พิมพ์หน้านี้ - ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งสุดท้าย ___ [05/10/62]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: kinsang ที่ 16-02-2019 21:19:32

หัวข้อ: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งสุดท้าย ___ [05/10/62]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 16-02-2019 21:19:32
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

เรื่องยาว
เหวี่ยง ซบ พบ(รัก)เธอ [จบแล้ว] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=53572.0)
ความน่ารักชนะทุกอย่าง [จบแล้ว] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54065.0)
8 วัน 7 คืน [จบแล้ว] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58861.0)
To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว[จบแล้ว] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61182.0)
อยากให้เธอฝันยามหนุน [จบแล้ว]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64766.0)
My Egg #ไข่ต้มเพื่อนผม [จบแล้ว] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64895.0)
P H O T O (X) ความลับในภาพถ่าย [จบแล้ว]  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67428.0)
เหนือลิขิต [จบแล้ว]  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69628.0)



เรื่องสั้น
★  สองแถวกับสองเรา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=53650.0)
★  อยากบอกว่าชอบเธอ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62434.0)
★  พรหมลิขิตไม่มีอยู่จริง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62866.0)



======================


เหนือลิขิต

คนโชคร้าย
ถ้าผมจะเรียกตัวเองแบบนี้ก็คงไม่ผิดนัก
จะมีสักกี่คนบนโลกที่เกิดมาแพ้สิ่งที่ตัวเองชอบ
"เมี้ยว"
ชอบแมว แต่เกิดมาแพ้ขนแมวมันก็ลำบากแบบนี้


#เหนือลิขิต


.
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 1 ___ [16/02/62]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 16-02-2019 21:21:23

ลิขิตครั้งที่ 1


            คนโชคร้าย

            ถ้าผมจะเรียกตัวเองแบบนี้ก็คงไม่ผิดนัก จะมีสักกี่คนบนโลกที่เกิดมาแพ้สิ่งที่ตัวเองชอบ โอเค มันอาจจะมีมากมายนับไม่ถ้วน แต่ทำไมโชคร้ายนั้นต้องตกมาอยู่ที่ผม ไม่เข้าใจเลยจริงๆ

            "เมี้ยว"

            เสียงของสิ่งมีชีวิตสีขาวขนฟูร้องเรียกให้สายตาผมกลับไปโฟกัสที่มัน ดวงตาสีทองแดงคู่นั้นจ้องมองมาที่ผม มันเอียงคอเล็กน้อย หน้าตาบึ้งตึงดูไม่ชอบใจ เหมือนอยากจะถามว่าทำไมเจ้ามนุษย์คนนี้ถึงได้มีท่าทีเฉยเมยนัก ซึ่งถ้าผมเปิดประตูกระจกที่กั้นระหว่างเราไว้ล่ะก็ย่อมไม่ดีแน่

            "เมี้ยว"

            เจ้าแมวเปอร์เซียสีขาวร้องอีกครั้ง ผมคิดว่ามันคงดังมากถึงทะลุประตูกระจกเข้ามาได้ แต่เสียใจด้วยเจ้าแมวที่มนุษย์คนนี้ไม่สามารถเปิดประตูให้แกได้ ไม่อย่างนั้นคืนนี้ได้จามน้ำหูน้ำตาไหลแน่ๆ

            ชอบแมว แต่เกิดมาแพ้ขนแมวมันก็ลำบากแบบนี้

            "เมี้ยว"

            "หยุดร้องได้แล้ว เปิดให้ไม่ได้หรอก"

            เจ้าก้อนสีขาวที่กำลังส่งเสียงอยู่หน้าประตูเงียบเสียงพลางเอียงคอมอง ผมเบะปากใส่มัน อยากบอกให้รู้ว่าไม่ได้ตั้งใจจะทำเมินเฉยใส่ ใจอยากจะเปิดประตูไปคว้าเจ้าตัวขนฟูมากอดด้วยซ้ำ แต่ถ้าผมทำแบบนั้นแล้วเกิดอาการแพ้ขึ้นมาไอ้น้องชายปากมากได้บ่นทั้งคืนแน่ๆ ดีไม่เจ้าแมวตัวนี้อาจจะไม่ได้โผล่มาแถวนี้อีกเลย

            แมวสีขาวลุกขึ้นยืนเอาตัวมาถูกกับกระจก ถ้าไม่มีประตูกั้นผมคงถอยหลังกรูด เห็นขนฟูๆ ที่แนบกับกระจกแล้วก็อดใจไม่ไหวต้องยกมือลูบกลุ่มขนที่ดูนุ่มนิ่มนั้นผ่านกระจกใส แล้วก็ยิ่งทำให้ผมอยากคว้าตัวมันมากอดไว้เหลือเกิน

            การเล่นขนแมวผ่านกระจกแม้จะดูอนาถใจไปสักนิดแต่มันก็ทำให้ผมมีความสุขไม่น้อย เจ้าก้อนสีขาวยังเอาตัวมาสีกับประตูไม่เลิก ความน่ารักของมันชวนให้ต้องยกมือถือขึ้นมาเก็บภาพเอาไว้ แล้วผมก็ต้องสะดุ้งเมื่อถ่ายรูปมันไปได้แค่สองภาพ

            แกร๊ก

            ดูเหมือนว่าไอ้น้องชายตัวแสบของผมจะกลับมาแล้ว

            เจ้าแมวสีขาวเลิกเอาตัวสีกับประตู มันนั่งลง เอียงคอมองเข้ามาในห้อง ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้มองหน้าผม แต่มองเลยไปด้านหลังที่เกิดเสียงก๊อกแก๊กก่อนประตูห้องผมจะเปิดออก

            "ลิขิตไปกินข้าว นั่งทำอะไรอยู่วะ"

            มือผมเอื้อมไปคว้าผ้าม่านทันที เมื่อหันไปเห็นว่าน้องชายที่ควรจะหยุดที่ประตูกลับเดินเข้ามาในห้อง แต่มันไม่ทันแล้ว

            "กรี๊ดดดดดดด แมว! พี่มึง แมววววว!"

            ผมต้องยกมือขึ้นปิดหูเมื่อไอ้น้องชายตัวแสบดันกรี๊ดออกมา ใช่ มันคือเสียงกรี๊ด ไอ้นี่มันชอบร้องแบบนี้เวลาเสียสติ ก่อนคนที่เข้ามาสร้างความวุ่นวายในห้องผมจะถอยหลังกรูดจนไปติดประตู

            "แมว"

            "เออ ก็แมวไง" ผมช่วยยืนยันคำตอบก่อนจะปิดม่านลง เมื่อเห็นว่าเจ้าสีขาวกระโดดหนีไปตั้งแต่ได้ยินเสียงกรี๊ดบาดหูนั่นแล้ว

            "มันมาได้ไงวะ แล้วมึงเล่นกับมันเหรอลิขิต"

            "มาได้ไงไม่รู้ กูเห็นมันนั่งอยู่เลยนั่งมองมันเฉยๆ" ผมเดินไปหากาล หรือเหนือกาล น้องชายฝาแฝดที่หน้าตาไม่ค่อยเหมือนกับผมเท่าไร แถมมันยังสูงกว่าผมนิดหน่อยด้วย

            "อย่าให้มันเข้ามาเชียวนะมึง"

            "รู้แล้ว แต่เมื่อกี้เกินไปนะ" ผมบอกก่อนพยุงคนที่นั่งขดอยู่ตรงหน้าประตูขึ้นมา

            "อะไรเกินไป"

            "เสียงกรี๊ดมึงไง หูกูเกือบดับ"

            "เวอร์แล้วสัดขิต แต่มึงอย่าให้มันเข้ามานะเว้ย"

            "เออ ก็บอกว่ารู้แล้ว" ผมล่ะอยากจะเคาะหัวไอ้กาลสักทีที่ย้ำเยอะจนน่ารำคาญ ก็เพราะรู้ถึงได้พยายามจะปิดม่าน แต่มันดันพรวดพราดเข้ามาเอง

            ที่น้องชายผมเป็นแบบนี้เพราะเหนือกาลมันกลัวแมวยิ่งกว่าอะไรดี ชนิดที่ว่าเห็นอยู่ในระยะประชิดไม่ได้เลย มันจะกรี๊ดเหมือนคนเสียสติ แบบว่าหมดแล้วความหล่อเหล่าที่มีมา

            "สีขาวตาสีอะไรวะ แต่ช่างแม่ง ฮึ่ย" มันพูดแล้วทำท่าขนลุก ทั้งที่รู้ว่าตัวเองไม่ถูกกับแมวยังจะพูดถึงอยู่ได้ ผมเลยต้องพาเปลี่ยนเรื่อง

            "ไหนว่าจะไปกินข้าว"

            "เออใช่ วันนี้ซื้อซูชิมาให้ ร้านโปรดพี่ณดา"

            "คนกลัวแมวก็อิ่มแล้วดิ พี่ณดาพาไปเลี้ยงแบบนี้"

            "ไอ้สัด อย่าพูดถึงแมว"

            ผมหัวเราะแล้วเดินหนีจากห้อง เห็นถุงที่มีชื่อร้านชูซิร้านโปรดของพี่ณดาสกรีนอยู่วางบนโต๊ะตรงห้องนั่งเล่นก็ก้าวไปหาทันที

            "เซ็ตนี้พี่ณดาซื้อให้ ฝากบอกมาด้วยว่าให้มึงกินเยอะๆ" เหนือกาลเดินตามมายืนซ้อนอยู่ด้านหลัง มองผมที่กำลังแกะฝากล่องซูชิออกแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

            "แล้วทำไมมึงไม่ซื้อมาให้เอง"

            "ก็พี่เขาเสนอจะซื้อ"

            "งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้กูเอาตังค์ไปจ่าย"

            "ไม่ได้ดิมึง เสียน้ำใจคนให้"

            "ถ้างั้นฝากบอกพี่ณดาด้วยว่าเลิกจีบกูได้แล้ว"

            "ยิ้มแห้งเลยกู"

            พี่ณดาเป็นพี่รหัสของเหนือกาลที่ตามจีบผมมาได้สองเดือนแล้ว เป็นคนดีที่ไม่ค่อยมีความสม่ำเสมอเท่าไร เพราะนอกจากผมแล้วดูเหมือนพี่เขาจะมีคนคุยอีกหลายคน หยอกคนนั้นอ่อยคนโน้นไปทั่ว แม้ไม่ได้หน้าตาดีดีกรีดาวมหาลัย แต่ความมนุษยสัมพันธ์ที่ดีเกินไปของคุณพี่เธอนั่นแหละเตือนว่าผมไม่ควรเสี่ยง

            "พี่รหัสมึงคนคุยเยอะ"

            "แต่จริงจังกับมึงคนเดียวไง"

            "ก็เหี้ยละ"

            "จริงๆ พี่ณดาก็ไม่ได้แย่อะไร"

            "เชียร์เก่งจังนะมึงเนี่ย ได้ค่าจ้างเท่าไร"

            "เห็นกูเป็นคนเห็นแก่เงินเหรอ"

            "หรือไม่ใช่"

            "ก็ไม่ใช่ไง"

            "แต่กูไม่ชอบพี่มึง พอ เลิกคุย" ผมตัดจบประเด็นโดยการคีบซูชิชิ้นแรกเข้าปาก หันหน้าหนีเหนือกาลที่ยังยืนประกบไม่ห่างไปไหน แล้วสุดท้ายก็ยอมแพ้หนีไปเอง

            "ไม่คุยก็ไม่คุย" พูดแล้วก็เดินหนีไปเปิดทีวีดูที่โซฟาข้างๆ

            ผมมองน้องชายที่เกิดห่างกันแค่สิบสี่นาทีแล้วส่ายหน้า เอาเป็นว่าซูชิกล่องนี้จะยินดีรับไว้ก็ได้ ไหนๆ น้องชายผู้น่ารักที่อยากเคาะกะโหลกแตกเกือบทุกวันอุตส่าห์หิ้วกลับมาให้ทั้งที

 

            ใครๆ ก็รู้ว่าคู่แฝดสองเหนือไม่ถูกกับแมว เหนือลิขิตแพ้ขนแมว ส่วนเหนือกาลกลัวแมวขึ้นสมอง เพราะฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเมื่อผมเล่าเรื่องแมวสีขาวให้เพื่อนฟังมันถึงได้ทำหน้าตาตกใจนัก

            "เดี๋ยวก็แพ้อีก คราวที่แล้วตอนมึงแอบไปเล่นกับไอ้อ่อนแม่งจามจนตาบวมน่ากลัวมาก" พสุมันทำหน้าเหมือนกับว่าชีวิตนี้ห้ามผมเข้าใกล้แมวอีก ก่อนคิริน คู่หูคู่กัดของมันจะขัดขึ้นมา

            "อะไรคือจามจนตาบวม กูเคยเห็นแต่จามจนน้ำมูกไหล"

            "มึงอย่าขัดได้มั้ย ไอ้เหนือมันแพ้มันก็จามไง แล้วตามันก็แดง แดงแล้วก็บวม"

            "งั้นมึงก็ควรพูดให้มันชัดเจนตั้งแต่แรก"

            "ไอ้สัดสุ กวนตีนกูอีกแล้วนะ"

            "กูแค่สงสัย"

            ผมได้แต่นั่งยิ้มแห้งตอนมองมันสองคนเถียงกัน อ้อไม่สิ ยังมีมงคลที่นั่งทำหน้าเบื่อโลกอยู่ข้างๆ พสุอีกคน

            "รำคาญ" มงคลมันว่า เพื่อนคนนี้เงียบที่สุดในกลุ่มแล้วก็ว่าได้ เวลาพูดแต่ละทีเลยค่อนข้างให้ความรู้สึกว่ามันทรงพลังมาก

            สองคนที่เขม่นกันอยู่หยุดเถียงกันทันที พสุจิ๊ปากใส่คิรินก่อนเปลี่ยนเป้าหมายมาที่ผมอีกครั้ง สงสัยจะไม่ยอมจบเรื่องแมวง่ายๆ

            "แล้วยังไงวะเหนือ ที่บอกว่าอยากเลี้ยง" พสุย้อนถามถึงประเด็นที่ผมพูดถึงความต้องการไปก่อนหน้านี้ น่าจะเป็นวันแรกที่ผมเจอเจ้าแมวขาวเลยล่ะมั้ง

            "มันน่ารักดี"

            "กูว่ามึงได้ตายเพราะแมวแน่ๆ"

            "ก็เวอร์ไป มันมีวิธี"

            "แล้วไอ้เหนือมันยอมเหรอวะ"

            สิ่งหนึ่งที่ทำหน้าให้การสนทนาในกลุ่มค่อนข้างงงงวยคือชื่อที่เพื่อนๆ ใช้เรียกผมกับน้องชาย แทนที่จะเรียกลิขิตหรือกาล พวกมันกลับเรียกว่าเหนือเหมือนกัน ซึ่งจริงๆ หลายคนในมหาวิทยาลัยก็ชอบเรียกผมกับน้องชายแบบนี้

            เลยกลายเป็นพี่เหนือกับน้องเหนือ

            "หมายถึงไอ้น้องเหนือเหรอ" คิรินถาม แล้วก็ถูกพสุว่าเข้าให้

            "ก็ต้องเออสิวะ มึงช่วยคิดเยอะๆ หน่อย"

            "มึงก็พูดอะไรให้มันเคลียร์ๆ หน่อย"

            "เฮ้อ"

            แล้วทั้งวงก็เงียบทันทีเมื่อมงคลถอนหายใจแค่ทีเดียว แต่พสุมันก็ยังถามจี้ผมไม่เลิก

            "ไอ้เหนือ ตอบ"

            "ไอ้กาลมันกลัวขนาดนั้นจะไปยอมได้ไง"

            "แล้วหอมึงให้เลี้ยงเหรอวะ" คิรินถาม

            "ถ้าไม่มีคนรู้ก็ไม่น่ามีปัญหา"

            "หาเรื่องโดนไล่ออกจากหออีก" พสุว่า

            "ก็แค่เลี้ยงแมว"

            "แล้วมึงรู้ได้ไงว่าแมวตัวนั้นไม่มีเจ้าของ"

            "มันไม่มีปลอกคอ" ผมตอบคำถามของคิริน

            "แต่ยังไงมึงก็เลี้ยงไม่ได้อยู่ดี ห้ามเลี้ยง กูไม่อนุญาต" แต่ถึงพูดไปยังไงพสุมันก็ไม่ยอมผมอยู่ดี ทั้งที่ผมจะเลี้ยงในห้องผมแท้ๆ

            "แล้วถ้ามันมาหากูอีกอ่ะ"

            "มึงก็ไม่ต้องไปยุ่ง"

            "แต่มันน่าสงสารนะมึง บางทีมันอาจจะกำลังหาบ้านอยู่"

            "งั้นก็เลือกเอาว่าจะตายเพราะแมวหรือแก่ตาย"

            "มึงก็เวอร์เกินอ่ะไอ้พุส"

            "พุสพ่อมึงสิไอ้คิควาย ขยันเปลี่ยนชื่อให้กูจัง"

            "คิรินก็พอไอ้สัด"

            แล้วไอ้สองคนนี้มันก็ทำท่าจะเถียงกันอีกรอบ จนมงคลเหลือบมองนั่นแหละพวกมันถึงได้หยุด และเข้าเรื่องต่อ

            "กูห่วงมันไง เห็นแพ้แล้วเหมือนจะตาย กูตกใจ" พสุมันเคยเห็นตอนผมแพ้หลายครั้ง ก็ไม่แปลกที่มันจะห่วงขนาดนี้ บอกตามตรงว่าซึ้งใจจริงๆ

            "ถ้างั้นแค่ให้อาหารมันเฉยๆ ก็ได้มั้ง มึงบอกว่ามันมาหาที่ระเบียงใช่มั้ย ก็เอาข้าวกับน้ำไปวางไว้ให้ถ้าอยากเลี้ยง แต่อย่าให้มันเข้าห้อง" มงคลที่นั่งเงียบอยู่นานพูดขึ้นมา พสุกับคิรินเองก็เห็นด้วยกับความคิดนี้ ชี้ทางสว่างจนผมอยากจะยกมือไหว้มันจริงๆ

            "ถ้าแค่นี้ก็พอได้อยู่" หอผมมีสองห้องนอนติดระเบียงซึ่งเป็นประตูกระจก ส่วนห้องนั่งเล่น ห้องน้ำกับครัวเล็กๆ อยู่ด้านนอกติดกับประตู แต่บางทีเหนือกาลก็หอบหมอนมานอนกับผม เพราะมันชอบฝันร้ายประจำเวลานอนคนเดียว

            "นั่งมองมันกินข้าวหลังประตูก็พอมึงอ่ะ ถ้าเลี้ยงจริงกูว่าตายทั้งพี่ทั้งน้อง คนพี่แพ้ขนตาย ส่วนคนน้องกรี๊ดจนคอแตกตาย"

            "กูจะฟ้องไอ้น้องเหนือ"

            "มึงนี่ก็ขี้ฟ้องจังนะอีพุส"

            "พุสอีกทีกูจะหยิกปากมามึง"

            แล้วคู่นี้ก็ตีกันอีกรอบ

            ผมได้ยินเสียงถอนหายใจจากมงคลก่อนมันจะลุกเดินหนีไปโดยไม่พูดอะไร ส่วนผมก็คงต้องรีบกลับเหมือนกัน ต้องแวะซื้อชามข้าวกับอาหารแมวไปวางไว้ที่นอกระเบียงเผื่อเจ้าแมวขาวจะแวะมาอีก ที่สำคัญอย่าให้เหนือกาลรู้เด็ดขาด ไม่งั้นโดนกรี๊ดอัดหูดับแน่ๆ

 

            ที่ร้านขายอาหารสัตว์ผมได้ชามข้าวแมวสีชมพูอันเล็กกับอาหารเม็ดอีกหนึ่งถุงที่คนขายแนะนำให้ แอบเปิดประตูระเบียงออกไปดูหลังกลับมาถึงห้อง มองซ้ายมองขวายังไม่เห็นวี่แววหรือได้ยินเสียงร้องอยู่ใกล้ๆ เลยรีบวางชามแล้วเทอาหารเอาไว้ก่อนเดินกลับเข้าห้องปิดประตูล็อกไว้อย่างดี ก็นะ กลัวว่าถ้าเผลอเปิดประตูทิ้งไว้แล้วมันเดินเข้ามาในห้องได้มีหวังห้องแตกแน่ๆ

            จัดการกับอาหารแมวเสร็จแล้วผมทำนู่นทำนี่ในห้องไปเรื่อยเปื่อย พอเริ่มขี้เกียจก็จบลงที่เตียงนอน รอกินข้าวอีกทีตอนเย็นถ้าเหนือกาลจะใจดีซื้อมาให้ มันเป็นปกติของเราอยู่แล้วที่น้องชายผมมักจะถึงหอช้ากว่าเสมอ เหนือกาลเรียนเภสัช ตารางเรียนโหดร้ายกว่าเด็กศิลปศาสตร์แบบผมเยอะ

            ผมเปิดผ้าม่านไว้ นอนตะแคงหันไปทางประตูรอดูว่าวันนี้เจ้าเหมียวจะมาหาอีกหรือเปล่า แต่รอแล้วรอเล่าก็ยังไม่เห็นวี่แวว รอนานจนเผลอหลับ สะดุ้งตื่นอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงที่ดังใกล้จนเหมือนอยู่ข้างหู

            "เมี้ยว"

            แมวสีขาวนั่งอยู่หน้าประตูกระจก ผมรีบก้าวลงจากเตียงชะเง้อมองชามข้าว อาหารเม็ดที่เทไว้ให้หายไปหมดแล้ว

            "กินหมดแล้วเหรอ"

            "เมี้ยว"

            "อิ่มมั้ย"

            "เมี้ยว"

            "แต่ออกไปเทเพิ่มให้ไม่ได้แล้วนี่ดิ"

            "เมี้ยว"

            มันตอบว่าอะไรหรือต้องการอะไรผมไม่เข้าใจหรอก จะว่าไปก็เหมือนคุยอยู่คนเดียว เพราะคู่สนทนาเอาแต่ร้องเมี้ยวๆ ที่คนอย่างผมหาได้รู้ความหมายของมันไม่

            ผมนั่งลงตรงหน้าประตู เจ้าก้อนสีขาวก็เดินเอาตัวมาแนบก่อนสีตัวเข้าหาอย่างที่มันทำเมื่อวาน

            "อยากลูบขนว่ะ"

            มันยังสีตัวกับประตูไม่เลิก หลับตาพริ้มทำหน้ามีความสุข แต่ถ้ามีมือคนไปสัมผัสมันจะมีความสุขกว่าหรือเปล่า

            "เมี้ยว"

            อยากจับชะมัด

            ผมขยับไปใกล้ตัวล็อกประตู เอื้อมมือไปหมายจะกดปลดล็อกจะได้สัมผัสขนที่ดูนุ่มนิ่มนั้นด้วยมือตัวเอง แต่ใครสักคนบนฟ้าคงเห็นว่าผมไม่ควรป่วยตอนนี้

            แกร๊ก

            เสียงประตูเปิดพร้อมการกลับมาของผู้อาศัยอีกคน มือผมเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ผ้าม่านสีไข่ แต่ยังไม่ทันได้ดึงมันปิดเหนือกาลก็เดินเข้ามาในห้องเสียก่อน

            "กรี๊ดดด!"

            แล้วมันก็กรี๊ดอัดหูผมเป็นวันที่สอง

            เจ้าแมวขาวกระโดดหนีไปพร้อมๆ กับที่ผมดึงผ้าม่านมาปิด วันนี้ไอ้น้องชายตัวแสบยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ถอยกรูดจนติดประตูเหมือนเมื่อวาน แต่ดูหน้าแล้วก็รู้ว่ากำลังช็อก

            "กาล" ผมเรียก ลุกขึ้นไปตบหน้าแฝดน้องเบาๆ เพื่อเรียกสติกลับมา

            "ขนลุก" มันกอดแขนทำท่าทางประกอบจนดูน่าถีบ ถ้าไม่รู้ว่าน้องชายคนนี้กลัวแมวขึ้นสมองจริงๆ ผมคงด่าหยาบไปแล้ว

            "แล้วจะพรวดพราดเข้ามาทำห่าอะไร"

            "นี่มันก็ห้องกูนะ"

            "ไอ้สัดห้องกู ห้องมึงอยู่ข้างๆ"

            "ห้องมึงก็เหมือนห้องกูอ่ะขิต"

            "เออ งั้นก็สมน้ำหน้า"

            "แต่กูต้องว่ามึงนะที่ปล่อยแมวมาป้วนเปี้ยนที่ระเบียงเนี่ย แล้วทำไมไม่รีบๆ ไล่มันไป"

            "ไล่ทำไมน่าสงสาร"

            "แล้วไม่สงสารน้องเหรอ ขนลุกหมดแล้วเนี่ย"

            "ไอ้สัด ขนลุกตอนมึงเรียกตัวเองว่าน้องเนี่ยแหละ"

            "แค่นี้ทำขนลุกนะจ๊ะพี่จ๋า" ไม่พูดเปล่ามันยังเข้ามาเกาะแขนยื่นหน้ามาจะจุ๊บผมจนต้องผลักหน้าออกแรงๆ เล่นอะไรไม่รู้เรื่องไอ้เวรนี่

            "มึงน่ากลัวกว่าแมวอีกสัด"

            "พี่จ๋าใจร้าย หยาบคาย"

            "พอๆ ไอ้เหี้ยเลิกเล่น" ผมเคาะหัวน้องชายที่ตั้งท่าจะจู่โจมอีกรอบ

            "เลิกก็ได้จ้ะพี่จ๋า แต่อย่าเอาน้องไปเทียบกับแมวอีกนะ มันไม่โอเค"

            "แมวไม่ได้น่ากลัวเลยมึง"

            "ก็มันกลัวให้ทำไง"

            เพราะเข้าใจดีผมเลยไม่อยากเถียงเรื่องนี้ต่อ คนกลัวไม่ว่ายังไงก็กลัว ตอน ม.ต้นมันเคยโดนเพื่อนแกล้งจับแมวโยนใส่ทำเอาร้องไห้จ้า แถมยังกลัวหนักกว่าเดิม หลังจากนั้นเลยกลายเป็นว่าแมวกับเหนือกาลคือศัตรูกัน รวมถึงเพื่อนที่แกล้งก็ได้กลายเป็นศัตรูกันด้วย

            "วันนี้มึงซื้ออะไรมากิน"

            "ต้มเลือดหมู"

            "หิวเลย"

            ผมชวนเปลี่ยนเรื่อง ดันหลังไอ้น้องชายให้ออกจากห้อง ก่อนคนกลัวแมวจะเห็นชามข้าวที่วางไว้ตรงระเบียงเสียก่อน ส่วนอาหารเม็ดนั้นผมซ่อนไว้อย่างดี แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าเหนือกาลจะออกไปนอกระเบียงในช่วงที่มีแมวมาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ แบบนี้ด้วย

 

            วันที่สองสำหรับการแอบให้อาหารแมว และวันที่สามที่ต้องลุ้นว่าจะได้เจอมันอีกไหม

            วันนี้ผมมีเรียนบ่ายเลยเทอาหารใส่ไว้ให้เจ้าแมวขาวก่อนออกมา ชามสีชมพูอันน้อยรอดพ้นสายตาของเหนือกาลมาได้เพราะน้องชายผู้กลัวแมวขึ้นสมองไม่คิดจะเปิดประตูออกไปสูดอาการที่ระเบียงเลยสักนิด แถมยังขู่ผมอีกว่าถ้ายังเห็นผมแอบเล่นกับแมวอีกจะให้แก๊งเพื่อนของผมมาจับมันไปปล่อยที่อื่น จิตใจโหดร้ายจนไม่อยากนับเป็นน้องเลยจริงๆ

            ทันทีที่กลับมาถึงหอผมก็ตรงดิ่งไปที่ห้องนอน เปิดประตูระเบียงออกไปดูชามข้าวที่เทไว้ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าแมวขาวจะไม่ได้แวะมาเพราะอาหารไม่พร่องลงไปเลย ผมยืนมองซ้ายแลขวาอยู่นานสองนานก็ยังไม่เห็นวี่แวว ทั้งที่สองวันที่ผ่านมามันจะโผล่มาเวลานี้ประจำ ซึ่งถ้ามันไม่รีบมาล่ะก็ เหนือกาลกลับมาเห็นก่อนได้ซวยแน่ๆ

            รออยู่หลายนาทีจนได้ยินเสียงก๊อกแก๊กคล้ายกับว่าเจ้าของห้องอีกคนจะกลับมาผมเลยล้มเลิกความตั้งใจที่จะรอ กลับเข้ามาในห้องปิดประตูล็อกกลอนแล้วปิดม่านไว้อีกชั้น เดินออกไปที่ห้องนั่งเล่นก็เจอเหนือกาลที่เพิ่งกลับมาถึงพอดี พร้อมกับก๋วยเตี๋ยวต้มยำเจ้าเด็ดหน้าหอ

 

            นุ่มนิ่ม นุ่มนิ่ม แล้วก็นุ่มนิ่ม

            คงไม่มีคำไหนที่จะสามารถอธิบายความรู้สึกตอนนี้ของผมได้ดีไปมากกว่านี้อีกแล้ว มันเนิ่นนานแค่ไหนไม่รู้กับครั้งสุดท้ายที่ได้สัมผัส ขนฟูๆ กับเนื้อตัวนุ่มนิ่ม จนอยากจะจับมากอดแน่นๆ แล้วกัดก้อนยืดๆ ตรงคอสักที

            ผมรู้ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่ตอนนี้คือความฝัน มันไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้วที่ผมจะเล่นกับแมวได้แบบนี้ เจ้าแมวสีขาวขนฟูที่กำลังเอาตัวเข้ามาสีแขนผมอย่างออดอ้อน สองมือลูบขนนุ่มๆ นั่นอย่างเบามือ มีความสุขจนไม่อยากให้มันเป็นเพียงความฝันเลยจริงๆ

            "เมี้ยว"

            เสียงร้องที่คุ้นเคยดังขึ้นพร้อมกับสัมผัสนุ่มนิ่มที่หายไป ผมลืมตาช้าๆ มองคนข้างๆ ที่ยังหลับสนิท ก่อนจะลุกขึ้นนั่งเมื่อไม่คิดว่าเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่นี้อยู่ในความฝัน มันน่าจะดังมาจากนอกบานประตูที่ถูกผ้าม่านปิดไว้มากกว่า

            น่าแปลกที่การได้พบกับแมวสีขาวเพียงหนึ่งสัปดาห์จะทำให้ผมรู้สึกผูกพันขนาดนี้ บางทีอาจจะเป็นความต้องการลึกๆ ของผมที่อยากเลี้ยงแมวสักตัวแต่เพราะดันเกิดมาแพ้ขนแมวเลยทำอย่างที่ต้องการไม่ได้ พอมีแมวสักตัวเข้ามาป้วนเปี้ยนในชีวิต เลยอยากจะเห็นหน้ามันทุกวันแม้มันจะมาร้องเรียกเอาตอนกลางดึกแบบนี้ก็ตาม

            หันกลับไปมองเหนือกาลอีกครั้งเพื่อเช็กให้แน่ใจว่าคนกลัวแมวจะไม่ตกใจตื่นขึ้นมากรี๊ดอัดหูตอนนี้แน่ๆ เมื่อเห็นว่ายังหลับสนิทผมเลยลุกขึ้นไปเปิดผ้าม่าน แต่สิ่งที่ผมเห็นนั้นไม่ใช่เจ้าแมวสีขาวอย่างที่จินตนาการ กลับกลายผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ใส่เสื้อผ้ายืนมองมาที่ผมแทน

            ผ้าม่านหลุดออกจากมือด้วยความตกใจ ผมกะพริบตาแรงๆ แล้วสะบัดหน้า หัวใจเต้นแรงจนเหมือนจะหลุดออกมาจากอก ถึงจะเพิ่งตื่นแต่ผมมั่นใจว่าตาไม่ได้ฝาด ที่ระเบียงมีผู้ชายยืนอยู่ ผมเห็นหน้าเข้าไม่ชัด และไม่กล้าพอจะเปิดม่านออกไปดูอีกครั้ง

            ผมตบหน้าตัวเองเบาๆ เพื่อเรียกสติ ยังยืนอยู่ตรงหน้าประตูไม่กล้าขยับไปไหน คนที่ยืนอยู่หลังประตูกระจกก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เช่นกัน

            คนคนนี้เป็นใครถึงได้มายืนแก้ผ้าอยู่ที่ระเบียงห้องผม ถ้าเป็นโจรก็น่าจะลงมือทำอะไรสักอย่างได้แล้ว โรคจิตก็เหมือนกัน หากตัดตัวเลือกสองข้อนี้ออกไปแล้วจะเป็นอะไรไปได้ ผีเหรอ ไม่ใช่หรอกมั้ง

            หลังจากหัวใจเริ่มผ่อนจังหวะลงผมก็ทำใจดีสู้เสือแง้มผ้าม่านดูอีกครั้ง ผู้ชายที่เคยยืนอยู่หายไปแล้ว แม้จะเปิดผ้าม่านทั้งผืนก็ไม่เห็นใครทั้งนั้น

            หรือว่าเมื่อกี้ผมจะตาฝาดเพราะเพิ่งตื่นนอน

            เมื่อความสงสัยเข้ามาแทนที่ความกลัวมือก็เลื่อนไปปลดล็อกประตูและเปิดออกไปดูที่ระเบียงโดยลืมคำนึงถึงความปลอดภัยใดๆ ทั้งสิ้น ผมมองซ้ายขวาแต่กลับไม่พบความผิดปกติใดๆ

            คงจะเบลอเพราะตื่นนอนจริงๆ นั่นแหละ แต่ว่า...

            "ฮัดชิ้ว!"

            ผมยกมือปิดปากจามติดกันสองรอบ มันดังพอจะทำให้คนที่หลับอยู่ในห้องตื่นขึ้นมานั่งมอง พร้อมกับเสียงงัวเงียที่แฝงความดุนิดๆ เอ่ยถามออกมา

            "มึงออกไปทำอะไรตรงนั้น"

            ผมรู้สึกแสบจมูกและระคายเคืองตา เลยรีบกลับเข้าห้องปิดล็อกประตูไว้ตามเดิม

            "สะดุ้งตื่นเฉยๆ มึงนอนต่อเลย"

            "เมื่อกี้มึงจามอ่ะ เดี๋ยวก็ไม่สบาย"

            "แค่จาม กูไม่เป็นไรหรอก"

            เหนือกาลพยักหน้าก่อนล้มตัวลงนอนเหมือนเดิม ต้องขอบคุณแสงภายนอกที่ผ่านเข้ามาในห้องได้ไม่มากนัก เหนือกาลก็ยังดูสะลืมสะลือตื่นไม่เต็มตา พอหัวถึงหมอนได้ก็เหมือนจะหลับไปทันที

            ผมเปิดลิ้นชักข้างเตียงหยิบยาแก้แพ้แล้วเดินออกจากห้อง อาการแบบนี้แพ้ขนแมวแน่ๆ ไม่ต้องสงสัย เสียงแมวร้องที่ผมได้ยินเป็นเสียงเจ้าแมวสีขาวไม่ผิดแน่ มันมาที่นี่ มาหาผม แต่สิ่งที่ยังคาใจคือผู้ชายแก้ผ้าคนนั้น เขาเป็นใคร มีตัวตนจริงๆ หรือเป็นสิ่งที่ผมจินตนาการขึ้นมาเองกันแน่

 
tbc.

 
แอบมาเปิดเรื่องใหม่ แต่ไม่รู้จะมาบ่อยๆ ได้ หรือเปล่านะคะ ฮ่าๆๆๆ
เรื่องนี้คิดพล็อตได้ตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลัง แต่ไม่ได้เขียนสักที เพราะกำลังต้มตีกับไข่ต้มอยู่
พอไข่ต้มจบก็มาเขียนจากจันทร์ลืมศุกร์ต่อ แต่เรื่องนี้มันเครียดมากๆ
เลยอยากเขียนเรื่องอื่นคู่ไปด้วย ก็เลยหยิบพล็อตนี้มาเขียนต่อ
ยังไงก็ฝาก เหนือลิขิต ด้วยนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 1 ___ [16/02/62]
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 16-02-2019 21:40:57
น้องแมวแปลงร่างได้แน่เลย :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 1 ___ [16/02/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 16-02-2019 22:12:43
 :pig2: :pig2:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 1 ___ [16/02/62]
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 16-02-2019 22:33:04
อย่างนี้ก็จะยากหน่อยนะกับแมว เพราะมันดูเป็นเส้นขนาน
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 1 ___ [16/02/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 16-02-2019 22:40:13
 :pig4: :pig4: :pig4:

เจิม

พระเอกแปลงร่างเป็นแมวได้ใช่ไหมเนี่ย?
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 1 ___ [16/02/62]
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 17-02-2019 00:37:01
 :mc4:  :mc4:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 2 ___ [01/03/62]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 01-03-2019 18:48:16

ลิขิตครั้งที่ 2


            นอนไม่หลับ

            ผมพลิกตัวไปมาเป็นสิบรอบจนไอ้กาลมันบ่นทั้งที่ยังนอนหลับตา เพราะภาพผู้ชายล่อนจ้อนคนนั้นที่ยืนอยู่หลังบานประตูกระจกมันติดตา ไหนจะอาการแพ้ที่อยู่ๆ กำเริบขึ้นมาดื้อๆ ทั้งที่ผมไม่เห็นแมวสักตัวตรงระเบียง จนคิดว่าผมอาจจะแพ้อากาศเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหรือเปล่า แต่มันไม่ใช่

            วันนี้เราสองพี่น้องตื่นเช้าเหมือนกันเพราะมีเรียนตอนเก้าโมง น้องชายผมนอกจากจะกรี๊ดเก่งแล้วมันยังบ่นเก่งเหมือนคนแก่ที่เมื่อคืนถูกผมก่อกวนจนหลับไม่สนิทไปด้วย แต่ทำไงได้ในเมื่ออยากมานอนด้วยกันเอง

            "ก็ไปนอนห้องตัวเองดิไป๊" ผมไล่ ปกติกาลมันจะนอนห้องตัวเองเฉพาะตอนมีสอบ ต้องอ่านหนังสือ หรือใช้สมาธิทำงานอะไรก็แล้วแต่ ส่วนเวลาอื่นก็หอบหมอนมานอนด้วยกันประจำ แต่เพราะเตียงของทั้งสองห้องมันใหญ่อยู่แล้วผมเลยไม่มีปัญหา

            "ไม่ไป!" มันตอบกลับมาทันที หยิบเอาขนมปังจากเครื่องปิ้งใส่จานก่อนมานั่งที่โต๊ะข้างๆ ผม

            "โตแล้วนะมึงน่ะ อีกอย่างมันก็ผ่านมานานแล้ว"

            "ทำไมมึงพูดแบบนี้วะ เราเป็นแฝดกันนะ"

            "แฝดกันก็แยกกันได้"

            "แต่กูไม่แยก จบนะ"

            ผมรู้ว่าเหตุผลที่แท้จริงของมันคืออะไร ที่ถามก็แซวเล่นไปอย่างนั้น มันไม่ไปผมก็ไม่บังคับไล่มันไปให้ได้หรอก แต่ใจจริงก็อยากให้มันลองพยายามดูมากกว่านี้อีกหน่อย เพราะอนาคตเราคงอยู่ด้วยกันแบบนี้ไปตลอดไม่ได้

            "แล้วถ้ามึงมีแฟนก็จะยังนอนกับกูอ่ะนะ" พอผมถาม ไอ้กาลก็ทำหน้าบึ้งใส่ทันที

            "อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้"

            "มูฟออนได้แล้ว อยู่แบบนี้ต่อไปมันก็ไม่ช่วยอะไร"

            "มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นมั้ยวะ"

            จากแววตาสดใสเมื่อครู่ดูเศร้าลงถนัดตา ผมล่ะอยากตบปากตัวเองร้อยทีที่ดึงเรื่องนี้ขึ้นมาพูด มันเป็นอดีตที่ฝากบาดแผลฉกรรจ์ที่คงไม่สามารถรักษาให้หายได้ง่ายๆ เอาไว้ เวลาอาจจะช่วยเยียวยา แต่ไม่ได้ช่วยลบสิ่งเลวร้ายนั้นออกจากความทรงจำ

            "กูขอโทษ"

            "ขอโทษทำไม กูไม่ได้โกรธ" คนที่ทำหน้าเศร้าเมื่อครู่กลับมายิ้มแย้มอีกครั้ง แม่งก็เป็นซะแบบนี้ เหมือนจะดี แต่ความจริงไม่มีอะไรดีขึ้นเลย

            "เออๆ ปิดประเด็น"

            ผมฟันมือกลางอากาศไอ้กาลเลยยิ้มชอบใจ ก่อนมันจะชวนผมคุยเรื่องอื่น   

            "กูว่าจะกลับไปทำผมดำ มันจะดีมั้ยวะ"

            "อย่าเลย เดี๋ยวหล่อเหมือนกู"

            "กลัวกูหล่อกว่าก็บอก"

            "คิดไปเองเก่ง"

            มันยักไหล่ใส่แบบไม่แคร์ เหนือกาลเป็นคนที่ชอบเปลี่ยนสีผมบ่อยๆ ลองไปเรื่อยๆ ว่าสีไหนเหมาะกับตัวเองบ้าง พูดตามความจริงผมว่ามันทำสีไหนก็ออกมาดูดีหมด พูดไปก็จะหาว่าเข้าข้างตัวเอง ก็นะ เกิดมาเป็นพี่น้องกันแถมยังหล่อทั้งคู่ มันคือความจริงที่ต้องยอมรับ ส่วนตัวผมนั้นไม่ค่อยได้เปลี่ยนสีผมเท่าไร เคยลองทำบลอนด์ทองครั้งหนึ่งแล้วเพื่อนไม่ชินเพราะหล่อเกินไปเลยต้องกลับมาย้อมดำเหมือนเดิม

            "มึงลองทำสีเดียวกับกูดิ เผื่อหน้าจะเหมือนกันขึ้นมาบ้าง" ไอ้กาลเสนอ แต่ถึงจะทำผมสีเดียวกันหน้าเราสองคนก็ไม่มีทางเหมือนกันอยู่ดี ถ้าคนไม่รู้จักเห็นเราสองคนก็คงไม่คิดหรอกว่าเป็นแฝด อาจจะคิดว่าเป็นเพื่อนมากกว่า แต่ผมกับมันเป็นแฝดกันจริงๆ นะ พ่อแม่ไม่ได้เก็บใครคนใดคนหนึ่งมาเลี้ยง หรือเป็นแฝดสลับฝาแต่อย่างใด

            "พอแล้วว่ะ ทำแล้วผมเสีย แต่มึงจะย้อมดำไม่ใช่เหรอ"

            "กูเปลี่ยนใจละ จะทำสีม่วงอมชมพู"

            "ถามจริง"

            "ก็พูดไปงั้น" มันว่าแล้วยิ้มบางๆ ก่อนริมฝีปากจะกลับมาเหยียดตรงเหมือนเดิม

            ใจหนึ่งผมก็อยากดึงมันมากอดแล้วส่งพลังให้ แต่อีกใจก็อยากจะต่อยให้มันได้สติ เมื่อกี้ปิดประเด็นไปแล้วแท้ๆ ก็ยังอุตส่าห์ลากกลับเข้าไปได้อีก

            หลังจากต่างคนต่างนั่งเงียบ หยิบขนมปังปิ้งในจานมาราดนมกินกันคนละแผ่น หาวกันอีกคนละครั้ง ไอ้กาลมันเลยพาผมกลับไปยังสาเหตุของอาการง่วงเหงาหาวนอนนี้

            "แล้วสรุปเมื่อคืนมึงเป็นอะไร ถึงไม่ตื่นขึ้นมาดูแต่กูรู้นะว่าออกไปกินยา อย่าบอกนะว่าแอบไปเล่นกับแมวที่ระเบียง"

            "เหมือนจะแพ้อากาศ...มั้ง" บอกตามตรงว่าผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

            "แพ้ห่าอะไรเยอะแยะ"

            "กูก็สงสัย ทำไมมึงไม่แพ้อะไรบ้างวะ"

            "เพราะมึงขี้โรคไง"

            "เถียงไม่ออกเลย" จริงอย่างที่ไอ้กาลมันว่า ผมมันเป็นพวกขี้แพ้แถมยังขี้โรค อากาศเปลี่ยนนิดหน่อยบางทีก็ไม่สบายแล้ว

            "เพราะงั้นกูเลยต้องไปนอนกับมึง เพราะเหนือลิขิตต้องการความอบอุ่นจากเหนือกาล" ไม่พูดเปล่ายังยิ้มหวานทำตาเป็นประกายใส่ ชอบทำตัวเหมือนเหยื่อ แต่จริงๆ แล้วแม่งโคตรร้ายกาจเลยมันน่ะ

            "ไอ้สัดกลับมาเรื่องนี้อีกแล้ว"

            "อีกเรื่อง ถ้ากูยังเห็นมึงเล่นกับแมวตัวนั้นอยู่จะบอกให้เพื่อนมาจับมันไปปล่อยที่อื่น"

            "ใจร้ายเหมือนหน้าเลยเลยนะมึง"

            "งั้นมึงก็ร้ายเหมือนกัน เพราะเราเป็นแฝด" ทำหน้านิ่งได้แป๊บเดียว ไอ้กาลมันก็กลับมายิ้มหวานทำตัวดี๊ด๊า ถ้าเป็นคนอื่นคงตามอารมณ์มันไม่ทัน แต่ผมชินแล้ว

            "แฝดที่หน้าไม่เหมือนเพราะกูหล่อกว่า"

            "แต่กูสูงกว่า"

            "แค่สองเซน ไม่ต้องมาอวด"

            มันยักคิ้วไหล่อย่างคนชนะ เอาเป็นว่ารอบนี้ผมยอมแล้วกัน ซึ่งความจริงก็ยอมมันแทบทุกรอบนั่นแหละ

            จัดการอาหารเช้าแบบง่ายๆ เสร็จเรียบร้อยกาลมันก็ยกจานไปวางในอ่าง ก่อนหยิบกระเป๋าใบโปรดขึ้นสะพายไหล่หันยิ้มให้ผม

            "ไปเรียนกันครับ เดี๋ยววันนี้พี่เหนือกาลขับรถไปส่ง"

            "เรียกไอ้เหี้ยน้องเหนือเถอะหน้าอย่างมึงน่ะ"

            คนโดนด่าหัวเราะชอบใจเดินนำไปที่ประตู ผมเก็บของลุกตามไปแล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมอะไรไปบางอย่าง เพราะโดนเหนือกาลก่อกวนแต่เช้าชามอาหารแมวที่วางอยู่นอกระเบียงเลยยังว่างเปล่า แต่ก็ทำได้แค่มองไปที่ประตูห้องนอนเพราะคนรอมันเร่งแล้วเร่งอีก

            เลิกเรียนแล้วค่อยกลับมาให้ก็ได้มั้ง ทนหิวไปก่อนนะไอ้แมว

 

            ผมเล่าเรื่องแปลกๆ ที่เจอเมื่อคืนให้เพื่อนฟัง มันเหมือนความจริงที่เหมือนความฝัน หรือความฝันที่เหมือนความจริงจนแยกไม่ออกผมก็ไม่แน่ใจนัก ส่วนเหตุผลที่ผมไม่เล่าเรื่องนี้ให้เหนือกาลฟังเพราะกลัวมันจะคิดมาก แค่นอนคนเดียวยังฝันร้าย ถ้ามันรู้ว่ามีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นสงสัยกลัวจนนอนไม่หลับแน่

            "สรุปเรื่องจริงหรือฝัน" พสุถามขึ้นคนแรกหลังจากฟังจบ

            "ฝันอยู่แล้ว คนบ้าอะไรมายืนแก้ผ้าอยู่ตรงระเบียง นอกจากพวกโรคจิต" คิรินตอบ พสุมันก็ค้านขึ้นมากอีก

            "แต่ไอ้เหนือมันได้ยินเสียงแมวร้องด้วยนะ ใช่มั้ย พอออกไปดูก็ไม่เจออะไร ทั้งคนทั้งแมว"

            "ก็ถึงได้บอกว่าฝันไง"

            "กูจามด้วยนะสองที"

            "มึงแพ้อะไรอีก"

            ผมเผลอหลุดปาก ตอนแรกตั้งใจว่าจะไม่พูดเกี่ยวกับอาหารแพ้ เพราะขี้เกียจฟังพวกมันบ่น

            "ก็แค่จามเฉยๆ"

            "ก็ว่าแมวนั่นแหละ แค่มึงไม่เห็นเฉยๆ หรือเปล่า" พสุว่า ยังคงมั่นใจว่าเจ้าแมวขาวมาหาผมจริงๆ ซึ่งใจผมก็เชื่ออย่างนั้น

            "ก็คือมึงฝันนั่นแหละ" แล้วคิรินก็สรุปให้อีกที แต่ดูเหมือนว่าเรื่องจะไม่จบลงง่ายๆ เมื่อคนที่เงียบอยู่นานอย่างมงคลอยากพูดขึ้นมาบ้าง

            "หรือจริงๆ แล้ว..."

            เราสามคนพากันเงียบเพื่อตั้งใจฟังว่ามันจะพูดอะไร ความเห็นเพื่อนคนนี้มักมีอะไรให้แปลกใจเสมอ สมฉายานานๆ พูดที แต่อึ้งกันทั้งกลุ่ม

            "แมวตัวนั้นอาจจะแปลงร่างเป็นคนเพื่อมาบอกว่าอยากจะอยู่ด้วย"

            แล้วก็ได้อึ้งกันจริงๆ

            "เพ้อเจ้อแล้วมึงอ่ะ" พสุส่ายหน้าใส่

            "ถ้าฝันว่าเห็นคนมาบอกว่าให้เลี้ยงแมวก็ว่าไปอย่าง บางทีอาจจะเป็นเจ้าที่"

            "มึงก็เพ้อเจ้อพอกันอ่ะไอ้สัด"

            "กูชื่อคิริน"

            "ขี้ความสิมึงน่ะ"

            "โอ้โหแรง ต่อยมัยจะได้จบ"

            "มามึงมา"

            ผมยิ้มแหยมองไอ้สองคนที่ดีแต่ปาก ด่ากันทุกวัน ทำท่าจะตีกันตลอดแต่ไม่เห็นมันจะกล้าลงไม้ลงมือกันจริงๆ สักที ส่วนมงคลที่ได้ออกความคิดเห็นสุดโต่งแล้วก็นั่งทำหน้าเบื่อเหมือนเดิม

            "เออ แล้วที่ให้เอาอาหารไปให้เป็นไงบ้างวะ" เถียงกับคิรินเสร็จพสุมันก็หันมาถามผมเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้

            "มันก็มากินอยู่ แต่ต้องแอบไม่ให้ไอ้กาลเห็น วันนี้ออกมาพร้อมกันกูเลยไม่ได้เทอาหารไว้ให้เลย"

            "ก็ว่าถ้าไอ้น้องเหนือรู้ว่ามึงแอบเลี้ยงแมวมันคงเก็บเสื้อผ้าหนีไปอยู่ที่อื่น" คิรินแซว เหลือกาลกับแมวอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ใครๆ ต่างรู้ดี

            "อย่างมันไม่กล้าย้ายไปไหนหรอก"

            "ก็ไม่แน่มั้ย เผื่อมีแฟนไรงี้ กับพี่รหัสมันน่ะเห็นตัวติดกันจังเลย"

            ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆ เพราะพวกนี้ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วพี่ณดากำลังจีบผมอยู่ เป็นการจีบแบบไม่จริงจังจนไม่มีใครดูออก หรือบางทีผมอาจจะเข้าใจผิด ความจริงพี่ณดาอาจจะจีบไอ้กาลอย่างที่คิรินบอกก็ได้

            จากเรื่องแปลกประหลาดของผมที่ไม่รู้ว่าจริงหรือฝัน ลามไปถึงเรื่องเจ้าแมวขาว ตามด้วยเรื่องเหนือกาล และหัวข้อกำลังจะถูกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ต้องขอบคุณอาจารย์ที่เข้ามาสอนสักทีหลังจากเลทไปประมาณสิบห้านาที เพื่อนพูดมากทั้งสองถึงได้หยุดปากหันไปสนใจสไลด์หน้าห้องแทน

 

            วันนี้ผมขอเถลไถล เลิกเรียนแล้วหนีไปดูหนังต่อปล่อยให้กาลมันกลับไปอยู่หอคนเดียว พอออกจากโรงหนังหยิบมือถือขึ้นมาดูก็เจอไลน์จากน้องชายฝาแฝดแจ้งเตือนเต็มหน้าจอ จับใจความได้คร่าวๆ ว่า ‘แมว’

            ผมแยกตัวจากเพื่อนๆ ทันทีเมื่อรู้ว่ากำลังเกิดปัญหาที่หอ มันอาจไม่ใช่เรื่องสำหรับคนทั่วไปแต่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับไอ้กาลแน่นอนที่ได้ยินเสียงแมวร้องไม่หยุด จะเปิดประตูออกไปดูก็ไม่กล้า ถ้าอยู่กับผมอาจจะมีใจสู้กล้าเผชิญหน้ากับแมวขึ้นมาบ้าง แต่ถ้าอยู่คนเดียวนั้นเลิกฝันไปได้เลย

            ผมกลับมาถึงหอภายในยี่สิบนาทีต่อมา เหนือกาลนั่งอยู่ที่โซฟา พอเห็นหน้าผมมันก็รีบฟ้องทันที

            "แมวมันร้องใหญ่เลยตรงระเบียงห้องนอนอ่ะ ไปดูหน่อยดิ"

            "แต่กูแพ้แมวนะ" ผมแกล้ง คนกลัวแมวเลยทำท่าจะลุกมาต่อยผมเสียอย่างนั้น

            "แค่ออกไปดูแล้วไล่มันไปเฉยๆ กูไม่ได้ให้มึงออกไปเล่นกับมัน"

            "แต่ถ้าไม่ออกไปแล้วกูจะไล่มันได้ไงอ่ะ"

            "งั้นมึงก็นอนกับกูข้างนอก"

            "อย่าเวอร์ไอ้สัด" ผมว่า เดินหนีเข้าไปดูในห้องนอนแล้วก็ได้ยินเสียงแมวร้องจริงๆ สงสัยจะหิวข้าวล่ะมั้ง วันนี้ไม่ได้เทอาหารไว้ให้ด้วย

            ผมเปิดผ้าม่านไปมัดไว้ด้านข้าง พอเจ้าแมวขาวเห็นผมมันก็ร้องดังกว่าเดิม นั่งอยู่หน้าชามข้าวแล้วก็ร้องอยู่อย่างนั้น อารมณ์ประมาณว่ารีบๆ เอาอาหารมาให้สักทีสิมนุษย์ หน้าตาก็ดูเอาแต่ใจ จนผมชักสงสัยว่าก่อนหน้านี้มันเอาชีวิตรอดมาได้ยังไง กินอาหารที่ไหน แค่ผมให้อาหารไม่กี่วันถึงมาทำหน้าเอาแต่ใจใส่กันได้ขนาดนี้

            "นั่งอยู่แบบนี้ก็ออกไปเทอาหารไม่ได้ดิวะ" ผมพูดกับแมวที่คงฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง มันยังร้องเมี้ยวๆ ไม่สนใจอะไร พอเห็นผมไม่ออกไปเทอาหารให้สักทีมันเลยเดินเอาตัวมาสีกระจกแทน เห็นแล้วก็อยากขยำขนฟูๆ ของมันชะมัด

            จากประสบการณ์ที่ผ่านมาความจริงแล้วอาการแพ้ขนแมวของผมไม่ได้รุนแรงอะไรนัก แค่คัดจมูกกับระคายเคืองตานิดหน่อย แม้บางครั้งตาจะบวมแดงจนน่ากลัวเลยก็ตาม

            ผมหันกลับไปมองที่ประตูก็เจอกับตาแป๋วๆ ของน้องชายฝาแฝดที่มองมาอยู่ มันคงมาสังเกตการณ์ อยากให้ผมไล่แมวไปแต่ก็ไม่อยากให้ผมออกไปเผชิญหน้ากับแมวอะไรแบบนั้น คิดๆ ดูแล้วทำไมชีวิตเราสองคนมันถึงได้ยุ่งยากแบบนี้ก็ไม่รู้ จะแพ้จะกลัวอะไรจะเลือกที่มันต่างกันหน่อยก็ไม่ได้ แล้วดูสิ่งที่พวกเราเข้าใกล้ไม่ได้สิ

            มันก็แค่...แมว

            เฮ้อ!

            "มีมาสก์มั้ย" ผมถามคนที่ยืนหลบอยู่ตรงประตู

            "มาสก์หน้าเหรอ มึงจะเอามาทำอะไรตอนนี้"

            "มาสก์ปิดปากสิโว้ย"

            "แค่นี้ขึ้นอ่ะคนเรา"

            "มึงก็อย่าเพิ่งกวนตีนสิวะ"

            "เมี้ยว!"

            "รอแป๊บ เดี๋ยวไปเอาให้"

            แค่ได้ยินเสียงแมวร้องคนที่ตั้งท่าจะอ้าปากเถียงต่อก็เดินหลบฉากออกไปทันที ผมได้แต่ส่ายหน้าขำกับอาการกลัวแมวขึ้นสมองของน้องชาย ทั้งที่สัตว์ชนิดอื่นก็เข้าใกล้ได้แท้ๆ แต่กลับกลัวสิ่งมีชีวิตน่ารักๆ อย่างแมวซะงั้น

            หายไปไม่ถึงนาทีเหนือกาลก็กลับมาพร้อมหน้ากากอนานัยที่เคยซื้อมาทิ้งไว้ทั้งกล่องช่วงที่ผมเป็นหวัด ยื่นให้เสร็จก็ถอยหลังไปตั้งหลักตรงประตู แต่ยังอุตส่าห์ถามแสดงความห่วงใย

            "มึงจะออกไปเหรอ"

            "อยากให้ไล่ไม่ใช่ไง ก็ต้องออกดิ"

            "ทุบๆ ประตูไล่ก็ได้มั้ง เกิดมึงแพ้หนักขึ้นมาทำไงวะ"

            "ยังไงก็กูฝากหามส่งโรงพยาบาลด้วยแล้วกัน"

            "ไอ้สัด ไม่ตลก"

            "เออ ไม่เป็นไรหรอกน่า แค่คัดจมูกเอง ใส่มาสก์แล้วน่าจะโอเค" พูดจบผมก็ปลดล็อกประตู หันไปมองที่ประตูห้องอีกรอบเหนือกาลก็ถอยไปหลบข้างหลังบานประตูแล้วเรียบร้อย

            "อย่าให้มันเข้ามานะเว้ย"

            "มึงจะออกไปรอข้างนอกก็ได้นะ"

            "ไม่เอา เดี๋ยวมึงเป็นอะไรขึ้นมาไม่มีคนช่วย"

            "แต่ถ้ามันพรวดพราดเข้ามากูก็คงจับไม่ทันเหมือนกัน"

            "ก็อย่าให้มันเข้ามาเด้!"

            "ห้ามได้ที่ไหนวะ"

            "มึงอย่าแกล้ง เอาจริงกูก็ไม่ได้กลัวขนาดนั้นหรอก รีบๆ ไปไล่มันซักที"

            "เหรอกาลเหรอ ครั้งแรกที่มึงเห็นกรี๊ดลั่นห้องเลยนะ ตอนที่เคยเจอแมววิ่งเข้าหาก็กระโดดหลบแทบไม่ทัน"

            "กูแค่ตกใจ"

            "ไปรอข้างนอกไป" ผมโบกมือไล่ หนึ่งคือห่วงมัน และสอง เพราะไม่อยากให้มันรู้ว่าผมแอบให้อาหารแมวมาหลายวันแล้ว

            "ไม่เอา"

            "แป๊บเดียว ไม่เกินห้านาที"

            ค้านกันทางสายตาอยู่นานแต่สุดท้ายเหนือกาลมันก็ยอมทำตามที่ขอ

            ผมเปิดลิ้นชักข้างเตียงฝั่งตัวเองหยิบถุงอาหารออกมา ใส่หน้ากากไว้เพื่อป้ปงกัน เปิดประตูเลื่อนอย่างระมัดระวัง ก่อนก้าวออกไปที่นอกระเบียง

            ในที่สุดเราก็ได้เผชิญหน้ากันตรงๆ สักที

            เจ้าแมวขาวขนฟูร้องเสียงดังที่ผมเดาเอาเองว่ามันคงดีใจที่จะได้กินอาหาร พอเปิดถุงเทอาหารเม็ดใส่ชามให้ปุ๊บมันก็รีบมากินทันที ผมก็นั่งมองมันเพลินจนเกือบลืมไปเหมือนกันว่าขอเวลาเหนือกาลไว้แค่ห้านาที อยากจะยื่นมือไปลูบขนมันเล่นแต่ต้องพยายามห้ามใจเอาไว้ จนกระทั่งมันละความสนใจจากข้าวในชามหันมาหาผม ความอดทนที่มีอยู่น้อยนิดก็หมดลง

            "เมี้ยว"

            ลองยื่นนิ้วไปจิ้มตัวหนึ่งทีมันก็ร้องออกมา

            "เมี้ยว"

            คราวนี้ลองลูบหัวมันก็ร้องอีก ก่อนจะหลับตาพริ้มอย่างสบายอารมณ์

            นานแค่ไหนแล้วนะที่ผมไม่ได้สัมผัสตัวแมว ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นสองเดือนก่อนที่แพ้จนตาบวมทำเอาไอ้พสุกับคิรินโวยวายทำเป็นเรื่องใหญ่ หลังจากนั้นพวกมันก็พยายามกันผมให้ออกห่างจากแมวทุกวิถีทาง แต่สุดท้ายพวกมันก็เป็นคนแนะนำให้ผมให้อาหารเจ้าแมวขาวตัวนี้เสียเอง

            "ขนนุ่มเหมือนกันนะมึงเนี่ย" จากลูบแค่หัวก็เปลี่ยนเป็นลูบทั้งตัวเมื่อมันเดินเอาตัวมาสีมือผมพลางร้องเมี้ยวๆ ทำหน้าทำตาน่ารักจนต้องคอยลูบคางให้ แต่แค่ได้ลูบมันไม่พอสำหรับคนชอบแมวอย่างผมจริงๆ

            สองมืออุ้มตัวมันมาวางบนตักที่นั่งขัดสมาธิ ผมยังเกาหัวเกาคางให้มันไม่เลิก พอเห็นว่ายังไม่มีอาการแพ้ความคิดที่อยากลวนลามมันมากกว่านี้ก็ผุดขึ้นมา

            "ว่าแต่เพศอะไรวะ" ก่อนหน้านี้ไม่เคยสังเกต หรือเจ้าแมวขาวไม่เคยหันก้นให้ผมดูก็ไม่รู้เลยลืมเรื่องเพศมันไปเสียสนิท

            ไม่รอให้ให้สิ่งที่สงสัยคาใจ เมื่ออยู่ในท่าที่จะเหมาะสมอยู่แล้วผมก็จับมันนอนหงาย เห็นสายตาขวางๆ ของมันมองมาก็คอยลูบหัวให้ตลอด แต่พอจับนอนหงายมันดันเอาหางมันปิดไว้ซะงั้น ผมเลยดึงหางมันออกโดยลืมคิดไปว่าแมวก็อาจจะรักของสงวนเหมือนกัน

            "โอ๊ย!"

            ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นสองสามจุดพร้อมๆ กับทำเอาผมเลือกโฟกัสไม่ถูก มือสองข้างปล่อยเจ้าแมวขาวอัตโนมัติ เห็นมันกระโดดหนีหายไปจากระเบียง ก่อนเหนือกาลจะโผล่มาแทนพร้อมสีหน้าตกใจแบบสุดขีด

            สิ่งมีชีวิตที่ชื่อว่าแมวคงโดนคนรอบตัวแบนออกจากชีวิตผมก็คราวนี้แหละ

 

            โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยคือสถานที่ที่ผมอยู่ในตอนนี้ หลังจากเห็นบาดแผลบนตัวผมเหนือกาลมันก็โวยวายห้องแทบแตก ตามด้วยการโทษตัวเองที่ทำให้ผมต้องโดนแมวข่วนที่หน้าตรงหัวคิ้วหนึ่งรอยกับที่แขนอีกสองรอยระหว่างที่ล้างแผลให้ หลังจากปฐมพยาบาลเบื้องต้นเสร็จก็ขับรถพาผมมาโรงพยาบาล โดนไปหลายเข็มจนผมขี้เกียจนับ ต้องโทษตัวเองด้วยที่ดันจำไม่ได้ว่าเคยฉีดวัคซีนอะไรไปบ้าง น้องชายผู้แสนดีเลยตัดสินใจให้ฉีดบาดทะยักกับพิษสุนัขบ้าใหม่ไปเลยเพื่อเป็นการป้องกัน ทั้งที่ความจริงก็น่าจะเคยฉีดไปแล้วนั่นแหละ

            ระบมจากแผลไม่พอยังต้องระบมจากเข็ม ผมนั่งหงอยเป็นแมวป่วยในรถที่เหนือกาลกำลังขับพากลับหอ ไหนจะต้องฟังมันบ่นทั้งขาไปขากลับ ตามด้วยการตัดพ้อโทษตัวเอง พูดวนมาสามสี่รอบได้แล้ว

            "มึงพูดรอบที่ล้านแล้วเนี่ย" ผมบ่นกลับบ้าง

            "จะพูดไปเรื่อยๆ นี่แหละ ต่อไปนี้กูไม่ให้มึงเข้าใกล้แมวอีกเด็ดขาด เป็นเรื่องเลยเห็นมั้ย ถ้ามันมาอีกกูจะเค้นความกล้าไปไล่เอง"

            "กูว่ามึงช็อกตายก่อนได้ไล่แมว"

            "ก็คอยดู แค่แมว" น้องชายใครทำไมทำเป็นเก่ง

            "เออ จะรอดูเหมือนกัน"

            "แล้วตอนนี้มึงไม่มีอาการแพ้อะไรใช่มั้ย" รู้ว่าเถียงผมเรื่องที่ตัวเองกลัวแมวไม่ได้แน่ๆ เหนือกาลมันก็พาเปลี่ยนเรื่อง

            "ไม่นะ ก่อนฉีดพี่พยาบาลก็ทดสอบแพ้ยาให้ เลยโดนจิ้มไปหลายรอบเลย"

            "ไม่ได้หมายถึงยา กูหมายถึงแมว อาการเป็นไงบ้าง ไม่แพ้ใช่มั้ย"

            "ไม่รู้วะ" ตอนนี้อาการก็ไม่ได้ดีเท่าไรผมเลยบอกไม่ได้ว่าแพ้หรือไม่แพ้กันแน่ จะบอกว่าเจ็บจนลืมแพ้แมวไปเลยก็ได้ ก็แผลที่โดนข่วนมันสาหัสกว่าเวลาคัดจมูกหลายเท่านัก

            "สังเกตตัวเองหน่อยดิวะ"

            "มัวแต่เจ็บอยู่ไงเลยลืม"

            "ถึงห้องแล้วก็รีบอาบน้ำนอนเลย"

            "ครับ รู้แล้วครับ"

            ภายในรถเงียบลง ผมหันไปมองน้องชายที่เอาแต่จ้องถนนตรงหน้า คิ้วขมวดสีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลแม้มันจะพยายามผ่อนคลายเวลาคุยกับผมก็ตาม

            ผมไม่ได้พูดอะไรต่อเพระรู้ว่ายิ่งปลอบยิ่งพูดจะทำให้กาลมันคิดมากกว่าเดิม สิ่งที่ต้องทำคือทำให้ตัวเองดีขึ้นไวๆ แสดงให้มันเห็นว่าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่สามารถทำอันตรายอะไรผมได้ ก็แค่แมวกัด แถมยังโดนจับฉีดยาไปตั้งหลายเข็ม แค่นี้สบายมากอยู่แล้ว

            ถ้าอยู่ในห้องกันสองคนผมคงดึงเหนือกาลมากอดแล้วจุ๊บเหม่งสักทีสองทีเป็นการปลอบใจ แม้ผมไม่ได้ชอบการแสดงความรักแบบนี้สักเท่าไร ผิดกับไอ้กาลมันที่บางทีเผลอๆ ก็ชอบเข้ามาหอมแก้มมาบอกรัก ซึ่งผมเดาว่ามันคงอยากแกล้งเล่นมากกว่า แต่เพราะตอนนี้มันขับรถอยู่ถ้าทำแบบนั้นเราคงได้วนกลับไปโรงพยาบาลด้วยรถฉุกเฉินแน่ๆ

            เอาเป็นว่ากลับถึงห้องเมื่อไรค่อยกอดมันแน่นๆ ไอ้แฝดจอมคิดมากจะได้เลิกทำหน้าเครียดสักที


tbc.


เป็นเรื่องแล้วไงนายลิขิต
อยากบอกว่าไม่ใช่แค่เหนือกาลนะที่ชอบทำตัวเหมือนเหยื่อ จริงแล้วคนพี่ก็เหมือนกัน
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 2 ___ [01/03/62]
เริ่มหัวข้อโดย: mijimaria ที่ 01-03-2019 20:02:43
น่าสนุกจังเลย ว่าแต่คนที่กาลเห็นคือน้องแมวใช่มั้ย แล้วทำไมถึงน้อง เเมวถึงกลายเป็นคนไปได้หว่า รอติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 2 ___ [01/03/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 01-03-2019 20:14:29
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 2 ___ [01/03/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 01-03-2019 20:20:12
 :pig4: :pig4: :pig4:

แหม่...น้องแมวคงอายของสงวนอ่ะ  ก็เลยตะกุยหน้าเข้าให้ 
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 2 ___ [01/03/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวโจร500 ที่ 06-03-2019 07:16:10
รอติดตามค่าาา
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 3 ___ [08/03/62]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 08-03-2019 17:01:09
ลิขิตครั้งที่ 3


            หลังจากลองใส่มาสก์จับแมวแล้วปรากฏว่าอาการแพ้ไม่ได้รุนแรงนัก ผมแพ้ขน คิดว่าขนแมวมันคงเข้ามาทำอะไรโพรงจมูกผมไม่ได้ล่ะมั้งเลยไม่เป็นอะไร วันนี้เลยตั้งใจว่าจะออกไปเล่นกับมันอีก ใส่มาสก์พร้อมนั่งรอยู่หน้ากระจก แต่รอแล้วรอเล่ามันก็ไม่มาสักที

            พออยากเจอก็ไม่มานะไอ้แมวตัวนี้

            ผมออกไปส่องที่ระเบียงหลังจากนั่งแก่วอยู่สักพัก ไร้วี่แววและไม่ได้ยินเสียงร้อง มองชามข้าวที่มีอาหารใส่อยู่ก่อนเดินกลับเข้ามาในห้องแล้วนั่งหน้าประตูกระจกที่เดิม

            หรือว่ามันจะโกรธที่ผมจับมันหงายท้องส่องไข่เมื่อวาน

            "เป็นแมวขี้งอนเหรอวะ" นึกถึงเหตุการณ์วานเมื่อวานแล้วก็ขำ แม้มันจะทำให้ผมเจ็บตัวก็เถอะ ขำทั้งน้ำตากันไปเลย

            มองบาดแผลสองจุดบนแขน กับอีกหนึ่งที่ตรงหางคิ้วแล้วก็รู้สึกแสบขึ้นมา โชคดีแล้วที่เล็บมันไม่จกเข้าที่ตา ไม่งั้นได้กลายเป็นเหนือลิขิตตาเดียวแน่ๆ ส่วนรอยข่วนยาวที่ท้องแขนคงมีรอยแผลเป็นฝากเอาไว้หลังแผลหาย เย็นนี้ไอ้กาลบอกว่าจะรีบกลับมาทำแผลให้ผมก็เตรียมร้องกรี๊ดรอเลย แล้วก็ต้องเตรียมสำลีไว้อุดหูตอนฟังมันบ่นด้วย

            จะว่าไปแลกมาด้วยบาดแผลขนาดนี้แล้วผมยังไม่รู้เลยว่าแมวตัวนั้นเพศอะไร ยังไม่ทันเห็นก็โดนข่วนซะก่อน ถ้ามันจะอายขนาดนั้น ที่ว่าโกรธจนไม่ยอมมาหาอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้

            แต่เรื่องแค่นั้นเนี่ยนะ! แมวบ้าอะไรแม่งจะขี้งอนเกินไปแล้ว

            นั่งเท้าคางมองชามข้าวแมวอยู่ดีๆ เสียงแจ้งเตือนไลน์ก็ทำผมสะดุ้งจนต้องหยุดสมองที่กำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เป็นพี่ณดาที่ทักมาถามไถ่อาการ ไอ้กาลมันต้องไปเล่าให้ฟังแน่ๆ ว่าผมโดนแมวข่วน บอกตามตรงว่าวันนี้ผมโดนบ่นจนไม่อยากจะพูดคุยกับใครแล้ว โดยเฉพาะคนที่เพิ่งทักมา

            ผมมองข้อความที่โชว์อยู่แล้วปล่อยให้หน้าจอมันดับไปเอง ในเมื่อไม่อยากคุยก็ไม่จำเป็นต้องตอบ แต่ทิ้งจังหวะไม่นานก็มีเสียงเรียกเข้าดังขึ้นมาแทน คราวนี้เป็นไอ้น้องชายที่โทรมา

            ให้มันได้อย่างนี้เถอะ ก็แค่ไม่ตอบไลน์ หรือว่าผมไม่ควรรับสายมันบ้างดี

            "ว่า"

            [รับด้วยว่ะ] คำแรกมันก็กวนตีนผมเลย

            "เออ มีอะไร"

            [พี่ณดาไลน์หาทำไมไม่ตอบวะ]

            "เอ้าเหรอ ไลน์มาตอนไหนกูจะไปรู้มั้ย ตัวไม่ได้ติดกับโทรศัพท์"

            [ตอแหลไม่เนียน]

            โคตรเบื่อเลยคนรู้ทัน

            "ทำไมอ่ะ พี่เค้าฟ้องมึงเหรอ หรืออยู่ด้วยกัน"

            [ก็เออ เพิ่งแยกกันเมื่อกี้]

            "แล้วยังไง มึงจะโทรมาบ่นกูแค่นี้"

            [มึงเห็นกูเป็นคนยังไงเนี่ย]

            "คนที่อยากให้พี่ชายได้กับพี่รหัสตัวเอง"

            [กูก็ไม่ได้บังคับมึงขนาดนั้นมั้ย] กาลมันค้านกลับมาเสียงสูง ถึงไม่ได้บังคับก็เถอะ แต่แม่งขายพี่มันแบบออกนอกหน้ามาก

            "แล้วสรุปมีอะไร"

            [คืนนี้กูกลับดึกนะ]

            "ขยันเลี้ยงกันจังวะ" จากการสังเกตของผมในเวลาสองปีที่ผ่านมาสายรหัสไอ้กาลโคตรดูแน่นแฟ้น ผิดกับสายรหัสผมที่พี่รหัสตายห่าไปแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้ ส่วนน้องรหัสก็มีคุยกันบ้างผ่านๆ

            [เปล่าๆ วันนี้เลี้ยงวันเกิดไอ้จรูญ]

            "ร้านไหน"

            [ที่บ้านมัน แดกแล้วเมาเป็นหมา ขี้เกียจแบกกลับ]

            "เออ อย่าหนักมากนะมึง เดี๋ยวขับรถกลับไม่ไหว"

            [ถ้าไม่ไหวกูคงนอนตายอยู่ที่บ้านมันนั่นแหละ แต่ตั้งใจว่าจะกลับไม่เกิดเที่ยงคืน]

            "เที่ยงคืนมึงคือตีสามตีสี่ตลอด"

            คนปลายสายหัวเราะ แต่ผมนับถือกาลมันนะ เรียนก็หนักยังแบ่งเวลาปาร์ตี้ได้ถี่ๆ อีก หากว่ากันตามจริงกาลมันได้อะไรดีๆ ไปมากกว่าผมเยอะ ฉลาดกว่า ตัวก็สูงกว่า มีอารมณ์ขันกว่าอย่างกับพ่อแม่ลำเอียงทั้งที่เกิดมาเป็นแฝดกันแท้ๆ แต่ผมไม่คิดมากหรอก เพราะความจริงอีกข้อที่ปฏิเสธไม่ได้คือผมหล่อกว่ามัน

            [แล้วแผลเป็นไงบ้าง]

            "ก็ดี ยังเจ็บนิดหน่อย"

            [กินยาด้วยนะมึง]

            "เออ"

            [หรือกูจะกลับไปล้างแผลให้มึงก่อนดีวะ]

            "ขับรถกลับมาตอนนี้มึงก็แห้งตายบนถนนไปเถอะ แผลแค่นี้กูทำเองได้"

            [ทำเสร็จแล้วถ่ายรูมาให้กูเช็กด้วย]

            "อันนี้เยอะไป"

            [เออๆ เดี๋ยวพวกกูจะออกกันละ คงจะถึงบ้านมันสองทุ่มพอดี]

            "ขอให้แม่งถึงสองทุ่มจริง"

            เหนือกาลหัวเราะก่อนวางสาย ไม่รู้วันนี้มันอารมณ์ดีมาจากไหน หรือเพราะจะได้ปาร์ตี้มันเลยคึกรอล่วงหน้าก็ไม่รู้

            วางสายจากน้องชายแล้วผมก็ปืนขึ้นเตียงเมื่อเห็นว่าแมวสีขาวที่รอยังไม่มีวี่แววจะโผล่มา ใกล้หกโมงเย็นในวันที่น่าเบื่อแบบนี้กำลังง่วงได้ที่เลย งีบสักสองชั่วโมแล้วค่อยตื่นมากินข้าวล้างแผล ถ้าไม่ง่วงอีกรอบค่อยนั่งรอไอ้กาล ถ้ามันจะกลับมานอนห้องน่ะนะ

 

            ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกทีฟ้าข้างนอกก็มืดสนิทแล้ว ไม่แน่ใจว่าหลับไปนานแค่ไหนแต่มันเต็มอิ่มกว่าเวลาต้องตื่นไปเรียนตอนเช้าอีก ผมยืดตัวบิดขี้เกียจตั้งใจว่าจะหยิบมือถือมากดดูเวลา แต่มือกลับยืดไปโดนคนที่นอนอยู่ข้างๆ

            แต่เดี๋ยวนะ จำได้ว่าตอนหลับผมอยู่คนเดียว ถ้ากาลมันกลับมาแล้วก็น่าจะปลุกผม แล้วไอ้คนที่มันนอนอยู่ตรงนี้คือใครวะ

            ผมรีบเด้งตัวลุกขึ้นหันไปดูพื้นที่บนเตียงข้างๆ แม้ในห้องไม่ได้เปิดไฟทำให้มองเห็นได้ไม่ชัดนักแต่ผมมั่นใจว่าคนคนนี้ไม่ใช่น้องชายผมอย่างแน่นอน อีกอย่างไอ้กาลมันไม่เคยนอนแก้ผ้าจนล่อนจ้อนแบบนี้

            "มึงเป็นใครวะ!" ผมพุ่งเข้าไปตั้งใจจะล็อกตัวมัน สารภาพว่ากลัว แม่งเป็นโรคจิตหรือเปล่าก็ไม่รู้ แถมเข้ามาในห้องได้ยังไงทำไมผมไม่รู้ตัว

            ไอ้โรคจิตล่อนจ้อนเบี่ยงตัวหลบจนผมตะครุบผ้าห่มเต็มๆ แม้ผมจะเพิ่งตื่นแต่ก็ไม่ได้ด้อยประสิทธิภาพขนาดนั้น แต่ไอ้นี่มันไวมาก พอเบี่ยงตัวหลบได้มันก็เข้ามาล็อกแขนแล้วกดหน้าผมลงกับหมอน ทว่าออกแรงดิ้นแค่นิดเดียวก็หลุด

            มีดีแค่ไวอย่างเดียวนี่หว่า

            ผมหันกลับไปจ้องหน้ามัน พอสายตาเริ่มชินกับความมืดแล้วก็มองเห็นอะไรๆ ได้ชัดเจนขึ้น ไอ้ล่อนจ้อนทำหน้าตาตื่น ทำให้ผมนึกออกทันทีว่าเคยเห็นมันที่ไหน คืนนั้นที่ผมเห็นผู้ชายยืนแก้ผ้าตรงระเบียง เป็นไอ้นี่ไม่ผิดแน่

            "ไม่น่าเชื่อว่าหน้าตาแบบนี้จะเป็นโรคจิตนะมึงเนี่ย!" ผมตวาดพร้อมกับถีบมันจนหงายหลังตกเตียง แต่ยังไม่ทันได้ตามไปดู มันก็วิ่งไปที่ประตู ทั้งทุบทั้งเขย่าอย่างกับไม่รู้วิธีว่าจะเปิดออกได้ยังไง เปิดโอกาสดีที่ผมควรกระโจนเข้าไปล็อกคอมันใช่มั้ย แต่ขาผมกลับไม่ขยับแล้วมองด้วยความสงสัยแทน

            เพราะคิดว่าไอ้ล่อนจ้อนนี่เข้ามาทางระเบียงแน่ๆ แต่เป็นไปยังไงที่มันจะเป็นประตูไม่เป็น

            เขย่าอยู่ไม่กี่ทีมันก็สามารถเปิดประตูที่แง้มไว้อยู่แล้วเล็กน้อยได้ ตอนนี้เองที่ผมเพิ่งได้สติพรวดพราดลุกจากเตียงก้าวไปดู ห้องผมอยู่ชั้นสามมันหนีไปไม่ได้ง่ายหรอกๆ ถ้ากระโดดลงไปก็คงพุ่งใส่หลังคาบ้านพักข้างๆ ไม่ตายก็ร้าวจนลุกไม่ขึ้น

            แต่ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่ผมคิด

            "ไอ้เหี้ย! มึง"

            จะคว้าตัวไว้ก็ไม่ทัน จะร้องห้ามก็ไม่มีสติพอ ไอ้ล่อนจ้อนมันกระโดดลงไปจริงๆ ปืนระเบียงกระโดดลงไปต่อหน้าต่อตาผมเลย นี่มันชั้นสามนะเว้ย ไม่ตายห่าไปแล้วเหรอวะ

            ผมรีบเข้าไปเกาะขอบราวระเบียงดู แปลกที่ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยหลังจากมันกระโดดลงไป ไร้วี่แวว ไม่มีรอยหลังคาทะลุ หรือเสียงโวยวายว่ามีคนตกลงไปตรงนั้น มันจะเป็นไปได้ไงวะ อยู่ๆ ก็หายไปเหมือนไม่เคยมีตัวตนอยู่

            แม่งจะน่ากลัวเกินไปแล้วนะแบบนี้

            ผมยังยืนอยู่ที่ระเบียง พยายามมองหาอะไรก็แล้วแต่ที่มนุษย์จะสามารถใช้เป็นเครื่องมือเพื่อหนีไปจากตรงนี้ได้อย่างรวดเร็วเหมือนกับหายตัวไป เชือกไม่มี ต้นไม้ก็ไม่มี ไม่มีอะไรเลย หรือว่าไอ้ล่อนจ้อนมันเป็นสไปเดอร์แมนวะ ปล่อยใยแล้วโหนหนีไปตึกอื่น แม่งเอ๊ย! มันกำลังทำผมประสาทหลอน

            เดินกลับเข้ามาในห้องล็อกประตูปิดม่านก่อนเปิดไฟแล้วนั่งทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นบนเตียง ผมหลับไปช่วงหกโมงเย็น นอนไม่รู้เรื่องรู้ราวไม่รู้สึกตัวใดๆ จนกระทั่งตื่นแล้วเห็นไอ้ล่อนจ้อนคนนั้นอยู่บนเตียงเดียวกัน สิ่งเดียวที่ผมสงสัยคือมันเข้ามาได้ยังไง

            ทางระเบียงมีความเป็นไปได้มากที่สุดเพราะก่อนนอนผมไม่ได้ล็อก จำได้ว่าออกไปดูวี่แววไอ้แมวขาวแล้วกลับเข้ามา จากที่เห็นไอ้ล่อนจ้อนพยายามเปิดเมื่อกี้ผมน่าจะปิดประตูไม่สนิทด้วยซ้ำ แต่ถ้าจะบอกว่ามันเข้ามาทางนี้ก็ดูเป็นไม่ได้อีกเพราะมันเปิดประตูไม่เป็น ซึ่งเป็นอะไรที่โคตรแปลก จะคิดว่าเข้ามาทางประตูยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่

            อีกประเด็นคือทำไมมันไม่ใส่เสื้อผ้า ผมโยนมันเข้ากลุ่มโรคจิตแล้วแน่ๆ แบบไม่ต้องหาคำอธิบายใดๆ คนปกติไม่มีทางไปไหนมาไหนด้วยสภาพแบบนั้น ไม่มีทางเด็ดขาด แม้จะคิดกลับไปถึงครั้งก่อนที่ผมเห็นมันที่ระเบียง ซึ่งยังไม่แน่ใจจนถึงตอนนี้ว่าเป็นความจริงหรือฝันไป ลองคิดตามสมองอันน้อยนิดที่พอจะคิดได้มันก็ไม่ช่วยอะไรขึ้นมาเลย ผมไม่รู้เหตุผลหรือแรงจูงใจของมัน และอีกอย่าง อยู่ๆ แม่งกระโดดลงจากระเบียงแล้วหายตัวไปได้ยังไง ที่คิดออกก็มีอย่างเดียว ผีแน่ๆ แต่ผีมันจะจับต้องได้ขนาดนั้นเลยเหรอ ผมถีบมันตกเตียงเลยนะ แถมมันยังเข้ามาล็อกตัวผมอีก

            ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเหมือนหัวจะระเบิด ผมคว้ามือถือตั้งใจจะโทรหาเหนือกาล เหลือบมองนาฬิกาก็ห้าทุ่มกว่าแล้ว ถ้าบอกให้กลับมาก่อนมันจะยอมมั้ย แต่ยังไม่ทันได้กดโทรออกก็ได้ยินเสียงเปิดประตูเสียก่อน

            ไอ้กาลกลับมาแล้วเหรอวะ

            สารภาพด้วยความกลัวว่าผมไม่กล้าออกไปดู ถ้าไอ้ล่อนจ้อนนั่นมันหายตัวจากระเบียงได้ ก็มีความเป็นไปได้ที่มันจะโผล่มาจากหน้าประตูหรือเปล่า ความคิดผมมันหลอนมากตอนนี้ ฟันธงอีกข้อแล้วว่ามันต้องเป็นเอเลี่ยนที่มาจากต่างดาว

            เสียงก๊อกแก๊กดังที่หน้าประตูห้อง ผมไม่ได้ล็อกไว้ สายตาจ้องลูกบิดเขม็ง ในหัวกำลังทบทวนว่าในห้องมีอะไรที่พอใช้เป็นอาวุธได้บ้าง เพราะถึงแม้ไอ้ล่อนจ้อนมันจะตัวเล็กว่า แรงน้อยกว่า แต่ถ้ามันจะหายตัวได้แบบนั้นบอกเลยว่าผมไม่สู้

            และแล้วประตูก็เปิดออก

            "ยังไม่นอนเหรอวะ"

            ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อคนที่ยืนอยู่หน้าประตูคือเหนือกาล มันเลิกคิ้วมองผมก่อนเดินเข้ามาในห้อง แน่นอนว่าสภาพเตียงกระจัดกระจายแบบนี้ต้องทำให้มันสงสัย

            "ทำไมผ้าห่มกูมาอยู่ตรงนี้" มันถาม ก่อนหยิบผ้าห่มของมันที่กองอยู่บนพื้นขึ้นสะบัด

            "กูนอนดิ้น"

            "ดิ้นอีท่าไหนเตียงเยินขนาดนี้วะ ไม่ใช่มึงแอบหิ้วใครมานะ"

            มันก็ยังจะมีอารมณ์มาเล่น

            "ดูสภาพกูด้วย"

            "ผมไม่เป็นทรง เสื้อผ้าหลุดลุ่ย เหงื่อไหลไคลย้อยขนาดนี้ ใช่เลย"

            "ส้นตีนเถอะ" ผมล่ะอยากเอาตีนนาบหน้าน้องชายจริงๆ ให้ตาย

            "สรุปมึงเป็นไรวะ ฝันร้าย?"

            "งั้นมั้ง"

            "แล้วทำไมไม่เปิดแอร์นอน ร้อนตายห่า น้ำก็ยังไม่ได้อาบ ให้กูเดา แผลก็ยังไม่ได้ล้าง" มันใช้สายตาจับผิดไล่มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า โคตรน่าหมั่นไส้เลยบอกตรงๆ แต่จะยกโทษให้ที่มันรีบกลับมาหาในเวลาที่ผมต้องการแล้วกัน

            "เออ หลังจากคุยกับมึงเสร็จกูก็หลับ เพิ่งตื่นเมื่อกี้"

            "เพราะมึงเป็นแบบนี้ไงกูเลยห่วงจนต้องกลับมาเนี่ย"

            ผมอยากขอบคุณมันนะที่กลับมา แต่กลัวโพล่งออกไปแล้วจะทำให้มันสงสัย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าแฝดจะมีความรู้สึกพิเศษบางอย่างที่ส่งถึงกัน จะเรียกว่าลางสังหรณ์ก็ได้มั้ง ที่ไอ้กาลกลับมาแบบนี้มันต้องรู้สึกถึงลางอะไรไม่ดีอยู่แน่ๆ

            "งั้นมึงไปอาบน้ำก่อนไป เดี๋ยวกูทำแผลให้"

            "อืม"

            "หิวมั้ย"

            "นิดหน่อย"

            "อยากกินอะไร"

            "มึงจะทำเหรอ"

            "เออ เดี๋ยวกูทำให้"

            ไม่อยากจะอวดแต่ก็ต้องอวดว่าน้องชายผมมันทำอาหารอร่อย เป็นงานอดิเรกที่มันชอบทำเวลาอารมณ์ดี อีกหนึ่งความสามารถดีๆ ที่ผมรักมัน

            "อะไรก็ได้ กูกินได้หมดแหละ"

            "ไปอาบน้ำ"

            "เออ รู้แล้ว"

            มันยิ้มให้ผม ยิ้มกว้างไม่เห็นฟันแบบกวนตีน ก่อนเดินออกจากห้องไป

            ผมนั่งคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อยู่สักพักก่อนจะลุกไปหยิบผ้าขนหนู ช่างใจอยู่ว่าจะเล่าให้ไอ้กาลฟังดีมั้ยเพราะมันเป็นเรื่องใหญ่อยู่พอสมควร แต่ก็กลัวน้องชายจะคิดมาก แล้วกลัวนู่นระแวงนี่ไปมากมายอีก เอาเป็นว่า...

            "ฮัดชิ้ว!"

            อยู่ๆ ก็คันจมูก

            "ฮัดชิ้ว!"

            อ่า...แม่งอาการไม่ดีแล้วแบบนี้

            "ฮัดชิ้ว!"

            วันนี้ยังไม่ได้เจอแมวเลยแล้วไอ้อาการแบบนี้แม่งคืออะไรวะ

            "ฮัดชิ้ว!"

 

            ผมหยิบยาในลิ้นชักข้างเตียง แวบออกไปกินน้ำก่อนเข้าไปอาบน้ำ กาลมันกำลังยุ่งอยู่กับอาหารที่จะทำให้ผมเลยไม่ได้หันมาสนใจนัก แต่ถ้าอาการผมยังไม่ดีขึ้นล่ะก็ยังไงมันก็ต้องสังเกตเห็น  แล้วไอ้อาการแพ้เนี่ย ก็ใช่ว่าผ่านไปไม่กี่นาทีมันจะหายสนิท

            มื้อดึกที่กาลมันทำให้กินคืนนี้เป็นข้าวผัดไข่ง่ายๆ เพราะในตู้เย็นก็ใช่ว่าจะมีวัตถุดิบอะไรมากมาย ผมเอาผ้าขนหนูคลุมหัวไว้ตอนเดินออกมา ตายังแดง น้ำมูกยังไหลอยู่ แต่ไม่ได้ร้ายแรงนัก เดินก้มหน้าทำเป็นเล่นมือถือเดินสวนกับน้องชายที่กำลังจะไปอาบน้ำ

            "มัวจะก้มหน้าก้มตาเล่น มองทางหน่อย" บ่นเป็นพ่อเลยมัน

            "เออ ทางก็มีอยู่แค่นี้ กูไม่โดนรถชนตายหรอก"

            กาลมันผลักหัวผม แต่เพราะไม่อยากเงยหน้าขึ้นไปเถียงเลยมุบมิบปากบ่นมันเบาๆ แทน ปล่อยให้มันเดินเข้าห้องนอนตัวเองไป

            ผมกินข้าวผัดไข่หมดเกลี้ยงภายในเวลาไม่กี่นาที เร็วชนิดที่ว่ากาลมันยังอาบน้ำเสร็จไม่ทัน ตอนแรกตั้งใจจะหนีไปนอนเลย กลัวมันเห็นอาการแพ้แล้วโดนซักวุ่นวายอีก ซึ่งไอ้อาการแพ้ที่เป็นอยู่ตอนนี้เนี่ยผมยังไม่แน่ใจเลยว่าเกิดขึ้นจากอะไร ช่วงนี้มันชอบมีอาการทั้งที่ไม่ได้อยู่ใกล้แมว ส่วนแผลไม่ต้องทำแล้วก็ได้ มันคงไม่เน่าจนต้องตัดแขนกับคิ้วทิ้งหรอก แต่ถ้าคิ้วเน่าผมว่าคงต้องตัดหัวทิ้งไปเลยมากกว่า

            ยกจานไปเก็บในอ่างหมุนตัวกลับมากำลังจะเดินเข้าห้องกาลมันก็เปิดประตูห้องน้ำออกมา เป็นจังหวะชีวิตที่ดีเสียเหลือเกิน

            "มึงเอาของออกมาเตรียมรอเลย กูแต่งตัวแป๊บ"

            "แต่กูง่วงแล้วว่ะ"

            "ทำแผลแป๊บเดียว ว่าแต่ทำไมตาแดงๆ วะ" ฉิบหายแล้วนั่นไง ยืนห่างกันตั้งสองเมตรยังเสือกตาดีเห็นอีก ถ้าเป็นผมนะมองไม่เห็นหรอก ถ้าไม่ใส่แว่นก็อย่าได้ถามหาความคมชัดจากโลกใบนี้ เป็นแฝดที่ไม่มีความยุติธรรมเลยให้ตาย

            "ก็บอกว่าง่วงไงไอ้สัด กูหาวจนน้ำตาไหลแล้วเนี่ย"

            กาลมันเดินเข้ามาใกล้ ทำคิ้วขมวดยื่นหน้ามาจ้องจนผมอยากจะบอกมันว่า ‘มึงนี่หยุดฉลาดสักวิทนาทีเถอะไอ้สัด จ้องนักเดี๋ยวจกตาแม่งเลย’

            "กูว่าไม่ใช่แค่ง่วงแล้ว ไปนั่งเลย" มันชี้นิ้วสั่งก่อนเดินลิ่วๆ เข้าห้องตัวเองไป

            แล้วผมจำเป็นต้องทำตามมั้ย ความจริงจะเดินเข้าห้องตัวเองแล้วล็อกประตูเลยก็ได้ ปล่อยให้มันนอนคนเดียวแล้วฝันร้ายร้องไห้ขี้มูกโป่งไปเลย แต่กับความเป็นจริงมันย่อมต่างจากความคิดอยู่แล้ว คุยไปให้มันจบๆ ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าไอ้สิ่งที่กำลังเกิดตอนนี้มันคืออะไรกันแน่

 

            ผมเล่าเรื่องแปลกๆ ที่เกิดขึ้นช่วงนี้ให้เหนือกาลฟังระหว่างที่มันทำแผลให้ ตั้งแต่เห็นไอ้ล่อนจ้อนที่ระเบียงวันแรก ฉากต่อสู้กันวันนี้ การหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย รวมถึงอาการแพ้ทั้งที่ไม่ได้อยู่ใกล้แมวหรือสัมผัสตัวแมวแต่อย่างใด ถึงไอ้ข้อหลังอาจจะเป็นเพราะผมแพ้อย่างอื่นเพิ่มขึ้นมาอีกก็ได้ แต่ที่เล่าเพราะผมคิดว่ามันแปลก กาลมันจะได้ไม่ซักไซ้ถามเพิ่มด้วย

            คนฟังไม่พูดแทรกอะไรทั้งสิ้นขณะที่ผมเล่า ไม่ด่าไม่โวยวายสักนิดแม้จะมีคนแปลกหน้าเข้ามานอนในห้องก็ตาม มันทำหน้าเครียดอย่างครุ่นคิด กระทั่งผมเล่าจบมันถึงพูดประโยคแรกออกมา

            "ทำไมไม่รีบเล่าให้กูฟังวะ"

            "เพราะกูคิดว่าอาจจะฝันไง อีกอย่างเดี๋ยวมึงกลัว"

            ไอ้กาลไม่พูดอะไรต่อ มันทำแผลให้ผมเสร็จสักพักแล้ว หลังจากนั้นก็ฟังแล้วทำคิ้วขมวดตลอด ตอนนี้ก็เหมือนกัน มันกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก

            "มึงคิดว่ากูบ้ามั้ย มึงเชื่อที่กูเล่าหรือเปล่า" ผมรู้ว่าเรื่องนี้มันเชื่อยาก คนทั้งคน อยู่ๆ จะหายไปต่อหน้าต่อตาแบบไร้ร่องรอยได้ยังไง มันเป็นไปไม่ได้

            "มึงจำหน้าไอ้ล่อนจ้อนนั่นได้มั้ย" มันไม่ตอบว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่ผมไม่ว่ามันหรอก เข้าใจว่าเรื่องแบบนี้มันเชื่อยาก

            "มันมืด กูเห็นหน้ามันไม่ชัด แต่ก็พอจำได้ เอาจริง กูรู้สึกว่าคุ้นหน้ามันนะ แต่ไม่คุ้นเคย เหมือนเคยเจอคนหน้าตาแบบนี้ แต่ไม่คุ้นว่าเคยรู้จัก เข้าใจมั้ยวะ"

            "ไม่ใช่ว่ามึงคุ้นเพราะเคยเห็นมันสองครั้งเหรอ"

            "ไม่ใช่ว่ะ ในความรู้สึกกูมันเหมือนเคยเห็นคนหน้าตาแบบนี้ที่ไหนมาก่อน"

            "งั้นก็เป็นคนรู้จัก"

            "ก็กูบอกอยู่ว่าไม่รู้จัก"

            "เฮ้อ งงกับมึง" ไอ้กาลถอนหายใจทำหน้าเครียดจัด จริงจังกว่าตัวผมก็มันนี่แหละ

            อย่างที่บอกว่าผมรู้สึกคุ้นหน้าไอ้ล่อนจ้อนนั่นหลังจากครั้งนี้ที่ได้เห็นหน้ามันชัดขึ้นมาหน่อย แต่มันก็ยังคลุมเครือมากอยู่ดี บางทีมันอาจจะเป็นคนที่ผมเคยรู้จักหรือเห็นหน้ามาก่อน ถ้ามันมาอีก ครั้งต่อไปผมจะเปิดไฟจ้องหน้ามัน

            "ลักษณะหน้าตามันเป็นยังไงวะ รูปร่าง ส่วนสูง ทรงผม"

            "เหมือนมาร์ชแมลโลว์"

            "มาร์ชแมลโลว์เหี้ยอะไรของมึง จริงจังหน่อยไอ้สัด"

            "ก็มันแก้ผ้าอ่ะมึงเข้าใจมั้ย ผิวแม่งขาวอย่างกับเรืองแสงได้ ดูนิ่มๆ เหมือนมาร์ชแมลโลว์ ตาน่าจะชั้นเดียว จมูกกับปากดูดื้อๆ ผมสีบลอนด์มั้ง เกือบขาว ฟูๆ เตี้ยกว่ากูนิดนึง หุ่นไม่อ้วนไม่ผอม กำลังดี จริงๆ คือแม่งเป็นคนหน้าตาดีเลยแหละ"

            "บอกกูทีว่ามึงไม่ได้พิศวาสอะไรมัน ทำเป็นบอกว่ามันเป็นโรคจิต แต่จริงๆ เด็กมึง"

            "เด็กกูก็เหี้ยละ แสดงว่ามึงไม่เชื่อที่กูเล่าไปใช่มั้ย"

            "ก็ดูมึงพูดมาแต่ละอย่าง"

            "เอ้า ก็หน้าตามันเป็นแบบนี้จริงๆ จะให้กูทำไง ตอนนั้นกูยังคิดเลยว่าหน้าตาก็ดีทำไมทำตัวแบบนี้"

            "กูนึกไม่ออกเลยว่าเคยรู้จักใครที่เหมือนมาร์ชแมลโลว์ แต่ถ้าหน้าตาดื้อๆ ก็นึกออกอยู่คนเดียว" มันพูดประโยคแรกด้วยหน้าตาเคร่งเครียด แล้วพูดประโยคหลังด้วยแววตาเศร้าๆ

            "ถ้าจะเหมือนขนาดนั้นกูก็ต้องนึกออกมั้ย อีกอย่าง มันเป็นไปไม่ได้" เสียงผมเบาลงเรื่อยๆ เมื่อฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ ไอ้เด็กหน้าดื้อของเหนือกาลคนนั้นผมเองก็เคยเจอบ่อย เรียกว่าสนิทเลยก็ได้ ลองหลับตานึกถึงหน้าไอ้ล่อนจ้อนอีกทีมันก็พอมีส่วนคล้ายอยู่ ถ้าได้เห็นหน้ามันชัดๆ อีกครั้งคงยืนยันได้ แต่ว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด

            "เออ กูรู้ แต่..."

