14
หลังจากที่ทัชชาได้รู้ความจริงเกี่ยวกับพัสกาญอีกทั้งยังเป็นคนที่ให้กำลังใจจนเขาผ่านพ้นเรื่องของพราววริศามาได้ พัสกาญก็อยู่ในสายตาของเขาตลอด
ระหว่างที่ชาริศาต้องถ่ายละคร พัสกาญมักจะไปหามุมนั่งทำงานของตนอยู่เงียบ ๆ เวลาทำงานพัสกาญดูจะเป็นคนที่มุ่งมั่น และมีสมาธิอยู่กับงานจนไม่สนใจสิ่งรอบข้าง และเมื่อชาริศาว่างมานั่งพักหรือทบทวนบท พัสกาญก็จะคอยดูแลอยู่ข้าง ๆ ตลอดเวลา
“นี่นายคงเชื่อฉันแล้วสินะ” อามันต์เดินมายืนเคียงข้างเขา และมองตรงไปยังกลุ่มของพัสกาญ
“เรื่องอะไร?”
“อ่าว ที่นายแอบมองอยู่ ไม่ใช่เพราะจับผิดไอ้แว่นเฉิ่มนั่นเหรอ?”
“ทำไมฉันต้องไปจับผิดเขาด้วย เขาก็แค่ทำงานของเขา ฉันไม่เห็นว่าจะมีอะไร”
“ไม่มีอะไรที่ไหน ดูสิ เอาอกเอาใจกันเข้าไป” อามันต์พูดอย่างไม่ชอบใจเมื่อเห็นพัสกาญค่อยหยิบจับโน่นนี่ส่งให้ชาริศาราวอย่างกับว่าจะเอาใจเธอตลอดเวลา
“ปกติฉันก็เห็นน้องดาเป็นคนทำอยู่แล้ว การที่เขาจะมาช่วยน้องดาก็ไม่เห็นแปลก”
“ดูนายเหมือนจะพูดเข้าข้างไอ้แว่นเฉิ่มนั่นนะ”
“ฉันก็พูดไปตามความจริง อีกอย่างเขาสองคนก็ไม่ได้อยู่กันสองต่อสอง ดูสิไหนจะน้องดา ไหนจะกะทิ ไลลา ห้อมล้อมกันเต็มไปหมด”
“จะว่าไปก็แปลก ปกติกะทิ กับไลล่า ไม่ค่อยอยากจะสุงสิงกับน้องแหม่มเท่าไร ทำไมเดี๋ยวนี้ถึงได้มารวมกลุ่มกันอยู่ที่นี่ได้”
“ก็เพราะไอ้แว่นเฉิ่มของนายยังไงละ” ทัชชาส่ายหน้า แล้วเดินเลี่ยงออกไป การที่เขาเห็นชาริศาพูดคุยกับพัสกาญอย่างสนุกสนานและสนิทสนมแบบนี้ มันทำให้เขาหงุดหงิดยังไงชอบกล
........................................................................
กรกฤตและชันดาสังเกตเห็นว่าทัชชาคอยจับตามองพัสกาญตลอด จึงหลบออกมาคุยกันข้างนอกสองคน ทิ้งให้พัสกาญอยู่กับกลุ่มของเอม ชาญ ส่วนชาริศากำลังเข้าซีนกับอาทิตย์
“พี่กร ช่วงนี้ทั้งพี่ทัชและพี่มันต์คอยจับตาดูพี่ม่อนตลอดเลยค่ะ”
“อืม วันก่อนต้อยติ่งโทรบอกพี่ว่าคุณทัชไปหาม่อนที่ร้าน”
“คุณทัชรู้เรื่องพี่ม่อนได้ยังไง แล้วพี่มันต์รู้ด้วยรึเปล่า”
“พี่ก็ยังไม่รู้ และไม่รู้ด้วยว่า ทำไมสองคนนั่นถึงสนใจเรื่องของม่อนมันนัก”
“ถ้าเรื่องพี่มันต์ ดาพอจะรู้ค่ะ”
“ทำไม?”
