3rd Wednesday #รักไม่คาดคิดในวันพุธ
“ล้งเล้ง” “มึงทำหน้าเหมือนข้าวหมา”
“มึงทำหน้าบู้บี้”
“มึงทำหน้าเหมือนคนขี้ไม่สุด”
บางที ล้งเล้งก็คิดว่าตัวเองทำกรรมอะไรต้องมีเพื่อนแบบไอ้พวกนี้
“กูแค่คิดอะไรนิดหน่อย”
เขาตอบบีมบุ๋มกลับไป ตอนนี้เด็กนักศึกษาทั้งห้าคนนั่งกันอยู่ที่โรงอาหารคณะวารสารศาสตร์ที่เรียกติดปากว่าโรงเจซี ซึ่งอันที่จริงพอออกจากตึกเรียนมามันมีโรงอาหารไว้ให้ทานข้าวถึงสองโรง แต่ด้วยปริมาณเด็กที่อัดแน่นจนล้น ไม่ว่าจะไปไหนก็เหมือนกัน เพื่อนเขาอยากกินร้านอาหารในนี้เลยเดินเข้ามา
ประเทศนี้ มหาลัยนี้แม่งก็ร้อนเหลือเกินเว้ย ล้งเล้งมั่นใจว่าถ้าหากเขาเดินจากหอมาเรียนที่ตึกทุกวันนะ สี่ปีผิวที่แขนเปลี่ยนสีแน่นอน แดดแผดเผาอะไรขนาดนี้ ไม่เข้าใจ
แน่นอนว่าเด็กที่มีเป้าหมายจะเข้ามหาลัย C อย่างล้งเล้งน่ะ
ตอนนี้… อยู่มหาลัย T ครับ
ล้งเล้งเข้าม. C ไปแล้ว ติดคณะที่เลือกไปแบบที่ตัวเองไม่ชอบ แต่ด้วยอารมณ์ของเด็กมัธยมหก ล้งเล้ง ณ ตอนนั้นขอเพียงที่นั่งสักที่ในมหาลัย ไม่ว่าจะเป็นคณะอะไรเขาก็โอเค แต่พอเข้าไปเรียนเทอมแรกเขาก็รู้แล้วว่า
นี่มันเหี้ยอะไรวะ
ไม่ใช่ว่ามหาลัยไม่ดี แต่เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ควรอยู่ตรงนี้ พอตัดสินใจแน่วแน่ว่ามองไม่เห็นอนาคตตัวเองในที่นี้จนถึงปีสุดท้าย ล้งเล้งก็ไปลาออกทันทีโดยไม่คิดเสียดายเวลาหรืออะไร กลับมาอยู่บ้าน ทบทวนหนังสือเรียนพิเศษกองพะเนิน แล้วสอบแกทแพทใหม่ เพื่อยื่นคะแนนแอดมิชชั่นอีกครั้ง
คราวนี้เขาได้คณะที่ตัวเองอยากได้ ในมหาลัย T
เท่าที่ใช้ชีวิตมาเกือบหนึ่งเทอม ล้งเล้งรู้สึกว่าที่นี่ ทั้งตัวคณะและมหาลัยเหมาะกับเขามากกว่าที่เก่า แถมเขายังได้เพื่อนที่ดี ถึงแม้จะไม่ค่อยมีสติก็ตามที
อีกสาเหตุที่ซิ่วน่ะเหรอ?
เหตุผลง่ายๆ
ไอ้เหี้ยทะเลมันอยู่มหาลัย C
คนที่ฉลาดอย่างมันเข้ามหาลัยท็อปเขาก็ไม่แปลกใจหรอก แต่ไอ้การที่มันมาเคาะประตูบอกเขาด้วยหน้านิ่งแต่มีรอยยิ้มกวนประสาทที่มุมปากว่า ‘เราเรียนที่เดียวกันอีกแล้วนะ’ มันทำให้เขาปักธงในใจเลย ว่าถ้ากูจะซิ่วครั้งนี่
กูจะไม่เรียนที่เดียวกับมึง!
หากพูดแค่นี้ก็ดูจะปัญญาอ่อนไปหน่อย อันที่จริงตอนช่วงเวลาหลังจากลาออกมหาลัย C ล้งเล้งว่างมากพอที่จะเข้าไปนั่งดูวิชาเรียนกับวิชาเอกแบบคร่าวๆ ของคณะที่อยากเข้าในหลายๆ มหาลัย ดูไปดูมา ถามเจ๊กุ๊กกิ๊กกับพี่ซุกซนที่จบจากที่นี่ รวมถึงญาติหลายคนจากทั้งสองมหาลัย จนสรุปได้ว่าเขามาที่นี่ดีกว่า
ตอนแรกพี่ๆ ก็เตือนว่ามหาลัยมันร้อนนะ
ก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าแม่งจะร้อนขนาดนี้
“มึงกินไอ้นี่ทุกวันไม่เบื่อเหรอวะน่ะ?”
