หลังจากทานข้าวด้วยกันวันนั้นความสัมพันธ์ของผมกับทรายก็เริ่มก้าวหน้าทำให้ผมกับเป้เริ่มห่างกันไป ด้วยความที่ทรายมีความเป็นผู้หญิงในตัวสูง ชอบอะไรน่ารักๆแล้วก็ช่างเอาใจ ผมที่ไม่เคยคบใครเป็นแฟนจริงจังมาก่อนจึงหลงเจ้าหล่อนจนบางครั้งยอมโดดเรียนไปเป็นเพื่อนเดินช้อปปิ้งดูหนังหรือทำเรื่องอื่นที่เจ้าตัวอยากทำอยู่บ่อยๆ
ทว่าอาจเพราะเราต่างคนต่างยังใหม่ต่อกัน ช่วงแรกที่คบกันไม่ว่าทรายจะเอาแต่ใจหรือเรียกร้องในเรื่องที่ฝืนใจยังไงผมจึงไม่เคยขัด แต่เมื่อต้องฝืนใจบ่อยๆเข้าผมก็เริ่มจะตระหนักว่าอะไรบางอย่างที่ทรายเป็นและต้องการไม่สอดคล้องกับตัวตนของผม และผมเองก็ไม่ได้รักเธอถึงขนาดจะยอมเปลี่ยนตัวเอง จากท่าทีที่เริ่มเปลี่ยนไปของผมคงทำให้ทรายรู้ตัวบ้างเหมือนกัน หลังจากเข้าเทอมสองพวกเราจึงยิ่งคุยกันน้อยลงและไม่ค่อยไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยเหมือนแต่ก่อนจนคนรอบข้างรู้สึก
เมื่อผมกับทรายเริ่มห่างเหินกันมากขึ้นผมก็เริ่มแวะเวียนกลับไปเล่นบาสกับเพื่อนๆที่หอเหมือนเดิม แต่พอเข้าฤดูสอบปลายภาคซึ่งเป็นฤดูรายงานด้วยผมก็วุ่นจนหัวปั่น ไหนจะยังมีเรื่องต้องหาหอใหม่หลังจากที่ย้ายวิทยาเขตเข้าไปในเมืองตอนปีสองอีก ช่วงนี้ผมจึงเริ่มกลับมาสนิทกับเป้อีกครั้งเพราะเราต้องทำงานกลุ่มด้วยกัน บางทีเป้ก็แวะมาอ่านหนังสือที่ห้องผมจนเกือบถึงเวลาปิดหอด้วยเหตุผลว่าบรรยากาศเงียบสงบกว่าที่บ้านซึ่งมีคนในครอบครัวอยู่กันเต็มไปหมด
วันหนึ่งหลังจากที่พวกเราเอารายงานไปส่งอาจารย์เสร็จเป้ก็ชวนผมไปกินข้าวที่ร้านดังแห่งหนึ่งนอกมหาวิทยาลัย แต่ขณะที่พวกเรากำลังจะเดินเลี้ยวมุมตึกก็สวนกับเด็กหนุ่มซึ่งวิ่งมาชนเป้เข้าเต็มแรงแต่ดีว่าเพื่อนผมคว้าแขนอีกฝ่ายไว้ได้ทันก่อนจะล้ม
“ขอโทษ เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“อ๊ะ! ไม่ ไม่เป็นไร”
คนถูกชนเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนผมแล้วก็หน้าแดงเรื่อพลางเอ่ยตะกุกตะกัก ดูแล้วท่าทางน่าจะเป็นเด็กปีหนึ่งเหมือนกัน รูปร่างผอมบางกับผมสีน้ำตาลอ่อนดูคุ้นตาจนสะกิดใจผมอย่างบอกไม่ถูก
“โอ๊ค! บอกแล้วไงว่าไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ ไม่เป็นอะไรนะ?”
