#รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 16 (18/12/2019)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 16 (18/12/2019)  (อ่าน 14077 ครั้ง)

ออฟไลน์ nisaday

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สงสารล้งเล้ง
ทะเลทำไมแกล้งอะไรแบบนี้มันเสียสุขภาพ

ออฟไลน์ Jiraapp

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ไม่น่ารอดอ่ะล้งเล้ง ทะเลไมขี้แกล้งจังฮะ

ออฟไลน์ babybaphomet

  • Baby Baphomet
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
    • Twitter
4th Wednesday
#รักไม่คาดคิดในวันพุธ


ถ้าถามว่าผลการแข่งเป็นอย่างไร ล้งเล้งก็จะบอกแค่ว่า ‘แพ้หมดรูป’

ใครจะไปคิดว่าการนั่งดูหนังยอดมนุษย์ทะเลาะกันในหนังเรื่องนึงมันจะยาวนานแสนสาหัสขนาดนี้ ตามปกติแล้วเขาไม่ใช่คนที่ลุกไปเข้าห้องน้ำระหว่างดูหนังบ่อยขนาดนั้น แต่นี่ก็กระเพาะปัสสาวะคนธรรมดาไง ไม่ใช่กำแพงเมืองจีนที่จะยืดยาวเหลือเฟือ พยายามสุดๆ ได้จนเกือบจะจบเรื่อง ไปตกม้าตายเอาชั่วโมงสุดท้าย ไม่ไหวแล้วจริงๆ เลยต้องยอมแพ้ ลุกไปเข้าห้องน้ำจนได้

เมื่อแพ้ ล้งเล้งก็ยอมรับผลของมัน

ซึ่งพอทะเลโชว์รูปนั่น มันเป็นแค่รูปเขาตอนสมัยประถม

มันเป็นรูปตอนที่เขาแข่งกีฬาสีรวมห้องประถมหนึ่งหรือสองนี่แหละ ตัวล้งเล้งเองก็จำไม่ได้เหมือนกันเพราะผ่านมานานมากแล้ว แต่เห็นตัวเองถือเหรียญยิ้มแช่งให้กล้อง พร้อมกับเพื่อนในห้องอีกหลายสิบชีวิต ซึ่งตรงขอบๆ รูปมีไอ้ทะเลนั่งทำหน้านิ่งอยู่

ไอ้สารเลว!

ล้งเล้งก็อั้นฉี่แทบตาย นึกไปสารพัดว่ามันจะเป็นเสื้อตัวน่าอาย I am a Barbie girl หรือตัวไหน เพราะหากให้พูดตามจริง เมื่อสมัยก่อนพี่กุ๊กกิ๊กไม่เคยปราณีเขาเลยสักนิด เจออะไรน่ารักๆ หน่อยก็ซื้อมาใส่ให้น้องชายตลอด ล้งเล้งยังจำได้ดีตอนที่ขนของเก่าไปบริจาค เสื้อผ้าของเขาล้วนแล้วแต่เป็นสีชมพูหวานแหววทั้งสิ้น

หลังจากดูหนังเสร็จ พวกเด็กหนุ่มทั้งหมดก็ยกโขยงมาที่ร้านอาหารญี่ปุ่นแบบบุฟเฟ่ต์ ตอนแรกล้งเล้งถึงกับหน้าซีดเมื่อเห็นว่าตัวเองจะต้องเลี้ยงอะไรเพื่อน แต่คนอื่นเหมือนจะเห็นใจเด็กหนุ่มเลยเสนอว่าต่างคนต่างจ่าย ยกเว้นคนเดียวที่จะให้ล้งเล้งเลี้ยงให้ได้

แน่นอนว่าคนนั้นก็คือ… ไอ้เหี้ยทะเล

“กินมั้ย?”
“ให้พ่อมึงกินนะ”

ล้งเล้งที่กำลังหงุดหงิดได้ที่ ปัดมือคนที่ยื่นอาหารมาจ่อปากอย่างไม่เบานัก หงุดหงิดที่ตัวเองแพ้ยังไม่พอ มานั่งร้านอาหาร พวกมูบุ๋มบีมแม่งส่งสายตา ‘มึงๆ คิดเหมือนกูป้ะ?’ ‘เออๆ กูก็คิดเหมือนมึงอ่ะ’ แล้วจับให้เขานั่งข้างกับไอ้ทะเลเฉย ซึ่งโซดาก็ดูไม่สนใจเลยว่าไม่ได้นั่งข้างเพื่อนตัวเอง แถมยังคุยเรื่องหนังกับเจ๋งเป้งที่เป็นแฟนหนังเรื่องที่เพิ่งดูกันอย่างออกรสอีกต่างหาก

“ถั่วแระผิดอะไร”

ทะเลพูดกับล้งเล้งนิ่งๆ เมื่อเห็นว่าถั่วแระของตัวเองกระเด็นลงไปที่พื้นเพราะฝีมือของอีกคน

“ผิดที่เป็นมึงเนี่ย!”

ล้งเล้งตอบกลับอย่างหัวร้อนตามเคย ไม่สนใจทะเลที่ยังคงทำหน้าตาไว้อาลัยถั่วแระตัวเอง อันที่จริงล้งเล้งก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันจะมาวุ่นวายอะไรกับเขานักหนา ทำไมมึงไม่นั่งนอกร้านไป รำคาญ

“ใจร้ายว่ะ ลูกหมา”
“เรียกกูลูกหมาอีกคำ แล้วข้าวกูจะไปอยู่บนหน้ามึง”
“อ่ะ จะป้อนเหรอ? เล็งดีๆ นะเดี๋ยวเข้าจมูก”

ทะเลพูดนิ่งๆ ก่อนจะอ้าปากเหมือนรอให้คนข้างๆ ป้อนอย่างที่ว่าไว้ แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นพริกป่นบนโต๊ะที่ล้งเล้งฉวยเอามาไว้ในมือแล้วเทใส่ปากอีกคนแทน ซึ่งนั่นทำให้คนตัวสูงไอหน้าดำหน้าแดง

“แคกๆ อะ… แค่ก!”
“อะไรมึง”
“ไอ้… แค่ก … ลูกหมาเหี้ย”
“กวนตีนกูยังเร็วไปร้อยปีครับ จำไว้”

ล้งเล้งกินอาหารตรงหน้าตัวเองต่อ โดยไม่สนใจทะเลที่ไอหน้าดำหน้าแดงอยู่ข้างๆ เลยแม้แต่น้อย สมน้ำหน้า อยากกวนส้นตีนดีนัก



------- Wednesday In Class -------



ล้งเล้ง แม่ขายของเจ๊งเลยต้องมาสอนพิเศษ -- 1 minute ago
สำหรับใครที่มองหาการสอนภาษาอังกฤษที่มีคุณภาพ ที่นี่เรามอบคลาสเรียนที่สนุกสนาน เฮฮา ปาร์ตี้ มีทั้งเพื่อนๆ คอยช่วยการบ้าน ครูสอนที่เป็นกันเอง ช่วยทำกันบ้าน ช่วยสอนแกรมม่า คำศัพท์ก็มา ตัวอย่างการใช้ก็มี
 
 สมัครคอร์สวันนี้ฟรีแม็คฟิช!!! Inbox เข้ามาเลยครับ!!
 
Liked by Tanjai Kraikiratikulchai, ซุกซน ใจทราม, and 67 others    8 comments
 
พ่อชื่อองแม่ชื่ออุ๋ม แต่ทำไมกูชื่อกึกก้อง : สมัครคร่าาาา
ล้งเล้ง แม่ขายของเจ๊งเลยต้องมาสอนพิเศษ เสือก!!! มึงทำ TU104 ยังวะ
พ่อชื่อองแม่ชื่ออุ๋ม แต่ทำไมกูชื่อกึกก้อง: เอ้า จารย์สั่งด้วยเหรอ?
ล้งเล้ง แม่ขายของเจ๊งเลยต้องมาสอนพิเศษ: อ่ะ กูถามคนผิดจริงๆ
พ่อชื่อองแม่ชื่ออุ๋ม แต่ทำไมกูชื่อกึกก้อง: ลอกมึงได้ป้ะ?
ล้งเล้ง แม่ขายของเจ๊งเลยต้องมาสอนพิเศษ: ถ้ามึงจะ F ก็อย่าลากกูเข้าไป   
   พ่อชื่อองแม่ชื่ออุ๋ม แต่ทำไมกูชื่อกึกก้อง : ไม่ต้องห่วง กูคิดว่ากูไปซุยพรุ่งนี้เช้าได้ กูเรียน  D
   Tanjai Kraikiratikulchai : สู้ๆน้า


คอมเมนต์ล่าสุดของรุ่นพี่ในคณะทำให้เด็กหนุ่มยิ้มออกมา Tanjai Kraikiratikulchai คือเฟซบุ๊คของพี่แทนใจ อันที่จริง พี่แทนใจไม่เชิงเป็นรุ่นพี่โดยตรง เขาเป็นคนที่เด็กหนุ่มเช่าหอต่อในปีที่แทนใจเรียนจบพอดี ซึ่งคุยไปคุยมารุ่นพี่คนนี้ดันเข้ากับเขาได้ดีกว่าที่คิด พวกเขาทั้งคู่เลยติดต่อกันตั้งแต่ตอนนั้นมาจนถึงตอนนี้ บางครั้งเวลามีเรื่องอะไรในมหาลัย หรือคณะที่ไม่รู้จะถามใคร แทนใจถือเป็นคนแรกๆ ที่ล้งเล้งจะคิดถึง


อาจจะเพราะพี่แทนใจให้ความรู้สึกคุยง่าย เป็นกันเอง แถมยังเป็นรุ่นพี่ที่น่ารัก คอยช่วยเหลือตลอดเลย
พอพี่แทนใจทักมาว่าจะให้น้องชายมาเรียนพิเศษด้วยกัน ล้งเล้งตอบรับทันที และตอนนี้พวกเขากำลังคุยกันเรื่องรายละเอียดการเรียนของน้องชายพี่แทนใจอยู่ 


“เดี๋ยวผมสอนฟรีให้ก็ได้”
“เฮ้ยย ไม่ได้ๆๆ”


รุ่นพี่ร่วมคณะปฏิเสธผ่านสายโทรศัพท์ทันที ด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่เป็นกันเองของเจ้าตัว


“ล้งเล้งเรียนมาตั้งนาน จะมาเหนื่อยฟรีได้ยังไง”
“ไม่เป็นไรจริงๆ พี่ ตอนนั้นพี่แทนใจก็ช่วยเล้งไว้เยอะเลย”
“มันแค่เรื่องเรียนนิดหน่อยเอง พี่เรียนมาตั้งสี่ปี ไม่ได้มีอะไรสักหน่อย แต่สอนพิเศษมันเหนื่อยนะ เอาเงินไป พี่ทำงานแล้ว พี่จ่ายได้ ห้ามดื้อกับพี่นะ!”
“ฮ่าๆ ถ้าพี่ว่างั้นก็ได้ครับ”
“ดีมากเจ้าล้งเล้ง” พวกเขาหัวเราะกันเล็กน้อย ก่อนที่แทนใจจะพูดต่อ “ฝากดูน้องชายพี่ด้วยนะ เอาจริงน้องชายพี่หัวไว แต่ไม่ค่อยเก่งอังกฤษ เมื่อก่อนพี่ก็สอนน้องเอง แต่ตอนนี้พี่งานเยอะมากเลย บางวันก็เลิกเย็น สอนเองไม่ได้”

“โอเคเลยพี่ ไม่ต้องห่วง ว่าแต่น้องพี่ชื่ออะไรครับ?”


แทนใจเงียบไปสักพัก ก่อนจะพูดด้วยเสียงเริงร่าตามปกติของเจ้าตัว


“น้องชายพี่ชื่อ...แทนกาย”


.
.
.


วันพุธหลังจากนั้น ในคลาสของล้งเล้งก็มีนักเรียนเพิ่มมาหนึ่งคน


แทนกายเป็นเด็กผู้ชายเงียบๆ ยิ้มเก่ง อันที่จริงน้องหัวไวระดับที่ว่าพอมานั่งเรียนแล้ว แม้กระทั่งโจ้ที่มักจะหัวไวที่สุดในกลุ่มยังอึ้งๆ เวลาที่เห็นการบ้านของแทนกาย ซึ่งตัวล้งเล้งเองแทบหาข้อผิดพลาดจากการบ้านของน้องเขาไม่เจอเลย มีเพียงบางอย่างที่คอมเม้นต์เพิ่มไป เพื่อทำให้น้องได้เรียนรู้คำศัพท์เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น


น้องชายของแทนใจฉลาดเสียจนล้งเล้งไม่แน่ใจว่าแทนกายจะต้องการติวเตอร์ไปเพื่ออะไร


ถึงแม้จะเป็นเด็กที่ดูเงียบไปบ้าง แต่แทนกายดูโดดเด่นออกมาแม้น้องจะนั่งอยู่เฉยๆ ใบหน้าที่คล้ายกับพี่แทนใจราวกับเป็นฝาแฝดเป็นหลักฐานชั้นดีที่บอกว่าสองคนนี้เป็นพี่น้องกัน หากแต่แทนกายดูต่างจากพี่ชายของตัวเองอยู่มาก อย่างแรกคือ แทนกายค่อนข้างสูง อย่างที่สอง เด็กชายจะนิ่งกว่าแทนใจ ดูจนบางครั้งให้ความรู้สึกว่าเป็นคนที่มีเรื่องอะไรในใจตลอดเวลา


อย่างสุดท้าย … แทนกายดูมีแววตาที่อัดแน่นด้วยความเศร้าโศก


ไม่ว่าจะยิ้มสักแค่ไหน แต่ลึกๆ ด้านในก็ยังดูเศร้าอยู่ดี


นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่ในคลาสของล้งเล่งมีห้าคน น้องลิลลี่ยังคงมาลอกงานเพื่อน ลูกเกดทำการบ้านผิดทุกข้อเหมือนเดิม โจ้กับแทนกายก็ยังคงเงียบ ส่วนต้นก็ยังคงไม่สนใจเรียนเหมือนเคย


“ไอ้ต้น! เก็บมือถือ”
“โหยพี่ แป๊บนึง”


ไอ้เด็กกวนประสาทโอดครวญเมื่อยังตอบข้อความในแอพแชทไม่เสร็จ หากเป็นปกติเขาคงยื่นมือไปหยิบมือถือของอีกฝ่ายมาคว่ำไว้กับโต๊ะ แต่ตอนนี้พวกเขาไม่ได้นั่งติดกัน ติวเตอร์คนเก่งเลยทำแค่พูดกับเด็กน้อยเท่านั้น


“ตอบไลน์ได้ ก็ต้องตอบคำถามพี่ได้ ข้อ 5 ตอบอะไร”
“ยังทำไม่ถึงเลยพี่”
“งั้นทำถึงข้อไหน?”
“ยังไม่ทำสักข้อ”
“ไอ้ต้น!”


ล้งเล้งเอาชีทเคาะหัวเด็กกวนประสาทไม่แรงนัก ซึ่งไม่ทำให้เด็กนักเรียนสะทกสะท้าน ต้นยังคงหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างอารมณ์ดี


“มันสำคัญนะเว้ย ถ้าแกอ่านประโยคพวกนี้ไม่รู้เรื่อง แกจะอ่านบทความในข้อสอบ GAT  ได้ช้ามากเลยนะ มันจะงงมาก ถ้าทำคะแนน GAT ได้ดีโอกาสติดมหาลัยทีอยากเข้ามากขึ้นนะ”


ล้งเล้งอธิบายสิ่งที่ตัวเองสอนไปพร้อมกับพูดถึงความสำคัญของบทเรียนไปด้วย เด็กที่เขาสอนอยู่ทุกคนตอนนี้อยู่มอหก ยังไม่ทันหายใจทั่วท้องก็ต้องไปตะลุยสอบเข้ามหาลัยแล้ว เขาไม่อยากเห็นน้องเข้าไปในห้องสอบแล้วนั่งสวดมนต์ หรือคิดว่าตัวเองน่าจะตั้งใจเรียนมากกว่านี้


เขาเข้าใจ เพราะล้งเล้งผ่านมาทั้งหมดแล้ว


“โหย ก็พวกผมมาเรียนแล้วนี่ไง มันก็ต้องทำได้อยู่แล้วป่าว”
“การบ้านไม่ทำ มันจะได้ฝึกมั้ยเนี่ย?”
“ฟังที่พี่สอนมันก็เหมือนฝึกแล้วไง”
“เหมือนกันที่ไหนเล่า”
“พี่ก็ทำให้เหมือนดิ”
“ไอ้ต้น!”


ตอนที่ล้งเล้งกำลังจะว้ากเด็กที่ไม่ตั้งใจเรียนนั้นเอง เสียงยานคางจากทางด้านหลังก็ดังแทรกขึ้นมาให้ได้ยินทันที 


“ทะเลาะกับเด็กอีกแล้วเหรอลูกหมา”


แน่นอนว่าเป้าหมายของคุณครูพี่ล้งเล้งก็เปลี่ยนจากเด็กไม่ตั้งใจเรียน ไปเป็นบุคคลที่มาใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย


“เสือก!”


ทะเลยิ้มนิดๆ คล้ายกับว่าพอใจนักหนาที่อีกคนหันหน้ามาเหวี่ยงคำด่าใส่ ยักไหล่ที่สะพายกระเป๋าหนังเหมือนกับกับคนที่ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ความจริงล้งเล้งไม่แน่ใจว่าอีกคนเรียนคณะอะไรกันแน่ เขามีทะเลเป็นเพื่อนในเฟซ (เพราะเคยต้องทำงานด้วยกัน) ก็จริง แต่ไม่เคยสนใจมันเลยแม้แต่น้อย แล้วก็ไม่อยากสนใจด้วย


“คิดถึงมึงเหมือนกัน”
“มึงเป็นบ้าเหรอ?”


ล้งเล้งถามกลับทันทีด้วยเสีงเบื่อๆ กะว่าถ้ามันยอมรับว่าเป็นบ้า เขาจะจับมันส่งโรงพยาบาล จะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายกันอีก


“ไม่ต้องเขินนะลูกหมา”
“คือมึงเป็นบ้าจริงๆ ใช่มั้ย?”


ล้งเล้งถามอย่างเริ่มไม่แน่ใจนัก แต่เมื่อคิดได้ว่าทะเลเป็นแค่ไอ้ทะเลเขาจึงยักไหล่ไม่สนใจ จะเป็นอะไรก็เป็นไปไม่เกี่ยวกับล้งเล้งอยู่แล้ว เมื่อคิดได้ดังนั้นติวเตอร์หนุ่มก็หันหน้ามาหาเด็กที่ตัวเองดูแลต่อ ตอนนี้ทุกคนนั่งตาปริบๆ เหมือนจะสนใจกับการปะทะกันตรงหน้าของติวเตอร์ตัวเองกับรุ่นพี่อีกคนตรงหน้า มากกว่าบทเรียนที่เมื่อครู่ล้งเล้งพยายามจะยัดใส่หัว


“ลูกหมาสอนไรอ่ะวันนี้?”
“น้องมึงยังไม่มาหรือไง? ไปสอนเด็กมึงสิวะ!”
“วันนี้ไม่มีสอน น้องจะสอบ”
“อ้าว”
“มาเสือกมึงเฉยๆ”
“ไอ้เวร”


ทะเลยกมุมปากคล้ายกับจะยิ้มพึงใจ ในขณะที่ล้งเล้งหัวฟัดหัวเหวี่ยงจนไม่ได้ทันสังเกต เด็กๆ ที่นั่งเรียนพิเศษมองหน้ากันไปมา บทเรียนเรื่องการอ่านพารากราฟถูกเปิดเอาไว้แต่ไม่มีใครสนใจแล้วแม้กระทั่งแทนกายที่เพิ่งเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ครั้งแรก


“พี่คนนี้คือพี่ทะเล” ลูกเกดพูดกับแทนกายที่นั่งมองคนสองคนที่ยังเถียงกันอยู่ “เป็นติวเตอร์เหมือนกัน”
“เขาเป็นแบบนี้กันตลอดเลยเหรอ?”


แทนกายถามเพื่อนที่เรียนพิเศษด้วยกัน ตอนนี้ล้งเล้งโมโหจนไปยืนเท้าเอวมองหน้าคนที่สูงกว่าเป็นวาแล้ว ดูจากมุมของเด็กหนุ่มแล้ว เหมือนกับหมาปอมกับเจ้าของเลย


“ถ้าเจอพี่ทะเลเมื่อไหร่ ก็เถียงกันแบบนี้ทุกครั้งแหละ”
“อ๋อ…”


เป็นเวลาหลายนาที กว่าล้งเล้งจะกลับมานั่งหัวเสียที่ที่นั่งของตัวเองเหมือนเดิม เด็กๆ มองหน้ากัน ดูทรงยังไงก็รู้ว่าแบบนี้เถียงแพ้มาแน่นอน


“เด็กๆ เดี๋ยวทำแบบฝึกหัดนี้นะ”


ล้งเล้งบอกก่อนจะนั่งลง ปวดหัวชะมัด ตอนนี้ไม่รู้แล้วว่าหัวที่ร้อนอยู่ตอนนี้เพราะอุณหภูมิประเทศไทยหรือเพราะไอ้เหี้ยทะเล


“ลูกหมา กูทำด้วยได้มั้ย?”


