มาแล้วนะคะ ทีแรกวางไว้ว่าจะให้เขาได้ลิ้มลองกัน
แต่ปรากฏว่าเขียนไปแล้วน้องน่ารักเกิน เก็บน้องไว้ก่อนไม่ให้พี่สหเดชะได้กิน
แต่ก็หวังว่าเพื่อนๆ อ่านตอนนี้แล้วจะชอบนะคะ
***
บทที่ 3
ศึกชิงนางระหว่างชาวฟ้าจาตุมหาราชิกานั้นเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ครานี้ราวกับโชคเข้าข้าง สหเดชะพามักกะลีผลหนุ่มน้อยกลับมาสู่วิมานของตนได้โดยสวัสดิภาพ หรืออาจเป็นด้วยบารมีของพระอัศวินบันดาลมิให้สิ่งใดมากล้ำกรายพวกเขาได้กระมัง
มักกะลีผลหลับสบายไม่รู้สึกตัวตลอดทางจากแดนดาวดึงส์มาถึงเขตแดนจาตุมหาราชิกา ใบหน้าหลับพริ้มนั้นถูกอาบด้วยแสงสว่างนวลละมุนของพระโสมจากท้องโพยมบน พิศคราใดก็พึงใจครานั้น
วิมานของชาวฟ้าแห่งสวรรค์ชั้นแรกเป็นเกาะขนาดใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ลอยอยู่ในเวิ้งฟ้าอากาศ บนเกาะเหล่านั้นมีวิมานเอกเทศของชาวฟ้าตั้งอยู่ รัศมีที่เปล่งออกมาจากวิมานเหล่านี้เป็นสีต่างๆ กันแล้วแต่บารมีของเจ้าของวิมาน
วิมานของสหเดชะเป็นสีเขียวดังเช่นรัศมียามที่เขาใช้อิทธิฤทธิ์นั่นละ เขาแลเห็นวิมานตนอยู่ไม่ไกล จึงเร่งเหาะเข้าไปหาด้วยอยากจะวางร่างของมักกะลีผลน้อยให้ได้พักผ่อนบนเตียงนุ่มๆ ของตน
นับแต่เขาบำเพ็ญเพียรสั่งสมตบะบารมี เกาะและวิมานของเขาก็เพิ่มขนาดขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิม บัดนี้นอกจากวิมานอันเป็นปราสาทซึ่งมีห้องหับอยู่มากมาย โดยรอบตัวปราสาทก็เป็นสวนขวัญอันดาษดาไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ มีธารน้ำผุดจากตาน้ำไม่ไกลจากตัวปราสาทนัก
ถัดจากสวนดอกไม้นั้นเป็นป่าไม้ผลซึ่งให้ลูกดกดื่นทุกฤดูกาล ผลไม้สุกส่งกลิ่นหอมอบอวลลอยมาถึงปราสาททีเดียว ผลไม้เหล่านี้มีรสชาติหวานฉ่ำ ยามกัดกินจะได้รสหวานลิ้นและมีน้ำหวานไหลออกมาชุ่มปากทีเดียว สหายวิทยาธรจะชอบใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อสหเดชะชวนมาสนทนาพาทีที่วิมานแห่งนี้ เพราะจะมีโอกาสลิ้มลองผลไม้รสเลิศดังว่า
สหเดชะค่อยๆ ร่อนลงแตะพื้นหญ้าอ่อนนุ่มของสวนดอกไม้ ลมกลางคืนพัดให้ไม้ดอกก้านยาวทั้งหลายร่ายระบำกับลมรำเพย กลิ่นหอมของดอกไม้และผลไม้จากในสวนป่าลอยมากับลมนั้น พระขรรค์คู่มือกลายเป็นเพียงละอองสีเงินหายไป เขาค่อยก้าวย่างเข้าไปใกล้วิมานของตน มองใบหน้าหลับพริ้มเป็นสุขนั้นด้วยอกใจไหวเต้น ราวกับกวางหนุ่มออกวิ่งในคืนจันทร์เพ็ญ หัวใจระรื่นเริงลิงโลดด้วยเห็นท้องทุ่งกว้างไกลแผ่ออกไปจนสุดสายตานอนราบอยู่เบื้องหน้า
ภายในปราสาทของสหเดชะนั้น ล้วนแล้วไปด้วยเครื่องเรือนอันประกอบด้วยแก้วมณีล้ำค่าหลายประการ หากมนุษย์คนใดได้เห็นก็คงเต้นเร่าด้วยความละโมบ