“ไม่เป็นไรหรอกวิว พอดีเป้ช่วยจับไว้ก่อน”
ผมขมวดคิ้วแล้วก็หันไปมองคนข้างตัว เพราะเด็กคนนี้พูดเหมือนรู้จักเพื่อนผม ซึ่งความจริงก็อาจไม่แปลกอะไรถ้าเป็นเด็กคณะเดียวกันเพราะเป้เป็นที่สนใจของใครๆอยู่แล้ว แต่สายตาของคนข้างตัวผมกลับมองผ่านคนที่ตัวเองจับแขนไว้ไปยังเด็กหนุ่มอีกคนที่เพิ่งเดินตามเข้ามาพร้อมกับทำสีหน้ายุ่งๆ
“ดีนะที่ไม่ล้มก้นจ้ำเบ้าไป ยังไงขอโทษด้วย แต่ปล่อยแขนเพื่อนผมได้แล้ว”
“อ้อ โทษที คราวหน้าเดินระวังหน่อยแล้วกัน”
ผมเห็นเด็กคนที่วิ่งมาชนเป้ทำตาละห้อยนิดหน่อยเมื่อแขนตัวเองเป็นอิสระ แถมพอทั้งสองคนเดินห่างไปแล้วเด็กคนนั้นก็ยังหันกลับมามองเพื่อนผมเป็นระยะ แต่ผมค่อนข้างจะมั่นใจว่าคนที่สายตาของเป้จับจ้องอยู่คือเพื่อนของเจ้าตัวที่ไม่ได้หันกลับมา พอได้เห็นแผ่นหลังของทั้งสองจากระยะไกลผมเลยนึกขึ้นได้ว่าสองคนนั้นคือคู่ที่มักนั่งอยู่แถวหน้าสุดในห้องบรรยายที่เป้ชอบมองบ่อยๆ
“มึงสนใจเด็กนั่นเหรอวะ?”
เป้ชำเลืองมองผมแวบหนึ่งแล้วก็ยิ้ม
“มึงพูดถึงเด็กที่ไหนล่ะ เพ้อเจ้อใหญ่แล้วนะมึง”
“ก็กูเห็นมึงมองเค้าอยู่เต็มสองลูกกะตาเนี่ย ทำไมไม่เข้าไปคุยด้วยซะเลยล่ะ ใช่คนเดียวกับที่มึงชอบมองในห้องบรรยายไม่ใช่รึไง?”
สายตาคมใต้คิ้วเข้มมองกลับไปยังทางที่สองคนนั้นเดินจากไปอีกครั้ง แต่แล้วเป้ก็ส่ายหน้าก่อนจะหมุนตัวเดินนำผมไปทางลานจอดรถ
“ไม่ล่ะ กูยังไม่พร้อมจะเริ่มต้นใหม่กับใครตอนนี้”
……………!!??
เหมือนเป้จะเพิ่งรู้สึกว่าผมยังยืนอยู่ที่เดิมหลังเดินไปได้สักระยะเลยหันกลับมา พอเห็นสีหน้าผมพ่อคุณชายก็ยิ้มขำ
“มึงนี่ชอบทำหน้าเหมือนคนคันปากแต่ไม่อยากพูดอยู่เรื่อยเลยนะ ถ้ามีอะไรจะถามก็ว่ามา”
“เดี๋ยวนะ ที่มึงพูดเมื่อกี้หมายความว่าไง?”
พอโดนทักผมเลยสาวเท้าเข้าไปหาคนที่ยืนรออยู่ เป้กอดอกแล้วก็หันมองไปอีกทาง
“ไม่มีอะไร กูแค่เพิ่งเลิกกับแฟนที่คบกันมาตั้งแต่ม.4 ตอนนี้เลยยังไม่พร้อมจะมีคนใหม่ เคลียร์รึยัง?”