มูถามขึ้นมาเมื่อเห็นว่าล้งเล้งถืออะไรขึ้นมาวางบนโต๊ะที่พวกเขานั่งกัน มันคือข้าวปลาซาบะจากร้านอาหารญี่ปุ่นที่เขาถูกปาก เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว คืออะไร? กูกินข้าวซ้ำกันทุกวันแล้วโลกมันร้อนขึ้นหรือเปล่า? ก็ไม่ไง
“ไม่อ่ะ กูเบื่อมึงมากกว่าอีก”
“เนี่ย พวกจับได้ไพ่ Chariot แข็งเป็นหิน ไม่มีความอ่อนโยน”
ผมปล่อยให้มันพูดพล่ามอะไรของมันไป ถ้าให้เดานี่แม่งต้องเข้าท็อปปิคมูเตลูแล้วแน่นอน บอกแล้ว ชื่อมูเตลูไม่ได้มาเพราะความบังเอิญ
“ตอนแรกกูก็กะจะเปลี่ยนเมนู แต่กินให้มึงถามอ่ะ รู้อยู่ละว่าเป็นคนขี้สงสัย”
“ด่ากูเสือกเลยสิ”
“เสือก”
“โห กูว่าละ พวกโหวงเฮ้งแบบมึงนี่โบราณว่าไว้ว่าเป็นพวกปากเปราะ”
อ่ะ เปรียบซะกูไม่ใช่คนเลย
เมื่อกี้บอกกูไม่อ่อนโยน ตอนนี้บอกกูโหวงเฮ้งปากเปราะอีก มึงเกิดมาเพื่อด่ากูหรือไง?
ล้งเล้งหันไปทำหน้าบึ้งใส่มันนิดหน่อยแต่มันยักไหล่ไม่สนใจ ตัวเด็กหนุ่มเลยเริ่มกินข้าวตรงหน้าตัวเองบ้าง มูเป็นสีสันของมหาลัย ซึ่งสีสันที่เขาพูดถึงคือ ‘สีสัน’ ตรงตัว
อย่างเช่นวันนี้ วันพฤหัส
สีมงคลของปีนี้สำหรับวันพฤหัสคือสีน้ำเงินแน่นอน
ถามว่ารู้ได้ยังไง? ไอ้เหี้ยมูมันคอสเพลย์เป็นสเมิร์ฟวันนี้ เพื่อนของเขามันน้ำเงินทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า หมวกฟ้า เสื้อลายตารางสีฟ้าน้ำเงิน กางเกงยีน รองเท้าผ้าใบสีฟ้านีออน ถ้าทำได้ล้งเล้งคิดว่ามูคงจะเอาตัวจุ่มถังสีก่อนออกจากห้องแล้วแหละ
มันมีประโยชน์มากเวลาจองโต๊ะในโรงอาหาร เพื่อนคนอื่นไม่ต้องเสียเวลาในการมองหาโต๊ะที่แทบจะกลืนไปกับฝูงนักศึกษาที่หลั่งไหลออกมาจากห้องเรียน เรามีคนที่ที่สุดในโลกนั่งอยู่นี่แล้ว
มูเป็นนิยามของคนที่มาทางสายมูเตลูโดยแท้ ในคณะที่งานวิจัยก็อ้างอิงหลักวิทยาศาสตร์ไป มันก็อ้างอิงหลักโหราศาสตร์ โหวงเฮ้งศาสตร์ เสื้อมงคลวิทยาอะไรของมันไปเรื่อย
“ปากกูงับหัวมึงได้”
“อย่าทำผ้ม”
“สัตว์! นั่งแดกข้าวไป มึงเป็นอะไรเนี่ย? ไม่หิวหรือไง?”
“กูเป็นผู้รู้ ที่กำลังตื่น และอารมณ์เบิกบาน”
“โอเคผู้รู้ กูเป็นผู้หิวข้าว กูกินละนะ”
ล้งเล้งตอบไปมันพร้อมกับกินข้าวตรงหน้าไปด้วย ความจริงแล้วเขาไม่ได้ชอบอาหารจานนี้ขนาดนั้น มันดันเป็นร้านที่เร็ว กินได้ และราคาไม่แพง ก็เลยเลือกทาน
“เพื่อนมู น้องล้งเล้ง”
“พวกนายเห็นเจ๋งมั้ย?”
“เจ๋งเป้งหาย”
“เจ๋งเป้งตายหรือยัง?”
นอกจากมูแล้ว ไอ้สองหน่อนี่ก็ทำให้ประสาทเสียไม่แพ้กัน
บุ๋มบีมเดินเข้ามาพร้อมกับถาดอาหารในมือ โดยบุ๋มถือมาสองถาด ของตัวเองกับของบีม ส่วนบีมถือของมูมาให้ ทดแทนที่มูต้องนั่งเฝ้าโต๊ะแทนพวกเขาที่จะลงไปซื้อข้าวกิน
“เมื่อเช้าเจ๋งเป้งมันโดด ยังไม่เจอเหมือนกัน แต่เห็นบอกว่าจะไปกับเราตอนบ่ายด้วยนะ”
ล้งเล้งตอบเพื่อนไป ตอนนี้เขาทานอาหารตรงหน้าเสร็จเรียบร้อย เลยนั่งเล่นมือถือรอเพื่อนกินไปก่อน อันที่จริงตอนเช้าวันนี้เขามีเรียนกับเจ๋งเป้งสองคน วิชาภาษาจีน แต่ไอ้เจ๋งมันโดด ในคลาสเลยมีเพียงแค่ล้งเล้งนั่งอย่างหงอยเหงาอยู่คนเดียวเท่านั้น
“เอ้า ทำไมมันไม่มาเรียนวะ มันไปไหน?” มูถามพลางกินข้าวตรงหน้าไปด้วย
“ตื่นสาย เลยขี้เกียจเข้า”
“อ่อ แต่ไปต่อตอนบ่ายได้?”
