ลำนำรักสีรุ้ง ตอนพิเศษ: ของขวัญที่เฝ้ารอ (2/2)เสียงโทรศัพท์แจ้งว่ามีเมสเสจเข้ากลางดึกทำให้ผมผวาตื่นแล้วรีบหยิบมือถือขึ้นกดดู แต่แล้วหัวใจที่พองฟูก็ต้องแฟบลงอีกครั้งเมื่อเห็นว่าข้อความบนหน้าจอเป็นเพียงเมสเสจสวัสดีปีใหม่จากเพื่อนคนหนึ่ง ท่ามกลางความเงียบสงัดผมได้ยินเสียงเฮฮาเหมือนมีคนตั้งวงเหล้าในบ้านหลังที่อยู่ถัดไปจากหอแว่วๆ
เวลาบนหน้าจอมือถือแจ้งให้รู้ว่าเพิ่งเลยเที่ยงคืนมาไม่นานนัก และเลขวันเดือนปีที่ปรากฏก็เตือนให้ผมนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ทั่วประเทศกำลังฉลองการเข้าสู่ปีใหม่แล้ว
ผมกดปุ่มลบข้อความจากเพื่อนที่คงส่งหาทุกคนที่เจ้าตัวมีหมายเลขทิ้งโดยไม่พิมพ์ตอบ แม้จะเสียมารยาทอยู่บ้างแต่ผมก็ไม่อยู่ในอารมณ์จะเฉลิมฉลองกับใครจริงๆ ความรู้สึกแห้งผากในคอทำให้ผมต้องเอื้อมหยิบแก้วน้ำที่ตั้งไว้บนหัวเตียงขึ้นจิบก่อนจะสำลักเพราะเกิดไอตอนจังหวะที่จะกลืนน้ำพอดี ผมยกหลังมือขึ้นปาดริมฝีปากลวกๆหลังจากหอบสำลักจนตัวโยนก่อนจะทิ้งตัวลงนอนใหม่อีกครั้งแล้วยกแขนทั้งสองข้างขึ้นก่ายหน้าผาก
แม้ตอนนี้จะเป็นปีใหม่ที่นี่ แต่ที่อังกฤษตอนนี้คงเพิ่งเป็นช่วงเย็นของวันที่ 31 ธันวาคม ดังนั้นกว่าที่นั่นจะได้ฉลองการเข้าสู่ปีใหม่บ้างก็ต้องเป็นเวลาเช้าของวันที่ 1 มกราคมตามเวลาในเมืองไทยไปแล้ว
ผมกระพริบตาไล่หยดน้ำที่เอ่อขึ้นมาคั่งอยู่ในหน่วยตาทั้งสองออกไป แล้วก็ต้องสูดจมูกที่แสบร้อนจากน้ำมูกซึ่งไม่ได้มาจากหวัด ทว่าพอพลิกตัวนอนตะแคงหยาดน้ำในตาก็ซึมลงไปบนหมอนจนผมต้องใช้อุ้งมือเช็ดออก น่าอายจริงๆที่ต้องมานอนป่วยและซึมเศร้าอยู่คนเดียวในเทศกาลวันหยุดแบบนี้ แต่จะไปเรียกร้องอะไรกับใครได้ในเมื่อผมเป็นคนเลือกที่จะทำแบบนี้เอง
ผมตัดสินใจฝืนลุกขึ้นไปล้างคราบน้ำตาและสั่งน้ำมูกในห้องน้ำ ก่อนจะตัดสินใจว่าถ้าหากพรุ่งนี้เป้ยังไม่โทรมาอีก พอถึงเวลาก้าวสู่วันใหม่ที่อังกฤษเมื่อไหร่ผมจะโทรไปหาเอง อย่างน้อยถ้าใช้ข้ออ้างว่าโทรไปสวัสดีปีใหม่ก็คงดูไม่เหมือนว่าผมอยากได้ยินเสียงอีกฝ่ายจนยอมกลืนน้ำลายตัวเองจนเกินไปนัก
ผมไล้ปลายนิ้วบนหมอนที่เอามากอดอีกครั้งก่อนจะปิดตาลง ครั้งนี้ผมหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ขณะที่กำลังขดตัวด้วยความหนาวอยู่ใต้ผ้าห่ม จู่ๆก็รู้สึกว่าได้ยินเสียงฝีเท้าในห้องก่อนที่เตียงข้างตัวจะยุบลงแล้วตามด้วยสัมผัสเย็นๆบนแก้ม ทว่าเปลือกตาที่ยังหนักอึ้งบวกความสะลึมสะลือทำให้ผมลืมตาไม่ขึ้น แม้จะตกใจว่าทำไมถึงมีใครมาอยู่ในห้องแต่ประสาทสัมผัสที่ยังครึ่งหลับครึ่งตื่นทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังฝันอยู่
ความเย็นแต่อ่อนโยนที่ไล้สัมผัสอยู่บนผิวหน้าทำให้ผิวที่ร้อนผ่าวรู้สึกสบาย สัมผัสนั้นไล้ต่ำเรื่อยลงไปที่ซอกคอจนผมต้องรีบหดคอหนี เสียงสวบสาบเหมือนใครคนนั้นขยับตัวพร้อมกับเสียงถอนหายใจลอยมาเข้าหูก่อนที่อะไรบางอย่างที่นุ่มและหยุ่นจะประทับลงมาบนหน้าผาก ประสาทการรับรู้ที่ค่อยๆเป็นอิสระจากการหลับใหลมากขึ้นทำให้เริ่มแยกแยะได้ว่าสัมผัสนั้นมาจากริมฝีปากของใครคนหนึ่งที่กำลังพรมจูบไปทั่วใบหน้า เช่นเดียวกับที่ใครคนนั้นชอบทำเวลาที่รู้ว่าผมไม่สบายใจหรือเวลาที่อยากแหย่ผมเล่น กลิ่นอ่อนๆที่คุ้นเคยยิ่งตอกย้ำให้ผมมั่นใจมากขึ้นว่าเจ้าของจูบคือใครแม้จะยังไม่ลืมตา
