ลิขิตครั้งที่ 17
เดินออกนอกอาคารได้ไม่กี่ก้าวมือถือก็สั่นเหมือนปลายสายรู้ตารางเรียนของผมเป็นอย่างดี ชื่อของคนที่ไม่ค่อยได้โทรคุยกันนักโชว์บนหน้าจอ ดูท่าแล้วคงเป็นเรื่องเร่งด่วนถึงได้โทรมาหา
"ครับแม่"
[เลิกเรียนหรือยังลูก]
"เพิ่งเลิกเลยครับ"
[พอดีแม่กำลังเคลียร์ห้องเก็บของ ว่าจะเอาไปขาย รถจะมารับบ่ายนี้ แม่ค้นเจอกล่องเก็บของเก่าของลิขิตน่ะลูก เลยโทรมาถามว่าจะเก็บไว้มั้ย]
"ในกล่องมันมีอะไรอ่ะแม่"
[ก็มีพวกของเล่นเล็กๆ การ์ดวันเกิด ซองจดหมาย]
"แม่ถ่ายรูปส่งมาให้ผมหน่อยได้มั้ย"
[ส่งไปแล้วจ้า ลิขิตไม่ตอบสักทีแม่เลยลองโทร]
"โอเคแม่ งั้นผมขอดูรูปก่อนแล้วจะบอกนะครับ"
วางสายจากแม่ผมก็รีบกดเข้าไลน์ แม่ส่งรูปมาให้พร้อมบอกรายละเอียดเมื่อชั่วโมงก่อน แต่ไลน์ดันไม่แจ้งเตือน มาเอ๋ออะไรตอนนี้ก็ไม่รู้
รูปที่แม่ส่งมามีสองรูป เป็นรูปด้านข้างกล่องกับรูปที่เปิดฝากล่องแล้วถ่ายด้านใน ทุกอย่างที่อยู่ในนั้นมันเก่ามากจนผมเองก็ลืมไปแล้วว่าเคยเก็บของพวกนี้ไว้ด้วย เป็นของกระจุกกระจิกที่ได้รับมาจากหลายๆ คน ของที่เคยมีความหมายในวัยเด็ก แต่เมื่อเวลาผ่านไปผมก็เก็บของเหล่านั้นยัดลงกล่องและลืมเลือนไปตามกาลเวลา
'เก็บไว้ให้ก่อนนะแม่อย่าเพิ่งขาย เดี๋ยวผมไปเอา'
พิมพ์ตอบแม่กลับไปแล้วผมก็โดนเพื่อนเรียกพอดี
"สรุปมึงจะกลับหอเลย?" พสุถาม ก่อนหน้านี้พวกมันชวนกันไปหาอะไรกิน ผมปฏิเสธบอกไปว่าจะกลับหอ อยากรีบไปหาแมวว่าจะพาไปหาอะไรกิน แต่ตอนนี้เหมือนจะต้องเปลี่ยนแผนซะแล้ว
"ว่าจะกลับบ้านว่ะ"
"มีเรื่องอะไรหรือเปล่า" คิรินถาม ตอนผมคุยโทรศัพท์กับแม่เมื่อกี้ก็เห็นมันมองตลอด
"แม่กูจะเก็บของเก่าขายทิ้ง ว่าจะกลับไปดูหน่อย"
"รีบขนาดนั้น"
"เออ แม่นัดรถเก็บของไว้บ่าย"
"ของสำคัญเหรอวะ"
"ประมาณนั้น"
"แล้วกลับยังไง" มงคลถามบ้าง
"แท็กซี่มั้ง"
พวกมันไม่ถามอะไรต่อ พากันเดินไปส่งผมขึ้นรถที่หน้ามอ ระหว่างเดินพวกมันก็พูดถึงร้านที่ชวนกันไปกิน ส่วนผมก็ต้องรายงานคนที่ห้องก่อนจะโดนงอน
ผมโทรไปสองสายแต่ไม่มีคนรับ ไม่รู้ล่อนจ้อนหลับ ลืมวิธีรับโทรศัพท์ หรือไม่มีความสามารถในการใช้อุ้งตีนแล้วกันแน่ สุดท้ายเลยต้องพิมพ์บอกเอาไว้
"วันนี้กลับช้าหน่อยนะ เรากลับบ้านไปดูของนิดหน่อย..."