“มันว่างั้นนะ”
มูมันพยักหน้ารับรู้ก่อนจะกินข้าวต่อพร้อมกับเล่นมือถือไปด้วย ล้งเล้งมองปราดเดียวก็เห็นว่ามันเป็นมือถือสำหรับใช้ทำงาน
พูดถึงมูแล้ว การมีมือถือสองเครื่องหรือมากกว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะตัวมันเองแปลกกว่านั้นเยอะมาก
ในช่วงแรกที่ยังไม่สนิทกันมากนัก บีมมันเคยถามว่าทำไมมูถึงมีมือถือตั้งสองเครื่อง มันก็ตอบกลับมาง่ายๆ ว่าเครื่องนึงมีไว้ใช้ อีกเครื่องมีไว้คอยรับดูดวง
จะบอกอีกครั้ง ชื่อมูเตลูนั้น ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย
ไลน์!
ล้งเล้งหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาดูอ เขารีบกดเข้าไปดูเพื่อตอบเพื่อนในกลุ่มอย่างว่องไว พูดถึงเจ๋ง เจ๋งก็ไลน์มา ไอ้นี่มันตายยากจริง
เจ๋งเป้ง: ล้งเล้ง
เจ๋งเป้ง: เลิกแล้วใช่เปล่า
เจ๋งเป้ง: กินข้าวไหนกันวะ
ล้งเล้ง: โรงเจซี
เจ๋งเป้ง: โอเค
เจ๋งเป้ง: กำลังไป
ล้งเล้ง: เอาไรป้ะ?
เจ๋งเป้ง: ไม่เป็นไร กินแล้ว
ล้งเล้ง: เค
เจ๋งเป้ง: กินโกโก้ปั่นมั้ย
เจ๋งเป้ง: ซื้อให้
เจ๋งเป้ง: มึงชอบนี่
ล้งเล้ง: ไม่อ่ะ
ล้งเล้ง: แต้ง
ล้งเล้งมองข้อความตอบกลับล่าสุดจากเพื่อนซึ่งเป็นสติกเกอร์โง่ๆ แว๊บเดียวแล้วปล่อยทิ้งเอาไว้แบบนั้น เจ๋งเป้งเป็นเพื่อนที่ดี แต่บางทีก็น่ารำคาญ ชอบวอแวจนบางทีผมรู้สึกเหมือนมีพ่อคนที่สอง
“ไอ้เจ๋งกำลังมานะ”
“เออๆ เคๆ”
ล้งเล้งบอกเพื่อนที่กำลังคุยกัน พอบอกพวกมูมันก็อืมๆ เออๆ ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ในขณะที่พวกเขากำลังจะลุกไปวินรถตู้นั้น มีเสียงเรียกมาจากอีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะพอดี
“เอ่อ…ขอโทษนะคะ”
ทั้งสี่หันขวับ คนที่เรียกพวกเขาคือเด็กผู้หญิงเขาดำในชุดนักศึกษาคนหนึ่ง ซึ่งยิ้มเห็นเหล็กดัดฟันมาให้ ล้งเล้งเป็นคนแรกที่ตอบออกไป เพราะว่าเธอยืนส่งยิ้มให้เด็กหนุ่มพอดี
“ครับ?”
“ขอไลน์ได้มั้ยคะ?”
พวกเขาทั้งสี่คนเงียบนิ่ง มองหน้ากันเพราะไม่แน่ใจว่าเขาขอไลน์ใครกันแน่ จนผู้หญิงคนนั้นยื่นโทรศัพท์มาตรงหน้าเขาอย่างอายๆ
เชี่ย! เขาขอไลน์กู!!!
สำหรับล้งเล้งแล้ว นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตมหาลัยที่มีคนมาขอไลน์ด้วยเหตุผลอื่นที่ไม่ใช่ทำงานกลุ่ม เพื่อนของเขาอีกสามคนก็มองอึ้งๆ เช่นเดียวกัน ในส่วนของล้งเล้งนั้น หลังจากที่เลิกตกใจ ก็ยืดอกเชิดขึ้นด้วยความภูมิใจในตัวเอง
ก็คนมันหล่ออ่ะนะ
“เธอชื่อไรเหรอ?”
“ล้งเล้งครับ”
ล้งเล้งตอบในขณะที่พิมพ์ไลน์ของตัวเองใส่โน้ตให้เด็กผู้หญิงตรงหน้าไปด้วย เด็กหนุ่มมั่นใจว่าเขาเห็นอีกฝ่านกระพริบตาเล็กน้อย เหมือนไม่แน่ใจว่าได้ยินถูกหรือเปล่า ในขณะที่ล้งเล้งกำลังมือไม้เย็นเพราะตื่นเต้น เด็กผู้หญิงคนนั้นยิ้มๆ นิดหน่อย
“ชื่อน่ารักจรัง”
“อ่า… ครับ”
ในขณะที่ล้งหัวเราะแก้เขินอยู่นั้น กลุ่มเพื่อนๆ อีกสามคนมองหน้ากันด้วยสายตา ‘มึงๆ คิดเหมือนกูป้ะ?’ ‘เออๆ กูก็คิดเหมือนมึงเว้ย’ อยู่ เมื่อได้สิ่งที่ต้องการเรียบร้อย เด็กผู้หญิงผมดำกำลังจะเดินจากไป ในขณะนั้นเอง ล้งเล้งก็ได้เรียกเธอเอาไว้
“เดี๋ยว! เออ… แล้วเธอชื่ออะไรอ่ะ?”
“เราชื่อกิ๊บ”
“อ่อ คือ…”
“ไม่ต้องสนเราหรอก ไม่ต้องห่วงเราไม่แอดเธออยู่แล้ว เราขอไลน์เธอให้เพื่อนเรา”
เอ๊ะ?