น่าจะหัวร้อนเพราะไอ้เหี้ยทะเล


“เสือก!”


ให้ตายสิ เขาเกลียดไอ้เหี้ยทะเลจริงๆ!


.
.
.


วันนี้เขาจะหนีมัน 


ล้งเล้งตั้งใจไว้ตั้งแต่นั่งรถออกจากมหาลัย วันนี้เขาจะเปลี่ยนที่สอนจากร้านแมคโดนัลที่นั่งประจำไปเป็นที่อื่น ที่ไหนก็ได้ที่จะไม่เจอทะเล


 หากพูดตามตรงการเถียงแพ้ทะเลบ่อยๆ ทำให้เขาหงุดหงิด มันดูไม่เป็นผู้ใหญ่เวลามาเถียงกับติวเตอร์อีกคนต่อหน้าเด็ก แต่ถามว่าห้ามตัวเองได้มั้ย? แน่นอนว่าไม่ ก็ไอ้เหี้ยนั่นมันมากวนตีนก่อน! เขาก็ต้องด่ามันก็ถูกแล้วหรือเปล่า


ความผิดไอ้เหี้ยทะเลคนเดียว!


น้องๆ ของครูล้งเล้งผู้หล่อเหลา (6)
ล้งเล้ง: ยังไม่ถึงกันใช่ป้ะ?
ล้งเล้ง: วันนี้เราเรียนกันที่สตาร์บัคนะ
ล้งเล้ง: ตรงสยามวัน สาขาที่มี 3 ชั้นนะ
ล้งเล้ง: ถ้าหาพี่ไม่เจอ โทรมาได้ๆ



รอไม่นานน้องๆ ก็เริ่มตอบกลับมา ส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาอะไร มีบางคนที่ไม่ได้ตอบอะไร แต่เมื่อขึ้นว่าอ่านครบหมดทั้งกลุ่ม ล้งเล้งถือว่าตัวเองบอกน้องแล้วเรียบร้อย ถ้าน้องไม่มาเขาค่อยโทรตามทีหลัง


ครึ่งชั่วโมงแรกของการสอนเป็นไปด้วยดี


น้องเกือบทุกคนมาตรงตามเวลา ส่วนต้นก็บอกจะมาแต่เลยเวลามาครึ่งชั่วโมงแล้วยังไม่โผล่ ล้งเล้งถอดใจเรื่องเด็กนักเรียนคนนี้ของตัวเองไปแล้วเรียบร้อย


อยากมาค่อยมาละกัน


จริงอยู่ที่เขาชอบสอน รักเวลาที่เห็นน้องเข้าใจในสิ่งที่สอน แต่ถ้าน้องไม่รับเขาก็ไม่จับกรอกปากเด็กแน่นอน ทุกคนที่อยู่ในคลาสอยู่มัธยมหกกันหมด อายุสิบเจ็ดสิบแปดกันหมดแล้ว เป็นอายุที่ควรจะมีความรับผิดชอบมากพอที่จะรู้ว่าตัวเองควรหรือไม่ควรทำอะไร


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้นโดดเรียน


การสอนของเขาตามปกติ ล้งเล้งยอมรับคำติและพยายามปรับปรุงคลาสจากฟี๊ดแบคของน้องๆ ตลอด ช่วงแรกน้องบอกว่าเขาพูดเร็วเกินไป ตอนนี้เขาก็พูดช้าลงเยอะมากๆ น้องตามไม่ทันเพราะตัวอย่างยากเกินไป ล้งเล้งก็เปลี่ยนสื่อการสอนให้ง่ายขึ้น แต่ไม่ใช่ง่ายเกินไปจนเด็กไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากการเรียนกับเขา บางทีล้งเล้งก็อยากให้น้องต้นตั้งใจเรียนเหมือนกับโจ้ หรือน้องแทนกายบ้าง


เขาเต็มที่กับน้อง ถ้าน้องไม่อยากได้ ล้งเล้งก็จนปัญญา


“สอบเป็นไงมั่งลูกเกด? ลิลลี่?”


เด็กผู้หญิงสองคนที่นั่งทำชีทที่เขาให้เงยหน้าขึ้นมา เมื่อวานน้องสองคนนี้มีสอบภาษาอังกฤษ ล้งเล้งจึงถามถึงฟี๊ดแบคการสอบของน้อง ใบหน้าของลิลลี่มีรอยยิ้มมั่นใจ ในขณะที่ลูกเกดมียิ้มแหยเป็นคำตอบ


“ติดตรงไหน? พี่จะได้ช่วยอธิบายเพิ่ม”
“หนู… ไม่แน่ใจคำศัพท์”
“มีตัวอย่างมั้ย? ข้อสอบของอาจารย์เป็นเรื่องอะไร?”


ในขณะที่พวกเขากำลังคุยกันเรื่องข้อสอบของน้องที่เพิ่งผ่านมาในเวลาพักครึ่งของการสอนครั้งนี้นั้น เสียงยานคางจากข้างหลังก็ดังขึ้นมา


“บังเอิญจังเลย เจอครูพี่ล้งเล้งที่นี่ได้ยังไงเนี่ย?”


ไอ้เหี้ย! ยังจะตามกูมาถึงนี่!


ล้งเล้งถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด เมื่อหันไปข้างหลัง นอกเหนือจากชาวต่างชาติหนึ่งคนที่นั่งอยู่ตรงมุมร้าน กับนักศึกษาสองสามคนที่นั่งคุยงานกันอยู่ไม่ไกล มีไอ้ทะเลยืนยิ้มด้วยสีหน้ากวนตีนเหมือนอย่างเคย


“เสือก!”
“ลูกหมาพูดจาไม่น่ารัก”


ทะเลขมวดคิ้วเหมือนกับจะติ ในขณะที่ยกแก้วชาเขียวปั่นของตัวเองขึ้นมาดูด ส่วนเด็กสองสามคนที่เดินตามมาข้างหลังนั้น เดินไปหาที่นั่งกันเป็นกลุ่ม คล้ายกับจะรู้ว่าสงครามระหว่างติวเตอร์สองสถาบันไม่จบลงง่ายๆ


“มึงมาได้ไง? ไอเหี้ย! รู้ได้ไงว่ากูจะสอนน้องที่นี่?!”
“ไม่รู้สิ”


ทะเลตอบเสียงยานคางอย่างกวนประสาทในสายตาของล้งเล้ง ยิ่งท่าทางเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทั้งที่เขาแทบลุกขึ้นมาชี้หน้าอีกฝ่ายด้วยความหงุดหงิด


“ไปนั่งไกลๆ กูเลย ที่นี่มีตั้งสามชั้น ขึ้นมาทำเหี้ยอะไรชั้นสาม!”
“ตอนแรกก็ตั้งใจจะอยู่ชั้นหนึ่ง แต่พอดีขายาว เลยเดินเลยมาถึงชั้นสาม”
“...”
“แหม่ แย่จังเนอะ”
“ไอเหี้ย! มึงด่ากูขาสั้นเหรอ?!”


ล้งเล้งยืนขึ้นมา โดยไม่สนใจว่าน้องแทนกายที่เงียบๆ มาตั้งแต่ต้นจะมองด้วยสายตางุนงงว่าติวเตอร์ของตัวเองทำลังจะทำอะไร (ส่วนเด็กคนอื่นนั้น มองเหมือนกำลังดูเรื่องสนุกสนาน)


“นั่นมึงพูดออกมาเอง”
“มึงหมายความว่าแบบนั้น”
“ไม่ใช่เว้ยลูกหมา กูแค่บอกว่ากูขายาว ไปเรียนภาษาไทยใหม่นะ”
“หน้าอย่างมึงน่ะเหรอ กล้ามาสอน…”


“ขอโทษนะครับคุณลูกค้า”


ก่อนที่พวกเขาสองคนจะทะเลาะกันไปมากกว่านี้ พนักงานหนุ่มของร้านกาแฟเรียกพวกเขาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม


“รบกวนคุณลูกค้าลดเสียงลงหน่อยนะครับ เพราะมีลูกค้าท่านอื่นกำลังใช้บริการอยู่ด้วยเช่นกันครับ”


พวกเขาขอโทษขอโพยหนักงานไปแล้วแยกย้ายกันนั่งลงในที่ตัวเองอย่างเงียบๆ ซึ่งทะเลเหมือนกับจะไม่ได้รู้สึกอะไรมาก ใบหน้านิ่งของทะเลมีรอยยิ้มเล็กๆ คล้ายกับกำลังพึงใจ ในทางตรงกันข้าม ล้งเล้งที่ยอมนั่งลงในที่ของตัวเองอย่างจ๋อยๆ ตวัดสายตาแข็งกร้าวไปที่คู่แข่งทางการค้า ที่ยังนั่งดูดชาเขียวปั่นของตัวเองอย่างสบายอารมณ์และกวนส้นตีนในสายตาของล้งเล้ง


ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้เหี้ย!

ไอ้ทะเล ไอ้เวร! กูเกลียดมึง!!

จะไม่มีวันญาติดีด้วยเลย คอยดูเถอะ!!!




------- TBC ------- 


จะไม่มีวันญาติดีด้วยแหละ! คอยดูกันไว้นะคะ ไม่ญาติดี!! อิ___อิ

#รักไม่คาดคิดในวันพุธ


ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
ตามไปทุกที่เลยนะ,,,

ออฟไลน์ nisaday

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
น้องต้นเป็นสายให้พี่ทะเลใช่มั้ย55555

ออฟไลน์ babybaphomet

  • Baby Baphomet
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
    • Twitter
5th Wednesday

#รักไม่คาดคิดในวันพุธ




ปวดหัวชะมัด





ล้งเล้งรู้สึกเหมือนตัวเองอยากจะอ้วกตลอดเวลาตอนที่นั่งอยู่บนรถตู้ที่กำลังจะไปสอนพิเศษเหมือนกับปกติทุกสัปดาห์ที่เขาทำเป็นกิจวัตร แต่วันนี้ต่างจากทุกวันเล็กน้อย เขารู้สึกเหมือนหัวตัวเองพร้อมจะระเบิดออกมาในสิบหรือยี่สิบนาทีข้างหน้า



ล้งเล้งไม่สบาย



หากพูดด้วยความสัตย์จริง ล้งเล้งรู้สึกไม่ดีมาตั้งแต่เช้าแล้ว ไม่บ่อยนักที่เด็กหนุ่มจะป่วย แต่เวลาเป็นที่เขารู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย วันนี้เองก็เช่นกัน เมื่อวันจันทร์เด็กปีหนึ่งตากฝนตอนที่ช่วยเพื่อนระบายสีโต๊ะ (ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมของคณะที่ล้งเล้งเรียน หนึ่งในกิจกรรมมหาศาลที่เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองจะมีเวลาทำทุกอย่างที่รุ่นพี่พูดหรือไม่)



กว่าจะกลับถึงห้อง กว่าจะได้พักก็สี่ทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว ไหนเขาจะต้องอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวทำควิซภาษาจีนในวันรุ่งขึ้น ซึ่งตรงนี้ตอนที่เลือกเรียนภาษาจีน เขารู้อยู่แล้วว่ามันจะหนักหนา แต่ไม่มีใครเตือนว่ามันจะหนักขนาดที่ต่อให้ป่วยก็ยังต้องถ่างตาขึ้นมาอ่านหนังสือเพื่อสอบ



พอวันอังคารมาถึง เขาก็ต้องตื่นมาเรียนแต่เช้าจรดเย็น ควิซภาษาจีนที่ยากจนทำให้ปวดหัวเข้าไปอีก ตอนเที่ยงกินข้าวกับเพื่อน ซึ่งไอ้มูก็ใส่ชุดสีส้มแปร๊ด ระดับที่เขาสงสัยว่านี่มันคือสีมงคลของวันอังคาร หรือเพื่อนของตัวเองกำลังซ้อมเป็นกรวยจราจร



ช่วงบ่าย เด็กหนุ่มต้องเข้าไปนั่งฟังบรรยายที่ห้องเรียนใหญ่ ถึงแม้จะเหมือนว่ามีเวลานอน แต่ล้งเล้งไม่สามารถนอนได้ ไม่มีเขาก็ไม่มีใครจดโน๊ตแล้ว บุ๋มบีมเถียงกันเรื่องหมี่หยกต้องลวกหรือไม่ลวก เจ๋งเป้งหลับ มูเตลูนั่งเช็คดวง



เลือกเพื่อนผิดคิดจนตัวตาย



พอตกเย็น เขาก็ต้องเข้ากิจกรรมกับเพื่อนๆ ในโต๊ะเหมือนเดิม ตอนแรกเขาบอกแกนโต๊ะปีสอง (แกนโต๊ะ คือตำแหน่งของกิจกรรมกลุ่มสำหรับคณะ และมหาลัยของเขา เป็นคล้ายๆ กับผู้นำของกลุ่มที่ร่วมทำกิจกรรมร่วมกัน) ว่าตัวเองเหมือนจะรู้สึกไม่ดี อยากขอกลับห้องไปนอน แต่เมื่อเห็นว่าแทบไม่มีใครมาทำกิจกรรมเลย ตัวเองเลยต้องอยู่เพื่อช่วยเพื่อนระบายสีให้เสร็จ



ล้งเล้งจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเมื่อคืนเขากลับมาถึงห้องกี่โมง รู้แค่ว่าหัวถึงหมอนปุ๊บก็หลับปั๊บ ไม่ได้อาบน้ำด้วยซ้ำ ตื่นมาก็รีบๆ ลวกๆ มาเรียน อย่าว่าแต่กินยาเลย แค่เวลาจะพักผ่อนยังแทบไม่มี จนตอนนี้เขาก็ยังไม่ดีขึ้นเลยสักนิด หัวมันหนักเหมือนกับจะหาหมอนตลอดเวลาแม้ตรงหน้าเป็นถาดเฟรนช์ฟรายก็ตาม 



เพื่อนในกลุ่มก็เตือนให้เขาโดดไปนอน เพราะหน้าตาของล้งเล้งดูเหมือนศพเดือนได้ แต่ตัวเขาต้องเข้าเพราะไม่รู้ว่าอาจารย์จะเอาอะไรมาออกสอบ เด็กๆ เองก็ขาดเรียนไม่ได้



และในฐานะติวเตอร์ เขาเองก็จะไม่ขาดสอนเช่นเดียวกัน



“ต้นล่ะ?”



ล้งเล้งถามเด็กๆ ตอนที่ถึงเวลาเรียนแล้ว ทุกคนนั่งมองหน้าเขาเพื่อรอเริ่มเรียนในวันนี้ แต่เขาไม่เห็นน้องคนที่มักจะมาสายเป็นประจำอยู่ในคลาส



“ต้นบอกผมว่า เดี๋ยวมันมาชั่วโมงที่สองอ่ะพี่”

“ทำไม?”

“มันไลน์มาบอกว่ามีงานที่โรงเรียน ไปเอาคะแนนสอบก่อนด้วย”



โจ้พูดพร้อมกับเปิดมือถือเป็นหลักฐานว่าตัวเองได้คุยกับเพื่อนร่วมคลาสทางแอพแชทจริงๆ ซึ่งล้งเล้งก็ทำแค่เพียงพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเก็บชีทแผ่นสุดท้ายที่เพิ่งหยับออกมาจากแฟ้มกลับเข้าไปที่เดิม



“โอเค วันนี้เรามาต่อกันที่...”




การสอนดำเนินไปอย่างเชื่องช้ากว่าทุกครั้ง ปัญหาหลักเกิดมาจากการที่ตัวล้งเล้งปวดหัวจนพูดได้น้อยลงกว่าปกติมาก แถมยังต้องมาตรวจงานเขียนของน้องที่เขาสั่งไว้เป็นการบ้านอีก มันเลยยิ่งกินเวลาการสอนเข้าไปกันใหญ่



ปวดหัวฉิบหาย




ล้งเล้งสะบัดหัวเล็กน้อย ตอนนี้ครบสองชั่วโมงที่เขาสอนเด็กน้อยไป น้องๆ เกือบทั้งหมดแยกย้ายกันกลับหมดแล้ว เหลือเพียงล้งเล้งที่ยังคงไม่ลุกไปไหนเพราะมึนหัว กับแทนกายที่มีนัดที่แม็คโดนัลสาขาสยามเลยยังนั่งอยู่เป็นเพื่อนล้งเล้ง ตอนแรกเด็กโจ้เหมือนจะอยู่ด้วย แต่เพราะที่บ้านโทรมาเลยต้องรีบกลับบ้านก่อน




“พี่ไม่สบายเหรอ?”

“อืม” ล้งเล้งรับคำสั้นๆ ตอนที่แทนกายถาม เขาหลับตาลงเมื่อรู้สึกว่าสมองจะระเบิด “ดูออกเลยเหรอ?”

“มั้ง ผมก็แค่เดาเอา ไม่รู้จริงๆ หรอก”




แทนกายตอบ เด็กหนุ่มเงยหน้าจากโทรศัพท์มือถือขึ้นมามองรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ตรงหน้า อะไรบางอย่างของพี่ล้งเล้ง ทำให้เด็กหนุ่มนึกถึงพี่แทนใจ พี่ชายของตัวเอง เขาสนิทกับพี่แทนใจมาก แต่ยังคงมีช่องว่างของช่วงวัย เหมือนกับคู่พี่น้องหลายๆ คู่ เรื่องบางอย่างเขาก็ไม่อยากให้พี่รู้



“...”

“ก็พี่ดูพูดช้าลง ขยับตัวช้าลง แถมยังดูเหนื่อยๆ ตอนแรกผมก็คิดว่าพี่อาจจะแค่เหนื่อยจากกิจกรรมที่มหาลัย แต่พอสังเกตดีๆ พี่มีเหงื่อออกตลอดเวลาเลย”

“...” ไอ้เด็กนี่เป็นโคนันหรือไง?

“ก็เลยคิดว่าน่าจะป่วย”

“อืม ก็ประมาณนั้น”



ล้งเล้งบอกปัด นิสัยที่ไม่ชอบแสดงความอ่อนแอต่อหน้าคนอื่นยังคงอยู่ โชคดีที่ไอ้เหี้ยทะเล (ที่มานั่งจุ้มปุ๊ก อยู่โต๊ะข้างเขาตลอดเวลาที่สอน) เดินหายหัวไปแล้ว ไม่อย่างนั้นมันต้องล้อเลียนเขาอย่างแน่นอน



“ไม่ไปหาหมอเหรอ?”

“ไม่ว่าง”

“อืม”




พวกเขาเงียบกันอยู่แบบนั้นสักพัก ล้งเล้งตั้งใจจะกลับหอ แต่เมื่อเห็นว่าแทนกายยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ชายหนุ่มก็ตัดสินใจว่าจะรอให้แทนกายมีคนมาหาก่อน



“พี่กลับบ้านไปเถอะ”

“แล้วเราล่ะ?”

“ผมรอ… คนมาหา”




ล้งเล้งคิดว่าเขาอาจจะรู้สึกไปเอง แต่น้ำเสียงของเด็กหนุ่มดูเหมือนมีอะไรมากกว่านั้น




“พี่จะรอให้เขามาก่อน”

“อย่าเลยครับ ไม่เป็นไร กลับไปเถอะ”

“เกิดคนนั้นมาสาย เราก็ต้องอยู่คนเดียวอ่ะดิ?”

“อืม ก็คงต้องเป็นแบบนั้น”

“นี่แหละ ให้พี่อยู่เป็นเพื่อนก่อน”

“อ่า ครับ แล้วแต่พี่”




พวกเขานั่งอยู่แบบนั้นสักพัก จนกระทั่งล้งเล้งคิดว่านี่มันนานมากเกินไปแล้ว คนที่น้องแทนกายรอก็ไม่มีท่าทีจะมาเสียที




“แทนกาย นัดใครไว้เหรอ”

“เพื่อนครับ”

“เขาจะมาหรือเปล่า?”

“ไม่รู้ครับ”

“ไม่รู้?”




ติวเตอร์หนุ่มถามกลับ แทนกายที่ยังคงอยู่ในชุดนักเรียนตรงข้ามเขาพยักหน้าตอบเบาๆ ใบหน้าที่เรียกได้ว่าสวยระบายยิ้มเล็กน้อย ที่อัดแน่นไปด้วยความสิ้นหวัง




“เขานัดผมไว้ตั้งแต่เมื่อชั่วโมงที่แล้ว”

“แล้วเราก็รอ”

“อือ”

“...”

