ตอนที่ 18: จุดเริ่มต้นของเซอร์ไพรส์
ที่มาที่ไปมันเริ่มมาจากช่วงเวลาบ่ายๆของวันเสาร์ที่ผ่านมา... ตอนนั้นผมกับนะกลับมาจากไปเยี่ยมบ้านได้เกือบเดือนแล้ว และอากาศที่เคยอวลด้วยไอเย็นของฤดูหนาวก็เริ่มถูกลมร้อนเข้ามาแทนที่จนต้องเปิดแอร์ในห้องตั้งแต่บ่าย ด้วยความที่ภาคอินเตอร์ของนะเปิดเทอมช้ากว่าผมแถมเป็นการเปิดเทอมสองซึ่งต้องเริ่มเรียนวิชาใหม่หมดทำให้เจ้าตัวต้องทำความเข้าใจกับเนื้อหามากเป็นพิเศษ ต่างกับผมที่แค่เปิดเทอมมาก็เจอวิชาเดียวกับเมื่อตอนก่อนสอบมิดเทอมเลยคุ้นกับวิชาที่เรียนอยู่แล้ว ถึงจะไม่ได้รู้สึกว่ายิ่งเรียนก็ยิ่งจำเนื้อหาได้มากขึ้นเลยก็ตาม
วันนั้นผมนอนอ่านหนังสือเล่นอยู่บนเตียงขณะที่คนตัวเล็กนั่งพิมพ์อะไรสักอย่างในโน้ตบุ๊คอยู่ที่โต๊ะ ระหว่างที่สายตาผมเริ่มเห็นตัวหนังสือซ้อนกันและเคลิ้มๆจะหลับเพราะอากาศเย็นได้ที่ก็ได้ยินเสียงเรียกตัวเองดังมาจากหน้าประตูห้อง
“พี่อ๊อฟ นะจะเอาการ์ตูนไปคืนที่ร้านหน้าปากซอยนะ จะฝากซื้ออะไรรึเปล่า?”
ไม่รู้ว่าคนพูดปิดโน้ตบุ๊คแล้วเปลี่ยนกางเกงตั้งแต่ตอนไหน แต่พอผมหยิบหนังสือที่ปิดหน้าอยู่ออกแล้วหันไปตามเสียงก็เห็นว่าเจ้าตัวใส่รองเท้าแตะเตรียมจะออกจากห้องแล้ว ผมเลยกลั้นหาวแล้วส่ายหน้าตอบเพราะตอนนั้นเริ่มอยู่ในอาการอยากนอนกลางวันมากกว่า
“นึกไม่ออกแฮะ นะอยากซื้ออะไรก็ซื้อมาแล้วกัน”
คนตัวเล็กพยักหน้ารับแล้วก็เปิดประตูออกไป ผมเลยวางหนังสือที่อ่านค้างไว้บนหัวเตียงแล้วพลิกตัวเพื่อจะนอนต่อ แต่ทั้งๆที่ตอนอ่านหนังสือเมื่อกี้หนังตาจะปิดมิปิดแหล่อยู่แล้ว พอตั้งใจจะนอนจริงๆกลับนอนไม่หลับซะอย่างนั้น
ผมนอนพลิกไปพลิกมา พยายามแล้วพยายามอีกที่จะข่มตาให้หลับแต่ก็ไม่หลับ ด้วยความเซ็งเพราะไม่รู้ว่าร่างกายจะเอายังไงแน่ผมเลยตัดสินใจลุกไปล้างหน้าให้รู้แล้วรู้รอดก่อนจะออกมานั่งรื้อชั้นหนังสือตรงมุมห้องเพื่อหาการ์ตูนอ่าน ระหว่างที่หยิบแสลมดั๊งค์ซึ่งเคยเป็นการ์ตูนโปรดสมัยมัธยมออกมา สายตาก็สะดุดเข้ากับอัลบัมรูปคุ้นตาที่วางแทรกอยู่กับหนังสือเล่มอื่นบนชั้น แล้วก็ให้นึกขึ้นได้ว่านั่นคืออัลบัมสุดหวงที่นะเคยเอาออกมาให้ดูเมื่อนานมาแล้ว
สันอัลบัมที่ทำจากกระดาษอาร์ตอาบมันสีสดแบบที่ร้านล้างรูปชอบใช้เริ่มแตกลายเป็นริ้วตามรอยพับ แสดงให้เห็นว่าอัลบัมนี้คงผ่านการเปิดดูจากเจ้าของมานับครั้งไม่ถ้วนเพราะผมไม่คิดว่านะจะเอาไปอวดให้ใครดู แล้วอะไรบางอย่างก็ดลใจผมให้วางหนังสือการ์ตูนที่เพิ่งเลือกมากลับเข้าที่เดิมก่อนจะหยิบอัลบัมรูปนั้นออกมาพลิกดูแทน