ท้ายประโยคเป้หันมาถามผม แต่มันช่างดูเป็นคำตอบที่รวบรัดตัดตอนได้สมกับความเป็นคนไม่ช่างพูดจนผมเผลอยกมือขึ้นเกาต้นคอ เพราะการมาเค้นถามอะไรเอาหลังจากเรื่องจบไปแล้วแบบนี้มันเหมือนที่ผ่านมาผมไม่สนใจความเป็นไปของเพื่อนเลยนี่นา
“เอ่อ แล้วทำไมก่อนหน้านี้ไม่เห็นมึงพามาโชว์ตัวมั่งเลยวะ กูนึกว่าที่มึงไม่ควงใครซักทีนี่เพราะยังไม่เจอคนถูกใจซะอีก”
เป้ขมวดคิ้ว แต่แล้วก็เดินนำไปที่ลานจอดรถเหมือนเดิมผมเลยรีบเดินตาม
“พอดีเค้าทำงานแล้วเลยไม่ค่อยว่าง อีกอย่างก็คงไม่ค่อยอยากให้ใครรู้จักมากนักเพราะตั้งใจจะเลิกกับกูอยู่แล้ว กูเลยคิดว่าไม่จำเป็นต้องเล่าให้ใครฟัง”
ผมชำเลืองมองเพื่อนที่หยิบพวงกุญแจออกมากดรีโมทเปิดล็อกประตูด้วยท่าทางราวกับกำลังเล่าว่าวันหยุดที่แล้วไปเที่ยวไหนมา แล้วก็ให้รู้สึกแปลกใจว่าทำไมเจ้าตัวถึงพูดเรื่องนี้ได้ราวกับว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง เพราะถ้าคำนวณตามเวลาที่บอกก็เท่ากับว่าเป้คบแฟนคนนี้มาเกือบจะสี่ปีซึ่งไม่ใช่เวลาสั้นๆเลย
“ที่ว่าทำงานแล้ว งั้นเค้าก็อายุมากกว่าน่ะสิ”
ผมก้าวเข้าไปนั่งตรงที่ข้างคนขับแล้วก็คว้าเข็มขัดนิรภัยมาคาด เป้สตาร์ทรถก่อนจะไขกระจกหน้าต่างลงแล้วควักบุหรี่ออกมาจุดสูบ
“ก็เจ็ดปี พอดีเค้าเป็นเพื่อนพี่สาวตั้งแต่สมัยเรียนคอนแวนต์ จะว่าไปเราก็เริ่มห่างกันมาก่อนหน้านี้นานแล้วล่ะ นี่ก็เพิ่งได้ยินมาว่าเค้ากำลังวางแผนแต่งงานกับผู้ชายที่พ่อแม่ดูไว้ให้อยู่”
“นี่มันศตวรรษไหนกันแล้ววะ ยังมีจับคลุมถุงชนอยู่อีกเหรอมึง อีกอย่างถ้าเค้าอายุแค่ 26-27 ก็ยังไม่เห็นต้องรีบแต่งงานเลยนี่”
ผมฟังเป้เล่าแล้วก็ให้นึกฉุนขึ้นมา เพราะอย่างนี้มันก็ไม่ต่างกับว่าเพื่อนผมเป็นฝ่ายถูกทิ้งเลยน่ะสิ
“เค้าก็คงมีเหตุผลของเค้าที่จะทำตามที่ทางบ้านขอนั่นล่ะ กูก็ไม่ได้โกรธแค้นอะไรหรอก ออกจะโล่งด้วยซ้ำที่ได้คุยกันให้รู้เรื่องก่อนจะจบกันไป แต่เพราะอย่างนี้กูเลยอยากอยู่คนเดียวไปสักพักก่อน”
ผมมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเป้ที่มองตรงไปข้างหน้า ไม่มีความเศร้าโศกขุ่นเคืองไม่ว่าจะในแววตาหรือน้ำเสียง ผมเคยคิดตั้งคำถามกับตัวเองเหมือนกันว่าทำไมหมอนี่ถึงได้ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าผมนักทั้งที่เรียนปีเดียวกัน แต่สงสัยว่าการที่เจ้าตัวเคยคบกับคนอายุมากกว่ามาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นจะเป็นคำตอบกระมัง
“อืม กูเข้าใจ แล้วมึงคิดว่าต้องอีกนานแค่ไหนกว่ามึงจะพร้อมมีคนใหม่”
เป้ขมวดคิ้วแล้วก็ปรายตามองผมแวบหนึ่งก่อนจะเบนสายตากลับไปมองถนนเหมือนเดิม
“เวลาเกือบสี่ปีมันไม่ใช่น้อยๆว่ะ กูไม่ได้อยากปิดตัวเองหรอกนะ ถ้าเกิดมีใครเข้ามาช่วงที่กูทำใจได้แล้วกูก็คงจะลองเริ่มต้นใหม่กับเค้าดู แต่มันคงไม่ใช่เร็วๆนี้”
ผมหวนนึกถึงสายตาของเป้ตอนมองเด็กที่เจอเมื่อช่วงบ่ายแล้วก็คิดว่าเพื่อนอาจจะทำใจได้เร็วกว่าที่คิดก็ได้ เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาและเจ้าตัวยังไม่อยากยอมรับก็เท่านั้น
“เรื่องของกูก็ให้มันจบแค่นั้นเถอะ เรื่องของมึงกับทรายน่ะ จะว่าไง?”
