแม้ว่าคำแรกที่เขาทักอีกฝ่ายไปด้วยความไม่เข้าใจ จะเป็นการทักเรื่องของเสื้อผู้หญิงก็ตาม


“นายใส่ชุดผู้หญิงทำไมเหรอ?”

“อะไรนะ?”


ล้งเล้งตัวน้อยเงยหน้าขึ้นมาถามเขา ตากะพริบปริบๆ ด้วยความไม่เข้าใจ ทะเลเลยขยายความต่อ


“ก็เสื้อนายเขียนว่า ‘I am a Barbie Girl, in a Barbie world’ น่ะ”

“แล้วยังไงเหรอ?...”

“มันแปลว่าฉันเป็นบาร์บี้ ในโลกของบาร์บี้อ่ะ”

“แล้วบี้ๆ เมื่อกี้คืออะไรเหรอ? มันแปลว่าหล่อเหรอ?”


ทะเลหรี่ตาลงเมื่อล้งเล้งถามเขาด้วยเสียงที่แสดงความสงสัยออกมาอย่างไม่ปิดบัง ตัวของเด็กหนุ่มเลยเลือกที่จะตอบอีกคนออกไป


“มันแปลว่าฉันเป็นสาวน้อย คิดว่านะ ไม่น่าจะผิดหรอก เราชอบภาษาอังกฤษ”

“...”

“ส่วนบาร์บี้คือตุ๊กตาเด็กผู้หญิงน่ะ”

“...”

“นายเหมือนตุ๊กตาบาร์บี้เลย”

“...”

“เราเลยนึกว่านายเป็นเด็กผู้หญิงซะอีก เหมือนบาร์บี้จริงๆ ด้วย”



ตอนนั้นแม่ของพวกเขาเดินเข้ามา ทะเลเลยถามสิ่งที่สงสัยว่าผู้ชายแต่งตัวแบบนี้ได้ด้วยงั้นหรือ? ซึ่งคุณแม่ของเขาก็อธิบายให้เข้าใจว่าเพศไหนแต่งตัวยังไงก็ได้ ในส่วนของล้งเล้งนั้นไม่ได้ตอบอะไรออกมาเพิ่มเติม คล้ายกับเด็กชายตาแป๋วคนนั้นถ่านหมดไปแล้ว ล้งเล้งนิ่งค้างจนไม่ได้ยินประโยคสุดท้ายจากทะเลที่พูดออกไป


“นายน่ารักมากเลย เราอยากเล่นกับนายนะ”


.

.

.


ชั้นประถมหนึ่ง


ทะเลจำได้ดีว่าตัวเองดีใจแค่ไหนตอนที่เขารู้ว่าตัวเองได้อยู่ ห้องเดียวกับล้งเล้งอีกครั้ง ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเจอล้งเล้ง ได้นั่งข้างๆ ตอนนั้นเขาอยากยิ้มให้อีกคน แล้วบอกว่าตัวเองดีใจแค่ไหนที่ได้เรียนด้วยกันกับเพื่อนคนแรกที่อยากรู้จักจริงๆ ไม่ใช่ลูกเพื่อนพ่อแม่ที่ถูกพาไปเจอตามงานเลี้ยงต่างๆ


เขาเจอล้งเล้ง นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ ที่ที่ครูบอกว่าเป็นโต๊ะของเขา


ล้งเล้งในวัยประถมหนึ่งผมสั้นลงเยอะมากจนทะเลไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะสามารถถักเปียหรือแม้กระทั่งมัดผมได้ด้วยซ้ำ เพื่อนที่เขาดีใจที่ได้เจอหน้ากลับทำเหมือนทะเลเป็นเหมือนกับโจทย์เลขน่าเบื่อที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ง่ายๆ หรือว่าขนมหวานในอาหารกลางวันที่ไม่น่ากิน


การทักทายแรกของล้งเล้ง คือเอากระติกน้ำสีเทาของเจ้าตัวฟาดปากเขาอย่างแรงจนเจ็บไปหลายนาที


แต่แค่กระติกน้ำโง่ๆ อันเดียว ไม่สามารถหยุดยั้งความตั้งใจในการเข้าหาล้งเล้งของทะเลได้



เด็กชายทะเลในวัยประถมพยายามจะเข้าไปเล่นกับล้งเล้งเสมอตามแต่โอกาสจะอำนวย ซึ่งส่วนใหญ่นั้น ล้งเล้งมักจะไม่ให้เขาเล่นด้วยเสมอ ซึ่งแน่นอนว่าทะเลในช่วงประถมวัยก็เข้าหาอย่างเป็นมิตรที่สุดแล้ว


“ล้งเล้ง ตกลงญาตินายชื่อซกมก หรือซีอิ้ว?”

“ชื่อซุกซน!”


แม้กระทั่งตอนปอสี่ ที่ล้งเล้งวิ่งแข่งเสร็จ กลับมาถึงที่สแตนด์เพื่อพบว่าขนมที่เพื่อนเตรียมไว้ให้ตัวเองถูกทะเลฟาดเรียบไปแล้ว


“ทะเล! มึงกินขนมกูทำไม?”

“หิว”

“ไอ้เหี้ย!”


ตอนปอห้าที่ทะเลเอาตำแหน่งหัวหน้าห้องสี่สมัยของล้งเล้งไป เพราะเขาไม่อยากให้ล้งเล้งตามเหนื่อยจดชื่อเพื่อนที่คุยในห้อง ทั้งที่เขาคิดว่าตัวเองช่วยเหลืออีกฝ่ายเป็นอย่างดี แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมว่าทำไมล้งเล้งจะต้องเขม่นเขาทั้งปี


หรือแม้กระทั่งตอนประถมหก ที่ทะเลได้ไปเป็นตัวแทนแข่งวิชาการระดับโรงเรียน พร้อมทั้งเป็นตัวหลักในการแข่งบาสของโรงเรียนด้วยเช่นกัน เขาคิดว่าเพราะตัวเองเอาทุกความรับผิดชอบมา ล้งเล้งจะได้มีเวลาสนใจกับการสอบเข้ามัธยมหนึ่งที่เจ้าตัวคุยกับเพื่อนไว้ว่าอยากติดห้องคิงให้ได้


ทำขนาดนี้ไม่เรียกว่าจีบแล้วให้เรียกว่าอะไร


แต่เหมือนล้งเล้งจะไม่เข้าใจ


ยิ่งชั้นมัธยมทะเลกับล้งเล้งนั้น ถึงแม้จะอยู่ห้องเดียวกันแต่เหมือนกับพวกเขาสองคนอยู่กันคนละโลก ทั้งที่เคยยืนข้างกันตอนเข้าแถว กลายเป็นว่าเขายืนหลังสุดในขณะที่ล้งเล้งยืนหน้าสุดของแถว การใกล้ชิดกันที่สุดของพวกเขาทั้งสองคนคือตอนที่ล้งเล้งต่อยเขาเพราะคิดว่าตัวเองโดนกวนประสาทช่วงมัธยมหนึ่ง


กวนประสาทอะไร เขาแค่คิดว่าอีกฝ่ายเหมือนลูกหมา


น่ารักดี


แค่นั้นแหละ โดนต่อยเลย


ถามว่าเจ็บมั้ยก็เจ็บ แต่โกรธมั้ย… ไม่โกรธ


เขาเข้าใจว่าล้งเล้งเป็นคนอารมณ์ร้อน ด้วยวัยนั้นเจ้าตัวคบกับเพื่อนที่มึงมาพาโวย การที่จะพุ่งเข้ามาทำร้ายร่างกายเขาอย่างไร้อารยะนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจไม่ยากนัก แต่เพียงแค่เห็นหน้าล้งเล้งรู้สึกผิด หางลู่หูตกถือกระเช้ามาขอโทษเขาที่บ้านพร้อมกับพี่กุ๊กกิ๊ก ใจของทะเลก็อ่อนยวบไปหมดแล้ว ใครจะไปกล้าโกรธลง


วินาทีนั้นเอง ที่เขาเพิ่งรู้ว่าตัวเองไม่ได้แค่ชอบล้งเล้ง อยากเล่นด้วย


ทะเลหลงรักล้งเล้ง


มันอาจจะเกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้สบตาแป๋วคู่นั้นด้วยซ้ำ แต่ทะเลในวัยนั้นเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจว่าความรู้สึกอยากเล่นด้วยนั้นคืออะไร เพิ่งมาแน่ใจเอาในวัยที่พอจะแยกความรู้สึกได้หลากหลายมากขึ้นเท่านั้น


ถึงแม้จะรู้ตัวแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป


ทะเลมองล้งเล้งตกหลุมรักเอิน แล้วก็อกหักเพราะเอิน (และจะไม่บอกว่าเขาเองก็เคยหักอกเอินตอนมอสอง เพราะเจ้าตัวมาสารภาพรักกับเขา แต่เขาชอบล้งเล้งอยู่แล้ว) ทะเลมองล้งเล้งเกเร แล้วก็กลับมาตั้งใจเรียน ในทุกช่วงชีวิตของล้งเล้ง ทะเลคอยมองดูอยู่ตลอด เขาเคยคิดว่าที่เป็นอยู่นี่มันก็ดีแล้ว ขนาดเลือกเข้ามหาลัย ทะเลยังเลือกมหาลัย C ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่าล้งเล้งอยากเข้า


โอเค มันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น


โชคดีที่ที่บ้านเขาค่อนข้างเตรียมตัวให้ทะเลมาตั้งแต่ยังเด็ก เขาเรียนได้เร็วกว่าคนอื่นเพราะที่บ้านปูทางเรื่องการศึกษามาตั้งแต่เด็ก พ่อแม่ของทะเลเป็นด็อกเตอร์ทุนทั้งคู่ เพราะฉะนั้น การทำความเข้าใจกับบทเรียนและข้อสอบจึงเป็นเรื่องที่ทะเลชินชา ไม่เกินความสามารถจนเกินไปนัก


เขาได้เรียนที่เดียวกับล้งเล้งอีกครั้ง


วันที่ประกาศผลแอดมิชชั่น ทะเลวิ่งไปบ้านล้งเล้งตั้งแต่ช่วงที่ผลออก เพื่อไปเจอหน้าอีกฝ่าย ยยื่นหน้าจอโทรศัพท์มือถือให้ดู แล้วบอกเพียงแค่สั้นๆ ว่า


“เรียนที่เดียวกันอีกแล้วนะ”

“ฮะ?”

“มึงติดมอ C ใช่มั้ย?”

“ใช่” ล้งเล้งขมวดคิ้ว ใบหน้าที่เมื่อครู่ยิ้มกว้างที่ทะเลคิดว่าอาจจะเพราะกำลังแสดงความยินดีกับคนที่บ้านอยู่ ก่อนที่เขาจะเข้ามา “มึงมีเหี้ยอะไร?”

“กูก็ติด”

“...”

“เรียนที่เดียวกันอีกแล้วนะ”

“ไอ้เหี้ยเอ๊ย!”


ทั้งที่ล้งเล้งแสดงความยินดีอย่างหยาบคายเสียงดังลั่นบ้านจนพี่กุ๊กกิ๊กตะโกนกลับมาจากในบ้านว่า ‘ล้งเล้ง หุบปาก!’ แต่ทะเลก็ยังรู้สึกแฮปปี้


ซึ่งถึงแม้พอล้งเล้งจะเรียนแล้วก็ตัดสินใจซิ่วในเวลาอันรวดเร็ว เขาก็ไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนใจมากนัก เพราะบ้านก็อยู่ข้างกัน เขากลับบ้านทุกวันก็มีเดินสวนกับอีกคนที่เซเว่นบ้าง ที่หน้าบ้านบ้าง ไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตความรักมันแย่อะไรนัก ยิ่งพอล้งเล้งเริ่มตัดสินใจสอนพิเศษ


อย่างน้อย เขาก็ได้เจอล้งเล้งสัปดาห์ละวัน ได้เข้าไปแหย่อีกฝ่ายให้โดนด่าเล่น มันก็สบายใจดี


มันต้องมีสักวันนั่นแหละ ที่ล้งเล้งรับรู้ความรู้สึกของเขาสักที



.

.

.


“นี่มึงเป็นเหี้ยอะไรน่ะ?”


นี่คือคำแรกที่โซดาพูดขึ้นมาหลังจากที่ฟังเรื่องราวจากปากเพื่อนของตัวเองจบ คือไม่ใช่อะไร โซดาแค่ไม่เข้าใจ มันเสียเวลาไปเกินครึ่งชีวิตกับการเอาตัวเองไปให้คนที่ชอบด่าพ่อล่อแม่แล้วก็ต่อยปาก? 


เพื่อ!!!


“ก็เป็นกูไง กูแค่ชอบล้งเล้ง รักจนจะบ้าตายอยู่แล้ว”

“แล้วมึงก็ไปกวนตีนเขาอย่างงี้อ่ะนะ? เหี้ยอะไรของมึง แย่งเป็นหัวหน้าห้องเพราะกลัวเขาเหนื่อย ยิ้มหน้าตากวนตีนเรียกเขาว่าลูกหมาเพราะว่าน่ารักงี้อ่ะนะ? เป็นเหี้ยไรมึงง่ะ?”

“...มันไม่พอเหรอวะ? กูไม่เคยทำงี้กับใครเลยนะ”

“พอก็เหี้ย!”


โซดากระแทกแก้วน้ำ ชายหนุ่มทึ้งหัวตัวเองอีกรอบด้วยความขัดใจ ไอ้ทะเลคิ้วท์บอยมหาลัยที่โดนแอบถ่ายรูปไปลงในเพจเพราะว่าเท่หล่อ แต่ดันโง่เรื่องความรักระดับที่เด็กอนุบาลยังฉลาดกว่า


ตอนแรกที่เขาได้ยินว่าทะเลยังไม่เคยมีแฟน  แต่มีคนที่ชอบมานานมาก โซดายังคิดว่ามันแค่ล้อเล่น พอมาได้ยินเรื่องทั้งหมดในวันนี้แล้ว เขาอยากจะย้อนเวลาไปตอบหัวตัวเองที่เคยหัวเราะขำเรื่องนี้ตอนปีหนึ่งเพราะนึคกว่าเป็นมุกหน้านิ่งของเพื่อน จะตบหัวเพื่อนด้วย เป็นเหี้ยอะไรน่ะ จีบเขาแบบนี้แล้วจะได้มั้ย?!


“มึงลองคิดดูนะ”


โซดาเริ่มพูด หลังจากที่สั่งน้ำเปล่ามาเพิ่มอีกสองขวด พร้อมด้วยเค้กหนึ่งชิ้น เพราะว่าท่าทางจะต้องอยู่ที่ร้านนี้กันอีกนาน


“ถ้ามึงเป็นล้งเล้ง แล้วมีผู้ชายตัวสูงเท่าแป้นบาส เดินทำหน้านิ่งๆ เข้ามากวนตีนตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ แย่งเขาเป็นหัวหน้าห้อง แถมยังกวนตีนทุกเวลาที่เจอหน้า แถมพอตัวเองบอกว่าน่าจะเป็นเพื่อนที่ดีดันบอกไม่อยากเป็นเพื่อนด้วย เป็นมึงอ่ะ มึงจะชอบเขาป้ะ? กูถามแค่นี้เลย”

“...”

“อ่ะ เงียบ ตอบสิ!”

“ก็คง… ไม่”

“เออ นั่นไง มึงยังไม่เอามึงเลย แล้วทำไมล้งเล้งจะต้องเอามึงด้วย?”


โซดาพูดพร้อมกับกินเค้กคำสุดท้าย พร้อมทั้งทำท่าจะเดินไปสั่งของกินเพิ่ม เพราะตรงนี้หมดแล้ว


“มึงรอกูตรงนี้เลยนะ กูขอไปซื้อคุกกี้แป๊บ”

“...”

“เอาไรป้ะ?”


นิสิตหนุ่มยังมีแก่ใหันมาถามเพื่อนที่ยังคงนั่งหน้าแห้ง และไม่รู้สึกว่าตัวเองจะสามารถทานอะไรได้ลง


“ไม่อ่ะ ขอบใจ”

“เออ เค ในระหว่างที่กูไปซื้อของหวานเนี่ยนั่งคิดดูเลยนะ ว่าต่อจากนี้อ่ะ มึงจะทำยังไง จะเลิกชอบเขาเป็นเพื่อนอะไรนั่นอย่างที่ล้งเล้งอยากให้เป็น หรือจะเดินหน้าจีบจริงๆ จังๆ…”

“แต่กูจีบมาทั้งชีวิตแล้วนะ”

“...”

“มึงไม่เคยอยากกวนตีนคนที่ชอบเหรอ? เวลาเห็นหน้ามันหงุดหงิดแล้วมันน่ารักดีอ่ะ ฟิลลิ่งนั้น”

“ทะเล มึงฟัง” โซดายอมวางกระเป๋าสตางไว้บนโต๊ะ เพื่อเอามือมาจับแก้มเพื่อนให้โฟกัสกับตัวเอง “ผู้ชายแกล้งไม่ได้ดูเท่ ไม่มีพจนานุกรมเล่มไหนบอกไว้ว่าผู้ชายแกล้งแปลว่าผู้ชายชอบ”

“...”

“ผู้ชายที่แกล้ง คือผู้ชายเหี้ย แค่นั้นแหละ”

“... นี่มึงมาช่วยหรือด่ากูวะเนี่ย?”

 “ช่วยสิวะ จีบอะไรของมึงมาเป็นสิบๆ ปี แต่ทำให้เขาเกลียดขี้หน้าเนี่ย”


โซดาลุกขึ้นยืนขึ้นเต็มความสูง ก่อนจะหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมาไว้ในมืออีกครั้ง พอพูดมากๆ เข้าเขาก็เริ่มหิวของหวานอีกแล้ว รอบนี้จะสั่งเค้กชาเขียวมากิน


“มึงไปคิดก่อนละกัน ว่าตัวเองจะเอายังไงต่อ”

“...”

“จะเลิกรักมั้ย จะถอย พอ ช่างแม่งล้งเล้งตัดใจแล้วไปหาคนใหม่”

“...”


ถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่ในหัวใจทะเลตะโกนว่า ‘คนใหม่บ้าอะไร พ่อมึงตาย’ ออกมาเสียงดัง


“หรือจะลองไปคุยกับเขาอีกที”

“...”

“จีบจริงจังแบบที่ควรจะทำมาได้เป็นสิบปีแล้วน่ะ ไปเลือกเอา!”




