ตอนที่ 12: ความทรงจำที่หายไป...ความรู้สึกที่กลับมา
“เอ่อ...อ๊อฟจ๋า ชั้นเข้าใจว่าแกรีบ แต่ไม่ต้องเหยียบขนาดนี้ได้มั้ย!!!???”มุ้ยเอ่ยทักด้วยเสียงสั่นๆ ผมชำเลืองมองคนพูดที่นั่งตัวเกร็งจนหลังแทบจะกลืนเข้ากับพนักพิง มือข้างหนึ่งยึดหูจับเหนือหน้าต่างแน่นแล้วก็ยิ่งเพิ่มแรงเหยียบคันเร่งมากขึ้นอีก ปกติผมไม่ใช่คนชอบขับรถซิ่ง และถ้าเป็นเวลาปกติผมก็คงไม่เหยียบระห่ำขนาดนี้ แต่สิ่งที่เพิ่งได้ยินจากอาจารย์วรรณีทำให้ผมมัวแต่เย็นใจอยู่ไม่ไหวแล้วน่ะสิ!!
“กรี๊ด!!! ไอ้อ๊อฟ!!!! มอเตอร์ไซค์!!!!!”
ผมหักพวงมาลัยหลบมอเตอร์ไซค์ที่จู่ๆก็ทิ่มพรวดออกมาจากซอยข้างถนนจนแทบจูบกระโปรงหน้ารถทันหวุดหวิดก่อนจะสบถอย่างหัวเสีย มุ้ยหันไปมองรถมอเตอร์ไซค์ด้านหลังที่ผมทิ้งห่างออกมาแล้วก็หันกลับมาถอนหายใจพลางเอามือลูบอก
“ดีนะเนี่ยที่ไม่ชน นี่ถ้าเมื่อกี้หลบไม่ทันหรือมีรถสวนมาล่ะซวยแน่ ไอ้อ๊อฟ! แกช่วยขับรถดีๆหน่อยได้มั้ย!? อยากไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มก่อนถึงบ้านน้องนะหรือไงยะ!?!”
ท้ายประโยคมุ้ยหันมาแหวผมหลังจากเริ่มหายตกใจแล้ว ผมยักไหล่แต่ไม่ได้ตอบเพราะขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงด้วย จากประสบการณ์ที่คบกันมานานทำให้ผมรู้ว่าพูดอะไรไปตอนมุ้ยกำลังอารมณ์ขึ้นก็ไม่มีทางชนะ และผมก็ไม่อยู่ในอารมณ์จะเพิ่มเรื่องปวดหัวให้ตัวเองมากกว่าที่เป็นอยู่ด้วย
มุ้ยยังบ่นไม่หยุดหลังจากที่ผมผ่อนความเร็วลงจนมาตรวัดไม่ได้ชี้ไปเกินหลักร้อยแล้ว แต่ไม่ใช่เพราะทนรำคาญเพื่อนไม่ไหว แต่เพราะผมเห็นปากซอยส่วนบุคคลที่มีต้นหูกวางขนาดใหญ่คุ้นตาอยู่ถัดไปอีกไม่กี่ร้อยเมตรต่างหาก
“นี่อ๊อฟ แล้วตกลงอาจารย์เค้าไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรตอนที่โทรมาเมื่อกี้เลยเหรอวะ” มุ้ยเริ่มถามด้วยเสียงปกติขึ้นเมื่อเห็นผมไม่เถียงด้วย ผมเลยส่ายหน้าเบาๆก่อนเปิดสัญญาณไฟเลี้ยว
“อาจารย์เค้าคงตกใจเลยไม่ได้บอกรายละเอียดน่ะ บอกแต่ว่าให้รีบมา”
ผมดับเครื่องและดึงเบรกมือขึ้นทันทีเมื่อรถจอดเทียบกับประตูรั้วเหล็กสีน้ำเงินเข้ม จากนั้นก็ผลักประตูรั้วเปิดโดยไม่สนเรื่องมารยาทแล้วว่าควรกดออดก่อนหรือเปล่า แต่ว่าคนที่รอคงได้ยินเสียงรถและเห็นผมจากหน้าต่างเลยเปิดประตูมุ้งลวดออกมายืนรอที่หน้าบ้าน พอผมเข้าไปใกล้จนได้เห็นใบหน้าของอาจารย์วรรณีที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักชัดๆก็อดนึกสงสารไม่ได้
มุ้ยที่เพิ่งก้าวมาทันผมยกมือไหว้ทักทายอาจารย์จนผมนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ทำความเคารพอีกฝ่ายเลย แต่ดูจากท่าทางของอาจารย์แล้วตอนนี้เจ้าตัวคงไม่ทันได้สนใจเท่าไหร่
“สวัสดีค่ะอาจารย์ จำหนูได้ใช่ไหมคะ มินตราที่เคยเรียนกับอาจารย์กับไอ้เจ้านี่ไงคะ”
พอได้ยินสรรพนามที่เพื่อนใช้เรียกตัวเองส่งๆทำให้ผมหันไปเขม่นใส่คนข้างตัวแต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้สึกรู้สา
