9th Wednesday
#รักไม่คาดคิดในวันพุธ
“เนื้อคู่มึงอยู่ใกล้ตัวมากเลยนะ” เสียงมูเตลูพูดขึ้นในตอนที่พวกเขากำลังนั่งทำงานกลุ่มด้วยกัน มันเป็นวิชาที่พวกเขาจะต้องแบ่งกันอ่านหนังสือ แล้วอัดเสียงวิเคราะห์ว่าตัวเองคิดยังไงกับหนังสือเรื่องนั้น เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยประเด็นไหน ซึ่งตอนนี้ประเด็นที่คุยกันดันไม่ใช่สิ่งที่อาจารย์ถามแล้ว
กูว่าเนื้อคู่เนี่ย ไม่น่าใช่งาน
“เอาล่ะ เนื้อคู่เกี่ยวเหี้ยอะไรกับฟ้ามีตา”
“เนื้อคู่มึงไง กูเห็นจริงๆ นะ”
“ไร้สาระ”
ล้งเล้งพูดตัดบทโดยไม่สนใจท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือในการพูดเรื่องเนื้อคู่ของมูเตลู ล้งเล้งถอนหายใจ ถ้ามนุษย์เพื่อนในเสื้อสีส้มแสบตา กับกางเกงสีม่วงไลเลคจะเข้าใจบทเรียนเหมือนที่สนใจเรื่องเนื้อคู่ที่ตัวเขาก็ไม่อยากรู้ว่าใครบ้าง เย็นวันอังคารของล้งเล้งคงไม่ต้องปวดหัวขนาดนี้
สิ่งหนึ่งที่ล้งเล้งรู้แน่ชัดคือสีเสื้อมงคลของวันนี้ไม่เป็นสีส้มก็ต้องม่วงแน่นอน
“น้องล้งเล้งอย่ากริ้ว”
“พี่ๆ เป็นห่วง”
“สเต๊กไก่มั้ยเย็นนี้?”
“หรือจะกินไส้กรอกซีพีดี?”
แน่นอนว่าสองเสียงนี้เป็นของบุ๋มกับบีม ที่ทิ้งชีทแล้วแอบกินไส้กรอกกับสเต๊กที่ไปซื้อมาจากไหนก็ไม่รู้ แล้วเอาเข้ามาในห้องสมุดได้อย่างไรล้งเล้งก็ไม่รู้ว่ามีความสามารถไหนในการแอบเอาของกินเข้ามาที่นี่เหมือนกัน
อันที่จริงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ความหิวคนมันห้ามไม่ได้
แต่… สเต๊กไก่ มันก็ออกจะเกินคาดหมายไปนิดเหมือนกัน
“พวกมึงอ่านจบหรือยัง กูถามแค่นี้”
เจ๋งเป้งถอดแว่นพร้อมกับนวดขมับอย่างหงุดหงิด เขานั่งถ่างตาอ่านหนังสือ ‘ฟ้ามีตา’ มาเป็นสัปดาห์สลับกับการคัดภาษาจีน แต่ต้องมาเจอเพื่อนนั่งกินสเต๊กกันอยู่ตรงหน้า บางทีเขาก็อยากจะเป็นบ้าไปให้รู้แล้วรู้รอด
“อ่านแล้ว”
“พวกเราแบ่งกันอ่าน”
“คนละบท”
“สลับกันไป”
บุ๋มบีมตอบทั้งที่กำลังนั่งกินกันอยู่ ซึ่งล้งเล้งถอนหายใจหนักมาก ในวิชานี้พวกเขาตัดสินใจแบ่งกันอ่านหนังสือคนละหมวด ล้งเล้งรับการอ่านหนังสือเรื่องหนึ่ง ซึ่งเจ๋งเป้งกับมูอ่านอีกเล่ม ส่วนอีกเล่มเป็นของบุ๋มบีมที่อ่านด้วยกัน ซึ่งล้งเล้งไม่รู้ว่างานตัวเองจะได้คะแนนเท่าไหร่ พนันด้วยอะไรก็ได้ว่ามันอ่านไปกินสเต๊กไก่ กับไส้กรอกแน่นอน
“พวกมึงรู้เรื่องแน่นะ”
ล้งเล้งถามย้ำอีกครั้ง คะแนนกลุ่มนะเว้ย! พวกเหี้ย!
“แน่นอน!”
“น้องล้งเล้งไว้ใจพวกเรา!”
ในเมื่อบุ๋มบีมบอกมาแบบนั้น เขาก็ปล่อยๆ มันไป ตอนนี้กำลังอัดเทปเล่มของเจ๋งเป้งกับมูอยู่ซึ่งจบไปแล้วรอบหนึ่ง ต่อมาพวกเขาจะรีวิวว่ามันโอเค ก่อนที่จะอัดเทปเรื่องของล้งเล้งต่อ แล้วบุ๋มบีมเป็นเรื่องสุดท้าย เพราะมันมือเปื้อนซอสอยู่ เลยยังไม่พร้อมทำงาน
ไลน์!