อัลบัมที่นะเก็บไว้อัดแน่นไปด้วยรูปไซส์จัมโบ้ประมาณสี่สิบรูป แต่ละรูปมีแต่ผมตอนที่ยังไว้ผมทรงทุยๆเกรียนๆที่พอได้เห็นแล้วก็ต้องขำตัวเอง ขณะที่เพื่อนคนอื่นในระดับม.ปลายด้วยกันมีแต่จะอยากไว้ผมยาวเพื่อแต่งหล่อหลังจากได้รับอนุญาตให้ไว้รองทรงสูงได้ ผมกลับผ่าเหล่าด้วยการไถทั้งหัวให้ยาวเท่ากันจนโดนแซวบ่อยๆว่าเหมือนเณรเพิ่งสึกถ้าไม่ติดว่าคิ้วค่อนข้างจะดกอยู่ แต่สงสัยจะเพราะติดใจความสบายหัวในตอนนั้น แถมไม่ต้องห่วงว่าจะโดนอาจารย์ฝ่ายปกครองเพ่งเล็งทำให้ผมติดใจไว้ผมสั้นมาตลอดจนถึงตอนนี้ (ถึงจะไม่เกรียนจ๋าอย่างตอนนั้นแล้วก็เถอะ)
ผมยิ่งพลิกเปิดรูปดูไปก็ยิ่งประหลาดใจที่เห็นว่าตัวเองโดนถ่ายรูปไว้เยอะขนาดนี้ เพราะแต่ไหนแต่ไรผมไม่ใช่คนชอบตามเก็บรูปตัวเองนักทั้งที่โดนถ่ายขึ้นบอร์ดโรงเรียนอยู่บ่อยๆโดยเฉพาะเวลามีแข่งกีฬาจนแม่ต้องขอให้มุ้ยช่วยเก็บให้
ขณะที่พลิกเปิดดูรูปไปเรื่อยๆจนเกือบหมดเล่มสายตาผมก็สะดุดเข้ากับรูปหมู่รูปหนึ่งที่มีใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่ในรูปด้วย และรูปนั้นก็ดึงความสนใจจนผมเผลอจ้องอยู่นาน
ผมจำได้ว่ารูปนั้นเป็นรูปหมู่ที่ถ่ายหลังจากทีมบาสของสีผมแข่งชนะได้ถ้วยประจำปีของโรงเรียน อาจารย์ที่ดูแลสีก็เลยให้กองเชียร์กับนักกีฬามาถ่ายรูปด้วยกันเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก ในรูปหมู่ที่อัดแน่นไปด้วยสมาชิกร่วมสีนั้นมีเด็กผู้ชายตัวเล็กหน้าหวานที่ตอนนี้กลายเป็นคนร่วมห้องผมติดอยู่ด้วย แต่ตอนนั้นผมยืนถือถ้วยอยู่กลางรูปกับเพื่อนร่วมทีม ขณะที่พ่อหนูคนนั้นยืนติดไปทางริมๆจนเกือบจะตกขอบรูปอยู่แล้วด้วยซ้ำ
หากใครได้มาเห็นรูปนี้เทียบกับนะตัวจริงก็ต้องคิดเหมือนผมว่าคนในรูปเปลี่ยนไปจากตอนนั้นค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเรื่องทรงผมหรือรูปร่างที่ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นเค้าหน้าที่มีนัยน์ตากลมโต จมูกโด่งเล็กและริมฝีปากอิ่มก็ไม่ได้เปลี่ยนไปสักเท่าไหร่ ใบหน้ายิ้มแย้มในชุดเสื้อสีกับกางเกงวอร์มของคนในรูปที่ทำท่าชูสองนิ้วให้กล้องทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้