อาจารย์เพียงพยักหน้าให้เราสองคนแล้วก็หมุนตัวเดินนำเข้าข้างในบ้าน “จ้ะ...เข้ามากันก่อนสิ”
เสียงที่เอ่ยเชิญแหบเครือและขึ้นจมูก ผ้าเช็ดหน้าสีครีมที่อีกฝ่ายกำไว้ในมือเปียกชุ่ม ไม่ต้องเดาก็พอรู้ว่าอาจารย์คงร้องไห้ตลอดเวลาระหว่างที่รอผมมาที่นี่ พอผมหย่อนตัวลงที่โซฟาในห้องรับแขกปุ๊บก็เลยรีบยิงคำถามทันทีด้วยความร้อนใจ
“อาจารย์ครับ ตกลงเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ครับ”
อาจารย์ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดปากเหมือนพยายามกลั้นสะอื้น แต่แล้วมือผอมเรียวนั้นก็ลดลงวางประสานบนตักก่อนเจ้าตัวจะหันไปทางบันได
“เมื่อคืน...ครูตั้งใจจะคุยกับน้องนะหลังจากเธอกลับไปแล้ว แต่คุยกันได้ไม่กี่คำเค้าก็ร้องไห้แล้วผลุนผลันเข้าห้องไป ครูเลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นครูจะให้เค้าคิดทบทวนดีๆแล้วค่อยมาคุยกันวันนี้ พอดีน้องนะลืมว่าตัวเองชาร์จมือถือไว้ที่ห้องรับแขกข้างล่าง ก็เลยไม่ได้ลงมารับสายตอนที่เธอโทรมา ครูเลยปิดเครื่องซะแล้วเอามาเก็บไว้เอง”
คำอธิบายของอาจารย์ไขข้อสงสัยว่าทำไมนะถึงไม่รับโทรศัพท์และตอบเมสเซจของผมเมื่อคืน ทว่าก็ยังไม่ได้ให้ความกระจ่างถึงสาเหตุที่ทำให้ผมขับรถเร็วเกินกำหนดจนหวิดเกิดอุบัติเหตุเพราะรีบร้อนมาที่นี่
“แล้ว...ที่ว่านะหายไปนี่หมายความว่าไงครับ”ผมถามคำถามที่ทำให้ตัวเองร้อนใจที่สุด เพราะตั้งแต่ที่ได้ยินเรื่องจากอาจารย์ทางโทรศัพท์ สิ่งเดียวที่ผมรับรู้คือความเป็นห่วงที่เอ่อล้นท่วมอกเพราะความอึดอัดที่ไม่รู้ว่าคนสำคัญของตัวเองหายไปไหน
มุ้ยที่นั่งอยู่ข้างๆหันมามองผมแล้วก็บีบไหล่เหมือนจะให้กำลังใจ อาจารย์วรรณีถอดแว่นออกแล้วใช้ปลายนิ้วกรีดหยดน้ำที่คลออยู่ตรงหางตาก่อนจะใส่แว่นกลับตามเดิม
“ปกติครูจะตื่นประมาณหกโมงเช้าแทบทุกวันอยู่แล้ว เมื่อเช้าตอนเดินผ่านห้องของน้องนะเลยไม่ได้ปลุกเพราะคิดว่าเค้าอาจจะเหนื่อยเลยจะให้นอนพักไปก่อน แต่จวนจะเที่ยงแกก็ยังไม่ลงมาเสียทีครูเลยไปเคาะเรียก แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ยินเสียงตอบจนครูเริ่มเอะใจ พอเอากุญแจไขห้องเข้าไปถึงได้รู้ว่าน้องนะหายไปแล้ว”
“แล้วน้องเค้าไม่ได้เขียนโน้ตอะไรทิ้งไว้เลยเหรอคะอาจารย์?”
อาจารย์วรรณีส่ายหน้าแล้วก็เอามือแตะขมับตัวเอง “ครูก็พยายามหาทั่วห้องแล้วแต่ไม่เจอ ท่าทางเค้าคงแอบออกไปตั้งแต่เช้ามืดเพราะเมื่อคืนกว่าครูจะเข้านอนก็ดึกมากแล้ว นี่จักรยานก็หายไปด้วย”
“แล้วนอกจากผมอาจารย์ได้บอกใครอีกหรือเปล่าครับ?”
“ยังเลย ครูไม่กล้าแจ้งตำรวจเพราะกลัวมันจะเป็นเรื่องใหญ่ แล้วอีกอย่างคนเพิ่งหายไปไม่กี่ชั่วโมงอย่างนี้เค้าอาจไม่รับเรื่อง สามีครูที่ไปเยี่ยมญาติที่ต่างจังหวัดก็ยังไม่รู้ เมื่อคืนแกก็โทรมาบอกว่าอาจเลื่อนวันกลับอีก...”
