___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งสุดท้าย ___ [05/10/62]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งสุดท้าย ___ [05/10/62]  (อ่าน 30919 ครั้ง)

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ลุ้นๆ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ความทรงจำตอนนั้นค่อย ๆ กลับมาแล้ว

ต่อมอยากรู้ทำงานถี่ ๆ เลย

ออฟไลน์ rainiefonnie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-2
โอ้ยยยยลุ้นนนน

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ก่อนหน้านั้นมีเรื่องอะไรกัน  :ling3:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
สงสารล่อนจ้อนที่เลือนหายไปจากความทรงจำของทุกคน  :hao5: :ling3:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
 เคยโกรธอะไรกันมาก่อนหน้านั้นหรือเปล่า

ออฟไลน์ lalilali

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

ลิขิตครั้งที่ 16


            ผมแทบจะหลับคาโต๊ะหลังจากต้องตื่นตั้งแต่หกโมงเช้าไปหาล่อนจ้อนที่ห้อง อาบน้ำเก็บของใส่กระเป๋าแล้วไปกินข้าวตอนแปดโมงเช้า ทั้งที่เมื่อคืนได้หลับถึงสองชั่วโมงหรือเปล่าก็ไม่รู้

            หลังกินข้าวเสร็จล่อนจ้อนก็ตามป้าบุหงาเข้าครัวไปเหมือนเดิม พยายามจะช่วยล้างจานแต่ก็โดนป้าแกไล่ให้ไปนั่งรอ ทั้งคู่คุยเล่นกันเยอะกว่าเมื่อวานที่ผมแทบจะเป็นคนคุยอยู่ฝ่ายเดียว เป็นการพูดคุยเรื่องทั่วๆ ไปที่ลอยกระทบหูผมแล้วกระเด้งออก เพราะในหัวผมยังคงคิดทบทวนถึงความฝันเมื่อคืนอยู่ คิดถึงคำพูดที่ทำให้ล่อนจ้อนต้องกลายเป็นแบบนี้

            'ขอให้....กลายเป็นแมวดู จะได้รู้ว่ามันรู้สึกยังไง'

            จำได้ว่าก่อนหน้านี้ผมเคยพูดประโยคที่ตรงกันข้ามกันมาแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แล้วถ้าหากผมลองพูดอีกครั้งในตอนที่จำเหตุการณ์นั้นได้แล้วมันจะมีอะไรเปลี่ยนไปจากครั้งก่อนมั้ย การลิขิตของผมจะได้ผลหรือเปล่า

            "ขอให้กลับมาเป็นคนเหมือนเดิม"

            ล่อนจ้อนกับน้าบุหงาหยุดคุยกันแล้วหันมามองอย่างพร้อมเพรียง ผมที่โพล่งออกไปแบบไม่มีจังหวะเลยได้แต่ยิ้มแหย ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทุกอย่างปกติดี ทั้งที่มันควรจะมีแสงวาบๆ อะไรออกมาบ้างเพื่อบอกให้รู้ว่าสิ่งที่ขอนั้นสำเร็จ

            "มาขออะไรตอนนี้" ล่อนจ้อนแซวขำๆ พูดด้วยน้ำเสียงปกติที่ไม่ได้คิดจะปิดบังอะไรกับป้าบุหงา เพราะป้าแกก็คงไม่เข้าใจความหมายในเรื่องที่เราสองคนพูดกันอยู่แล้ว

            "เบลอนิดหน่อย เมื่อคืนนอนน้อย"

            "ไปนอนก็ได้นะ"

            "ไม่เป็นไรเดี๋ยวรอ"

            "เฝ้าเพื่อนตลอดเลยนะคะ" ป้าบุหงาแซวบ้าง ผมไม่แน่ใจว่าแกจะเข้าใจไปในทิศทางไหน แต่รอยยิ้มที่ส่งมาให้ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดว่ากำลังโดนจับผิดในความสัมพันธ์ของเรา

            "มันเป็นคนเด๋อๆ อ่ะครับ ปล่อยไว้คนเดียวไม่ค่อยได้"

            "เด๋อตรงไหน"

            "ก็ทุกตรงอ่ะ เหมือนเด็ก"

            "ตอนนี้โตแล้วเถอะ อายุเท่าลิขิตแล้ว"

            "ครับๆ" ผมไม่เถียงต่อ ตอบตัดบททำหน้ากวนใส่คู่สนทนานิดหน่อยแล้วผายมือให้ล่อนจ้อนกลับไปคุยกับแม่ต่อ ก่อนป้าแกจะจัดการงานในครัวเสร็จแล้วหนีไป