“ก็ผมทำได้แค่นี้”




ล้งเล้งขมวดคิ้วกับคำตอบนั้น เขาไม่เข้าใจ ไม่แน่ใจว่าเพราะอาการปวดหัวที่มากขึ้นจนตอนนี้ตื้อไปหมดหรือเปล่าที่ทำให้เขาไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มกำลังพูดถึงอะไรกันแน่




“ถ้าเขาไม่มาก็กลับกันเถอะ”

“พี่ล้งเล้ง ไหวมั้ย?”

“ไหวดิ ทำไมอ่ะ?”




ยังไม่ทันที่ล้งเล้งจะได้พูดอะไรเพิ่มเติม เขาก็เห็นว่ามีคนหนึ่งเดินตรงมาทางนี้ ซึ่งเมื่อหรี่ตามองดีๆ ล้งเล้งก็เห็นว่าคนที่เดินมาคือเด็กที่ควรจะมานั่งเรียนในคลาสวันนี้




น้องต้น




“ต้น? ทำไมเพิ่งมา?”




ล้งเล้งถามอีกฝ่ายออกไป แต่เหมือนเด็กตรงหน้าไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่พร้อมจะรับสารที่เขาจะสื่อมากเท่าไหร่นัก น้องต้นที่เคยน่ารัก และกวนประสาทเวลาเรียน กลับเดินมาพร้อมกับกระดาษแผ่นหนึ่งในมือ




“พี่สอนเหี้ยอะไร?”

“ฮะ?”

“ผมถามว่าพี่สอนเหี้ยอะไร ทำไมคะแนนควิซผมถึงเป็นแบบนี้!”




นี่มันเรื่องอะไร?




ในขณะที่ล้งเล้งกำลังประมวลผลสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยสมองที่เหมือนกับจะระเบิดออกมาเพราะอาการป่วย เด็กหนุ่มที่เพิ่งมาใหม่ก็พูดต่อดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด




“ผมมาเรียนกับพี่ เพราะผมหวังว่าตัวเองจะเรียนได้ดีขึ้น”

“แล้ว...”

“แต่คะแนนที่ผมควิซไปเมื่อวันก่อน มันแย่… มันแย่มาก”




ต้นเสือกกระดาษใบเล็กมาตรงหน้าของติวเตอร์หนุ่ม ล้งเล้งพยายามจะมองคะแนน อาจจะด้วยพิษไข้ทำให้เขาเห็นไม่ชัดว่าเลขตัวเดียวสีแดงบนกระดาษนั้นคือเลขอะไรระหว่าง 6 กับ 8 แต่ยังไงก็น้อยมากเมื่อเทียบกับคะแนนเต็มสามสิบตัวใหญ่ยักษ์




“พี่… ขอโทษ”




ล้งเล้งพยายามพูด เมื่อครู่เขารุ้สึกว่าตัวเองไม่ได้เป็นหนักขนาดนี้ อาจจะเพราะตัวเองนั่งตากแอร์อยู่นาน ตอนนี้มันเลยตื้อไปหมด




“ขอโทษแล้วคะแนนผมกลับมาหรือไง?”

“เฮ้ย ต้น เราว่านี่มันเกินไปหรือเปล่า?”




แทนกายที่นั่งมองสถานการณ์เงียบๆ มาสักพักพูดแทรกออกมาบ้าง ใบหน้าสวยของเด็กหนุ่มบึ้งตึงคล้ายกับจะไม่พอใจ




“เงียบไปเลย คนเพิ่งมาเรียนอย่างมึงจะมารู้อะไร”




ต้นพูดต่อ เด็กชายตบโต๊ะแสดงความไม่พอใจเสียงดัง ก่อนที่จะพูดกับติวเตอร์ของตัวเอง




“พี่ดีแต่กินเงินแม่ผม ไม่ได้อยากให้เด็กเข้าใจจริงนี่หว่า แค่อยากได้เงินไปใช้เฉยๆ อ่ะ สอนอะไรไม่ได้เรื่องเลย”

“...”


“ผมไม่น่าเสียเวลามาเรียนกับติวเตอร์ห่วยๆ แบบพี่เลยว่ะ”




ห่วยงั้นหรือ?




คล้ายกับล้มทั้งยืน ล้งเล้งพูดไม่ออก เขาตัวชาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ถึงแม้ว่าเขาอาจจะไม่ใช่ครูที่ดีอะไร แต่ล้งเล้งตั้งใจกับการสอนมากจนไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งตัวเองจะทำมันไม่ได้




เขาสอนแย่อย่างนั้นหรือ?”


ในขณะที่ล้งเล้งจมอยู่กับความรู้สึกหดหู่ที่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว เด็กน้อยที่ติวเตอร์หนุ่มเคยสอนก็อ้าปาก พูดประโยคต่อมาทันที




“คนอย่างพี่น่ะ ไม่เหมาะจะเป็นครู…”




‘ปั้ก!!’




ก่อนที่ต้นจะได้พูดอะไรเพิ่ม ก็มีถาดฟาดลงมาบนหัวของเขาเสียก่อน เพราะศรีษะได้รับการกระแทกไม่เบานัก เด็กหนุ่มตอนนี้รู้สึกคล้ายกับเห็นภาพตรงหน้าเป็นสีขาวไปชั่วครู่ มือของต้นจับที่หัวตัวเองอย่างมึนงง ในขณะที่สมองสั่งการให้หาคนร้าย เสียงยานคางก็ดังเข้ามาให้ได้ยิน




“หยุดพูดได้ยัง? ฟังอยู่นานแล้ว รำคาญ”




คนที่พูดคือทะเล ติวเตอร์ต่างสถาบันที่เด็กหนุ่มจำได้ว่าเป็นปรปักษ์กับติวเตอร์ของตนเอง ใบหน้าหล่อที่เด็กหนุ่มเคยชื่นชมของทะเลนั้น บัดนี้กลับเรียบนิ่งจนดูน่ากลัว คล้ายกับว่าเจ้าตัวกำลังโกรธเขามาก ทั้งที่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับทะเลเลยสักนิด




“พี่ทะเล?”

“รู้บ้างมั้ยว่าคนที่น้องกำลังด่าว่าสอนห่วยน่ะ ตั้งใจสอนขนาดไหน ตอนที่พี่เขาสอนน่ะ เคยสนใจมั่งป่าว?”

“ก็…”

“พี่เห็นทั้งหมดมาตลอด” ทะเลพูดด้วยน้ำเสียงยานคางเหมือนเดิม หากแต่คนฟังรู้สึกได้ว่าเจ้าตัวไม่เล่น ไม่มีรอยยิ้มบางๆ ประดับหน้าเหมือนกับที่คุ้นเคย

“...” 

“คนที่น้องกำลังด่าว่าสอนไม่ได้เรื่องน่ะ ทำชีทสรุปมาเอง อธิบายสามสี่ครั้งเพราะมีเด็กไม่ตั้งใจเรียน พี่ไม่เคยเห็นมันโกรธเลย ทั้งที่การบ้านน้องไม่เคยทำมาส่งมันสักครั้ง เคยคิดถึงตรงนี้มั่งมั้ย ในสมองเนี่ย เคยมีอะไรนอกจากเรื่องเล่นบ้างมั้ย?

“...”

“มีสักเสี้ยวที่นึกถึงความตั้งใจของพี่เขามั่งหรือเปล่า?”

“...”

“เรียนพิเศษแบบนี้แล้วยังคาดหวังผลแบบไหนเหรอ? คิดว่าติวเตอร์เป็นทุกอย่างหรือยังไง? พี่เขาก็คนมั้ย ไม่ใช่พระเจ้า”

“...”

“นี่ไอ้ลูกหมาติวเตอร์น้องมันยังใจดีนะ เด็กแบบน้องน่ะ พี่ไม่สอน”

“...”

“อันที่จริงถ้าถามพี่นะ พี่ว่าอาจจะไม่มีติวเตอร์ที่ไหนอยากสอนเด็กแบบน้องหรอก”




ล้งเล้งรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังดูละครอะไรบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจเนื้อเรื่องมากนัก ทะเลที่ยืนเถียงกับเด็กนักเรียนในความดูแลของเขาตรงหน้าดูคล้ายกับเป็นเรื่องห่างไกล หูที่เริ่มอื้อฟังเรื่องตรงหน้ารู้เรื่องไม่ถึงครึ่ง เขารู้เพียงแค่ทะเลกำลังด่าเด็กของเขา 




ถึงแม้ต้นจะไม่ตั้งใจเรียน แต่ถ้าอยากเรียน ล้งเล้งก็จะสอน น้องอาจจะต้องการวิธีใหม่ในการเรียนรู้เพื่อให้เข้าใจภาษาอังกฤษมากกว่าที่เป็นอยู่




เด็กหนุ่มพยายามจะลุกขึ้นมายืน ในใจคิดแต่ว่าเขาจะลองคุยกับน้องดู รอบตัวเขาโคลงเคลงคล้ายยืนอยู่บนเรือที่แล่นผ่านมหาสมุทธร ติวเตอร์คนเก่งเห็นว่าแทนกายทำหน้าคล้ายกับว่าเป็นห่วง เขาตั้งใจจะยกมือขึ้นไปลูบหัวน้องเพื่อบอกว่าตัวเอง ‘ไม่เป็นไร ไม่ต้องเป็นห่วง พี่ไม่ตายง่ายๆ หรอก’ แต่หัวมันหนักตื้อไปหมด ทุกอย่างตรงหน้ามันมืดลงไป แล้วอยู่ดีๆเด็กหนุ่มก็ไม่สามารถทรงตัวยืนอยู่ได้




สิ่งสุดท้ายที่ล้งเล้งได้ยิน คือเสียงเรียกอย่างตกใจของคนที่ควรจะไปไหนก็ไปได้แล้ว

 

ไอ้ทะเล … อย่ามายุ่ง




“เฮ้ย ลูกหมา!”


แล้วภาพทุกอย่างก็ตัดไป





------- Wednesday In Class ------- 




เกิดอะไรขึ้น?




นี่คือสิ่งแรกที่ล้งเล้งคิดตอนที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมา หัวยังคงหนักอยู่เหมือนกับก่อนจะหมดสติไป ชายหนุ่มโคลงหัวเล็กน้อย ก่อนจะมองซ้ายมองขวา ห้องสีขาวสะอาดบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ที่บ้านตัวเอง ชายหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวไม่ใช่ที่ที่เขาคุ้นเคย กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อเบาบางจนรู้สึกได้ลอยเข้ามาแตะจมูก




โรงพยาบาล?




เด็กหนุ่มเหลือบไปเห็นโลโก้ของโรงพยาบาลเอกชนที่คุ้นเคยดีบนเสื้อของตัวเอง เขาหันมองรอบห้อง เหมือนว่าตัวเองจะนอนร่วมห้องกับใครไม่รู้อีกคน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจนัก เขาอยากรู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แล้วนี่เป็นเวลาเท่าไหร่แล้ว




โชคดีที่โทรศัพท์มือถือของเขาวางอยู่ข้างเตียง ล้งเล้งรีบเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมาทันที




23.00 น.




“ตื่นแล้วเหรอ?”




คนแรกที่เด็กหนุ่มเห็นหน้าคือพี่สาวตัวเอง พี่กุ๊กกิ๊กเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ สูงร้อยห้าสิบกว่าๆ แต่ฝ่ามือหนักเท่าบ้าน ถึงแม้จะอายุห่างกันหลายปี แต่ล้งเล้งก็สนิทกับพี่สาวมากพอที่จะคุยกันได้เกือบทุกเรื่อง ถึงแม้ว่าในอดีตพี่คนนี้นี่แหละที่เอาเสื้อ I am a Barbie Girl มาให้เขาใส่ก็ตาม




“ยังปวดหัวอยู่มั้ย?”

“ไม่ค่อยแล้ว” เด็กหนุ่มลุกขึ้นมานั่ง ทั้งที่ยังคงรู้สึกมึนหัวเล็กน้อย “น้องแทนกายล่ะเจ๊?”

“แทนกาย?”

“เด็กที่เล้งสอนพิเศษ”

“ไม่น่าจะตามมาด้วยนะ เจ๊ไม่เห็น”




เด็กหนุ่มพยักหน้ารับรู้ มือตั้งใจจะพิมพ์หาน้องที่เขาดันทิ้งเอาไว้โดยไม่รู้ตัว ทั้งที่ตั้งใจจะอยู่ด้วยจนกว่าเพื่อนจะมาแท้ๆ แต่กลับทำไม่ได้ ไหนจะเรื่องต้นอีก




“นี่แกรู้มั้ยเนี่ยว่าเป็นอะไร?”




เสียงของพี่สาวคนสนิท ดึงความสนใจล้งเล้งออกมาจากความคิดของตัวเอง เด็กหนุ่มยักไหล่ เป็นเชิงบอกว่า ‘ไม่รู้ แล้วก็ไม่เห็นว่าจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลยเสียหน่อย’




“เป็นไข้ พักผ่อนน้อย ร่างกายอ่อนแอ”

“อ่อ อืม”

“ไม่หลับไม่นอนหรือไง?”

“ก็เรียน”

“แล้วยังสอนพิเศษเนี่ยนะ? มันไม่หนักไปเหรอ? ปีหนึ่งกิจกรรมเยอะจะตาย”

“เล้งอยากทำ”

“แต่…”

“เราคุยเรื่องนี้กันแล้วนี่เจ๊”




ล้งเล้งพูดตัดบทพี่สาว




ตั้งแต่เขาเริ่มไปปรึกษาเรื่องสอนพิเศษกับพี่กุ๊กกิ๊ก เด็กหนุ่มไม่ค่อยได้รับเสียงสนับสนุนเท่าไหร่นัก จริงอยู่ที่เจ๊กุ๊กกิ๊กไม่ได้ห้าม แต่เพราะว่าตัวพี่สาวผ่านการเรียนมาสี่ปีแล้ว บวกกับประสบการณ์ทำงานห้าปีกว่า เธอมั่นใจว่าน้องชายจะต้องรู้สึกว่ามันหนักหนา




เธอไม่อยากให้น้องชายรู้สึกเหนื่อยจากเรื่องอื่นนอกจากมหาลัย เพียงแค่กิจกรรมกับการเรียนในช่วงปีหนึ่งก็มากพอที่จะทำให้เด็กมัธยมหมาดๆ ต้องปรับตัวมากเพียงพอในความรู้สึกของเธอ หากแต่พอล้งเล้งบอกว่า ‘เล้งอยากสอน ให้เล้งสอนนะ เล้งอยากเป็นครู’ เธอก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปหักล้างความตั้งใจน้องชายอีก




“ว่าแต่....” เด็กหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง เขาเกรงว่าถ้าพูดวนอยู่เรื่องสอนพิเศษแล้วจะคุยกันไม่รู้เรื่อง “เล้งมาอยู่นี่ได้ไงอ่ะ?”

“ทะเลแบกมา”




เป็นคนอื่นไม่ได้หรือไงวะ 




“มันมายุ่งกับเล้งทำไมวะเนี่ย? ไม่มีอะไรทำหรือไง” ล้งเล้งบ่นอุบ

“ปากแกนี่นะ!”

พี่กุ๊กกิ๊กที่กำลังดูโทรศัพท์อยู่หันมาแว๊ดคนบนเตียงเข้าให้ เธอไม่เข้าใจว่าน้องชายจะจงเกลียดจงชังอะไรเเพื่อนบ้านขนาดนี้

“เอ๊า ก็เรื่องจริง”




ล้งเล้งตอบแบบไม่ใส่ใจ เด็กหนุ่มหันหน้าไม่พอใจไปทางอื่น หลบสายตาพี่สาวที่มองมาคล้ายกับว่าเขาทำผิดร้ายแรงอย่างไรอย่างนั้น


ก็แค่ไอ้เหี้ยทะเล




“น้องทะเลยอมแบกแกมาก็ดีเท่าไหร่แล้ว!”




หญิงสาวพูดกับน้องชายที่กอดอกหันหน้าไปอีกทางอย่างฉุนเฉียว ลองเป็นเธอนะ ถ้ามีเพื่อนแบบล้งเล้งนี่ นอกจากจะเลิกคบแล้วยังขอเอาไปขายซาเล้งด้วย




“ก็มันมาวุ่นวายกับเล้งอ่ะ!”

“มันก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไงวะ?”

“ดีอะไรเล่า!”

“ล้งเล้ง!”

“อย่าดุดิ!”

“ก็มันน่าดุมั้ยล่ะ เจ๊ไม่ได้สอนให้เป็นคนแบบนี้นะ?!”

“...”




ล้งเล้งยอมเงียบเมื่อเห็นว่าพี่สาวมีท่าทางจะโกรธจริงจัง อย่างที่บอกว่าพวกเขาสนิทกัน ถ้าจะผิดใจมันควรจะเป็นเรื่องการแย่งกินขนมในตู้เย็น ไม่ใช่เพราะคนอย่างไอ้เหี้ยทะเล! เปลืองน้ำลาย!




“แกรู้มั่งมั้ยว่าน้องทะเลแบกแกมาจากสยาม เรียกแท็กซี่ พามาโรงพยาบาลนี่ ติดต่อเรื่องทั้งหมด โทรหาเจ๊ด้วย แล้วนี่คือสิ่งที่แกตอบแทนน้ำใจของเขาเหรอ? ด้วยคำด่าแบบนี้อ่ะนะ? เจ๊ถามจริง?”

“...”



“ถ้าไม่มีทะเลนะ แกถูกทิ้งให้นอนแอ้งแม้งอยู่ที่พื้นพารากอนที่สยามแล้ว สำนึกซะบ้าง!”




.

.

.



------- TBC -------



ใช่ๆ สำนึกซะไอ้ลูกหมา! อิ___อิ


#รักไม่คาดคิดในวันพุธ





ออฟไลน์ nisaday

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เด็กแบบน้องต้น
เป็นเราๆก้ไม่สอน
ถ้าเราเป็นทะเลเราจะต่อยให้

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
มีลูกศิษย์แบบนี้เหนื่อยหน่อยนะครับ,,,

ออฟไลน์ Jiraapp

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ตอนเรียนก็ไม่ตั้งใจคิดว่าแค่มานั่งเฉย ๆ ให้จบคลาสคะแนนสอบมันจะออกมาดีได้เหรอ ล้งเล้ง...ทะเลทำขนาดนี้แล้วอย่าจงเกลียดจงชังทะเลนักเลยนะ

ออฟไลน์ babybaphomet

  • Baby Baphomet
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
    • Twitter
6th Wednesday
#รักไม่คาดคิดในวันพุธ


“เชี่ย ล้งเล้งขาดเรียน”
“กูนี่โคตรตกใจตอนรู้”
“น้องล้งเล้งเป็นไงมั่ง?”
“น้องล้งเล้งหายแล้วใช่มั้ย?”

นี่เป็นบทสนทนาของเพื่อนๆ เด็กหนุ่มสี่คนหลังจากที่เขาถูกนอนโรงพยาบาลไปหนึ่งคืน ถูกบังคับให้กลับบ้านไปอยู่กับพ่อแม่อีกหนึ่งวัน กว่าจะกลับมาเรียนได้ก็คือวันศุกร์ พวกเพื่อนๆ ของเขาต่างถามไถ่อย่างใส่ใจ อาจจะเพราะว่าตั้งแต่ล้งเล้งเข้ามหาลัยมา เขาไม่เคยป่วยให้ใครเห็นเลยสักครั้ง

“ควิซเมื่อวันพฤหัสนี่กูไปขอเขาทำใหม่ได้มั้ยวะ?”

ล้งเล้งเมินทุกคำของเพื่อน หันไปคุยกับเพื่อนร่วมคลาสภาษาจีนอย่างเจ๋งเป้งแทน ตอนแรกเขาเองก็เหงาๆ ที่เพื่อนลงเรียนจีนด้วยกันแค่คนเดียว แต่ตอนนี้ขอบคุณสวรรค์ที่คนคนนั้นเป็นเจ๋งเป้ง ลองคิดสภาพว่าถ้าไอ้บีมบุ๋มมาลงด้วย เขาต้องปวดประสาทมากๆ หรือยิ่งถ้าเป็นไอ้มูนี่ไม่ต้องทำอะไรเลยวันๆ นั่งโดนมันบ่นเพราะไม่ยอมใส่เสื้อสีมงคลไปควิซแน่นอน

“กูว่าไม่น่าจะได้ว่ะมึง”

เพื่อนเจ๋งเป้งพูดพร้อมกับส่งป๊อกกี้มาให้ ชายหนุ่มเลิกคิ้วสงสัย คือซื้อมาให้กูเพื่อ? ไม่ได้ฝาก

“ก็เห็นมึงชอบกินโกโก้ปั่น กูเลยซื้ออย่างอื่นให้ มึงแดกของเย็นไม่ได้”

เพื่อนตอบเรียบๆ ล้งเล้งพยักหน้าเออออ แล้วก็รับขนมไป เมินสายตา ‘มึงๆ คิดเหมือนกูป้ะ?’ ‘เออๆ กูก็คิดเหมือนมึงอ่ะเพื่อน’ ของไอ้สามตัวที่เหลือ อยากคิดอะไรก็คิดไป ตอนนี้ล้งเล้งสนใจแค่ว่าตัวเองจะไปขอเหล่าซือควิซใหม่ได้มั้ย ไอ้หวัดเหี้ย! คะแนนควิซกู!