ในขณะที่เขากำลังทำหน้าหมางงอยู่นั้น กิ๊บก็เดินจากไป ชายหนุ่มยักไหล่ สงสัยเพื่อนของกิ๊บอาจจะเป็นคนขี้อายล่ะมั้ง คงไม่กล้าเดินมาขอไลน์ผู้ชายเองตรงๆ เลยฝากเพื่อนมาขอไลน์ให้แทน
โห รู้สึกหล่อขึ้นอีกแล้ว
“ไปกันยังไงดีวะ? เพื่อนมึงจองตั๋วที่ไหนไว้ พารากอนป้ะ?”
บีมเป็นคนถามขึ้นมาโดยมีบุ๋มพยักหน้าสนับสนุนอยู่ข้างๆ บางทีเขาก็สงสัย สองคนนี้เป็นบ้าอะไรต้องทำตัวติดกันอย่างกับฝาแฝดแบบนี้
“รถตู้ไง หรือมึงจะเดินไป?” มูพูดขึ้นมาพลางดูดน้ำแดงในแก้ว อ่ะ คอสเพลย์เป็นกุมารทองก็มา
“ถ้าเดินบนหัวมึงก็ได้อ่ะ” บีมเป็นคนตอบ โดยที่มีบุ๋มเป็นลูกคู่พูด ‘หว่ายยยยยยยย หว่ายยยยยยยย’ อยู่ข้างๆ
“งั้นเหาะไปก็ได้”
“ยากเลย กูเลืมเอาผ้าคลุมล่องหนมา”
“เขาใช้ไม้กวาดป้ะมึง แฮร์รี่ พ็อตเตอร์เข้าไม่ถึงหรือไงวะ เท่ๆ ขี่ไม้กวาดงี้”
“อย่างมึงเอามากวาดพื้นกูยังสงสารไม้กวาด”
“มันต้องสงสารพื้นป้ะ?”
“ไม่ สงสารไม้กวาดที่ถูกมึงจับ”
ไอ้บีมกับไอ้มูมันเถียงกันครับ อันที่จริงพวกมันเป็นบ้าเป็นบอกันทั้งหมด เหมือนในกลุ่มมีเขาที่มีสติอยู่คนเดียว อาจจะมีเจ๋งเป้งอีกคน ถ้ามันไม่เลิกทำตัวเป็นพ่อของเขา
“ตกลงขึ้นรถตู้นะ กูจะได้บอกเจ๋งให้มันไปเจอที่วิน”
ล้งเล้งถามอย่างเหนื่อยใจ ถ้าไม่พาพวกมันเข้าเรื่อง เย็นนี้ไม่ได้ไปหรอกสยามเนี่ย นั่งแม่งอยู่แต่โรงอาหารนี่แหละ เถียงกันจนหนังออกโรงไปเลยเถอะพวกมึง
“น้องล้งเล้งว่าไง”
“พวกพี่ก็ว่าตามนั้นครับโผ้ม”
“โหย เราสองคนนี่โคตรเท่เลยว่ะบีม”
“นั่นสิบุ๋ม”
ล้งเล้งกลอกตาเมื่อเพื่อนเขาเริ่มทำตัวไร้สาระกันอีกแล้ว ถ้าไอ้มูมันพูดจริงเรื่องนรกสวรรค์อะไรของมันนะ ล้งเล้งมั่นใจว่าเขาจะต้องได้ขึ้นสวรรค์ เพราะถ้าลงนรกแล้วไปเจอพวกมันอีกคือพอแล้ว ลาขาด รำคาญเว้ย!
สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ไปถึงสยามกันจนได้
“กูไม่เข้าใจว่าทำไมเราไม่ดูที่ฟิวเจอร์วะ จะถ่อมาถึงนี่ทำไม”
เจ๋งเป็นคนแรกที่พูดขึ้นมา ตอนนี้พวกเขากำลังยืนอยู่บนบันไดเลื่อนขึ้นบนของห้างสยามพารากอน วันนี้คลาสบ่ายของพวกเขาทุกคนยกเลิก ตอนนี้ก็เลยว่างมากพอที่จะออกมาดูหนังกันที่สยาม โดยตอนแรกมูเป็นคนที่จะจัดการทุกอย่างให้ พอมาถึงตอนเที่ยงล้งเล้งถึงได้รู้ว่าอันที่จริงแล้ว มูให้เพื่อนจัดการให้ สมกับเป็นเพื่อนมูจริงๆ
“กูให้เพื่อนจองตั๋วให้ มันก็จองที่ที่ใกล้มันป้ะวะ”
มูพูดพร้อมกับดูดแก้วน้ำแดงที่มันถือติดมือมาตั้งแต่รังสิตยันสยาม
“แล้วทำไมเราไม่จองกันเอง?” บีมถาม ซึ่งเป็นคำถามที่ล้งเล้งก็คิดอยู่ในใจ
“กูถือเคล็ด วันนี้กูไม่ควรทำอะไร”
“แต่เมื่อเช้ามึงเข้าเรียน ไอ้ควาย”
คนด่าเป็นบุ๋มที่ยืนอยู่ข้างหลังของล้งเล้ง อันที่จริงแล้ว ล้งเล้งเกลียดการยืนอยู่กับเพื่อนในกลุ่ม ข้อแรกเลยคือพวกมันเป็นบ้า ซึ่งการอยู่กับคนบ้าเราจะกลายเป็นคนบ้าไปด้วย
แต่เหตุผลสำคัญที่สุดก็คือ เพื่อนของล้งเล้งทุกคนสูงถึงสูงมาก
เขายอมรับว่าตัวเองสูงมาตรฐานชายไทย นอกจากไอ้ทะเลคอสเพลย์เป็นเปรตแล้ว เด็กผู้ชายวัยเดียวกันทุกคนก็สูงไล่เลี่ยกันหมด แต่พอมาอยู่กับกลุ่มพวกมันแล้วเหมือนเป็นด็อบบี้ท่ามกลางฝูงโทร์ล หรือถ้าให้เห็นภาพง่ายๆ ก็เหมือนผมเป็นหมาปอมท่ามกลางฝูงไซบีเรียนที่กำลังทำตัวโง่
เด็กหนุ่มมองเพื่อนที่เถียงกันว่าไก่กับไข่ทำไมเกิดหลังไดโนเสาร์ด้วยสายตาครุ่นคิด อันที่จริงเขาไม่เคยถามพวกมันเลยว่าสูงเท่าไหร่ แต่ถ้าให้กะน่าจะเกิน 180 แน่นอน ส่วนตัวเขาน่ะ ถ้าพยายามเขย่งกับทำผมตั้งๆ หน่อย ก็จะวัดได้เต็มที่คือ 171 เซนต์
คิดแล้วก็แค้น ถ้าตอนเด็กกูไม่ขยาดนมนะ ป่านนี้ไอ้เจ๋งไม่ได้แดกหรอกเดือนคณะน่ะ!