------- TBC -------




อิอิอิอิอิอิอิอิ


ช่วงนี้งานเรายุ่งมาก แบบมากกกกกกกกกกกกกกก
ยอมรับเลยว่าช้า แงแง


จะรีบมาตอนที่ว่างนะคะ แต่งแล้วสนุกอ่ะ

ฝากด้วยนะคะ


#รักไม่คาดคิดในวันพุธ

หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 11 -- เพื่อนพ่อมึงสิ (24/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 24-07-2019 22:10:42
จีบคนอื่นเค้าไม่ได้จีบกันแบบนั้นป่าวละทะเลเอ้ยยยย
ล้งเล้งจะไม่ชอบก็ไม่แปลกนะ ไปหาวิธีจีบแบบที่มันได้ใจคนอ่ะ ทำได้ป่าว โคตรบื้อเลยให้ตายเหอะ 55555
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 11 -- เพื่อนพ่อมึงสิ (24/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 24-07-2019 22:44:19
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 11 -- เพื่อนพ่อมึงสิ (24/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 25-07-2019 00:53:36
ทะเลสไตล์. จีบแบบทะเลสุดๆ,,,,

555
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 11 -- เพื่อนพ่อมึงสิ (24/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: kingkongkaew ที่ 25-07-2019 04:45:23
อ่านวิธีจีบของทะเลแล้ว เข้าใจเลยว่าทำไมล้งเล้งถึงเกลียดทะเล ฝากโซดาช่วยอบรมทะเลด้วยค่ะ 555

หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 11 -- เพื่อนพ่อมึงสิ (24/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: appattap ที่ 25-07-2019 23:43:02
เออะ จีบแบบนี้อย่าเรียกว่าจีบ เรียกว่ากวนทีนและน่ารำคาญ สู้เค้าทะเลลลลล
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 11 -- เพื่อนพ่อมึงสิ (24/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Jiraapp ที่ 30-07-2019 06:42:06
ขอบคุณโซดาเลย โธ่ถังทะเลเอ้ยยยยย555555555
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 11 -- เพื่อนพ่อมึงสิ (24/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 02-08-2019 00:30:15
 :pig4:
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 11 -- เพื่อนพ่อมึงสิ (24/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: babybaphomet ที่ 02-08-2019 21:44:00
12th Wednesday

#รักไม่คาดคิดในวันพุธ





ล้งเล้งไม่เคยรู้สึกปวดหัวขนาดนี้มาก่อน




ตั้งแต่วันที่ทะเลพูดถ้อยคำอุกอาจนั้น ผ่านมาร่วมเดือนแล้ว เขาก็ไม่ได้เจอหน้านิสิตตัวสูงนั่นอีก ตอนสอนเขาเลี่ยงเต็มที่ ไม่ว่าจะหนีไปสอนที่เคเอฟซีทั้งที่ตัวเองไม่ชอบกินไก่เท่าไหร่ถ้าไม่ใช่บอนชอน หนีทุกทางที่เกี่ยวกับทะเลเท่าที่จะทำได้




เด็กหนุ่มก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไร แค่ไม่พร้อมที่จะเจอหน้าอีกคนก็เท่านั้น




แค่น้องแทนกายบังเอิญ (น่าจะบังเอิญ ถึงแม้น้องจะถามพร้อมรอยยิ้มบางๆ คล้ายกับกำลังรู้ทันอะไรบางอย่าง แต่ล้งเล้งจะคิดว่าน้องบังเอิญ น้องแทนกายแค่บังเอิญ!) เขายังรู้สึกปั่นป่วนในท้อง มันเหมือนตอนที่โมโหอีกคนจนหูอื้อ หรือว่าตอนที่เกลียดหน้ามันจนอยากจะต่อยปาก




มัน… แปลกๆ


แปลกมากจนล้งเล้งเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร




รู้แล้วว่าตัวเองใส่ใจทะเลมากกว่าที่จะโยนความคิดเรื่องว่า ‘มันไม่อยากเป็นเพื่อนกับกู แล้วยังไงวะ?’ ทิ้งไป แล้วก็มันน่าหงุดหงิดที่ไม่สามารถสลัดเอาคำบอกรักนั่นออกจากหัวไปได้เลย




เชี่ยเอ้ย อยากเป็นแฟนอะไรของมึงวะ!


เป็นแค่ไอ้ทะเลแท้ๆ!




วันนี้เป็นเหมือนกับทุกๆ วันพุธที่ล้งเล้งจะเข้ามาสอนพิเศษที่สยาม วันนี้เนื่องจากเป็นพุธสิ้นเดือน คนเยอะมากจนทำให้เขาเกือบมาสอนสาย ครั้งนี้ล้งเล้งจึงนัดน้องๆ ในที่ที่เขาจะมาถึงได้เร็วที่สุด นั่นก็คือที่ร้าน McDonald สาขาพาราก้อน ที่เดิมที่เดียวกับที่เขาปักหลักสอนเป็นประจำ




“ขอโทษทีนะ แต่วันนี้คนโคตรเยอะเลย พี่รอรถตู้นานมาก แถมมีอุบัติเหตุอีก กว่าจะฝ่าดงไปได้คือนานมากเว้ย พี่โคตรหงุดหงิด”




ล้งเล้งรัวเป็นชุดตอนที่นั่งลงบนเก้าอี้ที่ล้อมรอบไปด้วยเด็กนักเรียนที่คุ้นเคย น้องเกดมองเขาตาแป๋ว ลิลลี่ไม่ได้มาเพราะว่าไม่สบาย ซึ่งเจ้าตัวไลน์บอกเขาแล้วตั้งแต่เช้า ส่วนแทนกายกับโจนั้นนั่งอ่านชีทเรียนทำการบ้านอย่างเงียบๆ อยู่บริเวณเดียวกัน




“เรามาต่อกันเลยดีกว่า เอาการบ้านที่พี่ให้ทำขึ้นมา เดี๋ยวมาดูกันเนอะ”




การเรียนการสอนเริ่มต้นขึ้นอย่างเรียบง่ายเหมือนกับทุกครั้ง บรรยากาศการเรียนของล้งเล้งอังกฤษที่ไม่มีทะเลมาคอยกวนนั้นเงียบสงบ ออกจะเป็นเรื่องไม่ชินหูของบรรดาเด็กน้อย และตัวของติวเตอร์เอง




Rrrr


โทรศัพท์?


ล้งเล้งล้วงหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา คิ้วขมวดลงเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์แปลก แต่กก็กดรับด้วยความสงสัยว่าคนที่โทรมาเป็นใคร




“ฮัลโหลครับ”

“น้องล้งเล้งใช่มั้ยครับ?”

“ใช่ครับ นั่นใครครับ?”

“นี่พี่ธนาไง จำได้มั้ย?”




ล้งเล้งเงียบไปเมื่อนึกไม่ออกว่าในชีวิตรู้จักคนไหนที่ชื่อธนาบ้าง เหมือนปลายสายจะสังเกตว่าเขาเงียบนานเกินไปป เจ้าตัวเลยเฉลยออกมาเอง




“นี่พี่ธนาที่น้องเคยเหยียบเท้าบนบีทีเอสไง”

“อ๋อ” ไอ้คนที่ไม่ยอมจบเรื่องนั่นเอง “ครับ?”

“คือพี่อยากจะนัดน้องมาทานข้าวด้วยได้มั้ย?”

“...”

“แทนคำขอโทษของวันนั้นไง”

“อ่าครับ ได้ครับ พี่นัดมาละกัน”

“งั้นน้องล้งเล้งสะดวกวันไหนที่ไหนครับ?”




เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว แค่เหยียบเท้าครั้งเดียวมันจะต้องขนาดนี้เลยงั้นหรือ? ยิ่งเมื่อมองไปทางเด็กๆ ก็เห็นว่าแต่ละคนทำตาปริบๆ รอให้เขาพูดต่ออยู่ ล้งเล้งจึงตัดสินใจตัดบทเสีย




“เอ่อ พี่ครับ เดี๋ยวค่อยคุยได้มั้ย พอดีผมติดสอนอยู่”

“สอน? โอเคๆ ไว้คุยกันนะครับ”

“ครับ”

“เดี๋ยวพี่จะโทรหาทีหลัง”




อะไรของมันวะ


ล้งเล้งส่ายหัวเพื่อเอาความคิดไร้สาระออกไป ก่อนที่จะดึงตัวเองกลับมาที่บทเรียนตรงหน้าต่อ




“โอเค ข้อต่อไปแทนกายนะ…”




ติวเตอร์คนเก่งเลิกคิ้วกะพริบตาอีกครั้งเมื่อเขารู้สึกเหมือนกับตัวเองเห็นเด็กผู้หญิงที่คุ้นเคย นั่นมันหนูแดง เด็กติวของทะเลไม่ใช่หรือไง? หากเป็นปกติเขาก็คงเข่นเขี้ยวฟัน คิดว่าเดี๋ยวก็คงจะเจอทะเลแน่ๆ แล้วเดี๋ยวผู้ชายสูงเท่าแป้นบาสคนนั้นก็จะมากวนประสาทให้เขารำคาญใจอีกตามเคย




แต่ครั้งนี้ลึกๆ ในใจของล้งเล้งกลับรู้สึกอยากเจอทะเลนิดๆ … แค่นิดเดียวเท่านั้นแหละ! แล้วมันไม่มีอะไรสักหน่อย! ก็แค่ไม่ได้เห็นหน้ามาเป็นเดือน แค่นั้นแหละ! แค่นั้นเลย!!




“พี่ล้งเล้งครับ?”

“โทษที”




ล้งเล้งพูดเมื่อตัวเองเผลอเหม่อคิดไปถึงเรื่องไร้สาระ ติวเตอร์ส่ายหัวเล็กน้อย ก่อนจะดึงตัวเองกลับมาโฟกัสกับนักเรียนหนุ่มตรงหน้า ที่ยังคงมองตัวเองตาแป๋ว




“เมื่อกี้ถึงข้อ…”

“55 ครับ”

“โอเค 55”  ล้งเล้งกวาดตามองบทความตรงหน้า พร้อมทั้งช็อยส์ของบทความนี้ “แทนกายตอบอะไรครับ?”

“ตอบ 4”

“ทำไมล่ะ?”




เด็กน้อยของล้งเล้งมองโจทย์เล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาตอบเขาด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ




“ผมแค่เคยเห็น extremely embarrassed เลยตอบครับ แต่ถ้าจะให้อธิบาย ก็น่าจะเป็นเพราะว่า embarrassed เป็น adjective ซึ่งคำขยายข้างหน้าต้องเป็น adverb ซึ่งในตัวเลือกทั้งหมด มีแค่ extremely ข้อเดียวที่เป็น adverb ครับ”



“ถูกๆ เก่งแล้วๆ”


ล้งเล้งยืนยันคำตอบนั้นอีกครั้ง พร้อมส่งยิ้มให้แทนกายซึ่งได้รับรอยยิ้มโล่งใจกลับมา ติวเตอร์หนุ่มมองโจทย์อีกครั้ง ก่อนจะอธิบายให้เด็กที่เหลือฟัง


“ในโจทย์บอกว่า People who are cyber-bullied may feel... to report a bully. ใช่มั้ย ทีนี้ตรงช่องว่างเนี่ย เราต้องใส่ความรู้สึกใช่ป้ะ? เรามาดูคำตอบกัน ข้อเดียวที่เป็นความรู้สึก คือ embarrassed”




เด็กๆ มองกระดาษในมือ ล้งเล้งพูดต่อ




“ข้อหนึ่งผิด เขาบอกว่า extreme embarrass ซึ่งอันนี้เนี่ย extreme เป็น adjective ก็จริง แต่ embarrass เป็น verb ซึ่งจะมีความหมายว่า ทำให้รู้สึกเขิน ทำให้รู้สึกอาย ตรงนี้ถ้าแก้ extreme เป็น adverb โดยการเติม -ly ลงไปข้างหลังก็พอได้ แต่ผิดความหมาย ขัดกับโจทย์”

“...”

“ข้อสอง…”




ล้งเล้งเงยหน้าขึ้นมาเพื่อสบตากับทะเล




ชั่วขณะนั้น เหมือนโลกหยุดนิ่ง




เวลาที่ทะเลเดินเข้ามาในแม็คโดนัลนั้นเหมือนกับพระเอกละครตอนปรากฏตัว ล้งเล้งเพิ่งสังเกตตอนนี้เองว่าทะเลตัวสูงแล้วก็หล่อขนาดไหน ถึงแม้ว่าไม่อยากจะยอมรับ แต่ทะเลมันก็หน้าตาดีจริงๆ นั่นแหละ




ล้งเล้งทำเสียงขึ้นจมูก เหอะ เขาหล่อกว่าตั้งเยอะ!




โต๊ะที่ทะเลเลือกนั่งนั้นไม่ไกลจากล้งเล้งมากนัก พวกเขาสบตาเพียงแค่เสี้ยววินาทีก่อนที่ล้งเล้ง จะหันหน้าหนีกลับมามองนักเรียนอีกครั้ง ซึ่งพวกเด็กนักเรียนตรงหน้าเขาทุกคนสบตากับล้งเล้งด้วยสีหน้าที่แตกต่างกัน ลูกเกดมองล้งเล้งด้วยสีหน้าเขินๆ แทนกายยิ้มล้อแบบรู้ทัน (มันเป็นเรื่องบังเอิญ! แทนกายไม่มีทางรู้อะไรทั้งนั้น!) ส่วนโจ้มองด้วยแววตาว่างเปล่า




“เอ่อ… ข้อสอง… embarrassing extreme มีใครตอบข้อนี้ป้ะ?”




ลูกเกดยกมือขึ้นมาเล็กน้อย ซึ่งล้งเล้งพยักหน้ารับรู้ ก่อนที่จะอธิบายต่อ




“ข้อนี้ผิดเพราะว่า…”

“ลูกหมา”




ยังไม่ทันที่ล้งเล้งจะได้จบสิ่งที่กำลังสอนอยู่ เสียงเรียกข้างตัวก็ดังขึ้นมา ซึ่งเมื่อหันไปมองก็พบกับคนที่เมื่อเจอกันครั้งก่อนเพิ่งจะบอกความรู้สึกตัวเองอย่างอุกอาจ




‘กูชอบมึงไง ไอ้ลูกหมา ไอ้ควายเอ๊ย!’




หยุดคิด! หยุดคิดเดี๋ยวนี้นะ!!




“... มีอะไร?”

“กูซื้อของมาให้”




ล้งเล้งรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังคอสเพลย์เป็นหิน เขาขยับตัวอย่างอืดอาดไปหมด ติวเตอร์คนเก่งไม่กล้าสบตาทะเลเหมือนเมื่อครู่ทั้งที่รู้สึกว่าอีกคนกำลังมองที่หน้าเขาอยู่ นักศึกษาหนุ่มทำเพียงแค่มองมือของอีกคนที่ยื่นอะไรบางอย่างมาให้เขาเท่านั้น




คนอย่างทะเลที่บอกว่าอยากเป็นแฟนเขา ซื้ออะไรมาให้กัน?




“ถั่วแระ?”

“อืม” ทะเลพูด พร้อมกับยกมือเกาหัวด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ “กูคิดว่ามึงอาจจะชอบ”

“เอาอะไรมาคิดว่ากูชอบถั่วแระ?”

“ก็กูชอบ เลยอยากให้มึงชอบด้วย”




โอเค ล้งเล้งคิดว่าตัวเองกำลังโดนแอคแทค




“ลองก่อน มึงอาจจะชอบก็ได้นะ”




ทะเลพูดต่อ โดยที่ไม่สนใจรอยยิ้มล้อเลียนของแทนกาย ท่าทางเหมือนฟินอะไรบางอย่างของลูกเกด แล้วก็สายตาไม่พอใจเล็กน้อยของโจ้




“ถั่วแระเนี่ยนะ?”

“ถั่วแระดิ กูมั้ง? ลองชิมกูมั้ยล่ะ มึงอาจจะชอบก็ได้”

“...”




เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ก่อนที่ล้งเล้งจะได้โวยวายด้วยคำว่า ‘เหี้ยๆๆๆๆๆๆ’ ที่วุ่นวายอยู่ในหัว ทะเลก็พูดหน้านิ่งๆ ออกมาก่อน




“ล้อเล่น กูไปสอนละ”

“...”




ท่ามกลางความแปลกใจของทุกคน ล้งเล้งรับถุงมาแล้วพึมพำเบาๆ เกือบจะไม่มีใครได้ยินว่า




“ขอบคุณนะ”




ทะเลเพียงแค่พยักหน้ารับ ก่อนที่จะเดินกลับโต๊ะไป ซึ่งมีนักเรียนทั้งสามที่ล้งเล้งจำหน้าได้หมดแล้วมองอยู่ พลางซุบซิบอะไรกัน ตอนนี้แทนกายยิ้มกรุ้มกริ่ม ลูกเกดยังคงเม้มปากมือกดโทรศัพท์รัวๆ ส่วนโจ้หันหน้ามองทางอื่น




ล้งเล้งมองถุงถั่วแระที่เขาเอามาวางไว้บนโต๊ะ




ลองดูหน่อยมันก็คงไม่ได้แย่มั้ง



.

.

.




โดยไม่รู้ตัว ล้งเล้งกินถั่วแระในถุงจนหมด




เขามีทั้งโค้กและเฟรนช์ฟรายมากมายอยู่ตรงหน้า แต่ล้งเล้งก็กินถั่วแระไปด้วย เออ มันก็ไม่ได้แย่นี่หว่า บางทีถ้าเขาลองกินมันมากกว่านี้ อาจจะชอบกินมันมากกว่านี้ก็ได้มั้ง




ละมั้ง…




ล้งเล้งรู้ว่าจิตใจของเขาไม่ได้อยู่ตรงชีทเรียนตรงหน้า ตอนนี้เป็นเวลาพักสิบนาที ก่อนที่เขาจะพาน้องๆ เข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของการเรียนการสอนในวันนี้ ในขณะที่ตัวเองยังไม่สามารถดึงความสนใจออกมาจากถุงถั่วแระและเจ้าของมันได้ จึงขอตัวออกมาเข้าห้องน้ำ และสัญญากับน้องๆ ว่าคลาสจะเริ่มทันทีที่เขากลับไปนั่งที่




ช่วงนี้อาจจะเป็นเวลาที่เขามีทะเลในหัวมากกว่าที่เป็นมาตลอดชีวิต ซึ่งมันออกจะมากเกินไปจนล้งเล้งปรับตัวไม่ทัน เขาไม่มั่นใจว่าตัวเองเข้าใจมันขนาดนั้น


เพราะว่ามัวแต่คิดถึงเรื่องทะเล ทำให้ล้งเล้งไม่ทันระวังตอนที่ตัวเองเกือบชนกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ถือถาดอาหารหันหลังมาพอดี




“โอ๊ะ ขอโทษครับ”




เธอส่งรอยยิ้มน่ารักมาให้ พอมองดีๆ แล้วหน้าตาเธอเรียกได้ว่าสวยเลยทีเดียว เป็นผู้หญิงที่หน้าคมนิดหน่อย แต่ยังคงดูสวยในแบบของเธอ ซึ่งเธอนั้นอยู่ในชุดนิสิตพอดีตัว ถึงแม้กระโปรงจะยาวแต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ารุ่มร่าม




“ไม่เป็นไรค่ะ”



ชายหนุ่มหลบทางให้นิสิตคนนั้นเดินไปก่อนอย่างที่สุภาพบุรุษ(ในความคิดของตัวเอง) ควรกระทำ ก่อนจะเดินตามหลังไปเพื่อไปนั่งที่โต๊ะของตัวเอง ซึ่งผู้หญิงคนนั้นก็ถือถาดของกินเดินลงไปนั่งที่…






โต๊ะไอ้เหี้ยทะเล



------- Wednesday In Class --------




ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร?