“เออๆ แล้วนี่ตอนเย็นพวกมึงจะไปไหนกันป้ะ?”
“พวกกูไปดูหนัง”
“น้องล้งเล้งไปด้วยกันมั้ย?”

บุ๋มบีมตอบมาเมื่อชายหนุ่มเปลี่ยนบทสนทนา เขาส่ายหน้าเป็นคำตอบ เมื่อหันไปหาเพื่อนที่วันนี้ใส่สีเหลืองทั้งตัว ทั้งเสื้อยืดแล้วก็กางเกงขาสั้นเสมอเข่า เพราะว่าวันนี้สีเหลืองเป็นสีมงคลด้านเงินทองในวันศุกร์ ล้งเล้งก็พบว่ามูเองก็ส่ายหัวเช่นเดียวกัน

“กูกลับบ้าน วันนี้เจอญาติ”

มูเตลูตอบอย่างไม่สนใจมากนัก

“แล้วยังไง?”
“ดูหนังก่อนเจอญาติก็ได้”
“กฎหมายไทยไม่ได้ห้ามดูหนังถ้าจะนัดเจอญาติ”

บุ๋มบีมสลับกันพูดไปมา บางทีล้งเล้งก็คิดเหมือนกันว่าสองคนนี้มันสื่อสารกันทางลำไส้ใหญ่ พูดอะไรรู้ใจกันไปหมด

“กูคิดว่าน่าจะได้เงิน กูไปกับมึงไม่ได้จริงๆ เว่ยเพื่อน คือกูก็รักพวกมึงนะ แต่กูรักเงินมากกว่า”

ล้งเล้งพยักหน้าเข้าใจ เขาก็รักเงินมากกว่าพวกมันเหมือนกัน เป็นมิตรภาพที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ซึ่งกันและกันเท่าไหร่ แต่ก็พอคบกันได้ เพราะมันจองที่โรงอาหารให้ในตอนกลางวัน

“มึงอ่ะเจ๋ง?”
“กูจะนอน”

เพื่อนตัวสูงตอบอย่างหนักแน่น สำหรับมันไม่มีคำว่าทำกิจกรรมหลังเลิกเรียนอะไรทั้งนั้น คนขี้เกียจก็คือคนขี้เกียจ เกิดมาเพื่อนอนอย่างแท้จริง

“เออ เค” ล้งเล้งพูดต่อ “งั้นกูก็คงกลับบ้านเหมือนกันว่ะ”

ไม่น่าเลยกู

ล้งเล้งคิดกับตัวเองตอนที่เขาขึ้นรถตู้อนุสาวรีย์หลังจากรอคิวมากว่าชั่วโมง ปกติแล้วเขาชอบกลับบ้านวันเสาร์เช้าหรือไม่ก็ให้พี่สาวมารับ แต่วันนี้พี่กุ๊กกิ๊กดันต้องปิดบัญชีบริษัท อะไรสักอย่างที่เขาก็ไม่ได้สนใจมากนัก รู้เพียงว่าพี่สาวมารับไม่ได้เลยต้องกลับเอง

คล้ายกับว่าคนทั่วโลกมารอรถตู้ร่วมกับเขาด้วย กว่าจะถึงคิวเล่นเอาแบตมือถือหมดไปรอบหนึ่ง อ่านหนังสือจนไม่รู้จะอ่านยังไง ซึ่งพอได้ขึ้นรถตู้แล้วก็ต้องมาต่อบีทีเอสที่สยามอีกตามชะตากรรมของคนบ้านไกล ซึ่งคนก็เยอะแยะจนล้งเล้งหงุดหงิด คิ้วของเด็กหนุ่มตัวกะทัดรัดขมวดเป็นปม เขาไม่เคยเกลียดความสูงตัวเองเท่าตอนที่ต้องยืนโหนราวบีทีเอสมาก่อน

คือกูก็เตี้ยไง คนแม่งก็เบียดอยู่นั่น หายใจไม่ออก!

เขาจะไม่บ่นเลยถ้ารอบข้างไม่ใช่ผู้ชายตัวใหญ่ๆ ยืนประกบเขาเสียจนแหงนหน้าไปก็เห็นแต่แผงขอของพวกนั้น ไหนจะเหงื่อไหนจะอะไร อย่าให้ชาติหน้าสูงสักสองเมตรนะ พ่อจะยืนมองทุกคนจากที่สูงมั่ง คอยดู!

“ลูกหมา?!”

เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนเป็นล้านตรงหน้ายังมีไอ้เหี้ยทะเล

ล้งเล้งเบ้หน้าทันทีที่ได้ยินเสียงทักตัวเองจากข้างหลังตอนที่ลงจากรถไฟฟ้าสายสุขุมวิท เพื่อรอต่อรถไฟฟ้าไปสายสีลม นึกด่าความบังเอิญของโลกใบนี้ คือเขาก็รู้แหละว่าไอ้ทะเลมันเรียนแถวนี้ ขึ้นรถไฟฟ้าสายเดียวกัน บ้านก็อยู่ทางเดียวกัน แต่ไม่จำเป็นจะต้องเจอกันก็ได้มั้ยวะ?!

เด็กหนุ่มตัวกะทัดรัดหันไปมองตามเสียงเรียกด้านหลัง คู่แข่งทางการค้ายืนเสนอหน้าอยู่ข้างหลัง ใบหน้าที่ตามปกติแล้วเรียบนิ่งของเจ้าตัวมีรอยยิ้มประดับอยู่ ล้งเล้งขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

นี่มึงไปเรียนหนังสือหรือไปดูดเนื้อ? คนล้นสถานี มึงจะอารมณ์ดีอะไรขนาดนั้น?

“หายแล้วเหรอมึง?”
“เสือก”
“หายดีแล้วแหละแบบนี้ ปากหมาเชียว”
“อ่ะ ไอ้สัด ก็มึงเสือกอ่ะ จะให้กูบอกว่าอะไร รักนะจุ๊บๆ หรือไง?”
“ก็ดีนะ ลองดูดิ”
“...”
“เร็วมึง รักนะจุ๊บๆ ไง ไหน พูดดิ”
“ไอ้สัดนี่ กวนส้นตีน!”

เด็กหนุ่มจากมหาลัยห่างไกลพูดได้แค่นั้น ก่อนที่บีทีเอสจะมาจอด ล้งเล้งจึงเลือกเดินเข้าไปในขบวนรถ โดยไม่ได้สนใจคนข้างหลังอีก ในใจคิดแต่ว่าจะรีบเดินๆ ให้พ้นประตู ไปไกลๆ เลย เดินไปอีกฝั่งของขบวนเลยก็ดี จะได้ไม่ต้องเห็นหน้ามึนๆ กวนตีนของไอ้เหี้ยทะเล

แน่นอนว่า ไอ้เหี้ยทะเล ก็ยังคงเป็นไอ้เหี้ยทะเล

คนที่ล้งเล้งหนีตั้งแต่อนุบาล มายืนข้างๆ สลัดยังไงมันก็ไม่ไปไหนสักที ดื้อด้านประหนึ่งเป็นหมากฝรั่งที่ติดรองเท้า ยิ่งคนไหลเข้ามาในรถไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น ตัวของเด็กหนุ่มก็ถูกเบียดเข้าไปให้ชิดกับทะเลมากขึ้นไปอีก

สาบานเลยว่ากลับบ้านเองครั้งหน้า ล้งเล้งจะเรียบแกร๊บ!

“มึงยืนได้มั้ยลูกหมา?”

เสียงยานคางถามมาจากด้านบน ไม่ต้องเงยหน้าไปมองก็พอจะรู้ว่าคนถามเป็นใคร ตอนนี้จุดโฟกัสสายตาของล้งเล้งอยู่ซอกคออีกฝ่าย ใช้อะไรซักเสื้อนิสิตวะทำไมมันถึงได้ไม่เหลืองทั้งที่ผ่านมาทั้งวัน ยังดีที่ไอ้ทะเลมันไม่เล่นกีฬา ไม่งั้นล้งเล้งคงเป็นลมกลิ่นเหงื่อไปแล้ว

“ไม่ได้ยืน ลอย”
“โห เท่ว่ะ สอนหน่อย”
“กูกวนตีน”
“เหรอ ไม่เห็นรู้”
“ไอ้ควาย ไม่ใช่กูละที่กวนส้นตีน! นั่นมันมึง”
“อ๋อเหรอ ไม่เห็นรู้”
“สัตว์”

 พวกเขากระซิบคุยกันในรถไฟฟ้าที่คนเยอะมาก ล้งเล้งถูกล้อมไปด้วยมนุษย์ตัวยักษ์ทั้งหลาย จริงอยู่ที่เขาไม่ได้เตี้ยขนาดนั้น แต่ถ้าเทียบกับไอ้พวกที่มาอยู่รอบๆ ในตอนนี้ เขาพูดได้เต็มปากว่าตัวเองมองอะไรไม่เห็นเลย นอกจากไอ้เหี้ยทะเลที่ยืนอยู่ตรงหน้า

หน้าอกมันจะกว้างไปไหนวะ มึงจะตัวสูงไหล่ใหญ่เผื่อคนทั้งโลกเลยหรือไง?

แล้วทำไมไม่มีผู้หญิงตัวเล็กๆ ยืนติดกูมั่งวะ? คือไม่ได้อะไร ล้งเล้งมองไม่เห็นแล้วว่าตอนนี้มันสถานีไหน

“มึง”

นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ล้งเล้งเรียกทะเลก่อนโดยไม่หาเรื่อง ถึงแม้ว่าน้ำเสียงจะไม่ได้ดูเป็นมิตรมากนักก็ตาม

“ว่า?”
“ตอนนี้สถานีอะไรแล้ววะ กูไม่ได้ยินที่เขาประกาศเมื่อกี้”

ที่ล้งเล้งพูดไม่เกินจริงเลยสักนิด ตอนที่เสียงประกาศสถานีตามสายมา เขาก็มัวแต่เถียงกับทะเลอยู่ ตอนนี้รถจอดที่สถานีแล้วซึ่งล้งเล้งก็ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ตรงไหนของโลก

“ศาลาแดง”
“โอเค ขอบใจ”
“อืม”

พวกเขาพูดกันแค่นั้น ก่อนที่ล้งเล้งจะขยับตัวเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าขึ้นมาเล่นเพื่อป้องกันบทสนทนาอื่นที่อาจจะเกิดขึ้นอีก หากพูดตามความเป็นจริงเขาไม่อยากคุยกับผู้ชายตรงหน้ามากนัก ก็คนมันไม่ชอบ ไม่อยากยุ่งด้วยมันเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว

“ช่องนนทรี”
“...”
“สุรศักดิ์แล้วมึง”
“..,”
“ตอนนี้ถึงสถานีสะพานตากสิน”
“กูถามจริง มึงเป็นเหี้ยอะไร?”

ล้งเล้งเงยหน้าจากโทรศัพท์มองคนที่พูดชื่อสถานีกับเขาทุกสถานีอย่างหงุดหงิด ที่ถามเมื่อกี้เพราะว่าเขาไม่ทันฟังแล้วก็มองป้ายไม่เห็น แต่เหี้ยอะไรคือการที่มันเล่นบอกทุกสถานีที่รถขับไปถึง

“ก็เห็นเมื่อกี้มึงถาม”

ทะเลตอบด้วยน้ำเสียงยานคางตามสไตล์ ใบหน้าหล่อมีรอยยิ้มมุมปากนิดๆ แบบที่ล้งเล้งเกลียดประดับอยู่ รอยยิ้มนั้นมันเหมือนกับคนที่กำลังสนุกเวลาทำอะไรสักอย่าง ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นคือการที่ได้กวนตีนเขา

“กูถามแค่สถานีเดียว!”
“กูแถมให้”
“...”
“สถานีหน้ากรุงธนบุรีนะ”
“...”
“ฟังไม่เข้าใจ? งั้นเดี๋ยวกูพูดเป็นภาษาอังกฤษให้ Next station, Krung Thon Buri”
“ไอ้สัตว์!”
“โอ๊ย!”

สิ้นคำพูดทะเล ล้งเล้งก็กระทืบเท้าอีกฝ่ายพร้อมกับด่าไปอย่างจัง แต่เหมือนกับเขาจะเล็งผิดไปหน่อย เพราะคนที่ร้อง ‘โอ๊ย’ ออกมานั้น ไม่ใช่ทะเล แต่เป็นผู้ชายวัยทำงานอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ต่างหาก

“ขอโทษครับๆ ผมไม่ได้ตั้งใจ”

เด็กหนุ่มรีบละลักละล่ำพูดเมื่อผู้ชายคนนั้นเงยหน้าออกมาจากโทรศัพท์มือถือของตัวเอง พร้อมกับมองหน้าเขาด้วยความเดือดดาล

“แต่เมื่อกี้น้องด่าพี่ว่า ‘ไอ้สัตว์’ ด้วย”
“ผมไม่ได้ด่าพี่ ผมด่าไอ้เหี้ยนี่ครับ” เด็กหนุ่มพูดด้วยสีหน้าสำนึกผิด พร้อมกับชี้ไปที่ทะเลที่ยืนกลั้นขำอยู่ข้างๆ “ไม่ได้ตั้งใจจะหมายถึงพี่หรือทำร้ายร่างกายพี่จริงๆ ครับ ขอโทษนะครับ”
“จะให้พี่เชื่อเหรอ?”
“จริงๆ นะครับ ขอโทษนะครับ”

ถึงแม้จะเป็นคนที่มีนิสัยมึงมาพาโวยแค่ไหนแล้ว แต่กับเรื่องที่ตัวเองทำผิดจริงๆ ล้งเล้งไม่ใช่คนที่จะปัดความรับผิดชอบออกจากตัวเอง ผิดก็คือผิด แล้วเขาก็ขอโทษอีกฝ่ายจากใจจริงๆ

“แต่พี่เจ็บมากเลยนะ”
“ผมไม่ได้ตั้งใจ”
“งั้นขอเบอร์หน่อย”
“ครับ?”

ล้งเล้งทวนถามอย่างไม่แน่ใจ ทะเลที่ยืนดูสถานการณ์มาตั้งแต่ต้นจนตอนนี้รถไฟฟ้าเลยสถานีกรุงธนบุรีมาจนถึงสถานีวงเวียนใหญ่แล้วด้วยเช่นกัน

“ก็เบอร์ไงน้อง คือน้องจะไม่ชดใช้พี่เลยงี้?”
“ผมขอโทษไปแล้วไงครับ”
“แต่พี่ยังไม่พอ” ชายหนุ่มวัยทำงานพูดต่อ “น้องไม่ได้เหยียบธรรมดานะเมื่อกี้ คือกระทืบเลย กะให้เท้าพี่หลุดติดเท้าน้องเลยนะแรงแบบนั้น”
“ก็ไม่ได้ตั้งใจไงครับ”

ล้งเล้งเริ่มมีน้ำโหมั่งแล้ว เขาไม่เข้าใจว่าพี่คนนี้จะเอาเบอร์โทรศัพท์ตัวเองไปทำไม มันเป็นของส่วนตัว ถ้าจะเรียกเงินหรืออะไรก็ควรทำมาเลยตอนนี้ ไม่ใช่มาเอาข้อมูลส่วนตัวของเขา

“คือจะไม่ให้พี่เหรอ?”
“ผมแค่ไม่เห็นประโยชน์อะไร”
“อันนี้ผมเห็นด้วย”

ทะเลพูดเสริมเป็นครั้งแรก ซึ่งถึงแม้ในใจล้งเล้งจะมีคำว่า ‘เสือก’ แว๊บขึ้นมา แต่ว่าตอนนี้เขาไม่โง่พอที่จะไล่คนเดียวที่เป็นพวกเขาไป ถึงแม้ว่าคนนั้นจะเป็นไอ้เหี้ยทะเลก็ตาม

“น้องไม่เกี่ยวนี่” ชายหนุ่มออฟฟิศพูดขึ้นมา
“มันเป็นเพื่อนผม เมื่อกี้ไอ้ลูกหมานี่ก็ตั้งใจจะแกล้งผม ไม่ใช่พี่”

ล้งเล้งหันไปตวัดสายตาที่อ่านออกได้ว่า ‘กูไม่ใช่ลูกหมา ไอ้เหี้ย’ ใส่ทะเล แต่ไม่ได้เปิดปากพูดอะไร สถานการณ์ตรงหน้าอาจจะน่าสนใจสำหรับคนที่เงยหน้าจากโทรศัพท์ขึ้นมามอง แต่สำหรับล้งเล้งที่ยังพัวพันอยู่ตรงนี้ เขาไม่สนุกเลยสักนิด

“งั้นเอาเบอร์น้องมาด้วยก็ได้”
“อะไรนะครับ?”

ตอนนี้กลายเป็นทะเลที่งงแทน ชายหนุ่มออฟฟิศตรงหน้าทำหน้าหงุดหงิด ล้งเล้งไม่รู้ว่าเพราะโมโหที่โดนเหยียบเท้าหรือว่าอะไรกันแน่ หากให้พูดตามตรง เขาไม่เข้าใจเรื่องตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย

“มันต้องมีคนรับผิดชอบ ขอเบอร์สักคน”
“...”
“เร็วๆ พี่ต้องลงสถานีหน้าแล้ว”

เสียงประกาศตามขบวนรถทำให้พวกเขารู้ว่าตอนนี้มาถึงสถานีตลาดพลู ซึ่งเป็นสถานนีก่อนที่ผู้ชายแปลกหน้าอ้างว่าตัวเองจะต้องลง เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไร ล้งเล้งก็ยอมเอาโทรศัพท์ของอีกฝ่าย มากดเบอร์ตัวเอง แล้วยื่นส่งคืนไปให้ มันจะได้หมดเรื่องเสียที

ท้ายสุดแล้ว เมื่อได้เบอร์ของเด็กหนุ่มตัวกะทัดรัดตามที่หวังไว้ ชายคนนั้นก็หันมาส่งยิ้มให้พวกเขาหนึ่งครั้ง ก่อนจะลงไป เขาบอกกับล้งเล้งและทะเลเอาไว้ว่า

“น้องล้งเล้งนะครับ”
“อ่า ใช่ครับ”
“ชื่อน่ารักดี”
“...”
“แล้วจะโทรหานะครับ”
“...”
“อ่อ เกือบลืมไป ...พี่ชื่อธนานะ”
“...”
“ยินดีที่ได้รู้จัก น้องล้งเล้ง”



------- Wednesday In Class -------




“มึงให้เบอร์เขาไปทำไม?”
“เสือก”
“แล้วตกลงมึงให้เบอร์เขาไปทำไม?”
“นี่จะไม่จบจริงๆ ใช่มั้ย?”

ล้งเล้งถามคนที่เดินมาด้วยกันอย่างหงุดหงิด หลังจากเหตุการณ์บนรถไฟฟ้าเมื่อสักครู่ ทะเลแม่งก็เอาแต่ถามคำถามนี้ไม่จบไม่สิ้น จนกระทั่งตอนที่กำลังจะเดินเข้าหมู่บ้านแบบตอนนี้ ไอ้ทะเลก็ยังคงไม่หยุดถามคำถามเดิม ล้งเล้งเมินก็แล้ว ด่าก็แล้ว มันก็ยังคงพูดวนซ้ำแบบเดิมอยู่ได้

ที่เขาว่ามันน่ารำคาญนั้น ไม่ใช่เรื่องโกหก

ไอ้เหี้ยทะเล! ไอ้คนขี้เสือก!

“แบบนี้เขาก็รู้เบอร์มึงหมดดิ”
“แล้วมึงเดือดร้อนอะไรด้วย?”