“พี่มันต์แอบชอบพี่แหม่มอยู่ อาจจะเป็นไปได้ว่าหึงพี่ม่อน ส่วนพี่แหม่มเองก็ฟอร์มเยอะค่ะ แต่...พี่ทัชนี่สิ... เอ้...หรือว่าพี่ทัชจะแอบชอบพี่แหม่มขึ้นมาอีกคน”
“แอบชอบอย่างนั้นเหรอ?”
“ใช่ค่ะ”
“ดาไปอยู่กับแหม่มก่อน พี่จะไปคุยกับคุณทัชหน่อย”
“เดี๋ยวๆ พี่กร พี่คงจะไม่ถามเขาตรง ๆ ใช่ไหม ว่าเขาแอบชอบพี่แหม่มนะ?”
“พี่ไม่ถามแบบนั้นหรอกน่า”
“อ่อ ก็แล้วไป แต่คุยกันดี ๆ อย่ามีเรื่องกันนะคะ” ชันดาพูดแล้วก็เดินกลับไปยังกองถ่าย ส่วนเขาก็เดินตามหาทัชชา ซึ่งทัชชาเองก็เดินตรงมาหาเขาเช่นกัน
“คุณทัช/กร” ทั้งสองต่างพูดขึ้นมาพร้อมกัน
“คุณ/ผม” ทั้งสองยังคงเอ่ยขึ้นมาพร้อมกันอีกครั้ง
“เชิญคุณก่อนเลยคุณทัช” กรกฤตบอกออกไป เพราะเขาเองก็อยากรู้ว่าทัชชาจะคุยอะไรกับเขา
“ผมพอจะรู้ว่าคุณกับเด็กฝึกงานคนนั้นเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียน รวมไปถึงชาริศาด้วย”
“ใช่ แล้วทำไมล่ะ?”
“ผมไม่รู้ว่ามีใครเตือนพวกคุณแล้วหรือยัง เรื่องที่เพื่อนของคุณว่างตัวกับน้องแหม่ม ผมเกรงว่าจะเป็นข่าว”
“ผมเพิ่งรู้ว่าคุณสนใจเรื่องของแหม่มเขาด้วย คุณคงไม่คิดจะเป็นคู่แข่งของคุณมันต์หรอกนะ”
“ผมพูดเพราะผมหวังดีต่างหาก ยิ่งตอนนี้มีคนแอนตี้แหม่มเพราะเข้าใจว่าเธอเป็นต้นเหตุให้พราวเลื่อนคิว”
“คุณทัช คุณเองก็เชื่อข่าวลือพวกนั้นสินะ”
“ผมไม่ได้เชื่อ ผมแค่ไม่อยากให้พวกคุณมีปัญหา”
“เอาเป็นว่าผมจะคอยไปเตือนเพื่อน ๆ ของผมก็แล้วกัน ทีนี้ถึงคราวผมบ้าง”
“ว่ามาสิ?”
“คุณไปหาม่อนที่ร้านทำไม?”
“ผมก็แค่ผ่านไปทางนั้นเลยแวะเข้าไปหา ว่าแต่...คุณอยากรู้ไปทำไม?”
“คุณรู้เรื่องของม่อนมากแค่ไหน แล้วต้องการอะไรจากม่อนกันแน่?”
“ผมก็รู้แค่ว่าม่อนเป็นเจ้าของร้านนั้น แล้วผมอยากรู้ว่าเขารู้สึกยังไงกับน้องแหม่ม”
“อ่อ ที่คุณแกล้งเตือนผมก่อนหน้านี้เพราะคุณหึงแหม่ม คุณจะบอกว่าอย่างนั้น”
“ผมไม่ได้หึงใครทั้งนั้น และผมก็ไม่ได้คิดอะไรกับเธอด้วย”
“คุณไม่คิดกับแหม่ม หรือว่าคุณคิดอะไรกับม่อน” คำถามของเขาทำให้ทัชชาอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบคำถามของเขาราวกับเพิ่งตัดสินใจอะไรบางอย่าง
“มันก็ไม่แน่ หากเขาคือคนที่ใช่”
“คุณทัช นี่คุณ!!!” กรกฤตพยายามสงบสติอารมณ์ “ม่อนเป็นผู้ชาย”
“เรื่องนั้นผมรู้ และผมเองก็ไม่รู้หรอกนะกร ว่าตอนนี้ผมรู้สึกยังไงกันแน่ เท่าที่รู้ตอนนี้ก็มีแต่ความรู้สึกขอบคุณ ถ้าเขาเป็นคนคนนั้นจริง ๆ”
“คุณหมายความว่ายังไง”
“ก็อย่างที่พูด ขอบคุณ”
ทัชชาดูอารมณ์ดีขึ้นกว่าตอนแรกจนเห็นได้ชัด แล้วก็เดินกลับไปยังส่วนพักผ่อนของเขาทันที กว่ากรกฤตจะเรียบเรียงคำพูดของทัชชาในหัวสมองได้ ทัชชาก็เดินลับสายตาเขาไปแล้ว
“เอาไงดีว่ะกู?” เขาได้แต่บ่นกับตัวเอง ก่อนเดินกลับไปรวมกลุ่มกับพัสกาญ
.........................................................................