บัดนี้เสียงแก้วระย้าซึ่งห้อยอยู่ตรงบานหน้าต่างกำลังส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง เขาเดินอย่างคุ้นเคยกับสถานที่เข้าไปในส่วนโถงหลับนอนซึ่งอยู่ด้านหลังของปราสาท ผนังโถงนอนติดไว้ด้วยผ้าปักลงดิ้นทองเป็นลวดลายของสัตว์ป่าและผืนพนาจนรู้สึกราวกับว่าหากก้าวเข้าไปในห้องนี้เมื่อใดก็ราวกับกำลังเดินท่องอยู่ในพงไพรเลยทีเดียว
บรรจถรณ์หรือเตียงนอนตั้งอยู่ไม่ไกลจากหน้าต่างนัก สหเดชะค่อยๆ วางร่างผอมลงบนเตียงอ่อนนุ่ม ร่างน้อยๆ ราวกับจะจมลงบนผ้าซึ่งปูลาดไว้บนเตียงนอนหลายชั้น
มักกะลีผลผู้อาภัพอยู่ในชุดห่อกายง่ายๆ เป็นผ้าสีเขียวตองอ่อน สหเดชะเสกขึ้นมาเพื่อห่อกายให้เพื่อปิดร่างกายนี้จากสายตาผู้อื่น
ใบหน้าของมักกะลีผลน้อยบัดนี้ไม่ซีดเผือด มองซ้ำๆ ก็จะเห็นเลือดฝาดอยู่บนผิวแก้ม สหเดชะยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ก็ราวกับจะได้กลิ่นหอมเบาๆ นึกว่าเป็นกลิ่นดอกไม้และผลไม้ป่า ทว่ายิ่งจมูกใกล้กับผิวแก้มของมักกะลีผลน้อยก็ยิ่งมั่นใจว่ากลิ่นหอมพิสุทธิ์นี้มาจากร่างนอนสงบบนเตียงนี่เอง
วิทยาธรผู้ตกในห้วงอารมณ์ยื่นมือแตะบนผิวกายของมักกะลีผลพลางร่ายพระเวท ทำให้คราบฝุ่นหรือความสกปรกใดๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อยามเข้าเฝ้าพระอัศวิน ณ เชิงเขาพระสุเมรุก็หายไปอย่างอัศจรรย์ ทิ้งไว้เพียงผิวกายอันขาวผ่อง มองเห็นความเรียบลื่นสะอาดราวกับผิวกายของนางเทพอัปสร
สหเดชะหยิบผ้าผืนใหญ่ บาง ลื่นมือ มาห่มให้กับมักกะลีผลน้อย ด้วยเกรงว่าลมกลางคืนแห่งแดนฟ้าจักหนาวเกินกว่าร่างนี้จะทนได้
พิศดูใบหน้าหลับพริ้มก็เห็นริมฝีปากอิ่มปิดกันสนิทแนบ ให้รู้สึกว่ามันช่างยั่วยวนให้ลิ้มลองเหลือเกิน สหเดชะหักใจเสีย แล้วแตะจมูกเข้ากับผิวแก้มนุ่มๆ นั้นแทน เขาสูดความหอมนั้นเข้าไปนาน กลิ่นหอมราวจะตรึงเขาไว้ตรงนั้นมิให้ละจมูกออก แต่การเสพสิ่งใดก็ต้องมีการยับยั้งใจ ดังนั้นไม่นานจึงผละใบหน้าออกมาจากแก้ม
แม้ใจจะปรารถนาได้กอดมักกะลีผลนี้เท่าใด ก็ยังต้องรอให้เจ้าของร่างฟื้นขึ้นมาเสียก่อน อีกอย่างหนึ่ง...มักกะลีผลหนุ่มน้อยนี้ยังไม่ถึงวันสุกงอมด้วยซ้ำ อย่างไรเสียเขาก็คงต้องรอดูท่าทีของเจ้าตัวก่อน
เขาจะใจไม้ไส้ระกำพรากพรหมจรรย์จากคนที่กำลังหลับใหลไม่ได้สติเช่นนี้ได้อย่างไร หากทำเช่นนั้นเขาก็คงถูกเนรเทศจากแดนฟ้านี้เป็นแน่
สหเดชะแตะนิ้วเข้ากับแก้มขาวๆ นั้น มองจ้องดวงหน้าหลับพริ้มอย่างอ้อยอิ่งราวกับไม่อยากจะละสายตาจากใบหน้านี้ไปแม้สักชั่วหายใจเดียว แล้ววิทยาธรหนุ่มก็ขยับออกห่าง มองน้องน้อยเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะก้าวออกไปจากห้องนั้น
***
ไม่รู้ว่าเสียงนกร้องดังมาจากที่ใด แต่มักกะลีผลหนุ่มน้อยก็คุ้นชินกับการถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงธรรมชาติจำพวกนี้เสียแล้ว พอสดับเสียงร้องเจื้อยแจ้วของสกุณาห่างออกไปไม่ไกล เขาก็ลืมตาตื่น สติรับรู้ว่าแสงอุ่นส่องเข้ามา