หยดน้ำตาซึมจากหางตาผมอย่างกลั้นไม่อยู่ทันทีที่ริมฝีปากนั้นเคลื่อนไปหยุดที่ริมฝีปากตัวเอง ผมเอื้อมแขนทั้งสองข้างขึ้นโอบรอบลำคอแข็งแรงเอาไว้และเผยอริมฝีปากต้อนรับลิ้นอุ่นชื้นที่สอดแทรกเข้ามาราวจะปลอบประโลมและปลุกเร้าความต้องการไปพร้อมกัน ภายใต้การรับรู้ที่ตื่นเต็มที่ผมรู้สึกถึงปลายนิ้วแข็งแรงที่ช่วยกรีดน้ำตาออกให้ทั้งที่ริมฝีปากของเราสองคนยังคลอเคลียกันอยู่ไม่ห่าง
เป็นนานกว่าที่ผู้มาเยือนยามวิกาลจะถอนริมฝีปากออก ผมสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นมองคนที่กำลังจ้องตัวเองอยู่พร้อมรอยยิ้ม เป้เลื่อนมือไปเปิดโคมไฟหัวเตียงตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้
“ไหนบอกว่าอยู่คนเดียวได้ไง แล้วนี่ร้องไห้ทำไม?”
“ทำไมเป้มาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”
ผมไม่ตอบแล้วยังถามกลับด้วยเสียงแหบแห้งโดยไม่ปล่อยมือที่โอบคอคนตัวโตอยู่ มันประจวบเหมาะเกินไปที่เป้มาปรากฏตัวหลังจากที่ผมเพิ่งคิดถึงอีกฝ่ายในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนจนเหมือนกับฝัน แต่รอยยิ้มมุมปากประจำตัวกับความอบอุ่นจากเลือดเนื้อที่ได้สัมผัสก็ทำให้รู้ว่าคนที่กำลังคิดถึงอยู่ตรงหน้าผมแล้วจริงๆ
“ก็ใครล่ะมาทำให้คนอื่นสงสัยว่าตัวเองไม่สบายแล้วก็พยายามปิดแทบตายน่ะ เคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าให้อ้อนเป้บ้างก็ได้”
เป้พูดแล้วก็ก้มลงจูบบนหางตาผมที่ยังมีคราบน้ำตาหลงเหลืออยู่ ส่วนมือใหญ่ก็เลื่อนขึ้นเสยผมที่ชื้นเหงื่อจนแนบติดหน้าผากออกให้ ผมหลับตาลงก่อนจะระบายลมหายใจที่ไม่รู้ว่ากลั้นไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ออกมาด้วยความโล่งอก
...เป้กลับมาหาจริงๆด้วย…
ความดีใจทำให้ผมซุกตัวกับอกกว้างโดยไม่ยอมปล่อยมืออยู่นาน คนตัวโตเลยนวดต้นคอให้ก่อนจะเอ่ยทักเสียงเบา
“วิวตัวร้อนมากเลย เดี๋ยวเช็ดตัวแล้วกินยาดีกว่านะจะได้นอนสบายๆ”
ร่างสูงใหญ่พูดแล้วก็ทำท่าจะลุกขึ้น ความเย็นเยือกจากผิวกายที่ถอยห่างทำให้ผมรีบลุกนั่งแล้วรั้งแขนอีกฝ่ายไว้ทันที เป้หันกลับมามองด้วยสีหน้าประหลาดใจแล้วก็ยิ้มให้
“เป็นอะไรไป? เป้ไม่ได้ไปไหนนะ แค่จะไปเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้เอง”
คนตัวโตทรุดตัวลงนั่งที่เดิมแล้วเอ่ยปลอบ แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการมากกว่าการพักผ่อนคืออะไร
“นั่นไว้ทีหลังก็ได้ ตอนนี้วิวอยากให้เป้อยู่ใกล้ๆก่อน”
ผมกระถดตัวเข้ากอดเอวคนตรงหน้าไว้แน่นเหมือนกลัวว่าอีกฝ่ายจะหายไปอีก ไออุ่นที่แผ่ออกมาจากร่างสูงใหญ่จุดความปรารถนาในจิตใต้สำนึกและสั่งให้ผมเลื้อยมือเข้าใต้แจ๊คเก็ตที่เจ้าตัวสวมอยู่เพื่อลูบไปตามแผงอกอุ่นและหน้าท้องตึงแน่น ร่างสูงใหญ่ลมหายใจสะดุดเมื่อมือผมเริ่มป่ายไปมาบนร่างต่ำลงเรื่อยๆ
“...วิวแน่ใจเหรอ?”