อันที่จริง ตอนแรกรุ่นพี่มาทาบทามพวกมันทั้งหมดให้ไปเป็นหลีดคณะด้วย เล่นเดินมาขอไลน์ทุกคนในกลุ่มยกเว้นล้งเล้ง ตอนนั้นเด็กหนุ่มน้อยใจมาก ยังดีหน่อยที่บรรดาเพื่อนไม่มีใครไปคัดหลีดเลย (เขาเลยไม่ต้องเท้งเต้งอยู่คนเดียว) บุ๋มบีมบอกขี้เกียจ เสียเวลาเล่นเกม ไอ้มูมันต้องนั่งสมาธิทำจิตอะไรไม่รู้ ส่วนเจ๋งเป้งมันลงแค่เดือน มันบอกขี้เกียจซ้อม แค่กิจกรรมคณะก็หนักหนาแล้ว ซึ่งพอเจ๋งเป้งได้เป็นเดือนคณะแล้ว ก็ถอนตัวหลังจากที่รู้ว่าต้องไปเก็บตัวต่อเพราะขี้เกียจ จนตอนนี้ล้งเล้งไม่รู้แล้วว่าเดือนคณะคือใคร
อันที่จริง คณะภาษาที่พวกเขาเรียนกันมีผู้ชายเพียงแค่หยิบมือ จากเด็กเกือบพันนั้นเป็นผู้หญิงไปแล้วเก้าร้อย เหลือตัวผู้อยู่ไม่ถึงร้อย ซึ่งในร้อยคนนั้น ตั้งแต่เปิดเทอมมาเริ่มปัดมาสคาร่าไปทีละคนสองคน จนตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเหลือเพศชายจนจบกันกี่คน
“แล้วนี่เพื่อนมึงอยู่ไหนวะ?”
ล้งเล้งหันไปถามมูที่ตอนนี้กำลังทะเลาะกับเจ๋งเป้งเรื่อง ‘ทำไมมึงใส่เสื้อสีม่วงในวันนี้ ไม่รู้หรือไงว่าเสื้อม่วงในวันพฤหัสมันกาลกิณี’ พวกมันถึงหยุดเถียงกัน เจ๋งเป้งกระแอม ส่วนมูมันเช็กโทรศัพท์มือถือแป๊บนึง ก่อนจะตอบกลับมา
“แม็คชั้นล่าง ตรงใกล้ๆ ฟูจิ”
“งั้นเราไปเดินเล่นรอกันก่อนมั้ย ค่อยเจอเพื่อนมึงตอนเวลาใกล้ๆ จะดูหนัง?”
ล้งเล้งเสนอ จะให้ไปนั่งจ้องหน้าเพื่อนมูกินข้าวมันก็ไม่ใช่เรื่องเท่าไหร่ ซึ่งหลังจากเด็กหนุ่มพูดจบ มีเสียงแสดงความคิดเห็นจากเจ๋งเป้งตามมา
“เอางั้นก็ได้”
ตามด้วยเสียงคลอเป็นลูกคู่ของบุ๋มบีม
“น้องล้งเล้งว่าไง”
“พวกเราก็ว่าอย่างงั้น”
“โห เรานี่โคตรเท่เลยว่ะบีม”
“จริงด้วยบุ๋ม”
ล้งเล้งกลอกตาด้วยความเบื่อหน่าย ถ้าเลือกเพื่อนได้ อย่าเลือกที่เป็นบ้า
.
.
.
เหลือเพียงล้งเล้งคนเดียวที่อยู่ร้านหนังสือ
จากที่เมื่อครู่คุยกัน อีกสี่คนที่เหลือยกโขยงกันไปนั่งรอในร้านกาแฟ ส่วนตัวเด็กหนุ่มอยากดูหนังสือสักหน่อยเลยแยกจากเพื่อนทั้งโขลงมาคนเดียว เมื่อนึกเหตุผลที่พวกมันไปหากาแฟแล้วยังหงุดหงิดไม่หาย
‘มึงไปเลย กูขอนั่งรอร้านกาแฟ กูไม่อยากเห็นเหี้ยอะไรที่เป็นตัวหนังสืออีกแล้ว แค่สไลด์เมื่อเช้าทำกูจะอ้วก’
ดูไอ้เหี้ยมูมันพูด มึงเห็นตัวหนังสือตรงไหนก่อน คนจดทั้งหมดให้พวกมึงซีร็อกส์กันคือกู กูนี่! ส่วนมึงนู่น มาถึงแล้วก็นอนกรน!