มักกะลีผลมองเห็นสถานที่แปลกตา จึงขยับแขนขา พาตนเองลุกขึ้นนั่ง มองไปรอบๆ มองเห็นสภาพแวดล้อมไม่คุ้นตาเอาเสียเลย
เขาอยู่ในสถานที่แปลกยิ่งนัก มองไม่เห็นท้องฟ้า ไม่เห็นหมู่เมฆขาว มีสิ่งของแปลกๆ อยู่เต็มไปหมด แล้วเขายังนั่งอยู่บนสิ่งแปลกๆ อย่างหนึ่งด้วย
พื้นหญ้าเขียวขจีไปไหนเสียแล้วล่ะ
ชายป่าใหญ่ตั้งตระหง่านในท่ามกลางแสงแดดและสายฝนไปไหนเสียแล้ว
เขามองหาเจ้าสัตว์ที่มีกิ่งไม้บนหัว และเจ้าสัตว์ตัวน้อยที่กระโดดแผล็วตามพื้นหญ้า ไม่เห็นแม้แต่ตัวเดียว
แล้วสหายของเขาล่ะ เหล่านารีผลที่บ้างยืนบ้างนั่งอยู่ด้วยกันนับแต่เขาลืมตาตื่นขึ้นมาในป่าแห่งนั้น บัดนี้ไม่มีแม้แต่เงา ปล่อยเขาให้อยู่เปลี่ยวดายในสถานที่แปลกตานี้ เขาเกิดความรู้สึกตระหนก ในอกเย็นวาบด้วยเกรงว่าตนจะตกมาอยู่ในกำมือของสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายเสียแล้ว
จริงซี บุรุษผู้นั้น คนผู้นั้นเดินเข้ามาหาเขา แล้วก็ยกวัตถุที่มีสีราวก้อนเมฆนั้นขึ้นมาตัดขั้วบนศีรษะของเขา
เราอยู่ที่ไหนกัน มักกะลีผลหนุ่มน้อยรู้สึกเย็นวาบในอก มิใช่เรา ‘จาก’ พวกพ้องมาแล้วหรือ ไฉนเพื่อนๆ ของเขาบอกว่าตอนจากไปนั้นจะไม่เจ็บปวด เป็นเพียงการละจากสถานที่เกิดไปในอ้อมกอดของคน ‘เหล่านั้น’
มักกะลีผลน้อยกระหวัดถึงโมงยามที่คมพระขรรค์ตัดผ่านขั้วบนศีรษะ เขายกมือขึ้นไปกุมไว้ แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อไม่พบแม้ร่องรอยของขั้วมักกะลีผลใดๆ ตรงศีรษะบริเวณนั้นมีเพียงกลุ่มผมนุ่มๆ มิพักเขาจะพยายามขยุ้มหาปุ่มปมใดๆ ก็เปล่าประโยชน์ ซ้ำยังเครื่องนุ่งห่มบนกายเขาอีก มักกะลีผลน้อยลูบมือไปตามอาภรณ์บนกาย
นี่มันเกิดอะไรขึ้น แล้วคนผู้นั้นไปไหนเสียแล้ว
เสียงนกร้องดังขึ้นอีก เขาจึงหันกายไปทางทิศนั้น ก้าวขาลงจาก...
ก้าวขาหรือ?
เขาสามารถขยับกายอย่างอิสระได้แล้วหรือนี่?
ใช่สิ เขาถูกตัดจากขั้วต้นมักกะลีผลแล้วนี่ แล้วก็คงถูกพามาไกลจากต้นแม่เสียแล้วละซีนะ ไม่ทราบว่าไกลเพียงไหนกันแน่ สถานที่จึงแปลกตาเช่นนี้
มักกะลีผลน้อยนั่งห้อยเท้าอยู่ขอบเตียงเช่นนั้น มองที่เท้าของตนเอง แล้วลองแกว่งไปมา เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง บนใบหน้ามีแต่ความประหลาดใจ เขาขยับขาอีกสองสามครั้ง จึงลองเอาเท้าแตะพื้น
พอเท้าสัมผัสพื้นอันเย็นสบาย ดวงตาก็เบิกโพลง มักกะลีผลปล่อยเท้าวางไว้บนพื้นเช่นนั้นอยู่สักชั่วเวลาหนึ่ง จึงค่อยๆ ทิ้งน้ำหนักตัวลงไปบนขาข้างนั้น มือหนึ่งจับยึดขอบเตียงไว้ ค่อยๆ พยุงกายยืดขึ้น แล้วทันใดนั้นเอง เจ้ามักกะลีผลหนุ่มน้อยก็ยืดตัวได้ตรงได้อย่างเพื่อนๆ นารีผลเหล่านั้น!