            ผมทิ้งสายตาไว้ที่เหนือกาลที่อยู่ๆ ก็หยุดพูดไป แววตามันยังเศร้า สีหน้ามันยังเคร่งเครียด แต่กลับดูมีประกายความหวังบางอย่างรายล้อมอยู่รอบตัวมัน

            "มึงจำเรื่องที่ปู่เคยบอกพวกเราตอนเด็กๆ ได้มั้ย" เงียบไปสักพักมันก็พูดขึ้นมา

            "เรื่องอะไรวะ พูดตั้งเยอะแยะ"

            "ที่บอกว่าจะมีเรื่องแปลกประหลาดที่สุดในชีวิตเกิดขึ้น"

            "พูดตอนไหน ทำไมกูไม่คุ้น"

            "มึงเคยคุ้นอะไรบ้างกูถามหน่อย"

            "ไหนอธิบายมาดิ๊"

            "จริงๆ มันไม่มีรายละเอียดอะไรเลย ปู่แค่พูดขึ้นมาเฉยๆ ตอนที่พวกเราไปเยี่ยมช่วงประถมมั้ง บอกว่าจะมีเรื่องประหลาดที่สุดในชีวิตเกิดขึ้นกับเรา มันคือจุดเปลี่ยนอะไรสักอย่าง ให้ทำให้มันถูกต้องจะได้ไม่เสียใจ"

            "คืออะไรวะ"

            "กูก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน"

            "ที่มึงจะสื่อคือเรื่องที่ปู่บอกอาจจะกำลังเกิดขึ้นอยู่กับกูตอนนี้น่ะเหรอ จะเป็นไปได้เหรอวะ"

            "ก็ถ้าเรื่องที่มึงเล่าเป็นความจริง กูว่าจะเชื่อไว้มันก็ไม่เสียหายหรอก"

            มึนตึ้บเลยผม เรื่องที่ปู่เคยพูดอะไรไว้ก็จำไม่ได้เลยสักนิด แต่ก็ไม่แปลกหรอกถ้ากาลมันจะจำได้คนเดียว ถึงบางทีมันจะดูบ้าๆ บอๆ ไปบ้างก็เถอะแต่มันเป็นคนใส่ใจในรายละเอียดแถมยังฉลาดอีก ปัญหาก็คือ ถ้าหากว่าเรื่องที่ปู่เคยบอกไว้กับเรื่องไอ้ล่อนจ้อนเป็นความจริง แสดงว่าเรื่องประหลากที่สุดในชีวิตกำลังเกิดขึ้นกับผม แล้วผมต้องทำยังไงให้มันถูกต้องล่ะ อะไรที่มันผิดอยู่

            "ปวดหัวเลยแม่งเอ๊ย"

            "ลองโทรไปถามพ่อดีมั้ย กูว่าพ่อน่าจะรู้" ไอ้กาลเสนอ

            "ป่านนี้หลับไปแล้วมั้ง"

            "งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยโทร"

            ผมพยักหน้ารับ ว่าไงว่าตามกัน

            "แล้วมึงกินยาหรือยัง"

            เล่นจ้องเขม็งขนาดนี้ ไม่ต้องถามรายละเอียดผมก็รู้ว่ามันหมายถึงยาแก้แพ้ คนขี้เกียจฟังน้องชายบ่นอย่างผมไม่รอให้มันบอกก่อนกินหรอก ผมก็ห่วงชีวิตตัวเองเหมือนกัน

            "กินแล้ว กูเริ่มง่วงแล้วเนี่ย"

            "ไปนอนไป เดี๋ยวกูตามเข้าไป"

            "แปรงฟันแป๊บ" บอกแค่นี้ผมก็ลุกเดินเข้าห้องน้ำ ส่วนกาลมันลุกไปล้างจาน ผมขอแนะนำไว้ตรงนี้เลยว่าถ้าอยากสบายต้องหาสามีให้ได้อย่างมัน แล้วคุณจะกลายเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก


tbc.


เรื่องราวแปลกประหลาดที่สุดในชีวิต?
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 3 ___ [08/03/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 08-03-2019 18:27:55
 :pig4: :pig4: :pig4:

นุ้งแมวเป็นใคร  มาจากไหน  จัดอยู่ในสปีชี่ใด?
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 3 ___ [08/03/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 08-03-2019 21:03:22
รอไขปริศนาน้องแมวขาว
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 3 ___ [08/03/62]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-03-2019 02:29:40
ติดตาม​จ้ะ
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 3 ___ [08/03/62]
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 09-03-2019 20:22:58
 o13 :really2:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 4 ___ [23/03/62]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 23-03-2019 19:41:12

ลิขิตครั้งที่ 4

            ตะวันแทงตาขุดตัวเองขึ้นจากที่นอนได้พวกผมก็ต่อสายตรงถึงพ่อทันที ผมเล่าเรื่องสุดแปลกประหลาดเกี่ยวกับไอ้ล่อนจ้อนให้พ่อฟัง เป็นการเล่าที่เล่นใหญ่เวอร์วังอลังการแต่พ่อกลับไม่ได้ดูตกใจนัก อย่างกับรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นเรื่องที่ผมต้องเจอ เป็นปัญหาที่ผมต้องเผชิญในสักวัน

            [มันเป็นเรื่องที่ลิขิตต้องตัดสินใจเอง พ่อช่วยอะไรไม่ได้หรอก]

            "มันอาจจะเป็นเอเลี่ยนก็ได้นะพ่อ นี่มันปัญหาระดับชาติแล้ว ไม่ใช่ของผมคนเดียว"

            [ทำไมคิดอย่างนั้น] พ่อหัวเราะ แต่ไอ้คนที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ ผมกำลังทำหน้าประมาณว่าทนฟังความเพ้อเจ้อของผมไม่ไหวแล้ว

            "เอาตรงๆ นะพ่อ คือผมไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร แล้วทำไมผมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย"

            [พ่อเข้าใจลิขิตนะลูก แต่ก็ตามที่พ่อบอกไป มันเป็นความพิเศษของครอบครัวเราน่ะ]

            "เรื่องแปลกประหลาดที่สุดในชีวิตนี่ผมว่ามันน่าจะเป็นปัญหามากกว่าความพิเศษนะพ่อ"

            [คิดแบบนั้นเหรอ]

            "ใช่ครับ มันเป็นปัญหาแน่ๆ"

            [ถ้าเกิดผ่านมันไปได้แล้วลูกอาจจะเปลี่ยนความคิดก็ได้]

            คำพูดของพ่อมีแต่ทำให้ผมสงสัยมากขึ้นโดยที่ไม่สามารถไขข้อข้องใจใดๆ ให้ได้เลย นอกจากว่าผมต้องเผชิญกับมัน ต้องผ่านมันไปให้ได้ แล้วชีวิตหลังจากนั้นก็จะดี แต่กว่าจะผ่านมันไปได้จริงๆ ผมอาจจะประสาทก่อนได้

            [แล้วก็กาล]

            "ครับ" คนที่นั่งฟังเงียบๆ มาตลอดตอบรับ เรื่องของผมคงจบลงแค่นี้แล้วสินะ พ่อถึงได้เรียกไอ้กาลมันต่อ

            [ถ้าลิขิตผ่านมันไปได้ เวลาของกาลก็จะมาถึง]

            "ของผมเหรอ"

            [พ่อบอกได้แค่นี้แหละ ยังไงก็พยายามเข้าล่ะ ผ่านมันไปให้ได้นะลูกๆ ของพ่อ] ตัดจบเพียงเท่านี้แล้วพ่อก็วางสายไปเลย

            ผมกับเหนือกาลมองหน้ากันแล้วกะพริบตาปริบๆ สุดท้ายพ่อก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรมันกระจ่างขึ้นเลย

            "สรุปก็คือมันเป็นเวรกรรมที่กูต้องเจอสินะ" ผมสรุป เจอโรคจิตแอบเข้ามาในห้อง แถมยังเป็นโรคจิตที่หายตัวได้ สุดยอดไปเลย

            "มึงจะเอาไงต่อ"

            "จะทำไงได้วะ ก็คงต้องหาความจริงจากไอ้ล่อนจ้อนนั่น แต่กูนึกไม่ออกจริงๆ ว่ามันจะเป็นความพิเศษของกูได้ยังไง น่าจะเป็นความหายนะมากกว่า"

            "ถ้าพ่อบอกแบบนี้ก็ต้องเชื่อไปก่อนแหละ ตอนนี้กูก็ยังคิดอะไรไม่ออกเหมือนกัน" มันว่าหน้าเครียดกว่าผมสิบเท่าได้ เพราะจากที่พ่อบอกถ้าเรื่องของผมผ่านไปได้ด้วยดีก็จะถึงตามัน ได้เครียดรอกันยาวๆ เลยว่ามันจะเจอความแปลกประหลาดอะไรในชีวิต

            "เอาเป็นว่าครั้งหน้ากูจะจับมันให้ได้ ยังไงมันต้องมาอีกแน่"

            เหนือกาลพยักหน้ารับให้กับความมุ่งมั่นของผม มันนิ่งไปสักพักแล้วก็ทำหน้าครุ่นคิดขึ้นมาอีก จากนั้นก็หันมามองผม บอกตามตรงว่าใจไม่ดีเลยที่โดนมันมองด้วยสายตาจับผิดแบบนี้ ไปรู้อะไรมาอีกวะ

            "เออมึง เมื่อเช้ากูเห็นถ้วยสีชมพูวางอยู่ตรงระเบียง ถ้วยอะไรวะ"

            ขนาดนี้แล้วอย่าเรียกว่าเมื่อเช้าเลย ตอนนี้เพิ่งแปดโมง เรียกว่าเห็นตอนตื่นนอนไปเลยดีกว่า

            ผมพยายามคิดหาข้อแก้ตัวแต่คิดไม่ออก ไม่ได้กลัวโดนมันด่า แต่ขี้เกียจฟังมันบ่น เชื่อเถอะว่าไอ้กาลมันแกล้งโง่ถามไปงั้นเองว่าถ้วยอะไร ถึงกลัวแมวมันก็ต้องรู้แหละว่าหน้าตาแบบนั้นมันคือชามอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยง ถ้างั้นก็สู้ยอมรับตรงๆ ไปเลยให้มันจบๆ

            "ชามข้าวแมว"

            "สรุปว่ามึงแอบเลี้ยงจริงๆ ใช่มั้ย"

            "อ้าว รู้เหรอวะ"

            "คิดว่ากูโง่ รู้ไม่ทันมึง"

            "จ้า พ่อคนฉลาด กูนี่โง่ไปเลย" ถึงจะผิดคาดที่กาลมันไม่โวยวาย แต่การที่มันรู้ทันแล้วเก็บเงียบเอาไว้ก็ทำให้ผมดูโง่หน่อยๆ แต่ก็ช่างมันเถอะ

            "กูคงห้ามอะไรไม่ได้แล้วใช่มั้ย" มันพูดเหมือนตัดพ้อ

            "ก็แค่ให้อาหารเอง"

            "แพ้หนักขึ้นมาเดือดร้อนกูอีก"

            "ที่จริงวันนั้นที่กูใส่มาสก์ออกไปไล่มันก็ไม่ได้แพ้อะไรนะเว้ย น่าจะกันขนมันได้อยู่กูเลยไม่แพ้"

            "จริงๆ ที่มึงแพ้คือรังแคกับพวกสารคัดหลั่ง"

            "เออ อะไรก็ช่างแม่งเถอะ สรุปคือก็ป้องกันได้ ไม่เดือดร้อนมึงแน่นอน"

            มันมองกลับมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจ ส่วนผมก็เสนอหน้ายิ้มอย่างมั่นใจให้มันดู จนสุดท้ายไอ้น้องชายก็ถอนหายใจออกมา ทำตัวเหมือนผู้ปกครองผมจนแยกไม่ออกแล้วว่าสรุปใครพี่ใครน้องกันแน่

            "งั้นก็อย่าให้มันเข้ามาในห้องแล้วกัน"

            "กูไม่ให้มันเข้ามาได้หรอก" รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ ผมยังไม่อยากหูดับเพราะโดนคนกลัวแมวกรี๊ดใส่หรอก

            "แล้วนัดฉีกวัคซีนครั้งต่อไปเมื่อไรวะ"

            วัคซีนพิษสุนัขบ้ากับบาดทะยักฉีดครั้งเดียวแล้วใช่ว่าจะจบ ผมยังมีนัดให้ไปโดนจิ้มอีกหลายเข็ม ยาวไปอีกครึ่งปีกันเลยทีเดียว

            "พรุ่งนี้"

            "งั้นไหนๆ ก็ไปโรง'บาลแล้ว มึงไปตรวจอาการแพ้เพิ่มด้วยก็ดี แพ้ทั้งที่ไม่ได้สุงสิงกับแมวกูว่ามึงต้องได้โรคเพิ่มแน่ๆ"

            "แช่งกูอีก"

            "ไปตรวจด้วย"

            "เออๆ รู้แล้ว" ผมรับปาก แต่จะได้ทำตามไหมอันนี้ก็ต้องดูกันอีกที บอกตามตรงผมไม่ค่อยชอบโรงพยาบาล แค่ต้องไปฉีดยาตามนัดก็ยุ่งยากมากพอแล้ว ไอ้จะให้ไปรอตรวจนู่นนี่เพิ่มอีกนั้นปัดตกไปได้เลย

            หมดเรื่องคุยแล้วกาลมันก็ไปเรียน ส่วนผมยังมีเวลากลับไปนอนเปื่อยได้อีกชั่วโมง

 

            กลับมาจากคณะผมก็มานั่งเฝ้าชามข้าวแมวที่เทอาหารไว้ให้เมื่อเช้าหลังประตูกระจก อาหารเม็ดในชามยังเหลือเท่าเดิมไม่พร่องลงเลยสักนิด แม้มันจะหายตัวไปแค่วันเดียวผมก็เริ่มคิดมากแล้ว ไม่รู้ว่ามันไปแอบนอนหลับอยู่ที่ไหน หรือเป็นแมวที่หนีออกจากบ้านแต่เจ้าของตามตัวเจอแล้วหรือเปล่า

            คิดไปคิดมาก็อยากทำตัวเป็นเจ้าของมันเต็มตัว อาหารก็ซื้อให้กินแล้ว จะเหลือก็แค่ให้มันเข้ามานอนด้วย ผมว่าซื้อปลอกคอมาใส่ให้มันเลยก็น่าจะดีเหมือนกัน

            นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยได้ไม่นานเจ้าตัวที่รอคอยก็โผล่มา มันกระโดดมายืนอยู่บนขอบระเบียง เลียขนสองสามทีก่อนกระโดดลงมาหน้าประตู หันไปมองชามข้าวแวบนึงแต่ไม่ยักไปกิน มันนั่งลงแล้วก็จ้องหน้าผม

            "มานั่งมองหน้าทำไมวะ ทำไมไม่ไปกินข้าว" พฤติกรรมแปลกๆ ของมันชวนให้ผมแปลกใจ ก็รู้ว่าแมวมันเป็นสัตว์ที่เดาอารมณ์ไม่ค่อยได้เท่าไร แต่เป็นครั้งแรกเลยที่โดนแมวนั่งจ้องหน้ากันแบบนี้

            ไม่รู้ว่ามันจะได้ยินหรือเข้าใจสิ่งที่ผมพูดไปหรือเปล่า แมวเปอร์เซียหน้ามันจะดูเหวี่ยงหน่อยๆ ดั้งก็หักเหมือนไปโกรธใครมา แล้วเล่นมานั่งจ้องหน้ากันแบบนี้ผมจะคิดว่ามันกำลังโกรธผมก็ได้นะ แต่มันจะโกรธผมเรื่องอะไรล่ะ อาหารก็เทให้ น้ำก็มี จะเอาอะไรอีก

            "เป็นอะไรวะ มานั่งจ้องหน้าเพื่อ"

            ถามไปแต่กลับโดนเมิน มันเริ่มเลียขนทำความสะอาดร่างกายของมันไป จะว่าไปยังไม่ได้คาดโทษมันที่ฝากแผลไว้ที่ผมเลย เพศมันผมก็ยังไม่รู้ หรือว่าผมต้องขอโทษมันก่อน บางทีมันอาจจะงอนจริงๆ ก็ได้

            "เออ เรื่องวันก่อนน่ะขอโทษนะ เนี่ย ได้มาตั้งหลายแผลก็เจ๊าๆ กันไปละกัน เลิกงอนแล้วก็ไปกินข้าวไป"

            พอผมพูดไปแบบนั้นมันก็เลิกเลียขนแล้วกลับมาจ้องกันเหมือนเดิม อย่างกับว่าเข้าใจงั้นแหละ

            "ว่าแต่เพศอะไรวะ จะดูก็หวงเลยเรียกไม่ถูกเลยเนี่ย ถ้าเป็นผู้ชายจะเรียกมึง มาเป็นเพื่อนกัน จะได้สนิทกันเร็วๆ"

            มันยังคงใช้หน้าเหวี่ยงๆ จ้องผม ทำไม ไม่ชอบเหรอวะ แค่เรียกมึงเอง

            "ทำไมวะ ไม่ชอบให้เรียกมึงเหรอ เป็นแมวผู้ดี?"

            ผมทำหน้ากวนตีนใส่ มันก็ยังทำหน้าเหวี่ยงใส่ผมเหมือนเดิม

            "อ่ะๆ เปลี่ยนก็ได้ งั้นเรียกแก ใสๆ น่าร้าก" คราวนี้ผมแกล้งยิ้มตาปิดใส่มัน ลองทำตัวน่ารักๆ บ้างเผื่อแมวจะชอบ แต่เหมือนจะไม่ได้ผล

            นั่งพูดคนเดียวกับแมวเป็นเรื่องเป็นราวได้ขนาดนี้ผมล่ะเซอร์ไพรส์ตัวเองจริงๆ แม้ไอ้แมวตัวนี้มันจะดูไม่สนใจผมเลยก็เถอะ ว่าแต่เมื่อกี้พูดถึงไหนแล้วนะ อ้อใช่

            "เออ แล้วถ้าเป็นตัวเมียจะเรียกเธอ เป็นไงดีป้ะ คิ้วๆ เธอ ตะเอง ไรงี้"

            แม้จะพูดอะไรไปมันก็ยังนั่งจ้องหน้าผมด้วยสายตาเหวี่ยงๆ เหมือนเดิม ไม่ร้องเหมียวๆ ไม่เอาตัวมาสีประตู ไม่ออดไม่อ้อนเลยสักนิด ชักสงสัยแล้วจริงๆ ว่ามันโมโหอะไรผมกัน จะใช่เรื่องวันก่อนจริงเหรอ แต่ถามให้ตายยังไงมันก็คงตอบผมไม่ได้ ถึงตอบได้ก็เป็นแค่เสียงร้องเมี้ยวๆ ที่ผมแปลความหมายไม่ออกอยู่ดี

            "อยากเข้ามามั้ย แต่เดี๋ยวขอใส่มาสก์ก่อน"

            บอกมันแล้วผมก็ลุกไปหยิบหน้ากากอนามัยมาใส่ เปิดประตูไว้แค่พอให้แมวเดินผ่านเข้ามาได้ แต่มันก็ยังเล่นตัวไม่ยอมเข้ามา

            "แล้วแต่นะงั้น" งอนขนาดนี้ผมเองก็ชักขี้เกียจง้อแล้วเหมือนกัน แฟนยังไม่เคยต้องง้อขนาดนี้เลยให้ตาย

            ผมเดินออกไปหาอะไรกินนอกห้อง พูดคนเดียวมากๆ คอมันก็แห้ง ในตู้เย็นมีเป๊ปซี่กระป๋องที่ไปซื้อกับกาลมันเมื่อสัปดาห์ก่อน เคาะน้ำแข็งใส่แก้วแล้วเทน้ำตาม ฟองซ่าขึ้นมาจนเกือบล้นแก้ว เหลืออยู่ครึ่งกระป๋องเลยเก็บใส่ตู้เย็นเอาไว้ก่อน ได้เครื่องดื่มแล้วก็เดินกลับเข้าไปในห้องเพื่อต่อล้อต่อเถียงกับแมวต่อ

            แต่ว่า...

            "ไอ้เหี้ย! มึง!"

            แก้วเป๊ปซี่แทบจะหลุดจากมือเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ในห้อง ไอ้ล่อนจ้อนหันมามองผม ต่างคนก็ต่างตกใจ แต่รอบนี้ผมมีสติพอ รีบวางแก้วไว้บนโต๊ะแล้วก้าวยาวๆ เข้าไปหา มันที่กำลังตกใจก็ลนลานหันซ้ายหันขวาหาทางออกไม่เจอ ถึงมันจะปราดเปรียวว่องไวแค่ไหนก็เถอะ แต่ครั้งนี้ไม่ยอมให้หนีไปแน่

            ผมรีบกระโดดล็อกตัวมันจากด้านหลังเมื่อเห็นว่าคนร้ายกำลังพุ่งไปที่ประตู การจับกุมค่อนข้างทุลักทะเลเมื่อไอ้ล่อนจ้อนมันดิ้นอย่างไม่ยอม เหมือนแรงมันจะเยอะกว่าคราวที่แล้วนิดหน่อย แต่ก็ยังสู้ผมไม่ได้อยู่ดี

            "กูไม่ให้มึงหนีแล้วไอ้สัด ถ้าคุยไม่รู้เรื่องกูจับมึงส่งตำรวจแน่" แน่นอนว่านี่เป็นแค่การขู่ เพราะถ้าหากว่าไอ้ล่อนจ้อนนี่คือส่วนสำคัญของเรื่องประหลาดในชีวิตผมจริง การจับมันส่งตำรวจย่อมไม่ใช่ความคิดที่ดี

            ผมจับมันนั่งเก้าอี้แล้วใช้ผ้าขนหนูผืนบางๆ มัดไว้เพราะหาอะไรที่มันดีกว่านี้ไม่ทัน แน่นอนว่าการปรากฏตัวครั้งนี้ไอ้ล่อนจ้อนมันก็ยังล่อนจ้อนสมชื่อ ครั้นจะปล่อยให้ผิวมาชเมลโล่ต้องแสงไฟล่อตาล่อใจก็ยังไงอยู่ ผมเลยต้องเอาผ้าขนหนูอีกผืนใหญ่มาคลุมให้

            หลังจากหายเหนื่อยก็ได้เวลาพิจารณาหน้าตามันแบบจริงๆ จังๆ ก่อนหน้านี้ที่ผมตกใจจนเกือบทำแก้วหลุดมือเพราะตอนเห็นหน้ามันชัดๆ เหมือนมีหน้าของใครบางคนซ้อนทับขึ้นมา คนหน้าตาดื้อๆ ที่กลายเป็นฝันร้ายของน้องชายผม เหมือนกันจนหน้าตกใจ แต่สภาพไอ้ดื้อตอนนี้มาทำอะไรแบบนี้ไม่ได้แน่

            "เรามาคุยกัน"

            ผมพยายามทำน้ำเสียงให้เป็นมิตรที่สุด ถึงไอ้เสียงโทนต่ำฟังดูน่ากลัวนี่จะไม่ได้ช่วยให้ไอ้ล่อนจ้อนมีสีหน้าผ่อนคลายเลยก็ตาม แต่ก็ดีแล้ว ไอ้โรคจิตต่างดาวอย่างมันควรกลัวผม และรู้ตัวด้วยว่าไม่ควรบุกเข้าห้องคนอื่นแบบนี้

            "มึงเข้ามาในห้องกูทำไมวะ ต้องการอะไร"

            ประเดิมทำถามแรกง่ายๆ แต่กลับไร้คำตอบ ไอ้ล่อนจ้อนมันจ้องผมแล้วก็หลบตา ทำท่าเหมือนอยากจะพูดแต่ก็เงียบ

            โอเค ถ้ายังไม่อยากตอบ งั้นข้ามคำถามนี้ไปก่อนก็ได้

            "แล้วทำไมมึงไม่ใส่เสื้อผ้าวะ"

            เป็นเรื่องที่ผมสงสัยรองจากการที่มันบุกเข้ามาในห้องผม รอบที่แล้วมานอนด้วยโดยไม่ขโมยอะไรสักอย่าง ฉะนั้นก็ตัดหัวข้อขโมยออกไปได้เลย ส่วนวันนี้ทำท่าเหมือนเข้ามาเดินทัศนศึกษา แถมมันยังเข้ามาได้ภายในเวลาแป๊บเดียวที่ผมออกไปเอาน้ำ อีกอย่างประตูก็ยังเปิดไว้เท่าเดิมที่ผมเปิดให้ไอ้แมวขาว ซึ่งตอนนี้มันได้หายตัวไปแล้วเรียบร้อย

            "ถามก็ตอบดิวะ ถ้ามึงคุยรู้เรื่องกูจะไม่บอกตำรวจ แต่ถ้ายังเงียบอยู่แบบนี้ก็คงช่วยไม่ได้แล้วว่ะ"

            ในเมื่อพูดดีๆ ยังไม่ยอมก็คงต้องขู่อีกรอบ ไอ้ล่อนจ้อนแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมา เป็นการตอบโต้ที่อย่างน้อยผมก็รับรู้ว่ามันเข้าใจคำพูดของผม แต่เลือกที่จะเงียบไว้

            ผมถอนหายใจยืนกอดอกมองมันเมื่อหมดปัญญาจะซัก ผมไม่ใช่คนที่เค้นความจริงเก่งอะไรนัก เรียกว่าไม่มีสกิลด้านนี้เลยก็ว่าได้ อาจจะเป็นเพราะไม่ได้มีความอยากรู้เรื่องของคนอื่นเท่าไรด้วยล่ะมั้ง อีกอย่างหน้าตาไอ้ล่อนจ้อนเวลากลัวดูน่าสงสารเอาเรื่อง จะลงไม้ลงมือก็ไม่กล้า แต่ถ้ายังคุยกันไม่รู้เรื่องแบบนี้แล้วผมจะแก้ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องราวสุดแปลกประหลาดในชีวิตที่ต้องเผชิญนี้ได้ยังไง

            นึกอะไรไม่ออกแล้วผมเลยใช้มือถือถ่ายรูปมันเก็บไว้ก่อน อย่างน้อยก็เอาไว้ให้ไอ้กาลมันดูว่าไอ้ล่อนจ้อนหน้าตาเป็นยังไง มันต้องตกใจแน่ๆ ที่ไอ้ล่อนจ้อนเหมือนกับไอ้ดื้อขนาดนี้

            กดถ่ายได้รูปเดียวอยู่ๆ คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็หายตัวไปต่อหน้าต่อตา เหลือแค่กองผ้าขนหนูบนเก้าอี้ มือถือผมเกือบหลุดจากมือ สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้ากำลังทำให้ผมกลัว ใจเต้นรัวขึ้นจนได้ยินเสียงมันไอ้อย่างชัดเจน แม่งบ้าไปแล้ว เห็นชัดเจนเต็มสองตากลางแสงไฟ ชัดกว่ารอบที่แล้วเป็นร้อยเท่า

            ยังอึ้งไม่ทันหาย มือไม้แข็งขยับไปไหนไม่ออกก็มีแมวกระโดดออกมาจากกองผ้า ผมอ้าปากค้าง มองไอ้แมวขาวที่คิดว่ามันคงกลับไปแล้ววิ่งออกไปที่ระเบียง ผ่านช่องเล็กๆ ของประตูที่ผมเปิดเอาไว้

            ไอ้ล่อนจ้อนกลายเป็นไอ้แมวขาว แม่งจะบ้าไปกันใหญ่แล้ว

            ผมเปิดประตูออกไปดูที่ระเบียงหลังจากตั้งสติได้ ไร้วี่แววของทั้งคนและสัตว์ แม้ไม่อยากเชื่อแต่สิ่งที่เห็นบอกให้ผมเชื่อ

            นี่สินะคือเรื่องประหลาดที่สุดในชีวิตของผม

 

            "มึงอยู่ไหนวะ จะกลับยัง" หลังจากตั้งสติได้ผมก็ต่อสายหาไอ้กาลทันที พยายามถามด้วยน้ำเสียงเป็นปกติที่สุดเพราะไม่อยากตื่นตูมแล้วทำให้มันเป็นห่วงมาก แม้ความจริงเหมือนสติผมจะลอยหายไปไหนแล้วไม่รู้ก็เถอะ

            [อีกสักพัก มึงกินอะไรยัง]

            "ยัง"

            [จะเอาอะไรอ่ะ] กาลมันต้องคิดว่าผมโทรหาเพราะจะสั่งซื้อของกิน แต่ปากมันไม่อยากกินอะไรเลยตอนนี้

            "อะไรก็ได้ ซื้อมาเหอะ"

            [หรือมีอะไรวะ]

            บอกแล้วน้องผมมันฉลาด มีอะไรผิดแปลกไปแค่นิดเดียวมันก็รับรู้ได้แล้ว

            "ไอ้ล่อนจ้อน"

            [โอเค เดี๋ยวกูรีบกลับ]

            "ขับรถดีๆ นะมึง ไม่ต้องรีบมาก"

            [เออ]

            วางสายจากน้องชายแล้วผมก็มานั่งคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น พยายามนึกโยงเข้ากับเรื่องตัวเองแต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก ขนาดผีผมยังไม่เคยเห็นเลยแล้วประสาอะไรกับแมวที่กลายเป็นคน หรืออาจจะคนที่กลายเป็นแมว พอรู้ว่าแพ้แมวผมก็ถูกที่บ้านห้ามเข้าใกล้มันมาตั้งแต่เด็กๆ ยิ่งมีน้องชายกลัวแมวด้วยชีวิตยิ่งเหมือนตัดขาดออกจากแมวเลยด้วยซ้ำ จะมีก็ช่วงหลังจากเข้ามหา'ลัยแล้วที่พอได้เล่นด้วยบ้าง แล้วก็เกิดอาการแพ้ไปตามระเบียบ

            ยี่สิบนาทีต่อมาเหนือการก็มาถึง ผมออกมานั่งรอมันที่โซฟา วางของกินที่ซื้อมาไว้บนโต๊ะแล้วมันก็เดินคิ้วขมวดมายืนตรงหน้าผม ทำหน้าเครียดกว่าผมผู้ที่กำลังเผชิญเรื่องราวสุดแปลกประหลาดที่สุดในชีวิตเสียอีก

            "มันอยู่ไหน" เสียงที่ถามน่ากลัวจนผมไม่อยากตอบ

            "หนีไปแล้ว"

            "ทำไมไม่จับมันมัดไว้วะ"

            "มันแล้ว"

            "มัดแล้วจะหนีไปได้ไง หรือมันหายตัวไปอีก"

            "มึงนั่งลงก่อน" ผมดึงมันให้ลงมานั่งข้างๆ เรื่องหายตัวได้มันกลายเป็นเรื่องเล็กไปแล้ว

            ผมเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดตั้งแต่ที่ไอ้แมวขาวมาหา เล่าเป็นฉากๆ อย่างต่อเนื่องโดยไม่ปล่อยให้น้องชายได้ขัด ปิดจบด้วยเรื่องสุดเซอร์ไพรส์ที่ทำให้กาลมันขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ถึงไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อเพราะผมมีหลักฐานมายืนยัน

            "กลายเป็นแมวแล้วหนีไปเนี่ยนะ"

            "เออ"

            "บ้าไปแล้วไอ้สัด"

            "เออ กูก็กำลังจะบ้าเหมือนกัน"

            ถ้าคนฟังอย่างมันยังรู้สึกเหมือนประสาทจะกินแล้วคนที่กำลังเผชิยอยู่อย่างผมล่ะ บอกเลยว่าประสาทแดกไปแล้วเรียบร้อย

            "กูยังมีอะไรให้มึงอึ้งกว่านี้อีก" เกริ่นไว้ก่อนผมจะเปิดรูปที่ถ่ายไว้ได้ให้ดู แล้วกาลมันก็นิ่งไปเลย

            เหนือกาลจ้องรูปไอ้ล่อนจ้อนนั่นอย่างไม่อยากเชื่อ มันขยายรูปแล้วส่องทุกซอกทุกมุม ถ้าผมไม่รู้เรื่องราวความหลังอะไรมาก่อนคงคิดว่ามันเป็นไอ้หื่นกามแน่ๆ เล่นซูมรูปคนเปลือยขนาดนี้ เพราะถึงแม้ผมจะเอาผ้าขนหนูมาคลุมไว้แล้ว แต่เนื้อหนังที่โผล่พ้นผ้าออกมาก็ยังล่อตาล่อใจได้อยู่ดี

            "ไม่ใช่" ใช้เวลาพิจารณารูปอยู่สักพักมันก็ส่งมือถือคืนให้ผม

            "ก็ต้องไม่ใช่อยู่แล้วมั้ยวะ มันไม่มีทางเป็นไปได้ ตอนกูเห็นหน้ามันชัดๆ แม่งโคตรตกใจ หน้าไอ้ดื้อซ้อนทับขึ้นมาเลย"

            "กูไปหาดื้อมันทุกอาทิตย์ ตอนนี้มันผอมจะตาย ขี้แมลงตรงแก้มก็ไม่มี"

            "เห็นได้ไงวะขี้แมลงวัน" ได้ยินมันบอกแบบนั้นผมถึงกับต้องขยายรูปดู แล้วก็เห็นจุดดำเล็กๆ ข้างแก้มซ้ายอย่างที่กาลมันบอก

            "กูเป็นคนใส่ใจไง แต่กลับมาที่ประเด็นมึงก่อน สรุปก็คือไอ้แมวสีขาวที่กูเห็นก็คือไอ้ล่อนจ้อนที่กลายร่างมาเป็นคน"

            "ใช่ร้อยเปอร์เซ็นต์ กูเห็นมันวิ่งออกจากห้องไปต่อหน้าต่อตา ก่อนหน้าไอ้ล่อนจ้อนจะโผล่มากูก็นั่งคุยกับแมว แล้วมันก็ยังเคลียร์ข้อสงสัยที่ว่ามันกระโดดหนีจากระเบียงได้ยังไงได้ด้วย เพราะมันกลายเป็นแมวไม่ได้หายตัวไป ก็มีสิทธิ์ที่จะหนีรอดสายตากูไปได้"

            "แฟนตาซีสัด"

            "มึงก็เตรียมตัวเตรียมใจต่อจากกูได้เลย เรื่องกูจบเมื่อไรมึงได้แฟนตาซีต่อแน่"

            ไอ้กาลทำหน้าขยาด เพราะมันเป็นเรื่องที่เราไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้มันเลยน่ากลัว แต่ถ้าเรื่องนี้สามารถกำหนดได้ล่ะก็ ผมรู้เลยว่ากาลมันอยากขออะไร

            "แล้วมึงคิดอะไรออกบ้างยัง" มันถาม เริ่มทำหน้าที่สมองของครอบครัว

            "ยังเลย กูนึกไม่ออกว่าเคยเกี่ยวข้องอะไรกับแมวบ้าง เลี้ยงก็ไม่เคยเลี้ยง เล่นก็ไม่ค่อยได้เล่น มีแต่คลิปที่ดูบ่อย"

            "แล้วที่แพ้แมวอ่ะ มึงจำได้มั้ยว่ารู้ตัวว่าแพ้ตั้งแต่เมื่อไร"

            "ประถมมั้งถ้าจำไม่ผิด" ความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนี้มันเลือนรางจนเหมือนจะหายไปจากความทรงจำผมแล้วด้วยซ้ำ

            "หมดปัญญาจะช่วยคิดเลยทีนี้"

            "แล้วมึงจำเรื่องของกูไม่ได้บ้างเหรอวะ มันอาจจะเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่มึงเริ่มกลัวแมวก็ได้"

            "กูก็กลัวแมวตั้งแต่จำความได้อ่ะ ทำไมถึงกลัวกูก็ไม่รู้ ส่วนเรื่องที่มึงแพ้แมวเหมือนมันมีในความทรงจำกูอยู่แล้วว่ามึงแพ้"

            "หมดทางจะไขปริศนานี้แล้วตัวกู" ผมพูดอย่างหมดหวัง รู้สึกท้อแท้ขึ้นมาทันใด

            "มันเพิ่งเริ่มต้น ถ้ามึงทำให้มันกลายเป็นคนได้มันต้องมาอีกแน่ ถ้ามันมาอีกคราวหน้ามึงก็ลองคุยกับมันดีๆ แล้วกัน"

            "วันนี้กูก็พยายามคุยกับมันดีๆ นะ แต่มันไม่ตอบอะไรกูสักคำ หรือแมวมันพูดไม่ได้วะ"

            "มันเป็นคนต้องพูดได้ดิวะ"

            "แต่เป็นคนที่กลายร่างมาจากสัตว์นะเว้ยอย่าลืม ไม่ใช่กูถามอะไรแม่งตอบแค่เมี้ยวๆ แบบนั้นคือจนปัญญา"

            เหนือกาลมันเงียบไปอีกครั้ง ทำหน้าเหมือนโคนันกำลังไขคดีแบบนี้คงคิดอะไรได้อีกแล้วสินะ ถ้าไม่มีมันคอยช่วยคิดบอกเลยสภาพผมคงแย่กว่านี้

            "หรืออาจจะเป็นคนที่กลายเป็นแมว"

            ข้อสันนิษฐานนี้น่าคิด แต่อยู่ๆ คนจะกลายเป็นแมวได้ไงวะ นี่มันชีวิตจริงไม่ใช่แฮรี่ พอตเตอร์ ไม่มีพ่อมดแม่มดสาปใครให้กลายเป็นสัตว์ได้ ผมก็อยากเชื่ออย่างนั้นนะ แต่การเห็นคนกลายเป็นแมวต่อหน้าต่อตาแบบนี้ บางทีโลกเวทมนต์อาจจะมีจริงก็ได้

            เฮ้อ ก็ว่าไปนั่น

            "มึงโอเคมั้ยเนี่ย" กาลมันดีดนิ้วเรียกสติผม

            "เออ โอเค"

            "ระหว่างนี้มึงก็พยายามนึกไปก่อนแล้วกัน หรือไม่ลองโทรไปคุยกับพ่อก็ได้ แค่เรื่องสมัยเด็กกูว่าพ่อน่าจะยอมเล่าให้ฟัง"

            ฟังแล้วผมก็พยักหน้าตาม มันมีอยู่ในเศษเสี้ยวความคิดของผมอยู่แล้วที่ว่าจะโทรถามพ่อ แค่ถามว่าทำไมผมถึงแพ้แมว หรือเริ่มแพ้ตั้งแต่เมื่อไรแกคงไม่คิดปิดบังอะไร

            "แล้วถ้าครั้งหน้ามันมาอีกอย่าลืมล็อกประตูด้วย"

            "เออ รู้แล้ว"

            เหตุการณ์ครั้งนี้นับว่าเป็นความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัย แต่ใครมันจะไปรู้เล่าว่าอยู่ๆ ไอ้ล่อนจ้อนจะกลายเป็นไอ้แมวขาวแบบนั้น แต่จะว่าไปแบบนี้ก็เท่ากับว่าผมไม่ต้องจับไอ้แมวขาวแหกขาดูเพศให้ต้องเสี่ยงเจ็บตัวอีกแล้ว เพราะนอกจากจะรู้ว่ามันเป็นตัวผู้ ยังเห็นอะไรต่อมิอะไรมันหมดแล้วด้วย

            เป็นไอ้แมวขาวที่ขาวสมกับสีขนมันจริงๆ

 

            การนั่งรอแมวหน้ากระจกกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของผมไปแล้ว แม้กระทั่งวันหยุด หลังจากไปฉีดวัคซีนเข็มที่สองกลับมาเรียบร้อยก็มานั่งเฝ้าแมวต่อ หลังจากนั้นไม่ว่าจะปั่นงาน อ่านหนังสือหรือกินข้าวผมก็ขนทุกอย่างมาทำในห้อง เปิดผ้าม่านกับประตูรับแสงแดดเชื่อเชิญให้แมวเข้ามาในห้อง ยอมทนร้อนไม่เปิดแอร์เลยด้วยซ้ำ ทุ่มเทขนาดไหนคิดดู

            วันนี้กาลมันไม่อยู่ห้อง หลังจากไปส่งผมที่โรงพยาบาลมันก็เลยไปทำธุระประจำวันหยุดของมัน ผมเลยต้องรอคอยคนเดียวอย่างเปล่าเปลี่ยว แต่ถึงแม้เหนือกาลจะอยู่ด้วยก็คงช่วยอะไรไม่ได้ ถ้าเห็นแมวมาล่ะก็ มันนั่นแหละจะเผ่นคนแรก

            รอตั้งแต่ช่วงสายจนเหนือกาลกลับมาตอนห้าโมงเย็นไอ้แมวขาวก็ยังไม่ยอมโผล่มา ผมเข้าใจนะ ถ้าเป็นผมโดนจับมัดแบบนั้นก็คงกลัวเหมือนกัน ถึงจำเป็นต้องกลับมาหาอีกแต่ก็คงต้องใช้เวลาทำใจสักหน่อย สุดท้ายจนแล้วจนรอดตะวันตกดินมันก็ไม่มา

 

            คล้ายกำลังฝัน แต่ก็เหมือนเรื่องจริง เสียงร้องที่แว่วมา เหมือนเสียงนาฬิกาปลุกที่ทำให้ผมลืมตาขึ้นมาขณะกำลังกึ่งหลับกึ่งตื่น

            "เมี้ยว"

            ยอมมาหากันแล้วสินะ

            ผมหันมองเหนือกาลที่นอนอยู่ข้างๆ ก่อนลุกขึ้นเมื่อเห็นว่ามันหลับสนิท เสียงแมวหยุดร้องไปสักพักแล้ว และเมื่อเปิดม่านออก ก็เจอกับไอ้ล่อนจ้อนยืนอยู่หลังประตู

            คนที่ไม่ใส่เสื้อผ้าสะดุ้งสุดตัว มันทำหน้าตาตื่นกระวนกระวายขึ้นมาทันที ผมพยายามทำมือเป็นสัญลักษณ์ให้มันใจเย็น แต่เหมือนไม่ช่วยอะไรเท่าไร เสียงดังมากก็ไม่ได้เดี๋ยวไอ้กาลตื่น ซึ่งถ้ามันตื่น มีหวังไอ้ล่อนจ้อนได้เผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว

            แต่ทว่า...

            ร่างมนุษย์หายไป กลายเป็นเปอร์เซียขนฟูสีขาวภายในไม่กี่วินาทีที่ได้เห็นหน้ากัน

            ถึงจะเป็นผมมันก็กลัวอยู่ดีสินะ

            แล้วก็ไอ้การกลายร่างแบบนี้ แม้จะเคยเห็นมาแล้วแต่ก็อดตกใจไม่ได้อยู่ดี

            ไอ้แมวสีขาวกระโดดไปจากระเบียงโดยไม่สนใจสีหน้าอาวรณ์ของผมเลยสักนิด มันกลัวผมแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย กล้ามาหาแต่ไม่กล้าเข้าใกล้ งานเข้าเบอร์ใหญ่ชนิดที่ว่าคิดไม่ออกเลยว่าต้องทำยังไงให้มันกลับมาเชื่อใจได้อีก

            ต้องไปหาซื้อคู่มือการเลี้ยงแมวมาอ่านแล้วมั้งแบบนี้

 
tbc.


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 4 ___ [23/03/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 24-03-2019 00:16:13
 :pig4: :pig4: :pig4:

ลึกลับจัง
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 4 ___ [23/03/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 24-03-2019 07:15:07
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 4 ___ [23/03/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 24-03-2019 11:07:14
 o13


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 4 ___ [23/03/62]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-03-2019 19:05:33
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 4 ___ [23/03/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Rumraisin ที่ 25-03-2019 11:09:59
น้องแมวน่ารัก ฮือออออ ขี้กลัวด้วย
อยากซื้อแคปนิตไปฝากเลย ขอบคุณมากนะคะ รอตอนหน้าจ้า :pig4:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 5 ___ [20/04/62]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 20-04-2019 21:36:49
ลิขิตครั้งที่ 5


            'จะไม่จับมัด ไม่ขู่ ไม่ทำอะไรทั้งนั้น สัญญา มาเถอะนะ มาคุยกัน แล้วจะให้กินขนมอร่อยๆ วันนี้จะกลับห้องประมาณสี่โมง'

            ผมติดป้ายที่ทำขึ้นเมื่อกี้สดๆ ร้อนๆ ไว้ที่หน้าประตูระเบียง ไม่รู้ว่ามันจะอ่านออกไหม เข้าใจสิ่งที่ผมอยากสื่อหรือเปล่า แต่ก็ดีกว่าอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรสักอย่าง

            ติดป้ายเสร็จก็เทอาหารเติมน้ำไว้ให้ ก็หวังว่าถ้ามันแวะมากินแล้วเห็นข้อความนี้มันจะอยู่รอผมนะ ถ้ามันไม่เข้าใจผมก็ภาวนาให้มันเอะใจสักนิดนึงก็ยังดีว่ามนุษย์คนนี้รอแกที่ระเบียงห้องทุกวันเลย

            จัดการทุกอย่างตามที่คิดไว้เสร็จเรียบร้อยผมก็ออกไปเรียน มองผ้าม่านที่เปิดไว้แล้วเพ่งกระแสจิตใส่ป้ายกระดาษแผ่นนั้นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนปิดประตู

 

            หนึ่งวันก็แล้วข้าวในชามยังไม่ลดลง น้ำในถ้วยก็ยังเหลือเท่าเดิม หรืออาจจะระเหยไปนิดหน่อย

            เข้าสู่วันที่สองก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนอาหารให้ใหม่ จะได้หอมๆ กรอบๆ น่ากิน น้ำก็สู้อุตส่าห์เทจากขวดให้เลยแต่มันก็ยังไม่มา หรือมันจะไม่มาแล้วจริงๆ

 

            "เป็นอะไรวะ ช่วงนี้ดูเครียดๆ ซึมๆ"

            ผมไม่แปลกใจเลยที่พสุมันทักแบบนี้ ก่อนอื่นตัดเรื่องเรียนออกไปเลย ถึงจะหัวดีไม่เท่าน้องชายแต่ผมเป็นคนที่ทำความเข้าใจเกี่ยวกับบทเรียนได้ค่อนข้างง่าย เรื่องที่ใช้ความจำก็ไม่ได้แย่เท่าไร ผลสอบก็ถือว่าอยู่ในระดับดี ไม่ได้หมายถึงเกรด D นะ ฉะนั้นผมไม่มีทางเครียดเรื่องเรียนเด็ดขาด ต่อมาเรื่องงาน อันนี้ผมก็ไม่มีปัญหาอะไรเหมือนกัน งานเดี่ยวสบายๆ งานกลุ่มก็ราบลื่น ฉะนั้นตัดทิ้ง ส่วนข้อที่สาม เรื่องแฟน ข้อนี้ก็ตัดทิ้งไปเลย เพราะยังไม่มี และไม่คิดว่าจะมีเร็วๆ นี้ ส่วนเรื่องที่โดนพี่ณดาตามจีบผมไม่ได้ซีเรียสอะไรนัก แสดงออกว่าปฏิเสธขนาดนั้นแล้วถ้าพี่เขายังจะดื้อด้านตื๊อต่อผมก็ขี้เกียจห้ามแล้ว อีกอย่างพวกมันไม่รู้เรื่องนี้ด้วย ส่วนเรื่องสุดท้ายก็...

            "ไอ้สัด ถามไม่ตอบ กูห่วงมึงนะเนี่ย ลีลาชิบ"

            ผมหันไปมองพสุที่อยู่ดีๆ มันก็ฉุนขึ้นมาซะงั้น ก็ไอ้ข้อที่ยกตัวอย่างมาทั้งหลายแหล่ผมแค่คิดว่ามันต้องกำลังคิดแบบนั้นอยู่แน่ๆ ซึ่งผิดหมด

            "เออ กำลังจะตอบแล้วเนี่ย"

            "สรุปเป็นอะไร"

            "แมวไม่มาหา"

            ทั้งโต๊ะพากันเลิกคิ้ว ไม่เว้นแม้กระทั่งมงคลที่ยังละสายตาจากข้าวในจานหันมามองผม นี่แหละเรื่องเครียดที่สุดในชีวิตผมตอนนี้แล้ว

            "ยังไงวะ" คิรินเริ่มซัก

            "ก็ไอ้แมวขาวที่กูให้อาหารน่ะ มันไม่หากูสามวันแล้ว ถ้าวันนี้ไม่มาก็เข้าวันที่สี่"

            "แค่นี้ถึงกับเครียดเลย" พสุถามเสียงสูง ถ้าเป็นเรื่องปกติผมคงไม่เครียดหรอก แต่นี่แม่งดันเกี่ยวกับอนาคตผมด้วยนี่ดิ

            "ก็เออ กูอุตส่าห์ตั้งใจจะเลี้ยงมันนะเว้ย"

            "มันอาจจะหลงทางก็ได้ เดี๋ยวก็คงกลับมา"

            "นี่คือความคิดมึง" คิรินแย้งความคิดพสุขึ้นมาทันที มาแนวนี้ได้เถียงกันอีกชัวร์

            "ถ้าไม่หลงทางก็อาจจะเป็นเพราะอาหารมึงไม่อร่อย"

            "คิดได้เนอะ"

            "แล้วมึงมีความคิดที่ดีกว่านี้มั้ยล่ะไอ้สัด"

            "ก็คงไม่คิดอะไรปัญญาอ่านแบบมึงอ่ะ"

            "ถ้าคิดอะไรดีๆ กันไม่ได้ก็กินข้าวไป"

            ขอบคุณมงคลเพื่อนรักที่ช่วยเบรก มันสองคนยอมหยุดแล้วกินข้าวต่อ ปิดประเด็นเรื่องแมวขาวแบบค้างๆ คาๆ เพราะไม่มีใครให้คำตอบดีๆ ได้

            ผมตักข้าวมันไก่ซึ่งเป็นมื้อเที่ยงของวันนี้เข้าปากขณะที่ในหัวก็คิดถึงเรื่องราวในอดีตไปด้วย เมื่อวานผมลองโทรหาพ่อ ถามเรื่องที่ผมแพ้แมว คำตอบของพ่อก็เหมือนที่ผมรู้คือเริ่มแพ้ตอนประถม ส่วนเรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับแมวพ่อไม่ค่อยรู้นัก เพราะหลังจากที่รู้ว่าแพ้ก็คอยกันผมออกห่างจากแมวตลอด พ่อบอกว่าคนที่น่าจะรู้เกี่ยวกับผมดีอีกคนคือปู่ ช่วงปิดเทอมตอนประถมพ่อกับแม่มักจะพาผมกับกาลไปอยู่กับปู่ที่ต่างจังหวัด ใช้ชีวิตตามไร่ตามสวน ปู่มีสวนผลไม้ที่ผมกับกาลชอบไปวิ่งเล่นประจำ มีเพื่อนสมัยเด็กที่นั่นด้วย แต่ปู่จากพวกเราไปหลายปีแล้วคงถามในสิ่งที่อยากรู้ไม่ได้

            ประเด็นที่น่าสนใจในวัยเด็กของผมคือบ้านที่ต่างจังหวัดกับเพื่อนที่เคยเล่นด้วยกันตอนนั้น จำได้ลางๆ ว่าครั้งหนึ่งเคยทะเลาะกันแต่ผมกลับนึกไม่ออกว่าเรื่องอะไร ลองถามกาลมันก็ไม่รู้ เลยหมดปัญญาจะคิดต่อ

            "เออ พวกมึง"

            เพื่อนรักทั้งสามหันหน้ามามองอย่างพร้อมเพรียงพร้อมเสือก อยู่ๆ ผมก็คิดอะไรขึ้นมาได้ เป็นคำถามขำๆ ที่พวกมันคงไม่คิดสงสัยอะไร

            "พวกมึงคิดว่าคนจะกลายร่างเป็นสัตว์ หรือสัตว์กลายร่างเป็นคนได้มั้ยวะ"

            "ถามอะไรของมึงเนี่ย" พสุมันขมวดคิ้วใส่เป็นคนแรก

            "ก็แค่อยากรู้"

            "มึงไปอ่านอะไรมา" คนที่ถามอะไรดูมีเหตุผลแบบนี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจากมงคล

            "เห็นผ่านๆ ในเฟส"

            "ถ้ากลายร่างได้ก็เสือสมิงมั้ยวะ"

            "ดูละครมากไปนะมึง"

            "เอ้า ก็ไอ้เหนือมันถาม"

            "มันต้องสไปเดอร์แมน"

            "สไปเดอร์แมนพ่อมึงกลายร่างได้"

            แล้วคู่นี้มันก็พากันออกนอกทะเลไปไหนก็ไม่รู้ ตัดจบประเด็นของผมได้อย่างน่าอนาถใจ ส่วนมงคลแค่ส่ายหน้าแล้วจัดการข้าวเที่ยงของตัวเองต่อ

            โทรศัพท์มือถือของผมที่วางบนโต๊ะสั่นถี่ๆ จนไอ้สองคนที่เถียงกันอยู่ยังหยุดพูดแล้วหันมามอง ผมก้มลงดูแจ้งเตือนไลน์ เป็นสารจากน้องชายที่ส่งมาบอกข่าว

            'พี่ณดาไปหามึงนะ กูไม่ได้บอกนะเว้ยว่ามึงอยู่ไหนเพราะกูก็ไม่รู้ แต่พี่เค้าบอกจะเดินหาเอง'

            ผมกวาดสายตามองรอบโรงอาหารอัตโนมัติ แล้วก็เห็นพี่รหัสไอ้น้องชายเพิ่งเดินเข้ามาพอดี ช่างเหมาะเจาะอะไรแบบนี้ แล้วคุณพี่เธอรู้ได้ไงวะว่าผมอยู่ที่นี่ จะเก่งเกินไปแล้ว ทำไมไม่คิดว่าผมจะออกไปหาอะไรกินข้างนอกบ้าง

            "กูไปก่อนนะ เจอกันบนห้อง"

            "จะไปไหนวะ"

            "ถ้ามีคนถามถึงบอกกูไม่อยู่ ฝากเก็บจานด้วย ขอบคุณ"

            ตอบพวกมันไอ้แค่นี้ผมก็รีบหอบของทุกอย่างหนีออกมาทันที ย่องหลบหลังคนนั้นคนนี้ทีไม่ให้พี่ณดามองเห็น แล้วก็ต้องขอบคุณความพลุ่กพล่านของโรงอาหารในเวลานี้ที่ทำให้ผมหลุดรอดการพบเจอครั้งนี้มาได้

 

            เรียนเสร็จกลับหอผมก็มานั่งอยู่หน้าประตูระเบียงจนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว หมายถึงในกรณีที่ไม่มีอะไรทำน่ะนะ ก่อนหน้านั้นก็ออกไปดูอาหารเม็ดในชาม เปลี่ยนน้ำเปลี่ยนท่าให้ ป้ายที่ติดไว้ยังอยู่ในสภาพเดิมแต่มีข้อความมาเขียนเพิ่มทุกวันด้วยฝีมือผมเอง คิดอะไรออกก็เติมไปเรื่อยๆ เผื่อไอ้ล่อนจ้อนจะเห็นใจกันบ้าง

            วันนี้คลาสผมเลิกช้ากลับมาถึงห้องได้ชั่วโมงเดียวเหนือกาลก็ตามมา ความจริงผมจะนั่งรอมันเลิกเรียนแล้วรอกลับมาพร้อมกันก็ได้ แต่เพราะใจกระวนกระวายอยากกลับมาดูความคืบหน้าเลยไม่ได้รอ อีกอย่างผมขี้เกียจฟังมันบ่นเรื่องพี่ณดา ยังไงคุณพี่เธอต้องกลับไปฟ้องมันแน่ๆ ว่ามาหาผมแล้วไม่เจอ ซึ่งไม่ใช่ความผิดผมเลย

            "ไอ้ขิต" เสียงนำมาก่อนประตูห้องจะเปิดออก ไอ้กาลยืนพิงกรอบประตู หน้านิ่งๆ เดาไม่ออก มันคงคิดอยู่ว่าจะถามผมเรื่องอะไรก่อนดี เรื่องแมวหรือเรื่องพี่รหัสมัน

            "เปิดมาแบบนี้ถ้าแมวอยู่ขึ้นมา มึงไม่กรี๊ดจนคนเขานึกว่าสัญญาณเตือนไฟไหม้เหรอวะ"

            "ตลกละสัด พูดซะกูเสียภาพพจน์"

            "เคยมีด้วยเหรอ"

            "หล่อๆ อย่างกู ไม่เคยไปกรี๊ดเรี่ยราดที่ไหนเว้ย แล้วมึงอย่างเพิ่งพาเปลี่ยนเรื่อง"

            "ทำไม จะมาถามเรื่องพี่ณดา"

            "ก็เออ"

            นั่นไงเดาผิดที่ไหน ถึงมันจะทำเหมือนไม่เชียร์แล้วปล่อยให้ผมตัดสินใจเอง แต่ถ้าผมไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนสักทีมันก็ยังเชียร์พี่รหัสมันอยู่ดี

            "ไหนยังไง คุณพี่เธอไปฟ้องมึงว่าไง"

            "พี่ณดาไม่ได้ฟ้อง แค่บอกว่าไม่เจอมึง แต่กูเดาเองว่ามึงน่าจะหนี"

            "ก็มึงไลน์มาบอกให้กูหนีไม่ใช่ไง"

            "กูแค่ไลน์ไปแจ้งล่วงหน้า ให้รีบเตรียมตัวรับมือ ไม่ใช่ให้มึงหนี"

            "เออ ช่างแม่งเหอะ แต่พี่ณดาน่าจะรู้สักทีมั้ยวะว่ากูไม่ชอบเค้าอ่ะ แสดงออกขนาดนั้นยังตื๊ออยู่ได้ แล้วไม่ใช่ตื๊อกูคนเดียวด้วยนะ" หนึ่งในเหตุผลที่ผมไม่เลือกคุณพี่เธอเพราะคนคุยเยอะ บอกตรงๆ ว่าไม่อยากเป็นตัวเลือก แม้ไอ้กาลจะบอกว่าผมอยู่อันดับหนึ่งก็ตาม มันไม่ได้น่าภูมิใจเลย

            ไอ้กาลยิ้มแหยเดินมานั่งบนเตียง ผมรู้ว่ามันเองก็คงลำบากใจ อยากจะเชียร์ก็เชียร์ได้ไม่สุดเพราะนิสัยพี่รหัสเป็นแบบนั้น แต่นิสัยมันก็ขี้เกรงใจเกินไปกับคนสนิท มันไม่อยากมีปัญหากับสายรหัสหรอก

            "พี่ณดาบอกกูว่าถ้ามึงมีแฟนถึงจะตัดใจ"

            "เออ กูรู้"

            "มึงก็รีบๆ หาแฟนดิวะ"

            "พูดเหมือนหาได้ง่ายๆ"

            "คนชอบมึงเยอะแยะ"

            "ถ้าชอบแบบนั้น คนไม่ชอบมึงเยอะกว่าเหรอวะ"

            ขึ้นชื่อว่าแฝดแถมหน้าตาดี ถึงหน้าจะไม่เหมือนกันแต่พวกเราก็พอมีชื่อเสียงในมหาวิทยาลัยอยู่บ้าง ในเพจคิ้วบอยของมหา'ลัยมีรูปไอ้กาลลงบ่อยๆ แต่ผมเป็นพวกไม่ชอบสุงสิงกับใครเท่าไร เน้นเรียนไม่เน้นกิจกรรม แน่นอนว่ากลุ่มคนที่ชอบผมที่ไอ้กาลยกตัวอย่างมาก็แค่ชอบคนหน้าตาดี แบบชอบดาราไอดอลอะไรประมาณนั้นมากกว่า ไม่ใช่ว่ารักจริงหวังได้เธอเป็นแฟน

            เห็นผมทำหน้าไม่ชอบขนาดนั้นกาลมันเลยไม่พูดเรื่องพี่ณดาต่อ นั่งทอดสายตามองประตูระเบียงที่ดูสงบสุขยามเวลาพระอาทิตย์ตกดิน เพราะไม่มีตึกสูงบังจากตรงนี้จึงสามารถมองเห็นพระอาทิตย์เป็นลูกกลมๆ เหมือนไข่แดง ไม่ได้สวยที่สุด แต่ก็สวยไปอีกแบบ

            "มันไม่มาหากูอีกเลยว่ะ"

            สามวันแล้วตั้งแต่ที่มันมาหากลางดึก สีหน้าท่าทางมันแสดงออกชัดเจนว่ากลัว เห็นในร่างมนุษย์แป๊บเดียวก็กลับร่างแมวแล้วกระโดดหนีไป ระหว่างที่ผมไม่อยู่ไม่รู้ว่ามันได้แวะมาหาบ้างมั้ย แล้วจะยอมใจอ่อนกับมนุษย์ที่เคยจับมันมัดคนนี้ได้หรือยัง

            ให้ว่ากันตามตรงผมเองก็ควรกลัวมันเหมือนกันนะ มันเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ ไหนจะแปลงร่างได้อีก ถ้ามันคิดจะสู้ขึ้นมาจริงๆ ย่อมทำร้ายผมได้แน่นอน อ้างอิงจากสามบาดแผลที่ผมได้รับ มันข่วนตาผมทีเดียวก็จบเกมแล้ว แต่อย่าให้มันเป็นอย่างนั้นดีกว่า

            "เชื่อดิ เดี๋ยวมันก็มา ไปกินข้าวกัน" กาลมันเอาตีนสะกิดหลังผมก่อนลุกออกไป จะคิดซะว่ามันให้กำลังใจแล้วกัน

            ผมเปิดประตูแง้มเอาไว้พอให้แมวเข้าได้ ถ้ามาก็เข้ามาได้เลยนะ กินข้าวกินน้ำให้อิ่มแล้วเข้ามา จะนอนรอบนเตียงก็ได้ไม่ว่าเลย

 

            ถ้าถามว่าอาการหนักขนาดไหน ผมบอกได้เลยว่าตอนนี้เป็นเอามาก มากถึงขนาดนับจำนวนเม็ดอาหารที่เทไว้ให้แล้วคิดดู

            วันนี้ลดไปสิบสองเม็ด

            วันที่สามแล้วที่ผมคิดว่าอาหารที่เทไว้ให้มันลดลง แต่ก็ยังไร้วี่แววของไอ้แมวขาวอยู่ดี เลยไม่รู้ว่ามันแวะมากินจริงๆ หรือมีนกมาแอบจิกกินกันแน่ ถ้านกกินมันคงไม่หายไปหลายเม็ดแบบนี้หรือเปล่า ฉะนั้นผมฟันธงเลยว่าเป็นไอ้แมวขาวแน่นอน เพียงแต่มันยังไม่กล้ามาเจอหน้าผมเท่านั้น

            นับเสร็จแล้วผมก็กลับมาจดบันทึกที่โต๊ะ ไอ้กาลเข้ามาในห้องพอดีมันเลยเดินมายืนขมวดคิ้วใส่

            "จดอะไรวะสองสามวันแล้ว"

            "จำนวนอาหารเม็ดที่เหลืออยู่"

            มันทำหน้าเครียดกว่าเดิมแล้วมองไปที่ระเบียง คงไม่ต้องให้ผมขยายความว่าอาหารเม็ดของใคร

            "ถึงกับต้องจดเลย"

            "เออ กูถึงได้รู้ไงว่ามันมากิน"

            "แล้วมึงรู้ได้ไงว่ามันมากินจริงๆ"

            "ความรู้สึกกูมันบอก"

            "อ่ะจ้ะ" มันคงขี้เกียจเถียงเลยกลับมาแค่นี้

            "มึงมีความคิดดีๆ มั้ยล่ะ หรือวางยาแม่งเลยดีมั้ยคุณเภสัช มียาซึมแมวนะนำมั้ยครับ"

            "กูเพิ่งปีสอง แล้วก็ไม่ใช่สัตว์แพทย์"

            "แต่ไอ้ล่อนจ้อนมันเป็นคนนะ"

            "แล้วตอนมันเป็นคนมันจะแดกอาหารเม็ดมั้ยเล่า"

            "เออว่ะ"

            ประเด็นนี้น่าคิด เรายังไม่รู้เหตุผลที่แน่นอนที่มันกลายเป็นคน แล้วก่อนหน้านี้มันจะเคยกลายร่างเป็นคนต่อหน้าคนอื่นหรือเปล่า หรือเป็นแบบนี้แค่กับผมคนเดียว แล้วตอนเป็นคนมันกินอาหารแบบไหน ใช้ชีวิตอยู่ยังไง แต่มันคงไม่ใส่เสื้อผ้าแน่นอน

            "ไปกินข้าว" หลังจากคุยออกนอกเรื่องกันไปไกลกาลมันก็พากลับเข้าเรื่องที่เข้ามาหาผม

            วันนี้มันทำสปาเก็ตตี้มีทบอล เมนูเด็ดอร่อยต้องบอกต่อ ถ้ามันไม่ได้เกิดมาเป็นพี่น้องกันนะ ผมคงจองมันมาเป็นภรรยาในอนาคตไปแล้ว

 

           -- อ่านต่อด้านล่าง --

หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 5 ___ [20/04/62]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 20-04-2019 21:37:25


            การมาบางทีมันก็ไม่มีสัญญาณเตือน

            วันที่เก้าของการรอคอย วันนี้เหนือกาลออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนและกลับดึกเหมือนทุกที ผมนั่งกินข้าวคนเดียวที่โต๊ะหน้าทีวีตอนใกล้สามทุ่ม กลับมาเข้ามาในห้องอีกทีก็เห็นแมวสีขาวนั่งอยู่บนของระเบียง ทำเอาใจเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น อยากจะพุ่งเข้าไปคว้าตัวมันไว้แต่กลัวมันจะตกใจแล้วหนีไปอีก

            เราเล่นจ้องตากันอยู่หลายวินาที เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ประตูมันก็ลุกขึ้นยืน ผมเลยต้องยกมือทำท่ายอมแพ้แล้วค่อยๆ ก้าวเข้าไป แต่ยิ่งใกล้มันก็ยิ่งกลัว

            ตั้งแต่กลับมาถึงห้องผมก็เปิดประตูไว้พอให้แมวเข้ามาได้ แต่มันก็ยังเลือกนั่งอยู่ตรงนั้นทั้งที่ไม่เห็นผมอยู่ในห้อง คงจะเข็ดจริงๆ ที่โดนจับมัดเมื่อครั้งก่อน

            "ไม่ทำอะไรแล้วจริงๆ เข้ามาเถอะ" ผมตะโกนบอกหวังว่ามันจะเข้าใจ ทั้งเขียนป้าย ทั้งทำตัวยอมสิโรราบขนาดนี้แล้ว

ไอ้แมวขาวยังนิ่ง มันนั่งลงอีกครั้ง แม้จะยังดูตื่นกลัวแต่ผมกลับรู้สึกว่าหน้าตามันดูหยิ่งผยองยังไงชอลกล ในใจมันคงคิดอยู่ว่า ‘พูดมาอีกสิเจ้ามนุษย์ ง้อเราให้ถึงที่สุด แล้วเราจะยอมเข้าไป’ อะไรประมาณนั้น

            "กูไม่จับมึงมัดแล้ว มาคุยกันเถอะ เดี๋ยวเอาขนมอร่อยๆ ให้กิน"

            มันยังนิ่ง จนผมต้องคิดทบทวนว่าพูดอะไรผิด แล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไอ้แมวนี่น่าจะไม่ชอบคำหยาบ

            โอเค งั้นเอาใหม่

            "เรามาคุยกันเถอะนะ ซื้ออาหารมาให้เยอะเลยเนี่ย หายไปหลายวันหิวหรือเปล่า นายก็มีสิ่งที่อยากรู้เหมือนกันใช่มั้ย เราก็มีเรื่องที่อยากรู้เหมือนกัน เข้ามาในห้องก่อน ไม่ทำอะไรแล้วจริงๆ"

            หลังจากผมร่ายไปยาวเหยียดมันก็เริ่มขยับตัวอีกครั้ง เป็นการกระโดดลงมาที่พื้นระเบียง ไม่ใช่ถอยหนีเหมือนก่อนหน้านี้

            สรุปว่าพูดเพราะๆ แล้วได้ผลซะงั้น

            ผมถอยออกห่างไปยืนข้างโต๊ะ ไอ้แมวขาวทำเป็นมองซ้ายแลขวาก่อนค่อยๆ ก้าวเข้ามาในห้อง แต่ยังไม่ยอมออกห่างจากประตู

            "เข้ามาดิ ไม่ทำอะไรแล้วจริงๆ" ผมชูสองมือให้มันดู แสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้ซ่อนอาวุธอะไรไว้

            มันค่อยๆ ก้าวมาใกล้อีกนิดจนเข้ามาอยู่กลางห้อง แล้วมันก็ขู่ฟ่อทันทีเมื่อผมก้าวไปทางประตู

            "แค่ปิดม่าน มันคงไม่ดีมั้งถ้ามีใครมองเข้ามาแล้วเห็นคนแก้ผ้าอยู่" มันต้องกลายร่างเป็นคนอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงหอข้างๆ ที่อยู่ไกลๆ จะไม่สามารถมองเห็นได้ก็เถอะ แต่กันไว้ก่อนย่อมดีกว่า

            มันยอมให้ผมเดินไปปิดม่านโดยดี หันกลับมาอีกทีไอ้แมวขาวก็กลายร่างเป็นไอ้ล่อนจ้อน แสดงอภินิหารที่ไม่ว่าจะเห็นมาแล้วกี่ครั้งผมก็ยังตกตะลึงอยู่ดี

            "หวัดดี" ยิ้มให้พร้อมกับยกมือทักทาย แต่คนที่ยืนแก้ผ้าอยู่ดูไม่มีอารมณ์ร่วมเท่าไร

            ไอ้ล่อนจ้อนทำหน้าดุใส่ผม พร้อมจะขู่ฟ่อทุกเวลาถ้าผมเผลอเข้าไปใกล้โดยไม่ได้รับอนุญาต มันก้าวถอยหลังจนยืนชิดผนังห้องอีกฝั่ง ยืนจังก้าโชว์สัดส่วนร่างกายที่จะว่าไง ก็อืม...ดูดีแหละ หุ่นก็ดีไม่ผอมเกินไป กับผิวขาวๆ ที่ผมยอมรับเลยว่าสุขภาพดีมาก แต่จะให้คุยกับคนที่ไม่ใส่อะไรเลยมันก็ยังไงอยู่ พูดตรงๆ ก็คือไม่สามารถครองสติและสมาธิได้นั่นเอง

            ผมขยับหนึ่งก้าวไอ้ล่อนจ้อนก็ขู่ฟ่อ กลายร่างเป็นคนแล้วก็ไม่ได้ต่างจากแมวสักเท่าไร แยกเขี้ยวตั้งท่าจะตะปบ แต่มันไม่ได้ดูน่ากลัวเลยสักนิด

            "จะหาเสื้อผ้าให้ใส่ ถ้าไม่อยากให้ไปค้นให้ก็เปิดตู้ที่อยู่ข้างๆ แล้วหยิบเสื้อกับกางเกงมาใส่ได้เลย เอาตัวที่ชอบ" จะเดินไปจัดการให้ก็เสี่ยงโดนตบเพราะตู้เสื้อผ้าดันอยู่ใกล้ไอ้ล่อนจ้อนพอดี

            มันมองตามคำอธิบายของผม แสดงว่าเข้าใจภาษามนุษย์เป็นอย่างดี แต่ไม่ยักขยับไปไหน อย่าบอกนะว่าเปิดตู้เสื้อผ้าไม่เป็น

            "หยิบได้เลยไม่หวง อยากใส่ตัวไหนก็เอาเลย" ผมลองเชียร์อีกรอบ

            ครั้งนี้มันค่อยๆ ขยับไปหน้าตู้ มองสักพักก่อนยกมือแตะที่เปิด แตะค้างไว้อยู่อย่างนั้นคล้ายกำลังคิดว่าจะเปิดมันด้วยวิธีใด แต่สุดท้ายมันก็เลื่อนเปิดออกจนได้

            ปกติถ้าเห็นเพื่อนทำอะไรอืดอาดชักช้าผมคงด่าไปแล้ว แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไป การได้มองดูไอ้ล่อนจ้อนทำอะไรสักอย่างทำให้ผมลุ้นและต้องคอยเอาใจช่วยไปด้วย ก็ครั้งแรกๆ ที่เจอมันยังเป็นประตูระเบียงไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ

            เปิดประตูตู้ได้ผมก็ต้องยืนรอมันเลือกชุดที่อยากใส่ แล้วก็ต้องมาลุ้นอีกว่ามันจะใส่เป็นไหม แต่ไม่เป็นไรผมรอได้ เพราะสิ่งที่กำลังกวนใจผมอยู่ไม่ใช่การรอ แต่เป็นก้นขาวๆ กลมๆ นั่นต่างหาก

            ผมต้องใช้ความพยายามอย่างมากบังคับสายตาให้โฟกัสที่อื่น ไม่อยากจะคิดอะไรให้มันดูไม่ดีหรอก แต่ผมน่ะชอบแมว แล้วไอ้ล่อนจ้อนมันก็เหมือนแมว ไม่ดิ มันเป็นแมว ถึงแม้อยู่ในร่างคนมันก็ยังคล้ายแมวอยู่ดี ดูเป็นก้อนนุ่มนิ่มน่า...ขย้ำ

            แม่งเอ๊ย! นี่ผมคิดอะไรอยู่วะ

            ต้องสะบัดหัวแรงๆ ไล่ความคิดพิสดารนี้ออกไป

            ไอ้ล่อนจ้อนเลือกชุดได้แล้ว เป็นเสื้อยืดสีขาวโอเวอร์ไซซ์ที่ผมชอบใส่นอน มันหยิบออกมาจากราวแล้วจับพลิกหน้าพลิกหลังเหมือนเวลาเลือกซื้อเสื้อสักตัว แต่ถ้าให้ผมเดา มันคงกำลังสงสัยมากกว่าว่าจะใส่ยังไง

            "เอาสวมหัวเลย มุดเข้าไป" ผมบอกแล้วทำท่าประกอบ

            มันไม่ได้ทำหน้างง แต่จับเสื้อสวมหัวมันทั้งไม้แขวน ผิดหัวผิดหางมั่วซั่วไปหมดจนผมต้องรีบถลาเข้าไปช่วย แต่พอแตะโดนตัวนิดเดียวมันก็ขู่แล้ว

            "จะช่วยใส่ ไม่ทำอะไรหรอก"

            ใช้เวลาสักพักเลยทีเดียวกว่าจะตะล่อมให้ไอ้ล่อนจ้อนสงบแล้วยอมให้ผมใส่เสื้อให้ มันมองตามมือผมตลอดตั้งแต่ถอดไม้แขวนแล้วเอาเสื้อสวมหัวให้มัน เหมือนเด็กขี้ระแวงไม่มีผิด

            "เอาแขนสอดออกมาตรงนี้"

            มันทำตามที่บอก สอดแขนเข้ามาทีละข้าง จากไอ้ล่อนจ้อนก็กลายเป็นไอ้น่ารัก อันนี้ผมพูดจริงๆ ไม่ใช่แค่ไอ้น่ารักธรรมดา ทั้งน่ารักแล้วก็ดุด้วย ไม่น่าเชื่อว่าแค่เสื้อตัวเดียวจะทำให้คนที่เหมือนโรคจิตชอบอนาจารกลับมาเป็นเด็กวัยรุ่นธรรมดาได้

            ผมหยิบบ๊อกเซอร์ให้มันใส่อีกตัว เสื้อขาวมันยาวพอแค่ปิดก้นได้ซึ่งก็ยังล่อแหลมอยู่ดี ต้องตะล่อมอีกสักพักไอ้ล่อนจ้อนมันถึงยอมให้ผมจับแต่งตัว กว่าจะแปลงโฉมเสร็จก็หมดไปหลายนาที

            ผมผายมือให้มันไปนั่งที่เตียง งานนี้คงได้คุยกันยาวๆ ถ้ายืนเดี๋ยวจะเมื่อยเอา ไอ้ล่อนจ้อนยังคงหวาดระแวงเหมือนเดิม แต่สุดท้ายก็ยอมเดินไปนั่ง

            ผมนั่งที่เตียงอีกฝั่ง เว้นระยะห่างให้มันรู้สึกปลอดภัย จากนั้นก็เริ่มคำถามแรก

            "นายพูดได้มั้ย" ตั้งแต่เจอกันมาผมยังไม่เคยได้ยินเสียงมันเลยสักครั้ง ถ้ามันตอบกลับมาว่า 'เมี้ยว' ก็เตรียมพับโต๊ะปิดการประชุมได้เลย

            "ดะ"

            "ฮะ?"

            ผมไม่แน่ใจว่าก่อนหน้านี้ได้ยินคำว่าอะไร อาจจะเป็นคำว่า ‘ได้’ ที่ออกเสียงไม่ชัด พออยากจะย้ำให้แน่ใจอีกทีมันก็เงียบไป

            "สรุปพูดได้มั้ย"

            มันพยักหน้าช้าๆ ดูไม่ค่อยมั่นใจที่จะตอบนัก

            "เข้าใจที่เราพูดหมดใช่มั้ย"

            พยักหน้าอีกรอบ

            "แล้วนายมาที่นี่ทำไมวะ ต้องการอะไร เพราะเราทำให้นายกลายเป็นคนได้เหรอ"

            คำตอบยังคงเป็นการพยักหน้า ก็ไหนว่าพูดได้แล้วทำไม่พูดอะไรสักคำ

            "นายพูดบ้างก็ได้นะเว้ย ถือว่าตอนนี้เราประสบปัญหาร่วมกันแล้ว มีอะไรก็เล่าให้เราฟังเลยดีกว่า คือเราไม่รู้เลยว่าทำไมมันถึงมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ทำไมนายถึงได้กลายเป็นคนตอนได้เจอเรา ถ้าได้พูด ได้แชร์ความเห็น เราจะได้ช่วยกันแก้ปัญหานี้ได้"

            ความเงียบยังเป็นคำตอบเหมือนเดิม ผมคงจะโมโหไปแล้วถ้าไม่เห็นสีหน้าลำบากใจที่มันกำลังแสดงอยู่ เหมือนอยากจะพูดแต่พูดไม่ได้ หรือความจริงแล้วมันพูดไม่ได้กันแน่

            "สรุปนายพูดได้หรือไม่ได้วะ"

            "ดะ ได้" ไอ้ล่อนจ้อนยังยืนยันคำเดิม เป็นการเค้นเสียงตอบที่ฟังก็รู้ว่าคนพูดใช้ความพยายามแค่ไหน

            "หรือว่าลืมวิธีพูดไปแล้ว"

            มันรีบส่ายหน้า แล้วมันยังไงกันล่ะวะ ไม่ได้ลืมแต่ก็ไม่ยอมพูดเนี่ย

            "เป็นแมวมานานหรือยัง"

            "นะ นาน...แล้ว"

            "กี่ปี"

            "สิบ"

            "สิบปี?"

            ไอ้ล่อนจ้อนพยักหน้า เท่านี้ก็สรุปได้หนึ่งอย่างว่ามันเคยเป็นคนมาก่อน ก่อนถูกสาปให้เป็นแมว ผมขอเรียกแบบนี้แล้วกัน เวลานานขนาดนั้นมันคงลืมวิธีพูดแบบคนไปแล้วแน่ๆ

            "แล้วกลายเป็นแมวตอนอายุเท่าไร"

            "สิบ"

            "สิบขวบ?"

            มันพยักหน้ารับ

            กลายเป็นแมวตอนสิบขวบ ผ่านมาสิบปีตอนนี้มันก็อายุยี่สิบ

            "อายุเท่ากันนี่หว่า แล้วมึงเคยเจอกูมาก่อนป้ะ"

            ตื่นเต้นไปหน่อยเผลอหลุดเรียกแทนตัวเองไม่เพราะไปคำเดียวมันทำท่าจะแยกเขี้ยวใส่ผมทันที นิสัยนี้มันได้มาตอนเป็นแมวหรือติดมาตั้งแต่ตอนเป็นคนวะ

            "หมายถึงเราอ่ะ เคยเจอกันมาก่อนมั้ย"

            ไอ้ล่อนจ้อนยังไม่ทันได้ตอบอะไรก็มีเสียงก๊อกแก๊กมาจากข้างนอก แมวขี้ระแวงหูตั้งผุดลุกขึ้นยืน ตาจ้องไปที่ประตูห้อง ขณะที่ขาก้าวไปชิดประตูระเบียงเรียบร้อย

            "สงสัยน้องชายเรากลับมา ไม่มีอะไรหรอก มันไม่ทำอะไร"

            คำอธิบายของผมไม่ช่วยทำให้อีกฝ่ายสบายใจขึ้นได้ เดาว่าความประทับใจแรกที่ไอ้ล่อนจ้อนมีต่อไอ้กาลคงไม่ดีเท่าไร ก็มันเล่นกรี๊ดเสียงดังซะเกือบหูดับขนาดนั้น เป็นใครก็ต้องตกใจ

            "กาล มึงอย่าเพิ่งเปิดเข้ามานะเว้ย!" ผมตะโกนบอกคนที่อยู่ข้างนอก กว่าจะได้นั่งคุยกันดีๆ ผมต้องรอเป็นอาทิตย์ เลยไม่อยากปล่อยให้ไอ้ล่อนจ้อนหนีไปโดยที่ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง

            "ทำอะไรวะ"

            "ล่อนจ้อนอยู่ มึงอย่าเพิ่งเข้ามา"

            "จริงเหรอวะ แมวหรือคน" น้ำเสียงที่ตอบกลับมาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น พร้อมกับเสียงก๊อกแก๊กที่ประตูซึ่งผมลืมล็อกไว้

            "อย่าเพิ่งเข้ามา!"

            ผมตะโกนบอกพร้อมกับพุ่งไปที่ประตูแล้วกดล็อก แต่พอผมหันกลับไปมองฝั่งระเบียงอีกทีไอ้ล่อนจ้อนก็หายไปแล้ว

ประตูกับผ้าม่านยังอยู่ในตำแหน่งเดิมแสดงว่าไม่ได้ใช้ร่างคนหนีออกไป แต่เพราะจุดที่ไอ้ล่อนจ้อนเคยยืนอยู่ถูกเตียงบังไว้ผมเลยไม่แน่ใจว่ามันยังอยู่ตรงนั้นหรือหนีออกไปแล้ว

            "ล่อนจ้อน ยังอยู่มั้ยวะ"

            "เมี้ยว" ได้ยินเสียงแมวร้องก่อนจะเห็นก้อนสีขาวจะวิ่งไปตรงประตูที่เปิดไว้ มันหันมามองผมเหมือนกับอยากบอกว่าค่อยเจอกันใหม่ ครั้งนี้ต้องตัดใจยอมแพ้ไปก่อน

            "ไว้ค่อยคุยกันใหม่"

            ไอ้แมวขาวมุดออกประตูกระโดดหนีไปแล้วผมถึงยอมเปิดประตูให้ไอ้กาล มันยืนทำหน้าอยากรู้อยากเห็นชะเง้อมองเข้ามาในห้อง คิดแล้วก็น่าโมโห แม่งจะกลับมาทำไมตอนนี้

            "ไหน มันอยู่ไหน"

            "ไปแล้ว"

            "อะไรวะ"

            "ก็เพราะมึงโผล่มากเนี่ย มันเลยหนีไปเลย"

            "ความผิดกู"

            "เออ"

            โทษใครไม่ได้นอกจากมัน ถ้ามันกลับดึกว่านี้อาจจะคุยกันรู้เรื่องไปแล้วก็ได้

            "แล้วเป็นไงบ้างวะ มันกลายเป็นคนมั้ย แล้วได้คุยกันหรือยัง"

            "ก็ดี มันยังดูกลัวๆ แต่ก็คุย แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไรเป็นเรื่องเป็นราวมึงก็มาขัดเนี่ย"

            "ขอโทษๆ คราวหลังมึงก็ไลน์มาบอกกูหน่อย จะได้ไม่พราดพราดเข้ามา"

            ผมพยักหน้ารับส่งๆ กาลมันขอโทษอีกรอบก่อนเอาเก็บกระเป๋าไปเก็บในห้องตัวเอง ผมเดินกลับเข้าไปในห้อง มองเสื้อผ้าที่กองอยู่ข้างเตียง

            มันจะมีวิธีไหนบ้างไหมที่ทำให้ไอ้ล่อนจ้อนกลายร่างเป็นคนแล้วไม่เปลือย สารภาพแบบลูกผู้ชายเลย ตั้งแต่ผมได้เห็นผิวสุขภาพดีของมันชัดๆ เนี่ย ไม่เคยคิดอะไรดีๆ ได้เลย

 
tbc.

 
ในที่สุดก็ได้คุยกับน้องแมวแล้ววววว
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 5 ___ [20/04/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-04-2019 22:26:44
 :pig4: :pig4: :pig4:

ขอเดาว่า  ทั้งสองเจอกันตอนเป็นเด็ก แล้วก็เหนือลิขิตนี่แหละที่ทำให้เด็กคนนั้นกลายเป็นแมวมาจนถึงทุกวันนี้  อิอิ
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 5 ___ [20/04/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ปกรณ์แทน ที่ 20-04-2019 22:33:00
 :m13:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 5 ___ [20/04/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 20-04-2019 23:36:51
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 5 ___ [20/04/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 20-04-2019 23:58:58
 :hao7:


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 5 ___ [20/04/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Rumraisin ที่ 21-04-2019 10:12:41
ได้คุยกับน้องแล้ว เรียกซะน่ารัก ล่อนจ้อน แล้วขานรับด้วยนะ น่าอุ้มกลับบ้าน แงงงงงงขอบคุณมากนะคะ รอตอนหน้าจ้า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 6 ___ [27/04/62]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 27-04-2019 20:17:11

ลิขิตครั้งที่ 6

            หลังจากการคุยกันครั้งแรกผ่านไปได้ด้วยดี เช้านี้นอกจากเทอาหารกับน้ำ ผมได้ทำป้ายอันใหม่ไปติดไว้พร้อมไอเทมสุดพิเศษที่วางเผื่อไว้ด้วยก่อนออกไปเรียน คิดว่าน่าจะช่วยได้เยอะถ้าไอ้ล่อนจ้อนมาหา

            'วันนี้กลับบ่ายสอง'

            ข้อความสั้นๆ ตัวใหญ่คับกระดาษเอสี่ ท้ายข้อความมีลูกศรชี้ลงด้านล่างที่ผมตั้งใจวาดมากๆ ซึ่งด้านล่างที่ลูกศรชี้ไปนั้นมีนาฬิกาตั้งอยู่

            ไม่รู้ว่าแมวจะดูนาฬิกาเป็นหรือเปล่า ผมเลยเขียนวิธีดูแบบง่ายๆ ไว้ให้ด้วย แต่คิดว่าไอ้ล่อนจ้อนคงยังไม่ลืมวิธีดูนาฬิกาหรอก

            สำรวจป้ายกับนาฬิกาว่าจัดเรียบร้อยดีแล้ว ผมก็หมุนกลับหลังไปดูชามข้าวกับน้ำที่เพิ่งเติมให้ ข้างๆ กันนั้นมีหมอนรองนั่งวางอยู่ อีกหนึ่งไอเทมพิเศษที่ผมแถมให้ ถ้าเกิดมันมาก่อนเวลาจะได้นอนรอสบายๆ

            สุดยอดไปเลยใช่มั้ยล่ะนายเหนือลิขิตคนนี้

            "เสร็จยังวะ!" เสียงไอ้กาลตะโกนมาจากนอกห้อง วันนี้เราเรียนเวลาไล่เลี่ยกันมันเลยจะขับรถไปส่งผมที่คณะก่อน ส่วนเหตุผลที่ผมไม่เคยขับรถเองเลยเพราะขี้เกียจหัดเลยยังขับไม่แข็ง ใบขับขี่ก็ไม่มี ใช้บริการน้องชายแล้วอุ่นใจกว่ากันเยอะ

            เดินกลับเข้ามาข้างในผมก็ปิดประตูล็อกกลอนแต่เปิดผ้าม่านไว้ก่อนเดินออกจากห้อง

            เจอกันเย็นนี้ไอ้ล่อนจ้อน

 

            บ่ายสองกับอีกเจ็ดนาทีผมก็กลับมาถึงห้อง เปิดประตูห้องนอนได้ก็เดินตรงไปที่ประตูระเบียง แล้วก็ต้องยิ้มกว้างออกมาเมื่อเห็นก้อนสีขาวนอนขดอยู่บนหมอนรองนั่ง ท่าทางกำลังหลับสบายเลย

            ผมวางกระเป๋าไว้บนเตียงก่อนค่อยๆ เปิดประตูแล้วย่องออกไป เวลาแมวหลับมันไม่ค่อยรู้ตัวนักหรอก ยิ่งเป็นแมวที่เริ่มคุ้นกันแล้วด้วย เห็นมันหลับท่าทางน่ารักขนาดนี้เลยอดไม่ได้อยากเข้าไปเล่น ครั้งสุดท้ายที่ผมได้ลูบขนนุ่มๆ ของมันก็ตอนที่โดนข่วนนู่นเลย นานจนแทบลืมความรู้สึกไปแล้ว

            นั่งยองๆ ลงตรงหน้าไอ้แมวขาวที่ยังหลับไม่รู้เรื่อง มันขดตัวจนเป็นก้อนกลมๆ บริเวณท้องขยับขึ้นลงเป็นจังหวะ ผมลองยื่นมือไปแตะหัวมันเบาๆ เพื่อทดสอบว่ามันจะไม่ตื่นขึ้นมาตะปบกัน เมื่อเห็นว่าไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้เลยค่อยๆ ลูบหัวมันอย่างเบามือ

            ไอ้แมวขาวทำหน้าเคลิ้มจนผมอยากจะอุ้มมันขึ้นมานอนหงายแล้วเกาท้องให้ แต่ก็กลัวจะได้แผลเพิ่ม พอลูบหัวแล้วเห็นว่ามันยังไม่ตื่นผมเลยลูบยาวไปยันหาง มันก็ทำหน้าเหมือนกำลังฝันดี ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ เลยเกาคางแถมให้ซะเลย

            ยิ่งเล่นก็ยิ่งเคลิ้ม ยิ่งเล่นก็ยิ่งมันมือ เป้าหมายต่อไปคือพุงกลมๆ ของมัน แต่อยู่ๆ ผมก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมา

            "ฮัดชิ้ว!"