เป้หันไปพ่นควันบุหรี่ออกทางหน้าต่างก่อนจะหันมาถาม พอโดนเปลี่ยนเรื่องปุบปับผมเลยนึกขึ้นได้ว่าตัวเองก็มีคดีอยู่เหมือนกัน เอาแต่ซอกแซกเรื่องชาวบ้านเค้าจนเกือบลืมเรื่องของตัวเองแล้วไหมล่ะ
“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ เค้าว่าจะไปเอ็นท์ใหม่เพราะไม่ค่อยชอบที่นี่ เห็นว่าอยากไปเชียงใหม่หรือเชียงราย ก็ถ้าห่างๆกันไปก็คงไม่ค่อยได้คุยกันละมั้ง”
ผมเลือกจะเก็บงำรายละเอียดไว้เพราะเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะเล่า อีกอย่างเรื่องที่ทรายจะเอ็นท์ใหม่ก็เป็นเรื่องจริง และเราก็คุยกันเรียบร้อยแล้วว่าความสัมพันธ์ของเราคงไม่สามารถพัฒนาเกินไปกว่าที่เป็นอยู่ได้ ตอนที่คุยกันเรื่องนี้ทรายทำท่าเบื่อเหมือนอยากรีบพูดให้จบๆไปด้วยซ้ำ แต่น่าแปลกที่ผมก็ไม่ได้รู้สึกโมโหหรือเสียดายอีกฝ่ายเลย บางทีอาจเป็นเพราะความรู้สึกที่ผมมีให้ทรายนั้นไม่เคยก้าวข้ามระดับของ “ความหลง” ไปถึงระดับที่เรียกว่า “ผูกพัน” และ “รัก” เลยกระมัง
ผมคงจมกับความคิดตัวเองนานไปหน่อยคนข้างตัวเลยหันมาตบไหล่จนผมสะดุ้ง
“พอๆ เลิกคิดเลิกคุยเรื่องเครียดได้แล้วมึง เดี๋ยวเย็นนี้กินข้าวเสร็จไปโยนโบวล์กันดีกว่า กูเลี้ยงเอง ไม่ได้ไปโยนนานแล้วด้วย”
จากตอนแรกที่ผมตั้งใจว่าช่วยจะรับฟังปัญหาเรื่องทุกข์ใจของเพื่อน กลับกลายเป็นว่าตอนนี้ผมโดนไอ้เพื่อนตัวดีปลอบใจแทน แถมเป้ยังทำท่าเหมือนเรื่องของผมดูน่าเวทนากว่าจนผมต้องซัดไหล่หนาด้วยความหมั่นไส้ระหว่างรถติดสัญญาณไฟแดงไปทีนึง
“เป้เอ๊ย...มึงกับกูนี่สมแล้วที่เป็นเพื่อนกันจริงๆเลยว่ะ”
++------++
หลังจากขึ้นปีสองและพวกเราย้ายวิทยาเขตเข้ามาอยู่ในเมืองผมกับเป้ก็ยิ่งสนิทกันมากขึ้นเพราะเราพูดเรื่องต่างๆกันได้อย่างเปิดอก แต่ถึงกระนั้นก็มีบางเวลาที่เป้ไปเที่ยวหรือนัดเจอเพื่อนเก่าของตัวเองบ้าง ขณะที่ผมเองด้วยความที่เพื่อนสมัยเด็กก็ย้ายวิทยาเขตเข้ามาอยู่ใกล้ๆกันทำให้ผมต้องแบ่งเวลาไปกินข้าวหรือเดินเที่ยวเป็นเพื่อนมุ้ยบ้าง และบางครั้งก็ไปแจมกับพวกชุมนุมโฟล์คซองโดยการแนะนำของรุ่นพี่ด้วยเพราะเห็นว่าผมเล่นกีตาร์เป็น