ล้งเล้งถามกลับ ตอนนี้เขาหยุดเดินเพื่อจะตั้งใจด่ามัน วันนี้ถ้าไม่ได้ฟาดปากทะเลละก็ ล้งเล้งคิดว่าตัวเองจะต้องนอนไม่หลับอย่างแน่นอน

“เบอร์ก็เบอร์กู ชื่อก็ชื่อกู ไม่เกี่ยวกับมึงเลยสักนิด”
“ก็ไอ้เหี้ยนั่นมันได้ไปง่ายๆ อ่ะ”
“อะไรของมึง กูงง”

เด็กหนุ่มตัวสั้นถามกลับอย่างไม่เข้าใจ ง่ายเหี้ยอะไรของมันวะ? ซึ่งทะเลเองก็ไม่ได้ตอบอะไรเพิ่มเติม นอกจากมองหน้าเขาพร้อมทั้งหรี่ตาคล้ายกับผู้ใหญ่ที่กำลังจับผิดเด็กประถมที่ทำแจกันแตกแล้วโบ้ยว่าแมววิ่งมาชนล้มลงไปเอง

 ซึ่งข้อแรกเลย กูผิดอะไรวะ? ไม่ได้ทำอะไรใครพังนะเว้ย และข้อสองก็คือ มึงอายุเท่ากับกู! ไอ้เหี้ยทะเล! อย่ามาเนียน

“ช่างแม่งเถอะ”
“เอ้า เหี้ยไรมึงเนี่ย?”

เด็กหนุ่มขาสั้นเกาหัวอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนักเมื่ออีกคนไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม โชคดีที่จากสถานีรถไฟฟ้ามาถึงบ้านของพวกเขานั้นอยู่ในระยะที่สามารถเดินได้ เลยไม่ได้ลำบากอะไรในการเดินทางเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าล้งเล้งจะนึกรำคาญใจกับอะไรหลายอย่างแถวบ้านตัวเองก็ตาม

“แวะเซเว่นแป๊บนึงได้ป้ะ?”

ทะเลเปลี่ยนเรื่องเมื่อพวกเขาเดินมาถึงหน้าหมู่บ้านที่มีร้านสะดวกซื้อตั้งอยู่ ซึ่งล้งเล้งที่ยังไม่เข้าใจตั้งแต่เมื่อกี้ก็ขมวดคิ้วอีกรอบ

บอกกูเพื่อ?

“เหี้ยอะไรมึงเนี่ย? จะแวะก็แวะไปสิ”
“โอเค งั้นมึงเดินเข้ามากับกู กูซื้อถั่วแระแป๊บเดียว”
“เพื่อ?”
“กูหิว วันนี้ยังไม่ได้กินถั่วเลยสักถุง”
“...”
“ร่างกายกูต้องการถั่วแระ”
“ไม่ใช่เรื่องถั่วแระสิวะ” ล้งเล้งพูดอย่างหงุดหงิด “หมายถึง มึงจะบอกกูทำไม แวะก็แวะไปดิ กูจะได้เดินเข้าบ้าน”
“รอกูแป๊บนึงนะลูกหมา”

ไม่ฟังคำพูดของอีกคน ทะเลขยี้หัวล้งเล้งทีหนึ่งแล้วรีบเดินเข้าเซเว่นไป ก่อนที่ล้งเล้งจะได้ทันด่าพ่อล่อแม่อีกฝ่ายหรือทำร้ายร่างกายอย่างที่เคยทำมาเป็นประจำ

ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ถูกเล่นหัวด้วยความเอ็นดูนั้น อารมณ์ขึ้นทันที

“ไอ้สัตว์เอ๊ย ไปไหนก็ไปเลยมึง!”

ไลน์!

ล้งเล้งที่ตั้งใจจะเดินไปเซเว่นเพื่อด่าทะเลสักทีนั้นเปลี่ยนความสนใจของตัวเองไปที่โทรศัพท์มือถือที่สั่นเตือนว่ามีคนส่งข้อความเข้ามา เมื่อเปิดดูก็เห็นเป็นข้อความจากพี่สาวของตนเอง ซึ่งไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ ตามปกติแล้วพี่กุ๊กกิ๊กมักจะถามไถ่เขาเสมอหากต้องกลับบ้านเอง

เจ๊กุ๊กกิ๊ก: ล้งเล้ง
เจ๊กุ๊กกิ๊ก: ขอบคุณทะเลหรือยัง?

อ่าว พี่เขาไม่ได้เป็นห่วงกูหรอกเหรอ? ถ้าเกิดน้องชายกลับไม่ถึงบ้านนี่คือยังไง?

ล้งเล้ง: ขอบคุณแล้ว

เจ๊กุ๊กกิ๊ก: แค็ปมาให้ดู

ล้งเล้ง: อะไรอ่ะเจ๊
ล้งเล้ง: มันต้องขนาดนี้เลยเหรอ?

เจ๊กุ๊กกิ๊ก: ขนาดนี้แหละ
เจ๊กุ๊กกิ๊ก: เจ๊รู้ว่าแกยังไม่ได้พูด

สมกับเป็นพี่สาวที่คลานตามกันมา รู้ใจกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

เด็กหนุ่มหงุดหงิด แต่ที่บ้านเขาก็ไม่ได้สอนให้ไม่รู้คุณคนจริงๆ นั่นแหละ ลึกๆ ในใจแล้วล้งเล้งก็รู้ดีว่าเขาควรจะขอบคุณทะเลที่ไม่ปล่อยให้เขาตายคาแม็คโดนัลเมื่อวันก่อน แต่มันแบบ ให้ขอบคุณไอ้เหี้ยนั่นอ่ะนะ? แค่นึกถึงหน้านิ่งๆ กวนส้นตีนของมัน กับเสียงยานคางนั่นก็รู้สึกฝืนใจชะมัด

ล้งเล้ง: ไม่มีไลน์มัน
เจ๊กุ๊กกิ๊ก: send you a contact
ล้งเล้ง: …

ขนาดนี้แล้ว ถ้าเขาปล่อยเบลออีก เจ๊กุ๊กกิ๊กน่าจะมาแหกอกเขาถึงห้องนอน

ล้งเล้งกดเข้ากดออกไลน์อยู่หลายที อันที่จริงเด็กหนุ่มโกหกพี่สาว เขามีไอ้ทะเลเป็นเพื่อนในไลน์ตั้งนานแล้ว ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้มีไลน์มันด้วยก็ตาม

โอ๊ย! ไอ้เหี้ย! ทำไม่ได้!

ชายหนุ่มตัดสินใจเพียงแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น เขาเดินดุ่มๆ เข้าไปในร้านสะดวกซื้อที่อีกคนเพิ่งจะผลุบหายเข้าไป ตรงไปที่ตู้ที่มีอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งวางไว้เพียบ เด็กหนุ่มเมินอาหารทั้งหมด เป้าหมายของเขาอยู่ที่อาหารซองเล็กๆ ที่วางไว้ตรงซอกหนึ่งของตู้ ซึ่งเมื่อหยิบได้แล้วก็เดินดุ่มๆ ไปต่อคิวจ่ายเงิน ซึ่งเป็นข้างหลังทะเลพอดี ไม่รู้ว่ามันเข้ามาทำอะไรในนี้นานขนาดนั้น จนเขาเข้ามา หยิบของแล้ว มันก็ยังเพิ่งจะจ่ายเงิน

“เอ้า ไอ้ลูกหมา?”

ทะเลทักเมื่อตัวเองจ่ายเงินเสร็จแล้วเพิ่งจะเห็นว่าคนที่ต่อคิวจากตัวเองคือเพื่อนสมัยเด็กนั่นเอง ล้งเล้งไม่ได้ตอบอะไรอีกฝ่ายกลับไป เขาเพียงแค่ยัดของที่เพิ่งซื้อมาใส่มืออีกฝ่ายที่ยังยืนอยู่ใกล้ๆ เหมือนกับจะระรั้งระรอให้ล้งเล้งทำธุระให้เสร็จแล้วเดินเข้าบ้านไปพร้อมกัน

“เอาไป!”
“ฮะ?”
“พูดอะไรมากวะ เอาไปไง!”

ชายหนุ่มขาสั้นยังคงยืนยันอย่างเดิม เขาหันหน้าหนีทะเลและหมาหน้าเซเว่นที่มองมาอย่างสนใจ ไม่รู้ว่าหูบ้านี่จะร้อนอะไรนักหนา

“ถั่วแระ? กูซื้อแล้ว”
“ก็เอาไปแดกอีกอัน”
“ฮะ?”
“ก็ขอบคุณไง ที่วันนั้นช่วย แค่นั้นแหละ!”
“...”
“ถะ… ถ้าเจ้กุ๊กกิ๊กไลน์ไปถามก็บอกไปว่ากูขอบคุณมึงแล้ว เข้าใจมั้ย?!”
“...”
“ยิ้มเหี้ยอะไร แดกเข้าไปสิวะ!”

ล้งเล้งเริ่มทำตัวไม่ถูก จากเดิมที่เมื่อครู่แดงแค่หูตอนนี้เขารู้สึกว่าแม้กระทั่งคอของตัวเองก็น่าจะแดงไปด้วยแล้วแน่นอน ยิ่งไอ้เหี้ยทะเลมันยิ้มกว้างจนตาปิดแบบนี้หูยิ่งแดง ยิ้มทำไม ไม่เคยเห็นถั่วแระหรือไง!

 “น่ารักนะเนี่ยเราอ่ะ”
“คือมึงไม่อยากตายดีใช่ป้ะ?!”

ทะเลหัวเราะเมื่ออีกคนด่าสวนมาแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรกลับไป เพราะว่าเขารู้จักลูกหมาดีที่แล้วนั่นแหละ ถึงแม้จะตามมาด้วยการถูกกระทืบเท้าเต็มแรงก็ตาม

เจ็บฉิบหายเลย

.
.
.

------- TBC -------
[/b]



น่ารักนะเนี่ยเราอ่ะ #รักไม่คาดคิดในวันพุธ

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
ล้งเล้งน่ารักดี
 :katai2-1:

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
คงต้องเก็บไว้เลยหล่ะ ไม่กินแน่นอน ถั่วแระอ่ะ,,,

ออฟไลน์ nisaday

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
พี่คนนั้นได้เบอร์แต่ทะเลกำลังโดนแอดไลน์ไปหานะ
เหนือกว่าเห็นๆไม่ต้องหงุดหงิดไปนะ

ออฟไลน์ Jiraapp

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ใต้ความกวนทีนที่บอกว่าถึงสถานีไหนทุกครั้งของทะเลก็คือน่ารักจะตาย แล้วนี่ซื้อถั่วแระเพื่อขอบคุณทะเลทำไมต้องหน้าแดงขนาดนั้นอ่ะล้งเล้ง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ babybaphomet

  • Baby Baphomet
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
    • Twitter
4th Wednesday
#รักไม่คาดคิดในวันพุธ



“พี่หายดีแล้วใช่มั้ยครับ?”

เสียงของแทนกายถามขึ้นมาตอนที่พวกเขามาเรียนด้วยกันในวันพุธถัดมา วันนี้น้องลิลลี่กับน้องลูกเกดมาเรียนไม่ได้เพราะติดกิจกรรมที่โรงเรียน ส่วนน้องต้นไลน์มาขอยกเลิกเรียนโดยไม่เอาค่าคอร์สที่เหลือคืน อันที่จริงเขาเองก็อยากสอนน้องต่อ แต่จากเหตุการณ์เมื่อวันพุธที่แล้ว บางทีวิธีการสอนของเขาอาจจะไม่เหมาะกับน้องจริงๆ

ซึ่งล้งเล้งเองก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากอวยพรให้น้องติดมหาลัยและคณะที่ตัวเองอยากจะเข้า

“พี่ดีขึ้นแล้ว ไม่เป็นไรแล้วล่ะ”
“สรุปพี่เป็นอะไรเหรอครับ?”

แทนกายถามต่อ ใบหน้าของน้องแสดงความกังวลออกมาอย่างปิดไม่มิด ซึ่งมันอดทำให้ล้งเล้งรู้สึกเอ็นดูไม่ได้ เขาถูกชะตากับเด็กคนนี้จริงๆ

“วันนั้นผมตกใจมากเลยนะครับ อยู่ดีๆ พี่ล้มตึงลงไปแบบนั้น” 
“คือ...”
“พี่ล้งเล้งล้มเลยเหรอ? เกิดอะไรขึ้นอ่ะ?”

ในขณะที่ล้งเล้งกำลังจะตอบแทนกาย เด็กอีกคนก็แทรกขึ้นมาทันที ซึ่งคนนั้นก็คือน้องโจ้ เด็กที่ปกติเงียบๆ ไม่ค่อยมีปากเสียงอะไร เอาแต่นั่งจ้องหน้าล้งเล้งอย่างเดียวตลอดการสอน โพลงถามเรื่องสุขภาพเขาออกมาทันที

อันที่จริงล้งเล้งไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการที่โจ้จ้องหน้าจนบางครั้งอึดอัด จะมองอะไรก็มองไป หากเรียนได้ล้งเล้งก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับตรงนั้น ขอแค่ตั้งใจเรียนก็พอ นอกนั้นอยากทำอะไรก็ทำเลย จะตีลังกากลางร้านแม็คฯก็ได้ เขาไม่ถือ ทำการบ้านมาด้วยแล้วกัน 

“ก็ป่วย หมดสติ ทำนองนั้น” ติวเตอร์คนเก่งพูด คล้ายกับว่ามันเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา 
“บ้าไปแล้วเหรอพี่ ทำไมไม่ดูแลตัวเอง?”
“แล้วเป็นเดือดร้อนอะไรก่อน” ล้งเล้งถามกลับ เขาขมวดคิ้วลงนิดหน่อยเมื่อโจ้ทำท่าจะพูดต่อคล้ายกับไม่พอใจ “ทำการบ้านหรือยังเถอะ”
“ทำแล้ว”
“ที่โรงเรียนมีการบ้านอะไรมั้ย?”
“ไม่มี พี่ ตอบก่อนดิ ทำไมปล่อยให้ตัวเองป่วยขนาดนั้น?”
“มันต้องมีเหตุผลเบื้องหลังการป่วยมากขนาดนั้นเลยเหรอ? พี่ก็แค่ป่วยอ่ะโจ้”

ล้งเล้งถามกลับ เขาหยิบชีทที่ตั้งใจจะสอนในวันนี้ขึ้นมา ซึ่งอันที่จริงตัวของนักศึกษาปีหนึ่งไม่คิดว่าเด็กมัธยมหกสองคนตรงหน้านี้จะใช้เวลานานมากนักในการทำแบบฝึกหัดเรื่องการอ่านบทความภาษาอังกฤษมากเท่าไหร่นัก พื้นฐานเป็นเด็กหัวไวอยู่แล้ว แถมยังตั้งใจด้วย

แต่หากให้พูดตามตรง ความตั้งใจแบบนี้ต่อให้ช้าแค่ไหนเขาก็สอนได้ เขาไม่มีปัญหากับการสอนเด็กที่ทำความเข้าใจบทเรียนได้ยาก จะทึบแค่ไหนก็มา ขอแค่ตั้งใจเรียน ล้งเล้งสอนได้หมดทั้งนั้น 

“ไม่ได้ต้องมีทุกครั้งหรอกพี่ แต่มันก็ไม่ควรขนาดนั้นหรือเปล่า? ทำไมพี่ถึง...” เด็กโจ้ทำท่าเหมือนกับจะพูดต่อ แต่ล้งเล้งตัดบท เพราะรู้สึกว่ามันเลยเวลาที่ควรจะเข้าเนื้อหามานานมากแล้ว

“โอเค งั้นอยากรู้อะไรไปเขียนเป็น Essay มาส่งละกัน”
“...”
“บอกไปเลยว่าคนเราไม่ควรจะป่วยเพราะอะไร เหตุผลคืออะไร ตัวอย่างมีเท่าไหร่ยกขึ้นมาให้หมด เดี๋ยวตรวจ writing ให้ โอเคมั้ย? แต่ตอนนี้มาเรียนก่อนเถอะนะ เรื่องพี่ป่วยอะไรนั่นเอาไว้ที่หลัง”

สิ้นเสียงล้งเล้งพวกเขาถึงได้เริ่มเรียนกันสักที เวลาสองชั่วโมงไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วในความรู้สึกของติวเตอร์หนุ่ม จนนเมื่อสอนเสร็จแล้วเด็กโจ้ที่คนที่บ้านโทรมาตามก็รีบกลับไปก่อนเหมือนกับทุกครั้ง ณ ตอนนี้จึงเหลือเพียงแค่ล้งเล้งกับแทนกายเพียงแค่สองคนเหมือนสัปดาห์ที่ผ่านมา

“วันนี้กลับยังไง?”

ล้งเล้งเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาขึ้นมา เด็กที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือที่ไม่ได้จับเลยตลอดเวลาที่นั่งเรียนกับเขาเงยหน้าขึ้นมา รุ่นพี่มหาวิทยาหยุดนิ่ง รู้สึกคล้ายกับว่าชั่วขณะหนึ่ง เขาถูกดูดเข้าไปในดวงตาคู่นั้น มันดูเหงาอย่างที่เขาไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้

“ผมเหรอ?”

เสียงแผ่วเบาของแทนกายดึงล้งเล้งให้ออกมาจากความคิดของตัวเอง มือขาวซีดของเด็กหนุ่มกางเกงน้ำเงินชี้ไปที่ตัวเอง ท่าทางการขยับตัวของอีกฝ่ายดูเชื่องช้าและไร้ชีวิตชีวา

“ใช่สิ เรานั่นแหละ ก็นั่งกันอยู่สองคนจะให้พี่ถามใคร”
“นั่นสินะครับ”

แทนกายขยับยิ้มเล็กน้อย ล้งเล้งคิดว่าตัวเองได้ยินเสียงหัวเราะแห้งๆ ออกมาจากเด็กที่เขาสอนอยู่ น้องนิ่งไปเล็กน้อยเหมือนกำลังใช้ความคิด เพียงชั่วอึดใจ แทนกายก็ตอบกลับมาสั้นๆ 

“ไม่รู้สิครับ”
“เอ้า?! แล้ววันนี้เพื่อนไม่มาเหรอ?”

ครูพี่ล้งเล้งถามกลับเสียงสูง ตามปกติแล้วแทนกายมักจะบอกว่าตัวเองนัด ‘เพื่อน’ เอาไว้ หรือไม่ก็เดี๋ยว ‘เพื่อน’ จะมารับ ถึงแม้ล้งเล้งจะไม่เคยเห็นหน้าเพื่อนคนนั้นของน้องเลยก็ตาม

อันที่จริง ตั้งแต่สอนมา เจอผู้ปกครองเด็กนับครั้งได้ อาจจะเพราะเขาสอนที่สยาม ซึ่งเป็นสถานที่ที่เด็กมักจะมาเรียนพิเศษกันด้วยตัวเองอยู่แล้ว ไม่ได้สอนตามบ้านเหมือนติวเตอร์หลายคน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะไม่เจอผู้ปกครองขอน้องๆ

อีกปัจจัยหนึ่งน่าจะเป็นเพราะเขาสอนเด็กโต เด็กนักเรียนของล้งเล้งทุกคนดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี และโดดเรียนเองเก่งมากด้วยเช่นเดียวกัน

“ผมเองก็ไม่แน่ใจ”

เด็กชายตอบแค่นั้น ใบหน้าของน้องมีรอยยิ้มประดับดู แต่มันช่างดูเหือดแห้งไร้ชีวิตชีวา คล้ายกับว่าเป็นโปรแกรมอัตโนมัติที่ถูกตั้งให้คลี่ริมฝีปากหลังจากพูดจบลง

“วันนี้เราเป็นอะไรเปล่าเนี่ย?”