ตั้งแต่เริ่มคบกันและย้ายมาอยู่ห้องเดียวกันเป็นต้นมา หลายครั้งที่ผมมองหน้าคนที่นอนกอดทุกวันแล้วก็ให้นึกสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงไม่ได้ใส่ใจจดจำนะตอนสมัยม.ปลายนัก ทั้งที่ตอนเจอกันอีกครั้งผมกลับสะดุดตาเจ้าตัวตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ข้างห้องวันแรก และถึงแม้ตอนนี้เราจะเป็นแฟนกันแล้ว แต่ถ้าหากเทียบช่วงเวลาที่ผมเริ่มรู้สึกว่าพ่อหนูน้อยเป็นคนพิเศษกับช่วงเวลาที่นะมองผมข้างเดียวมาตลอดแล้ว ช่วงเวลาที่ผมไม่ได้รับรู้ความรู้สึกที่นะมีให้คงช่างยาวนานในความรู้สึกของอีกฝ่ายอย่างเทียบไม่ติดเลยทีเดียว
จริงอยู่ว่าบางครั้งเราคุยกันถึงเรื่องสมัยที่ยังเรียนม.ปลายบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นพ่อหนูน้อยก็ไม่เคยท้วงติงเรื่องที่ผมจำเจ้าตัวไม่ได้ตอนที่ได้กลับมาเจอกันใหม่ แถมพอนะเล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อนผมเคยทำอะไรให้บ้างก็ต้องตกใจที่เจ้าตัวจำเรื่องต่างๆได้มากขนาดนี้ ทั้งที่สำหรับผมแล้วถ้าไม่ได้ยินจากที่นะเล่าให้ฟังก็แทบจะจำเรื่องพวกนั้นไม่ได้เลยเพราะไม่เคยเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญอะไร และนั่นก็ทำให้ผมสำนึกขึ้นได้ว่าตัวตนของตัวเองในตอนนั้นฝังแน่นในความทรงจำของนะแค่ไหน
“...อย่างนี้พี่ก็ทำนะผิดหวังแย่เลยสิ พอมาเจอกันอีกทีรุ่นพี่แสนดีคนนั้นดันจำนะไม่ได้เลยแบบนี้”ผมเคยเอ่ยทักหลังจากคนตัวเล็กเล่าเรื่องตอนที่ตัวเองปีนขึ้นต้นไม้ไปเก็บรองเท้าที่ถูกเพื่อนแกล้งโยนขึ้นไปแล้วผมเข้าไปช่วยตอนเจ้าตัวปีนลงมา แต่พอผมพูดจบนะเพียงแค่เอียงคอทำท่าคิดก่อนจะเอ่ยตอบด้วยประโยคที่ทำให้ผมแย้งไม่ออก
“ก็...นะก็เคยคิดเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ถ้าเกิดว่าพี่อ๊อฟเห็นแล้วจำได้เลยตั้งแต่ต้น พี่อ๊อฟก็คงมองว่านะเป็นแค่รุ่นน้องสมัยม.ปลายธรรมดาๆคนนึงแล้วก็คงไม่สนใจกันอีกเลยใช่มั้ยล่ะ?”หลายครั้งที่ผมโดนพ่อหนูน้อยทำให้อึ้ง เพราะถึงแม้เจ้าตัวจะขี้งอนและขี้อ้อนแบบเด็กๆ แต่ในบางเรื่องนะก็มีมุมมองที่เป็นผู้ใหญ่ชนิดที่น่าจะทำให้คนอายุมากกว่าหลายคนโต้ตอบไม่ถูกได้เหมือนกัน
การที่อีกฝ่ายมองการเจอกันอีกครั้งของเราในแง่บวกแถมไม่ติดใจถือโทษทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองควรจะรับผิดชอบความรู้สึกของนะตอนที่ผมยังจำเจ้าตัวไม่ได้บ้าง ขณะเดียวกันก็เกิดแรงกระตุ้นที่อยากจะสร้างความทรงจำใหม่ๆให้คนตัวเล็กเกี่ยวกับผมในตอนนี้เพื่อลบล้างภาพของตัวเองในสมัยนั้นไปด้วย ใครจะว่าการที่ผมหึงตัวเองในอดีตมันพิลึกหรือคิดมากเกินเหตุก็ตามทีเถอะ แต่ผมรู้สึกว่าผมตอนที่ยังไม่ได้ชอบนะกับผมในตอนนี้มันไม่เหมือนกันนี่นา