ผมลุกขึ้นทันที ถ้านะหายไปตั้งแต่ก่อนอาจารย์จะตื่นมาตอนหกโมงก็เท่ากับหายไปอย่างต่ำหกถึงเจ็ดชั่วโมงเข้าไปแล้ว แล้วยิ่งอีกฝ่ายเอาจักรยานออกไป ยิ่งไม่รู้ว่าป่านนี้จะไปไกลถึงไหนแล้ว
“อาจารย์ครับ เอาเป็นว่าอาจารย์ลองโทรตามบ้านเพื่อนของนะสมัยมัธยมที่ยังอยู่แถวนี้แล้วฝากให้ช่วยดูแล้วกันครับ แล้วก็อาจจะโทรบอกพวกเพื่อนๆของอาจารย์ด้วย เดี๋ยวผมจะขับรถออกไปตามหานะเอง ถ้าเจอตัวเมื่อไหร่ผมจะรีบโทรกลับมาบอก”
อาจารย์วรรณีเงยหน้ามองผมด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย แต่นัยน์ตาแดงช้ำนั้นส่องประกายขอบคุณก่อนจะพยักหน้า “เอาอย่างนั้นก็ได้...ขอบใจมากนะ”
“เฮ้ยอ๊อฟ! งั้นชั้นไปด้วย!”
มุ้ยดึงแขนผมไว้ก่อนจะเดินพ้นประตู ผมหันกลับไปมองอาจารย์ที่ลุกเดินตามพวกเรามา ร่างที่เล็กอยู่แล้วดูลีบลงไปอีกจนน่าใจหาย ผมเลยจับแขนมุ้ยแล้วดันหลังให้กลับไปหาอาจารย์แทน
“แกอยู่กับอาจารย์ที่นี่แหละจะได้คอยช่วยเผื่อมีใครติดต่อเข้ามา เวลาอย่างนี้อาจารย์ไม่ควรจะอยู่คนเดียว”
มุ้ยขมวดคิ้วแล้วมองผมอย่างขัดใจ แต่พอหันไปเห็นอาจารย์ก็คงคิดเหมือนผมเลยยอมพยักหน้าแต่โดยดี “เอางั้นก็ได้ งั้นเดี๋ยวชั้นจะช่วยโทรติดต่อคนอื่นๆจากที่นี่ก็แล้วกัน ได้ความว่ายังไงชั้นจะโทรรายงานแกด้วย”
“ขอบใจนะมุ้ย”
ผมเอ่ยขอบคุณเพื่อนอย่างจริงใจ ถึงแม้ปกติเจ้าตัวจะชอบป่วนหรือหาเรื่องแหย่ผมแบบผิดกาลเทศะไปบ้าง แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมมีเรื่องเดือดร้อนและเป็นเรื่องที่ตัวเองช่วยได้มุ้ยจะอาสาตัวทันทีแบบไม่รีรอทุกครั้ง มุ้ยยิ้มเขินๆก่อนจะตีไหล่ผมดังพลั่ก
“มาขอบจงขอบใจอะไร เขินนะว้อย แกก็ไปหาน้องเค้าให้เจอเร็วๆเถอะ”
ผมพยักหน้าแล้วก็หันไปลาอาจารย์ “งั้นผมไปแล้วนะครับ”
“อรรถพล...ไม่สิ...
อ๊อฟ เดี๋ยวก่อนลูก”ชื่อเล่นของตัวเองที่หลุดจากปากคนที่ไม่คิดว่าจะมอบความสนิทสนมให้ทำให้ผมชะงักก่อนจะหมุนตัวกลับไปมองคนพูด และถ้าผมไม่ได้หูฝาด...ยังมีคำลงท้ายอีกคำที่แสดงความเอ็นดูนั่นอีก
อาจารย์วรรณีเดินมาใกล้แล้วก็ดึงมือผมทั้งสองข้างไปกุมไว้ นัยน์ตาหลังแว่นที่เงยขึ้นสบตาผมมีน้ำตารื้นอยู่
“ครูขอโทษเธอด้วยนะที่พูดแรงๆกับเธอไปเมื่อวาน ยังไงครูฝากตามหาน้องนะให้เจอด้วย แล้วก็พากันกลับมาอย่างปลอดภัยทั้งคู่นะลูก”
คำลงท้ายประโยคที่อาจารย์พูดอย่างเต็มปากในคราวนี้ทำให้ผมมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้หูฝาด แต่นี่ยังไม่ใช่เวลาที่จะมายินดีเพราะการตามหานะให้เจอเป็นเรื่องเร่งด่วนกว่า ผมบีบมือผอมเรียวในอุ้งมือตอบแล้วก็รับคำหนักแน่น
“ไม่ต้องห่วงนะครับ อ๊อฟจะพาน้องกลับมาบ้านด้วยกันแน่ๆ อาจารย์รอที่นี่กับมุ้ยนะครับ”
“ถ้าเจอน้องเค้าเมื่อไหร่รีบโทรมาบอกด่วนเลยนะอ๊อฟ” มุ้ยกำชับผมก่อนถอยไปประคองอาจารย์ไว้ ผมพยักหน้าแล้วก็รีบกลับไปขึ้นรถทันที แม้จะยังไม่รู้ว่าคนที่ตามหาอยู่ที่ไหน แต่กำลังใจที่ได้มาหลังจากแม่ของนะแสดงท่าทีว่ายอมรับผมบ้างแล้วก็ทำให้รู้สึกฮึกเหิมอย่างประหลาด
ผมสตาร์ทรถก่อนจะออกตัวสู่ถนนใหญ่ ในใจอัดแน่นไปด้วยความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมว่าไม่ว่ายังไงผมก็หาพ่อหนูน้อยของผมเจออย่างแน่นอน
อย่างน้อยนั่นก็คือความรู้สึกของผมเมื่อสามชั่วโมงที่แล้ว
.................................