ล้งเล้งพักเรื่องปวดประสาทของเพื่อนที่ยังคงคุยเรื่องของกิน กับเนื้อคู่แล้วมาสนใจโทรศัพท์มือถือของตัวเอง เมื่อเห็นว่าใครทักมา เขาก็รีบกดเข้าไปดู
น้องแทนกาย
sky: พี่ล้งเล้ง
sky: ผมขอบคุณมากๆ เลยนะครับ
sky: สำหรับเรื่องเมื่อวันก่อน ที่พี่ไปโรงพยาบาลกับผม
sky: ไม่รู้จะพูดยังไง แต่ผมขอบคุณมากจริงๆ
sky: ขอบคุณครับ
รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นมาบนหน้าของชายหนุ่ม บางทีการที่เขาลงแรงไปทั้งหมดมันสร้างความรู้สึกดีให้เด็กอีกคน ซึ่งหากพูดให้ลึกลงไปกว่านั้น น้องแทนกายเป็นเด็กที่เขาเอ็นดูโดยส่วนตัวอยู่แล้วด้วย วันนั้นน้องผิดปกติจริงๆ ตามปกติแล้วเด็กที่นิ่งเงียบตลอดคลาสพูดเรื่องของตัวเองเยอะขนาดนั้น ไม่ว่ามองยังไงมันก็แปลก
ล้งเล้ง: ไม่เป็นไรเลย
ล้งเล้ง: พี่เต็มใจมากๆ
ล้งเล้ง: ตอนนี้เป็นไงมั่ง?
ล้งเล้ง: ดีขึ้นแล้วใช่ป้ะ?
ทันทีที่เขาส่งข้อความไปนั้น น้องแทนกายอ่านทันทีเหมือนกับกำลังเปิดอ่านหน้าจอไลน์ของเขาอยู่แล้ว เพียงแค่อึดใจเดียว เด็กน้อยก็ตอบกลับมา
sky: ผมดีขึ้นมากเลยครับ
sky: พอเจอหมอคนใหม่ คนนี้เขาดีกับผมมากเลย
sky: อย่างน้อยก็ไม่ไล่ผมไปนั่งสมาธิแล้ว
sky: เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ผมอยากหาย
sky: ถ้าไม่ได้พี่ล้งเล้ง ผมก็คงไม่ได้เจอหมอคนนี้
sky: ขอบคุณมากเลยครับ
sky: ขอบคุณพี่ทะเลด้วย
บางที นี่อาจจะเป็นโมเมนต์แรกตั้งแต่เป็นติวเตอร์มา ที่ล้งเล้งรู้สึกว่าหัวใจตัวเองพองฟูอย่างแท้จริง
------- Wednesday In Class -------
“ลูกหมา!”
เสียงเรียกจากทางด้านหลังเรียกให้ล้งเล้งหันไปมอง ตอนนี้ล้งเล้งอยู่ที่มหาลัยแถวกลางเมือง เพราะวันนี้น้องลูกเกด ลิลลี่ แล้วก็โจโจ้ลงสอบวัดระดับภาษาอังกฤษของทางมหาวิทยาลัยเอาไว้ ตัวเขาเลยมาให้กำลังใจน้อง
แต่ที่ไม่คิดว่าจะเจอ ก็คือนายทะเลที่เดินยิ้มกวนส้นตีนเข้ามาหานี่แหละ
“กูไม่ใช่ลูกหมา”
ล้งเล้งพูดปัดแบบขอไปที เอาจริงสำหรับพวกเขาสองคน การพูดแบบนี้มันก็คล้ายกับการทักทายไปแล้ว ล้งเล้งไม่ได้ขัดอะไรตอนที่ทะเลเดินมานั่งเสนอหน้าอยู่ข้างๆ เขาที่เมื่อครู่เปิดสมุดจดโน๊ตภาษาจีนที่เพิ่งเรียนไปเมื่อวันพฤหัส ปิดมันลงเพราะรู้สึกไม่มีสมาธิอีกต่อไป
“มึงมาทำไรสามย่าน?”
ทะเลชวนอีกฝ่ายคุย ชายหนุ่มวางกระเป๋าใบใหญ่ลงข้างตัว วันนี้คู่ปรับของล้งเล้งไม่ได้อยู่ในชุดนักศึกษาแบบที่มักจะบังเอิญเจอในวันพุธ ทะเลอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนสบายๆ ผมของอีกฝ่ายที่ยาวจนล้งเล้งนึกงงว่ามันไม่ตัดมั่งหรือไงวะถูกรวบแบบหลวมๆ ไปด้านหลัง
ถ้ามองแบบไม่อคติ ทะเลก็ถือว่าหน้าตาดีระดับหนึ่ง
แค่ระดับเดียวเท่านั้นแหละ! มองรวมๆ ยังไง ล้งเล้งก็รู้สึกว่าตัวเองหล่อกว่าอยู่ดี
“เมื่อเช้าเด็กติวกูมาสอบ CU-TEP”
“มึงก็เลยมาเป็นดินสอให้น้อง?”