เด็กหนุ่มสะบัดหัวเอาเรื่องเพื่อนปัญญาอ่อนออกไป ก่อนที่จะเดินดูบรรยากาศโดยรอบไปด้วย ตั้งแต่เด็กล้งเล้งชอบฝังตัวอยู่ในร้านหนังสือ ถึงแม้ว่าบางทีจะเป็นการเข้ามาเพื่อนั่งอ่านการ์ตูนก็เถอะ กว่าจะรู้ตัวอีกที เขาก็โตมาด้วยนิสัยที่ชอบเดินเข้าร้านหนังสืออยู่เป็นประจำไปแล้ว ถึงแม้หลายครั้งจะไม่ได้ซื้ออะไรติดมือออกมาเลยก็ตาม
สยามนี่ดีชะมัด มีร้านหนังสือใหญ่ๆ หลายร้าน ไม่เหมือนถวทุ่งรังสิต…
พอพูดถึงสยามแล้ว เด็กหนุ่มก็อดคิดถึงทะเลไม่ได้ เอาเถอะ วันนี้มันควรจะนั่งเรียนหัวฟูอยู่ที่คณะ โดนงานทับตายไปเลยก็ดี จะได้ไม่ต้องมายุ่งเวลาเขาสอนเด็กอีก
“ไอ้ลูกหมา”
พูดถึงเหี้ย เหี้ยก็ทักทายเราทันที
ล้งเล้งกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย ทำกรรมอะไรเอาไว้ถึงได้เจอมันถี่ขนาดนี้ ไอ้คนที่เรียกเขาว่าลูกหมาเมื่อครู่มายืนอยู่ข้างๆ วันนี้คู่แข่งทางการค้ามันก็ยังคงทำหน้าเหมือนง่วงนอนคล้ายกับทุกครั้งที่ล้งเล้งเจอ ใบหน้าหล่อมีรอยยิ้มกวนตีนคุ้นหน้าคุ้นตาประดับอยู่
นี่อาจจะเป็นครั้งแรกๆ ที่ล้งเล้งสังเกตว่าส่วนสูงของพวกเขาต่างกันขนาดไหน นี่เขาว่าตอนที่ยืนอยู่ในดงเพื่อนตัวเองเป็นหลุมแล้วนะ เมื่อมายืนเทียบกับทะเลแล้วทำไมรู้สึกว่าตัวเองต้องเงยหน้ามากกว่าเดิมอีก มันคอสเพลย์เป็นเปรตจริงหรือไม่ก็ยังคงเป็นที่น่าสงสัยอยู่
“ยังมีชีวิตอยู่เหรอ?”
เขาทักทายมันอย่างสุภาพ
“อ่อ เปล่าอ่ะ ที่นี่นรก กูบังเอิญอยู่ขุมเดียวกับมึง”
มันตอบกลับอย่างสามานย์
เป็นอีกครั้งที่ล้งเล้งกลอกตาอย่างเบื่อๆ กรุงเทพก็ตั้งกว้างก็ดันมาเดินเจอกันที่สยาม รู้อยู่แหละว่ามหาลัย C มันใกล้แถวนี้ แต่มึงช่วยไปเดินที่อื่นได้มั้ย โลตัสเชียงใหม่ เซ็นทรัลหาดใหญ่อะไรก็ไปสิวะ รำคาญหน้า
ไลน์!
เด็กหนุ่มเลิกสนใจคนที่เดินตามเขาไปทั่วร้านเหมือนเป็นล้งเล้งเป็นเข็มทิศประจำตัว เด็กหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือที่เมื่อครู่มีแจ้งเตือนดังขึ้นมาดู บนหน้าจอแสดงว่ามีข้อความจากผู้ติดต่อที่เขาไม่รู้จักทักมา หัวใจของล้งเล้งเต้นตึกตักอย่างควบคุมไม่ได้ มันต้องเป็นกิ๊บ เด็กผู้หญิงที่มาขอไลน์เขาที่โรงอาหารเมื่อครู่แน่นอน
เอ๋า ทำไมชื่อไลน์ gap ไหนบอกว่าชื่อกิ๊บไง
gap: เธอ
gap: ได้ไลน์มาจากโรงอาหาร
gap: มีแฟนยัง?
gap: เราจีบได้เปล่า?
ล้งเล้งขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ตอนที่กำลังจะพิมพ์ตอบกลับไปว่า ‘โสด จีบได้ครับ’ เขารู้สึกตงิดใจแปลกๆ ไวกว่าความคิด มือของเด็กหนุ่มจิ้มไปที่ดิสไลน์ของผู้ติดต่อใหม่ทันที
เอ้า ไอ้เหี้ย ทำไมเป็นตัวผู้?!
------- Wednesday In Class -------
วันนี้มีแต่เรื่องปวดหัว
เรื่องแรก คนที่ไลน์มาจีบเป็นผู้ชาย คณะไหนชั้นปีอะไรก็ไม่รู้ พอล้งเล้งรู้ว่าไอ้ที่ทักไลน์มาเชิงชู้สาวเป็นตัวผู้ เด็กหนุ่มก็ด่าพ่อแล้วบล็อกไป เอาแบบที่เจอหน้ามันต้องมาต่อยเขาแน่นอน แล้วยังไงวะ? กลัวที่ไหน! มาเลยไอ้เหี้ยจะเตะให้ลืมตารางสอบกลางภาคเลยคอยดู!