คำถามนี้วนเวียนอยู่ในหัวของติวเตอร์หนุ่มตลอดการสอนครึ่งหลัง (ถุงถั่วแระเปล่าเขาก็เอาไปทิ้งแล้วด้วย เปลืองที่! คนเขาจะวางปากกากระดาษ!) ถึงแม้จะพยายามบังคับตัวเองให้โฟกัสกับการสอนตรงหน้า แต่พอเหม่อๆ เมื่อไหร่ล่ะก็ รู้ตัวอีกที ตาของล้งเล้งก็มักจะวางไปที่โต๊ะของทะเลกับผู้หญิงคนใหม่เสียแล้ว




ใครวะ แม่ง!




มันเป็นความรู้สึกหงุดหงิดรำคาญ ทั้งที่ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั่งเฉยๆ กินอาหารของตัวเอง สลับกับนั่งอ่านหนังสือหรือทำการบ้านสักอย่างที่ล้งเล้งไม่มั่นใจ (และไม่อยากรู้) แต่เขาก็อดหงุดหงิดไม่ได้ เขาไม่เคยพาเพื่อนมาสอนด้วยเลยสักครั้ง ทะเลก็ไม่ควรพามาหรือเปล่า




เว้นเสียแต่ว่า… จะไม่ใช่แค่เพื่อน



เพียงชั่วขณะ ล้งเล้งก็รู้สึกว่าพวกเขาสองคนเหมาะสมกันชะมัด


ลึกๆ ในใจของล้งเล้งก็รู้ว่าคนที่เพิ่งบอกชอบเขาไปเมื่อเดือนก่อน คนที่เพิ่งจะเดินเอาถั่วแระมาให้เมื่อชั่วโมงก่อนนั้น คงยังไม่มีแฟนในตอนนี้ … หรือเปล่าวะ




ถ้าหากมันเกิดไม่อยากรอเขาแล้วล่ะ? ถ้ามันไปคบกับผู้หญิงข้างๆ แล้วล่ะ??


ถ้าหากทะเลเลิกชอบเขาแล้วล่ะ?




เพียงแค่คิด สีหน้าของล้งเล้งก็เปลี่ยนไปทันทีจนเด็กที่เรียนพิเศษทุกคนสังเกตได้ พวกน้องๆ ได้แต่มองหน้ากันไปมาแต่ไม่มีใครพูดอะไร สุดท้ายแล้ว ล้งเล้งก็สอนต่อจนจบโดยที่ไม่ได้พูดอะไรในเรื่องนี้ออกมา และไม่เล่นมุกอะไรเหมือนกับบางครั้งที่เขาอารมณ์ดี




ใครอ่ะ ใครวะแม่ง แล้วเป็นอะไรกับไอ้ทะเล?




ล้งเล้งคิดวนเวียนอยู่แค่นี้จนกระทั่งหมดเวลาสอน ลูกเกดกับโจ้ขอตัวกลับก่อนเหมือนกับทุกครั้ง เหลือเพียงแทนกายคนเดียวที่ยังอยู่ต่อ นั่งอยู่ข้างๆ ล้งเล้ง เหมือนกับทุกครั้ง



“คนนั้นใครเหอครับ?”

“ใครอ่ะ?”

“คนที่นั่งกับพี่ทะเลน่ะครับ”




พอแทนกายพูดล้งเล้งจึงหันไปมองทางโต๊ะทะเลอีกครั้งอย่างไม่ตั้งใจ เป็นตอนที่ผู้หญิงคนนั้นหันไปพูดอะไรบางอย่างกับทะเล แล้วทะเลหัวเราะพอดี




คุยอะไรกันวะ อยากคุยมากก็กลับไปคุยกันที่คณะสิ!




“ไม่รู้อ่ะ” ล้งเล้งตอบ พร้อมกับเปลี่ยนเรื่อง “เรากลับยังไง?”

“เดี๋ยวก็ไปแล้วครับ”

“วันนี้เพื่อนไม่มารับเหรอ?”

“กลับเองครับวันนี้”




แทนกายพูดยิ้มๆ ใบหน้าสวยของเด็กหนุ่มยังคงมีรอยยิ้มบางๆ ประดับอยู่ จนบางครั้งล้งเล้งแอบคิดเหมือนกันว่าหากแทนกายใส่วิกเขาอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กผู้ชาย




“อ๋อ เออดีๆ”




ล้งเล้งพูด ในขณะที่แทนกายยังคงยิ้มอยู่ ถ้าหากน้องไม่หลิวตาคล้ายกับว่ากำลังจะกวนประสาท ล้งเล้งจะไม่รู้สึกหงุดหงิดในใจขนาดนี้!




“เดี๋ยวพี่ก็จะกลับแล้วเหมือนกัน เราเดินไปบีทีเอสด้วยกันมั้ย?”




ติวเตอร์หนุ่มชวนเด็กน้อยไปรถไฟฟ้า ซึ่งน้องตอบกลับมาว่า




“ได้ครับ แต่ขอผมซื้อแม็คไปกินเผื่อพรุ่งนี้แป๊บนึงนะครับ”

“ได้ๆ เดี๋ยวพี่ไปเป็นเพื่อน”




พวกเขาทั้งสองคนไปยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์สั่งอาหาร เพราะคนเยอะนิดหน่อย ล้งเล้งจึงเลือกยืนอยู่ข้างหลัง ปล่อยให้เด็กน้อยไปต่อแถว สักพักล้งเล้งก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้ยืนอยู่คนเดียว เมื่อเงยหน้าออกจากโทรศัพท์ เขาก็เห็นว่าข้างๆ ตัวเองมีทะเลยืนทำหน้ากวนประสาทอยู่




ความจริงแล้วทะเลก็แค่ยิ้มมุมปากเหมือนกับทุกครั้งที่เจอ แต่ไม่รู้ทำไม รอยยิ้มของทะเลมันถึงได้ทำให้ล้งเล้งรู้สึกหงุดหงิด!




“ลูกหมา ซื้อไร?”

“เสือก”

“อืม ก็เสือกแหละ กูชอบเสือกเรื่องมึงตลอดอยู่แล้ว”




เพราะอะไรบางอย่าง ถ้อยคำของทะเลถึงได้ดูตัดพ้ออย่างน่าประหลาด




“มึงไปเสือกเรื่องคนอื่นมั่งมั้ย?”




อย่างเช่นเรื่องผู้หญิงที่มึงพามาด้วย อะไรแบบนี้… ล้งเล้งคิดต่อในใจ แต่ไม่ได้พูดออกไป




“ไม่อ่ะ ชอบเสือกเรื่องของมึง”




เป็นอีกครั้งที่ล้งเล้งรู้สึกเหมือนผีเสื้อบินอยู่ในท้องเพราะแค่ประโยคพูดสั้นๆ จากอีกคน




“ก็… ก็…” ล้งเล้งพยายามสรรหาคำพูดมากมาย แต่เหมือนมันจะไม่ออกมาเลยตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องอย่างหน้าด้านๆ  “แล้วคนที่นั่งอยู่กับมึงล่ะ คนนั้นใครอ่ะ?”

“เพื่อน”

“น่ารักดีเนอะ”

“อืม น่ารัก”




ทั้งที่เป็นคนเปิดประโยคสนทนาเอง แต่ล้งเล้งกลับรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา




“มึงชอบแบบนี้เหรอ?”

“อะไร?”

“ผู้หญิงคนนั้นไง มึงชอบเขาเหรอ สเปคมึงเป็นแบบนี้เหรอ?”




ระยะเวลาที่ทะเลเงียบลงพร้อมหรี่ตานั้น ล้งเล้งกัดริมฝีปาก ในใจนึกอยากย้อนเวลากลับไปเอาคำพูดเชิงประชดประชันนั้นกลับมา นี่เขาเป็นบ้าอะไรถึงได้พูดแบบนั้นออกไปวะ?! แม่ง




“ก็ดีนะ”

“ดีเหรอ?”

“อืม น่ารักดี” ทะเลยิ้มพร้อมพูดต่อ “เอาจริงก็สเปคกูนะ ตาโต ตัวเล็ก น่ารัก สเปคกูเลย”




เสียใจอะไรวะแม่ง ไม่รู้อ่ะ! เขาแค่เสียใจนิดหน่อย เพียงแค่นิดเดียวเท่านั้นแหละ!



“แต่ว่า…”




ยังไม่ทันที่ทะเลจะพูดจบประโยค ล้งเล้งก็เดินหนีมาตรงเค้าน์เตอร์รับสินค้า เขากำลังจะเดินไปหาแทนกายที่ยืนรออาหารของตัวเองอยู่ ซึ่งยังไม่ทันที่จะถึงนั้น ล้งเล้งก็รู้สึกเหมือนมีคนมาจับแขนเขไว้เสียก่อน




“ไอ้ลูกหมา เดินหนีทำไม ยังคุยกันไม่จบ”

“แล้วจะให้กูอยู่ฟังมึงบอกชอบเขาหรือไง?”

“...”




ทะเลไม่พูดอะไร เพียงแค่ยิ้มมุมปาก กับหลิ่วตาคล้ายกับว่ากำลังจะแซวอะไรเขาสักอย่าง ซึ่งล้งเล้งอาจจะทึบเกินจะรู้ว่าอีกฝ่ายจะแซวอะไร แล้วเขาก็ไม่อยากจะรู้ด้วย


ถ้ามันเลิกชอบเขาแล้วล่ะ?


ถ้ามันไปชอบคนอื่นแล้วล่ะ??




“คือ…”

“จะเลิกชอบกูแล้วเหรอ?”

“ฮะ?”




ทะเลทวนเหมือนงงว่าล้งเล้งกำลังจะพูดอะไร ยังไม่ทันที่ทะเลจะได้พูดอะไรต่อ ล้งเล้งก็ชิงพูดเสียก่อน




“มึงเลิกชอบกูแล้วเหรอ? อย่าเพิ่งเลิกชอบกูได้มั้ย? กูไม่ได้รังเกียจมึงนะ แต่กูแบบ … กูแค่…”

“...”

“ช่างมันเถอะ มึงจะชอบใครก็เรื่องของ…”

“มึงคิดว่าการเลิกชอบใครสักคนมันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอลูกหมา?”




น้ำเสียงจริงจังของทะเลนั้น ทำให้ล้งเล้งเงยหน้าจากปลายเท้าของตัวเองที่ไม่รู้ว่าไปมองอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ สีหน้าของทะเลยังคงนิ่งเหมือนเคย หากแต่แววตาของเจ้าตัวกลับจริงจังมากจนเขาไม่สามารถเถียงได้




“มึงอาจจะไม่รู้ แต่กูชอบมึงมานานมาก กูไปมองคนอื่นไม่ได้อีกแล้ว ไอ้โง่”

“...”

“กูรอมึงมาตั้งแต่มึงยังไม่รู้ว่า Barbie Girl คืออะไร จนวันนี้มึงมาเป็นครูติวภาษาอังกฤษแล้ว คิดเอาเองว่ามันนานขนาดไหน”

“...”

“กูชอบของกูมานานขนาดนี้ มึงจะต่อยกูอีกกี่สิบทีกูก็ไม่เลิกชอบมึงหรอก”

“...”

“ยิงกูดิ”

“กูทำจริงนะ”

“เฮ้ย เดี๋ยว ไอ้เหี้ย กูพูดเล่น”




ทะเลรีบพูดเมื่อล้งเล้งทำท่าทางเหมือนกับว่าเจ้าตัวจะยิงเขาจริงๆ ทั้งที่คนอยู่เต็มแม็คแต่ทะเลรู้สึกว่าถ้าล้งเล้งมีปืน เจ้าตัวอาจจะยิงเขาจริงๆ ก็ได้


ทั้งสองคนยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ เพียงครู่เดียวเท่านั้น ก่อนที่แทนกายจะเดินยิ้มเข้ามาใกล้ พร้อมกับถุงอาหารในมือ




“งั้น… กูไปแล้วนะ”




นับตั้งแต่ที่รู้จักกันมาเกินครึ่งชีวิต นี่เป็นครั้งแรกที่ล้งเล้งหันมาบอกลาทะเล




“ล้งเล้ง”

“ว่า?”

“กูขอจีบมึงนะ”



ทั้งที่รอบตัวพวกเขามีคนมากมาย แต่เสียงหัวใจของทั้งคู่กลับดังกลบทุกอย่างไปเสียดาย เสี้ยววินาทีนานนับชั่วกัปชั่วกัลป์ สุดท้ายแล้ว ล้งเล้งก็พูดออกมาเสียงดัง


“เรื่องแบบนี้ใครเขาขอกันวะไอ้เหี้ย!!”








------- TBC -------
[/b]





นั่นแหละค่ะท่านผู้ชม



#รักไม่คาดคิดในวันพุธ



หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 12 -- ขอจีบนะ (02/08/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: appattap ที่ 02-08-2019 23:02:56
อ่านละยิ้มตามเลยค่า  ต้องขอบคุณแมค สถานที่เปิดเผยความในใจ 5555
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 12 -- ขอจีบนะ (02/08/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: kingkongkaew ที่ 02-08-2019 23:21:04
แค่อ่านชื่อตอนก็เขินแล้ว
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 12 -- ขอจีบนะ (02/08/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 03-08-2019 03:08:12
กวนตีนเขามาเกือบ 20 ปี พอโดนเพื่อนเคาะกะโหลกมาเท่านั้นแหละ จีบเขาเฉยเลย มันเพิ่งได้คิด ทะเลนี่มันทะเลจริงๆ
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 12 -- ขอจีบนะ (02/08/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 03-08-2019 03:19:21
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 12 -- ขอจีบนะ (02/08/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 03-08-2019 04:35:02
 :pig4:
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 12 -- ขอจีบนะ (02/08/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 03-08-2019 16:48:26
เขินมากมาย,,,
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 12 -- ขอจีบนะ (02/08/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Jiraapp ที่ 05-08-2019 07:15:40
เออยังงี้ค่อยดูเหมือนจีบหน่อย แหมล้งเล้งยังไงคะลูก :ruready
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 12 -- ขอจีบนะ (02/08/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 05-08-2019 21:41:25
ทะเล~สู้เขารู้กก
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 12 -- ขอจีบนะ (02/08/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: babybaphomet ที่ 11-08-2019 00:05:47
13th Wednesday

#รักไม่คาดคิดในวันพุธ





ล้งเล้งยังคงไม่แน่ใจว่าตัวเองขึ้นรถไฟฟ้ามาด้วยความรู้สึกแบบไหน มันประหลาดไปหมด ไม่ได้รู้สึกเหมือนกับตอนที่มีความรักครั้งแรก ไม่ใช่ตอนดีใจที่สอบติดมหาลัย มันเป็นความรู้สึก…




ไม่รู้อ่ะ! รู้สึกอะไรก็ไม่รู้ แต่รู้สึกแค่กับทะเลเท่านั้น




“พวกพี่ยังจีบกันอยู่เหรอครับ?”




ติวเตอร์หนุ่มหันไปมองแทนกายที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ ตอนนี้พวกเขาสองคนยืนเกาะเสาอยู่บนรถไฟฟ้าบีทีเอส (ซึ่งแทนกายยังสูงกว่าเขาอีก น่าหงุดหงิดชะมัด เป็นแค่เด็กมอหกแท้ๆ โตไวนัก!) โดยมีน้องแทนกายส่งสายตายิ้มๆ มาให้ ล้งเล้งขมวดคิ้ว




“หมายความว่าไงอ่ะ?”

“ผมนึกว่าคบกันไปแล้วซะอีก”

“...”




ในใจของล้งเล้งมีแต่คำว่า ‘ไม่ใช่หรอก น้องแทนกายน่ารัก คงไม่ได้หมายถึงเขากับ...’




“พี่ทะเลนี่ช้าจริงๆ เลย”




แน่นอนว่าน้องแทนกายหมายถึงเขากับมันนั่นแหละ ไอ้เหี้ยทะเลนั่น



“ช้าอะไร ใครคบกันเล่า”

“ก็พี่กับพี่ทะเลไง”




เด็กน้อยพูดด้วยน้ำเสียงสดใส ล้งเล้งพูดด้วยความสัตย์จริงเลยว่าเขารู้สึกยินดีที่น้องแทนกายเหมือนกับจะเริ่มสดใสอีกครั้ง แต่ต้องไม่ใช่เรื่องของเขากับไอ้ทะเลนี่หรือเปล่า ปัดโถ่เอ๊ย!




“พี่กับมันไม่มีอะไรสักหน่อย”

“มีสิครับ”

“ไม่มี”

“มีสิ ก็พี่ทะเลชอบพี่ล้งเล้งไงครับ”




ทั้งที่เป็นเรื่องที่ล้งเล้งได้ยินมาแล้วจากปากของทะเล แต่พอแทนกายพูดให้ฟังอีกครั้งเขาถึงกับทำหน้าไม่ถูก ล้งเล้งไม่รู้ว่าตัวเองแสดงสีหน้ายังไงออกไป แทนกายที่จับเสาต้นเดียวกับเขาถึงได้หัวเราะเบาๆ แล้วมองด้วยสีหน้าเอ็นดูแบบนี้




“แล้วพี่ล้งเล้งก็ชะ…”




แทนกายยังพูดไม่ทันจบ เสียงประกาศตามสายก็ดังขึ้น




‘พญาไท interchange with  Airport Rail Link’




“ผมไปก่อนนะครับพี่ล้งเล้ง”

“อ้าว โอเคๆ กลับบ้านดีๆ”

“แล้วเจอกันนะครับ”




แทนกายเดินออกไปเมื่อถึงสถานีที่ตัวเองจะต้องลง ทิ้งล้งเล้งเอาไว้กับความงงงวยในสิ่งที่เด็กน้อยกำลังจะพูดเมื่อครู่ เอาจริงแล้วล้งเล้งก็ไม่แน่ใจนักว่าตัวเองอยากได้ยินหรือเปล่า มันอาจจะเป็นเรื่องที่ลึกๆ แล้วเขาไม่อยากรู้ก็ได้




เด็กหนุ่มก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ของตัวเองต่อไปเหมือนกับทุกคนบนรถไฟฟ้า ซึ่งเหมือนกับทุกคนบนรถไฟฟ้าขบวนนั้น อาจจะต่างเพียงตรงที่มีเพียงล้งเล้งคนเดียวที่กำลังนึกถึงคนที่เพิ่งจากกันมาเมื่อครู่




แม้ไม่อยากจะยอมรับ แต่ล้งเล้งยังเลิกคิดถึงทะเลไม่ได้เลย


ไอ้เวรเอ๊ย! เป็นแค่ทะเลแท้ๆ!