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามราวกำลังพยายามชั่งใจตัวเอง ผมไม่ตอบอะไรอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าแล้วสอดมือผ่านขอบกางเกงอีกฝ่ายเข้าเกาะกุมส่วนไวสัมผัสที่แทบจะตื่นตัวทันทีที่โดนแตะต้อง คิ้วเข้มขมวดมุ่นเมื่อผมเพิ่งแรงส่งที่ปลายนิ้วไปยังท่อนเนื้อร้อนรุ่มจนเจ้าตัวต้องรั้งมือห้ามเอาไว้
ผมเงยหน้าสบกับนัยน์ตาคมนิ่งแต่ก็ไม่ชักมือหนี ถึงแม้จะไม่เอ่ยอะไรออกมาแต่เป้ก็คงรู้แล้วว่าผมเอาจริง มือแกร่งจึงเลื่อนขึ้นเชยคางผมให้แหงนหน้ารับจูบก่อนจะดันร่างผมให้เอนลงบนเตียงและตามเข้าทาบทับ นัยน์ตาสีเข้มจัดถอยออกจ้องตาเหมือนจะถามให้แน่ใจเป็นครั้งสุดท้าย ผมเลยเลื่อนมือสองข้างขึ้นลูบไปตามแผ่นหลังใต้เสื้อหนาและเบียดสะโพกเข้าหาอีกฝ่ายเพื่อย้ำว่าผมอยากให้ทำอย่างที่พูดจริงๆ
มือแข็งแรงแทบจะทึ้งเสื้อผ้าผมออกทันทีที่ส่วนอ่อนไหวของเราบดเบียดซึ่งกันและกัน แต่ความต้องการที่กำลังปลุกปั่นให้วงจรความคิดไม่ปะติดปะต่อทำให้ผมไม่ท้วงคนที่กำลังประทับตราความเป็นเจ้าของไปทั่วร่างอย่างรุนแรง ไม่น่าเชื่อว่าการอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่วันจะทำให้เราสองคนกระหายที่จะเติมเต็มซึ่งกันและกันด้วยร่างกายมากถึงขนาดนี้ อาจเพราะผมกำลังไข้ขึ้นสูงอยู่ด้วย ร่างกายทุกส่วนจึงยิ่งตอบสนองทุกแรงสัมผัสจนน่าตกใจ
ผมรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของปลายนิ้วที่ไล่ลงวนรอบปากทางคับแคบด้านหลัง ก่อนจะสะดุ้งจนตัวงอเมื่อโดนปลายนิ้วใหญ่ที่ฉาบด้วยหยาดอารมณ์ข้นใสของเจ้าตัวแทรกเข้ามา ลิ้นอุ่นชื้นลากไล้ระหว่างตุ่มไตเล็กทั้งสองบนหน้าอกผมจนเปียกชุ่มก่อนที่เป้จะขบตามด้วยฟันอย่างไม่ออมแรงนักจนผมร้องคราง
“วิวเจ็บข้างล่างหรือเปล่า? ให้หาอะไรมาหล่อลื่นก่อนมั้ย?”