พอคิดได้แบบนั้นผมก็รู้สึกว่าอยากทำอะไรสักอย่างให้กับนะขึ้นมา แต่ในเมื่อจะทำอะไรให้ทั้งทีมันก็ควรมีโอกาสที่เหมาะสมมารองรับหน่อยไม่งั้นมันคงดูเลื่อนๆลอยๆพิกล และถึงแม้จะยังไม่ถึงวาเลนไทน์ก็จริง แต่ในความคิดผมที่ไม่ค่อยชอบตามกระแสกลับมองว่าวันวาเลนไทน์เป็นเทศกาลที่ออกจะเกร่อๆไป ถึงแม้จะเป็นวันที่ถูกกำหนดให้เป็นวันพิเศษสำหรับคู่รักก็ตาม แต่มันก็ไม่ใช่วันที่เป็นวันพิเศษสำหรับพวกผมแค่สองคนจริงๆอยู่ดี
ผมปิดอัลบัมแล้วเก็บเข้าที่เดิมก่อนจะพยายามคิดว่าพอจะมีวิธีไหนที่จะทำอะไรพิเศษให้กับนะได้โดยไม่ต้องอิงเทศกาลเหมือนคนอื่น คิดไปคิดมาเลยหยิบปฏิทินที่ตั้งอยู่บนโต๊ะมาพลิกดู แล้วผมก็ต้องยิ้มออกเมื่อเห็นว่ายังพอมีวันที่ผมสามารถทำให้เป็นวันสำคัญสำหรับแค่ผมกับนะเท่านั้นได้อยู่เหมือนกัน
ไอเดียต่างๆที่แล่นเข้ามาในหัวหลังจากปิ๊งความคิดนี้ได้ทำให้ผมเริ่มอยากทำโน่นทำนี่เต็มไปหมด ยิ่งพอนึกว่าถ้าทำให้เป็นเซอร์ไพรส์กับนะได้เจ้าตัวจะทำหน้ายังไงก็ยิ่งยิ้มอย่างหยุดไม่อยู่ บ่ายคล้อยของวันนั้นผมเลยได้เห็นสีหน้างงๆของคนตัวเล็กประเดิมไปก่อนเพราะพอเจ้าตัวเข้าห้องมาปุ๊บก็โดนผมดึงตัวมากอดแล้วหอมแก้มอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทั้งที่ยังถือถุงขนมเต็มมือ
++------++
“...ก็ประมาณนี้แหละ ทีนี้เรื่องว่าจะปรับแผนให้เข้ากับทริปนี้ยังไงขอไปคิดก่อน แต่เรื่องของขวัญนี่ยังไงก็คงต้องให้มึงช่วยว่ะ พอดีกูไม่เคยใช้ของแบบนี้ จะให้ไปซื้อเองคนเดียวก็กลัวเดี๋ยวเลือกไม่ถูก”
ผมยกขวดน้ำขึ้นดื่มหลังจากอธิบายเสียยืดยาว พอดีตอนเข้าเรียนช่วงบ่ายผมยังไม่ทันได้ขยายความเรื่องเซอร์ไพรส์ที่อยากจะทำให้นะอาจารย์ก็เข้าห้องมาซะก่อน เลยต้องรอจนหมดคาบแล้วถึงค่อยออกมาเล่าให้เป้กับวิวฟังที่โต๊ะม้าหินข้างสนามบอลที่นั่งกันประจำว่าอยากได้คำแนะนำในเรื่องอะไรและเพราะอะไร
เป้นั่งกอดอกพิงพนักแล้วก็พยักหน้ารับรู้เรื่องที่ผมขอให้ช่วย ส่วนวิวเอาแต่ยิ้มหลังฟังเรื่องที่ผมเพิ่งเล่าจบไปจนผมชักจะเริ่มเขินๆขึ้นมาเหมือนกัน
“อืม เข้าใจล่ะ...มึงก็เลยอยากให้กูกับวิวโดดเรียนไปช่วยเลือกเป็นเพื่อน?”