“กูมาเป็นปากกา”
“เห้ยมึง เขาใช้ดินสอสอบ”
“มาเป็นกำลังใจก็พอมั้งไอ้เหี้ย กวนตีนกูจังเลยนะมึงน่ะ”
ทะเลหัวเราะเมื่อสามารถทำให้เพื่อนสมัยเด็กของตัวเองทำหน้าบู้บี้ด้วยอารมณ์หงุดหงิดที่ถูกกวนประสาทได้ มือใหญ่ยื่นไปขยี้หัวอีกคนเล่นอย่างอารมณ์ดี ซึ่งก็ถูกปัดออกอย่างแรงทันทีเช่นเดียวกัน
“แล้วมึงมาทำไร มีเรียนวันเสาร์ด้วยเหรอวะ?”
ล้งเล้งถามอีกฝ่ายกลับบ้าง หลังจากผ่านเรื่องแทนกายมาเขาก็มานั่งคิดว่าบางที (แค่บางทีนะ) ทะเลอาจจะไม่ใช่เด็กหน้านิ่งกวนส้นตีนในความทรงจำคนนั้นที่เขาเคยเกลียดมาตลอดก็ได้
หากเป็นตัวเองสมัยมัธยมเขาคงจะตบหัวตัวเองไปแล้วที่มีความคิดแบบนี้ แต่ล้งเล้งในวัยที่เริ่มเป็นผู้ใหญ่ เขานิ่งกว่าเดิมมาก แล้วก็ยอมรับแบบหน้าไม่อายว่าตัวเองเติบโตขึ้นจากเมื่อหลายปีก่อน ทั้งในด้านความคิด และอารมณ์
บางที เขากับทะเลอาจจะเป็นเพื่อนกันได้… ละมั้ง?
“กูมาช่วยงานเพื่อน”
ทะเลตอบด้วยน้ำเสียงยานคางตามสไตล์ มือเสยผมที่เริ่มยาวลงมาปรกหน้า ล้งเล้งนึกรำคาญแทน มันอาบน้ำสระผมจะใช้เวลาเท่าไหร่กันวะในชีวิตเนี่ย มันต้องนานแน่นอน ขนาดผมเขาไม่ได้ยาวมากยังหงุดหงิดเวลาที่ต้องสระผมให้เสร็จ กว่าจะแห้งอีก รำคาญ!
“แล้วมานั่งกับกูทำไม? ไปทำงานมึงสิ”
“ก็เสร็จแล้ว”
“งั้นมึงก็กลับบ้านไปดิ”
“โหย ลูกหมา ไล่เหรอวะ”
ทะเลเอามือขยี้หัวอีกฝ่ายเล่นอย่างสนุกสนาน โดยที่ล้งเล้งโวยวายด่าพ่อของเขาไปด้วย ซึ่งทะเลไม่ถือสาเอาความ หากพูดตามจริงแล้ว กับล้งเล้งน่ะ เขาไม่เคยถือสาอะไรเลย แม้ว่าอีกฝ่ายจะเคยต่อยเขาเสียตาเขียวก็เถอะ
สำหรับทะเลแล้ว ล้งเล้งเป็นข้อยกเว้นเสมอ
“ใช่ กูไล่”
ไอ้ตัวเล็กที่ทะเลเรียกในใจหันมาพูดด้วย ใบหน้าน่ารักของอีกฝ่ายบูดบึ้งแต่ไม่มีแววตาของการพูดเล่นอยู่ในนั้น หนึ่งในเรื่องที่ล้งเล้งไม่เคยรู้ตัวเลยก็คือเจ้าตัวน่ารักแค่ไหน
ถึงแม้จะดูห่ามๆ แต่ล้งเล้งจัดเป็นเด็กที่มีใบหน้าน่ารักเหมือนกับตุ๊กตา ไม่ใช่เรื่องแปลกที่สมัยมัธยมจะมีเด็กผู้ชายมาขอเบอร์ (แล้วก็โดนกระทืบ) อยู่เสมอ แต่สิ่งที่ทำให้ทะเลชอบที่จะเข้าไปวอแวล้งเล้งไม่ใช่หน้าตาแบบที่คนอื่นเป็น
เขามองลึกลงไปกว่านั้น
“ไปสิมึง ไป๊!”
“ไปกับกู”
“อะไรของมึงนะ?”
“ไปไง ไปกับกู”
ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรให้มากกว่านั้น ทะเลจับแขนอีกฝ่ายฉุดให้ลุกขึ้นยืน ล้งเล้งที่ตอนแรกกำลังนั่งอยู่ก็เหวอ ไม่เข้าใจว่าอีกคนจะทำอะไร แต่ด้วยขนาดร่างกายที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ล้งเล้งต้องลุกขึ้นแล้วเดินตามมันไปเสียอย่างนั้น
“มึงจะลากกูไปไหนเนี่ย?!”
“ขึ้นรถป๊อป”
ทะเลพูดนิ่งๆ ยานคางแบบตามปกติที่ล้งเล้งคุ้นเคย จนเมื่อมั่นใจว่ามันไม่ยอมปล่อยแน่ๆ ล้งเล้งก็เลยตามเลย ขึ้นรถป๊อปไปกับมันด้วย อาจจะเป็นโชคดีของพวกเขาที่ไม่ต้องรอรถป๊อปนานมากนัก สายที่ต้องการก็มาถึง
“แล้วตกลงมึงจะพากูไปไหน”
“สยาม”
“ไปสยามเพื่อ?”
“แดกข้าวกัน”
“มึงก็แดกของมึงไปสิ มาวุ่นวายกับกูเพื่อ?”