ตอนนี้ข่าวที่เป็นกระแสมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้นข่าวของพราววริศากับไฮโซหนุ่ม ทายาทนักธุรกิจชื่อดัง ที่ตามเอาอกเอาใจจนในที่สุดพราววริศายอมคบหาดูใจด้วย ซึ่งภาริชก็เป็นอีกหนึ่งในนักข่าวหลาย ๆ คนที่ติดตามทำข่าวของเธอ
“น้องพราวครับ อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณพราวใจอ่อนยอมคบกับคุณเตอร์ ทั้ง ๆ ที่เพิ่งรู้จักกันได้เดือนกว่า ๆ เท่านั้นเอง” เขาถามคำถามที่นักข่าวหลาย ๆ คนคงจะสงสัยไม่แพ้เขา
“พี่เตอร์เป็นคนเอาใจเก่งค่ะ แล้วเราก็เข้ากันในหลาย ๆ เรื่อง”
“น้องพราวค่ะ คุณเตอร์ใช่เจ้าของเบลลี่สีขาวที่ขับไปเฝ้าคุณพราวที่สถานีวันที่จัดงานแฟนมิตติ้งใช่ไหมค่ะ?”
“เรื่องนี้พี่เตอร์เขายังไม่ยอมรับค่ะ”
“แล้วน้องพราวคิดยังไงกับเรื่องนี้ค่ะ”
“พราวก็ต้องเชื่อพี่เตอร์สิค่ะ”
การสัมภาษณ์ยังคงดำเนินไปในประเด็นของไฮโซหนุ่มอีกสองสามหัวข้อ จนกระทั่งน้อง นักข่าวรุ่นน้องถามคำถามที่ทำให้นักข่าวทุกคนต้องเงียบเพื่อรอคำตอบ
“น้องพราวค่ะ ที่คุณเลื่อนคิวถ่ายเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว มีกระแสมาว่าน้องพราวทะเลาะกับน้องแหม่ม ไม่ทราบว่าจริงไหมค่ะ?”
“อ่อ เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดคะ พราวกับแหม่มไม่เคยทะเลาะกันรุนแรง ถึงบางทีแหม่มจะเป็นคนใจร้อนไปบ้าง” หลังจบประโยค นักข่าวต่างพากันแย่งถามคำถามเป็นการใหญ่
“ตอบแบบนี้แสดงว่า น้องพราวกับน้องแหม่มเคยมีเรื่องทะเลาะกันใช่ไหมค่ะ?”
“ทำงานร่วมกันก็ต้องมีเรื่องเข้าใจผิดกันบ้าง เป็นเรืองปกติค่ะ แล้วพราวกับแหม่มเป็นเพื่อร่วมงานที่ดีต่อกัน เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ พราวไม่เอามาใส่ใจหรอกค่ะ”
ภาริชฟังคำให้สัมภาษณ์แล้วรู้สึกแปลก ๆ กับคำพูดของพราววริศา หากเป็นก่อนหน้านี้ที่เขายังจำชาริศาไม่ได้ เขาคงเชื่อในคำให้ข่าวของเธอ แต่คนทั้งสามต่างเป็นรุ่นน้องที่มหาวิทยลัยเดียวกับเขา แล้วเขาก็เป็นคนตามทำข่าวของชาริศาตั้งแต่เธอไปออดิชั่นละครที่คณะสาปัตย์ มันทำให้เขารู้สึกว่าพราววริศาพยายามจะเลี่ยงประเด็นที่เลื่อนคิวถ่ายละครให้คนไปสนใจเรื่องชาริศาแทน
........................................................................