............................
......................
.................
...........
......
...
ผมเริ่มการตามหาด้วยการมุ่งไปที่สถานีขนส่งเป็นที่แรก เพราะถึงแม้นะจะขี่จักรยานแต่ก็มีความเป็นไปได้สูงที่อีกฝ่ายจะทิ้งรถไว้แล้วต่อรถโดยสารไปที่อื่น แต่หลังจากที่เอารูปถ่ายในโทรศัพท์มือถือโชว์ให้เจ้าหน้าที่และคนขับรถแถวสถานีขนส่งดูแล้ว คำตอบที่ได้รับแทบเป็นเสียงเดียวกันก็คือไม่เห็นหรือจำไม่ได้เพราะผู้โดยสารแถวสถานีขนส่งมีเยอะจนไม่มีใครใส่ใจ แล้วพอเดินเช็คโดยรอบแล้วว่าไม่มีจักรยานสีแดงคุ้นตาจอดอยู่ผมเลยพุ่งเป้าไปที่ห้างกลางตัวเมืองต่อเพราะก็มีโอกาสเป็นไปได้ที่คนตัวเล็กจะไปเดินที่นั่น แต่หลังจากถามยามก็แล้ว ขอให้เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ประกาศหาก็แล้วจนเกือบครึ่งชั่วโมงก็ไม่มีเสียงตอบรับ ผมเลยหันไปขับรถตามหาในย่านที่อยู่ไม่ไกลนักจากบ้านของนะแล้วค่อยขยายวงค้นหาออกไป และไม่ลืมจะต่อสายกลับไปหาพี่คนดูแลหอที่กรุงเทพฯว่าถ้าหากเห็นรูมเมทของผมกลับไปให้ติดต่อมาบอกด้วย แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ยินข่าวของนะเลย
.................................
.................................
.................................
หลังจากขับรถเวียนไปมาทั้งในตัวเมืองและนอกเมืองกว่าสามชั่วโมงโดยไม่ได้เบาะแส ผมก็ตัดสินใจเบี่ยงรถเข้าจอดข้างทางก่อนจะซบหน้าลงกับพวงมาลัยอย่างเหนื่อยใจ ไม่คิดเลยว่าการตามหาคนหายสักคนจะลำบากขนาดนี้ หลังจากผงกหัวขึ้นผมก็เหลือบไปเห็นเพิงขายข้าวแกงที่อยู่เยื้องฝั่งถนน แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่ตัวเองตื่นมายังไม่มีอะไรตกถึงกระเพาะเลยนอกจากน้ำเปล่าในรถ แต่ครั้นจะให้แวะทานอะไรตอนนี้ผมก็ไม่มีอารมณ์อยู่ดีเพราะใจมัวแต่พะวงถึงคนที่กำลังตามหาอยู่
ตอนนี้นะของพี่อยู่ที่ไหน...
ป่านนี้ได้กินข้าวแล้วหรือยัง...
เมื่อไหร่จะพี่จะหาเราเจอเสียที...
คำถามเดิมๆวนเวียนซ้ำไปมาอยู่ในหัวจนผมสะดุ้งเมื่อจู่ๆเสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่หน้ารถก็ดังขึ้น พอหยิบออกมาดูก็เห็นว่าเป็นมุ้ยนั่นเองที่โทรมา
“ฮัลโหล ว่าไงมุ้ย”
“อ๊อฟเหรอ เป็นไงบ้างอ่ะแก ได้เบาะแสน้องนะมั่งยัง?”
“ยังเลย แต่เราคิดว่านะไม่น่าจะออกไปนอกตัวจังหวัดหรอก แล้วทางนั้นล่ะได้ความมั่งมั้ย”
“ก็โทรติดต่อตามบ้านเพื่อนสมัยเด็กกับโทรหาเพื่อนๆของอาจารย์วรรณีแล้วแต่ยังไม่มีใครติดต่อมา นี่อาจารย์ก็เพิ่งร้องไห้อีกรอบจนเป็นลมไป ชั้นไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้เลยอ่ะ แกรีบหาน้องเค้าให้เจอเร็วๆนะอ๊อฟ”
พอได้ยินว่าอาจารย์เป็นลมผมก็เริ่มร้อนใจขึ้นมาอีก
“งั้นแค่นี้ก่อนแล้วกัน เราจะไปหานะต่อ ยังไงฝากดูอาจารย์ด้วยนะมุ้ย”
ผมกดวางสายแล้วก็วางโทรศัพท์ไว้หน้ารถเหมือนเดิมพลางคิดว่ามีที่ไหนอีกที่ผมมองข้ามไป ท่ารถก็ไปแล้ว ห้างก็ไปแล้ว พวกสถานที่สำคัญๆ สะพานข้ามแม่น้ำหรือแม้แต่ตามถนนสายหลักที่คาดว่าน่าจะมีคนเห็นนะขับจักรยานผ่านก็วนไปมาแล้ว ที่ที่ยังไม่ได้แวะดูก็มีแต่ตามวัดกับโรงเรียน...