เรื่องที่สอง
เพื่อนที่มูให้จองตั๋วหนังให้น่ะ … ชื่อทะเล
โลกกลมจนน่าเกลียด มูเป็นเพื่อนในค่ายที่ไอ้ทะเลมันเคยไปเข้ามาสมัยมอปลาย ค่ายรังนกซุปไก่อะไรก็ไม่รู้ ล้งเล้งไม่สนใจ ตอนมอปลายเด็กหนุ่มมัวแต่ทุ่มเรียนพิเศษจนไม่สนใจจะหากิจกรรมหรือค่ายอะไรทำเลย เขาเพิ่งรู้ว่าเพื่อนตัวเองเป็นเพื่อนกับตัวเหี้ย
ที่น่าตกใจกว่านั้น คือสองคนนี้สนิทกันฉิบหาย
มูมันเคยเล่าให้ฟังบ่อยๆ ว่าสมัยมอปลายมันมีเพื่อนเยอะมาก ทั้งจากโรงเรียนแล้วก็กิจกรรมนอกโรงเรียนที่มันทำ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าโลกของมันกว้างแค่ไหน ล้งเล้งไม่รู้ว่าสีหน้าของตัวเองอุบาศว์ขนาดไหนตอนที่มูโบกมือให้เขาอยู่หน้าร้านหนังสือ แต่เสือกเดินเข้ามาหาทะเล
“มึงไม่เห็นบอกกูเลยว่าเป็นเพื่อนกับทะล”
“บอกกี่รอบแล้วว่ามันไม่ใช่เพื่อนกู!”
ล้งเล้งเถียงเป็นรอบที่ห้า ตอนนี้พวกเขานั่งกันอยู่ในร้านแม็คโดนัลระหว่างรอขึ้นไปดูหนัง พวกเขานั่งโต๊ะใหญ่กันเพราะมีกันเกือบสิบคน
“โห ลูกหมา ต้องให้กูบอกเหรอว่าเสื้อสมัยอนุบาลของมึงเป็นลาย…”
“หยุด!”
ล้งเล้งรีบกระโดดจนกมุมโต๊ะไปที่อีกฝั่งที่ทะเลนั่งอย่างรวดเร็ว เพื่อปิดปากไอ้คนที่ทำท่าว่าจะพูดมากออกมา
“น้องล้งเล้งทำงี้”
“พวกพี่ยิ่งอยากรู้เลยนะเนี่ย”
บุ๋มบีมที่นั่งแทะเฟรนช์ฟรายพูดขึ้นมาอย่างสนใจ สองคนนั้นนับวันยิ่งหน้าเหมือนกันเข้าไปทุกวัน หากล้งเล้งไม่รู้พื้นเพมาก่อนต้องคิดว่ามันเป็นฝาแฝดกันแน่นอน
“ไม่ต้องสนใจ มันเป็นเรื่องไร้สาระ”
“เฮ้ยเราเข้าใจ พวกเราทุกคนต่างมียุคเทพซ่าด้วยกันทั้งนั้น ฮ่าๆ”
โซดาพูดบ้าง โซดาเป็นเพื่อนของทะเลกับมูที่มาดูหนังด้วยกัน ล้งเล้งเองก็ไม่แน่ใจว่าเพื่อนคนนี้เรียนคณะอะไรเพราะไม่ได้สนใจขนาดนั้น โซดาเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ หน้าตาอิ่มเอิบรูปร่างจ้ำม่ำ ดูเป็นคนตลกเพราะระหว่างที่นั่งด้วยกันนี่ โซดาปล่อยมุกแป้กหลายครั้งมาก ซึ่งลูกคู่รับมุกก็คือบุ๋มบีมเจ้าเก่า
“เออๆ นั่นแหละๆๆๆ เป็นลายล้งเล้งเทพจังจ้า อิอิซ่า ห้าห้าบวก”
เด็กหนุ่มรีบเออออห่อหมกไปด้วย หวังให้ประเด็นสนทนาออกห่างจากเรื่องชุดน่าอายของเขาเสียที
“...”
“ยิ่งทำงี้ กูยิ่งอยากรู้”
เจ๋งเป้งเป็นคนที่พูดขึ้นมา ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ทุกคนในวงคิดตรงกัน อาจจะยกเว้นทะเลที่นั่งดูดน้ำไม่รู้ไม่ชี้ โดยมีล้งเล้งแยกเขี้ยวคู่อยู่ข้างๆ
“ก็บอกแล้วไงว่าอิอิซ่า ห้าห้าบวก มึงสนใจอะไร”
“น่าเชื่อมากไอ้เหี้ย”
“มีใครบอกมั้ย ว่ามึงโกหกได้กากมากจริงๆ”
เพื่อนในกลุ่มของล้งเล้งเริ่มออกความเห็นไปในทางเดียวกัน ซึ่งคนที่ตกเป็นเป้าเริ่มเลิ่กลั่ก เชี่ย พวกมึงคุยเรื่องการเมืองกันดิ เรื่องอากาศร้อนหนาวอะไรก็ทำไป มาสนใจเสื้อกูทำไมเนี่ย
“กูมีรูปนะ”
“เชี่ย!”
ล้งเล้งสบถเมื่ออยู่ดีๆ ทะเลก็พูดขึ้นมา ใบหน้าหล่อของทะเลที่ปกติแล้วแทบจะไม่แสดงอารมณ์อะไร บัดนี้มีรอยยิ้มกวนส้นตีนประดับอยู่
“ไอ้เหี้ย มึงไม่มี!”