หลังจากวันที่ทัชชาได้พูดคุยกับกฤกฤตแล้ว เขาก็ค่อนข้างโล่งใจไปได้ส่วนหนึ่ง เมื่อรู้ว่าพัสกาญไม่ได้คบหาชอบพออยู่กับชาริศา ทั้งสองเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเท่านั้น แต่จากที่เขาสังเกตดูมาตลอดสัปดาห์ เขากลับไม่แน่ใจว่าชาริศาคิดกับพัสกาญแบบเดียวกันรึเปล่า
“เฮ้ย ทัช มายืนหลบมุมอยู่ตรงนี้เอง ฉันตามหายนายแทบแย่” อามันต์เดินมาตบไหล่เขาจากด้านหลัง
“ตามหาฉัน? พี่วินทร์มีเรื่องอะไรจะคุยกับฉันรึเปล่า”
“ไม่มีหรอก ฉันแค่เห็นว่านายหายไปก็เท่านั้น”
“นายกลัวฉันคิดมากเรื่องคุณเตอร์อย่างนั้นเหรอ ถึงคิดว่าฉันต้องมายืนหลบมุมเพื่อเลียแผลใจ” เขาตอบทั้งที่สายตายังคงมอไปที่พัสกาญ
“เฮ้ย!! ทัชนายพูดอะไรระวังหน่อย เดี๋ยวใครมาได้มาได้ยินเข้า”
“ฉันรู้ ฉันแค่จะบอกกับนายว่า ฉันไม่เป็นไร”
“แต่แปลกนะ วันนี้พราวมารถคันเดียวกับคุณเตอร์ แต่กลับไม่ใช่รถหรูคันนั้น” เขาได้ยินอามันต์บ่นเบา ๆ
วันนี้เป็นวันแรกในรอบหลายเดือนที่พราววริศากลับมามีคิวให้กับทางกองถ่าย โดยเธอได้มีสารถีส่วนตัว ค่าตัวไม่ใช่เล่น ๆ มาส่งถึงกองถ่าย แล้วไม่ได้มาส่งนางเอกสาวมือเปล่า ยังติดขนมนมเนยต่าง ๆ มาให้คนในกองถ่ายเรียกได้ว่า จ่ายหนักพอ ๆ กับสปอนเซอร์ก็ว่าได้
“เขาคงไม่อยากให้กองทัพนักข่าวแตกตื่นก็เป็นได้”
“นี่รู้ไหมว่าเจษฎ์รอดูรถเบลลี่คันนั้นใกล้ ๆ ให้เป็นบุญตาเลยนะ เห็นเจษฎ์ว่า ในประเทศไทยมีเพียงไม่กี่คันเท่านั้น”
“ถ้ามันมีน้อยขนาดนั้น เขาก็คงต้องถนอมรถ จะเอามาขับไปโน่นมานี่บ่อย ๆ มันคงน่าเสียงดาย”
“คนรวยระดับคุณเตอร์ที่เอาของมาเปย์ให้ที่กอง ไม่น่าจะเสียดายได้นะ”
“เขาคงมีเหตุผลของเขาแหละ” ทัชชาตอบอย่างขอไปที เพราะเขาไม่ได้สนใจอยู่แล้วคุณพหลไฮโซหนุ่มจะขับหรือไม่ขับรถคันไหน ตอนนี้เขาแค่รู้สึกอิจฉาคนตรงหน้ามากกว่า
“ทัช นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
“อืม” เขาตอบรับทั้งที่ยังไม่บะสายตาไปจากพัสกาญและชาริศา
“นี่นายคงไม่คิดจะมีเรื่องกับคุณเตอร์เพราะเรื่องของพราวนะ” อามันต์กระซิบถามเขา
“ทำไมฉันต้องไปมีเรื่องกับเขา”
“ก็เรื่องของพราว...”