            นั่นไงมันมาแล้ว ไอ้ภูมิแพ้ ไอ้มารผจญ

            แมวที่กำลังหลับสบายสะดุ้งตื่น ผมลุกขึ้นยืนแล้วถอยออกห่างก่อนอาการจะหนักไปมากกว่านี้ ความตื่นเต้นที่เจอมันนอนรออยู่ทำเอาผมลืมไปเลยว่าตัวเองแพ้ เลยไม่ได้หยิบมาสก์มาใส่

            เจ้าตัวสีขาวลุกขึ้นบิดขี้เกียจก่อนหันมามองผม เดาจากสีหน้าเหวี่ยงๆ นั่นคิดว่ามันคงกำลังถามว่า 'มาทำให้ตื่นแล้วยังไงต่อ'

            "ไปคุยในห้องแล้วกัน" ผมผายมือเชิญให้มันเดินเข้าไปก่อน อีกฝ่ายก็แสนว่าง่ายเดินนวยนาดเข้าห้องโดยไม่มีการลีลาแต่อย่างใด

            ไอ้แมวขาวนั่งอยู่ใกล้ๆ ประตู ผมเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบชุดที่มันใส่เมื่อวานออกมาวางไว้ให้บนเตียง

            "เดี๋ยวออกไปรอนอกห้องนะ ถ้าเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วก็โผล่หน้าไปเรียกได้ จำวิธีใส่ได้ใช่มั้ย"

            มันจ้องผมกลับมานิ่งๆ เลยไม่รู้ว่าสรุปแล้วจำวิธีใส่ได้หรือไม่ได้กันแน่ ถ้าไม่ตอบอย่างน้อยพยักหน้าให้ก็ได้ หรือแมวพยักหน้าไม่เป็น

            "ถ้าเข้าใจก็ตอบหน่อย"

            "เมี้ยว"

            "โอเค ไปรอข้างนอกนะ" ได้รับคำตอบเป็นเสียงร้องเบาๆ ผมก็เปิดลิ้นชักหยิบยาแก้แพ้ติดมือมาด้วยก่อนเดินออกจากห้อง

            กินยาเสร็จผมก็มานั่งเล่นมือถือรอที่โซฟา บอกไอ้กาลไว้ด้วยมันจะได้ไม่พรวดพราดเข้ามาอีก ผ่านไปสักพักใหญ่กว่าไอ้ล่อนจ้อนจะโผล่หน้ามาจากประตู แบบว่าโผล่มาแค่หน้าจริงๆ แล้วใช้ตาชั้นเดียวแป๋วๆ เหมือนเด็กน้อยคู่นั้นมองผม จะว่าไปมันก็น่ารักดี

            ผมยิ้มตาปิดให้มันแต่ไม่ได้รับรอยยิ้มกลับคืนมา คิดว่ามันคงงง ก็ตั้งแต่เจอหน้ากันผมเคยยิ้มให้มันที่ไหน ไม่มีใครยิ้มออกหรอกถ้าต้องมาเจอเรื่องบ้าๆ แบบนี้เชื่อสิ แต่หลังจากนี้ผมจะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ผมกับไอ้ล่อนจ้อนต้องผูกมิตรและร่วมแก้ปัญหาไปด้วยกัน เริ่มจากการยิ้มก่อนเลย

            "มานั่งนี่ดิ" ผมกวักมือเรียกแล้วตบที่ว่างข้างๆ ไม่รู้ว่าไอ้ล่อนจ้อนจะไว้ใจผมหรือยัง แต่ตอนอยู่ในร่างแมวยอมให้เล่นได้ขนาดนั้นก็คงไว้ใจแล้วล่ะมั้ง

            มันมองไปรอบห้องเหมือนกำลังสำรวจ พื้นที่ด้านนอกเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าแคบๆ ไม่ได้มีอะไรมาก ตรงกลางมีโซฟาเล็กๆ หนึ่งตัวกับโต๊ะกินข้าวเล็กๆ อีกหนึ่งชุด ขวามือเป็นครัว ซ้ายมือเป็นห้องน้ำ และเหนือกาลผู้ที่ชอบทำให้แมวตกใจไม่ได้อยู่ที่นี่

            "มาดิ ไม่มีอะไรหรอก"

            ผมเรียกอีกรอบไอ้ล่อนจ้อนถึงยอมออกมา มันใส่เสื้อผ้าที่ผมเตรียมไว้ให้ได้เรียบร้อยดี เดินอย่างระแวดระวังมานั่งข้างๆ กัน

            บนโต๊ะมีคิทแคทอันน้อยๆ วางอยู่สองอัน ไอ้กาลมันเอาวางกองไว้ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันไปได้มาจากไหน เลยหยิบแล้วยื่นให้ไอ้ล่อนจ้อนอันนึง

            เออ แล้วมันจะแกะเป็นมั้ยวะ

            มันเอียงคอมองไม่กล้ารับ ตอนเด็กๆ พ่อแม่ต้องสอนมาดีแน่ๆ ว่าอย่ารับของจากคนแปลกหน้า ผมเลยแกะซองออกให้พอเห็นขนมข้างในแล้วยื่นให้มันอีกรอบ

            "รู้จักคิทแคทมั้ย ช็อกโกแลตสอดไส้เวเฟอร์ อร่อยนะ"

            อ่านข้างซองแนะนำผลิตภัณฑ์ให้เสร็จสรรพ มันมองหน้าผมเหมือนเด็กน้อยเวลาเขินไม่กล้ารับของจากผู้ใหญ่ น่าเอ็นดูเสียเหลือเกินให้ตายเหอะ

            "ตอนเด็กๆ ไม่เคยกินเหรอ เอาไปดิ อร่อย" ผมแทบจะยัดใส่มือเลยทีเดียวกว่ามันจะยอมรับไป และเพื่อเป็นการยืนยันว่ากินได้จริงๆ ผมเลยแกะอีกอันแล้วกินเป็นเพื่อน

            พอผมกัดแท่งช็อกโกแลตไอ้ล่อนจ้อนก็ทำตาม มันทำตาโตก่อนจะยิ้ม เป็นรอยยิ้มครั้งแรกที่ผมได้เห็น รอยยิ้มบางๆ ที่ทำให้หน้ามันดูเปลี่ยนไปเลย

            "พอยิ้มแล้วน่ารักขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย" แต่พอผมชมปุ๊บผมก็กลับมาทำหน้าบึ้งทันที

            เป็นงั้นไป

            "ยิ้มอีกดิ ยิ้มบ่อยๆ น่ารัก"

            มันทำเป็นไม่สนใจผม ค่อยๆ เล็มกินคิทแคทไปทีละนิดอย่างไม่เร่งรีบ รู้นะว่ามันชอบ ก็เล่นทำหน้าชอบใจขนาดนั้น แต่ทำเป็นขรึมไปงั้นเอง เพิ่งรู้จักกันไม่นานเลยยังไม่กล้าเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงสินะ

            "อร่อยมั้ย" ไม่ยิ้มก็ไม่ยิ้มผมไม่ตื๊อ ยังมีอีกหลายเรื่องที่ผมคิดว่าน่าจะทำให้มันยิ้มได้

            ไอ้ล่อนจ้อนพยักหน้ารับเบาๆ กินของตัวเองหมดแล้วผมก็เดินไปเปิดตู้เย็นเทเป๊ปซี่ใส่น้ำแข็งมาสองแก้วยื่นให้ตอนมันกินคิทแคทหมด

            "ลองนี่"

            มันยังทำหน้าหวาดระแวงเหมือนเดิม แต่ไม่ต้องคะยั้นคะยอนานเหมือนเมื่อกี้ ยื่นสองมือมากุมแก้วไว้แล้วสะดุ้งเบาๆ

            "ใส่นำแข็งมาด้วยมันเลยเย็นนิดนึงลืมบอก เป๊ปซี่อ่ะ น่าจะเคยกินใช่มั้ย"

            ไอ้ล่อนจ้อนพยักหน้ารับถี่ๆ น้ำอัดลมยี่ห้อนี้ใครๆ ก็ต้องเคยกินอยู่แล้ว

            มันยกแก้วขึ้นจิบแล้วทำหน้าฟินเหมือนเวลาโดนลูบหัวในร่างแมว รอยยิ้มปรากฏขึ้นอีกรอบ แถมยิ้มกว้างกว่าเดิมอีก ครั้งนี้ผมไม่แซวแล้ว เวลามันยิ้มโคตรจะน่ารัก พอยิ้มกว้างๆ ตาจะหยีๆ แถมยังมีขีดตรงโหนกแก้มเหมือนแมว แต่มันก็เป็นแมวอยู่แล้วนี่หว่า

            ไอ้ล่อนจ้อนยกแก้วขึ้นจิบเรื่อยๆ เป็นช่วงเวลาผ่อนคลายที่กำลังมีความสุขได้ที่แต่จะมัวทำตัวเรื่อยเปื่อยแบบนี้คงไม่ได้ ผมยังต้องหาคำตอบของเรื่องสุดแปลกประหลาดนี้ กินของว่างเสร็จแล้วก็มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า

            "นายมีชื่อมั้ย"

            "มี"

            "ชื่ออะไร" จำชื่อได้ก็ดีจะได้เรียกชื่อ เพราะถ้าจะให้เรียกไอ้ล่อนจ้อนตลอดไปมันก็ยังไงอยู่

            มันเม้มปากแล้วเงียบไปสักพัก แล้วสุดท้ายก็ส่ายหน้า

            "ทำไมอ่ะ จำไม่ได้เหรอ"

            คำตอบคือการพยักหน้า

            "งั้นเอาไงดี จะให้เรียกว่าไงดี"

            หัวคิ้วคนตรงหน้าขมวดเข้าหากันทันที มันคงเป็นความรู้สึกที่โคตรแย่เวลาจำเรื่องเกี่ยวกับตัวเองไม่ได้ ผมเดาว่าความทรงจำของมันน่าจะถูกซ่อนเอาไว้ซึ่งเป็นผลกระทบจากการกลายร่าง คงมีข้อกำหนดที่ผมต้องหาให้เจอ ชื่อของมันก็คงเป็นหนึ่งในนั้นด้วย

            "งั้นขอชิงสารภาพก่อน ตอนนี้เราเรียกนายว่าล่อนจ้อนเพราะเวลานายโผล่มาไม่ใส่เสื้อผ้า ถ้าจะเรียกชื่อนี้ไปก่อนนายโอเคมั้ย"

            ใครโอเคกับชื่อนี้ก็บ้าแล้ว

            ไอ้ล่อนจ้อนทำคิ้วขมวดหนักกว่าเดิม ถ้าพูดคล่องมันคงด่าผมเป็นชุดแล้วแน่ๆ ยกตัวอย่างเช่น 'คนเหี้ยอะไรชื่อล่อนจ้อน' 'เอาไปตั้งชื่อลูกมึงไป' 'ถ้าคิดชื่อดีกว่านี้ไม่ได้ก็ไม่ต้องพูดออกมา' 'มึงสิล่อนจ้อน' อะไรประมาณนั้น

            แต่ทว่า

            "อืม" มันดันพยักหน้าอนุญาตซะงั้น

            "ให้เรียกชื่อนี้จริงดิ"

            ไอ้ล่อนจ้อนพยักหน้าอีกรอบ ย้ำชัดว่าอนุญาตแล้วจริงๆ

            "โอเคล่อนจ้อน เราชื่อเหนือลิขิต ชื่อเล่นลิขิต แต่จะเรียกขิตอย่างเดียวก็ได้ หรือถ้ามันออกเสียงยากจะเรียกขิอย่างเดียวก็ได้ไม่ว่า" เพื่อความสะดวกในการออกเสียงผมลดแลกแจกแถมเต็มที่

            "ขี้"

            "ไม่ใช่ๆ ไม่ขี้ ไม่เอาขี้ ขิพอ"

            "ขี้"

            มันก็ยังจะขี้อีกรอบ หรือเสียงต่ำมันออกเสียงยากวะ

            "เออๆ ขี้ก็ขี้ แต่ต้องฝึกพูดบ่อยๆ นะเว้ย ตอนนี้ให้เรียกขี้ไปก่อน ถ้าพูดชัดแล้วต้องเรียกลิขิต"

            ล่อนจ้อนพยักหน้ารับ เอาเป็นว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไปผมจะให้เกียตริเพื่อนร่วมชะตากรรมโดยไม่เรียกไอ้นำหน้า และยอมเป็นขี้ให้ก็ได้ ในเมื่อมันยังยอมเป็นล่อนจ้อนให้ผม แต่ล่อนจ้อนมันยังฟังดูเพราะกว่าขี้หรือเปล่าวะ

            แค่ชื่อยังออกเสียงไม่ชัด ครั้นจะดันทุรังคุยกันไปก็คงไม่ได้เรื่องได้ราวเท่าไรในเมื่ออีกฝ่ายตอบได้เป็นคำๆ การจะสอบถามให้รู้เรื่องราวต่างๆ ผมต้องเป็นฝ่ายถามสุ่มไปเรื่อยๆ แล้วเอาเรื่องมาปะติดปะต่อกันจนกว่าจะถูก เพราะฉะนั้นผมเลยคิดว่าลองให้เวลาล่อนจ้อนฝึกพูดสักพักน่าจะดีกว่านี้ คนเคยพูดได้อยู่แล้วมันคงใช้เวลาไม่นานนักหรอก

            "ล่อนจ้อน"

            คนที่กำลังเพลิดเพลินกับการจิบน้ำเป๊ปซี่เงยหน้าขึ้นมอง

            "เราว่าจะให้นายลองฝึกพูดก่อน ถ้าพูดคล่องแล้วค่อยคุยกันให้เป็นเรื่องเป็นราวน่าจะดีกว่า นายน่าจะรู้อะไรเยอะเลยใช่มั้ยเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่พอพูดไม่ได้เราก็เดาสุ่มถามไม่ค่อยถูกด้วย ช่วงนี้ก็ทำความรู้จักกันไปก่อน ถ้าพอนึกอะไรขึ้นได้เราจะถามโอเคป้ะ"

            ล่อนจ้อนพยักหน้าเป็นอันตกลง

            "ขอเสียงตอบครับด้วย โอเคมั้ย"

            "โอเค"

            "ดีมาก"

            ผมวางมือบนหัวคนตรงหน้าอย่างลืมตัว แล้วก็ต้องรีบชักมือกลับเมื่อโดนมองขวาง ก็มันชอบทำตัวน่ารักเหมือนเด็กอยู่เรื่อย ถึงจะอายุเท่ากันก็เถอะ

            "เออ แล้วพอจะเขียนได้บ้างมั้ย"

            คำถามนี้ทำเอาล่อนจ้อนนิ่งไปเลย ความสามารถระดับเด็กสิบขวบต้องเขียนคล่องแล้วล่ะ พวกคำง่ายๆ น่าจะเขียนได้ แต่กับคนที่ไม่ได้เขียนหนังสือเลยตลอดสิบปีจะยังทำได้อยู่ไหม เพราะขนาดวิธีพูดยังลืม

            "งั้นลองดูหน่อยแล้วกัน"

            ผมเข้าไปเอาของในห้องนอน วางกระดาษบนโต๊ะแล้วส่งปากกาให้ล่อนจ้อนลองเขียน มันรับปากกาไปแล้วจดๆ จ้องๆ กระดาษเปล่าตรงหน้า แค่ท่ากำปากกาผมก็รู้แล้วว่ามันเขียนไม่ได้แน่ๆ

            "ไหนลอง ก.ไก่"

            ล่อนจ้อนจิ้มปากกาลงบนกระดาษ มันพยายามลากเส้นยิกๆ ยือๆ ไปจนออกมาเป็นตัว ก.ไก่ จนได้ แต่เป็นตัวหนังสือที่เหมือนเด็กอนุบาลเพิ่งเริ่มขัดเขียนพยัญชนะ

            "โอเคๆ" ผมแบมือขอปากคืน มันก็ยอมวางให้โดยดี

            จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ต้องมีการสร้างกฎขึ้นมาสักหน่อย เพื่อการเรียนรู้และพัฒนา นำไปสู้การแก้ปัญหาร่วมกันในอนาคต

            "เอางี้ เรามาทำข้อตกลงกัน จากนี้ไปล่อนจ้อนต้องมาหาเราทุกเย็น กลับห้องกี่โมงจะเขียนบอกเอาไว้ วันหยุดถ้าไม่มีธุระก็จะอยู่ห้อง เข้ามาอยู่ด้วยกันได้ทั้งวัน ส่วนไอ้กาลมันเป็นน้องชายเรา มันกลัวแมว พอเห็นแมวบางทีมันชอบกรี๊ดเล่นใหญ่ไปงั้น แต่จริงๆ ไม่ใช่คนน่ากลัว ถ้าอยู่ในร่างคนก็ไปคุยกับมันได้ มันนิสัยดี คุยเก่ง ทุกวันที่มาล่อนจ้อนต้องฝึกพูด ต้องขยับปากให้มันชินถึงจะกลับมาพูดคล่องได้อีก เออ แล้วพออ่านได้มั้ย พวกนิทานง่ายๆ อะไรแบบนั้น"

            "น่าจะ...อ่านได้" ล่อนจ้อนมันเค้นคำพูดออกมา เป็นประโยคยาวที่สุดที่ผมเคยได้ยินมาเลย นับว่าพัฒนาได้เร็ว

            "เดี๋ยวจะหาพวกนิทานมาไว้ให้อ่าน เอามั้ย"

            "เอา"

            "งั้นตอนนี้ลองฝึกพูดไปก่อนนะ เรามีงานต้องทำนิดหน่อย เสร็จแล้วจะมาคุยด้วย โอเคมั้ย"

            "โอเค"

            ผมยิ้มให้มันก่อนเข้าไปขนงานออกมาทำข้างนอก ส่วนล่อนจ้อนไม่ได้ตั้งใจฝึกซะทีเดียว มันลุกขึ้นเดินสำรวจห้อง ขยับดูไปทีละจุดโดยไม่แตะต้องอะไร หลังจากสำรวจจนพอใจแล้วก็มานั่งที่โต๊ะมองผมทำงาน

            ล่อนจ้อนเหมือนเด็กขี้สงสัย ตาแป๋วๆ ที่เหมือนแมวของมันมองตามมือผมตอนขยับเม้าส์ ไม่ก็ตอนเคาะคีย์บอร์ดตลอดเวลา ถ้าตอนนี้มันเป็นแมวล่ะก็คงไล่ตะปบมือผมไปแล้ว หรือไม่ก็มานอนบนคีย์บอร์ดเหมือนที่เคยเห็นในเฟซบุ๊กเวลามีคนแชร์มา

            นั่งมองผมทำงานเงียบๆ มันคงเบื่อเลยลุกไปนั่งที่โซฟาแล้วเริ่มพูดคนเดียวที่ไม่ได้เป็นเรื่องเป็นราวนัก ใจผมก็อยากจะฟังอยู่หรอก แต่พอฟังล่อนจ้อนพูดไปด้วยแบบนี้สมาธิทำงานมันไม่มีเลยเปิดเพลงใส่หูฟังแทน เป็น instrumental music ที่มีแต่ดนตรีไม่มีคนร้อง มันจะช่วยทำให้ผมมีสมาธิมากกว่า

            เพราะมัวจดจ่ออยู่กับงานละสายตาจากหน้าจออีกทีกลายเป็นว่าผมกำลังถูกจ้องอยู่ ล่อนจ้อนมานั่งตรงข้ามผมเมื่อไรก็ไม่รู้ จ้องกันตาแป๋วด้วยสีหน้าสงสัยว่าผมกำลังทำอะไร หรือว่าเพราะมันเรียกแต่ผมไม่ได้ยิน

            "มีอะไรเปล่า" ลองถอดหูฟังถาม ไม่ต้องรอคำตอบผมก็พอจะรู้แล้วว่ามันสงสัยอะไร

            ตามองตามมือผมที่ถือหูฟังขนาดนี้ มันคงสงสัยว่าผมฟังเพลงอะไรอยู่ แต่ผมจะแกล้งไม่เข้าใจเพื่อเป็นการฝึกฝน

            "จะเอาอะไร"

            ล่อนจ้อนชี้มาที่มือผมซึ่งถือหูฟังค้างไว้

            "มันเรียกว่าอะไร"

            "หูฟัง"

            "เก่งมาก อยากฟังด้วยกันมั้ย"

            "อยาก"

            ผมดึงสายหูฟังออกเสียงดนตรีก็ดังออกมาจากลำโพง ล่อนจ้อนยิ้มบางๆ นั่งฟังอยู่เฉยๆ โดยไม่กวนอะไรอีก

            "ขอทำงานอีกแป๊บนะ"

            คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพยักหน้าให้ ผมเลยกลับไปจดจ่อกับงานตรงหน้าต่อ

            นั่งฟังได้ไม่กี่เพลงล่อนจ้อนก็ย้ายตัวเองไปนอนที่โซฟา ล้มตัวลงนอนแบบคนพร้อมจะหลับ เพราะเพลงน่าเบื่อหรือมันรู้สึกผ่อนคลายมากก็ไม่อาจทราบได้ ผมปล่อยให้มันนอนไปโดยไม่กวน ผ่านไปอีกชั่วโมงจนทำงานเสร็จถึงได้ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย หันไปมองคนยึดโซฟาที่หลับไปแล้ว

            ขนาดเป็นคนเวลาหลับยังเหมือนแมว


           
           - อ่านต่อข้างล่าง -

หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 6 ___ [27/04/62]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 27-04-2019 20:18:03

            วันนี้ล่อนจ้อนทำผมยิ้มกี่ครั้งแล้วไม่รู้ มันน่ารัก อันนี้พูดจากใจจริง ผมชอบแมวแล้วมันก็โคตรเหมือนแมว แม้จะอยู่ในร่างคนแต่ท่าทางและการกระทำต่างๆ ก็ยังเหมือนแมวอยู่ดี คิดไปคิดมาจะว่าไปแล้วมันก็ดี ในเมื่อผมแพ้แมว ถ้างั้นลองเปลี่ยนมาเล่นกับคนที่เป็นแมวแทนน่าจะเข้าท่า

            เห็นล่อนจ้อนนอนขดตัวซะน่าเอ็นดูผมก็อดไม่ได้ต้องถ่ายรูปเก็บไว้ ถ่ายมันทุกมุมตั้งแต่เต็มตัวไปจนซูมเห็นแค่หน้า เห็นหุ่นมันเล็กๆ เหมือนจะผอมแต่แก้มมันเยอะพอสมควร ผิวก็ขาวอมชมพูสุขภาพดี ดูนุ่มนิ่มเหมือนโมจิ

            ผมนั่งลงข้างโซฟามองคนหลับ แมวเป็นสัตว์ขี้เซา ผมไม่รู้ว่าแต่ละวันแมวนอนกี่ชั่วโมง แต่ก็มักเห็นมันนอนเป็นส่วนใหญ่ เพราะแบบนี้ใช่มั้ยใครๆ ถึงได้อยากเป็นแมว วันๆ ไม่ต้องทำอะไร กิน เล่น นอน แถมยังมีมนุษย์เป็นทาส แต่จะปล่อยให้ล่อนจ้อนนอนอยู่ตรงนี้จนสว่างไม่ได้

            "ล่อนจ้อน" ผมเขย่าตัวคนหลับ มันขยับตัวยุกยิกแต่ไม่ยอมลืมตา เลยลองเขย่าแรงๆ อีกรอบ

            แมวขี้เซาค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่งทั้งที่ยังไม่ลืมตาดี ล่อนจ้อนบิดขี้เกียจ หาวอีกหนึ่งรอบแล้วเอียงคอมอง ผมเลยขึ้นไปนั่งข้างมันบนโซฟา ช่วยจัดผมสีบลอนด์ฟูๆ ให้เข้าที่

            "ผมสีนี้ตั้งแต่เกิดเลยมั้ยเนี่ย" ตรงโคนผมไม่มีสีดำคงไม่ได้ย้อม อีกอย่างแมวมันคงไม่ย้อมสีขนเองไม่ได้

            ล่อนจ้อนทำหน้างง มันพยายามจับผมตัวเองมาดู แต่ผมหน้าม้าก็สั้นเกินจะมองเห็นได้

            "ตั้งแต่กลายเป็นคนมาเคยเห็นหน้าตาตัวเองบ้างยัง"

            คนฟังส่ายหน้า ผมก็ถามอะไรแปลกๆ ตอนล่อนจ้อนเป็นคนได้แค่ตอนที่อยู่กับผม ในห้องผมไม่มีกระจก แล้วผมก็ไม่เคยเห็นมันไปส่องกระจกที่ไหน ที่เดินสำรวจห้องก่อนหน้านี้ห้องน้ำปิดไว้มันเลยไม่ได้เข้าไป

            "อยากเห็นตัวเองมั้ย"

            "อยาก"

            "มานี่มา" ผมจูงมือมันพาเข้าห้องน้ำ

            ล่อนจ้อนนิ่งไปเลยเมื่อเห็นตัวเองในกระจก มันจ้องเงาสะท้อนนั้นไม่ละสายตา อย่างกับสงสัยว่าไอ้หมอนี่มันเป็นใคร

            "จำหน้าตัวเองไม่ได้หรือไง จริงๆ ก็หน้าตาดีใช่ย่อยนะเราน่ะ"

            มันหันมามองผมแล้วกลับไปจ้องกระจกใหม่ เอียงคอไปมาแล้วก็ยิ้ม ทำหน้าบึ้งบ้าง ขมวดคิ้วบ้าง ทำการทดสอบเงาสะท้อนว่าใช่ตัวเองจริงๆ หรือเปล่า

            "ปกติคนไทยจะผมดำไม่ก็น้ำตาลเข้ม ที่มันเป็นสีขาวอาจจะเป็นเพราะสีเหมือนขนแมว"

            "ดำ"

            "หืม?"

            "ตอนเด็ก...สีดำ"

            "ก็คงงั้น แต่สีนี้ก็เหมาะดี ไม่แปลก น่ารัก"

            ผมตั้งใจชมตรงๆ แล้วก็โดนมันหันมามองขวางใส่ วันนี้ชมต่อหน้าสองรอบก็โดนบึ้งใส่มันทั้งสองรอบ

            "แล้วตอนเด็กหน้าเหมือนตอนนี้มั้ย"

            "ไม่รู้"

            "ทำไมวะ จำหน้าตัวเองไม่ได้?"

            คนในกระจกสีหน้าเศร้าลงทันที ล่อนจ้อนมองภาพสะท้อนตัวเองอยู่อย่างนั้น คล้ายกับล่องลอยกลับไปยังช่วงเวลาในอดีต ใช้แววตาหม่นหมองคู่นั้นถามคนตรงหน้าว่า 'คุณเป็นใคร ใช่ตัวผมหรือเปล่า'

            ผมจูงมือล่อนจ้อนออกมาจากห้องน้ำโดยไม่พูดอะไร หมดเวลาชื่นชมหน้าตาตัวเองแล้ว หลังจากนี้ผมจะทำจากซักถามเพิ่มเติมสักหน่อย จะได้ให้มันฝึกพูดฝึกออกเสียงไปด้วย

            กลับมานั่งที่โซฟาแล้วผมก็เริ่มคิดคำถาม มีเรื่องที่ผมอยากรู้เยอะแยะไปหมด แต่ล้วนเป็นคำถามปลายเปิดที่ผมต้องการการอธิบาย ซึ่งถ้าให้ล่อนจ้อนเล่าคงใช้เวลานานเป็นวันกว่าจะรู้เรื่อง เลยต้องเริ่มจากคำถามง่ายๆ ไปก่อน

            "เป็นคนได้นานเหมือนกันนะ เพราะอยู่ด้วยกันตลอดใช่มั้ย" นับตั้งแต่บ่ายสองก็ผ่านมาได้เกือบสามชั่วโมงแล้ว นับว่าเป็นการเปลี่ยนร่างได้นานที่สุดตั้งแต่เคยเจอกันมาเลย

            "น่าจะใช่"

            "รู้มั้ยว่าตัวเองมาจากที่ไหน เป็นคนแถวนี้หรือเปล่า"

            "ไม่ใช่"

            "ยังไงอ่ะ มาจากจังหวัดอื่น?"

            "เร่ร่อน"

            "แสดงว่าไม่เคยมีเจ้าของเลย"

            "ไม่ใช่"

            "แล้วหนีมาเหรอ"

            "ใช่"

            "เจ้าของเก่าไม่ตามหาเหรอ"

            "ไม่รู้"

            "แล้วทำไมถึงหนีออกมา"

            "เอ่อ...ก็..." ล่อนจ้อนลากเสียงยาวมาก มันดูเหมือนอยากพูดแต่ไม่รู้จะอธิบายเหตุผลยังไงให้จบโดยใช้เวลาไม่นาน ผมเลยลองเดาสาเหตุเองไปก่อน

            "เจ้าของใจร้าย"

            "ไม่ใช่"

            อ่า...นึกเหตุผลอื่นไม่ออกแล้ว

            ล่อนจ้อนทำคิ้วขมวด มันยกไม้ยกมือพยายามจะอธิบาย สีหน้าดูหงุดหงิดเหมือนผมตอนเรียนภาษาต่างประเทษแล้วพยายามจะพูด แต่ติดๆ ขัดๆ เพราะยังพูดไม่คล่อง

            "ไว้พูดคล่องกว่านี้ค่อยอธิบายก็ได้"

            พอผมบอกให้หยุดมันก็พรูลมหายใจออกมา ได้แต่พยักหน้าให้ด้วยความเข้าใจ

            "แล้วก่อนหน้านี้อยู่จังหวัดอะไรจำได้มั้ย"

            หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอีกครั้ง มันไม่ใช่คำตอบยาวๆ ยากๆ ที่ต้องใช้เวลาคิดนานเลย นอกเสียจากว่าชื่อจังหวัดมันจะออกเสียงยาก อย่างเช่นฉะเชิงเทรา

            "จำไม่ได้"

            อย่างรอใจจดใจจ่อยู่ร่วมนาทีแล้วดูคำตอบที่ผมได้ เป็นปัญหาอย่างที่สองที่ผมต้องหาคำตอบให้ได้สินะ

            "แล้วก่อนหน้านี้เคยเจอคนที่ทำให้กลับไปเป็นคนได้บ้างมั้ย"

            "ไม่เคย"

            "แสดงว่ามีเราคนเดียวที่ทำให้นายกลับมาเป็นคนได้"

            "ใช่"

            เพราะแบบนี้สินะมันถึงได้เป็นเรื่องราวแปลกประหลาดที่สุดในชีวิตผม มั่นใจแล้วว่าจุดสิ้นสุดของปัญหานี้คือผมต้องทำให้ล่อนจ้อนกลับมาเป็นคนปกติ กลับมาใช้ชีวิตแบบมนุษย์โดยไม่กลับไปเป็นแมวอีก แต่จะทำยังไงล่ะ ในเมื่อสาเหตุที่ทำให้มันกลายเป็นแมวผมยังไม่รู้เลย

            "แล้วล่อนจ้อนรู้วิธีที่จะทำให้ตัวเองกลับมาเป็นคนตลอดไปมั้ย"

            "อยู่ด้วยกัน"

            "หมายถึงอยู่ด้วยกันตลอดไปอ่ะเหรอ"

            "ใช่"

            "แบบนั้นได้ที่ไหนเล่า เป็นเพื่อนเป็นญาติพี่น้องก็ไม่ใช่จะมาอยู่ด้วยกันตลอดไปได้ยังไง มันต้องมีวิธีแก้ที่ดีกว่านี้ดิ" พอผมโพล่งออกไปแบบนั้นล่อนจ้อนก็ปั้นหน้าบึ้งทันที งอนเก่งนักนะแมวตัวนี้

            จะว่าไปวิธีที่จะทำให้ได้อยู่ด้วยกันตลอดไปมันก็พอมีอยู่หรอก ก็คือมาเป็นครอบครัวเดียวกันซะ หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือมาเป็นแฟนกันก่อนอันดับแรก แต่ผมยังไม่ได้คิดกับมันถึงขั้นนั้น แค่ชมว่าน่ารักใช่ว่าอยากจะขอเป็นแฟน

            "ไม่ต้องบึ้ง ยังไงก็จะช่วยอยู่แล้ว แต่มาอยู่ด้วยกันตลอดไปคงไม่ได้ เข้าใจนะ"

            คนฟังไม่ยอมพยักหน้ารับ แต่ก็ช่างเหอะ

            "เออใช่ ว่าจะถามตั้งแต่เมื่อวานละ"

            จากหน้าบึ้งๆ เปลี่ยนมาเป็นฉงนสงสัย ล่อนจ้อนจ้องผมตาแป๋ว หลอกล่อง่ายสมกับเป็นแมว แค่มีอะไรน่าสนใจกว่าก็เหมือนจะลืมเรื่องเก่าไปเลย

            "เราเคยเจอกันมาก่อนมั้ย" เพราะเมื่อวานโดนไอ้กาลเข้ามาขัดเลยไม่ได้ถาม

            คนฟังไม่ได้ตอบทันที จ้องกันอยู่สักพักแต่สุดท้ายก็ส่ายหน้า

            "ลองนึกดูดีๆ บางทีอาจจะเคยเจอกันมาก่อนก็ได้"

            เราต้องเคยเจอกันผมมั่นใจ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางเข้ามาเกี่ยวข้องกันแบบนี้แน่ บางทีอาจจะเป็นตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน มันอาจจะเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้น ลูกชายร้านเครื่องเขียนหน้าโรงเรียน ไม่ก็เด็กในสวนของปู่ แต่ถ้าเป็นคนใกล้ตัวขนาดนั้นผมก็ต้องเคยได้ยินข่าวเด็กหายมาบ้างดิ หรือผมควรจะส่งรูปให้พ่อดูเผื่อพ่อจะรู้จัก

            ล่อนจ้อนเงียบไปอีกครู่หนึ่ง ผมไม่รีบร้อนให้เวลามันนอนคิดได้ทั้งคืนเลยถ้าคำตอบที่ได้จะช่วยให้ปัญหานี้แก้ง่ายขึ้น ผ่านมาตั้งสิบปีคนเราหน้าตาต้องเปลี่ยนกันบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่ผมไม่เคยเปลี่ยนเลยคือความหล่อ ถ้าได้เจอคนหล่ออย่างผมมาตั้งแต่สิบขวบมันต้องจำได้

            "จำไม่ได้"

            แต่ทุกปัญหาไม่เคยง่ายเลย

            "ลองนึกใหม่ นึกดูอีกที หน้าตาหล่อๆ แบบนี้ต้องเคยเห็นบ้างดิ"

            "จำไม่ได้"

            โอเค จบ

            "หิว" ดูท่าว่าการใช้ความคิดมากๆ จะผลานพลังงานไปเยอะ

            ตั้งแต่ญาติดีกันล่อนจ้อนไม่ได้ดูวิตกกังวลหรือทุกข์ใจเท่าไรเมื่ออยู่ในร่างคน มันคงคิดว่าดีแล้ว แค่ได้อยู่ใกล้ผมแล้วกลับร่างนี้ได้ก็พอแล้ว กินอิ่มนอนหลับอย่างเป็นปกติสุขได้ก็พอใจ

            "อยากกินอะไรอ่ะ เราทำอาหารไม่ค่อยเป็นนะ ไอ้กาลทำเก่งกว่า แต่ลองบอกมาก่อนก็ได้ ถ้าทำได้จะทำให้" ทุกคนย่อมมีเมนูที่ชอบ อยู่ในร่างแมวมาเป็นสิบปีได้กินอาหารอะไรไปบ้างก็ไม่รู้แต่คงไม่พ้นอาหารแมวเป็นส่วนใหญ่ พอกลับมาเป็นคนได้มันต้องคิดถึงเมนูโปรดสมัยเด็กแน่นอน ถือเสียว่าเป็นบริการพิเศษจากผมแล้วกัน

            ล่อนจ้อนยิ้มกว้างจนเห็นรอยที่แก้มเหมือนหมวดแมว มันกำลังจะอ้าปากตอบแต่ก็อยู่ดีๆ คนตรงหน้าก็หายไปต่อหน้าต่อตา กลายเป็นกองเสื้อผ้ากับแมวสีขาวหน้าเหวี่ยงพร้อมกระโดดมาตะปบผมได้ทุกเมื่อ

            มันยังไงกันวะเนี่ย

            "อยู่ๆ ทำไมกลับไปเป็นแมวอ่ะ"

            "เมี้ยว"

            คุยตอนเป็นคนยังรู้เรื่องยากแล้วคุยตอนเป็นแมวจะไปรู้เรื่องอะไร ผมถอนหายใจเบาๆ กำลังคิดถึงหลักการและเหตุผลที่อยู่ๆ ล่อนจ้อนก็กลับไปเป็นแมว จากประสบการณ์ที่เจอมามันจะกลับไปเป็นแมวตอนกลัว ไม่ก็ตอนหนี แต่ตอนนี้ไม่อยู่ในสถานการณ์ไหนที่ว่ามาเลย

            "อยากกลับร่างแมวเหรอ" ถามแบบนึกอะไรไม่ออก สาเหตุที่ทำให้ล่อนจ้อนกลับมาเป็นคนได้คือตัวผม แต่ผมไม่เคยถามว่าตอนกลายร่างเป็นคนมันกำหนดได้มั้ย ต้องคิดต้องพูดอะไรหรือเปล่า

            แมวก็ตอบได้แค่เมี้ยวๆ ซึ่งไม่ได้ช่วยให้เข้าใจอะไรขึ้น ซ้ำยังทำให้อาการผมเริ่มแย่ลงอีก

            "ฮัดชิ้ว"

            ไม่ได้การแล้วแบบนี้

            ไอ้แมวขาวมองหน้าผมเหมือนรู้ มันกระโดดลงจากโซฟาเข้าห้องนอนไปโดยที่ผมยังไม่ได้พูดอะไร เมื่อเดินตามเข้าไปก็เห็นมันนั่งรออยู่หน้าประตู ผมเปิดประตูให้ มันก็เดินออกไปนอกระเบียง ขดตัวนอนบนเบาะรองนั่งกลับสู่ชีวิตแบบแมวๆ แล้วเมินมนุษย์อย่างผมเหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

            ผมยืนอยู่หลังประตู สำรวจข้าวกับน้ำก่อนมองไอ้แมวขาวที่นอนหันหลังให้ ไหนเมื่อกี้บอกหิว แล้วทำไมไม่กินข้าวก่อน ทำเป็นงอนทั้งที่ไม่ใช่ความผิดผมเลยแท้ๆ

            "พรุ่งนี้จะทำอะไรอร่อยๆ ให้กินแล้วกัน"

            หูแมวกระดิก

            ผมยิ้มขำก่อนเลื่อนประตูปิด ตั้งใจเปิดม่านไว้จะได้มองเห็นมันตลอดเวลาแม้จะเสี่ยงต่อเสียงกรี๊ดของเหนือกาลก็ตาม แต่ถ้าเกิดอยู่ๆ มันกลายร่างเป็นคนอีกจะปล่อยให้ยืนแก้ผ้าอยู่นอกระเบียงก็คงไม่ได้ แต่ถ้าพาเข้ามาแล้วอยู่ๆ มันกลับไปเป็นแมวล่ะก็

            "ฮัดชิ้ว"

            ไม่คนแพ้แมวตายก็คงมีคนช็อกตายเพราะกลัวแมว ฉะนั้นอันดับแรกผมต้องรู้หลักการการกลายร่างให้ได้ก่อน เพื่อการรับมืออย่างเป็นระบบ แต่ก่อนอื่น

            "ฮัดชิ้ว"

            ไปกินยาเถอะตัวกู

 

tbc.

 
เป็นเรื่องแรกที่เขียนแต่ละตอนแบบยาวมากสำหรับเรานะ
ลิขิตกับล่อนจ้อนเค้าก็จะงุ้งงิ้งกันแบบนี้อยู่ในห้องสองคน อย่าเพิ่งเบื่อกันน้า
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 6 ___ [27/04/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 27-04-2019 20:56:09
 :pig4: :pig4: :pig4:

หิวแล้ว แต่ทำไมไม่เห็นกินอะไรเลย?
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 6 ___ [27/04/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 28-04-2019 00:40:54
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 6 ___ [27/04/62]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 28-04-2019 01:31:51
จำชื่อตัวเองได้แต่ไม่บอกเหรอหรือจำไม่ได้จริงๆ
เอ๊ะ ยังไง  :ling2:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 6 ___ [27/04/62]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-04-2019 02:26:34
น่าสงสาร​ไม่รู้​ว่าเจออะไร​มา​บ้าง​
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 7 ___ [07/05/62]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 07-05-2019 17:21:06

ลิขิตครั้งที่ 7


            ล่อนจ้อนหายไปตัวไปตั้งแต่ประมาณสี่ทุ่มเมื่อคืน จนกระทั่งใกล้เที่ยงแล้วก็ยังไม่กลับมา ผมใส่มาสก์ออกไปเปลี่ยนน้ำเทอาหารไว้ให้ก่อนจะแวะไปโรงพยาบาลตามนัดฉีดวัคซีนแล้วไปเรียนต่อช่วงบ่าย รวมถึงเขียนป้ายแผ่นใหม่ไว้ด้วยว่าวันนี้จะกลับกี่โมง

            จัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็กลับเข้ามาในห้องปิดประตูล็อกกลอนแล้วออกไปเรียน มันอาจจะดูน่ากังวลที่ล่อนจ้อนหายไปหลายชั่วโมงแต่ผมคิดว่าผมรู้เหตุผลที่มันทำแบบนั้นเลยไม่กังวลเท่าไร ในเมื่อมันไม่สามารถควบคุมการกลายร่างได้ จะกลายเป็นคนหรือกลับไปเป็นแมวตอนไหนก็ไม่รู้ ถ้าเกิดนอนอยู่ที่ระเบียงแล้วกลายร่างเป็นคนขึ้นมามันก็ใช่เรื่อง จะให้เข้ามาในห้องแล้วอยู่ๆ กลับไปเป็นแมวอีกก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นไม่ได้นอนกันทั้งคืนแน่

            ถ้ารู้กฎเกณฑ์หรือควบคุมการกลายร่างได้เมื่อไร ผมจะให้มันเข้ามาอยู่ด้วยแน่นอน

 

            ตอนเช้าที่ไม่ยอมมาหากันอาจจะไม่ใช่เพราะโดนโกรธ แต่ถ้ายังไม่รีบกลับผมจะอาจจะมีรอยแมวข่วนฝากไว้ที่หน้าอีกก็ได้

            ผมเขียนเวลากลับไว้บนป้ายประตูระเบียงว่าห้าโมงเย็น แต่สองทุ่มครึ่งแล้วเพิ่งได้ออกจากโรงหนังหลังจากโดนพวกมันคะยั้นคะยอให้มาดูด้วยกัน โอเค เอาใหม่ ผมจะไม่แก้ตัว ผมอยากดูหนังเรื่องนี้ พอพวกมันชวนเลยรีบตอบตกลงโดยไม่ได้คิดถึงอะไรทั้งสิ้น เพิ่งมาได้สติก็ตอนมือถือสั่นถี่ๆ ช่วงกลางเรื่องแต่ผมมีมารยาทพอที่จะไม่หยิบมันขึ้นมาดู ซึ่งก็เดาได้ไม่ยากหรอกว่าคนที่โทรมาเป็นใคร อยู่กับเพื่อนกันครบแก๊งขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่พ่อก็ไอ้กาล อ้อ พี่ณดาด้วยอีกคน แต่รายนั้นไม่ค่อยทักมากวนเวลานี้ เบอร์โทรศัพท์ไม่มีไม่น่าจะโทรหากันได้ ฉะนั้นตัวเลือกที่เป็นไปได้ที่สุดก็คือเหนือกาล

            'มึงรีบกลับเดี๋ยวนี้เลย'

            นอกจากมิสคอลสามสายก็มีประโยคคำสั่งที่ส่งมาทางไลน์เมื่อยี่สิบนาทีก่อน

            "พวกมึง กูกลับก่อนนะ" บอกพวกมันสามคนแล้วก็ตั้งท่าเตรียมจ้ำหนี แต่โดนพสุรั้งไว้ด้วยคำถาม

            "เอ้า จะไปไหนวะ ไม่กินข้าวด้วยกันก่อน"

            "ไอ้กาลมีปัญหา"

            เพื่อนทั้งสามพร้อมใจกันทำหน้าสงสัย และเมื่อผมตอบมันก็แทบจะถีบส่งไล่ผมทันที

            "แมว"

 

            ผมกลับมาถึงห้องสามทุ่มกว่า ไอ้กาลนั่งเล่นมือถืออยู่ที่โซฟา มันแทบจะกระโดดกัดคอตอนผมเปิดประตูเข้ามาในห้อง แต่ทำไมสถานการณ์มันถึงได้ดูปกติขนาดนี้ ทั้งไอ้กาล แล้วก็วี่แววของล่อนจ้อน

            "ล่อนจ้อนอ่ะ"

            "มึงไปดูเอาเอง" มันบุ้ยปากไปที่ประตูห้อง ทำเอาใจเต้นเลย แม่งเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าวะ

            "มันมาแล้วเหรอ"

            "ไปดูเอง แล้วก็จัดการเอง เพราะกูคงช่วยอะไรมึงไม่ได้"

            ฉิบหาย เริ่มกลัวแล้วไหมล่ะ แมวมันโมโหร้ายมั้ยวะ ผิดนัดไปหลายชั่วโมงแบบนี้ ผมจะไม่โดนมันกระโดดถีบยอดหน้าเอาใช่มั้ย

            ผมเปิดประตูห้องนอน เปิดไฟด้วยใจลุ้นระทึกแต่เมื่อห้องสว่างทุกอย่างกลับยังดูเป็นปกติสุขดี ล่อนจ้อนไม่อยู่ ไม่ว่าจะในร่างคนหรือแมว ก็แน่ล่ะ ไอ้กาลอยู่ห้องมันเข้ามาไม่ได้อยู่แล้ว อีกอย่างผมไม่อยู่มันจะกลายร่างเป็นคนได้ไง แล้วสรุปมันเกิดอะไรขึ้นวะไอ้กาลถึงได้สั่งให้ผมรีบกลับ

            มองสำรวจห้องคร่าวๆ แล้วก็เดินไปที่ระเบียง ผ้าม่านที่เปิดไว้รวมถึงแสงสว่างจากในห้องพอจะทำให้มองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้บ้าง เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมไอ้กาลถึงพูดแบบนั้น

            ผมเปิดไฟระเบียง เปิดประตูออกไปดูแล้วถอนใจดังเฮือก โถ พ่อแมวโมโหร้าย จัดการป้ายบอกเวลาของผมซะไม่เหลือชิ้นดี กลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยกระจายไปทั่วระเบียง

            ยังดีที่ล่อนจ้อนมันเล่นงานแค่ป้าย ชามอาหารกับน้ำ แล้วก็เบาะนอนยังอยู่ในสภาพดี เพราะถ้าหากมันพังทุกอย่างผมจะโกรธคืน โทษฐานที่ไร้เหตุผลเกินไป

            "ล่อนจ้อน เรากลับมาแล้ว" ยืนทำใจกับเศษซากอารยธรรมสักพักผมก็ลองตะโกนเรียกมันที่ระเบียง แต่แค่ครั้งเดียวพอเดี๋ยวชาวบ้านเขาจะด่าเอา จะมาหรือไม่มาก็แล้วแต่มันตัดสินใจเอง

            ผมกลับเข้าไปเอาไม้กวาดกับที่โกยขยะมาจัดการทำความสะอาดระเบียง คิดแล้วก็อยากซื้อมือถือให้มันชะมัด กลับช้ากลับเร็วจะได้โทรบอก แต่อยู่ในร่างแมวก็ใช้ไม่ได้อีก ลำบากลำบนจริงๆ

            เอาเป็นว่าถ้าหายโกรธแล้วกลับมาหาเมื่อไรจะทำของอร่อยๆ ให้กินเป็นการไถ่โทษแล้วกันไอ้แมวขี้งอน

 

            เลิกเรียนกลับมาถึงห้องตอนบ่ายโมงกว่ายังไม่ทันได้วางของผมก็โผล่หน้าไปดูที่ระเบียง ล่อนจ้อนยังไม่มา ไม่มีแมวนอนอยู่บนเบาะ อาหารก็เหมือนจะยังไม่ยุบ ป้ายที่แปะบอกเวลากลับไว้ตอนเช้ายังอยู่ในสภาพดี อย่าบอกนะว่าโกรธถึงขั้นไม่ไยดีกันเลย

            ในเมื่อเป็นแบบนี้คงต้องใช้แผนสอง

            ผมกลับเข้ามาในห้อง เก็บของเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเขียนป้ายแผ่นใหม่ไปติด ดำเนินการตามแผนที่คิดมาแล้วทั้งคืน ทีแรกผมตั้งใจว่าถ้ากลับมาถึงหอแล้วล่อนจ้อนมาหาก็จะชวนมันเข้ามาข้างในแล้วทำกับข้าวให้กิน แต่เพราะมันไม่มาเลยเปลี่ยนป้ายเชิญชวนใหม่ จากนั้นก็ไปทำกับข้าวเตรียมไว้รอมันมากิน ซึ่งไอ้แผนที่ว่ามานั้นไม่ว่าจะหนึ่งหรือสองก็ไม่ได้ต่างอะไรกันนักหรอก

            'มาแล้วก็เข้ามาในห้องนะ เสื้อผ้าวางอยู่บนเตียง เราอยู่รอที่โซฟา'

            ติดป้ายเสร็จผมก็แง้มประตูไว้เล็กน้อย เตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่วางไว้ให้บนเตียง จากนั้นก็ออกไปเตรียมมื้ออาหารสุดพิเศษสำหรับง้อแมว

            เมนูง่ายๆ ที่คิดว่ามันน่าจะชอบ เพราะผมก็ทำอะไรที่มันยากกว่านี้ไม่ได้แล้ว

 

            ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีเมนูพิเศษของผมก็เสร็จเรียบร้อย กลิ่นหอมลอยตลบอบอวนไปทั่วห้องเมื่อผมยกจานมาวางไว้ที่โต๊ะ เทข้าวสวยที่ซื้อมาใส่จานสองใบวางไว้คนละฝั่ง รินน้ำใส่แก้ว จัดโต๊ะรอแขกพิเศษที่ยังไม่แน่ใจว่าจะมาเมื่อไร แล้วถ้าเกิดรอจนกับข้าวเย็นชืดแต่ล่อนจ้อนยังไม่มาผมจะทำยังไงดี กินก่อนเลยดีไหมคนยิ่งหิวๆ เพราะยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงอยู่

            จัดโต๊ะเสร็จเรียบร้อยผมก็ยืนมองด้วยความพอใจ กำลังจะถอดผ้ากันเปื้อนออกคนที่รอก็โผล่หน้าออกมาจากห้องนอน ทำหน้านิ่งไร้อารมณ์แต่ตาจ้องของกินบนโต๊ะเขม็ง

            เป็นไงล่ะหอมล่ะสิ นี่คือไข่เจียวทรงเครื่องสูตรเด็ดของเหนือกาล ที่เหนือลิขิตได้ลองทำครั้งแรกในชีวิต

            "กินข้าวกัน" ผมชวนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ถอดผ้ากันเปื้อนไปแขวนไว้แล้วไปพาคนที่ยืนแอบอยู่ในห้องออกมา

            ล่อนจ้อนยังทำเป็นนิ่ง มันยอมให้ผมจูงมือออกมาโดยไม่ขัดขืน ผมเลื่อนเก้าอี้ให้มันนั่ง ปูผ้าบนตักกับผูกผ้ากันเปื้อนที่คอให้ ก่อนผมจะเดินอ้อมมานั่งฝั่งตรงข้าม เป็นไง บริการทุกระดับประทับใจอย่างกับโรงแรมห้าดาว

            "รู้จักไข่เจียวใช่มั้ย"

            "รู้" ตอบกลับมาซะเสียงแข็งเชียว

            "เราทำเองเลยนะลองดูกิน"

            ล่อนจ้อนเหลือบตามองผมเลยยิ้มกว้างให้ มันหยิบช้อนส้อมขึ้นมาแต่หยิบจับไม่ถนัดมือนัก ผมเลยตักไข่เจียวใส่จานให้ มองมันตักข้าวกินท่าทางเหมือนเด็กที่เพิ่งหัดจับช้อนส้อม เห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้เลย

            "เป็นไงอร่อยมั้ย" ถามหลังจากมันกินเข้าไปคำแรก

            ล่อนจ้อนนิ่งไป ทำเอาผมใจแป้วไปเลยเพราะไม่ได้ชิมก่อนเลยไม่รู้ว่ารสชาติเป็นยังไง แล้วอยู่ๆ มันก็น้ำตารื้นขึ้นที่ขอบตา ก่อนจะไหลผ่านแก้ม ทำเอาใจผมร่วงไปตาตุ่ม

            รสชาติมันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอวะ กินแค่คำเดียวถึงกับต้องร้องไห้เลย

            "ร้องไห้ทำไม"

            "อร่อย"

            "ฮะ"

            "อร่อย"

            "อร่อยแล้วร้องไห้ทำไม"

            "ก็มัน...อร่อย" มันเริ่มกินต่อ กินไปน้ำตาก็ไหลไป เคี้ยวไปก็ยิ้มไป เป็นภาพประหลาดๆ แต่กลับให้ความรู้สึกที่ดี

            ล่อนจ้อนไม่ได้ร้องไห้หนัก น้ำตามันไหลไม่กี่หยดช่วงแรกแต่เพราะมันไม่ยอมเช็ดออกผมเลยยื่นมือไปเช็ดให้ เข้าใจแล้วว่าทำไมมันถึงร้องไห้ น้ำตาที่ไหลเพราะความสุข สำหรับอาหารแบบมนุษย์มื้อแรกหลังจากกลับมาเป็นมนุษย์

            ไม่รู้เพราะหิวหรือเพราะเป็นกับข้าวที่ทำเองผมถึงได้รู้สึกว่ามื้อนี้มันอร่อยกว่าปกติ ล่อนจ้อนกินไปก็ยิ้มไป ท่าทางจับช้อนที่เหมือนเด็ก เม็ดข้าวที่ติดอยู่ตรงแก้ม รอยยิ้มกับแววตาเป็นประกาย มันทำให้ผมมีความสุขมากจริงๆ ที่ทำให้ใครสักคนมีความสุขได้ขนาดนี้

            "อิ่มมั้ย เพิ่มข้าวอีกได้นะ"

            "เอาอีก"

            ผมเทข้าวเพิ่มให้ หยิบข้าวที่ติดตรงแก้มออกให้ด้วย แต่คนที่กำลังเพลิดเพลินกับของกินตรงหน้าไม่ได้สนใจว่าผมจะทำอะไรเท่าไร

            "ล่อนจ้อน"

            เจ้าของชื่อที่ผมตั้งให้เงยหน้ามอง อารมณ์ดีขนาดนี้จะหายโกรธกันหรือยัง

            "เมื่อวานขอโทษนะที่ผิดนัด แอบเถลไถลไปดูหนังมา" สารภาพโดยไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น

            จากหน้ายิ้มๆ กลับมานิ่งสนิท มือที่ถือช้อนส้อมหยุดขยับ ล่อนจ้อนจ้องหน้าผมโดยไม่พูดอะไรจนชักรู้สึกใจไม่ดี นี่ผมเลือกจังหวะพูดผิดหรือเปล่าวะ

            "ยังโกรธอยู่เหรอ"

            "ขอบคุณ"

            ผมเลิกคิ้วมองกลับ ล่อนจ้องยังคงจ้องหน้าผม มันยิ้มก่อนจะพูดออกมาอีกครั้ง

            "ขอบคุณนะ อร่อย"

            ความรู้สึกใจฟูเหมือนไข่เจียวเพราะมีความสุขมันเป็นแบบนี้นี่เอง

            ผมกินอิ่มก่อนเลยวางช้อนส้อมแล้วนั่งดูล่อนจ้อนค่อยๆ ตักข้าวกินด้วยวิธีการจับช้อนแปลกๆ ผมสอนวิธีจับให้มันใหม่ แต่กินไปสักพักมันก็กลับมาจับแบบเดิมเลยไม่บังคับ คงต้องค่อยๆ ฝึก ค่อยๆ ปรับกันไป

            "ล่อนจ้อน เมื่อวันก่อนตอนที่กลับไปร่างแมวได้คิดอะไรมั้ย หรืออยู่ๆ มันก็เปลี่ยนร่างไปเอง" นึกขึ้นได้ผมเลยรีบถาม

            "ไม่ได้คิด...อะไร"

            "แสดงว่าอยู่ๆ ก็กลับไปเป็นแมวเอง แบบหมดเวลาประมาณนั้นใช่มั้ย"

            "น่าจะใช่"

            ตอนกลายร่างมาเป็นคนผมพอเข้าใจแล้ว แต่ยังไม่เข้าใจการกลับไปเป็นแมวเลยสักนิด หลังจากนี้ต้องลองนับเวลาดู บางทีมันอาจจะมีเวลากำหนดไว้อยู่แล้วว่าอยู่ในร่างคนได้กี่ชั่วโมง

            หลังจากจัดการทุกอย่างจนเกลี้ยงผมก็ยกจานมาล้างโดยมีแมวเดินพันแข้งพันขาอยู่ไม่ห่าง จนสุดท้ายยืนดูเฉยๆ ไม่ไหวก็ออกปากขอ

            "ช่วย"

            "ไม่ได้ เดี๋ยวทำแตก"

            "ไม่แตก"

            "ไปนั่งรอที่โซฟาก่อนไป เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว" ผมไล่ มันทำหน้าบึ้งใส่ผมแต่ก็ยอมทำตามที่บอก

            ล้างจานเป็นงานง่ายๆ ก็จริงแต่ผมไม่อยากเสี่ยง เกิดทำจานแตกขึ้นมามีหวังไอ้กาลบ่นหูชา ดีไม่ดีคนทำแตกโดนบาดเจ็บตัวอีก อีกอย่างถ้าเกิดไอ้กาลรู้ว่าใครเป็นคนทำแตกคืนนี้คงสวดผมยับแบบไม่ต้องหลับไม่ต้องนอน

            คว่ำจานใบสุดท้ายบนชั้นเสร็จแล้วผมก็เข้าไปหยิบของในห้อง เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าซื้อของขวัญไว้ให้ล่อนจ้อนอีกอย่าง เป็นหนังสือนิทานตามที่เคยสัญญาไว้

            "อ่ะ ตามสัญญา" ยื่นหนังสือให้มันก็รับไปแล้วอมยิ้ม

            ล่อนจ้อนเปิดหนังสือรวมนิทานปกแข็งดูทีละหน้า ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเลี้ยงเด็กยังไงไม่รู้ จำได้ว่าตอนเด็กๆ ผมไม่ค่อยได้อ่านอะไรแบบนี้เพราะติดหนังสือการ์ตูนมากกว่า แต่สำหรับล่อนจ้อนผมว่ามันชอบนะ

            "ไหนอ่านให้ฟังหน่อย"

            ล่อนจ้อนเปิดกลับไปที่หน้าแรกแล้วเริ่มอ่านนิทานเรื่องกระต่ายบนดวงจันทร์อย่างช้าๆ แบบค่อยเป็นค่อยไป ผมว่ามันอ่านใช้ได้เลยนะ อ่านออกทุกคำแม้บางคำจะออกเสียงแปลกๆ ไปบ้าง ตรงไหนที่คิดว่ายังไม่ค่อยดีก็ให้มันอ่านทวนใหม่ อ่านไปมันก็เงยหน้าขึ้นมามองผมเป็นระยะ ผ่านไปแค่ไม่กี่หน้าก็เริ่มอ่านคล่องไม่ตะกุกตะกักเท่าไร ไปแบบช้าๆ เนิบนาบ ทำให้ผมตั้งใจฟังจนพาตัวเองเข้าไปอยู่ในโลกของนิทานได้เลย

            คนอ่านเริ่มสนุกแต่คนฟังอย่างผมเริ่มจะง่วง ล่อนจ้อนตั้งอกตั้งใจอ่านไม่เงยหน้าขึ้นมามองผมเลย แต่ไม่มองก็ไม่เป็นไรเพราะผมกะว่าจะแอบงีบสักหน่อย บ่ายๆ แบบนี้หนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อนเป็นธรรมดา

            "จากนั้น ชายชรา ก็อุ้มกระต่าย ขึ้นไปบน ดวงจันทร์"

            บ๊ายบายนะเจ้ากระต่าย แล้วเจอกันบนดวงจันทร์

 

            ผมนั่งหลับคอพับพิงโซฟา ตื่นแล้วก็งงๆ ว่าเดินไปหยิบมาสก์มาใส่ตอนไหน แถมยังใส่ผิดด้านอีกต่างหาก จนเมื่อลองมองรอบๆ ตัวแล้วเห็นแมวสีขาวนอนอยู่บนกองเสื้อผ้าอยู่ข้างๆ ก็เริ่มเข้าใจ ถอดมาสก์ออกแล้วใส่ใหม่ให้ถูกด้าน มองไอ้แมวแสนรู้แล้วยิ้มกับตัวเอง

            ใส่ใจแถมยังใส่มาสก์เป็นด้วย ถึงจะผิดด้านก็เถอะ ทำตัวน่ารักเก่ง

            ล่อนจ้อนมันนอนหงายเอามือก่ายหน้าผากปิดตาไว้ โชว์พุงขาวๆ น่าขย้ำเลยอดใจไม่ไหวต้องยื่นมือไปลูบเล่น การก่อกวนรอบนี้ไม่ทำให้มันขยับตัวเลย ยังคงนอนอ้าปากโชว์เขี้ยวแหลมๆ ที่ทำเอาผมผวาทุกที

            นั่งเล่นพุงแมวได้แป๊บเดียวเสียงก๊อกแก๊กที่ประตูก็ทำเอาผมสะดุ้ง ยังไม่ทันได้บอกห้ามประตูก็เปิดออก ไอ้กาลก้าวขาเข้ามาแล้วหยุดยืนอยู่หน้าประตู

            "ทำไมใส่มาสก์วะ"

            "ล่อนจ้อนอยู่"

            "ร่างแมว"

            "เออ"

            "อยู่ไหน แล้วทำไมไม่บอกกูวะ" มันทำท่าจะถอยหนี ไม่พยายามมองหาด้วยว่าแมวที่ว่าอยู่ไหน

            "กลับมามัวแต่เตรียมนั่นเตรียมนี่กูเลยลืม มึงหันหลังไปก่อน รอแป๊บนึง"

            ไอ้กาลรีบทำตามที่บอก ผมอุ้มล่อนจ้อนที่ยังหลับอยู่เข้าห้อง วางมันลงบนเตียงแล้วก็ยังไม่ยอมตื่น เลยเดินออกมาจากห้องแล้วปิดประตูไว้ ท้องอิ่มแถมยังขี้เซาขนาดนั้นมันคงไม่ตื่นง่ายๆ

            เดินออกมาจากห้องก็เจอไอ้กาลยืนชะเง้อชะแง้มองอยู่ตรงโซฟา มันคงอยากรู้แต่ไม่กล้าเสี่ยงเข้ามาหา เลยต้องทำตัวอยากรู้อยากเห็นแบบกลัวๆ พอผมถอดมาสก์ทิ้งตัวบนโซฟามันถึงได้นั่งตาม

            "อยู่ด้วยกันแบบเป็นแมวเนี่ยนะ มันไม่เป็นคนเหรอวะ"

            ผมพอจะรู้ว่าไอ้กาลมันหวังอะไรอยู่ กับคนที่ดูเหมือนไอ้ดื้อของมันขนาดนั้นคงอยากเจอตัวตอนเป็นคนบ้าง

            "ตอนแรกก็เป็นคนอยู่ แต่เหมือนว่ามันจะมีเวลากำหนดว่าเป็นคนได้กี่ชั่วโมงว่ะ ครั้งก่อนก็เป็นแบบนี้"

            "อยู่กับแมวแล้วมึงไม่แพ้เหรอวะ คิดอะไรอยู่"

            ผมควรจะอธิบายยังไงดีให้ไม่โดนมันด่า ก็ตอนที่ล่อนจ้อนมันกลับไปเป็นแมวผมรู้ตัวที่ไหน ล่อนจ้อนเองมันก็รู้ว่าผมแพ้แมวเลยเอามามาสก์มาใส่ให้ถึงจะผิดด้านก็เถอะ ที่สำคัญตอนนี้ผมยังไม่มีอาการอะไรเลย

            "กูว่าอาการมันดีขึ้นนะ"

            "มันจะดีขึ้นยังไงวะ"

            "กูเคยอ่านเจอว่าอยู่กับแมวไปเรื่อยๆ มันจะหายแพ้เอง"

            "หรือไม่ก็ตายก่อน"

            "แช่งกูอีก"

            "เออ ไม่เป็นอะไรก็ดี แต่อย่าลืมกินยาด้วยนะมึง กันไว้ก่อน"

            "รู้แล้ว"

            "เออมึง" เรียกแล้วมันก็เงียบ ไอ้กาลมองผมแล้วยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจ

            "อะไร"

            "กูอยากเห็นตอนล่อนจ้อนของมึงเปลี่ยนร่างว่ะ อยากเจอความแฟนตาซี"

            "ไม่ต้องห่วงหรอก จบเรื่องกูเมื่อไรเดี๋ยวมึงก็ได้เจอ"

            "มันก็ไม่เหมือนกันป้ะวะ เรื่องของกูอาจจะไม่เหมือนมึงก็ได้ เจอแมวกลายร่างเป็นคนได้ไม่ใช่เรื่องที่หาดูได้ง่ายๆ นะมึง"

            "ในหนังเยอะแยะ"

            "สรุปก็คือไม่ให้กูดู" คิดไปเองว่าผมจะไม่ยอมให้ดูแม่งเปลี่ยนสีเร็วเป็นกิ้งก่าเลยไอ้นี่ ทั้งน้ำเสียงทั้งสีหน้าไปหมด

            "กูยังไม่ได้พูดเลย"

            "ก็มึงไล่ให้กูไปดูในหนัง"

            "มึงถามตัวเองเถอะกาลว่าจะทนดูได้มั้ย ล่อนจ้อนมันเป็นแมวนะเว้ย"

            "อ่ะ ล่อนจ้อน เดี๋ยวนี้ไม่ไอ้แล้วเหรอวะ แน่ะ"

            "แน่ะพ่อมึงสิ อย่าเปลี่ยนเรื่อง"

            "ไม่เอาไม่เล่นพ่อ"

            "สรุปคือมึงไม่อยากดู"

            "อยาก!" ทีงี้ล่ะทำหน้าตาขึงขังขึ้นมาเชียว

            "เออ เดี๋ยวกูลองถามมันก่อน ถ้ามันอนุญาตนะ" แต่เอาจริงผมไม่อยากให้ไอ้กาลมันเห็นเลย ตอนล่อนจ้อนกลายร่างเป็นคนมันก็ต้องเปลือยใช่มั้ย แล้วคือมันแบบ...ผมก็หวงไง ปกติได้เห็นอยู่คนเดียวเหมือนเนเจ้าของไปแล้ว ถ้าขอแล้วเจ้าตัวอนุญาตแต่ผมยังคิดวิธีปกป้องผิวสุขภาพดีนั่นจากสายตาน้องชายไม่ได้ผมก็จะไม่ให้มันดู

            "แล้วเป็นไงบ้างวะ ได้เรื่องอะไรเพิ่มบ้างยัง"

            "วันนี้ยังไม่ได้คุยอะไรกันเพิ่มเลย ง้อเสร็จก็ให้มันอ่านนิทาน แล้วกูก็หลับ"

            "เป็นไงไข่เจียวสูตรเด็ดกู มันชอบมั้ย"

            "ซึ้งใจจนร้องไห้เลยเถอะ แต่เป็นเพราะมันได้กินอาหารแบบมนุษย์เป็นครั้งแรกในรอบสิบปีมากกว่า"

            "ขนาดนั้นเลย"

            "เออ ขนาดนั้นแหละ กูว่ากูเข้าใจความรู้สึกมันนะ สิบปีแม่งโคตรนานเลยนะมึง คงทรมานน่าดู"

            ไอ้กาลทำหน้าเห็นอกเห็นใจพยักหน้าตาม เรามองไปที่ประตูห้องนอนผมที่ปิดอยู่พร้อมกัน ก่อนมันจะถามต่อ

            "แล้วมึงได้ถามมันยังว่าใครทำให้มันกลายเป็นแบบนี้"

            "ยัง กูว่าเรื่องมันคงยาวอ่ะ อยากให้มันพูดคล่องกว่านี้อีกสักหน่อยแล้วเล่าทีเดียว"

            "แบบนี้มันไม่เสียเวลาเปล่าเหรอวะ เหมือนเลี้ยงเด็กเลยนะมึง กว่ามันจะพูดคล่อง"

            "จริงๆ พัฒนาการมันก็ไม่ได้แย่นะ อาทิตย์หน้ามันคงเล่าอะไรให้กูฟังได้มากกว่านี้ ช่วงนี้ก็ฝึกๆ ไปก่อน มันคงมีอะไรอีกหลายอย่างเลยที่อยากทำ"

            "ก็แล้วแต่มึง ติดขัดตรงไหนก็มาปรึกษากูได้"

            "กูว่าเสาร์อาทิตย์จะกลับบ้านว่ะ อยากลองไปค้นอะไรดูหน่อย เผื่อจะเจอเบาะแสอะไรบ้าง" อย่างน้อยที่บ้านก็ยังมีความทรงจำสมัยเด็กของผมมากกว่าที่นี่ ถ้าลองไปค้นพวกอัลบั้มรูปหรือของเก่าๆ น่าจะพอนึกอะไรออก

            "งั้นมึงน่าจะลองกลับสวนด้วย"

            "กลับไปทำไมวะ ปู่ก็ไม่อยู่แล้ว"

            "ถึงปู่ไม่อยู่ แต่กูว่าอาพิทักษ์ก็น่าจะพอรู้อะไรบ้างนะ" อาพิทักษ์เป็นน้องชายพ่อ เป็นคนในครอบครัวซึ่งอาจจะเคยพบเจอปัญหาแบบเดียวกับพวกผมมาก่อนก็ได้ แต่อาจะยอมบอกเหรอ

            "ถึงรู้ก็คงไม่บอกอะไรเหมือนพ่อป้ะวะ"

            "งั้นมึงก็กลับไปเอาบรรยากาศเผื่อนึกอะไรออก คุยกับพวกลุงๆ ป้าๆ คนงาน หรือไม่ก็เพื่อนที่เคยเล่นด้วย"

            "แม่งไม่โตย้ายไปเรียนที่อื่นกันหมดแล้วเหรอ"

            "มึงนี่ก็ขยันขัดจังวะ กูพยายามหาทางช่วยอยู่เนี่ย"

            "เออๆ เดี๋ยวลองไปดู แล้วมึงไม่ไปกับกูเหรอ"

            "ต้องขับรถไปส่งว่างั้น"

            "ใช่" กลับบ้านน่ะผมกลับคนเดียวได้สบาย แต่จะให้ขับรถกลับบ้านสวนคนเดียวก็ไม่ไว้ใจมือตัวเอง ครั้นจะนั่งรถตู้ไปมันก็ยังไงอยู่ ในเมื่อมีน้องชายก็ต้องใช้น้องสิวะ

            "เออ ไปก็ไป"

            "งั้นเสาร์อาทิตย์นี้ก็จะกลับบ้านก่อน ถ้าจะไปบ้านสวนเมื่อไรเดี๋ยวบอกอีกที"

            "อืม ว่าแต่ไอ้ล่อนจ้อนของมึงจะตื่นเมื่อไรวะ" มันถามพลางเบ้ปากไปที่ประตูห้อง ผมกดดูเวลาที่มือถือถึงได้รู้ว่าใกล้จะหนึ่งทุ่มแล้ว

            "ไม่รู้ว่ะ"

            "ถ้าสี่ทุ่มยังไม่ตื่นมึงก็ปลุกแล้วไล่ไปก่อน"

            "ใจร้ายนะมึงเนี่ย"

            "แล้วมึงจะนอนกับมันไง้"

            "มึงกลัวไม่มีที่นอนก็บอก"

            "ก็...เออ!" มันขึ้นเสียงใส่ ที่แท้ก็กลัวโดนแมวแย่งที่นอน

            "เดี๋ยวกูไปดูให้ มึงก็อยู่ในห้องไปก่อนแล้วกัน" พูดจบผมก็ลุกจะเดินเข้าห้อง แต่ถูกไอ้กาลเรียกไว้ก่อน

            "เออมึงกูลืม พี่ณดาฝากขนมมาให้" มันบอกแล้วบุ้ยปากไปยังกองถุงก๊อบแก๊บที่วางอยู่บนโต๊ะรวมกับมื้อเย็นที่ไอ้กาลมันซื้อมาด้วย

            "อืม ฝากขอบคุณด้วย"

            "ไปขอบคุณเอง"

            "งั้นไม่เป็นไร กูไม่กิน"

            "มึงนี่นะ"

            ผมไม่ได้อยู่ฟังว่ามันจะบ่นอะไรต่อมั้ย ใส่มาสก์กลับเข้ามาในห้องปิดประตูแล้วเดินไปนั่งข้างเตียง มองแมวสีขาวที่นอนหงายท้องสบายใจเฉิบ จำได้ว่าตอนพามันมานอนผมวางมันไว้ริมฝั่งซ้าย แต่ตอนนี้มันนอนซะกลางเตียง เห็นแล้วอดไม่ไหวต้องขยำพุงเล่น

            การก่อกวนครั้งนี้ดูท่าจะสร้างความรำคาญให้ ล่อนจ้อนลืมตาก่อนพลิกตัวหนี แต่ผมยังไม่ลดละความพยายามโดยการยื่นนิ้วไปแหย่ต่อ เลยโดนมันเอาตีนคู่หน้าตะปบนิ้วจนสะดุ้ง ขอบคุณที่มันไม่กางเล็มแล้วสร้างบาดแผลให้ผมอีก

            "จะกลับมาเป็นคนอีกมั้ย"

            แมวขาวลุกขึ้นโกงตัวบิดขี้เกียจ เสร็จแล้วก็มานั่งจ้องหน้ากันซึ่งไม่ได้ทำให้ผมสามารถรู้คำตอบที่ถามไปเมื่อกี้ได้เลย

            "สรุปว่าไงส่งเสียงตอบด้วย จะกลับมาเป็นคนให้ร้อง ถ้ากลับมาเป็นคนไม่ได้ให้เงียบ"

            ผ่านไปห้าวินาทีคำตอบคือความเงียบ

            "กลับมาเป็นไม่ได้ให้ร้อง ถ้าไม่อยากกลับให้เงียบ"

            "เมี้ยว"

            "หมดโควต้าของวันนี้แล้วใช่มั้ย"

            "เมี้ยว"

            ถึงจะยังไม่เข้าใจนักแต่ก็ตามนั้น ถึงอยู่กับผมแล้วจะทำให้กลายเป็นคนได้แต่ก็ยังมีเวลากำหนดอยู่ดี เมื่อวันก่อนอยู่ที่ประมาณสี่ชั่วโมง ส่วนวันนี้ผมหลับไปตอนใกล้ๆ สี่โมง กว่าจะตื่นอีกทีก็หกโมงกว่าแล้ว ล่อนจ้อนกลับเป็นแมวตอนไหนก็ไม่รู้อีก แต่เวลาคงไล่เลี่ยวกับวันก่อน

            "รู้มั้ยว่าวันนี้กับวันก่อน วันไหนเป็นคนได้นานกว่ากัน วันก่อนร้อง วันนี้ไม่ร้อง" ในเมื่อไม่รู้ก็ถามแมวมันซะเลย

            ล่อนจ้อนเอาแต่นั่งจ้องผมไม่ส่งเสียงอะไร แสดงว่าวันนี้เป็นคนได้นานกว่า หรือไม่บางทีช่วงระยะเวลาที่กลับมาเป็นคนได้มันอาจจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็ได้ ผมต้องจดบันทึกเอาไว้ดู

            "แล้วคืนนี้เอาไงดี ดึกแล้วด้วย"

            มันไม่ตอบอะไรก่อนลุกขึ้นกระโดดลงจากเตียงแล้วเดินไปยืนหน้าประตู ผมเดินตามไปเปิดให้ล่อนจ้อนก็เดินออกไปแล้วกระโดดออกนอกระเบียงไปเลย ไม่แวะกินข้าว หรือนอนพักที่เบาะแต่อย่างใด ว่าไปแล้วก็ชักสงสาร อยากมันได้นอนเตียงสบายๆ ในร่างคนบ้าง แต่ถ้าจะทำแบบนั้นคงต้องคุยกับไอ้กาลเป็นการใหญ่ น้องชายผมที่เลี่ยงการนอนคนเดียวมาร่วมปีจะยอมไหมไม่รู้

            มีแต่เรื่องให้ต้องใช้ความคิดจริงๆ

 
tbc.

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 7 ___ [07/05/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 07-05-2019 18:43:55
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 7 ___ [07/05/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 07-05-2019 22:18:34
 :pig4: :pig4: :pig4:

สงสารล่อนจ้อนอ่ะ   ต้องถูกสาปกลายเป็นแมวเพราะใครก็ไม่รู้ (แกหรือเปล่าฟระเจ้าเหนือที่เป็นต้นเหตุ)
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 7 ___ [07/05/62]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-05-2019 06:11:31
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 7 ___ [07/05/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 08-05-2019 10:49:33
น้องล่อนจ้อนน่ารักกกกกก อยากจับมาขยำขยี้ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 7 ___ [07/05/62]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 08-05-2019 15:08:29
แอบสงสารน้องงงงง
หวังว่าจะได้เบาะแสมากขึ้นนะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 8 ___ [18/05/62]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 18-05-2019 19:32:32

ลิขิตครั้งที่ 8

            การมีล่อนจ้อนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับผมไปแล้ว วันนี้มาถึงมันก็คว้าหนังสือนิทานไปนอนอ่านบนโซฟา ภายในเวลาเพียงไม่กี่วันดูเหมือนจะพูดคล่องขึ้นเยอะแม้ยังตะกุกตะกักอยู่บ้าง แต่ก็นับว่าเป็นพัฒนาการที่ดีทีเดียวสำหรับคนที่ไม่ได้พูดมาตลอดสิบปี

            นอนอ่านคนเดียวอยู่เงียบๆ พักใหญ่ล่อนจ้อนก็ปิดหนังสือลุกขึ้นมาจ้องผมที่ต้องย้ายตัวเองมานั่งเก้าอี้แข็งๆ ดูทีวีไปพลางเพราะโดนแมวแย่งโซฟา แถมยังโดนเมินตั้งแต่มาถึงด้วย

            "อะไร" ถามออกไปล่อนจ้อนก็ขมวดคิ้วใส่

            "ห้องน้ำ"

            "ปวดท้อง?"

            "ปวดฉี่"

            "ห้องน้ำอยู่นั่นไง ไปเข้าดิ" ผมบุ้ยปากบอกทาง ล่อนจ้อนมองตามแต่ไม่ยอมลุกไป ก่อนหน้านี้ผมก็เคยพาไปส่องกระจกแล้วไม่ใช่เหรอ

            "พาไปหน่อย"

            "ก็เดินไปเข้าดิ เดี๋ยวรอตรงนี้ มันไม่มีอะไรหรอก"

            "พาไปหน่อย" ไม่พูดเปล่าแถมยังทำสายตาออดอ้อนแบบแมวๆ ส่งมาให้ เป็นท่าไม้ตายใหม่หรือยังไง ก็แค่ไปเข้าห้องน้ำเอง เด็กสิบขวบก็น่าจะจัดการธุระส่วนตัวเป็นแล้วไม่ใช่เหรอ แต่ก็...เฮ้อ พาไปก็ได้

            "มาดิ" ผมลุกขึ้นเดินนำล่อนจ้อนก็เดินตามมา สมกับเป็นเด็กสิบขวบจริงๆ ต้องมีเพื่อนไปเข้าห้องน้ำ

            ผมยืนรอตรงหน้าประตูเบี่ยงตัวหลบให้ล่อนจ้อนเข้าไปข้างใน ไอ้ครั้นจะเข้าไปจัดการทุกอย่างให้เลยมันก็ยังไงอยู่ แต่ไอ้คนปวดฉี่ยังยืนทำหน้าเซ่อซ่าเหมือนทำอะไรไม่เป็น อย่าบอกนะว่าลืมวิธีฉี่แบบคนไปแล้ว

            "เป็นมั้ยเนี่ย"

            ล่อนจ้อนไม่ตอบ มองชักโครกสลับกับอ่างล้างหน้า แล้วก็หันมามองผม นี่ต้องฉี่ให้ดูเป็นตัวอย่างเลยมั้ย

            ผมดันล่อนจ้อนไปยืนหน้าชักโครกแล้วยืนซ้อนหลัง รู้สึกร้อนวูบวาบแปลกๆ ที่ต้องทำอะไรแบบนี้ แต่มันจำเป็นไม่ได้มีความคิดอัปมงคลแต่อย่างใด ถ้าไม่สอนมันได้ฉี่แตกกันพอดี

            "ฉี่ใส่ชักโครกนี่ไง ถกขากางเกงขึ้นแล้วปล่อยเลย จับไว้แล้วเล็งให้ลงโถ" วันนี้ผมให้ล่อนจ้อนใส่กางเกงบอลแล้วก็ไม่ได้ใส่กางเกงในเหมือนเดิม พูดไปก็ช่วยม้วนขากางเกงขึ้นแล้วจับไว้ให้ สารภาพด้วยความสัตย์จริงว่าไม่ได้แอบมองของสงวนมันแต่อย่างใดแม้จะเคยเห็นมาหลายครั้งแล้วก็เถอะ แต่แทนที่มันจะเป็นฝ่ายเขินทำไมถึงเป็นผมที่เขินแทนวะ ฟังเสียงฉี่ไปก็แหงนหน้ามองเพดานไปด้วย

            ใจเต้นแรงมากเวรเอ๊ย

            "เสร็จแล้ว" ผมก้มลงมามองคนพูดแล้วก็เจอตาแป๋วๆ จ้องอยู่ พอมาตกอยู่ในสถานการณ์นี้ก็ทำให้ผมนึกถึงวันที่เจ้าแมวขาวฝากรอยแผลไว้ให้ ทีตอนนั้นล่ะทำเป็นหวงไม่ให้ดู

            "สลัดก่อน กดน้ำตรงนี้ แล้วก็ไปล้างมือ"

            ล่อนจ้อนทำตามอย่างว่าง่าย มันเดินไปยืนหน้าอ่างล้างมือผมก็ช่วยเปิดน้ำกดสบู่ให้ ล้างเสร็จก็ยื่นผ้าเช็ดมือให้ด้วย แค่ฉี่ยังขนาดนี้แล้วถ้าเกิดมันปวดท้องหนักขึ้นมาผมต้องมานั่งเฝ้าอีกมั้ย

            "ทีหลังถ้าปวดก็มาเข้าได้เลย แต่ถ้าปวดหนัก"

            "ปวดหนัก" มันถามขัดแล้วทำหน้าสงสัย

            "ปวดขี้อ่ะ"

            "ขี้"

            ผมว่าล่อนจ้อนแม่งกวนตีนละ พูดแล้วชี้มาที่ผมแบบนี้ ผมรู้นะว่ามันออกเสียงชื่อผมได้ชัดแล้วน่ะ

            "เราชื่ออะไรให้พูดใหม่"

            "ลิขิต"

            "ดีมาก ต่อไปต้องเรียกลิขิต"

            คนตรงหน้ายิ้มจนหนวดแมวขึ้น ผมเลยอธิบายต่อว่าถ้าเกิดมันปวดท้องหนักขึ้นมาต้องทำยังไง สอนวิธีนั่งชักโครกกับวิธีใช้สายฉีดก้น คนฟังพยักหน้ารับถี่ๆ ไม่รู้เข้าใจหรือเปล่าแต่มันไม่ยากนักหรอกแค่เข้าห้องน้ำ

            "ถามได้มั้ย ตอนเป็นแมวทำยังไง" เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้แล้วมันก็ชวนให้สงสัยว่าปกติแล้วตอนเป็นแมวมันทำธุระส่วนตัวที่ไหน

            "กระถางต้นไม้"

            "ตามบ้านตามข้างทางอ่ะเหรอ"

            ล่อนจ้อนพยักหน้า มันทำหน้านิ่งแต่หูกลับแดงแป๊ด ทีเมื่อกี้ล่ะไม่เขิน

            "เดี๋ยวซื้อกระบะทรายมาให้ดีมั้ย"

            จากแดงแค่ที่หูตอนนี้ลามไปทั้งหน้า เห็นแล้วผมเข้าใจเลยหน้าแดงเหมือนมะเขือเทศมันเป็นยังไง เขินแล้วพยายามทำเป็นนิ่งแต่ไม่เนียน

            "เดี๋ยวซื้อมาไว้ให้แล้วกัน" ผมสรุปโดยไม่รอคำตอบ ยิ้มขำคนเขินแต่พยายามทำนิ่งแล้วเดินกลับมานั่งที่โซฟา

            นอกจากเวลายิ้มแล้ว เวลาเขินล่อนจ้อนมันก็น่ารักใช่ย่อยเหมือนกัน

            ทำธุระเสร็จสบายตัวแล้วล่อนจ้อนมันก็เมินหนังสือนิทานมานั่งดูทีวีกับผมที่เปิดทิ้งไว้อย่างนั้น ปกติผมไม่ค่อยได้ดูทีวีเท่าไรเลยไม่รู้ว่าแต่ละวันมีรายการอะไรน่าสนใจบ้าง ใช้วิธีเลื่อนหาช่องไปเรื่อยๆ เจออะไรน่าสนใจก็หยุดดู

            "เซเว่น"

            "อืม เซเว่น" ผมพยักหน้าให้คนข้างๆ ที่พูดขึ้นมาตอนโฆษณาเซเว่นอีเลฟเว่นฉายพอดี

            "อยากไป"

            "ไปเซเว่นอ่ะน่ะ"

            "ใช่" ล่อนจ้อนรีบพยักหน้ารับ แววตามุ่งมั่นที่มองมาแสดงถึงความตั้งใจอย่างแรงกล้า

            "ตั้งแต่เป็นคนมายังไม่เคยพาออกไปเดินเล่นเลยนี่นะ"

            "อยากไปเซเว่น"

            "รู้แล้ว คำนวณเวลาแป๊บ" ผมยกนิ้วขึ้นมานับชั่วโมงว่าวันนี้ล่อนจ้อนอยู่ในร่างคนมานานเท่าไรแล้ว และน่าจะเหลือเวลาอีกกี่ชั่วโมงที่จะอยู่ในร่างนี้ ตอนพาออกไปข้างนอกจะได้ไม่กังวลว่าอยู่ๆ จะกลับไปเป็นแมวแล้วโดนใครเห็นเข้า

            "ไปได้ ยังเหลือเวลา" คนอยากไปช่วยยืนยันซึ่งก็จริง วันนี้ล่อนจ้อนเพิ่งอยู่ในร่างคนได้ชั่วโมงกว่าๆ เอง

            "โอเค ไปก็ไป"

            แค่พาออกไปข้างนอกไม่กี่นาทีคงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง

            ร้านสะดวกซื้อยอดฮิตของคนไทยอยู่ห่างออกไปจากหอผมแค่ไม่กี่เมตร ผมจับมือล่อนจ้อนพาเดินไปเพื่อป้องกันเหตุฉุกเฉิน ได้ออกมาข้างนอกในร่างคนครั้งแรกหน้าตาเลยยิ้มแย้มดูมีความสุขเหมือนเด็กๆ แต่ผมสีบลอนด์ฟูๆ กลับช่วยเรียกความสนใจจากใครต่อใครได้เป็นอย่างดี ก็ได้แต่หวังว่าคงไม่บังเอิญเจอคนรู้จักให้ต้องหาเรื่องโกหกมาตอบคำถาม

            เข้ามาในร้านแล้วผมก็ปล่อยมือให้ล่อนจ้อนเดินดูของ แมวสีขาวอายุสิบขวบดูจะตื่นตาตื่นใจกับสินค้ามากมายที่วางเรียงรายอยู่จนเลือกไม่ถูก มองขนมปังแล้วเดินหนี หยิบช็อกโกแลตขึ้นมาแล้ววางไว้ที่เดิม

            "ตอนเป็นแมวไม่เคยเข้ามาเดินเหรอ" ผมถามตอนพวกเรายืนอยู่หน้าตู้น้ำ ล่อนจ้อนหันมามองด้วยสายตาเหมือนอยากจะด่าผมว่าถามอะไรไม่คิด

            "เข้าไม่ได้"

            "ทำไมจะเข้าไม่ได้ เดี๋ยวนี้เป็นประตูอัตโนมัติหมดแล้ว ไม่ต้องเปิดเอง"

            "มีหมา"

            "อ๋อ"

            เออว่ะ ผมก็ลืมคิดไป ที่หน้าร้านเมื่อกี้ก็เห็นนอนอยู่หนึ่งตัว ขืนมีแมวมาเดินป้วนเปี้ยนแถวนี้คงมีมวย

            "แล้วเคยตบกับใครมาบ้างป้ะ เวลาเจอหมาไล่ หรือตบกับแมวตัวอื่น" พูดถึงหมาแล้วผมก็สงสัย เป็นแมวมาตั้งสิบปีมันต้องมีประสบการณ์แบบนี้บ้างล่ะ

            ล่อนจ้อนไม่ตอบเป็นคำพูด มันมองหน้าผมก่อนไล่สายตาลงต่ำไปที่...แขน โอเค เข้าใจแล้ว ฝีมือใช่เล่นเลยนะเรา ผมว่าเปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า

            "อยากกินอะไรอ่ะ เดี๋ยวเลี้ยงหนึ่งอย่าง"

            "แค่อย่างเดียว"

            "ให้วันละอย่าง จะได้ลงมาเดินบ่อยๆ โอเคมั้ย"

            "ได้" ทีอย่างนี้ละยิ้มกว้างเชียว

            ล่อนจ้อนเดินย้อนกลับไปที่ตู้ไอศกรีม เลือกอยู่สักพักก็เปิดตู้หยิบไอศกรีมเยลลี่แท่งสีแดงขึ้นมา มองมันแล้วก็ยิ้ม ก่อนยื่นมาให้ผม

            "ชอบกินอันนี้เหรอ"

            "อืม ตอนเด็กๆ"

            ผมไม่ได้รับไอศกรีมที่ล่อนจ้อนยื่นให้ แต่พอมองมันแล้วกลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก เหมือนอยู่ๆ ก็นึกเรื่องที่ไม่เคยนึกถึงออก ตอนเด็กๆ ผมก็ชอบกินไอ้นี่นะ แล้วก็เหมือนจะมีเพื่อนสักคนที่ชอบกินเหมือนกัน คนที่อยู่ด้วยกันตอนเด็กๆ ใครสักคนที่ไม่ใช่ไอ้กาล

            "ขิต"

            "หืม เมื่อกี้เรียกชัดแล้วหนิ"

            "จ่ายเงิน" ล่อนจ้อนยิ้มพร้อมกับยัดไอศกรีมใส่มือผม

            "โอเคๆ"

            "ขิต ไม่ซื้อเหรอ"

            "ไม่อ่ะ เดี๋ยวรอกินพร้อมไอ้กาล"

            ผมเอาไอศกรีมเยลลี่ไปจ่ายเงินให้แล้วยื่นให้ล่อนจ้อนจัดการต่อเอง เดินออกมาหน้าร้านมันก็พยายามแกะซองออก แกะเสร็จแล้วก็เอาไปทิ้งขยะ งับไอศกรีมเข้าไปคำแรกมันก็ทำหน้าฟินคล้ายหลายๆ ครั้งเวลาได้กินอาหารของมนุษย์ที่ไม่ได้ลิ้มรสมานาน

            "อร่อยมั้ย"

            "อร่อย"

            "กลับห้องกัน"

            ผมยื่นมือออกไปล่อนจ้อนก็วางมือลงมาแล้วจับไว้ ก่อนเราจะเดินกลับห้องด้วยกัน

            ไอศกรีมหนึ่งแท่งใช้เวลาอยู่หลายนาทีกว่าล่อนจ้อนจะกินหมด ทีวีไม่ได้เปิดไว้หลังจากกลับมา ผมนั่งเล่นมือถือระหว่างรออีกคนกิน พอกินเสร็จมันก็เดินเอาไม้ไอศกรีมไปทิ้งแล้วกลับมานั่งจ้องผมเล่นมือถือแทน

            "โทรศัพท์มือถือ รู้จักมั้ย"

            "รู้จัก"

            "ใช้เป็นมั้ย"

            "ไม่เป็น ไม่เคยใช้"

            "สิบปีก่อนมันยังไม่มีสมาร์ตโฟนนี่เนอะ ตอนอายุสิบขวบก็ยังไม่น่ามีมือถือใช้เหมือนกันใช่มั้ย"

            ล่อนจ้อนพยักหน้า ตอนสิบขวบผมก็ยังไม่มีมือถือใช้เหมือนกัน

            "ยังไม่ต้องไปสนใจมันหรอกมือถือน่ะ กลับมาเป็นคนให้ได้ก่อนเดี๋ยวก็ได้ใช้เอง"

            "ตอนนี้ก็เป็นคน"

            "หมายถึงกลับมาเป็นคนตลอดไปไง"

            "แล้วเมื่อไร"

            "ไม่รู้ แต่เราต้องช่วยกัน ต้องพูดให้คล่องเร็วๆ นึกอะไรได้ก็ต้องรีบบอก เข้าใจมั้ย"

            "รู้แล้ว"

            ผมล่ะอยากยื่นมือไปบีบแก้มตอนล่อนจ้อนมันตอบรับ อะไรทำให้คนคนหนึ่งดูน่ารักน่าชังได้ขนาดนี้วะ ทั้งสีหน้าและการพูดการจา ดูไร้เดียงสาจนผมอยากจะปกป้องมันจากภยันตรายทั้งปวง ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลยนะ

            "เออล่อนจ้อน เสาร์อาทิตย์นี้ไม่อยู่ห้องนะ จะกลับบ้านไปหาอะไรสักหน่อยเผื่อจะนึกอะไรออกบ้าง อยู่คนเดียวได้ใช่มั้ย" เสาร์อาทิตย์ที่ว่าก็คือวันพรุ่งนี้แล้ว

            "อยู่ได้"

            "คงไม่ได้เปิดห้องไว้ให้นะไอ้กาลก็กลับด้วย สองวันนี้ก็เป็นแมวไปก่อน"

            ล่อนจ้อนพยักหน้ารับ เหมือนจะเข้าใจแต่สีหน้ากับแววตามันเศร้าเสียจนผมไม่อยากจะไปไหนเลย

            "แค่สองวันเอง ไม่ดิ แค่วันครึ่ง เดี๋ยวสายๆ วันอาทิตย์ก็กลับ" แล้วผมก็ต้องรีบปลอบเพราะกลัวแมวน้อยใจ

            "รอนะ" เป็นสองคำที่มีอิทธิพลกับใจของผมอย่างไม่น่าเชื่อ ล่อนจ้อนยิ้มบางๆ ให้ จนสุดท้ายอดไม่ไหวต้องยื่นมือไปลูบผมฟูๆ ของมัน

            คนตรงหน้าผมหลับตาพริ้ม ทำตัวเป็นแมวทั้งที่ยังอยู่ในร่างคน ลองคิดเล่นๆ ว่าถ้าเกิดมันเอาตัวเข้ามาสีผมขึ้นมาจะเป็นยังไง ที่แน่ๆ ผมไม่มีทางผลักออก อาจจะทำตัวแข็งเป็นหินให้มันสีได้ตามสบาย หรือไม่ก็ทำเนียนลูบต่อไปเรื่อยๆ จากหัวลงไปตามสันหลังไปจนถึงหาง แต่คนมันไม่มีหางนี่หว่า งั้นก็คงหยุดแค่ก้น

            แมวที่ผมลูบหัวให้กำลังเคลิ้มได้ที่เสียงแจ้งเตือนไลน์ก็ดังขัดจังหวะจนล่อนจ้อนมันสะดุ้งแล้วผละออกมา ผมชะเง้อไปมองเห็นว่าเป็นคนที่ไม่อยากตอบเลยเอื้อมไปปิดเสียงไว้แล้วปล่อยมันสั่นเป็นระยะตอนมีข้อความเข้า

            "โทรศัพท์" สั่นถี่จนล่อนจ้อนมันถึงกับชี้บอกเลยทีเดียว

            "ไม่เป็นไรไม่ได้สำคัญ มาคุยเรื่องเราดีกว่า เริ่มพูดคล่องแล้วนี่ มาเล่นถามตอบกัน"

            ล่อนจ้อนพยักหน้าตกลง ใจจริงผมอยากให้มันเล่าทุกอย่างที่รู้ออกมาเลย แต่ความสามารถในการสื่อสารแค่ระดับนี้ยังไม่แข็งแรงพอ การตั้งคำถามให้แคบลงแล้วให้มันตอบเป็นประโยคสั้นๆ น่าจะดีกว่า ค่อยๆ ลงลึกไปเรื่อยๆ เดี๋ยวคำตอบมันก็ออกมาเอง ไม่ต้องรีบร้อน

            "จำวันแรกที่กลายเป็นแมวได้มั้ย"

            "จำได้"

            "รู้ใช่มั้ยว่าใครเป็นคนทำให้กลายเป็นแมว"

            "รู้"

            "ใครเหรอ"

            "ผู้ชาย"

            "เด็กหรือผู้ใหญ่"

            "เด็ก อายุเท่ากัน"

            "พูดต่อเลย ค่อยๆ อธิบาย"

            "เราแกล้งแมว เด็กคนนั้นพูดว่า ‘ลองเป็นแมวดู จะได้รู้ว่า มันรู้สึกยังไง" ล่อนจ้อนค่อยๆ พูดทีละประโยค ถ้าเป็นอย่างที่ว่าจริงก็เหมือนกับเด็กคนนั้นมีเวทมนต์เลยไม่ใช่หรือไง

            "โดนเด็กคนนั้นสั่งให้เป็นแมวแล้วก็กลายเป็นแมวจริงๆ อ่ะนะ"

            "อืม วันต่อมา ตอนตื่น ก็กลายเป็นแมว"

            ผมล่ะโนคอมเมนต์ มันโคตรแฟนตาซี แม้มันจะแฟนตาซีมากๆ เหมือนกันที่ผมทำให้มันกลับมาเป็นคนได้ก็เถอะ

            "แล้วพ่อแม่ล่ะ เค้าไม่สงสัย ไม่ตามหาเหรอว่าลูกหายไปไหน"

            "จำไม่ได้"

            "ยังไง"

            "จำไม่ได้ว่ามีลูก"

            โอ้โหโคตรเจ็บ ตื่นมาแล้วรู้ว่าตัวเองกลายเป็นแมวก็บอบช้ำพอแล้ว พ่อแม่ยังจำไม่ได้ว่ามีเราเป็นลูกอีก ไอ้เวทมนต์บ้านี่มันชักจะบ้าบอเกินไปแล้ว

            "แล้วตอนนั้นทำยังไงต่อ"

            "ออกมาจากบ้าน เดินในสวน"

            "ในสวนเหรอ ที่บ้านมีสวนเหรอ" พอได้ยินคำว่าสวนปากก็ถามขึ้นมาเอง มันทำให้ผมนึกถึงสวนของปู่ ที่นั่นก็เคยมีแมวเหมือนกัน แต่ไม่ใช่แมวเปอร์เซียสีขาวแบบล่อนจ้อน

            "ใช่ สวน มีต้นไม้เยอะ"

            "ตอนเด็กๆ อยู่ต่างจังหวัดเหรอ" ถ้าพูดถึงที่ที่ต้นไม้เยอะๆ ก็ต้องนึกถึงต่างจังหวัด เพราะมีทั้งสวนทั้งป่า

            "น่าจะใช่"

            น่าจะอีกแล้ว แต่ก็ช่างเถอะ ความทรงจำย่อมหายไปได้ตามเวลาที่เลยผ่าน

            "เล่าต่อเลย เดินในสวน แล้วไปไหนต่อ" 

            "โดนหมาไล่ แล้วก็ หนีออกมา เร่ร่อน สองสามวัน มีคนมาเจอ เก็บไปเลี้ยง"

            ผมปล่อยให้ล่อนจ้อนค่อยๆ พูดทีละประโยคจนเล่าจบ ฟังแล้วก็อยากจะร้องไห้ ทำไมชีวิตคนคนหนึ่งมันถึงได้ลำบากลำบนขนาดนี้ ในฐานะผู้ที่ต้องเป็นคนคลายเวทมนต์ ผมขอสัญญาเลย ถ้าได้เจอได้คนที่ทำให้ล่อนจ้อนกลายเป็นแมวเมื่อไร จะเหยียบตีนมันแรงๆ หนึ่งที

            "จำเด็กคนนั้นได้มั้ย ชื่อหรือหน้าตา"

            "จำชื่อไม่ได้ หน้าตาลางๆ" ตอบแล้วล่อนจ้อนก็จ้องหน้าผม คิ้วขมวดพลางเอียงคอไปมา อย่าบอกนะว่ามันสงสัยอะไรในตัวผม

            "คงไม่คิดว่าเราเป็นเด็กคนนั้นใช่มั้ย" ถึงจะต้องมีสักเรื่องที่เราเกี่ยวข้องกันก็เถอะ แต่มันจะเป็นไปได้เหรอ อิงตามที่ล่อนจ้อนเล่ามาผมไม่คุ้ยเลยว่าเคยเห็นใครแกล้งแมวแล้วโกรธจนต้องพูดแบบนั้น

            "ไม่รู้ตอนโต จะหน้าตา ยังไง" แล้วสุดท้ายคำตอบก็ไม่ได้ช่วยให้พวกเราหาตัวตนของเด็กคนนั้นเจอ

            "เราก็ไม่คุ้นหน้าล่อนจ้อนเหมือนกัน" ไม่คุ้นหน้าว่าเป็นเพื่อนสมัยเด็ก แต่คุ้นที่หน้าดันคล้ายไอ้ดื้อของไอ้กาลมากกว่า ซึ่งเรื่องของสองคนนั้นไม่น่าจะมาเกี่ยวข้องกับประเด็นนี้ได้ เพราะชีวิตไอ้กาลมันตัดขาดจากแมวยิ่งกว่าผมอีก

            ล่อนจ้อนไม่เถียงอะไรเพราะเราต่างไม่คุ้นหน้ากันและกัน แม้จะคิดว่าผ่านมาเป็นสิบปีแล้วแต่คนเรามันต้องมีเค้าเดิมหลงเหลืออยู่บ้าง ถ้าไม่ได้ไปพึ่งมีดหมอจนดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ส่วนตัวผมสิ่งที่ทำเพื่อเสริมความหล่อมีแค่อย่างเดียวคือจัดฟัน แล้วมันก็ไม่ได้ทำให้หน้าเปลี่ยนอะไรมากมายด้วย ส่วนฟันล่อนจ้อนก็ดูสวยดีอยู่แล้ว อยู่ในร่างแมวมาตั้งสิบปีมันคงไม่เคยทำศัลยกรรมหรือจัดฟันมาก่อน

            สิ่งเดียวที่ผมติดใจจากเรื่องเล่าเมื่อครู่คือสวน ถ้าต้องหาเรื่องที่เชื่อมโยงระหว่างเราสองคนละก็ บ้านสวนดูเป็นไปได้มากที่สุด ผมไปเล่นที่นั่นบ่อย ลูกคนงานที่เป็นเพื่อนเล่นกันตอนนั้นก็หลายคน หนึ่งในนั้นอาจจะมีล่อนจ้อนรวมอยู่ด้วยก็ได้ แต่เพราะเราไม่สนิทกันเลยจำกันไม่ได้ล่ะมั้ง สิ่งที่ผมคิดออกก็มีแค่นี้

            คุยเรื่องเครียดๆ แล้วก็ชักปวดหัว ผมชวนล่อนจ้อนดูหนังเรื่องจูราสสิคเวิลด์ภาคหนึ่ง เปิดโน้ตบุ๊กต่อกับทีวีนั่งดูที่โซฟา ฉากแอคชั่นสุดมัน กับซีจีอลังการงานสร้าง เสกไดโนเสาร์ให้ออกมามีชีวิตจนคนข้างๆ ผมนั่งอ้าปากค้างตะลึงงันกันไปเลย แม้จะเคยมีหนังเรื่องจูราสสิคปาร์คออกมาเมื่อยี่สิบปีก่อนแล้วก็เถอะ

            "ไม่เคยดูหนังแบบนี้เหรอ"

            "ไม่เคย"

            "จูราสสิคปาร์คอ่ะ"

            "ไม่เคย"

            "แล้วรู้จักมั้ย"

            "เคยได้ยิน"

            "เคยเข้าโรงหนังมั้ย"

            "ไม่เคย"

            ผมพอจะเข้าใจแล้ว ใช่ว่าคนเราจะชอบดูหนังหรือเคยดูหนังแนวนี้กันทุกคน

            "ตอนเด็กๆ ไม่ชอบดูหนังเหรอ"

            "ชอบ"

            "ดูแนวไหน"

            "เทพสามฤดู"

            "ฮะ"

            "อุทัยเทวี"

            "อ๋อ"

            ทีชื่อกับหน้าตาคนทำให้กลายเป็นแมวล่ะจำไม่ได้ แต่ชื่อละครจักรๆ วงศ์ๆ ที่ดูสมัยเด็กล่ะจำแม่น

            "แล้วชอบเรื่องแนวนี้มั้ย"

            "ชอบ"

            "เอาไว้จะเปิดเรื่องอื่นให้ดู"

            คนฟังพยักหน้ารับก่อนหันกลับไปสนใจจอทีวีที่ถึงฉากไดโนเสาร์โผล่มาพอดี วันนี้ก็เท่ากับว่าผมให้สัญญากับล่อนจ้อนไว้สองเรื่องแล้ว ทั้งเรื่องที่จะพาไปซื้อของในเซเว่น แล้วก็เรื่องดูหนัง

            หนังสนุกก็จริงแต่คนดูไม่สามารถอยู่จนจบเรื่องได้ ล่อนจ้อนกลับไปเป็นแมวหลังจากเลยครึ่งเรื่องมาได้นิดหน่อย มันร้องประท้วงยกใหญ่เพราะทำอะไรไม่ได้ แต่อยู่ถ่วงเวลาแค่แป๊บเดียวมันก็กระโดดลงจากโซฟาเดินเข้าห้องไปนั่งรออยู่หน้าประตู อาจกลัวว่าอาการแพ้ผมจะกำเริบมันเลยรีบออก พอเปิดประตูให้มันก็กระโดดหายไปจากระเบียง

            ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว ใกล้ได้เวลาเหนือกาลกลับมาตามที่มันบอกไว้พอดี ผมปิดหนังยกโน้ตบุ๊กกลับไปไว้ในห้อง เอาไว้วันหลังค่อยมาดูด้วยกันต่อ

            วางโน้ตบุ๊กแล้วผมก็เปิดสมุดโน้ตที่ใช้จดเรื่องเกี่ยวกับล่อนจ้อนเอาไว้

            วันนี้เป็นคนได้หกชั่วโมง

 

            ผมกำลังเตรียมตัวออกจากห้องช่วงสายของวันเสาร์ เจ้าแมวสีขาวขนฟูก็โผล่มานั่งมองหน้าประตูระเบียง ผมไม่ได้นัด แล้วก็ไม่อยากให้มันมาหาด้วยเนื่องด้วยเหตุผลอะไรหลายๆ อย่างที่อาจจะขัดขวางการเดินทางของผมได้ ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่แมวขาวกลายร่างเป็นล่อนจ้อน ซึ่งก็คือตอนนี้นี่เอง

            ผมรีบเปิดประตูให้ล่อนจ้อนเข้ามาข้างใน ผ้าห่มอยู่ใกล้มือที่สุดเลยคว้ามาคลุมตัวให้มันก่อน

            "ไปด้วย" ล่อนจ้อนเอ่ยขอด้วยสายตาเว้าวอน ทั้งที่เมื่อวานคุยกันรู้เรื่องแล้วทำไมวันนี้ถึงกลายเป็นแมวดื้อไปได้

            "ไปไม่ได้" ผมกลับกับไอ้กาล แน่นอนว่าต้องเกิดปัญหาแน่ถ้าล่อนจ้อนไม่ได้อยู่ในร่างคน เพราะยังควบคุมไม่ได้ ยังไม่รู้กฎการกลายร่างที่แน่ชัดเลยไม่อยากพาออกไปไกลจากห้องเท่าไร ใจผมก็อยากพามันไปหาพ่ออยู่หรอก เอาปัญหาที่ผมเจอไปให้แกดู อยากรู้ว่าพ่อจะตื่นตาตื่นใจกับเรื่องราวแฟนตาซีของผมขนาดไหน

            "ถ้างั้น ขออยู่ในห้อง" อย่างแรกไม่ได้ก็เปลี่ยนคำขอ แต่ขอโทษด้วยเพราะข้อนี้ผมก็ให้ไม่ได้เหมือนกัน

            "ไม่ได้หรอก"

            "ทำไม"

            "ต้องอยู่คนเดียวในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ เป็นวันเลยนะ มีข้าวมีน้ำให้ก็จริง แต่ถ้าเกิดล่อนจ้อนอยากออกไปเดินเล่นล่ะ จะไม่เบื่อเหรอ" แมวเป็นสัตว์ขี้เซานอนทีวันละหลายชั่วโมง แต่การอยู่ในห้องตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงผมว่ามันไม่ดีหรอก อีกอย่างผมยังไม่ไว้ใจให้ล่อนจ้อนอยู่ในห้องคนเดียว เกิดทำของพังหรือไปเล่นอะไรจนมีปัญหาขึ้นมาจะแย่เอา

            คนโดนขัดใจทำหน้าบึ้ง ยืนกอดผ้าห่มแน่นไม่ยอมปล่อย ปัญหาตอนนี้คือล่อนจ้อนจะอยู่ร่างคนไปอีกนานเท่าไร เพราะผมปล่อยไม่อยากปล่อยให้มันนั่งอยู่ที่ระเบียงด้วยร่างนี้

            "แล้วแบบนี้จะอยู่ร่างคนนานมั้ยเนี่ย"

            "ถ้าลิขิตไป เดี๋ยวก็เป็นแมว"

            "แน่ใจนะ"

            "ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน" นั่นไง โดนตัดพ้อไปอีก

            "เอาน่า พรุ่งนี้ก็กลับแล้ว เดี๋ยวซื้อขนมมาฝาก ไม่งอนนะ"

            "ไม่ได้งอน"

            "ก็งอนอยู่เนี่ย" หน้ายู่ขนาดนี้ไม่เรียกว่างอนแล้วจะให้เรียกว่าอะไร

            "อืม"

            "แล้วจะรีบกลับมาหา"

            "พาไปเซเว่น"

            "ครับ"

            "ดูหนังด้วย"

            "รับทราบครับ"

            พอได้ทวงสัญญาล่อนจ้อนก็ยิ้มออก โทษฐานที่ต้องทิ้งให้อยู่คนเดียว กลับมาวันพรุ่งนี้ผมจะตามใจแบบพิเศษคูณสิบไปเลย

            ผมหาชุดมาให้ล่อนจ้อนใส่ก่อนส่งมันที่ระเบียง เอาเก้าอี้กับหนังสือการ์ตูนให้อ่านฆ่าเวลารอกลับไปเป็นแมวที่เจ้าตัวบอกว่าไม่น่าจะใช้เวลานานนัก บอกลาอีกครั้ง ลูบหัวมันอีกทีก่อนเดินกลับเข้าห้องปิดประตูล็อกกลอน ปิดม่านแล้วออกจากห้องนอน

            พอต้องทิ้งล่อนจ้อนในร่างคนไว้แบบนี้มันรู้สึกใจหายยังไงก็ไม่รู้

 
tbc.