“หาคนหาร”
“สารเลว! พ่อมึงจะต้องรู้เรื่องนี้!”
“อินมัลฟอยในแฮร์รี่ พ็อตเตอร์เหรอ? งั้นกูเป็นอะไรดี?”
พวกเขาคุยกันบนรถป๊อป วันนี้คนมามหาลัย C มหาศาล พวกเขาทั้งสองคนเลยต้องยืนกันอยู่บนนั้น โดยที่ล้งเล้งกับทะเลยืนกันสบายๆ โดยที่ก็ยังคงเถียงกันอยู่แบบนั้น โดยไม่ได้สนใจเด็กผู้หญิงในชุดนักศึกษาสองสามคนที่ศอกกันไปมาเหมือนกับกำลังชี้ชวนให้ดูพวกเขา
“เดรโก มัลฟอย ในแฮร์รี่ พ็อตเตอร์มันฟ้องพ่อตัวเองมั้ย อันนี้กูจะฟ้องพ่อมึง!”
ล้งเล้งพูดถึงตัวละครในหนังที่เขาชอบดู ซึ่งตัวละครหัวทองที่ดูเย่อหยิ่งนั้น มีคำพูดติดปากว่า ‘พ่อฉันจะต้องรู้เรื่องนี้แน่!’ ทะเลที่คุยกับเขารู้เรื่อง ก็คงจะดูหนังเรื่องนี้เหมือนกัน
“อ่อ งั้นเดี๋ยวกูฟ้องพ่อกูเอง มึงจะฟ้องพ่อกูด้วยก็ได้นะ แบ่งๆ กัน”
“เพื่อ? ไอ้สัตว์นี่! ยืนเฉยๆ ไป!”
“นี่กูก็ยืนอยู่นะ” ทะเลพูดนิ่งๆ ใบหน้าเรียบเฉยนั้นมีรอยยิ้มกวนประสาทอยู่ “หรือว่ามึงนอน?”
“มึงอยากลงไปนอนมั้ยล่ะ? เดี๋ยวกูยัน!”
เถียงกันไปมาสักพักก็ถึงสยามอย่างที่ตั้งใจไว้ ล้งเล้งเดินตามทะเลลงจากรถ เขาไม่ได้สนใจเพื่อนสมัยเด็กของตัวเองที่เดินนำหน้ามากนัก อาจจะเพราะว่าตอนนี้กำลังวุ่นวายอยู่กับแชทกลุ่มสอนพิเศษ ตอนแรกเขาตั้งใจจะรอให้น้องออกมา ดูฟี๊ดแบคหลังจากสอบของน้องๆ แต่คิดอีกทีก็ไม่จำเป็นเท่าไหร่นัก เพราะสองในสามของน้องมีพ่อแม่มารอรับอยู่แล้ว
น้องๆ ของครูล้งเล้งผู้หล่อเหลา (5)
ล้งเล้ง: สอบเสร็จแล้วบอกพี่หน่อยนะ
ล้งเล้ง: พอดีพี่ถูกเพื่อนลากมากินข้าว
ล้งเล้ง: เลยไม่ได้รอจนพวกเราสอบเสร็จ
ล้งเล้ง: อย่าลืมบอกพี่นะ!
มีคนอ่านหนึ่งคน ซึ่งล้งเล้งคิดว่าน่าจะเป็นน้องแทนกาย เด็กคนเดียวที่ไม่ได้ลงสอบกับเพื่อนคนอื่นด้วย เพราะเจ้าตัวไม่รู้ว่าอยากจะเข้าอะไร แต่ไม่อยากจะเข้าภาคอินเตอร์เลยไม่ได้สอบตั้งแต่แรก ซึ่งต่างจากน้องลูกเกด ลิลลี่ แล้วก็โจ้ที่อยากหาโอกาสให้ตัวเองมากเท่าที่มากได้ เลยกว้านสอบไปทั่ว
“มึงอยากกินอะไร?”
ล้งเล้งถูกดึงออกมาจากหน้าจอโทรศัพท์เมื่อคนที่เดินอยู่ข้างหน้าหยุดแล้วถามเขา ชายหนุ่มสั่นหัวยักไหล่คล้ายกับจะบอกว่า ‘ไม่รู้ แล้วกูก็ไม่สนใจด้วย’ ซึ่งนั่นไม่ใช่คำตอบที่ทะเลต้องการ
“มึงจะกินอะไร?”
“อะไรก็ได้”
“ร้านไหนในสยามขายอะไรก็ได้ พากูไปหน่อย”
“เอ๊ะ มึงกวนตีนกูเหรอ?!”
ตอนนี้ล้งเล้งสนใจทะเลมากกว่าโทรศัพท์เรียบร้อยแล้ว ถึงแม้จะเป็นความสนใจที่คล้ายๆ กับการอยากต่อยให้ตาเขียวก็ตาม
“เอ๊า กูก็ไม่รู้” ทะเลยังคงพูดนิ่งๆ ใบหน้ามีรอยยิ้มมุมปากคล้ายกับกำลังทำเรื่องสนุกเหมือนเคย “เผื่อมึงรู้ไง เลยถาม”
“ไอ้สัตว์ กวนส้นตีน”
“แล้วสรุปอยากกินไร?”