เสียงแหบพร่าที่เอ่ยถามชิดแผ่นอกอย่างเป็นห่วงขัดแย้งกับสัมผัสทางกายอันเร่งเร้า ผมเลยหลับตาแน่นแล้วเร่งมือที่รูดรั้งศูนย์รวมความปรารถนาของอีกฝ่ายมากขึ้นแทนการโต้ตอบ ร่างสูงขบกรามก่อนจะครูดนิ้วออกไปแล้วสอดกลับเข้ามาใหม่พร้อมนิ้วที่สองอย่างรวดเร็วจนผมกระตุกไปทั้งร่าง
“วิว...พอก่อน”
มือข้างที่ว่างของเป้ดึงมือผมออกขณะที่นิ้วทั้งสองซึ่งควานไล้ไปมาอยู่ในกายเมื่อครู่ถูกถอนออกไป ผมปรือตาขึ้นอ่านความต้องการที่ฉายอยู่หลังนัยน์ตาสีเข้มแล้วก็บังคับร่างกายที่สั่นสะท้านให้ก้มลงปรนนิบัติคนตรงหน้าด้วยริมฝีปากและปลายลิ้น หน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อเป็นลอนหดเกร็งราวจะพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้รีบปลดปล่อยเมื่อผมโหมเร่งจังหวะมากขึ้นขณะที่มือใหญ่ยื่นมาประคองท้ายทอยไว้ ผมจึงละริมฝีปากที่ฉ่ำด้วยหยาดอารมณ์แล้วเลื่อนตัวขึ้นจูบไปตามหน้าท้องและแผงอกกว้างของคนรักแทน ฝ่ามือใหญ่ทั้งสองที่เอื้อมมาบีบเคล้นเนินสะโพกด้านหลังทำให้ผมต้องโอบคออีกฝ่ายไว้แล้วกระซิบเสียงสั่น
“เข้ามาเถอะเป้ วิวจะไม่ไหวแล้ว”
ราวกับคนตัวโตจะรอประโยคนี้อยู่แล้ว ลำแขนแข็งแรงจึงจับร่างผมให้นอนคว่ำลงก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะตามเข้าประชิด ปลายนิ้วแกร่งคลี่เบิกปากทางก่อนที่สัมผัสอุ่นและชื้นแฉะจะจรดตามมาจนร่างกายผมที่สั่นอยู่แล้วยิ่งสั่นมากขึ้นไปอีก
“จะเข้าแล้วนะ”
เป้เลื่อนตัวขึ้นทาบทับแล้วกระซิบบอกเสียงพร่าที่ริมหู ผมเลยพยักหน้าแล้วย่อแขนลงให้ร่างท่อนล่างยกสูงเพื่อให้คนข้างหลังเข้ามาได้ง่ายขึ้น แต่ถึงแม้จะคิดว่าตัวเองพร้อมแล้ว วินาทีแรกที่ช่องทางเบื้องหลังถูกขยายเพราะสิ่งที่กำลังสอดใส่เข้ามาก็ยังทำให้ผมเจ็บจนต้องจิกมือลงกับหมอนแน่นอยู่ดี
“วิวไหวหรือเปล่า? จะให้หาอะไรมาช่วยก่อนมั้ย?”
แม้อารมณ์ที่สานต่อกันมาตั้งแต่แรกเริ่มจะคุกรุ่นแต่เป้ก็ยังสังเกตอาการผมออก แต่ผมคงทนไม่ได้หากความต้องการในตอนนี้ต้องขาดช่วงเพราะร่างกายที่กำลังแนบชิดต้องแยกจากกันแม้เพียงวินาทีเดียว
“ไม่ต้อง เป้ต่อเถอะ ทำแบบที่อยากทำเลย”
ผมเอี้ยวคอบอกก่อนจะพยายามระงับความเจ็บด้วยการลากมือข้างหนึ่งไปยังจุดกึ่งกลางของตัวเอง แล้วก็ต้องสูดหายใจเข้าลึกเมื่อรู้สึกถึงความแข็งขืนที่รุกไล่เข้ามาในช่องทางอุ่นแน่นต่อหลังจากได้รับอนุญาต
เป้ดันตัวเองเข้ามาช้าๆแต่ไม่หยุดจนกระทั่งเข้ามาในตัวผมได้หมด ตลอดเวลาเสียงหอบของเราสองคนดังสะท้อนไปทั่วห้องที่ถูกย้อมด้วยแสงสลัวของโคมไฟ มือหนาสองข้างยึดตรึงสะโพกผมที่สั่นสะท้านให้อยู่นิ่งก่อนริมฝีปากอุ่นจะขบเม้มไปทั่วแผ่นหลัง ทั้งที่เราสองคนคุ้นเคยกับการใกล้ชิดกันแบบนี้มาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว แต่ร่างกายของผมก็ยังตอบรับการรุกรานของอีกฝ่ายด้วยการบีบรัดอย่างรุนแรงจนเรียกเสียงครางต่ำจากร่างสูงทุกครั้งอยู่ดี
“รู้ตัวมั้ยว่าวิวยั่วเก่งขึ้นทุกทีแล้วนะ”
เสียงทุ้มกระซิบอย่างหยอกล้อ แต่เป้ไม่รอให้ผมตอบเพราะพอพูดจบอีกฝ่ายก็เริ่มสวนกายเข้าออกทันทีจนในหัวผมเบลอไปหมด มือที่ดึงรั้งสะโพกผมเข้าหาเพิ่มแรงจิกขึ้นเรื่อยๆจนไม่ต้องสงสัยว่าพรุ่งนี้ต้องทิ้งรอยช้ำแน่นอน แต่ถึงแม้จะรู้สึกอึดอัดในตอนแรก ความต้องการในสิ่งที่คนตัวโตกำลังปรนเปรอให้ก็มีมากกว่าจนผมเริ่มปรับลมหายใจและการเคลื่อนไหวของตัวเองให้สอดคล้องกับจังหวะของเป้บ้าง
“อือ เป้....อ๊ะ....จะ...อึ๊ก...จะถึงแล้ว...อ๊า!”