 
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 8 ___ [18/05/62]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-05-2019 23:29:43
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 8 ___ [18/05/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 18-05-2019 23:36:08
 :pig4: :pig4: :pig4:

ล่อนจ้อน เจ้าดื้อ เพื่อนที่ชอบกินไอศกรีมเยลลี่ ก็คือคนเดียวกัน
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 8 ___ [18/05/62]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 19-05-2019 01:45:24
เจ้าเด็กคนนั้นก็คือล่อนจ้อน
แต่ตอนกลายเป็นแมวพ่อแม่ก็จำไม่ได้ ลิขิตก็คงจำไม่ได้ด้วยมั้ย
 :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 8 ___ [18/05/62]
เริ่มหัวข้อโดย: s_sisters19 ที่ 19-05-2019 08:13:26
เทอสาปน้องใช่มั้ยลิขิต เด็กดื้อที่บ้านสวนคนนั้นแน่ๆ ล่ะกว่าจะได้เข้าเมือง กว่าจะเจอลิขิต แมวสู้ชีวิตมากเลยลูก
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 8 ___ [18/05/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 19-05-2019 09:25:06
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 8 ___ [18/05/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ppseiei ที่ 19-05-2019 19:51:54
น้องงงงง น่ารักจังเลย
ถ้าพ่อแม่จำน้องไม่ได้ แสดงว่าลิขิตก็จำน้องไม่ได้ด้วยใช่มั้ยยย
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 9 ___ [01/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 01-06-2019 19:43:55
ลิขิตครั้งที่ 9


            บ้านผมอยู่นนทบุรี เดินทางแค่ชั่วโมงเดียวก็ถึง แต่ด้วยการคมนาคมของกรุงเทพฯ มันช่างโหดร้าย การเดินทางจากบ้านมามหาวิทยาลัยในวันธรรมดาต้องบวกเวลาเพิ่มไปอีกเท่าตัว เพราะฉะนั้นอยู่หอย่อมดีกว่า

            ไอ้กาลแวะมาส่งผมที่บ้านก่อนออกไปหาไอ้ดื้อซึ่งเป็นภารกิจประจำวันหยุดของมัน กว่าจะกลับบ้านอีกทีก็ตะวันตกดินนู่นเลย

            พ่อผมทำงานวันเสาร์ ส่วนแม่หลังจากตื่นมาซักผ้าทำกับข้าวตอนเช้าเจอหน้าผมแค่ไม่กี่นาทีก็หนีไปนอนต่อ ที่บ้านห้องนอนผมกับไอ้กาลแยกกัน แต่เพราะโรคฝันร้ายของมันถ้ากลับบ้านด้วยกันเมื่อไรมันก็ชอบหอบหมอนมานอนกับผมเหมือนเดิม เวลาโดนพ่อกับแม่ทักมันจะตอบแค่ว่าไม่อยากนอนคนเดียว

            ผมเอากระเป๋าไปเก็บบนห้องก่อนลงมากินข้าวเที่ยงฝีมือแม่คนเดียวอย่างเหงาหงอย กินเสร็จก็ไปค้นอัลบั้มรูปเก่าๆ ในตู้มาเปิดดูเผื่อจะเจอเบาะแสอะไรที่มีประโยชน์ ขนทุกอัลบั้มออกมากองจนเต็มพื้นที่ว่างหน้าตู้ เปิดดูทีละรูปใช้เวลานานเป็นชั่วโมงกว่าจะดูจนครบ

            จากอัลบั้มนับสิบผมดึงรูปที่ถ่ายตอนอยู่บ้านสวนออกมาสองใบ เป็นรูปถ่ายเราสองพี่น้องกับเพื่อนที่บ้านสวนสมัยเรียนประถมหลายคน บางคนผมก็ลืมไปแล้วว่าชื่ออะไร เพราะหลังจากปู่เสียตอนผมอยู่ ม.ต้นก็ไม่ได้กลับไปอยู่ทุกปิดเทอมเหมือนทุกที แม้บ้านสวนของปู่จะไม่ได้อยู่ไกลจากบ้านหลังนี้เท่าไรก็เถอะ

            ได้กลับบ้านทั้งทีก็ใช่ว่าจะมีอะไรทำ ผมนอนเกลือกกลิ้งเล่นมือถือบนโซฟา รอเวลาแม่ตื่นหรือไม่ก็รอพ่อกลับบ้านจะได้ถามเรื่องคนในรูปถ่ายว่ามีใครบ้าง แต่ตอนนี้คิดถึงล่อนจ้อนชะมัด ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นไง จะกลับร่างคนหรือยัง จะกินข้าวบ้างไหม หรือกำลังนอนกลางวันอยู่ ถ้าโทรหาแล้วคุยกันได้ก็คงดี

 

            ผมหลับไปตอนไหนไม่รู้ตื่นมาอีกทีเกือบห้าโมงเย็นแม่ก็หนีไปตลาดโดยไม่บอก ครึ่งชั่วโมงต่อมาพ่อก็กลับมาถึง ส่วนไอ้กาลนั้นยังไร้วี่แวว หลังจากพ่อเก็บของเสร็จมานั่งด้วยกันที่โซฟา

            "กาลไม่ได้มาด้วยเหรอ ไหนบอกจะกลับมาด้วยกัน"

            "มันไปหาเพื่อน เดี๋ยวค่ำๆ คงกลับ"

            "กลับมาก็เหมือนไม่ได้กลับเลยไอ้ลูกคนนี้"

            "ด่ามันอีกพ่อด่ามัน"

            พ่อมองต่ำใส่ผม สีหน้าเอือมระอากับลูกชายตัวเองที่บางทีก็ยังชอบตีกันเหมือนเด็กๆ

            ความลับอย่างหนึ่งของไอ้กาลที่พ่อกับแม่ยังไม่รู้คือเรื่องเกี่ยวกับไอ้ดื้อ รวมถึงโรคฝันร้ายของมันด้วย กาลมันไม่อยากบอกไม่อยากให้พวกท่านเป็นห่วงแล้วก็คิดมาก แม้มันไม่ใช่สาเหตุเดียวของเรื่องราวเลวร้ายนั่นก็เถอะ แต่มันก็ยังเฝ้าโทษตัวเองจนถึงทุกวันนี้ หมั่นไปหาไปดูแลหวังบรรเทาความรู้สึกผิด เป็นการกระทำที่ยังทำให้มันจมอยู่กับความเจ็บปวดซ้ำๆ เมื่อมันตัดสินใจแล้วว่าอยากทำแบบนี้  ผมเองก็ทำได้แค่ช่วยดูแลมันเท่านั้น

            เป็นเรื่องราวที่นึกถึงทีไรก็ชวนให้รู้สึกเศร้าทุกที

            "แล้วกลับบ้านมานี่อยากให้พ่อช่วยอะไร"

            "รู้ทันอีก"

            พ่อไหวไหล่ ปกติผมกลับบ้านไม่บ่อยหรอก ช่วงเปิดเทอมเดือนนึงจะกลับสักสองครั้ง เพราะบางอาทิตย์ก็มีนัดออกไปติวไปทำงาน ถ้าเดินทางจากบ้านมันไม่สะดวก กลับมาครั้งนี้ผมไม่ได้บอกเหตุผล แต่ยังไงพ่อก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าลูกชายคนนี้กำลังเผชิญปัญหาที่แปลกประหลาดที่สุดในชีวิต

            "ไหน มีอะไรให้พ่อช่วย"

            ผมหยิบรูปสองใบที่หยิบออกมาจากอัลบั้มให้พ่อดู

            "ตั้งแต่เด็กๆ ตอนที่ไปหาปู่ใช่มั้ย ไปเอามาจากไหน"

            "ก็ในอัลบั้มนั่นแหละครับ พ่อจำได้มั้ยว่าใครชื่ออะไรบ้าง"

            "ขอนึกก่อน"

            พ่อเอนหลังพิงพนักโซฟา ชูรูปขึ้นตรงหน้าแล้วมองอย่างพินิจพิจารณา เด็กในรูปมีอยู่เจ็ดคน ตัดผมกับไอ้กาลออกไปก็เหลือห้า ตอนที่ค้นเจอรูปผมลองไล่ชื่อดูแล้ว แต่ไม่แน่ใจว่าถูกมั้ย บางคนก็จำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ

            "คนนี้ชื่อแม็กลูกสายใจ คนนี้น้ำอ้อยกับน้ำผึ้งลูกยายฝน คนนี้ชื่อ..."

            "ไอ้โปเต้ อริไอ้กาลมัน" ไอ้นี่ผมจำมันได้แม่นเพราะชอบทะเลาะกับไอ้กาล เคยแย่งขนมจนเกือบต่อยกันมาแล้วด้วย

            "แต่คนนี้พ่อนึกไม่ออก" พ่อชี้ไปที่คนสุดท้ายซึ่งยืนอยู่ริมสุด เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ตัวผอมจนเหมือนจะปลิวได้ถ้าลมพัดแรงๆ เป็นคนเดียวที่ผมไม่คุ้นหน้าเลย

            "แต่พ่อเคยเห็นใช่มั้ย"

            "พ่อว่าเคยนะ แต่จำชื่อไม่ได้"

            "แล้วลูกใครล่ะพ่อ"

            "อันนี้พ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน"

            ผมว่าไอ้นี่แหละที่น่าสงสัยเพราะผมกับพ่อจำมันไม่ได้สักคน หน้าตาบึ้งตึงดูไม่เอ็นจอยกับการถ่ายรูปอย่างกับโดนบังคับมา ผมลองเพ่งมองดูหลายรอบแล้วเผื่อว่ามันจะเป็นล่อนจ้อน แต่ดูไม่ออก ถ้าแม่กับไอ้กาลกลับมาเมื่อไรผมจะลองถามดูว่ารู้จักไอ้เด็กนี่กันมั้ย

            "ลูกสงสัยว่าเด็กคนนี้เป็นใครล่ะ"

            "ไม่รู้ดิ ผมก็นึกไม่ออก อาจจะเป็นเรื่องประหลาดที่สุดในชีวิตผมมั้ง"

            "แล้วเป็นยังไงบ้าง เริ่มดีขึ้นบ้างหรือยัง"

            "ก็ดีมั้งครับ แต่ก็ยังไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงอยู่ดี"

            "มันต้องจบลงด้วยดี เชื่อพ่อสิ" พ่อยิ้มและไม่ถามอะไรต่อ ที่ผ่านมาพ่อไม่เคยถามรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องที่ผมเจอเลยสักนิด ผมเองก็ไม่ได้เล่าหลังจากที่พ่อบอกว่าไม่สามารถบอกอะไรผมได้ ไม่รู้ว่าพ่อรู้เรื่องอยู่แล้วหรืออยากให้ผมแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเองกันแน่

            "พ่อไม่ถามผมหน่อยเหรอว่าเรื่องที่ว่ามันคืออะไร" สงสัยจนอดไม่ไหว พ่อยังคงยิ้มก่อนจะตอบในสิ่งที่ทำให้ผมสงสัยมากกว่าเดิม

            "ลูกชื่ออะไรนะ"

            "นี่พ่อจำชื่อลูกตัวเองไม่ได้เหรอ"

            "ก็ตามนั้น พ่อคิดว่ามันคงไม่ไกลจากเรื่องที่พ่อคิดไว้นักหรอก"

            "อะไรอ่ะพ่อ ไม่เข้าใจเลย ไม่เข้าใจสักนิด" ยิ่งฟังก็งงยิ่ง อยู่ๆ ก็ถามชื่อผม แล้วก็บอกว่าตามนั้น มันหมายความว่ายังไง

            "ลองคิดให้มากกว่านี้ แล้วลูกจะเข้าใจ เหมือนแม่จะกลับมาแล้วนะ"

            พ่อลุกจากโซฟาเดินไปช่วยแม่หิ้วของ ปล่อยให้ผมคิดถึงสิ่งที่พ่อทิ้งไว้ให้จนเหมือนหัวจะระเบิด

            ลองคิดให้มากกว่านี้เหรอ

            ชื่อผม...เหนือลิขิต

            ผมว่าผมพอจะนึกอะไรออกแล้ว

 

            กว่าไอ้กาลจะกลับบ้านก็เกือบทุ่ม โดนแม่บ่นไปหนึ่งชุดเล็กๆ กินข้าวเสร็จก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนตามอัธยาศัย จนใกล้ได้เวลานอนนั่นแหละมันถึงได้โผล่หัวมาหาผมพร้อมกับหมอนและผ้าห่มในมือ

            "ไงมึง ได้เรื่องอะไรมั้ย" มันถามแล้วทิ้งตัวลงบนเตียง สภาพพร้อมนอน

            "คิดว่าได้ รอกลับไปเจอล่อนจ้อนแล้วกูจะถามให้แน่ใจ"

            "รู้อะไรเพิ่มบ้างวะ พ่อบอกอะไรมึง"

            "พ่อถามชื่อกู แล้วก็บอกให้คิดมากกว่านี้"

            "ทำไมวะ"

            "ตอนแรกก็สงสัย แต่ไหนมึงลองพูดชื่อกูดิ๊"

            "ลิขิต"

            "ชื่อจริง"

            "เหนือลิขิต"

            "นั่นแหละ"

            ไอ้กาลทำหน้าคิดหนักสมกับเป็นหัวสมองของครอบครัว คนอย่างมันใช้เวลาไม่นานนักหรอกเดี๋ยวก็คิดอะไรออก

            "แสดงว่า" มันชี้มาที่ผม ด้วยความเป็นแฝดกันเลยทำให้ผมเข้าใจโดยที่มันยังไม่พูดอะไร

            "ตามนั้น แต่ก็อย่างที่กูบอกว่าอยากรอยืนยันกับล่อนจ้อนอีกที แม่งโคตรตลกเลยที่อยู่ๆ ก็จำอะไรไม่ได้"

            "เพราะมันคือเรื่องราวที่แปลกประหลาดที่สุดในชีวิตมึงไง"

            "ที่ลิขิตชีวิตคนได้เนี่ยนะ แล้วมึงดูสิ่งที่กูทำ"

            "มันก็ยังไม่แน่มั้ยวะ อาจจะไม่ใช่อย่างที่มึงคิด"

            "แต่มึงก็คิดใช่มั้ย"

            "ก็...เออ"

            "ตอนนี้กูมั่นใจแล้วเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ อีกสิบเปอร์เซ็นต์เหลือไว้กันหน้าแตก"

            "มันก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้นมั้ยวะ"

            "แย่ดิ แย่มากๆ ชีวิตคนเลยนะมึง"

            "เออน่าอย่าเพิ่งคิดมาก" ปลอบผมแต่หน้ามันเครียดยิ่งกว่าอีก ถ้าเรื่องราวที่เกิดขึ้นอิงกับชื่อพวกเราจริง เท่านี้ก็พอเดาได้แล้วว่าเรื่องของไอ้กาลจะเป็นยังไง จบเรื่องผมเมื่อไรต้องมาลุ้นกัน

            "ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ กูห่วงมันวะ"

            "ล่อนจ้อนอ่ะนะ"

            "เออ ต้องนอนคนเดียวข้างนอก"

            "ปกติมันก็นอนข้างนอกไม่ใช่เหรอ"

            "ตอนนี้มันไม่ปกติแล้วไง"

            "มึงแค่อยากรับผิดชอบดูแล"

            "ก็ใช่แหละ หรือต่อจากนี้กูควรให้มันเข้ามานอนด้วยดีวะ"

            "มาเป็นคนดีอะไรตอนนี้ แล้วกูอ่ะ มึงจะทิ้งกูเหรอ อีกอย่างอย่าลืมว่ามึงแพ้แมว"

            "แล้วมึงก็เสือกกลัวแมวขึ้นสมองอีก สิ้นหวังฉิบหาย"

            เป็นปัญหาใหญ่ที่คิดไม่ตก ผมควรบริหารจัดการยังไงให้เราสามคนอยู่ร่วมกันได้ดีวะ ถ้าล่อนจ้อนเป็นคนได้สักสิบชั่วโมงขึ้นไปอะไรๆ คงง่ายกว่านี้ ซึ่งคงอีกไม่นานเมื่อนับตามสถิติที่ผ่านมาแล้ว หรือถ้าไอ้กาลลดระดับความกลัวแมวลงมาบ้าง แต่อันนี้น่าจะยาก ไหนจะโรคฝันร้ายของมันอีก

            "ให้ล่อนจ้อนนอนห้องมึงมั้ยล่ะ" ผมเสนอ แต่ไอ้กาลรีบปฏิเสธ

            "ไม่ได้ กูยังใช้ห้องอยู่แค่ไม่ได้นอนเฉยๆ"

            "งั้นก็ให้มันนอนห้องกู เดี๋ยวกูไปนอนกับมึง"

            "ห้องมึงก็ไม่ได้ ให้แมวมาอยู่เดี๋ยวได้แพ้หนักกว่าเดิม"

            "ช่วงนี้อาการกูก็ไม่ได้แย่นะ"

            "ไม่ได้" มันยืนยันเสียงแข็ง ทำไมถึงได้ยุ่งยากแบบนี้วะ

            "งั้นนอนโซฟา"

            "โซฟาก็ไม่ได้"

            "เออช่างแม่ง กูจนปัญญาละ เดี๋ยวจะทำให้มันกลับมาเป็นคนเหมือนเดิมได้เร็วๆ จะได้อยู่ด้วยกันได้สักที"

            "เดี๋ยวมึงๆ ยังไงนะ จะอยู่ด้วยกันเหรอ"

            คำถามนี้ชวนให้ผมฉุกคิดถึงบทสรุปของเรื่องทั้งหมดหากผมแก้ปัญหานี้สำเร็จแล้ว ชีวิตเราจะเป็นยังไงต่อไป ล่อนจ้อนกับผมจะยังรู้จักกันอยู่มั้ย

            "ไม่รู้ว่ะ ก็ตอนนี้อยู่อยากให้มันมาอยู่ด้วยกัน"

            "แน่ะ คิดอะไรวะ ติดใจอะไรครับคุณพี่ชาย"

            "ติดใจส้นตีนอะไรล่ะ กูสงสาร ไม่อยากให้มันอยู่ข้างนอกคนเดียว"

            "อย่าให้รู้ว่าหลงน้องมาร์ชแมลโลว์"

            ผมส่ายหน้าใส่ มันก็ยังอุตส่าห์จำลักษณะของล่อนจ้อนที่ผมบรรยายให้ฟังได้นะ ที่ว่าเหมือนมาร์ชแมลโลว์

            "แน่ะ แอบยิ้ม"

            "อะไรของมึงอีก" ผมว่าอย่างรำคาญ ขยันหาเรื่องแซวอะไรของมันนักหนา

            "ก็กูเห็นมึงยิ้มอ่ะ อย่าบอกนะว่าคิดถึงน้องมาร์ชแมลโลว์อยู่"

            "ไอ้สัด รำคาญ" ผมไม่ปฏิเสธหรอกเพราะกำลังคิดถึงล่อนจ้อนอยู่จริงๆ นึกถึงเมื่อเช้าที่มันมาอ้อนขออยากมาด้วยอยากอยู่ในห้องแล้วก็เป็นห่วง ไม่รู้ป่านนี้จะทำอะไรอยู่

            "ทีกับพี่ณดาล่ะดองแชตเก่ง"

            "มึงโยงมาได้ไงเนี่ย เกี่ยวกันตรงไหนวะ" ผมล่ะเริ่มปวดหัวกับมัน

            "ก็ถ้ามึงมีคนที่ชอบแล้วพี่ณดาจะได้เลิกยุ่งไง"

            "เออ กูรู้"

            "ถ้าเป็นล่อนจ้อนกูก็โอเคนะ"

            "ใจเย็นมึง ให้มันกลับมาเป็นคนให้ได้ก่อน"

            "แสดงว่าคิด"

            ผมไหวไหล่ ไอ้กาลมันจะอยากนอนหรือยังผมไม่รับรู้ เดินไปปิดไฟก้าวขึ้นเตียง ดึงผ้าห่มมาคลุมถึงคอแล้วนอนหันหลังให้มัน ตัดขาดการสนทนาทุกหัวข้อ หลับตาลงแม้ใจจะยังไม่สงบเพราะห่วงใครบางคนอยู่ก็ตาม

 

           -- อ่านต่อด้านล่าง --
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 9 ___ [01/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 01-06-2019 19:44:26


            สิบเอ็ดโมงกว่าของวันอาทิตย์ไอ้กาลก็ขับรถพาผมกลับมาถึงหอ เข้าห้องได้ผมก็รีบไปดูที่ระเบียงเป็นอันดับแรก พอเห็นก้อนสีขาวนอนขดอยู่บนเบาะถึงได้ยิ้มออก เปิดประตูออกไปหา นั่งลงข้างๆ แล้วลูบหัวแมวที่กำลังหลับ

            โดนสัมผัสตัวไปแค่ไม่กี่ครั้งแมวก็ตื่น มันปรือตามองผมก่อนลุกขึ้นบิดขี้เกียจ จากนั้นก็เดินเอาตัวเข้ามาสีขาอย่างออดอ้อน ผมเลยนั่งลงแล้วอุ้มมันมานอนหงายบนตัก อยากเล่นพุง

            "เมี้ยว"

            "อย่าเพิ่งเปลี่ยนเป็นคนนะ ขอเล่นก่อน" ผมเกาคาง ขยำพุงมันเล่นอย่างมันมือ ไอ้ตัวบนตักก็นอนแผ่อาซ่ายอมให้เล่นแถมยังทำหน้าฟินอีก เห็นแล้วอยากเอาหน้าซุกพุงแต่กลัวจะโดนหามส่งโรงพยาบาลก่อน มาสก์ก็ลืมใส่ออกมา

            "ไอ้ขิต!" เสียงไอ้กาลตะโกนเรียกอยู่ตรงหน้าประตูห้อง ก่อนจะยกมือเป็นสัญลักษณ์โอเคให้มันถึงเดินออกไป

ตอนอยู่บนรถไอ้กาลมันขอบางอย่างกับผม เป็นเรื่องที่มันเคยพูดถึงมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ผมทำเป็นลืม เลยถูกมันทวง

            "ล่อนจ้อน เรามีอะไรจะขอ ไอ้กาลมันอยากเห็นนายตอนกลายร่างเป็นคนอ่ะ อนุญาตมั้ย ถ้าไม่เต็มใจไม่ต้องก็ได้"

            "เมี้ยว"

            "สรุปไม่ให้นะ"

            "เมี้ยว"

            ผมก็มั่วไปงั้นไม่รู้เรื่องหรอกว่าไอ้เสียงเมี้ยวๆ นี่หมายความยังไง ก็ไม่อยากให้ดูนี่หว่า ถึงจะคิดวิธีปกป้องผิวสุขภาพดีจากสายตามันได้ แต่ก็มีสิทธิ์พลาดไม่ใช่หรือไง

            ล่อนจ้อนพลิกตัวกระโดดลงจากตักผม มันจ้องผมแล้วร้องอีกครั้ง ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดี

            "เอาใหม่ อนุญาตเงียบ ไม่อนุญาตร้อง"

            สายตาแป๋วๆ จ้องมองมาโดยไม่มีเสียงร้อง คำตอบคืออนุญาตให้ไอ้กาลดู ทำไมวะ ผมไม่เข้าใจ ทำไมต้องอยากให้มันดู

            "แน่ใจนะ"

            "เมี้ยว"

            "ก็ได้"

            ผมไม่ขัดศรัทธาแมวแล้วก็ได้

            "เพื่อเป็นการป้องกัน เราจะเอาผ้าขนหนูห่อล่อนจ้อนไว้ ตอนกลายเป็นคนก็จับเราไว้ดีๆ ห้ามขยับให้ไอ้กาลมันเห็นอะไรต่อมิอะไรเข้าใจมั้ย"

            "เมี้ยว"

            "ดีมาก งั้นไปเตรียมตัวกัน"

            ล่อนจ้อนเดินตามผมเข้ามาในห้อง ใช้ผ้าขนหนูผืนใหญ่ห่อตัวไว้จนมิดชิดแล้วอุ้มมันออกไปหาไอ้กาลข้างนอก คนกลัวแมวนั่งตัวแข็งอยู่ที่โต๊ะ สละโซฟาให้ผมนั่ง

            "อยู่ในนั้นเหรอ" ไอ้กาลถาม ท่ามันพร้อมหนีได้ทุกเมื่อถ้าเกิดอุบัติเหตุแมวในห่อผ้าหลุดออกมา

            "เออ"

            "โอเค กูพร้อมละ" ท่าทางมันโคตรตื่นเต้น

            "ล่อนจ้อน ถ้าพร้อมแล้วก็เริ่มเลย" ผมก้มลงบอกแมวในห่อผ้า มันสบตากลับ จากนั้นห่อผ้าในอ้อมแขนผมก็ขยายใหญ่ขึ้นกลายเป็นผู้ชายผมบลอนด์ฟูฟ่องแทน

            ล่อนจ้อนที่นั่งอยู่บนตักกอดคอผมเอาไว้มั่น ผมก็ช่วยประคองตัวมันเอาไว้กันตก ผ้าที่ห่อไว้ช่วยปกปิดตั้งแต่หัวไหล่ถึงต้นขา ไอ้กาลกะพริบตาปริบๆ ตอนล่อนจ้อนหันไปมอง

            "พอใจมึงยัง" ผมถามไอ้คนที่ยังทำหน้าตะลึงไม่เลิก อยากพาล่อนจ้อนไปใส่เสื้อผ้าแล้ว

            "ที่สุด"

            "งั้นกูพามันไปใส่เสื้อผ้าก่อนนะ"

            "เออๆ เดี๋ยวกูไปอ่านหนังสือ" พูดจบไอ้กาลก็เดินหนีเข้าห้องไปเลย ไอ้ฉากกลายร่างเนี่ยไม่ว่าใครเห็นก็ต้องตะลึง ขนาดผมกว่าจะชินก็สักพักใหญ่

            "ลุกได้แล้ว" ผมเขย่าขาเป็นสัญญาณล่อนจ้อนก็ลงจากตัก แต่ดันไม่ยอมจับผ้าที่คลุมตัวไว้จนมันหล่นลงไปกองที่พื้น

            ให้มันได้อย่างนี้สิ

            ถึงจะเห็นบ่อยแล้วก็เถอะ แต่สารภาพแบบลูกผ้ายเลยว่าผมใจไม่ดีทุกครั้งที่ได้เห็นผิวสุขภาพดีใกล้ๆ ไอ้คนทำผ้าหล่นก็ไม่ได้รู้สึกตัวรีบร้อนก้มเก็บ เป็นผมเองนี่แหละที่รีบคว้าผ้าขึ้นมาห่มให้แล้วพามันเข้าห้องไปหาเสื้อผ้าให้ใส่ ลองคิดเล่นๆ ว่าถ้าไอ้กาลยังนั่งอยู่ตอนเกิดฉากเรทสิบแปดบวกเมื่อกี้จะเกิดอะไรขึ้น เชื่อเถอะว่าผมต้องสติแตกกว่าคนโชว์เรือนร่างแน่ๆ มันหวงแบบไม่มีเหตุผล

            วันนี้ผมให้ล่อนจ้อนใส่กางเกงวอร์มกับเสื้อยืดสีขาว ปักหลักกันอยู่ในห้องไม่ได้ออกไปที่โซฟา เอาขนมที่แวะซื้อตรงเซเว่นหน้าหอให้ตามสัญญากันไว้

            ล่อนจ้อนเปิดถุงหยิบซองขนมออกมาแล้วก็ยิ้ม ผมไม่รู้ว่ามันชอบกินอะไรบ้างเลยหยิบของที่ตัวเองชอบมา มีมาร์ชแมลโลว์ขาวๆ นิ่มๆ เหมือนมันด้วย

            ผมนั่งมองล่อนจ้อนแกะขนมกินแล้วก็ยิ้มเป็นบ้าอยู่คนเดียว อารมณ์เหมือนตอนดูคลิปเด็กฝึกทำอะไรสักอย่าง มันน่ารัก น่าเอ็นดู จนอยากลูบหัวแล้วชมว่า ‘เก่งจังเลยครับ’ เวลามันทำอะไรสักอย่างสำเร็จ

            "อย่าให้หกบนเตียงนะ"

            ล่อนจ้อนมองรอบๆ ตอนผมเตือน ก่อนมันจะย้ายตัวเองไปนั่งเก้าอี้แทน เป็นเด็กดีว่านอนสอนง่ายจังนะวันนี้

            "เมื่อวานเป็นไงบ้าง เหงามั้ย"

            "นิดหน่อย"

            "คิดถึงกันป้ะ" แปลกใจตัวเองเหมือนกันที่ถามออกไป แต่ผมอยากรู้จริงๆ นะ ก็ผมคิดถึงมัน เลยอยากรู้ว่ามันจะคิดถึงผมบ้างไหม

            "คิดถึง" ปากคิ้วตุ้ยๆ พลางพยักหน้าหงึกหงัก

            ใจผมพองเหมือนมีคนสูบลมใส่ เห็นแก้มกลมๆ นั่นแล้วอยากดึงแรงๆ มันเขี้ยวนัก

            ผมปล่อยให้ล่อนจ้อนมีความสุขกับการกินสักพักก่อนพาเข้าเรื่องที่ควรคุย เอารูปที่ค้นเจอจากบ้านให้ดู ขนมในมือถูกวางทิ้งไว้ทันทีเมื่อความสนใจของมันเปลี่ยนมาที่รูปถ่ายทั้งสองใบแทน

            "คุ้นหน้าใครในรูปบ้างมั้ย"

            "คนนี้" ล่อนจ้อนจิ้มไปที่เด็กผู้ชายตัวผอมแห้งที่ยืนอยู่ริมสุด

            "ใครเหรอคนนี้"

            "เราเอง"

            เป็นจริงอย่างที่ผมเดาไว้ว่าเด็กคนนี้อาจจะเป็นล่อนจ้อน เราเกี่ยวข้องกันจริงๆ แต่เพราะอะไรบางอย่างทำให้ผมจำไม่ได้ ทั้งที่ไม่ควรลืม

            "คุ้นใครอีกบ้างมั้ย"

            ล่อนจ้อนพยักหน้า

            "มีเด็กคนนั้นที่ทำให้นายเป็นแบบนี้มั้ย"

            "มี"

            ใจผมเต้นโคตรแรงตอนล่อนจ้อนเงยหน้าขึ้นมาตอบ แม้พอจะรู้คำตอบอยู่แล้วจากเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่คิดไว้ แต่ใจก็อยากให้มันกลายเป็นสิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือ

            "คนไหนเหรอ"

            นิ้วที่เปื้อนเศษขนมชี้ไปที่เด็กผู้ชายสองคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุด นิ้วหยุดอยู่ระหว่างกลางของคนทั้งสอง ล่อนจ้อนเอียงคอขมวดคิ้วคล้ายสับสน แต่สุดท้ายก็เลื่อนนิ้วไปด้านซ้ายของรูป ชี้ไปที่เด็กผู้ชายที่กำลังยิ้มจนตาปิด

            เด็กผู้ชายคนนั้นคือผมเอง

            "รู้มัยว่าคนในรูปคือใคร"

            ล่อนจ้อนเงยหน้ามองผม ไม่ส่ายหน้า ไม่ตอบ ไม่ส่งเสียง ผมมองดวงตาคู่นั้นหวังจะหาคำตอบจากแววตา แต่ภาพที่ผมมองเห็นก็มีแค่ภาพสะท้อนของตัวเองเท่านั้น

            "ล่อนจ้อน เด็กคนนี้คือเราเอง"

            "อืม" คนตรงหน้าแค่พยักหน้ารับ สีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ ไม่มีท่าทางแปลกใจที่ผลออกมาเป็นแบบนี้

            "ไม่โกรธเหรอ"

            "ไม่โกรธ คิดไว้แล้ว...ว่าอาจจะเป็นแบบนี้"

            "รู้อยู่แล้วเหรอ"

            "ไม่รู้ แค่คิด คิดไว้เฉยๆ"

            "นั่นสิเนอะ เราทำให้ล่อนจ้อนเป็นคนได้แล้วจะเป็นใครไปได้ที่ทำให้ล่อนจ้อนกลายเป็นแมว"

            "ไม่เป็นไร จริงๆ นะ"

            น้ำเสียงผมมันดูตัดพ้อเกินไปหรือยังไงไม่รู้ล่อนจ้อนถึงได้ยื่นมือมาวางบนมือผมแล้วยิ้มให้ มันน่าเศร้านะที่ผมดันมีความสามารถพิเศษเปลี่ยนชะตาชีวิตคนได้ แทนที่มันจะเป็นไปในทางที่ดี แต่นี่กลับตรงกันข้าม มันแย่ แย่มากๆ

            "ยิ้มหน่อย"

            "ยิ้มไม่ออกแล้ว"

            "ยิ้ม" ว่าแล้วก็ยื่นมือมาจับแก้มผมทั้งสองข้างแล้วดึง

            มันต้องขนาดนี้เลยนะ นี่ผมทำให้คนน่ารักขนาดนี้เป็นแมวทำไมวะเนี่ย

            "เจ็บอ่ะ"

            "ยิ้มก่อน"

            "ยิ้มแล้ว" ผมยิ้มให้ดู ยิ้มจนตาปิดมองไม่เห็นคนข้างหน้ากันไปเลย

            "ดีมาก" ล่อนจ้อนชมแล้วปล่อยมือออก เป็นการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วยทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นมาก

            "ล่อนจ้อน"

            เจ้าของชื่อมองผมตาแป๋วแล้วยิ้ม เหมือนเป็นการยืนยันว่ามันไม่ได้โกรธผมเรื่องที่ถูกทำให้กลายเป็นแมวจริงๆ

            "เรารู้จักกันจริงๆ ใช่มั้ย" สำหรับผมความทรงจำที่มีมันเลือนรางจนเหมือนจะหายไป ล่อนจ้อนจำผมตอนเด็กได้ แต่ผมจำมันไม่ได้ กระทั่งเหตุการณ์อันเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวสุดแปลกประหลาดนี้ที่ได้ฟังมาผมก็ยังจำไม่ได้ ไม่คุ้นเลยว่าเคยพูดแบบนั้นกับใครมาก่อน

            "รู้จักสิ"

            ล่อนจ้อนขยับเข้ามาใกล้ผม ใช้มือทั้งสองข้างประกบแก้มผมไว้แล้วยิ้มให้

            "ตอนนี้ ก็รู้จักกันแล้วไง จะช่วยทำให้จำ ได้เอง"

            ผมเคยคิดไว้ว่าผมสิที่ต้องเป็นคนพูดคำนั้น ผมสิที่ต้องเป็นคนช่วยล่อนจ้อนให้กลับมาเป็นคนเหมือนเดิม ไม่ใช่ให้คนที่ถูกผมทำร้ายมาคอยให้กำลังใจกัน

            ผมจับมือล่อนจ้อนออกแล้วดึงมันเข้ามากอด ขอบคุณที่ไม่โกรธ ขอบคุณที่มีชีวิตรอดจนมาถึงตอนนี้ และขอบคุณที่ตามหาผมจนเจอ ผมจะทำให้มันกลับมาเป็นคนเหมือนเดิมให้ได้เร็วที่สุด...สัญญา

            เรากอดกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนล่อนจ้อนจะเป็นฝ่ายผลักผมออก มันทำท่าเช็ดน้ำตาล้อ ทั้งที่ไม่มีน้ำตาสักหยดไหลออกจากตาผม พอเริ่มพูดคล่อง ก็ดูเหมือนจะเริ่มกวนประสาทขึ้นมาด้วย

            "ถ้าเป็นคนได้นานกว่านี้จะพาไปบ้านสวน" จากการจดบันทึก ถ้าได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลาที่ล่อนจ้อนเป็นคนได้จะเพิ่มขึ้นครั้งละหนึ่งชั่วโมง สักอาทิตย์สองอาทิตย์หน้าถ้าไม่ติดงานอะไรคงพาไปด้วยกันได้

            "อยากกลับบ้าน"

            "คิดถึงพ่อแม่มั้ย"

            "คิดถึง อยากเจอมาก"

            "จะพาไปหา สัญญา ว่าแต่ล่อนจ้อนลูกใครอ่ะ" บางทีจำชื่อลูกไม่ได้ ผมอาจจะจำชื่อพ่อแม่ของล่อนจ้อนได้ก็ได้ คิดว่าทั้งคู่คงยังทำงานอยู่ที่สวน ใช้ชีวิตไปตามปกติโดยไม่รู้ตัวเลยว่าลูกตัวเองหายไป

            "แม่บุหงา พ่อดอกรัก"

            "ไม่คุ้นแฮะ"

            "จำไม่ได้เหรอ" ล่อนจ้อนถามเสียงหงอยๆ

            "อาจจะแค่จำชื่อไม่ได้ แต่ถ้าเห็นหน้าคงนึกออก เราไม่ได้ไปที่บ้านสวนนานแล้วด้วย แล้วคนอื่นๆ ในรูปล่ะ จำชื่อใครได้บ้างมั้ย"

            ล่อนจ้อนเริ่มไล่ชื่อในรูปในฟังผมฟังทีละคน ทุกคนถูกจดจำได้หมด ยกเว้นก็แค่ผมกับไอ้กาล ที่จำหน้าได้แต่จำชื่อไม่ได้ เพราะแบบนี้สินะถึงได้เป็นปัญหา ทุกอย่างที่เกี่ยวกับผมล่อนจ้อนจะลืม และทุกอย่างที่เกี่ยวกับล่อนจ้อนผมก็จะลืมเหมือนกัน แต่ก็มีข้อยกเว้นที่ล่อนจ้อนดันลืมชื่อตัวเอง

            เป็นแบบนี้ผมยิ่งอยากพาล่อนจ้อนไปเจอคนที่สวนเร็วๆ แต่เพราะหลายๆ อย่างยังไม่พร้อมเลยพาไปไม่ได้ หากลองคิดในแง่บวก ถ้าเกิดได้เจอกันพ่อแม่ของล่อนจ้อนอาจจะจำได้ขึ้นมาก็ได้ หรือถ้าจำไม่ได้ก็น่าจะพอคุ้นเคยบ้าง

            "ไปดูหนังกันมั้ย" ผมชวนเพราะไม่อยากเห็นล่อนจ้อนทำหน้าเศร้านานๆ เมื่อวานสัญญากันไว้แล้ว ไม่ได้ลงไปเซเว่น งั้นก็ดูหนังที่ดูค้างไว้ให้จบแล้วกัน

            ล่อนจ้อนพยักหน้า ผมจูงมือมันออกมานอกห้อง ถามว่าทำไมต้องจับมือผมก็ไม่รู้เหมือนกัน มือมันไปเอง อีกคนก็ไม่ได้ขัดขืน ซึ่งปกติมันไม่เคยขัดขืนอะไรผมอยู่แล้ว ปล่อยให้จูงมือพาไปนั่งที่โซฟารอระหว่างที่ผมยกโน้ตบุ๊กมาต่อกับทีวี

            ช่วงครึ่งหลังของหนังออกจะแอคชัน มันจนต้องลุ้นตามแต่คนข้างๆ ผมกลับหลับเสียอย่างนั้น ล่อนจ้อนยกขาขึ้นมานั่งพับเพียบบนโซฟาท่าทางสุดแสนจะเรียบร้อย สองแขนกอดหมอนอิงตันเอนมาซบไหล่ผม เปลือกตาปิดสนิทปากเผลอนิดหน่อย ผมสีบลอนด์ยังฟูฟ่องดูแล้วไม่ต่างจากเด็กสิบขวบ

            แค่โดนคนข้างๆ ใช้เป็นหมอนอิงสมาธิผมก็หลุดจากจอทีวีโดยสิ้นเชิง ผมเขี่ยผมหน้าม้าฟูๆ ของล่อนจ้อนเล่น แล้วก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าตรงโคนผมมีสีดำขึ้นมานิดหน่อย นี่อาจจะเป็นสัญญาณที่ดีหรือเปล่า ผมสีดำที่เป็นสีผมจริงๆ ของมัน

            ละสายตาจากล่อนจ้อนกลับไปโฟกัสจอทีวีได้ไม่ถึงนาทีไอ้กาลก็เปิดประตูออกมา มันหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตู แกล้งทำหน้าตกใจแล้วหรี่ตา ท่าทางกวนตีนจนอยากลุกขึ้นไปเหยียบตีนมันแต่ก็กลัวล่อนจ้อนจะตื่น จะว่าไปผมยังไม่ได้เหยียบตีนตัวเองที่เป็นคนทำให้ล่อนจ้อนกลายเป็นแมวเลยนี่หว่า

            "แน่ะ"

            "ไอ้ส้นตีน ไปไกลๆ" ผมขยับปากด่าแบบไม่ส่งเสียงแล้วโบกมือไล่

            ตอนมันเดินผ่านหน้าผมยังทำหน้ากวนตีนใส่ไม่เลิก หยิบคีย์การ์ดบนโต๊ะ ใส่รองเท้าเสร็จแล้วถึงได้หันมาบอกว่าจะออกไปไหน

            "กูออกไปซื้อข้าวนะ"

            "เผื่อด้วย" ผมจิ้มที่หัวคนหลับ ไอ้กาลทำท่าโอเคให้ก่อนจะเปิดประตูออกไป

            ส่วนผมก็นั่งเกร็งทำตัวเป็นหมอนให้คนหลับหนุนต่อไป

 

            จากเที่ยงจนถึงหนึ่งทุ่ม เจ็ดชั่วโมงพอดีที่ล่อนจ้อนอยู่ในร่างคนก่อนจะกลับไปเป็นแมวกระโดดหนีออกนอกระเบียงไป


tbc.


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 9 ___ [01/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 01-06-2019 20:49:16
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 9 ___ [01/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 01-06-2019 21:13:15
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 9 ___ [01/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 02-06-2019 04:00:27
เริ่มรู้ทีละนิดแล้ว  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 10 ___ [09/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 09-06-2019 19:13:44
ลิขิตครั้งที่ 10


            กลับมาถึงห้องตอนห้าโมงเย็นผมก็ตรงไปที่ระเบียงเหมือนทุกที เห็นก้อนสีขาวนอนขดอยู่บนเบาะก็คว้ามาสก์มาใส่ไม่ลืมเหมือนครั้งก่อน รีบเปิดประตูออกไปหา แต่เมื่อนั่งลงตรงหน้าเบาะก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ ขนที่ควรจะเป็นสีขาวสะอาด บัดนี้กลับมาสีแดงเปื้อนอยู่

            "ล่อนจ้อน" ผมสะกิดเรียก พยายามจะเชิดหน้ามันดูบริเวณใต้คางที่มีรอยเปื้อน ใจหล่นวูบไปอยู่ตาตุ่มแล้ว ไม่ต้องคิดอะไรให้ซับซ้อนก็รู้ว่าสีแดงที่เปื้อนขนมันคือเลือด

            ล่อนจ้อนลืมตาตื่น มันไม่ได้ลุกขึ้นบิดขี้เกียจทันทีเหมือนทุกครั้ง แต่ส่งเสียงร้องอย่างอ่อนแรงทักทายผมแทน

            "ไปโดนอะไรมา ขอดูหน่อย เจ็บหรือเปล่า" จะจับแรงก็กลัวมันเจ็บแล้วตกใจกระโดดข่วนหน้าเข้า เมื่อเห็นว่าล่อนจ้อนไม่ถอยหนีผมเลยเกาข้างแก้มเบาๆ ให้มันเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นรอยแผลใต้ปาก

            มือผมสั่นกับสิ่งที่เห็น เพราะขนมันเป็นสีขาวพอเปื้อนเลือดเลยดูน่ากลัวมาก แถมยังเปรอะเลอะเต็มใต้คาง จากที่ดูคร่าวๆ แผลไม่ลึกนัก เลือดก็น่าจะหยุดไหลไปนานแล้วถึงได้แห้งเกรอะกรังแบบนี้ แต่ท่าทางเศร้าซึมของมันกำลังทำให้ผมกระวนกระวายใจ

            "เดี๋ยวพาไปหาหมอ"

            ผมอุ้มมันพาเข้าห้อง วางไว้บนเก้าอี้แล้วผละไปเตรียมกระเป๋า กำลังจะออกไปหาตะกร้าที่ไม่รู้จะมีหรือเปล่ามาใส่แมว แต่หันกลับไปมองที่เก้าอี้อีกทีแมวสีขาวก็หายไปกลายเป็นล่อนจ้อนนั่งหน้าเบ้อยู่แทน เลยต้องหมุนตัวกลับไปหาคว้าผมเช็ดตัวมาคลุมให้ก่อน

            "ยังเจ็บอยู่มั้ย" ผมเชิดคางล่อนจ้อนดูแผลเบาๆ พอไม่มีขนบังยิ่งเห็นแผลชัด เป็นรอยเหมือนโดนอะไรสักอย่างบาด ยาวประมาณสองเซนต์ ที่จมูกก็มีอีกหนึ่งรอยแต่ไม่ชัดเท่าที่คาง

            "ไม่ค่อยเจ็บแล้ว"

            "แล้วแบบนี้ต้องไปหาหมอสัตว์หรือหมอคนเนี่ย" ถ้ายังอยู่ในร่างแมวผมไม่ลังเลที่จะพาไปโรงพยาบาลสัตว์เลย

            "ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องหาหมอ"

            "แล้วสรุปไปโดนอะไรมา"

            "ตบกัน"

            "ฮะ"

            "ตบกับแมวตัวอื่น" ล่อนจ้อนตอบเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ มันจะยกมือขึ้นแตะแผลแต่ผมดึงมือออก

            "แล้วไปตบกันทำไม"

            "มันไม่ค่อยชอบหน้าเรา"

            ผมพอรู้มาบ้างว่าบางทีแมวก็ชอบเขม่นกัน ครั้งก่อนยังถามล่อนจ้อนอยู่เลยว่าเคยตีกับหมาหรือแมวตัวอื่นบ้างไหม แต่ไม่คิดว่าตบกันแล้วต้องถึงขั้นเลือดตกยางออก ในคลิปที่เคยเห็นมันตบกันแบบน่ารักไง แต่นี่มันคือสังเวียนจริง ตบจริงเจ็บจริง สภาพล่อนจ้อนยังโดนขนาดนี้แล้วแมวอีกตัวสภาพจะเป็นยังไง ยังสมบูรณ์ดีหรือแลกกันคนละแผลสองแผล

            "แล้วตบเขาได้บ้างมั้ยเนี่ย"

            "ไม่อ่ะ มันตัวใหญ่กว่า"

            "แมวที่ไหน"

            "บ้านที่อยู่ตรงข้าม"

            "อ๋อ"

            ผมนึกออกเลย บ้านนั้นก็เลี้ยงแมวลายเสือสีเทา ตัวมันสูงใหญ่หน้าตาดูไม่รับแขกยิ่งหว่าล่อนจ้อนอีก เพิ่งรู้ก็วันนี้ว่าเป็นนักเลง

            "ล่อนจ้อนเคยฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าหรือยัง" โดนแมวตบถึงจะอยู่ในร่างแมวเหมือนกันยังไงก็ต้องป้องกันไว้ก่อน เกิดอยู่ดีๆ มันเป็นบ้าขึ้นมาผมจะทำยังไง

            "เคยมั้ง ตอนเด็กๆ เคยโดนหมากัด"

            ใจผมอยากจะพาล่อนจ้อนไปหาหมอแล้วจับฉีดยาทำแผลให้มันจบๆ แต่เพราะไม่มีหลักฐานระบุตัวตนอะไรเลยนี่แหละเลยทำไมได้ มีแต่ตัวเปล่าๆ เปล่าแบบเปล่าเปลือย กระทั่งกางเกงในก็ไม่มี

            "ต้องไปหาหมอนะแบบนี้"

            "ไม่เป็นไรหรอก ไอ้นั่นมีเจ้าของ คงไม่เป็นอะไร แล้วก็ เคยตบกันมาแล้ว สบายมาก เลียแผลแล้วด้วย" เป็นประโยคยาวที่สุดที่แบ่งพูดเป็นท่อนๆ ล่อนจ้อนดูไม่เครียดอะไรเลย พูดไปก็ยิ้มไป แค่ดูเพลียๆ นิดหน่อย แต่ผมจับได้ว่าน่าจะมีเรื่องที่มันโกหก

            "แผลใต้คางจะเลียยังไง"

            คนถูกจับได้ยิ้มแหย ถ้าเลียแผลตรงนั้นได้จริงเลือดคงไม่เปื้อนอยู่แบบนี้

            "แน่ใจนะ ไม่ไปหาหมอจริงนะ"

            "ไม่ไป"

            ผมพรูลมหายใจออกมา เบาใจขึ้นนิดหน่อยที่แมวคู่กรณีมีเจ้าของแต่ก็ยังเป็นห่วง ผิดกับเจ้าตัวที่ดูเหมือนว่าเคยผ่านเรื่องแบบนี้มาอย่างโชกโชน นั่งอมยิ้มให้ผมทั้งที่เลือดยังเปื้อนคางอยู่เลย

            "เดี๋ยวเราทำแผลให้แล้วกัน"

            "เจ็บมั้ย"

            "ไม่เจ็บเท่าตอนตบกันหรอก"

            ล่อนจ้อนทำหน้าไม่เชื่อ แต่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพยักหน้าตกลง ผมเลยออกไปค้นกล่องยามาทำแผลให้ ทำเสร็จแล้วค่อยหาเสื้อผ้าให้ใส่ทีเดียว

 

            ไอ้กาลกลับมาถึงห้องตอนสองทุ่มพร้อมกับมื้อเย็นที่ผมฝากมันซื้อเผื่อล่อนจ้อนด้วย สองคนทักทายกันแบบเกร็งๆ ตอนเจอหน้า และแน่นอนว่าคนตาดีอย่างน้องชายผมต้องสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ

            ผ้าก๊อซปิดแผลที่อยู่ใต้คาง

            กาลมันมองแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ผมเลยมองล่อนจ้อนที่หลังจากทักทายไอ้กาลเสร็จก็หันไปสนใจทีวีต่ออีกทอด ก่อนลุกไปช่วยน้องชายยกถ้วยชามมาเทก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟใส่

            "ไปโดนอะไรมาวะ" มันกระซิบถาม ไม่รู้จะกลัวล่อนจ้อนได้ยินทำไมนักหนา

            "ไปตบกับแมวตัวอื่นมา" ผมตบด้วยน้ำเสียงปกติ ล่อนจ้อนหันมามอง ไอ้กาลทำหน้าเลิ่กลั่กแบบคนขี้นินทาแล้วดันโป๊ะถูกได้ยิน แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบังสักหน่อย ผมเองก็อยากคุยเรื่องนี้กับไอ้กาลเหมือนกัน

            ล่อนจ้อนลุกมาหาพวกเราที่โต๊ะ หยิบก๋วยเตี๋ยวถุงที่เหลือไปแกะด้วยท่าทางเงอะงะ ผมเลยแย่งมาแกะให้เองเพราะเดี๋ยวจะไม่ได้กินเอา

            "ยังไงวะที่ว่าตบกัน" ไอ้กาลถามต่อ ล่อนจ้อนยิ้ม ผมเป็นคนตอบ

            "มึงเคยเห็นแมวตบกันมั้ย ก็ประมาณนั้นแหละ ตบกับแมวบ้านตรงข้ามหอ แต่มึงคงไม่เคยเห็น"

            "น่ากลัวสัด"

            "สภาพเลยเป็นงี้ไง"

            "เจ็บมั้ยนั่น" ไอ้กาลถามล่อนจ้อน

            "ไม่เจ็บแล้ว"

            "ทีหลังก็อย่าไปใกล้มันนะ อันตราย"

            "อืม"

            เทก๋วยเตี๋ยวของตัวเองเสร็จแล้วพวกเราก็นั่งประจำที่ ครั้งแรกกับการกินข้าวเย็นอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ล่อนจ้อนใช้ช้อนส้อมเก่งขึ้นแล้ว แต่พอเป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำมันเลยกระเด็นเลอะเทอะจนไอ้กาลถึงกับหยุดกินแล้วมอง

            "น่าจะใส่ผ้ากันเปื้อนนะ" มันเสนอด้วยความหวังดี ส่วนไอ้ผมก็ลืมคิดไป รู้อยู่แล้วว่าไอ้กาลจะซื้อก๋วยเตี๋ยวมา แต่ก็ไม่คิดว่าล่อนจ้อนจะกินได้เลอะเทอะขนาดนี้ แถมเสื้อที่ใส่ยังเป็นสีขาวอีก

            ผมพยักหน้าเป็นเชิงว่าปล่อยไปก่อนเดี๋ยวกินเสร็จแล้วค่อยจัดการทำความสะอาดทีหลัง เพราะตอนนี้ผมมีเรื่องอยากปรึกษากับน้องชายก่อนมันจะปลีกวิเวกไปหลังกินข้าวเสร็จ แล้วหามาอีกทีตอนเข้านอน

            "กาล กูอยากให้ล่อนจ้อนมาอยู่ด้วยกันว่ะ มึงคิดว่าไง"

            เจ้าของชื่อเหลือบตามอง ล่อนจ้อนเองก็หยุดมือเพื่อฟังว่าพวกเราจะคุยอะไรกันต่อ

            "หมายถึงมาอาศัยอยู่ด้วยกันอ่ะนะ"

            "เออ ประมาณนั้น เลี้ยงเอาไว้เลย กูกลัวมันไปโดนใครกัดอีก"

            ไอ้กาลทำหน้าเหมือนจะไม่ยอมแต่ไม่ได้พูดออกมาทันที ถ้าล่อนจ้อนไม่ต้องกลับไปเป็นแมวอีกมันคงยอมโดยไม่ขัดอะไร แต่เพราะเป็นแมวเลยเป็นปัญหาใหญ่สำหรับพวกเรา

            "ที่ผ่านมาก็อยู่มาได้นี่หว่า"

            "แต่กูกังวลไง มึงน่าจะเข้าใจความรู้สึกกูนะ คือกูเป็นคนทำให้มันเป็นแบบนี้ กูอยากรับผิดชอบ" ผมเล่าเรื่องทุกอย่างให้ไอ้กาลฟังหมดแล้ว และมันก็รู้ด้วยว่าผมรู้สึกแย่กับเรื่องที่เกิดขึ้นขนาดไหน ผมเข้าใจความกลัวของมัน แต่เรื่องนี้น่าจะมีทางออกที่ดีร่วมกันได้

            ไอ้กาลเงียบไป มันคีบลูกชิ้นใส่ปากแล้วจ้องผม เคี้ยวตุ้ยๆ ขณะที่สมองคงกำลังใช้ความคิดอยู่

            "ไม่เป็นไร เราอยู่ข้างนอกได้" เห็นพวกผมเงียบกันไปนานหรือยังไงไม่รู้ล่อนจ้อนก็โพล่งขึ้นมากลางวง ไอ้กาลรีบกลืนลูกชิ้น ผมรีบวางแก้วน้ำที่กำลังกินแล้วพากันโบกมือทั้งคู่

            "ไม่ๆ คือกำลังคิดอยู่ว่าจะเอายังไง อยู่ได้ๆ" ไอ้กาลรีบบอก ถึงก่อนหน้านี้จะค้านหัวชนฝา แต่ถ้ามีเหตุจำเป็นจริงๆ ก็ใช่ว่าจะยอมให้กันไม่ได้เลย

            "อยู่เงียบๆ ไปเลย สรุปได้แล้วจะบอก"

            ล่อนจ้อนย่นจมูกใส่ผมก่อนใช้ส้อมจิ้มเกี๊ยวปลาใส่ปาก ส่วนผมกับไอ้ก็มาคิดกันต่อว่าจะเอายังไงกันดี

            "เดี๋ยวกูกลับไปนอนห้องก็ได้ แต่มึงจะไม่แพ้ใช่มั้ยต้องอยู่กับแมว" ซึ่งสุดท้ายมันก็ยอม

            "กูไปนอนกับมึงแทนก็ได้ ให้ล่อนจ้อนนอนห้องกู ทำความสะอาดบ่อยๆ น่าจะโอเค เดี๋ยวค่อยไปหาวิธีอยู่ร่วมกันในเน็ตเอา"

            ไอ้กาลพยักน้ารับ เป็นอันว่าตกลง

            มื้ออาหารดำเนินต่อ ผมคอยสังเกตไอ้กาลว่ามันจะโอเคอย่างที่ตกลงหรือเปล่าเพราะกลัวมันลำบากใจ แต่มันไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมากนัก จนกินใกล้หมดมันก็พูดขึ้นมาเหมือนเพิ่งนึกออก

            "หรือว่าเหตุการณ์พวกนี้จะทำให้เจอเนื้อคู่วะ"มันถามหน้าตาย ทำเอาเส้นเล็กในปากผมเกือบพุ่งใส่หน้ามัน

            "อะไรทำให้มึงคิดงั้น"

            "ก็แค่เดา มึงกับล่อนจ้อนก็มีเบื้องลึกเบื้องหลังกันอยู่นี่หว่า ถ้าจำเรื่องในอดีตได้อาจจะมีเรื่องที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นก็ได้ ตอนนี้มึงสองคนก็ดูเข้ากันดีไม่ใช่เหรอ" มันอธิบายยาวยืด เป็นเหตุผลที่ผมไม่ขัดเพราะก็คิดเหมือนมัน ยกเว้นเรื่องเนื้อคู่ มันดูเป็นเรื่องยิ่งใหญ่จนผมไม่กล้าคิด

            "อาจจะเป็นเพื่อนที่ดี"

            "อย่าให้กูเห็นว่าหลงรักกันนะ"

            "ขยันเชียร์นะมึง"

            "พี่ณดาจะได้เลิกยุ่งกับมึงสักทีไง"

            "ก็จริง" อีกครั้งที่ผมเห็นด้วย ที่พูดแบบนี้ไม่ใช่ว่าคิดจะรักกับล่อนจ้อนจริงๆ แต่ถ้าเทียบความรู้สึกที่มีตอนนี้แล้ว ความสบายใจที่ได้อยู่กับแมวก็มากกว่าพี่รหัสน้องชายอยู่ดี

            "กูว่าต้องลองถามพ่อดู ว่าที่ได้แต่งงานกับแม่เพราะอะไร ถ้าที่กูเดาถูก ก็นั่นแหละ"

            ผมล่ะเกลียดสีหน้าไอ้กาลตอนพูดจริงๆ มันกดยิ้มมองผมก่อนหันไปมองล่อนจ้อนแล้วกินก๋วยเตี๋ยวต่อ

            "เข้าใจที่พูดกันเมื่อกี้มั้ย" ผมลองถาม ล่อนจ้อนเองก็ฟังอยู่ แต่ทำหน้าเหมือนประมวลไม่ทัน

            "เนื้อคู่"

            "อืม แค่เดากันเล่นๆ อย่าคิดมาก"

            "เนื้อคู่คืออะไร"

            ไอ้กาลหลุดขำออกเสียง มันผายมือให้ผมเป็นคนอธิบายเอง ทั้งที่มันเป็นคนเริ่มประเด็นนี้แท้ๆ

            "ก็คนที่เกิดมาคู่กัน ได้แต่งงาน ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันประมาณนั้น แบบพ่อกับแม่อ่ะ"

            "ลิขิตกับเรา เป็นเนื้อคู่กันเหรอ"

            ไอ้คนสร้างประเด็นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ชอบใจ ผมน่ะไม่ได้คิดมากอะไรหรอกถ้าเกิดจะรู้สึกรักหรือชอบขึ้นมาจริงๆ ล่อนจ้อนมันก็น่ารัก แต่มันก็ต้องดูกันไปอีกสักพักนึง

            "ไอ้กาลมันก็พูดไปงั้นแหละ อย่าใส่ใจเลย"

            "แล้วล่อนจ้อนชอบไอ้ขิตมั้ย ถ้าชอบกันขึ้นมาจริงๆ ก็อาจจะเป็นเนื้อคู่กันจริงก็ได้" ไอ้กาลถาม โคตรขยันหาเรื่อง กินไปเงียบๆ ไม่เป็นใช่มั้ยมึงเนี่ย

            "ก็ชอบนะ" ล่อนจ้อนตอบไอ้กาลแล้วเหล่มองผม

            คนถามยิ้มอารมณ์ดีถูกใจกับคำตอบ แต่ล่อนจ้อนมันอาจจะกวนตีนเล่นก็ได้ใครจะรู้ เห็นซื่อๆ ใสๆ เป็นเด็กสิบขวบแบบนี้แต่ก็แอบร้ายนะ มันเรียนรู้เร็วจะตาย แป๊บๆ เดี๋ยวความคิดความอ่านก็ตามพวกผมทันแล้ว ที่พูดออกมาเมื่อกี้อาจจะแกล้งเล่นก็ได้ใครจะรู้

            "ลิขิตใจดี อยากอยู่ด้วย"

            "ถ้าแบบนั้นก็ชอบคนละแบบแล้ว" ผมแย้ง

            "แล้วอยากให้ชอบแบบไหนล่ะ" ขยันชงจริงน้องชายผม ไม่ต้องเป็นแล้วมั้งเภสัช ไปเปิดร้านขายกาแฟน่าจะรุ่ง

            "หุบไปปากมึงน่ะ"

            "ใจร้าย ล่อนจ้อนอย่าพูดจาแบบนี้นะ มันไม่ดี"

            ล่อนจ้อนหัวเราะ ดูจะชอบใจความอารมณ์ขันแสนกวนตีนของไอ้กาลน่าดู ขำเสร็จคนช่างสงสัยก็เริ่มตั้งคำถามต่อ

            "ถ้าเป็นเนื้อคู่ ต้องชอบกันแบบไหน"

            "ตอนเด็กเคยแอบชอบใครมั้ย" ผมถามกลับ

            ล่อนจ้อนนิ่งไปแป๊บนึงก่อนพยักหน้า เด็กๆ ทุกคนมันต้องมีประสบการณ์แอบชอบล่ะน่า

            "ต้องชอบแบบอยากเป็นแฟน อยากอยู่ด้วย อยากทำสิ่งดีๆ ให้ประมาณนั้น แล้วล่อนจ้อนชอบเราแบบไหน" ได้โอกาสผมก็เอาคืนบ้าง ไอ้กาลทำหน้าชอบใจ แต่ล่อนจ้อนเงียบไปเลย

            เมื่อกี้นี้ล่อนจ้อนมันก็พูดแล้วว่าชอบผมในลักษณะไหน เท่าที่ตีความได้ก็ชอบเพราะเราต้องพึ่งพาและช่วยเหลือกันนั่นแหละ ผมเลยต้องใจดี แล้วมีใครบ้างไม่ชอบคนใจดี

            "ถ้าชอบแบบอยากเป็นแฟนเมื่อไรก็บอกนะ"

            คนฟังหน้าแดงแป๊ดก้มหน้าก้มตากินไม่คุยต่อ คนพูดอย่างผมก็ใจเต้นแปลกๆ ทั้งที่ตั้งใจจะแกล้งเขาแท้ๆ ท่าจะไม่ดีแล้วแบบนี้ เราควรเปลี่ยนเรื่องคุย

            ไอ้กาลมองหน้าผมแล้วยิ้มกรุ้มกริ่ม ผมรู้มันคิดอะไรแต่ก็ขอบคุณที่ไม่พูดออกมา

            ใจหนอใจ ต้องมาสั่นไหวเพราะคำพูดตัวเอง

            กินเสร็จไอ้กาลก็อาสายกจานไปเก็บ ผมเช็ดโต๊ะ ล่อนจ้อนยืนเคว้งคว้างเพราะไม่รู้จะทำอะไรผมเลยไล่ให้ไปนั่งดูทีวีรอที่โซฟา

            "ลิขิต"

            ผมหันไปเลิกคิ้วตอบรับตอนเช็ดโต๊ะเสร็จพอดี ล่อนจ้อนชี้ไปที่ทีวีซึ่งตอนนี้เป็นโฆษณาพิซซ่าเจ้าสีเขียว

            "อยากกินพิซซ่า"

            "เพิ่งกินข้าวไปเนี่ยนะ"

            "อยากกิน" คราวก่อนเจอโฆษณาเซเว่นก็อยากไปเซเว่น รอบนี้เห็นโฆษณาก็อยากกินพิซซ่าอีก ชักจูงง่ายอันตรายนะแบบนี้

            "วันอื่นค่อยกินแล้วกัน"

            "สัญญานะ"

            "ครับ สัญญา"

            แล้วพิซซ่าก็กลายมาเป็นสัญญาระหว่างเราอีกข้อ

            "ล่อนจ้อนจะอาบน้ำเลยมั้ย"

            "อาบน้ำ?" ถามกลับมาเสียงสูงแถมยังทำหน้าสงสัย ผมก็ลืมไปว่าตั้งแต่ล่อนจ้อนมาอยู่ที่นี่ยังไม่เคยอาบน้ำเลยสักครั้ง คงจะเลียทำความสะอาดขนตัวเองตอนเป็นแมวอย่างเดียว

            "ถ้าจะนอนที่นี่ก็ต้องอาบน้ำ เสื้อก็เปื้อนด้วยเนี่ย ไปอาบเลยก็ได้" ผมพยักพเยิดไปที่ห้องน้ำล่อนจ้อนก็มองตาม

            ทำหน้าทำตาเหมือนคนไม่รู้เรื่องแบบนี้อย่าบอกนะว่าอาบน้ำไม่เป็น

            "อาบน้ำเป็นมั้ย"

            "เป็น"

            "งั้นเดี๋ยวเตรียมของให้ แปรงสีฟันน่าจะมีอยู่ ไว้วันหยุดเดี๋ยวพาไปซื้อของ"

            ผมเดินเข้าห้องไปเตรียมผ้าขนหนูกับแปรงสีฟันมาให้คนที่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่บนโซฟา ล่อนจ้อนรับไปถือไว้แต่ก็ยังไม่ยอมขยับตัวไปไหน เอาแต่มองของในมือสลับกับห้องน้ำ สรุปว่าอาบน้ำเองเป็นจริงๆ มั้ยล่ะเนี่ย

            "มึงก็ไปอาบกับล่อนจ้อนดิ" แล้วไอ้กาลก็เข้ามาแทรก ล้างจานเสร็จก็ชงต่อเลยนะมึง

            "ก็แค่อาบน้ำมันจะไปยากอะไร มันก็บอกว่าอาบเป็น"

            "แผลไงมึง ต้องระวังแผลอีก อย่าให้แผลโดนน้ำ"

            "ต้องขนาดนั้นเลย เดี๋ยวอาบเสร็จก็ออกมาทำแผลใหม่"

            "ไม่ได้ ถ้าโดนน้ำมันมีโอกาสติดเชื้อ กูเรียนมา เชื่อกู" ไอ้กาลว่าสีหน้าจริงจังแบบโอเวอร์ ประมาณว่าถ้าผมไม่เชื่อก็เตรียมตัดหัวล่อนจ้อนทิ้งเพราะแผลเน่าได้เลย

            "เออๆ"

            พอผมตอบรับมันก็ยิ้มแล้วทิ้งตัวบนโซฟา ก่อนหันไปบอกจ้อนล่อนที่ยังทำหน้าไม่รู้เรื่อง

            "เดี๋ยวขิตมันพาไปอาบน้ำ"

 

            -- อ่านต่อด้านล่าง --
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 10 ___ [09/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 09-06-2019 19:14:24


            ผมรับปาก แต่ก็ใช่ว่าจะต้องแก้ผ้าอาบด้วยกันเสียเมื่อไร ความสามารถล่อนจ้อนมันก็สิบขวบแล้วนะ บวกเพิ่มที่รู้จักกันมาเกือบเดือนผมให้เลยสิบห้าปีเพราะมันพัฒนาได้ค่อนข้างเร็ว แค่อาบน้ำเองครั้งแรกในรอบสิบปีน่ะเรื่องเล็กน้อย พูดไปแล้วก็เหมือนว่าตัวมันจะเหม็นนะ แต่แปลกที่ไม่มีกลิ่นเลย

            "เอาผ้าขนหนูแขวนไว้บนราวก่อน"

            ล่อนจ้อนเอาผ้าแขวนไว้ตามที่ผมบอก เราทั้งสองยังอยู่ในชุดเสื้อผ้าครบชุด ท่าทางดูนิ่งๆ แต่ผมว่ามันคงตื่นเต้นที่จะได้อาบน้ำ

            "อันนี้ยาสีฟัน แปรงใช้เสร็จแล้ววางตรงนี้ อันนี้โฟมล้างหน้า ขวดนี้ยาสระผม ขวดนี้ครีมอาบน้ำ เหมือนสบู่นั่นแหละ จะสระจะอาบก่อนก็แล้วแต่เลย"

            ผมอธิบายขวดผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่วางอยู่ ล่อนจ้อนพยักหน้าตาม หยิบขวดสบู่เหลวมาดมก่อนวางไว้ที่เดิมเมื่อผมพูดต่อ

            "เคยใช้ฝักบัวมั้ย"

            "ไม่เคย ที่บ้านไม่มี"

            "เป็นโอ่งตักอาบใช่มั้ย"

            "ใช่"

            ผมนึกภาพออก บ้านปู่เองก็มีทั้งโอ่งใส่น้ำให้ตักอาบกับห้องที่เป็นฝักบัว ที่บ้านพักคนงานคงมีแต่โอ่งล่ะมั้ง แต่ผ่านมาสิบปีแล้วตอนนี้อาจจะมีฝักบัวแล้วก็ได้

            "แล้วตอนเป็นแมวเคยโดนเจ้าของจับอาบน้ำบ้างมั้ย"

            "เคย แต่ไม่ค่อยชอบ"

            "แล้วตอนนี้ชอบเหรอ"

            "ก็ตอนนี้เป็นคน"

            โดนแล้วหนึ่งดอก ไอ้ผมก็ถามอะไรไม่ทันคิด เปลี่ยนเรื่องดีกว่า

            "เดี๋ยวสอนใช้ฝักบัว"

            ขยับแค่ก้าวเดียวผมก็มายืนอยู่หน้าฝักบัว ล่อนจ้อนก้าวมายืนข้างๆ ดูกระตือรือร้นเหมือนเวลาเด็กได้ของเล่นใหม่

            "จะเปิดก็ดึงมาฝั่งนี้"

            ผมดึงลมให้ดู แต่ล่อนจ้อนคว้าหมับที่ก๊อกแล้วดึงตามจนสุด น้ำพุ่งออกมาอย่างแรง คนเปิดตกใจผงะถอยหลัง ผมช่วยปิดก๊อกให้ ผลคือเปียกโชกกันทั้งคู่

            "เฮ้อ"

            "ขอโทษ"

            "ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็ต้องอาบอยู่แล้ว" เปียกขนาดนี้แล้วก็อาบด้วยกันไปเลยแล้วกัน

            ผมถอดเสื้อแล้วบิดน้ำออกเอาไปแขวนราวไว้ เพราะตกใจถอยออกไปก่อนล่อนจ้อนเลยเปียกไม่มาก มันตั้งท่าจะถอดเสื้อทำตาม แต่ผมยกมือห้ามไว้

            "อย่าเพิ่งถอด มาแปรงฟันก่อน" ผมดึงล่อนจ้อนให้มายืนหน้ากระจก บีบยาสีฟันใส่แปรงให้ตัวเองแล้วก็ยื่นให้ล่อนจ้อนทำบ้าง หลังจากนั้นเราก็แปรงฟันด้วยกัน

            นอกจากตัวจะไม่เหม็นแล้ว ฟันล่อนจ้อนก็ยังขาวอยู่ทั้งที่ตอนเป็นแมวไม่น่าจะได้แปรงฟัน มันจับแปรงดูยังไม่ค่อยถนัดมือนัก มือขยับไปพลางตาก็เหล่มองผมไปพลาง ผมบ้วนฟองออกก็ทำตาม แปรงเสร็จก็ยื่นแก้วน้ำให้บ้วนปาก

            แปรงฟันเสร็จก็ล้างหน้าต่อ ล่อนจ้อนทำตามผมทุกขั้นตอนตั้งแต่เอาน้ำลูบหน้า บีบโฟมใส่มือ ขยี้นิดหน่อยให้เป็นฟองแล้วเอามาถูกหน้า มันดูจะชอบขั้นตอนนี้นะ เห็นหน้าตัวเองที่เปื้อนโฟมก็ยิ้มใหญ่ คึกคักขยับมือถูซะแรง

            "เบาหน่อย เดี๋ยวหน้าก็พังเอา ล้างน้ำได้แล้ว ค่อยๆ ล้างนะ ระวังอย่าให้น้ำโดนแผล" ผมยกอ่างล้างให้ล่อนจ้อน ส่วนตัวเองเปิดฝักบัวล้างเอา

            และแล้วก็มาถึงขั้นตอนที่ชวนให้ตื่นเต้น ตอนเด็กๆ ผมเคยแก้ผ้าอาบน้ำกับไอ้กาลบ่อยๆ แต่มันก็สิบกว่าปีมาแล้วไง ตอนนี้ก็ต่างคนต่างใช้ชีวิต ยกเว้นก็ตอนนอนที่ยังนอนด้วยกันเพราะโรคฝันร้ายของไอ้กาลมัน หรือครั้งนี้ผมไม่ควรแก้หมด เหลือกางเกงในไว้ให้อุ่นใจสักตัว แต่มันจะเกิดการเหลื่อมล้ำกันได้เพราะล่อนจ้อนไม่มีกางเกงในใส่

            เราหันหลังให้กันแล้วถอดเสื้อผ้า ห้องน้ำหอผมมันก็เล็ก แค่ผู้ชายสองคนยืนด้วยกันก็เกือบเต็มแล้ว แล้วนี่ต้องมาก้มๆ เงยๆ ถอดเสื้อผ้าอีก ก้มถอดกางเกงทีผิวเนื้อก็ไปโดนอีกคนทำเอาขนลุกซู่ ต้องรีบถอดรีบกลับมายืนตัวตรง ไม่รู้คนที่แก้ผ้าจนชินแบบล่อนจ้อนจะรู้สึกแปลกๆ เหมือนผมบ้างมั้ย

            "สระผมก่อนแล้วกัน ไม่ต้องหันมา เดี๋ยวล้างผมให้"

            ผมหยิบฝักบัวลงมาแล้วเปิดน้ำ บอกให้ล่อนจ้อนเงยหน้าขึ้นแล้วล้างผมให้ก่อน ต้องระวังไม่ให้น้ำโดนแผลใต้คาง เสร็จแล้วก็กดยาสระผมแล้วขยี้ให้

            "ล้างผมแล้วก็เอายาสระผมใส่ ทีนี้ก็ขยี้เอง"

            ล่อนจ้อนหันกลับมาหาแล้วเริ่มขยี้ผมสีบลอนด์ฟูๆ ของตัวเอง ผมพยายามไม่มองลงต่ำตอนเราหันมาเผชิญหน้ากันแม้จะเห็นจนชินแล้วก็เถอะ เปิดน้ำล้างผมแล้วสระให้ตัวเองบ้าง

            "สระแล้วทิ้งไว้ก่อน ทีนี้ก็มาอาบน้ำ"

            ผมเปิดน้ำล้างตัวให้ ราดตั้งแต่ช่วงไหล่ลงมา เพราะกลัวว่าถ้าปล่อยให้ทำเองต้องไปโดนแผลแน่  จากนั้นกดสบู่เหลวใส่มือให้

            "ถูให้ทั่วตัวเลยนะ แต่อย่าให้โดนแผล" ย้ำอีกครั้ง คนฟังก็พยักหน้ารับอย่างแข็งขัน

            ผมเปิดน้ำล้างตัวเองบ้าง บีบสบู่เหลวลูบตัวไปก็เหล่มองคนข้างๆ ไป ตอนนี้เองที่ล่อนจ้อนมันทำหัวใจผมเกือบวาย ก็แค่ถูสบู่จำเป็นต้องดูยั่วยวนขนาดนี้เลยเหรอวะ

            เปล่าหรอก ล่อนจ้อนไม่ได้ทำอะไร มันก็แค่อาบน้ำของมัน ไม่ได้ตั้งใจยั่วผม แต่ใจอกุศลของผมดันคิดไปเอง ถามหน่อยว่าใครมันจะไปทนไหว ผิวเนียนๆ ขาวๆ กับฟองสบู่

            ตาผมมองตามมือที่ค่อยๆ ลูบไล้ไปทั่วตัว จากหน้าอกลงมาที่ท้อง และกำลังจะเลื่อนลงต่ำไปเรื่อยๆ ผมเลยต้องสะกดตัวเองให้เงยหน้ามองเพดานแล้วตั้งสติ มันมีคาถาระงับอารมณ์ที่ใกล้จะพลุ่งพล่านบ้างมั้ย อันตรายอะไรขนาดนี้

            ก้มหน้าลงมาอีกทีก็เจอล่อนจ้อนกำลังก้มถูขาอยู่ แล้วผมสีบลอนด์ที่ยังมีฟองก็อยู่ตรงหน้าลิขิตน้อยพอดี ผมเลยต้องถอยหลังเพื่อเว้นระยะห่าง คว้าฝักบัวลงมาแล้วสะกิดเรียก วันนี้อาบแค่นี้ก็พอ

            "เดี๋ยวล้างตัวให้"

            ตอนล่อนจ้อนเงยขึ้นมาผมต้องเบี่ยงตัวหลบเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดการปะทะ ผมทำมือให้ล่อนจ้อนหันหลังมันก็ทำตาม เริ่มล้างฟองจากผมที่สระทิ้งไว้ก่อน จากนั้นก็ให้มันหมุนกลับมาแล้วล้างตัวให้ สำรวจทุกส่วนว่าล้างฟองออกจนหมดแล้วก็บอกให้เอาขนหนูมาพันตัวแล้วไปหาเสื้อผ้าใส่ แต่เด็กขี้สงสัยไม่ยอมทำตาม

            "แล้วลิขิตล่ะ" ถามแล้วมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าที่ยังเต็มไปด้วยฟอง นี่แอบสำรวจร่างกายผมด้วยหรือเปล่าวะ

            "เดี๋ยวตามออกไป"

            "เดี๋ยวรอ"

            "ไม่ต้องรอ"

            "จะรอ"

            ผมขี้เกียจเถียงเลยโบกมือให้ล่อนจ้อนออกไปยืนห่างๆ แล้วล้างตัว คนรอก็เล่นจ้องจนผมเกร็งไปหมด รีบๆ ล้างแล้วคว้าผ้าขนหนูมาห่ม จบรีวิวการอาบน้ำที่ระทึกที่สุดในชีวิต

            เปิดประตูเดินออกมาด้วยกันไอ้กาลก็มองแล้วยิ้มกวนประสาทใส่ แค่อ้าปากผมก็รู้แล้วว่ามันจะพูดอะไร

            "อาบนานขนาดนี้สอนกันทุกขั้นตอนเลยดิ เสียงดังอีก" มันนั่งอยู่ตรงนี้ยังไงก็ต้องได้ยินที่คุยกันในห้องน้ำอยู่แล้ว แต่ผมขัดใจประโยคสองแง่สองแง่มของมัน รู้ว่ามันแซวอยากให้ด่า งั้นก็ขอด่าหน่อย

            "เสียงดังส้นตีนอะไร"

            "เสียงดังส้นตีนอะไร"

            แล้วเราสองพี่น้องก็พากันอึ้งทั้งคู่ เมื่ออยู่ๆ ล่อนจ้อนก็พูดตามผมซะงั้น

            "โอ้โหเจ็บเลย โดนล่อนจ้อนด่า" ไอ้กาลทำท่ากระอักเลือด กวนตีนไม่เลิก

            "มันเป็นคำไม่ดีห้ามพูด"

            "ขิตยังพูดเลย" เดี๋ยวนี้นอกจากจะดื้อแล้วยังเถียงเก่งอีก

            "แต่ล่อนจ้อนห้ามพูด เข้าใจมั้ย"

            ไอ้กาลยิ้มชอบใจ ขณะที่ล่อนจ้อนยอมพยักหน้ารับแบบหงอยๆ ผมเลยรีบคว้ามือมันเดินเข้าห้องก่อนจะโดนไอ้กาลแซวจนต้องพูดจาหยาบคายใส่มันอีก ไม่รู้ดิ ผมอยากให้ล่อนจ้อนพูดเพราะๆ มากกว่า เรื่องหยาบคายปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมกับไอ้กาลก็พอ

 

            ตั้งแต่ล่อนจ้อนมาหาทุกเย็นชุดใส่เล่นอยู่ห้องของผมถูกใช้จนเกือบหมดตู้ทุกสัปดาห์ ครั้นจะยกไปซักบ่อยๆ ก็ขี้เกียจ ปักหมุดไว้เลยว่าวันหยุดนี้ต้องพาล่อนจ้อนไปเดินซื้อของให้ได้ แล้วก็ซื้อชุดนอนน่ารักๆ ให้มันใส่ด้วย น่าจะเหมาะดี

            ผมใช้ไดร์เป่าผมให้ล่อนจ้อนหลังจากแต่งตัวเสร็จ ผมสีบลอนด์ฟูๆ นี้ให้ความรู้สึกเหมือนขนแมวยามได้สัมผัส จับแล้วเพลินมือจนอยากลูบเล่นมันทั้งคืน

            "เล่าเรื่องตอนเด็กๆ ให้ฟังหน่อยดิ" ผมขอหลังจากเป่าผมให้เสร็จ ม้วนไดร์เก็บเข้าลิ้นชักแล้วก็มานั่งข้างล่อนจ้อนบนเตียง

            การจะหาวิธีแก้ปัญหานี้ได้ผมคิดว่าเราต้องย้อนอดีตกันเสียหน่อย หากจำเรื่องราวตอนนั้นได้ รู้วิธีที่ทำให้ล่อนจ้อนกลายเป็นแมวแบบแน่ชัดแล้ว การจะทำให้มันกลับมาเป็นคนอีกครั้งก็คงไม่ใช่เรื่องยาก

            "ตอนเรายังเด็กเหรอ"

            "ใช่ ตอนเรากับล่อนจ้อนเป็นเด็ก เราเล่นด้วยกันบ่อนมั้ย สนิทกันหรือเปล่า"

            "ก็เล่น แต่ไม่สนิท ขิตกับกาลสนิทกับแม็กมากกว่า"

            "ตอนนั้นน่ะเราพูดแบบนั้นจริงๆ เหรอ ที่บอกว่าขอให้ล่อนกลายเป็นแมว"

            "ใช่ เพราะเราแกล้งแมว"

            ผมชอบแมว ย่อมมีสิทธิ์เป็นไปได้ที่จะโกรธคนที่แกล้งแมวจนพูดออกไปแบบนั้น ถึงตอนนี้จะจำไม่ได้แล้วก็เถอะ แต่ถ้ารู้ว่าคำพูดตัวเองมันศักดิ์สิทธิ์ขนาดไปกำหนดชีวิตใครได้ก็จะไม่พูดเด็ดขาด

            "แล้วทำไมถึงไปแกล้งมันล่ะ"

            "ก็แค่อยากแกล้ง เราเอาถังไล่ครอบมัน ขิตก็โกรธ"

            "แล้วเราก็แช่งเลยอ่ะเหรอ"

            "ขิตบอกให้หยุด แต่เราไม่หยุด"

            เป็นเด็กดื้อสินะ ดื้อจนผมโกรธ

            มาลองคิดๆ ดูตอนนั้นผมพูดว่า ‘ขอให้กลายเป็นแมว’ แล้วถ้าตอนนี้ผมพูดว่า ‘ขอให้กลับมาเป็นคน’ บ้างล่ะ จะเป็นยังไง

            "ขอให้กลับมาเป็นคน" ผมโพล่งขึ้นมาจนล่อนจ้อนทำหน้างงแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือไม่คงต้องรอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าถึงจะเห็นผล

            "จะกลับมาเป็นคนจริงๆ เหรอ"

            "ก็แค่ลองพูดดูเผื่อได้ผล"

            "แต่ตอนนั้นพูดยาวกว่านี้"

            "เราพูดว่าอะไรบ้างนะ"

            "เคยบอกไปแล้วไง"

            "จำรายละเอียดไม่ได้แล้วครับ ขอโทษ" ยอมรับตรงๆ ว่าลืมเพราะไม่คิดว่าคนคนนั้นจะเป็นตัวเอง

            "ลองเป็นแมวดู จะได้รู้ว่า มันรู้สึกยังไง"

            งั้นถ้าผมพูดว่า

            "ลองเป็นคนดู จะได้รู้ว่า มันรู้สึกยังไง"

            ล่อนจ้อนขมวดคิ้วแน่นตอนผมพูดจบ มันเป็นประโยคที่โคตรประหลาดเพราะตอนนี้ล่อนจ้อนก็ยังอยู่ในร่างคน นี่ผมพูดอะไรออกไปวะ เปลี่ยนเรื่องเถอะ

            "ตอนเด็กๆ นอกจากเรื่องแมวเราเคยทะเลาะกันเรื่องอื่นมั้ย"

            "เราไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไร"

            "ทำไมล่ะ"

            "ไม่รู้เหมือนกัน" ล่อนจ้อนส่ายหน้า

            เรื่องนี้มันต้องมีเหตุผลที่ทำให้เราจำไม่ได้ทั้งคู่ เราน่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกันมากกว่าเรื่องเล็กๆ อย่างการแกล้งแมว อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของความบาดหมางของเราทั้งสองหรืออะไรก็ตามแต่ที่ผมนึกไม่ออก แต่มันน่าจะมีเรื่องแบบนั้นแน่ๆ

            ผมทำแผลให้ล่อนจ้อนใหม่ ชวนคุยเรื่องสัพเพเหระอีกนิดหน่อยอีกฝ่ายก็ทำตาปรือใส่ ตอนนี้เพิ่งจะสามทุ่มครึ่ง แต่แมวขี้เซาที่ได้รับบาดเจ็บมาคงอยากเข้านอนแล้ว

            "ง่วงแล้วเหรอ"

            "อืม"

            "นอนเลยก็ได้นะ เดี๋ยวคืนนี้เราไปนอนกับกาล นอนคนเดียวได้ใช่มั้ย"

            "นอนได้ ขิตแพ้แมว" พูดปากยื่นปากยาวน่ามันเขี้ยวจนอดไม่ไหวเลยดึงแก้มนิ่มๆ ไปหนึ่งที

            คำนวณจากเวลาแล้วล่อนจ้อนน่าจะกลับร่างแมวประมาณตีหนึ่งในกรณีที่ผมนอนด้วย ซึ่งไม่ดีแน่ถ้าต้องแมวอยู่กับแมวแบบนั้น หรือไม่ก็อีกกรณีที่พอเที่ยงคืนแล้วเวลาจะตัดแล้วคืนร่าง เป็นกรณีศึกษาที่เรายังไม่เคยทดลอง ส่วนอีกกรณีคือกลับร่างแมวทันทีหลังจากผมออกจากห้อง แล้วก็จะกลับมาเป็นคนไม่ได้อีกจนกว่าจะถึงวันพรุ่งนี้ หรือก็คือตอนเที่ยงคืน

            "งั้นนอนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าเข้ามาหา" ผมลุกจากเตียงไปตรวจดูประตูระเบียงว่าล็อกเรียบร้อยดีแล้วค่อยปิดผ้าม่าน ตอนเดินผ่านเตียงล่อนจ้อนก็ลุกมาหา

            "ฝันดี" บอกแล้วก็เขย่งเอาปากมาแตะหน้าผากผม อึ้งไปเลยงานนี้

            "ไปจำมาจากไหนเนี่ย" ผมจำได้ว่าไม่เคยสอน หรือตอนเด็กๆ มันชอบทำกับพ่อแม่

            "นิทาน"

            นิทานที่ผมซื้อมาให้มันมีอะไรแบนี้ด้วยเหรอวะ แต่นั่นก็ไม่น่าตกใจเท่าคำพูดต่อมาของคนที่จุ๊บหน้าผากผมแล้วบอกฝันดี

            "ขิตไม่ทำบ้างเหรอ"

            สารภาพว่าเกิดมายังไม่เคยจุ๊บหน้าผากใครแล้วส่งเข้านอน กับไอ้กาลที่ชอบเล่นถึงเนื้อถึงตัวด้วยก็ยังไม่เคย กับแฟนสมัยมัธยมก็ไลน์บอกฝันดีกันธรรมดา แล้วไอ้นี่มันเป็นใครวะ กล้าดียังไงมาทวงจุ๊บฝันดีจากผม แล้วถามว่าต้องทำมั้ย

            "ฝันดี"

            ต้องเงยหน้าขึ้นนิดหน่อยเพราะล่อนจ้อนมันไม่ได้เตี้ยกว่าผมสักเท่าไร ผละออกมามองหน้ากันแล้วก็รู้สึกเขินแปลกๆ แต่ยังไม่เท่าตอนที่อาบน้ำด้วยกันเมื่อหัวค่ำ

            "ไปนอนไป" ผมโบกมือไล่ล่อนจ้อนก็ปีนกลับขึ้นเตียงดึงผ้ามาห่มถึงอก

            ปิดไฟปิดประตูแล้วก็เผลอถอนหายใจอยู่หน้าห้อง ไอ้กาลหายหัวไปแล้ว คงอาบน้ำอยู่เพราะได้ยินเสียงน้ำเปิด

            ถ้ารู้ว่าล่อนจ้อนจะจำจากนิทานแล้วมาทำแบบนี้ รู้งี้ผมซื้อเรื่องเจ้าหญิงนิทราหรือไม่ก็สโนว์ไวต์มาให้อ่านก็ดี ยอมไม่ต้องจุ๊บก่อนนอนก็ได้ แต่เปลี่ยนมอร์นิ่ง คิสแทน

            ก็ว่าไปนั่น

tbc


ในที่สุดก็ได้อยู่ด้วยกันแล้ว
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 10 ___ [09/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-06-2019 19:49:04
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 10 ___ [09/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 10-06-2019 00:49:16
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 10 ___ [09/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 10-06-2019 01:07:35
 :กอด1: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 10 ___ [09/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 10-06-2019 17:24:04
แหน๊ จะยอมซื้อนิทานเลยเหรอ
ไม่ธรรมดาเลยนะนายคนนี้  :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 11 ___ [16/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 16-06-2019 21:46:08

ลิขิตครั้งที่ 11


            ไอ้กาลมันเรียนเช้าแทบทุกวัน พอมันตื่นขึ้นมาทำธุระส่วนตัว เปิดตู้ ค้นนู่นจัดนี่ผมก็ตื่นตาม ไม่เหมือนตอนมันนอนห้องผมที่พอตื่นก็แค่ลุกออกจากเตียงไป แม้วันนี้ผมจะเรียนบ่ายแต่ตาสว่างแล้วเรียบร้อย

            นอนเกลือกกลิ้งด้วยความขี้เกียจอยู่ห้องน้องชายได้สักพัก หลังจากมันอาบน้ำเสร็จผมก็กลับห้องตัวเอง เปิดประตูเข้าไปเจอแมวนอนขดอยู่บนเตียง จะเข้าไปกวนก็เห็นว่ายังเช้าอยู่เลยเปิดประตูแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าแปรงฟันแทน

            วันนี้ไม่มีมื้อเช้าเพราะกาลมันขี้เกียจทำ แต่งตัวเสร็จก็คว้ากระเป๋าเตรียมออกจากห้อง ผมเลยคว้ากระเป๋าสตางค์เดินลงไปพร้อมมัน แต่แยกกันที่ลานจอดรถใต้หอ

            ผมเดินไปซื้อโจ๊กที่ปากซอยข้างๆ สำหรับมื้อเช้าของวันนี้ ซื้อแบบพิเศษใส่ไข่เผื่อแมวขาวที่ยังนอนอุตุอยู่บนเตียง ไม่ได้กินโจ๊กมาเป็นสิบปีผมว่ามันคงคิดถึง

            กลับมาถึงห้องก็วางถุงโจ๊กไว้บนเตียงแล้วเดินเข้าห้องนอน แมวเปอร์เซียสีขาวเปลี่ยนจากท่านอนขดเป็นนอนหงายโชว์พุงหลาม เชิญชวนให้ทาสอย่างผมย่องเข้าไปขยุ้ม หยิบมาสก์มาใส่แล้วปืนขึ้นจากปลายเตียง นอนคว่ำเท้าคางมองแมวขี้เซาที่ยังไม่รู้ตัวว่าจะโดนลักหลับ

            ผมลูบท้องเล่นเบาๆ มันก็ยังไม่มีทีท่ากว่าจะตื่น ใจอยากจะเอาหน้าซุกพุงแรงๆ ก็กลัวมันจะตกใจแล้วโดนตะกุยหน้าจนหมดหล่อเอา นอนเกาพุงเล่นอยู่ได้ไม่นานมันก็ตื่น

            "ตื่นแล้วเหรอขี้เซา" ถามพลางใช้สองมือจับตัวมันเขย่าเบาๆ แมวขาวร้องประท้วง แต่ยังยอมนอนให้ผมเล่นอยู่เหมือนเดิม

            ยิ่งเล่นยิ่งมันมือ ยิ่งเล่นก็ยิ่งนึกสงสัยไปเรื่อย บังเอิญมองเห็นนมแมวตรงท้องผมก็แหวกขนหา อยากรู้ว่านมแมวจะมีกี่เต้า แต่ยังหาได้ไม่ทันครบขนนุ่มๆ ก็พลันหายไป กลายเป็นผิวเนียนๆ มาแทนที่

            สองตาจ้องมอง การกระทำหยุดชะงัก แม้กระทั่งคำพูดทักทายก็นึกไม่ออก จะกลับมาเป็นคนทำไมไม่นัดกันก่อน จะได้ไม่อยู่ในท่าที่มันล่อแหลมขนาดนี้

            ผมรีบเอามือที่วางอยู่บนหน้าอกล่อนจ้อนออกแล้วยันตัวลุกขึ้นนั่งดีๆ ถ้าไอ้กาลอยู่แล้วเปิดมาเจอฉากที่ผมกำลังคร่อมล่อนจ้อนแถมจับนมมันอีกแบบเมื่อกี้ รับร้องน้องชายผมกรี๊ดห้องแตกตกใจยิ่งกว่าเจอแมวซะอีก

            "โทษที" พูดไปแล้วก็รู้สึกเขินแปลกๆ ล่อนจ้อนหูแดงแป๊ด ค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่งโดยไม่พูดอะไร ผมเลยดึงผ้าห่มมาปิดของสงวนให้

            ก็แค่ได้จับนมจะเขินทำไมก็ไม่รู้ ของก็เคยๆ เห็นจนชินตาแล้วด้วยซ้ำ แต่ก็นั่นแหละ เคยมองแต่ผมไม่เคยจับไง

            ผมลุกจากเตียงไปเตรียมเสื้อผ้ามาวางไว้ให้บนโต๊ะ รู้สึกเก้ๆ กังๆ นิดหน่อยตอนคนบนเตียงช้อนตามอง นี่มันยังไม่หายหูแดงอีกเหรอวะ แค่เผลอจับนมนิดเดียวเอง

            "ใส่เสื้อผ้าแล้วก็ไปแปรงฟันไป ซื้อโจ๊กมาให้อยู่ที่โต๊ะ"

            รอจนล่อนจ้อนพยักหน้ารับผมก็เดินออกมาจากห้อง

 

            การล้างหน้าแปรงฟันครั้งที่สองหลังจากกลับมาเป็นมนุษย์ ผมไม่ได้เข้าไปดูว่าจะผ่านไปได้ด้วยดีหรือเละเทะแค่ไหน เพราะมัวยุ่งอยู่กับการเทโจ๊กใส่ถ้วย จัดการทุดอย่างเสร็จแล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าล่อนจ้อนมีแผลใต้คางให้ต้องระวัง เลยเดินไปดูที่หน้าประตูห้องน้ำ คนที่ล้างหน้าเสร็จพอดีก็หันมายิ้มให้

            "น้ำโดนแผลมั้ย"

            ผมชี้ที่ใต้คาง ล่อนจ้อนก็เงยหน้าให้ดู ซึ่งแน่นอนว่าเละ เสื้อที่เพิ่งใส่ก็เปียกจนเกือบถึงพุง ล้างหน้ายังไงให้เปียกขนาดนี้เนี่ย

            "งั้นเดี๋ยวล้างแผลก่อนค่อยกินข้าว เปลี่ยนเสื้อด้วย"

            "ขอโทษ" บอกเสียงหงอย แต่ก็โทษล่อนจ้อนไม่ได้หรอก ผมไม่ทันระวังเอง เอาไว้เย็นนี้ค่อยไปหาซื้อผ้าปิดแผลแบบกันน้ำมาใช้

 

            เปลี่ยนเสื้อล้างแผลเสร็จก็ได้เวลามื้อเช้าตอนเก้าโมง โจ๊กที่ซื้อเริ่มหายร้อนแล้ว ล่อนจ้อนดูมีความสุขกับอาหารมื้อนี้ดี เวลาได้กินอาหารอะไรก็ตามหลังจากได้กลับมาเป็นคนเจ้าตัวมักจะทำหน้าฟินเสมอ ยิ้มจนตาหยีหมวดแมวขึ้น แก้มก็เป็นก้อนซาลาเปา เป็นคนแปลกๆ ที่หน้าอ้วนจะตัวผอม

            "เมื่อคืนเป็นไง หลับสบายมั้ย"

            "สบายมาก เตียงนุ่ม"

            "กลัวมั้ยนอนคนเดียว"

            "ไม่กลัว ที่ผ่านมาก็นอนคนเดียว"

            เออเนอะ ผมก็ถามไม่คิด ทั้งตัวคนเดียว ทั้งเร่ร่อน มันน่ะเป็นแมวที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว

            "ต่อไปนี้ก็จะได้นอนสบายๆ แล้ว"

            "แต่ไม่ได้นอนกับลิขิต" ล่อนจ้อนพูดด้วยหน้าซื่อๆ แต่หารู้ไม่ว่าความคิดคนฟังอย่างผมไม่ได้ใสซื่อด้วยเลย

            "ก็ล่อนจ้อนเป็นแมวไงเลยนอนด้วยไม่ได้"

            "งั้นถ้าเป็นคน ก็นอนด้วยได้ใช่มั้ย" แล้วทำไมมันต้องอยากให้ผมนอนด้วยขนาดนั้น

            "ไม่รู้ดิ ถ้าไอ้กาลมันนอนคนเดียวได้เมื่อไรก็คงได้มั้ง"

            "แล้วทำไมกาลถึงนอนคนเดียวไม่ได้"

            ปัญหาของน้องชายผมเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ไม่มีใครรู้เรื่องนี้นอกจากผม และก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะแก้ไขได้เหมือนกัน หมอก็ไม่ช่วยให้อาการมันดีขึ้นเลย

            "กาลมันมีปัญหานิดหน่อย ชอบฝันร้าย เลยคนเดียวไม่ได้"

            "กาลไม่เก่งเลย"

            "ใช่มั้ย แต่อย่าไปพูดแบบนี้กับมันนะ"

            "โอเค"

            มองคนตรงหน้าเวลาพูดถึงไอ้กาลผมก็ชอบนึกถึงใครอีกคน คนที่หน้าคล้ายล่อนจ้อนจนเคยมีความคิดว่าอาจจะเป็นคนคนเดียวกัน แต่มันไม่มีทางเป็นไปได้

            "ล่อนจ้อนมีญาติพี่น้องที่หน้าตาคล้ายกันบ้างมั้ย" ในเมื่อผมกับไอ้กาลเป็นพี่น้องกัน แล้วเรื่องแปลกประหลาดที่สุดในชีวิตของเราล่ะจะมีโอกาสเกี่ยวข้องกันได้มั้ย ถ้ามันเกี่ยวข้องกันจริง อาจจะทำให้เรื่องนี้แก้ไขง่ายขึ้นก็ได้

            "ไม่มี เป็นลูกคนเดียว"

            "ลูกพี่ลูกน้องก็ไม่มีเหรอ"

            "มี แต่หน้าไม่เหมือน"

            "ลองนึกดีๆ"

            "ไม่มี"

            เมื่อเจ้าตัวยืนยันหนักแน่นผมก็ไม่เซ้าซี้ถามต่อ ก็ใช่ว่าจะไม่มีสักหน่อย คนที่หน้าคล้ายกันแต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด

            "ถามทำไม" ล่อนจ้อนถามกลับ

            "มันอาจจะแปลกนิดหน่อย แต่ล่อนจ้อนอ่ะ หน้าคล้ายไอ้ดื้อของไอ้กาลมัน"

            "ไอ้ดื้อ?"

            "หมายถึงแฟนเก่ามันน่ะ"

            "แฟนเก่า?"

            "จริงๆ ก็ไม่รู้จะเรียกว่าเก่าได้หรือเปล่า"

            "ไม่เข้าใจ"

            "ช่างมันเถอะ ก็แค่หน้าเหมือนกันเฉยๆ ถ้ามีโอกาสคงได้เจอ" โอกาสที่เปอร์เซ็นต์แทบเป็นศูนย์ แต่ถ้าล่อนจ้อนกับไอ้ดื้อได้เจอกันจริงผมว่าคงสนุกน่าดู

            แม้สีหน้าจะยังดูสงสัยแต่ล่อนจ้อนก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ ผมแบ่งตับให้เพราะเห็นเหมือนว่าอีกฝ่ายจะชอบ พอได้ของโปรดเพิ่มเลยยิ้มขอบคุณจนตาเป็นขีด

            "ตอนเด็กๆ เรียนที่ไหนจำได้มั้ย" พอจะนึกคำถามเกี่ยวกับเรื่องสมัยเด็กออกผมก็ถาม ถึงบางเรื่องอาจจะไม่เกี่ยวกับปัญหานักก็เถอะ เผื่อมันอาจจะช่วยฟื้นความทรงจำที่หายไปได้บ้าง

            "ประถมเหรอ"

            "ก็ต้องประถมดิ"

            "โรงเรียนในอำเภอ"

            "ไกลจากบ้านสวนมั้ย"

            "ไม่ไกลมาก"

            "แล้วไปโรงเรียนยังไง"

            "พ่อไปส่ง"

            "ตอนปิดเทอมก็อยู่ที่บ้านสวนตลอดเลยเหรอ"

            "ใช่ ช่วยงานพ่อกับแม่"

            "ตอนเด็กเราไม่ค่อยได้เล่นด้วยกันใช่มั้ย แล้วกับคนอื่นล่อนจ้อนสนิทด้วยหรือเปล่า"

            "ก็สนิทกว่าลิขิต กับกาล"

            ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ พวกนั้นอยู่ด้วยกันมากกว่าผมกับไอ้กาลที่แวะไปแค่เปิดเทอมยังไงก็ต้องสนิทกว่าอยู่แล้ว ผมก็ถามอะไรไม่คิดอีกแล้ว

            "แล้วคนอื่นเป็นยังไงบ้าง" ล่อนจ้อนถามกลับมาบ้าง แต่ผมไม่แน่ใจว่าคนอื่นที่ว่านั้นหมายถึงใคร

            "คนอื่น?"

            "เพื่อนคนอื่นๆ แม็ก น้ำอ้อย..."

            "อ๋อ พวกนั้นไม่ได้ติดต่อกันแล้ว" อีกฝ่ายไล่ชื่อยังไม่ทันจบผมก็ชิงตอบก่อน

            "ทำไมล่ะ"

            "พอขึ้นมัธยมปู่ก็เสีย หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยได้กลับไปเล่นที่นั่นเหมือนเดิมแล้ว"

            "ปู่ข้ามภพเหรอ"

            "ใช่ ปู่เสียไปหลายปีแล้ว"

            สีหน้าล่อนจ้อนไม่เชิงว่าเศร้า แต่ดูเหมือนจะใจหายมากกว่าที่ได้ยินข่าวนี้ ปู่ผมน่ะใจดีกับทุกคน ไม่ว่าจะลูกหลานหรือคนงานก็ชอบปู่กันหมด ผมกับไอ้กาลก็เหมือนกัน

            "เสียใจด้วย"

            "ปู่ไปสบายแล้ว"

            กลายเป็นว่าเรื่องการจากไปของปู่ผมทำล่อนจ้อนซึมไปชั่วขณะ เรากินโจ๊กที่เหลืออยู่ไม่มากจนหมดโดยไม่ได้พูดคุยอะไร จนผมยกจานทั้งหมดมาไว้ที่อ่างล่อนจ้อนก็เดินตามมา

            "เดี๋ยวช่วยล้าง" เสนอตัวพร้อมกับเข้ามายืนเบียด

            "ไม่ต้อง ไปรอไป"

            "อยากช่วย"

            "เดี๋ยวล้างเอง ไปนั่งรอไป"

            ตอนแรกผมตั้งใจจะแช่ไว้ก่อนแล้วค่อยกลับมาล้าง แต่ประเมินจากสถานการณ์แล้วล่อนจ้อนต้องแอบมาล้างตอนผมไปเรียนแน่ เพราะฉะนั้นจัดการให้เสร็จไปเลยน่าจะดีกว่า

            คนอยากล้างจานไม่ยอมขยับไปไหนแม้จะโดนไล่แล้วไล่อีก ล่อนจ้อนยืนส่งสายตาแมวอ้อนให้ผม มันได้ผลแน่ถ้าผมยังฝืนเล่นจ้องตาด้วยอยู่ เลยต้องหันหน้าหนีแล้วสั่งเสียงเข้มอีกรอบ

            "ไปรอ อย่าดื้อ"

            ผมไม่รู้ว่าล่อนจ้อนทำหน้ายังไงก่อนยอมเดินไปนั่งรอที่โซฟา ที่ไม่อยากให้ช่วยส่วนหนึ่งก็เพราะยังไม่ไว้ใจให้ล่อนจ้อนทำคนเดียว และสอง อ่างมันเล็ก แค่ล้างจานสองใบ ทำคนเดียวกินเวลาไม่กี่นาทีหรอก

 

            ล่อนจ้อนดูทีวี ผมเล่นมือถือ เข้าไอจี ไถเฟซบุ๊กดูนู่นนั่นนี่ไปเรื่อยๆ เข้ากลุ่มไลน์ไปคุยกับเพื่อนบ้าง พสุมันชอบเข้ามาบ่นขิงบ่นข่าแล้วก็ทะเลาะกับคิริน หนักข้อเข้ามงคลก็เข้ามาห้ามแล้วแยกย้าย เป็นกลุ่มที่ไม่เคยมีสาระอะไรทั้งสิ้น

            เข้าไอจีไล่กดไลค์ ดูสตอรี่เพื่อนจนไม่มีอะไรทำก็วนกลับมาเข้าเฟซบุ๊ก นอนดูคลิปตลกๆ ที่เพื่อนมันชอบแชร์มา เลื่อนลงมาอีกนิดก็เจอคลิปแมวที่คิรินเป็นคนแชร์ แมวเปอร์เซียสีขาวเหมือนคนที่นั่งดูทีวีอยู่ข้างๆ ผมเลย

            "น่ารักมั้ย เหมือนล่อนจ้อนเลย" ดูจบไปหนึ่งรอบผมก็เปิดให้คนข้างๆ ดู ล่อนจ้อนเอนตัวมาหาเกือบซบไหล่ผม มองเจ้าแมวสีขาวในจอไปก็ยิ้มไป

            "น่ารัก"

            "ชมตัวเองเหรอ" เจอมุกแป้กของผมเข้าไปคนฟังถึงกับหันมาทำหน้างงใส่

            "เปล่า แมวน่ารัก"

            "ล่อนจ้อนก็เป็นแมวเหมือนกันไง สีขาวเหมือนกัน"

            จ้องหน้าผมแล้วก็หันกลับไปมองจอก่อนจะร้องเอ๋อออกมา ลืมหรือไงว่าตัวเองก็เป็นแมวสีขาว น่ารักขนฟู บางทีก็ดุหน่อยๆ

            "ตอนเราเป็นแมวน่ารักเหรอ" แล้วก็เงยหน้าขึ้นมาถามด้วยหน้าซื่อๆ

            ก่อนหน้านี้ผมตั้งใจว่าจะแซวเล่นๆ พอต้องตอบจริงจังแล้วรู้สึกแปลกยังไงไม่รู้ ความจริงก็ไม่เห็นจะมีอะไรเลยแค่ชมแมวว่าน่ารัก ใครๆ เขาก็ชมกัน ตอนล่อนจ้อนเป็นคนผมก็เคยชอบออกบ่อย แต่น่าแปลกที่ครั้งนี้มันกลับไม่กล้าพูดแบบเต็มปาก

            "ก็น่ารัก"

            "แล้วตอนเป็นคนล่ะ"

            นี่ผมกำลังโดนเอาคืนอยู่หรือเปล่าวะ ก็แค่ชมแบบที่เคยชม ทำไมต้องตื่นเต้น

            "น่ารักเหมือนกัน"

            "แล้วก็หล่อด้วย" พูดแก้ก่อนหันกลับไปสนใจทีวี แล้วทำไมต้องทำหูแดงด้วยฮะ แต่ก่อนเวลาชมยังทำหน้าบึ้งใส่อยู่เลย แค่นี่เขินเหรอ

            "ล่อนจ้อน"

            โดนผมกวนอีกรอบเจ้าของชื่อก็หันมาเลิกคิ้วใส่

            "อยากมีไอ้นี้ไว้ใช้มั้ย" ผมโชว์มือถือให้ดู ล่อนจ้อนก็รีบพยักหน้ารับทันที

            "อยาก"

            "งั้นรอแป๊บนึง"

            ผมจำได้ว่ายังเก็บมือถือเครื่องเก่าเอาไว้ ไม่ได้ขายหรือยกให้ใคร อาจจะตกรุ่นไปหลายปีแต่ถ้าเอาแค่พอใช้งานพื้นฐานได้ก็ยังพอไหวอยู่ อย่างน้อยมันก็เล่นไลน์ได้

            ค้นในลิ้นชักอยู่นานสองนานในที่สุดก็หาเจอ โชคดีที่มันยังชาร์ตแบตเข้า เครื่องอืดไปนิดแต่ไม่น่ามีปัญหาอะไรถ้าเล่นด้วยความใจเย็น ขาดก็แค่ซิมที่ต้องซื้อกลับมาตอนเย็น มีมือถือแล้วต่อไปจะได้ติดต่อกันได้ทุกเวลาที่ต้องการ เอ่อ...หรืออาจจะต้องเว้นตอนเป็นแมวไว้ช่วงเวลาหนึ่ง แต่แมวฉลาดอย่างล่อนจ้อนน่าจะพอเล่นได้อยู่ล่ะมั้ง

            ผมโผล่หน้าไปเรียกล่อนจ้อนให้เข้ามาหาในห้อง จะได้แนะนำเพื่อนใหม่ให้รู้จัก

            "เครื่องนี้ให้ล่อนจ้อนไว้ใช้นะ เป็นเครื่องเก่าของเราเอง"

            เจ้าตัวพยักหน้า รับมือถือเครื่องเก่าของผมไปถือไว้ แต่ยังไม่กล้ากดอะไร

            "เดี๋ยวสอนโทรออกกับเล่นไลน์ แต่ต้องรอซิมก่อน ตอนเย็นซื้อมาให้"

            "แล้วเล่นอย่างอื่นได้มั้ย"

            "เล่นได้ ดูหนังฟังเพลง เล่นเกม ดูยูทูปได้หมด แต่รอแบตเต็มก่อนค่อยเล่น"

            "เมื่อไรจะเต็ม"

            "ซักสองชั่วโมงมั้ง"

            "นาน"

            "ดูหนังรอกันมั้ย"

            "ดู แล้วันนี้ลิขิตไม่ไปเรียนเหรอ" รีบพยักหน้าด้วยความกระตือรือร้น แล้วก็ถามขึ้นมาเหมือนเพิ่งนึกออก

            "มี"

            "แล้วทำไมไม่ไปเรียน"

            "วันนี้เรียนบ่าย คงกลับมาอีกทีเย็นๆ นู่น"

            "งั้นตอนเย็นก็ไม่ได้เป็นคนแล้วสิ"

            "ก็คงอย่างนั้น"

            ริมฝีปากที่ยกยิ้มเมื่อครู่คว่ำลง กลายเป็นหงอยจนอดไม่ได้ต้องยกมือขึ้นลูบหัว ผมเองก็อยากทำให้คนตรงหน้ากลับมาเป็นคนได้เร็วๆ อยู่หรอก แต่เพราะยังไม่รู้วิธีการที่ชัดเจนเลยทำไม่ได้

            "พรุ่งนี้ค่อยกลับมาเป็นคนใหม่ไง ไม่ต้องเศร้าหรอก"

            "อืม"

            "ไหนยิ้มก่อน"

            ล่อนจ้อนช้อนตามองผมแถมยังไม่ยอมทำตาม

            "ยิ้มให้เหมือนแมวอ่ะ ให้หนวดตรงนี้ขึ้น" ผมจิ้มแก้มล่อนจ้อนทั้งสองข้าง แต่เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมยิ้มอยู่ดี แถมยังตัดพ้อจนผมรู้สึกผิด

            "ไม่อยากเป็นแมว"

            "ขอโทษ"

            "ขอโทษทำไม"

            "ที่ทำให้เป็นแมว" ผมทำบึ้งใส่บ้าง เป็นความจริงที่ทำให้ผมรู้สึกผิดเสมอเมื่อนึกถึง

            "ยิ้มแล้วนี่ไง ยิ้มแล้ว" แต่มันกลับทำให้ล่อนจ้อนยอมยิ้มเสียอย่างนั้น

            "ยิ้มจริงเปล่าเหอะ"

            "ยิ้มจริงๆ"

            "โอเคๆ เชื่อแล้ว หนวดแมวขึ้นเลย"

            ผมเคยบอกมั้ยว่าตอนล่อนจ้อนยิ้มมันน่ารักมาก เวลายิ้มเห็นฟันจะเห็นเขี้ยวทั้งสองข้าง ตาปิด มีหนวดแมวขึ้นที่แก้ม เป็นคนที่โคตรเหมือนแมว แล้วก็เป็นรอยยิ้มที่เห็นแล้วชวนให้ยิ้มตาม

            "เราอยากเป็นคนนะ"

            "รู้แล้ว"

            "เพราะเป็นคนแล้วลิขิตจะได้อยู่ใกล้ๆ ได้"

            ประโยคที่ได้ฟังทำเอาผมต่อบทสนทนาไม่ถูกเลย มันเป็นความรู้สึกดีๆ เหมือนมีคนมาสารภาพว่าชอบ พาให้สติหลุดลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และยิ่งลอยไปไกลมากกว่าเดิมเมื่อได้ยินประโยคต่อมา

            "เราไม่อยากนอนคนเดียว"

            เอาล่ะ ถ้าผมแปลความหมายของทั้งสองประโยคนี้ไม่ผิดล่ะก็ ล่อนจ้อนเพิ่งบอกว่าอยากนอนกับผม นอนในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำอะไรกัน แค่นอนด้วยกัน อยู่ข้างๆ กัน พูดคุยและเปลี่ยนเรื่องราวที่ได้พบเจอมาแต่ละวัน แค่ลองจินตนาการถึงผมก็รู้สึกได้ถึงความสุขแล้ว

            "ถ้ากลับมาเป็นคนได้แล้วจะนอนด้วยกันเหรอ" ผมถามกลับไปหลังจากดึงสติกลับมาได้ ถึงจะกลับมาเป็นคนแล้ว เราจะได้อยู่ด้วยกัน หรือมีเหตุผลพอที่ต้องนอนด้วยกันหรือเปล่าผมยังไม่รู้เลย

            "ไม่ได้เหรอ"

            "ก็...ไม่ใช่ว่าไม่ได้"

            ผมจะคิดเสียว่านี่คือความคิดของเด็กอายุสิบหก เป็นความคิดอันใสซื่อบริสุทธิ์ผุดผ่อง แม้บางครั้งล่อนจ้อนจะกวนตีนเหมือนไม่ใช่เด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็เถอะ

            "งั้นสัญญานะว่าจะนอนด้วยกัน"

            สัญญาอีกแล้ว เป็นสัญญาระหว่างเราข้อที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ แต่กับสัญญาข้อนี้แล้ว...ไม่กล้าพูดออกไปเลยผม เพราะไม่มั่นใจเลยตัวเองเลยว่าจะนอนเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรได้

            "ไม่ได้เหรอ"

            "โอเคๆ สัญญา"

            ได้รับคำตอบแล้วล่อนจ้อนก็ยิ้มตาปิด

            ก็แค่นอนเฉยๆ เองมันจะไปยากอะไรถ้าไม่คิดอะไร แต่ก็นั่นแหละที่ยาก ผมรู้ใจตัวเองดี รู้ว่ามันคิดอะไรและรู้สึกอะไรอยู่

            ล่อนจ้อนน่ารักนะ...น่ารักที่ควรรัก

            ใจผมมันบอกตัวเองอยู่แบบนี้ทุกวัน

 

            ได้เวลาที่สมควรผมก็ทิ้งล่อนจ้อนให้นั่งดูหนังต่อคนเดียว แล้วลุกไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปเรียน แต่อยู่คนเดียวได้ไม่นานนักหรอก คนที่บอกอยากอยู่กับผมก็โผล่มาแอบดูหน้าประตูห้อง เป็นจังหวะที่ผมกำลังติดกระดุมเสื้อพอดี

            "มีไรเปล่า"

            ล่อนจ้อนส่ายหน้า ก้าวช้าๆ เข้ามาในห้องแล้วหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผม ทำตัวแปลกๆ แบบนี้มันต้องมีอะไรแล้วล่ะ

            "จะเอาอะไรหรือเปล่า"

            "อยากใส่" สุดท้ายก็ยอมสารภาพออกมา

            นิ้วป้อมๆ ชี้มาที่ชุดนักศึกษาของผม มันก็แค่เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแลคสีดำที่ผมไม่เห็นว่ามันจะน่าใส่ตรงไหน แต่กับคนที่ไม่เคยใส่คงให้ความรู้สึกแตกต่างออกไป อาจจะเหมือนผมตอนได้ลองใส่ครั้งแรกที่ตื่นเต้นนิดหน่อย เป็นความรู้สึกที่บอกว่าตัวเราโตขึ้นอีกนิดแล้วนะ จากเด็กมัธยมกลายเป็นเด็กมหา'ลัยแล้ว

            "ถ้ากลับมาเป็นคนเมื่อไรเดี๋ยวก็ได้ใส่"

            "จริงนะ"

            "ถ้าได้เรียนนะ" ผมเองก็ตอบได้ไม่เต็มปาก

            ปัญหานี้ยังไงผมต้องแก้ได้อยู่แล้ว ต้องทำให้ล่อนจ้อนกลับมาเป็นคนปกติเหมือนเดิมให้ได้ แต่ถ้าทำสำเร็จแล้วเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไปผมก็ยังเดาไม่ออก ทุกคนกลับมาจำล่อนจ้อนได้แล้วยังไง ชีวิตความเป็นอยู่ การเรียน และเรื่องอื่นๆ จะเป็นไปในทางไหน ผมว่ามันเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นนะ หรือบางทีชีวิตหลังสิ้นสุดปัญหานี้ของล่อนจ้อน อาจจะเป็นชีวิตที่เจ้าตัวเลือกเดินหากไม่เกิดเรื่องประหลาดนี้ก็ได้

            "แต่ถ้าอยากลองใส่เดี๋ยวกลับมาแล้วให้ลอง"

            ล่อนจ้อนพยักหน้ารับ ยิ้มจนหนวดแมวขึ้น

            "แต่อย่าค้นของมาใส่เองนะ"

            "รู้แล้ว พอลิขิตไปก็กลับไปเป็นแมว ค้นอะไรไม่ได้หรอก"

            "ไว้ใจได้ใช่มั้ย" ใครว่าแมวค้นไม่ได้ ขนาดหมายังรื้อบ้านจนเละได้เลย อันนี้ผมเคยเห็นในคลิปเยอะแยะ ซึ่งแมวที่มีความคิดเหมือนคนย่อมมีความสามารถมากกว่าแมวธรรมดาอยู่แล้ว

            "ไม่ไว้ใจกันเหรอ"

            "อย่าดื้อแล้วกัน" ผมยีหัวฟูๆ นั่นก่อนเดินไปหยิบเข็มขัดมาใส่ ล่อนจ้อนทำปากยื่นขัดใจแล้วเดินหนีออกไปนอกห้อง

            เป็นแมวที่อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ จริงๆ

            ผมเอาชามข้าวกับน้ำของแมวมาวางไว้ใกล้ๆ ประตูห้องหลังจากแต่งตัวเสร็จ เปิดประตูเอาไว้เผื่อล่อนจ้อนง่วงอยากขึ้นไปนอนบนเตียง ประตูห้องน้ำก็เปิดไว้เช่นกัน

            "ปิดทีวีแล้วนะ ถ้าปวดท้องก็เข้าห้องน้ำเอา"

            ล่อนจ้อนเป็นแมวฉลาด น่าจะใช้ห้องน้ำได้มั้ง แม้ตอนเป็นคนผมยังต้องสอนตอนเข้าห้องน้ำครั้งแรกก็เถอะ

            "เลิกเรียนแล้วเดี๋ยวรีบกลับ"

            "ซื้อขนมมาด้วย"

            "ครับ"

            "ตั้งใจเรียนนะ"

            "รู้แล้ว"

            ผมยีหัวฟูๆ ของคนที่นั่งยิ้มส่งบนโซฟาอีกรอบก่อนออกจากห้อง ทั้งห่วงทั้งกังวลที่ต้องปล่อยให้ล่อนจ้อนอยู่คนเดียว    เสียดายที่มือถือยังไม่พร้อมใช้งาน ไม่งั้นคงสั่งให้รายงานทุกชั่วโมง จะใช้อุ้งตีนแมวพิมพ์อะไรมาก็ได้ให้ผมรับรู้ว่ายังอยู่ดีก็พอ


tbc.


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 11 ___ [16/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-06-2019 22:04:32
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 11 ___ [16/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 16-06-2019 22:21:01
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 11 ___ [16/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 16-06-2019 23:15:21
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 11 ___ [16/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 17-06-2019 14:13:46
ล่อนจ้อนน่ารักมากก น้องงงงงง :mew2:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 11 ___ [16/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 17-06-2019 14:44:45
ถูกใจล่อนจ้อนมาก ดูออก
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 11 ___ [16/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 18-06-2019 04:24:02
ล่อนจ้อนน่ารักเนื้อเรื่องดีงามมมมม ภาษาก็ดีคืออ่านแล้วไม่สะดุดเลยค่ะทำให้น่าติดตาม  o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 12 ___ [22/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 22-06-2019 20:18:51

ลิขิตครั้งที่ 12


            "เดี๋ยวนี้มันติดมือถือว่ะ" อยู่ๆ พสุที่นั่งข้างผมก็พูดขึ้นมา ดึงความสนใจจากคิรินที่นั่งอยู่ข้างมันมาจากอาจารย์ที่กำลังพูดอยู่หน้าห้อง รวมถึงมงคลที่นั่งข้างคิรินอีกทีให้เหล่มามองได้

            "ก็ปกติ"

            "ปกติของมึงคือไม่เล่นเวลาเรียน"

            "เหรอ กูเป็นงั้นเหรอ"

            "หรือแอบมีแฟนไม่บอกพวกกู"

            "ไม่มี"

            "อย่าคิดว่ากูไม่รู้เรื่องนั้นนะ" คิรินพูดด้วยหน้าตามีลับลมคมใน ทำเอาผมชักรู้สึกระแวงว่าแม่งไปรู้อะไรมากันอีก ไอ้พวกนี้ยิ่งไว้ใจไม่ค่อยได้อยู่ สืบกันเก่ง

            "อะไรของมึง"

            "เรื่องพี่ณดา ทำไมมึงไม่บอกวะว่าจริงๆ แล้วพี่เค้าตามจีบมึง วันนั้นกูเจอพี่เค้าอยู่กับไอ้น้องเหนือก็เสร่อไปแซว หน้าแหกเลย"

            "เออใช่ เรื่องนี้ต้องเคลียร์ที่มึงปิดบังพวกกู" พสุเห็นดีเห็นงามด้วย สงสัยพาไปหน้าแหกด้วยกันมาถึงได้เครียดแค้นกันขนาดนี้

            พูดถึงพี่ณดา จะว่าไปแล้วช่วงนี้คุณพี่เธอไม่ค่อยเข้ามาวุ่นวายกับผมเท่าไร อาจจะมีทักไลน์มาบ้างแต่ผมไม่ได้ตอบเป็นปกติอยู่แล้ว อาทิตย์นึงตอบกลับสักหนึ่งครั้ง บางทีพี่เธออาจจะเบื่อคนเล่นตัวเยอะอย่างผมแล้วก็ได้ ซึ่งถ้าจริงมันจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากๆ

            "พี่เค้าก็จีบไปทั่วอ่ะมึง"

            "แล้วมึงไม่ชอบพี่เค้าเหรอวะ" พสุถาม ขณะที่มือจดเล็กเชอร์ไปด้วย

            "ถ้าชอบก็คงเป็นแฟนกันไปนานละ"

            "หล่อเลือกได้จังเลยเพื่อนกู"

            ผมไหวไหล่ ก็คนมันไม่ชอบจะให้ทำไง ฝืนคุยฝืนคบกันไปก็ไม่มีความสุขอยู่ดี

            "แล้วสรุปมึงคุยกับใครวะ" ทั้งที่พสุเป็นคนเปิดประเด็นแต่กลับเป็นคิรินที่สานต่อ มันยังไม่ล้มเลิกความอยากรู้อยากเห็นอีกเหรอวะ

            "คุยกับแมว"

            "ตลกละสัด"

            "คุยกับไอ้น้องเหนือของพวกมึงอ่ะ วันนี้ว่าจะไปซื้อของ" ผมกดล็อกหน้าจอแล้วเก็บมือถือใส่กระเป๋าเพื่อตัดความสงสัยของพวกมัน พอได้คำตอบที่พอใจแล้วเพื่อนรักทั้งสามก็กลับไปฟังอาจารย์กันเหมือนเดิม

            ตอนพูดความจริงล่ะไม่เชื่อแต่ดันเชื่อตอนโกหก ก็ผมน่ะคุยกับแมวจริงๆ พิมพ์อะไรกลับมายังอ่านไม่รู้เรื่องเลยสักประโยค

 

            เลิกเรียนปุ๊บผมก็บึ่งกลับห้องทันที วันนี้สัญญากับล่อนจ้อนไว้แล้วว่าจะพาไปซื้อของเพราะเลิกเรียนเร็ว กลับมาถึงห้องเปิดประตูเข้ามาก็เจอเจ้าแมวขาวนั่งอยู่ เพราะผมไลน์มาบอกก่อนหน้านี้ว่ากำลังจะกลับ เลยมีแมวมารอต้อนรับอยู่ตรงหน้าประตูแบบนี้

            "นั่งรอเป็นหมาเลย" ผมไม่ได้เข้าไปลูบหัวลูบหาง แต่เดินเบี่ยงเลี่ยงไปที่ห้องนอน อยากแกล้งแซวคนรอให้ถูกโกรธเล่นๆ

            แม้ไม่ได้หันกลับไปมองข้างหลังแต่เสียงฝีเท้าที่เปลี่ยนไป ก็บอกได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าแมวสีขาวที่นั่งทำหน้าอารมณ์ดีอยู่หน้าประตูนั้นหายไปแล้ว กลายร่างเป็นคนหน้าแมวไม่ใส่เสื้อผ้าและกำลังทำหน้างออยู่แน่ๆ

            เปิดประตูเข้ามาในห้องผมก็คว้าผ้าขนหนูหันกลับไปล็อกตัวแมวขี้แกล้งได้พอดี คนที่อยู่ในอ้อมกอดผมอ้าปากค้าง ที่รู้ทันเพราะเมื่อวานผมก็โดนแกล้งแบบนี้ ถูกกระโจนใส่จนหน้าทิ่มเตียง แถมไอ้คนที่ทับอยู่ดันไม่ใส่เสื้อผ้าอีก แนบชัดขนาดนั้นต้องใจแข็งขนาดไหนคิดดู

            "ลิขิตรู้ได้ไง"

            "เมื่อวานก็เล่นแบบนี้"

            "ไม่น่ารีบเป็นคนเลย"

            "แต่ถ้าตะปบตอนเป็นแมวได้เลือดแน่ๆ"

            "จะข่วน" ไม่พูดเปล่ายังพยายามขยับแขนที่อยู่ใต้ผ้าขนหนู แต่ล่อนจ้อนน่ะสู้แรงผมไม่ได้อยู่แล้ว

            "ถ้าข่วนจะตี ไปใส่เสื้อผ้าไป" ผมปล่อยแขนออก จับปลายผ้าขนหนูให้ล่อนจ้อนถือไว้แล้วดันหลังให้เดินไปที่ตู้เสื้อผ้า

            วันนี้จะออกไปข้างนอก ต้องหาชุดดีๆ ให้ใส่หน่อย

            ผมเลือกเสื้อแขนยาวสีกรมท่ากับกางเกงยีนสีดำให้ล่อนจ้อน รวมถึงกางเกงใน ถุงเท้า แล้วก็เข็มขัด เพราะขนาดตัวเราต่างกันไม่มากเลยใส่ทุกอย่างได้พอดี แต่งตัวเสร็จแล้วก็ถือว่าดูดีใช้ได้ ไม่สิ ดูดีมากเลยล่ะ

            "เซ็ตผมหน่อยมั้ย" มองผมฟูๆ สีบลอนด์นั่นแล้วก็อยากเซ็ตให้มันดูดีขึ้นมาหน่อย ถ้าแต่งองทรงเครื่องครบผมว่าสาวๆ มองกันเหลียวหลังแน่

            "ทำยังไง"

            "เดี๋ยวจัดการให้"

            ผมพาล่อนจ้อนไปนั่งหน้ากระจกแล้วเริ่มลงมือ ฝีมืออาจจะไม่ได้เก่งกาจเท่าไร เพราะผมเองยังขี้เกียจเซ็ตผมเวลาออกไปข้างนอกเลย แต่ก็นั่นแหละ หน้าตาดีอยู่แล้วไม่ต้องทำอะไรเยอะก็ยังดูดี

            ผมใช้เวลาไม่กี่นาทีจัดทรงผมให้ล่อนจ้อนใหม่ พอทำผมดีๆ แล้วก็เปลี่ยนจากลุคหนุ่มน่ารักแบบเซอร์ๆ เป็นหนุ่มหล่อน่ารักแบบใสๆ ผมหน้าม้าเช็ตขึ้นเปิดหน้าผากนิดหน่อย ข้างหน้าก็หวีให้เข้าทรงที่ดูไม่ค่อยเป็นทรงนัก หรือผมควรจะพาล่อนจ้อนไปตัดผมด้วยเลยดี

            "ตัดผมด้วยดีมั้ย หน้าม้ายาวจนทิ่มตาแล้ว"

            "ตัดยังไง"

            "เดี๋ยวพาไปร้าน ไปเสริมหล่อด้วย อยากตัดทรงไหนเป็นพิเศษมั้ย"

            "เอาแบบหล่อๆ"

            "จัดไป"

            เรายิ้มให้กันผ่านกระจก ก่อนผมจะผละออกมาหาเสื้อเปลี่ยนบ้าง จะได้รีบไปรีบกลับ

 

            ขึ้นรถไฟฟ้ามาไม่กี่สถานีก็ถึงห้างสรรพสินค้าที่หมาย คนที่เพิ่งเคยขึ้นรถไฟฟ้าครั้งแรกดูจะตื่นเต้นไม่น้อย ถามว่ารู้จักมั้ยก็รู้จัก แต่เพราะอยู่ต่างจังหวัดเลยไม่เคยขึ้นมาก่อน จะว่าไปรถไฟฟ้าก็สร้างมายี่สิบปีได้แล้ว แต่ในกรุงเทพฯ ก็ยังมีอยู่แค่ไม่กี่สาย ช่วงนี้มาสร้างพร้อมกันหลายสาย รถเลยติดบรรลัยจนผมไม่อยากจะเดินทางไปไหนเลย

            ผมพาล่อนจ้อนเข้าร้านตัดผมก่อนเป็นอันดับแรก ให้เจ้าตัวเลือกทรงที่ชอบแล้วส่งให้ช่างจัดการ ใช้เวลาไม่นานนักก็แปลงโฉมเจ้าแมวขนฟูเสร็จ ผมสั้นขึ้นนิดหน่อยและดูเป็นทรงมากขึ้น หน้าตามันไม่ได้ดูแปลกไปจากเดิมมากนัก ยังดูน่ารักเหมือนเดิม

            จ่ายเงินให้แล้วผมก็จูงมือล่อนจ้อนออกมานอกร้าน มันค่อนข้างดูตื่นเต้นกับทรงผมใหม่ หลังตัดเสร็จก็ยืนส่องกระจกอยู่นานสองนาน

            "ช่างถามว่าทำสีผมที่ไหนด้วย" พูดเสียงเจื้อยแจ้วพลางจับผมตัวเองแล้วยิ้ม ตอนตัดผมนั่งเล่นมือถือรอ เลยไม่รู้ว่าช่างคุยอะไรกับล่อนจ้อนบ้าง

            "แล้วตอบไปว่าไง"

            "จำไม่ได้"

            "แต่ผมดำก็เริ่มยาวแล้วนะ เค้าไม่ชวนทำสีผมใหม่เหรอ" ปกติช่างทำผมชอบชวนทำนู่นทำนี่ เห็นผมดำขึ้นแบบนี้ต้องชวนทำสีผมใหม่แน่นอน

            "ชวน"

            "แล้วตอบไปว่าไง"

            "ชอบผมดำมากกว่า"

            "เค้าไม่ตื๊อเหรอ"

            "ตื๊อ แต่เค้าพูดอะไรไม่รู้เยอะแยะ เลยยิ้มให้อย่างเดียว"

            "ทำดี"

            ได้รับคำชมล่อนจ้อนก็ยิ้มกว้าง พอผมสั้นแล้วทำให้เจ้ตัวดูเด็กลงนิดหน่อย เห็นแก้มเป็นก้อนๆ ตอนยิ้มแล้วก็อยากดึง

            "แล้วแบบนี้ตอนกลับไปเป็นแมวขนจะเปลี่ยนทรงมั้ย" จะว่าไปแล้วมันก็น่าคิด ในเมื่อร่างคนตัดผมแล้วร่างแมวล่ะ จากแมวขนฟูจะกลายเป็นขนสั้นมั้ย เป็นเปอร์เซียขนสั้นจะดูแปลกๆ หรือเปล่า

            "ไม่รู้ดิ"

            "ถ้าเปอร์เซียขนสั้นมันจะน่าเกลียดมั้ย"

            "น่าเกลียดเลยเหรอ" ล่อนจ้อนทำหน้าเครียดขึ้นมาทันที มันหันกลับไปมองร้านตัดผมเหมือนอยากจะบอกว่า 'เอาผมข้าคืนมา'

            "ไม่น่าเกลียดหรอก เราก็พูดไปงั้นอ่ะ ไปกินข้าวก่อนมั้ย แล้วค่อยไปซื้อของ" ผมพาเปลี่ยนเรื่องโดยการเอาของกินเข้าล่อ เลยเที่ยงมาสักพักแล้วผมรู้ว่าล่อนจ้อนต้องหิว ไม่งั้นไม่รีบพยักหน้ารับหรอก

            ที่ชั้นใต้ดินมีร้านอาหารมากมายให้เลือก ครั้งนี้ผมให้ล่อนจ้อนเป็นคนตัดสินใจ อยากกินอะไรก็ได้ผมตามใจทุกอย่าง คนเลือกไม่ได้เลยเดินวนอยู่หลายรอบ ก่อนจะตัดสินใจเลือกพิซซ่าเพราะอยากกินตั้งแต่เห็นโฆษณาในทีวีเมื่อคราวก่อน

            "ตอนเด็กๆ เคยกินมั้ย" ผมชวนคุยระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ

            "ไม่เคย"

            "จริงดิ"

            "มันแพง ถ้าเคเอฟซีเคยกิน"

            ผมพอจะนึกภาพออก ตอนเด็กๆ พ่อแม่ผมก็ไม่ค่อยให้กินอะไรแบบนี้เหมือนกัน นานๆ ถึงจะได้กินที กับคนงานในบ้านสวนแล้วถ้าไม่ใช่โอกาสพิเศษหรือมีคนเลี้ยงคงไม่ซื้อกินกันหรอก

            "งั้นวันนี้ก็กินเยอะๆ เลย"

            "รู้แล้ว" ล่อนจ้อนบอกแล้วอมยิ้ม พร้อมกับที่พนักงานเอาน้ำมาเสิร์ฟพอดี

            เพราะคนในร้านไม่เยอะเมนูที่สั่งไปเลยทยอยออกมาเสิร์ฟเรื่อยๆ ในเวลาไม่นานนัก ล่อนจ้อนกินพิซซ่าไปคนเดียวสี่ชิ้น เคี้ยวตุ้ยๆ จนแก้มอูมออกมา ดูมีความสุขกับอาหารมื้อนี้จนอดไม่ได้ต้องเชียร์ให้กินเยอะๆ

            "อิ่มแล้ว" กินไก่ชิ้นที่สองหมดก็คว้าแก้วโคล่าไปดื่มจนหมด จัดการทุกอย่างบนโต๊ะจนเกลี้ยง กินได้อย่างคุ้มค่าจริงๆ

            "เดินไหวใช่มั้ย ต้องไปซื้อเสื้อผ้าต่อนะ"

            "ไหว"

            "ให้นั่งพักก่อนแป๊บนึง" ผมต้องโบกมือห้ามเมื่อคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามทำท่าจะลุกออกไปเลย กินอิ่มแล้วต้องคึกขนาดนี้เลยเหรอ

            ผมเรียกเช็คบิลระหว่างรอล่อนจ้อนพัก แต่พอพนักงานเอาบิลมาวางก็โดนคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามแย่งไปดู เห็นราคาแล้วก็ทำตาโตก่อนส่งกลับมาให้ผม

            "แพง"

            "ก็ตั้งสิบปีแล้ว ค่าครองชีพมันก็แพงขึ้นเรื่อยๆ" ผมดูราคาแล้วเปิดกระเป๋าหยิบแบงส์พันออกมาเตรียมไว้ แต่ล่อนจ้อนยังไม่เลิกตกใจ

            "แพงกว่าตัดผมอีก แต่ตัดผมก็แพง"

            เห็นอีกฝ่ายทำหน้าลำบากใจผมก็ได้แต่ยิ้มให้ ปกติซื้อแต่ของเล็กๆ น้อยๆ มูลค่าไม่ได้มากมายอะไรให้ ต่างกับที่พามาห้างฯ วันนี้ที่แบงส์สีเทาได้ปลิวออกจากกระเป๋าหลายใบแน่ๆ แต่ผมเต็มใจจ่ายนะ มันไม่ได้เดือดร้อนอะไร

            "ลิขิตมีตังค์เหรอ" เพราะคนที่เดือดร้อนดูจะเป็นคนรับมากกว่า

            "ก็แค่แมวตัวเดียว เลี้ยงได้น่า"

 

            ออกจากร้านพิซซ่าผมก็พาล่อนจ้อนไปหาซื้อเสื้อผ้า ได้ชุดชั้นในกับชุดใส่เล่นอยู่ห้องมาอย่างละห้าชุด โดยที่เจ้าตัวเป็นคนเลือกเอง ส่วนชุดสำหรับไปเที่ยวหรือออกไปข้างนอกให้ยืมชุดผมใส่ไปก่อนเพราะคงไม่ได้ออกไปไหนบ่อยๆ อีกอย่างเดี๋ยวเงินไม่พอใช้ถึงสิ้นเดือน ผมก็อยากจะเบิกพ่อสำหรับงบการแก้ปัญหาเรื่องราวแปลกประหลาดในชีวิตอยู่หรอก แต่ตอนนี้พอยังใช้ ก็ใช้ไปก่อน

            เราแบ่งกันถือของคนละครึ่งซึ่งไม่ได้มากมายอะไร เสร็จภารกิจหาเสื้อผ้าให้ล่อนจ้อนแล้วผมก็แวะไปซื้อของใช้ที่บิ๊กซีชั้นหนึ่ง จะได้ซื้อของกินกับขนมไปตุนให้สมาชิกใหม่ของห้องด้วย

            ล่อนจ้อนขอเป็นคนเข็นรถพอผมไม่ให้ก็ทำหน้างอใส่ เถียงกันอยู่สักพักสุดท้ายผมก็เป็นฝ่ายยอม เลยต้องคอยประคองไว้ไม่ให้แมวดื้อเข็นไปชนใครเขาเข้า

            ปกติเวลาซื้อของใช้เข้าห้องผมจะมากับไอ้กาลจะได้มีคนขับรถ เลือกวันหยุดต้นเดือนแล้วซื้อทีเดียวเยอะๆ ส่วนของใช้ที่ต้องซื้อวันนี้มีเฉพาะของล่นจ้อนคนเดียว

            ผมเลือกแปรงสีฟัน โฟมล้างหน้า แล้วก็ครีมทาผิวให้ ปกติผมไม่ค่อยได้ใช้พวกครีมบำรุงเท่าไร แต่เห็นผิวล่อนจ้อนแล้วอยากให้มันใช้ ดูบอบบางจนนึกไม่ออกเลยว่าตอนเด็กๆ เคยอยู่ในสวนในไร่ หรือพอเป็นแมวสีขาวแล้วทำให้ผิวมันดีขึ้นก็ไม่รู้ มีขนปกปิดช่วยปกป้องจากแดดลมฝน

            เลือกของใช้ครบตามลิสต์ก็พาเข้าโซนของกิน ให้ล่อนจ้อนเลือกหยิบขนมไปตุนไว้ได้ตามใจ แต่ก็ใช่ว่าเจ้าตัวจะเลือกทุกอย่างที่อยากกินทั้งหมด มีดูราคา ปริมาณก่อนแล้วค่อยเลือก อันไหนแพงเกินไปก็ไม่เอา

            "ถ้าอยากกินก็หยิบเลย" ผมบอกตอนล่อนจ้อนวางช็อคโกแลตราคาเหยียบร้อยไว้ที่เดิม

            "มันแพง ได้นิดเดียวเอง"

            "ซื้อได้ หยิบมาเลย"

            "ไม่เอาอ่ะ" ปฏิเสธอย่างหนักแน่นแล้วก็เดินนำหน้าผมไป รถเข็นก็ไม่เอาแล้ว ให้ผมเข็นตามเหมือนเป็นคนติดตามของคุณหนูยังไงยังงั้น

            เดินจนครบโซนของกินผมก็พาวนกลับไปที่แคชเชียร์ ตอนผ่านโซนเสื้อผ้าผู้ชายล่อนจ้อนก็ดึงเสื้อผมยิกๆ ก่อนชี้ไปยังที่ราวชุดที่อยู่ใกล้ๆ

            "ชุดนอน"

            "อยากได้เหรอ"

            "ใช่ ลิขิตไม่มีชุดนอน"

            ชุดนอนผมก็บ๊อกเซอร์กับเสื้อยืดสักตัว หรือไม่ก็ใส่บ๊อกเซอร์ตัวเดียวไปเลย ตั้งแต่ขึ้นมหา'ลัยไม่เคยคิดอยากใส่เลยชุดนอน

            "ใส่บ๊อกเซอร์นอนก็ได้"

            "ไม่ๆ อยากใส่ชุดนอน" บอกแล้วล่อนจ้อนก็ลากผมไปหาไอ้ชุดนอนนั่นทันที

            ก่อนหน้านี้ผมเคยคิดไว้ว่าอยากให้ล่อนจ้อนใส่ชุดนอน แต่หลังจากทดลองอยู่ด้วยกันแล้วชุดนอนก็กลายเป็นสิ่งไม่จำเป็นไปแล้ว พอแยกกันตอนกลางคืนเดี๋ยวคนก็กลายเป็นแมว กลับมาเป็นคนอีกทีก็ไม่ใส่เสื้อผ้า เพราะฉะนั้นซื้อชุดนอนไปก็ไม่ได้ใส่นอนอยู่ดี แต่ถ้าอยากได้ผมก็ไม่ขัด

            ผมยืมเกาะรถเข็นปล่อยให้ล่อนจ้อนเลือกชุดนอนไป บอกแล้วว่าวันนี้จะตามใจ อยากซื้ออยากทำอะไรผมยอมให้หมดเลย นอกเสียจากว่า....

            "ตัวนี้ให้ลิขิต"

            จะบอกให้ผมใส่ชุดนอนนอน

            ล่อนจ้อนหยิบชุดหนึ่งออกมาจากราวแล้วเอามาทาบกับตัวผม เป็นชุดสีน้ำเงินลายหมีน่ารักน่าชังเสียเหลือเกิน

            "เดี๋ยวเราใส่บ๊อกเวอร์เหมือนเดิมก็ได้ ล่อนจ้อนเลือกชุดที่ชอบเลย"

            "ไม่เอาดิ ใส่ด้วยกัน"

            "ไม่เป็นไร"

            "ใส่ด้วยกันนะ"

            ผมปฏิเสธล่อนจ้อนก็ตื๊อ ทำหน้าดื้อๆ ไม่ว่ายังไงก็ต้องได้ แล้วดูชุดละตั้ง 399 บาท ทีเมื่อกี้ขนมไม่ถึงร้อยไม่ยอมซื้อ ถ้าซื้อสองชุดก็แปดร้อยเลยนะ

            "นะ ใส่ด้วยกัน"

            "แต่ก็ไม่ได้นอนด้วยกันอยู่ดี"

            "ใส่ดิ ในนิทานยังใส่ชุดนอนเลย"

            ผมเอานิทานไปเผาทิ้งตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วใช่มั้ย แต่ช่างเถอะ อย่างน้อยมันก็ช่วยสอนให้ล่อนจ้อนบอกฝันดีกับจุ๊บก่อนนอนเป็น

            "ไม่อยากใส่จริงเหรอ"

            มาแล้วสายตาแบบแมวอ้อน

            "มันน่ารักออก"

            ตามด้วยแววตาเศร้าสร้อยแสนน่าสงสาร

            "แค่อยากให้ใส่ชุดนอนคู่กันเอง"

            จบเกมด้วยประโยคท่าไม้ตาย

            "ก็ได้ซื้อก็ได้ เลือกเลย" หมดปัญญาจะต้านทานแล้วจริงๆ

            ล่อนจ้อนยิ้มกว้างหันกลับไปเลือกชุดนอนต่อ เดินวนจนรอบราวสุดท้ายก็เลือกมาสองชุด เอาไอ้ชุดสีน้ำเงินลายหมีเก็บแล้วเลือกชุดเรียบๆ ที่เหมือนกันสองชุดออกมาแทน

            ชุดที่ดูเป็นคู่กัน

            ชุดที่ถ้าไอ้กาลเห็นมันต้องแซวอีกแน่

 

            หลังจากซื้อครบทุกอย่างของก็ถูกอัดใส่ไว้เต็มรถเข็น เข็นรถไปก็ต้องคอยมองคนข้างๆ ไปว่าจะแอบเถลไถลแวบไปไหนหรือเปล่า เดินอยู่ดีๆ เดินเข้าร้านขายของกระจุกระจุกโดยไม่บอกผมก็มี พาตัวออกมาได้เลยต้องบังคับให้ช่วยกันเข็นรถ อยากจับมือไว้แต่จะให้เข็นรถที่มีของเยอะๆ ข้างเดียวผมก็ไม่สามารถ

            เข็นรถออกมาถึงหน้าประตูห้างสายตาผมก็ปะทะเข้ากับสายตาของเพื่อนร่วมสาขาพอดี มันยิ้มทักทายผมแต่สายตากลับโฟกัสที่ใครอีกคน จนมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้ากันมันก็ยังไม่หยุดมอง

            "มาซื้อของเหรอ"

            "อืม มึงอ่ะ" ผมถามกลับ มันถึงได้ละสายตาจากล่อนจ้อนแล้วหันมาคุยกับผม

            "ดูหนัง"

            "คนเดียว"

            "เปล่า นัดพวกไอ้เนมไว้ ไปดูด้วยกันมั้ย"

            "มึงไปเถอะ กูจะกลับแล้ว"

            "เออๆ เจอกัน"

            เราพยักหน้าลากันพอเป็นพิธีก่อนมันจะเดินสวนไป ก่อนไปก็ไม่วายมองล่อนจ้อนอีกรอบด้วยสายตาสงสัย มันไม่ถามผมก็ไม่บอก ซึ่งก็ดีแล้ว

            "ใครเหรอ" เพื่อนผมเดินจากไปไม่ทันไรล่อนจ้อนก็ถาม

            "เพื่อนที่มหา'ลัย"

            "เขามองเราตอลดเลย"

            ไม่แปลกหรอกที่ล่อนจ้อนจะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ หน้าตาดีแถมผิวขาวเหมือนมีสปอตไลท์ส่องตลอดเวลา ไหนจะผมสีบลอนด์นี่อีก เป็นผมผมก็มอง

            "มันไม่รู้จักไงก็เลยมอง"

            "วันหลังพาไปหาเพื่อนบ้างดิ" แล้วก็ลามไปเรื่องเพื่อนจนได้

            "ไม่ต้องเลย"

            "ทำไมอ่ะ อยากรู้จักเพื่อนลิขิตบ้าง"

            "เอาเรื่องตัวเองให้รอดก่อน ถ้ากลับมาเป็นคนได้เมื่อไรจะพาไปรู้จัก โอเคมั้ย"

            "แล้วเมื่อไรจะได้กลับไปเป็นคนจริงๆ"

            "เราก็ต้องช่วยกันไง เดี๋ยววันเสาร์นี้จะพาไปบ้านสวน"

            "ไปได้แล้วเหรอ"

            "ได้ไม่ได้ก็ต้องไป ถ้าอยากรู้วิธีกลับมาเป็นคนเร็วๆ น่ะนะ"

            ล่อนจ้อนยิ้มแล้วพยักหน้า ผมไม่รู้หรอกว่าไปบ้านสวนแล้วจะมีเบาะแสหรือช่วยให้ปัญหานี้สิ้นสุดลงได้จริงๆ หรือเปล่า แต่การกลับไปที่จุดเริ่มต้นย่อมเป็นวิธีที่ดีที่สุด

 

            ขึ้นแท็กซี่จากหน้าห้างกลับมาถึงห้องตอนสี่โมงเย็น ลองนับนิ้วดูแล้วล่อนจ้อนยังเหลือเวลาอยู่ในร่างคนได้อีกประมาณห้าชั่วโมง กินข้าวเย็น อาบน้ำ เข้านอน ก็คงหมดเวลาพอดี

            "ซักผ้ากัน" ผมชวน คนที่เพิ่งทิ้งตัวลงบนโซฟาถึงกับเอียงคอมอง

            "ซักทำไม"

            "เสื้อผ้าซื้อมาใหม่ต้องซักก่อนใส่ ซักแล้วตากไว้จะพรุ่งนี้จะได้มีใส่ไง"

            "คืนนี้ก็ไม่ได้ใส่ชุดนอนอ่ะดิ"

            "คืนพรุ่งนี้ค่อยใส่ มาเร็ว เดี๋ยวสอนใช้เครื่องซักผ้า"

            ผมเอาเสื้อผ้าชุดใหม่ของล่อนจ้อนไปใส่รวมกับเสื้อผ้าของพวกผมที่เพิ่งซักไปเมื่อวันก่อนเลยมีแค่ไม่กี่ชุด ส่วนเสื้อสีเพียงตัวเดียวที่ซื้อมาก็แยกเอาไว้ซักมือเพราะกลัวว่าสีจะตก รวมถึงกางเกงในด้วยที่ต้องแยกไว้

            "ที่หอเครื่องซักผ้ามันจะเป็นแบบหยอดเหรียญ ถังเล็กสามสิบ ถังใหญ่สี่สิบ วันนี้เสื้อผ้าไม่เยอะมากเอาถังเล็กก็พอ" ผมนับเหรียญสิบในกระป๋องเหรียญมาสามเหรียญแล้วอธิบายให้ล่อนจ้อนฟังไปด้วย

            "ต้องหยอดเหรียญด้วยเหรอ"

            "มันเป็นของส่วนรวม จะใช้ก็จ่ายตังค์ ตอนอยู่บ้านสวนได้ใช้เครื่องซักผ้ามั้ย"

            "เครื่องซักผ้ามีแต่ที่บ้านใหญ่ แม่บอกให้ซักเองสะอาดกว่า แล้วถ้าเอาไปซักเครื่องมันจะสะอาดมั้ย" ถามแล้วเหล่มองตะกร้าผ้า

            "สะอาดมั้ง แต่ซักเครื่องมันดีตรงที่ไม่ต้องเสียเวลาไง โยนลงเครื่องแล้วรอตากเลย จะได้มีเวลาไปทำอย่างอื่น แต่กางเกงในต้องซักเองนะ ซักเป็นใช่มั้ย"

            "เป็นมั้ง"

            ตอบแบบนี้ผมว่าไม่เป็นชัวร์ เด็กสิบขวบพอจะทำอะไรเป็นแล้วก็จริง ยิ่งเป็นเด็กต่างจังหวัดคงได้ช่วยงานบ้านบ่อยๆ แต่จากการที่เห็นล่อนจ้อนทำอะไรหลายๆ อย่างแล้ว เอาไว้ผมสอนอีกทีดีกว่า

            ผมอุ้มตะกร้าผ้าพาล่อนจ้อนที่ถือขวดน้ำยาซักผ้าเดินตามหลังลงมาที่โซนเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญของหอ เห็นเครื่องที่ซักประจำยังว่างก็รีบเดินเข้าไปหา เช็กในถังกับช่องใส่น้ำยาว่าไม่มีอะไรค้างอยู่แล้วก็เทผ้าใส่ลงไป

            "ใส่ผ้า แล้วก็ยอดเหรียญตรงนี้ ส่วนน้ำยาใส่ช่องนี้ แล้วก็ปิดผา" ผมทำให้ดูแล้วบอกล่อนจ้อนทีละขั้นตอน ในอนาคตไม่ได้คิดว่าจะปล่อยให้เจ้าตัวลงมาซักผ้าคนเดียวหรอก แค่บอกไว้เป็นความรู้รอบตัว

            รอดูจนน้ำไหลแล้วผมก็ชวนล่อนจ้อนขึ้นห้อง เอากางเกงขาสั้นให้เปลี่ยน จากนั้นก็ลากมาซักเสื้อสีที่แยกไว้กับกางเกงในด้วยกัน แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิดว่าไว้ว่าล่อนจ้อนซักผ้าไม่เป็น แถมยังดูสนุกสนานกับการตีฟองเป็นพิเศษ ตีจนน้ำกระเด็นเปียกไปทั้งขา

            "พอแล้ว เลอะเทอะว่ะ"

            "ฟองเต็มเลยดูดิ"

            "เห็นแล้ว เล่นเป็นเด็กเลย"

            ล่อนจ้อนย่นจมูกใส่ผม โดนว่าไปแบบนั้นถามว่าเลิกเล่นมั้ยก็ไม่ หยิบกางเกงในมาขยี้ตรงฟองอย่างเมามัน

            "ไม่ต้องขยี้แรงขนาดนั้น"

            พอผมบอกแล้วก็หัวเราะใส่ ชักจะทำตัวร่าเริงเกินไปแล้ว มัวแต่เล่นแบบนี้ซักถึงเย็นก็ไม่เสร็จ

            "เดี๋ยวซักเอง" ผมแย่งผ้าทั้งหมดมาซักเอง ปล่อยให้แมวนั่งหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเล่นฟองไป

            แค่เสื้อหนึ่งตัวกับกางเกงในไม่กี่ชุดกลับใช้เวลาซักและตากนานเกือบครึ่งชั่วโมง เสื้อก็ชื้นจนต้องเปลี่ยนใหม่ ส่วนคนที่เอาแต่เล่นหลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จก็หลับคาโซฟาไปแล้ว ปล่อยให้ผมลงไปเอาผ้าที่ซักไว้คนเดียว กลับขึ้นมาบนห้องอีกทีคนก็หายไปเหลือแค่แมวสีขาวนอนขดอยู่บนโซฟา

            ลืมนึกไปว่าถ้าห่างกันล่อนจ้อนจะกลับไปเป็นแมว แต่ผมลงไปไม่ถึงห้านาทีเลยนะ ตามกำหนดที่ผมจดบันทึกไว้วันนี้ยังเหลือเวลาอีกตั้งหลายชั่วโมง เป็นแบบนี้มีหวังโดนแมวงอนอย่างไม่ต้องสงสัย           

            ซวยแล้วมั้ยล่ะ


tbc.


ก็แค่แมวตัวเดียว เลี้ยงได้เนอะลิขิตเนอะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 12 ___ [22/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 22-06-2019 21:19:40
ลิขิตสายเปย์
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 12 ___ [22/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 22-06-2019 21:32:27
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 12 ___ [22/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-06-2019 21:59:25
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 12 ___ [22/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 24-06-2019 01:54:17
แมวตัวนี้ขี้งอนด้วย
รีบง้อเลย
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 12 ___ [22/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 24-06-2019 10:10:21
น้องงงงงงง น่ารักจังเลยลูกกกกก
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 12 ___ [22/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 24-06-2019 19:58:04
 :กอด1: :L1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 13 ___ [29/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 29-06-2019 21:00:38
ลิขิตครั้งที่ 13


            วันหยุดสัปดาห์นี้ผมสัญญากับล่อนจ้อนไว้ว่าจะพากลับบ้านสวน คนจะได้กลับบ้านก็ดีอกดีใจจัดกระเป๋ารอ แต่อาจารย์ดันสั่งทำงานกลุ่มตัดหน้าแถมให้เวลาแค่อาทิตย์เดียว พอถึงวันหยุดผมเลยต้องยกเวลาให้เพื่อนและงานกลุ่มแทน แมวก็เลยหน้างอไปตามระเบียบ

            "ไปด้วย" ล่อนจ้อนบอกหน้าง้ำหน้างอ นั่งกอดกระเป๋าที่จัดไว้ตั้งแต่วันก่อนอยู่บนเตียง

            "ไม่ได้หรอก"

            "ทำไม"

            "ยังไม่อยากให้เพื่อนเจอตอนนี้ เกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมามันจะวุ่นวาย" เหตุฉุกเฉินจะเป็นอะไรได้บ้างผมยังไม่แน่ใจ แต่ถ้าพาล่อนจ้อนไปด้วยล่ะก็พวกเพื่อนผมมันคงสนใจคนหน้าแมวมากกว่างานแน่ๆ ไหนจะต้องเตรียมคำตอบเผื่อไว้สำหรับคำถามแปลกๆ จากพวกมันอีก ต้องตัวติดกันตลอดทิ้งให้ห่างไม่ได้ เกิดพลาดพลั้งกลับไปเป็นแมวขึ้นมาจะซวยเอา ผมยังไม่อยากมีเรื่องระทึกในชีวิตเพิ่ม ขี้เกียจคิดข้ออ้างต่างๆ ไม่อยากโกหกด้วย หรือจะบอกว่าล่อนจ้อนคือเรื่องราวแปลกประหลาดที่สุดในชีวิตผมก็ไม่ได้ด้วย

            "จะไม่วุ่นวาย จะอยู่เฉยๆ สัญญา"

            "ไม่ได้"

            "อยู่ห้องมันน่าเบื่อ กาลก็ไม่อยู่" ตอนแรกไอ้กาลมันก็จะไปบ้านสวนกับผมนี่แหละ แต่พอบอกว่าไปไม่ได้แล้วมันเลยเปลี่ยนแผนไปหาไอ้ดื้อแทน อาบน้ำแต่งตัวออกไปตั้งแต่เก้าโมงนู่น

            "กลับไปเป็นแมว หลับแป๊บเดียว ตื่นอีกทีก็เย็นแล้ว"

            "เบื่อแมว ไม่อยากเป็นแมว"

            "เข้าใจ แต่พาไปด้วยไม่ได้จริงๆ เอาตอนเย็นจะซื้อขนมมาฝาก"

            "ไม่ใช่เด็กนะจะเอาของกินมาล่อ"

            เดี๋ยวนี้มีพัฒนาการหลอกล่อด้วยของกินไม่ได้แล้วงั้นสิ แต่ถึงจะงอแงยังไงสุดท้ายผมก็พาไปด้วยไม่ได้อยู่ดี

            "อยู่ห้องนะครับเด็กดี" ผมวางมือลงบนผมสีบลอนด์ ยังไม่ทันได้ลูบก็โดนปัดมือทิ้งก่อนคนงอนจะนั่งหันหลังให้

            เพิ่งจะหายงอนกันไม่นานก็โดนงอนอีกแล้ว

            "ไปแล้วนะ" ลองยื่นมือไปลูบหัวอีกครั้ง คนที่หันหลังให้ก็โยกตัวหลบทันทีที่มือผมสัมผัส แต่ผมไม่มีเวลาง้อแล้ว ต้องรีบออกก่อนจะโดนโทรตาม เพราะอีกห้านาทีผมจะสาย ไอ้พวกนี้ไม่ใช่คนที่ชอบมาเลทกันด้วย

            มองแผ่นหลังใต้เสื้อยืดสีขาวตัวบางที่ยังนั่งกอดกระเป๋าอยู่ก็รู้สึกผิดขึ้นมาจับใจ ยังไงผมก็ต้องพาล่อนจ้อนกลับบ้านสวนก่อนสอบมิดเทอม ไม่งั้นคงติดอ่านหนังสือกันยาวๆ และโดนงอนแบบนอนสต๊อป ถ้าเราเจอกันช่วงปิดเทอมผมคงแก้ปัญหาทุกอย่างได้รวดเร็วกว่านี้ ไม่ได้อยากปล่อยให้ปัญหามันค้างคาอยู่แบบนี้เลย

 

            ตั้งใจจะรีบทำงานแล้วรีบกลับ เอาเข้าจริงกลับลากยาวตั้งแต่สิบเอ็ดโมงยันหกโมงเย็น เก็บของเสร็จพสุก็ยิ้มกว้างแท็กทีมกับคิรินลากผมมากินชาบูด้วยกันทั้งที่บอกแล้วแท้ๆ ว่าจะรีบกลับ แต่พอนึกได้ว่ายังไม่ได้ซื้อขนมไปง้อแมวเลยยอมทำตามมันมา เดินเล่นหาซื้อของอีกสักพักแล้วค่อยกลับ แมวที่ห้องคงไม่งอนไปมากกว่านี้แล้วมั้ง

            กว่าจะกลับมาถึงห้องก็สองทุ่มกว่า ไอ้กาลกลับมาแล้ว นอนเล่นมือถืออยู่บนโซฟาทั้งที่เปิดทีวีไว้ บนโต๊ะมีถุงขนมที่แกะแล้ววางอยู่

            "มึงกลับมากี่โมง"

            "หกโมงกว่า"

            "ล่อนจ้อนอ่ะ"

            "ก็อยู่ในห้องมึงดิ เป็นแมวอยู่ไม่ใช่เหรอตอนนี้ กูไม่อุ้มออกมาเล่นแน่นอน" มันทำหน้าหวาดๆ บุ้ยปากไปที่ห้องผม ถ้าล่อนจ้อนเปิดประตูเป็นไอ้กาลไม่ได้นั่งสบายอารมณ์อยู่อย่างนี้แน่ ส่วนแมวขี้งอนป่านนี้สงสัยยังนอนอยู่ ไลน์หาก็ไม่เห็นตอบ ปกติจะชอบพิมพ์ภาษาแมวกลับมา

            "กูจะเข้าห้องแล้วนะ ระวังตัวด้วยเผื่อล่อนจ้อนวิ่งออกมา"

            "ไม่ต้องมาขู่กู" โบกมือไล่ผมแล้วไอ้กาลก็หันหน้าเข้าหาโซฟา

            ผมเปิดประตูเข้าไปในห้อง มองเตียงก่อนเป็นอันดับแรกแต่บนนั้นกลับว่างเปล่า เลยเปิดไฟวางถุงขนมกับกระเป๋าไว้บนโต๊ะ เดินไปดูข้างเตียงก็ไม่เจอ เห็นตู้เสื้อผ้าปิดไม่สนิทเลยลองเปิดดูเผื่อมันจะมุดเข้าไปนอนก็ไม่มี หลังตู้ก็ไม่มี ลองสะลัดผ้าห่มดูก็ไม่มี เสื้อผ้าที่ใส่เมื่อเช้าก็ไม่อยู่

            "มึงเห็นล่อนจ้อนป้ะ" โผล่หน้าออกไปถามไอ้กาลที่กลับมานั่งปกติแล้ว มันเลิกคิ้วใส่ก่อนส่ายหน้า

            "ไม่นะ"

            "ได้ยินเสียงแมวร้องบ้างมั้ย"

            "ไม่ได้ยิน"

            "ตั้งแต่กลับมาอ่ะนะ"

            "อืม"

            ล่อนจ้อนในร่างแมวเปิดประตูไม่เป็น เราทำข้อตกลงกันแล้วด้วยว่าล่อนจ้อนจะไม่ออกจากห้องนอนในเวลาที่ผมไม่อยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้ไอ้กาลกลัวจนช็อกตายไปก่อน แล้วตอนนี้มันหายไปไหนกัน

            "ทำไมวะ ล่อนจ้อนไม่อยู่ในห้องเหรอ"

            "ไม่อยู่"

            "หาดียัง"

            "กูหาดีแล้ว หรือมันจะแอบนอกมานอกห้องหลังจากกูออกไปวะ พอมึงกลับมาก็ไปซ่อนเพราะกลัวโดนเห็น"

            "แต่ถ้ามึงกลับมาแล้วก็น่าจะส่งเสียงบอกหรือเปล่า"

            "นั่นดิ แล้วตอนมึงกลับมาเห็นชุดกองอยู่บนพื้นมั้ย"

            "ไม่มีนะ"

            "ในห้องมึงอ่ะ"

            "ไม่มีเหมือนกัน"

            เอาล่ะ ผมชักจะเริ่มเครียดแล้ว เมื่อเช้าโดนงอนเลยมีสิทธิ์ที่ล่อนจ้อนจะทำอะไรพิเรนทร์ๆ เพื่อเอาคืนผมได้ แต่การหายไปซ่อนตัวแบบนี้มันไม่สนุกเลย

            "ล่อนจ้อนอยู่ไหน ออกมา" ผมลองเรียก เดินดูรอบๆ ห้อง แต่สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงความเงียบ

            "มึงหาในห้องนอนดีแน่แล้วใช่มั้ย" ไอ้กาลถามย้ำอีกรอบ และผมก็ยังยืนยันคำเดิม

            "ดีแล้ว"

            "งั้นลองหาในห้องอีกรอบก่อน เผื่อหลับอยู่ตรงไหน"

            ผมกับน้องชายแยกกันหาคนละฝั่ง ผมดูฝั่งครัว ส่วนไอ้กาลดูฝั่งห้องน้ำ ไม่รู้มันแค่ทำใจกล้าหรือลืมไปแล้วว่าตัวเองกลัวแมวเลยยอมช่วยกันหา แต่สุดท้ายก็ไม่เจออะไรอยู่ดี ไม่เจอเสื้อผ้า ไม่พบร่องรอยอะไร แม้แต่ขนแมวสักเส้นก็ไม่มี

            "หาที่ระเบียงหรือยัง"

            "เอ่อว่ะ"

            ผมรีบกลับเข้าไปในห้องทันทีที่ไอ้กาลทัก เปิดไฟเปิดผ้าม่านแล้วเปิดประตู ซึ่ง...มันไม่ได้ล็อก ทั้งที่ผมจำได้ว่าก่อนออกจากห้องผมล็อกมันไว้

            "เจอมั้ย" ไอ้กาลตะโกนถามอยู่ตรงหน้าประตูห้อง

            "เจอ" ผมกวาดสายตามองไปทั่วระเบียงที่มีเพยงกระบะทรายกับราวตากผ้าที่อยู่ฝั่งห้องไอ้กาล เพราะชามอาหารกับเบาะนอนเก็บเข้ามาไว้ข้างในหมดแล้ว

            "ค่อยยังชั่ว"

            "แค่ชุด" ผมก้มลงหยิบเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้นที่ล่อนจ้อนใส่เมื่อเช้าขึ้นมา หันไปบอกไอ้กาลที่เดินตามเข้ามาหาในห้อง

            "แล้วล่อนจ้อน"

            "ไม่รู้"

            "อย่าเพิ่งทำหน้าเครียดดิวะ"

            ผมโยนชุดทิ้งไว้หน้าระเบียง ปิดประตูล็อก ปิดม่าน ปิดไฟเอาไว้เหมือนเดิม เดินสวนไอ้กาลออกไปนอกห้อง

            "จะออกไปตามหาเหรอวะ"

            "ไม่ตาม"

            "แล้วมึงจะไปไหน"

            "ไปหาน้ำกิน"

            "แล้วล่อนจ้อน"

            "ช่างแม่ง"

            ผมคว้ากุญแจแล้วออกจากห้องมา รู้ตัวว่าใช้น้ำเสียงไม่ค่อยดีกับไอ้กาลแต่ผมกำลังโมโห เหลือแค่ชุดกองอยู่ที่ระเบียงแล้วตัวหายไปแบบนั้นคิดได้อย่างเดียวคือหนีออกไปเที่ยว เปิดประตูเองตอนอยู่ในร่างคนแถมปิดไว้อย่างดีก่อนจะกระโดดออกทางระเบียงไปตอนกลายเป็นแมว หนีไปทันทีหลังจากผมออกไปเรียน ดีไม่ดีอาจจะออกไปได้ก่อนผมจะออกจากตึกด้วยซ้ำ

            ในเมื่ออยากหนีออกไปเที่ยวนักผมก็ไม่ตามหาให้เสียเวลาหรอก ที่อยากให้อยู่แต่ในห้องเพราะห่วงกลัวจะไปมีเรื่องแล้วโดนทำร้ายมาอีก หรือถ้าอยากจะออกไปเที่ยวเล่นเหมือนตอนก่อนมาอยู่ด้วยกันผมก็ไม่ว่า แต่ไม่ใช่หนีออกไปโดยไม่บอกแบบนี้ ถ้าจะอ้างว่าบอกตอนกลายเป็นแมวไม่ได้ผมว่ามันฟังไม่ขึ้นในกรณีที่หนีออกไปทันทีที่ผมออกจากห้องแบบครั้งนี้ แค่บอกผมก่อนออกมาว่าอยากออกไปเที่ยวเล่นแบบแมวๆ ผมก็ให้ไปแล้ว อย่างเดียวที่ไม่อยากให้ทำตอนนี้คือไม่เจอคนรู้จักของผมในร่างคนแค่นั้นเอง

            จากอารมณ์คุกรุ่นบนห้อง เดินเห็นหมาหน้าเซเว่นอยู่ๆ อารมณ์ผมก็เย็นลงเพราะดันไปนึกถึงตอนที่พาล่อนจ้อนมาเซเว่นครั้งแรก กับเรื่องที่มันเล่าว่าไม่ค่อยมาแถวนี้เพราะหมาเยอะ แล้วก็ชวนให้นึกถึงแผลที่ได้มาจากการตบตีกับแมวตัวอื่นเมื่อเร็วๆ นี้ มันเองก็หนีออกไปตั้งมาหลายชั่วโมงแล้วทำไมถึงยังไม่กลับมาสักที

            ไม่ใช่ว่าไปตีกับแมวหรือหมาที่ไหนอีกหรอกนะ

            ‘กูฝากเก็บชุดล่อนจ้อนที่ระเบียงหน่อย’

            หลังจากเข้ามาในเซเว่นผมก็ไลน์ไปบอกไอ้กาล ตอนนี้หายโกรธแล้วนิดนึง

            ‘แล้วทำไมเมื่อกี้ไม่เก็บเข้ามาวะ’

            ‘โกรธอยู่’

            ‘แล้วตอนนี้ไม่โกรธ’

            ‘โกรธ’

            ‘อะไรของมึงเนี่ย’

            ‘ฝากหน่อย’

            ‘เออๆ แล้วมึงอยู่ไหน’

            ‘เซเว่น’

            ‘ไปซื้อน้ำจริงเหรอวะ’

            ‘อืม เอาไรมั้ย’

            ไอ้กาลอ่านแต่ไม่ตอบอะไรกลับมาผมเลยเก็บมือถือยัดใส่กระเป๋ากางเกงแล้วเดินดูของทั้งที่ไม่ได้อยากซื้ออะไร ขนมที่ว่าจะเอามาง้อแมวก็ซื้อให้แล้ว ข้าวก็กินแล้ว ที่ว่าจะมาซื้อน้ำก็แค่พูดส่งๆ ไปงั้น แค่อยากมาเปลี่ยนบรรยากาศให้มันผ่อนคลายเฉยๆ ขืนยังนั่งรอล่อนจ้อนกลับมาอยู่ในห้องอารมณ์ผมไม่เย็นลงง่ายๆ แน่ จะให้ออกไปตามหาก็ไม่รู้จะไปตามที่ไหนด้วย เพราะตอนเป็นแมวผมไม่รู้เลยว่ามันชอบไปที่ไหนบ้าง

            ‘รีบขึ้นมา’

            ทิ้งเวลาสักพักกว่าไอ้กาลจะตอบกลับมา ผมกดอ่านแต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปก่อนยัดมือถือใส่กระเป๋าไว้แล้วเดินดูของต่อ

            ผ่านไปประมาณสามนาทีก็มีสายเรียกเข้าจากน้องชาย

            [ขึ้นมายัง]

            "ยัง มึงเอาอะไร"

            [กูบอกให้รีบขึ้นมาไง]

            "แป๊บนึง รอของเวฟอยู่"

            [ล่อนจ้อนกลับมาแล้วมึงรีบขึ้นมา]

            "เหรอ" ได้ยินแล้วมันก็โล่งอก แต่เพราะยังโกรธอยู่ผมเลยตอบกลับไปได้แค่นั้น

            [เหรอพ่อง! รีบมา แม่งร้องใหญ่แล้ว กระโดดมาตอนกูจะเดินไปเก็บชุดพอดี หัวใจจะวาย]

            "เออๆ แป๊บนึง"

            [รีบมา!]

            "เออออออ" ผมลากเสียงยาวใส่มันก่อนวางสาย ได้ไส้กรอกที่กำลังรอเวฟพอดีเลยรีบเดินกลับหอก่อนไอ้กาลจะโวยวายห้องแตก

 

            กลับมาถึงห้องก็เจอไอ้กาลนั่งอยู่บนโซฟาโดยที่สภาพยังดูปกติไม่เหมือนน้ำเสียงที่โวยวายตอนโทรมาสักนิด หรือที่โทรมานั่นมันแค่แสดง

            "อยู่ไหน"

            "ในห้องดิ" มันบอกแล้วบุ้ยปากไปที่ห้องผม

            "เข้ามาในห้องยัง"

            "ไม่รู้ กูหนีออกมาก่อน ประตูไม่ได้ปิดน่าจะเข้ามาแล้วมั้ง"

            "สภาพมันปกติดีมั้ย"

            "มันก็ก้อนขาวๆ อ่ะ มึงเข้าไปดูเองเถอะ ถามกูไปก็ไม่ได้อะไรเพราะไม่ได้มอง ต้องรีบหนี"

            "อืม มึงกินได้นะ"

            ผมวางของที่ซื้อมาไว้บนโต๊ะข้างซองขนมไอ้กาลก่อนเดินเข้าไปในห้อง เห็นแมวสีขาวนั่งอยู่หน้าประตูระเบียงเลยหยิบมาสก์มาใส่ ไม่ได้เดินเข้าไปใกล้เพื่อเว้นระยะห่าง จนแมวที่นั่งอยู่ลุกเดินเข้ามาหาเอง

            "หยุดอยู่ตรงนั้นเลยไม่ต้องเดินมา"

            เจ้าสี่ขาหยุดเดิน มันร้องถาม น่าแปลกที่ครั้งนี้ผมดันเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร แต่ผมโกรธอยู่ และจะไม่ยอมหายโกรธง่ายๆ ด้วย ไม่งั้นครั้งหน้ามันก็จะทำแบบนี้อีก หนีไปอีกโดยไม่บอกกัน แอบหนีออกไปข้างนอกโดยไม่คิดเลยว่าคนรอจะเป็นห่วงหรือเปล่า

            ผมมองสำรวจขนสีขาวที่สั้นขึ้นนิดหน่อยตั้งแต่พาไปตัดผมเมื่อวันนั้น ขนยังขาวสะอาดดีไม่มีสีอื่นแปดเปื้อนให้รู้สึกกังวลใจไปมากกว่าเก่า ท่าทางการเดินเมื่อครู่ก็ปกติ สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนเดิมก็คือดวงตาเศร้าสร้อยที่มองผมอยู่ เพิ่งรู้ว่าแมวก็รู้สึกผิดได้เหมือนกัน

            "ทำไมถึงเพิ่งกลับ หนีออกไปแบบนี้รู้มั้ยว่าเป็นห่วง"

            "เมี้ยว"

            "คิดจะไปก็ออกไปไม่บอกกันแบบนี้เหรอ"

            "เมี้ยว"

            "ออกไปเที่ยวสนุกมั้ย อยู่แต่ในห้องคงเบื่อสินะ ถ้าไม่อยากอยู่แล้วบอกกันดีๆ ก็ได้ ถ้าไม่อยากอยู่ก็ไม่บังคับหรอก"

            "เมี้ยว"

            "ไม่ต้องเดินมา"

            เจ้าแมวสีขาวหยุดเดินแล้วนั่งลงอีกครั้ง สายตามันบอกว่าต้องการอธิบาย แต่เสียงเมี้ยวๆ ไม่สามารถทำให้ผมเข้าใจได้อีกแล้ว ผมรู้ว่ามันไม่ยุติธรรมที่อีกฝ่ายไม่สามารถอธิบายอะไรได้เลย

            "ถ้าหิวก็กินข้าวไปก่อนแล้วกัน พรุ่งนี้ค่อยคุย" ทิ้งท้ายไว้เท่านี้ผมก็เดินออกมาจากห้อง

            เสียงเมี้ยวๆ ยังดังให้ได้ยินเรื่อยๆ แม้ประตูห้องจะปิดลงแล้ว ไอ้กาลนั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟามองมาอย่างวาดระแวงว่าจะมีตัวอะไรเดินตามผมออกมาหรือเปล่า

            "คุยกันเสร็จแล้วเหรอ"

            "อืม"

            "คุยกับแมวรู้เรื่องด้วย"

            "กูพูดคนเดียว มันก็ร้องเมี้ยวๆ"

            "มึงเข้าใจเหรอ"

            ผมส่ายหน้าให้ ถอดมาสก์ออกเดินไปนั่งข้างมันบนโซฟาแล้วถอนหายใจ เสียงร้องเมี้ยวๆ ยังดังให้ได้ยินเป็นระยะชวนให้ใจอ่อน หรือผมจะใจร้ายเกินไป

            "ยังไม่หายโกรธอีกเหรอมึง มันก็กลับมาแล้วไง"

            "ก็ไม่ได้โกรธอะไรขนาดนั้น"

            "แต่หน้าหงิกขนาดนี้เลย"

            "มันก็ต้องสั่งสอนหน่อยป้ะวะ ทำไมตัวไม่น่ารักแบบนี้"

            "เออเนอะ ปกติเขาน่ารัก"

            "มันใช่เวลามาแซวมั้ย"

            "ก็อยากให้มึงผ่อนคลาย"

            "กูไปอาบน้ำละ"

            "หัวร้อน ตัวร้อน"

            ผมไม่ได้หันกลับไปต่อล้อต่อเถียงกับไอ้กาล ลุกไปจะเดินเข้าห้องตัวเองก็ต้องชะงักแล้วเดินเข้าห้องน้องชายแทน วันนี้ขอยืมชุดกาลมันใส่ก่อนแล้วกัน

 

           - อ่านต่อด้านล่าง -

หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 13 ___ [29/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 29-06-2019 21:01:06


            หลับไม่สนิท มันหลับๆ ตื่นๆ จนผมต้องลุกขึ้นมากลางดึก กดดูหน้าจอมือถือบอกเวลาตีหนึ่ง ไอ้กาลดูเหมือนจะหลับสนิท แต่ผมกลับฝันทุกครั้งที่ใกล้จะหลับสนิท ฝันถึงคนที่อยู่ห้องข้างๆ ไม่สิ ต้องบอกว่าแมวที่อยู่ห้องข้างๆ มากกว่า

            ตั้งแต่ทิ้งให้ล่อนจ้อนในห้องตัวเดียวไม่นานมันก็หยุดร้อง ตั้งใจจะทำใจแข็งให้ถึงที่สุดแล้วเคลียร์กันทีเดียวตอนอีกฝ่ายกลับมาเป็นคนทีเดียวพรุ่งนี้ แต่พอทิ้งตัวลงนอนก็หลับฝันถึงแทบจะทุกครั้งที่หลับตา เก็บมาคิดหนักขนาดไหนคงไม่ต้องบอก

            ถ้าจำไม่ผิดไอ้กาลมันบอกว่าประตูระเบียงห้องผมไม่ได้ปิด ตอนเข้าไปผมก็ลืมสนใจเพราะมัวแต่โกรธแมวอยู่ ถ้าออกไปปิดให้ตอนนี้จะทันมั้ย คงไม่มีโจรปีนระเบียงย่องมาขโมยของหรอกนะ

            ผมก้าวลงจากเตียงเปิดประตูระเบียงห้องไอ้กาลที่แทบจะปิดตายอย่างเบามือ มองมันที่ยังหลับสนิทก่อนปิดประตูแล้วเดินไปห้องข้างๆ ประตูระเบียงห้องผมยังเปิดไว้อย่างที่คิด ชุดของล่อนจ้อนที่ฝากมันเก็บก็ยังวางกองไว้อยู่ที่เดิม ลองแหวกม่านที่ปิดอยู่มองเข้าไปข้างในเห็นแมวสีขาวนอนขดอยู่ฝั่งขวาของเตียง เลยเก็บชุดแทรกตัวเข้าไปข้างในแล้วค่อยๆ ปิดประตู

            แมวยังคงไม่รู้สึกตัว

            ผมวางชุดไว้ข้างประตู ยืนมองแมวที่ยังหลับไม่รู้เรื่องว่ามีคนบุกเข้ามาในห้อง เห็นแบบนี้แล้วเหมือนมีแค่ผมที่คิดมากไปคนเดียวยังไงก็ไม่รู้ คิดมากจนนอนไม่หลับ ขณะที่คู่กรณีกลับนอนหลับสบายดี

            ได้แต่ถอนหายใจแล้วนั่งลงอีกฝั่งของเตียงที่ยังว่าง ถึงจะโกรธแต่ผมไม่ได้อยากให้ล่อนจ้อนเป็นเดือดเป็นร้อนเหมือนกันนักหรอก หมายถึงไม่ได้อยากให้มันรู้สึกแย่ แค่อยากให้มันรู้ว่าผมห่วงขนาดไหนถึงได้โกรธขนาดนั้น กลับมาอยู่ในร่างคนเมื่อไรก็อยากได้คำอธิบายดีๆ ที่แอบหนีออกไปโดยไม่บอกกัน ผมอยากฟัง และให้อภัยมันตั้งแต่ตอนนี้เลย

            "ขอโทษนะที่พูดไม่ดีใส่" บอกกับแมวที่กำลังหลับ ทั้งที่รู้ว่าตอนนั้นมันเถียงไม่ได้ผมก็ใส่เอาๆ ถ้ามันตื่นเมื่อไรก็อยากจะบอกคำนี้อีกครั้ง

           

            หนัก รู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก

            ผมลืมตาโพลงตอนแสงแดดแทงตาแต่กลับลุกไม่ขึ้นเมื่อบนตัวมีก้อนสีขาวทับอยู่บนอก มันมองผมตาแป๋วก่อนจะเริ่มเอาหัวมาสี ร้องเมี้ยวๆ ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาใกล้ แมวตัวนี้มันลืมไปหรือเปล่าว่าผมแพ้ ตัวผมเองก็ลืมไปหรือเปล่าว่าตัวเองแพ้ ทำไมเมื่อคืนไม่กลับไปนอนกับไอ้กาล แล้วนอนในห้องตัวเองที่มีแมวอยู่แบบนี้

            ยังไม่ทันตั้งสติได้ครบร้อยเปอร์เซ็นต์ แมวบนอกก็กลายร่างเป็นคนนอนแปะอยู่บนตัวผม ล่อนจ้อนยันแขนทั้งสองข้างกับที่นอนเอาไว้ได้ทันก่อนหน้ามันจะเข้ามากระแทก แล้วกลายเป็นมอร์นิ่งคิสที่อาจจะได้เลือดแถมมาด้วย

            ช่างเลือกเวลากลายร่างได้ดีจริงๆ

            "ลุกก่อน หนัก" ผมดันตัวล่อนจ้อนออกแต่อีกฝ่ายไม่ยอม มันสอดแขนกอดผมไว้แถมยังซุกหน้าลงมาที่คออีก ได้โปรดใจเย็นๆ ก่อน ถ้าไอ้กาลพรวดพราดเข้ามาเห็นตอนนี้มันจะไม่งาม

            "ขอโทษ"

            "ลุกก่อน จะได้คุยกันดีๆ"

            "เราขอโทษ ลิขิตไม่โกรธนะ"

            "ล่อนจ้อนลุกขึ้นก่อน"

            "บอกก่อนว่าไม่โกรธ" ไม่พูดเปล่ายังขยับตัวยุกยิกไปมาไม่หยุด ไม่รู้หรือไงว่าการทำแบบนี้มันอันตรายขนาดไหน            "อืม ไม่โกรธ"

            "จริงนะ"

            "แต่ถ้าไม่ยอมลุกแล้วยังถามอีกครั้งจะโกรธอีกรอบ"

            คำขู่นี้ได้ผล ล่อนจ้อนยอมลุก ผมรีบลุกตามแล้วโดนผ้าห่มไปปิดของรักของหวงให้ กลุ้มใจ ทำไมไม่รู้จักหวงเนื้อหวงตัวสักที

            "เมื่อวานลิขิตน่ากลัวมาก" บอกแล้วทำหน้างอเหมือนจะร้องไห้ ตั้งแต่รู้จักกันมาเป็นครั้งแรกเลยมั้งที่ผมรู้สึกอยู่เหนือกว่าขนาดนี้ ปกติแพ้แมวตลอด

            "เป็นเด็กไม่ดีก็ต้องดุดิ"

            "ตอนเราจะอธิบายก็ไม่ฟังด้วย"

            "ภาษาแมวคงจะฟังรู้เรื่อง"

            เจอผมสวนกลับไปล่อนจ้อนก็ทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้มากกว่าเดิม ก็มันเรื่องจริง ได้ยินแค่เสียงร้องเมี้ยวๆ ผมจะไปรู้ได้ไงว่าตอนนั้นแมวกำลังพูดอะไร

            "มีอะไรจะอธิบายมั้ย"

            "มี"

            "ว่ามาเลย"

            ผมขยับไปนั่งพิงหัวเตียงเพื่อตั้งใจฟัง ล่อนจ้อนสูดลมหายใจเข้าหนึ่งครั้งแล้วค่อยๆ ผ่อนออก มันขยับเข้ามาใกล้ผม ก่อนจะเริ่มอธิบายถึงเหตุการณ์เมื่อวาน

            "เมื่อวานหลังลิขิตออกไปจากห้อง เราก็ออกไปทางระเบียง รอจนกลายเป็นแมวแล้วก็ออกไป เราเหงา เราเบื่อ ไม่อยากอยู่แต่ในห้อง อยากออกไปเล่นข้างนอกบ้าง แต่ลิขิตไมให้ไปด้วย เลยต้องแอบหนีออกไป"

            "แล้วทำไมไม่บอกกันก่อน"

            "ถ้าบอกก็ไม่ได้ไป"

            "ไม่อยากให้ไปเจอคนรู้จัก ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้ออกไปข้างนอกเลย ถ้าบอกยังไงก็ให้ออกไปอยู่แล้ว แต่ก่อนล่อนจ้อนก็เป็นอิสระไง ตอนนี้ก็ไม่ได้อยากกักกันไว้ขังขนาดนั้น"

            "ก็ไม่รู้" ตอบกลับมาเสียงอ่อย จนเสียงผมอ่อนลงตาม

            "ถ้างั้นต่อไปนี้ตอนกลางวันก็อยู่ข้างนอก ตอนกลางคืนค่อยกลับเข้ามาในห้องดีมั้ย"

            "ไม่เอา"

            "แล้วจะเอายังไง"

            "ลิขิตอย่าดุ"

            "ไม่ได้ดุ แค่ถาม"

            "ถ้างั้นวันไหนอยากออกค่อยบอกได้มั้ย" ล่อนจ้อนคว้ามือผมไปจับไว้แล้วถามตาแป๋ว

            "ได้ ยังไงก็ได้"

            พยักหน้ารับถี่ๆ พลางขยับเข้ามาใกล้อีก เป็นการถูกง้อจากแมวที่ผมไม่ค่อยชินเท่าไร ความรู้สึกเหมือนมันอยากจะเอาตัวมาสีอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ต้องเตือนสติตัวเองไว้ว่าตอนนี้อยู่ในร่างคน เลยทำได้แค่ส่งสายตาน่าสงสารมาให้แทน สายตาแมวๆ ที่ผมแพ้อีกตามเคย

            "มันเหงาขนาดนั้นเลยเหรอ"

            "เหงาที่ไม่ได้อยู่กับลิขิต"

            "ขอโทษนะที่แก้ปัญหาให้ไม่ได้สักที"

            คนที่จับมือผมอยู่ส่ายหน้า ขยับตัวเข้ามาใกล้อีกนิดจนหัวเข่าชนกันแล้ว

            "ขอโทษที่เมื่อวานดุแบบไม่มีเหตุผลด้วย"

            "ไม่ๆ เราผิด ลิขิตดุได้ เราขอโทษ"

            "ไอ้ลูกแมวเอ๊ย!" ยกมือยีผมคนตรงหน้าอย่างอดรนทนไม่ไหว พูดมาได้ว่า ‘ลิขิตดุเราได้’ ด้วยหน้าเด็กดื้อสำนึกผิดแบบนั้นคิดว่ามันน่าให้อภัยนักหรือไง

            เออใช่! มันน่าให้อภัย แล้วก็โคตรน่าบีบแก้มเลย

            "ไปอาบน้ำไป"  ผมผลักหัวล่อนจ้อนเบาๆ มันย่นจมูกใส่ก่อนลุกจากเตียงยอมทำตามอย่างว่าง่าย โชว์ก้นขาวๆ ให้ผมดูตอนเดินไปหยิบผ้าขนหนูมาพันเอว มีการหันมายิ้มให้กันหนึ่งทีก่อนเดินไปเปิดประตู

            "กาล"

            แล้วก็เจอกับน้องชายฝาแฝดผมยืนขมวดคิ้วรออยู่ มันหลบทางให้ล่อนจ้อนเดินออกไป ก่อนจะเดินหน้าตึงเข้ามาหาผม

            "ทำไมกลับมานอนห้องไม่บอกกูวะ"

            "ขอโทษ กูแค่แวะมาดูเพราะนึกได้ว่ายังไม่ได้ปิดประตูระเบียง แล้วก็เผลอหลับ มึงฝันร้ายเหรอ"

            "เปล่า"

            "แล้วทำหน้าเครียดทำไมวะ"

            "พี่ชายหายกูก็ตกใจไง"

            "ติดพี่ชายนี่หว่า" ผมแซว ทำเอาไอ้กาลขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ปกติมาแนวนี้จะเข้าทางมันนะ ชอบเหลือเกินเล่นอะไรเลี่ยนๆ กับผมเนี่ย แต่คำตอบคราวนี้กลับไม่ใช่

            "กูแค่ติดใครก็ตามที่นอนด้วย"

            "เหมือนกูเป็นคู่นอนมึงเลย"

            "หรือไม่จริง"

            "ไอ้สัดขนลุก"

            "แต่กูสงสัย มึงแอบหนีมาตอนไหน ทำไมกูไม่ฝันร้ายวะ" มันไม่ต่อมุกแถมยังถามเป็นจริงเป็นจัง พอเป็นเรื่องเกี่ยวกับความฝันมันจะเข้าโหมดเครียดเคร่งทุกที

            "ตอนตีหนึ่ง แต่กูว่าที่มึงไม่ฝันอาจจะเป็นเพราะมึงไม่รู้ตัวว่านอนคนเดียวอยู่ก็ได้"

            "ใช่เหรอวะ"

            "ถ้าไม่มั่นใจเดี๋ยววันหลังกูลองทำอีกรอบ"

            ไอ้กาลพยักหน้าเห็นด้วย ตกลงทำการทดลองเพื่อหาทางออกจากโรคฝันร้ายที่กำลังเผชิญ แต่พอจบเรื่องตัวเองมันก็ยังจ้องหน้าผมแล้วขมวดคิ้วไม่เลิก

            "ว่าแต่มึงมานอนห้องเดียวกับแมวไม่ต้องใส่มาสก์เหรอวะ"

            "เออว่ะ กูลืม ตอนตื่นล่อนจ้อนแม่งมานอนบนตัวกูด้วย"

            "อ่ะยังไง นอนบนตัว" จากสีหน้าเคร่งเครียดสงสัยเปลี่ยนมาเป็นกวนประสาทช่างจับผิดจนผมอยากถีบมันออกไปนอกห้องซะตอนนี้

            "ก็แมวไงไอ้สัดมานอนบนตัวกูเนี่ย แต่ก็ไม่เห็นเป็นอะไร"

            "อาการยังไม่ออกหรือเปล่า"

            "งั้นมั้ง"

            "ถ้าแพ้ก็รีบกินยาเลยนะมึง"

            "เออ รู้แล้ว"

            สบายใจมันแล้วไอ้กาลก็เดินออกจากห้องผมไป แต่มันก็น่าแปลกจริงๆ ที่ผมยังไม่มีอาการแพ้ทั้งที่นอนกับแมวมาครึ่งค่อนคืน จะว่าหายแล้วก็ไม่น่าเป็นไปได้อีก ทางเดียวที่พอคิดได้คือมันอาจจะเกี่ยวกับปัญหาสุดแปลกประหลาดที่ผมกำลังประสบอยู่ตอนนี้ แต่จะเป็นจริงหรือเปล่านั้นไม่มีทางรู้ได้จนกว่าปัญหานี้จะถูกแก้ไขได้จริงๆ

            "เมี้ยว!"

            ผมกับไอ้กาลหันมองไปที่ประตูห้องพร้อมกันเมื่ออยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงแมวร้องทั้งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ล่อนจ้อนกลับมาเป็นคนแล้ว ผมเองก็ยังอยู่ตรงนี้ แล้วแมวจะมาจากไหน แถมเสียงดังอยู่ในห้องด้วย

            "เมี้ยว!"

            รอบนี้เสียงร้องดังขึ้นกว่าเดิม ไอ้กาลแทบจะมุดตัวเข้าไปซ่อนในผ้าห่ม เสียงดังก้องๆ อยู่ใกล้ขนาดนี้ชักไม่ดีแล้ว

            "แมวที่ไหนวะ"

            "เดี๋ยวกูไปดูก่อน"

            ยังไม่มั่นใจแต่ผมปักใจไปแล้วเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ว่าเสียงดังมาจากในห้องน้ำแน่ๆ รีบลุกจากเตียงเดินไปเปิดประตูห้องน้ำเพื่อความแน่ใจ แล้วก็เจอแมวสีขาวปากเปื้อนฟองนั่งร้องอยู่หน้าอ่างล้างมือ ข้างๆ มีแปรงสีฟันตกอยู่ ทำให้กฎเกี่ยวกับการกลับคืนร่างชัดเจนขึ้นมาอีกข้อ

            จากเตียงผมถึงห้องน้ำห้าเมตรได้ ระยะเวลาที่อยู่ห่างกันไม่เกินห้านาที

            เป็นวันที่เป็นคนได้คุ้มเลย ขอโทษนะเจ้าแมว

 
tbc.

 
โกรธๆ ง้อๆ กันนะคู่นี้
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 13 ___ [29/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 29-06-2019 22:35:20
ลิขิตอย่าดุบ่อยสิ สงสารน้อง เป็นแมวอยู่ในห้องมันน่าเบื่อนะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 13 ___ [29/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-06-2019 22:46:11
น่าสงสาร
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 13 ___ [29/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 30-06-2019 00:56:52
 :pig4: :pig4: :pig4:

ทำไมไม่แพ้แมวแล้วหล่ะ?
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 13 ___ [29/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 30-06-2019 02:56:42
ดุแล้วน่ากลัวอ่าลิขิต TT
แสดงว่าอยู่ไกลกันไม่ได้ถูกมั้ย
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 13 ___ [29/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 30-06-2019 14:20:20
ติดตามจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 13 ___ [29/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 03-07-2019 10:53:27
 เรื่องนี้น่ารักมากเลย จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 14 ___ [06/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 06-07-2019 20:14:10

ลิขิตครั้งที่ 14


            ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมทดลองทฤษฎีการฝันของไอ้กาลโดยไม่บอกมันถึงจะตกลงร่วมมือกันไปแล้วก็ตาม แต่ผมกลับคิดว่าถ้าทำโดยไม่บอกน่าจะได้ผลกว่า ทุกคืนพอมันหลับสนิทผมจะแอบย่องออกมา ตอนเช้าก็บอกมันว่าตื่นก่อน สามคืนแรกทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี จนเข้าสู่คืนที่สี่มันก็รู้ตัวและนอนฝันร้ายในคืนนั้น เท่ากับว่าถ้าไอ้กาลไม่รู้ตัวว่านอนคนเดียวฝันร้ายก็จะทำอะไรมันไม่ได้

            ส่วนผมก็ได้ทดสอบอาการแพ้ของตัวเองเหมือนกัน ตลอดทั้งสัปดาห์มานี้ผมนอนกับล่อนจ้อนทุกคืน แล้วก็แทบไม่เกิดอาการแพ้เลย ผมคิดเอาเองว่าอาจจะชินกับการอยู่กับแมวแล้วซึ่งไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วมันมีทางเป็นไปได้หรือเปล่า อีกเหตุผลที่คิดได้คือปัญหาที่เผชิญอยู่เริ่มดีขึ้นอาการเลยดีขึ้นตาม คิดมาถึงตรงนี้ผมก็พอจะคิดอะไรออกอีกอย่าง พ่อเคยบอกว่าปัญหานี้จะช่วยให้ชีวิตผมดีขึ้น ปัญหาที่ว่าอาจจะเป็นอาการแพ้แมวด้วยก็ได้

 

            หลังจากสัปดาห์ที่แล้วโกรธกันงอนกันสลับไปมาจนวุ่นวาย วันหยุดนี้ผมก็ได้โอกาสแก้ตัวใหม่ เราช่วยกันเก็บกระเป๋าตั้งแต่เมื่อวาน ไอ้กาลเป็นคนขับรถ นัดลุงพิทักษ์ไว้แล้วเรียบร้อยว่าจะไปหา พอเจ็ดนาฬิกาก็ได้เวลาออกเดินทางสู่จังหวัดจันทบุรี

            ถึงตัวเมืองใช้เวลาสองชั่วโมง แต่กว่าจะถึงสวนต้องบวกเพิ่มความซับซ้อนไปอีกนิดหน่อย เรามาถึงกันตอนสิบโมง ผมปลุกล่อนจ้อนที่หลับอยู่เบาะหลังตลอดทาง พอเห็นบ้านที่ตัวเองคุ้นเคยสมัยเด็กก็ยิ้มกว้างออกมา

            "คิดถึงมั้ย" ผมลองถาม ล่อนจ้อนเอามือทาบกระจกรถมอง กวาดสายตาไปรอบๆ เหมือนอยากมองให้เห็นทั่วทั้งสวน แต่เมื่อรถจอดสวนก็หายไปจากสายตา มองเห็นแค่บ้านใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเนินกับทะเลสาบหน้าบ้านเท่านั้น ที่จริงมันเป็นสระน้ำขุดแต่ผมเรียกให้ดูดีขึ้นมาหน่อย

            "คิดถึง"

            "ที่นี่คือ" ผมชี้ไปที่คือบ้าน อีกคนก็รีบตอบทันที

            "บ้านใหญ่ไง"

            "เข้าบ้านกัน อาพิทักษ์เดินลงมารับแล้วนู่น" ผมลงจากรถเดินไปเปิดประตูให้ล่อนจ้อน ก่อนคนขับจะตามลงมา

            "เข้าได้เหรอ" เด็กที่ไม่เคยขึ้นบ้านใหญ่ถามผมตาแป๋ว กิตติศัพท์ของอาพิทักษ์สมัยก่อนก็ดุใช่ย่อย ดูกว่าปู่อีก ไม่แปลกที่ล่อนจ้อนจะกลัว

            "ขึ้นได้ดิ ก็มาด้วยกัน ลงมาเร็ว" ผมต้องจับมือแมวขี้กลัวไว้ถึงได้ยอมลงมา

            อาพิทักษ์เดินมาถึงรถพอดี ผมกับไอ้กาลยกมือไหว้ทักทาย ล่อนจ้อนทำตามเป็นคนสุดท้าย อายกมือรับไหว้ยิ้มแย้มอย่างใจดี แต่หนวดงามๆ ของแกน่าจะกำลังทำให้คนที่ยืนอยู่ข้างผมกลัว

            "ไปๆ ขึ้นบ้านกันก่อน" อาพิทักษ์ตบไหล่ไอ้กาลเบาๆ ก่อนเดินนำไปยังบ้านไม้ทรงไทยประยุกต์หลังใหญ่ บ้างหลังนี้ยังดูไม่เปลี่ยนไปจากครั้งล่าสุดที่ผมมานัก บ่งบอกได้ว่าเจ้าของคนใหม่ดูแลมันอย่างดี

            การพูดคุยเริ่มจากไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ เราสองพี่น้องไม่ได้เจออาพิทักษ์มาหลายปีใหญ่แล้ว เหตุที่ทำให้พวกผมกลับมาที่นี่ผมเลือกบอกอาไปตามตรง ครอบครัวของเราต้องเคยเจอเรื่องราวแปลกๆ นี้กันทุกคน อาพิทักษ์ก็เช่นเดียวกัน เพียงแต่ไม่สามารถเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องราวที่จบไปแล้วในอดีตให้ใครฟังได้ พ่อผมบอกว่ามันเป็นภารกิจปกปิดความลับของตระกูลที่ห้ามให้คนนอกล่วงรู้ แม่ผมก็ไม่รู้เรื่องนี้ ส่วนเหตุผลนั้นพ่อบอกว่าเดี๋ยวผมก็จะเข้าใจเองเมื่อเรื่องราวนั้นจบลง

            "ว่าแต่พ่อหนุ่มคนนี้เป็นใครล่ะ สีผมเท่เชียว" คุยเล่นกับพวกผมอยู่สักพักอาพิทักษ์ก็พุ่งประเด็นไปที่ล่อนจ้อน คนโดนถามรีบยืดตัวนั่งหลังตรง เหล่มองผมอย่างไม่รู้ว่าจะตอบยังไง

            "ก็เกี่ยวกับปัญหานั่นแหละครับ คิดว่าอาน่าจะรู้จัก"

            "คนนี้เหรอ" อาพิทักษ์พยักหน้าแล้วอมยิ้ม ดูมีเลศนัยแปลกๆ

            "อาคุ้นหน้าบ้างมั้ยครับ"

            "ไม่คุ้นนะ"

            "อาลองจ้องดูดีๆ เผื่อจะนึกออก"

            รู้ว่าล่อนจ้อนกลัวผมเลยแกล้ง อาพิทักษ์ก็เล่นตาม ขมวดคิ้วจ้องจนคนกลัวตัวหด ผมว่าถ้าทำได้มันคงอยากกลับร่างแมวแล้ววิ่งหนีออกไปจากบ้านมันซะตอนนี้

            "ไม่คุ้นอยู่ดี"

            "ถ้าอาจำได้มันจะแปลกมาก เพราะผมยังจำไม่ได้เลย"

            "แสดงว่าเป็นคนรู้จัก"

            "จากข้อมูลที่หามาได้ก็ใช่ครับ"

            "แล้วเราจำอาได้มั้ย" อาพิทักษ์ถามล่อนจ้อน มันพยักหน้ารับเบาๆ ท่าทางหวาดๆ เหมือนเด็กกลัวโดนผู้ใหญ่ดุ ช่างน่าเอ็นดูเหลือเกิน

            "มันจำได้ ไม่งั้นไม่กลัวอาขนาดนี้หรอก"

            "อาน่ากลัวเหรอ" อาพิทักษ์ถามล่อนจ้อนอีกรอบ พอมันพยักหน้ารับอาก็หัวเราะชอบใจ

            "ก็ไปแกล้งมัน" แล้วก็โดนไอ้กาลว่าเข้าให้ทั้งผมทั้งอา

            "แต่ตอนพี่ภพโทรมาบอกอาไม่เห็นบอกนะว่าจะพาเพื่อนมาด้วย พ่อยังไม่เคยเจอพ่อหนุ่มคนนี้เหรอ"

            "ยังครับ ยังไม่เคยพาไป เพราะปัญหาดูเหมือนจะเกิดจากที่นี่ผมเลยพามาที่นี่แทน"

            อาพิทักษ์พยักหน้ารับ ไม่ออกความเห็นหรือแนะนำแนวทางอะไรให้เหมือนพ่อผมเลย แกแค่รับรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น แต่เข้ามาช่วยเหลือไม่ได้ คนที่ดูจะเข้ามาพัวพันกับปัญหาของผมมากสุดก็เห็นทีจะเป็นเหนือกาล ผมไม่รู้ว่ามันจะเกิดผลกระทบตามมาทีหลังมั้ย แต่ถ้าไม่มีมันคอยช่วยปัญหาของผมอาจจะยังไม่คืบหน้าถึงขนาดนี้ก็ได้ เพราะไม่มีคนขับรถมาส่ง

            "อาครับ พวกคนงานเก่าๆ ของสวนยังทำงานกันอยู่ที่นี่หรือเปล่า"

            "ลาออกก็มี ที่ยังอยู่ก็มี อาว่าลิขิตลองไปดูเองดีกว่า"

            "แล้วพวกลูกคนงานล่ะครับ"

            "พวกที่เคยเล่นด้วยกันตอนเด็กๆ น่ะเหรอ"

            "ครับ"

            "เข้ามหาลัยกันหมดแล้ว ไม่มีใครอยู่ที่สวนหรอก จะเหลือก็แค่เจ้าแม็ก ไอ้นี่มันขี้เกียจ จบม.ปลายแล้วไม่เรียนต่อ ออกมาช่วยงานพ่อแม่มันแทน"

            "แล้วอาจะเข้าสวนมั้ยวันนี้"

            "วันนี้อาจะไปทำธุระในเมือง นัดไว้ในเมืองตอนสิบเอ็ดโมง ลิขิตกับกาลจะไปเดินเล่นในสวนเลยก็ได้นะ ตอนเที่ยงค่อยกลับมากินข้าว เดี๋ยวอาให้แม่บ้านเตรียมมื้อเที่ยงไว้ให้"

            "ได้ครับ"

 

            หลังจากอาพิทักษ์ขับรถออกไปไอ้กาลก็ตัวขอไปนอน ผมกับล่อนจ้อนเดินเลียบริมน้ำเพื่อเข้าไปในสวน ริมขวาของสระมีบ้านพักคนงานตั้งอยู่หลังหนึ่ง อีกส่วนอยู่ด้านในซึ่งเป็นที่ที่ล่อนจ้อนเคยอาศัยอยู่ตอนเด็ก

            ที่นี่เป็นสถานที่ที่เราต่างคุ้นเคย แม้จะไม่ได้มาเยี่ยมเยือนนานแล้วแต่ยังจำรายละเอียดต่างๆ ได้ดี บรรยากาศของสวนนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก พื้นที่ทั้งหมดราวๆ หนึ่งร้อยไร่ ปลูกมังคุดกับลองกองเป็นหลัก พวกเงาะกับลำไยก็มี

            เดินเข้ามาบริเวณสวนก็เริ่มเจอคนสวนกำลังทำงาน ถึงตอนเด็กๆ ผมจะมาที่นี่บ่อยแต่ความจริงแล้วแทบไม่มีความรู้เกี่ยวกับการทำสวนเลย เป็นเด็กก็ห่วงแต่เล่น ยิ่งเป็นหลานจ้าของสวนด้วยเลยไม่ค่อยได้มาคลุกคลีงานแบบจริงๆ จังๆ มีบ้างที่ถูกปู่ใช้ให้รดน้ำกับถอนหญ้า สอนทำปุ๋ยก็เคย แต่ทุกความรู้อันน้อยนิดที่ได้เรียนรู้มาได้หายไปตามกาลเวลาแล้วเรียบร้อย

            เราเดินผ่านต้นมังคุดที่ปลูกเรียงรายเป็นแถว ถ้าผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าตรงนี้ปลูกมังคุดผมก็คงไม่รู้เหมือนกันว่ามันคือต้นอะไร ช่วงนี้ไม่ใช่ฤดูกาลของผลไม้ชนิดนี้ เลยมีแค่ลำต้นกับใบเขียวๆ ดูร่มรื่นเย็นสบายจนอยากเอาเสื่อมาปูนอน

            สมัยเด็กที่ผมมาบ่อยๆ บ้านสวนแห่งนี้มีคนงานไม่ถึงสามสิบคน ตอนนี้ก็น่าจะยังคงเป็นอย่างนั้น ดูเป็นสวนที่สงบร่มรื่น ใช้ชีวิตแบบสบายๆ อยู่กับธรรมชาติ กินของที่ปลูกเอง แต่เงินจะพอใช้หรือเปล่าอันนี้ผมก็ไม่รู้ แต่ผมอยู่ไม่ได้แน่เพราะใช้เงินโคตรเปลืองจนบางเดือนพ่อยังบ่น

            "พ่อชื่อดอกรัก แม่ชื่อบุหงาใช่มั้ย" ผมถามล่อนจ้อนเพื่อยืนยันอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ก็ลืมถามอาพิทักษ์ว่ามีคนงานชื่อนี้หรือเปล่า พออาบอกให้ลองมาดูเองผมก็เออออตามไปเลย

            "ใช่ ลิขิตจำได้ด้วย"

            "ก็ต้องจำได้ดิ เรื่องสำคัญขนาดนี้"

            ล่อนจ้อนอมยิ้ม เราเดินลึกเข้ามาเรื่อยๆ มองต้นไม้ใบหญ้ารอบๆ แล้วก็ทำให้ผมนึกบางอย่างที่เกี่ยวกับชื่อพ่อแม่ของล่อนจ้อนขึ้นมาได้

            "บุหงานี่ใช่บุหงาส่าหรีมั้ย งั้นก็ชื่อดอกไม้ทั้งคู่เลยดิ"

            "มั้งนะ" ล่อนจ้อนพยักหน้าเบาๆ เหมือนไม่ค่อยเข้าใจ หรือว่าไม่รู้จักชื่อดอกไม้

            "รู้จักดอกไม้ป้ะเนี่ย"

            "รู้จักดอกรัก เอาไว้ไหว้ครู"

            "ส่วนนี่ดอกบุหงา เอาไว้ทำอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน" ผมเข้ากูเกิ้ลเปิดรูปดอกบุหงาส่าหรีให้ล่อนจ้อนดู ดอกไม้สีขาวดอกเล็กๆ เรียงกันเป็นพวง

            "สวยดี"

            "แบบนี้ชื่อล่อนจ้อนก็มีสิทธิ์เป็นชื่อดอกไม้เหมือนกันดิ เริ่มคุ้นๆ ขึ้นมาบ้างยัง"

            เจ้าตัวพยายามทำหน้านึกก่อนจะส่ายหน้า มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่อยู่ๆ จะนึกออกขึ้นมา

            เราพับเก็บเรื่องชื่อกันเอาไว้ก่อนแล้วเดินไปหาคนงานคนหนึ่งที่เพิ่งเดินผ่านหน้าไป เขามองผมด้วยสีหน้าสงสัย วัดจากความคุ้นเคยที่แทบไม่รู้สึกเลยของผมแล้วน่าจะเป็นคนงานใหม่ที่ผมไม่รู้จัก แล้วคุณน้าคนนี้ก็เป็นฝ่ายทักพวกเราขึ้นมาก่อน

            "คุณลิขิตหรือกับคุณกาลเปล่าครับ"

            "ใช่ครับ" คุณลิขิตน่ะใช่ แต่คุณกาลนอนอืดอยู่ที่บ้านใหญ่นู่น รู้จักกันแบบนี้แสดงว่าอาพิทักษ์คงบอกคนงานไว้แล้วว่าพวกผมจะมา

            "ตามสบายเลยนะครับ เสียดายที่มาเดือนนี้ จะมีก็แต่กล้วยน้ำว้า" น้าแกยิ้มปลอบใจผมหนึ่งที มาช่วงไม่ดีไม่ใช่ฤดูเก็บเกี่ยวของสวนเลยไม่มีผลไม้ให้กิน

            "ไม่เป็นไรครับ"

            "ถ้างั้นต้องการอะไรก็เรียกผมได้เลยนะครับ" น้าแกยิ้มให้ผมอีกรอบ ทำท่าจะหมุนตัวเดินหนีผมเลยต้องรีบรั้งไว้ก่อน

            "น้าครับ ผมขอถามอะไรหน่อย"

            "ครับ"

            "น้าบุหงากับน้าดอกรักยังทำงานอยู่ที่นี่หรือเปล่าครับ"

            "อ๋อ ถ้าบุหงาอยู่บ้านใหญ่นู่นครับ ส่วนดอกรักเสียไปได้สามปีแล้ว"

            "เสียแล้วเหรอครับ"

            "ครับ"

            "แกเป็นอะไรเสียเหรอครับ"

            "ปอดติดเชื้อล่ะมั้งครับ ผมเองก็ไม่แน่ใจ"

            ผมหันไปมองล่อนจ้อนที่ยังยืนนิ่ง แต่เหมือนสติจะหลุดลอยหายไปแล้วเมื่อได้ฟังข่าวร้ายที่ไม่คาดคิด การหายออกจากบ้านไปเป็นสิบปีทั้งยังต้องอาศัยอยู่ในร่างแมว ไม่มีใครจำได้ ไม่มีคนสนใจ แล้วต้องกลับมาพบกับความจริงว่าพ่อของตัวเองจากไปโดยที่ไม่ได้ล่ำลามันต้องเจ็บปวดขนาดไหน ผมโคตรเกลียดตัวเองเลยที่ทำให้ทุกอย่างมันกลายเป็นแบบนี้

            "ขอบคุณครับ"

            "ครับ" น้าแกยิ้มให้อีกรอบก่อนกลับไปทำงาน

            ผมคว้ามือล่อนจ้อนมาจับไว้ ไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายเมื่อความรู้สึกผิดจุกอยู่เต็มอก เป็นเพราะผมเองที่พรากมันไปจากพ่อแม่ เพราะผมเองที่ทำให้ชีวิตมันไม่ปกติ ทุกอย่างเป็นเพราะผม เพราะความแปลกประหลาดบ้าๆ ที่หาเรื่องดีๆ จากเรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้เลย

            "ลิขิต" คนเรียกบีบมือผมเบาๆ ล่อนจ้อนยังคงยิ้มแม้แววตานั้นจะเต็มไปด้วยความโศกเศร้า

            ผมยกมือข้างที่ว่างวางบนหัวคนตรงหน้า ถ้าผมจะมีพลังอะไรที่มีประโยชน์กว่านี้อย่างการดึงความเศร้าออกจากผู้คนได้คงจะดี

            "ขอโทษนะ"

            "ขอโทษทำไม"

            "ขอโทษที่มันกลายเป็นแบบนี้"

            ล่อนจ้อนส่ายหน้าเบาๆ จับมือทั้งสองข้างของผมไปกุมไว้ ส่งยิ้มให้อย่างไม่คิดโกรธเคือง

            "ไมใช่ความผิดของลิขิตเลย"

            "แต่เรา..."   

            "กลับบ้านใหญ่กันเถอะ"

            แต่ผมก็ไม่อาจให้อภัยตัวเองได้อยู่ดี

           

            เราเดินทอดน่องจับมือกันมาถึงบ้านใหญ่ตอนใกล้เที่ยง ไอ้กาลตื่นแล้ว กำลังนั่งเล่นมือถืออยู่ที่ระเบียงบ้าน บรรยากาศช่างเงียบเหงาเพราะไม่มีใครอยู่บ้านเลยนอกจากพวกเรา อาพิทักษ์กับภรรยาเข้าไปทำธุระในเมือง ลูกชายคนโตกับลูกสาวคนรองไปเรียนมหาวิทยาลัยอยู่จังหวัดอื่น จะเหลือก็แค่แม่บ้านที่คงกำลังจัดเตรียมมื้อเที่ยงให้พวกเรา ซึ่งผมยังไม่เห็นหน้าเลย

            "เป็นไงบ้างวะ" ไอ้กาลวางมือถือหันหน้ามาคุย มันนั่งขัดสมาธิ ข้างๆ มีจานขนมวางอยู่

            "คนงานที่สวนบอกว่าแม่ล่อนจ้อนอยู่ที่บ้านใหญ่" ผมตอบ ขณะที่ล่อนจ้อนยังนั่งเหม่ออยู่

            "ที่นี่เหรอ"

            "เออ แล้วขนมนั่นใครเอามาให้มึง"

            "ป้าสักคน แม่บ้านมั้ง กูไม่คุ้นหน้า แกบอกกับข้าวใกล้เสร็จแล้ว เดี๋ยวมาเรียกอีกที" ไอ้กาลบอกพร้อมกับเลื่อนจานขนมมาให้ คำตอบของมันทำให้ผมไม่แน่ใจว่าป้าแม่บ้านที่ว่าจะใช่บุหงาแม่ของล่อนจ้อนหรือเปล่า ถึงตอนเด็กจะแวะมาบ้านสวนบ่อยๆ ก็ใช่ว่าเราจะรู้จักคนงานทุกคนเหมือนกัน

            "อยู่ในครัวใช่มั้ย"

            "ทำกับข้าวก็ต้องในครัวดิ อย่าบอกนะว่าเป็นแม่ล่อนจ้อน"

            "ยังไม่แน่ใจ มึงรู้ชื่อป้าเขามั้ย"

            "ไม่อ่ะ กูไม่ได้ถาม"

            "งั้นคงต้องไปดูก่อน ไปดูกันเลยมั้ย" ตอบไอ้กาลแล้วผมก็สะกิดเรียกล่อนจ้อน มันหันมามองก่อนพยักหน้าตกลง

            "แต่ป้าแกมีเด็กอยู่ด้วยนะ เป็นเด็กผู้หญิง น่าจะซักสามสี่ขวบมั้ง" ไอ้กาลพูดเสริมขึ้นมา

            "ลูกป้าแกเหรอ"

            "มั้งนะ อยู่ด้วยกันก็คงลูกแหละ เออ แล้วพ่ออ่ะ เจอมั้ย"

            ผมเหลือบมองคนข้างๆ ล่อนจ้อนหันกลับมานั่งดีๆ แล้วหลังจากนั่งมองสระหน้าบ้านเมื่อครู่ รอยยิ้มบางๆ ถูกส่งให้ไอ้กาล ความเศร้ายังไม่จางหายไปจากแววตา ก่อนจะเป็นคนตอบคำถามนั้นออกมาเอง

            "พ่อเสียแล้ว"

            คนถามนิ่งไป พวกเรายังไม่เคยสูญเสียคนในครอบครัวเลยบอกไม่ได้ว่าความรู้สึกที่ได้รับรู้ข่าวร้ายนั้นเป็นยังไง มันคงจะเหมือนโลกใบหนึ่งของเราหายไปล่ะมั้ง โลกที่อยู่ห่างไกล โลกที่เมื่อมีโอกาสโคจรมาใกล้กันอีกครั้ง แต่โลกใบนั้นก็ไม่อยู่แล้ว

            "เสียใจด้วย"

            "เราไม่เป็นไร"

            "ไปในครัวกันมั้ย เผื่อแม่จะอยู่ที่นั่น"

            ผมชวนอีกครั้งล่อนจ้อนก็พยักหน้ารับ ตอนเราลุกขึ้นยืนเป็นจังหวะเดียวกับที่มีคนเดินมาหาพอดี เป็นผู้หญิงอายุน่าจะสักสี่สิบกว่า ผมยาวรวบเป็นหางม้าด้านหลัง ข้างๆ มีเด็กผู้หญิงเกาะขากางเกงเดินตามมาด้วย

            "กับข้าวเสร็จแล้วนะคะ ไปทานกันได้เลย" ป้าแกบอก เวลายิ้มตาจะหยีมีหนวดแมวเหมือนใครบางคนที่นั่งอยู่ตรงนี้เลย

            "ป้าบุหงาหรือเปล่าครับ"

            "ใช่ค่ะ"

            ผมหันมองล่อนจ้อน ปากมันยิ้ม แต่ตาเริ่มฉ่ำเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ ผมเคยคิดว่าหากได้เจอแม่แล้วมันจะรีบวิ่งเข้าไปกอดแล้วร้องไห้เหมือนเด็กหลงทางเสียอีก แต่เจ้าตัวกลับคว้ามือผมไปจับไว้แล้วบีบแน่น พอคิดดูอีกทีมันคงไม่ใช่ความประทับใจแรกที่ดีถ้าอยู่ดีๆ ก็มีเด็กที่ไม่รู้จักวิ่งไปกอดแบบนั้น

            "ลูกสาวป้าเหรอครับ" ผมลองถาม เพื่อยืนยันด้วยว่าลูกชายที่หายไปเมื่อสิบปีก่อนนั้นถูกลืมจริงๆ

            "ค่ะ ชื่อโบตั๋น ไหนโบตั๋นสวัสดีพี่ๆ สิคะ" เด็กน้อยทำตามที่แม่บอกก่อนจะไปหลบอยู่หลังแม่ เป็นเด็กที่หน้าตาคล้ายล่อนจ้อนอยู่เหมือนกัน

            "ป้ามีลูกคนเดียวเหรอครับ"

            การตอบคำถามที่รู้อยู่แล้วและมีคำตอบที่แน่นอนควรตอบออกมาได้ในทันที แต่เมื่อผมถามออกไปป้าบุหงากลับขมวดคิ้วแล้วเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะตอบ

            "ใช่ค่ะ คนเดียว"

            แรงบีบที่มือผมหนักกว่าเดิม ล่อนจ้อนยังคงยิ้ม ยิ้มให้กับแม่ที่จำตัวเองไม่ได้ ยิ้มให้กับความตายที่พรากพ่อไป ผมอยากดึงมันเข้ามากอดและบอกว่ามันคือแมวที่เข้มแข็งที่สุดในโลก เก่งมากที่ยังยิ้มได้ เก่งมากที่ยังไม่ร้องไห้ออกมา

            "ไปกินข้าวกันค่ะ" ป้าบุหงาชวนอีกรอบก่อนเดินจากไป

            "มึงไปก่อนเลย" ผมบอกไอ้กาล มันเองก็เข้าใจเดินออกไปก่อนโดยไม่ถามอะไร

            ล่อนจ้อนปล่อยมือแล้วเปลี่ยนมาใช้สองแขนกอดรอบเอวผมไว้ ซุกหน้าลงที่ไหล่ ไม่มีคำพูด ไร้น้ำตาและเสียงสะอื้น ผมกอดตอบ กอดไว้ให้แน่นที่สุด บอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าที่ตรงนี้ยังมีผมอยู่ คนที่จะทวงคืนสิ่งที่เป็นคนพรากไปกลับมาให้เอง

           

            หลังกินข้าวเสร็จล่อนจ้อนอาสาไปช่วยป้าบุหงาล้างจาน แต่ในฐานะแขกของบ้านป้าแกเลยให้มันอยู่เฉยๆ แล้วคุยเป็นเพื่อนแทน ผมเองก็นั่งสังเกตการณ์อยู่ใกล้ๆ ห่างมากไม่ได้เพราะถ้าเกิดอยู่ๆ ล่อนจ้อนกลับร่างแมวขึ้นมาจะแย่เอา ส่วนไอ้กาลกลับไปนอนเล่นอยู่ที่ระเบียงบ้านมุมโปรดของมัน

            "ไม่ได้แวะมาที่นี่นานเลยนะคะ เข้ามหา’ลัยหรือยัง" ป้าบุหงาหันมายิ้มให้ผมตอนถามขณะที่มือสาละวนกับการล้าง โดยมีลูกน้อยวัยสามขวบเกาะแกะอยู่ไม่ห่าง

            "ปีสองแล้วครับ ว่าแต่ป้าทำไมถึงได้มาอยู่บ้านใหญ่ล่ะครับ"

            "ช่วงนั้นแม่บ้านคนเก่าลาออกพอดีค่ะ สามีป้าก็เพิ่งเสีย โบตั๋นก็เพิ่งเกิด คุณพิทักษ์เลยให้ป้ามาดูแลบ้านใหญ่แทน จะได้มีเวลาเลี้ยงลูกด้วย"

            "แย่เลยนะครับ"

            "ตอนนี้ก็ดีเยอะขึ้นแล้วค่ะ ไม่ได้ลำบากอะไร"

            "สามีป้าชื่อดอกรักใช่มั้ยครับ"

            "ใช่ค่ะ จำได้ด้วยเหรอ" ป้าบุหงาหันมายิ้มให้อีกครั้ง

            "ก็พอจำได้ครับ"

            "แกเป็นปอดติดเชื้อค่ะ นอนโรงพยาบาลได้สัปดาห์เดียวก็เสีย สมัยหนุ่มๆ แกสูบบุหรี่หนักด้วย มาเลิกจริงจังเมื่อประมาณสิบปีที่แล้ว"

            "สิบปีที่แล้วเหรอครับ" ผมกับล่อนจ้อนหันมองหน้ากัน บางทีสาเหตุการเลิกบุหรี่ของลุงดอกรักอาจจะเกี่ยวกับล่อนจ้อนก็ได้

            "ใช่ค่ะ อยู่ๆ แกก็อยากเลิก ป้าดีใจมากตอนที่แกตั้งใจแบบนั้น แต่ปอดมันก็แย่ไปแล้ว"

            "เราเคยบอกให้พ่อเลิกบุหรี่" ล่อนจ้อนพูดขึ้นมาเบาๆ ป้าบุหงาหันมายิ้มให้อย่างเข้าใจ โดยไม่รู้เลยว่าพ่อของล่อนจ้อนก็คือสามีของตัวแกเอง

            "ดีแล้วค่ะ อย่าไปสูบมันเลย"

            บรรยากาศชวนเศร้ากลับมาอีกครั้ง ล่อนจ้อนนั่งมองแผ่นหลังของแม่ไม่ละสายตาไปไหน อยากจะดึงบรรยากาศให้ดีขึ้น แต่เมื่อพูดถึงเรื่องครอบครัวกลับมีแต่เรื่องชวนให้เศร้าอยู่ดี คนที่ร่าเริงที่สุดในนี้เห็นทีจะเป็นน้องโบตั๋นที่ยิ้มโชว์ฟันน้ำนมให้พี่ชายอยู่ล่ะมั้ง

            "ผมเพิ่งสังเกต ครอบครัวป้าชื่อเป็นดอกไม้กันทุกคนเลยนะครับ" เห็นสองพี่น้องยิ้มแมวใส่กันผมก็นึกเรื่องชื่อขึ้นมาได้ เราคุยเรื่องนี้กันที่สวน ถ้าโบตั๋นชื่อเป็นดอกไม้ ก็มีสิทธิ์เป็นไปได้สูงที่ล่อนจ้อนจะมีชื่อเป็นดอกไม้เหมือนกัน

            "ใช่ค่ะ ช่างสังเกตนะเนี่ย"

            "โบตั๋นเป็นผู้หญิง แล้วถ้าเกิดป้าบุหงามีลูกเป็นผู้ชายจะตั้งชื่อว่าอะไรครับ"

            "ถามแบบนี้ป้าคิดไม่ทันเลย"

            "ถ้าคิดได้แล้วบอกผมทีหลังก็ได้ครับ"

            ป้าบุหงาหันมายิ้มให้ สิ่งที่ผมคิดไว้จะเป็นจริงมั้ยไม่รู้ แต่ชื่อที่ป้าบุหงาคิดอาจจะเป็นชื่อของล่อนจ้อนจริงๆ ก็ได้ หากรู้ชื่อจริงๆ ก็มีสิทธิ์เป็นไปได้ที่จะทำให้ความทรงจำอันเลือนรางชัดเจนขึ้นมา

            หลังจากล้างจานเสร็จป้าบุหงาก็ขอตัวไปทำงานอย่างอื่นต่อ เราโบกมือให้น้องโบตั๋นที่บ๊ายบายกลับแบบเขินๆ ล่อนจ้อนยิ้มค้าง แม้สองแม่ลูกจะเดินลับสายตาไปแล้วรอยยิ้มก็ยังคงแต้มที่ริมฝีปาก

            "ไม่เห็นถามอะไรแม่เลย" ประโยคเดียวที่ล่อนจ้อนพูดคือบอกให้พ่อเลิกบุหรี่ ตลอดเวลาสิบนาทีมีแค่เสียงผมกับป้าบุหงาต่อบทสนทนากันไปมา

            "ก็ลิขิตถามให้หมดแล้ว"

            "ไม่มีเรื่องที่อยากรู้เลยเหรอ"

            "รู้แค่ว่าตอนนี้แม่สบายดีก็พอ แถมยังมีน้องสาวด้วย"

            "เห่อน้องเลยดิแบบนี้ น่ารักด้วย"

            "ให้น้องจำได้ก่อนแล้วค่อยเห่อ"

            คนเรานะ จี้ใจดำตัวเองก็เป็น

            มือผมยื่นไปยีผมสีบลอนด์นั่นอย่างเคยชิน เจ้าแมวที่กำลังเศร้าเลยเอาหัวมาสีมาอ้อนใหญ่ เผลอแป๊บเดียวก็นั่งเบียดกันเสียแล้ว 

            "อยากไปไหว้พ่อ" ล่อนจ้อนซบหัวลงที่ไหล่ผม บอกเสียงงอแง

            "เมื่อกี้ก็ไม่ถาม" แต่พอผมพูดแบบนี้ก็รีบกลับมานั่งตัวตรงทันที ท่าทางแบบนี้เตรียมตัวเถียงกลับชัวร์

            "มันจะไม่แปลกเหรอที่อยู่ๆ คนไม่รู้จักจะไปถามแบบนั้นน่ะ ที่จริงก็อยากถามนะ หลายๆ เรื่องเลย แต่แม่จำเราไม่ได้ไง ถามไปก็ดูก้าวก่ายเปล่าๆ มันไม่น่าจะดีถ้าไปถามผู้ใหญ่แบบนั้น"

            "พูดคล่องเชียว"

            ล่อนจ้อนย่นจมูกใส่ ถ้าเป็นร่างแมวคงกำลังแยกเขี้ยวเตรียมเอาเล็บตะปบหน้าผมอยู่

            ผมเข้าใจที่ล่อนจ้อนไม่กล้าถาม เพราะถ้าหากถามอะไรแปลกๆ ออกไปอาจกลายเป็นเด็กไม่ดีในสายตาป้าบุหงาได้ เลยต้องเก็บความสงสัยเอาไว้แล้วให้ผมเป็นฝ่ายถามแทน ความคิดความอ่านที่พัฒนาขึ้นของคนตรงหน้าชวนให้แปลกใจได้ทุกครั้ง จากเด็กสิบขวบตอนนี้เราโตเท่ากันแล้ว ล่อนจ้อนคือคนอายุยี่สิบที่ทำทุกอย่างได้ไม่ต่างจากผมเลย

            "งั้นจะลองถามอาพิทักษ์ให้ แต่กระดูกน่าเก็บไว้ในบ้านพักนั่นแหละ เดี๋ยวพาไปไหว้ ไม่เศร้าแล้วนะ"

            "อื้ม" ล่อนจ้อนยิ้มกว้าง พยักหน้ารับอย่างแข็งขัน ก่อนเสียงกระแอมของบุคคลที่สามจะเรียกให้เราสองคนหันไปมอง

            "กูเบื่ออ่ะ ว่าจะไปเที่ยว ไปด้วยกันมั้ย"

            "จะไปไหน"

            "ทะเล หาดเจ้าหลาวมั้ง เปิดกูเกิ้ลดูเมื่อกี้"

            "ทะเล" คนตื่นเต้นเป็นล่อนจ้อนที่สีหน้าดูเบิกบานขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำว่าทะเล

            "แต่ไม่รู้ช่วงนี้มันเล่นน้ำได้หรือเปล่านะ จะไปมั้ย"

            "ไป"

            "เออ ไปๆ"

            ล่อนจ้อนไปผมก็ต้องไปนั่นแหละ ต้องตามไปคุมคนไม่ให้กลายเป็นแมว เดี๋ยวคนกลัวแมวจะช็อกตายเอา


tbc.


มาบ้านใหญ่แล้ว จะทำให้ล่อนจ้อนกลับมาเป็นคนได้มั้ยมาลุ้นกัน
แล้วก็ชื่อของล่อนจ้อน มาทายกันค่ะ (ทายอีกแล้ว ฮ่า)
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 14 ___ [06/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-07-2019 20:40:04
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 14 ___ [06/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 06-07-2019 20:45:22
แงงงงงสงสารล่อนจ้อน  แม่จะจำล่อนจ้อนได้ไหมมมมมมมมมมมมมม
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 14 ___ [06/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 07-07-2019 02:03:49
ขอให้แก้ปัญหาได้ไวๆนะ สงสารล่อนจ้อน
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 14 ___ [06/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 07-07-2019 02:54:12
หวังว่าจะหาทางแก้ได้เร็วๆ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 14 ___ [06/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 07-07-2019 03:43:06
สงสารล่อนจ้อน :hao5:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 14 ___ [06/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 07-07-2019 10:57:04
 :pig4: :pig4: :pig4:

ทำไมแม่จึงจำลูกไม่ได้?  ลูกหายไปทั้งคนนะ

หรือว่า...คำสาปจะทำให้คนที่ถูกสาปนั้นไม่มีตัวตนด้วยการทำให้ถูกลืมไปจากทุกคน?
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 15 ___ [13/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 13-07-2019 22:22:27

ลิขิตครั้งที่ 15


            หาดเจ้าหลาวอยู่ห่างจากบ้านสวนประมาณหนึ่งชั่วโมง เราออกเดินทางตอนเกือบบ่ายสอง กว่าจะมาถึงก็บ่ายสาม ไอ้กาลจอดรถปุ๊บล่อนจ้อนก็เปิดประตูลงจากรถเป็นคนแรก ยังดีที่ไม่ตื่นเต้นจนวิ่งหนีผมไปก่อน ไม่งั้นอาจจะกลายเป็นแมวเปอร์เซียสีขาวที่เป็นได้เล่นน้ำทะเลแทน ร่าเริงขึ้นขนาดนี้เชื่อแล้วว่าอยากมาเที่ยวจริงๆ

            "คนน้อยกว่าที่คิด" ไอ้กาลว่า ใส่แว่นกันแดดยืนเท้าเอวมองชายหาดที่มีนักท่องเที่ยวน้อยจนนับหัวได้ ทั้งที่เป็นวันหยุด แดดที่ควรจะสาดแสงจ้าก็ไม่ค่อยมีเช่นกัน เป็นบรรยากาศที่ไม่เหมาะกับการมาทะเลเอาซะเลย

            "ก็ดีแล้วคนน้อยๆ" แต่ผมชอบนะ มันดูสงบดี ไม่วุ่นวาย

            "น้อยทั้งคนน้อยทั้งน้ำเลยมึง ทะเลอยู่ไหนวะ" น้องชายผมถึงกับถอดแว่นมอง

            เราเดินลงมากันที่หาดทราย ชายหาดที่นี่ยาวมากจนมองไม่เห็นว่ามันไปสิ้นสุดที่ตรงไหน แล้วมันก็กว้างมากด้วย กว้างจนมองแทบไม่เห็นน้ำทะเล

            "กูเพิ่งเคยเห็นน้ำลงขนาดนี้" จากจุดที่พวกเรายืนอยู่ต้องเดินไปอีกไกลกว่าจะถึงจุดที่น้ำขึ้นสูงสุด ไกลจนล่อนจ้อนเขย่งเท้ามอง

            "ไหนอ่ะทะเล"

            "อยู่นู่นนนน จะเดินไปมั้ย" ผมตอบล่อนจ้อน แต่เป็นไอ้กาลที่ยกมือยอมแพ้คนแรก

            "เห็นแล้วท้อ พวกมึงจะไปก็ไปนะ เดี๋ยวกูนั่งรอแถวนี้"

            "ไม่ไปถ่ายรูปหน่อยเหรอวะ"

            "เดี๋ยวถ่ายแถวนี้เอา"

            "ถ่ายตรงนี้แม่งเห็นแต่หาด"

            "เออนั่นแหละ แปลกดี"

            "ไหนว่าเบื่อ"

            "ก็ยังดีกว่าอยู่บ้านเฉยๆ"

            ด้วยเหตุนี้ผมกับล่อนจ้อนเลยออกเดินตามหาน้ำทะเลกันแค่สองคน เดิมทีเราไม่ได้ตั้งใจมาเล่นน้ำกันอยู่แล้ว แค่พาคนอยากเห็นทะเลมาเที่ยว ให้เอาขาจุ่มน้ำเป็นพิธีพอ

            "ตอนเด็กๆ เคยมาเที่ยวทะเลมั้ย" ผมถามระหว่างเราเดินย่ำทรายไปหาน้ำทะเล ล่อนจ้อนถอดรองเท้าแตะมาถือไว้ เดินไปก็เอานิ้วเท้าจิ้มทรายเล่น

            "เคย"

            "แล้วตอนเป็นแมวอ่ะ"

            "จะไปเคยได้ไง"

            "ก็ตอนเร่ร่อนจากที่นี่ไปกรุงเทพฯ ไง ไม่หลงมาเจอทะเลบ้างเหรอ"

            "ตอนเร่ร่อนไม่ได้เดินจากที่นี่ไปกรุงเทพฯ ซักหน่อย มีคนเก็บไปเลี้ยงเขาก็อุ้มขึ้นรถไป แล้วอยู่กรุงเทพฯ พอดี"

            "ไม่เห็นเคยเล่าให้ฟัง"

            "อ้าวเหรอ" ล่อนจ้อนหันมายิ้มแมวใส่ผม อดไม่ไหวเลยดึงแก้มซะ มันเขี้ยวนัก

            คนโดนแกล้งไม่ยอมแพ้ปัดมือผมทิ้งแล้วกระโดดขี่หลัง ไอ้ผมก็ไม่ทันตั้งตัวรีบล็อกขาเอาไว้อย่างดีกลัวแมวตก ยังงงๆ ตอนได้ยินเสียงหัวเราะกับแขนที่โอบกอดรอบคอไว้หลวมๆ พร้อมคำสั่งที่บอกให้ไปข้างหน้า

            "ไปเลยๆ"

            "สนุกมั้ยเนี่ย"

            "ลิขิตหลอกง่ายอ่ะ"

            "นี่ไม่เรียกหลอก นี่เรียกบังคับ"

            "อ้าวเหรอ"

            "ทำไมเดี๋ยวกวนจังฮะ"

            เป็นเสียงหัวเราะที่ตอบกลับมา

            "ถือรองเท้าดีๆ หน่อย มันจะโดนหน้าแล้วเนี่ย"

            "ขอโทษๆ"

            ล่อนจ้อนขยับมือที่ถือรองเท้าให้ออกห่างจากหน้าผม จัดท่าทางเสร็จคนที่ขี่หลังผมอยู่ก็ก้มหน้าลงมาหา ผมไม่เห็นหรอกแต่รู้สึกถึงสัมผัสที่หู เหมือนมีขนแมวนุ่มๆ มาคลอเคลีย

            "หนักมั้ย"

            "ตัวเท่าลูกแมว"

            "เราสูงต่างกันนิดเดียวเอง"

            "นิดเดียวที่ไหน ล่อนจ้อนเตี้ยกว่าตั้งเยอะ"

            "ลิขิตสายตาไม่ดีใช่มั้ย"

            ผมหัวเราะเมื่อล่อนจ้อนพยายามใช้มือข้างที่ว่างจิ้มขมับผมเหมือนโกรธแค้นกันมาก่อน แต่ผมก็สายตาไม่ดีจริงๆ นั่นแหละ

            "ไม่หนักจริงเหรอ ลงได้นะ" กลับมากอดคอดีๆ แล้วก็ยังห่วงไม่เลิก

            "ไม่เป็นไร แค่นี้สบาย"

            "ปวดหลังไม่รู้ด้วยนะ"

            สัมผัสนุ่มๆ ข้างหูหายไป ผมมองทางตรงหน้าแล้วก็ยิ้ม ใจอยากจะแกล้งทิ้งลงทรายเพื่อเอาคืน แต่เมื่อนึกถึงรอยยิ้มกับหนวดแมวของคนที่เจอเรื่องน่าเศร้ามาทั้งวันแล้วก็ทำไม่ลง ผมไม่อยากทำอะไรให้ล่อนจ้อนต้องเศร้าอีกแล้ว เพิ่มสัญญากับตัวเองอีกข้อว่าจากนี้จะมอบแต่สิ่งดีๆ ให้กับคนคนนี้ จะดูแลแมวตัวนี้ให้ดีที่สุด

            เดินมาหยุดอยู่ตรงจุดน้ำขึ้นสูงสุดผมก็ปล่อยล่อนจ้อนลง เรานั่งยองๆ ข้างกัน เอามือกวักน้ำเขี่ยทรายเล่น เป็นการมาเที่ยวทะเลแบบแปลกๆ ที่ไม่ค่อยให้ความรู้สึกเหมือนมาทะเลสักเท่าไร แดดไม่ค่อยมีแต่ลมยังแรงอยู่ น้ำก็ลงซะไกลจนเห็นหาดทรายกว้างกว่าที่เคย นักท่องเที่ยวก็น้อยอีกต่างหาก จะว่าดีมันก็ดี เหมือนอยู่หาดส่วนตัว

            ลองมองไปรอบๆ ไม่มีใครมุมานะเดินมาไกลเท่าเราสองคนเลย จะว่าไปมันก็ดูน่ากลัวอยู่เหมือนกัน น้ำลงเยอะๆ แบบนี้อยู่ๆ เกิดสึนามิขึ้นมาจะทำยังไง แต่ถ้าว่ากันตามภูมิประเทศอ่าวไทยค่อนข้างปลอดภัยจากสึนามิอยู่แล้ว ยกเว้นจะมีอุกาบาตตกลงมา ซึ่งความเป็นไปได้นั้น...

            อยู่ๆ ก็มีน้ำทะเลสาดใส่หน้าผมเหมือนอยากจะบอกว่าหยุดคิดอะไรเพ้อเจ้อเถอะ เหตุการณ์นี้สามารถแยกคิดได้สองประเด็นคือคลื่นซัดแรงจนมันกระเด็นมาโดนซึ่งปัดทิ้งไปได้เลย และสองมีคนแกล้ง ซึ่งเมื่อฟังจากเสียงหัวเราะคนข้างๆ แล้วคนร้ายเป็นใครไปไม่ได้แน่นอน

            "จะเอาใช่มั้ย" ผมกวักน้ำสาดใส่คืน ล่อนจ้อนลุกหนีแล้วนั่งลงทำท่าจะกวักน้ำใส่ผมตรงจุดที่ห่างออกไปไม่ไกล แต่เมื่อผมตั้งท่าพร้อมโต้กลับเจ้าตัวก็เปลี่ยนใจวิ่งหนีแทน

            อย่าหวังว่าจะหนีรอดเลย

            ล่อนจ้อนวิ่งเลียบไปตามความยาวของชายหาด ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาเป็นระยะโดยที่ความเร็วของฝีเท้าไม่ลดลงเลยสักนิด ผมก็ลืมไปว่าแมวตัวนี้คล่องแคล่วว่องไวขนาดไหน ซึ่งสิ่งที่ผมได้เปรียบน่ะเป็นพละกำลังไม่ใช่ความเร็ว

            "วิ่งห่างไปมากๆ เดี๋ยวก็กลับไปเป็นแมวหรอก" พอผมตะโกนไปแบบนั้น คนที่วิ่งนำอยู่ก็หยุดแล้ววนกลับมาหาทันที อันนี้ผมไม่ได้พูดแกล้งเล่น เพราะมันเคยเกิดขึ้นจริงมาแล้วว่าถ้าอยู่ห่างกันมากๆ แม้จะยังไม่ครบกำหนดเวลาก็สามารถกลับไปร่างแมวได้

            "ลิขิตช้าอ่ะ" วิ่งกลับมาหาผมแล้วก็บ่นทันที

            "เรื่องความเร็วยอมครับ"

            ผมยืนหอบอย่างหมดท่า ล่อนจ้อนอมยิ้ม ยื่นมือมาจัดผมข้างหน้าให้ผม แววตาที่มองมาดูไม่เศร้าหมองเหมือนก่อนหน้านี้

            "หายเศร้าหรือยัง" ผมเป็นฝ่ายจัดผมหน้าม้าให้คนตรงหน้าบ้าง แต่มันก็ถูลมพัดจนเสียทรงอยู่ดี

            "ไม่ได้เศร้าแล้ว"

            "ทิ้งทะเลไปให้หมดเลยนะความเศร้าน่ะ ต่อจากนี้รับแค่ความสุขอย่างเดียวก็พอ"

            "ไม่ได้ดิ ต้องเป็นฝ่ายให้ด้วย"

            ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกภูมิใจนัก คิดเข้าข้างตัวเองไปแล้วว่าล่อนจ้อนเติบโตขนาดนี้ได้เพราะผม เพราะคอยดูแล เพราะคอยสอนสิ่งต่างๆ แม้ความจริงสิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นตัวตนจริงๆ ของล่อนจ้อนก็ได้ เป็นสิ่งที่พ่อแม่เคยปลูกฝังไว้ให้ตั้งแต่เด็ก

            "ลิขิตก็หยุดโทษตัวเองได้แล้วนะ" และเป็นคนที่น่ารักทั้งความคิดและหน้าตามาตั้งแต่ตอนนั้น

            "ครับ"

 

            กลับมาหาไอ้กาลอีกทีก็เจอมันนั่งหลับอยู่ที่ศาลา เป็นคนชวนมาเที่ยวที่ทำตัวเหมือนไม่อยากมาเที่ยวที่สุด ผมเข้าเฟซบุ๊กเห็นรูปชายหาดของมันโพสต์เมื่อสิบนาทีก่อน กับแคปชันเสี่ยวๆ ว่า ‘ไปทะเลเจอหาดทราย ใจละลายเมื่อเจอเธอ’ อยากรู้ว่ามันไปจำมาจากไหน เลยถ่ายรูปมันตอนหลับแล้วคอเมนต์กลับไป ผมว่าบรรดาแฟนๆ ของน้องเหนือคงชอบ 

            ยังไม่ทันได้ปลุกกาลมันก็ตื่น นั่งคุยรับบรรยากาศริมทะเลอีกสักพักเราก็ชวนกันกลับ ระหว่างทางน้องชายผมมันบ่นอยากเลยแวะซื้อเบียร์มาสองขวด เอาไว้ไปนั่งกินกันที่ระเบียงบ้านตอนดึกๆ

            กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็เกือบมืด ได้กินข้าวเย็นฝีมือป้าบุหงาอีกหนึ่งมื้อ ไอ้แม็กที่รู้ว่าพวกผมมาก็มาหาที่บ้านใหญ่ จากที่คิดว่าจะนั่งกินเบียร์กันชิลๆ สองคนพี่น้องเลยได้มันมาร่วมวงอีกคน ส่วนอาพิทักษ์แกขอบาย อยากให้คุยกันตามประสาเด็กๆ มากกว่า

            ไอ้แม็กตอนนี้กับตอนเด็กไม่ต่างกันนัก หน้าตาไม่ค่อยเปลี่ยนแต่สูงขึ้นกว่าเดิมเยอะ ผมหมายถึงไม่คิดว่าโตมาแล้วมันจะสูงขนาดนี้ ตอนเด็กมันเตี้ยกว่าเราสองพี่น้องอีก แต่ตอนนี้สูงนำไปแล้ว อาจจะห้าเซนต์ได้มั้ง

            "พวกมึงเป็นแฝดที่กูแยกออกที่สุดละ ไม่มีความเหมือนกันเลย" เวลาเจอหน้าพวกเราไอ้แม็กมันชอบพูดแบบนี้ เป็นสิ่งที่มันดูภาคภูมิใจเสียเหลือเกิน

            "แต่หล่อเหมือนกัน" แล้วพวกผมก็ชอบตอบมันกลับไปแบบนี้อย่างพร้อมเพรียง

            คนฟังขำแล้วส่ายหน้า ผมแท็กมือกับไอ้กาลแบบที่นานๆ ทีจะเห็นพร้องกันสักครั้ง ปกติเถียงกันเรื่องความหล่อตลอด

            "แล้วนี่ใครวะ" มันชี้ไปที่ล่อนจ้อนถามแบบตรงๆ

            "เพื่อนกูเอง พามาเที่ยว หน้าคุ้นมั้ย" ผมแกล้งถาม คนถูกแนะนำตัวยิ้มให้ แน่นอนว่าล่อนจ้อนจำไอ้แม็กได้ ขณะที่ไอ้แม็กไม่มีทางจำล่อนจ้อนได้ แต่มันก็ยังอุตส่าห์ทำหน้าให้ผมลุ้น

            "เหมือนจะคุ้นแต่ไม่คุ้น แล้วกูจะไปรู้จักเพื่อนมึงได้ไงวะ ขนาดหน้าพวกมึงยังไม่ได้เห็นมาตั้งหลายปี ว่าแต่ชื่ออะไรครับ เราชื่อแม็ก"

            "พูดเพราะเชียวนะมึง"

            "แน่นอน" ไอ้แม็กยิ้มรับด้วยสีหน้าภูมิใจ แต่ตอนนี้กำลังเกิดปัญหาใหญ่ ไอ้แม็กมึงเป็นใครทำไมต้องถามชื่อล่อนจ้อน ขนาดอาพิทักษ์กับป้าบุหงายังไม่ถามเลย หรือผมควรปล่อยเบลอไปเลยดี จะบอกว่าชื่อล่อนจ้อนมันก็จะแปลกเกินไปหน่อย

            ไม่มีใครยอมตอบชื่อล่อนจ้อนแม้แต่เจ้าตัว ต่างฝ่ายต่างยิ้มแห้งให้กัน จนไอ้แม็กมันทวงอีกรอบ

            "สรุปชื่ออะไรครับ รู้ชื่อแล้วจะได้สนิท เป็นเพื่อนมันสองคนก็เหมือนเพื่อนผม"

            "ถามเขาก่อนว่าอยากเป็นเพื่อนกับมึงมั้ย" ไอ้กาลช่วยสกัด แต่ผมก็ยังนึกชื่อดีๆ ไม่ออก ในหัวตอนนี้มันมีแต่ชื่อดอกไม้ที่ไม่น่าเอามาตั้งเป็นชื่อผู้ชายได้เลย ไฮเดรนเจียบ้าง คาร์เนชันบ้าง ไม่มีความเป็นไทยเหมือนชื่อครอบครัวล่อนจ้อนสักนิด

            ผมพยายามส่งซิกกับล่อนจ้อนที่ไม่ได้ดูทุกข์ร้อนเท่าไร หรือว่าจะคิดชื่อดีๆ ออกแล้ว

            "สรุปกูจะได้รู้ชื่อมั้ยวะ"

            "จ้อน"

            "จ้อน?" ไอ้แม็กทวนชื่อที่ล่อนจ้อนบอก ขอบคุณที่ไม่บอกชื่อเต็มออกไป

            "อืม จ้อน"

            "โอเคจ้อน เราแม็ก"

            "รู้แล้ว"

            "มาหมดแก้ว เพื่อมิตรภาพ" มันชูแก้วเตรียมชนกับเพื่อนใหม่ทำเอาผมกับไอ้กาลเลิ่กลั่ก ล่อนจ้อนยังไม่เคยดื่มแอลกอฮอล์ แต่ทำไมเสือกมีสี่แก้ววางอยู่ ใครริน!

            "จ้อนมันไม่กิน" ผมแย่งแก้วที่ล่อนจ้อนกำลังจะคว้ามาถือไว้เอง

            คนโดนแย่งแก้วหันมาถลึงตาใส่ ไม่ได้หวงขนาดนั้น ถ้าอยู่ด้วยกันก็อยากให้กินอยู่ แต่เพื่อป้องกันความผิดพลาดต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต ให้ล่อนจ้อนอยู่สภาพที่สติยังครบร้อยเปอร์เซ็นต์ดีกว่า แม้วันนี้ชั่วโมงการเป็นคนจะเหลือเยอะจนน็อกรอบวันได้เลยก็เถอะ

            "ทำไมกินไม่ได้วะ"

            "มันแพ้"

            "แพ้อะไรไม่แพ้เสือกแพ้เบียร์ อ่า โทษๆ แพ้อะไรไม่แพ้ดันเบียร์"

            "ไม่ต้องแก้แล้วมั้งไอ้สัด" ไอ้แม็กหัวเราะเสียงดังตอนโดนไอ้กาลด่า มันดื่มจนหมดไปครึ่งแก้วก่อนวางไว้ ส่วนคนที่โดนห้ามก็กินกับแกล้มแก้เซ็งไป

            "ตอนนี้มึงได้ติดต่อกับคนอื่นๆ อยู่ป้ะ" ผมเริ่มชวนคุยเรื่องเพื่อนๆ ไอ้แม็กมันอยู่ที่นี่ตลอด น่าจะพอรู้ความเคลื่อนไหวของคนอื่นๆ

            "ไม่ถึงกับติดต่อ ปิดเทอมก็มีกลับมาเยี่ยมบ้าง แยกย้ายไปเรียนกันอยู่คนละมุมประเทศนู่น"

            "แล้วลูกป้าบุหงาล่ะ"

            "โบตั๋นอ่ะนะ เพิ่งสามขวบ"

            "กูหมายถึงลูกชายคนโต" ล่อนจ้อนรีบหันมามองเมื่อผมถามออกไปตรงๆ แต่คำตอบที่ได้ก็ไม่ต่างจากที่คิดไว้

            "ป้าบุหงามีลูกคนเดียว มึงไปเอาลูกชายคนโตมาจากไหน"

            "สงสัยกูจำผิด"

            ไอ้แม็กไม่ได้ติดใจอะไรกับคำถามของผม มันหันไปคุยเล่นกับไอ้กาล พูดถึงไอ้โปเต้ที่ตอนนี้สอบติดวิศวะไปเรียนอยู่เชียงราย พ่อมันก็ลาออกจากสวนแล้วด้วย ไม่รู้ป่านนี้ไปทำงานอยู่ที่ไหน ทำเอาไอ้กาลบ่นเสียดายที่อาจจะไม่ได้เจออริเก่าอีก

            แรงกระตุกเบาๆ ที่แขนเสื้อเรียกให้ผมหันไปมองคนข้างๆ แล้วก็เจอกับสายตาปรือๆ ที่มองมา เหมือนว่าเจ้าแมวอยากจะเข้านอนแล้ว

            "ห้าทุ่มแล้ว" ไม่บอกเปล่ายังกดเวลาในมือถือให้ดู

            "ไปนอนก่อนมั้ย เดี๋ยวไปส่ง"

            "ยังไม่ได้อาบน้ำเลย"

            "เออว่ะ แต่ถ้าเป็นแมวไม่ต้องอาบก็ได้นะ" ผมกระซิบบอก เป็นวิธีง่ายๆ สำหรับคนขี้เกียจ กระโดดขึ้นเตียงแล้วนอนได้เลย ไม่ต้องอาบน้ำให้เสียเวลาเพราะยังไงก็ต้องนอนในร่างแมวอยู่ดี แต่ล่อนจ้อนกลับทำหน้างอแงใส่

            "อยากอาบ มันร้อน"

            "โอเค เดี๋ยวพาไป"

            รับปากล่อนจ้อนแล้วผมก็หันไปบอกไอ้แม็กกับไอ้กาลที่ยังจ้อกันไม่หยุด ขอตัวพาแมวไปอาบน้ำส่งเข้านอน แล้วจะกลับมานั่งกับพวกมันต่อ

 

            บ้านหลังนี้มีอาคารหลักกับอาคารเล็กรวมทั้งหมดมีสี่ห้องนอน ห้องอาพิทักษ์กับภรรยาหนึ่งห้อง ลูกสาวอาหนึ่งห้องอยู่อาคารหลัก ส่วนอาคารเล็กที่ต้องเดินข้ามทางเชื่อมานิดหน่อยมีสองห้องนอนที่ถูกขั้นกลางด้วยห้องน้ำ หนึ่งห้องเป็นของลูกชายอาที่พวกผมขอใช้นอนชั่วคราว ส่วนอีกห้องยกให้ล่อนจ้อนนอนคนเดียว

            ผมนั่งมองล่อนจ้อนถอดเสื้อผ้าซึ่งเจ้าตัวไม่เคยมีอาการเขินอายแต่อย่างใด ถอนจนหมดสมชื่อแล้วค่อยเอาผ้าขนหนูมาพันเอว ทั้งที่ตอนอยู่ห้องจะถือผ้าขนหนูเข้าไปถอดในห้องน้ำ หรือว่าผิดที่ผิดทางเลยลืมตัว จนผมต้องเป็นฝ่ายหันไปมองทางอื่นแทนก่อนใจจะคิดอกุศล พอถอดเสร็จก็หันมาเอียงคอมองกันไม่เข้าไปอาบสักที

            "เปิดประตูนี้เข้าไปได้เลย มันเชื่อมกัน" ผมชี้ไปที่ประตูอีกบานที่เป็นแบบบานเลื่อน ห้องน้ำห้องนี้มีทางเข้าสามทาง ถ้าเข้าไปแล้วลืมล็อกประตูสักบานแล้วมีคนเปิดเข้ามาก็...นั่นแหละ

            "ลิขิตไม่อาบเหรอ"

            "อาบก่อนเลย" ผมว่าจะไปนั่งกินต่อเลยยังไม่อยากอาบ เผลอๆ นอนเลยแบบไม่ต้องอาบ

            คนอยากอาบน้ำนอนยังลีลาไม่ยอมไป หรืออาจจะแปลกที่แปลกทางจริงๆ

            "กลัวเหรอ"

            "เปล่า"

            "ไปอาบเถอะ เดี๋ยวนั่งรออยู่นี่แหละ"

            "อยู่ใกล้ๆ ประตูนะ"

            "รู้แล้ว" ผมลุกขึ้นไปเปิดประตูให้แล้วดันหลังล่อนจ้อนเข้าไป ก่อนปิดประตูแล้วนั่งพิงมันซะเลย

            ที่แท้ก็กลัวกลับไปเป็นแมว เพราะเหตุการณ์แบบนั้นมันเคยเกิดขึ้นมาก่อน ครั้งหนึ่งผมคุยกับไอ้กาลอยู่ในห้องนอนตอนนี้ล่อนจ้อนกำลังอาบน้ำ ผ่านไปสักพักได้ยินเสียงแมวร้องเลยออกไปดู พอเปิดประตูห้องน้ำก็เจอแมวสีขาวตัวนั่งมองตาขวางอยู่ หลังจากนั้นเวลาล่อนจ้อนเข้าห้องน้ำผมเลยต้องอยู่ใกล้ๆ ตลอด

            อาบน้ำเสร็จก็เช็ดผมให้จนแห้ง ส่งเจ้าแมวน้อยขึ้นเตียงแต่ก็อยากแกล้งสักหน่อย นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้จุ๊บก่อนนอน อาจจะเป็นตั้งแต่เจ้าตัวเลิกอ่านนิทานล่ะมั้ง พอโตขึ้นก็ไม่ยอมจุ๊บกันแล้ว

            "ไหนจุ๊บก่อนนอนก่อน"

            "เล่นอะไรอีก"

            "ก็แต่ก่อนยังจุ๊บเลย"

            "เคยแค่สองครั้งเอง" พูดเองก็ขำเอง คงนึกได้ล่ะมั้งว่าตอนกลับมาเป็นคนใหม่ๆ ตัวเองเหมือนเด็กแค่ไหน ตอนนี้โตแล้วใครเขาจะทำเหมือนตอนเด็กกัน

            "จุ๊บก่อนเร็ว"

            "ไม่เอา"

            "จุ๊บก่อน จะได้หลับฝันดี"

            เห็นว่าคนบนเตียงไม่ขยับผมเลยขยับเข้าไปหาเอง ล่อนจ้อนถอยหนีไม่ได้เพราะนั่งพิงหัวเตียงอยู่แล้ว พอก้มหน้าลงไปใกล้อีกนิดเจ้าตัวก็หลับตา เข้าไปใกล้จนปลายจมูกจะสัมผัสกับหน้าผากอยู่แล้วแต่ใจผมกลับสั่งให้เปลี่ยนจุดหมายกะทันหัน ขยับต่ำลงมาอีกนิดแล้วใช้ริมฝีปากสัมผัสกันแทน

             ปากแตะกันไม่ถึงเสี้ยววินาทีด้วยซ้ำผมก็ผละออก ขยับออกมายืนมองคนที่กำลังนั่งหน้าแดงมองกัน อยากได้แค่จุ๊บก็เอาแค่นั้น ถึงจะเป็นจุ๊บที่ผิดตำแหน่งไปหน่อยก็เถอะ

            "ถ้าจุ๊บแบบนี้มันก็จะได้ทีเดียวจบไง" เป็นคำแก้ตัวที่โคตรฟังไม่ขึ้น แต่ดูจะเป็นคำตอบที่น่าพอใจสำหรับคนฟัง

            "ลิขิตลืมบอกฝันดี" ล่อนจ้อนเม้มปาก ค่อยๆ ขยับตัวลงนอนแล้วดึงผ้าห่มขึ้นขึ้นมาปิดถึงปาก ทำตัวน่ารักอีกแล้ว

            "ฝันดีครับ"

            "ฝันดี"

            ได้ยินเสียงตอบกลับมาเบาๆ ผมก็หมุนตัวเดินออกมาจากห้อง ปิดประตูแล้วยืนพิง ตั้งสติควบคุมอารมณ์ให้เป็นปกติก่อนจะกลับไปหาไอ้ตัวร้ายสองคน เพราะเชื่อเถอะว่าผมต้องโดนไอ้กาลแซวแน่ถ้ากลับไปด้วยสีหน้าเบิกบานขนาดนี้

            หุบยิ้มไม่ได้เลย

 

            มันเป็นความรู้สึกเกลียดชัง เกิดขึ้นได้ยังไงหรือเพราะอะไรผมไม่แน่ใจนัก แต่เมื่อใดที่เห็นคนตรงหน้า ก็มักจะเกิดความรู้สึกนี้ขึ้นมาทุกที

            ผมยืนอยู่ในสวนที่มีต้นไม้ล้อมรอบ หากไม่เคยมาที่นี่บ่อยๆ คงคิดว่าหลงอยู่ในป่าสักแห่งที่หาทางออกไม่เจอและคงจะร้องไห้เรียกหาพ่อในอีกไม่กี่นาทีต่อมา ในสวนผมในวัยสิบขวบกำลังมองเด็กผู้ชายอายุไล่เลี่ยกัน ผมรู้จักเขา เคยเล่นด้วยกันบ้างแต่ไม่ค่อยสนิทนักในตอนนี้ ถ้าเป็นสักเมื่อสองสามอาทิตย์ก่อนก็ไม่แน่ ความรู้สึกผมมันบอกว่าเคยสนิท แต่เพราะอะไรบางอย่างทำให้ผมเลือกที่จะตีตัวออกห่าง เป็นเหตุผลที่ผมไม่รู้ พยายามนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก

            "ทำอะไรน่ะ" ผมเลือกที่จะตะโกนถามออกไปเมื่อยืนมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้สักพัก เด็กผู้ชายคนนั้นกำลังไล่จับแมวสีขาว เขาหันมามองโดยไม่พูดอะไร ทำเป็นไม่สนใจกัน

            เพราะรู้ตัวว่าแพ้แมวผมเลยไม่อยากเข้าไปยุ่งด้วยนัก ทั้งพ่อทั้งปู่ก็บอกให้ผมอยู่ห่างๆ แมวไว้จะได้ไม่ป่วย แต่การกระทำของเด็กคนนั้นกำลังทำให้ผมเหลืออด เขาใช้ถังไล่ครอบแมว เมื่อจับได้ก็จับมันกดกับพื้นแล้วนั่งทับไว้ ดึงหูดึงหมวดจนแมวร้องประท้วงแต่ก็ไม่ยอมปล่อย

            "ปล่อยแมวซะ!" ผมตะโกนบอกอีกรอบแต่ก็ไร้ผลเหมือนเดิม เขาเพียงหันมามองผม ดึงหางแมวจนมันร้องเสียงดังถึงได้ปล่อยมันหนีไป

            ในฐานะคนชอบแมวแต่เล่นกับแมวไม่ได้ผมโคตรโมโห เดินเข้าไปยืนประจันหน้า เราจ้องตากันแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายไม่ได้อยากต่อกรกับผมนัก เลยได้แต่ตะคอกใส่อีกฝ่ายแล้วเดินหนีมาเพราะไม่อยากมีเรื่องให้ปู่กับอาต้องปวดหัวกับผมอีก   

            "ขอให้....กลายเป็นแมวดู จะได้รู้ว่ามันรู้สึกยังไง"

            ทุกอย่างชัดเจนยกเว้นก็แต่ชื่อของเด็กผู้ชายคนนั้นที่ผมพูดออกไป อย่างกับว่ามันโดนเซนเซอร์เพราะเป็นคำหยาบคายไม่สามารถออกอากาศได้  ทั้งที่มันคือจุดสำคัญที่ผมควรจำ ทั้งที่ผมเป็นคนทำให้เกิดชะตาชีวิตบ้าๆ นี้ขึ้นมาแต่กลับลืมมันเสียสนิท

            ความฝันเกี่ยวกับเหตุการณ์วัยเด็กทำผมสะดุ้งตื่น ไอ้กาลนอนหลับสนิทอยู่ข้างๆ เราแยกย้ายกันตอนเที่ยงคืนกว่า ไอ้แม็กกลับไปนอนบ้านพัก ผมแวะไปดูล่อนจ้อนที่ห้อง เห็นผ้าห่มพองๆ คิดว่ามันคงนอนขดอยู่ในนั้นก็กลับมาอาบน้ำนอน หัวถึงหมอนหลับไปตอนตีหนึ่ง แต่หลับไปได้แป๊บเดียวก็ฝัน

            ผมนอนลืมตามองเพดาน ในหัวเริ่มคิดทบทวนถึงความฝันที่น่าจะเป็นความจริงในอดีต น่าแปลกที่ตั้งแต่เกิดเรื่องผมไม่เคยฝันถึงเหตุการณ์วัยเด็กเลยสักครั้ง ไม่เคยฝันเห็นอะไรก็ตามที่น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่กำลังเผชิญ แต่ครั้งนี้มันกลับชัดเจน เด็กผู้ชายคนนั้นคือคนเดียวกับในรูปถ่าย คือล่อนจ้อนตอนสิบขวบ

            บางทีอาจเป็นเพราะสถานที่เกิดเหตุเป็นตัวกระตุ้นความทรงจำ ผมพูดอย่างที่ล่อนจ้อนเคยเล่า มันถูกต้องทุกอย่าง ยกเว้นเพียงแต่ความรู้สึกเกลียดชังที่ผมไม่เข้าใจ เพราะอะไรในตอนนั้นผมถึงมีความรู้สึกแบบนั้น และได้ลืมเลือนไม่หลงเหลือในความทรงจำเลย

            ผมไม่เข้าใจ


tbc.

 
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 15 ___ [13/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-07-2019 22:48:44
ลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 15 ___ [13/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 14-07-2019 01:01:39
 :pig4: :pig4: :pig4:

ความทรงจำตอนนั้นค่อย ๆ กลับมาแล้ว

ต่อมอยากรู้ทำงานถี่ ๆ เลย
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 15 ___ [13/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 14-07-2019 01:49:26
โอ้ยยยยลุ้นนนน
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 15 ___ [13/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 14-07-2019 02:00:18
ก่อนหน้านั้นมีเรื่องอะไรกัน  :ling3:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 15 ___ [13/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 18-07-2019 21:59:42
สงสารล่อนจ้อนที่เลือนหายไปจากความทรงจำของทุกคน  :hao5: :ling3:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 15 ___ [13/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 20-07-2019 01:01:10
 เคยโกรธอะไรกันมาก่อนหน้านั้นหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 15 ___ [13/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: lalilali ที่ 20-07-2019 17:53:17
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 16 ___ [20/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 20-07-2019 19:42:15

ลิขิตครั้งที่ 16


            ผมแทบจะหลับคาโต๊ะหลังจากต้องตื่นตั้งแต่หกโมงเช้าไปหาล่อนจ้อนที่ห้อง อาบน้ำเก็บของใส่กระเป๋าแล้วไปกินข้าวตอนแปดโมงเช้า ทั้งที่เมื่อคืนได้หลับถึงสองชั่วโมงหรือเปล่าก็ไม่รู้

            หลังกินข้าวเสร็จล่อนจ้อนก็ตามป้าบุหงาเข้าครัวไปเหมือนเดิม พยายามจะช่วยล้างจานแต่ก็โดนป้าแกไล่ให้ไปนั่งรอ ทั้งคู่คุยเล่นกันเยอะกว่าเมื่อวานที่ผมแทบจะเป็นคนคุยอยู่ฝ่ายเดียว เป็นการพูดคุยเรื่องทั่วๆ ไปที่ลอยกระทบหูผมแล้วกระเด้งออก เพราะในหัวผมยังคงคิดทบทวนถึงความฝันเมื่อคืนอยู่ คิดถึงคำพูดที่ทำให้ล่อนจ้อนต้องกลายเป็นแบบนี้

            'ขอให้....กลายเป็นแมวดู จะได้รู้ว่ามันรู้สึกยังไง'

            จำได้ว่าก่อนหน้านี้ผมเคยพูดประโยคที่ตรงกันข้ามกันมาแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แล้วถ้าหากผมลองพูดอีกครั้งในตอนที่จำเหตุการณ์นั้นได้แล้วมันจะมีอะไรเปลี่ยนไปจากครั้งก่อนมั้ย การลิขิตของผมจะได้ผลหรือเปล่า

            "ขอให้กลับมาเป็นคนเหมือนเดิม"

            ล่อนจ้อนกับน้าบุหงาหยุดคุยกันแล้วหันมามองอย่างพร้อมเพรียง ผมที่โพล่งออกไปแบบไม่มีจังหวะเลยได้แต่ยิ้มแหย ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทุกอย่างปกติดี ทั้งที่มันควรจะมีแสงวาบๆ อะไรออกมาบ้างเพื่อบอกให้รู้ว่าสิ่งที่ขอนั้นสำเร็จ

            "มาขออะไรตอนนี้" ล่อนจ้อนแซวขำๆ พูดด้วยน้ำเสียงปกติที่ไม่ได้คิดจะปิดบังอะไรกับป้าบุหงา เพราะป้าแกก็คงไม่เข้าใจความหมายในเรื่องที่เราสองคนพูดกันอยู่แล้ว

            "เบลอนิดหน่อย เมื่อคืนนอนน้อย"

            "ไปนอนก็ได้นะ"

            "ไม่เป็นไรเดี๋ยวรอ"

            "เฝ้าเพื่อนตลอดเลยนะคะ" ป้าบุหงาแซวบ้าง ผมไม่แน่ใจว่าแกจะเข้าใจไปในทิศทางไหน แต่รอยยิ้มที่ส่งมาให้ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดว่ากำลังโดนจับผิดในความสัมพันธ์ของเรา

            "มันเป็นคนเด๋อๆ อ่ะครับ ปล่อยไว้คนเดียวไม่ค่อยได้"

            "เด๋อตรงไหน"

            "ก็ทุกตรงอ่ะ เหมือนเด็ก"

            "ตอนนี้โตแล้วเถอะ อายุเท่าลิขิตแล้ว"

            "ครับๆ" ผมไม่เถียงต่อ ตอบตัดบททำหน้ากวนใส่คู่สนทนานิดหน่อยแล้วผายมือให้ล่อนจ้อนกลับไปคุยกับแม่ต่อ ก่อนป้าแกจะจัดการงานในครัวเสร็จแล้วหนีไป

            ระหว่างที่ป้าบุหงาทำงานโบตั๋นที่หายเขินคนแปลกหน้าแล้วก็เข้ามาวอแวล่อนจ้อนยกใหญ่ เดี๋ยวเกาะขาเกาะแขนชวนให้อุ้ม พี่ชายก็แสนใจดีตามใจทุกอย่าง เล่นไปเล่นมาสุดท้ายนั่งหลับคาตักล่อนจ้อนมัน

            "หลับซะแล้ว ขอบคุณนะคะที่ช่วยดูให้" เคลียร์งานเสร็จแล้วป้าบุหงาก็รับโบตั๋นไปอุ้ม เด็กน้อยขยับตัวนิดหน่อยแต่ยังไม่ยอมตื่น

            "ไม่เป็นไรครับ น้องน่ารัก"

            "หน้าแอบคล้ายกันด้วย" ผมพูดเสริมล่อนจ้อนเลยหันมาถลึงตาใส่ ผิดกับป้าบุหงาที่ดูจะเห็นด้วย

            "จะว่าไปก็แอบเหมือนอยู่นิดนึงนะคะ"

            "เวลายิ้มยิ่งเหมือนกันเลยครับ"

            "แสดงว่าโตไปต้องน่ารักเหมือนพี่จ้อนสินะเรา" ป้าบุหงายิ้มหวาน มองแขกของบ้านสลับกับลูกสาวที่อุ้มอยู่

            ล่อนจ้อนอมยิ้ม กลิ่นไอแห่งความสุขลอยอบอวนอยู่รอบตัวจนผมสัมผัสได้ แต่น่าเสียดายที่ช่วงเวลาดีๆ นี้กำลังจะหมดลง ต้องจากกับแม่ในอีกไม่กี่นาที และต้องจากที่นี่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

            "งั้นป้าไปทำงานต่อก่อนนะ"

            "เดี๋ยวครับ คือลุงดอกรักน่ะ" ผมเรียกไว้ก่อนที่ป้าบุหงาจะเดินไป เมื่อวานผมสัญญากับล่อนจ้อนไว้ว่าจะถามเรื่องนี้จากอาพิทักษ์ให้แต่ก็ลืม

            "คะ?"

            "ผมอยากไปไหว้ลุงน่ะครับ" เหตุผลคืออะไรผมคิดว่าป้าบุหงาน่าจะเข้าใจ ยังไงลุงแกก็เป็นคนรู้จัก ถึงจะนานจนผมลืมไปแล้วก็เถอะ

            ป้าบุหงายิ้มกว้างจนหนวดแมวขึ้น แสดงเอกลักษณ์ที่มาจากแม่พิมพ์เดียวกัน ถ้าจับคนที่นั่งยิ้มอยู่ข้างๆ ผมไปซ้อนแน่นอนว่าต้องออกมาพอดีกับเป๊ะ เหมือนกันขนาดนี้ทำไมป้าแกถึงไม่นึกสงสัยบ้างว่าอาจจะเป็นลูกชายที่พลัดหลงกันเมื่อนานมาแล้ว

            "เดี๋ยวป้าพาไปค่ะ"

 

            เราเดินตามป้าบุหงาเข้ามาในบ้านพักคนงานที่อยู่ริมสระ น้องโบตั๋นที่ยังหลับสนิทถูกวางไว้บนเบาะ ผมพอจำแปลนของบ้านหลังนี้ที่เคยมาเล่นตอนเด็กๆ ได้บ้าง สองห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ ด้านหลังเป็นครัวกับที่ซักล้าง ซึ่งห้องของป้าบุหงานั้นอยู่ด้านหลัง

            ในห้องโล่งๆ ที่มีเพียงที่นอน โต๊ะหนึ่งตัว และตู้เสื้อผ้า รูปของลุงดอกรักวางอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนโต๊ะตัวนั้น

            ผมจับมือล่อนจ้อนพาเดินไปยืนหน้ารูปเมื่อป้าบุหงาหลบทางให้ เรายกมือขึ้นไหว้ ไม่มีธูป ไม่มีดอกไม้ มีเพียงใจที่อยากมาหาเท่านั้น

            สิ่งที่ผมอยากบอกลุงมีเพียงคำขอโทษ และคำสัญญา ขอโทษที่พรากลูกชายสุดที่รักไปจากครอบครัว และสัญญาว่าต่อจากนี้จะดูแลให้ดีที่สุด สัญญา...ว่าจะทำให้ล่อนจ้อนกลับมาเป็นหนึ่งในครอบครัวเหมือนเดิมให้ได้

            หันมองคนข้างๆ ยังคงพนมมือมองรูปภาพด้วยแววตาสั่นเครือ สิบปีที่ห่างหายย่อมมีเรื่องมากมายที่อยากบอก ผมยืนรออยู่ข้างๆ กระทั่งล่อนจ้อนคุยกับพ่อเสร็จ คนที่กำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อหันมายิ้มให้ ผมบอกขอบคุณป้าบุหงาอีกครั้งแล้วพาล่อนจ้อนออกมาก่อนเจ้าตัวจะร้องไห้ตรงนั้น

            "อ่ะ ร้องได้แล้ว ให้ยืมไหล่ซบด้วย" จูงมืออกมาจนถึงตีนเนินของบ้านใหญ่ผมก็ตบไหล่พร้อมให้อีกคนซบ

            "อะไรใครร้อง"

            "แมวร้อง"

            "ไม่ร้องแล้วเหอะ สัญญากับพ่อไว้แล้ว"

            "แต่บางทีพ่ออาจจะอยากให้ร้องก็ได้นะ ระบายมันออกมาบ้าง อย่าเอาแต่เก็บไว้ในใจ"

            คนที่บอกว่าจะไม่ร้องไห้เริ่มแบะ ผมก้าวเข้าไปกอดแล้วกดหัวล่อนจ้อนให้ซบลงมาที่ไหล่ เจ้าตัวจะร้องมั้ยผมไม่รู้ แต่อยากกอดเพื่อให้กำลังใจ รวมถึงให้กำลังใจตัวเองด้วย

 

            สิบเอ็ดโมงเราก็ออกเดินทางกลับกรุงเทพฯ ไอ้กาลมันกลัวตอนเย็นรถติด อยากพาผมกับล่อนจ้อนไปทิ้งไว้ที่หอเร็วๆ แล้วแวะไปหาไอ้ดื้อของมันต่อเลยต้องออกเร็ว ผมน่ะไม่ขัดหรอก ยอมตามใจคนขับรถอยู่แล้ว

            เหมือนกับขามาขึ้นรถมาได้แป๊บเดียวล่อนจ้อนก็หลับ ตัวผมอยู่คุยกับไอ้กาลได้ไม่นานก็หลับตาม ตื่นอีกทีตอนเข้ากรุงเทพฯ รถหยุดหน้าหอตอนบ่ายโมงไอ้กาลมันก็เชิญเราสองคนลงแล้วขับไปต่อ

            "หิวแล้วอ่ะ" ส่วนคนที่หลับมาตลอดทางตื่นแล้วก็บ่นหิวทันที

            "งั้นไปกินข้าวกัน" รู้งี้ให้กาลแวะส่งที่หน้าห้างฯ ก็ดี

           

            ซูชิคือเมนูที่ล่อนจ้อนเลือก ก่อนหน้านี้ผมเคยซื้อชิ้นละสิบบาทจากตลาดหลังมอมาให้แล้วเจ้าตัวติดใจ วันนี้เดินผ่านร้านเลยรีบชี้ แปลงร่างเป็นน้องล่อนจ้อนสิบขวบร้องจะกินซูชิเลยต้องจูงมือกันเข้ามานั่งในร้าน

            ร้านนี้ไม่ได้มีแค่ซูชิ แต่ยังรวมถึงซาชิมิ ข้าวหน้าต่างๆ และน้ำแบบรีฟิล ผมเลือกแบบบุฟเฟต์แมวกินจุจะได้กินได้เต็มที่ สั่งมาแค่รอบแรกบรรดาเนื้อดิบทั้งหลายก็วางเต็มโต๊ะ ล่อนจ้อนตาวาวเป็นประกาย หยิบตะเกียบมาถือแต่ยังใช้ไม่ถนัดเลยเลือกที่จะจิ้มแทนการคีบ แต่เพราะเป็นของดิบเลยจิ้มไม่เข้า

            "จิ้มไปแบบนั้นเดี๋ยวข้าวก็แตกหมด"

            "ก็มันคีบไม่ได้"

            "ทำแบบนี้ ค่อยๆ ฝึก" ผมทำให้ดู แต่ล่อนจ้อนได้หมดความอดทนกับการใช้ตะเกียบไปแล้ว

            "หิว ใช้มือกินเลยไม่ได้เหรอ"

            "มานั่งนี่มา" ก่อนคนหิวจะใช้มือแทนตะเกียบ ผมต้องกวักมือเรียกให้มานั่งข้างกันแทน

            บอกให้มาล่อนจ้อนก็มาแต่ตัว ผมลุกเอื้อมไปหยิบจานกับตะเกียบมาวางให้ ขยับถ้วยโชยุมาไว้ใกล้ๆ ก่อนจะคีบซูชิวางให้ในจาน

            "ลองดู"

            ล่อนจ้อนลองพยายามใช้ตะเกียบอีกครั้ง มันทุลักทุเลจนน่าขำแต่ผมขำไม่ได้เดี๋ยวจะโดนแมวข่วนเอา พอคีบขึ้นมาใกล้ถึงปากมันก็ร่วงอยู่สองสามรอบ สุดท้ายเจ้าตัวก็วางตะเกียบด้วยความโมโห ผมเลยช่วยคีบซูชิเจ้าปัญหาชิ้นนั้นไปป้อนให้

            "เอ้า อ้าปาก"

            แมวหิวอ้าปากงับซูชิไปเคี้ยวตุ้ยๆ แล้วหันมามองผมตาขวาง พอกลืนแล้วก็บ่นทันที

            "ทำไมไม่ทำตั้งแต่ตอนแรก"

            "ให้ป้อนเนี่ยนะ"

            "ก็มันกินไม่ได้"

            "แล้วรู้เปล่าคนที่ป้อนของกินกันเขาต้องเป็นอะไรกัน" ผมถามอย่างจริงจัง แต่ดูจากสีหน้างงๆ นั่นแล้วล่อนจ้อนไม่น่าจะรู้คำตอบ

            "พ่อแม่เหรอ"

            "ทำไมเป็นพ่อแม่"

            "ตอนเด็กๆ แม่ก็ป้อนข้าว"

            "แล้วอย่างอื่นอ่ะ"

            "เพื่อนไง"

            "อ่ะ เพื่อนก็เพื่อน" ผมยอมแพ้ไม่เล่นต่อ กลัวดันทุรังไปต่อแล้วแป้ก ความพิเศษนี้ยอมให้แค่เพื่อนก็ได้ ถึงผมจะไม่เคยป้อนของกินเพื่อนเลยก็เถอะ

            "มันมีอย่างอื่นอีกเหรอ" แต่คนไม่ยอมแพ้กลับเป็นล่อนจ้อนซะงั้น

            "มี"

            "พี่น้องเหรอ"

            "ก็ใช่" ผมคีบซูชิอีกชิ้นป้อนแมวขี้สงสัย คิดว่าจะประเด็นนี้จะจบแล้ว แต่พอกลืนปุ๊บก็โดนถามต่อ

            "แล้วมีอะไรอีก"

            "ทายดิ" รอบนี้ผมถามกลับ เราจองตากัน ผมยิ้มเพราะคิดว่าต้องเป็นฝ่ายชนะแน่ๆ แต่กลับไม่ใช่

            "หรือแฟน"

            "ก็ประมาณนั้น"

            "แล้วลิขิตป้อนเราในฐานะอะไรอ่ะ" ถามตาแป๋วแก้มแดงนิดๆ ทีแบบนี้ล่ะฉลาดขึ้นมาเชียว

            "ในฐานะคนที่ใช้ตะเกียบไม่เป็นไง เอ้า อ้าม"

            ล่อนจ้อนอ้าปากงับซูชิที่ผมป้อนให้อีกชิ้น เคี้ยวไปยิ้มไป เอื้อมหยิบน้ำมาดูดแล้วก็บ่นผมอีก

            "มัวแต่ป้อน กินเองบ้าง"

            "กินอยู่"

            "เอาอันนี้หน่อย" เพิ่งบ่นผมแป๊บๆ แต่ชี้นิ้วให้ผมคีบแซลมอนให้กินอีกชิ้นซะงั้น

            เป็นแมวที่เอาใจยากจริงๆ เลย

           

            ท้องอิ่มแล้วก็เดินเล่นต่อ ผมชวนล่อนจ้อนขึ้นไปบีทูเอสชั้นบน อยากซื้อหนังสือให้สักเล่ม ซื้ออุปกรณ์การเรียนอย่างพวกสมุดปากกาเอาไว้ให้ฝึกเขียน พูดคล่องแล้วอ่านพอได้ ก็เหลือแค่เขียนนี่แหละ แต่ยังเดินไม่ทันถึงบีทูเอสแขนผมก็ถูกล็อกเอาไว้

            "อยากดูเรื่องนี้"

            เพราะดันพาเดินผ่านโรงหนัง

            "วันหลังมั้ย"

            "ตอนนั้นก็บอกว่าวันหลัง"

            แล้วก็ดูเหมือนจะปฏิเสธไม่ได้ด้วย

            "ดูกันนะ" ทำเสียงอ้อนไม่พอ ยังใช้สายตาลูกแมวมองผมอีก

            "งั้นมาทำข้อตกลงกัน"

            ล่อนจ้อนมองอย่างสงสัยแต่สายตาดูสนุกกับข้อตกลงที่ผมอ้างขึ้นมา แต่หารู้ไม่ว่ามันเป็นกับดัก ผมว่าล่อนจ้อนไม่น่าจะตกลงทำหรอกถ้าแลกกับการดูหนังแค่ครั้งเดียว

            "ต่อไปนี้ต้องจุ๊บทุกคืนก่อนนอน"

            คนฟังนิ่งไปเลย กะพริบตาปริบๆ เกิดอาการลังเลขึ้นมา เจอรีแอคชั่นแบบนี้ผมเองก็แอบเจ็บจี๊ดๆ ที่ใจเหมือนกัน เพราะมันสามารถบอกได้เลยว่าตอนนี้ล่อนจ้อนกำลังรู้สึกยังไงกับผม

            "เอาไง ตกลงมั้ย"

            "ก็ได้"

            "เอาจริงดิ"

            "อืม ก็แค่จุ๊บ" ทำเป็นตอบหน้านิ่งๆ แต่รู้มั้ยว่าตัวเองกำลังจะกลายเป็นสีแดงแล้ว

            "แค่จุ๊บทีไหน รู้มั้ยคนเป็นอะไรกันเขาถึงจุ๊บกัน"

            "แล้วที่ลิขิตจุ๊บเราเมื่อคืนเราเป็นอะไรกันล่ะ" เจอย้อนมาแบบนี้ทำเอาผมไปต่อไม่เป็นเลย

            "อยากให้เราเป็นอะไรล่ะ"

            "เราเป็นคนถามก่อน"

            "แล้วมีคำตอบอยู่ในใจหรือยังล่ะ"

            ล่อนจ้อนไม่ตอบ ย่นจมูกใส่ทำหน้าเหมือนอยากกระโดดเข้ามาจะปบ ถึงเจ้าตัวจะตอบไม่ได้ แต่คำตอบของผมน่ะ มันชัดเจนขึ้นทุกวัน

            "แต่เรามีแล้วนะ"

            "เราก็มีเหมือนกัน"

            "ลิขิต"

            เราสองคนหันไปตามเสียงเรียกแล้วก็ได้พบกับคนที่ผมไม่อยากเจอมากที่สุด พี่ณดาเดินยิ้มกว้างเข้ามาหา ข้างหลังมีเพื่อนรออยู่สามคน

            "สวัสดีครับ" ผมยกมือไหว้ ล่อนก็รีบทำตาม ไม่อยากทำตัวเหมือนคนสนิทกลัวแมวข้างๆ จะคิดมาก

            "พี่บอกแล้วไงไม่ต้องไหว้ มากับเพื่อนเหรอไม่เคยเห็นหน้า"

            "ก็ไม่เชิงครับ"

            พี่ณดาทำหน้าสงสัยแต่ยังคงยิ้มอยู่ พี่เธอเหมือนอยากถามต่อแต่ก็ไม่อยากถาม ผมเลยเป็นฝ่ายตอบให้

            "กำลังคุยๆ กันอยู่ครับ"

            "อ้าวเหรอ" จากยิ้มกว้างกลายเป็นยิ้มฝืน ผมไม่ได้อยากทำแบบนี้หรอก แต่ในเมื่อปฏิเสธตรงๆ ไปแล้วพี่เธอยังตื๊อและยืนยันว่าจะไม่ยอมถอยจนกว่าผมจะมีแฟนก็ต้องใช้วิธีนี้ มันจะได้จบๆ ไปสักที

            "ไอ้กาลมันก็รู้นะ มันไม่ได้บอกพี่เหรอ"

            "ไม่นะ แต่ลิขิตบอกพี่เองก็ได้นี่ เวลาพี่ไลน์หาก็ไม่ค่อยตอบ"

            "ผมลืม ขอโทษนะครับ"

            "พี่ไม่ว่าอะไรๆ แล้วนี่จะไปไหนกันต่อเหรอ"

            "ดูหนังครับ"

            "งั้นพี่ไปก่อนนะ"

            "ครับ"

            พี่ณดายิ้มกว้างให้ก่อนเดินกลับไปหากลุ่มเพื่อนแล้วทั้งกลุ่มก็พากันเดินลงบันไดไป คนที่เหมือนจะเก็บความสงสัยไว้ตลอดการสนทนาเมื่อครู่เลยรีบถามขึ้นมา

            "กำลังคุยๆ กันคืออะไรเหรอ"

            "ไม่รู้จักเหรอ"

            "ตอนนี้ก็คุยกันอยู่"

            "ไอ้แมวเอ๊ย" ผมยีหัวคนตรงหน้าด้วยความมันเขี้ยว ทำไมเวลาสงสัยอะไรมันถึงได้น่ารักขนาดนี้

            "ตอบมา"

            "ก็เหมือนคนที่จุ๊บกันก่อนนอนล่ะมั้ง"

            มองผมกลับเหมือนอึ้งไปชั่วครู่ก่อนล่อนจ้อนจะพยักหน้ารับเป็นอันเข้าใจ

            เอาล่ะ จากนี้ผมจะคิดว่าเราสองคนมีอะไรที่พิเศษต่อกันมากกว่าเพื่อนสมัยเด็ก มากกว่าคนรู้จัก มากกว่าคนที่ต้องร่วมเผชิญเรื่องราวสุดแปลกประหลาดร่วมกัน มากกว่าเอ่อ...เอาเป็นว่า

            ผมจะเรียกสถานะตอนนี้ว่า 'ช่วงศึกษาดูใจ' ก็แล้วกัน

 

            หลังจากได้ตั๋วหนังรอบที่อยากดูมาครอบครองมือถือผมก็สั่นถี่ๆ ลักษณะแบบนี้ไม่ต้องเดาเลยว่าเป็นใครที่โทรมา ผมเพิ่งเจอกับพี่ณดาเมื่อไม่ถึงสิบนาทีก่อนแล้วมีสายเรียกเข้าแบบนี้ ไอ้น้องชายโทรมาติดตามผลชัวร์

            "ข่าวไวนะมึง"

            [ยังไงมึง พี่ณดาบอกเจอมึงกับคนคุย บอกจะตัดใจแล้ว]

            "ก็ตามนั้น"

            [แล้วใครคนคุยมึง ทำไมกูไม่รู้ ตอนพี่เขาโทรมาคือกูงงมาก บอกกาลทำไมไม่บอกพี่ว่าลิขิตมีคนคุยแล้วงี้]

            "มึงไม่รู้จริงดิ"

            [ถ้ารู้แล้วกูจะโทรมาถามมั้ย]

            "มึงฉลาดอ่ะ ลองคิดดู"

            [ไอ้สัด]

            ถึงจะโดนด่าแต่ผมไม่สะท้าน หันไปยิ้มให้ล่อนจ้อนที่เลิกคิ้วมองกลับมา คุณแมวเขาอารมณ์ดีตั้งแต่ได้ตั๋วหนัง ทำตัวเป็นเด็กดีทำตามที่บอกทุกอย่าง

            [อ๋อ กูนึกออกแล้ว] ใช้เวลาคิดอยู่หลายวินาทีกว่ามันจะหาคำตอบได้

            "ก็ตามนั้น"

            [สรุปมึงกับล่อนจ้อนกิ๊กกันจริงเหรอวะ]

            "แล้วมึงคิดว่าไง"

            [จริง]

            "เออ"

            [เหี้ยยย~ ไม่ปฏิเสธด้วย ล่อนจ้อนเอามึงเหรอวะ] มันลากเสียงอุทานซะยาวก่อนค่อยๆ เบาลง ผมนึกภาพออกเลยว่ามันกำลังทำหน้ายังไงอยู่

            "เจอตัวก็ถามเองดิ"

            [เดี๋ยวกลับห้องแล้วกูจะไปซัก]

            "ไม่ต้องเลยได้สัด" แต่เชื่อเถอะล่อนจ้อนไม่ต้องตอบหรอก แค่ทำหน้าแดงใส่ไอ้กาลมันก็รู้แล้ว

            [ไม่แน่จริงนี่หว่า]

            "เออ แค่นี้นะมึง แมวจ้องละ"

            "ใครจ้อง" วางสายปุ๊บล่อนจ้อนก็ถามปั๊บ

            "แมวตัวนี้ไง"

            ล่อนจ้อนแยกเขี้ยวยอมรับโดยไม่เถียง ยิ้มอารมณ์ดีเดินนำผมเข้าไปในเข้าบีทูเอส หลังจากนี้ยังเหลือเวลาอีกหลายนาทีให้เจ้าตัวเลือกหนังสือที่อยากอ่าน เลือกของที่อยากได้ สำหรับหนังสือผมว่าครั้งนี้เลือกเป็นแนวรักโรแมนติกก็ดี จะได้ศึกษาทฤษฎีเอาไว้เป็นแนวทางปฏิบัติในอนาคต

 

            กลับมาถึงห้องไอ้กาลมันก็ถามล่อนจ้อนอย่างที่บอกเอาไว้ แล้วคำตอบก็คือแก้มแดงๆ แบบที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด คนที่พอใจสำหรับคำตอบแล้วเลยไม่ถามต่อ ยิ้มกวนประสาทใส่ผมก่อนเดินเข้าห้องตัวเอง ล่อนจ้อนก็หอบผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำ หลังจากโดนไอ้กาลถามขัดจังหวะ ส่วนผมนั่งเฝ้าแมวอาบน้ำอีกที

            ตามสัญญาถึงเวลาเข้านอนก็ต้องจุ๊บแล้วบอกฝันดี ผมส่งล่อนจ้อนถึงเตียง ห่มผ้าให้ เล่นเกมจ้องตากันสักพักด้วยความรู้สึกขัดเขินแปลกๆ มันให้ความรู้สึกที่ต่างออกไปจากครั้งก่อน เพราะเรารู้ว่าจากนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นและเต็มใจที่จะทำมันล่ะมั้ง แต่มันเป็นความรู้สึกที่ดีนะ เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมรอคอย

            "ตาปรือแล้ว"

            "อือ แต่ไม่อยากกลับไปเป็นแมวเลย" คนง่วงเริ่มงอแง

            "หลับตื่นเดียวก็เช้าแล้ว เดี๋ยวก็ได้กลับมาเป็นคนเหมือนเดิม"

            "แต่พรุ่งนี้ลิขิตมีเรียน" เออว่ะ ผมก็ลืมเรื่องเรียนไปเลย ถ้าอยู่ห่างกันล่อนจ้อนจะไม่สามารถอยู่ในร่างคนได้ครบตามกำหนดเวลา ซึ่งตอนนี้มันเพิ่มขึ้นถึงสิบแปดชั่วโมงต่อวันแล้ว ถ้าอยู่กับผมตลอดเวลาก็จะอยู่ในร่างคนได้เกือบตลอดทั้งวัน

            "เรียนแป๊บเดียว เดี๋ยวก็กลับมาหา"

            "ไปด้วยไม่ได้เหรอ"

            "ไม่ได้หรอก" ถ้าพาไปด้วยเราต้องตัวติดกันตลอดเวลา ซึ่งผมไม่มั่นใจว่าจะสามารถดูแลล่อนจ้อนได้ดีขนาดนั้นหรือเปล่า เกิดพลัดหลงขึ้นมาเป็นเรื่องแน่ๆ

            "ถ้างั้นเมื่อไรจะได้นอนด้วยกัน"

            "วันที่ไอ้กาลมันหายป่วยล่ะมั้ง"

            ผมเองก็ตอบไม่ได้ว่าเมื่อไรไอ้กาลมันจะหายขาดจากอาการฝันร้าย มันเคยไปหาหมอ ทำตามคำแนะนำต่างๆ แต่ก็ยังไม่ดีขึ้น ทุกครั้งที่มันนอนคนเดียวจะฝันร้ายแบบเดิมซ้ำๆ ฝันถึงเรื่องที่มันไม่อยากให้เกิดขึ้น หากแต่เป็นความจริงที่มันกำลังเผชิญอยู่ แม้ว่าช่วงนี้อาการมันดูเหมือนจะดีขึ้นตอนผมแอบหนีออกมากลางดึกโดยไม่ให้มันรู้ตัวก็ตาม 

            "แต่เดี๋ยวจะแวะมาหาเหมือนเดิม"

            "อื้ม"

            ผมขยับเข้าไปจูบริมฝีปากที่กำลังยกยิ้มเบาๆ ค้างไว้สักพักก่อนผละออกมา แอบผิดสัญญาที่จะขอแค่จุ๊บแต่เมื่อต่างฝ่ายต่างยินยอมมันก็ไม่ผิดอะไร

            "ฝันดีครับ"

            "ฝันดี"

            ยีผมสีบลอนด์เล่นเบาๆ ก่อนลุกออกมา ผมชอบเวลาได้สัมผัสสิ่งนุ่มนิ่มที่เหมือนขนแมวนั้น ถ้าล่อนจ้อนกลับมาเป็นคนได้เมื่อไร ถึงไม่มีแมวให้เล่น แต่ยังมีคนที่เหมือนแมวให้กอด ชีวิตนี้ผมก็ไม่อยากเลี้ยงแมวแล้ว

           

            ภาพในความคิดของผมคือมีใครสักคนนอนอยู่ข้างๆ เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา คนคนนั้นที่ไม่ใช่ไอ้กาลที่ผมหนีออกมาจากห้องมันเมื่อกลางดึก แต่เป็นคนที่ผมจะคืนชีวิตให้แก่เขา คนที่ผมให้สัญญากับรูปของพ่อเขาเอาไว้ว่าจะพากลับไปหาครอบครัว คนที่ผมร่ายเวทมนต์ใส่เมื่อวาน แต่เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา ภาพที่เห็นก็ยังเป็นแมวสีขาวนอนขดอยู่ข้างๆ เหมือนทุกวัน

            มันไม่ได้ผล

            พลิกตัวไปหายื่นมือไปขยำก้อนขนสีขาวนุ่มนิ่มเล่นความผิดหวังในยามเช้าก็ค่อยๆ เลือนหายไป เจ้าแมวตื่นขึ้นก่อนบิดขี้เกียจ มันเดินเข้ามาหาอ้อมแขนของผม เอาตัวมาสีอย่างออดอ้อน ก่อนนอนล้มตัวลงนอนเอาหัวมาหนุนแขนกัน

            "วันนี้เรียนเช้า ตอนบ่ายค่อยกลับร่างคนนะ เดี๋ยวไม่ได้จุ๊บ"

            "เมี้ยว"

            "ไปอาบน้ำก่อนนะ นอนรอไปก่อน เดี๋ยวกลับมาจุ๊บๆ ก่อนไปเรียน"

            "เมี้ยว" 

            เจ้าแมวขาวร้องตอบตอนผมลุกไปหยิบผ้าขนหนู บอกตามตรงผมก็อ่านแววตาแมวไม่ค่อยออกหรอก แต่หลบตาแบบนี้เขินหรือเปล่า แมวเขินได้มั้ย ถ้าใครรู้ช่วยบอกผมหน่อย

 
tbc.


เขามีสถานะกันชัดเจนแล้วนะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 16 ___ [20/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-07-2019 23:55:56
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 16 ___ [20/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 21-07-2019 02:55:27
ต้องทำยังไงล่ะทีนี้  :ling2:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 16 ___ [20/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 21-07-2019 15:12:35
 :กอด1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 16 ___ [20/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: myd3ar ที่ 21-07-2019 20:32:56
น้องแมวน่าสงสารอ่า อ้อนได้น่ารักมาก
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 16 ___ [20/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-07-2019 21:56:54
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 16 ___ [20/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 26-07-2019 10:51:47
จ้อนน่ารัก
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 17 ___ [27/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 27-07-2019 20:34:35

ลิขิตครั้งที่ 17

            เดินออกนอกอาคารได้ไม่กี่ก้าวมือถือก็สั่นเหมือนปลายสายรู้ตารางเรียนของผมเป็นอย่างดี ชื่อของคนที่ไม่ค่อยได้โทรคุยกันนักโชว์บนหน้าจอ ดูท่าแล้วคงเป็นเรื่องเร่งด่วนถึงได้โทรมาหา

            "ครับแม่"

            [เลิกเรียนหรือยังลูก]

            "เพิ่งเลิกเลยครับ"

            [พอดีแม่กำลังเคลียร์ห้องเก็บของ ว่าจะเอาไปขาย รถจะมารับบ่ายนี้ แม่ค้นเจอกล่องเก็บของเก่าของลิขิตน่ะลูก เลยโทรมาถามว่าจะเก็บไว้มั้ย]

            "ในกล่องมันมีอะไรอ่ะแม่"

            [ก็มีพวกของเล่นเล็กๆ การ์ดวันเกิด ซองจดหมาย]

            "แม่ถ่ายรูปส่งมาให้ผมหน่อยได้มั้ย"

            [ส่งไปแล้วจ้า ลิขิตไม่ตอบสักทีแม่เลยลองโทร]

            "โอเคแม่ งั้นผมขอดูรูปก่อนแล้วจะบอกนะครับ"

            วางสายจากแม่ผมก็รีบกดเข้าไลน์ แม่ส่งรูปมาให้พร้อมบอกรายละเอียดเมื่อชั่วโมงก่อน แต่ไลน์ดันไม่แจ้งเตือน มาเอ๋ออะไรตอนนี้ก็ไม่รู้

            รูปที่แม่ส่งมามีสองรูป เป็นรูปด้านข้างกล่องกับรูปที่เปิดฝากล่องแล้วถ่ายด้านใน ทุกอย่างที่อยู่ในนั้นมันเก่ามากจนผมเองก็ลืมไปแล้วว่าเคยเก็บของพวกนี้ไว้ด้วย เป็นของกระจุกกระจิกที่ได้รับมาจากหลายๆ คน ของที่เคยมีความหมายในวัยเด็ก แต่เมื่อเวลาผ่านไปผมก็เก็บของเหล่านั้นยัดลงกล่องและลืมเลือนไปตามกาลเวลา

            'เก็บไว้ให้ก่อนนะแม่อย่าเพิ่งขาย เดี๋ยวผมไปเอา'

            พิมพ์ตอบแม่กลับไปแล้วผมก็โดนเพื่อนเรียกพอดี

            "สรุปมึงจะกลับหอเลย?" พสุถาม ก่อนหน้านี้พวกมันชวนกันไปหาอะไรกิน ผมปฏิเสธบอกไปว่าจะกลับหอ อยากรีบไปหาแมวว่าจะพาไปหาอะไรกิน แต่ตอนนี้เหมือนจะต้องเปลี่ยนแผนซะแล้ว

            "ว่าจะกลับบ้านว่ะ"

            "มีเรื่องอะไรหรือเปล่า" คิรินถาม ตอนผมคุยโทรศัพท์กับแม่เมื่อกี้ก็เห็นมันมองตลอด

            "แม่กูจะเก็บของเก่าขายทิ้ง ว่าจะกลับไปดูหน่อย"

            "รีบขนาดนั้น"

            "เออ แม่นัดรถเก็บของไว้บ่าย"

            "ของสำคัญเหรอวะ"

            "ประมาณนั้น"

            "แล้วกลับยังไง" มงคลถามบ้าง

            "แท็กซี่มั้ง"

            พวกมันไม่ถามอะไรต่อ พากันเดินไปส่งผมขึ้นรถที่หน้ามอ ระหว่างเดินพวกมันก็พูดถึงร้านที่ชวนกันไปกิน ส่วนผมก็ต้องรายงานคนที่ห้องก่อนจะโดนงอน

            ผมโทรไปสองสายแต่ไม่มีคนรับ ไม่รู้ล่อนจ้อนหลับ ลืมวิธีรับโทรศัพท์ หรือไม่มีความสามารถในการใช้อุ้งตีนแล้วกันแน่ สุดท้ายเลยต้องพิมพ์บอกเอาไว้

            "วันนี้กลับช้าหน่อยนะ เรากลับบ้านไปดูของนิดหน่อย..."

            "อะไรของมึงเนี่ย" ผมรีบเอามือถือซ่อนหลังจากโดนพสุแอบอ่านข้อความ แล้วแม่งก็อ่านโคตรเร็ว มึงไปประกวดเดอะแร็ปเปอร์ได้เลยนะเนี่ย

            "จริงๆ ที่บอกว่าอยากรีบกลับไปนอนเพราะมึงแอบซุกเด็กไว้ใช่มั้ย" มันชี้หน้าถามอย่างจับผิด

            "กูก็สงสัย ตอนนั้นที่มึงบอกคุยกับแมว สรุปคือยังไง แมวปลอบก็บอกมา" คิรินเข้ามาร่วมวงอีกคน ส่วนมงคลที่ไม่พูด ก็ใช่ว่าไม่ได้สนใจ

            "ตอนนั้นก็คุยกับไอ้กาลไง"

            "กูไม่เชื่อแล้ว"

            พวกมันสามคนยืนล้อมวงดักไว้อย่างกับกลัวผมจะวิ่งหนีไปไหน มาอีกขนาดนี้แล้วผมยอมรับก็ได้ กับใครคนนั้นสถานะที่ตกลงกันก็ชัดเจนแล้วด้วย

            "เออ กูมีคนคุย พอใจยัง"

            "จริงดิ ใครวะ" พสุทำตาโต สีหน้าอยากรู้อยากเห็นสุดๆ คิรินเองก็ไม่ต่าง

            "แล้วที่บอกกลับช้านี่คือยังไงวะ อยู่ด้วยกัน?"

            "กูก็แค่จะไปหา"

            "อยากเห็นหน้าเลย"

            "ถ้าพร้อมเดี๋ยวกูเปิดตัวเองอ่ะ"

            "รออย่างใจจดใจจ่อ" พสุพูด คิรินเองพยักหน้าเห็นด้วย พอเป็นเรื่องแบบนี้ล่ะเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย

            ก่อนที่มันจะได้ซักไซ้อะไรผมมากกว่านี้แท็กซี่ก็มาพอดี ผมรีบก้าวขึ้นรถ พิมพ์ข้อความที่ค้างไว้ให้จบแล้วกดส่งให้ล่อนจ้อน

            'วันนี้กลับช้าหน่อยนะ เรากลับบ้านไปดูของนิดหน่อย แม่โทรมาบอกว่าเจอกล่องเก็บของเก่าๆ คิดว่ามันอาจจะมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเราอยู่ก็ได้ แล้วจะซื้อขนมไปฝาก'

 

            รถแท็กซี่จอดหน้าบ้านตอนคนกำลังขนของขึ้นรถพอดี แม่ผมยิ้มกว้างแล้วดึงผมเข้าไปกอด ทำอย่างกับว่าไม่ได้เจอกันมาแสนนาน

            "กินข้าวมาหรือยัง"

            "ยังเลยครับ รีบมาเนี่ย"

            "เมื่อเช้าแม่ทำผัดเปรี้ยวหวานไว้ ไปกินก่อนไป"

            "ครับ"

            "ว่าแต่ไอ้กล่องนั่นมันมีอะไรถึงต้องกลับมาดูเองเลย"

            "ก็ของเก่าๆ อ่ะแม่ บางชิ้นเพื่อนให้มาก็อยากเก็บไว้ก่อน เลยต้องมาเลือกเอง"

            "แต่เก็บใส่กล่องเอาไว้ในห้องเก็บของเนี่ยนะ"

            "มันก็ต้องเคลียร์ห้องไงแม่"

            "จ้าๆ เข้าบ้านไปก่อนไป เดี๋ยวเสร็จแล้วแม่ตามไป"

            "ครับ"

            เข้ามาในบ้านทิ้งกระเป๋าไว้บนโซฟาผมก็เดินเข้าครัว บนโต๊ะกินข้าวมีกล่องกระดาษกับผัดเปรี้ยวหวานวางอยู่คู่กัน คำสั่งของแม่คือให้กินข้าวก่อน ผมเองก็หิวมากด้วยเพราะยังไม่ได้กินอะไรก่อนออกมา แต่สำหรับตอนนี้คิดว่าอะไรน่าสนใจกว่ากัน ระหว่างผัดเปรี้ยวหวานของแม่กับกล่องเก็บของเก่าของผม

            ผัดเปรี้ยวหวานถูกเมิน ผมเปิดกล่องกระดาษแล้วหยิบของออกมาดูทีละชิ้น พวงกุญแจที่เพื่อนชอบซื้อมาฝากเวลาไปเที่ยว สมุดโน้ตเล็กๆ ที่เขียนไม่กี่หน้า กล้องถ่ายรูปของเล่นที่ได้มาเป็นของขวัญวันเกิด การ์ดอวยพรต่างๆ และซองจดหมาย

            ของที่เคยอยู่ในกล่องบัดนี้วางกองอยู่เต็มโต๊ะ ในกล่องยังมีของเหลืออยู่อีกนิดหน่อย แต่ซองจดหมายสีขาวยับย่นเปรอะเปื้อนหนึ่งเดียวซองนี้น่าสนใจกว่า ผมลากเก้าอี้มานั่ง กำลังจะเปิดซอง แล้วในจังหวะแบบนี้มักจะมีใครสักคนชอบเข้ามาขัดเสมอ

            "แม่บอกให้กินข้าวก่อนไง"

            "เดี๋ยวกินครับ"

            "จะบ่ายสองแล้วรีบกินข้าวเลย แล้วทำไมรื้อของออกมากองแบบนี้เนี่ย เดี๋ยวฝุ่นก็เข้ากับข้าวหมด" บ่นไปแม่ก็เก็บของใส่กล่องไปก่อนยกไปวางข้างล่าง จะเหลือก็แต่จดหมายในมือผม

            "กับเข้าปิดฝาไว้อยู่ผุ่นไม่เข้าหรอกแม่"

            "อย่าเถียงสิ"

            "แต่แม่เอาวางไว้บนโต๊ะนี้เองนะ"

            "ยังจะเถียงอีก"

            ฟาดแขนผมเบาๆ ไปหนึ่งทีแม่ก็จัดการตักข้าวเอาน้ำมาให้ เตรียมเสร็จก็ไม่ไปไหนนั่งเฝ้าผมกินข้าวอยู่ฝั่งตรงข้าม เลยต้องวางซองจดหมายที่อยากเปิดดูเอาไว้ก่อน

            "ไปเที่ยวบ้านสวนเป็นไงบ้าง"

            "ก็ดีครับ ไปทะเลมาด้วย แต่ไม่ได้เล่น"

            "ทำไมล่ะ"

            "น้ำมันลงเยอะมากเลยแม่ คนก็น้อย ไม่ได้เตรียมตัวจะไปเล่นด้วย ไปเดินเอาบรรยากาศมากกว่า"

            "เห็นพ่อบอกพาเพื่อนไปด้วย"

            "ครับ เพื่อนที่มหา'ลัย มันไม่ค่อยได้ไปเที่ยวอ่ะแม่ ก็เลยพาไปด้วย"

            "เขาชอบมั้ย"

            "ชอบครับ"

            "วันหลังชวนมาเที่ยวบ้านได้นะ แม่จะทำกับข้าวให้กิน"

            "ไว้จะลองชวนนะครับ"

            แม่ยิ้มกว้างมองผมกินข้าว เรื่องฝีมือการทำอาหารเป็นหนึ่งในสิ่งที่แม่ภูมิใจเลย ไอ้กาลก็เรียนกับแม่นี่แหละถึงได้ทำอาหารเป็น ส่วนผมเป็นพวกขี้เกียจไม่เอาอะไรสักอย่าง ถ้ามีโอกาสผมเองก็อยากพาล่อนจ้อนมากินกับข้าวฝีมือแม่เหมือนกัน ถ้าชวนยังไงเจ้าตัวก็มาแน่

            "แล้วค้างมั้ยวันนี้" แม่ผมชวนคุยต่อ นานๆ ลูกชายจะกลับบ้านเลยมีเรื่องให้คุยมากมายไปหมด

            "ไม่ค้างหรอกครับ เดี๋ยวกาลมันเหงา มานี่ยังไม่ได้บอกมันเลย"

            "รายนั้นมาบ่นกับแม่ประจำเลยว่าเรียนหนักงั้นงี้"

            "มันอ้อนมากกว่าแม่ อยู่หอไม่เห็นบ่นอะไรเรื่องเรียนเลย มันฉลาดจะตาย"

            "แล้วลิขิตล่ะเรียนเป็นไงบ้าง ไม่เห็นมาบ่นให้แม่ฟังบ้าเลย"

            "ก็เรื่อยๆ ครับไม่ถึงกับแย่ อาทิตย์หน้าสอบมิดเทอมแล้วคงไม่ได้กลับบ้าน"

            "พูดเหมือนปกติกลับบ่อย"

            ผมฉีกยิ้มให้แม่ ลูกชายบ้านนี้หลังจากเข้ามหาวิทยาลัยก็ทำตัวเหมือนโดนไล่ออกจากบ้าน ติดหอติดเพื่อน เดือนนึงกลับบ้านสองครั้งก็ถือว่าเยอะแล้ว ถึงจะไม่ชอบกลับบ้านแต่พวกผมก็ไม่ได้ทำตัวห่างเหินครอบครัวขนาดนั้นนะ ในไลน์ยังแอคทีฟตลอด

            "เดี๋ยวปิดเทอมก็กลับมาอยู่ยาวๆ แล้วแม่"

            "อีกตั้งนาน แม่ก็คิดถึงลูกแม่เหมือนกันนะ"

            "ผมก็คิดถึงแม่เหมือนกันครับ" ผมอ้อนไม่เก่งเท่าไอ้กาล เวลาพูดอะไรแบบนี้มันก็เลยรู้สึกเขินหน่อยๆ

            "แล้วจะกลับกี่โมง รอเจอพ่อก่อนมั้ย"

            "พ่อเลิกดึกอ่ะ ตอนเย็นรถติด กว่าผมจะถึงห้องอีก"

            "แม่จะฟ้องพ่อว่าลิขิตไม่อยากเจอ"

            "โห แม่อ่ะ ใส่ร้าย"

            "รีบๆ กินเลย ไม่หมดสักที" แม่ว่าก่อนพยักพเยิดมาที่จานข้าวผม

            "ก็แม่ชวนคุย"

            "ไม่คุยแล้วก็ได้" ว่าแล้วทำหน้างอนใส่

            ถ้าเป็นไอ้กาลล่ะก็มันคงถลาเข้าไปกอดแม่แล้วหอมแก้มสักที แต่ผมน่ะก็ทำได้เพียงแค่พูดง้อ เนี่ย ถ้าแม่เป็นเหมือนล่อนจ้อนผมคงซื้อขนมมาง้อแล้ว

            แม่นั่งเป็นเพื่อนจนผมกินข้าวเสร็จ เก็บจานให้แล้วก็ไล่ผมไปนั่งพัก ปล่อยให้ผมได้มีเวลาส่วนตัวกับกล่องเก็บของที่รื้อไปแล้วหนึ่งรอบ

            ผมนั่งลงบนพื้นหลังพิงโซฟาข้างๆ กล่องเก็บของ หยิบซองจอดหมายสีขาวล้วนที่แสนเลอะเทอะขึ้นมาดูอีกรอบ พลิกหน้าพลิกหลังไม่เจอชื่อคนส่งหรือตัวหนังสือใดๆ บนซอง เมื่อเปิดมันออกก็เจอการ์ดด้านใน อาจจะเป็นการ์ดอวยพรวันเกิดจากเพื่อนสักคน

            หยิบการ์ดสีชมพูอ่อนออกมาจากซอง ด้านหน้ามีรูปเด็กผู้ชายที่คนให้น่าจะวาดเอง ด้านล่างของรูปมีหมึกสีดำเขียนว่า ‘ถึงลิขิต’

            ผมเปิดการ์ดออก มีข้อความเขียนอยู่ไม่กี่ประโยค กวาดตามองรอบเดียวก็เข้าใจถึงสิ่งที่คนให้ต้องการสื่อ นี่ไม่ใช่การ์ดอวยพรทุกชนิด แต่เป็นการ์ดสารภาพรัก หรือเรียกว่าจดหมายสารภาพรักน่าจะเหมาะกว่า

            ‘เราเป็นลูกคนสวน เราเป็นผู้ชาย ไม่รู้ลูกเจ้านายอย่างนายจะรังเกียจไหม เราชอบลิขิตนะ - พุดตาน’

            คล้ายกับการ์ดแผ่นนี้เป็นตัวเก็บความทรงจำวัยเด็ก เมื่อผมอ่านอักษรตัวสุดท้ายความทรงจำที่เคยเลือนรางก็เริ่มชัดเจนขึ้นมา ในความฝัน ชื่อนั้นที่หายไป ความเกลียดชังที่ไม่รู้ที่มา จุดเริ่มต้นมันเกิดจากจดหมายสารภาพรักฉบับนี้

            จดหมายที่ล่อนจ้อนหรือพุดตานให้ผมตอนปิดเทอมอายุสิบขวบ

 

            ผมกลับมาถึงหอตอนห้าโมงครึ่ง เปิดประตูห้องก็เจอกับแมวสีขาวนั่งรออยู่ มันร้องเสียงดังรีบเข้ามาคลอเคลียเมื่อผมเดินเข้าไปข้างใน และทันทีเมื่อประตูปิดลงเจ้าแมวขาวก็กลายร่างเป็นคนยืนเปลือยล่อนจ้อนยิ้มกว้างอยู่ตรงหน้าผม

            "ขนม" พูดทักทายพร้อมกับแบมือขอ

            "ไปใส่เสื้อผ้าก่อนไป"

            ล่อนจ้อนก้มลงหยิบผ้าขนหนูที่กองอยู่บนพื้น เจ้าตัวคงลากมาไว้และวางแผนไว้แล้วว่าจะกลับมาเป็นคนตอนไหน พันมันไว้รอบเอวแล้วก็ยิ้มให้ผมอีกรอบ ก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าห้องนอน

            ผมพยายามปั้นหน้าให้เป็นปกติทั้งที่ภายในใจกำลังกระวนกระวายและสับสน มองแผ่นหลังนั้นค่อยๆ เดินห่างออกไป ยิ่งคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก็ยิ่งตอกย้ำว่าตัวผมนั้นมันแย่แค่ไหน เกลียดชังคนอื่นเพียงเพราะโดนผู้ชายสารภาพรัก แต่กลับกัน ในตอนนี้ผมกลับเป็นฝ่ายตกหลุมรักอีกฝ่ายเสียเอง

            "พุดตาน"

            เจ้าของชื่อหันกลับมา ใบหน้าที่ดูเหมือนแมวนั้นนิ่งอึ้ง หากความทรงจำของผมกลับมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้วล่อนจ้อนเองก็น่าจะเป็นเหมือนกัน

            ผมก้าวเข้าไปหา หยุดยืนตรงหน้า ลูบเรือนผมสีบลอนด์ที่ชอบ มอบความอ่อนโยนให้ สิ่งที่ผมในตอนนั้นไม่เคยทำกับคนตรงหน้าเลย

            "ขอโทษนะ"

            ความเกลียดชังนั้นรับรู้แล้วใช่มั้ย สายตาที่น่ารังเกียจนั้นจำได้แล้วใช่มั้ย แล้วยังจะยอมให้อภัยกันอีกหรือเปล่า

            "แค่ไม่รักน่ะ ไม่ผิดหรอก" น้ำเสียงที่เอ่ยนั้นอ่อนโยน คนตรงหน้าแย้มรอยยิ้มที่ผมชอบ สายตาไร้แววขุ่นเคืองใดๆ

            หากรักครั้งนี้สมหวัง ผมสาบานว่าจะดูแลคนคนนี้อย่างดี

            "กลับมาเป็นคนเหมือนเดิมนะพุดตาน"

 

            คำขอที่พูดไปจะเป็นจริงไหมผมไม่รู้ จะเป็นคำพูดที่ถูกต้องหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ แต่ทุกพยางค์ที่เอ่ยออกไปนั้นมาจากความตั้งใจ เช่นเดียวกับผมในวัยสิบขวบ ความตั้งใจอันแรงกล้าที่อยากให้พุดตานกลายเป็นแมวเพื่อรับรู้สิ่งที่ทำลงไปนั้น ไม่ต่างกับความรู้สึกของผมตอนนี้ที่อยากให้พุดตานกลับมาเป็นคนอีกครั้งเลย

            "พุดตาน" แต่พอต้องเรียกชื่อจริงแบบนี้มันไม่ชินปากเลยให้ตาย

            "เรียกล่อนจ้อนเหมือนเดิมก็ได้"

            ผมถอนหายใจดังเฮือก รู้สึกโมโหจนอยากต่อยปกตัวเองแรงๆ สักหมัด ผิดกับล่อนจ้อนที่ดูไม่แปลกใจเลยที่เรื่องกลายเป็นแบบนี้ มันไม่สมเหตุสมผล โดนผมเกลียดเพราะมาสารภาพรักไม่พอ แถมยังโดนผมสาปให้กลายเป็นแมวมาตั้งสิบปี ทำไมล่อนจ้อนถึงต้องพบเจอเรื่องราวบัดซบแบบนี้ เรื่องราวที่ผมเป็นคนกำหนดมัน

            "ทำหน้าเครียดอยู่ได้ ไหนยิ้มดิ๊" คนหน้าแมวยื่นหน้ามามอง แต่งตัวด้วยชุดที่ผมซื้อให้เรียบร้อยแล้วมานั่งประกบผมบนโซฟา พูดไปก็ยิ้มให้ดูแต่ผมทำตามไม่ไหวจริงๆ

            "ไม่ให้เครียดได้ไง"

            "บอกไปแล้วไง ว่าแค่ไม่รักไม่ผิดหรอก"

            "แต่ก็ไม่ควรเกลียดหรือเปล่า"

            "เอาอะไรกับเด็กสิบขวบ"

            "สิบขวบก็น่าจะคิดดีกว่านั้นได้"

            "มันผ่านไปแล้ว"

            "ก็ยังรู้สึกแย่อยู่ดี"

            ผมควรจะโดนอะไรบ้าง โดนลงโทษอะไรก็ได้โทษฐานที่ทำให้ชีวิตคนอื่นพัง ไม่ใช่ยังใช้ชีวิตอย่างสุขสบายแบบนี้ แค่เสียความรู้สึกอย่างเดียวมันไม่พอ

            "โอ๊ย!"

            ล่อนจ้อนหยิกแขนผมแรงมากจนสะดุ้งทั้งตัว จากแมวน่ารักๆ ก็กลายร่างเป็นแมวโหดขึ้นมาเสียอย่างนั้น แถมยังพูดจาโหดร้ายใส่อีก

            "รำคาญ!"

            "เจ็บ" เจ็บที่ใจจริงๆ ไม่ได้แกล้ง เกิดมายังไม่เคยโดนที่ชอบด่าว่ารำคาญด้วยสีหน้าจริงจังขนาดนี้มาก่อน

            "สมควร"

            "อย่าใจร้าย"

            "ก็ใจดีด้วยแล้วไม่ชอบ"

            "ถามจริงๆ นะ ไม่โกรธเลยจริงดิ" หลังจากถูกสารภาพรักทางจดหมายผมก็ทำเฉยชาใส่ล่อนจ้อนสารพัด ที่เจ้าตัวเคยบอกว่าไม่ค่อยได้เล่นด้วยกันแท้จริงแล้วเป็นเพราะผมไม่เล่นด้วยเอง ซ้ำร้ายกว่านั้นยังเคยด่าล่อนจ้อนว่าไอ้ตุ๊ด สายตาของล่อนจ้อนหลังจากโดนผมเกลียดก็ใช่ว่าจะยอมอ่อนให้นัก ประมาณร้ายมาร้ายกลับ เวลาที่สบตากันผมจะเห็นแต่ความเย็นชาในสายตาคู่นั้นทุกครั้งไป

            "ตอนนั้นก็โกรธ แต่ตอนนี้ไม่รู้จะโกรธไปทำไม"

            "ไม่ใช่แค่เรื่องนั้น หมายถึงทุกเรื่องที่ผ่านมา สิ่งที่เราทำลงไป"

            "แค่สิบขวบ แล้วก็ไม่รู้ตัวไม่ใช่เหรอว่าสาปคนอื่นได้ แต่ถ้าบอกว่ารู้ตัวก็จะโกรธ"

            ผมขอสาบานเลยว่าไม่เคยรู้ตัว และไม่รู้ด้วยว่าไอ้เรื่องแปลกประหลาดที่สุดในชีวิตที่ปู่เคยพูดให้ฟังมันจะส่งผลทำให้ชีวิตของคนที่เข้ามาพัวพันเป็นแบบนี้ ผมไม่กล้าพูดหรอกว่าถ้ารู้แล้วจะกำหนดให้ล่อนจ้อนเป็นอย่างอื่น แต่ผมไม่มีทางกำหนดให้ชีวิตใครพังแบบนี้แน่นอนถึงจะเกลียดก็เถอะ

            "ไม่รู้ตัวจริงๆ"

            "งั้นก็รู้ไว้ เราไม่โกรธเด็กสิบขวบที่ทำอะไรไปโดยไม่รู้ตัวหรอก"

            ผมเถียงไม่ออกแล้ว ไม่กล้าพูดขัดอะไรทั้งสิ้น ล่อนจ้อนไม่โกรธและไม่เคยกล่าวโทษที่ไอ้เด็กสิบขวบคนนั้นทำให้ชีวิตตัวเองต้องลำบากขนาดนี้ ซ้ำยังให้อภัยกันอีก

            "ขอบคุณนะ"

            "แต่ตอนนี้เราอยากรู้แค่อย่างเดียว"

            ใจที่กำลังจะฟูฟ่องโดนบีบให้กลับมาแฟบเหมือนเดิม แววตาที่เคยมั่นคงกำลังมองผมด้วยความสั่นไหว

            "ความรู้สึกที่ลิขิตมีต่อเราน่ะ มันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ใช่มั้ย"

            ให้อภัยแต่ไม่ไว้ใจอย่างนั้นสินะ

            ถึงจะยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ผมก็มั่นใจแล้วว่าความรู้สึกที่มีให้ล่อนจ้อนตอนนี้เป็นยังไง พัฒนาไปถึงขั้นไหน และอยากให้จบลงที่ความสัมพันธ์แบบใด ตอนเด็กผมไม่ชอบผู้ชาย ไม่อยากโดนล้อ ไม่อยากโดนมองไม่ดี แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนความคิดก็ย่อมเปลี่ยน ความสัมพันธ์ของคนใกล้ตัวที่เคยได้รับรู้ มันไม่ได้แย่เลยหากเปิดใจรับจริงๆ

            "มันเปลี่ยนมานานแล้ว"

            "แม้จะจำเรื่องตอนเด็กได้แล้วก็..."

            "ก็ยังรักล่อนจ้อนเหมือนเดิมนั่นแหละ"

            คนถูกสารภาพรักไม่ทันตั้งตัวเขินตัวแดงแป๊ด แดงตั้งแต่หน้าลามลงมายันคอ ล่อนจ้อนมองผมนิ่งกลายเป็นแมวโดนสตัฟฟ์ไปแล้ว

            "อึ้งเลยเหรอ"

            "อยู่ๆ ก็โดนบอกรัก ขออึ้งหน่อยเถอะ" ตอบกลับมาเสียงอ้อมแอ้ม ก้มหน้าหลบตามองมือตัวเอง

            "รักไปแล้วจริงๆ นะ"

            "อื้ม รู้แล้ว"

            "ไม่บอกกันบ้างเหรอ"

            "ก็เคยบอกไปแล้วไง"

            "ไม่ใช่ว่าลืมหรอกเหรอ" เป็นผมบ้างที่ถามเสียงอ้อมแอ้ม ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้เข้าใจมาตลอดว่าล่อนจ้อนลืมเพราะเจ้าตัวเคยเล่าให้ผมฟังแบบนั้น ทุกย่างมันกลับมายังจุดเริ่มต้นในวันที่เราเจอกันวันแรก ความรู้สึกที่เริ่มจากศูนย์จนเกือบเต็มร้อยในวันนี้

            "ก็ลืม"

            "แล้วยังไง ไม่เคยบอกกันซักหน่อย"

            "มันลืมแต่ไม่ได้จางหายไปทั้งหมด ในใจมันบอกตลอดว่าคนนี้คือคนพิเศษนะ แต่ก็ไม่รู้ว่าพิเศษยังไง เลยตีความหมายไปว่าพิเศษเพราะช่วยให้กลับมาเป็นคนได้ แต่ตอนนี้รู้แล้ว"

            "รู้แล้วว่า"

            "ว่ารักไง"

            รอบนี้ผมโดนน็อก ยิ้มค้างเป็นคนบ้า รู้สึกเลือดกำลังสูบฉีดดีเป็นพิเศษ เรามาเขินหน้าแดงเป็นเพื่อนกัน

            "แล้วลิขิตว่าที่พูดขอให้กลับมาเป็นคนจะได้ผลมั้ย"

            "เปลี่ยนเรื่องเฉย"

            "ให้เปลี่ยนเถอะ เป็นแมวไม่เคยเขินขนาดนี้เลย"

            "แล้วที่สารภาพตอนนั้นไม่เขินเหรอ"

            "ก็บอกว่าให้เปลี่ยนเรื่อง"

            ผมหลุดหัวเราะกับท่าทางน่ารักๆ ของแมวที่กำลังโวยวาย ต้องดึงเข้ามากอดล็อกตัวเอาไว้ระหว่างขาถึงจะยอมสงบ

            "ไหน เมื่อกี้ถามว่าอะไรนะ" เกยคางบนไหลแล้วกระซิบถาม ใจอยากจะดึงขึ้นมานั่งตักให้รู้แล้วรู้รอด

            "คิดว่าที่พูดไปมันจะได้ผลมั้ย"

            "ต้องได้ผลดิ เราตั้งใจมากนะ ถ้าเป็นคนแล้วจะได้ไปไหนมาไหนได้อิสระ ไม่ต้องอุดอู้อยู่ในห้อง"

            "แต่ก็ยังไปไหนไม่เป็นอยู่ดี"

            "เดี๋ยวสอนให้น่า สอนมาตั้งหลายอย่างแล้ว"

            หลังจากกลับมาเป็นคนได้แล้วชีวิตล่อนจ้อนจะเปลี่ยนไปยังไงบ้างผมยังเดาไม่ถูก ที่แน่ๆ ความทรงจำเกี่ยวกับล่อนจ้อนที่ทุกคนลืมเลือนไปจะกลับมา มันน่าลุ้นตรงที่ช่วงเวลาสิบปีที่หายไปนั้นมันจะถูกจัดแต่งให้เป็นยังไง

            "แสดงว่าก็ไปเรียนกับลิขิตได้ด้วยใช่มั้ย"

            "ได้ดิ จะพาไปเปิดตัวกับเพื่อนด้วย"

            "เปิดตัวอะไรอ่ะ"

            "เปิดตัวว่าที่แฟนไง แต่ตอนนี้ยังเป็นคนคุย" เรื่องเปิดตัวเนี่ย ผมเพิ่งจะบอกเพื่อนไปวันนี้เอง ถ้าเกิดทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วล่ะก็ ผมจะพาไปเปิดตัวพรุ่งนี้เลย

            "เออ แล้วลิขิตว่า..."

            "เปลี่ยนเรื่องอีกแล้ว"

            "งั้นก็ไม่ต้องคุยเลย" โดนทักรอบนี้ล่อนจ้อนสะบัดตัวจนหลุดออกจากอ้อมแขนผมแล้วมานั่งจ้องหน้าด้วยสายตาแมวกำลังจะโกรธ

            "อย่าเพิ่งงอนดิ"

            "ไม่ได้งอน รำคาญลิขิตอ่ะ ชอบขัด"

            "อย่าพูดว่ารำคาญ มันเจ็บ"

            ผมดึงแขนล่อนจ้อนให้กลับมานั่งท่าเดิม แต่เปลี่ยนตำแหน่งนิดหน่อยให้มานั่งตักแทน คนในอ้อมกอดก็ยอมนั่งนิ่งๆ แต่โดยดี เพราะถ้าหากขยับตัวยุกยิกมากๆ ล่ะก็ได้จบเหมือนเมื่อวันก่อนแน่

            "เมื่อกี้จะพูดว่าอะไรนะ"

            ยังไม่ทันได้คำตอบล่อนจ้อนก็สะดุ้งเมื่ออยู่ๆ ประตูห้องก็เปิดออก ผมหันไปมองเห็นไอ้กาลยืนอยู่ตรงประตู มันเหล่ตามองผมก่อนเดินเข้ามา ส่วนล่อนจ้อนน่ะตัวแข็งไปแล้ว

            "อ้อ ตามสบาย" มันหันมามองเราแวบหนึ่งแล้วเดินเข้าห้องตัวเองไป แต่หน้าตาตอนมันพูดน่ะโคตรกวนประสาท เก็บเข้าลิสต์เรื่องที่จะแซวผมไปแล้วแน่ๆ

            "ไอ้กาลมันว่างั้นน่ะ"

            "ปล่อยเลย"

            ผมยอมปล่อยให้ล่อนจ้อนนั่งดูทีวีดีๆ ส่วนผมก็นั่งมองเจ้าตัวอีกที ชอบมองดูปฏิกิริยาต่างๆ ที่แสดงออกมาอย่างซื่อตรง มีความสุขก็ยิ้ม โกรธก็บึ้ง ยกเว้นก็แต่เวลาเศร้าที่ไม่ยอมร้องไห้ เป็นคนอดทนเข้มแข็ง ไม่เคยแสดงความรู้สึกอ่อนแอออกมาให้ได้เห็นนัก

            หากพรุ่งนี้การกำหนดชีวิตใหม่ของล่อนจ้อนได้ผล ผมเองก็จะทิ้งความรู้สึกแย่ๆ ในตอนนี้ เข้มแข็งให้มากขึ้น และเริ่มต้นใหม่ให้ดีกว่าอดีตที่ผ่านมา


tbc.


เฉลยชื่อแล้วววว มีใครเดาถูกบ้าง
จากนี้เรื่องราวจะคลี่คลายหมดแล้วนะคะ เพราะอีกไม่กี่ตอนก็จะจบแล้ว
วันเสาร์หน้าไม่ได้อัพน้า ติดธุระนิดหน่อย เจอกันอีกเสาร์นู่นเลย
ขอบคุณทกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 17 ___ [27/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-07-2019 22:29:57
แล้วเอกสารของการมีตัวตนล่ะทำยังไง
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 17 ___ [27/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 27-07-2019 22:53:17
ต่อจากนี้จะรับผิดชอบน้องอย่างไร
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 17 ___ [27/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 28-07-2019 00:07:06
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 17 ___ [27/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 28-07-2019 00:29:54
แล้วถ้าพุดตานกลับมาเป็นคนแล้ว คนอื่นๆจะจำพุดตานได้ไหม
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 17 ___ [27/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 28-07-2019 01:59:49
ถ้ากลับมาเป็นคนแล้วจะเป็นยังไงต่อจะใช้วิตยังไงต่อๆๆ
แบบความทรงจำของแม่ของคนอื่นๆที่เคยรู้จัก
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 18 ___ [10/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 10-08-2019 20:24:11

ลิขิตครั้งที่ 18


            ผมจำได้ว่าเมื่อคืนนอนที่ห้องไอ้กาล ไม่ได้ตื่นกลางดึกแล้วแอบหนีมานอนห้องตัวเองเหมือนทุกทีด้วยเพราะหลับยาว แต่พอตื่นขึ้นมากลับพบว่าตอนนี้ผมกำลังนอนอยู่ในห้องตัวเอง บนเตียงที่ไร้วี่แววของแมวสีขาวอย่างที่ควรจะเป็น มันเกิดอะไรขึ้น หรือผมละเมอเดินมาแล้วจำไม่ได้

            ลุกขึ้นนั่งหันมองรอบห้อง ผ้าม่านสีไข่ปิดสนิท แสงแดดจ้าสาดผ่านเข้าพอให้มองเห็นภายในห้องได้แม้ไม่ต้องเปิดไฟ ทุกอย่างดูเป็นปกติแต่ก็เหมือนไม่ปกติ เพราะล่อนจ้อนไม่อยู่ในห้อง ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้วที่เจ้าแมวตัวนั้นจะอยู่ห่างจากผม

            ผมลุกออกจากเตียงเปิดประตูห้องนอนออกไปดูด้านนอก ไร้วี่แววของผู้ร่วมอาศัย ไอ้กาลน่าจะออกไปเรียนแล้วตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้ว และภายในห้องก็เงียบสนิท

            "ล่อนจ้อน" ผมลองเรียก รอฟังอยู่สักพักแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงใดตอบกลับมา ไม่ว่าจะคนหรือแมว

            เดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง ชามอาหารกับน้ำของแมวยังอยู่ข้างเตียงฝั่งประตูระเบียง เปิดผ้าม่านมัดไว้ เปิดประตูระเบียงออกไปดูก็เจอกระบะทราบวางอยู่ แต่ดูเหมือนมันไม่ได้ถูกใช้บริการมาสักพักแล้ว

            ผมเดินกลับเข้ามาในห้อง ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงแล้วลองคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวาน มันมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ในวันนี้แมวที่หายไป คนก็น่าจะกลับคืนมา คำขอของผมมันต้องได้ผลอย่างแน่นอน

            คำขอที่ให้พุดตานกลับมาเป็นคนอีกครั้ง

            แต่ปัญหาก็คือตอนนี้พุดตานอยู่ที่ไหน

            หยิบมือถือขึ้นมาไล่หารายชื่อผู้ติดต่อ เบอร์ที่ผมซื้อให้ยังถูกบันทึกไว้ในชื่อล่อนจ้อน ตัดสินใจกดโทรออกทันที แต่รอสายอยู่นานก็ไม่มีคนรับ ลองโทรอีกครั้งผลก็เหมือนเดิม ลองเปลี่ยนไปโทรหาน้องชายฝาแฝดแทนแต่ก็ไม่รับเหมือนกัน คงเพราะเรียนอยู่เลยรับไม่ได้

            ไล่ดูชื่อผู้ติดต่อไปเรื่อยๆ จนเจอบุคคลที่น่าจะพอช่วยได้อีกคนก็กดโทรออก รอสายไม่นานนักปลายสายก็รับให้ผมได้รู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้างที่ในที่สุดก็มีคนคุยด้วยสักที

            [ว่าไงลูก]

            "พ่อทำงานอยู่หรือเปล่า"

            [คุยได้ พ่อใกล้พักแล้ว]

            "คือผมมีเรื่องจะถามพ่อนิดหน่อย"

            [ว่ามาเลย]

            ผมประมวลคำถามในหัว ก่อนหน้านี้ไม่ได้คิดไว้ก่อนว่าจะถามอะไรแบบไหน เพราะผมก็ยังไม่รู้เลยว่าผลของการกำหนดชีวิตครั้งนี้จะมีส่วนใดที่ส่งผลระทบต่อความทรงจำบ้าง เรื่องไหนที่จะลืม เรื่องไหนที่จะจำได้ หรือจะมีเรื่องไหนถูกเสริมเติมแต่งขึ้นมา

            "คือพุดตานน่ะครับ"

            [ทำไมเหรอลูก พุดตานทำไม] พ่อถามสวนขึ้นมาทั้งที่ผมยังไม่ทันได้ถามอะไร ช่วยไขข้อข้องใจให้ผมได้แล้วว่าทุกคนที่รู้จักพุดตานน่าจะจำเจ้าตัวได้หมดแล้ว

            "เปล่าครับ พุดตานไม่ได้ทำอะไร"

            [มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า]

            คำถามของพ่อข้อนี้ผมเดาว่าผมกับพุดตานในปัจจุบันน่าจะรู้จักกันและยังติดต่อกันอยู่ หรืออาจจะเป็นเพื่อนกันก็ได้ ไม่อย่างนั้นพ่อน่าจะถามอย่างอื่นมากกว่า อย่างเช่น ‘อยู่ๆ ทำไมถึงถามพุดตาน’ อะไรประมาณนี้

            "เปล่าครับ ไม่ได้มีปัญหาอะไร" แม้ความจริงจะมีก็เถอะ

            [แล้วสรุปอยากถามอะไรพ่อล่ะ]

            "เรื่องแปลกประหลาดที่ผมต้องเจอน่ะครับ"

            [อ้อ เป็นไงบ้าง ตอนนี้คืบหน้าบ้างมั้ย] ถามแบบนี้แสดงว่าความทรงจำเกี่ยวกับผมไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปนัก พ่อยังจำได้ว่าผมกำลังต่อสู้กับปัญหาบ้าๆ นี้อยู่

            "ก็คืบหน้ามั้งครับ พ่อ แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่ามันจบ จะรู้ได้ยังไงว่าเราทำสิ่งที่ผิดให้ถูกต้องแล้ว"

            [พ่อว่าถึงตอนนั้นลิขิตน่าจะรู้นะ]

            "ผลสรุปของเรื่องนี้มันทำให้เราได้อะไรกันแน่อ่ะพ่อ"

            มันจบแล้ว หรือไม่ก็ใกล้จะจบแล้วผมรับรู้ได้ ผมอยากได้อะไรที่มันบ่งบอกอย่างชัดเจน ไม่ใช่ความรู้สึกเคว้งคว้างในตอนนี้ แต่พ่อกลับหัวเราะเสียงอย่างนั้น

            "มันไม่ตลกเลยนะพ่อ ปวดหัวจะแย่แล้ว"

            [ลิขิตคิดว่าปัญหาของลูกมันใกล้จบหรือยังล่ะ]

            "จบแล้ว...มั้งครั้บ"

            [จบแล้วเหรอ]

            "ผมก็ไม่รู้"

            พ่อหัวเราะอีกครั้ง ไม่ได้ช่วยให้ความกระจ่างอะไรเลยสักนิด จนผมอยากจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังให้รู้แล้วรู้รอดกันไป แต่พ่อก็คงไม่ฟังอยู่ดี

            "พ่อครับ"

            [ยังไงก็อย่าลืมพามาล่ะ]

            "ใครอีกล่ะพ่อ"

            [ปัญหาของลูกไง]

            คำตอบเดียวคลายความสงสัยให้ผมเกือบทุกข้อ พ่อหัวเราะทิ้งท้ายอีกครั้งก่อนวางสาย ท่าทางอารมณ์ดีแบบสุดๆ

            พ่อวางสายไปได้ไม่ทันไรไอ้กาลก็โทรกลับมา ใจผมอยากจะปล่อยให้สายตัดไปเองแล้วคิดทบทวนสิ่งที่คุยกับพ่อเมื่อกี้นี้อีกสักนิด แต่ดันมือไว้กดรับตั้งแต่สามวินาทีแรก

            [รับเร็วเชียว] คำทักทายสมกับเป็นน้องชายผมจริงๆ

            "เพิ่งเลิกเหรอวะ"

            [อืม พักเที่ยง มึงถึงมอยัง]

            "เดี๋ยวเข้าบ่ายๆ กูเรียนบ่ายสอง"

            [แล้วมีอะไร] มันถามเข้าประเด็น ทำเอาผมลังเลว่าควรถามถึงล่อนจ้อนหรือพุดตานดี ในเมื่อไอ้กาลเป็นคนเดียวที่รับรู้เรื่องของผมมาโดยตลอด

            "ก่อนออกไปเรียนมึงเห็นล่อนจ้อนมั้ย" สุดท้ายก็เลือกคำถามนี้

            [ล่อนจ้อนอะไรของมึงวะ]

            "แมวอ่ะ"

            [แมวอะไรวะ มีแมวมาที่ห้องเหรอ มึงรีบไล่ไปเลยนะ] ชัดเจนตั้งแต่คำถามแรกที่มันตอบ พอผมพูดถึงแมวมันก็โวยวายทันที

            "ไม่มีหรอกแมวน่ะ"

            [แล้วมึงจะพูดถึงทำไมเนี่ย ไอ้ล่อนจ้อนอะไรของมึงอีก]

            "เออ ช่างมัน แล้วพุดตานอ่ะ" ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง ไม่รู้ว่าความทรงจำของไอ้กาลถูกจัดแต่งใหม่ยังไงบ้าง แต่ที่แน่ๆ มันจำไม่ได้ว่าในห้องผมกับที่ระเบียงยังมีของใช้ของเจ้าแมวขาวอยู่ ถ้ามันรู้ก็อุดหูรอได้เลย

            [พุดมันทำไมอ่ะ]

            "มึงรู้จักมั้ย"

            [กูถามจริงลิขิต มึงเป็นบ้าอะไรเนี่ย นอนไม่อิ่มเหรอ] มันใส่มาเป็นชุดที่ทำเอาผมงงไปเหมือนกัน

            "งั้นมั้ง แล้วมึงรู้มั้ยพุดตานอยู่ไหน"

            [ก็ไปเรียนไง มึงเป็นไรป้ะวะ]

            ฟังมันด่าจนมึนผมไม่รู้จะตอบอะไรกลับไปเลยหัวเราะใส่ก่อนชิงวางสาย ไอ้กาลมันเลยส่งไลน์ตามมาว่าต่อ พอผมตอบกลับไปว่าเบลอๆ เพิ่งตื่น มันก็ไล่ผมไปอาบน้ำ

            ผมโยนมือถือทิ้งไว้บนเตียงคว้าผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำ เอาคำตอบที่ได้จากพ่อกับไอ้กาลมาคิดทบทวนอีกครั้ง ความทรงจำของทุกคนที่ถูกบิดเบือนไปตลอดสิบปีกลับมาแล้ว เป็นความทรงจำอันแท้จริงที่มันควรจะเป็น ส่วนเจ้าแมวสีขาวหรือล่อนจ้อนนั้นก็ได้ถูกลบออกไป

            อาบน้ำเสร็จกลับมาเช็กมือถือดูอีกรอบมีแค่แจ้งเตือนจากกลุ่มไลน์เพื่อนๆ ส่วนเบอร์ที่อยากคุยด้วยที่สุดก็ไม่ยอมติดต่อกลับมาสักที ถ้าเบอร์ที่ใช้ยังเป็นคนเดิมกับเมื่อวาน ก็ขอให้ติดต่อกลับมาทีเถอะ ไม่ว่าจะพุดตานหรือล่อนต้อน ใครก็ได้

 

            หยิบมือถือขึ้นมาดูหลังจบคลาสมีหนึ่งสายไม่ได้รับโชว์อยู่บนหน้าจอเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ผมรีบโทรกลับ แต่รอจนสายตัดก็ไม่มีคนรับ เหมือนฟ้ากำลังสนุกกับการแกล้งผมยังไงไม่รู้

            "เป็นอะไรวะทำหน้าเครียดตั้งแต่มาละ" คิรินทัก มันเดินมายืนหน้าโต๊ะผม ก่อนคนอื่นๆ จะตามมา

            "นิดหน่อย"

            "เรื่องสอบเหรอ ปกติมึงไม่เคยเครียดนี่หว่า" พสุถามต่อ

            "กูจะเครียดครั้งนี้แหละ ยังไม่ได้เริ่มอ่านเลย"

            "วันหยุดกูชวนมาอ่านด้วยกันก็ไม่มา"

            "มันก็ไม่เคยมาอยู่แล้วป้ะ" คิรินตอบกลับประโยคของพสุให้ เลยโดนมันมองค้อนใส่

            "กูอ่านคนเดียวมีสมาธิกว่า"

            "งั้นก็ไม่ต้องเครียดหรอก เดี๋ยวก็ทำได้เหมือนทุกทีนั่นแหละ จะไปกันยัง" มงคลเข้ามาเสริมเป็นคนสุดท้าย ก่อนพวกมันจะเดินนำออกไปจากห้อง

            ก่อนสอบมิดเทอมยังมีเวลาให้อ่านหนังสืออีกเกือบอาทิตย์ผมไม่เครียดหรอก เพราะตอนนี้มีอีกเรื่องให้เครียดมากกว่า

 

            ใจผมมันว้าวุ่นเลยอยู่เฉยๆ ไม่ได้ กลับมาถึงห้องลองโทรหาล่อนจ้อนอีกครั้งก็ยังไม่มีคนรับ ไลน์ไปหาก็ไม่อ่านไม่ตอบ เลยโยนมือถือทิ้งลงเตียงเดินค้นนู่นค้นนี่ในห้องไปทั่ว เปิดตู้ดูเสื้อผ้าที่เคยซื้อให้ยังอยู่ครบ เดินไปดูในห้องน้ำ ทั้งแปรงสีฟัน โฟมล้างหน้าก็ยังอยู่ ผมเดาไม่ออกเลยว่าสถานการณ์ตอนนี้มันเป็นยังไงกันแน่

            นึกอะไรไม่ออกเลยลองเปิดลิ้นชักข้างเตียงดู ซองจดหมายสีขาวเก่าๆ ถูกเก็บไว้ในนี้ ของสำคัญที่คล้ายกับแผ่นเก็บความทรงจำ มันยังอยู่ดี แต่คนให้มันล่ะตอนนี้อยู่ที่ไหน

            เก็บจดหมายปิดลิ้นชักแล้วทิ้งตัวลงบนเตียง คว้ามือถือมากดโทรหาล่อนอีกรอบก็ยังไม่มีคนรับเหมือนเดิม  เปลี่ยนใจโทรหาไอ้กาลมันเองก็ไม่รับ โทรย้ำอีกรอบก็ยังเหมือนเดิม ทำตัวเป็นคนคนน่ารำคาญจนผมยังนึกหงุดหงิดตัวเอง

            ลุกจากเตียงเดินเข้าห้องน้ำอีกรอบ กดถ่ายรูปของใช้ต่างๆ ของล่อนจ้อนแล้วส่งในทางไลน์แทนในเมื่อกาลมันไม่รับสาย

            'อันนี้ของใครวะ'

            รู้ว่ามันคงไม่ตอบกลับมาเร็วๆ นี้ เลยหยิบกุญแจห้อง กระเป๋าสตางค์เดินออกมาข้างนอก ไม่อยากอุดอู้อยู่ในห้องให้ใจมันวุ่นวายไปมากกว่านี้

            ผมเดินมาเซเว่นข้างหอ เข้ามาในร้านแล้วก็เดินวนไปเรื่อยๆ อย่างคนไม่รู้จะทำอะไรจนมาหยุดอยู่หน้าตู้ไอศกรีม หยิบไอศกรีมเยลลี่สีแดงขึ้นมาหนึ่งแท่งเดินไปจ่ายเงิน แกะถุงทิ้งถังขยะหน้าร้านแล้วยืนกินมันตรงนั้น ข้างๆ หมาหน้าเซเว่นตัวหนึ่งที่กำลังนอนอยู่

            "มองอะไร" ถามหมาสีน้ำตาลหูตูบที่เงยหน้ามามอง โทรหาก็ไม่มีใครรับ แมวหายก็ยังไม่หาไม่เจอ ลองคุยกับหมาท่าจะดี

            ไอ้ตูบสีน้ำตาลขมวดคิ้วมองผม เหมือนมันอยากจะถามกลับเหมือนกันว่าผมล่ะมีปัญหาอะไรกับมัน

            "เห็นแมวเปอร์เซียสีขาวมาเดินเล่นแถวนี้บ้างป้ะ"

            มันเมินหน้าหนีผมอย่างไม่ใส่ใจเมื่อฟังคำถามจบ หลับตานอนเอาหัวหนุนขาหน้าเป็นสัญญาณบอกว่าข้าไม่อยากคุยกับแกแล้วเจ้ามนุษย์

            น่าเศร้าใจชะมัด

            ผมยกมือถือขึ้นมาดูทุกสิบวินาทีระหว่างกินไอศกรีมไปด้วย หน้าจอเงียบสงบไร้การเคลื่อนไหวมาหลายนาที จนกระทั่งแอพสีเขียวแจ้งเตือนผมก็รีบยกมันขึ้นมาอ่าน แต่กลับไม่ใช่คนที่กำลังรอ

            ผมอ่านข้อความที่เพื่อนในกลุ่มส่งคุยกันโดยไม่ตอบอะไร กินไอศกรีมหมดแล้วก็โยนไม้ทิ้งถังขยะ หันไปมองทางหอเห็นใครคนหนึ่งที่ดูคุ้นหน้าคุ้นตาเพิ่งเดินเข้าไป ขาผมสั่งให้รีบก้าวตาม แต่ยังไม่ทันได้ขยับไปไหนไลน์จากไอ้กาลก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน

            'ก็ของพุดไง'

            กาลมันตอบคำถามของผมกลับมาสั้นๆ ซึ่งไม่ได้ช่วยให้ความสงสัยของผมกระจ่างขึ้นเท่าไร

            ผมโทรกลับไปหา รอบนี้มันรับอย่างรวดเร็ว พร้อมกับคำทักทายที่ผมเองก็รู้สึกแบบมันเหมือนกัน

            [วันนี้มึงเป็นอะไรเนี่ย วุ่นวายจัง]

            "วุ่นวายเลยนะ"

            [ปกติมึงไม่เคยเป็นแบบนี้ไงขิต มีอะไรหรือเปล่าวะ เมื่อวานยังดีๆ อยู่เลย เครียดเรื่องอะไร มิดเทอมเหรอ หรือทะเลาะอะไรกับพุด]

            "กูก็ไม่รู้ว่ะ"

            [เอ้า! โอเคมั้ยวะ เดี๋ยวกูรีบกลับ มึงก็คุยกันดีๆ ก่อน]

            "จะให้กูคุยกับใครอ่ะ พุดตานอยู่ห้องเราเหรอ" ผมพอจะจับเรื่องราวได้บางส่วนแล้วแต่ก็ยังไม่แน่ใจในหลายๆ อย่าง แต่ก็ไม่อยากถามโพล่งออกไปตรงๆ ให้ไอ้กาลมันด่าเล่นเหมือนเมื่อเช้า

            [มึงอยู่ห้องไม่ใช่เหรอ]

            "กูลงมาเซเว่น"

            [ยังไงวะ สรุปทะเลาะกันจริงๆ ใช่มั้ย ร้ายแรงเหรอวะ ปกติก็เห็นแค่หยอกๆ ช่วงนี้ก็เหมือนจะรักกันดี]

            "ปกติเหรอวะ"

            [อะไรของมึงเนี่ยลิขิต กูชักจะงงแล้วเนี่ย]

            อย่าว่าแต่มันงงผมก็งง หรือควรจะถามออกไปตรงๆ เลยดี เพราะยังไงมันก็ต้องเรื่องแปลกๆ เหมือนกับผมรู้แล้ว ตอนนี้มันอาจจะลืมเรื่องของผม แต่คิดดูอีกทีอย่าเลยดีกว่า

            "หมายถึงกูกับพุดตานดูสนิทกันเหรอ"

            [แล้วมาถามกูทำไมเนี่ย อย่าบอกนะว่าตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาพวกมึงทะเลาะกันจริง]

            "มึงคิดว่าไง" ผมปล่อยให้น้องชายตีความหมายตามที่คิด เผื่อจะหลุดพูดอะไรออกมาอีกบ้าง ส่วนผมเองก็ต้องเอาคำพูดของมันมาคิดอีกที

            จากคำพูดของไอ้กาล หนึ่งเดือนที่ผ่านมาเท่ากับว่าหนึ่งเดือนที่อยู่ด้วยกัน ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่ผมได้เจอล่อนจ้อนพอดี

            [สรุปพวกมึงนี่ยังไงวะ เพิ่งบอกกูว่ากำลังคุยกัน แล้วมาทะเลาะกันเนี่ยนะ]

            "มันก็ต้องมีบ้างมั้ย"

            [จะทำอะไรก็เอาให้มันแน่ๆ พุดเจอหอที่โอเคแล้วไม่ใช่ไง ถ้าเขาย้ายออกแล้วมึงจะหมดโอกาส]

            หาหอ ย้ายออก แสดงว่าที่อยู่ด้วยกันตอนนี้แค่มาอาศัย แล้วผมกับพุดตานก็อาจจะเริ่มสานสัมพันธ์กันตั้งแต่ตอนนั้น            "เออ กูรู้ แล้วทำไมเมื่อเช้ากูตื่นมาไม่เจอใครเลยวะ"

            [เมื่อเช้าพุดออกมาเรียนพร้อมกู แล้วเมื่อคืนก็ย่องไปนอนกับเขาไม่รู้เรื่องได้ไงวะ]

            "กูหลับเพลินไปหน่อยมั้ง"

            เมื่อคืนผมจำได้ว่าไม่ได้กลับไปนอนห้องตัวเอง แต่จะด้วยเห็นผลอะไรที่ทำให้มันกลายเป็นแบบนี้ก็ช่างมันเถอะ ผมขี้เกียจจะคิดแล้ว

            "แล้วมึงฝันร้ายมั้ยเมื่อคืน"

            [เมื่อคืนไม่ฝัน กูเพิ่งมารู้ตัวก็ตอนตื่นนี่แหละ พุดมาบ่นมาให้ฟังว่ามึงแอบไปนอนด้วย]

            "งั้นก็ดีแล้ว"

            [ดีเรื่องอะไรไอ้สัด เมื่อเช้าดีๆ กันอยู่เลย พุดก็ดูปกติดี มีแต่มึงเนี่ยเป็นบ้าเป็นบออะไร เอาเวลาไหนไปตีกันวะ]

            "เออน่า เดี๋ยวกูกลับไปเคลียร์เอง"

            [พุดกลับห้องยัง]

            "กำลังจะขึ้นไปดู"

            [ยังไม่ขึ้นห้องอีก]

            "เออ แค่นี้นะมึง"

            ผมเดินกลับหอก่อนกดวางสาย ยกคีย์การ์ดแตะเปิดประตูก้าวขึ้นบันได กำลังใจร้อนเลยขี้เกียจรอลิฟต์ที่ค้างอยู่ชั้นเจ็ด ก้าวทีละสองขั้นเพื่อให้ถึงเร็วๆ จนขึ้นมาถึงชั้นสามสายเรียกเข้าก็ดัง

            หน้าจอโชว์ชื่อที่ติดต่อไม่ได้มาตลอดทั้งวัน ผมกดรับตอนไขกุญแจ ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากปลายสาย เมื่อเปิดประเข้าไปก็เจอคนที่พยายามตามหามาตลอดทั้งวันยืนอยู่ในห้อง

            เรายังถือโทรศัพท์แนบหู แม้สีผมจะดูแปลกตาไปสักหน่อยแต่ใช่คนเดียวกันไม่ผิดแน่ ล่อนจ้อน ไม่สิ พุดตานยังอยู่กับผมเหมือนเดิม

            ตาชั้นเดียว จมูกรั้นๆ หน้าตาดื้อๆ กับผิวสุขภาพดี ยกเว้นก็แต่ผมสีบลอนด์ที่หายไป กลายเป็นสีน้ำตาลเข้มแต่คนคนนี้ก็ยังดูน่ารักเหมือนแมวเหมือนเดิม

            ผมกดวางสายเดินตรงไปคว้าคนตรงหน้าเข้ามากอด ทั้งกลิ่นและสัมผัสยังคุ้นเคย แต่มันก็อดกลัวไม่ได้ว่าจะมีบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่า

            "เป็นอะไร" คนในอ้อมกอดถาม

            ผมผละออก มองสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยคู่นั้น มีหลายสิ่งที่ผมอยากถาม ชีวิตที่ผ่านไปเป็นยังไงบ้าง สบายดีหรือเปล่า เรียนเป็นยังไงบ้าง จำเรื่องราวเกี่ยวกับผมได้บ้างไหม ความรู้สึกที่มียังเหมือนเมอยู่หรือเปล่า กลับมาเป็นพุดตานแล้วยังจะรักเหนือลิขิตคนนี้เหมือนล่อนจ้อนอยู่อีกไหม

            และถ้าหากความรู้สึกยังเหมือนตอนเป็นล่อนจ้อนอยู่ ผมก็สามารถทำในสิ่งที่เคยได้ใช่มั้ย

            ริมฝีปากที่เคยสัมผัสมาหลายต่อหลายครั้งลอยเด่นอยู่ตรงหน้า มือผมยังประคองกอดไหล่พุดตานเอาไว้ มองตอบดวงตาที่มีแต่ความสงสัยคู่นั้น ก่อนขยับเข้าไปใกล้แนบริมฝีปากกับอีกฝ่ายเบาๆ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมานั้นช่างรุนแรงเหลือเกิน

            พลั่ก!

            ตัวผมโดนผลักออก ตามด้วยหมัดแมวๆ ที่ไม่ได้มีความรุนแรงอะไรนัก แต่ก็ทำให้คนที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเซถอยหลังด้วยความมึนงงได้ ทว่าเจ็บตัวยังไม่เท่าเจ็บที่หัวใจ เพราะคำพูดที่อีกฝ่ายมอบให้นั้นมันร้ายแรงกว่าเยอะ

            "มึงเป็นเหี้ยอะไรเนี่ยลิขิต!"

            อย่าถามว่าช็อกแค่ไหน แมวน้อยที่แสนน่ารักของผมได้เปลี่ยนไปแล้ว
 

tbc.

 
กลับมาต่อแล้วค่า งงๆ กันมั้ย ไม่งงเนอะ ฮ่า
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 18 ___ [10/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-08-2019 21:32:57
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 18 ___ [10/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 10-08-2019 22:15:06
 :pig4: :pig4: :pig4:

กลับเป็นคนปกติแล้ว  อดีตที่สร้างใหม่ตอนที่หายไปนี่มันเป็นยังไงหล่ะนั่น 

แล้วทำไมความทรงจำของเหนือลิขิตจึงไม่ถูกลบล้างแล้วสร้างใหม่เหมือนคนอื่น ๆ หล่ะ?
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 18 ___ [10/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 10-08-2019 23:29:53
เป็นคนแล้ววว
กลายเป็นว่าพุดตานก็อยู่กับทุกคนมาตลอด
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 18 ___ [10/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 11-08-2019 23:48:45
 :hao7:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 18 ___ [10/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 13-08-2019 00:55:34
พุดตานกลับมาเป็นคนแล้ว แต่เหมือนกับว่าจะเปลี่ยนปัจจุบันไปด้วย
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 19 ___ [17/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 17-08-2019 17:22:01

ลิขิตครั้งที่ 19


            ต่อยผม แล้วก็ต้องมานั่งทำแผลให้ พุดตานทำหน้างอคอหักเหลือบตามองผมเป็นพักๆ ตาขวางเหมือนล่อนจ้อนเวลางอน หูแดงเหมือนล่อนจ้อนเวลาเขิน สรุปแล้วก็คือเขินผมอยู่สินะเลยหน้าบึ้งขนาดนี้

            "เป็นบ้าอะไรอยู่ๆ ก็มาจูบ" สุดท้ายแล้วก็ทนอยู่ในความเงียบไม่ไหวจนต้องถามออกมา เสียงอ้อมแอ้มไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตากันอีก จะว่าการแสดงออกเหมือนล่อนจ้อนก็ใช่อยู่ ต่างกันแค่มือหนักกว่านิดหน่อย

            "ไม่รู้ดิ" ผมก็ไม่รู้เหตุผลของตัวเองนักหรอก รู้แค่ว่าอยากจูบ อีกอย่างการทำแบบนั้นก็ช่วยพิสูจน์เรื่องบางอย่างให้ผมด้วย เพราะถ้าเป็นล่อนจ้อนที่ผมรู้จักไม่มีทางต่อยกันแบบนั้นแน่ แต่ก็ใช่ว่าความรู้สึกที่มีต่อพุดตานคนนี้จะเริ่มจากศูนย์ เรายังเป็นคนรู้จักที่ต้องทำความรู้จักกันเพิ่มอีกสักหน่อยแค่นั้น

            "ไม่รู้ได้ไง"

            "ก็แค่อยากทำ"

            "เอาแต่ได้" บ่นแล้วกดสำลีที่แผลผมแรงๆ จนต้องถอยหนี แบบนี้มันจงใจแกล้งกันชัดๆ แล้วไอ้คำว่าเอาแต่ได้เนี่ย ทำเอาอยากรู้เลยว่าในความทรงจำของพุดตานผมเป็นคนยังไง ทำบ่อยเหรอเรื่องแบบนั้น

            "เอาแต่ได้ยังไง"

            "เมื่อคืนก็ย่องมานอนด้วย"

            "ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย"

            "เหรอ"

            "แล้วทำอะไรล่ะ"

            สำลีในถุงถูกหยิบมาปาใส่ผม มองกันตาขวางแบบแมวโกรธ แต่ก็ยอมเฉลยออกมาว่าเมื่อคืนผมทำอะไรลงไป

            "ก็กอดทั้งคืน"

            "นั่นมันห้องเรา เตียงเราไง"

            "งั้นจะรีบย้ายออกเร็วๆ แล้วกัน"

            "ไม่ได้ไล่นะ"

            "ไม่ได้อยากอยู่ด้วยเหมือนกัน"

            "เจ็บเลย" เจ็บที่ใจจริงๆ ไม่ได้แสดง สายตากับน้ำเสียงยังคงเป็นล่อนจ้อนคนเดิม พอโดนพูดแบบนี้ใส่แม้จะเป็นพุดตานแมวน้อยผมสีน้ำตาลเข้มมันก็เจ็บ

            เรานั่งสบตากันนิ่งๆ เมื่อไม่มีใครพูดอะไรต่อ เป็นเรื่องน่ายินดีที่พุดตานได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านผมก็อดรู้สึกแย่ไม่ได้อยู่ดี ครั้งหนึ่งพวกเราเคยคุยเกี่ยวกับเรื่องแปลกประหลาดนี้ว่ามันอาจจะพาเนื้อคู่มาหาผม และก็ได้รับการยืนยันจากคำของพ่อวันนี้ ผมทำสิ่งที่ผิดให้ถูกต้องได้แล้วก็จริง แต่มันเหมาะสมแล้วหรือที่จะได้ครอบครองสิ่งดีๆ นี้เอาไว้ด้วย มันเหมือนผมเป็นคนที่เอาแต่ได้อย่างที่พุดตานว่าจริงๆ

            "ขอโทษนะ"

            "ขอโทษทำไม" พุดตานทำหน้าตาตื่นเมื่ออยู่ๆ ผมก็พูดขึ้นมา

            ผมแค่อยากพูดคำนี้ ขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ทำลงไป ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะลืมหรือจดจำมันได้ก็ตาม

            "สำหรับทุกสิ่ง"

            "อารมณ์ไหนล่ะเนี่ย"

            "ขอกอดหน่อยดิ"

            พุดตานนิ่งไปชั่วครู่ ไม่ได้ตกใจแต่ดูเหมือนจะแปลกใจมากกว่าที่อยู่ๆ ผมก็ขอออกไปแบบนั้น แต่กับคนคนนี้น่ะ ไม่ค่อยใจร้ายกับผมนักหรอก เมื่อวานเป็นยังไง วันนี้ก็ยังเป็นแบบนั้น

            อ้อมแขนตรงหน้ากางออก ผมโผเข้าไปกอด อ้อมกอดครั้งที่สองของพุดตาน มันยังให้ความรู้สึกเหมือนเดิม เหมือนทุกครั้งที่เคยกอดกัน

            "เครียดอะไรจริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย"

            "นิดหน่อย"

            "เรื่องเราหรือเปล่า"

            ผมผละออกเพื่อจ้องตาคนถาม คำตอบมันอาจจะใช่แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ สิ่งที่ทำให้ผมทุกใจอยู่ตอนนี้เป็นเรื่องที่ผมทำตัวเองทั้งนั้น

            "ไม่หรอก ล่อนจ้อนน่ะ..."

            "ล่อนจ้อน?" เอียงคอถามแบบแมวขี้สงสัย ผมเองก็หลุดปากไป มันยังไม่ค่อยชิน

            "หมายถึงพุดตาน"

            "ก็นึกว่า..." ลากเสียงยาวแล้วก็หยุดพูดปล่อยให้คนฟังสงสัยซะอย่างนั้น

            "นึกว่าอะไร"

            "เปล่า เมื่อกี้ลิขิตจะพูดอะไร"

            "จะบอกว่าพุดตานน่ะไม่ใช่เรื่องที่เราเครียดหรอก เป็นความสบายใจต่างหาก"

            คนฟังยิ้มกว้างจนหนวดแมวขึ้น อีกหนึ่งความเป็นเอกลักษณ์ที่ทาสแมวอย่างผมชอบ เห็นแล้วก็อยากแกล้ง อยากรู้ว่าปฏิกิริยาจะเหมือนล่อนจ้อนมั้ยถ้าผมพูดเรื่องที่เจ้าตัวไม่ชอบฟัง

            "ก็กุ๊กกิ๊กกันขนาดนี้แล้วนะ ที่โดนจูบเมื่อกี้ทำไมต้องโกรธด้วย"

            "รำคาญลิขิตว่ะ"

            ไม่ใช่แค่คำพูดที่ชวนให้เจ็บจี๊ดที่ใจทุกครั้งที่ได้ฟัง แต่ยังตามมาด้วยกองทัพสำลีที่อีกฝ่ายกระหนำปาใส่ผม แม้ไม่เจ็บแต่ก็ช่วยพิสูจน์นิสัยพื้นฐานของพุดตานได้อีกข้อว่าคนเป็นรุนแรงแบบนี้นี่เอง

            หลังจากเก็บกล่องปฐมพยาบาลเข้าที่เรียบร้อยไอ้กาลก็กลับมา มันวางมื้อเย็นที่ซื้อมาฝากทุกคนไว้บนโต๊ะ พอหันมาเห็นผมมันก็ทำหน้าตกใจ มองสลับไปมาระหว่างผมกับคนข้างๆ ก่อนถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก

            "ปากไปโดนอะไรมาวะ"

            แค่แมวต่อยแผลไม่ได้น่ากลัวนักแต่ก็ปากแตก  ผมเหล่มองพุดตานไอ้กาลก็มองตาม แล้วคนฉลาดอย่างมันก็เข้าใจคำตอบขึ้นมาเอง

            "ขนาดนี้เลยเหรอวะ"

            "อุบัติเหตุ"

            "ตั้งใจ"

            ผมตอบอีกอย่างพุดตานตอบอีกอย่าง พอหันไปมองก็เจอแมวแยกเขี้ยวใส่ จะแก้ตัวให้นะเนี่ย อยากบอกไอ้กาลมันหรือไงว่าผมทำอะไรถึงได้แผลนี้มา

            "พวกมึงโอเคกันแน่นะ" มันถามอย่างเป็นกังวล ก่อนหน้านี้ผมทำตัววุ่นวายใส่มันไว้เยอะ ไม่แปลกใจที่กาลมันจะคิดมาก

            "โอเค เคลียร์กันแล้ว"

            "พุดตาน" ได้คำตอบจากผมคนเดียวไม่พอยังไปขู่เอาคำตอบจากพุดตานอีก

            "เคลียร์แล้ว ไม่มีอะไร"

            "ทำอะไรกันรุนแรงจังวะ"

            "ก็บอกว่าอุบัติเหตุ" ผมแก้ตัวให้อีกรอบ แต่ไอ้กาลไม่เชื่อ

            "เมื่อกี้พุดตานบอกตั้งใจ"

            "ก็สมควรอ่ะ"

            "แบบนี้ไม่ได้นะเว้ย" แล้วคนเครียดก็กลายเป็นน้องชายผมแทน

            "เทกับข้าวเตรียมให้หน่อยนะ เดี๋ยวมา" บอกกับพุดตานแล้วผมลากไอ้กาลเข้ามาคุยในห้องแบบส่วนตัว ยังมีอีกหลายเรื่องเลยที่ผมอยากคุยกับมัน

            ไอ้กาลยอมเดินตามผมมาดีๆ ไม่ขัดขืนให้ต้องออกแรงเยอะ เปิดไฟปิดประตูแล้วมันก็ยืนกอดอกขมวดคิ้วมอง ตั้งท่าเตรียมซักผมเต็มที่

            "อะไรยังไงวะ ทะเลาะอะไรกันอีก กูโอเคนะที่พวกมึงจะชอบกันอ่ะ แต่ถ้าใช้ความรุนแรงแบบนี้กูไม่เห็นด้วย" มันใส่มาเป็นชุดจนผมยกมือเบรกไม่ทัน

            "มันเป็นอุบัติเหตุนั่นแหละ พุดไม่ได้ตั้งใจ จริงๆ กูก็สมควรโดน อยู่ๆ ก็ไปจูบมัน"

            "ถามจริง อีกแล้วเหรอวะ" พอรู้ความจริงเท่านั้นมันก็ทำหน้าเอือมระอาขึ้นมาทันที

            "ทำไม กูทำบ่อยเหรอ"

            "ยังมีหน้ามาถาม"

            ผมได้แต่หัวเราะเพราะไม่รู้จะแก้ตัวยังไง กับล่อนจ้อนเรียกว่าจูบบ่อยได้มั้ยไม่รู้ แต่ก็หลายครั้งอยู่ กับพุดตานผมไม่รู้ว่าความทรงจำของแต่ละคนถูกจัดแต่งให้เป็นแบบไหนเลยไม่อยากพูดอะไรแปลกๆ ออกไปนัก แค่นี้ก็โดนไอ้กาลด่าไปหลายรอบแล้ว

            "กาล มึงจำเรื่องที่ปู่เคยเล่าให้ฟังได้มั้ย" เคลียร์เรื่องเข้าใจผิดแล้วผมก็เริ่มเข้าประเด็นที่อยากรู้อีกเรื่อง แล้วไอ้กาลก็เริ่มขมวดคิ้วอีกครั้ง

            "เรื่องอะไรวะ ปู่พูดตั้งหลายเรื่อง"

            "ที่ว่าจะมีเรื่องแปลกประหลาดที่สุดในชีวิตเกิดขึ้นกับเรา"

            "อ๋อ" ไอ้กาลลากเสียงยาว เรื่องนี้ถ้ามันจำไม่ได้จะแปลกมาก เพราะมันเป็นคนบอกผมเรื่องที่ปู่พูดเอง

            "ตอนนี้มันกำลังเกิดขึ้นกับกูนะ"

            "ไอ้เรื่องประหลาดนั่นอ่ะนะ"

            "เออ แต่ตอนนี้กูยังไม่แน่ใจว่ามันจบหรือยัง และถ้าเรื่องกูจบเมื่อไรก็ถึงตามึง"

            "แล้วมันประหลาดยังไง"

            "ประมาณว่าเมื่อวานมึงยังรู้เรื่องของกู แต่วันนี้มึงลืมหมดแล้ว"

            "ถามจริง" มันขมวดคิ้วแน่นกว่า

            "เดี๋ยวมึงก็รู้" ผมเลือกที่จะไม่เล่ารายละเอียด เหมือนกับที่พ่อและอาพิทักษ์ไม่เคยถามว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นกับผม เพราะถึงแม้จะเคยจำได้เดี๋ยวก็ลืมอยู่ดี

            "มึงอำอะไรกูอีก"

            "ตามที่กูบอกอ่ะ ถ้าไม่เชื่อก็ลองถามพ่อดู ที่กูบอกเผื่อมึงเจอจะได้ไม่ตกใจ"

            "ขอรายละเอียดกว่านี้หน่อย"

            "สิ่งที่มึงไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้แต่มันก็เกิดขึ้น"

            "ขอบคุณ ช่วยได้มาก"

            "ไม่เป็นไร"

            ไอ้กาลถอนหายใจใส่ผม มันเลิกยืนเท้าเอว เดินสวนผมเข้าไปข้างใน วางกระเป๋าบนโต๊ะ เปลี่ยนจากชุดนักศึกษามาใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้น

            มีอีกหลายเรื่องที่ผมอยากคุยกับมันแต่กลัวว่าคนที่บอกให้เทกับข้าวเตรียมไว้จะรอนานเลยเดินออกมาก่อน แล้วก็เป็นอย่างที่คิด พุดตานนั่งเท้าคางรอที่โต๊ะ เหลือบตามองตามตอนผมเปิดประตูออกมา

            "นาน คุยอะไรกัน"

            "อยากรู้เหรอ" ผมเดินไปนั่งเก้าอี้ตัวข้างๆ โดนแยกเขี้ยวใส่เลยล้มเลิกความคิดที่จะกวนประสาทอีกฝ่ายต่อ หยิบช้อนส้อมตัดกับข้าวให้ กินก่อนไม่รอไอ้กาล

            ได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้ก็ชวนให้นึกถึงวันที่พวกเราได้กินข้าวพร้อมกันครั้งแรก วันที่ไอ้กาลซื้อก๋วยเตี๋ยวมาให้ แถมยังเป็นวันที่เกิดเรื่องเยอะแยะไปหมด ล่อนจ้อนไปตบกับแมวตัวอื่นจนได้แผล ครั้งแรกและครั้งเดียวที่อาบน้ำด้วยกัน และวันแรกที่ล่อนจ้อนได้นอนค้างที่นี่

            "ยิ้มอะไรนักหนา" เมื่อนึกถึงเรื่องที่ทำให้มีความสุขมันก็จะเผลอยิ้ม พอยิ้มก็โดนทัก

            "คิดอะไรนิดหน่อย"

            พุดตานดูอยากจะถามต่อ แต่พอเห็นว่าไอ้กาลเดินออกมาก็เงียบไป ผมเองก็อยากคุยนะ เอาไว้กินข้าวเสร็จต้องชวนไปนั่งคุยกันให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียหน่อย

 

            ผมตามพุดตานเข้ามาในห้องนอนของตัวเองที่ตอนนี้ยกให้เป็นของคนตรงหน้าชั่วคราว เดินไปยืนข้างๆ มองเจ้าตัวหยิบของออกจากกระเป๋า มีพวกชีทเรียนกับของใช้ส่วนตัว ทำให้ผมรู้ว่าแท้จริงแล้วเราเรียนกันคนละมหาวิทยาลัย

            "จะอ่านหนังสือเหรอ"

            "ไว้อ่านดึกๆ"

            "สอบเมื่อไร"

            "หลังลิขิตหนึ่งสัปดาห์ เคยบอกไปแล้วไง" ตอบแล้วก็หันมาทำตาขวางใส่ผม ขยันจับผิดกันจริงๆ แล้วผมก็หาเรื่องให้ถูกจับผิดเยอะซะด้วยสิ

            "วันนี้เบลอๆ"

            "เชื่อ"

            นึกถึงสภาพของตัวเองเมื่อเช้าแล้วก็ตลกดี ผมเดินวนรอบห้องเหมือนหนูติดจั่น เปิดตรงนี้ค้นตรงนี้ โทรไปรบกวนคนอื่นให้วุ่นวายไปหมด ทั้งที่คนที่ผมอยากเจออยู่ใกล้แค่นี้เอง

            ผมเดินมาที่ประตูระเบียงปล่อยให้พุดตานจัดการข้าวของส่วนตัวของตัวเองไปก่อน หยิบชามข้าวแมวออกไปวางไว้ข้างกระบะทราย มองมันอย่างใช้ความคิดว่าควรจะทำยังไงดี อยู่ที่นี่มาปีกว่าก็มีแค่ล่อนจ้อนที่มาหา คงไม่มีแมวตัวไหนคิดจะมาที่ห้องนี้แล้วล่ะมั้ง

            "ทำไมมีของพวกนี้ด้วย" พุดตานที่เพิ่งตามออกมาชี้ไปที่ชามข้าวกับกระบะทราย อยากจะบอกเหลือเกินว่าเป็นของตัวเองนั่นแหละ

            "มันก็วางอยู่นานแล้วนะ"

            "เมื่อเช้ายังไม่เห็นเลย แอบเลี้ยงแมวเหรอ กาลรู้มั้ยเนี่ย" ถามแล้วเดินไปนั่งมองใกล้ๆ

            "มันอยู่มานานแล้วนะ ไม่คุ้นจริงดิ"

            "ไม่อ่ะ ไม่ค่อยเห็นแมวแถวนี้ด้วย ตอนมาอยู่ก็ไม่เห็น"

            "แต่ก่อนมีแมวเปอร์เซียสีขาวมาหาบ่อยๆ"

            "กาลไม่กลัวเหรอแบบนั้น"

            "ไม่เหลือ"

            "แล้วลิขิตไม่แพ้หรือไง"

            "จำได้ด้วยว่าแพ้"

            "จำได้ลางๆ"

            "ก็แพ้ แต่ใส่มาสก์เอาก็พอกันได้อยู่"

            "เป็นทาสแมวนี่นะ"

            "จำได้อีก"

            "จำไม่ได้ก็แปลก"

            แม้จะเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่ไม่ค่อยสนิท เราก็พอรู้ว่าใครชอบอะไรไม่ชอบอะไร ผมไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองนักหรอกแต่ในเมื่อพุดตานชอบผมก็ย่อมรู้เรื่องต่างๆ เกี่ยวกับผมดีอยู่แล้ว

            พุดตานลุกขึ้นยืนละความสนใจจากบรรดาของใช้แมว หันหลังพิงราวระเบียงแล้วส่งยิ้มมาให้

            "มันน่ารักมั้ย"

            "หมายถึง?"

            "แมวไง"

            "อืม น่ารัก"

            "มีรูปป้ะ"

            "เดินไปส่องกระจกดูดิ เหมือนกันเลย"

            "ตลก" ว่าแล้วก็หันหลังให้ผมแล้วหันหน้าไปมองวิวนอกระเบียงแทน

            ผมเดินออกไปยืนข้างๆ พุดตาน ดูพระอาทิตย์ตกดินจากริมระเบียงห้องที่เห็นเป็นลูกกลมๆ เหมือนไข่แดง ครั้งหนึ่งผมเคยยืนมองมันตอนรอล่อนจ้อนมาหา

            "ได้กลับบ้านสวนบ้างมั้ย" เห็นวิวสวยๆ แล้วก็ชวนให้นึกถึง พุดตานหันมามองด้วยสายตาที่เหมือนกับอยากจะบอกว่าผมถามในเรื่องที่ไม่ควรถามออกมาอีกแล้ว

            "ก็เพิ่งกลับด้วยกันเมื่ออาทิตย์ก่อน เบลออะไรอีก"

            "หมายถึงจะกลับอีกเมื่อไร"

            "ยังไม่รู้เลย ปิดเทอมมั้ง แต่หลังมิดเทอมว่าจะย้ายออกแล้ว"

            "ย้ายออก?"

            "ก็ย้ายหอไง"

            ผมลืมไปชั่วขณะว่าตอนนี้พุดตานแค่มาอาศัยอยู่ด้วยชั่วคราว พอได้ยินว่าย้ายออกดันคิดไปไกลว่าจะย้ายมหา'ลัย เพราะเมื่อกี้เพิ่งพูดถึงเรื่องสอบกันอยู่

            "แล้วได้หอแถวไหน"

            "ใกล้ๆ มอ"

            "ไกลจากที่นี่มากมั้ย"

            พุดตานหันมามองผมแล้วอมยิ้ม ที่เริ่มมีความรู้สึกดีๆ ให้กันก็เพราะได้อยู่ใกล้ได้ดูแลกันตลอดไง ถ้าพุดตานย้ายออกไปผมต้องเหงาแน่

            "มอเราก็ไม่ได้ห่างกันเยอะมั้ย ก่อนหน้านี้ไม่เจอกันมาตั้งหลายปีไม่เห็นเป็นไรเลย"

            "ก็มันไม่เหมือนเดิมแล้วไง ไม่อยากอยู่ด้วยกันจริงดิ" ไม่ว่าจะล่อนจ้อนหรือพุดตาน พอถูกถามตรงๆ ทีไรชอบหลบตากันทุกที

            "เปล่า แต่อยู่ตรงนั้นมันสะดวกกว่าไง ไม่อยากรบกวนนานๆ ด้วย"

            "ไม่เคยพูดเลยว่ารบกวน"

            "เดี๋ยวแวะมาหาบ่อยๆ ก็ได้"

            "อยู่คนเดียวใช่มั้ย เดี๋ยวไปหาเอง"

            พุดตานย่นจมูกใส่ผม เป็นท่าทางแบบที่ล่อนจ้อนชอบทำใส่ผมบ่อนๆ ก่อนเจ้าตัวจะหันไปอมยิ้มให้พระอาทิตย์ที่ใกล้จะลับขอบฟ้าเต็มที มันเป็นบรรยากาศที่ดีนะ ได้ดูพระอาทิตย์กับคนที่ชอบ ได้พูดคุย ได้นึกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เคยผ่านมา แม้ความทรงจำเหล่านั้นจะเลือนหายไปบ้างก็ตาม

             

            ใกล้เที่ยงคืนแล้วเราต่างแยกย้ายกันเข้านอน พุดตานนอนห้องผม ส่วนผมมานอนกับน้องชาย ปิดไฟห่มผ้าหลับตาแต่ผมกลับหลับไม่ลง พลิกตัวหันไปหาไอ้กาล ไม่รู้มันหลับหรือยังเลยลองเรียกดู

            "มึงหลับยัง"

            "มีไร"

            "คุยกับกูก่อน"

            "คุยอะไรอีก"

            ผมได้ยินเสียงพลิกตัว ไอ้กาลคงหันมาหา เสียงมันงัวเงียใกล้จะหลับ แต่ก็ยังอุตส่าห์ตอบ แม้ฟังแล้วจะเหมือนมันรำคาญผมหน่อยๆ ก็เถอะ

            "ในสายตามึงตอนนี้กูกับพุดตานดูเป็นยังไงวะ"

            "มึงกังวลอะไรอีก" ไม่แปลกเลยที่มันถามแบบนี้ ผมรู้ว่าภายในหนึ่งวันไม่มีทางรับรู้ความทรงของคนอื่นที่ถูกจัดแต่งใหม่ได้ทั้งหมด แต่ใจมันก็ยังอยากรู้ให้มากที่สุดอยู่ดี

            "เปล่า กูแค่อยากรู้เฉยๆ"

            "ก็ดูรักกันมากกว่าตอนแรกที่เจอกัน กูไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้พวกมึงเคยมีปัญหาอะไรกันมาก่อน ตอนที่มึงรู้ว่าพุดจะมาอยู่ด้วยหน้ามึงดูไม่ค่อยโอเคเท่าไร วันแรกที่เจอกันก็ดูเกร็งๆ พุดก็เหมือนมึงอ่ะดูไม่ค่อยอยากอยู่ด้วย แต่พออยู่กันไปเรื่อยๆ เสือกกิ๊กกันเฉย เหมือนพวกคู่กัดไรงี้ป้ะ แหย่กันไปกวนกันมาสุดท้ายชอบกัน" ทำเหมือนไม่อยากพูดแต่มันก็เล่ามาซะยาวเหยียด

            เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นสมัยเด็กจะทำให้เราดูเกร็งๆ ตอนกลับมาเจอหน้ากันก็ถูกแล้ว แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ความคิดความอ่านโตขึ้นจะให้ทำตัวรังเกียจกันเหมือนตอนเด็กๆ ย่อมไม่ใช่ ความคิดคนเรามันเปลี่ยนกันได้ ผมเองก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น

            "แล้วมึงจะบอกกูได้ยังว่าเคยมีเรื่องอะไรกัน" ไอ้กาลทวง มันคงเคยถามแล้วแต่ผมไม่ยอมตอบ

            "เคยทะเลาะกันตอนเด็กแล้วไม่ได้เคลียร์"

            "แล้วทะเลาะกันเรื่องอะไรล่ะวะ"

            "กูเคยด่าพุดแรงๆ จำไม่ได้แล้วว่าด่าไร แล้วก็โกรธกัน"

            "แค่นี้"

            "เออ ก็แค่นี้แหละ พักหลังไม่ได้ไปบ้านสวนด้วยเลยไม่ได้คุยกันสักที กูก็ไม่คิดว่าจะได้กลับมาเจอกันอีก เลยขอโทษแล้วก็เคลียร์กัน" ผมเล่าไปตามเนื้อเรื่องที่คิดว่าน่าจะเป็นไปตามนั้น แล้วไอ้กาลมันก็ช่วยเสริมให้อีกประโยค

            "แล้วก็ชอบกัน"

            "ก็เออ"

            "โอเค กูสบายใจละ นอนแล้วนะ"

            "กูมั้ยต้องพูดประโยคนั้น" ผมเป็นคนเริ่มชวนคุยแต่ไอ้กาลกลับเป็นคนปิดประเด็นซะงั้น แถมไม่ยอมตอบกลับด้วย ได้ยินเสียงพลิกตัว มันคงหันหลังให้ผมหลับตาหนีไปนอนแล้ว

            ในวัยเด็กพุดตานเป็นฝ่ายเริ่มรักและถูกผมปฏิเสธ กลับกันในปัจจุบันผมเป็นฝ่ายเริ่มชอบล่อนจ้อนก่อนแม้อีกฝ่ายจะใจตรงกันก็ตาม กับพุดตานก็คงเหมือนกัน หากชีวิตดำเนินมาตามแบบแผนอย่างที่ควรจะเป็น การได้กลับมาเจอกันอีกครั้งแน่นอนผมคือฝ่ายที่รู้สึกก่อน แล้วก็โชคดีที่อีกฝ่ายรู้สึกเหมือนกัน ไม่ว่าจะล่อนจ้อนหรือพุดตานคนคนนี้ไม่เคยเกลียดผมเลย เป็นการย้ำเตือนอีกครั้งว่าผมเนี่ยเป็นคนเอาแต่ได้ชะมัด

            เที่ยงคืนแล้วไม่รู้ว่าคนที่นอนอยู่อีกห้องจะหลับหรือยัง ผมพลิกตัวหันหลังให้ไอ้กาล หยิบมือถือมากดเข้าไลน์ ทั้งที่เพิ่งแยกกันแต่อยากคุยอีกแล้ว

            'นอนหรือยัง'

            ข้อความถูกอ่านไม่กี่วินาทีต่อมาที่ผมกดส่งไป

            'จะนอนแล้ว ทำไมยังไม่นอนอีก'

            'คิดอะไรนิดหน่อย'

            'คิดอะไรอีก คิดมาทั้งวันแล้วไม่เหนื่อยหรือไง'

            'ก็นิดหน่อย ตอนนี้กำลังคิดว่าเราเป็นอะไรกัน'

            พุดตานอ่านแล้วแต่ไม่ตอบเร็วเหมือนก่อนหน้านี้ คำถามของผมมันชวนคิดมากขนาดนั้นเลยเหรอ ผมแค่อยากรู้ว่าตอนนี้สถานะที่เราตกลงกันยังเหมือนกับเมื่อวานอยู่ไหมเท่านั้นเอง

            'จำไม่ได้หรือไง พูดเองแท้ๆ'

            เหมือนพุดตานหายไปคิดว่าจะด่าผมว่าอะไร ข้อความที่ถูกส่งกลับมาไม่ใช่คำตอบแต่เป็นการย้อนถาม คำถามที่มีความหมายเดียวกับคำตอบที่ผมอยากรู้

            ผมยิ้มให้หน้าจอมือถือแม้แสงมันจะแยงตานิดหน่อยก็เถอะ รีบพิมพ์สิ่งที่คิดไว้ลงไป แล้วอ่านทวนมันในใจอีกครั้ง

            'ถ้างั้นจะเปลี่ยนจากคนคุยเป็นแฟนได้หรือยัง'

            แต่แล้วก็เกิดอาการลังเลเลยต้องลบทิ้ง เปลี่ยนเป็นคำธรรมดาๆ ที่บอกกันทุกครั้งก่อนนอนแทน

            'ฝันดี'

            'ฝันดี'

            'ยังไม่ได้จุ๊บก่อนนอนเลย'

            'ก็ทำไปแล้วไง!!'

            ไม่ตอบเปล่าแถมอัศเจรีย์มาด้วยตั้งสองอัน บางทีตอนพิมพ์พุดตานอาจจะตะคอกใส่มือถืออยู่ก็ได้

            ‘ไม่ต้องล็อกห้องนะ’

            ‘เคยล็อกที่ไหน’

            เป็นอันรู้กันว่าคืนนี้จะทำอะไร ผมไม่กวนต่อ ออกจากแอพฯ กดล็อกหน้าจอวางมือถือไว้ข้างหมอน นอนรอให้แน่ใจอีกนิดว่าน้องชายหลับสนิทมันจะได้ไม่ต้องฝันร้ายอีกแล้วค่อยหนีกลับห้องตัวเอง

            วันแรกของชีวิตที่กลับสู่ปกติ จากล่อนจ้อนผู้เรียบร้อยกลายเป็นพุดตานผู้เกรี้ยวกราด แต่ยังไงก็ยังเป็นแมวโหดของผมตัวเดิม

 

tbc.

 
อีกสามตอนจบแล้วค่า ดีใจกับลิขิตด้วยที่ไม่ต้องเริ่มจีบพุดตานใหม่ ฮา
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่ะ

หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 19 ___ [17/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-08-2019 17:46:58
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 19 ___ [17/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 17-08-2019 18:32:48
กลัวจะโดนข่วนจริงๆ 5555555
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 19 ___ [17/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 17-08-2019 23:41:23
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 19 ___ [17/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 17-08-2019 23:47:44
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 19 ___ [17/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 18-08-2019 02:48:25
ทำไมน้องเกรี้ยวกราดเบอร์นี้5555555555555
เป็นแมวดุๆจอมขู่ แต่ก็ชอบให้แตะตัว
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 19 ___ [17/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 20-08-2019 09:59:54
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 20 ___ [22/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 22-09-2019 08:37:20

ลิขิตครั้งที่ 20


            ผ่านมรสุมเรื่องประหลาดที่สุดในชีวิตมาได้ก็เข้าสู่สัปดาห์แห่งการสอบมิดเทอม สำหรับผมมันผ่านไปได้อย่างราบรื่น ผลก็คงออกมาเหมือนทุกครั้งที่ไม่ถึงกับมากแต่ก็ไม่ได้แย่ หลังผมสอบเสร็จพุดตานก็เข้าสู่ช่วงสอบบ้าง รายนี้จริงจังจนผมไม่ค่อยกล้าเข้าไปกวน กลับห้องก็ดึก บางวันก็ไม่กลับไปอยู่ติวกับเพื่อนบ้าง วันไหนกลับมาก็ปลีกตัวเข้าห้อง เป็นพวกเดียวกับไอ้กาลที่อ่านหามรุ่งหามค่ำ ส่วนผมนั้น one night miracle

            หลังสอบเสร็จก็กลับสู่สภาวะปกติ เรียน สอบย่อย ทำงานส่ง เที่ยวเล่น ก่อนจะวนกลับเข้าสู่การสอบไฟนอลในอีกสองเดือนข้างหน้า

            "ดูหนังกัน" เลิกเรียนปุ๊บพสุก็ชวนปั๊บ มันเดินไปยืนเท้าโต๊ะคิริน บอกเป้าหมายชัดเจนว่าอยากให้ใครไปด้วย เพราะคิรินมีเปอร์เซ็นต์ยอมไปกับมันที่สุดแล้ว

            "ขยันชวนนะมึง วันก่อนก็เพิ่งดู"

            "กูจ่ายเดือนละสองร้อยไง ต้องเอาให้คุ้ม"

            "แล้วกูไปคุ้มกับมึงมั้ย"

            "ถึงบอกให้ทำด้วยกันไง"

            "กูไม่ได้อยากดูหนังทุกเรื่องเหมือนมึง"

            มันสองคนยังคงเถียงกันต่อ ได้ยินเสียงเก้าอี้ขยับผมเลยหันไปหามงคลที่สะพายกระเป๋าเตรียมพร้อมออกจากห้องแล้ว

            "ไปไหนต่อวะ"

            "ห้องสมุด ไปมั้ย"

            "ตามสบายเลยมึง"

            เรายกมือทักทายก่อนมงคลจะเดินผ่านสองคนที่ยังเถียงกันไม่เลิกแล้วบอกลาเบาๆ พสุมันถึงได้รู้เรื่องตัวทำหน้าเหลอหลามองตามหลังมงคลที่เดินออกประตูไป ก่อนหันกลับมาถามผม

            "ไปแล้วเหรอวะ"

            "อืม มันไปห้องสมุด กูกลับแล้วนะ"

            "ไม่ไปดูหนังด้วยกันเหรอ"

            "มึงไปด้วยกันสองคนเถอะ กูอยากกลับไปนอน" หรือถ้าต้องดูก็อยากกลับไปดูหนังกับแมวที่ห้องมากกว่า

            "กลับไปนอนหรือไปทำอะไร" คิรินกดยิ้มถาม ใช้สายตาจับผิดจ้องดักทางเอาไว้ เป็นเพื่อนที่รู้ดีไปหมดเลยไอ้พวกนี้

            "เมื่อไรจะพามาเปิดตัววะ" หลังจากคิรินเปิดประเด็นพสุก็ทำการซักต่อ

            "เมื่อพร้อม"

            "แล้วเมื่อไรจะพร้อมวะ คราวที่แล้วก็พูดงี้"

            "อยากเห็นหน้าแฟนมึงแล้วเนี่ย"

            พอไม่เถียงกันพวกมันก็เข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย แล้วก็ต้องขอโทษด้วยที่ผมยังไม่มีแฟนเพื่อที่จะพามาให้เพื่อนได้เห็นหน้า

            "ตอนนี้ยังเป็นแค่คนคุยว่ะ"

            "เออนั่นแหละ คนคุยก็กูอยากเห็น"

            "จริง ตั้งแต่รู้จักกันมากูยังไม่เคยเห็นมึงคุยกับใครจริงจังเลย"

            พวกมันยังคงช่วยกันต่อประโยคได้อย่างราบรื่น คิรินเปิด พสุเสริม ช่างเป็นทีมที่เข้าขากันจริงๆ

            "ไว้เป็นแฟนก่อน"

            "ลีลาไอ้สัด"

            ผมหัวเราะใส่หน้าพสุ อยากรู้จนขาดใจตายไปเลยพวกมึง

            "แล้วเรื่องแมวเป็นไงบ้างวะตอนนี้" คิรินเปลี่ยนประเด็นถามขึ้นมาบ้าง

            "มันหายไปแล้วว่ะ"

            "มันไม่มาหามึงแล้วเหรอ"

            "ก็ประมาณนั้น" ผมไม่อยากพูดว่าแมวไม่มาหาเลย เพราะกลัวมันจะกลายเป็นเรื่องขึ้นมาอีก คำพูดคำจายิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่เหมือนคนอื่นอยู่ แต่จะให้บอกว่าตอนนี้แมวสีขาวตัวนั้นกลายมาเป็นเนื้อคู่แล้วก็ไม่ได้ด้วย

            "เออดีแล้ว กูจะได้ไม่ต้องหวงว่ามึงจะแพ้แมวตายเมื่อไร"

            "ปากมึงนี่นะ" ไม่ต้องรอให้ถึงมือผม คิรินมันก็จัดการตบปากพสุให้ โทษฐานพูดจาไม่เป็นมงคล

            "ทำดีมากมึง"

            "ไอ้สัด ตบซะแรง รับผิดชอบไปดูหนังกับกูเลย"

            "เออ โวยวายเพื่อ"

            "งั้นกูกลับแล้วนะ" เห็นมันตกลงกันได้ผมรีบแทรกแล้วเดินออกมาก่อนมันสองคนจะเริ่มตีกันอีกรอบ อยากกลับไปหาแมวที่ห้องแล้ว

 

            กลับมาถึงห้องก็เจอพุดตานกำลังจะขนผ้าลงไปซักพอดี เป็นตะกร้าผ้าของเราสามคนที่โยนใส่รวมกันไว้ ทำแบบนี้ตั้งแต่ตอนอยู่กับล่อนจ้อน เนื่องจากพื้นที่ในห้องมีน้อยเลยต้องใช้สอยอย่างประหยัด จะให้วางตะกร้าหลายๆ ใบคงไม่พอ ยกเว้นกางเกงในที่ซักของใครของมัน

            "รอแป๊บเดี๋ยวช่วยยก"

            ผมรีบเบรกก่อนพุดตานจะยกตะกร้าไป เดินเข้าห้องโยนทุกอย่างบนตัวลงเตียง เปลี่ยนชุดนักศึกษาออกแล้วหอบมาใส่ตะกร้า พร้อมเสนอตัวเข้าช่วย

            "เดี๋ยวยกเอง"

            "ไม่เป็นไร"

            "ไปเอาน้ำยาไป" ผมแย่งตะกร้ามาถือเองแล้วไล่ให้พุดตานไปหยิบผงซักฟอกกับน้ำยาปรับผ้านุ่ม

            คนโดนผมแย่งงานไม่แย้งอะไร หยิบน้ำยาทั้งสองขวดที่ไอ้กาลซื้อแบบถุงเติมมาเทใส่ขวดพลาสติกกอดไว้ในอ้อมแขน หยิบกุญแจกับคีย์การ์ดเปิดประตูรอผมออกแล้วค่อยล็อก ก่อนจะเดินนำไปกดลิฟต์อย่างรู้งาน

            ลงมาถึงโซนเครื่องซักผ้ายอดเหรียญพุดตานก็เดินนำไปยังถังใหญ่ที่เรายกลงมาซักด้วยกันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เช็กถังใส่ผ้ากับช่องใส่น้ำยาแล้วก็หลบทางให้ผมเทผ้าใส่ลงไป จากนั้นก็หยอดเหรียญไปสี่สิบบาท

            พุดตานยื่นผงซักฟอกมาให้ผมช่วยเท ส่วนตัวเจ้าเทน้ำยาปรับผ้านุ่ม เปิดผ้าได้ก็เทพรวดลงไปพร้อมกับความรู้สึกแปลกๆ เลยรีบยกขวดขึ้นมาดูอีกรอบ

            ไอ้นี่มันน้ำยาล้างจานนี่หว่า ก็ว่าทำไมไหลเร็วขนาดนี้ กลิ่นมะนาวโคตรแรง

            "ทำไมหยิบน้ำยาล้างจานมา" ผมโชว์ขวดให้ดู แต่คนที่หยิบมายังทำหน้างง

            "น้ำยาล้างจานเหรอ"

            "ดม" เพื่อเป็นการพิสูจน์เลยยื่นไปให้ดม

            "ฉิบหายละ! เดี๋ยวมา" ว่าหน้าตาตื่นก่อนคว้าขวดจากมือผมแล้วหันเดินวิ่งออกไป

            มองตามแผ่นหลังที่รีบวิ่งออกไป ผมก็ส่ายหน้าไปอมยิ้มไป เป็นผลกระทบจากการอ่านหนังสือเตรียมสอบเมื่อสัปดาห์ที่แล้วหรือยังไงถึงได้เบลอขนาดนี้

            หายไปไม่กี่นาทีพุดตานก็กลับมาพร้อมขวดผงซักฟอกสูตรน้ำของจริง รีบเปิดผาแล้วเทใส่ลงไปก่อนจะหันมาโวยวายกับผม

            "สีมันใกล้เคียงกันเลยอ่ะ ขวดก็วางข้างกัน หยิบผิดเลย"

            "ไม่เห็นเป็นไรเลย"

            "ตกใจอ่ะดิ"

            "ทีหลังก็อย่าหยิบผิด เพิ่งเปลี่ยนยี่ห้อใหม่ สีมันอ่อนกว่าน้ำยาล้างจานนิดนึง" แถมใส่ขวดน้ำพลาสติกที่ดึงฉลากออกด้วย จะสับสนก็ไม่แปลกหรอก ยังดีที่ไอ้กาลมันผสมน้ำใส่น้ำยาล้างจานเลยเหลวกว่าปกตินิดหน่อย ตอนเทลงไปก็ขึ้นฟอง ไม่งั้นผมก็คงไม่สังเกตเห็นเหมือนกัน

            "ใส่ผิดมันไม่เป็นไรใช่มั้ย" ถามแล้วมองเสื้อผ้าในถังอย่างนึกเป็นห่วง

            "ไม่เป็นไรหรอก ไป ขึ้นห้อง"

            จะเป็นหรือไม่เป็นผมไม่รู้หรอก แต่เสื้อผ้าวันนี้คงได้ขจัดคราบมันไร้สิ่งตกค้างกันไปเลย

            ไอ้แมวเด๋อเอ๊ย

 

            หนึ่งชั่วโมงกว่าระหว่างรอผ้าซักเสร็จ ถ้าเป็นครั้งแรกที่สอนล่อนจ้อนซักผ้านั้นเจ้าตัวเผลอนอนหลับปล่อยให้ผมลงไปเอาผ้าคนเดียว พอขึ้นมาอีกทีจากคนก็กลายเป็นแมวไปแล้วเลยโดนงอนนิดหน่อย ส่วนพุดตานนั้นกลับขึ้นมาบนห้องก็ทิ้งตัวบนโซฟานอนเล่นโทรศัพท์เหมือนทุกที แล้วก็ไม่เคยหลับปล่อยให้ผมลงไปยกผ้าคนเดียวเลยด้วย ไม่รู้ฝังใจอะไรหรือเปล่า บางทีความจริงกับความทรงจำที่ถูกสร้างขึ้นอาจจะซ้อนทับกันจนทำให้เกิดความสับสนและหวาดระแวงอยู่นิดๆ

            แน่นอนว่าทุกอย่างที่สันนิษฐานมานี้เป็นสิ่งที่ผมเดาเองล้วนๆ

            โซฟาโดนยึดแต่ผมยังอยากอยู่ใกล้ๆ เลยนั่งพื้นพิงโซฟาหยิบมือถือขึ้นมาเล่นบ้าง ลืมบอกไปว่าในความทรงจำใหม่ผมกับพุดตานเป็นเพื่อนและติดตามกันในเฟซบุ๊กกับไอจีเมื่อสองเดือนก่อน ผมเป็นพวกเปิดเผย พุดตานตั้งค่าเป็นส่วนตัว มีแค่เพื่อนในมหาวิทยาลัยกับคนรู้จักแค่ไม่กี่คน

            จะว่าไปแล้วโซเชียลก็ใช้เปิดตัวคนคุยได้นี่หว่า

            ผมเปิดกล้องตั้งใจจะถ่ายเซลฟี่ให้ติดคนข้างหลัง เห็นตั้งแต่ช่วงคางลงมาพอให้บ่งบอกได้ว่าคนคนนี้ไม่ให้น้องชายฝาแฝดที่หน้าไม่เหมือนของผม เล็งมุมได้แล้วก็เตรียมลั่นชัตเตอร์ แต่พอกดปุ๊บคนบนโซฟาก็ขยับตัวปั๊บ สรุปเบลอ

            "ทำอะไร แอบถ่ายอ่อ" พุดตานก้มลงมามองหน้าจอมือถือผม ซึ่งภาพที่ได้นั้นเห็นแค่ผมกับคนข้างหลังที่สั่นไหวจนมองไม่ออกว่าคนแน่หรือเปล่า

            "รีบลุกทำไมเนี่ย"

            "แล้วแอบถ่ายทำไมอ่ะ"

            "ถ้าแอบถ่ายพุดก็ต้องไม่รู้ตัวดิ"

            "อย่าย้อน"

            "อยากมีรูปคู่บ้างไม่ได้ไง"

            "ไม่เห็นหน้าเรียกรูปคู่ได้เหรอ"

            "งั้นมาถ่ายรูปกัน จะเอาลงไอจี" แอบถ่ายแล้วรู้ตัวก็ขอมันตรงๆ นี่แหละ แต่กลับกลายเป็นว่าโดนมองแบบไม่ไว้ใจซะงั้น

            "เนื่องในโอกาส"

            "จะเปิดตัวคนคุย" เห็นว่าปิดบังไปก็ไม่ได้อะไรเลยสารภาพออกมาตรงๆ แต่ก็ยังโดนมองแบบไม่ไว้ใจอยู่ดี

            "เปิดตัวกับใคร"

            "กับเพื่อนไง"

            "ทีก่อนหน้านี้จะไปหาที่มอไม่ให้ไป"

            คิดคำแก้ตัวไม่ทันเลยทีนี้ ตอนยังเป็นล่อนจ้อนก็ยังพอหาข้ออ้างได้ แต่พอเป็นพุดตานแล้วไม่มีเหตุผลที่ต้องห้ามเลยสักนิด เลยได้แต่ยิ้มแห้งให้

            "แล้วรุ่นพี่คนนั้นอ่ะ" ไม่ได้คำตอบพุดตานก็ยิงอีกคำถามใส่ผมอีก ว่าแต่รุ่นพี่ที่ว่าคือใคร รู้จักรุ่นพี่ผมด้วยเหรอ

            "รุ่นพี่?"

            "ที่เจอกันที่ห้างไง ทำเป็นลืม"

            "อ้อ พี่ณดา" รุ่นพี่ที่ล่อนจ้อนเคยเจอที่ห้างมีแค่คนเดียว หลังจากเจอกันครั้งนั้นพี่เธอก็ไม่มาวอแวผมอีกเลย ไอ้กาลก็ไม่พูดถึงจนเกือบลืมไปแล้ว

            "ยังคุยกันอยู่มั้ย"

            "ไม่เคยคุยเลยเถอะ"

            คนฟังพยักหน้ารับเหมือนไม่สนใจแล้วกลับไปสนใจมือถือในมือต่อ เห็นว่าพื้นที่บนโซฟาว่างแล้วผมเลยขยับขึ้นไปนั่งข้างๆ เงยหน้าคุยกันนานๆ มันเมื่อย

            "ทำไม หวงเหรอ" กระแซะถาม แต่พุดตานกลับทำหน้าแมวเบื่อใส่

            "ก็ถามเฉยๆ จะคุยก็คุยได้ไม่ว่าอะไร ไม่คิดมากแค่คุยซ้อน"

            "เฮ้ย เราไม่ใช่คนแบบนั้น คุยก็คุยทีละคน ไม่ได้คุยเผื่อคบไปเรื่อย"

            "อืม รู้แล้ว" ก้มหน้าตอบ ปากอมยิ้ม ทำตัวน่ารักอีกแล้ว

            "แล้วพุดตานอ่ะ คุยกี่คน"

            "เคยเห็นคุยกับคนอื่นมั้ยล่ะ"

            "ไม่รู้ดิ เราก็ใช่ว่าจะได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา"

            "ก็เยอะกว่าคนอื่นนะ"

            "สรุปว่า"

            "ก็คุยกับลิขิตคนเดียวนั่นแหละ จะให้ไปคุยกับใครอีก"

            คนตอบพยายามทำหน้าขรึม แต่ผมน่ะขรึมไม่ไหว ปากฉีกยิ้มกว้างตั้งแต่ประโยคแรกแล้ว เพราะฉะนั้นปิดประเด็นนี้ได้แล้วกลับมาเรื่องรูปเปิดตัวดีกว่า

            "แล้วสรุปจะถ่ายด้วยกันหรือให้แอบถ่าย"

            "จะลงจริงดิ"

            "จริง ไม่ได้เหรอ"

            "เปล่า ไม่ได้ว่าอะไร"

            "งั้นมาถ่ายกัน"

            ผมเปิดกล้องเตรียมเซลฟี่อีกรอบ แต่คนที่บอกไม่ว่าอะไรกลับไม่ยอมโผล่หน้ามาเข้ากล้อง พอขยับเข้าไปใกล้ขยับหนีอีก

            "เดี๋ยวดิ"

            "สรุปไม่ให้ถ่าย?"

            "เปล่า แต่จะถามว่าจะเอาแค่ให้คนสงสัยแบบเรียกกระแสหรือเปิดตัวตรงๆ ไปเลย"

            "มาเป็นแพ็กเกจเลย" ผมล่ะตะลึง ไม่คิดเลยว่าจะมีทางเลือกมาให้แบบนี้

            "เลือกมา" พุดตานทำเสียงแมวขู่ใส่ ขัดใจนิดหน่อยไม่ได้เลย

            เปิดตัวแบบเห็นหน้าพร้อมประวัติไปเลยก็ดีคนจะได้ไม่ต้องถามเยอะ แต่เปิดตัวแบบไม่เห็นหน้าอย่างที่ผมตั้งใจตอนแรกก็น่าสนใจ เรียกกระแสให้คนสงสัย พอใครถามก็เล่นตัวไม่ตอบ

            "เอาแพ็กเกจแรก"

            "แบมือบนตักดิ"

            ผมทำตามที่บอก พุดตานเหล่มองแล้วเม้มปาก เป็นท่าทางที่ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวรู้สึกยังไงกันแน่ มองมือผมอยู่ชั่วครู่ก่อนจะวางมือลงมาประกบแล้วกุมไว้

            "ถ่ายดิ" บอกแล้วเหล่ตามองก่อนหลุบตาหนี

            แล้วทำไมแค่จับมือถ่ายรูปมันถึงเขินกว่าตอนจูบอีกวะเนี่ย

            ผมเปิดกล้องกดถ่ายไปสองสามรูป ได้รูปที่ถูใจแล้วก็กดล็อกมือถือวางไว้ข้างตัวเปิดทีวีรอเวลาลงไปเอาผ้าที่ซักไว้ขณะที่มือยังกุมกันอยู่

            ออกตัวเลยว่าผมจะไม่เป็นฝ่ายปล่อยมือก่อนเด็ดขาด ถ้าพุดตานไม่ปล่อยก็จะล็อกตัวไว้อยู่อย่างนี้ ส่วนรูปที่ว่าจะโพสต์ไอจี เอาไว้ดึกๆ ค่อยลงก็แล้วกัน

 

            การเปิดตัวครั้งนี้กระแสดีเกินคาด แค่ห้านาทีหลังจากลงรูปไปยอดไลค์กับคอมเมนต์ก็กระฉูด ผมยังนอนเล่นอยู่ที่ห้องตัวเองตามอ่านความคิดเห็นของแต่ละคน ส่วนใหญ่ก็ถามนั่นแหละว่าเจ้าของมืออีกข้างคือใคร เพราะไม่มีคำใบ้ใดๆ ให้ เนื่องจากคนที่นั่งอยู่ข้างๆ บอกว่าไม่ให้แท็กแล้วก็ไม่ต้องใส่แคปชัน หนึ่งเดียวที่รู้ก็จะมีแค่ไอ้กาล แล้วดูมันคอมเมนต์

            ‘กลับมาหากูได้แล้ว จะอยู่ด้วยกันจนเช้าเลยไง้’

            เท่านั้นแหละ ไอจีแทบแตก

            ปกติผมลงรูปไม่บ่อย ครั้งล่าสุดก็ตอนไปหาดเจ้าหลาว ถ่ายชายหาดอันกว้างขวางไม่ติดผู้คนแม้กระทั่งตัวเอง สตอรี่ก็นานๆ จะลงสักที ผิดกับไอ้กาลสายปาร์ตี้คนของสังคม เป็นคนดังที่มีความเคลื่อนไหวให้ติดตาม ส่วนผมน่ะดัง แต่ไม่ค่อยเคลื่อนไหว

            "ตอบกาลดิ" พุดตานบอก รายนี้ก็แอบส่องอยู่เงียบๆ เหมือนกัน อ่านแล้วก็ยิ้มชอบอกชอบใจ

            "อยากให้ตอบว่าอะไร"

            "ก็แล้วแต่"

            งั้นก็จัดไป

            ‘มึงนอนคนเดียวไปเลยคืนนี้’

            ในเมื่อเล่นแล้วก็ต้องเอาให้สุด

            คุยกันแบบนี้คนอื่นคงคิดว่าผมอยู่ห้องคนที่จับมือกันในรูปแล้วทิ้งให้ไอ้กาลอยู่ห้องคนเดียว โดยหารู้ไม่ว่าแท้จริงเราห่างกันเพียงผนังกั้น

            "มีคนให้ใบ้ด้วย" พุดตานอ่านคอมเมนต์แล้วหันมายิ้มแมวใส่ เป็นคอมเมนต์ที่ผมเพิ่งอ่านไปเหมือนกัน

            "ไอ้กาลตอบให้แล้วนี่ไง"

            ‘ใบ้ว่าเป็นหนึ่งในคนที่ไลค์รูปครับน้อง’

            แล้วตอนนี้คนกดไลค์รูปสองร้อยกว่า กวนตีนใช้ได้เลยมัน

            "ถ้าเกิดมีคนหาเจออ่ะ" พุดตานดูสนุกกับทุกสิ่งที่กำลังเป็นไป ถามผมแต่ไม่หันหน้ามามองกันเลยสักนิด

            "ปรบมือให้เลย"

            หันมายิ้มตาหยีให้ผมเสี้ยววินาทีก่อนกลับไปกดมือถือต่อ พิมพ์อะไรกับใครไม่รู้อยู่สักพักก็หันมาหาผมอีกรอบ

            "กาลเรียกไปนอนแล้ว"

            "บอกมันมาตามเอง" ไอ้น้องชายคนนี้ ถึงขนาดตามผมกลับห้องกับพุดตานแล้วนะ

            "กาลรู้ไงว่าตามเองคงไม่กลับ"

            "งั้นบอกมันไปว่าก็รู้นี่"

            "กลับเหอะ กาลง่วงแล้วมั้ง"

            "มันโตแล้วนอนคนเดียวได้"

            "ก็รู้ว่ากาลนอนไม่ได้อ่ะ" พุดตานทำหน้าจริงจังใส่ เจ้าตัวรู้อยู่แล้วว่าไอ้กาลมันชอบฝันร้าย แล้วก็แก้ได้ด้วยการที่ผมหนีออกมากลางดึก เหมือนอย่างที่ล่อนจ้อนรู้

            "ก่อนไปก็..." ผมยันตัวลุกขึ้นนั่งขยับหน้าเข้าไปใกล้แล้วหลับตา จะนอนแล้วต้องราตรีสวัสดิ์กันก่อน แต่วันนี้อยากทำอะไรให้พุดตานเป็นคนกำหนดเลย

            สัมผัสนุ่มๆ อุ่นๆ แตะที่หน้าผากเพียงชั่วครู่ เป็นสัมผัสที่ต่างจากทุกครั้งในช่วงสัปดาห์นี้ นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้จุ๊บหน้าผากก่อนนอน น่าจะตั้งแต่ล่อนจ้อนโตขึ้นและเลือกเชื่อนิทานที่ผมซื้อให้อ่านล่ะมั้ง

            เมื่อลืมตาขึ้นก็เจอสายตาแป๋วๆ มองกลัวมา พุดตานยิ้มให้ก่อนหลับตาลง ผมขยับเข้าไปแตะริมฝีปากที่หน้าผากเบาๆ แล้วผละออกมา เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งเราต่างยิ้มให้กันก่อนเอ่ยคำที่ต้องบอกก่อนนอนทุกคืน

            "ฝันดี"

            "ฝันดี"

            "ปิดไฟให้ด้วย"

            "รู้แล้วครับผม"

            คืนนี้ต้องจากกันก่อน แล้วค่อยเจอกันอีกครั้งเมื่อไอ้กาลหลับ

 
tbc

 
ขอโทษที่หายไปนานนะคะ อีกสองตอนจบแล้ววววว
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 20 ___ [22/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 22-09-2019 10:46:52
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 20 ___ [22/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 22-09-2019 19:04:22
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 20 ___ [22/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-09-2019 19:20:39
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 20 ___ [22/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 22-09-2019 21:38:18
ทำเหมือนต้องจากกันนาน จริง ๆ แล้ว แค่รอให้กาลหลับ 555
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 20 ___ [22/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 22-09-2019 22:57:32
โถ่ ลิขิต 555555555555555555
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 20 ___ [22/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 22-09-2019 23:54:14
น่ารักมากเลย
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 21 ___ [29/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 29-09-2019 20:50:58

ลิขิตครั้งที่ 21


            อยู่ด้วยกันจนถึงสิ้นเดือนพุดตานก็ย้ายออก สัมภาระมีแค่กระเป๋าเดินทางหนึ่งใบเหมือนตอนมา ผมได้ยินไอ้กาลมันแซวว่างั้น ขับรถมาส่งถึงหอใหม่ขึ้นมาดูห้องจัดการนู่นนั่นนี่ด้วยกันเรียบร้อยน้องชายผมก็ไปปฏิบัติภารกิจประจำวันหยุดของมัน ทิ้งผมกับพุดตานยืนเคว้งคว้างในห้องโล่งๆ ที่มีเฟอร์นิเจอร์ไม่มีชิ้นกันอยู่สองคน

            ห้องที่นี่เล็กกว่าหอผมนิดหน่อย เปิดประตูเข้ามาก็เจอเตียงขนาดห้าฟุตกับสู้เสื้อผ้า มองเลยไปอีกนิดก็เจอประตูระเบียงอยู่ข้างๆ ห้องน้ำ

            "อยากได้ชั้น" กระเป๋ายังไม่ทันได้เปิด ยังไม่รู้เลยจะจัดของยังไงก็หันมายิ้มตาหยีให้ผมซะแล้ว

            "จะเอามาวางตรงไหน"

            "อยากกั้นห้องนอน ใช้ตู้เสื้อผ้ากับชั้นวางของกั้น" พุดตานเดินไปชี้จุดที่แบ่งห้องออกเป็นสองฝั่งพอดีให้ผมดู

            "อีกฝั่งทำเป็นห้องนั่งเล่นเหรอ"

            "ใช่"

            "นั่งยังไงอ่ะ นั่งพื้น?"

            เจอผมกวนเข้าหน่อยคนหน้าแมวก็ทำหน้าไม่สบอารมณ์ใส่ แต่ก็ยังอุตาส่าห์ต่อมุกให้ แบบนี้สิค่อยน่าชื่นใจหน่อย รู้จักช่วยกันทำมาหากิน

            "นั่งพื้นทำไม ปูเสื่อดิ"

            "เออเนอะ คิดไม่ทัน"

            "ไปซื้อของกันนะ ใกล้ที่สุดก็มีแค่บิ๊กซี แถวนี้ไม่มีร้านเฟอร์นิเจอร์เลย"" พาออกนอกทะเลได้แป๊บเดียวพุดตานก็ดึงกลับเข้าเรื่องต่อ

            "ซื้อมาต่อเองก็ได้มั้ง ช่วยกันแป๊บเดียว"

            พุดตานยิ้มหวานแล้วพยักหน้ารับถี่ๆ

            "แล้วก็ซื้อพวกของใช้ด้วย" ผมว่าได้ไปห้างก็ดี ดูจากสภาพห้องตอนนี้มีของต้องซื้อเพิ่มเยอะเลย

            "ได้หมด" พุดตานยังคงยิ้มแย้ม คว้ากุญแจเดินนำผมออกไปรอนอกห้อง พอมีคนตามใจแล้วทำตัวเป็นเด็กดีขึ้นมาทันที

 

            มาถึงบิ๊กซีพุดตานก็พุ่งไปดึงรถมาเข็น ขับเก่งจนผมหมดห่วง เห็นแล้วก็นึกถึงตอนพาล่อนจ้อนมาซื้อของที่ห้างครั้งแรก น่าห่วงจนต้องคอยช่วยประคองตลอด แต่ระดับความร่าเริงตอนนี้นั้นไม่ต่างกันเลย

            ก่อนจะถึงโซนเฟอร์นิเจอร์ต้องผ่านโซนของกินของใช้ เดินผ่านของที่ผมเห็นว่าพุดตานยังไม่มีหรือน่าจะซื้อเก็บไว้ก็หยิบใส่รถเข็นให้ ใช้ของอะไรยี่ห้อไหนผมรู้หมดแล้ว เจ้าตัวก็ทำหน้าที่เข็นรถอย่างเดียวจนไม่รู้ว่าสรุปใครที่อยากมาซื้อของกันแน่

            ระหว่างทางเข็นผ่านโซนขายหมอนคนขับก็หยุดรถ ในห้องมีแต่ที่นอนไม่มีหมอนให้นี่เนอะ

            ผมยืนรอพุดตานเลือกหมอนหนุนกับหมอนข้างมาใส่รถเข็นอย่างละใบ กำลังจะเข็นรถไปต่อแต่เจ้าตัวกลับเดินไปหยิบหมอนมาเพิ่มอีกอย่างละใบจนเต็มรถเข็น

            "ซื้อทำไมเยอะแยะ"

            "เผื่อมีคนอยากมานอนด้วยไง" พุดตานตอบหน้านิ่ง แต่ผมน่ะอยากดึงตัวเข้ามากอดแล้วงับหูเล่น พูดจาน่รักเก่งจังนะช่วงนี้

            "งั้นหมอนข้างไม่ต้องก็ได้"

            "ไม่ได้ ต้องกอด"

            "ตอนคนนั้นไม่มานอนก็กอดหมอนอีกใบไปก่อนไง ถ้าคนนั้นมานอนด้วยก็กอดคนนั้นแทน"

            "คิดว่าคนนั้นคือตัวเองหรือไง"

            "แล้วไม่ใช่เหรอ"

            "ก็ใช่นั่นแหละ" ยอมรับแบบดื้อๆ แล้วพุดตานก็หอบหมอนข้างทั้งสองใบเอาไปเก็บจริงๆ

            หุบยิ้มไม่ได้เลยผม

            ได้หมอนแล้วเราก็มาเลือกชุดผ้าปูที่นอนกันต่อ เจอสีที่ชอบลายเรียบๆ พุดตานก็หยิบมาโชว์ให้ผมดู

            "ลายนี้โอเคมั้ย"

            "ชอบก็เอาเลย"

            "ลิขิตอ่ะชอบมั้ย"

            "แล้วแต่เจ้าของห้องดิ"

            "ก็ต้องถามคนที่คิดว่าต้องมานอนด้วยแน่ๆ ด้วยว่าชอบมั้ย"

            โดนอีกหนึ่งดอก ถามแบบนี้ชวนผมย้ายมาอยู่ด้วยกันเลยเถอะ แต่ก็ติดไอ้กาลมาไม่ได้อีก จะนั่งรถมาหาหลังน้องชายหลับก็ไม่ได้ด้วย ไปๆ มาๆ ไม่ได้อนกันพอดี

            "เอาอันนี้แหละ"

            ได้คำตอบพุดตานก็วางมันลงในรถเข็น ส่งยิ้มตาหยีมาให้ก่อนเดินนำยังไปโซนเฟอร์นิเจอร์ที่อยู่ถัดไปอีกสองล็อก และได้โยนน่าที่คนขับให้ผมเรียบร้อย

            ชีวิตนี้ก็คงจะขับเข็งแค่รถเข็นนี่แหละ หรือผมควรจะไปหัดขับรถให้เป็นเรื่องเป็นราวแล้วอ้อนให้พ่อซื้อรถให้ดี จะได้พาแมวไปไหนมาไหนได้สะดวก

            มาถึงโซนที่ต้องการพุดตานก็เดินลิ่วๆ ไปตรงชั้นวางของที่มีให้เลือกอยู่ไม่กี่แบบ เดินวนไปมาอยู่สองสามรอบ ยืนคิดอีกสามตลบก็ยังตัดสินใจไม่ได้

            "ถ้ายังไม่มีที่ถูกใจเอาไว้ก่อนก็ได้ เดี๋ยววันหลังพาไปดูร้านเฟอร์นิเจอร์"

            "ไม่ๆ กำลังคิดว่าจะเอาอันไหนดี ระหว่างอันนี้กับอันนี้" พุดตานรีบส่ายหน้า ก่อนชี้ชั้นวางแบบห้าช่องกับหกช่องให้ผมดู

            "จะวางของสูงๆ มั้ย ถ้ามีก็เอาห้า"

            "หรือว่าจะเอาสองอันดี"

            "อันเดียวพอ" ผมต้องรีบเบรก แค่ของใช้ก็ล้นตะกร้าแล้ว ถ้าจะเอาทั้งสองชั้นผมว่าไม่ไหว เราไม่ได้ขับรถมาเองด้วย มันลำบาก คิดมาถึงตรงนี้ผมว่าตั้งแต่พรุ่งนี้ไปต้องเริ่มหัดขับรถแบบจริงๆ จังๆ แล้วล่ะ

            "งั้นเอาหกช่องก็ได้"

            ผมเคลียร์ของในรถเข็นให้มีที่วาง ยังไม่ทันได้เข้าไปช่วยพุดตานก็ยกกล่องชั้นมาใส่ ทำเหมือนไม่หนักแต่ตอนยกนี่น่ายู่เลย

            ได้ของครบถ้วนเราก็ช่วยกันเข็นรถไปจ่ายเงิน จากนั้นก็ขึ้นรถแท็กซี่หน้าห้าง กว่าจะฝ่ารถติดมาถึงหอก็บ่ายแก่ๆ ขนของขึ้นมาไว้บนห้องยังไม่ทันได้จัดการอะไรก็หมดแรงแล้ว

            "จะสี่โมงแล้วอ่ะ ลิขิตลุก มาช่วยกันต่อตู้ก่อน" พุดตานฉุดกระชากลากแขนผมที่นั่งขี้เกียจอยู่บนเตียงให้ลุกขึ้น จะว่าไปห้องนี้ยังไม่มีอะไรพร้อมใช้งานสักอย่าง ผ้าปูที่นอนก็ยังไม่ได้ซักแล้วจะนอนยังไง

            "ไปซักผ้าปูก่อนมั้ย"

            "มันจะแห้งทันเหรอ"

            "ปั่นแล้วมาตากแป๊บเดียวเดี๋ยวก็แห้ง"

            "แล้วถ้ามันแห้งไม่ทันอ่ะ"

            "มันแห้ง ถ้าเกิดไม่ปูผ้าแล้วจะนอนยังไง กลับไปนอนด้วยกันก่อนมั้ย"

            "ก็แค่ไม่มีผ้าปู นอนได้ไม่เห็นเป็นอะไรเลย" พุดตานน่ะเป็นคนใช้ชีวิตแบบง่ายๆ แต่นี่มันก็ง่ายเกินไป

            "งั้นเดี๋ยวไปซักให้ แกะกล่องรอเลย" ผมลุกไปค้นกล่องผ้าปูที่นอนกับหมอนมาแกะ ตะกร้าใส่ผ้าก็ยังไม่มีเลยหอบลงไปมันทั้งอย่างนั้น พร้อมผงซักฟอกกับน้ำยาปรับผ้านุ่มที่เพิ่งซื้อมา

            กลับขึ้นมาอีกทีในห้องก็มีแผ่นไม้หลายชิ้นวางกองอยู่ พุดตานกำลังนั่งอ่านคู่มือการประกอบ พลางพลิกไม้แต่ละแผ่นดูไปด้วย

            "เป็นมั้ยน่ะ"

            "แค่นี้ง่ายๆ" ตอบด้วยความมั่นใจก่อนวางคู่มือลงแล้วเริ่มหยิบไม้แต่ละแผ่นมาประกอบกัน

            ผมหยิบใบคู่มือขึ้นมาดู มองอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีให้ แต่เหมือนจะขาดอะไรไปอีกอย่าง เพราะถ้าไม่มีสิ่งนี้ล่ะก็ไม่มีทางประกอบเสร็จแน่

            "มีไขควงมั้ย"

            เจ้าห้องของหันมามองผมด้วยสีหน้ามึนงงในทีแรก ก่อนจะเบิกตาอ้าปากค้างเหมือนเพิ่งนึกออกว่าต้องใช้

            "ไม่มี"

            "แล้วมันจะประกอบได้ไง"

            "ทำไมลิขิตไม่เตือนตอนไปซื้อ"

            "จะไปรู้มั้ยเนี่ย"

            "ทำไงดี"

            "เดี๋ยวลองลงไปยืมที่สำนักงานดูแล้วกัน" พูดจบผมก็หันหลังเดินออกมาจากห้องอีกรอบ กลายเป็นคนที่จัดการนู่นนี่แทนเจ้าของห้องไปเลย

            โชคดีที่สำนักงานมีไขควงให้ยืม เราช่วยกันประกอบตู้หกช่องสูงสามชั้นจนเสร็จ ผิดขั้นตอนไปบ้างเลยใช้เวลานานไปหน่อยแต่ก็ออกมาเหมือนแบบเป๊ะๆ จากนั้นก็ช่วยกันจัดห้อง ย้ายตู้เสื้อผ้ากับชั้นวางมาวางต่อกัน แบ่งเขตระหว่างห้องนอนกับห้องนั่งเล่น

            หนึ่งชั่วโมงผ่านไปผมก็ลงไปเอาผ้าปูที่นอนกับปลอกหมอนที่ซักไว้ หอบไปตากไว้ตรงระเบียง ด้วยอากาศของประเทศไทยแล้วผมว่ายังไงมันก็แห้งก่อนเวลาพุดตานง่วงแน่นอน แต่เจ้าตัวจะขี้เกียจขนมันมาปูมั้ยมันก็อีกเรื่อง

            ตากผ้าเสร็จแล้วผมก็มาทิ้งตัวลงบนเตียงอีกรอบ พุดตานกำลังจัดของที่มีอยู่น้อยนิดใส่ตู้ แต่แล้วอยู่ๆ เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น

            เราหันมองหน้ากัน ผมไม่รู้น่ะไม่แปลก แต่เจ้าของห้องที่ทำหน้าตกใจไปด้วยนี่แหละที่แปลก

            "นัดเพื่อนไว้หรือเปล่า" ผมถาม พุดตานรีบส่ายกลับมา

            "ไม่ได้นัด"

            "หรือเพื่อนมาเซอร์ไพรส์"

            "คนรู้ว่าย้ายมานี่มันอยู่ต่างจังหวัดมาไม่ได้หรอก"

            "งั้นใคร"

            จากสีหน้าตกใจเริ่มมีแววหวาดกลัวเล็กๆ ตอนเสียงเคาะดังขึ้นอีกรอบ

            "เดี๋ยวไปดูให้" ผมลุกจากเตียงเดินไปที่ประตูห้อง ตอนเดินผ่านเห็นพุดตานหยิบมือถือขึ้นมากดเข้าไลน์ น่าจะกำลังถามเพื่อน

            ผมส่องตาแมวดู หน้าห้องมีผู้ชายยืนอยู่ ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนดูจากหน้าตาไม่น่าใช่คนไม่ดี แล้วก็ไม่ใช่คนจากสำนักงานด้วยเพราะไขควงผมก็เอาไปคืนแล้ว ยามก็ไม่ใช่ เพื่อนบ้านหรือเปล่าไม่รู้ แถมยังเคาะอย่างเดียวไม่พูดอะไรอีก

            เขาเคาะประตูเป็นรอบที่สาม ผมหันมองพุดตานที่เงยขึ้นมาสบตาก่อนก้มลงไปกดมือถืออีกรอบ ประเมินด้วยสายตาแล้วผู้ชายที่ยืนอยู่หน้าห้องไม่น่าจะมีพิษภัยอะไร เข้ามาในตึกได้แสดงว่าคงเป็นคนในหอนี่แหละ อาจจะเป็นเพื่อนบ้านที่อยากมาทำความรู้จักจริงๆ ก็ได้

            ผมเปิดประตูออก ชายตรงหน้ามองผมด้วยสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย ผมเลยชิงถามออกไปก่อน

            "มีอะไรหรือเปล่าครับ"

            "ตานอยู่มั้ยครับ"

            "ตาน?"

            "พุดตานน่ะครับ อยู่มั้ย"

            "ครับ แล้วคุณเป็นใครครับ เพื่อนพุดเหรอ" กลุ่มเพื่อนของพุดตานผมเคยเห็นจากในรูปมาบ้าง แต่มั่นใจว่าไม่มีคนหน้าตาแบบนี้แน่ๆ

            "เปล่าครับ เป็นแฟน..."

            "พี่ธันวา"

            ผมหันกลับไปมองเจ้าของห้องที่เพิ่งเดินออกมา พุดตานพูดอะไรบ้างสมองผมไม่รับรู้แล้ว ในหัวมีแต่คำว่า 'เปล่าครับ เป็นแฟน' ที่ผู้ชายคนนั้นพูดออกมา มันหมายความว่ายังไง ไหนบอกไม่คุยซ้อน แต่ถ้าคนคนนั้นเป็นแฟนไม่ใช่คนคุยก็ไม่นับสินะ มันเป็นแบบนี้ใช่มั้ย

            ประตูห้องปิดลงพร้อมกับคนสองคนที่เดินออกไปด้วยกัน ผมยังยืนอยู่ที่เดิมอย่างไม่รู้จะทำยังไงต่อ จะหนีกลับหรือยังรออยู่ที่นี่ รอเพื่อฟังคำอธิบาย ที่ไม่รู้จะทำให้ใจรู้สึกปวดหนึบยิ่งกว่านี้อีกหรือเปล่า

            เจ็บที่รู้ว่าแมวที่เฝ้าเลี้ยงดูมามีคู่อยู่แล้วไม่พอ ยังเจ็บที่เขาเรียกกันว่าตานอีก ดูพิเศษสุดๆ ไปเลย

 

            ห้านาที

            สิบนาที

            เวลาที่ผ่านไปแค่ไม่กี่นาทีมันช่างยาวนานกับใจคนรอ ผมเดินกลับเข้ามาในห้อง หยุดความคิดทุกอย่างเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้ ตัดสินใจแล้วว่าจะรอฟังคำอธิบาย หากจะเจ็บหนักกว่าเดิมก็ให้มันรู้กันไป ความจริงแล้วพุดตานอาจจะกลับมาเพื่อแก้แค้น ไม่ใช่เนื้อคู่หรือสิ่งดีๆ อย่างที่ผมเคยเข้าใจ ผลลัพธ์ที่พ่อบอกมันก็แค่เรื่องเข้าใจผิด

            ประตูห้องเปิดออกอีกหลายนาทีให้หลัง เจ้าของห้องกลับมาเพียงคนเดียว ไร้วี่แววของใครอีกคนที่บอกว่า 'เป็นแฟน'

            พุดตานกลับมานั่งจัดของต่อเหมือนไม่รับรู้อะไรเกิดขึ้นกับผม ผมไม่รู้ว่าเจ้าตัวต้องการอะไร อยากจะพิสูจน์กันเหรอ คิดว่าไม่ใช่เรื่องที่ต้องอธิบายเลยไม่พูด หรือคิดว่าเพราะผมไม่ถามเลยไม่ตอบ

            ความสงสัยที่มากขึ้นทำให้สมองผมเริ่มทำงานหนัก จากที่พยายามไม่คิดกลับคิดเยอะกว่าเดิม มีแฟนแล้วทำไมถึงไม่บอก ทำไมผมถึงไม่เคยเห็น ทำไมไม่เคยได้ยินพูดถึง มันคือการลงโทษที่ผมทำให้พุดตานกลายเป็นแมวงั้นเหรอ ลงโทษที่เคยปฏิเสธ ลงโทษที่เคยทำตัวน่ารังเกียจใส่ ถึงโดนหลอกให้รักแบบนี้

            มันคงเป็นการแก้แค้น

            "ลิขิต!"

            เสียงเรียกที่ดังจนเหมือนตะคอกเรียกให้ผมหลุดจากความคิด เมื่อหันไปสบตาก็เจอแววตาคู่นั้นมองมาด้วยความสงสัย

            "เป็นอะไร"

            "เปล่า"

            "เปล่าอะไร นั่งเหม่อตั้งนานแล้วเนี่ย"

            "เหรอ" มองกันด้วยเหรอ นึกว่าจะสนใจแค่ของที่กำลังจัดเสียอีก

            พุดตานวางของในมือก่อนลุกขึ้นเดินมายืนตรงหน้าผม เอียงคอมองแบบแมวขี้สงสัย ถ้าเป็นปกติผมคงชมในใจว่าน่ารักไปแล้ว แต่ตอนนี้ไม่มีอารมณ์

            "มีอะไรก็ถามดิ"

            "ต้องรอให้ถามด้วยเหรอ"

            เพียงคำถามเดียวของผมบรรยากาศในห้องก็ตึงเครียดขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ผมโกรธไม่บ่อยโดยเฉพาะกับคนตรงหน้า อีกอย่างอารมณ์ตอนนี้ยังไม่เข้าใกล้ทำว่าโกรธเลยด้วยซ้ำ ก็แค่ผิดหวัง น้อยใจ แต่มันทำให้บรรยากาศดีๆ พังไปหมดแล้ว

            "งั้นเราถามก็ได้ ลิขิตเป็นอะไรวะ อยู่ๆ ดีก็ตึง ไม่พอใจอะไรก็บอกดิ"

            "ต้องให้บอกอีกเหรอ"

            "ถ้าไม่บอกแล้วจะรู้มั้ย"

            ผมรู้ว่าพุดตานกำลังจะโมโหแต่ยังคุมน้ำเสียงไม่ให้ตะคอกโวยวาย แปลกนะ แสดงอาการขนาดนี้ ควรจะรู้ได้แล้วว่าต้นเหตุของความไม่พอใจคืออะไร แต่เหมือนยิ่งพูดก็ยิ่งคุยกันไม่รู้เรื่อง

            "แฟนน่ะ กลับไปแล้วเหรอ"

            คิ้วที่ขมวดชนกันของคนตรงหน้าคลายออกทันทีเมื่อผมเฉลย พุดตานหันหน้าไปทางอื่นแล้วถอนหายใจก่อนจะหันกลับมาจ้องกัน

            "ไปได้ยินอะไรมา"

            "เป็นแฟนกันไม่ใช่เหรอกับคนนั้นน่ะ"

            "พี่ธันวาบอกเหรอ"

            ผมไม่ตอบ แต่คนฟังน่าจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว

            "แล้วไม่ได้ยินที่เราพูดบ้างหรือไง"

            อีกครั้งที่ผมเงียบ สารภาพในใจว่าไม่ได้ยิน หูดับตั้งแต่พี่คนนั้นบอกว่าเป็นแฟนพุดตาน แล้วในหัวก็เบลอไปหมด รู้ตัวอีกทีก็ตอนเขาเดินออกไปด้วยกัน

            "ขอสักทีเถอะ" พูดจบพุดตานก็กระโจนใส่โดยที่ผมยังไม่ทันตั้งตัวจนหงายหลังทั้งคู่ มือสองข้างขยุ้มหัวผมเหมือนอยากจะถอนผมให้หลุดออกมาทั้งหัว

            "เป็นบ้าอะไรเนี่ย"

            "ลิขิตนั่นแหละเป็นบ้าอะไร"

            พุดตานกำลังนั่งอยู่บนท้องผม สองแขนดันไหล่ผมไว้ ใช้สายตาแมวโกรธจ้องมองมา แน่นอนว่าแรงแค่นี้หยุดผมไว้ไม่ได้หรอก แค่พลิกตัวผมก็เปลี่ยนให้คนข้างบนลงมาอยู่ข้างล่างได้แล้ว แต่ที่ไม่ทำเพราะยังอยากฟังเหตุที่โดนด่ากลับ

            "ถ้ารู้แล้วว่าเราเป็นอะไรก็อธิบายมาดิ"

            "ก่อนจะออกจากห้องเราพูดว่าไง"

            "ไม่ได้ฟัง"

            คนข้างบนดึงแก้มผมทั้งสองข้างจนรู้สึกเจ็บ มันใช่เวลาที่ผมต้องมายอมให้พุดตานรังแกแบบนี้มั้ยเนี่ย

            "หยุดเล่นก่อนได้มั้ย"

            "เราพูดว่านี่พี่ธันวานะ เป็นแฟนเก่า เดี๋ยวมาขอออกไปคุยแป๊บนึง"

            "แฟนเก่า"

            "ก็ใช่ไง มันเป็นคำต้องห้ามเหรอ ได้ยินไม่ได้เลยเหรอ ทำไมแค่นี้ต้องตึงใส่ ถามว่าเป็นอะไรก็ไม่พูด หึงก็บอกว่าหึงสิวะ" พุดตานใส่มาชุดใหญ่จนผมไม่รู้จะแก้ตัวยังไงกับความเข้าใจผิดครั้งนี้ ผิดเองที่ไม่ฟังให้ดี

            กับคนที่เป็นแค่อดีตน่ะผมไม่คิดมากหรอก พุดตานจะเคยมีแฟนมากี่คนผมไม่สนใจ รู้ดีอยู่แล้วว่ามันเป็นเพียงความทรงจำใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นมา ในอดีตของพุดตานมันไม่เคยเกิดขึ้นอย่างที่เจ้าตัวเข้าใจ ผิดกับปัจจุบันที่กำลังดำเนินอยู่ ผมถึงได้สติหลุดตอนที่เข้าใจผิดว่าพี่ธันวาอะไรนั่นเป็นแฟนพุดตาน

            "เงียบทำไม" รอบนี้โดนถามเสียงแข็งผมเลยยอมรับไปแบบตรงๆ

            "ขอโทษ พอดีหึงจนหูดับ"

            "ทีหลังอย่าเป็นแบบนี้อีกนะ"

            "ครับ"

            พุดตานลุกขึ้นผมเลยคว้ามือเอาไว้แต่กลับโดนแมวฟาดดังเพี้ยะ ก้าวลงจากเตียงเดินกลับไปนั่งจัดของต่อ พร้อมกับบรรยากาศในห้องที่ค่อยๆ กลับมาดีเหมือนเดิม

            ใจผมอยากจะรั้งแล้วดึงมากอดอยากง้ออีกสักหน่อย แต่ในเมื่อแมวไม่ยอมเลยต้องกระโดดลงจากเตียงไปป้วนเปี้ยนอยู่ข้างๆ ลูบหัวเกาคางสักหน่อยน่าจะอารมณ์ดีขึ้น

            "ขอโทษ"

            "ก็ไม่ได้ว่าอะไรแล้วไง" ปากตอบมือหยิบของไม่ได้มองกันเลย

            "หายโกรธแล้วจริงดิ"

            "อืม ไม่อยากคนโกรธคนบ้า"

            "ด่างี้เลยนะ"

            "แล้วบ้าจริงมั้ยล่ะ"

            "ครับ บ้าครับ"

            พุดตานหันมาย่นจมูกใส่ ก่อนจะกลับไปสนใจของที่ยังจัดไม่เสร็จเหมือนเดิม

            "ยังไม่ได้เล่าเลยว่าพี่คนนั้นมาได้ไง จริงๆ ที่โกรธเมื่อกี้คือรอฟังอันนี้อยู่"

            "ให้พูดอีกที"

            "ล้อเล่นครับ จริงๆ คือไม่ได้ฟัง" ผมน่ะหูลู่ไปแล้วเรียบร้อย ส่วนหางแม้ไม่มีก็จุกตูดได้

            "ที่จริงเรื่องนี้ก็พูดไปแล้วนะ"

            "พูดตอนไหน"

            "ก็เอาแต่เหม่ออ่ะ ตอนมานั่งจัดของต่อก็บอกไปแล้วว่าเพื่อนเป็นคนบอกที่อยู่หอใหม่ไปเพราะพี่ธันวาตื๊อจะเอาของมาคืน แต่ลิขิตไม่ฟังอ่ะ พอถามว่าเป็นอะไรก็มาตึงใส่อีก พูดแล้วก็อยากโกรธอีกรอบ"

            "ใจเย็นน้า" ผมรวบตัวพุดตานไว้ก่อนจะโดนกรงเล็บตะปบ เอาแต่คิดไปเองจนไม่ได้ฟังเจ้าตัวพูดเลย แม่งโคตรแย่

            "ปล่อยเลย" สุดแสนจะเชื่อฟัง บอกให้ปล่อยผมก็ปล่อย

            "แล้วพี่เขาเอาอะไรมาคืน"

            "มือถือ ตอนเลิกทะเลาะกันแล้วพี่เขาทำมือถือเราพังตอนพยายามจะแย่งไปดู มันก็ค่อนข้างรุนแรงอยู่แหละ ตอนนั้นอยู่ห้องตรงข้ามกันเลยอยากย้ายหอหนีแต่หาหอไม่ได้ แม่ไปเล่าให้คุณพิทักษ์ฟังว่าอยากได้หอใหม่ คุณพิทักษ์ก็มาบอกคุณพิภพ ก็เลยให้มาอยู่กับลิขิตก่อน ขอโทษเหมือนกันที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเล่าให้ฟัง"

            ผมเข้าใจแล้ว ความทรงจำใหม่มันเป็นแบบนี้นี่เอง ไม่น่าทำไมพุดตานถึงยังใช้มือถือเครื่องเก่ากับเบอร์ใหม่ที่ผมซื้อให้ล่อนจ้อน

            "งี้ทุกคนก็รู้หมดเลยดิว่าแฟนเก่าพุดเป็นใคร" ทั้งอาพิทักษ์แล้วก็พ่อผม

            "ไม่รู้หรอก มีแค่แม่รู้คนเดียว ตอนนี้ก็รู้ว่าคุยกับใครอยู่" แบบนี้ถ้าได้กลับบ้านสวนอีกครั้งก็เตรียมฝากเนื้อฝากตัวไว้ได้เลย

            "บอกแม่ทุกอย่างเลยเหรอ" ผมไม่ได้คิดมากหรือไม่ชอบใจที่พุดตานบอกป้าบุหงา ที่ถามแค่อยากรู้ว่าเจ้าตัวปรึกษาปัญหากับแม่ทุกเรื่องเลยหรือเปล่า

            "ก็เหลือแค่แม่คนเดียวแล้วนี่ จะให้ไปคุยกับใคร"

            "ขอโทษ"

            "ขอโทษทำไม"

            พอได้คำตอบแล้วก็รู้สึกจุกที่อกขึ้นมา ผมรู้ว่าความทรงจำของพุดตานไม่เหมือนเก่า แต่มันก็ลบล้างความรู้สึกผิดไม่ได้อยู่ดี

            "แต่เครื่องมันพังแล้วจะเอามาคืนทำไม" ก่อนบรรยากาศจะชวนให้เศร้าผมเลยชวนวกกลับมาเรื่องเดิม มันมีรายละเอียดที่ยังไม่เคลียร์

            "พี่เขาเอาไปซ่อมมาให้ มันก็พอใช้ได้แหละ ซิมเก่าก็ยังอยู่"

            "แล้วเพิ่งเอามาคืนตอนนี้เนี่ยนะ"

            "ตอนนั้นโกรธมากไง ย้ายหนีแล้วก็บล็อกทุกอย่าง พี่ธันวาติดต่อไม่ได้ไปตื๊อเพื่อนอยู่นานเลย ตอนอยู่กับลิขิตเพื่อนมันไม่อยากบอกเพราะกลัวรำคาญ พอมันรู้ที่อยู่ใหม่แล้วเลยบอกไป ตอนพี่ธันวามาถึงเจอคนเปิดประตูพอดีเลยเข้ามาได้"

            "แล้วไม่ไปหาที่มหา'ลัยอ่ะ"

            "พี่เขาทำงานแล้ว ไม่ค่อยมีเวลาไปตามหรอก"

            "ชอบคนแก่กว่าเหรอ เราแก่กว่าสี่เดือน" สบายใจแล้วก็แบบนี้ มีโอกาสก็ต้องเล่นเสียหน่อย

            พุดตานมองหน้าผมแล้วอมยิ้ม ต้องกำลังคิดอยู่แน่ๆ ว่าจะแกล้งผมกลับยังไงดี

            "เราชอบคนมีเหตุผล"

            "เรามีเหตุผลนะ" ตอบได้ไม่เต็มปากแต่ก็จะตอบ เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ช่วยพิสูจน์แล้ว

            "เหรอ"

            "มีเหตุผลมากขึ้นเรื่อยๆ ไง มีการพัฒนา"

            "อืม" ตอบคำเดียวสั้นๆ ขณะที่ริมฝีปากยังอมยิ้ม เว้นจังหวะให้ได้ลุ้นก่อนพุดตานจะเอ่ยอีกคำออกมา

            คำที่ฟังทีไรก็รู้สึกใจฟูทุกที

            "ตอนนี้ชอบลิขิต"

 

tbc


มีแอบให้ลุ้นกันนิดหน่อย
ตอนหน้าจบแล้วนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 21 ___ [29/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-09-2019 21:24:25
ตกใจไม่คิดว่าจะมีแฟนมาก่อน
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 21 ___ [29/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 29-09-2019 23:21:42
หูดับไปพร้อมลิขิตเลย  :ling3:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 21 ___ [29/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 29-09-2019 23:43:45
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 21 ___ [29/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 30-09-2019 08:25:54
ถึงกับหึงจนหูดับไปเลย สงสาร 555555
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งที่ 21 ___ [29/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 30-09-2019 17:36:51
 :pig4: ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งสุดท้าย ___ [05/10/62]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 05-10-2019 19:10:46

ลิขิตครั้งสุดท้าย


            เมื่อก่อนเลิกเรียนแล้วกลับหอ ทุกวันนี้เลิกเรียนก็ยังกลับหอเหมือนเดิม เพียงแต่เป็นหอคนอื่น ไม่ใช่หอตัวเอง

            ห้องของพุดตานกลายเป็นที่อยู่ช่วงหลังเลิกเรียนแห่งใหม่สำหรับผม อาจจะไม่ได้มาทุกวันแต่อาทิตย์หนึ่งอย่างน้อยต้องมาสองครั้งถ้าว่าง พุดตานเป็นฝ่ายไปหาบ้าง นัดเจอกันบ้าง สรุปแล้วก็ยังเจอกันแทบทุกวันเหมือนเดิม

            กิจกรรมของคนคุยที่ยังไม่ได้ขยับขั้นไปไหนไม่มีอะไรหวือหวานัก แต่เรื่องความหวานก็ยังมีให้หัวใจได้กระชุ่มกระชวยอยู่เรื่อยๆ เราใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บริเวณห้องนั่งเล่นที่ตกแต่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีโซฟาเล็กๆ หนึ่งตัว กับทีวีที่เพิ่งไปซื้อมาด้วยกันเมื่อสัปดาห์ก่อน

            พุดตานชอบดูหนัง ผมเดาว่าคงติดมาตอนเป็นล่อนจ้อน ทุกครั้งที่นัดเจอกันก็มักจะถูกชวนไปดูหนัง วันไหนมาหาที่ห้องถ้าไม่มีกิจกรรมอะไรทำเป็นพิเศษก็ชวนดูหนังอีก ซึ่งปกติมันก็ไม่มีอยู่แล้วไอ้กิจกรรมที่ว่าน่ะ

            หนังที่เปิดก็ดูจะมีแค่เจ้าของห้องที่ตั้งอกตั้งใจดู ส่วนผมน่ะสนใจแมวที่อยู่ข้างๆ มากกว่า ขยับเข้าไปนั่งเบียด เดี๋ยวจับมือ เดี๋ยวหันไปจ้อง โดนมองกลับบ้างแต่พุดตานก็ไม่ได้ว่าอะไร ไอ้ผมก็ได้ใจใหญ่

            "พุดตาน"

            "หืม"

            พอเจ้าของชื่อหันหน้ามาหาผมก็ขยับเข้าไปจูบ แตะริมฝีปากค้างไว้เพียงชั่วครู่แล้วผละออก คนโดนจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวเลิกคิ้วใส่คล้ายสงสัย แต่เมื่อไม่เห็นอีกฝ่ายว่าอะไรผมก็เริ่มทำตามที่ใจตั้งการอีกครั้ง

            โน้มตัวเข้าไปหาเท้าแขนไว้กับโซฟา ประกบริมฝีปากแนบชิด กดจูบย้ำๆ ผละออกแล้วจูบใหม่ซ้ำๆ แล้วโถมน้ำหนักเข้าใส่ พุดตานยกแขนขึ้นคล้องคอผมไว้ ปล่อยตัวไปตามแรงโน้มถ่วงกระทั่งแผ่นหลังชิดพื้นโซฟา ตอบรับสัมผัสอย่างคุ้นเคย

            หลังจากไม่มีโอกาสได้จูบราตรีสวัสดิ์ผมก็หาเรื่องทวงจูบทุกครั้งที่เจอกัน ผิวเผินบ้าง ลึกซึ้งบ้างแล้วแต่โอกาส และสำหรับโอกาสของวันนี้ ดูเหมือนจะพิเศษกว่าทุกๆ ครั้ง

            พุดตานต่างจากล่อนจ้อนที่ไม่ได้ไร้เดียงสากับเรื่องอย่างว่า มีความเนียมอายเล็กๆ แต่ก็กล้าสู้ ถึงอย่างนั้นความสัมพันธ์ทางกายของเราก็ยังไม่ค่อยคืบหน้าไปไหนอยู่ดี ถึงภายนอกจะดูเหมือนคนที่ผ่านโลกมาพอสมควร แต่ในหัวผมมันคอยบอกอยู่เสมอว่าพุดตานยังบริสุทธิ์ แม้จะเคยผ่านมือผมมาบ้างแล้วก็เถอะ

            ได้จูบจนพอใจผมก็ผละออกก่อนอารมณ์จะเตลิด พุดตานคลายวงแขนที่คล้องคอกันเมื่อครู่มาพักไว้ที่ไหล่ เราสบตากัน ก่อนผมจะโดนแยกเขี้ยวใส่

            "ลุกได้แล้ว"

            ผมทำเมิน ยังอยากอยู่ในท่านี้ ดูเป็นทาสที่อยู่เหนือแมวดี

            "รู้มั้ยว่าจริงๆ เราแล้วเป็นเนื้อคู่กัน"

            "เนื้อคู่อะไร ตอนเด็กยังเกลียดกันอยู่เลย" เมื่อเดือนก่อนยังไม่เข้าใจคำว่าเนื้อคู่อยู่เลย ตอนนี้เถียงผมได้แล้ว

            "เกลียดก็แรงไป"

            "หรือไม่ใช่"

            "ก็ใช่แหละครับ" อยากเถียงว่าไม่ใช่แต่ก็เถียงไม่ออก

            "แต่ก็เข้าใจนะ" ผมน่ะ ชอบคนคนนี้เพราะแบบนี้แหละ

            "ไอ้ลิขิตคนนั้นนิสัยไม่ดี แต่ตอนนี้มันไม่อยู่แล้วนะ เหลือแต่ลิขิตคนดีที่หนึ่ง"

            "ชมตัวเองก็เป็น"

            "ไม่เชื่อเหรอ"

            "ก็เชื่อ"

            "เชื่อว่า"

            "ลิขิตเป็นคนดีแล้วไง"

            "แล้วเรื่องเนื้อคู่ล่ะเชื่อมั้ย"

            พุดตานไม่ตอบ สมัยนี้แล้วจะมีสักกี่คนที่เชื่อเรื่องเนื้อคู่ ประเมินจากสายตาที่มองกลับมาแล้ว พุดตานก็ดูจะไม่เชื่อเหมือนกัน

            "ลูกคนสวนกับหลานเจ้าของสวนเนี่ยนะ"

            "ลูกคนสวนแล้วไง เราเองก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสวนขนาดนั้น อย่าเอาไปคิดรวมกัน"

            "แต่ก็เป็นหลานเจ้าของสวนอยู่ดี"

            "แล้วไม่อยากเป็นแฟนหลานเจ้าของสวนบ้างเหรอ"

            "เอางี้เลยนะ"

            "ก็คุยกันมาสักพักแล้ว เป็นแฟนเลยมั้ยยังไงดี"

            เห็นแบบนี้ผมก็ต้องรวบรวมความกล้าอย่างมหาศาลเหมือนกันนะ แต่คำตอบที่ได้นั้นจะเรียกว่าเล่นตัวได้มั้ย

            "เพิ่งคุยกันแป๊บเดียว"

            "สมัยนี้แล้ว..."

            "เป็นคนคุยต่อไปเรื่อยๆ ก็แล้วกัน"

            ผมโดนตัดบท พุดตานดันตัวผมออกแล้วลุกขึ้นนั่งดีๆ ใขผมรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ เหมือนตอนโดนบอกว่ารำคาญ หรืออาจจะมากกว่านิดนึง แบบนี้ก็เท่ากับว่าโดนปฏิเสธน่ะสิ

            "ทำไมทำหน้าแบบนั้น"

            "หักอกคนอื่นแล้วยังจะกล้าถามอีก"

            พุดตานหัวเราะก่อนดึงผมไปจูบ เป็นครั้งแรกที่เจ้าตัวเป็นฝ่ายเริ่มก่อนโดยที่ไม่ต้องเอ่ยปากขอ

            จูบเบาๆ เพียงริมฝีปากแตะไม่ได้ลึกซึ้งคล้ายอยากจะปลอบใจ พุดตานอมยิ้มก่อนขยับเข้ามาใกล้อีกครั้ง ผมหลับตารอ ทว่าไม่ใช่จูบอีกครั้งอย่างที่คิด แต่เป็นเสียงกระซิบที่ดังอยู่ข้างหู

            "ล้อล่น"

            ซนนักนะเจ้าแมวตัวนี้

 

            ดึกแล้วผมต้องกลับห้อง ไม่มีบริการรับส่งจากไอ้กาลทั้งที่มันควรจะง้อผมให้กลับไปนอนด้วย เหตุเพราะมันรู้ว่าถึงผมจะดึงดันอยู่ต่อยังไงพุดตานก็ไล่ผมกลับอยู่ดี ด้วยความเป็นห่วงว่าเหนือกาลจะนอนฝันร้ายหากไม่มีเพื่อนนอนด้วย

            พุดตานลงมาส่งผมที่หน้าหอ ความจริงเจ้าตัวเสนอจะเดินไปส่งที่รถไฟฟ้าแต่ผมปฏิเสธ จากหอเดินไปก็ไกลเอาเรื่องอยู่ ผมกลับคนเดียวได้พุดตานจะได้ไม่ต้องย้อนไปย้อนมา

            เราโบกมือลากันที่หน้าหอ ใจผมอยากจะเข้าไปหอมแก้มอีกสักฟอด ยังรู้สึกว่าวันนี้ยังฟัดไม่หนำใจแต่ก็เกรงใจศาลพระภูมิ เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยจัดการก็ยังไม่สาย

            ผมเดินออกจากซอยที่คนพลุ่กพล่านไม่มากนัก ออกห่างจากหอได้ไม่เท่าไรตาก็เหลือบไปเห็นก้อนสีขาวๆ ปุกปุยเดินนวยนาดอยู่ฝั่งตรงข้าม ขาผมหยุดก้าวต่อทันที และเมื่อผมหยุดไอ้ตัวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็หยุดตาม

            แมวเปอร์เซียสีขาว เห็นแล้วก็คิดถึง

            ผมส่งยิ้มให้เจ้าแมว มันใส่ปลอกคอแสดงว่าเป็นแมวของคนแถวนี้ หากเป็นเมื่อก่อนผมคงรีบกระโจนเข้าไปหา ลูบขนฟูๆ นั้นเล่นโดยไม่ห่วงสุขภาพตัวเอง แต่ตอนนี้ผมไม่ทำแบบนั้นแล้ว

            'มีแมวส่วนตัวแล้ว กูไม่เล่นด้วยหรอก'

            ผมจ้องมันแล้วบอกในใจเพราะกลัวว่าถ้าอยู่ๆ โพล่งออกไปจะโดนคนอื่นมองแปลกๆ ใส่ เมื่อกี้เพิ่งมีลุงเดินผ่านไปหนึ่งคน

            แมวเจ้าเข้าใจสิ่งที่ผมอยากสื่อหรือเปล่าไม่รู้ มันหันหน้าหนีก่อนก้าวเดินอย่างนวยนาดต่อไป ขณะที่ผมเองก็เริ่มก้าวเดินต่อ

            เห็นแล้วก็อยากกลับไปนอนกอดแมวชะมัด

            แมวที่ไม่ได้หมายถึงแมว

 
end

 
ในที่สุดก็มาถึงตอนสุดท้ายแล้ว ยาวนานมากๆ เลย เพราะหยุดอัพบ่อยมาก แงงงง
เรื่องราวของเหนือลิขิตจบแล้ว ยังมีเรื่องของเหนือกาลต่อนะคะ
แต่จะมาเมื่อไร่ยังไม่สามารถบอกได้ อาจจะเป็นปลายปีนี้หรือไม่ก็ปีหน้าเลยค่ะ
หนังสือคิดว่ามีแน่ๆ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าเมื่อไรเหมือนกันค่ะ ถ้ามีข่าวคืบหน้าจะแจ้งในเพจนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่ตามอ่านมาจนถึงตอนนี้ แล้วเจอกันใหม่เรื่องหน้าค่า
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งสุดท้าย ___ [05/10/62]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-10-2019 20:12:53
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งสุดท้าย ___ [05/10/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 05-10-2019 20:22:21
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งสุดท้าย ___ [05/10/62]
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 06-10-2019 15:49:23
 :pig4: ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งสุดท้าย ___ [05/10/62]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 07-10-2019 00:51:29
มีแมวแล้วค่าาาา  o13
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งสุดท้าย ___ [05/10/62]
เริ่มหัวข้อโดย: บีเวอร์ ที่ 18-10-2019 17:45:40
 :-[ เขิลลลล
แต่แอบอยากให้น้องจำได้
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งสุดท้าย ___ [05/10/62]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 28-10-2019 08:59:29
 :3123: :3123: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งสุดท้าย ___ [05/10/62]
เริ่มหัวข้อโดย: songsa1234 ที่ 29-10-2019 08:11:17
น่ารัมากกกก
เอ็นดูล่อนจ้อน
อยากเลี้ยงแมวเลย แง
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งสุดท้าย ___ [05/10/62]
เริ่มหัวข้อโดย: MaidenQueen ที่ 31-10-2019 08:09:34
น่ารักมากๆเลยยยย แอบหูดับตกใจเหมือนลิขิตตอนธันวาบอกว่าเป็นแฟน เกือบวีนน้องพุดตานแล้วว
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งสุดท้าย ___ [05/10/62]
เริ่มหัวข้อโดย: mellowshroom ที่ 01-11-2019 11:42:57
อยากให้จำได้จัง ช่วงเวลานั้นน่ารักสุดๆ


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งสุดท้าย ___ [05/10/62]
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 01-11-2019 14:40:13
ช่วงท้ายๆมันมีวามห้วนๆไปแบบมึนๆนิดหน่อยแต่โดยรวมสนุกมากจ่ะ ล่อนจ้อนของแม่มีความสุขสักทีนะลูก อยากอ่านคู่ของกาลแล้วเนี่ยยยมีชื่อดื้อโผล่มาแล้วด้วยยย พร้อมอ่านมากจ้าาา
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งสุดท้าย ___ [05/10/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 01-11-2019 21:36:16
 :กอด1: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :L1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งสุดท้าย ___ [05/10/62]
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 02-11-2019 12:35:23
อ่านไปอ่านมาเพลินๆ อ้าว แบบ จบแล้วหรอ???
เนื้อเรื่องน่ารักสนุกดีค่ะ
แต่จบแบบมึนๆ ไปหน่อย
แล้วก็อยากอ่านเรื่องของกาลต่อ
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งสุดท้าย ___ [05/10/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 03-11-2019 22:37:45
เคยอ่านแต่ตอนนั้นอ่านไม่จบ พอกลับมาอ่านให้จบแล้วรู้สึกมีความสุข ความรักเต็มไปหมดเลย รู้สึกดีที่น้องกลับมามีครอบครัวมีคนรู้จักไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว ดูแลน้องให้ดีนะเจ้าทาส ท้ายนี้ขอขอบคุณผู้เขียนมากจริงๆ เนื้อเรื่องดีไม่ดราม่าอะไร น่ารัก
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งสุดท้าย ___ [05/10/62]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 09:37:37
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งสุดท้าย ___ [05/10/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Freezz ที่ 10-02-2023 13:51:28
ถ้าจำได้ จะสนุกมากก