โรงเรียน!!ทำไมผมไม่คิดได้ให้มันเร็วกว่านี้นะ! ถึงแม้วันนี้จะเป็นวันอาทิตย์แต่ก็มีสิทธิ์ที่คนตัวเล็กจะไปที่นั่น ผมอาจจะคิดเข้าข้างตัวเองไปหน่อยที่มั่นใจว่าถ้ากลับไปที่โรงเรียนที่เราเคยเรียนด้วยกันต้องได้เจอนะแน่ๆเพราะนั่นเป็นที่ที่เราพบกันครั้งแรก และตอนนี้พ่อหนูน้อยของผมกำลังรอให้ผมไปหา
หลังจากคิดได้แล้วว่าจะไปไหนต่อผมก็เข้าเกียร์ออกรถทันที แต่ด้วยความที่รีบร้อนออกตัวจากจุดที่จอดอยู่ จู่ๆก็รู้สึกว่ารถโดนกระแทกจากข้างหลังอย่างแรงจนรถตัวเองพุ่งกระเด็นไปข้างหน้า และสิ่งสุดท้ายที่จำได้ก่อนสติจะดับวูบคือความรู้สึกเจ็บร้าวอย่างรุนแรงที่หน้าผาก กับภาพใบหน้าของคนที่กำลังคิดถึงสุดหัวใจ...
“นะ...” ++------++
“...ง”
เสียงอะไร?
“...น้องครับ”
ผมกระพริบตาแล้วก็พยายามจะยกหัวขึ้น แต่แล้วก็รู้สึกเจ็บหนึบที่หน้าผาก เสียงวิ้งๆที่ดังอยู่ในหูกับเสียงเรียกที่เหมือนดังมาจากไกลๆตีกันจนปวดหัวไปหมด
“...น้อง น้อง!!! น้องเป็นอะไรมากมั้ย น้อง!!!”
เสียงคนตะโกนโหวกเหวกและเสียงเคาะกระจกหน้าต่างเรียกให้ผมพยายามยกหัวขึ้นพิงพนักเก้าอี้อีกครั้ง พอกระพริบตาถี่ๆเพื่อปรับโฟกัสก็พบว่าที่พวงมาลัยรถมีรอยเลือดผมเประอยู่เป็นวงใหญ่ ผมกระพริบตาแล้วสะบัดหน้าไปมาก่อนจะค่อยๆหันไปมองนอกกระจกหน้าต่างที่มีคนเคาะเรียกอยู่
“เฮ้ย!! ฟื้นแล้วเว้ย น้องๆ เป็นไงบ้าง ได้ยินพวกพี่มั้ย เฮ้!!”
ภาพไทยมุงกลุ่มเล็กราวเจ็ดแปดคนที่ยืนมุงรถผมกันอยู่ทำให้ตกใจนิดหน่อย แต่แล้วพอสติกลับมาเต็มที่ก็นึกขึ้นได้ว่ารถผมโดนชนท้ายเลยหันไปเข้าเกียร์จอดก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ ดูจากการที่ชายหญิงสองคนในจำนวนไทยมุงนั้นคาดผ้ากันเปื้อนทำให้ผมอนุมานเอาว่าคงจะเป็นเจ้าของเพิงขายข้าวแกงใกล้กับจุดที่ผมจอดรถเมื่อครู่ อาจเป็นเพราะผมขยับตัวเร็วเกินไปเลยหน้ามืดจนคุณลุงคนหนึ่งต้องช่วยจับตัวไว้ก่อนจะล้มลงวิดพื้น
“เอ้าๆ เป็นไรมากมั้ย รถน้องโดนปิ๊คอัพมันชนท้ายแล้วหนีนะ แต่พวกพี่จดทะเบียนไว้แล้ว เดี๋ยวเอาไปแจ้งความได้เลย รถในจังหวัดนี่แหละ”
ผมหันไปมองคนพูดแล้วก็พยักหน้าก่อนจะผละไปดูท้ายรถที่โดนอัดจนยับยู่ยี่และฝากระโปรงหลังโป่งขึ้น แต่วินาทีนั้นแทนที่จะคิดถึงเรื่องแจ้งความหรือเรื่องโทรหาแม่เพื่อติดต่อเคลมประกัน ความคิดแรกในหัวผมคือภารกิจที่ยังคั่งค้างอยู่ก่อนจะเกิดอุบัติเหตุ กับคำสัญญาที่ให้กับอาจารย์ไว้
"“ไม่ต้องห่วงนะครับ อ๊อฟจะพาน้องกลับมาบ้านด้วยกันแน่ๆ..”“พี่ครับ ผมขอเลขทะเบียนของรถที่ชนผมเมื่อกี้ด้วยครับ”
ทุกคนมองหน้ากันไปมา แล้วเด็กผู้ชายตัวเล็กที่ท่าทางจะยังเรียนอยู่ชั้นประถมก็ยื่นกระดาษโน้ตที่จดเลขทะเบียนมาให้ ผมรับมาถือไว้แล้วก็ชำเลืองดูผู้คนที่ยืนมุงตัวเองอยู่ โชคยังดีว่าถนนช่วงนี้เป็นย่านที่ไม่ค่อยพลุกพล่านไม่งั้นกองทัพไทยมุงคงเยอะกว่านี้แน่ๆ
“ขอบใจมากนะน้อง แล้วก็ขอบคุณพวกพี่ๆด้วยนะครับ เดี๋ยวผมโทรแจ้งตำรวจเอง พอดีผมมีธุระด่วนต้องไปทำต่อ ขอตัวก่อนนะครับ”