ผมร้องเสียงหลงเมื่อโดนอ้อมแขนแข็งแรงรั้งตัวให้นั่งทับบนตักใหญ่ทั้งที่ร่างกายของเรายังเชื่อมเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่ แผ่นหลังเปียกชื้นของผมแนบชิดกับแผ่นอกตึงแน่นของคนที่รองรับขณะที่ปลายลิ้นอุ่นเล็มไล้ตามผิวแก้ม เป้ยันมือข้างหนึ่งลงบนเตียงขณะที่มืออีกข้างอ้อมมากุมส่วนที่กำลังเรียกร้องการปลดปล่อยของผมไว้ แม้ว่าท่านี้จะทำให้ขยับตัวได้ไม่ถนัดเท่ากับเมื่อครู่ แต่ก็ทำให้ผิวกายเราเพิ่มเนื้อที่สัมผัสกันมากขึ้น ความปั่นป่วนที่เดือดพล่านไม่หยุดในท้องน้อยทำให้ผมรู้ว่าร่างกายกำลังจะทนการถูกกระตุ้นได้อีกไม่นานแล้ว
“อื้อ...วิว เป้ขอออกข้างในนะ”
“เป้...เป้ อ๊ะ!...อ๊า!!!”
ผมกรีดร้องอย่างสุดกลั้นเมื่อแก่นกายโดนปลุกเร้าจนความต้องการที่สั่งสมกลั่นตัวออกมาอย่างรุนแรง ช่องทางเบื้องหลังที่โอบอุ้มท่อนเนื้ออุ่นตอดรัดสิ่งแปลกปลอมแน่นราวกับจะดูดกลืนเอาไว้ เป้ยึดเอวผมไว้มั่นก่อนจะกระแทกตัวส่งสายธารแห่งความพึงพอใจเข้ามาในร่างผมซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนหยาดหยดข้นขาวไหลเอ่อออกมาด้านนอก
ความเสียวซ่านถึงขีดสุดจากการร่วมรักทำให้ในหัวผมขาวโพลนด้วยแสงวูบวาบและในหูอื้ออึงจากเสียงที่ไม่มีความหมาย ผมทิ้งตัวลงหอบหายใจแรงบนแผ่นอกกว้างก่อนที่จะถูกมือใหญ่บิดคางให้หันไปรับจูบท่ามกลางเสียงเต้นของหัวใจที่รัวประสานกันไม่หยุด
“ตัวเหนียวไปหมดเลย...”
ผมเอ่ยขึ้นลอยๆหลังจากนั่งพิงอกเป้ได้สักพักจนจังหวะลมหายใจเริ่มเป็นปกติขึ้น แต่ผมมั่นใจว่าเสียงที่แหบหวิวน่าจะเป็นผลจากกิจกรรมอันหนักหน่วงเมื่อครู่มากกว่าอาการป่วยที่เป็นอยู่ในตอนแรก เป้แตะหน้าผากตัวเองเข้ากับหน้าผากผมเบาๆแล้วก็หัวเราะในคอ
“แต่เหงื่อออกแล้ววิวจะได้หายไข้เร็วๆไง เดี๋ยวเป้เช็ดตัวให้เอง”
“อืม...”
ผมยกมือใหญ่ขึ้นจูบก่อนจะส่งยิ้มให้คนพูดอย่างอ่อนเพลีย ใบหน้าคมยิ้มตอบขณะที่ไล้มืออีกข้างไปมาบนร่างกายที่เปียกลื่นไปด้วยเหงื่อของผม ความร้อนรุ่มที่ยังไม่ได้ถอนออกไปเริ่มฟื้นตัวขึ้นใหม่อย่างช้าๆ และนัยน์ตาสีเข้มที่มองตรงมาก็สื่อความหมายในใจโดยไม่ต้องใช้คำพูด
“เป้....”
ผมเอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างลังเล แต่แล้วปลายจมูกโด่งก็กดลงบนไหล่เหมือนจะช่วยตัดสินใจแทนให้
“เหนื่อยใช่รึเปล่า? ถ้าวิวไม่ไหวแล้วก็นอนพักดีกว่านะ ไม่ต้องฝืนตัวเองหรอก”
ประโยคที่ปราศจากความเห็นแก่ตัวนั่นทำให้ผมตัดสินใจได้ทันที เป้อุตส่าห์บินข้ามทวีปกลับมาหาทั้งที่กำลังได้ใช้เวลากับครอบครัว ส่วนผมเองถึงแม้จะรู้ว่าร่างกายกำลังเรียกร้องการพักผ่อน แต่ความหวามไหวที่ปนเปไปกับความยินดีเพราะคนที่คิดถึงกลับมาอยู่ใกล้ๆทำให้ความคิดที่จะปฏิเสธถูกปัดออกจากหัวอย่างรวดเร็ว
ผมสูดหายใจรวบรวมกำลังก่อนจะบดร่างกายท่อนล่างเข้ากับหน้าตักของคนที่รองรับอยู่ เป้ผงกหัวแล้วเลิกคิ้วขึ้นมองเหมือนจะถาม ผมจึงยิ้มให้ก่อนจะแตะริมฝีปากลงบนคางสากเบาๆ ขอตอบแทนที่คนตัวโตทำเซอร์ไพรส์ได้ถูกใจผมบ้างก็แล้วกัน
“ไม่เป็นไร คืนนี้วิวยกให้ ถือว่าเป็นของขวัญต้อนรับเป้กลับบ้าน”
+------+
หลังจากค่ำคืนอันยาวนานผมก็หลับยาวไปจนถึงบ่าย ความทรงจำสุดท้ายที่เลือนลางก่อนจะไม่รับรู้อะไรอีกคือความรู้สึกว่าถูกเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ อาจเพราะความเหนื่อยล้าและโล่งใจที่ประดังเข้ามาพร้อมกันทำให้ผมหลับลึกจนไม่ฝันถึงอะไรเลยตลอดทั้งคืน
ตอนที่ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้งคือเมื่อรู้สึกว่าเตียงข้างตัวยวบไหวและหลังมือเย็นๆอังลงบนหน้าผาก พอปรือตาขึ้นก็เห็นเป้ที่สวมเพียงยีนส์สีเข้มนั่งพับขาข้างหนึ่งอยู่บนเตียง บนลำคอเปลือยเปล่ามีผ้าขนหนูผืนเล็กคล้องอยู่ เรือนผมที่ยังเปียกชื้นกับกลิ่นสบู่ที่กรุ่นเข้าจมูกบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวเพิ่งอาบน้ำเสร็จมาหมาดๆ
“ว่าจะปลุกพอดี เป้ลงไปซื้อโจ๊กมาให้แล้วนะ วิวลุกมากินหน่อยแล้วกันจะได้กินยา”
ผมหลับตาลงอีกครั้งก่อนจะพยักหน้าแล้วค่อยๆยืดแขนออกบิดขี้เกียจ ความปวดเมื่อยตามเนื้อตัวเพราะอาการหวัดเริ่มบรรเทาลงมากแล้ว แต่พอขยับตัวจะลุกขึ้นก็รู้สึกถึงความระบมที่แล่นจี๊ดขึ้นมาจากร่างกายส่วนล่างจนต้องทิ้งตัวลงนอนใหม่ทันที
ผมกระพริบตาถี่มองเพดานที่หมุนไปมาแล้วพยายามคิดทบทวนว่าเมื่อคืนทำอะไรร่างกายท่อนล่างถึงได้ปวดหนึบขนาดนี้ แล้วภาพเหตุการณ์ของคืนก่อนก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวจนรู้สึกว่าผิวหน้าร้อนเหมือนโดนไฟลวก ทั้งที่ไม่สบายขนาดนี้ยังจะดึงดันทำอะไรไม่ดูสังขารตัวเองอีก ผมชำเลืองมองแผ่นหลังของเป้ที่กำลังยืนเลือกเสื้อจากตู้เสื้อผ้าแล้วก็ถอนหายใจ กรณีนี้จะบ่นคนทำก็คงไม่ได้เพราะตัวผมเองที่เป็นคนปล่อยให้เลยตามเลย ผมหลับตาลงอีกครั้งก่อนจะพยายามยันตัวขึ้นใหม่แล้วเอนหลังพิงหมอนที่ตะแคงขึ้นชิดหัวเตียงก่อนคนตัวโตจะทันหันมาเห็น
“ตัวยังรุมๆอยู่เลย เดี๋ยวกินเสร็จแล้ววิวนอนต่อดีกว่านะ”
เป้พูดแล้วก็เสยผมบนหน้าผากผมไปด้วย ผมคนโจ๊กในชามพร้อมถาดรองที่เจ้าตัวเอามาวางให้บนตักอยู่พักใหญ่ ทั้งที่ความจริงก็หิวอยู่บ้างเพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องมาหลายชั่วโมงแล้ว แต่พออาหารมาอยู่ตรงหน้ากลับรู้สึกพะอืดพะอมจนขัดแย้งในตัวเองแปลกๆ สุดท้ายผมก็ฝืนตักโจ๊กขึ้นทานเพราะไม่อยากให้คนที่ซื้อมาให้ต้องเสียน้ำใจ