“ฮ้า!”
เขาส่งเสียงประหลาดออกมา ดวงตาเบิกกว้างอย่างเหลือเชื่อ กระนั้นริมฝีปากก็คลี่เป็นรอยยิ้มกว้าง ดวงหน้าราวกับจะสว่างจ้า ดวงตาเปล่งประกายสดใส ราวกับเห็นโลกใหม่อยู่เบื้องหน้าตน
เสียงนกร้องขึ้นมาอีกครั้งเป็นเสียงเสนาะ
เขาหันไปมอง เห็นเจ้านกสีสวยเกาะอยู่ตรงช่องนั้น มันเอียงคอมองเขาราวกับจะถามว่าเจ้ามักกะลีผลเอ๋ย เจ้าทำสิ่งไรอยู่กันเล่า
ลมกำลังพัด ทำให้เจ้าวัตถุที่ส่งเสียงกรุ๋งกริ๋งอยู่ตลอดนั้นร่ายรำ เบื้องหลังม่านแก้วระย้านั้น...เป็นทุ่งดอกไม้และผืนป่า!
มักกะลีผลยิ่งเปิดยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายระยิบ
ด้วยสัญชาตญาณบางอย่าง เจ้ามักกะลีผลหนุ่มน้อยก็เริ่มก้าวขาออกไปข้างหนึ่งก่อน แล้วจึงก้าวขาอีกข้างตามไป
ก้าวหนึ่ง ก้าวสอง ค่อยย่องย่าง ก้าวสาม ก้าวสี่ ค่อยเตาะแตะ ก้าวห้า ก้าวหกค่อยเร่งฝีเท้า
ร่างผอมๆ ถลาไปข้างหน้าอย่างคนไม่คุ้นกับการเดิน เซไปทางนั้น เฉียงไปทางนี้ จะล้มมิล้มแหล่ กางแขนออกอย่างกับนกแล่นลม
แม้จะทุลักทุเลเพียงใด สุดท้ายก็ไปถึงช่องหน้าต่างนั้นจนได้
ใบหน้าอ่อนเยาว์อาบไปด้วยรอยยิ้ม ความรู้สึกว่าต้องจากเพื่อนพ้องมาโดยกะทันหันก็อย่างหนึ่ง ความไม่รู้ว่าตนเองตกอยู่ ณ หนไหน แล้วจะมีอันตรายหรือไม่ก็อย่างหนึ่ง แต่ขณะนี้สิ่งที่ทำให้อกพองราวกับจะระเบิดก็คือการที่ตนเองสามารถยืนสองขา และก้าวขาทั้งสองพาร่างจากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่งได้!
ผืนป่านั้นจะมีอะไรซ่อนอยู่หรือ ทุ่งดอกไม้นี้มีดอกไม้ใดบ้างหรือ แล้วจะมีเจ้าสัตว์ตัวน้อยขนปุยคอยวิ่งจากพงหญ้านี้ไปยังพงหญ้านั้นหรือไม่
นกน้อยจอมกะล่อนส่งเสียงร้องเสนาะหูมาอีกครั้ง คราวนี้มันเกาะอยู่กับกิ่งไม้ไม่ไกลจากช่องบัญชรนัก มันเอียงหัวไปข้างหนึ่งแล้วมองร่างขาวสว่างที่กำลังยิ้มกว้างราวกับเสียสติ
เจ้ามักกะลีผลผู้เพิ่ง ‘ตื่น’ มาสู่โลกอีกครั้งยื่นหน้าออกไปมองโลกกว้างภายนอก แสงสีมากมายปนเปกันไปหมด แต่สีเดียวที่เป็นหนึ่งกว่าสีใด คือสีเขียวแห่งพืชพันธุ์ นี่คือสวนสวรรค์ที่เพื่อนของเขาเคยบอกเล่าไว้หรือ
มักกะลีผลยงโย่ยงหยกอยู่ตรงหน้าต่าง ทิ้งน้ำหนักไปด้านหน้า มือจับขอบหน้าต่างกระชับมั่น พยายามยกตัวให้สูงขึ้นจากพื้น เพื่อจะออกไปจากหน้าต่างตรงนั้นไปสู่ความเขียวขจีภายนอก
***
“เดี๋ยว!”