“มี”
“ไม่มี!”
“มีจริงๆ”
“ไม่มี มึงโกหก มึงจะไปมีได้ไง!”
“กูขอพี่กุ๊กกิ๊กถ่ายจากอัลบั้มรูปบ้านมึงนานแล้ว ตอนไปหามึงที่บ้านแล้วมึงเรียนพิเศษ”
ล้งเล้งทำหน้าเหมือนตึกถล่ม ในเสี้ยวเล็กๆ ของจิตใจนึกโกรธพี่สาวที่ตอนนี้จ่ายค่าเทอมให้ ส่วนเสี้ยวใหญ่ในจิตใจคือนึกด่าไอ้เหี้ยทะเล มึงจะมาหากูที่บ้านทำไม! บ้านมึงก็ไม่ใช่ เสือกจริง!
“ไม่มี มึงลบไปแล้ว”
“กูเปิดให้ดูได้นะ”
“ไอ้สัตว์! มึงจะเอายังไง!”
ล้งเล้งถามอีกคนด้วยน้ำเสียงหาเรื่องตามปกติของเจ้าตัว ใบหน้าน่ารักบูดบึ้งอย่างหงุดหงิด เขาจะต้องทำยังไงไอ้ทะเลมันถึงจะคิดได้ว่าตัวเองควรบวชไม่สึกตลอดชีวิต แล้วหายไปจากชีวิตเขาสักที
“มาแข่งกัน”
ทะเลพูดพลางดูดน้ำคำสุดท้าย ก่อนจะวางแก้วลงกับโต๊ะ สีหน้าแสดงความมั่นใจนั่นทำให้ล้งเล้งหงุดหงิด มึงเป็นเหี้ยอะไรนักหนา
“ว้าว การแข่งขัน”
“น่าสนุก น่าสนุก”
บุ๋มบีมพูดต่อด้วยความสนใจ ตอนนี้ทั้งวงหันมาตั้งใจฟังในสิ่งที่ทะเลจะท้า ไม่เว้นแม้แต่มูที่ตอนแรกกำลังจัดคิวคนนัดดูดวงด้วยเช่นกัน
“น่าสนุกห่าอะไร มันแกล้งกูอยู่เนี่ย”
ล้งเล้งพูดกับเพื่อนของตัวเอง แต่ไม่มีใครสงสารเลย ทุกคนดูสนุกสนานกันมากกับการที่ทะเลกวนตีนเขา แม่งเอ๊ย ไม่มีมิตรแท้ในหมู่นักศึกษามหาลัย
“นั่นแหละที่น่าสนุก”
เจ๋งเป้งเป็นคนตอบ ตอนนี้มันลูบหัวเขาเหมือนที่ชอบทำด้วย เอื้อมมือยาวๆ ผ่านหน้ามูมาลูบเนี่ย ซึ่งล้งเล้งปัดออกอย่างหงุดหงิด ไอ้เหี้ยนี่ก็ลูบหัวกูเป็นหมาเลย
“เอาไง กูเปิดรูปได้นะ”
ทะเลชูมือถือตัวเองขึ้น ทำท่าจะเปิดไปที่อัลบั้มจริงๆ ท่าทางไม่ล้อเล่นนั่นทำให้ล้งเล้งหงุดหงิด จากเดิมที่หงุดหงิดตลอดเวลากับเกือบทุกเรื่องอยู่แล้ว โดยเฉพาะเมื่อเป็นเรื่องของทะเล เขาหงุดหงิดสิบเท่าจากเวลาปกติไปเลย
“มึงสิ จะเอายังไง แข่งอะไรก็ว่ามา”
ล้งเล้งกระชากเสียงถามอย่างขุ่นเคือง ซึ่งนั่นเข้าทางเพื่อนสมัยเด็กหน้านิ่งของเจ้าตัวพอดี
“ถ้าตลอดการดูหนังนี่ มึงไม่เข้าห้องน้ำเลย มึงก็ชนะไป กูจะไม่โชว์รูปสมัยเด็กของมึง”
“แค่นี้อ่ะนะ?”
“แค่นี้แหละ”
“โหย กระจอก”
ล้งเล้งเชิดหน้าขึ้น ไม่ว่ามองจากมุมไหนเขาก็ชนะใสๆ อยู่แล้ว ไม่เห็นต้องพยายามอะไรเลย แค่อั้นฉี่ ฮี่โถ่!
ในขณะที่ล้งเล้งยินดีกับกติกากากๆ ของทะเลอยู่นั้น เพื่อนทุกคนที่เหลือมองหน้ากันไปมา มันจะรู้มั้ยว่าหนังที่กำลังจะดูกันคือหนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่มีความยาวสามชั่วโมง
“ยังไงกูก็ชนะ”
“แต่ถ้าแพ้ นอกจากกูจะเอารูปให้ดูแล้ว มึงต้องเลี้ยงข้าวเย็นด้วยนะ”
“เออ ได้! แต่ถ้ากูชนะมึงจ่าย! แล้วก็ต้องลบไอ้รูปเหี้ยนั่นด้วย”
“ไม่มีปัญหา”
“มึงเตรียมเก็บปากไว้แตกเถอะ ไม่ได้แดกข้าวกูแน่นอน!” ------- TBC -------
ห้าวสุดในหมู่บ้านแล้วน้องล้งเล้ง
ขอฝาก #รักไม่คาดคิดในวันพุธ ไว้ด้วยนะคะ <3