ล้งเล้งตัดสินใจถามออกไป เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลใจให้ตัวเองเอ่ยปากถามออกไปแบบนั้น แต่วันนี้ล้งเล้งรู้สึกว่าตอนนี้เด็กที่เขาสอนอยู่มีอะไรในใจ

คล้ายกับน้องเหมือนมี… อะไรบางอย่าง

ทุกครั้งที่มองแทนกาย ล้งเล้งรู้สึกคล้ายกับเด็กหนุ่มคนนี้เป็นเขาวงกต เหมือนเด็กชายที่อยู่ตรงหน้าของเขานั้น เป็นเพียงแค่จุดยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น ภายใต้รอยยิ้มสวยนั่นดูมีอะไรซ่อนอยู่มากมาย

ทั้งที่ใบหน้าของเด็กหนุ่มนั้น คล้ายกับพี่แทนใจพี่ชายของเจ้าตัวและรุ่นพี่ที่เขาเคารพราวกับฝาแฝด แต่บรรยากาศของทั้งสองคนกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

หากแทนใจเป็นพระอาทิตย์ที่สดใส แทนกายคงเป็นเหมือนท้องฟ้ามืดมิดที่ไม่มีแม้แต่ดาวสักดวงจะส่องแสงมาถึง

หลังจากคำถามของติวเตอร์ แทนกายนิ่งไปครู่หนึ่ง บรรยากาศรอบตัวของน้องเปลี่ยนไปเล็กน้อย คล้ายกับทุกอย่างหยุดนิ่งไปพักหนึ่ง น้องทำท่าเหมือนตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่าง ซึ่งล้งเล้งเองก็เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจเช่นเดียวกัน

“ผม…”

Rrrrrr

เสียงโทรศัพท์ของแทนกายดังขึ้นมา บทสนทนาของพวกเขาหยุดอยู่แค่ตรงนั้น ล้งเล้งเตรียมเก็บของเมื่อนึกว่าคนที่โทรมาจะเป็นเพื่อนของแทนกายที่น่าจะมารับเจ้าตัวไป  แต่เหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น

น้องแทนกายคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเรียบนิ่งในตอนแรก แล้วก็ค่อยๆ หมองลงเรื่อยๆ จนล้งเล้งที่ตั้งใจจะขอตัวกลับก่อนในตอนแรก ไม่กล้าทิ้งน้องเอาไว้คนเดียว

“ครับ สวัสดีครับ”

หลังจากที่เด็กหนุ่มวางสาย เขาหันมาหาล้งเล้ง ใบหน้าสวยดูคล้ายกับกำลังจะร้องไห้ออกมา แต่ริมฝีปากของเด็กหนุ่มกลับส่งยิ้มกว้างมาให้ล้งเล้งแทน

“แทนกาย?”
“พี่ล้งเล้งครับ วันนี้ขอบคุณมาก แต่ผมไปก่อนนะครับ”
“เดี๋ยว!”

ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะได้ห้ามหรือพูดอะไรเพิ่มเติม เด็กน้อยที่เขาสอนอยู่ก็ยกมือไหว้ลวกๆ ก่อนที่จะเดินหายไปอย่างรวดเร็ว ไวกว่าที่ล้งเล้งจะได้แม้กระทั่งลุกออกจากที่นั่งเพื่อเดินตาม

สุดท้าย เด็กหนุ่มก็ถอนหายใจ เขายกโทรศัพท์ขึ้นมาตั้งใจจะไลน์ไปถามพี่แทนใจ ที่เป็นพี่ชายของน้องแทนกาย แต่เลือกที่จะชะงักมือเอาไว้ เด็กหนุ่มครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้าย เขากดไลน์เข้าไปในหน้าของชื่อแชทเด็กน้อยที่เขาสอน รูปโปรไฟล์ที่เป็นท้องฟ้า ก่อนที่จะทักแชทส่วนตัวของน้องไป

ล้งเล้ง: แทนกาย
ล้งเล้ง: มีอะไรเล่าให้พี่ฟังได้ รู้ใช่มั้ย
ล้งเล้ง: เราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะ


น้องไม่ได้ตอบอะไรมา ไม่แม้จะอ่านข้อความของเขาด้วยซ้ำ



------- Wednesday In Class -------

ถึงแม้จะผ่านมาเกือบสัปดาห์แล้ว แต่เรื่องแทนกายยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของติวเตอร์หนุ่ม

“ล้งเล้งเป็นไรวะ? วันนี้ไม่เห็นด่าชุดกู”

มูเตลูในเสื้อสีขาว แต่กางเกงสีเขียวเรืองแสง พร้อมด้วยรองเท้า Adidas เขียวอื๋อ ด้วยเหตุผลที่ว่าวันนี้สีเขียวคือสีมงคล แต่เขียวใบตองน่าเบื่อ ต้องการเขียวที่สามารถมองเห็นได้จากวินรถตู้หน้ามหาลัย

“เอเนอร์จี้มึงขนาดนี้แล้ว”
“ไม่ต้องน้องล้งเล้งหรอก”
“เดี๋ยวพวกกูด่าเอง”
“ไอ้เวร แสบตา”

อันนี้เป็นบทสนทนาของบุ๋มบีมที่พูดต่อจากเพื่อนมูเตลูของกลุ่ม ทุกคนคือดำมืดหมดเมื่อยืนข้างมัน ทั้งที่ทุกคนก็ใส่ชุดนักศึกษาปกติแท้ๆ มีแค่ไอ้มูเนี่ยแหละ ที่กลัวว่าตัวเองจะดวงไม่ดีเลยต้องพึ่งเสื้อสีมงคลออกมาจากหอ 

“จนกูกลับมา พวกมึงก็ยังไม่ได้ติวกันเนอะ”

เสียงของผู้มาใหม่คือเจ๋งเป้ง เพื่อนที่เมื่อครู่เดินหายไปหาหนังสือเพิ่มจากมุมหนังสือหายากที่ชั้นสองของหอสมุด
ตอนนี้กลับมาพร้อมกับหนังสือเล่มหนาในอ้อมแขนสี่ห้าเล่ม

พวกเขามารวมตัวกันที่โต๊ะในหอสมุดเพราะว่าวันรุ่งขึ้นจะมีควิซ ล้งเล้งที่คิดว่าจะอ่านหนังสือที่หอคนเดียว เลยยอมนั่งอยู่ตรงนี้ด้วยกันกับเพื่อนในกลุ่ม จะได้แลกเปลี่ยนสิ่งที่เรียนมาด้วยกัน

ถึงแม้จะตั้งใจไว้แบบนั้น แต่สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็มานั่งสุมหัวเพื่อคุยเรื่องเมี่ยงปลาเผาหลังมหาลัยกันมากกว่า ในส่วนของล้งเล้งที่เป็นคนนำทีมตอนนี้ก็คิดเรื่องอื่นอยู่ มูก็เหมือนกับจะเข้าฌานไปแล้ว ออกจากฌานมาแค่เฉพาะตอนที่มีใครวิจารณ์ชุดของตัวเอง บุ๋มบีมเถียงกันเรื่องสเต๊กไก่หรือไส้กรอกซีพีที่อร่อยกว่ากัน เหลือเพียงเจ๋งเป้งคนเดียวแล้วที่ยังมีสติหลงเหลืออยู่

“ล้งเล้ง”
“ว่า?”
“เป็นไรป่าววะ กูเห็นมึงทำหน้าแบบนี้มาสักพักแล้วนะ”

เจ๋งเป้งเลือกที่จะพูดกับเพื่อนข้างๆ ที่ยังคงขมวดคิ้วเหมือนกับคิดอะไรไม่ตกอยู่ แทนที่จะเป็นคนสติไม่ดีทั้งสาม พร้อมกับขมวดคิ้วให้ดูเป็นตัวอย่างว่าล้งเล้งทำหน้าตาอย่างไรอยู่

“ไม่มีอะไรมึง คิดเรื่องสอนพิเศษเฉยๆ”
“อืม”

เจ๋งเป้งอยากที่จะพูดต่อ แต่ถ้อยคำหลายหลากที่อยากจะพูดออกไปนั้นกลับติดอยู่ที่ปลายลิ้น ชายหนุ่มกัดริมฝีปาก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นคลี่ยิ้มบางๆ

“มีอะไรก็บอกกูได้นะ”
“อืม แต๊งกิ้ว”

ล้งเล้งรับคำ แต่ไม่ได้สนใจอะไรเพื่อนตัวเองมากนัก เด็กหนุ่มเปิดชีทขึ้นมาเทียบกับสรุปที่นั่งทำมาเมื่อสองสามวันก่อน ท่าทางที่แสดงออกชัดเจนว่าไม่อยากให้ยุ่งนั้น ทำให้เจ๋งเป้งเกาหัวตัวเองแบบไม่รู้จะทำอย่างไร ทั้งที่อยากถามไถ่แต่อีกฝ่ายดูเหมือนไม่อยากได้ความช่วยเหลือจากเขาเลย

“กินโกโก้มั้ย เผื่อดีขึ้น”
“เออ ก็ดีเหมือนกัน”
“งั้นกูไปซื้อ…”

ในขณะที่เจ๋งเป้งจะอาสาออกไปซื้อน้ำให้เพื่อนนั้น คนที่เมื่อครู่นั่งจมอยู่ในความคิดของตัวเองก็พูดขัดขึ้นมาเสียก่อน

“เฮ้ย พวกมึง เดี๋ยวกูออกไปซื้อของกินแป๊บ มีใครเอาไรป้ะ?”

บุ๋มบีมมองหน้ากันเมื่อล้งเล้งเสนอขึ้นมากลางวง ก่อนที่จะแย่งกันฝากของกินที่อยากได้

“พวกเราเอาสเต๊กไก่”
“กับไส้กรอกซีพี”
“แล้วก็ก๋วยเตี๋ยวชายสี่”
“หมี่หยกเป็ดย่างด้วย”

ล้งเล้งเริ่มรู้สึกเหมือนไมเกรนจะขึ้นนิดหน่อย

“มีใครจะเอาอะไรมั้ย กูหมายถึงนอกจากบุ๋มบีมอ่ะ? กูไม่ซื้อให้พวกมัน รำคาญ”

เด็กหนุ่มพูดกับเพื่อนอีกสองคน โดยเมินเสียง ‘เอ้า!’ ที่พูดขึ้นมาพร้อมเพรียงกันของบุ๋มกับบีม เจ๋งเป้งส่ายหัวเป็นการปฏิเสธว่าไม่ต้องการอะไรเป็นพิเศษ ส่วนมูเตลูที่เมื่อครู่จดจ่ออยู่กับโทรศัพท์มือถือก็พูดขึ้นมาบ้าง

“มึงไปเอาของให้กูหน่อยดิ เพื่อนกูเอามาให้”
“ได้ๆ ที่ไหนวะ”
“วินรถตู้”
“กูจะรู้มั้ยว่าเพื่อนมึงคนไหน”
“เดี๋ยวกูให้เบอร์มึงไป เหมือนมันจะถึงแล้วแหละ เดี๋ยวให้มันโทรหามึงได้ป้ะ?”
“เออๆ เคๆ”

ล้งเล้งรับคำแค่นั้นแล้วรีบเดินออกไปจากหอสมุด ไม่รอฟังเสียงแง๊วๆ ของบุ๋มบีมที่โวยวายว่าอยากได้สเต๊กไก่กับไส้กรอกจริงจัง ช่างหัวพวกมัน ถ้าอยากกินก็ซื้อเอง!

Rrrr

ในขณะที่ล้งเล้งกำลังจะจ่ายเงินรับน้ำปั่นจากคนขายนั้น เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น สายที่โทรเข้ามาต้องเป็นเพื่อนของมูอย่างไม่ต้องสงสัย ชายหนุ่มรีบกดรับโทรศัพท์จากหูฟังโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าจอคนที่โทรเข้ามา เมื่อรับได้แล้วเขาก็รีบเดินจ้ำไปที่วินรถตู้ โชคดีที่ระยะห่างระหว่างหอสมุด โรงอาหาร และวินรถตู้นั้นเป็นระยะคนเดิน ล้งเล้งจึงไม่ต้องกลัวว่าตัวเองจะไปสาย

“ฮัลโหล”
“อยู่ตรงไหน?”
“...”

เสียงยานคางที่ตอบกลับมามันคุ้นมากจนชายหนุ่มขมวดคิ้ว ขาของชายหนุ่มหยุดอยู่กับที่ สักพักก็ส่ายหัว … ไม่หรอกมั้ง คงไม่บังเอิญขนาดนั้น

“เพื่อนมูใช่มั้ย จะถึงแล้ว”
“โอเค”
“รอตรงวินนั่นแหละ ไม่ต้องเดินมา”
“อืม”

สายตัดไปแล้วพร้อมกับล้งเล้งที่วิ่งกระหืดกระหอบพร้อมกับดูดโกโก้ไปด้วย พอถึงที่วินรถตู้นั้นเขาก้มลงมองโทรศัพท์ ตั้งใจจะโทรกลับไปเบอร์ที่เมื่อสักครู่โทรเข้ามา แต่ยังไม่ทันที่จะได้ดูเบอร์ดีๆ เสียงเรียกจากทางด้านหลังก็ดังขึ้น

“ลูกหมา”

ชัดเลย ไอ้สัตว์เอ๊ย

“บังเอิญจังเลยเนอะ”

บังเอิญกับพ่อมึงเถอะ!


.
.
.


“ไหนน้องล้งเล้งบอกไปซื้อน้ำ”
“ทำไมหิ้วผู้ชายตัวใหญ่กลับมาด้วย”

เสียงของบุ๋มบีมดังขึ้นตอนที่ล้งเล้งกลับไปที่หอสมุดพร้อมกับตัวภาระที่ตามมาด้วย ทะเลที่เดินตามหลังอีกคนต้อยๆ เพียงแค่ทำหน้านิ่งๆ ตามสไตล์ แต่ดันมีรอยยิ้มบางๆ อยู่ที่มุมปากเหมือนกับว่าตัวเองอารมณ์ดีหนักหนา

อันที่จริงล้งเล้งไม่เข้าใจเลยทั้งไอ้ทะเล ทั้งไอ้มู

มูบอกให้เขาไปเอาของ แต่พอแบมือขอ ทะเลกับวางมือตัวเองลงบนมือของเด็กหนุ่มแทน พร้อมกับคำตอบกวนประสาทในแบบของมันว่า 

‘มันให้กูมาหา’
‘...’
‘อ่ะ เนี่ย เอากูไปดิ’

ไอ้สัตว์เอ๊ย! ไม่รู้ว่าตอนนี้จะต้องต่อยใครก่อนระหว่างไอ้นิสิตต่างมหาลัยที่ดันนั่งรถอ้อมโลกมาถึงที่มหาลัยเขาที่อยู่กลางทุ่ง หรือว่าเพื่อนตัวเองที่ส่งล้งเล้งไปรับหน้าไอ้ตาหน้านิ่งนี่ดี!

“ไม่ต้องอ่านแล้วมั้ง ปากดีนะพวกมึงอ่ะ”

ล้งเล้งพูดกับเพื่อนตอนที่ทรุดตัวลงนั่งในที่ของตัวเอง โกโก้ปั่นที่อุตส่าห์ออกไปซื้อมาเมื่อครู่ตอนนี้เหลือเพียงครึ่งแก้ว เพราะเด็กหนุ่มจิ้มระบายความหงุดหงิด

จะกินให้หมดเลย แม่ง! หงุดหงิด!!

“แล้วมึงจะเอามันมาทำไมเนี่ย?”
“กูไม่ได้ให้มึงเอาเพื่อนกูมา” มูเตลูพูดกับล้งเล้ง “กูให้มึงไปเอาของ หอบมันมาทำไม”
“อ่าว”

ติวเตอร์หนุ่มงงงวย เมื่อหันไปมองตัวการที่ (ถือวิสาสะมา) นั่งอยู่ข้างๆ นั้น อีกฝ่ายก็เพียงแค่ส่งยิ้มกวนส้นตีน พร้อมทั้งกับพูดว่า

“อยากมานั่งด้วย คิดถึงเพื่อนๆ”
“ใครเพื่อนมึง!”
“มูเตลู”
“มึงเจอเพื่อนมึงแล้วก็กลับไปดิ”
“อยากเจอมึงด้วยไง”
“เจอตีนกูก่อนมั้ย?”

อีกสี่คนที่เหลือมองหน้ากันไปมาเมื่อล้งเล้งกับทะเลเถียงกันไม่หยุดหย่อน ในขณะที่เจ๋งเป้งเกาหัวแกรกๆ แบบไม่รุ้จะแทรกยังไง บุ๋มบีมกับมูเตลูส่งสายตาที่แปลความได้ว่า ‘มึงๆ คิดเหมือนกูป้ะ’ ’เออๆ กูก็คิดเหมือนมึงอ่ะ’ กันอยู่

“ตกลงของกูอยู่ไหน”
“เออว่ะ จริงด้วย”

มูเป็นคนที่พูดแทรกสงครามน้ำลายของเพื่อนตัวเองทั้งสองคนที่ทำท่าจะไม่จบง่ายๆ ทะเลเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองถ่อมาทำไม มือของชายหนุ่มล้วงเข้าไปในกระเป๋าของตัวเอง ก่อนที่จะหยิบถุงพลาสติกใบหนึ่งออกมา

“อ่ะ เหนียวไก่อักษรของมึง”

ล้งเล้งถึงกับอ้าปากค้างเมื่อรู้ว่าเพื่อนตัวเองฝากซื้ออะไร ข้าวเหนียวไก่ที่คณะอักษร ของกินขึ้นชื่อของมหาลัย C ที่ล้งเล้งไม่เข้าใจว่ามันวิเศษอะไรนักหนา

“เหยดดดด ได้กินสักที ขอบคุณมากเว้ย”
“แค่นี้อ่ะนะ?” 

ติวเตอร์หนุ่มถามย้ำ เผื่อว่ามันอาจจะมีอะไรแอบซ่อนอยู่ในกระเป๋าอีก

“แค่นี้แหละ”
“ไอ้เวร มึงต้องให้มันซื้อที่มหาลัย C แล้วนั่งรถมาให้มึงถึงนี่เลยอ่ะนะ?”
“ก็ธรรมดาป่ะวะ คนมันอยากกิน”

มูพูดพร้อมกับแกะถุงข้าวเหนียวออกมากินตรงนั้น โดยมีบุ๋มบีมที่ร่วมวงแย่งด้วย ในขณะที่เจ๋งเป้งมองเพื่อนตัวเองเล่นกันเหมือนเด็กอย่างสนุกสนาน

“แล้วทำไมมึงไม่ใช้ไลน์แมน?”
“ก็กูมีทะเลแมน จะใช้ทำไมลงไลน์ ไร้สาระ”

อ่ะ เอาเข้าไป

“ลูกหมา”

ในขณะที่ล้งเล้งกำลังหงุดหงิดเพื่อนของตัวเองที่สนใจแต่เหนียวไก่ตรงหน้า เสียงยานคางของคนข้างๆ ก็เรียกเขาเอาไว้

“ต้องบอกอีกกี่ครั้ง ว่ากูไม่ใช่ลูกหมา!”
“นี่ของมึง”

ถุงข้าวเหนียวไก่อีกถุงถูกหยิบขึ้นมาจากกระเป๋าของทะเล มาวางไว้ตรงหน้าของคนที่กำลังจะหันไปว๊ากใส่เพื่อนที่ไม่ยอมนั่งติวกันสักที

“อะไร?”
“เหนียวไก่อักษรไง กูซื้อมาเผื่อมึงด้วย”
“ไม่แดก!”

ล้งเล้งพูด พร้อมกับเอาเหนียวไก่ไปวางไว้ตรงหน้าเด็กต่างถิ่น

“อ้ะ งั้นกูขอ”

มูเตลูที่กำลังจะเอื้อมมือมาหยิบข้าวเหนียวของล้งเล้ง ถูกบุ๋มตีมือเอาไว้ แต่เหมือนกับล้งเล้งและทะเลจะไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก พวกเขายังคงคุยกันต่อไป

“ของมึงอ่ะ กินไปดิ”
“มึงจะซื้อมาทำไมเนี่ย?”
“ก็ให้มึงไง”
“เพื่อ!”
“กินเข้าไป จะได้อิ่มๆ”
“กูไม่กิน”
“มาลูกหมา เดี๋ยวกูป้อน”
“เสือก!”
สรุปวันนั้นพวกเขากว่าจะได้ติวหนังสือกันก็ปาไปเย็น ต้องรอล้งเล้งกับทะเลทะเลาะกันเสร็จสิ้นไปก่อน ซึ่งทะเลก็ไม่ยอมกลับไปจนกว่าล้งเล้งจะกินข้าวเหนียวไก่ ซึ่งถึงแม้เจ้าตัวจะกินแล้ว แต่ทะเลก็ยังนั่งทำการบ้านของตัวเองต่อไป ในขณะที่พวกเขานั่งติวกันไปด้วย

“สักที ไอ้สัตว์ กูปวดหัวมาก”

มูพูดออกมาหลังจากผ่านไปนับชั่วโมงจนตอนนี้ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเข้ม บุ๋มบีมลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสาย ส่วนเจ๋งเป้งยังคงมองสมุดของตัวเองคล้ายกับกำลังทำความเข้าใจบทเรียนตรงหน้า

“มึงปวดหัว เพราะมึงไม่เคยเรียนไงมู”
“โห ล้งเล้ง รุนแรงมาก เพื่อนรับไม่ได้”

มูเตลูหันกลับมาตอบเพื่อนในกลุ่มด้วยท่าทางแกล้งตกใจ ที่มองจากดาวอังคารก็รู้ว่าประดิษฐ์

“ใครจดโน้ตให้มึง ใคร!”
“ล้งเล้งครับผ๊มมมม”

เพื่อนมูเตลูพูดพร้อมกับทำท่าทางคารวะที่ดูประดิษฐ์กว่าเมื่อครู่

“เดี๋ยวพวกกูจะไปกินสเต๊กไก่”
“กับไส้กรอก”
“เป็นมื้อเย็น”
“พวกมึงมาด้วยกันมั้ย?”