“เฮ้ย! แล้วคิ้วแตกซะขนาดนั้นไม่ไปทำแผลก่อนเรอะ แผลตรงนั้นเลือดหยุดยากนะ”
ผมยกมือแตะเหนือคิ้วบริเวณที่รู้สึกเจ็บ พอยกมือออกดูก็เห็นเลือดสีแดงสดติดนิ้วออกมาเลยเช็ดปัดๆเข้ากับกางเกงยีนส์ “เดี๋ยวผมทำธุระเสร็จค่อยไปโรงพยาบาลก็ได้ครับ ถ้ายังไงผมขอทิชชู่หรือผ้าอะไรที่พอเช็ดเลือดได้ก็แล้วกัน พี่พอมีมั้ยครับ”
“ไอ้ต้อย ไปหาผ้าขนหนูผืนเล็กมาให้พี่เค้าซิ”
ชายวัยกลางคนร่างอวบที่ดูจากผ้ากันเปื้อนรอบเอวและผ้าโพกหัวแล้วคงจะเป็นเจ้าของร้านหันไปสั่งเด็กผู้ชายที่เอาเลขทะเบียนรถให้ผมเมื่อกี้ เจ้าหนูวิ่งตื๋อเข้าไปหลังร้านแล้วไม่นานก็เอาผ้าขนหนูผืนเล็กลายทางสีฟ้าอ่อนมายื่นให้
“ขอบคุณครับพี่ เท่าไหร่ครับผืนนี้”
“โฮ่ย! คนเพิ่งโดนอุบัติเหตุมาหยกๆ ถ้าพี่ยังจะคิดเงินอีกก็เลวแล้วน้อง ผ้านั่นน่ะเอาไปเถอะ พี่ไม่รู้หรอกนะว่าธุระน้องสำคัญแค่ไหน แต่ยังไงรีบไปทำแผลเร็วๆล่ะ”
“ครับ ขอบคุณทุกคนมากนะครับ”
ผมยกมือไหว้ไทยมุงกลุ่มย่อยๆที่ยังยืนล้อมผมอยู่โดยเฉพาะพี่เจ้าของร้านผู้อารี แล้วก็รีบกลับขึ้นรถเพื่อไปยังจุดหมายที่ตั้งใจไว้ หลังจากนี้ผมคงต้องอธิบายกับแม่ว่าไปทำอะไรมาถึงได้เจ็บตัวและรถพังขนาดนี้ แต่เรื่องนั้นคงต้องเอาไว้ว่ากันหลังจากผมหาตัวนะเจอแล้วเสียก่อน
กว่าผมจะมาถึงหน้าประตูโรงเรียนที่คุ้นเคยพระอาทิตย์ก็ลอยต่ำจนขอบฟ้าเริ่มเป็นสีแดงอมส้มแล้ว โชคดีว่ายามหน้าโรงเรียนยังเป็นคนเดิมกับสมัยที่ผมยังเรียนอยู่ พอเห็นผมแกก็จำได้ทันทีเพราะเมื่อก่อนผมเคยต้องมาค้างเพื่อเก็บตัวซ้อมกีฬาอยู่บ่อยๆ ลุงยามทักเรื่องแผลที่หน้าผากแต่ผมตอบไปอย่างส่งๆว่าหกล้มมา แล้วก็ถามเข้าประเด็นทันทีว่าลูกชายอาจารย์วรรณีได้มาที่โรงเรียนหรือเปล่าเพราะน่าจะง่ายกว่าอธิบายลักษณะของคนตัวเล็กให้ลุงยามฟัง
จะด้วยความบังเอิญหรือโชคช่วย หรือเพราะความคิดของผมกับพ่อหนูน้อยตรงกันก็แล้วแต่ แต่คำตอบที่ได้รับก็ทำให้ผมยิ้มออกมาได้เป็นครั้งแรกหลังจากวันอันแสนยาวนานเสียที
ผมเดินไปตามทางเดินในอาคารซึ่งมีทางเชื่อมต่อไปยังโรงอาหารซึ่งติดกับสระบัวและสวนหย่อมขนาดย่อม แม้จะไม่เคยกลับมาเยี่ยมโรงเรียนเลยหลังจากที่เรียนจบไปแล้ว แต่พอได้กลับมาเดินไปตามเส้นทางเก่าๆ ได้เห็นห้องเรียนและบริเวณต่างๆที่คุ้นตา ภาพความทรงจำสมัยที่ตัวเองยังเป็นนักเรียนอยู่ที่นี่ก็เริ่มแจ่มชัดมากขึ้นเรื่อยๆ
แทนที่จะเลี้ยวตามทางเชื่อมที่แยกไปสู่โรงอาหาร ผมเลือกที่จะเดินตามทางเดินไปเรื่อยๆจนสุดอาคารเรียนซึ่งอยู่ใกล้กับกำแพงโรงยิม ตรงจุดนี้มีช่องทางเดินไปที่สวนหย่อมข้างสระบัวซึ่งอยู่ด้านหลังของอาคารและอยู่ตรงข้ามกับโรงอาหาร เนื่องจากมุมนี้ค่อนข้างอับและทางเดินก็เป็นเพียงซอกแคบๆที่ส่วนมากภารโรงจะใช้สำหรับเป็นทางลัดไปที่โรงเก็บของซึ่งอยู่หลังโรงยิมอีกทีทำให้ไม่ค่อยมีใครใช้
ผมจำได้ว่าริมสระบัวฝั่งที่ใกล้กับโรงเก็บของมีต้นไทรต้นใหญ่ผูกผ้าแพรเจ็ดสีอยู่ต้นหนึ่ง และมีเก้าอี้ม้าหินตัวหนึ่งตั้งอยู่ ความที่มันเป็นจุดที่ดูน่ากลัวเพราะโดนเงาต้นไทรบังและพวกนักเรียนชอบเล่าเรื่องสยองขวัญเกี่ยวกับที่นั่งตรงนั้นทำให้ไม่มีใครอยากเข้าไปใกล้บริเวณนั้นสักเท่าไหร่ ทั้งที่ความจริงมันเป็นจุดที่สงบและนั่งสบายมากเพราะสามารถมองดูสระบัวและโรงอาหารที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้ชัดเจนโดยไม่มีใครมารบกวน