“เลือกๆ มาเถอะ สักร้านอ่ะ!”
มื้อเที่ยงของวันนั้นตกเป็นร้านสุกี้ชื่อดังที่พวกเขารู้จักกันดีอยู่แล้ว นั่นก็คือ MK สุกี้ ล้งเล้งถลึงตามองอีกคนด้วยความแบบ ‘นี่มึงเอาจริง?’ แต่ทะเลไม่ได้สนใจอีกฝ่าย เขาลากล้งเล้งดุ่มๆ ไปเอาคิวที่ร้านสาขาสยามสแควร์วัน ถึงแม้จะขึ้นมาสูงหน่อยแต่พวกเขาคิดว่าสาขานี้น่าจะคนน้อยกว่าสาขาสยามพาราก้อนแน่นอน
“ถ้าบอกตัวเองตอนประถมว่าวันนึงจะมานั่งกินสุกี้หม้อเดียวกันกับมึงนะ กูคงหัวเราะฟันหัก”
ล้งเล้งพูดตอนที่พวกเขากำลังดูเมนูในหน้าจอ ตอนนี้เขากำลังกดสั่งเนื้อและผักลงหม้อไว้กินด้วยกันอยู่ มีบางทีที่ทะเลกวนตีนคอยเลื่อนกลับหลังตอนที่เขากำลังจะสไลด์เมนูให้เลื่อนไปบ้าง แต่พอเตะขามันใต้โต๊ะสักที ก็ยอมนั่งเงียบๆ เรียบร้อยไปสักพักเหมือนกัน
“มึงกินติ่มซำป้ะ?”
“เอาๆๆ กูขอฮะเก๋ากับซาลาเปาหมูแดง”
“ฮะเก๋าอร่อยยังไงวะ ขนมจีบดิดีกว่าเยอะ”
“เสือก! มึงมันลิ้นจระเข้”
“ก็มันจริง จะให้กูโกหกหรือไง?”
“กดเลือกเมนูไปเถอะมึงน่ะ กูจะแดก!”
ทะเลพยักหน้าเงียบๆ ปล่อยให้ล้งเล้งกดเลือกติ่มซำที่ตัวเองอยากกินไป เท่าที่สั่งดูแล้วเมนูที่รอให้มาส่งนั้นมีอะไรเบสิกสามัญตามแบบที่คนทานร้านนี้ส่วนใหญ่จะสั่ง หมี่หยดเป็ดย่าง ผักชุดเล็ก ชุดเนื้อ กับซีฟู๊ดตามปกติ อาจจะเป็นโชคดีที่พวกเขาทั้งสองคนไม่มีใครแพ้อาหารทะเล เลยสั่งกันได้อย่างเต็มที่ตามที่อยากทาน
รอไม่นานนักอาหารบางส่วนที่พวกเขาสั่งไว้ก็มาเสิร์ฟ เท่าที่กองอยู่บนโต๊ะตอนนี้เหมือนส่วนใหญ่จะเป็นพวกชุดผัก ลูกชิ้นต่างๆ แล้วก็มีบะหมี่หยกเป็ดย่างที่มาเสิร์ฟก่อน
ล้งเล้งมองอาหารตรงหน้าแล้วขมวดคิ้ว นี่หมี่ห้าก้อนกับเป็ดจานใหญ่เหรอวะ ทำไมมันน้อยขนาดนี้ เดี๋ยวไอ้เหี้ยทะเลแย่งกินหมดแล้วเขาจะทำยังไง? ถึงจะถามแบบนี้ แต่ในใจมีภาพตัวเองเอาถาดบะหมี่ฟาดหัวมันไปเรียบร้อยแล้ว
“มึง”
“ว่า?”
นักศึกษาหนุ่มมองอีกคนที่จ้องจานหมี่หยกที่วางอยู่บนโต๊ะระหว่างพวกเขาสองคนด้วยสายตาจริงจัง ก่อนที่เสียงยานคางนั่นจะเอ่ยถามออกมา
“มึงลวกหมี่หยกมั้ยวะ?”
คำถามวัดใจ
ล้งเล้งนิ่งไปนิดนึง ก่อนจะตอบกลับไปด้วยเสียงราบเรียบ
“กูลวก บ้านกูลวกทั้งบ้านอ่ะ ทุกคนลวกทุกอย่างในหม้อหมด เหมือนอาม่าจะเชื่อว่าถ้าอะไรที่ยังไม่ลงหม้อสุกี้ถือว่าไม่สุก”
เด็กหนุ่มไม่พูดเปล่า เขาเปิดฝาหม้อสุกี้ที่ตอนนี้กำลังเดือดปุด กลิ่นน้ำซุปหอมฟุ้งลอยออกมาแตะจมูกของพวกเขาทันที ล้งเล้งรู้สึกเหมือนกับท้องของเขากำลังกรีดร้องโหยหวนอย่างบ้าคลั่ง
เขาต้องการอาหาร เดี๋ยวนี้!
หิวเว้ย!