เสียงนี้เป็นของบุ๋มบีมที่ถามเพื่อนขึ้นมา ตอนที่ล้งเล้งหันไปเห็นนั้น สองคนนี้พร้อมออกเต็มที่แล้ว หนังสือหนังหาอะไรบนโต๊ะเก็บเรียบร้อยด้วยเวลาเพียงไม่กี่วินาที

“ไม่อ่ะ กูจะนอน”

เจ๋งเป้งพูดคนแรก ก่อนจะแบกร่างไร้วิญญาณของตัวเองขึ้นมายืนยืดเส้นยืดสาย ดูเหมือนคนเพิ่งผ่านสมรภูมิรบมา

“ส่วนกูมีดูดวงต่อ คิวสามทุ่มถึงเที่ยงคืน น่าจะไปไม่ได้”

อันนี้เป็นเสียงของมูเตลูที่พูดออกมา ในบรรดาเพื่อนๆ จะรู้กันว่ามูดูดวงแม่นมาก เป็นที่เล่าลือในคณะจนลามไปถึงคณะอื่นว่าแม่นมากเหมือนจับวาง ซึ่งล้งเล้งไม่เชื่อเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ ถึงแม้มันจะทักมาสักพักแล้วว่าเนื้อคู่วนเวียนอยู่ใกล้ตัวของเขาก็ตาม

ถ้าเนื้อคู่ว่างมาวนไปวนมารอบตัวจริง ก็มาช่วยทำงานด้วย! อย่ามามือเปล่า!

“น้องล้งเล้งกับทะเลล่ะ?”
“มาด้วยกันมั้ย?”

บุ๋มบีมเปลี่ยนเป้าหมายมาชวนสองคนที่เหลืออยู่ ทะเลเลิกคิ้วมองหน้าล้งเล้ง คล้ายกับว่าคำตอบของเขาขึ้นอยู่กับคนข้างๆ

“เอาดิ กูก็หิวอยู่”
“ถ้าลูกหมาไปก็ไป”

ทะเลพูดขึ้นมาทันที พร้อมทั้งสะพายกระเป๋าในท่าเตรียมตัว ล้งเล้งกลอกตาเป็นเลขแปด ถ้ากลอกได้มากกว่านี้เขาก็จะทำ

“งั้นกูไม่ไปละ รำคาญไอ้เหี้ยนี่”

ซึ่งพอพูดแบบนั้น บุ๋มบีมก็พูดพร้อมกันว่า ‘เอ้า!’ ทุกคนมองไปทางทะเลกับล้งเล้งแบบเลิ่กลั่ก แต่ทะเลเพียงแค่ยักไหล่ แล้วพูดต่อ

“เขิน”
“ไอ้สัตว์ มึงแยกแยะเขินกับรำคาญไม่ออกหรือไง?”
“แยกออก” ทะเลพูดด้วยเสียงยานคางกับใบหน้านิ่งตามสไตล์ “อันนี้แปลว่าเขิน”
“กูสอนภาษาไทยใหม่ให้มั้ย? ชั่วโมงละ 300”
“เอาดิ เริ่มเมื่อไหร่ดี? เย็นนี้เลยมั้ย”
“ไอ้สัตว์! กูพูดเล่น” 
“อ่าว แต่กูจริงจัง เรียนเลยได้มั้ย?”
“มึงจะเอาใช่ป้ะ!”

สรุปแล้วแผนกินข้าวก็ล่มเพราะล้งเล้งไม่อยากกินข้าวกับเด็กต่างถิ่น ซึ่งกว่าจะแยกกันได้ ล้งเล้งก็ต้องเสียเวลาปะทะคารมกับทะเลอยู่นานสองนาน จนตัวเองเหนื่อยนั่นแหละถึงได้ยอมแพ้แล้วหนีขึ้นมอไซต์รับจ้างกลับหอพักไปโดยยังไม่ได้กินข้าวด้วยซ้ำ

ให้ตายสิ เขาเกลียดไอ้เหี้ยทะเลจริงๆ

ถึงแม้ว่าความเกลียดตอนนี้มันจะไม่ได้เข้มข้นรุนแรงเหมือนช่วงสมัยเด็กเท่าไหร่แล้วก็ตาม


------- TBC -------
[/b]


ให้เวลาลูกหมาหน่อยนะคะ XD
#รักไม่คาดคิดในวันพุธ


ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
น้องแทนกายซึมเศร้าทำไมใครทำอยากรู้

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Jiraapp

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สายเปย์เหลือเกินพ่อคุณ ซื้อเหนียวไก่ข้ามมหาลัยมาจีบล้งเล้ง :hao6:

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
นี่คือจะตั้งใจจีบจริงๆเลย?,,,

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ babybaphomet

  • Baby Baphomet
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
    • Twitter
**** เหตุการณ์ในตอนนี้เป็นเรื่องสมมุติที่อ้างอิงจากเหตุการณ์จริงของคนใกล้ตัวที่ประสบมา ไม่ได้ต้องการให้วิชาชีพไหนเสียหาย อย่าดราม่าเลยนะคะ เราแค่อยากเขียนนิยาย แงแง TT***




8th Wednesday

#รักไม่คาดคิดในวันพุธ





น้องแทนกายเป็นอะไร


ในคลาสเรียนวันนี้ล้งเล้งสังเกตว่าแทนกายดูไม่มีสมาธิ เด็กน้อยที่ล้งเล้งคิดเอาไว้แล้วว่าจะต้องจับตาดูมากกว่าปกติด้วยความเป็นห่วงนั้นทำตัวแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด เมื่อก่อนถึงแม้แทนกายจะเงียบ แต่ไม่ใช่คนที่ดูเหมือนล่องลอยขนาดนี้


“แทนกาย”

“ครับ”

“เป็นอะไรหรือเปล่า?”

“เปล่าครับ”


น้องตอบพร้อมกับส่งรอยยิ้มมาให้เหมือนกับทุกครั้ง ซึ่งมันเหมือนกับดอกไม้ที่ถูกบังคับให้บานเพียงแค่ต้องการให้คนมองสบายตาเท่านั้น


“งั้นตอบข้อนี้ให้พี่หน่อย”

“เอ่อ… ข้อไหนนะครับ?”

“ข้อ 47”


เด็กที่ตั้งใจเรียนเสมอมามองหน้าชีทคล้ายกับว่าไม่เคยเห็นมันมาก่อน กระดาษตรงหน้าคือข้อสอบภาษาอังฤษในการใช้เข้ามหาวิทยาลัยที่ล้งเล้งเอามาให้น้องลองทำพาร์ท Error Identification แทนกายนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตอบออกมา


“ตอบข้อ 1”

“ทำไมล่ะ?”


น้องก้มลงมองชีทอีกครั้ง ซึ่งคล้ายกับว่าเด็กหนุ่มจ้องกระดาษเปล่า ในแววตาคู่นั้นไม่ได้สะท้อนว่าแทนกายคิดตามโจทย์บนนั้นเลยสักนิด


“ผมไม่แน่ใจว่า genetic แปลว่าอะไร”

“Genetic” ล้งเล้งเริ่มพูด “หมายถึง สิ่งที่เกี่ยวข้องกับยีนส์ หรือเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม มันเป็น adjective ของยีนส์ (genes) น่ะ”

“อ๋อ ครับ”


น้องตอบรับ ถึงแม้ว่าจะยังดูไม่รับสิ่งที่เขาพูดไปเลยก็ตาม เด็กน้อยจดสิ่งที่เขาพูดใส่สมุดโน้ตของเจ้าตัว ล้งเล้งมองไปรอบวง เด็กที่เขาสอนคนอื่นก็ทำเช่นเดียวกัน ตามปกติเวลาที่เขาอธิบายคำศัพท์ใหม่


“ในข้อนี้นะ โจทย์ให้หา error ของประโยค A breed of cat with genetic health issues are hugely popular as a result of celebrity owners like Taylor Swift”

“...”

“คำตอบมันต้องเป็น are เพราะว่า cat เป็นคำนามเอกพจน์ กิริยาต้องเป็นรูปเอกพจน์เหมือนกัน ต้องเปลี่ยนเป็นจาก are เป็น is”

“ครับ” 


ล้งเล้งพยักหน้ารับคำเด็กน้อย เขาจดบันทึกเอาไว้ในใจว่าหลังจากนี้เขาต้องคุยกับแทนกายจริงจังสักที ติวเตอร์หนุ่มรู้สึกว่าสิ่งที่แทนกายเป็นอยู่นั้นมันรบกวนการเรียนของเด็กน้อยมากเกินไปแล้ว


เป็นไปได้ยากมากที่แทนกายจะไม่รู้คำตอบของโจทย์เมื่อกี้


ตามปกติที่เขาสอนมา ล้งเล้งจะรู้ว่าเด็กแต่ละคนอ่อนอะไร อย่างเช่น ลิลลี่ไม่แม่นคำเชื่อม กับรูปประโยค Complex sentence ส่วนน้องลูกเกดไม่ tense โดยเฉพาะถ้าเป็นในรูป perfect น้องโจ้แม่นแกรมม่า และหัวไวถ้าเป็นเรื่องของโครงสร้าง หากแต่จำคำศัพท์ไม่ได้ และไม่แม่นกิริยา 3 ช่อง  ซึ่งนี่เป็นปัญหาเดียวกับที่แทนกายเป็น เพียงแค่แทนกายสามารถจำการผันรูปของคำกิริยาได้


“เอาล่ะ ข้อต่อไป น้องลิลลี่ ตอบข้อ 48”


ล้งเล้งเปลี่ยนเรื่อง เด็กที่ถูกเรียกสะดุ้งโหยงจนโทรศัพท์เคสลายหมีสีชมพูตกไปอยู่บนตัก เด็กหญิงรีบพูดต่อ


“เอ้า ทำไมเป็นหนูอ่ะ?”

“ก็เมื่อกี้เธออัพไอจีสตอรี่”

“เฮ้ย พี่รู้ได้ไง?”

“อัพจริงใช่มั้ย! ตอบมาเลย!

“โหยยยยยย”


การเรียนการสอนในชั่วโมงหลังเป็นไปอย่างผ่อนคลายเหมือนอย่างเคย ล้งเล้งให้น้องผลัดกันตอบ แล้วเขาก็อธิบายคำตอบของน้องๆ ไปด้วย หลายเรื่องน้องๆ รู้อยู่แล้ว แค่ต้องการความมั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองคิดนั้นถูกต้อง แต่หลายข้อที่น้องไม่เข้าใจว่าโจทย์ต้องการอะไร หน้าที่ของล้งเล้งคือให้ไกด์ไลน์และวิธีการทำความเข้าใจกับคำถาม และการหาคำตอบในเวลาสอบอันจำกัด


“โอเค วันนี้พอแค่นี้นะ”


ล้งเล้งพูดพร้อมกับเก็บปากกาเก็บเข้าแฟ้ม ซึ่งหลังจากเขาพูดจบ น้องลิลลี่ปรบมือด้วยความยินดี ส่วนน้องลูกเกดถึงกับแสดงความดีใจออกมาทั้งทางสีหน้าและน้ำเสียง


“เย้!”

“น้อยๆ หน่อยลูกเกด”

“แฮ่”


เด็กน้อยยิ้มเผล่ น้องลิลลี่กับลูกเกดคุยกันงุ้งงิ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะยกมือไหว้ลาแล้วออกจากร้านแมคโดนัลไป น้องโจ้ออกจากร้านเป็นคนต่อไป เด็กหนุ่มกดโทรศัพท์ที่คาดว่าน่าจะคุยกับที่บ้าน ก่อนจะลุกออกปเป็นคนที่สาม เหลือเพียงแค่ล้งเล้งกับแทนกายที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม


“แทนกาย วันนี้กลับยังไง?”

“อ๋อ… ผม...”


น้องนิ่งไปพักหนึ่ง คล้ายกับกำลังประมวลผลคำตอบนั้น ล้งเล้งพยายามมองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายเผื่อว่าเขาจะสามารถเจออะไรที่กวนใจน้องได้บ้าง แต่สิ่งที่เขาได้รับมีเพียงความว่างเปล่า


“ผมไม่รู้ครับ”

“อ้าว แล้วคนที่ปกติมารับเราล่ะ?”

“ไม่มีแล้วครับ”

“อะไรนะ?”


ล้งเล้งทวนถามเสียงสูงกว่าปกติเล็กน้อย เขาไม่แน่ใจว่าน้องตั้งใจจะสื่ออะไรกันแน่ แทนกายนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะรู้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไป


“คือ…”

“หมายถึงอะไร”

“คนที่มารับปกติไม่ได้มีคนเดียว”

“...”

“ผมจำหน้าคนสัปดาห์ที่แล้วไม่ได้ด้วยซ้ำ”


ทั้งที่แทนกายพูดพร้อมกับรอยยิ้มเหมือนทุกครั้ง แต่ติวเตอร์กลับขมวดคิ้ว ล้งเล้งกำลังพยายามประติดประต่อเรื่องโชเฟอร์ของเด็กน้อย แทนกายก็พูดต่อ


“พี่ล้งเล้ง”

“ว่า?”

“ผม…ผม”


แทนกายเริ่มต้นพูดด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ มือหยิบลูกอมสีแดงเม็ดเล็กจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาแกะกินเหมือนกับปกติ แทนกายติดลูกอม เรื่องนี้ล้งเล้งรู้ดี เขาเห็นน้องแทนกายแกะลูกอมกินเสมอตอนที่เขาสอนมาตลอดร่วมเดือน


“ผม… ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่”

“...”

“ผมไม่ชอบตัวเอง”


ล้งเล้งนิ่งเงียบ เขารอให้เด็กหนุ่มอธิบายความรู้สึกของตัวเองออกมาเพิ่มเติม แทนกายตรงหน้าของเขาดูเหมือนมีความคิดอะไรไหลวนอยู่ภายในมากมาย น้องทิ้งช่วงเวลาเอาไว้ครู่หนึ่ง มันเป็นเพียงแค่ไม่กี่วินาทีที่นานนับชั่วโมงสำหรับคนที่รอคอย


ในที่สุด ความเงียบระหว่างพวกเขา ก็ถูกทำลายลงด้วยน้ำเสียงที่ติดจะแห้งเหือดของแทนกาย   


“ผมเกลียดตัวเอง ไม่อยากอยู่ ทรมาน ไม่อยากเป็นแบบนี้แล้ว”

“คือยังไง? ไม่อยากเป็นอะไร?”

“ผม…”


แทนกายกัดริมฝีปาก สูดลมหายใจเฮือกใหญ่คล้ายกับกำลังทำใจพูดสิ่งที่คั่งค้างอยู่ข้างในหัวออกมา


“ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายมันออกมาเป็นคำพูดยังไง ทุกอย่างมันอยู่ในหัวเต็มไปหมด”

“...”

“มันแย่จนผมไม่อยากอยู่แล้ว มันไม่ดีเลย”

“....”

“ผม… ไม่รู้ว่าจะเล่ายังไง ไม่ชอบตัวเองตอนนี้เลย”


ล้งเล้งมองเด็กน้อยที่ก้มหน้าลงอีกครั้ง ตอนนี้น้องมองมือตัวเองเหมือนกับมันเป็นสิ่งเดียวที่สายตาของเด็กหนุ่มจะกล้าจับโฟกัส ไหล่ของน้องห่อลงอย่างคนที่มีเรื่องไม่สบายใจ


“ลองค่อยๆ เล่าให้พี่ฟังหน่อย”


ล้งเล้งทำเหมือนตรงนี้ไม่ใช่ร้านแมคโดนัลที่มีคนเดินไปเดินมาควั่กไคว่ เขาพยายามดึงแทนกายให้มองมาที่ตัวของเขา ถึงแม้ว่าจะยังทำไม่สำเร็จในตอนนี้ก็ตาม


“ผมไม่ชอบตัวเอง”

“...”

“ผมแย่ คือผมหมายถึง ผมรู้สึกว่าตอนนี้สมองไม่ทำงาน มันแย่ไปหมด เหมือนมีหมอกบังทางข้างหน้า เหมือนมีคนยัดแต่เรื่องราวเลวร้ายที่ตัวเองทำมาใส่หัว แล้วผมเอาออกไปไม่ได้ ผมสลัดความห่วยแตกของตัวเองไม่ได้ มันแย่พี่ มันแย่มาก”

“...”

“ผมพยายามอยู่ ผมอยากจะสู้กับมัน”


เสียงของเด็กหนุ่มสั่น ไหล่ของเขาสั่นไหวเล็กน้อย แต่น้องไม่ได้ร้องไห้ออกมาอย่างที่ล้งเล้งคาดเอาไว้ ในหัวของติวเตอร์หนุ่มมีคำถามบางอย่าง


แทนกายกำลังสู้กับอะไร?


แต่จนแล้วจนรอด เขาก็ไม่ได้ถามออกไป ล้งเล้งทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี รอให้น้องพูดถึงศัตรูในใจออกมา


“ผมรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า เหมือนเป็นก้อนขยะที่ควรจะหายๆ ไปสักทีเพราะว่าถ้าไม่มีผม โลกน่าจะน่าอยู่กว่านี้ ผมเหมือนปีศาจ ผมไม่น่าเกิดมา”


แทนกายกำมือแน่นแล้วคลายออก ก่อนจะกำมืออีกครั้ง ล้งเล้งสังเกตเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างใกล้ชิด แทนกายในตอนนี้พูดวนซ้ำๆ ในเรื่องที่ตัวเองทำไม่ได้ เหมือนกับปลาที่ว่ายวนอยู่ในอ่างของความรู้สึกแย่ที่ตัวเองสร้างขึ้นมา


แทนกายที่เด็กหนุ่มถูกชะตานั้น ดูสิ้นหวังอย่างแท้จริง


 “ผมกำลังกินยาอยู่ แต่เหมือนมันไม่ช่วยอะไรผมเลย ไม่รู้ว่าเพราะว่ายามันไม่ได้ผลแล้ว หรือมันเป็นเพราะว่าผมเองที่แย่จนยาช่วยไม่ได้ ผมไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำยังไงแล้ว”

“...”

“ผมอยากตาย แต่ตายไม่ได้ ผมทำอะไรไม่ได้เลย หมอก็ช่วยไม่ได้ ยาก็ช่วยไม่ได้…”


เหมือนเด็กตรงหน้าจะน็อตหลุดไปแล้ว ใบหน้าสวยของน้องมีน้ำตาไหลนองหน้า ถึงแม้ในแววตาจะดูเศร้าเสียจนล้งเล้งอยากจะร้องไห้ตาม แต่ปากของแทนกายยังมีรอยยิ้มกว้างประดับอยู่


“แทนกาย… เราเป็นอะไร?”

“ผม…”


น้องกัดปาก ในขณะที่ติวเตอร์หนุ่มใจจดใจจ่อ


ในวินาทีที่นานนับชั่วโมง แทนกายก็เอ่ยออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา


“ผมเป็นซึมเศร้า”



.

.

.




‘ผมเป็นมานานแล้ว เพิ่งไปหาหมอมาเมื่อสามสี่เดือนที่แล้ว มันก็โอเค ก็ดีขึ้นมาหน่อยนึง ผมได้ยามากิน มันดีขึ้นนะพี่ ผมนอนหลับ ผมหายคิดมาก มันเป็นวินาทีแรกในชีวิตที่รู้สึกว่าดีจังที่เราไม่เป็นแล้ว’

‘...’

‘แต่พอช่วงหลังมันแย่ แย่ลงมากๆ’

‘...’

‘ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องทำยังไงแล้ว ไม่ชอบที่เป็นอยู่ แต่นึกวิธีแก้ไขไม่ได้ นอกจากตายๆ ไป’

‘...’

‘พี่ล้งเล้ง… ผมควรทำยังไงดี?’


เสียงของแทนกายยังคงก้องอยู่ในหัวของติวเตอร์หนุ่ม เขาเดินคิดเรื่องของเด็กในความดูแลมาตั้งแต่ออกจากร้านอาหารเมื่อครู่ ตอนแรกเขาจะไปส่งน้อง แต่แทนกายยืนยันว่าอยากกลับเอง เขาเลยรอส่งจนกระทั่งน้องขึ้นแกร๊บไปเมื่อครู่


เขาควรจะช่วยน้องยังไง?


ตอนแรกล้งเล้งคิดว่าตัวเองควรจะบอกเรื่องนี้กับพี่แทนใจ พี่ชายของเจ้าตัว แต่น้องกลับน้ำตาไหลออกมาอีกรอบ ย้ำกับเขาอย่างหนักแน่นว่าไม่อยากให้บอกพีแทนใจว่าตัวเองเป็นอะไร


‘ใครบนโลกจะรู้ว่าผมเป็นปีศาจก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่พี่แทนใจ’

‘แต่...’