------- Wednesday In Class -------




ในคลาสวิชามหาลัยในห้องเรียนรวมที่นักศึกษาครึ่งหนึ่งคุยกัน อีกครึ่งกำลังนอน ล้งเล้งเป็นหนึ่งเดียวในกลุ่มที่ตอนนี้กำลังฟังอาจารย์หน้าห้องพูดถึงสไลด์ง่วงๆ อย่างตั้งใจที่สุดเท่าที่เขาทำได้ ข้างกันนั้นคือมูเตลูที่วันนี้มาในเสื้อสีเหลืองเหมือนลูกมะม่วงกับกางเกงสีส้มสว่างซึ่งคนมองมาทั้งคลาส (แม้แต่อาจารย์ก็มองมันบ่อยๆ ซึ่งทุกคนเข้าใจได้ว่าทำไม) ถัดไปเป็นบุ๋มบีมที่นั่งหลับเอาหัวชนกัน ส่วนเจ๋งเป้งไลน์มาบอกในกรุ๊ปว่าไม่เข้าเพราะขี้เกียจ






ล้งเล้งอยากเอาปากกาไล่เคาะไอ้พวกนี้ทีละคน เพราะพวกมึงไม่เรียนกันเนี่ย กูเลยต้องนั่งจดทำสรุปอยู่นี่ไงไอ้พวกเพื่อนขี้เกียจ!


ในตอนที่ล้งเล้งกำลังฟังอาจารย์ไปด้วย ดูสไลด์ไปด้วย และด่าเพื่อนตัวเองในใจไปด้วยนั้น เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา




ไลน์!


Talay: .

ล้งเล้ง: มึงเป็นอะไร?

ล้งเล้ง: ทักทำเหี้ยอะไร

ล้งเล้ง: จุดเนี่ยนะ?

ล้งเล้ง: เพื่อ??

ล้งเล้ง: เปลืองเวลากดเข้ามาในแชทของมึงมาก

Talay: โห

Talay: กูพิมพ์ทักไปแค่จุดเดียว

Talay: ใส่กูใหญ่เลยนะลูกหมา

ล้งเล้ง: ใครลูกหมาวะ!

Talay: ตะโกนแม้กระทั่งในแชท

Talay: กูเจ็บคอแทน




ไอ้ทะเลเจ้าเก่าคนเดิม เพิ่มเติมคือคุยแชทกับล้งเล้งทุกวัน




ตั้งแต่ที่ทะเลบอกว่าขอจีบวันก่อน นิสิตหนุ่มก็ทักมาหาล้งเล้งทุกวัน แรกๆ ตัวล้งเล้งเองก็รู้สึกประหลาดนิดหน่อย ไม่รู้ว่าจะต้องคุยยังไง แต่พอไปเรื่อยๆ แล้วมันก็กลายเป็นปกติไปเองโดยอัตโนมัติ




พวกเขาแชร์เรื่องราวต่างๆ กัน แชร์เพลงที่ฟัง บ่นงานที่ต้องทำ คุยเรื่องหนัง พูดกันเรื่องเพลง คุยนั่นคุยนี่มาเรื่อยๆ จนมันกลายเป็นล้งเล้งเคยชินกับการตอบแชททะเลหลายครั้งต่อวันไปเสียแล้ว




เด็กหนุ่มปล่อยแชทของทะเลทิ้งไว้ เงยหน้ามองสไลด์เมื่อรู้สึกว่าตัวเองละเลยเนื้อหาตรงหน้ามานานเกินไป สิ่งหนึ่งที่เขาคุยกับทะเลแล้วรู้สึกโอเคเพราะอีกฝ่ายไม่เคยมีปัญหาเวลาเขาหายไปนานๆ อ่านไม่ตอบ โทรไปไม่รับหรืออะไรก็ตามที่มักจะเกิดขึ้นกับคนมีแฟนที่ล้งเล้งเคยเห็นบ่อยๆ




อาจจะเพราะพวกเขาสองคนเป็นนิสิตนักศึกษาเหมือนๆ กัน มีภาระที่ต้องรับผิดชอบใกล้เคียงกัน มันเลยออกจะสบายๆ ไม่เกร็งมากเหมือนกับที่คนจีบกันควรจะเป็น




ล้งเล้งเม้มปากเมื่อนึกถึงสถานะของตัวเองกับทะเล… ‘คนที่เคยเกลียดกัน ที่ตอนนี้ไม่เป็นเพื่อนแล้ว จะเป็นแฟน แต่มันเร็วไปเว้ย!’  ซึ่งล้งเล้งก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสถานะแบบนี้มันมีในโลกหรือเปล่า อาจจะเป็นแค่สถานะสำหรับพวกเขาสองคนก็ได้




ไลน์



Talay: เกือบลืม

Talay: ศุกร์เย็นว่างป้ะ?




นักศึกษาคนเก่งเหลือบมองอาจารย์ที่เช็กชื่อหลังจากหมดคาบ ก่อนที่จะรีบพิมพ์ตอบทะเลที่ส่งข้อความมา




ล้งเล้ง: ว่าง

ล้งเล้ง: มีอะไร?

Talay: แล้วเสาร์ล่ะ?

ล้งเล้ง: ยังไม่ติดไรนะ

ล้งเล้ง: ทำไมวะ?




ล้งเล้งเงยหน้ามองสไลด์เล็กน้อย ในขณะที่บุ๋มบีมตื่นขึ้นมานั่งกินสเต๊กไก่กับไส้กรอกเรียบร้อย ในขณะที่มูเตลูเพื่อนสีสดใสกำลังจัดคิวดูดวงของลูกค้าอยู่ พอกลับเข้ามาในไลน์ล้งเล้งก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นทะเลพิมพ์ถามอะไรไร้สาระ แทนที่จะตอบคำถามของเขาเมื่อครู่




Talay: อาทิตย์?

ล้งเล้ง: …

ล้งเล้ง: กุต้อง จันทร์ อังคาร พุธให้มึงด้วยมั้ย?

ล้งเล้ง: ไหน มันเป็นยังไง?

ล้งเล้ง: ถ้ามึงยังไม่บอกกูตอนนี้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นนะ

ล้งเล้ง: กูสาบานว่าพรุ่งนี้

ล้งเล้ง: กูต่อยมึงแน่

ล้งเล้ง: ไอ้ส้นตีน เสียเวลากูชะมัด

Talay: ใจเย็น

Talay: หัวร้อนอะไรนักหนาวะลูกหมา

ล้งเล้ง: เออ ก็จริงว่ะ

ล้งเล้ง: แต่มึงกวนตีนกูอ่ะ

Talay: หัวร้อนไปก่อนนะ

Talay: กูเรียนแป๊บ




ล้งเล้งทิ้งแชทเอาไว้แบบนั้นพร้อมทั้งลุกขึ้นยืนเมื่ออาจารย์บอกให้ออกจากห้องได้ เจ๋งเป้งตื่นขึ้นมาโดยอัตโนมัติเมื่อคลาสจบลง พวกเขาเดินไปโรงอาหารในขณะที่พูดคุยกันไปด้วย ส่วนใจของล้งเล้งลอยไปที่ที่ไม่คิดว่าตัวเองจะมีวันนี้




ใจลอยไปที่ทะเล




หลังจากแชทของล้งเล้งกับทะเลก็ค้างอยู่ตรงนั้น โดยที่เขาไม่ได้ไปสนใจมันอีกเพราะคาบบ่ายเรียนเยอะเกินไป จนมาถึงตอนเย็น ตอนที่ล้งเล้งกำลังจะเดินกลับไปหอเพื่อเอาหนังสือที่เรียนวันนี้ไปเก็บ แล้วเอาคอมพิวเตอร์ไปนั่งทำที่หอสมุด




Rrrr




“ฮัลโหลครับ”




ล้งเล้งรับสายทันทีโดยไม่ได้มองว่าใครเป็นคนโทรมา ในใจคิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนในกลุ่มสักคนโทรมาหาเพื่อเอาข้อมูลเพิ่ม หรือมาตามเขาไปกินข้าวเย็นด้วยกัน




“ลูกหมา”




ไม่ใช่สักกลุ่มที่ล้งเล้งคิด พอเหลือบมองหน้าจอเขาก็เห็นว่าเป็นเบอร์แปลก ไม่ต้องรู้ว่าคนที่โทรมาเป็นใคร




“ว่าไงทะเล”




ล้งเล้งตอบรับพร้อมกับใส่หูฟังเพื่อทำอย่างอื่นไปด้วย หากพูดด้วยความสัตย์จริง ล้งเล้งไม่แน่ใจว่าทะเลเอาเบอร์เขามาจากไหน แต่มันคงไม่ยากเท่าไหร่นักยิ่งถ้ามันพูดออกจากปากเองด้วยว่าชอบเขา การหาเบอร์คนที่ชอบไม่ได้ยากขนาดนั้น … ละมั้ง




“กูจะชวนมึงไปเที่ยว”

“เที่ยว?”




นักศึกษาถามกลับ ล้งเล้งลืมไปชั่ววินาทีว่าเมื่อกี้ตัวเองกำลังจะทำอะไร สมองจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทะเลกำลังจะพูดต่อ




“ใช่เที่ยว”

“เพื่อ?”

“ไม่มีอะไร กูแค่อยากไปเที่ยวกับมึง”




คำตอบตรงๆ ของอีกฝ่ายทำให้ล้งเล้งนิ่งไปอีกครั้ง ถ้าเป็นพากษ์บอลตอนนี้ทะเลนำเขาไปแล้วสวยๆ 1-0




“ลูกหมา ทำไมเงียบไปเลย?”




เสียงของอีกฝ่ายปลุกล้งเล้งออกมาจากเสียงพากษ์บอลเย้วๆ ในหัวของตัวเอง เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากของตัวเองเล็กน้อย ชั่งใจว่าควรจะตอบอะไรออกไปทั้งที่ใจตัวเองตอบตกลงไปมากกว่าครึ่งแล้ว




“มีใครไปบ้าง?”

“ตอนนี้มีกู มีโซดาเพื่อนกู มีมูแล้วก็เพื่อนมึงทั้งกลุ่ม แล้วก็มีมึง”




เดี๋ยว? กูไปตกลงกับมึงตอนไหน?




“ไปวันศุกร์นี้ตอนเย็น กลับวันอาทิตย์ตอนเย็น กูวางแผนเรียบร้อยแล้ว จองรถแล้ว เหลือแค่มึงไปกับกูเนี่ยแหละ”

“แล้วมึงพึ่งมาถามเนี่ยนะ?”




ล้งเล้งได้ยินเสียงตัวเองถามออกไป ในขณะที่กำลังโบกมือให้เพื่อนที่รออยู่ที่หอสมุด อาจจะเป็นเรื่องโชคดีที่หอสมุดที่มหาลัยเขาสามารถส่งเสียงดังได้ในชั้นล่าง เลยไม่ต้องวางโทรศัพท์ตอนที่เดินเข้าไป




“ก็ถ้ามึงไม่ตกลง พวกกูก็เที่ยวกันโดยไม่มีมึง แค่นั้นแหละ”

“ไอเหี้ย นี่มึงจีบกูอยู่จริงป้ะเนี่ย?”

“จริงดิ” ทะเลพูดด้วยเสียงยานคางเหมือนเดิม “ถึงได้รู้ว่ามึงจะตกลงไงลูกหมา”

“...”

“ตกลงนะ ไปเที่ยวกับกูนะ”




ในช่วงเวลาเสี้ยววินาทีที่ล้งเล้งกำลังจะเดินไปหาเพื่อนนั่นเอง เขาก็ตอบอีกคนกลับไปในสิ่งที่ใจตัวเองคิดมาตั้งแต่ครั้งแรกที่รับโทรศัพท์




“เออ ไปก็ไป”


 


------- Wednesday In Class -------






ด้วยการตอบตกลงของล้งเล้งในวันนั้น ตอนนี้เขาเลยมานั่งจุ้มปุ๊กอยู่บนรถตู้ร่วมกับเพื่อนทั้งของตัวเองแล้วก็ของทะเลอีกรวมกันเกือบสิบชีวิต ซึ่งทะเลจัดการเหมารถมารับพวกเขาที่มหาลัยเลยทีเดียว เมื่อเปิดประตูรถตู้เข้าไปแล้ว ล้งเล้งเจอว่าโซดานั่งอยู่เบาะหน้าสุดเรียบร้อย ส่วนทะเลนั่งอยู่แถวที่สอง




ตอนแรกเจ๋งเป้งจะมานั่งข้างล้งเล้ง แต่ถูกโซดาดึงไปนั่งข้างหน้าด้วยกัน บุ๋มบีมนั่งคู่กันอยู่ที่แถวหน้า กระเป๋าทุกใบวางอยู่แถวหลังสุด มูเตลูจองแถวสามคนเดียวเพราะว่าจะนอน เลยเหลือที่ว่างข้างทะเลเท่านั้นที่ล้งเล้งต้องไปนั่ง




อันที่จริง มันไม่ได้เหนือบากกว่าแรงอะไรขนาดนั้น


มันแค่รู้สึก… แปลกๆ นิดหน่อย แค่นิดเดียวเท่านั้นแหละ!




“ลูกหมา มึงพอแล้ว”




ทะเลพูดพร้อมหยิบสมุดที่อีกฝ่ายถือติดมือขึ้นมาออกแล้วมาเก็บไว้เอง นิสิตหนุ่มหน้าตึง อันที่จริงเขาคิดว่าการนั่งข้างล้งเล้งจะมีอะไรมากกว่าการที่อีกคนนั่งอ่านหนังสือหรือเปล่า




“กูมีควิซวันจันทร์”

“กูก็มี”

“เรื่องของมึงสิ กูจะอ่าน”

“พอแล้ว ลูกหมา”




ทะเลเอามือของตัวเองมาแปะไว้บนหัวของอีกคน ที่ถึงแม้แต่ตอนนั่งอยู่ข้างกันทะเลก็ยังสูงกว่าล้งเล้งอยู่ดี ซึ่งสำหรับล้งเล้งมันน่าหงุดหงิด!




“อะไรเนี่ย!”

“อยู่กับกู วุ่นวายกับกูสิ”

“วุ่นวายอะไรของมึง?”

“อยู่กับกูก็คุยกับกู”




พวกเขาเดินทางมาได้ครึ่งทาง ทุกคนหลับกันหมด ในขณะที่ล้งเล้งกับทะเลนั่งมองหน้ากันอยู่แบบนั้น ในรถที่เปิดเพลงเบาๆ คลอไปด้วยในขณะที่ขับไปด้วย




“ให้คุยอะไร?”

“มาทำความรู้จักกันมั้ย?”




ล้งเล้งกำลังจะมองหน้าอีกฝ่ายเพื่อหาสัญญาณที่ทะเลจะบอกว่า ‘ล้อเล่น’ แต่มันไม่มีเลยสักนิด ใบหน้าหล่อของอีกคนยังคงความจริงจังเหมือนอย่างเคย ซึ่งตัวล้งเล้งเองก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาในตอนนี้




ความกล้าหาญสมัยไล่ต่อยคนมันหายไปไหนหมด!




“กูรู้จักมึงอยู่แล้วนะทะเล”

“มึงรู้จักกู แค่มุมที่มึงอยากรู้จัก”




ทะเลพูดสบายๆ พร้อมกับเสยผมยาวๆ ของมันไปด้วย ทั้งที่ล้งเล้งเคยคิดว่าคนที่ผมยาวแล้วดูดีคือผู้หญิงหน้าตาสวยๆ แต่ไอ้เหี้ยทะเลมันก็ดูดีทั้งที่ผมระต้นคอได้ยังไงตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจ 




“แล้วเราต้องรู้จักกันยังไงอีก?”

“มาแชร์เพลงกัน”




ในขณะที่ล้งเล้งยังไม่ทันจะตอบอะไร อีกฝ่ายก็เอาหูฟังข้างหนึ่งของตัวเองมายัดใส่หูเขา แอร์พ็อตของทะเลนั้นมีเสียงเพลงดังออกมา




‘I don't care, go on and tear me apart

I don't care if you do ooh ooh 'Cause in a sky’




“ชอบ Cold play เหรอ?”




ล้งเล้งถามเมื่อเพลงของอีกฝ่ายเป็นศิลปินวงที่เขาฟังอยู่บ่อยๆ ทะเลพยักหน้าด้วยใบหน้านิ่งๆ ของมัน




“มึงชอบมั้ย?”

“ก็โอเค กูฟังหมด”




'cause in a sky full of stars

I think I saw you’




นักศึกษาหนุ่มรู้สึกเหมือนมีคนมองหน้าเลยเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์มือถือที่เจ้าตัวกำลังเพ่งมองเมื่อครู่ ไม่ผิดไปจากที่คิดมากนัก ทะเลตอนนี้มองหน้าเขาอยู่ ซึ่งหากเป็นเมื่อตอนมัธยมเขาคงจะหาเรื่องอีกฝ่ายไปแล้ว




แต่ตอนนี้… มันกลับเขินแปลกๆ




“มึงชอบเพลงนี้มั้ย?”

“ก็ดี บอกแล้วกูฟังหมด”




'Cause you're a sky,

 you're a sky full of stars’




“กูชอบมากเลย”

“มันก็เพราะดี เพลง Cold Play เพราะอยู่แล้ว”

“ใช่ เพราะ”

“อืม”




พวกเขานั่งเงียบ ปล่อยให้เสียงดนตรีโอบล้อมในขณะที่รถก็เคลื่อนตัวต่อไป ในขณะที่ทุกคนนั่งหลับ พวกที่นั่งหน้าดูทาง ล้งเล้งกับทะเลยังคงนั่งมองหน้ากัน




แล้วมันก็ทำให้ล้งเล้งรู้สึกประหลาดมากจริงๆ

 

“ตอนฟังเพลงนี้น่ะ” ทะเลยังคงพูดต่อ โดยที่ไม่ละสายตาออกจากใบหน้าของเพื่อนสมัยเด็กเลยแม้แต่น้อย “กูคิดถึงแต่หน้ามึง”




‘Such a heavenly view You're such a heavenly view’




นี่มัน…. อันตรายมากแล้วจริงๆ



------- TBC -------







อันตรายแล้วเนอะ อันตรายแล้วล่ะ 555555555555555555555


ปล. มาอัพวันนี้เพราะวันนี้ (11 สิงหาคม) วันเกิดเรา แค่อยากอัพนิยายในวันเกิดตัวเองเก็บไว้เฉยๆ ค่ะ 555555 

หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 13 -- พี่ไม่ได้คบกันอยู่เหรอ? (11/08/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 11-08-2019 00:56:03
แหม่เขินก็บอกล้งเล้งงง
ปล.สุขสันต์วันเกิดค่า
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 13 -- พี่ไม่ได้คบกันอยู่เหรอ? (11/08/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 11-08-2019 05:57:22
Happy birthday
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 13 -- พี่ไม่ได้คบกันอยู่เหรอ? (11/08/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 11-08-2019 11:54:35
แทนกายถามแทงใจล้งเล้งมาก
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 13 -- พี่ไม่ได้คบกันอยู่เหรอ? (11/08/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 11-08-2019 21:08:28
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 13 -- พี่ไม่ได้คบกันอยู่เหรอ? (11/08/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Jiraapp ที่ 25-08-2019 02:18:19
ฟังเพลงด้วยกันแล้วมองหน้ากันไปด้วยเขินมากแม่
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 13 -- พี่ไม่ได้คบกันอยู่เหรอ? (11/08/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 26-08-2019 00:00:51
เขิน,,,
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 13 -- พี่ไม่ได้คบกันอยู่เหรอ? (11/08/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 26-08-2019 01:33:39
 :man1:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 13 -- พี่ไม่ได้คบกันอยู่เหรอ? (11/08/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: babybaphomet ที่ 04-09-2019 20:24:11
14th Wednesday

#รักไม่คาดคิดในวันพุธ





พัทยาที่มาแบบไม่ได้ตั้งตัวมันก็ไม่แย่เท่าไหร่นัก




เหรอวะ?