ตั้งแต่ย้ายมาเรียนที่ใหม่เพื่อนผมก็ดูจะยิ่งป๊อบขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าเพราะมีสาวๆและหนุ่มๆทั้งในคณะและนอกคณะคอยเข้ามาหว่านเสน่ห์ทำคะแนนกันอยู่ไม่ขาด แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ไม่ได้แสดงท่าทีเป็นพิเศษกับใครอยู่ดี ทว่าหลังจากเปิดเทอมสองได้ไม่นานผมก็ต้องประหลาดใจที่เป้ตกลงคบกับเด็กต่างเอกซึ่งผมจำได้ว่าเป็นคนเดียวกับที่เคยวิ่งมาชนเป้เมื่อตอนปีหนึ่ง แถมเด็กคนนี้ยังเป็นคนออกปากขอคบกับเป้ก่อนเองด้วย และถึงแม้จะตะขิดตะขวงใจอยู่บ้างว่าเพื่อนผมไม่ได้ตกลงคบด้วยเพราะชอบอีกฝ่ายจริงๆแต่ผมก็เลือกที่จะไม่ถามและคอยสังเกตการณ์เงียบๆไปเรื่อยๆ
แล้วก็เป็นไปตามที่ผมคาดว่าความสัมพันธ์ของเพื่อนคงดำเนินไปได้ไม่นาน เพราะตลอดเวลาที่คบกับเด็กคนนั้นผมเห็นว่าเป้ก็ยังคอยมองหาใครอีกคนอยู่เสมอ ดังนั้นแม้เจ้าตัวจะไม่เคยเล่าว่าทำไมจึงเลิก ผมก็ไม่เซอร์ไพรส์เท่าไหร่ที่เป้มาบอกว่ากำลังคบกับเพื่อนสนิทของเด็กคนนั้นที่ไปเรียนต่อเมืองนอกอยู่ ผิดกับเพื่อนคนอื่นๆในกลุ่มที่พากันพูดถึงวิวลับหลังเสียๆหายๆเพราะเข้าใจผิดจนเป้ต้องออกโรงห้ามทุกคนถึงได้เลิกพูด
แวบแรกที่ได้เห็นวิวใกล้ๆอีกครั้งตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อตอนปีหนึ่งทำให้ผมรู้สึกว่าแฟนเพื่อนเป็นคนที่ธรรมดาจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนที่เป้สนใจ แต่เมื่อผมได้เห็นเวลาที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกันบ่อยครั้งเข้าก็ทำให้เริ่มเข้าใจว่าเพราะอะไรเป้ถึงได้เลือกวิว เพราะถ้าเป็นคนแบบที่คอยพะเน้าพะนอเอาใจหรือทำตัวนุ่มนิ่มให้ดูน่าปกป้องแบบที่คนอื่นๆชอบทำเพื่อนผมคงทนคบด้วยไม่ได้แน่ แต่ความซื่อตรงไม่เสแสร้งแถมติดจะเอาจริงเอาจังของวิวกลับชนะใจเพื่อนผมได้อย่างอยู่หมัดโดยที่เจ้าตัวไม่ต้องพยายามเปลี่ยนแปลงอะไรเลย