            ระหว่างที่ป้าบุหงาทำงานโบตั๋นที่หายเขินคนแปลกหน้าแล้วก็เข้ามาวอแวล่อนจ้อนยกใหญ่ เดี๋ยวเกาะขาเกาะแขนชวนให้อุ้ม พี่ชายก็แสนใจดีตามใจทุกอย่าง เล่นไปเล่นมาสุดท้ายนั่งหลับคาตักล่อนจ้อนมัน

            "หลับซะแล้ว ขอบคุณนะคะที่ช่วยดูให้" เคลียร์งานเสร็จแล้วป้าบุหงาก็รับโบตั๋นไปอุ้ม เด็กน้อยขยับตัวนิดหน่อยแต่ยังไม่ยอมตื่น

            "ไม่เป็นไรครับ น้องน่ารัก"

            "หน้าแอบคล้ายกันด้วย" ผมพูดเสริมล่อนจ้อนเลยหันมาถลึงตาใส่ ผิดกับป้าบุหงาที่ดูจะเห็นด้วย

            "จะว่าไปก็แอบเหมือนอยู่นิดนึงนะคะ"

            "เวลายิ้มยิ่งเหมือนกันเลยครับ"

            "แสดงว่าโตไปต้องน่ารักเหมือนพี่จ้อนสินะเรา" ป้าบุหงายิ้มหวาน มองแขกของบ้านสลับกับลูกสาวที่อุ้มอยู่

            ล่อนจ้อนอมยิ้ม กลิ่นไอแห่งความสุขลอยอบอวนอยู่รอบตัวจนผมสัมผัสได้ แต่น่าเสียดายที่ช่วงเวลาดีๆ นี้กำลังจะหมดลง ต้องจากกับแม่ในอีกไม่กี่นาที และต้องจากที่นี่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

            "งั้นป้าไปทำงานต่อก่อนนะ"

            "เดี๋ยวครับ คือลุงดอกรักน่ะ" ผมเรียกไว้ก่อนที่ป้าบุหงาจะเดินไป เมื่อวานผมสัญญากับล่อนจ้อนไว้ว่าจะถามเรื่องนี้จากอาพิทักษ์ให้แต่ก็ลืม

            "คะ?"

            "ผมอยากไปไหว้ลุงน่ะครับ" เหตุผลคืออะไรผมคิดว่าป้าบุหงาน่าจะเข้าใจ ยังไงลุงแกก็เป็นคนรู้จัก ถึงจะนานจนผมลืมไปแล้วก็เถอะ

            ป้าบุหงายิ้มกว้างจนหนวดแมวขึ้น แสดงเอกลักษณ์ที่มาจากแม่พิมพ์เดียวกัน ถ้าจับคนที่นั่งยิ้มอยู่ข้างๆ ผมไปซ้อนแน่นอนว่าต้องออกมาพอดีกับเป๊ะ เหมือนกันขนาดนี้ทำไมป้าแกถึงไม่นึกสงสัยบ้างว่าอาจจะเป็นลูกชายที่พลัดหลงกันเมื่อนานมาแล้ว

            "เดี๋ยวป้าพาไปค่ะ"

 

            เราเดินตามป้าบุหงาเข้ามาในบ้านพักคนงานที่อยู่ริมสระ น้องโบตั๋นที่ยังหลับสนิทถูกวางไว้บนเบาะ ผมพอจำแปลนของบ้านหลังนี้ที่เคยมาเล่นตอนเด็กๆ ได้บ้าง สองห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ ด้านหลังเป็นครัวกับที่ซักล้าง ซึ่งห้องของป้าบุหงานั้นอยู่ด้านหลัง

            ในห้องโล่งๆ ที่มีเพียงที่นอน โต๊ะหนึ่งตัว และตู้เสื้อผ้า รูปของลุงดอกรักวางอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนโต๊ะตัวนั้น

            ผมจับมือล่อนจ้อนพาเดินไปยืนหน้ารูปเมื่อป้าบุหงาหลบทางให้ เรายกมือขึ้นไหว้ ไม่มีธูป ไม่มีดอกไม้ มีเพียงใจที่อยากมาหาเท่านั้น

            สิ่งที่ผมอยากบอกลุงมีเพียงคำขอโทษ และคำสัญญา ขอโทษที่พรากลูกชายสุดที่รักไปจากครอบครัว และสัญญาว่าต่อจากนี้จะดูแลให้ดีที่สุด สัญญา...ว่าจะทำให้ล่อนจ้อนกลับมาเป็นหนึ่งในครอบครัวเหมือนเดิมให้ได้

            หันมองคนข้างๆ ยังคงพนมมือมองรูปภาพด้วยแววตาสั่นเครือ สิบปีที่ห่างหายย่อมมีเรื่องมากมายที่อยากบอก ผมยืนรออยู่ข้างๆ กระทั่งล่อนจ้อนคุยกับพ่อเสร็จ คนที่กำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อหันมายิ้มให้ ผมบอกขอบคุณป้าบุหงาอีกครั้งแล้วพาล่อนจ้อนออกมาก่อนเจ้าตัวจะร้องไห้ตรงนั้น