ม้านั่งตัวนั้นคือที่ที่ผมชอบมานั่งเล่นหลังกินข้าวกลางวันเสร็จในวันที่อยากหลบคำชวนเล่นบาสหรือเตะบอลกับเพื่อนร่วมชั้น หลายครั้งที่ผมแค่มานั่งเฉยๆแล้วเฝ้ามองฝูงปลาในสระบัวหรือมองนักเรียนคนอื่นจากมุมที่ไม่มีใครสนใจจะมองกลับมา เพราะทำให้ผมได้นั่งคิดทบทวนอะไรเงียบๆคนเดียว ยิ่งช่วงที่พ่อกับแม่กำลังจะหย่ากันม้านั่งตัวนี้แทบจะเป็นจุดสิงสถิตประจำของผมนอกเวลาซ้อมบาสเลยทีเดียว แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีเด็กรุ่นน้องอยู่คนหนึ่งที่ชอบตามหาผมจนเจอแล้วก็มาขอนั่งด้วยทั้งที่ไม่ได้ชวนคุยกันมากมาย แต่เพราะรุ่นน้องคนนั้นไม่ได้ทำตัวน่ารำคาญผมก็เลยไม่ถือสาที่อีกฝ่ายมาขอแบ่งพื้นที่ส่วนตัวในการนั่งฆ่าเวลาพักกลางวันไปด้วยกัน
ผมยิ้มเมื่อนึกถึงความทรงจำที่ซ้อนทับอยู่กับภาพตรงหน้า เด็กรุ่นน้องตัวเล็กที่ไม่ค่อยพูดคนนั้นตอนนี้กำลังนั่งมองสระบัวที่ม้านั่งตัวเดิมโดยไม่มีวี่แววจะรับรู้การมาถึงของผม มือเรียวขาวหยิบขนมปังแผ่นจากถุงพลาสติกบิออกแล้วโยนให้ฝูงปลาที่ดำผุดดำว่ายแย่งอาหารกันอย่างสนุกสนานจนน้ำกระเซ็นขึ้นมาบนขอบสระ
ผมสาวเท้าเข้าไปใกล้ก่อนจะกระแอมเสียงดังให้คนที่นั่งอยู่รู้ตัว ไหล่บางสะดุ้งก่อนที่ศีรษะทุยจะค่อยๆหันกลับมาทางผมอย่างหวาดๆ แต่พอนัยน์ตาเราประสานกันริมฝีปากอิ่มแดงก็เม้มเหมือนพยายามข่มใจไม่ให้ร้องไห้ ผมเห็นท่าทางแบบนั้นก็เลยอ้าแขนรอ ร่างเล็กทิ้งถุงขนมปังในมือลงแล้วก็เดินกึ่งวิ่งเข้ามากอดเอวผมแน่นทันที
“พี่อ๊อฟ...พี่อ๊อฟ...พี่อ๊อฟ”
นะเรียกชื่อผมไปก็ร้องไห้ไป ความอบอุ่นที่สัมผัสได้จากร่างในอ้อมแขนทำให้ผมผ่อนลมหายใจยาวอย่างโล่งอก ในที่สุดก็ได้พ่อหนูน้อยของผมกลับมาเสียที ผมก้มลงจูบผมหอมๆของคนตรงหน้าก่อนจะเอาคางเกยไว้แล้วกอดตอบคนที่คิดถึงมาตลอดทั้งวันแน่นราวกับกลัวคนตรงหน้าจะหนีหายไปอีก
“ครับน้องนะ พี่อ๊อฟมาหาแล้ว คนเก่งไม่ต้องร้องไห้แล้วนะ”
“ฮึก...แม่เค้า...แม่ไม่ฟังนะเลย เอาแต่พูดว่าที่เราคบกันมันไม่ถูก แล้วยังจะบังคับให้นะย้ายออกไปอยู่บ้านป้าแทนด้วย แต่นะไม่อยาก นะอยากอยู่กับพี่อ๊อฟมากกว่า...ฮึก”
ผมปล่อยให้คนในอ้อมแขนพูดระบายความอัดอั้นตันใจออกมา เพราะตั้งแต่เมื่อคืนคนตัวเล็กคงต้องแบกรับความทุกข์และอึดอัดใจไว้คนเดียวมาตลอดโดยไม่มีใครรับฟังเลย แถมจะติดต่อผมก็ยังไม่ได้เพราะถูกยึดมือถือไปอีก ผมฟังนะพูดไปก็ลูบหลังลูบไหล่แล้วก็คอยจูบหน้าผากกับขมับไปด้วยให้นะรู้ว่าผมอยู่ข้างๆไม่ไปไหนแน่นอนจนเจ้าตัวเริ่มสงบได้
ผมยืนกอดนะนิ่งๆจนอีกฝ่ายเริ่มหยุดสะอื้น คนในอ้อมแขนยกมือขึ้นปาดน้ำตาตัวเองแล้วก็ถอยออกยิ้มให้ผมทั้งที่ขอบตายังแดงอยู่ แต่แล้วคิ้วเรียวโก่งก็ขมวดมุ่นเมื่อจ้องมองหน้าผมชัดๆ
“พี่อ๊อฟไปโดนอะไรมา ทำไมหน้าผากแตกแบบนั้น!?”