ตั้งแต่ทั้งสองคนเริ่มคบกันเป้ก็ไม่ค่อยเข้าโต๊ะกลุ่มสักเท่าไหร่ ความที่เพื่อนคงดูออกว่าผมไม่ค่อยสนิทกับคนอื่นๆในกลุ่มทำให้เจ้าตัวออกปากชวนให้ผมไปนั่งด้วยเวลาที่ไม่ได้เข้าห้องบรรยายซึ่งวิวก็ไม่ได้ขัดข้อง แรกๆผมก็เกรงใจอยู่บ้างแต่ว่านานเข้าก็เริ่มชิน ความสม่ำเสมอที่ทั้งสองคนมีให้กันทำให้ผมมั่นใจว่าคราวนี้เป้คงเจอตัวจริงที่จะไม่ทำให้ “การเริ่มต้น” ครั้งนี้มี “จุดจบ” เหมือนความสัมพันธ์ครั้งก่อน เพราะถึงแม้วิวจะไม่ค่อยแสดงออกมากเท่ากับเป้ แต่ผมก็รู้ว่าความห่วงใยและเอาใจใส่ที่เพื่อนผมมอบให้นั้นไม่เคยโดนละเลย และอีกฝ่ายก็คอยหาโอกาสตอบแทนในแบบของตัวเองอยู่เสมอ
++------++
“นะหลับแล้วเหรอครับ บอกให้พี่เล่าให้ฟังเองนะ”
หลังจากนอนเล่าเรื่องมานานเป็นชั่วโมงผมก็เริ่มคอแห้งแต่ขี้เกียจลุก อีกอย่างตอนนี้คนตัวเล็กก็นอนซุกผมอยู่ แขนข้างหนึ่งพาดมาบนอกผมขณะที่ขาก็ก่ายขึ้นมาเหมือนกำลังกอดหมอนข้างอันใหญ่
“ไม่ได้หลับ นะฟังอยู่”
ใบหน้าหวานแหงนขึ้นยิ้มให้แล้วก็หอมแก้มผมทีหนึ่งก่อนจะกลับไปนอนท่าเดิม ผมเลยขยับตัวเป็นนอนตะแคงแล้วโอบคนข้างตัวไว้หลวมๆแทน พอเหลือบมองนาฬิกาหัวเตียงก็เห็นว่าเพิ่งจะบ่ายแก่ๆ แถมอากาศในห้องก็เย็นกำลังดีเลยชักเริ่มง่วงขึ้นมา เอาเถอะ เดี๋ยวค่อยทวงค่าเล่าเรื่องคืนนี้แทนแล้วกัน
“แล้วตอนนี้พี่ทรายเค้าไปอยู่ไหนแล้วล่ะพี่อ๊อฟ?”
พอได้ยินคำถามผมที่เริ่มจะเคลิ้มๆเลยตาสว่างขึ้นนิดหน่อย นะแหงนหน้ามองผมแล้วส่งสายตาอยากรู้จนผมอดยิ้มไม่ได้
“รู้แค่ว่าเอ็นท์ติดที่เชียงใหม่ จากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันแล้ว นะถามทำไม?”