สหเดชะทิ้งเจ้ามักกะลีผลน้อยไว้บนเตียงนอนของตน เขาผละจากไปสู่โถงอื่นๆ อันว่างเปล่าและเย็นเยียบเงียบเหงา
ขณะก้าวเดินไปตามโถงทางเดินของปราสาทอันกว้างใหญ่ เขาก็เพิ่งตระหนักได้บัดนี้เองว่า ตนเองโดดเดี่ยวเพียงใด การรักสันโดษของเขานั้นสรุปว่าดีหรือไม่ กระนั้นเขาก็ไม่ต้องการสหายมากมีหรอกนะ วิมานของเหล่าวิทยาธรที่อยู่ไม่ไกลจากเขาก็มีมากมาย ทว่าเขาก็ไม่รักจะพาทีด้วยเท่าไร ยามเมื่อเขานึกสนุกจึงเชิญสหายวิทยาธรมาที่วิมานของตนบ้างสักที มิฉะนั้นก็ไปเยี่ยมเยือนสหายอื่นๆ บ้าง
มาบัดนี้เมื่อกระหวัดไปถึงความหอมของแก้มมักกะลีผลหนุ่มน้อย ความนุ่มของผิวอันไร้จุดกระดำกระด่าง เขากลับพบว่าหัวใจกำลังเริงร้อนด้วยเปลวระอุบางอย่าง แม้นว่าเคยกอดนารีผลมาบ้าง ก็มิใช่ด้วยความรู้สึกอันโหมกระหน่ำด้วยคลื่นแห่งเปลวร้อนเช่นนี้ ความรู้สึกนี้แหละ...ยิ่งทำให้เขาตระหนักว่าวิมานแห่งนี้ หรือความรักสันโดษก็มิใช่สิ่งน่าพิสมัยอีกแล้ว
ราตรีนั้นผ่านไปด้วยการนั่งขัดสมาธิบำเพ็ญตบะให้กล้าแข็ง ทว่าแทนที่การกำหนดใจในสมาธิจะสุขสมดังเช่นเคย เขากลับรู้สึกราวนั่งอยู่บนกองถ่านแดงเริงกล้า มันร้อนราวกับจะย่างร่างของเขาให้สุก จิตเขาขยับเข้าใกล้และออกห่างสมาธิอยู่ทั้งราตรี ภาพผุดขึ้นมาในห้วงมโนนึกคือร่างกายขาวผ่อง ลำแขนกล้องแกล้งดังเทพเกลา ดวงหน้าพิสุทธิ์ราวกับอาบไว้ด้วยนวลแห่งแสงจันทร์
มักกะลีผลผู้นั้นช่างร้ายเอาการ!
เมื่อยามโกกิลาร่ำร้อง ชายป่าก็พรั่งพร้อมด้วยเสียงสกุณาฟื้นตื่นออกหากิน สหเดชะลืมตาขึ้นมาจากสมาธิอันไม่สงบ ผันกายก้าวเดินฉับๆ กลับไปยังโถงนอนของตนทันที
เมื่อก้าวมาถึงตรงประตูโถงนอนเท่านั้น เขาก็เห็นร่างผอมๆ กำลังยักแย่ยักยันอยู่กับช่องหน้าต่าง ราวกับจะกระโจนออกไปเสียให้ได้
เหมือนมีใครเอากริชมาคว้านดวงใจของเขาออกไปจากอก มันว่างโหวง และวูบหาย จนเขาต้องตะโกนออกไปสุดเสียง
“เดี๋ยว!”
ร่างนั้นชะงัก จับยึดขอบบัญชรไว้มั่น ค่อยๆ หันกลับมามองเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ท่าน” ร่างนั้นเอ่ยคล้ายไม่แน่ใจ
สหเดชะกระโจนเข้าไปในโถงนอน พริบตาเดียวก็ถึงตัวมักกะลีผล เขาจับแขนฝ่ายนั้นไว้
“จะไปไหน”
เขาเอ่ยรวดเร็ว ร้อนรน จนน้ำเสียงดุดัน ฝ่ายนั้นสะดุ้งเล็กน้อยแล้วหันหน้าหนี พยายามจะขืนกายออกจากเกาะกุม “ปะ...ปล่อยเรา”
“ประเดี๋ยวก่อน เจ้ามักกะลีผล” แทนที่จะปล่อย เขากลับจับแขนอีกข้างแล้วดึงให้หันมามองหน้ากัน “เจ้าจะไปไหน”
“เรา...เรา...จะออกไปทุ่งดอกไม้”
“อย่างนั้นหรือ” เห็นสวนขวัญอันอาบด้วยแสงสว่างแห่งพระสูรยาทิตย์แล้ว เขาก็เข้าใจ สวนดอกไม้คงคล้ายกับ ‘บ้านเกิด’ ซีนะ เขาหัวเราะออกมา “เช่นนั้นก็มาทางนี้เถิด”
เขาจับจูงเจ้าหนุ่มน้อยออกมาจากโถงนอน เดินผ่านห้องหับอันมากหลายล้วนแปลกตาแก่มักกะลีผลน้อย พอออกพ้นปราสาทมาได้ สวนขวัญแห่งสหเดชะก็นอนราบอยู่เบื้องหน้า ธารน้ำไหลตัดผ่านสวนนั้น มีสะพานหินข้ามผ่านธารน้ำ นกน้อยต่างๆ ขยับปีกขณะดื่มกินน้ำหวานเลิศรสจากดอกไม้นานาพันธุ์
สหเดชะชำเลืองมองใบหน้าของมักกะลีผล เห็นดวงตาของน้องเจ้าเบิกกว้าง แววตาเป็นประกายสว่างเจิดจ้า ปากอิ่มอ้ากว้าง ก่อนจะก้าวเท้าวิ่งออกไปสู่ความสว่างและสดชื่นนั้น
“อย่าวิ่งสิ ประเดี๋ยวจะหกขะล้ม”
แปลกจริง สหเดชะคิดในใจ นารีผลหรือมักกะลีผลที่เขาเคย ‘กอด’ ไม่เคยวิ่ง อาจแค่เดินกระย่องกระแย่ง ด้วยไม่คุ้นกับการเดินเช่นมนุษย์ ทว่าเจ้าน้องน้อยผู้นี้กลับออกวิ่งราวกับเป็นเด็กน้อยซนๆ คนหนึ่ง เพิ่งเห็นโลกใหม่อันสดใสและน่าค้นหา จึงออกวิ่งไปเพื่อให้เท้าสัมผัสกับพื้นหญ้า กับความชุ่มชื้นของธารน้ำและอากาศอวลอบด้วยกลิ่นบุปผาจรุง
หรือเพราะเป็นมักกะลีผลผู้ชาย? หรือเพราะอิทธิฤทธิ์ของพระอัศวิน?
สหเดชะส่ายศีรษะ ขณะมองเจ้าหนุ่มน้อยร่างเล็ก วิ่งไปรอบสวนดอกไม้ ใบหน้าเบ่งบานด้วยรอยยิ้ม เส้นผมอ่อนนุ่มปลิวไปกับสายลม กางแขนวิ่งไปอย่างไม่กังวลต่อสิ่งใดในโลก คงลืมไปแล้วกระมังว่าเมื่อครู่นี้เองยังทำหน้าหวาดกลัวเขาอยู่เลย
วิทยาธรหนุ่มเปิดรอยยิ้มอ่อนละมุน แล้วออกเดินไปยังร่างเล็กผอมที่กำลังวิ่งวนไปวนมา
***
มักกะลีผลน้อยรับรู้ถึงความนุ่มของผืนดิน ความรู้สึกดียามต้นหญ้าเหล่านั้นสัมผัสเท้า และอากาศอันปลอดโปร่ง แสงอาทิตย์อุ่นไม่ทำให้แสบตาสักนิด เขากางแขนออก หมุนร่างวนเป็นวงกลมคล้ายกับเจ้าลูกไม้ชนิดหนึ่งที่ปลิดจากต้นแล้วหมุนคว้างกลางอากาศลงสู่พื้นดิน
สถานที่แห่งนี้ช่างวิเศษอะไรอย่างนี้
มักกะลีผลปล่อยเสียงประหลาดๆ ออกมาอีก เขาเคยได้ยินเหล่านารีผลทำเสียงเช่นนี้ยามบอกว่าเขาแปลก แล้วก็มองเขาด้วยสายตาเอ็นดู ทว่ายามนี้แม้จะเป็นเสียงเช่นนั้นแต่มันแปลกออกไป ดังกว่าและทำให้ภายในอกของเขาโล่งสบายดีเหลือเกิน
“ชอบที่นี่หรือ? หัวเราะเสียงดังเชียว”
คนผู้นั้นมาปรากฏกายข้างๆ เขาอีกแล้ว มักกะลีผลหยุดเสียงหัวเราะไว้ แต่รอยยิ้มยังประดับบนใบหน้า ยืนนิ่งปล่อยให้ฝ่ายนั้นเข้ามาใกล้ตัว คนผู้มีร่างกายสูงใหญ่ยืนไม่ห่างจากเขา กอดอก มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม “เสียงหัวเราะของเจ้าช่างไพเราะนัก”
“เรา...” ด้วยไม่รู้อะไร จึงหันรีหันขวาง รู้สึกประหลาดจริงๆ เมื่อครู่ตอนอยู่ภายในที่แห่งนั้นถูกเขาจับแขนแล้วรู้สึกร้อนจริงๆ ร้อนไม่ต่างกับตอนนั้นเลย...ตอนที่เขาสัมผัสแก้มก่อนจะยกวัตถุยาวขาววับขึ้นมาตัดขั้ว...
มักกะลีผลเบิกตากว้าง ถอยห่างจากวิทยาธรหนุ่ม “ท่านจะทำอะไรเรา”
“ไม่ต้องกลัว” คนตัวสูงใหญ่ทำท่าจะปราดเข้ามาจับตัวอีกแล้ว “พี่ไม่ทำอะไรเจ้าดอก”
“พี่?” มักกะลีผลเอียงคอมอง
สหเดชะคลี่ยิ้ม เอ็นดู “ใช่แล้ว พี่” พอเห็นว่าคนตัวเล็กไม่ถอยหนีอีกจึงกล่าวสืบไป “อย่ากลัวพี่เลย พี่ไม่ทำอันตรายเจ้าดอก มาเถอะ มานั่งตรงริมธารนี้สิ แล้วพี่จะเอาผลไม้มาให้”
ฝ่ามือใหญ่เอื้อมมาจับแขนน้อยกล้องแกล้งของมักกะลีผล ก่อนจะจูงนำทางไปที่ริมธารใสช่วงหนึ่ง
มักกะลีผลยอมตามอย่างว่าง่าย คงเพราะความอุ่นจนร้อนซึ่งส่งผ่านมาทางสัมผัสฝ่ามือนั้นกระมัง ที่ทำให้เขาไม่สะบัดออกแล้ว อีกทั้งยังสัมผัสได้ว่าคนผู้นี้มิได้มุ่งหวังอันตรายใดๆ ต่อเขา
ในอกของมักกะลีผลนั้นอุ่นวาบ ยิ่งยามมองใบหน้าเปื้อนยิ้มน้อยๆ ของอีกฝ่ายเขาก็ยิ่งรู้สึกราวกับว่าแสงอาทิตย์นี้คงไม่มีวันหายไป
ร่างสองร่างนั่งลงกับริมธาร ตลิ่งช่วงนี้ไม่สูงนัก จึงไม่ต้องเกรงว่าจะตกลงไปในน้ำได้
มักกะลีผลปล่อยให้คนผู้มีรอยยิ้มอบอุ่นจับมือทั้งสองข้างของเขา ฝ่ายนั้นกุมมือเขาไว้หลวมๆ ส่งผ่านความอบอุ่นมาให้ เอ่ยถามเสียงไม่ดังนัก
“เจ้ามีนามว่ากระไรรึ?”
“นาม?”
“มักกะลีผลไม่มีนามเรียกกันและกันหรือ?”
เจ้าร่างน้อยส่ายศีรษะ “ทำไมต้องมีนาม?”
“เจ้าเรียกดอกไม้นี้ว่ากระไร แล้วต้นไม้ตรงนั้นเล่า? พื้นหญ้าเขียวขจีอีก เจ้าไม่มีนามเรียกมันหรือ”
มักกะลีผลส่ายหน้าอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก “ไม่...ไม่รู้”
“เช่นนั้นฤๅ”
มักกะลีผลมองหน้าอีกฝ่ายด้วยฉงน ขณะฝ่ายนั้นกำลังขมวดคิ้วครุ่นคิด พึมพำเบาๆ “นารีผลก่อนๆ ก็ไม่เคยบอกนามแก่เราสักคนนี่นะ” แล้วทันใดก็ยิ้มกว้างออกมา “เช่นนั้นพี่จะให้คำเรียกนามแก่เจ้าเอง เจ้าบอกพี่มาซิ เจ้าเห็นสิ่งใดแล้วเป็นสุข”
มักกะลีผลเอียงคอมองอีก
คนผู้นั้นขมวดคิ้ว “พี่เห็นเจ้าวิ่งเล่น หัวเราะ มีความสุข”
“แดด...แสงแดด อุ่น” ใช่ว่ามักกะลีผลจะไม่รู้ว่าสิ่งต่างๆ นั้นเรียกว่าอะไร อำนาจบางอย่างทำให้รู้ว่าสิ่งนี้สิ่งนั้นเรียกว่าอะไร แต่ก็ใช่จะรู้ทั้งหมด “เราชอบ ตอนเราตื่น...เราเห็นฝน สายฝนตกจากฟ้า แล้วเราก็เห็น...แสงแดด”
“แสงแดดหรือ”
“แล้วเราก็เห็นทุ่งดอกไม้ หญ้า เจ้าสัตว์ตัวน้อยขนปุยกระโดดแผล็วไปมา”
“สัตว์อะไรหรือ”
“หูมันยาว...” ว่าพลางก็จับหูตนเองยืดออกราวกับจะให้ยาวอย่างที่จินตนาการ “แล้วก็ตาสวย”
“กระต่ายป่าหรือ?”
“กระต่าย” ดวงตาโต สีดำสุกใส ยิ่งโตขึ้นอีก “เจ้ากระต่ายน้อยนั่นเอง” รอยยิ้มน้อยๆ แผ่กว้างสว่างจ้า มือของมักกะลีผลจับเข้าที่แขนของวิทยาธรบ้าง เขย่าอย่างเด็กดีใจ “กระต่ายน้อยน่ารัก กระโดดแผล็วไปมา”
“เจ้าชอบกระต่ายหรือ?”
“ชอบ เราชอบ มีอีก...มีสัตว์ตัวใหญ่ๆ ขายาว มันมีกิ่งไม้อยู่บนหัวด้วย กิ่งไม้ยาวๆ มากหลาย” ว่าพลางก็เอามือตัวเองไปชี้โบ๊ชี้เบ๊เหนือศีรษะ “บางตัวก็มีกิ่งเยอะๆ บางตัวก็มีกิ่งน้อย บางตัวก็ไม่มีกิ่ง”
“กวางป่านั่นเอง”
“ใช่ๆ กวางป่า กวางป่าตัวโต กับกิ่งไม้บนหัว”
“กิ่งไม้บนหัวของกวางเรียกว่าเขา”
“ใช่ๆ บางตัวมีเขา บางตัวก็ไม่มีเขา” พูดถึงตรงนี้ใบหน้าก็สลดลง
วิทยาธรหนุ่มเอ่ยถามอย่างเอ็นดู “เจ้าชอบกวางมีเขาหรือไม่มีเขา”
“ชอบทั้งสอง แต่ชอบแบบมีเขามากกว่า”
“เช่นนั้นหรือ?”
กวางตัวผู้นั่นเอง
“แล้วมีสัตว์อะไรอีก”
“มี...มีนก นกน้อยร้องเจื้อยแจ้ว” เอ่ยถึงตรงนี้เจ้ามักกะลีผลหนุ่มน้อยก็คล้ายกับนึกถึงเรื่องบางอย่างออก จึงหันซ้ายหันขวามองหาอะไรบางอย่าง
“อะไรหรือ อยากได้อะไร”
“นก เจ้านกน้อย...”
“ที่นี่มีนกในป่ามากมาย ในสวนนี้ก็มีนก เจ้าอยากได้หรือไม่ พี่จะจับให้”
“ไม่ ไม่เอา เมื่อครู่...เมื่อครู่มีนกน้อยร้องจิ๊บๆ”
วิทยาธรหนุ่มยิ้มอ่อนหวาน จับมือของเจ้ามักกะลีผลไว้มั่น “พี่จะหานกร้องเพลงมาให้เจ้า แต่ตอนนี้พี่รู้ละว่าจะเรียกเจ้าด้วยนามใด”
เจ้าน้องน้อยมองหน้าอีก
คนตัวใหญ่จึงเอ่ยคำ
“รวี...รวีพิรุณ”
คนตัวผอมทวนคำ “รวี...พิรุณ”
วิทยาธรดวงตาเป็นประกายระยับ “ใช่แล้ว รวี...คือพระอาทิตย์ พิรุณ...คือสายฝน รวีพิรุณ...เจ้าเป็นทั้งความอบอุ่นและเย็นสดชื่น เช่นผิวกายเจ้า...และรอยยิ้มของเจ้า”
มักกะลีผลหนุ่มน้อยมองหน้าบุรุษผู้มีแผ่นอกผึ่งผายผู้นี้ มองเห็นประกายบางอย่างในดวงตา มันเป็นประกายอบอุ่น ทำให้ภายในอกของเขาเต็มตื้น แล้วสีหน้าอันเจือด้วยความฉงน ลังเล ก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นยินดี เปลือกตาเคลื่อนลงมาเล็กน้อย ปากอิ่มฉีกยิ้มกว้าง แล้วใบหน้านั้นก็ระบายขึ้นด้วยรอยยิ้มที่มีความสุขที่สุดยิ่งกว่าใครในไตรโลก
“เรา...นามว่า รวีพิรุณ”
****
เจอกันตอนใหม่ในวันจันทร์หน้านะคะ (ถ้าเขียนได้เร็วกว่านี้ก็จะพยายามเอามาลงให้อ่านก่อนวันจันทร์ค่ะ ตอนนี้กำลังพยายามตุนสต็อกอยู่)
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