“ไอ้เหี้ยนี่ชุดมาทะเลของมึงเหรอ?”




ล้งเล้งถามคนร่วมห้องเมื่อตัวเองมาถึงที่พัทยา พวกเขาเช่าบ้านอยู่ด้วยกันแบ่งเป็นสามห้องนอน สองห้องน้ำ แล้วก็มีห้องครัวตรงกลาง ซึ่งบ้านของพวกเขาราคาไม่แพงมาก หรือแพงล้งเล้งเองก็ไม่รู้ พวกเขาจ่ายเงินกันคนละไม่กี่พันเป็นกองกลาง ซึ่งคนดูแลคือโซดาเพื่อนทะเล




ห้องของพวกเขาแบ่งง่ายๆ โซดากับเจ๋งเป้งนอนด้วยกัน บีมบุ๋มมูนอนด้วยกัน แล้วก็ห้องสุดท้ายคือห้องของทะเลกับล้งเล้ง ตอนแรกล้งเล้งก็จะนอนกับเจ๋งเป้งนั่นแหละ แต่ตอนมาถึงทะเลดันเอากระเป๋าของเขากับตัวเองจองที่เรียบร้อย ซึ่งเจ๋งเป้งเลยต้องไปนอนกับโซดาอย่างเสียไม่ได้




“ทำไมวะลูกหมา?”

“เสื้อแขนสั้นกับกางเกงสามส่วน กูถามจริง?”

“ทำไมวะ?”

“แล้วมึงจะลงทะเลยังไงเนี่ย?”




ทะเลมองล้งเล้งที่ทำหน้าไม่เข้าใจ แล้วยักไหล่ไม่ใส่ใจ ก่อนที่จะจัดเสื้อใส่ตู้ต่อ เขาไม่ได้ตั้งใจจะลงน้ำตั้งแต่แรกอยู่แล้ว




“แล้วทำไมของมึงมีแค่นั้น?”




เป็นนักศึกษาที่งงบ้าง เอ้า แล้วมาทะเลทำไมต้องเอาเสื้อผ้ามาเยอะ ล้งเล้งหอบแค่ของจำเป็นซึ่งก็มีแค่พวกอุปกรณ์อาบน้ำส่วนตัว แล้วก็กางเกงสองตัว ตังนึงเอาไว้ลงทะเล อีกตัวเอาไว้ใส่นอน แล้วก็เสื้อสามตัว เผื่อนอนกับลงทะเล ชุดใส่ไปใส่กลับชุดเดิม




“ก็ไม่เห็นจะต้องมีอะไรเยอะ”

“โอเค”




พวกเขาอยู่ในความเงียบกันสักพัก ก่อนที่ทะเลจะพูดทำลายความเงียบออกมา




“มึงไม่กลัวใช่มั้ย?”

“กลัวไรวะ?”




ล้งเล้งถามกลับอย่างไม่เข้าใจ ใบหน้าน่ารักขมวดคิ้วลงงคล้ายกับกำลังงงการบ้านของอาจารย์




“ก็กูชอบมึง มึงไม่กลัวว่ากูจะทำอะไรมึงใช่มั้ย?”




เออว่ะ




แฟล็ชแบ็กตอนที่ทะเลบอกชอบอยากเป็นแฟนกลับมากระแทกหน้าล้งเล้งอีกครั้ง ชายหนุ่มนิ่ง ก่อนที่จะรวนแบบทำอะไรไม่ถูก มือไม้เกะกะไม่รู้จะวางตรงไหน ในหัวมีแต่คำว่า ‘เหี้ยแม่งๆๆๆ ลืมๆๆ ฉิบหายๆๆๆ’ วนอยู่แบบนี้ ท่าทางของเขาคงดูตลกมากเพราะทะเลหลุดหัวเราะออกมา




“ใจเย็น ลูกหมา กูแค่แกล้งเล่น”

“ก็มึงอ่ะ… มึง...”

“ใจเย็นๆ”




ทะเลพูดเบาๆ พร้อมกับเดินเข้ามาใกล้แล้วเอามือลูบหัว หากเป็นปกติล้งเล้งอาจจะปัดมือทะเลออกจากหัวแล้วด่าสักที แต่ครั้งนี้เขากลับรู้สึกว่าตัวเองไม่อยากทำแบบนั้น




อันตราย


นี่มันอันตรายเกินไป!




“ก็มึงอ่ะ!”

“รอบนี้กูผิด กูรู้” ทะเลพูดยิ้มๆ ทั้งที่ยังไม่เอามือออกจากหัวของอีกคน

“...”

“แต่ไม่ต้องห่วงนะกูไม่ทำอะไรมึงหรอก”

“...”

“แค่ตอนนี้นะ”


ไอ้เหี้ย! นี่กูไว้ใจมึงได้ใช่มั้ยเนี่ย!!!






------- Wednesday In Class ------- 







มาพัทยา คนปกติเขาจะทำอะไรกัน?




คนอื่นอาจจะไปกินเหล้า ฟังเพลง เดินถนนคนเดิน แล้วก็กลับไปนั่งเล่นริมหาด ปาร์ตี้ชิวๆ ก่อนที่จะนอนตายอยู่กลางหาดให้เพื่อนหามศพกลับที่พัก




แต่พวกเขาไม่ทำแบบนั้น




“วันนี้พวกเราควรจะพายเรือ”




มูพูดตอนที่พวกเขานั่งกินข้าวตอนเช้า ซึ่งคนที่ตื่นเช้าสุดก็คือมู ทำเข้าเช้าก็คือมู (มันบอกพวกเขาทุกคนว่าตัวเองมีดวงที่จะต้องเปิดร้านอาหารในอนาคต เลยเรียนรู้การทำกับข้าวตั้งแต่เด็ก) แน่นอนว่าพอมันพูดจบ ทุกคนที่กำลังกินไส้กรอกกับไข่ดาวเงยหน้าขึ้นมา




“พายเรือ?” บุ๋มบีมถามพร้อมกัน? 

“เออ พายเรือ” มูเตลูยืนยัน

“อะไรของมึง วันนี้จะไปขี่รถเล่นที่เกาะล้านไง แล้วตอนเย็นนั่งเรือกลับมาที่นี่งี้ไม่ใช่หรือไง ที่คุยกันไว้เมื่อวาน”




 ล้งเล้งพูดต่อ ซึ่งตอนนี้ทั้งโต๊ะก็กำลังงงเหมือนกับคนตัวเล็ก แต่มูเตลูไม่สนใจ เจ้าตัวยังคงพูดต่อ




“กูพูดจริง เชื่อกู วันนี้พวกเราควรพายเรือ”

“อิหยังวะ”

“เชื่อกู” มูเตลูยืนยันหนักแน่น “ถ้าพวกเราพายเรือวันนี้ มันจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น”




.

.

.



เพราะคำพูดนั้นของมัน พวกเขาทั้งหมดเลยต้องมาลอยคออยู่กลางทะเลตอนนี้


เรื่องดีๆ เหี้ยอะไรของมึงเนี่ย!!!




“เหนื่อย!”




ล้งเล้งพูดออกมา ตอนนี้เขาอยู่บนเรือคายัคที่ลอยเท้งเต้งอยู่กลางทะเล ก่อนหน้านี้ที่มูบอกว่า ‘วันนี้พวกเราควรพายเรือ’ พวกที่เหลือก็ดันบ้าจี้มาพายเรือจริงๆ โดยแบ่งเป็นบุ๋มบีมเรือลำที่หนึ่ง เจ๋งเป้ง โซดา และมูไปเรือลำที่สอง ล้งเล้งกับทะเลมาเรือลำที่สาม




ซึ่งอีกสองลำมันพายกลับฝั่งไปหมดแล้ว เหลือเรือของเขากับไอ้ทะเลนี่แหละที่ยังคงเท้งเต้งอยู่กลางทะเลเกาะล้านเนี่ย




“ลูกหมา ใจเย็น”




ทะเลพูดพร้อมหัวเราะเมื่อลูกหมาของเขาที่ตอนแรกเม้งอยู่คนเดียวที่ต้องมาพายเรือทั้งที่ขี้เกียจ แต่พอไ้จับไม้พายเท่านั้นแหละ พายเอาพายเอาแบบสนุกสนาน จนพวกเขามาลอยกันอยู่ไกลฝั่งมากๆ แล้วเพิ่งจะรู้สึกหมดแรงแล้วก็บ่นออกมาตามสไตล์ของเจ้าตัว




“มึงไม่เหนื่อยเหรอ? กูโคตรเมื่อยแขน กล้ามแน่นกว่านักมวยแล้วมั้งตอนนี้อ่ะ”




ล้งเล้งบ่นพร้อมกับเหวี่ยงแขนคล้ายกับเมื่อยมากไปด้วย ซึ่งนั่นทำให้ทะเลอดขำออกมาไม่ได้ ตอนแรกเขาก็รู้แล้วนะว่าล้งเล้งเหมือนลูกหมาน่ารักๆ ที่กัดเจ็บ แต่เมื่อมารู้จักจริงๆ แล้ว ทะเลก็ค้นพบว่า




มันก็เป็นลูกหมาที่กัดเจ็บนั่นแหละ




“ก็เหนื่อย” ทะเลตอบออกไป เขานั่งอยู่ด้านหลังแล้วให้ล้งเล้งนั่งหน้า มันก็ตลกดีที่ได้เห็นลูกหมาหัวเสียแบบนี้ ”แต่ไม่ได้เหนื่อยอะไรขนาดนั้น”

“มึงแอบอู้ป่าว แล้วปล่อยให้กูพายคนเดียวงี้อ่ะ”

“บ้าหรือไง เมาทะเลเหรอ?”

“ก็กูมองไม่เห็น จะไปรู้ได้ไง” 




ล้งเล้งยังคงบ่นงุ้งงิ้งอยู่กับตัวเอง นักศึกษาหนุ่มยังไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองจะต้องมาติดอยู่กลางทะเลแบบนี้ ตอนแรกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกาะล้านมีเรือให้เช่าพาย แต่พอถามไปถามมาจากชาวบ้านแถวนั้นก็เจอจริงๆ ได้พายจริงๆ แล้วก็มาติดอยู่กลางทะเลแบบนี้จริงๆ ด้วย




“กูไม่กินแรงมึงหรอกน่าลูกหมา เชื่อใจกุได้ กูเคยแกล้งมึงเหรอ?”

“เคย”

“เออ ก็เคย”




ทะเลยักไหล่ด้วยท่าทางกวนประสาทซึ่งล้งเล้งสาบานว่าถ้าได้ขึ้นไปบนฝั่งเขาจะไม่ให้มันกินถั่วแระเลยคอยดูู




ไม่รู้ว่าทะเลเป็นบ้าอะไรทำไมถึงได้ชอบกินถั่วแระขนาดนี้ ตอนที่นั่งรถมาก็กิน ตอนมาถึงที่พักก็กิน ขนาดเมื่อกี้ก่อนลงทะเลกันมันก็ยังต้องกินถั่วแระ อร่อยยังไงล้งเล้งก็ยังไม่เข้าใจ




อันที่จริง เขามีอะไรในตัวทะเลหลายอย่างที่ไม่เข้าใจ




“มึง”

“ว่า?”

“ที่มึงเล่นกันตอนนั่งรถมาอ่ะ ที่บอกมาทำความรู้จักกันหน่อย เรามาลองเล่นตอบคำถามกันมั้ย?”




ล้งเล้งหันหลังไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างหลัง ทะเลมีรอยยิ้มบางๆ คล้ายกับว่าตัวเองกำลังเอ็นดูคนตรงหน้ามากๆ ประดับอยู่ ซึ่งรอยยิ้มแบบนั้นของทะเลไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็น




มันมีมาตลอด เพียงแต่ล้งเล้งไม่เคยสนใจ




“กู…” ล้งเล้งกัดริมฝีปาก “กูเองก็อยากรู้จักมึงเหมือนกัน”

“ได้สิลูกหมา ได้เสมออยู่แล้ว"




ทั้งที่ยังนั่งอยู่กลางทะเล ล้งเล้งไม่สนใจว่าเพื่อนที่เหลือจะไปไหนกัน แต่ว่าตอนนี้เขายังอยากคุยกับทะเลแบบนี้ก่อน



“มึง… ชอบอะไร?”

“ชอบมึง”




ไม่ใช่แบบนี้สิเว้ย!




ล้งเล้งอ้าปากพะงาบๆ ไม่รู้ว่าเพราะอยู่กลางทะเลที่แดดร้อนเปรี้ยงหรือเปล่าเขาถึงได้รู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนฉ่าขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ซึ่งมันคงดูตลกหรืออะไรบางอย่าง ทะเลถึงได้หัวเราะเหมือนกับว่าเอ็นดูนักหนา




“มึงต้องถามเฉพาะดิว่าชอบอะไร เพลง หนัง หรือว่าคน”

“ที่ไม่ใช่คนน่ะ! มึงชอบอะไร?”

“ถ้าเพลงกูชอบ Coldplay” ทะเลพูดด้วยเสียงยานคางเหมือนเดิม “หนังก็ชอบดูแอคชั่นทั่วไป”

“เออ อันนี้เหมือนกัน กูก็ชอบหนังแอคชั่น เพลงฟังอะไรก็ได้”




บทสนทนาของพวกเขาเริ่มเป็นกันเองมากขึ้น มันให้บรรยากาศคล้ายกับตอนที่ล้งเล้งเริ่มรู้สึกว่าทะเลเองก็คุยได้เหมือนกัน พวกเขาชอบอะไรคล้ายกันมากกว่าที่คิด ยิ่งพอคุยไปเรื่อยๆ แล้ว ล้งเล้งเองก็เพิ่งรู้ว่าทะเลเรียนรัฐศาสตร์




“ทำไมอ่ะ?”




ล้งเล้งถามเมื่อทะเลบอกว่าตัวเองเรียนคณะอะไร จะว่าก็ว่าเถอะ แต่เขาไม่เคยรู้เลยว่าเพื่อนคนนี้เรียนคณะอะไร ไม่เคยสนใจ แอบรู้สึกผิดนิดหน่อย เมื่อมาเทียบกันแล้ว ล้งเล้งคิดว่าทะเลรู้จักตัวเองดีเกือบทุกอย่าง




“ความจริงกูชอบอ่านนั่นอ่านนี่ตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว พอมาเรียนมันก็เปิดมุมมองได้เยอะขึ้นเยอะ สนุกดี”




นักศึกษาหนุ่มพยักหน้ารับ พวกเขาคุยกันอีกหลายเรื่อง จนเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วล้งเล้งก็ไม่รู้ โทรศัพท์มือถือเขาแบตหมดไปตั้งนานแล้ว ส่วนของทะเลเจ้าตัวไม่ได้เอาออกมาตั้งแต่ที่ห้องแล้ว เพราะว่าเปิดให้มันเล่นเกมเอาไว้ แล้วเจ้าตัวก็มาทำตัวติดกับเขาแทน




นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พูดคุยกันเยอะมากขนาดนี้




“ทำไมมึงถึงซิ่ววะ?”




ล้งเล้งหันกลับมามองคนที่ถาม ทั้งที่ในมือยังมีพายอยู่ ตัวเขาก็เทอะทะเพราะเสื้อชูชีพ แต่ก็ยังอยากหันกลับไปมองหน้าอีกคนอยู่ดี




ทะเลในตอนนี้หน้าชื้นไปด้วยเหงื่อแต่ยังคงดูดี ผมที่ยาวระต้นคอของอีกคนถูกรวบไว้หลวมๆ ตรงท้ายทอย ยิ่งสายตาที่มองมาเหมือนกับว่าอยากจะเข้าใจเขามากๆ นั้นทำให้ล้งเล้งอดรู้สึกแปลกไม่ได้




“กูเรียนไม่ไหว กูรู้สึกว่ามันไม่ใช่”

“...”



“กูเคยคิดว่าตัวเองจะทำได้ทุกอย่างถ้าพยายามมากพอ แต่ตอนที่เข้าไปเรียนแล้วมันมึนไปหมด แค่อาทิตย์แรกกูก็รู้ตัวแล้วว่าตัวเองไม่น่ารอด นึกภาพตัวเองจบด้วยคณะนั้นไม่ออก ก็เลยไปลาออกแม่งเลย”



“ใจเด็ดจัง”

“กูคิดมากนะตอนแรกอ่ะ” ล้งเล้งพูดต่อ “ แต่พอคุยกับที่บ้านเยอะๆ ลองมาดูอีกทีว่าตัวเองจบไปแล้วอยากทำอะไร ไม่ใช่เด็กมอหกที่มีเป้าหมายว่าจะเข้ามหาลัยให้ได้อย่างเดียว กูอยากเป็นครู แล้วกูคิดว่าตัวเองไปสอนใครไม่ได้ถ้ากูยังเรียนไม่รอด ไม่ชอบสิ่งที่ตัวเองเรียน”




ทะเลนิ่งไปเล็กน้อย เพราะความกว้างของเรือคายัคที่มันมากเกินทำให้เขาไม่สามารถเอื้อมมือไปลูบหัวอีกฝ่ายอย่างที่อยากทำได้




“มึงเก่งแล้ว”

“ประชดกูป่าววะเนี่ย?”

“ไม่ดิ” ทะเลพูดนิ่งๆ ด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เห็นกูเป็นแบบนี้แต่กูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่กูเลือกนี่กูชอบจริงๆ หรือเปล่า คือกูชอบนะ มันสนุกแล้วกูก็ทำมันได้ แต่กูไม่รู้ว่าจบไปแล้วอยากทำอะไร หรือมีความฝันว่าตัวเองจะเป็นอะไรที่ชัดเจนแบบที่มึงเป็น”

“...”

“มึงเป็นคนเก่งมากนะสำหรับกูอ่ะ”




ในเวลาบ่ายกลางทะเลที่เหมือนกับจะไม่มีอะไรน่าสนใจ ตอนนั้นเองที่ล้งเล้งรู้สึกว่าตัวเองควรจะพูดสิ่งที่คิดจริงๆ เสียที




“มึงก็เก่ง”

“กูรู้”

“ไอ้เหี้ยนี่!” ละเล้งฟึดฟัดนิดหน่อย เมื่อทะเลกวนตีนด้วยเสียงยานคางนิ่งๆ ของมัน “กูหมายถึง กูคิดว่าตั้งแต่ประถมแล้วว่ามึงเก่งทุกเรื่องเลย เก่งจนกู… อิจฉา”

“...”