“อืม”
ทะเลรับคำแต่ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม ล้งเล้งไม่รู้ว่าเพราะอีกฝ่ายกำลังวุ่นวายอยู่กับการเอาผักลงหม้อหรือเปล่า
“แล้วมึงอ่ะ?” ล้งเล้งถามอีกฝ่ายดูบ้าง
“ไม่ลวก”
“นั่นไง กูว่าแล้ว”
ล้งเล้งตบโต๊ะด้วยความยินดีเมื่อสิ่งที่ตัวเองคิดเอาไว้ถูกต้อง อย่างไอ้ทะเลน่ะเหรอจะมีอะไรเหมือนกันกับเขา ไม่มีทางหรอกชาตินี้
“ว่าอะไร?”
“ยังไงมึงก็ต้องตรงข้ามกูอยู่แล้ว ถ้ากูลวกมึงก็ต้องไม่ลวกไง เดาไม่เห็นยาก”
“เดาไม่ยากจริงเหรอ?”
“ใช่สิ” ล้งเล้งตอบคำถามก่อนหน้านั้น พร้อมทั้งเอาเนื้อหมู กับลูกชิ้นลงไปในหม้อ “มันก็เป็นแบบนี้มาตลอดไม่ใช่หรือไง?”
ทะเลไม่ได้ตอบอะไรเพิ่มเติม สิ่งที่ชายหนุ่มทำคือเขาเอาตะเกียบคีบหมี่หยกบนจานขึ้นมาส่วนหนึ่ง ก่อนที่จะเอาใส่กระชอน แล้ววางไว้ในหม้อต้ม
“อ้าว! ไหนมึงบอกมึงไม่ลวกหมี่หยกไง?”
“กูแค่พูดตรงข้ามกับมึงไปงั้นอ่ะ”
“เพื่อ?”
ล้งเล้งถามอย่างไม่เข้าใจ ในขณะที่มือก็ตักกุ้งที่เพิ่งสุกในหม้อมากินด้วย ปากก็เคี้ยวกุ้งไป ตาก็มองหน้าคนที่นั่งตักอาหารทานอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ล้อเล่น”
“โว๊ะ!”
“งั้นจริงจังละกัน”
“ฮะ?”
“เพื่อกวนตีนมึงไง”
“...”
“กวนตีนมึงอย่างจริงจัง”
“ไอ้เหี้ย!”
ทะเลพูดเรื่องต่างๆ กับล้งเล้งด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งยานคางของเจ้าตัว ใบหน้าของอีกคนประดับด้วยรอยยิ้มมุมปากแบบที่ล้งเล้งเห็นจนชินตา ซึ่งล้งเล้งก็แก้แค้นอีกฝ่ายด้วยการแย่งกุ้งมากินคนเดียว มึงแดกผักไปเล กวนส้นตีนดีนัก กุ้งนี้เป็นของกู!
ท่ามกลางการแย่งเป็ดและโต้เถียงกันเล็กน้อยนั้น สุกี้หม้อนี้ผ่านไปได้ดีกว่าที่ล้งเล้งเคยคิดไว้มากโข พวกเขาคุยเล่นกัน กัดกัน หัวเราะเรื่องตลกที่ต่างคนต่างเจอมา ตัวตนที่เป็นมิตรของทะเลที่ล้งเล้งเพิ่งจะสัมผัสได้ครั้งแรกนั้นทำเอาภาพความทรงจำในวัยเด็กเลือนราง
อันที่จริง ทะเลแม่งก็ไม่ได้เหี้ยนี่หว่า
“ลูกหมา”
“กูต้องบอกมึงกี่ครั้งว่ากูไม่ใช่ลูกหมา”
ล้งเล้งตอบอีกคนกลับไปเสียงขุ่น ตอนนี้พวกเขามายืนอยู่หน้าโรงหนังด้วยกัน หากนับกันตามตรง นี่เป็นครั้งที่สองที่พวกเขาจะดูหนังร่วมโรงเดียวกัน ซึ่งในครั้งแรกนั้น ล้งเล้งแพ้อีกฝ่ายหมดรูปในการแข่งขันไม่เข้าห้องน้ำ ครั้งนี้ทะเลเลยยื่นข้อเสนอให้แข่งกันใหม่ ซึ่งล้งเล้งกระโดดรับคำท้าทันที
“ตกลงน้องคนนั้น เขาโอเคแล้วใช่มั้ย?”
“คนไหน?”