ผมทานโจ๊กไปก็เหลือบมองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสีอยู่นอกหน้าต่างไปด้วย จริงอยู่ว่าร่างกายของผมตอนนี้ไม่แข็งแรงเต็มร้อย แต่ความที่ได้แต่อุดอู้อยู่ในห้องมาตั้งแต่เที่ยงเมื่อวานทำให้ผมเริ่มอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง
“เป้ วิวอยากออกไปเดินเล่น”
พ่อตัวดีที่กำลังยืนเช็ดผมอยู่หน้ากระจกหันมาขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินเสียงผม “จะไปได้ไง ข้างนอกลมแรงแถมอากาศก็เย็น เดี๋ยววิวไข้กลับกันพอดี วันนี้นอนพักอีกวันแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยไปก็ได้”
“แต่วิวนอนมาหลายชั่วโมงแล้วนะ เอาแต่นอนๆๆเดี๋ยวก็อืดกันพอดีสิ”
ผมเอ่ยอย่างหงุดหงิดก่อนจะตักโจ๊กเข้าปากอีก ท่าทางนี่จะเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่โดนเป้ขัดใจ อาจเพราะปกติผมไม่ค่อยเรียกร้องอะไร ดังนั้นถ้าเรื่องไหนที่ผมเอ่ยปากขออีกฝ่ายจึงยอมตามใจตลอด ถ้าหากคิดด้วยหลักเหตุผลก็ใช่จะไม่เข้าใจว่าทำไมเป้ถึงไม่เห็นด้วยกับคำขอในคราวนี้ แต่ความรำคาญสภาพร่างกายที่ปวกเปียกของตัวเองบวกกับอาการมึนหัวเพราะพิษไข้ทำให้ผมเริ่มจะพาลขึ้นมา
จากหางตาผมรู้ว่าคนตัวโตกำลังยืนกอดอกมองตัวเองอยู่แต่ก็ไม่ยอมหันไปสบตาด้วย สุดท้ายก็ได้ยินเสียงถอนหายใจก่อนเป้จะเดินมานั่งลงข้างๆแล้วเท้าศอกกับหัวตียง
“เวลาวิวไม่สบายแล้วดื้อเป็นเด็กๆเลย รู้รึเปล่า?”
ผมตวัดสายตามองคนพูดที่ทำยังกับตัวเองแก่กว่ามากทั้งที่เกิดก่อนแค่ไม่กี่เดือน แล้วเลยเลือกทำไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะตักโจ๊กเข้าปากต่อ
“ไม่รู้ล่ะ เป้เคยบอกเองนี่ว่าให้วิวอ้อนได้ แต่ถ้าวันนี้ไม่ยอมให้ไปไหนจะได้จำไว้ว่าถึงอ้อนก็ไม่มีประโยชน์”
คนที่นั่งอยู่ข้างๆหัวเราะกับคำยอกย้อนก่อนจะรั้งไหล่ผมไปหอมแก้มฟอดใหญ่ ไม่เหม็นที่ผมไม่ได้อาบน้ำสระผมข้ามวันบ้างหรือไงก็ไม่รู้
“เข้าใจละ แต่แค่พาไปขับรถเล่นเฉยๆนะ ยังไงก็ถือว่าไปข้างนอกเหมือนกัน เอาไว้หายดีแล้ววิวอยากไปไหนเดี๋ยวเป้พาไปให้ทุกที่เลย”
คำตอบรับแม้จะมีเงื่อนไขแต่ก็ทำให้ผมยิ้มออก หลังจัดการโจ๊กจนเกือบหมดชามเป้เลยเช็ดตัวกับเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อีกรอบก่อนจะหยิบผ้าห่มติดมือลงไปให้ที่รถด้วย จากนั้นคนตัวโตก็ขับวนพาไปดูแสงไฟที่ประดับตามห้างกับถนนในย่านดังต่างๆแถวใจกลางเมืองตามที่ขออยู่หลายชั่วโมง ความที่ไม่ได้ออกไปไหนไกลกว่าละแวกหอตลอดช่วงวันหยุดที่ผ่านมาทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นที่ได้เห็นผู้คนและโลกภายนอกบ้าง
ระหว่างทางกลับหอเป้แวะซื้อชาร้อนให้ผมจากร้านในปั๊มน้ำมันแล้วก็ขับรถไปจอดพักใต้สะพานริมแม่น้ำก่อน พ่อตัวดียืนกรานไม่ให้ผมลงจากรถแต่ยอมไขกระจกหน้าต่างลงให้จะได้สูดอากาศบ้าง ส่วนตัวเองกลับเปิดประตูลงไปยืนสูบสารก่อมะเร็งอยู่ข้างรถหน้าตาเฉย ขี้โกงกันชะมัด