“แต่กูโอเคแล้วนะ เมื่อก่อนมันก็มีมั่งแหละยอมรับ คนเหี้ยไรวะอ่านนิดเดียวได้คะแนนท็อปห้อง เป็นบ้าหรือไงมึงง่ะ”

“กูก็ไม่ได้เก่งทุกเรื่องหรอกลูกหมา”

“อะไรวะ?” คนที่เมื่อกี้หันไปมองทางข้างหน้า หันกลับมา ใบหน้าน่ารักขมวดคิ้วสงสัย “มีเรื่องที่มึงไม่รู้ด้วยหรือไง?”

“เรื่องของมึงไง”

“...”




โอเค แดดมันก็ร้อนแหละ แต่หน้าก็ไม่ต้องร้อนขึ้นอีกแล้วก็ได้มั้ง




“พอเป็นเรื่องของมึงแล้ว กูไม่เคยเก่งเลยจริงๆ”




ไอ้เหี้ย! นี่มันอันตรายเกินไป!!




“กู… กู”

“เอ้า เขินเหรอลูกหมา?”

“ไม่คือกูแค่.. กูแบบ”




สมองของติวเตอร์ตัวเล็กวิ่งวุ่นวายไปหมด มีแต่คำว่า ‘ไอ้เหี้ยๆๆ ไอ้ทะเลแม่งๆๆ ฉิบหายๆๆๆ’ ตอนนี้เขามั่นใจว่าหน้าตัวเองต้องแดงเหมือนกับโดนเอาพระอาทิตย์มาจ่อแก้มแน่นอน




“มึงเขิน”

“คือกู…”

“เขิน”




เชี่ย! สู้ไม่ได้! แอคแทคมันรุนแรงเกินไป!! สู้ไม่ได้แล้ว!!!




“กูง่วง! กูนอนละ”




เมื่อรู้ตัวว่าแพ้แน่นอนในศึกการแข่งตอบคำถามทำความรู้จักกันครั้งนี้ ล้งเล้งก็ตัดสินใจทิ้งตัวหลับเลย หลับทันทีโดยไม่สนใจทะเลที่ร้อง ‘เฮ้ย! ไอ้ลูกหมา!’ ออกมา



ไม่รู้เว้ย! เวลานอนกลางวันของกูแล้ว!




“ไอ้ลูกหมาเอ๊ย”




ทั้งที่ควรจะโกรธ แต่ทะเลเพียงแค่หัวเราะออกมาเหมือนคนอารมณ์ดี ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้พวกเขาอยู่กลางทะเลแดดเปรี้ยงๆ ที่ไม่ได้มีความโรแมนติคเลยแม้แต่น้อย ทะเลอาจจะจีบไอ้ลูกหมาตรงหน้าเขามากกว่านี้ก็ได้






นอนได้นอนไปเลย ยังมีเวลาจีบอีกเยอะ




------- TBC -------








กลายเป็นนิยายรายเดือนไปแล้ววววว สังคมมมมมมม

นั่นแหละค่ะทุกคน 555555



#รักไม่คาดคิดในวันพุธ
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 14 -- มีเวลาจีบอีกเยอะ (04/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 04-09-2019 23:58:03
เริ่มทำความรุ่จักกันละ,,,
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 14 -- มีเวลาจีบอีกเยอะ (04/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 05-09-2019 03:28:31
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 14 -- มีเวลาจีบอีกเยอะ (04/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 05-09-2019 19:59:52
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 14 -- มีเวลาจีบอีกเยอะ (04/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-09-2019 11:51:01
 :z1:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 14 -- มีเวลาจีบอีกเยอะ (04/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Jiraapp ที่ 18-09-2019 05:57:05
เขินแล้วนอนแก้เขินซะงั้น 55555
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 14 -- มีเวลาจีบอีกเยอะ (04/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: babybaphomet ที่ 06-10-2019 20:56:13
15th Wednesday

#รักไม่คาดคิดในวันพุธ






พัทยานี่มันอันตรายมาก! ย้ำอีกครั้งว่าอันตรายมากๆ!!! 



ล้งเล้งรู้สึกได้ว่ารอบนี้ทะเลคือของจริง



หลังจากเหตุการณ์ที่เขาติดอยู่บนเรือกับทะเลเพราะการพายเรือมันเมื่อยแขนเกินไป พวกเขาสองคนพายเรือเล่นกันอีกไม่นานก็กลับฝั่ง ถึงแม้ว่าล้งเล้งจะอ้างว่าเหนื่อยแล้วก็เมื่อยแขน แต่สาเหตุจริงๆ คือล้งเล้งไม่อยากอยู่กับทะเลสองคนอีกแล้วในตอนนั้น เพราะมันทำให้หัวใจเขาวูบโหวงมากเกินไป



ถึงแม้จะไม่ได้เกลียดอะไรแล้ว แต่มัน… ก็แปลกๆ อยู่ดี



เมื่อพายเรือและว่ายน้ำจนหนำใจ ตกเย็นพวกเขากลับจากเกาะล้านไปที่บ้านพักที่พัทยาเหมือนเดิม ตามธรรมเนียมของการมาทะเลปกติ เด็กหนุ่มทั้งเจ็ดตั้งตี้ก๊งเหล้าอยู่กลางบ้านที่เช่าอย่างคนขี้เกียจ ทั้งที่ชายหาดก็ไม่ได้อยู่ไกลขนาดนั้น



อันที่จริงแล้ว นอกจากความขี้เกียจ อีกเหตุผลหนึ่งคือ



มูเตลู



“อย่าออกไป”



มูเตลูพูดขึ้นมาตอนที่บุ๋มกำลังจับลูกบิดประตู ทุกคนหันมามองหน้ามูที่วันนี้เต็มไปด้วยสีชมพูตั้งแต่หัวจรดเท้า อันที่จริง มูเป็นคนที่พกของมามากที่สุดในบรดาพวกเขาทุกคน เพราะเจ้าตัวต้องเอาเสื้อมาเพียงพอสีมงคลตั้งแต่วันศุกร์ จนถึงวันอาทิตย์



“ทำไมวะมึง?”

“นั่นสินั่นสิ”



บุ๋มบีมพูดในสิ่งที่ทุกคนสงสัยต่อกันเป็นลูกคู่ ซึ่งมูกัดปากเหมือนกับว่าจะพูดดีหรือไม่พูดดี สุดท้ายเจ้าตัวเพียงแค่ส่ายหัว



“เออหน่า กินเหล้าในห้องแหละ”

“...”

“เชื่อกูเถอะนะ”

“เอาจริงก็ได้นะ ไม่ได้มีอะไร เราค่อยออกไปนั่งชายหาดพรุ่งนี้ตอนสายๆ ก็ได้มั้ง”



โซดาเพื่อนของทะเลเป็นคนพูดขึ้นมา ทั้งหมดก็เออออไปด้วย อันที่จริง ตัวทุกคนเองก็ไม่ได้อะไรขนาดนั้น แค่อยากมาพักผ่อนเฉยๆ ดังนั้นจะนั่งกินเหล้าในห้องหรือริมทะเลมันก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่



“เอาเหล้าออกมาเว้ย คืนนี้ไม่เมากูไม่นอน!”



สิ้นเสียงของล้งเล้งพวกเขาก็นั่งจับกลุ่มกันที่ห้องนั่งเล่นกลางบ้าน ขนมขบเคี้ยวถูกเอาออกมาวางกองๆ ไว้ที่โต๊ะ ส่วนทุกคนที่นั่งกันอยู่ที่โซฟาตอนแรก เริ่มเลื้อยมาอยู่บนพรม



ถือว่าโชคดีที่คนเลือกบ้านนั้นเลือกแบบที่เขาปูพรมไว้ให้ ไม่งั้นมันจะต้องมีสภาพทุเรศทุรังแน่นอน



“มึงๆ เรามาต่อเพลงกันเหอะ”



เสียงของเจ๋งเป้งดังขึ้นมา ล้งเล้งเพิ่งรู้ตอนนี้แหละว่าเพื่อนตัวเองคอแข็งระดับหนึ่ง ทั้งที่ตอนนี้เหล้าครึ่งขวดอยู่ที่มันคนเดียวเนี่ย เจ๋งเป้งแม่งยังพูดชัดอยู่เลย



ในขณะที่ตัวล้งเล้งตอนนี้กอดเบียร์สี่ขวดก็เริ่มมึนๆ แล้ว



“น่าสนใจน่าสนใจ”

“ใครจะเล่นอะไรก็รีบเล่น ไอ้บุ๋มเมาแล้ว”



บีมเป็นคนพูดตอนที่บุ๋มหัวเราะเอิ้กอ้ากอยู่กับขวดเบียร์ของตัวเอง ซึ่งล้งเล้งไม่เข้าใจว่ามันจะกินเหล้าพร้อมเบียร์ทำไม มองจากดาวอังคารก็รู้อยู่แล้วว่ามันเมาเร็ว



ส่วนไอ้คนข้างตัวที่นั่งจิบแก้วเหล้าของตัวเองอย่างทะเลนี่ก็ไม่มีทีท่าแม้แต่จะมึนเลยด้วยซ้ำ



“มาๆ เริ่มที่กูครับผม” 



มูในเสื้อลายดอกสีชมพูแปร๋นพูดออกมา พร้อมกับทำหน้ายิ้มแป้นแล้นใส่คนในวง ทุกคนรอฟัมันอย่างใจจดใจจ่อ ไม่เว้นโซดาที่ตอนนี้นั่งหั่นมะนาวมาบีบใส่แก้วเหล้าของตัวเองด้วย



“อั๊งอังอั่ง โดเรม่อน ดาอิซึกิ โดราเอม่อน เอ้า จบที่ น หนูเว้ย!”

“เพลงเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย!”



ล้งเล้งโวยวายโดยที่ทั้งวงนั่งหัวเระ ในขณะที่ต้นตอของเรื่องทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้



“เอ้า ก็กูร้องแล้ว ตามึงอ่ะโซดา”

“แป๊บๆๆๆๆ ตากูเหรอ?” คนที่บีบมะนาวลงแก้วเหล้าของตัวเองลนลาน “เออๆ น หนูใช่มะ?”

“เยส”

“น้องเป็นสาวขอนแก่น ยังบ่เคยมีแฟน บ้านอยู่แดนอีสานนนนนนนนนนนนนน”



ในขณะที่โซดายกแก้วเหล้าของตัวเองขึ้นมาแล้วร้องเพลง บุ๋มบีมมูก็ทำเสียงซาวด์ประกอบ ‘เฮ้ เฮ้ เฮ้ เฮ้!!!’ พร้อมกับเจ๋งเป้งที่ตบกีตาร์เป็นทำนอง ทั้งที่ตอนแรกมันจะเอมาดีด 



“จบ น หนูอีกแล้วว่ะ”

“ไม่เป็นไรเว้ย ต่อเลยๆ เจ๋งเป้ง ตามึง!”

“น หนูใช่มะ? ได้!”



เจ๋งเป้งวางกีตาร์ กระแอมเล็กน้อย ทั้งวงตั้งใจรอฟังว่ามันจะร้องเพลงอะไรออกมา



“นี่คือสถาน… แห่งบ้านทรายทอง ที่ฉันปองมาสู่…. อะไรต่อวะ ลืม”

“ฉันยังไม่รู้เว้ยๆๆๆ” มูเตลูในเสื้อสีชมพู ช่วยเพื่อนอย่างเต็มที่!

“เอ้า แล้วใครรู้วะ?”

“ไม่ใช่เว้ย!” มูเตลูตบพื้นพรบให้ตัวเองเจ็บมือเล่น “เนื้อเพลงต่อจากนี้คือ ฉันยังไม่รู้”

“เออใช่!” เจ๋งเป้งที่ตอนนี้หน้าแดงคอแดง ร้องเพลงต่อ “...ฉันยังไม่รู้ เขาจะต้อนรับ ขับสู้เพียงไหน… จบที่ น หนู!”



ล้งเล้งขมวดคิ้ว



“เฮ้ยมึง ไหน มันจบที่ ห หีบไม่ใช่เหรอวะ?”

“มันสะกดด้วย น หนูไง”

“สะกดเหี้ยอะไร มันเป็นอักษรนำ! ไอ้เหี้ย! หลับในห้องตั้งแต่ปอหนึ่งหรือไงมึงอ่ะ!”

“มึงรู้ได้ไงวะ?”



เกิดเด๊ดแอร์ขึ้นสักพัก ก่อนที่เจ๋งเป้งจะพูดต่อ



“มันมี น หนูเป็นตัวสุดท้ายไงมึง ต่อที่ น หนูเว้ย!”

เจ๋งเป้งที่หน้าแดงคอแดงเพราะเริ่มเมาเถียง ซึ่งล้งเล้งปัดมือ เอาเลยมึง จะ ห หีบ หรือ น หนู คนต่อไปก็ไม่ใช่กูอยู่ดี



“บีมๆๆๆ ตามึงๆๆ”



โซดาพูดพร้อมกับเอามือเขี่ยๆ บีมที่ตอนนี้เกยตัวบุ๋มอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่อัศจรรย์มาก บุ๋มที่เมื่อครู่ตาจะปิดเหมือนคนเมา กลับฟื้นขึ้นมา แล้วร้องเพลงต่อได้ทันที



“น้องเปิ้ลน่ารัก!! น้องเปิ้ลน่ารัก!! น้องเปิ้ลน่ารัก!! น้อง… ครอก”



ไอสัด เมาหลับ



บุ๋มที่เมื่อกี้ลุกขึ้นมานั่งแล้วแหกปากร้องเพลง ‘น้องเปิ้ล’ แล้วเมาหลับไปทั้งที่ยังร้องไม่จบเพลงด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่จบเพลงเลย มันร้องได้จบท่อนก่อนสลบก็ถือเป็นบุญของวงเหล้านี้แล้ว



“เพื่อนมึงตลกว่ะไอ้สัดเอ้ย”



โซดาพูดพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง โดยที่มือข้างหนึ่งถือแก้วเหล้าทำหกรดตัวเอง ส่วนอีกข้างหนึ่งตบพื้นพรมไปด้วย



“น้องเปิ้ลนี่แม่งใครวะไอ้เหี้ย”

“ทุกวันนี้กูก็ยังไม่รู้เลย ฟังมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็น่าจะน่ารักนะมึง”



เจ๋งเป้งกับมูเตลูพูดกัน ตอนที่ชนแก้วกันสองคนพร้อมกับกินเหล้าในแก้วของตัวเองไปด้วย ซึ่งตอนนี้ล้งเล้งก็ไม่เข้าใจว่ามูมันจะใส่โค้กเยอะแยะอะไรขนาดนั้น



“โลกนี้ไม่มีใครน่ารักกว่าน้องเปิ้ลแล้วเว้ย!” โซดาเป็นคนพูดขึ้นมา พร้อมกับแกะเลย์กิน

“มีดิ” ทะเลพูดขึ้นมานิ่งๆ

“ใครวะ?”



บีมเป็นคนถาม ซึ่งออกจะแปลกสักหน่อย เพราะปกติแล้วบีมจะพูดต่อจากบุ๋ม จนบางครั้งแม้แต่ล้งเล้งก็คิดว่ามันสองคนเป็นพี่น้องคลานตามกันมาอย่างไรอย่างนั้น



“ก็ล้งเล้งไง ล้งเล้งน่ารักที่สุดแล้ว”



เงียบ



หลังจากที่ทะเลพูดด้วยเสียงนิ่งๆ ของตัวเองจบ ทั้งวงก็เงียบเหมือนกับเป่าสาก มูกับบีมส่งสายตาแบบ ‘มึงๆ คิดเหมือนกูมั้ยวะ?’ ‘เออๆ กูก้คิดเหมือนมึงอ่ะ’ กันไปมาอยู่สองคน โซดาอ้าปากค้างจนเผลอทำแก้วเหล้าในมือหกใส่ตัวเอง ส่วนเจ๋งเป้งทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ในใจคิดว่าเดี๋ยวสักพักล้งเล้งเพื่อนตัวเล็กของพวกเขาจะต้องโวยวายใส่ทะเลแน่ๆ เพราะว่าเจ้าตัวไม่ชอบให้แซวแบบนี้



แต่ทุกอย่างผิดคาด!



ล้งเล้งก้มหน้าลงเหมือนกับกำลังหาอะไรบางอย่างอยู่บนพื้นพรม แต่ที่แก้มทั้งสองข้างของเจ้าตัวกลับขึ้นสีระเรื่อทั้งที่เมื่อกี้ไม่เป็น



สิ่งมหัศจรรย์ของโลก!



ล้งเล้งเขิน!!!



“ทะเลแม่ง หยอกเก่งเพื่อนจัง ฮ่ะฮ่า”



เจ๋งเป้งเป็นคนแรกที่พูดทำลายความเงียบขึ้นมาเพราะรู้สึกว่าบรรยากาศมันประหลาดแบบที่เขาไม่ชอบใจนัก หวังให้ทะเลหัวเราะด้วยเสียงโมโนโทนของเจ้าตัวแล้วกลับมาเล่นต่อกันสักที แต่ทะเลกลับทำเพียงแค่ส่งสายตาสงสัยไปให้เจ๋งเป้งเท่านั้น



“หยอกอะไรวะ?”

“อ่าว ก็เมื่อกี้ไง”

“ไม่ได้หยอกนะ คิดแบบนี้จริงๆ”

“...”

“ล้งเล้งน่ารักที่สุดจริงๆ”

“...”

“ใช่มั้ย ไอ้ลูกหมา”



ล้งเล้งแทบจะมุดลงไปซุกหน้าอยู่ใต้พรมตอนที่คนข้างๆ ถามเขาเสียงนิ่งๆ แล้วหันมามองหน้าคล้ายกับว่าต้องการให้เขาพยักหน้าพร้อมยิ้มให้แล้วบอกว่า ‘ใช่ครับที่รัก’ อย่างไรอย่างนั้น



บ้าเอ้ย! บ้าแม่งทั้งหมดนั่นแหละ!!



พัทยาครั้งนี้แม่งอันตรายจริงๆ ด้วย!!!