ผมละมือข้างหนึ่งลงหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กที่ยัดใส่กระเป๋ากางเกงขึ้นมาห้ามเลือดต่อแล้วก็ยิ้มเพื่อไม่ให้คนที่เห็นต้องกังวล “ไม่มีอะไรหรอก พอดีระหว่างทางเกิดแอคซิเดนท์นิดหน่อย ยังไงเรากลับกันบ้านกันก่อนดีกว่า แม่เค้าเป็นห่วงเรามากเลยรู้มั้ย”
นะเม้มปากแน่นแล้วก็เงียบไป ผมเลยดึงมือเล็กมากุมไว้ แต่พอจะก้าวออกจากริมสระคนถูกจูงก็ขืนตัวเองไว้จนผมต้องหันกลับไปมองอย่างงงๆ
“นะอย่าดื้อสิครับ กลับบ้านกันดีกว่า เร็ว”
ใบหน้าหวานหลับตาปี๋แล้วก็ส่ายหน้าไปมา “กลับไปก็แม่ก็ต้องเรียกไปพูดเรื่องเดิมๆอยู่ดี ถ้างั้นนะไม่กลับ”
พ่อหนูน้อยสะบัดมือตัวเองจนหลุดแล้วก็ยืนกอดอกหันหลังให้ผม ไม่ใช่ว่าผมไม่เข้าใจว่าทำไมนะถึงกังวล แต่ตอนนี้ผมเพลียแล้วก็เริ่มจะเวียนหัวเกินกว่าจะหว่านล้อมอีกฝ่ายไหว เลยตัดสินใจหักดิบด้วยการก้มลงช้อนตัวคนที่ยังยืนงอนอยู่แล้วก็พาเดินออกมาเลย
“เอ๊ย! พี่อ๊อฟ ปล่อยลงเดี๋ยวนี้นะ!”
ผมไม่สนเสียงร้องและการดิ้นหนีของคนที่ตัวเองอุ้มระหว่างเดินออกจากสวนหย่อม โชคดีว่านะตัวเบากว่าผมมากทำให้ไม่ลำบากเท่าไหร่ กลัวก็แต่ถ้าดิ้นมากๆเข้าผมจะเผลอทำหลุดมือนี่แหละ
“เอ้า ดิ้นจัง ดิ้นมากๆหล่นไปจะทำไง นะไม่อยากให้พี่รีบไปทำแผลเหรอ เลือดไหลเปรอะไปหมดแล้วเนี่ย”
ผมหยุดเดินแล้วก็หันไปแกล้งทำเสียงเข้มใส่คนที่อุ้มอยู่ พอโดนอ้างเรื่องแผลคนที่กำลังแผลงฤทธิ์เลยยอมสงบลง นะสบตาผมแล้วก็หลบสายตาก่อนจะยอมตวัดแขนมาคล้องคอแต่โดยดี ผมเลยจัดท่าอุ้มให้ถนัดขึ้นก่อนจะออกเดินต่อ พอใกล้ถึงประตูโรงเรียนวงแขนเรียวก็กระชับรอบคอผมแน่นขึ้นก่อนเจ้าตัวจะซุกหน้าลง
คนตัวเล็กพึมพำเสียงเบาที่ข้างหู แต่ถึงกระนั้นผมก็ได้ยินทุกคำพูดชัดเจน และสิ่งที่ได้ยินก็ทำให้ผมดีใจจนหุบยิ้มไม่ได้
“นะรักพี่อ๊อฟที่สุดเลย”++------++
ตอนใหม่มาแบบยาวๆแล้วคับผม ไหนใครบอกว่าตอนที่แล้วป้าทำอารมณ์ค้าง หวังว่าตอนนี้คงจะไม่ค้างแล้วนะจ๊ะ (ว่าแล้วก็ชิ่งไปนอนละ) 