เราสองคนไม่ได้พูดอะไรกัน แค่ทอดสายตามองแสงไฟจากเหล่าเรือล่องแม่น้ำและร้านอาหารที่ตั้งเรียงรายริมฝั่งตรงข้ามไปเงียบๆ ผมเท้าแขนทั้งสองข้างลงกับขอบหน้าต่างก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนที่ยืนล้วงกระเป๋าพิงรถอยู่
“เป้ แล้วกลับมาก่อนอย่างนี้พ่อกับแม่ไม่สงสัยเหรอว่ารีบกลับมาทำไม”
คนถูกถามดูดบุหรี่อึกสุดท้ายก่อนจะทิ้งลงบนพื้นแล้วขยี้ด้วยส้นรองเท้าผ้าใบ “ก็ไม่มีอะไร บอกเค้าไปตามตรงว่าเป็นห่วงแฟนเลยต้องรีบกลับ”
ผมทำตาโต แต่พอเตรียมอ้าปากจะว่าเจ้าตัวก็หันกลับมาแล้วก็หัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าผม
“ล้อเล่นน่า เป้บอกเค้าว่าอยากมีเวลาเตรียมตัวก่อนเปิดเรียนหลายวันหน่อยเลยขอกลับมาก่อน เค้าก็ไม่ได้ถามซอกแซกอะไร ไม่ต้องห่วงหรอก”
พอได้ฟังแบบนั้นผมจึงค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก ไม่ใช่ว่าผมชอบใจนักกับการต้องคบกันแบบไม่ให้ครอบครัวรู้ และไม่ใช่เพราะผมไม่มั่นใจในตัวเราสองคนด้วย แต่เพราะผมกับเป้เพิ่งคบกันได้ปีเดียว ถ้าเกิดต้องมีปัญหาระหว่างเรียนเพราะเรื่องนี้คงทำให้เรามองหน้ากันไม่ติดหรือเผลอๆอาจถึงขั้นต้องเลิกกันไปเลยก็ได้ ผมเลยอยากประวิงเวลาไว้ก่อนจนถึงตอนที่เราต่างมีงานทำและดูแลตัวเองกันได้แล้วค่อยคิดถึงเรื่องนี้อีกที
“อากาศชักเย็นขึ้นแล้วนะ กลับกันดีกว่าวิวจะได้ไปนอนพัก หรืออยากให้ช่วยเรียกเหงื่อให้แบบเมื่อคืนอีก?”
พ่อตัวดีค้อมตัวลงแซวผมแล้วก็ยิ้มกวน ผมเลยค้อนกลับเข้าให้ก่อนจะเอนหลังพิงพนักแล้วยกผ้าห่มขึ้นคลุมตัว
“คืนนี้ไม่ได้ เอาไว้วิวหายดีเมื่อไหร่แล้วค่อยว่ากัน”
ผมเอ่ยตอบเสียงเฉียบขาด เป้เลยหัวเราะแล้วเดินอ้อมกลับมานั่งประจำที่ตัวเอง แต่ก่อนเจ้าตัวจะสตาร์ทรถผมก็หันไปสะกิดไหล่หนาเสียก่อน
“ครับผม?”
ผมยิ้มให้กับน้ำเสียงตอบรับอย่างขี้เล่นแล้วก็โน้มใบหน้าคมลงจูบ เป้ดูจะแปลกใจนิดหน่อยแต่ก็จูบตอบผมแทบจะทันที ผมไล้ปลายลิ้นดุนลิ้นอุ่นไปมาแล้วเม้มริมฝีปากล่างของคนตัวโตเบาๆก่อนจะผละออกยิ้มให้ทั้งที่ยังไม่ปล่อยมือ
“ขอบคุณที่บินกลับมาหานะ แค่นี้วิวก็ไม่อยากได้ของขวัญปีใหม่อย่างอื่นจากเป้แล้ว”
ผมเอ่ยขอบคุณด้วยความรู้สึกที่อยู่ในใจจริงๆ เป้เลยยิ้มจนตาเป็นประกายก่อนจะรั้งผมเข้าไปจูบคืนอีกที
“วิวก็เป็นของขวัญปีใหม่ที่ดีที่สุดสำหรับเป้เหมือนกัน”
“เรากลับห้องกันเถอะ”
ผมเอ่ยขึ้นเมื่อรู้สึกว่ามือไม้ของอีกฝ่ายชักทำท่าจะรุ่มร่ามขึ้นทุกที เป้เลยหัวเราะในคอก่อนจะยอมปล่อยแล้วเข้าเกียร์ออกรถ ผมดึงผ้าห่มบนตักขึ้นคลุมจนถึงคอก่อนจะหันออกไปมองแสงไฟหลากสีที่ประดับอยู่ตามข้างถนนเพื่อต้อนรับเทศกาล แล้วก็ให้นึกขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆก็ตามที่บันดาลให้ปีใหม่นี้เป็นปีที่ดีที่สุดในชีวิตที่ผมเคยได้รับ
และที่เทศกาลนี้มีความหมายที่สุดสำหรับผมในปีนี้ ก็เพราะการที่ผมมีผู้ชายตัวโตชื่อเป้คอยอยู่ข้างๆนั่นเอง...
+--- End ของขวัญที่เฝ้ารอ ---+ได้อ่านเกี่ยวกับบรรยากาศช่วงหนาวๆคงทำให้คนอ่านเย็นขึ้นบ้างเนอะ (หรืออ่านแล้วร้อนกว่าเดิม คงไม่ม้าง
) หลังจากนี้จะไปปั่นเรื่องแรกที่ร้างไว้นานมั่งแล้วนะคับ (แฟนเรื่องนั้นคงอยากตีหัวป้าแล้ว บอกจะมาๆไม่มาซักที) ยังไงก็ขอให้อ่านตอนนี้กันอย่างมีความสุขนะจ๊ะ 