------- Wednesday In Class -------






หลังจากที่ทะเลชมล้งเล้งออกมาโต้งๆ แบบนั้น กิจกรรมต่อเพลงก็เลยหยุดชะงักเปลี่ยนไปเป็นแข่งร้องเพลงกันใครแพ้ต้องออกไปซื้อเหล้าเพิ่ม



ซึ่งคนนั้นก็คือล้งเล้ง



“ไม่รู้มันจะกินอะไรกันมากมายนัก”



คนตัวเล็กบ่นเมื่อต้องเป็นหน่วยกล้าตายออกมาซื้อของ แถมรายการของกินที่ฝากซื้อนั้นยาวกว่ากำแพงเมืองจีน ขนาดล้งเล้งถือเงินมานับพันยังเกือบไม่พอ เหล้ายาปลาปิ้งอะไรกินกันครบหมด อันที่จริงล้งเล้งคิดว่าพวกมันใช้เขามาซื้อเซเว่นไปไว้บนห้องน่าจะเหมากว่า



“เอาหน่า ก็มีคนช่วยถือแล้วนี่ไง”



เสียงยานคางข้างตัวดังขึ้น ล้งเล้งกลอกตาอย่างเบื่อๆ



ทั้งที่เขาโดนให้ลงมาคนเดียวแท้ๆ แต่ไอ้นิสิตตัวสูงโย่งหน้านิ่งนี่ดันจะตามลงมาด้วยให้ได้เลย ล้งเล้งเลยต้องปล่อยเลยตามเลย อันที่จริงตอนแรกเหมือนเจ๋งเป้งอาสาจะมาด้วย แต่โดนโซดากับบีมล็อกคอให้นั่งเล่นไพ่ด้วยกันก่อน คนที่ได้ลงมาก็เลยเป็นทะเลอย่างที่เห็น



“มันก็ดี แต่…”

“ขอโทษนะคะ”



 ในขณะที่พวกเขากำลังเดินเลียบหาดกลับที่พักอยู่นั่นเอง มีผู้หญิงคนหนึ่งเรียกเด็กหนุ่มทั้งสองจากด้านหลัง ซึ่งเมื่อหันไปมีเด็กผู้หญิงยืนกันอยู่เป็นกลุ่ม แต่มีคนหนึ่งวิ่งเหยาะๆ มาหา



“ขอเบอร์หน่อยได้มั้ยคะ?”



มาขอเบอร์ไอ้ทะเล!



“ได้มั้ยคะ?”

“ขอคนนี้เลยครับ”



ล้งเล้งสะดุ้งเมื่อคนที่ถูกขอเบอร์ชี้มือมาทางตัวเอง ผู้หญิงทั้งกลุ่มมองมาทางเขา โดยเฉพาะคนที่ยืนโทรศัพท์มาที่หน้าไอ้ทะเลเมื่อครู่ เธอชะงักนิดหน่อย ก่อนที่จะเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นล้งเล้งแทน



“ขอเบอร์เพื่อนเธอหน่อยนะ”

“เอ่อ…”



เอาไงดีวะ



เมื่อล้งเล้งมองหน้าทะเล อีกฝ่ายทำเพียงแค่เลิกคิ้วเฉยๆ เหมือนรอว่าเขาจะทำยังไง



เออ ให้ก็ให้!



ล้งเล้งรับโทรศัพท์จากมือหญิงสาวมาก่อนที่จะกดไล่ในโทรศัพท์ตัวเองแป๊บนึง ก่อนจะพิมพ์ยุกยิกพักหนึ่งแล้วส่งให้ ซึ่งหญิงสาวขอบคุณเขาหลายครั้งก่อนจะกลับไปรวมกลุ่มกับเพื่อนตัวเองแล้วส่งเสียงกรี๊ดออกมาเบาๆ เมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการ ล้งเล้งสาบานว่าได้ยินเสียงชมทะเลหล่อมากแล้วก็เสียงแซวจากกลุ่มหญิงสาวด้วย



พวกเขาเดินต่อกันด้วยความเงียบ ในขณะที่ล้งเล้งกำลังก่นด่าเพื่อนตัวเองในใจที่มันฝากซื้อของเยอะแยะ ทะเลที่เหมือนกับอยู่ในภวังค์ของตัวเองก็พูดออกมา



“มึงให้ไปทำไมอ่ะ?”



ถ้าล้งเล้งได้ยินไม่ผิด เหมือนเสียงนั้นเจือความน้อยใจอยู่ด้วย



“เอ้า! ก็มึงบอกว่าให้เขามาถามกู กูก็ให้ไปดิ”

“ไม่ดิ มึงต้องไม่ให้ดิ”

“ทำไมอ่ะ?”

“ก็กูจีบมึงอยู่ไง มึงจะให้เบอร์กูกับคนอื่นแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย”



ทั้งที่เป็นคำพูดธรรมดากับน้ำเสียงเรียบนิ่งยานคางของทะเลตามปกติ แต่ไม่รู้ทำไม ล้งเล้งถึงได้รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมา



“โอ้ย นึกว่าอะไร” ล้งเล้งพูดพร้อมกับพยายามกลั้นหัวเราะ “กูไม่ได้ให้เบอร์มึงสักหน่อย”

“มึงให้เบอร์ตัวเองไปเหรอ? ไม่ได้นะเว้ย! ทำไมชอบแจกเบอร์นักวะ”



รอบนี้ทะเลเหมือนเม้งแตกของจริง แต่ล้งเล้งกลับหัวเราะร่วนเหมือนคนที่เพื่อนเล่นมุกแป้กแล้วดันขำจริง



“กูไม่ได้ให้เบอร์ตัวเอง ไอ้บ้า กูให้เบอร์มูไป”

“...”

“เบอร์มันขึ้นมาคนแรกอ่ะ กูเลยเลือกๆ สุ่มๆ ไปให้เขา”



ทั้งที่เจ้าตัวรู้ว่าไม่ควรจะขำแต่ตอนนี้มันหยุดไม่ได้แล้วจริงๆ ล้งเล้งหัวเราะออกมาเสียงดังเมื่อทะเลที่ชอบทำหน้านิ่งๆ กวนประสาทตลอดมา เปลี่ยนสีหน้าเป็นโมโห และเปลี่ยนเป็นสีหน้าเด๋อด๋าในเวลาไม่กี่วินาที



ซึ่งมันคือเรื่องจริง เมื่อกี้ตอนที่โดนยื่นโทรศัพท์มาให้ ล้งเล้งคิดอะไรไม่ออกเลยเอาเบอร์แรกที่โทรเข้ามาล่าสุดให้เธอไป ซึ่งเบอร์นั้นคือเบอร์มูเตลูเพื่อนสนิท เพราะว่าเจ้าตัวโทรมาสั่งขนมเพิ่มตอนที่เขาเดินออกมาจากที่พักไม่นาน แถมยังย้ำนักย้ำหนาไม่ให้ลงน้ำทะเล ไม่รู้มันเป็นบ้าอะไร ใครมันจะนึกคึกลงทะเลตอนนี้กัน



“ไอ้ลูกหมา มึงนี่มัน”



ทะเลพูดเหมือนมันเขี้ยวเขามาก ซึ่งล้งเล้งก็ลอยหน้าลอยตาตอบ

 

“ทำไม กูทำไม?” 

“น่ารัก”



ไอ้เชี่ย สาบานเลยว่าเขาไม่ได้คาดหวังคำตอบแบบนี้เลยสักนิด!



“น่ารักจนไม่อยากให้เป็นของใครเลย”

“...”

“แล้วกูก็จะไม่ยอมให้มึงเป็นของใครด้วย”



ท่ามกลางเสียงลมทะเลพัดอย่างรุนแรง ทะเลกลับทำให้ล้งเล้งรู้สึกหัวใจตัวเองเต้นเร็วขึ้น ซึ่งมันเป็นเพราะคำพูดไอ้ทะเลแท้ๆ เชียว!



“มึงไม่ต้องรีบตอบตกลงกับกูก็ได้นะ”

“...”



ทะเลพูดขึ้นมาตอนพี่พวกเขากำลังจะถึงบ้าน ใบหน้าของมันยังคงนิ่งเหมือนเดิม หากแต่คำพูดกลับดูจริงจังเหมือนกับทุกครั้งเวลาที่นิสิตหนุ่มพูดถึงความรู้สึกของตนเองที่มีต่อเขา



“กูรอได้ รอมึงมาทั้งชีวิตแล้ว รอต่ออีกหน่อยก็ได้”

“... ทะเล”

“แค่อย่าเพิ่งมีแฟนก็พอ ตกลงนะ”



ไอเหี้ยเอ๊ย ทำแบบนี้แล้วเขาจะไปไหนได้วะ!



“ระ… เรื่องของมึงเถอะ!”



ล้งเล้งเดินหนีออกมาซึ่งทะเลวิ่งตาม ตอนนี้รอบข้างของพวกเขาฝั่งหนึ่งเป็นถนน อีกฝั่งเป็นชายหาด ในตอนนั้นเอง ล้งเล้งเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำทะเลสีเข้ม



แปลก



ชายหนุ่มคิดแว๊บขึ้นมาในใจ พอดีกับที่ผู้หญิงคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา ซึ่งท่าทางเธอเหมือนกับเป็นกังวลมาก เธอพูดอะไรบางอย่างแต่ล้งเล้งไม่ได้ยินเพราะว่าเสียงลมทะเลดังกลบทุกอย่างที่ไกลตัวไปเสียหมด



“มึง เขาเรียกเราป้ะวะ?”



ล้งเล้งหันไปขอคำปรึกษาจากเพื่อนข้างๆ ทะเลมองไปตามทิศทางที่ล้งเล้งพยักพเยิดไป แล้วหันกลับมาหาไอ้ลูกหมาของเขา



“มึงพูดถึงใครวะ?”

“ก็ผู้หญิงคนนั้นไง” ล้งเล้งชี้มือไปทางชายหาด ที่มีน้ำทะเลขึ้นสูงกระทบฝั่ง “กูว่าเขากำลังต้องการความช่วยเหลือว่ะ มึงถือถุงให้กูแป๊บนะ เดี๋ยวกูมา”

“มึง เดี๋ยวดิ เฮ้ย!”



ล้งเล้งไม่ฟัง เด็กหนุ่มเดินดุ่มๆ ไปที่ทะเลตรงหน้าทันที เป้าหมายคือหญิงสาวที่ตอนนี้กำลังกวักมือเรียกให้เขาเข้าไปใกล้อยู่



น่าแปลกที่เมื่อครู่ผู้หญิงคนนั้นเหมือนอยู่ไม่ไกล แต่พอเขาเดินไปแล้ว ผู้หญิงคนนั้นเหมือนลอยอยู่กลางทะเลห่างจากเขาไปประมาณสองเมตร



“ขอโทษนะคะ ช่วยเราหาหน่อยได้มั้ย?”

“ได้ครับ ให้ผมหาอะไร?”



ล้งเล้งตะโกนตอบหญิงสาวที่ถามมา แต่เธอไม่ตอบ เธอก้มลงไปในทะเลอีกครั้ง ก่อนที่จะผุดขึ้นมาใหม่



“เราทำหาย มันหายไปแล้ว หาไม่เจอเลย คุณช่วยหาหน่อยได้มั้ยคะ?”

“ได้ครับ ต้องทำยังไง”



ล้งเล้งตะโกนถามหญิงสาวกลับไป ในขณะที่กำลังถอดรองเท้าไปด้วย ไม่ได้สังเกตว่าตอนนี้ทะเลที่เมื่อครู่อยู่บนฝั่งวิ่งตามมาอยู่ข้างๆ แล้ว ล้งเล้งโฟกัสเพียงหญิงสาวตรงหน้าเท่านั้น ท่าทางเธอเหมือนกับกำลังร้อนรนและต้องการความช่วยเหลืออย่างมาก



“งมหามานานแล้ว ไม่เจอเลย มาช่วยงมหน่อย”

“โอเค แป๊บนึงนะครับ” 



ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะก้าวขาวิ่งลงไปในน้ำ ผู้ที่มาด้วยกันกลับกระชากแขนเขาเอาไว้



“มึง อย่า”

“ไอ้เหี้ยทะเล มึงปล่อยก่อน” ล้งเล้งพยายามสะบัดให้หลุดการเกาะกุม ทว่าอีกฝ่ายแรงเยอะเกินไป เขาเลยทำได้แค่ดิ้นเล็กน้อยเท่านั้น “มึงไม่เห็นเหรอว่าเขาขอความช่วยเหลืออยู่?”

“ไม่เห็น”

“เชี่ย! แล้งน้ำใจ!”

“ไม่ใช่” ทะเลพูดด้วยเสียงนิ่งๆ พลางมองที่ล้งเล้ง ใบหน้าหล่อของนิสิตหนุ่มซีดเผือด “กูไม่เห็นจริงๆ”

“ฮะ…”

“กูไม่เห็นอะไรเลยนอกจากมึงจะวิ่งลงไปในทะเล”



เดี๋ยวนะ?”



พอล้งเล้งมองกลับไปอีกที เขาเห็นผู้หญิงคนนั้นอยู่ใกล้มาก เธอยังคงอยู่ในน้ำแต่ใกล้กว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด เธอโผล่มาแค่ครึ่งตัวทั้งที่น้ำตรงหน้านั้นติดชายหาดแท้ๆ



ไม่มีทางที่คนจะยืนครึ่งตัวในน้ำตื้นเท่านี้ได้แน่นอน!



ในขณะนั้นเอง หญิงสาวตรงหน้าล้งเล้งเผยรอยยิ้มออกมา ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่น่าขนลุกที่สุดที่เด็กหนุ่มเคยเห็น ปากของเธอกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนมุมปากฉีกออกไปถึงใบหู ตาเมื่อครู่ที่ดูเดือดร้อนแข็งกร้าว เสียงแหบเย็นไม่เหมือนกับเสียงของผู้หญิงพูดขึ้นมา



“หาตัวตายตัวแทนไม่เจอเลย มาช่วยหาหน่อยสิ”



เชี่ย



เชี่ย!!!!!!!



“อีกนิดเดียวจะได้แล้วแท้ๆ น่าเสียดายจัง”



เธอทิ้งไว้แค่นั้น ก่อนที่จะผลุบหายลงไปในน้ำทะเลดำมืด



ทิ้งไว้เพียงแค่ชายหนุ่มสองคนบนผืนทราย และเสียงคลื่นลูกใหญ่ซัดมากระทบฝั่งเท่านั้น






------- TBC -------






 

ตันค่ะ สารภาพตรงนี้



#รักไม่คาดคิดในวันพุธ

หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 15 -- พัทยาอันตรายมาก! (06/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 07-10-2019 00:07:32
น่ากลัว,,,
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 15 -- พัทยาอันตรายมาก! (06/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 07-10-2019 03:22:33
 :a5: :a5:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 15 -- พัทยาอันตรายมาก! (06/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 07-10-2019 17:08:15
ผมคิดว่าโทนเรื่องนี้น่าจะออกเป็นแนวการจีบกันแล้วทำให้ทะเลกับล้งเล้งคบกันในที่สุดนะครับ คือโทนเรื่องมันอาจจะหวือหวาได้นิดหน่อย แต่ไม่ควรจะหวือหวามากนัก ดังนั้น เราสามารถใส่อีเวนต์ประกอบเรื่องเข้ามาได้บ้างครับ เนื่องจากทรัพยากรตัวละครที่เอามาเล่นได้ก็มีระดับหนึ่งเลย ไม่ว่าจะเป็น บุ๋มบีม โซดา เจ๋งเป้ง ที่สำคัญคือมูเตลูครับ

ถ้าสมมุติเราจะดึงเรื่องเข้าสู่อีเวนท์ดรามาเล็กน้อย แล้วหาทางแก้ดรามา เราสามารถใช้มูเตลูเป็นตัวยิงส่งได้ครับ เพราะตัวละครนี้ออกมาในแนวพยากรณ์อยู่แล้ว มันก็รับส่งบทแบบนี้ได้ ส่วนโซดาก็เป็นเพื่อนพระเอก เจ๋งเป้งก็เป็นเพื่อนนางเอก ตัวละครสองตัวนี้เราสามารถใช้เพื่อบรรยายอีเวนท์เดียวกัน แต่จากสองมุมที่แตกต่างกันโดยที่เราไม่ต้องไปเน้นที่ตัวพระ-นาง เพื่อทำให้อารมณ์ของคนอ่านถูกกระตุ้นไปด้วยโดยที่ยังมีปริศนาเรื่องความคิดของพระเอกกับนางเอกอยู่ (ใช้เค้นอารมณ์ผู้อ่านให้เกิดความน่าติดตาม) ทำให้เราสามารถสอดแทรกปมต่างๆใส่เข้าไปได้ด้วย หรือว่าถ้าจะนำเสนออีเวนท์อื่นๆที่จะขับเคลื่อนความสัมพันธ์ระหว่างทะเลกับล้งเล้ง เราจะกลับไปเล่นแบบเดิมก็ได้ (เรื่องเรียนพิเศษที่เจอกัน) เพราะมันก็ค่อนข้างที่จะเรียบง่าย แต่ทำให้เราเห็นพัฒนาการความละมุนละม่อมที่อาจจะเกิดขึ้น โดยเราอาจจะไปใช้ตัวบรรยายเป็นเหล่าเด็กๆแทนครับ

หรือว่าถ้าจะเป็นอีเวนต์ตื่นเต้นหน่อย ผมว่าเจ๋งเป้งก็ดูพิรุธนะ (หัวเราะ) มดแดงแฝงพวงมะม่วงหรือเปล่าครับ? แต่เนือยขนาดนี้ สู้ทะเลที่รุกจีบแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมไม่ได้หรอกนะ ซึ่งผมคิดว่าโทนเรื่องไม่ควรออกมาเป็นแนวแย่งตัวนางกัน มันขัดกับโทนมหาวิทยาลัยและคาแรกเตอร์ของล้งเล้งไปหน่อย ผมคิดว่าพวกอีเวนท์ออกค่ายพัฒนาความสัมพันธ์ หรือว่าการใช้ชีวิต ความลำบากของการอยู่ต่างมหาวิทยาลัยแล้วจะสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นใจซึ่งกันและกัน ตรงนี้ถ้าเราทำให้มันถึงจุดสุกงอม การคบกันของสองคนนี้ก็คงจะเป็นเรื่องที่ไม่ยากและเป็นบทสรุปที่ดีครับ อาจจะมีแถมเนื้อเรื่อง After หน่อย ซึ่งก็มันก็น่าจะกุ๊กกิ๊กใช้ได้

ที่อยากชมคือ ผมชอบตัวละครพระ-นาง เรื่องนี้นะครับ สำหรับทะเล ผมชอบการที่เขาบ้าๆตั้งแต่เด็ก เป็นคนที่มองอะไรไม่รอบคอบแล้วก็มาเข้าใจถูกเพราะเพื่อนอธิบายขยายความ ทำให้ตัวละครนี้มีการพัฒนาทางแนวคิดและพฤติกรรม ดังนั้นผมจะชอบพฤติกรรมทะเลหลังๆมากเลย คนอะไรใจมาก! ทั้งชมน่ารักกันโต้งๆเลย ไม่แคร์ใคร ก็กูชอบมาตั้งแต่เด็กแล้วอะ! แล้วพอโยนมุกคนคบกันไปให้ (อย่างตอนที่บอกให้คนขอเบอร์ไปขอล้งเล้งแทน) แต่อีกฝ่ายเหมือนไม่รับมุกก็มีงอนๆ แล้วพอรู้ตัวว่าล้งเล้งก็เหมือนมีใจให้เหมือนกันก็ยิ้มหน้าบาน เออเฮ้ย พฤติกรรมแบบนี้มันน่ารักดีนะครับ มุ่งมั่นชัดเจน ให้เกียรติและไม่ย่อท้อในการจีบ เพราะความรู้สึกที่แน่วแน่

สำหรับล้งเล้ง ตอนแรกนี่ผมไม่ชอบคาแรกเตอร์นี้เลยนะครับ คนอะไรขี้โวยวายตลอดเวลา คนรอบข้างไม่ปวดหัวรึไง? ซนยังกับเด็กๆไปได้ ของบางอย่างไม่เห็นต้องโกรธข้ามปีข้ามชาติขนาดนั้นเลย แต่ก็เข้าใจได้เพราะว่าทะเลมันทำไม่ดีใส่แถมยังหน้าตาย (เพราะลอจิกอันผิดเพี้ยนสมัยเด็กแท้ๆ (ฮา)) แต่หลังๆพอเริ่มเขินแล้วมีปฏิกิริยาตอบรับกับทะเลแบบอายๆเขินๆทำอะไรไม่ถูก น้องก็น่ารักดีนะครับเนี่ย ผมคิดว่าคาแรกเตอร์ของล้งเล้ง พอลดนิสัยโวยวายโมโหแบบไร้สาระไป น้องก็กลายเป็นคนน่ารักน่าเอ็นดูดีนะครับ คู่นี้ถ้าหยอกกันบ่อยๆคงให้อารมณ์การหยอกกันของความสัมพันธ์เพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กแล้วกลายมาเป็นคู่รักกัน ซึ่งก็เป็นบรรยากาศที่อบอุ่นชวนให้ยิ้มดีครับ จะสเตอริโอไทป์แนวมังงะวายญี่ปุ่นที่เป็นมหาวิทยาลัย แล้วตัวเอกเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่เด็ก ถ้าติดพล็อตตรงไหน ลองอ่านการ์ตูนแนวนี้ดูก็น่าจะช่วยได้บ้างครับ
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 15 -- พัทยาอันตรายมาก! (06/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: babybaphomet ที่ 18-12-2019 22:48:51
16th Wednesday
#รักไม่คาดคิดในวันพุธ


รุ่งเช้ามาถึงอย่างเงียบเชียบ

หลังจากที่ล้งเล้งกับทะเลผ่านเหตุการณ์ประหลาดที่ทะเลไปแล้ว เมื่อพวกเขากลับถึงห้อง มูเตลูที่นั่งรออยู่หันมามองเพียงชั่วครู่ ก่อนที่จะเดินเข้ามาเขกหัวล้งเล้งไม่เบานัก

‘กูบอกมึงแล้วไม่ให้ลงไปในน้ำ ฟังบ้างสิเว้ย!’
‘มึงรู้เหรอว่าพวกกูเจออะไรมา?’