“เปล่า....ก็แค่ถามดูเฉยๆ”
คนในอ้อมแขนซุกหน้าลงแล้วก็ตอบเสียงอุบอิบ แต่อาการแบบนั้นทำให้ผมพอจะเดาออกว่าที่นะถามคงจะเพราะ...หึง ผมเลยลุกขึ้นหยิบผ้าห่มมาคลุมตัวเราสองคนแล้วก็ล้มลงนอนกอดคนตัวเล็กใหม่
“ง่วงจัง นะนอนเป็นเพื่อนพี่หน่อยสิ เดี๋ยวนี้ไม่ได้กอดแฟนแล้วนอนไม่หลับ”
“แต่นะไม่ได้ง่วงนี่”
ตอนแรกคนตัวเล็กพยายามจะลุกหนี แต่หลังจากเห็นว่าผมไม่ยอมปล่อยตัวเองแน่เลยยอมหยุดดิ้นแล้วนอนนิ่งๆให้ผมลูบหลังแต่โดยดี กลายเป็นว่าไม่กี่นาทีก็มีเสียงกรนขึ้นจมูกเบาๆจากคนที่เมื่อกี้บอกว่าไม่ง่วงแทน ผมเลยยันตัวขึ้นบนศอกข้างหนึ่งแล้วเท้าคางมองใบหน้าหวานของคนที่หลับไปแล้ว
ความจริงก็ใช่ว่าผมจะไม่เข้าใจว่าทำไมนะถึงได้ถามถึงทรายขึ้นมา คนคบกัน ต่อให้มั่นใจในกันและกันขนาดไหน เวลาได้ฟังเรื่องเกี่ยวกับคนที่เป็นอดีตของแฟนก็คงรู้สึกหงุดหงิดเล็กๆกันทั้งนั้น ผมไม่ชอบเวลาเห็นนะไม่สบายใจโดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะต้องเสียเวลาคิด อีกอย่างผมก็ไม่ได้ติดต่อทรายแล้วจริงๆเพราะตั้งแต่เลิกกันเราก็แทบไม่ได้คุยกันอีกเลย และที่รู้ว่าเจ้าตัวเอ็นท์ติดที่ไหนนี่ก็เพราะเพื่อนบอกมาอีกทีด้วยซ้ำ
ผมยื่นปลายนิ้วชี้ไปเขี่ยแก้มนิ่มเล่น นัยน์ตากลมโตเลยหรี่ขึ้นมองผมอย่างสะลึมสะลือแล้วก็ทำหน้ามุ่ย
“พี่อ๊อฟ...ไหนบอกว่าง่วงไง”
“ก็พี่ยังนอนไม่หลับนี่ นะง่วงก็นอนต่อเถอะ”
“อื้ม”
คนตัวเล็กส่งเสียงงึมงำในคอก่อนจะเขยิบตัวเข้ามาซุกใกล้ๆแล้วก็หลับต่อ ผมเลยก้มลงหอมแก้มพ่อหนูน้อยฟอดนึงก่อนจะกอดเจ้าตัวไว้ ก็เล่นหว่านลูกอ้อนแทบจะตลอดอย่างนี้แล้วจะให้ผมมีเวลาไปคิดถึงคนอื่นยังไงไหว และถึงแม้ว่านะจะยังมีแง่มุมที่ชอบงอนเหมือนเด็กๆบ้างแต่ก็ไม่เคยเอาแต่ใจในเรื่องที่ผมทำให้ไม่ได้ เจ้าตัวก็ดูจะไม่รู้เอาเสียเลยว่าตัวเองมีอิทธิพลกับผมจนถึงขั้นที่ผมไม่คิดอยากจะมองใครอีกแล้ว
“โชคดีนะที่พี่ได้เริ่มต้นใหม่กับเรา เพราะต่อจากนี้พี่ก็จะไม่ยอมให้ใครมาแทนที่นะเหมือนกัน”
++---End การเริ่มต้นกับคนสุดท้าย---++*แถลงการณ์จากอิป้า*
สารภาพความจริงว่า ตอนต่อไปเพิ่งพิมพ์ไปได้ไม่เท่าไหร่ แต่พอดีมีแฟนขาประจำที่น่ารักคนหนึ่งรีเควสต์ตอนเป้กับอ๊อฟกิ๊กกัน เอ้ย! เจอกันครั้งแรกมา รู้ตัวอีกทีก็พิมพ์เสร็จแล้ว เลยเอามาลงให้ก่อนระหว่างรอตอนต่อไปนะจ๊ะ ยังไงจะรีบเข็นตอนต่อไปมาให้ด้วยจ้า
v
v
v
ตอบสุดสวยรีล่าง ไม่ได้ปาดจ๊ะ เอิ๊ก 