“กูไม่ได้ขอให้โดดเรียนโว้ย! พักตั้งสองคาบนี่มันนานพอจะดูหนังได้เรื่องนึงเลยนะเว่ย ก็แค่ไปช่วยกันเลือกไอ้นี่ เสร็จแล้วก็กลับมาเรียน สามชั่วโมงนี่เวลาออกจะถมถืดไป”
เป้ขมวดคิ้วหลังโดนผมเถียง “กูพูดถึงเวลาไปกลับด้วยต่างหาก ของแบบนี้จะมารีบๆเลือกส่งๆได้ไงวะ อีกอย่างทำไมไม่นัดกันตอนเย็นจะได้มีเวลาไปเลือกนานๆหน่อย ไประหว่างวันแบบนี้มันก็ต้องรีบน่ะสิ”
“ก็ตอนเย็นมันหาข้ออ้างปลีกตัวลำบากนี่หว่า แล้วขืนพานะไปด้วยก็ไม่ใช่เซอร์ไพรส์กันพอดี”
ผมโต้กลับ เพราะการเบี้ยวมื้อกลางวันกับนะโดยอ้างเหตุผลว่าต้องคุยรายงานกับเพื่อนยังพอฟังขึ้น แต่ถ้าเบี้ยวมื้อเย็นนี่พ่อหนูน้อยของผมได้สงสัยแน่ๆว่าผมจะแอบไปไหนแล้วทำไมถึงให้รู้ไม่ได้ สุดท้ายคนตรงข้ามผมเลยต้องถอนหายใจก่อนจะยกมือเหมือนยอมแพ้
“โอเคๆ ตกลงกลางวันพรุ่งนี้ก็พรุ่งนี้ ว่าแต่ของแบบนี้ถ้าเกิดซื้อให้โดยไม่พาเจ้าตัวไปเลือกเองก็เสี่ยงเหมือนกันนะ เกิดซื้อมาแล้วไม่ชอบเดี๋ยวจะกลายเป็นของตั้งโชว์ซะเปล่าๆ หรือวิวว่าไง?”