"อะไรของมึงเนี่ย" ผมรีบเอามือถือซ่อนหลังจากโดนพสุแอบอ่านข้อความ แล้วแม่งก็อ่านโคตรเร็ว มึงไปประกวดเดอะแร็ปเปอร์ได้เลยนะเนี่ย
"จริงๆ ที่บอกว่าอยากรีบกลับไปนอนเพราะมึงแอบซุกเด็กไว้ใช่มั้ย" มันชี้หน้าถามอย่างจับผิด
"กูก็สงสัย ตอนนั้นที่มึงบอกคุยกับแมว สรุปคือยังไง แมวปลอบก็บอกมา" คิรินเข้ามาร่วมวงอีกคน ส่วนมงคลที่ไม่พูด ก็ใช่ว่าไม่ได้สนใจ
"ตอนนั้นก็คุยกับไอ้กาลไง"
"กูไม่เชื่อแล้ว"
พวกมันสามคนยืนล้อมวงดักไว้อย่างกับกลัวผมจะวิ่งหนีไปไหน มาอีกขนาดนี้แล้วผมยอมรับก็ได้ กับใครคนนั้นสถานะที่ตกลงกันก็ชัดเจนแล้วด้วย
"เออ กูมีคนคุย พอใจยัง"
"จริงดิ ใครวะ" พสุทำตาโต สีหน้าอยากรู้อยากเห็นสุดๆ คิรินเองก็ไม่ต่าง
"แล้วที่บอกกลับช้านี่คือยังไงวะ อยู่ด้วยกัน?"
"กูก็แค่จะไปหา"
"อยากเห็นหน้าเลย"
"ถ้าพร้อมเดี๋ยวกูเปิดตัวเองอ่ะ"
"รออย่างใจจดใจจ่อ" พสุพูด คิรินเองพยักหน้าเห็นด้วย พอเป็นเรื่องแบบนี้ล่ะเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย
ก่อนที่มันจะได้ซักไซ้อะไรผมมากกว่านี้แท็กซี่ก็มาพอดี ผมรีบก้าวขึ้นรถ พิมพ์ข้อความที่ค้างไว้ให้จบแล้วกดส่งให้ล่อนจ้อน
'วันนี้กลับช้าหน่อยนะ เรากลับบ้านไปดูของนิดหน่อย แม่โทรมาบอกว่าเจอกล่องเก็บของเก่าๆ คิดว่ามันอาจจะมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเราอยู่ก็ได้ แล้วจะซื้อขนมไปฝาก'
รถแท็กซี่จอดหน้าบ้านตอนคนกำลังขนของขึ้นรถพอดี แม่ผมยิ้มกว้างแล้วดึงผมเข้าไปกอด ทำอย่างกับว่าไม่ได้เจอกันมาแสนนาน
"กินข้าวมาหรือยัง"
"ยังเลยครับ รีบมาเนี่ย"
"เมื่อเช้าแม่ทำผัดเปรี้ยวหวานไว้ ไปกินก่อนไป"
"ครับ"
"ว่าแต่ไอ้กล่องนั่นมันมีอะไรถึงต้องกลับมาดูเองเลย"
"ก็ของเก่าๆ อ่ะแม่ บางชิ้นเพื่อนให้มาก็อยากเก็บไว้ก่อน เลยต้องมาเลือกเอง"
"แต่เก็บใส่กล่องเอาไว้ในห้องเก็บของเนี่ยนะ"
"มันก็ต้องเคลียร์ห้องไงแม่"
"จ้าๆ เข้าบ้านไปก่อนไป เดี๋ยวเสร็จแล้วแม่ตามไป"
"ครับ"
เข้ามาในบ้านทิ้งกระเป๋าไว้บนโซฟาผมก็เดินเข้าครัว บนโต๊ะกินข้าวมีกล่องกระดาษกับผัดเปรี้ยวหวานวางอยู่คู่กัน คำสั่งของแม่คือให้กินข้าวก่อน ผมเองก็หิวมากด้วยเพราะยังไม่ได้กินอะไรก่อนออกมา แต่สำหรับตอนนี้คิดว่าอะไรน่าสนใจกว่ากัน ระหว่างผัดเปรี้ยวหวานของแม่กับกล่องเก็บของเก่าของผม
ผัดเปรี้ยวหวานถูกเมิน ผมเปิดกล่องกระดาษแล้วหยิบของออกมาดูทีละชิ้น พวงกุญแจที่เพื่อนชอบซื้อมาฝากเวลาไปเที่ยว สมุดโน้ตเล็กๆ ที่เขียนไม่กี่หน้า กล้องถ่ายรูปของเล่นที่ได้มาเป็นของขวัญวันเกิด การ์ดอวยพรต่างๆ และซองจดหมาย
ของที่เคยอยู่ในกล่องบัดนี้วางกองอยู่เต็มโต๊ะ ในกล่องยังมีของเหลืออยู่อีกนิดหน่อย แต่ซองจดหมายสีขาวยับย่นเปรอะเปื้อนหนึ่งเดียวซองนี้น่าสนใจกว่า ผมลากเก้าอี้มานั่ง กำลังจะเปิดซอง แล้วในจังหวะแบบนี้มักจะมีใครสักคนชอบเข้ามาขัดเสมอ
"แม่บอกให้กินข้าวก่อนไง"
"เดี๋ยวกินครับ"
"จะบ่ายสองแล้วรีบกินข้าวเลย แล้วทำไมรื้อของออกมากองแบบนี้เนี่ย เดี๋ยวฝุ่นก็เข้ากับข้าวหมด" บ่นไปแม่ก็เก็บของใส่กล่องไปก่อนยกไปวางข้างล่าง จะเหลือก็แต่จดหมายในมือผม
"กับเข้าปิดฝาไว้อยู่ผุ่นไม่เข้าหรอกแม่"
"อย่าเถียงสิ"
"แต่แม่เอาวางไว้บนโต๊ะนี้เองนะ"
"ยังจะเถียงอีก"
ฟาดแขนผมเบาๆ ไปหนึ่งทีแม่ก็จัดการตักข้าวเอาน้ำมาให้ เตรียมเสร็จก็ไม่ไปไหนนั่งเฝ้าผมกินข้าวอยู่ฝั่งตรงข้าม เลยต้องวางซองจดหมายที่อยากเปิดดูเอาไว้ก่อน
"ไปเที่ยวบ้านสวนเป็นไงบ้าง"
"ก็ดีครับ ไปทะเลมาด้วย แต่ไม่ได้เล่น"
"ทำไมล่ะ"
"น้ำมันลงเยอะมากเลยแม่ คนก็น้อย ไม่ได้เตรียมตัวจะไปเล่นด้วย ไปเดินเอาบรรยากาศมากกว่า"
"เห็นพ่อบอกพาเพื่อนไปด้วย"
"ครับ เพื่อนที่มหา'ลัย มันไม่ค่อยได้ไปเที่ยวอ่ะแม่ ก็เลยพาไปด้วย"
"เขาชอบมั้ย"
"ชอบครับ"
"วันหลังชวนมาเที่ยวบ้านได้นะ แม่จะทำกับข้าวให้กิน"
"ไว้จะลองชวนนะครับ"
แม่ยิ้มกว้างมองผมกินข้าว เรื่องฝีมือการทำอาหารเป็นหนึ่งในสิ่งที่แม่ภูมิใจเลย ไอ้กาลก็เรียนกับแม่นี่แหละถึงได้ทำอาหารเป็น ส่วนผมเป็นพวกขี้เกียจไม่เอาอะไรสักอย่าง ถ้ามีโอกาสผมเองก็อยากพาล่อนจ้อนมากินกับข้าวฝีมือแม่เหมือนกัน ถ้าชวนยังไงเจ้าตัวก็มาแน่
"แล้วค้างมั้ยวันนี้" แม่ผมชวนคุยต่อ นานๆ ลูกชายจะกลับบ้านเลยมีเรื่องให้คุยมากมายไปหมด
"ไม่ค้างหรอกครับ เดี๋ยวกาลมันเหงา มานี่ยังไม่ได้บอกมันเลย"
"รายนั้นมาบ่นกับแม่ประจำเลยว่าเรียนหนักงั้นงี้"
"มันอ้อนมากกว่าแม่ อยู่หอไม่เห็นบ่นอะไรเรื่องเรียนเลย มันฉลาดจะตาย"
"แล้วลิขิตล่ะเรียนเป็นไงบ้าง ไม่เห็นมาบ่นให้แม่ฟังบ้าเลย"
"ก็เรื่อยๆ ครับไม่ถึงกับแย่ อาทิตย์หน้าสอบมิดเทอมแล้วคงไม่ได้กลับบ้าน"
"พูดเหมือนปกติกลับบ่อย"
ผมฉีกยิ้มให้แม่ ลูกชายบ้านนี้หลังจากเข้ามหาวิทยาลัยก็ทำตัวเหมือนโดนไล่ออกจากบ้าน ติดหอติดเพื่อน เดือนนึงกลับบ้านสองครั้งก็ถือว่าเยอะแล้ว ถึงจะไม่ชอบกลับบ้านแต่พวกผมก็ไม่ได้ทำตัวห่างเหินครอบครัวขนาดนั้นนะ ในไลน์ยังแอคทีฟตลอด
"เดี๋ยวปิดเทอมก็กลับมาอยู่ยาวๆ แล้วแม่"
"อีกตั้งนาน แม่ก็คิดถึงลูกแม่เหมือนกันนะ"
"ผมก็คิดถึงแม่เหมือนกันครับ" ผมอ้อนไม่เก่งเท่าไอ้กาล เวลาพูดอะไรแบบนี้มันก็เลยรู้สึกเขินหน่อยๆ
"แล้วจะกลับกี่โมง รอเจอพ่อก่อนมั้ย"
"พ่อเลิกดึกอ่ะ ตอนเย็นรถติด กว่าผมจะถึงห้องอีก"
"แม่จะฟ้องพ่อว่าลิขิตไม่อยากเจอ"
"โห แม่อ่ะ ใส่ร้าย"
"รีบๆ กินเลย ไม่หมดสักที" แม่ว่าก่อนพยักพเยิดมาที่จานข้าวผม
"ก็แม่ชวนคุย"
"ไม่คุยแล้วก็ได้" ว่าแล้วทำหน้างอนใส่
ถ้าเป็นไอ้กาลล่ะก็มันคงถลาเข้าไปกอดแม่แล้วหอมแก้มสักที แต่ผมน่ะก็ทำได้เพียงแค่พูดง้อ เนี่ย ถ้าแม่เป็นเหมือนล่อนจ้อนผมคงซื้อขนมมาง้อแล้ว
แม่นั่งเป็นเพื่อนจนผมกินข้าวเสร็จ เก็บจานให้แล้วก็ไล่ผมไปนั่งพัก ปล่อยให้ผมได้มีเวลาส่วนตัวกับกล่องเก็บของที่รื้อไปแล้วหนึ่งรอบ
ผมนั่งลงบนพื้นหลังพิงโซฟาข้างๆ กล่องเก็บของ หยิบซองจอดหมายสีขาวล้วนที่แสนเลอะเทอะขึ้นมาดูอีกรอบ พลิกหน้าพลิกหลังไม่เจอชื่อคนส่งหรือตัวหนังสือใดๆ บนซอง เมื่อเปิดมันออกก็เจอการ์ดด้านใน อาจจะเป็นการ์ดอวยพรวันเกิดจากเพื่อนสักคน
หยิบการ์ดสีชมพูอ่อนออกมาจากซอง ด้านหน้ามีรูปเด็กผู้ชายที่คนให้น่าจะวาดเอง ด้านล่างของรูปมีหมึกสีดำเขียนว่า ‘ถึงลิขิต’
ผมเปิดการ์ดออก มีข้อความเขียนอยู่ไม่กี่ประโยค กวาดตามองรอบเดียวก็เข้าใจถึงสิ่งที่คนให้ต้องการสื่อ นี่ไม่ใช่การ์ดอวยพรทุกชนิด แต่เป็นการ์ดสารภาพรัก หรือเรียกว่าจดหมายสารภาพรักน่าจะเหมาะกว่า
‘เราเป็นลูกคนสวน เราเป็นผู้ชาย ไม่รู้ลูกเจ้านายอย่างนายจะรังเกียจไหม เราชอบลิขิตนะ - พุดตาน’
คล้ายกับการ์ดแผ่นนี้เป็นตัวเก็บความทรงจำวัยเด็ก เมื่อผมอ่านอักษรตัวสุดท้ายความทรงจำที่เคยเลือนรางก็เริ่มชัดเจนขึ้นมา ในความฝัน ชื่อนั้นที่หายไป ความเกลียดชังที่ไม่รู้ที่มา จุดเริ่มต้นมันเกิดจากจดหมายสารภาพรักฉบับนี้
จดหมายที่ล่อนจ้อนหรือพุดตานให้ผมตอนปิดเทอมอายุสิบขวบ
ผมกลับมาถึงหอตอนห้าโมงครึ่ง เปิดประตูห้องก็เจอกับแมวสีขาวนั่งรออยู่ มันร้องเสียงดังรีบเข้ามาคลอเคลียเมื่อผมเดินเข้าไปข้างใน และทันทีเมื่อประตูปิดลงเจ้าแมวขาวก็กลายร่างเป็นคนยืนเปลือยล่อนจ้อนยิ้มกว้างอยู่ตรงหน้าผม
"ขนม" พูดทักทายพร้อมกับแบมือขอ
"ไปใส่เสื้อผ้าก่อนไป"
ล่อนจ้อนก้มลงหยิบผ้าขนหนูที่กองอยู่บนพื้น เจ้าตัวคงลากมาไว้และวางแผนไว้แล้วว่าจะกลับมาเป็นคนตอนไหน พันมันไว้รอบเอวแล้วก็ยิ้มให้ผมอีกรอบ ก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าห้องนอน
ผมพยายามปั้นหน้าให้เป็นปกติทั้งที่ภายในใจกำลังกระวนกระวายและสับสน มองแผ่นหลังนั้นค่อยๆ เดินห่างออกไป ยิ่งคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก็ยิ่งตอกย้ำว่าตัวผมนั้นมันแย่แค่ไหน เกลียดชังคนอื่นเพียงเพราะโดนผู้ชายสารภาพรัก แต่กลับกัน ในตอนนี้ผมกลับเป็นฝ่ายตกหลุมรักอีกฝ่ายเสียเอง
"พุดตาน"
เจ้าของชื่อหันกลับมา ใบหน้าที่ดูเหมือนแมวนั้นนิ่งอึ้ง หากความทรงจำของผมกลับมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้วล่อนจ้อนเองก็น่าจะเป็นเหมือนกัน
ผมก้าวเข้าไปหา หยุดยืนตรงหน้า ลูบเรือนผมสีบลอนด์ที่ชอบ มอบความอ่อนโยนให้ สิ่งที่ผมในตอนนั้นไม่เคยทำกับคนตรงหน้าเลย
"ขอโทษนะ"
ความเกลียดชังนั้นรับรู้แล้วใช่มั้ย สายตาที่น่ารังเกียจนั้นจำได้แล้วใช่มั้ย แล้วยังจะยอมให้อภัยกันอีกหรือเปล่า
"แค่ไม่รักน่ะ ไม่ผิดหรอก" น้ำเสียงที่เอ่ยนั้นอ่อนโยน คนตรงหน้าแย้มรอยยิ้มที่ผมชอบ สายตาไร้แววขุ่นเคืองใดๆ
หากรักครั้งนี้สมหวัง ผมสาบานว่าจะดูแลคนคนนี้อย่างดี
"กลับมาเป็นคนเหมือนเดิมนะพุดตาน"
คำขอที่พูดไปจะเป็นจริงไหมผมไม่รู้ จะเป็นคำพูดที่ถูกต้องหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ แต่ทุกพยางค์ที่เอ่ยออกไปนั้นมาจากความตั้งใจ เช่นเดียวกับผมในวัยสิบขวบ ความตั้งใจอันแรงกล้าที่อยากให้พุดตานกลายเป็นแมวเพื่อรับรู้สิ่งที่ทำลงไปนั้น ไม่ต่างกับความรู้สึกของผมตอนนี้ที่อยากให้พุดตานกลับมาเป็นคนอีกครั้งเลย
"พุดตาน" แต่พอต้องเรียกชื่อจริงแบบนี้มันไม่ชินปากเลยให้ตาย
"เรียกล่อนจ้อนเหมือนเดิมก็ได้"
ผมถอนหายใจดังเฮือก รู้สึกโมโหจนอยากต่อยปกตัวเองแรงๆ สักหมัด ผิดกับล่อนจ้อนที่ดูไม่แปลกใจเลยที่เรื่องกลายเป็นแบบนี้ มันไม่สมเหตุสมผล โดนผมเกลียดเพราะมาสารภาพรักไม่พอ แถมยังโดนผมสาปให้กลายเป็นแมวมาตั้งสิบปี ทำไมล่อนจ้อนถึงต้องพบเจอเรื่องราวบัดซบแบบนี้ เรื่องราวที่ผมเป็นคนกำหนดมัน
"ทำหน้าเครียดอยู่ได้ ไหนยิ้มดิ๊" คนหน้าแมวยื่นหน้ามามอง แต่งตัวด้วยชุดที่ผมซื้อให้เรียบร้อยแล้วมานั่งประกบผมบนโซฟา พูดไปก็ยิ้มให้ดูแต่ผมทำตามไม่ไหวจริงๆ
"ไม่ให้เครียดได้ไง"
"บอกไปแล้วไง ว่าแค่ไม่รักไม่ผิดหรอก"
"แต่ก็ไม่ควรเกลียดหรือเปล่า"
"เอาอะไรกับเด็กสิบขวบ"
"สิบขวบก็น่าจะคิดดีกว่านั้นได้"
"มันผ่านไปแล้ว"
"ก็ยังรู้สึกแย่อยู่ดี"
ผมควรจะโดนอะไรบ้าง โดนลงโทษอะไรก็ได้โทษฐานที่ทำให้ชีวิตคนอื่นพัง ไม่ใช่ยังใช้ชีวิตอย่างสุขสบายแบบนี้ แค่เสียความรู้สึกอย่างเดียวมันไม่พอ
"โอ๊ย!"
ล่อนจ้อนหยิกแขนผมแรงมากจนสะดุ้งทั้งตัว จากแมวน่ารักๆ ก็กลายร่างเป็นแมวโหดขึ้นมาเสียอย่างนั้น แถมยังพูดจาโหดร้ายใส่อีก
"รำคาญ!"
"เจ็บ" เจ็บที่ใจจริงๆ ไม่ได้แกล้ง เกิดมายังไม่เคยโดนที่ชอบด่าว่ารำคาญด้วยสีหน้าจริงจังขนาดนี้มาก่อน
"สมควร"
"อย่าใจร้าย"
"ก็ใจดีด้วยแล้วไม่ชอบ"
"ถามจริงๆ นะ ไม่โกรธเลยจริงดิ" หลังจากถูกสารภาพรักทางจดหมายผมก็ทำเฉยชาใส่ล่อนจ้อนสารพัด ที่เจ้าตัวเคยบอกว่าไม่ค่อยได้เล่นด้วยกันแท้จริงแล้วเป็นเพราะผมไม่เล่นด้วยเอง ซ้ำร้ายกว่านั้นยังเคยด่าล่อนจ้อนว่าไอ้ตุ๊ด สายตาของล่อนจ้อนหลังจากโดนผมเกลียดก็ใช่ว่าจะยอมอ่อนให้นัก ประมาณร้ายมาร้ายกลับ เวลาที่สบตากันผมจะเห็นแต่ความเย็นชาในสายตาคู่นั้นทุกครั้งไป
"ตอนนั้นก็โกรธ แต่ตอนนี้ไม่รู้จะโกรธไปทำไม"
"ไม่ใช่แค่เรื่องนั้น หมายถึงทุกเรื่องที่ผ่านมา สิ่งที่เราทำลงไป"
"แค่สิบขวบ แล้วก็ไม่รู้ตัวไม่ใช่เหรอว่าสาปคนอื่นได้ แต่ถ้าบอกว่ารู้ตัวก็จะโกรธ"
ผมขอสาบานเลยว่าไม่เคยรู้ตัว และไม่รู้ด้วยว่าไอ้เรื่องแปลกประหลาดที่สุดในชีวิตที่ปู่เคยพูดให้ฟังมันจะส่งผลทำให้ชีวิตของคนที่เข้ามาพัวพันเป็นแบบนี้ ผมไม่กล้าพูดหรอกว่าถ้ารู้แล้วจะกำหนดให้ล่อนจ้อนเป็นอย่างอื่น แต่ผมไม่มีทางกำหนดให้ชีวิตใครพังแบบนี้แน่นอนถึงจะเกลียดก็เถอะ
"ไม่รู้ตัวจริงๆ"
"งั้นก็รู้ไว้ เราไม่โกรธเด็กสิบขวบที่ทำอะไรไปโดยไม่รู้ตัวหรอก"
ผมเถียงไม่ออกแล้ว ไม่กล้าพูดขัดอะไรทั้งสิ้น ล่อนจ้อนไม่โกรธและไม่เคยกล่าวโทษที่ไอ้เด็กสิบขวบคนนั้นทำให้ชีวิตตัวเองต้องลำบากขนาดนี้ ซ้ำยังให้อภัยกันอีก
"ขอบคุณนะ"
"แต่ตอนนี้เราอยากรู้แค่อย่างเดียว"
ใจที่กำลังจะฟูฟ่องโดนบีบให้กลับมาแฟบเหมือนเดิม แววตาที่เคยมั่นคงกำลังมองผมด้วยความสั่นไหว
"ความรู้สึกที่ลิขิตมีต่อเราน่ะ มันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ใช่มั้ย"
ให้อภัยแต่ไม่ไว้ใจอย่างนั้นสินะ
ถึงจะยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ผมก็มั่นใจแล้วว่าความรู้สึกที่มีให้ล่อนจ้อนตอนนี้เป็นยังไง พัฒนาไปถึงขั้นไหน และอยากให้จบลงที่ความสัมพันธ์แบบใด ตอนเด็กผมไม่ชอบผู้ชาย ไม่อยากโดนล้อ ไม่อยากโดนมองไม่ดี แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนความคิดก็ย่อมเปลี่ยน ความสัมพันธ์ของคนใกล้ตัวที่เคยได้รับรู้ มันไม่ได้แย่เลยหากเปิดใจรับจริงๆ
"มันเปลี่ยนมานานแล้ว"
"แม้จะจำเรื่องตอนเด็กได้แล้วก็..."
"ก็ยังรักล่อนจ้อนเหมือนเดิมนั่นแหละ"
คนถูกสารภาพรักไม่ทันตั้งตัวเขินตัวแดงแป๊ด แดงตั้งแต่หน้าลามลงมายันคอ ล่อนจ้อนมองผมนิ่งกลายเป็นแมวโดนสตัฟฟ์ไปแล้ว
"อึ้งเลยเหรอ"
"อยู่ๆ ก็โดนบอกรัก ขออึ้งหน่อยเถอะ" ตอบกลับมาเสียงอ้อมแอ้ม ก้มหน้าหลบตามองมือตัวเอง
"รักไปแล้วจริงๆ นะ"
"อื้ม รู้แล้ว"
"ไม่บอกกันบ้างเหรอ"
"ก็เคยบอกไปแล้วไง"
"ไม่ใช่ว่าลืมหรอกเหรอ" เป็นผมบ้างที่ถามเสียงอ้อมแอ้ม ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้เข้าใจมาตลอดว่าล่อนจ้อนลืมเพราะเจ้าตัวเคยเล่าให้ผมฟังแบบนั้น ทุกย่างมันกลับมายังจุดเริ่มต้นในวันที่เราเจอกันวันแรก ความรู้สึกที่เริ่มจากศูนย์จนเกือบเต็มร้อยในวันนี้
"ก็ลืม"
"แล้วยังไง ไม่เคยบอกกันซักหน่อย"
"มันลืมแต่ไม่ได้จางหายไปทั้งหมด ในใจมันบอกตลอดว่าคนนี้คือคนพิเศษนะ แต่ก็ไม่รู้ว่าพิเศษยังไง เลยตีความหมายไปว่าพิเศษเพราะช่วยให้กลับมาเป็นคนได้ แต่ตอนนี้รู้แล้ว"
"รู้แล้วว่า"
"ว่ารักไง"
รอบนี้ผมโดนน็อก ยิ้มค้างเป็นคนบ้า รู้สึกเลือดกำลังสูบฉีดดีเป็นพิเศษ เรามาเขินหน้าแดงเป็นเพื่อนกัน
"แล้วลิขิตว่าที่พูดขอให้กลับมาเป็นคนจะได้ผลมั้ย"
"เปลี่ยนเรื่องเฉย"
"ให้เปลี่ยนเถอะ เป็นแมวไม่เคยเขินขนาดนี้เลย"
"แล้วที่สารภาพตอนนั้นไม่เขินเหรอ"
"ก็บอกว่าให้เปลี่ยนเรื่อง"
ผมหลุดหัวเราะกับท่าทางน่ารักๆ ของแมวที่กำลังโวยวาย ต้องดึงเข้ามากอดล็อกตัวเอาไว้ระหว่างขาถึงจะยอมสงบ
"ไหน เมื่อกี้ถามว่าอะไรนะ" เกยคางบนไหลแล้วกระซิบถาม ใจอยากจะดึงขึ้นมานั่งตักให้รู้แล้วรู้รอด
"คิดว่าที่พูดไปมันจะได้ผลมั้ย"
"ต้องได้ผลดิ เราตั้งใจมากนะ ถ้าเป็นคนแล้วจะได้ไปไหนมาไหนได้อิสระ ไม่ต้องอุดอู้อยู่ในห้อง"
"แต่ก็ยังไปไหนไม่เป็นอยู่ดี"
"เดี๋ยวสอนให้น่า สอนมาตั้งหลายอย่างแล้ว"
หลังจากกลับมาเป็นคนได้แล้วชีวิตล่อนจ้อนจะเปลี่ยนไปยังไงบ้างผมยังเดาไม่ถูก ที่แน่ๆ ความทรงจำเกี่ยวกับล่อนจ้อนที่ทุกคนลืมเลือนไปจะกลับมา มันน่าลุ้นตรงที่ช่วงเวลาสิบปีที่หายไปนั้นมันจะถูกจัดแต่งให้เป็นยังไง
"แสดงว่าก็ไปเรียนกับลิขิตได้ด้วยใช่มั้ย"
"ได้ดิ จะพาไปเปิดตัวกับเพื่อนด้วย"
"เปิดตัวอะไรอ่ะ"
"เปิดตัวว่าที่แฟนไง แต่ตอนนี้ยังเป็นคนคุย" เรื่องเปิดตัวเนี่ย ผมเพิ่งจะบอกเพื่อนไปวันนี้เอง ถ้าเกิดทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วล่ะก็ ผมจะพาไปเปิดตัวพรุ่งนี้เลย
"เออ แล้วลิขิตว่า..."
"เปลี่ยนเรื่องอีกแล้ว"
"งั้นก็ไม่ต้องคุยเลย" โดนทักรอบนี้ล่อนจ้อนสะบัดตัวจนหลุดออกจากอ้อมแขนผมแล้วมานั่งจ้องหน้าด้วยสายตาแมวกำลังจะโกรธ
"อย่าเพิ่งงอนดิ"
"ไม่ได้งอน รำคาญลิขิตอ่ะ ชอบขัด"
"อย่าพูดว่ารำคาญ มันเจ็บ"
ผมดึงแขนล่อนจ้อนให้กลับมานั่งท่าเดิม แต่เปลี่ยนตำแหน่งนิดหน่อยให้มานั่งตักแทน คนในอ้อมกอดก็ยอมนั่งนิ่งๆ แต่โดยดี เพราะถ้าหากขยับตัวยุกยิกมากๆ ล่ะก็ได้จบเหมือนเมื่อวันก่อนแน่
"เมื่อกี้จะพูดว่าอะไรนะ"
ยังไม่ทันได้คำตอบล่อนจ้อนก็สะดุ้งเมื่ออยู่ๆ ประตูห้องก็เปิดออก ผมหันไปมองเห็นไอ้กาลยืนอยู่ตรงประตู มันเหล่ตามองผมก่อนเดินเข้ามา ส่วนล่อนจ้อนน่ะตัวแข็งไปแล้ว
"อ้อ ตามสบาย" มันหันมามองเราแวบหนึ่งแล้วเดินเข้าห้องตัวเองไป แต่หน้าตาตอนมันพูดน่ะโคตรกวนประสาท เก็บเข้าลิสต์เรื่องที่จะแซวผมไปแล้วแน่ๆ
"ไอ้กาลมันว่างั้นน่ะ"
"ปล่อยเลย"
ผมยอมปล่อยให้ล่อนจ้อนนั่งดูทีวีดีๆ ส่วนผมก็นั่งมองเจ้าตัวอีกที ชอบมองดูปฏิกิริยาต่างๆ ที่แสดงออกมาอย่างซื่อตรง มีความสุขก็ยิ้ม โกรธก็บึ้ง ยกเว้นก็แต่เวลาเศร้าที่ไม่ยอมร้องไห้ เป็นคนอดทนเข้มแข็ง ไม่เคยแสดงความรู้สึกอ่อนแอออกมาให้ได้เห็นนัก
หากพรุ่งนี้การกำหนดชีวิตใหม่ของล่อนจ้อนได้ผล ผมเองก็จะทิ้งความรู้สึกแย่ๆ ในตอนนี้ เข้มแข็งให้มากขึ้น และเริ่มต้นใหม่ให้ดีกว่าอดีตที่ผ่านมา
tbc.
เฉลยชื่อแล้วววว มีใครเดาถูกบ้าง
จากนี้เรื่องราวจะคลี่คลายหมดแล้วนะคะ เพราะอีกไม่กี่ตอนก็จะจบแล้ว
วันเสาร์หน้าไม่ได้อัพน้า ติดธุระนิดหน่อย เจอกันอีกเสาร์นู่นเลย
ขอบคุณทกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า