“แทนกาย”
ติวเตอร์ตัวเล็กนิ่งไปสักพักเมื่อใบหน้าเปื้อนน้ำตาของเด็กที่สอนแว๊บเข้ามาในหัวทันทีหลังสิ้นคำของอีกคน ชายหนุ่มส่ายหัวสะบัดภาพนั้นทิ้งไป ก่อนจะตอบอีกฝ่าย
“น้องโอเคแล้วมึง ล่าสุดก็ไลน์มาบอกว่าโอเคนะ แต่อาจจะต้องดูอาการไปเรื่อยๆ เพราะหมอใหม่ยังไม่อยากปรับยาอะไรน้อง เลยแค่นัดเจอเพื่อพูดคุยก่อน อันนี้ตามที่น้องบอกกูมานะ”
“อืม” ทะเลรับคำสั้นๆ ใบหน้าของอีกฝ่ายคลายความกังวลลงเล็กน้อย “ดีแล้วแหละ”
“นั่นดิ กูสงสารน้อง”
“อืม”
“ตอนนั้นกูโคตรเครียด แบบมึงเข้าใจใช่มั้ย เด็กที่มึงสอนอ่ะ เห็นเขาเป็นแบบนั้นกูก็อดเป็นห่วงไปด้วยไม่ได้ ไหนจะไม่อยากให้กูบอกพี่ชายอีก เหมือนเป็นผู้กุมความลับอะไรบางอย่างแต่ไม่รู้ว่าจะช่วยเขาได้ยังไง โคตรเครียด”
ทะเลพยักหน้ารับคำพูดยืดยาวของอีกคน พร้อมกับกดจองตั๋วหนังไปด้วย รอบนี้พวกเขาเลือกดูภาพยนตร์แอคชั่นคล้ายกับครั้งที่แล้ว อันที่จริงทะเลไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าหนังที่กดมันคืออะไร เลือกๆ มาสักเรื่องนั่นแหละ
เขาแค่อยากดูหนังกับล้งเล้ง หนังเรื่องอะไรก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับว่าคนข้างๆ ของเขาเป็นใคร
“ตอนที่น้องไลน์มาบอกว่าตอนนี้สบายใจขึ้นกว่าตอนที่หาหมอคนเดิม กูเหมือนยกภูเขาออกจากอกเลยว่ะ โคตรดีใจ”
ล้งเล้งยังคงพูดบ้งเบ้งเหมือนอย่างเคย ใบหน้าของอีกฝ่ายเปื้อนยิ้มกว้างที่เป็นหลักฐานชั้นดีว่าตัวเองมีความสุขแค่ไหน ซึ่งนั่นทำให้คนที่ยืนอยู่ข้างๆ อดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้
ล้งเล้งเหมือนพระอาทิตย์
ไม่ว่าใครอยู่ใกล้ก็ได้รับพลังบวกจากตัวชายหนุ่มเสมอ
“เก่งแล้ว ไอ้ลูกหมา”
ทะเลพูดพร้อมกับเอามือไปขยี้หัวคนที่ตัวเล็กกว่าทันที ส่งผลให้อีกคนโวยวายด่าพ่อเหมือนที่ชอบทำ แต่ครั้งนี้นั้นพวกเขาทั้งคู่ต่างรู้ดีว่ามันมีอะไรแปลกไป ล้งเล้งไม่ได้โกรธ ทะเลไม่โดนทำร้ายร่างกาย บรรยากาศของพวกเขาทั้งสองคนนั้น ต่างจากเมื่อหลายเดือนก่อนอย่างสิ้นเชิง
“ต้องบอกมึงอีกกี่ทีว่ากูไม่ใช่ลูกหมา!”
นิสิตหนุ่มไม่ได้สนใจคนข้างๆ ที่แย้งออกมาอยู่แบบนั้น เขาเดินดุ่มๆ เพื่อไปซื้อป๊อปคอร์นกับน้ำสำหรับสองที่ ยังไม่ทันที่ล้งเล้งจะอ้าปากบอกว่าตัวเองเอาอะไร ทะเลก็จัดการทุกอย่างเสียหมด
“รสหวานครับ”
“ไอ้เหี้ยทะเล กูไม่กินหวาน”
“กูรู้” ทะเลตอบนิ่งๆ ใบหน้ามีรอยยิ้มมุมปากปรากฏอยู่
“แล้วซื้อมาเพื่อ? กวนตีนกูหรือไง?”
“เก่งนี่หว่า”
“สัตว์เอ้ย คนอย่างมึงนี่นะ!”
พวกเขาเล่นกันอย่างไม่จริงจังนัก การดูหนังครั้งนั้นเป็นไปด้วยความสนุกสนาน ทั้งที่มันเป็นแค่การใช้เวลาร่วมกันไม่กี่ชั่วโมงกับจอภาพยนตร์ตรงหน้า แต่ล้งเล้งกลับรู้สึกสบายใจ บางที เขาอาจจะมองอีกฝ่ายในแง่ดีขึ้นมากตั้งแต่เรื่องแทนกาย หากพูดแบบไม่อายล่ะก็ เพียงตัวเขาคนเดียว ณ ตอนนั้นน่ะ ไม่สามารถหาทางออกเรื่องนั้นได้แน่นอน
ยิ่งพอมาเจอกันในตอนนี้ ตอนที่ล้งเล้งเริ่มวางอคติในใจของตัวเองลงไปแล้ว เขาค้นพบว่าทะเลเป็นคนที่ความคิดดี อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ไม่ต้องเกร็ง หากพูดด้วยความสัตย์จริงเลย ทะเลเป็นคนที่คุยสนุกมากคนหนึ่ง
ถ้าพูดแบบจริงมากกว่านั้นอีกล่ะก็ … พวกเขาเข้ากันได้ดีกว่าที่คิด