“หือ...แต่ปกติน้องนะก็ใช้ของพวกนี้อยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ งั้นเราว่าถ้าเป็นของที่อ๊อฟตั้งใจเลือกให้คงไม่เป็นไรหรอก”
วิวที่นั่งเงียบมานานหันมาคุยกับผมแล้วทำท่าเหมือนไม่รู้ว่าเป้กำลังพูดเรื่องอะไร ไอ้หน้าหล่อเลยขมวดคิ้วเหมือนเด็กเวลาโดนพี่เลี้ยงแกล้งทำเป็นไม่สนใจ ไม่บ่อยหรอกที่ผมจะเห็นเพื่อนตัวเองทำหน้าตาแบบนี้ สงสัยจะมีวิวคนเดียวล่ะมั้งที่แกล้งเป้แบบนี้ได้
“วิวครับ นั่นเป้ลงทุนขอร้องปูมให้ไปจองให้ตั้งแต่วันที่มันยังไม่ออกวางขายที่อังกฤษเลยนะ”
“รู้แล้วน่า แต่ว่าคนเค้าไม่ชอบใช้จะมาบังคับกันได้ไงเล่า”
ผมมองหน้าเพื่อนทั้งสองคนที่กำลังเถียงกันอยู่สลับกันไปมา ดูท่าไอ้ของที่ผมตั้งใจจะซื้อให้นะนี่คงไม่ใช่ออริจินอลไอเดียเท่าไหร่ แต่ก็อดขำไม่ได้ที่ได้รู้ว่าของนั้นเป็นหนึ่งในของขวัญที่เป้ให้แล้วดันไม่ถูกใจวิว แต่สีหน้าผมคงแสดงออกมากไปเลยโดนไอ้เพื่อนบังเกิดเกล้าเตะขาเข้าให้ แต่เรื่องอะไรผมจะยอมโดนเตะอยู่ฝ่ายเดียวล่ะ เพื่อนกันก็ต้องเท่าเทียมกันสิ
เสียงสัญญาณโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นสั้นๆจากในกระเป๋าเสื้อก่อนจะเงียบไปทำให้ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู แล้วก็เห็นว่าได้เวลาที่นัดไว้กับพ่อหนูน้อยแล้วเลยหยิบกระเป๋าขึ้นมาพาดไหล่ก่อนจะลุกจากที่นั่ง
“นะยิงมาเรียกแล้วล่ะ งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยคุยกันต่อแล้วกัน ไปก่อนนะ”
ผมบอกลาเพื่อนทั้งสองคนก่อนจะเดินไปที่จุดนัดพบประจำของผมกับนะ ปกติตอนเลิกเรียนเราใช้วิธีให้สัญญาณกันโดยการยิงหากันหนึ่งครั้ง เป็นการบอกว่าให้เจอกันที่หน้าศูนย์หนังสือซึ่งอยู่ติดกับประตูทางออกฝั่งที่ไปขึ้นเรือข้ามฟากได้ แต่ถ้าเกิดวันไหนจะนัดเจอกันที่อื่นถึงค่อยใช้วิธีโทรบอกหรือเมสเสจหากันแทนเป็นครั้งๆไป
พอผมเลี้ยวผ่านทางเดินใต้ตึกเอนกฯเพื่อเดินต่อไปที่ศูนย์หนังสือก็เห็นว่านะกำลังยืนคุยโทรศัพท์กับใครไม่รู้อยู่แถวใกล้ประตูทางออก ซึ่งก็ไม่แปลกอยู่แล้วเพราะว่าตึกคณะที่พ่อหนูน้อยเรียนอยู่มันอยู่ตรงข้ามกับศูนย์หนังสือพอดี ท่าทางปลายสายจะเป็นเพื่อนสนิทนะเลยคุยไปหัวเราะไปและไม่ทันได้สังเกตเห็นผม แต่พอเดินเข้าไปใกล้เข้าผมก็ต้องขมวดคิ้วเพราะดันเห็นมลพิษทางสายตาและเป็นคนที่ผมไม่ชอบขี้หน้าอย่างที่สุดยืนอยู่ข้างๆคนตัวเล็กด้วย
จังหวะเดียวกับที่ผมสังเกตเห็นเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะเป็นจังหวะเดียวกับที่มันเงยหน้าขึ้นมาเห็นผมเหมือนกัน แล้วคิ้วเหนือตาตี่ๆนั่นก็ขมวดเข้าหากันพร้อมกับการชักสีหน้าแบบไม่เป็นมิตรทันที แต่สีหน้าผมตอนนี้ก็คงดูแล้วไม่ต่างจากมันเท่าไหร่หรอก
ปกติผมไม่ใช่คนเข้ากับคนยากหรือชอบตั้งแง่อคติกับใคร แต่ทุกกรณีย่อมมีข้อยกเว้น และไอ้เชนนี่ก็ดูจะเป็นข้อยกเว้นขั้นถาวรเสียด้วยสิ
"ว่าไง..."++------++
ขออภัยที่อาจจะแอบสั้นไปนิด (เอ...หรือไม่แอบ) แว้บมาลงตอนดึกๆเพราะเพิ่งพิมพ์เสร็จ ยังไงขอไปนอนก่อนละจ้า 