ทะเลเป็นคนถาม ซึ่งมูก็อธิบายให้ฟังว่าเขาพอจะรู้สึกได้ อีกอย่างเจ้าตัวเองก็เห็นวิญญาณเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เป็นคนมีเซ้นส์มาตั้งแต่เด็ก เจ้าตัวมักจะมีลางสังหรณ์แปลกๆ เสมอ อย่างเรื่องเมื่อครู่ก็เหมือนกัน มูเตลูบอกว่าตัวเองสังหรณ์ใจแล้วว่ามันต้องมีอะไร แต่เพราะกำลังสนุก และเห็นว่าล้งเล้งไม่ได้ไปคนเดียวมีทะเลไปด้วยอีกคนเลยคิดว่าน่าจะเอาตัวรอดได้คงไม่เจออะไร

 แต่เมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนทั้งสองคนที่เข้าห้องมาแล้วก็เลยรู้ว่าตัวเองน่าจะคิดถึง

ท่าทางแบบนี้ เพิ่งเจอดีมาแน่นอน

‘เอาจริงๆ ที่กูกลัวตอนแรกคือพวกเด็กที่วิ่งเล่นอยู่ที่หาด ล้งเล้งมันดูรักเด็ก กับพวกที่นั่งอยู่ตรงโขดหิน แต่พวกมึงไม่เห็นใช่มั้ย?’
‘...’

ฉิบหาย นอกจากผู้หญิงคนนั้นแล้วมีพวกอื่นอีกด้วยเหรอวะ?

‘ไม่เห็นอะไรก็ดีแล้ว’
‘... กูถามหน่อย’ ล้งเล้งได้ยินเสียงยานคางของทะเลพูดอยู่ข้างๆ ส่วนตัวเองนั้นยังคงช็อกจากเหตุการณ์เมื่อครู่อยู่ ‘ถ้าล้งเล้งมันลงไปในทะเลจริงๆ แล้ว...’
‘ก็คงไม่ได้กลับมา’  มูพูดเสียงเย็น คล้ายกับว่านี่ไม่ใช่มูเตลูเพื่อนพวกเขา แต่เป็นใครสักคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น มูก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
‘แต่ไม่มีอะไรแล้วนี่ มันก็รอดกลับมา ก็โอเคแล้ว’
‘...’
‘มึงอย่าไปอยากรู้เลย ปล่อยเขาไปตามทางเถอะ’
‘...’
‘ถ้าไม่สบายใจ ตอนเช้าเราไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขาแค่นั้นก็พอ’

ด้วยเหตุนี้ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น พวกเขาทุกคนในกลุ่มก็มาวัดกันอย่างเงียบเชียบ คอยทำตามที่มูบอกให้ทำ ทั้งล้งเล้งที่มักจะเสียงดัง ทะเลที่กวนประสาท บุ๋มบีมที่มักจะคอยเล่นมุก โซดาตัวตบมุก และเจ๋งเป้งที่ชอบหลับ ตอนนี้ทุกคนตื่นเต็มตา ทำบุญสวดมนต์ กรวดน้ำกันอย่างเงียบเชียบ ครึ่งวันเช้าของพวกเขาผ่านไปอย่างเรียบร้อยที่สุดเท่าที่จะเกิดขึ้นได้

เมื่อทำบุญกันเรียบร้อย พวกเขาก็ตัดสินใจกลับกันเลย

โปรแกรมตอนแรกที่วางไว้ว่าจะไปเล่นริมทะเลนั้นถูกฉีกทิ้งแทบจะทันที ทุกคนตกลงกันว่าไม่เอาแล้ว กินอาหารทะเลอีกสักมื้อแล้วค่อยกลับก็พอแล้วสำหรับทะเลครั้งนี้

“อ้าว กลับกันเร็วเชียว เช็กเอาท์ได้ถึงเย็นนะ ลุงไม่ว่าอะไร”

ลุงเจ้าของบ้านทักเมื่อพวกเขาเอากุญแจไปคืน ล้งเล้งยิ้มแหย อันที่จริงเมื่อคืนเขาไม่ได้หลับเลย ไม่รู้สึกอยากนอนเลยสักนิด

อันที่จริง อยากกลับบ้านแล้ว

คิดถึงบ้านขึ้นมาทันใด ไม่เคยรักบ้านขนาดนี้มาก่อน

“อ๋อไม่เป็นไรครับ พอดีต้องรีบกลับไปอ่านหนังสือ”
“ดีแล้ว” ลุงเขายิ้มเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ “เมื่อคืนนอนหลับสบายกันดีใช่มั้ย?”

ทุกคนมองหน้ากัน อาจจะยกเว้นมูที่คุยโทรศัพท์อยู่อีกทาง

“ก็โอเคครับ”
“ดีแล้วล่ะ ดีแล้ว”

ลุงทำท่าเหมือนกับอยากจะพูดอะไร แต่ก็อึกอักไม่ยอมพูดสักที จนสุดท้ายล้งเล้งทนไม่ไหวก็เลยถามออกมา

“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“อันที่จริง ลุงก็ไม่ได้อยากจะเล่าหรอกนะ”

ชายอาวุโสทำท่าเหมือนกับว่าเขากำลังจะเล่าความลับระหว่างประเทศให้พวกเขาฟัง เด็กหนุ่มทั้งกลุ่มมองหน้ากัน นี่ลุงเขาไม่ได้อยากเล่าจริงๆ เหรอวะ ดูตื่นเต้นกว่าพวกเขาอีกนะเนี่ย

“บ้านนี้น่ะ อันที่จริงนอกจากพวกน้องแล้วทุกคนเจอดีหมดเลย ขนาดลุงยังไม่กล้าอยู่เลยรู้มั้ย น่ากลัวมากเลยกลางคืน”
“...”
“เคยมีคนเขาเมาแล้วแทงกันเรื่องชู้สาวในบ้านนี่แหละหนู ผู้ชายเอาศพเมียไปทิ้งทะเล แล้วหนีไป แขกเจอกันประจำ ได้ยินเสียงทะเลาะกันบ้าง มีคนโดนหลอกที่ชายหาดบ้าง จับไข้หัวโกร๋นไปเลยก็มี”
“...”
“แต่ไม่เจออะไรใช่มั้ย แสดงว่าห้อยพระดีนะเนี่ยพวกเอ็งน่ะ”

จากที่คิดว่าจะแวะทานอาหารอีกครั้งก่อนจะกลับ เด็กหนุ่มทั้งหมดก็รีบเก็บของขึ้นรถทันที กินที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ที่นี่แล้ว!

“มีอะไรกันวะพวกมึง?”

มูที่เพิ่งคุยโทรศัพท์เสร็จถามเมื่อเห็นเพื่อนทำหน้าตื่นๆ มองซ้ายมองขวากันไปมาสักพัก เป็นบุ๋มกับบีมที่สลับกันถ่ายทอดเรื่องที่เพิ่งได้ยินมาให้เพื่อนฟัง ซึ่งมูเพียงแค่พยักหน้านิ่งๆ ไม่ได้มีท่าทีตื่นเต้นอะไร จนกระทั่งบุ๋มบีมพูดจบ มูก็พูดขึ้นมาต่อ

“กูถึงได้บอกไงว่าอย่าลงน้ำ”
“มึงรู้เหรอว่าจะเกิดอะไรขึ้น?”

ทะเลถามด้วยน้ำเสียงยานคาง แต่ใบหน้าแสดงออกถึงความทึ่งอย่างปิดไม่มิด

“ไม่ได้รู้ขนาดนั้นหรอก” มูบอกปัด “แต่เห็นอยู่ว่าเขาอยู่ในน้ำ ค่อนข้างอาฆาตเลยแหละ”
“...”
“ในบ้านไม่มีใครทำอะไรหรอก เจ้าที่เขาเอาอยู่ กูไหว้ไปแล้วตอนที่มาถึง เขาโอเคนะ ใจดีอยู่ แต่ถ้านอกอาณาเขตบ้านคือเขาก็ทำอะไรไม่ได้ไง กูก็ช่วยอะไรไม่ได้มากเหมือนกัน”

เชี่ยเอ๊ย นี่เพื่อนในกลุ่มเขาเป็นซูเปอร์ไซย่าเหรอวะ คุยกับเจ้าที่รู้เรื่องด้วย!

หลังจากที่พวกเขารู้เรื่องทั้งหมด มติทุกคนเป็นเอกฉันท์ว่าให้กลับกรุงเทพฯทันที ไม่เที่ยวแล้ว พอ!


------- Wednesday In Class -------

RRrr

“สวัสดีครับ”
“นี่พี่ธนาเองนะครับน้องล้งเล้ง”

ชายหนุ่มที่กำลังจะไปสอนพิเศษเหลือบมองโทรศัพท์อีกครั้ง ธนาไหนวะ?

“ใครนะครับ?”
“พี่ธนาไง คนที่น้องเหยียบเท้าที่บีทีเอสไง จำได้มั้ย?”

ล้งเล้งแอบถอยหายยใจ นี่มันยังอยู่บนโลกอีกเหรอวะ?

“ครับ จำได้ครับ”

ชายหนุ่มที่กำลังเดินเข้าไปในร้านแม็คโดนัลโบกมือให้เด็กน้อยที่นั่งรอเขาตาแป๋วอยู่ ล้งเล้งเดินเข้าไปวางชีทเหมือนกับที่ทำเป็นกิจวัตร แทนกายกำลังนั่งจ้องชีทตรงหน้าตัวเอง โจ้กำลังเล่นมือถือ ลิลลี่กับลูกเกดกำลังนั่งคุยกันอยู่อย่างออกรส

“พี่อยากจะนัดทานกาแฟกับเราน่ะครับ”
“อ๋อ ครับ”

ล้งเล้งตอบรับไปอย่างไม่คิดอะไร ถึงแม้ว่าจะรู้สึกแปลกๆ คนเหยียบเท้ากันมันต้องนัดกินข้าวกันเลยเหรอวะ ขนาดนั้นเลยเหรอ?

“ถ้าเป็นวันนี้สะดวกมั้ยครับ?”

นักศึกษาหนุ่มขมวดคิ้วหงุดหงิด มันจะรีบอะไรนักหนาวะ ไม่รู้จักคำว่านัดล่วงหน้าหรือยังไง?

“วันนี้ผมมีสอนพิเศษ”
“เอาเป็นตอนเราสอนเสร็จก็ได้ครับ”
“...”
“เป็นวันนี้เนอะ เราสอนเสร็จกี่โมงครับ?”

การมัดมือชกของอีกฝ่าย ทำให้ล้งเล้งต้องตอบรับคำชวนทานข้าวนั้นอย่างเสียไม่ได้

“ครับ แต่ขอเป็นที่สยามนะครับ”
“ได้อยู่แล้ว” เสียงตามสายตอบกลับมา “พี่ตามใจน้องล้งเล้งอยู่แล้ว”
“ครับ แล้วเจอกัน”

นักศึกษาหนุ่มตัดบท ถอนหายใจกับตัวเอง ก่อนจะสะดุ้งเมื่อเห็นว่ามีคนมายืนอยู่ตรงหน้าตัวเองโดยที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ซึ่งแน่นอนว่าคนที่จะมาทำอะไรไร้สาระแบบนี้ได้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น

“ไง ไอ้ลูกหมา”
“มึงอีกแล้ว”
“โห พูดกับคนคุยงี้กูเสียใจแย่” ทะเลทำน้ำเสียงเหมือนกับกำลังน้อยใจอย่างเสแสร้ง “ถ้าเป็นคนอื่นนี่เขาน้อยใจจนต้องง้อแล้วนะเนี่ย”
“พูดมาก กูต้องง้อมึงมั้ยเนี่ย?”
“ง้อดิ มาง้อเลย ยืนรอให้ง้ออยู่”

ไม่พูดเปล่า นิสิตหนุ่มยื่นหน้าเข้ามาใกล้ล้งเล้งมากขึ้น จนล้งเล้งสะดุ้งด้วยความตกใจเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว เขาไม่เคยเห็นใบหน้าของทะเลชัดขนาดนี้มาก่อน

ทั้งที่รอบตัวพวกเขามีเสียงจ้อกแจ้กจอแจของคนที่อยู่ในแม็คโดนัล แต่ในเสี้ยววินาทีนั้น โลกทั้งใบของล้งเล้งหยุดนิ่ง ชายหนุ่มไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงหัวใจของตัวเอง

ล้งเล้งเพิ่งรู้สึกว่าแววตาของทะเลนั้นชวนมองขนาดนี้

แม่งเอ๊ย หัวใจถึงกับกระตุกไปวูบหนึ่งเลยด้วยซ้ำ

นักศึกษาหนุ่มกัดริมฝีปาก ล้งเล้งไม่ใช่เด็กอนุบาล เขาเป็นชายวัยเกือบยี่สิบปีบริบูรณ์ เป็นเรื่องที่เดาไม่ยากเลยสักนิดว่าตอนนี้ตัวเองกำลังเป็นอะไร เพียงแต่เขาไม่คิดว่าในชีวิตจะต้องมารู้สึกแบบนี้กับคนที่ล้อเลียนเสื้อ I am a Barbie Girl ตอนสมัยอนุบาลจะมาทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะแบบนี้

อันตราย!

“มะ… ไม่”

 ล้งเล้งรู้สึกว่าตัวเองมือเย็นเฉียบ ตื่นเต้นยิ่งกว่าตอนที่ต้องออกไปพรีเซนท์งานหน้าคลาสอีก!

“ไม่อะไร? ไม่อยากเป็นคนคุยแล้วเหรอ?”
“ไม่ใช่!”
“งั้นเลื่อนเลยมั้ย แต่งงานกัน”
“ไม่ไร้สาระสักนาทีจะตายมั้ย!”

นักศึกษาคนเก่งฟึดฟัดในขณะที่ทะเลทำเพียงแค่หัวเราะ พร้อมกับลูบหัวอีกคนเบาๆ เหมือนอย่างเคย รอบนี้ล้งเล้งรู้สึกอยากจะเอามืออีกคนออก เพราะมันทำให้ความร้อนที่ใบหูเพิ่มขึ้น แล้วมันก็ทำให้เขาขยับมือไม่ได้อย่างที่คิด ทุกอย่างเก้ๆ กังๆ ไปหมด

ซึ่งมันเป็นเพราะทะเล

มีแค่ทะเลคนเดียวนั่นแหละที่ทำให้เขาเป็นขนาดนี้ได้

“หลังสอนเสร็จไปไหน?”

ทะเลที่เดินถือถาดที่มีเพียงเฟรนช์ฟรายมายืนอยู่ข้างล้งเล้งที่กำลังจะรับถาดชุดแม็คฟิชอัพไซส์ นักศึกษาหนุ่มหันมองคนข้างๆ แว๊บหนึ่ง ก่อนที่จะตอบออกไป

“มีนัดว่ะ”

ไม่รู้ว่าล้งเล้งคิดไปเองหรือเปล่า แต่ทะเลเหมือนกับจะเปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อย คล้ายกับนี่ไม่ใช่คำตอบที่เขาคิดว่าจะได้ยิน

“กับพวกน้องๆ เหรอวะ?”
“ไม่อ่ะ”

ล้งเล้งปฏิเสธ เขากับทะเลเดินมาถึงโต๊ะที่ต้องใช้สอนน้องของล้งเล้ง ซึ่งน้องๆ ก็ยกมือไหว้ทะเลกับล้งเล้งกันอย่างพร้อมเพรียง อาจจะยกเว้นน้องโจ้ที่ทำหน้าตึงเหมือนไม่ค่อยเต็มใจ

“อ้าว งั้นนัดใครวะ? ถ้าเป็นพวกไอ้มูกูจะได้ไปด้วย”
“พี่ธนา ที่เราเคยเจอที่บีทีเอสไง มึงจำได้มั้ย?”
“ไม่”
“คนที่กูไปเหยียบเท้าเขาบนรถไฟฟ้าไง ที่เจอกันพร้อมมึงด้วยอ่ะ”
“อ๋อ ไอ้นั่น”

ทะเลหน้าตึงแบบที่ล้งเล้งไม่ได้คิดไปเอง

“แล้วเจอเขาทำไมวะ?”
“ก็เขานัดกินกาแฟไถ่โทษวันนั้น”

ในเวลาเสี้ยววินาที ทะเลก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงยานคางที่แฝงความมุ่งมั่นเอาไว้

“กูไปด้วย”




-------- TBC --------



อย่างที่บอกในทวิตนะคะว่าเราจะอัพให้ตอนหนึ่ง แล้วขอพักยาวๆ จะลงใหม่เมื่อแต่งจบนะคะ 

ขอบคุณมากค่ะ

เอาไว้เจอกันเมื่อเราสามารถแต่งนิยายเรื่องนี้ได้นะคะ

#รักไม่คาดคิดในวันพุธ
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 16 (18/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 18-12-2019 23:50:10
 :pig4: :pig4: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 16 (18/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 19-12-2019 01:27:48
 :katai2-1: