ลิขิตครั้งที่ 7
ล่อนจ้อนหายไปตัวไปตั้งแต่ประมาณสี่ทุ่มเมื่อคืน จนกระทั่งใกล้เที่ยงแล้วก็ยังไม่กลับมา ผมใส่มาสก์ออกไปเปลี่ยนน้ำเทอาหารไว้ให้ก่อนจะแวะไปโรงพยาบาลตามนัดฉีดวัคซีนแล้วไปเรียนต่อช่วงบ่าย รวมถึงเขียนป้ายแผ่นใหม่ไว้ด้วยว่าวันนี้จะกลับกี่โมง
จัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็กลับเข้ามาในห้องปิดประตูล็อกกลอนแล้วออกไปเรียน มันอาจจะดูน่ากังวลที่ล่อนจ้อนหายไปหลายชั่วโมงแต่ผมคิดว่าผมรู้เหตุผลที่มันทำแบบนั้นเลยไม่กังวลเท่าไร ในเมื่อมันไม่สามารถควบคุมการกลายร่างได้ จะกลายเป็นคนหรือกลับไปเป็นแมวตอนไหนก็ไม่รู้ ถ้าเกิดนอนอยู่ที่ระเบียงแล้วกลายร่างเป็นคนขึ้นมามันก็ใช่เรื่อง จะให้เข้ามาในห้องแล้วอยู่ๆ กลับไปเป็นแมวอีกก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นไม่ได้นอนกันทั้งคืนแน่
ถ้ารู้กฎเกณฑ์หรือควบคุมการกลายร่างได้เมื่อไร ผมจะให้มันเข้ามาอยู่ด้วยแน่นอน
ตอนเช้าที่ไม่ยอมมาหากันอาจจะไม่ใช่เพราะโดนโกรธ แต่ถ้ายังไม่รีบกลับผมจะอาจจะมีรอยแมวข่วนฝากไว้ที่หน้าอีกก็ได้
ผมเขียนเวลากลับไว้บนป้ายประตูระเบียงว่าห้าโมงเย็น แต่สองทุ่มครึ่งแล้วเพิ่งได้ออกจากโรงหนังหลังจากโดนพวกมันคะยั้นคะยอให้มาดูด้วยกัน โอเค เอาใหม่ ผมจะไม่แก้ตัว ผมอยากดูหนังเรื่องนี้ พอพวกมันชวนเลยรีบตอบตกลงโดยไม่ได้คิดถึงอะไรทั้งสิ้น เพิ่งมาได้สติก็ตอนมือถือสั่นถี่ๆ ช่วงกลางเรื่องแต่ผมมีมารยาทพอที่จะไม่หยิบมันขึ้นมาดู ซึ่งก็เดาได้ไม่ยากหรอกว่าคนที่โทรมาเป็นใคร อยู่กับเพื่อนกันครบแก๊งขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่พ่อก็ไอ้กาล อ้อ พี่ณดาด้วยอีกคน แต่รายนั้นไม่ค่อยทักมากวนเวลานี้ เบอร์โทรศัพท์ไม่มีไม่น่าจะโทรหากันได้ ฉะนั้นตัวเลือกที่เป็นไปได้ที่สุดก็คือเหนือกาล
'มึงรีบกลับเดี๋ยวนี้เลย'
นอกจากมิสคอลสามสายก็มีประโยคคำสั่งที่ส่งมาทางไลน์เมื่อยี่สิบนาทีก่อน
"พวกมึง กูกลับก่อนนะ" บอกพวกมันสามคนแล้วก็ตั้งท่าเตรียมจ้ำหนี แต่โดนพสุรั้งไว้ด้วยคำถาม
"เอ้า จะไปไหนวะ ไม่กินข้าวด้วยกันก่อน"
"ไอ้กาลมีปัญหา"
เพื่อนทั้งสามพร้อมใจกันทำหน้าสงสัย และเมื่อผมตอบมันก็แทบจะถีบส่งไล่ผมทันที
"แมว"
ผมกลับมาถึงห้องสามทุ่มกว่า ไอ้กาลนั่งเล่นมือถืออยู่ที่โซฟา มันแทบจะกระโดดกัดคอตอนผมเปิดประตูเข้ามาในห้อง แต่ทำไมสถานการณ์มันถึงได้ดูปกติขนาดนี้ ทั้งไอ้กาล แล้วก็วี่แววของล่อนจ้อน
"ล่อนจ้อนอ่ะ"
"มึงไปดูเอาเอง" มันบุ้ยปากไปที่ประตูห้อง ทำเอาใจเต้นเลย แม่งเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าวะ
"มันมาแล้วเหรอ"
"ไปดูเอง แล้วก็จัดการเอง เพราะกูคงช่วยอะไรมึงไม่ได้"
ฉิบหาย เริ่มกลัวแล้วไหมล่ะ แมวมันโมโหร้ายมั้ยวะ ผิดนัดไปหลายชั่วโมงแบบนี้ ผมจะไม่โดนมันกระโดดถีบยอดหน้าเอาใช่มั้ย
ผมเปิดประตูห้องนอน เปิดไฟด้วยใจลุ้นระทึกแต่เมื่อห้องสว่างทุกอย่างกลับยังดูเป็นปกติสุขดี ล่อนจ้อนไม่อยู่ ไม่ว่าจะในร่างคนหรือแมว ก็แน่ล่ะ ไอ้กาลอยู่ห้องมันเข้ามาไม่ได้อยู่แล้ว อีกอย่างผมไม่อยู่มันจะกลายร่างเป็นคนได้ไง แล้วสรุปมันเกิดอะไรขึ้นวะไอ้กาลถึงได้สั่งให้ผมรีบกลับ
มองสำรวจห้องคร่าวๆ แล้วก็เดินไปที่ระเบียง ผ้าม่านที่เปิดไว้รวมถึงแสงสว่างจากในห้องพอจะทำให้มองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้บ้าง เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมไอ้กาลถึงพูดแบบนั้น
ผมเปิดไฟระเบียง เปิดประตูออกไปดูแล้วถอนใจดังเฮือก โถ พ่อแมวโมโหร้าย จัดการป้ายบอกเวลาของผมซะไม่เหลือชิ้นดี กลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยกระจายไปทั่วระเบียง
ยังดีที่ล่อนจ้อนมันเล่นงานแค่ป้าย ชามอาหารกับน้ำ แล้วก็เบาะนอนยังอยู่ในสภาพดี เพราะถ้าหากมันพังทุกอย่างผมจะโกรธคืน โทษฐานที่ไร้เหตุผลเกินไป
"ล่อนจ้อน เรากลับมาแล้ว" ยืนทำใจกับเศษซากอารยธรรมสักพักผมก็ลองตะโกนเรียกมันที่ระเบียง แต่แค่ครั้งเดียวพอเดี๋ยวชาวบ้านเขาจะด่าเอา จะมาหรือไม่มาก็แล้วแต่มันตัดสินใจเอง
ผมกลับเข้าไปเอาไม้กวาดกับที่โกยขยะมาจัดการทำความสะอาดระเบียง คิดแล้วก็อยากซื้อมือถือให้มันชะมัด กลับช้ากลับเร็วจะได้โทรบอก แต่อยู่ในร่างแมวก็ใช้ไม่ได้อีก ลำบากลำบนจริงๆ
เอาเป็นว่าถ้าหายโกรธแล้วกลับมาหาเมื่อไรจะทำของอร่อยๆ ให้กินเป็นการไถ่โทษแล้วกันไอ้แมวขี้งอน
เลิกเรียนกลับมาถึงห้องตอนบ่ายโมงกว่ายังไม่ทันได้วางของผมก็โผล่หน้าไปดูที่ระเบียง ล่อนจ้อนยังไม่มา ไม่มีแมวนอนอยู่บนเบาะ อาหารก็เหมือนจะยังไม่ยุบ ป้ายที่แปะบอกเวลากลับไว้ตอนเช้ายังอยู่ในสภาพดี อย่าบอกนะว่าโกรธถึงขั้นไม่ไยดีกันเลย
ในเมื่อเป็นแบบนี้คงต้องใช้แผนสอง
ผมกลับเข้ามาในห้อง เก็บของเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเขียนป้ายแผ่นใหม่ไปติด ดำเนินการตามแผนที่คิดมาแล้วทั้งคืน ทีแรกผมตั้งใจว่าถ้ากลับมาถึงหอแล้วล่อนจ้อนมาหาก็จะชวนมันเข้ามาข้างในแล้วทำกับข้าวให้กิน แต่เพราะมันไม่มาเลยเปลี่ยนป้ายเชิญชวนใหม่ จากนั้นก็ไปทำกับข้าวเตรียมไว้รอมันมากิน ซึ่งไอ้แผนที่ว่ามานั้นไม่ว่าจะหนึ่งหรือสองก็ไม่ได้ต่างอะไรกันนักหรอก