‘ผมขอร้อง ผมยังอยากเป็นน้องที่ดีในสายตาพี่แทนใจ’

‘นี่เราก็เป็นน้องที่ดีอยู่นะ’

‘นะครับพี่ล้งเล้ง ไม่บอกพี่แทนใจนะครับ’


ยิ่งเป็นแบบนี้ ล้งเล้งเลยเหมือนกับเป็นผู้ใหญ่คนเดียวที่รับรู้เรื่องนี้ของเด็กที่สอน เด็กหนุ่มคิดไม่ตก เขาควรจะทำอย่างไรถึงจะสามารถช่วยน้องได้กัน



‘ปั่ก’


“ขอโทษครับ”


ล้งเล้งที่เดินคิดอยู่กับตัวเองขอโทษคนที่ตนเดินชนบสถานีรถไฟฟ้า ตอนที่เขากำลังจะเดินหนีอีกฝ่าย กลับโดนจับข้อมือเอาไว้


“ลูกหมา มองไม่เห็นกูจริงดิ”

“ทะเล”


ล้งเล้งเรียกชื่ออีกฝ่ายนิ่งๆ ซึ่งตัวคนที่ถูกเรียกชื่อเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ นี่อาจจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ล้งเล้งไม่ได้พ่นคำด่าหลังชื่อของเขา


“นี่มึงเป็นอะไร?”


ทะเลถามอีกคนที่ดูเหมือนสติไม่อยู่กับร่องกับรอยเท่าไหร่ ทะเลกล้าพูดได้ว่าตัวเองรู้จักล้งเล้งมาเกินครึ่งชีวิต ไม่บ่อยนักที่อีกฝ่ายจะหน้านิ่ง ค้วขมวดแบบมีเรื่องให้คิด ไม่ใช่หน้าบึ้งตึงแบบหงุดหงิดเหมือนที่เห็นจนชินตา


“กูมีเรื่องต้องคิด”

“เรื่องอะไร?”

“...”

“ให้กูช่วยคิดมั้ย?”

“...”

“กูช่วยมึงได้จริงๆ นะ”


อาจจะเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ล้งเล้งพยักหน้าเห็นด้วยกับทะเลโดยปราศจากการถูกบังคับ




------- Wednesday In Class -------
[/b]




เรื่องราวของเด็กนักเรียนที่เพิ่งได้รับมา ถูกเรียบเรียงใหม่ผ่านปากของล้งเล้งอย่างระมัดระวัง เขาไม่อยากให้ทะเลรู้ว่าเด็กคนไหนที่เขาดูแลอยู่ที่มีปัญหาสุขภาพแบบนี้ ในขณะเดียวกัน เขาก็ต้องการคำแนะนำ ล้งเล้งอยากจะเป็นที่พึ่งให้น้องเวลาไม่มีใคร แต่เขาไม่มั่นใจว่าตัวเองจะสามารถทำมันได้ดีนัก หากคิดแค่คนเดียว


“สรุปคือ น้องคนนึงที่สอนอยู่เป็นโรคซึมเศร้า?”

“กูไม่รู้ว่าถึงขนาดเป็นโรคหรือเปล่า”


ล้งเล้งถอนหายใจ เขาหัวตื้อไปหมด ยอมรับว่าตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้ เด็กหนุ่มไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนในชีวิต


สำหรับล้งเล้งนั้น ชื่อโรคที่ได้ยินบ่อยในช่วงหลังถือว่าเป็นเรื่องไกลตัว อาจจะเพราะเขาไม่เคยเจอคนรอบข้างที่ประสบปัญหานี้จริงๆ เลยไม่รู้ว่าตัวเองควรจะรับมืออย่างไร


เขาควรจะช่วยน้องยังไง


“ถ้าไม่เป็นโรคแล้วเป็นอะไร ภาวะเหรอ?”

“ประมาณนั้น”


จากการเสิร์ชกูเกิลของล้งเล้งเมื่อสักครู่ เขาค้นพบว่า ‘ซึมเศร้า’ ที่น้องแทนกายพูดถึงนั้นมีได้สองประเภท คือผู้ที่อยู่ในสภาวะซึมเศร้า ซึ่งเท่าที่อ่านมามีอาการคล้ายแทนกายจากคำพูดหลายอย่างของน้อง ถ้าหากคนที่อยู่ในภาวะซึมเศร้านานเกินไป ภาวะนี้จะพัฒนากลายเป็นโรคในเวลาต่อมา


“ยากเหมือนกันว่ะ”

“อืม” ล้งเล้งถอนหายใจ “กูคิดไม่ออกเลยเนี่ยว่าจะช่วยน้องยังไงดี”


หนึ่งนิสิตกับอีกหนึ่งนักศึกษานั่งอยู่ในร้านกาแฟที่ยังคงเปิดอยู่แม้จะดึกดื่น พวกเขาสองคนนั่งตรงข้ามกัน โดยมีแก้วชาเขียวปั่นกับโกโก้เย็น คั่นกลางระหว่างชายหนุ่มทั้งสอง


โชคดีที่ตอนนี้ไม่มีคนใช้บริการเยอะมากเท่าไหร่ พวกเขาเลยไม่ต้องหงุดหงิดเพราะคนเยอะมากเกินไปจนต้องตะเบงเสียงคุยกันเหมือนเวลาคุยกับเพื่อนในโรงอาหาร


“น้องไปหาหมอหรือยัง?”

“ไปมาแล้ว”


ล้งเล้งถอนหายใจ ตอนที่เขาคุยกับน้องมันเหมือนกำลังจมน้ำ สมองเบลอเพราะข้อมูลที่เพิ่งจะถูกป้อนใส่หัวเป็นครั้งแรก


“มึงไม่ได้เล่าให้กูฟัง”


นักศึกษาที่ดูดช็อกโลกแล็ตเย็นดับความหงุดหงิดเมื่อครู่ถอนหายใจออกมาอย่างหนักอก ชายหนุ่มค่อยๆ ถ่ายทอดเรื่องที่ฟังจากน้องมาอีกครั้ง


“หมอบอกว่าน้องเป็นปุถุชน น้องควรจะเป็นเด็กที่ดีกว่านี้”

“...ปุถุชนอะไรวะ”

“เอาจริงกูก็งง”


ล้งเล้งถอนหายใจอย่างหนักอก วันนี้ทั้งวันเขาอาจจะถอนหายใจมากกว่าที่เป็นมาทั้งสัปดาห์แล้วก็ได้ ยิ่งเวลาที่เขาฟังแทนกายพูดออกมามากๆ เข้า เขายิ่งรู้สึกว่ามันหาทางออกไม่ได้เลย


“หมอบอกว่าน้องเป็นปุถุชนธรรมดา ไม่ใช่พระพุทธเจ้า ควรไปนั่งสมาธิให้หายเศร้า อะไรสักอย่าง”

“แล้วมันหายเหรอ?”

“ไม่รู้ว่ะ กูนั่งสมาธิแล้วกูง่วงนะ”

“อือ เหมือนกัน”


เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด เขาไม่ชอบเวลาที่ตัวเองหาคำตอบไม่ได้ ในขณะที่ปากคาบหลอดช็อกโกแล็ตเย็นอยู่ ยิ่งมองไม่เห็นทางออกของหวานยิ่งสำคัญ ในเวลานี้โกโก้เย็นเท่านั้นที่จะสามารถเยียวยาเขาได้


“หมอบอกน้องให้ทำใจว่าตัวเองเป็นคนธรรมดา สามารถนิสัยไม่ดีได้ มันถูกต้องแล้ว แต่น้องเขายิ่งรู้สึกว่าตัวเองถูกกดทับ น้องมันบอกว่ามันยิ่งรู้สึกไร้ค่าขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่มียาก็ไม่มีอะไรแล้ว”

“... ดูเศร้าจังวะ”

“อืม”

“น้องลองเปลี่ยนหมอหรือยัง?”

“มันเปลี่ยนได้เหรอวะ?”


นักศึกษาที่เมื่อครู่มองแก้วเงยหน้าขึ้นมาถามอีกคน นิสิตที่ยังมองอีกฝ่ายตั้งแต่เข้ามาพูดตอบ


“ก็ต้องเปลี่ยนได้สิวะ มึงไม่เคยเปลี่ยนหมอเลยเหรอ?”

“กูไม่ค่อยป่วย หมอก็ตรวจๆ ไปไม่ได้มีผลกับกูเท่าไหร่”


ล้งเล้งไม่ได้โกหก ในชีวิตนี้เขาป่วยไข้นับครั้งได้ แถมทุกครั้งที่เขาไปโรงพยาบาลนั้น ชื่อของหมอไม่เคยใช่ปัจจัยแรกที่เขาจะเลือกดู อันที่จริง ล้งเล้งเป็นประเภทที่โรงพยาบาลไหนก็ได้ ขอเร็ว สะดวก ง่ายไว้ก่อน ส่วนที่บ้านเขาจะมีโรงพยาบาลรัฐประจำกันอยู่ แต่ตัวชายหนุ่มไม่สนใจมากนัก


“มีผลสิมึง” ทะเลพูดตอบเสียงยานคาง “ยิ่งกับโรคแบบนี้ หมอโคตรสำคัญเลยนะ”

“...”

“อะไรที่มันไม่พอดีมันก็ต้องเปลี่ยนหรือเปล่าวะ? ขนาดมึงตอนแรกเรียนๆ ไปยังเลือกซิ่วไปคณะใหม่เลย มันไม่พอดี ก็ต้องเปลี่ยน”

“...”

“ลองไปคุยกับน้อง หาหมอใหม่

“มันจะไม่เป็นไรเหรอวะ?”


ล้งเล้งถามด้วยความไม่แน่ใจ เขากลัวจะไปทำให้น้องรู้สึกไม่ดีมากขึ้นไปอีก อันที่จริง เขาอยากจะช่วยแต่ไม่รู้จะช่วยน้องยังไง ในชีวิตการเป็นติวเตอร์มา การช่วยน้องที่สอนไม่ได้นั้น แย่กว่าถูกตราหน้าว่าตัวเองสอนห่วยเสียอีก


“ถ้าไม่ดีก็เปลี่ยนกลับมาคนเดิม”

“มัน…”

“กังวลอะไรนักหนา”

“...”

“ไม่สมกับเป็นมึงเลยนะไอ้ลูกหมา”


ทะเลเพียงแค่หัวเราะเล็กน้อยเมื่ออีกคนตอบกลับมาด้วยคำว่า ‘เสือก’ อย่างที่ทำเป็นประจำ นิสิตหนุ่มดูดชาเขียวตรงหน้า มองล้งเล้งที่เขาเห็นมาตั้งแต่เด็กอยู่ในอาการสับสน ดูน่าเอ็นดูจนอดเอามือไปขยี้หัวอีกฝ่ายแรงๆ ไม่ได้ เขาไม่ได้คิดจะแกล้งอะไร ทำเพียงแค่พอให้ได้ยินเสียงด่าทอกลับมาให้สบายใจเล่นเท่านั้น


“มันจะต้องโอเค เชื่อสิ”

“...”

“น้องเขาจะต้องดีขึ้น มึงจะช่วยน้องได้ มันจะโอเค เชื่อกู”

“...”

“ถ้าไม่อยากเชื่อกูก็เชื่อในตัวมึงเอง มึงทำได้อยู่แล้ว กูรู้”

“...”

“แล้วูก้เชื่อในตัวมึงด้วย” 



------- Wednesday In Class ------- 



“มันจะต้องโอเค มันจะต้องไม่เป็นไร”


ล้งเล้งย้ำกับน้องแทนกายอีกครั้ง ในวันเสาร์ที่เด็กส่วนใหญ่คอยเฝ้าช่องการ์ตูนนั้น พวกเขาอยู่หน้าห้องตรวจในโรงพยาบาลเอกชนแห่งใหม่ที่แทนกายไม่เคยย่างกรายมาก่อน บรรยากาศร่มรื่นของที่นี่ทำให้จิตใจเขาสงบลงเล็กน้อย เด็กหนุ่มวัยมัธยมยังคงมีร่องรอยแห่งความสิ้นหวังปรากฏชัดเจน


นอกจากติวเตอร์หนุ่มที่นั่งจับมือน้องอยู่แล้วนั้น ข้างๆ กันก็มีทะเลที่ล้งเล้งเองก็ไม่เข้าใจว่าจะมาด้วยทำไม แต่ตอนที่เขาออกจากบ้านในตอนเช้า เจ้าตัวที่อยู่บ้านข้างๆ ดันพูดออกมาว่า ‘ว่าง’ แล้วกระโดดติดสอยห้อยตามมาถึงโรงพยาบาลจนได้


ถึงแม้จะมาพร้อมทั้งถุงถั่วแระญี่ปุ่นในมือก็ตาม


“พี่ล้งเล้ง”


แทนกายพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ตั้งแต่วันนั้นจนถึงตอนนี้ แทนกายไม่ได้ไปโรงเรียน น้องบอกเพื่อนว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ เขาไม่อยากเจอหน้าใคร ล้งเล้งไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าน้องกินข้าวครบทุกมื้ออย่างที่เจ้าตัวบอกเขาหรือเปล่า


“ครับ”


ชายหนุ่มบีบมือเด็กน้อยกลับไป เขาต้องการให้กำลังใจแทนกาย ล้งเล้งนึกภาพไม่ออกว่าการเป็นซึมเศร้ามันเป็นอย่างไร แต่เท่าที่เขาเห็นแทนกาย น้องดูเหมือนกำลังต่อสู้กับสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ด้วยมือเปล่า ล้งเล้งพยายามทำความเข้าใจ เขาพบกว่าตัวเองอาจจะรู้เพียงแค่ผิวเผิน


หมอที่ดีจะช่วยให้แทนกายมีอาวุธไปต่อสู้กับสัตว์ประหลาดนั้น


เขาเชื่อแบบนั้น


“ขอบคุณนะครับ”


คำพูดธรรมดาของเด็กหนุ่มที่ยังคงนั่งมองมือตัวเองดังมาให้ได้ยิน แทนกายยิ้มเล็กๆ มันเป็นยิ้มเล็กน้อยมากจริงๆ นัยน์ตาโตกลมของเด็กมัธยมดูบวมเป่งเหมือนเพิ่งจะผ่านการร้องไห้มาไม่นาน ถึงแม้จะเป็นแบบนั้น แทนกายที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาตอนนี้ กลับไม่มีน้ำตาเลยแม้แต่น้อย


“ขอบคุณอะไร?”

“ขอบคุณที่อยู่ข้างๆ ในเวลา… แบบนี้”


เสียงของเด็กหนุ่มเบาลงในช่วงท้ายประโยค โรงพยาบาลนี้ไม่ได้เงียบเชียบอย่างที่ล้งเล้งเคยเข้าใจ แผนกสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นที่พวกเขานั่งอยู่นั้นบุผนังด้วยภาพสีสันสดใส เสียงเด็กหัวเราะและร้องไห้ดังระงมไปหมด รอบตัวของพวกเขามีเด็กตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนไปถึงคนที่ดูเป็นวัยรุ่นแบบพวกเขาหรือแทนกาย หลายคนมาที่นี่กับผู้ปกครอง บางส่วนมากับเพื่อน หรืออาจจะรุ่นเดียวกันแบบพวกเขา หลายคนมาคนเดียว


“ไม่ต้องคิดมากน่า” ล้งเล้งปลอบใจน้อง พลางบีบมือแน่นขึ้น “พี่ไม่ทิ้งให้เราอยู่คนเดียวหรอก”

“ขอบคุณจริงๆ ครับ”

“พอแล้ว ไม่ต้องขอบคุณแล้ว”

“ขนาดผมเป็นภาระพี่ … พี่ยัง…”

“พอๆ”


คราวนี้เป็นเสียงทะเลที่พูดขึ้นมาแทน ตอนแรกเขาไม่ได้อยากให้ทะเลมาด้วย เพราะเกรงว่าน้องแทนกายจะไม่โอเค แต่ตอนที่ไลน์ไปถามน้องว่าทะลเมาด้วยได้มั้ย แทนกายก็ไม่ได้ติดอะไร ยังตอบเขาว่าตัวล้งเล้งจะได้มีคนนั่งด้วยเวลาที่แทนกายเข้าห้องตรวจ


“ไม่มีใครเป็นภาระใครทั้งนั้นแหละ”


ทะเลพูดตอนที่แกะถั่วแระเข้าปาก น้ำเสียงยานคางเหมือนกับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรอย่างที่เจ้าตัวบอกจริงๆ


“ผมก็ยังอยากจะขอบคุณอีกที”

“เรียนให้ดี พอแล้ว”


ล้งเล้งพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วยกับคำพูดของทะเล ช่วงนี้อาจจะเป็นช่วงเดียวของชีวิตที่ล้งเล้งไม่ได้คิดว่าทะเลกวนส้นตีนจนน่าเอาอะไรฟาดปากให้กินถั่วเงียบๆ ไป


ไม่มีคำพูดอะไรเพิ่มเติมนอกจากรอยยิ้มบางๆ ของแทนกาย ที่ยังคงดูแห้งเหือดเหมือนกับที่ล้งเล้งชินตาในช่วงนี้ ยิ่งดูแล้วเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าแทนกายมีหน้าตาที่เหมือนกับพี่แทนใจราวกับฝาแฝด แต่แววตานั้น กลับดูเป็นคนละคนกันอย่างสิ้นเชิง


“คุณแทนกายคะ เตรียมพบคุณหมอที่ห้องตรวจ 3 นะคะ”


พยาบาลเดินมากระซิบด้วยรอยยิ้มพร้อมกับเดินนำแทนกายไปที่ห้องตรวจ น้องหันมายิ้มให้พวกเขาทั้งสองคนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหายเข้าห้องตรวจเบอร์ 3 ไป อย่างเงียบๆ


“มึงว่าน้องจะเป็นยังไง?”


ท่ามกลางเด็กที่วิ่งเล่นไล่จับกันตรงหน้า ล้งเล้งถามอีกคนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ภายในห้องตรวจไม่รู้ว่าแทนกายจะเจอกับอะไร เขาอยากจะไปนั่งข้างๆ น้องด้วย อยากทำให้อีกคนรู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้คนเดียว แต่ล้งเล้งก็พอรู้ว่าตัวเองไม่สามารถเข้าไปด้วยได้ แล้วเขาก็่มีควรด้วยเพราะเขาไม่ใช่ญาติที่โตมากับแทนกายจริงๆ


“น้องจะต้องโอเค”

“...”

“ครั้งนี้ มันจะต้องโอเค”


นี่อาจจะเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ล้งเล้งหันไปยิ้มให้กับทะเลจากใจจริง


บางที


ทะเลอาจจะไม่ได้เหี้ยอย่างที่เขาเคยนึกเกลียดเมื่อตอนเด็กก็ได้




------- TBC -------
[/b]







ตอนนี้เป็นตอนที่เราคุยกับเพื่อนนานมากว่าจะเขียนออกมายังไงดี



อย่างที่บอกไป เราไม่ได้ต้องการกล่าวหาวิชาชีพไหนนะคะ แต่โดยส่วนตัว เรามีเพื่อนที่เป็นโรคนี้ค่อนข้างเยอะ (รวมถึงตัวเราด้วย ;A;) หลายครั้งมากๆ ที่หมอมีผลกับการรักษาจริงๆ เลยตัดสินใจนำมาเขียนเพราะเรื่องนี้มีคนใกล้ตัวเจอเหตุการณ์นี้จริงๆ ค่ะ คำพูดหมอก็ของจริง 5555



ยังไงก็ตาม ไม่ว่าใครที่กำลัง suffer กับโรคนี้ หรือคนใกล้ตัวที่เป็น ลองหาหมอดูนะคะ เรามีเพื่อนทั้งที่ยังต้องอยู่กับโรคนี้ และจากไปเพราะซึมเศร้า เรารู้สึกได้ว่าหมอ(ที่เข้ากับเรา)ช่วยได้จริงๆ



ก้าวแรกที่ไปหาหมอยากมาก เจอหมอที่คลิ๊กกับเรานั้นยากยิ่งกว่า

ยังไงก็ขอฝาก #รักไม่คาดคิดในวันพุธ ไว้ด้วยนะคะ




ขอบคุณมากค่า




 ปล. โจทย์ภาษาอังกฤษ นำมาจาก ข้อสอบ GAT ภาษาอังกฤษ ปี 2561 ข้อที่ 47, จากเพจ http://WWW.FACEBOOK.COM/GATENGTHAILAND, สืบค้นเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2561












ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
 :pig4:

น้องแทนกายเป็นซึมเศร้าจากสาเหตุอะไรที่กดดันอยู่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-06-2019 23:14:34 โดย Chompoo reangkarn »

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด