ตอนที่ 9
ธาราคิดว่าช่วงนี้อะไรๆมันดีขึ้น
อะไรๆที่ว่า ก็หมายถึงคนเด็กคนนั้นนั่นแหละ
เริ่มจากที่ธาราคิดว่าติณณ์จะทานอาหารได้ดีก็ต่อเมื่อเป็นอาหารโฮมเมด ไม่ใช่ว่าอาหารอย่างอื่นจะไม่ทาน เพียงแต่ดูทรมาณทุกๆคำที่กลืนเข้าไป เขาคิดว่าช่วงนี้คงต้องทำอาหารเองบ่อยๆเพื่อเอาใจ จากนั้นก็สลับเป็นอาหารตามร้าน อีกหน่อยก็คงจะชิน และน่าจะมีเนื้อนุ่มๆให้เห็นมากกว่าข้อกระดูกในอนาคต
อย่างต่อมา เขาคิดว่าตัวเองได้พูดคุยกับติณณ์มากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการเรียน เวลามีโจทย์ฟิสิกส์ที่ไม่เข้าใจมักกล้าที่จะพูดและถาม บางทีก็เป็นโจทย์คณิตศาสตร์ ต้องขอบคุณที่ตัวเองตั้งใจเรียนมาตลอดเลยพอมีวิชาหลงเหลือไว้สอนนักเรียนบ้าง เขาไม่ได้สอนตรงๆไปเสียทุกอย่าง ส่วนมากจะปล่อยให้เด็กวิเคราะห์เองบ้าง
ธารามักจะถามกลับว่าติณณ์คิดยังไงกับโจทย์นี้? เวลาเด็กหนุ่มอภิปรายสิ่งที่ตัวเองคิด เขาชอบมองไปที่ปากเล็กๆที่เจื้อยแจ้วอย่างที่ไม่ได้เห็นบ่อยๆ ดวงตาฉายแววความมั่นใจออกมาเป็นประกาย มองๆไปแล้วธาราก็เผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว เขาชอบเวลาติณณ์หมกมุ่นกับสิ่งที่ตัวเองสนใจ มันดูเฉิดฉาย มีออร่า แต่เมื่อไหร่ที่หัวข้อการศึกษาจบลง คนเก่งของเขากลายเป็นเด็กพูดน้อยเหมือนเดิม
บางทีธาราก็อยากคุยเรื่องอื่นๆกับติณณ์บ้าง แต่พอเข้าใจว่าคนประเภทนี้คงต้องใช้เวลา
อย่างสุดท้าย ใบหน้าละอ่อนนั่นดูสดใสขึ้น สุขภาพดีขึ้น ไม่ได้โทรมอย่างแต่ก่อนแล้ว อาจเป็นเพราะเขาจับเด็กมาประโคมครีมบำรุงให้ทุกคืนก่อนนอน ทากับมือเองทุกครั้ง เพราะเด็กคนนั้นไม่มีทางหยิบของของเขามาใช้เองแน่ แต่นั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของสุขภาพผิวหน้าสดใสนั้น สาเหตุหลักคงมาจากการพักผ่อนเพียงพอ ไม่ได้สปหงกบนรถอีกต่อไปแล้ว
พูดถึงการหลับนอน ช่วงนี้ธารามักตื่นมาเจอใครบอกคนนอนซุกอกเขาทุกๆเช้า
ทีแรกคิดว่าน่าจะนอนดิ้น แต่นี่มันบ่อยเกินไปจนผิดวิสัย ไม่ใช่ว่ารำคาญอะไร รู้สึกดีด้วยซ้ำที่มีเด็กตัวอุ่นๆมาซุก แค่สงสัยเท่านั้นว่านอนดิ้นอีท่าไหนถึงมาจบที่แผ่นอกของเขาทุกๆเช้า
คืนหนึ่ง ผู้ใหญ่และเด็กหนุ่มเข้านอนเวลาปกติ คนตัวเล็กหันหลังให้ธารา ดวงตาคมมองร่างนั้นทะลุผ่านความมืดพลางคิดว่าอยากเห็นเหตุการณ์สดๆว่าเจ้าตัวดิ้นยังไง เขาจึงตัดสินใจยังไม่หลับ รอเวลาสักพัก คนข้างๆค่อยพลิกตัวมาทางด้านเขา ธาราแสร้งหลับตาเผื่อว่าแสงจันทร์มันจะสะท้อนให้เห็นว่าเขาจับตาดูอยู่ เตียงบริเวณข้างๆยุบมาทางเขาอย่างช้าๆ จนสัมผัสได้ถึงไออุ่นของร่างกาย และเสียงลมหายใจที่ตามมา
"อาธาร?"
ชื่อของเขาถูกเรียกอย่างแผ่วเบาราวกระซิบ เรียกไปมาอยู่สักพัก เมื่อธาราไม่ได้ตอบกลับอะไรศีรษะกลมก็เข้ามาซุกตรงแผ่นอกแกร่งอย่างที่เคยสัมผัสทุกๆเช้า ธาราสรุปได้ว่า นี่ไม่ใช่การนอนดิ้น หรือการละเมอ แต่เป็นการจงใจ
"จับได้แล้ว"
"!!!!!"
จากที่ติณณ์กำลังเคลิ้มหลับ อยู่ๆธาราก็ใช้แขนและมือมารวบเอวบางๆนั่นไว้แน่นราวกับจะพันธนาการไม่ให้ไปไหน ถ้าติณณ์มีหูกระต่ายมันคงชี้ตั้งขึ้นด้วยความตกใจ เด็กหนุ่มหัวใจหล่นวูบเพราะทั้งการกระทำและคำพูดนั้นส่อว่าเขาถูกจับได้แล้วจริงๆ ติณณ์พูดอะไรไม่ออกสักคำ ได้แต่ดิ้นขลุกขลิกอยู่ในอ้อมกอดนั้น แต่ดูเหมือนยิ่งดิ้นเท่าไหร่ เถาวัลย์นี้ยิ่งรัดร่างกายเขาแน่นขึ้น
"จะหนีไปไหน หืม?"
"ปล่อยก่อนครับ...ฮื่อ" เสียงเล็กครางในลำคอด้วยความอึดอัดเมื่อโดนล็อคเอวไว้แน่นกว่าเดิม ธารายกยิ้มมุมปากออกมาในความมืดเมื่อปลายผมนุ่มนั้นคลอเคลียไปมาตรงลำคอของเขา เพราะเจ้าตัวกำลังดีดดิ้น
"ไม่ปล่อย" ธาราว่าอยากสนุกสนาน "ตอบอามาก่อนสิ ว่าแอบมาซุกอกอาทำไมทุกคืน?"
ติณณ์อยากจะมุดแผ่นดินหนีเสียตรงนั้น
มันน่าอาย น่าอายมากๆ
"ไม่มีอะไรครับ" นั่นเป็นคำตอบที่สิ้นคิด ติณณ์รู้ แต่มันไม่รู้จะตอบอะไรแล้ว
"โกหก"
"ไม่มีอะไรจริงๆครับ ผมแค่นอนดิ้น...ฮื่อ! อาธาร ผมหายใจไม่ออก" ติณณ์ร้องประท้วงเมื่ออาธารกอดแน่นขึ้นอีกเหมือนจะแกล้งกัน ระยะของทั้งคู่ตอนนี้ใกล้กันมากขึ้นเพราะแรงดึง ทำให้ปลายจมูกโด่งแทบจะเสียดสีกัน
"เหรอ นอนดิ้นอะไรมีเรียกชื่ออาด้วย? ทำไม หลงเสน่ห์อาแล้วหรือไง"
เด็กหนุ่มไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะเล่นมุกแบบนี้ ทำเอาติณณ์ทำสีหน้าไม่ถูก โชคดีที่มีความมืดมาบดบังเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เห็นประกายเล็กๆจากดวงตาของอีกฝ่ายเหมือนกำลังสนุกสนาน
"ไม่ใช่ครับ" ถึงธาราจะถามเล่นๆ แต่ติณณ์ตอบจริงๆ
"งั้นก็ตอบมาสิ ไม่งั้นอาจะรัดทั้งคืนให้เอวหักคามือนี่แหละ"
ความอึกอักนั้นล้มหลามอยู่ในใจ อีกใจหนึ่งมันก็บอกให้ปิดปากเงียบเอาไว้ กลัวว่าบอกไปจะดูเป็นคนอ่อนแอ หรือต่อให้ได้แสดงความอ่อนแอก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้จักตัวตนของเขามากเกินไป เข้ามาในโลกของเขามากเกินไป แต่อาธารอาจจะไม่ยอมให้เขาเข้าไปในโลกอีกฝ่ายเลยก็ได้ เหมือนกับว่าไม่อยากรู้สึกสนิทกับใครอยู่ฝ่ายเดียวอีกแล้ว
แต่อีกใจหนึ่งมันก็อัดอั้น อยากจะพูดสิ่งที่อยู่ในใจให้ใครสักคนฟังบ้าง
"ผมนอนไม่หลับ" สุดท้ายติณณ์เลือกที่จะตอบแค่นั้น
คนฟังเมื่อได้ยินเสียงอันแผ่วเบาที่แฝงไปด้วยความเศร้าสร้อยนั้นก็นิ่งไปครู่ คนในอ้อมกอดไม่ได้พูดอะไรต่อเขาจึงไม่ได้เซ้าซี้พลางนึกถึงคืนแรกที่เด็กนี่มานอนที่คอนโดแห่งนี้ เขาจำได้ว่าเจ้าตัวร้องไห้ ต้องดึงมากอดปลอบถึงจะสงบและผล็อยหลับไป ธาราเดาว่าติณณ์คงมีเรื่องและอารมณ์สีเทาๆในใจมากมายแต่ไม่ค่อยแสดงออกเป็นสีหน้าและคำพูด เขาอยากให้เจ้าตัวระบายออกมาบ้าง แต่กลัวว่าการเค้นถามจะเป็นการกดดันมากเกินไป
ถ้าถึงเวลาที่เหมาะสม คงจะพูดออกมาเองล่ะมั้ง
"โอเค อาเข้าใจแล้ว" มือใหญ่เคลื่อนจากเอวบางไปที่ศีรษะกลม "ไม่ต้องคิดมาก นอนกันนะ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าไปโรงเรียน"
ติณณ์รู้สึกขอบคุณที่อีกฝ่ายไม่ได้มีคำถามอะไรต่อ ถึงแม้ว่าทั้งสองแทบจะไม่มีระยะห่างต่อกัน แต่คนตัวเล็กยังเขยิบตัวเข้าใกล้อีกนิดแล้วเอาศีรษะซุกตรงแผ่นอกอย่างที่ชอบแอบทำประจำ แต่วันนี้ไม่ต้องแอบแล้ว แถมยังมีท่อนแขนแข็งแรงทั้งสองข้างโอบกอดเอาไว้อีกต่างหาก
อุ่น อ้อมกอดของอาธารอุ่นที่สุดเลย
ช่วงนี้มึงหล่อขึ้นหรือเปล่าวะ วันนี้ติณณ์โดนทักแบบนี้หลายรอบมากจากที่โรงเรียน
เขาไม่เข้าใจว่าตัวเองดูดีขึ้นตรงไหน ก็เหมือนเดิมตลอดนี่ หรือเป็นเพราะเป็นตัวเองเลยไม่ได้สังเกต
"หล่อจริง หน้ามึงดูใสๆขึ้นยังไงไม่รู้ ไม่ได้เป็นแพนด้าอย่างแต่ก่อน" โต้ยืนยันอีกเสียง
นิ้วเรียวยกขึ้นแตะใบหน้าตัวเองด้วยความรู้สึกประหม่า เมื่อก่อนเขาดูแย่ขนาดนั้นเลยหรือ? จริงสิ หรืออาจเป็นเพราะครีมบำรุงหน้ามหัศจรรย์ของอาธาร ที่เคลมว่าทาแล้วหน้าใสกิ๊งเหมือนพักพ่อนมาสิบชาติ แต่จะว่าไปติณณ์ก็พักผ่อนเพียงพอมากกว่าแต่ก่อนจริงๆแหละ ไม่ใช่เพราะพึ่งยานอนหลับ แต่เป็นเพราะอ้อมกอดอุ่นๆของใครอีกคน
"แล้วนี่มึงเอาไรมากิน?" โต้ถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นว่ามื้อกลางวันของเพื่อนไม่ใช่ขนมปังโง่ๆอีกต่อไป แต่เป็นมักกะโรนีกุ้งที่ใส่กล่องสำหรับอาหารอย่างดี "เชี่ย มึงซื้อมาจากไหนวะ โคตรน่ากิน"
"เปล่า มีคนทำให้"
"ใคร?"
"..." ติณณ์ไม่รู้จะอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับอาธารยังไงดี "อาที่รู้จักกัน"
"ชื่อ?"
"อาธาร"
"หน้าตาเป็นยังไง"
"ไม่ใช่เรื่องของมึง"
โต้หัวเราะออกมาเสียงดังเมื่อโดนด่าเข้าให้ ติณณ์เป็นพวกด่าแล้วไม่รู้สึกโกรธแต่กลับรู้สึกสะใจชอบกล เขามองคนข้างๆยัดอาหารใส่ปากด้วยความเร็วกว่าปกติ แถมยังกวาดเสียหมดเกลี้ยง นี่มันไม่ธรรมดา ติณณ์ไม่เคยกินข้าวเร็วขนาดนี้ สงสัยจะถูกปาก
หลังจากมื้อกลางวันผ่านไป โต้บอกเพื่อนว่าจะไปเข้าห้องน้ำแปปนึง เมื่อเดินมาถึงห้องน้ำชายเขาก็ชะเง้อมองว่าติณณ์ไม่ได้ตามมาจริงๆ จึงยกโทรศัพท์คู่ใจตัวเองขึ้นมา กดโทรหาใครบางคนที่ได้ติดต่อกันเมื่อเช้านี้แล้ว
"สวัสดีครับคุณอา ครับ ทานหมดเกลี้ยงเหมือนอดมาจากไหนก็ไม่รู้ ผมไม่เคยเห็นมันทานเร็วขนาดนี้มาก่อนเลย แสดงว่าคุณอาทำอร่อยมากๆ...อ่า วันนี้ก็ดูปกตินะครับ หมายถึงตั้งใจเรียน เรียนอย่างเดียว ไม่ค่อยพูดเหมือนเดิม เรียนอย่างกับจะเอาโอลิมปิกเหรียญทองเลย อ้อ อีกอย่างนึง ผมว่าติณณ์ดูหล่อขึ้นนะครับ"
ก็ยอมรับแหละ ว่าโต้เป็นสายลับให้ใครบางคน
"อือฮึ โอเค ขอบคุณมากที่ช่วยดูให้"
ธารากล่าวขอบคุณก่อนที่จะวางสายจากเพื่อนของเด็กคนนั้น วันนี้เขาลองให้โต้เป็นหูเป็นตาที่โรงเรียนให้ ช่วงนี้มันรู้สึกเป็นห่วงติณณ์ขึ้นมาเวลาอยู่นอกสายตา เลยอาศัยถามคนรอบตัวอีกฝ่ายแทน เพราะถ้าจะให้โทรถามเจ้าตัวโดยตรง คงจะเน้นตอบให้เขาสบายใจมากกว่า
อย่างน้อยก็ได้รับรู้เรื่องดีๆสองอย่าง หนึ่ง ติณณ์ทานอาหารของเขาจนหมดอย่างเคย สอง คนอื่นๆเริ่มเห็นว่าติณณ์หน้าตาไม่ได้โทรมอย่างเก่าแล้ว
คนมันเลี้ยงดีน่ะ
ในระหว่างธารากำลังคิดอะไรเพลินๆ เสียงโทรศัพท์มือถือก็กรีดร้องขึ้นมาอีกครั้ง มันถูกโทรเข้าด้วยเบอร์แปลก เขาขมวดคิ้วสงสัยก่อนที่จะกดรับสาย "สวัสดีครับ?"
"สวัสดีครับไอ้คุณธารา" เสียงปลายสายว่าอย่างสนิทสนม แถมเสียงยังคุ้นๆเหมือนเคยได้ยินที่ไหน
"ไม่ทราบว่าผมกำลังพูดอยู่กับใครครับ?"
"ลืม ทำลืม กูแสงเพื่อนร่วมสาขามึงไง"
"แสง..." ธาราใช้เวลารื้อฟื้นความจำ "ไอ้แสง!?"
'แสง'เป็นเพื่อนร่วมสาขา ร่วมคณะ ร่วมมหาวิทยาลัยตอนสมัยปริญญาตรี จัดว่าเป็นเพื่อนสนิทของธาราในสมัยนั้น จากนั้นก็ไปเรียนต่อและทำงานที่ต่างประเทศจนไม่ได้เจอกัน ธาราคุยกับคนปลายสายอย่างออกรสอย่างที่ไม่ได้ติดต่อกันมานาน จับใจความได้ว่าแสงจะย้ายมาทำงานที่ประเทศไทยแล้ว วันนี้เครื่องจะลงตอนค่ำๆ เลยโทรมานัดธาราไปทานข้าวด้วยกันในมื้อเย็น
หลังจากที่ธารารับเด็กกลับจากโรงเรียนก็บอกอีกฝ่ายอย่างชัดเจนว่าเย็นนี้อาจะไปทานข้าวกับเพื่อนนะ ชื่ออาแสง เป็นเพื่อนสมัยเรียนป.ตรี เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ อาจะกลับบ้านสักสามทุ่ม ติณณ์ทานข้าวเย็นก่อนได้เลย อาสั่งไว้ให้แล้ว อยู่บ้านเป็นเด็กดีนะ ติณณ์รับฟังประโยคบอกเล่านั้นอย่างเข้าใจ ก่อนที่อาธารจะแต่งตัวหล่อแล้วเดินออกจากคอนโดนี้ไป
ติณณ์มาอยู่ที่นี่ได้สองสามสัปดาห์แล้ว เขาเริ่มชินกับบุคคลและสถานที่ พอถึงคราวที่ต้องอยู่คนเดียวแล้วรู้สึกแปลกๆ
เด็กหนุ่มนั่งทานอาหารเย็นอยู่คนเดียว พอไม่มีใครมาบังคับให้ทานก็ทานช้าลงในระดับที่เจ้าถุงเงินยังกินข้าวในชามหมดก่อนเขา
คนเก่งนั่งทำการบ้านอยู่ตรงที่ประจำ พลางเล่นกับแมวบ้าง ทั้งๆที่มันสงบดีและเป็นกิจวัตรประจำวันที่ควรจะชิน แต่ติณณ์รู้สึกมีอะไรบางอย่างขาดหายไป
ดวงตากลมมองไปที่นาฬิกาเรือนสวย
สามทุ่มนี่ นานเหมือนกันนะ
ธาราสงสัยว่าอยู่ๆตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
ร้านเหล้า
จะอะไรเสียอีก พอทานอาหารเย็นกับไอ้แสงเสร็จแล้ว มันก็ชวนมาต่อที่นี่ พร้อมให้เหตุผลประกอบว่าไม่ได้มาร้านเหล้าที่ไทยนานแล้ว อยากมารื้อฟื้นความจำอะไรเสียอย่าง ธาราก็ไม่ได้ขัด ช่วงนี้เขาทำงานหนักจนไม่ได้เที่ยวกลางคืนอย่างที่ชอบทำมานานแล้ว ไหนๆก็มีโอกาสพักผ่อน ขอใช้เวลาสักนิดจะเป็นอะไรไป
"คนนั้นน่าสนใจว่ะ"
แสงสะกิดให้เพื่อนหันไปมองสาวสวยที่กำลังกรีดกรายเรือนร่างไปตามจังหวะเพลง มันสาธยายความงามของหญิงสาวให้เขาฟังสักพักก็หายตัวไปกับฝูงชน คงจะออกล่าเหยื่อ
ธาราไม่ได้เดินตามไป เขานั่งดื่มอยู่ตรงบาร์เงียบๆ วันนี้เขาไม่ได้ตั้งใจจะล่าเหยื่อ เพียงแค่อยากมาพักผ่อนเท่านั้น
แต่ด้วยรูปลักษณ์อันน่าหลงใหลของนักล่า ทำให้เหยื่อไม่น้อยจ้องตาเป็นมัน อยากจะโดนร่างกายอันแข็งแกร่งนั้นกัดกินอย่างเร่าร้อน ธาราเป็นคนมี sex appeal สูง เพียงแค่ปรายตาคมกริบไปมองใครบางคนเข้า คนๆนั้นก็รู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนกับองค์ประกอบที่ดึงดูดทุกๆเพศนั้น
"มาคนเดียวหรอครับ"
วันนี้มีเหยื่อมาถวายตัวให้ธาราถึงที่
ร่างสูงมองสำรวจคนที่เข้ามาทักทาย เป็นชายหนุ่มอายุราวสามสิบ โครงหน้าสวยหวานน่ารักน่ามอง รูปร่างสมส่วนอย่างที่ธาราชอบ และสิ่งที่ชอบที่สุด คือสายตาพราวระยับอันยั่วยวนนั้น อย่างที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการเขามากแค่ไหน
ชัดเจน ตรงไปตรงมา ธาราชอบแบบนี้
เครื่องดื่มที่เต็มไปด้วยแอลกอฮอล์ไหลรินลงริมฝีปากบางเฉียบ ลิ้นอุ่นแลบเลียริมฝีปากอย่างเชื่องชาพลางมองไปที่เหยื่อตัวน้อยนั่น
ขอกลืนคำพูดตัวเองที่ว่าคืนนี้ไม่ได้ตั้งใจจะล่าเหยื่อ
จะให้ทำอย่างไรเล่า ในเมื่อเนื้อหอมๆรสโอชะมันหลอกล่ออยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
อาขอเลื่อนเวลาเป็นเที่ยงคืนนะ ติณณ์หลับไปก่อนได้เลย อาธารว่าแบบนี้ในเวลาสี่ทุ่มกว่าๆ
ถึงจะสงสัยว่าทำไมอยู่ๆถึงเลื่อนเวลา แต่ติณณ์ก็ไม่ได้เอ่ยถามออกไป คงจะเป็นธุระส่วนตัว
เด็กหนุ่มไม่ได้ว่าอะไร อาธารคงจะอยากพักผ่อน อาธารมีสังคมของเขา ติณณ์เข้าใจดี เข้าใจมากๆ แต่ทำไมถึงรู้สึกอยากให้อาธารกลับมาไวๆก็ไม่รู้
ติณณ์เลิกมองนาฬิกา แล้วหันมาทำการบ้าน อ่านหนังสือเพื่อไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่านอย่างเคย พออ่านไปเรื่อยๆหนังตามันก็เริ่มล้า ช่วงนี้ความสามารถในการอดนอนของเขาลดลง เป็นเพราะช่วงนี้เข้านอนไวบ่อยๆจนเคยชิน เด็กหนุ่มอาบน้ำชำระร่างกายจนเรียบร้อยแล้วเข้าไปที่ห้องนอน เขาเดินผ่านหน้ากระจกที่มีครีมบำรุงของอาธารเต็มไปหมด ดวงตาใสหยุดมองมันอยู่สักพัก พลางคิดอะไรนิดหน่อยอยู่ในหัว ก่อนที่จะสลัดมันออกแล้วปิดไฟนอนอย่างที่ควรจะทำ
พลิกซ้าย
พลิกขวา
นอนหงาย
เอาหน้ามุดผ้าห่ม
ติณณ์พยายามทุกท่าแล้ว แต่นอนไม่หลับ เตียงนี้มันกว้างเกินไปที่จะนอนคนเดียว แถมยังหนาว แม้จะเอาผ้าห่มมาพันร่างตัวเองแน่นๆแล้วก็ยังรู้สึกอุ่นไม่พอ
มือเรียวเอื้อมไปสัมผัสพื้นที่อันว่างเปล่าข้างๆ พลางคิดว่า ถ้ามีแผ่นอกของอาธารให้ซุก คงจะหลับง่ายกว่านี้
แบบนี้ไม่ดีเลย ติดอาธารแบบนี้ไม่ดีเลย
คนตัวเล็กถอนหายใจ ก่อนที่จะลุกขึ้นเดินไปที่ห้องนั่งเล่น ดวงตากลมกวาดหาเจ้าแมวพันธุ์สก็อตทิช โฟลด์อยู่สักพักก็เจอเจ้าตัวขนขดตัวอยู่บนโซฟา เจ้าทาสนั่งลงข้างๆมันอย่างเบาๆเพราะกลัวแมวตื่น พลางโน้มตัวลงไปฟัดขนนิ่มๆนั้นอย่างมันเขี้ยว เจ้าแมวครางเงี๊ยวๆเหมือนละเมอทำให้ติณณ์ยิ้มออกมาบางๆ
เที่ยงคืนกว่าๆ
อาธารยังไม่กลับมา
ติณณ์ตัดสินใจที่จะรอ ต่อให้เข้านอนยังไงก็นอนไม่หลับ เขานั่งๆนอนๆเล่นกับเจ้าถุงเงินซ้ำไปซ้ำมา มาถึงจุดหนึ่งก็เบื่อเพราะแมวไม่ยอมเล่นด้วย มันคงจะง่วงและรำคาญมนุษย์คนนี้ไม่น้อย ติณณ์เลยเอนตัวนอนบนโซฟา ดึงเจ้าแมวอ้วนเข้ามากอด ตัวอุ่นๆขนนิ่มๆทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้เขานอนหลับได้อย่างสบายใจอยู่ดี
ความอ้างว้างล้อมรอบกายอย่างน่าหดหู่ มีแต่ความเงียบงันที่คอยเป็นเพื่อนกัน ติณณ์คิดมาตลอดว่าตัวเองชอบอยู่คนเดียว ไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวาย แต่วันนี้เขาได้คำตอบแล้ว ว่าความจริงแล้วเขาไม่ได้ต้องการอยู่คนเดียวเลย
แค่หลอกตัวเองว่าแข็งแกร่ง อยู่คนเดียวได้ ไม่ต้องพึ่งพาใคร
ภาพที่มองไปยังประตูห้องเริ่มพร่ามัวเพราะแผ่นฟิล์มของน้ำตา พอกะพริบตาทีนึง น้ำตามันก็หยดออกมาเป็นเม็ดใสๆ
อีกแล้ว ฟุ้งซ่านอีกแล้ว
ตีหนึ่งครึ่ง เป็นเวลาที่รถคันหรูของธาราจอดที่คอนโดมิเนียม
เขาไม่ได้นอนค้างคืนกับคู่นอน พอแลกเปลี่ยนความสุขสมกันเสร็จสรรพก็ต่างกันแยกย้าย จะให้ค้างคืนได้อย่างไร เขามีเด็กให้ดูแลอยู่ที่คอนโด แต่ป่านนี้เจ้าตัวคงนอนหลับปุ๋ยไปแล้ว
เป็นไปตามคาด เมื่อธาราเปิดประตูเข้าไป ติณณ์หลับไปเรียบร้อยแล้ว แถมยังนอนกอดเจ้าถุงเงินด้วย
ส่วนสิ่งที่เหนือคาด ติณณ์ไม่ได้หลับบนเตียงนอน แต่กลับเป็นบนโซฟาในห้องนั่งเล่นนี้
ทำไมมานอนตรงนี้?
ธาราย่อตัวลงตรงนั้น มองเผินๆเหมือนแมวสองตัวนอนกอดกัน เขามองภาพนั้นด้วยความเอ็นดู แต่แล้วต้องชะงักลงเมื่อสังเกตเห็นคราบน้ำตาบนแก้มใส ความเปียกชื้นที่แพขนตา และปลายจมูกสีแดงก่ำ
ร้องไห้หรือ?
พอคิดแบบนั้นหัวใจมันก็หล่นไปที่ตาตุ่ม คำพูดที่ติณณ์บอกว่านอนไม่หลับนั้นไหลย้อนมาในสมอง หรือจะคิดมากตอนค่ำๆเหมือนวันแรก? ธารานึกโกรธตัวเองที่กลับมาช้าเพราะมัวไปเสพสุขอยู่คนเดียว ปล่อยให้เด็กตัวจ้อยนอนร้องไห้อยู่ที่คอนโด
นิ้วสากลูบเบาๆที่พวงแก้มนั้น สายตาคมมองไปที่ใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ก่อนจะโอบอุ้มร่างบางๆไปที่ห้องนอน แล้ววางลงอย่างทะนุถนอม จากนั้นก็อาบน้ำขัดล้างกลิ่นแอลกอฮอล์ที่ติดตัวให้สะอาดมากพอที่จะกลับมานอนกอดเด็กขี้แงของเขา
"ฮื่อ..." ธารามองคนในอ้อมกอดครางฮือเหมือนรู้สึกตัวจากการโดนโอบกอด ติณณ์ซุกใบหน้าอย่างโหยหาไออุ่นบริเวณลำคอของผู้ใหญ่อย่างไม่รู้ตัว "แม่...แม่กลับมาแล้วหรอ"
ธาราฟังด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง
"อย่าทิ้งติณณ์ไปไหนอีกนะ"
"..."
"ติณณ์เหงา..."
คำพูดที่เอ่ยออกมาอย่างไม่มีสตินั้นทำให้ธาราอยากจะลงโทษตัวเองหนักๆ เขากอดร่างนั้นแน่นๆอย่างกลัวว่าเด็กคนนี้จะรู้สึกอ้างว้าง ริมฝีปากอุ่นประทับลงบนหน้าผากเนียนนั้นอย่างปลอบประโลม
"ขอโทษ อาขอโทษนะติณณ์" ธาราเอ่ยคำนั้นซ้ำไปซ้ำมาทั้งคืน "อาอยู่นี่...และอาจะไม่ไปไหนอีกแล้ว"
หลังจากนี้ธาราคิดว่าจะไม่เที่ยวกลางคืนจนดึกดื่นแบบนี้อีกแล้ว และบทลงโทษของเขาคืนนั้น คือการที่ธารานอนไม่หลับทั้งคืน
talk.
สาปอาธารได้แต่อย่าแรงมากนะคะ ;3; คูมอาผิดไปแร้ว
พูดคุยและติดตามตอนใหม่ๆได้ที่ทวิตเตอร์ @TiXA_20X และแฮชแท็ก #เด็กมันน่ารัก นะคะ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม รักเสมอ