“ฉันเห็นสองคนนั่นไปด้วยกันได้ดี ฉันก็ดีใจด้วย ส่วนฉัน” ทัชชาละสายตาจากคนที่มองอยู่ เพื่อหันมาสอบตากับอามันต์ “ฉันก็อยู่ของฉันแบบนี้ ฉันไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงอย่างที่นายกังวลหรอกน่า”
“อืม ๆ ฉันพยายามจะเชื่อก็แล้ว” ทัชชาได้แต่สายหน้าให้กับความไม่เชื่อถือของอามันต์ เขาหันกับมามอง ณ จุดเดิม “นายว่า ไอ้แว่นเฉิ่มนั่นมันจะทำยังไง มันจะไปประจบพราวกับคุณเตอร์ไหม เฮ้อ...ทำไมใคร ๆ ถึงไปตามห้อมล้อมมันนะ”
“แล้วทำไมนายถึงคิดว่าม่อนจะต้องไปประจบพราวกับคุณเตอร์เขาด้วยละ?”
“อ่าว ไอ้หมอนั่นทำงานให้กรจะได้วันละเท่าไรกันเชียว แต่ถ้าเปลี่ยนมาทำงานให้พราว ที่มีคุณเตอร์คอยหนุนหลัง ค่าตัวต่อวันอาจจะได้ไม่ใช่น้อยน้า...”
“ม่อนเขาอาจจะไม่ได้ทำเพื่อเงินก็ได้”
“คนเราถ้าไม่ใช่ทำเพื่อเงิน แล้วจะทำเพื่ออะไรกัน ฉันว่าดีซะอีกหากไอ้หมอนั่นมันไปทำงานที่อื่น จะได้อยู่ห่าง ๆ จากน้องแหม่มหน่อย เกาะติดเป็นปลิงเชียว”
“ฉันไม่เห็นว่าเขาจะเกาะติดน้องแหม่มของนายตรงไหน มีแต่น้องแหม่มนั่นแหละ ที่พอได้พักหรือมีเวลาว่างก็รีบเดินกลับไปยังส่วนพักของเธอ” ทัชชาพยายามระวังคำพูดให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียหาย ในเมื่อเขาเองก็ยังไม่รู้ที่มาที่ไปทั้งหมด จากนั้นเขาก็เดินกลับไปยังส่วนพักของเขาเพื่อทบทวนบทและเตรียมตัวเขาฉากต่อไป
........................................................................
อามันต์ทั้งงงทั้งแปลกใจกับท่าทางของทัชชา เขาที่อุตส่าห์เป็นห่วงกลัวว่าทัชชาจะรู้สึกไม่ดีกับการที่คุณพหลมาส่งพราววริศาถึงกองถ่าย อีกทั้งนั่งเฝ้าราวกับเป็นผู้จัดการส่วนตัวก็ไม่ปาน เมื่อเห็นทัชชามายืนหลบมุมอยู่คนเดียวเงียบ ๆ เขาก็ยิ่งเป็นห่วงคิดว่าอาการหนักซะแล้ว แต่ผิดคาด
เรื่องของพหลและพราววริศากับกลายเป็นเรื่องที่ทัชชาไม่ใส่ใจ ทั้งที่เขาเผลอหลุดปากพูดถึงเรื่องรถของคุณพหลไป กว่าจะหาเรื่องเลี่ยงประเด็นให้ไกลตัวของพราววริศามาได้ กลับกลายเป็นว่าทัชชาไม่พอใจเพราะเรื่องของไอ้แว่นเฉิ่มนั่น
เขาสังเกตเห็นว่า ระยะหลังมานี้ทัชชามักจะแอบซุ่มดูกลุ่มของชาริศาเงียบ ๆ อยู่บ่อยครั้ง แค่ก็คาดเดาไม่ได้ว่าทัชชาสนใจอะไรกับคนกลุ่มนั้น แต่ก่อนเขาอาจจะเห็นไอ้แว่นมักจะเกาะติดกับชาริศา โดยมีชันดาอยู่ใกล้ๆ แต่ตอนนี้กลับมีทั้งกะทิ ไลลา แล้วก็ตากล้องฝึกหัดที่เขาจำไม่ได้ว่าเด็กนั่นชื่ออะไร ไหนจะมีเอม กับชาญอีก คนกลุ่มนี้มักจะนั่งคุยหรือนั่งทานข้าวร่วมกับเสมอ แต่ก็ไม่ได้เป็นกลุ่มที่น่าสนใจและน่าจับตาเท่ากับกลุ่มของพราววริศา
To Be Continued