ไม่ว่าล้งเล้งจะพูดหรือจะทำอะไร เดินไปที่ไหนในห้างนั้น ทะเลเหมือนจะรู้จักเขาดีไปหมด พวกเขาไปร้านหนังสือด้วยกัน ตัดสินใจดูหนังด้วยกันแบบที่ไม่ต้องคิดอะไรมาก
“โคตรสนุก”
ล้งเล้งเป็นคนแรกที่เปิดปากหลังจากออกมาจากโรงภาพยนตร์ พวกเขาเดินแทรกตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่บางส่วนก็คุยกันออกรสถึงเนื้อเรื่องที่เพิ่งจะจบไป บ้างก็เล่นโทรศัพท์มือถือของตัวเอง ซึ่งล้งเล้งอยู่ในกลุ่มแรกอย่างไม่ต้องสงสัย
“มันก็ดี”
“ใช่ป้ะมึง” คนตัวเล็กยังจ้อไม่หยุด “ยิ่งตอนที่พระเอกกระโดดนะ กูแบบ โห ไปสุดว่ะ”
พวกเขาเดินคุยเรื่องหนังกันมาเรื่อยๆ จนถึงบนสถานีรถไฟฟ้า ตอนแรกล้งเล้งที่คิดว่าตัวเองจะต้องโหนรถกลับไปบ้านคนเดียวนั้นก็ได้เพื่อนร่วมทางเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง เพราะบ้านของพวกเขาอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ขึ้นกลับทางเดียวกันมันก็ถูกแล้ว
ทั้งที่ตามปกติแล้วการขึ้นรถไฟฟ้าสำหรับล้งเล้งเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน แต่ครั้งนี้กลับสั้นลงเพียงอึดใจเดียวเท่านั้น อาจจะเพราะมีเพื่อนร่วมทางที่คุยกันรู้เรื่องมาด้วย ชายหนุ่มทั้งสองคุยเรื่องภาพยนตร์ เรื่องหนังสือ เรื่องแนวคิดทางการเมืองบางมุม แม้กระทั่งลวกหมี่หยกยังลวกเหมือนกันน่ะ!
นี่มันมิตรภาพชัดๆ!
“มึงรู้ป้ะ?”
ล้งเล้งเปิดประเด็นตอนที่พวกเขายืนอยู่บนรถไฟฟ้าด้วยกัน อีกสามสถานีจะถึงบ้านของทั้งคู่ ตอนนี้โทรศัพท์ของนักศึกษาหนุ่มที่แบตหมดไปแล้วอยู่ในมือของเจ้าตัว ที่เอาพาวเวอร์แบงค์ของคนที่มาด้วยกันชาร์จไว้อยู่
“ไม่รู้ว่ะ”
“อ้ะ ไอ้เหี้ยทะเล จะช่วยดีกับกูสักวินาทีได้มั้ย?”
เด็กหนุ่มคนที่ตัวเล็กกว่าพูดพร้อมกับแกล้งศอกใส่คนที่ยืนโหนราวอยู่ข้างๆ ไม่แรงมากนัก คล้ายกับจะเป็นการหยอกเย้ามากกว่าทำให้เจ็บตัว
“ตกลงมึงมีไร?”
“กูแค่รู้สึกดี” ล้งเล้งพูดด้วยหน้าตาเปล่งปลั่ง ดวงตากลมของอีกคนเป็นประกายคล้ายกับเด็กที่ได้เจอเรื่องสนุก “หมายถึง กูมีความสุขนะที่ออกมากับมึงวันนี้ เชี่ย รู้งี้กูคุยกับมึงไปตั้งนานแล้ว เสียเวลากระทืบมึงฉิบหาย”
“...”
“ตอนอยู่กับมึงแม่งโคตรสบายใจเลยว่ะ แบบยอมรับแมนๆ เลยเนี่ย”
“...”
“กูอยากเป็นเพื่อนกับมึงว่ะ ทะเล”
พูดออกไปแล้ว
เด็กหนุ่มตัดสินใจเรียบเรียงคำพูดในหัวแล้วเปล่งออกไปให้อีกฝ่ายรับรู้ ล้งเล้งยังคงตื่นเต้นกับความรู้สึกใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น ชายหนุ่มค่อนข้างมั่นใจว่าถ้าเขาสามารถ แฮงก์เอาท์กับเพื่อนคนนี้ได้บ่อยๆ มันคงต้องสนุกมาก ทะเลอาจจะเป็นเพื่อนที่ดี … น่าจะเป็นเพื่อนที่ดี
ฉับพลัน สีหน้าทะเลเปลี่ยนไป
มันยังคงเป็นใบหน้านิ่งเรียบ หากแต่รอยยิ้มมุมปากที่ล้งเล้งเห็นจนชินตานั้นละลายหายไป แววตามีความสุขของอีกคนหม่นแสงลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่จะรู้ตัว ทะเลพูดออกมาด้วยน้ำเสียงยานคางเรียบนิ่งเหมือนเดิม แต่น้ำหนักของมันกลับจริงจังเสียจนหัวใจของล้งเล้งรับรู้ได้
“ไม่อ่ะ”
“...”
“กูไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับมึง” ------- TBC -------
เรางานเยอะมาก แบบมากๆ (บ่นไม่ได้อีกเพราะรับฟรีแลนซ์ งานเยอะคือดีแล้ว แง)
เลยมาอัพช้ามาาาาาาา
ขอบคุณทุกคนที่อ่านน้า
#รักไม่คาดคิดในวันพุธ