'มาแล้วก็เข้ามาในห้องนะ เสื้อผ้าวางอยู่บนเตียง เราอยู่รอที่โซฟา'
ติดป้ายเสร็จผมก็แง้มประตูไว้เล็กน้อย เตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่วางไว้ให้บนเตียง จากนั้นก็ออกไปเตรียมมื้ออาหารสุดพิเศษสำหรับง้อแมว
เมนูง่ายๆ ที่คิดว่ามันน่าจะชอบ เพราะผมก็ทำอะไรที่มันยากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีเมนูพิเศษของผมก็เสร็จเรียบร้อย กลิ่นหอมลอยตลบอบอวนไปทั่วห้องเมื่อผมยกจานมาวางไว้ที่โต๊ะ เทข้าวสวยที่ซื้อมาใส่จานสองใบวางไว้คนละฝั่ง รินน้ำใส่แก้ว จัดโต๊ะรอแขกพิเศษที่ยังไม่แน่ใจว่าจะมาเมื่อไร แล้วถ้าเกิดรอจนกับข้าวเย็นชืดแต่ล่อนจ้อนยังไม่มาผมจะทำยังไงดี กินก่อนเลยดีไหมคนยิ่งหิวๆ เพราะยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงอยู่
จัดโต๊ะเสร็จเรียบร้อยผมก็ยืนมองด้วยความพอใจ กำลังจะถอดผ้ากันเปื้อนออกคนที่รอก็โผล่หน้าออกมาจากห้องนอน ทำหน้านิ่งไร้อารมณ์แต่ตาจ้องของกินบนโต๊ะเขม็ง
เป็นไงล่ะหอมล่ะสิ นี่คือไข่เจียวทรงเครื่องสูตรเด็ดของเหนือกาล ที่เหนือลิขิตได้ลองทำครั้งแรกในชีวิต
"กินข้าวกัน" ผมชวนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ถอดผ้ากันเปื้อนไปแขวนไว้แล้วไปพาคนที่ยืนแอบอยู่ในห้องออกมา
ล่อนจ้อนยังทำเป็นนิ่ง มันยอมให้ผมจูงมือออกมาโดยไม่ขัดขืน ผมเลื่อนเก้าอี้ให้มันนั่ง ปูผ้าบนตักกับผูกผ้ากันเปื้อนที่คอให้ ก่อนผมจะเดินอ้อมมานั่งฝั่งตรงข้าม เป็นไง บริการทุกระดับประทับใจอย่างกับโรงแรมห้าดาว
"รู้จักไข่เจียวใช่มั้ย"
"รู้" ตอบกลับมาซะเสียงแข็งเชียว
"เราทำเองเลยนะลองดูกิน"
ล่อนจ้อนเหลือบตามองผมเลยยิ้มกว้างให้ มันหยิบช้อนส้อมขึ้นมาแต่หยิบจับไม่ถนัดมือนัก ผมเลยตักไข่เจียวใส่จานให้ มองมันตักข้าวกินท่าทางเหมือนเด็กที่เพิ่งหัดจับช้อนส้อม เห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้เลย
"เป็นไงอร่อยมั้ย" ถามหลังจากมันกินเข้าไปคำแรก
ล่อนจ้อนนิ่งไป ทำเอาผมใจแป้วไปเลยเพราะไม่ได้ชิมก่อนเลยไม่รู้ว่ารสชาติเป็นยังไง แล้วอยู่ๆ มันก็น้ำตารื้นขึ้นที่ขอบตา ก่อนจะไหลผ่านแก้ม ทำเอาใจผมร่วงไปตาตุ่ม
รสชาติมันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอวะ กินแค่คำเดียวถึงกับต้องร้องไห้เลย
"ร้องไห้ทำไม"
"อร่อย"
"ฮะ"
"อร่อย"
"อร่อยแล้วร้องไห้ทำไม"
"ก็มัน...อร่อย" มันเริ่มกินต่อ กินไปน้ำตาก็ไหลไป เคี้ยวไปก็ยิ้มไป เป็นภาพประหลาดๆ แต่กลับให้ความรู้สึกที่ดี
ล่อนจ้อนไม่ได้ร้องไห้หนัก น้ำตามันไหลไม่กี่หยดช่วงแรกแต่เพราะมันไม่ยอมเช็ดออกผมเลยยื่นมือไปเช็ดให้ เข้าใจแล้วว่าทำไมมันถึงร้องไห้ น้ำตาที่ไหลเพราะความสุข สำหรับอาหารแบบมนุษย์มื้อแรกหลังจากกลับมาเป็นมนุษย์
ไม่รู้เพราะหิวหรือเพราะเป็นกับข้าวที่ทำเองผมถึงได้รู้สึกว่ามื้อนี้มันอร่อยกว่าปกติ ล่อนจ้อนกินไปก็ยิ้มไป ท่าทางจับช้อนที่เหมือนเด็ก เม็ดข้าวที่ติดอยู่ตรงแก้ม รอยยิ้มกับแววตาเป็นประกาย มันทำให้ผมมีความสุขมากจริงๆ ที่ทำให้ใครสักคนมีความสุขได้ขนาดนี้
"อิ่มมั้ย เพิ่มข้าวอีกได้นะ"
"เอาอีก"
ผมเทข้าวเพิ่มให้ หยิบข้าวที่ติดตรงแก้มออกให้ด้วย แต่คนที่กำลังเพลิดเพลินกับของกินตรงหน้าไม่ได้สนใจว่าผมจะทำอะไรเท่าไร
"ล่อนจ้อน"
เจ้าของชื่อที่ผมตั้งให้เงยหน้ามอง อารมณ์ดีขนาดนี้จะหายโกรธกันหรือยัง
"เมื่อวานขอโทษนะที่ผิดนัด แอบเถลไถลไปดูหนังมา" สารภาพโดยไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น
จากหน้ายิ้มๆ กลับมานิ่งสนิท มือที่ถือช้อนส้อมหยุดขยับ ล่อนจ้อนจ้องหน้าผมโดยไม่พูดอะไรจนชักรู้สึกใจไม่ดี นี่ผมเลือกจังหวะพูดผิดหรือเปล่าวะ
"ยังโกรธอยู่เหรอ"
"ขอบคุณ"
ผมเลิกคิ้วมองกลับ ล่อนจ้องยังคงจ้องหน้าผม มันยิ้มก่อนจะพูดออกมาอีกครั้ง
"ขอบคุณนะ อร่อย"
ความรู้สึกใจฟูเหมือนไข่เจียวเพราะมีความสุขมันเป็นแบบนี้นี่เอง
ผมกินอิ่มก่อนเลยวางช้อนส้อมแล้วนั่งดูล่อนจ้อนค่อยๆ ตักข้าวกินด้วยวิธีการจับช้อนแปลกๆ ผมสอนวิธีจับให้มันใหม่ แต่กินไปสักพักมันก็กลับมาจับแบบเดิมเลยไม่บังคับ คงต้องค่อยๆ ฝึก ค่อยๆ ปรับกันไป
"ล่อนจ้อน เมื่อวันก่อนตอนที่กลับไปร่างแมวได้คิดอะไรมั้ย หรืออยู่ๆ มันก็เปลี่ยนร่างไปเอง" นึกขึ้นได้ผมเลยรีบถาม
"ไม่ได้คิด...อะไร"
"แสดงว่าอยู่ๆ ก็กลับไปเป็นแมวเอง แบบหมดเวลาประมาณนั้นใช่มั้ย"
"น่าจะใช่"
ตอนกลายร่างมาเป็นคนผมพอเข้าใจแล้ว แต่ยังไม่เข้าใจการกลับไปเป็นแมวเลยสักนิด หลังจากนี้ต้องลองนับเวลาดู บางทีมันอาจจะมีเวลากำหนดไว้อยู่แล้วว่าอยู่ในร่างคนได้กี่ชั่วโมง
หลังจากจัดการทุกอย่างจนเกลี้ยงผมก็ยกจานมาล้างโดยมีแมวเดินพันแข้งพันขาอยู่ไม่ห่าง จนสุดท้ายยืนดูเฉยๆ ไม่ไหวก็ออกปากขอ
"ช่วย"
"ไม่ได้ เดี๋ยวทำแตก"
"ไม่แตก"
"ไปนั่งรอที่โซฟาก่อนไป เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว" ผมไล่ มันทำหน้าบึ้งใส่ผมแต่ก็ยอมทำตามที่บอก
ล้างจานเป็นงานง่ายๆ ก็จริงแต่ผมไม่อยากเสี่ยง เกิดทำจานแตกขึ้นมามีหวังไอ้กาลบ่นหูชา ดีไม่ดีคนทำแตกโดนบาดเจ็บตัวอีก อีกอย่างถ้าเกิดไอ้กาลรู้ว่าใครเป็นคนทำแตกคืนนี้คงสวดผมยับแบบไม่ต้องหลับไม่ต้องนอน
คว่ำจานใบสุดท้ายบนชั้นเสร็จแล้วผมก็เข้าไปหยิบของในห้อง เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าซื้อของขวัญไว้ให้ล่อนจ้อนอีกอย่าง เป็นหนังสือนิทานตามที่เคยสัญญาไว้
"อ่ะ ตามสัญญา" ยื่นหนังสือให้มันก็รับไปแล้วอมยิ้ม
ล่อนจ้อนเปิดหนังสือรวมนิทานปกแข็งดูทีละหน้า ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเลี้ยงเด็กยังไงไม่รู้ จำได้ว่าตอนเด็กๆ ผมไม่ค่อยได้อ่านอะไรแบบนี้เพราะติดหนังสือการ์ตูนมากกว่า แต่สำหรับล่อนจ้อนผมว่ามันชอบนะ
"ไหนอ่านให้ฟังหน่อย"
ล่อนจ้อนเปิดกลับไปที่หน้าแรกแล้วเริ่มอ่านนิทานเรื่องกระต่ายบนดวงจันทร์อย่างช้าๆ แบบค่อยเป็นค่อยไป ผมว่ามันอ่านใช้ได้เลยนะ อ่านออกทุกคำแม้บางคำจะออกเสียงแปลกๆ ไปบ้าง ตรงไหนที่คิดว่ายังไม่ค่อยดีก็ให้มันอ่านทวนใหม่ อ่านไปมันก็เงยหน้าขึ้นมามองผมเป็นระยะ ผ่านไปแค่ไม่กี่หน้าก็เริ่มอ่านคล่องไม่ตะกุกตะกักเท่าไร ไปแบบช้าๆ เนิบนาบ ทำให้ผมตั้งใจฟังจนพาตัวเองเข้าไปอยู่ในโลกของนิทานได้เลย
คนอ่านเริ่มสนุกแต่คนฟังอย่างผมเริ่มจะง่วง ล่อนจ้อนตั้งอกตั้งใจอ่านไม่เงยหน้าขึ้นมามองผมเลย แต่ไม่มองก็ไม่เป็นไรเพราะผมกะว่าจะแอบงีบสักหน่อย บ่ายๆ แบบนี้หนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อนเป็นธรรมดา
"จากนั้น ชายชรา ก็อุ้มกระต่าย ขึ้นไปบน ดวงจันทร์"
บ๊ายบายนะเจ้ากระต่าย แล้วเจอกันบนดวงจันทร์
ผมนั่งหลับคอพับพิงโซฟา ตื่นแล้วก็งงๆ ว่าเดินไปหยิบมาสก์มาใส่ตอนไหน แถมยังใส่ผิดด้านอีกต่างหาก จนเมื่อลองมองรอบๆ ตัวแล้วเห็นแมวสีขาวนอนอยู่บนกองเสื้อผ้าอยู่ข้างๆ ก็เริ่มเข้าใจ ถอดมาสก์ออกแล้วใส่ใหม่ให้ถูกด้าน มองไอ้แมวแสนรู้แล้วยิ้มกับตัวเอง
ใส่ใจแถมยังใส่มาสก์เป็นด้วย ถึงจะผิดด้านก็เถอะ ทำตัวน่ารักเก่ง
ล่อนจ้อนมันนอนหงายเอามือก่ายหน้าผากปิดตาไว้ โชว์พุงขาวๆ น่าขย้ำเลยอดใจไม่ไหวต้องยื่นมือไปลูบเล่น การก่อกวนรอบนี้ไม่ทำให้มันขยับตัวเลย ยังคงนอนอ้าปากโชว์เขี้ยวแหลมๆ ที่ทำเอาผมผวาทุกที
นั่งเล่นพุงแมวได้แป๊บเดียวเสียงก๊อกแก๊กที่ประตูก็ทำเอาผมสะดุ้ง ยังไม่ทันได้บอกห้ามประตูก็เปิดออก ไอ้กาลก้าวขาเข้ามาแล้วหยุดยืนอยู่หน้าประตู
"ทำไมใส่มาสก์วะ"
"ล่อนจ้อนอยู่"
"ร่างแมว"
"เออ"
"อยู่ไหน แล้วทำไมไม่บอกกูวะ" มันทำท่าจะถอยหนี ไม่พยายามมองหาด้วยว่าแมวที่ว่าอยู่ไหน
"กลับมามัวแต่เตรียมนั่นเตรียมนี่กูเลยลืม มึงหันหลังไปก่อน รอแป๊บนึง"
ไอ้กาลรีบทำตามที่บอก ผมอุ้มล่อนจ้อนที่ยังหลับอยู่เข้าห้อง วางมันลงบนเตียงแล้วก็ยังไม่ยอมตื่น เลยเดินออกมาจากห้องแล้วปิดประตูไว้ ท้องอิ่มแถมยังขี้เซาขนาดนั้นมันคงไม่ตื่นง่ายๆ
เดินออกมาจากห้องก็เจอไอ้กาลยืนชะเง้อชะแง้มองอยู่ตรงโซฟา มันคงอยากรู้แต่ไม่กล้าเสี่ยงเข้ามาหา เลยต้องทำตัวอยากรู้อยากเห็นแบบกลัวๆ พอผมถอดมาสก์ทิ้งตัวบนโซฟามันถึงได้นั่งตาม
"อยู่ด้วยกันแบบเป็นแมวเนี่ยนะ มันไม่เป็นคนเหรอวะ"
ผมพอจะรู้ว่าไอ้กาลมันหวังอะไรอยู่ กับคนที่ดูเหมือนไอ้ดื้อของมันขนาดนั้นคงอยากเจอตัวตอนเป็นคนบ้าง
"ตอนแรกก็เป็นคนอยู่ แต่เหมือนว่ามันจะมีเวลากำหนดว่าเป็นคนได้กี่ชั่วโมงว่ะ ครั้งก่อนก็เป็นแบบนี้"
"อยู่กับแมวแล้วมึงไม่แพ้เหรอวะ คิดอะไรอยู่"
ผมควรจะอธิบายยังไงดีให้ไม่โดนมันด่า ก็ตอนที่ล่อนจ้อนมันกลับไปเป็นแมวผมรู้ตัวที่ไหน ล่อนจ้อนเองมันก็รู้ว่าผมแพ้แมวเลยเอามามาสก์มาใส่ให้ถึงจะผิดด้านก็เถอะ ที่สำคัญตอนนี้ผมยังไม่มีอาการอะไรเลย
"กูว่าอาการมันดีขึ้นนะ"
"มันจะดีขึ้นยังไงวะ"
"กูเคยอ่านเจอว่าอยู่กับแมวไปเรื่อยๆ มันจะหายแพ้เอง"
"หรือไม่ก็ตายก่อน"
"แช่งกูอีก"
"เออ ไม่เป็นอะไรก็ดี แต่อย่าลืมกินยาด้วยนะมึง กันไว้ก่อน"
"รู้แล้ว"
"เออมึง" เรียกแล้วมันก็เงียบ ไอ้กาลมองผมแล้วยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจ
"อะไร"
"กูอยากเห็นตอนล่อนจ้อนของมึงเปลี่ยนร่างว่ะ อยากเจอความแฟนตาซี"
"ไม่ต้องห่วงหรอก จบเรื่องกูเมื่อไรเดี๋ยวมึงก็ได้เจอ"
"มันก็ไม่เหมือนกันป้ะวะ เรื่องของกูอาจจะไม่เหมือนมึงก็ได้ เจอแมวกลายร่างเป็นคนได้ไม่ใช่เรื่องที่หาดูได้ง่ายๆ นะมึง"
"ในหนังเยอะแยะ"
"สรุปก็คือไม่ให้กูดู" คิดไปเองว่าผมจะไม่ยอมให้ดูแม่งเปลี่ยนสีเร็วเป็นกิ้งก่าเลยไอ้นี่ ทั้งน้ำเสียงทั้งสีหน้าไปหมด
"กูยังไม่ได้พูดเลย"
"ก็มึงไล่ให้กูไปดูในหนัง"
"มึงถามตัวเองเถอะกาลว่าจะทนดูได้มั้ย ล่อนจ้อนมันเป็นแมวนะเว้ย"
"อ่ะ ล่อนจ้อน เดี๋ยวนี้ไม่ไอ้แล้วเหรอวะ แน่ะ"
"แน่ะพ่อมึงสิ อย่าเปลี่ยนเรื่อง"
"ไม่เอาไม่เล่นพ่อ"
"สรุปคือมึงไม่อยากดู"
"อยาก!" ทีงี้ล่ะทำหน้าตาขึงขังขึ้นมาเชียว
"เออ เดี๋ยวกูลองถามมันก่อน ถ้ามันอนุญาตนะ" แต่เอาจริงผมไม่อยากให้ไอ้กาลมันเห็นเลย ตอนล่อนจ้อนกลายร่างเป็นคนมันก็ต้องเปลือยใช่มั้ย แล้วคือมันแบบ...ผมก็หวงไง ปกติได้เห็นอยู่คนเดียวเหมือนเนเจ้าของไปแล้ว ถ้าขอแล้วเจ้าตัวอนุญาตแต่ผมยังคิดวิธีปกป้องผิวสุขภาพดีนั่นจากสายตาน้องชายไม่ได้ผมก็จะไม่ให้มันดู
"แล้วเป็นไงบ้างวะ ได้เรื่องอะไรเพิ่มบ้างยัง"
"วันนี้ยังไม่ได้คุยอะไรกันเพิ่มเลย ง้อเสร็จก็ให้มันอ่านนิทาน แล้วกูก็หลับ"
"เป็นไงไข่เจียวสูตรเด็ดกู มันชอบมั้ย"
"ซึ้งใจจนร้องไห้เลยเถอะ แต่เป็นเพราะมันได้กินอาหารแบบมนุษย์เป็นครั้งแรกในรอบสิบปีมากกว่า"
"ขนาดนั้นเลย"
"เออ ขนาดนั้นแหละ กูว่ากูเข้าใจความรู้สึกมันนะ สิบปีแม่งโคตรนานเลยนะมึง คงทรมานน่าดู"
ไอ้กาลทำหน้าเห็นอกเห็นใจพยักหน้าตาม เรามองไปที่ประตูห้องนอนผมที่ปิดอยู่พร้อมกัน ก่อนมันจะถามต่อ
"แล้วมึงได้ถามมันยังว่าใครทำให้มันกลายเป็นแบบนี้"
"ยัง กูว่าเรื่องมันคงยาวอ่ะ อยากให้มันพูดคล่องกว่านี้อีกสักหน่อยแล้วเล่าทีเดียว"
"แบบนี้มันไม่เสียเวลาเปล่าเหรอวะ เหมือนเลี้ยงเด็กเลยนะมึง กว่ามันจะพูดคล่อง"
"จริงๆ พัฒนาการมันก็ไม่ได้แย่นะ อาทิตย์หน้ามันคงเล่าอะไรให้กูฟังได้มากกว่านี้ ช่วงนี้ก็ฝึกๆ ไปก่อน มันคงมีอะไรอีกหลายอย่างเลยที่อยากทำ"
"ก็แล้วแต่มึง ติดขัดตรงไหนก็มาปรึกษากูได้"
"กูว่าเสาร์อาทิตย์จะกลับบ้านว่ะ อยากลองไปค้นอะไรดูหน่อย เผื่อจะเจอเบาะแสอะไรบ้าง" อย่างน้อยที่บ้านก็ยังมีความทรงจำสมัยเด็กของผมมากกว่าที่นี่ ถ้าลองไปค้นพวกอัลบั้มรูปหรือของเก่าๆ น่าจะพอนึกอะไรออก
"งั้นมึงน่าจะลองกลับสวนด้วย"
"กลับไปทำไมวะ ปู่ก็ไม่อยู่แล้ว"
"ถึงปู่ไม่อยู่ แต่กูว่าอาพิทักษ์ก็น่าจะพอรู้อะไรบ้างนะ" อาพิทักษ์เป็นน้องชายพ่อ เป็นคนในครอบครัวซึ่งอาจจะเคยพบเจอปัญหาแบบเดียวกับพวกผมมาก่อนก็ได้ แต่อาจะยอมบอกเหรอ
"ถึงรู้ก็คงไม่บอกอะไรเหมือนพ่อป้ะวะ"
"งั้นมึงก็กลับไปเอาบรรยากาศเผื่อนึกอะไรออก คุยกับพวกลุงๆ ป้าๆ คนงาน หรือไม่ก็เพื่อนที่เคยเล่นด้วย"
"แม่งไม่โตย้ายไปเรียนที่อื่นกันหมดแล้วเหรอ"
"มึงนี่ก็ขยันขัดจังวะ กูพยายามหาทางช่วยอยู่เนี่ย"
"เออๆ เดี๋ยวลองไปดู แล้วมึงไม่ไปกับกูเหรอ"
"ต้องขับรถไปส่งว่างั้น"
"ใช่" กลับบ้านน่ะผมกลับคนเดียวได้สบาย แต่จะให้ขับรถกลับบ้านสวนคนเดียวก็ไม่ไว้ใจมือตัวเอง ครั้นจะนั่งรถตู้ไปมันก็ยังไงอยู่ ในเมื่อมีน้องชายก็ต้องใช้น้องสิวะ
"เออ ไปก็ไป"
"งั้นเสาร์อาทิตย์นี้ก็จะกลับบ้านก่อน ถ้าจะไปบ้านสวนเมื่อไรเดี๋ยวบอกอีกที"
"อืม ว่าแต่ไอ้ล่อนจ้อนของมึงจะตื่นเมื่อไรวะ" มันถามพลางเบ้ปากไปที่ประตูห้อง ผมกดดูเวลาที่มือถือถึงได้รู้ว่าใกล้จะหนึ่งทุ่มแล้ว
"ไม่รู้ว่ะ"
"ถ้าสี่ทุ่มยังไม่ตื่นมึงก็ปลุกแล้วไล่ไปก่อน"
"ใจร้ายนะมึงเนี่ย"
"แล้วมึงจะนอนกับมันไง้"
"มึงกลัวไม่มีที่นอนก็บอก"
"ก็...เออ!" มันขึ้นเสียงใส่ ที่แท้ก็กลัวโดนแมวแย่งที่นอน
"เดี๋ยวกูไปดูให้ มึงก็อยู่ในห้องไปก่อนแล้วกัน" พูดจบผมก็ลุกจะเดินเข้าห้อง แต่ถูกไอ้กาลเรียกไว้ก่อน
"เออมึงกูลืม พี่ณดาฝากขนมมาให้" มันบอกแล้วบุ้ยปากไปยังกองถุงก๊อบแก๊บที่วางอยู่บนโต๊ะรวมกับมื้อเย็นที่ไอ้กาลมันซื้อมาด้วย
"อืม ฝากขอบคุณด้วย"
"ไปขอบคุณเอง"
"งั้นไม่เป็นไร กูไม่กิน"
"มึงนี่นะ"
ผมไม่ได้อยู่ฟังว่ามันจะบ่นอะไรต่อมั้ย ใส่มาสก์กลับเข้ามาในห้องปิดประตูแล้วเดินไปนั่งข้างเตียง มองแมวสีขาวที่นอนหงายท้องสบายใจเฉิบ จำได้ว่าตอนพามันมานอนผมวางมันไว้ริมฝั่งซ้าย แต่ตอนนี้มันนอนซะกลางเตียง เห็นแล้วอดไม่ไหวต้องขยำพุงเล่น
การก่อกวนครั้งนี้ดูท่าจะสร้างความรำคาญให้ ล่อนจ้อนลืมตาก่อนพลิกตัวหนี แต่ผมยังไม่ลดละความพยายามโดยการยื่นนิ้วไปแหย่ต่อ เลยโดนมันเอาตีนคู่หน้าตะปบนิ้วจนสะดุ้ง ขอบคุณที่มันไม่กางเล็มแล้วสร้างบาดแผลให้ผมอีก
"จะกลับมาเป็นคนอีกมั้ย"
แมวขาวลุกขึ้นโกงตัวบิดขี้เกียจ เสร็จแล้วก็มานั่งจ้องหน้ากันซึ่งไม่ได้ทำให้ผมสามารถรู้คำตอบที่ถามไปเมื่อกี้ได้เลย
"สรุปว่าไงส่งเสียงตอบด้วย จะกลับมาเป็นคนให้ร้อง ถ้ากลับมาเป็นคนไม่ได้ให้เงียบ"
ผ่านไปห้าวินาทีคำตอบคือความเงียบ
"กลับมาเป็นไม่ได้ให้ร้อง ถ้าไม่อยากกลับให้เงียบ"
"เมี้ยว"
"หมดโควต้าของวันนี้แล้วใช่มั้ย"
"เมี้ยว"
ถึงจะยังไม่เข้าใจนักแต่ก็ตามนั้น ถึงอยู่กับผมแล้วจะทำให้กลายเป็นคนได้แต่ก็ยังมีเวลากำหนดอยู่ดี เมื่อวันก่อนอยู่ที่ประมาณสี่ชั่วโมง ส่วนวันนี้ผมหลับไปตอนใกล้ๆ สี่โมง กว่าจะตื่นอีกทีก็หกโมงกว่าแล้ว ล่อนจ้อนกลับเป็นแมวตอนไหนก็ไม่รู้อีก แต่เวลาคงไล่เลี่ยวกับวันก่อน
"รู้มั้ยว่าวันนี้กับวันก่อน วันไหนเป็นคนได้นานกว่ากัน วันก่อนร้อง วันนี้ไม่ร้อง" ในเมื่อไม่รู้ก็ถามแมวมันซะเลย
ล่อนจ้อนเอาแต่นั่งจ้องผมไม่ส่งเสียงอะไร แสดงว่าวันนี้เป็นคนได้นานกว่า หรือไม่บางทีช่วงระยะเวลาที่กลับมาเป็นคนได้มันอาจจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็ได้ ผมต้องจดบันทึกเอาไว้ดู
"แล้วคืนนี้เอาไงดี ดึกแล้วด้วย"
มันไม่ตอบอะไรก่อนลุกขึ้นกระโดดลงจากเตียงแล้วเดินไปยืนหน้าประตู ผมเดินตามไปเปิดให้ล่อนจ้อนก็เดินออกไปแล้วกระโดดออกนอกระเบียงไปเลย ไม่แวะกินข้าว หรือนอนพักที่เบาะแต่อย่างใด ว่าไปแล้วก็ชักสงสาร อยากมันได้นอนเตียงสบายๆ ในร่างคนบ้าง แต่ถ้าจะทำแบบนั้นคงต้องคุยกับไอ้กาลเป็นการใหญ่ น้องชายผมที่เลี่ยงการนอนคนเดียวมาร่วมปีจะยอมไหมไม่รู้
มีแต่เรื่องให้ต้องใช้ความคิดจริงๆ
tbc.
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า