            "อ่ะ ร้องได้แล้ว ให้ยืมไหล่ซบด้วย" จูงมืออกมาจนถึงตีนเนินของบ้านใหญ่ผมก็ตบไหล่พร้อมให้อีกคนซบ

            "อะไรใครร้อง"

            "แมวร้อง"

            "ไม่ร้องแล้วเหอะ สัญญากับพ่อไว้แล้ว"

            "แต่บางทีพ่ออาจจะอยากให้ร้องก็ได้นะ ระบายมันออกมาบ้าง อย่าเอาแต่เก็บไว้ในใจ"

            คนที่บอกว่าจะไม่ร้องไห้เริ่มแบะ ผมก้าวเข้าไปกอดแล้วกดหัวล่อนจ้อนให้ซบลงมาที่ไหล่ เจ้าตัวจะร้องมั้ยผมไม่รู้ แต่อยากกอดเพื่อให้กำลังใจ รวมถึงให้กำลังใจตัวเองด้วย

 

            สิบเอ็ดโมงเราก็ออกเดินทางกลับกรุงเทพฯ ไอ้กาลมันกลัวตอนเย็นรถติด อยากพาผมกับล่อนจ้อนไปทิ้งไว้ที่หอเร็วๆ แล้วแวะไปหาไอ้ดื้อของมันต่อเลยต้องออกเร็ว ผมน่ะไม่ขัดหรอก ยอมตามใจคนขับรถอยู่แล้ว

            เหมือนกับขามาขึ้นรถมาได้แป๊บเดียวล่อนจ้อนก็หลับ ตัวผมอยู่คุยกับไอ้กาลได้ไม่นานก็หลับตาม ตื่นอีกทีตอนเข้ากรุงเทพฯ รถหยุดหน้าหอตอนบ่ายโมงไอ้กาลมันก็เชิญเราสองคนลงแล้วขับไปต่อ

            "หิวแล้วอ่ะ" ส่วนคนที่หลับมาตลอดทางตื่นแล้วก็บ่นหิวทันที

            "งั้นไปกินข้าวกัน" รู้งี้ให้กาลแวะส่งที่หน้าห้างฯ ก็ดี

           

            ซูชิคือเมนูที่ล่อนจ้อนเลือก ก่อนหน้านี้ผมเคยซื้อชิ้นละสิบบาทจากตลาดหลังมอมาให้แล้วเจ้าตัวติดใจ วันนี้เดินผ่านร้านเลยรีบชี้ แปลงร่างเป็นน้องล่อนจ้อนสิบขวบร้องจะกินซูชิเลยต้องจูงมือกันเข้ามานั่งในร้าน

            ร้านนี้ไม่ได้มีแค่ซูชิ แต่ยังรวมถึงซาชิมิ ข้าวหน้าต่างๆ และน้ำแบบรีฟิล ผมเลือกแบบบุฟเฟต์แมวกินจุจะได้กินได้เต็มที่ สั่งมาแค่รอบแรกบรรดาเนื้อดิบทั้งหลายก็วางเต็มโต๊ะ ล่อนจ้อนตาวาวเป็นประกาย หยิบตะเกียบมาถือแต่ยังใช้ไม่ถนัดเลยเลือกที่จะจิ้มแทนการคีบ แต่เพราะเป็นของดิบเลยจิ้มไม่เข้า

            "จิ้มไปแบบนั้นเดี๋ยวข้าวก็แตกหมด"

            "ก็มันคีบไม่ได้"

            "ทำแบบนี้ ค่อยๆ ฝึก" ผมทำให้ดู แต่ล่อนจ้อนได้หมดความอดทนกับการใช้ตะเกียบไปแล้ว

            "หิว ใช้มือกินเลยไม่ได้เหรอ"

            "มานั่งนี่มา" ก่อนคนหิวจะใช้มือแทนตะเกียบ ผมต้องกวักมือเรียกให้มานั่งข้างกันแทน

            บอกให้มาล่อนจ้อนก็มาแต่ตัว ผมลุกเอื้อมไปหยิบจานกับตะเกียบมาวางให้ ขยับถ้วยโชยุมาไว้ใกล้ๆ ก่อนจะคีบซูชิวางให้ในจาน

            "ลองดู"

            ล่อนจ้อนลองพยายามใช้ตะเกียบอีกครั้ง มันทุลักทุเลจนน่าขำแต่ผมขำไม่ได้เดี๋ยวจะโดนแมวข่วนเอา พอคีบขึ้นมาใกล้ถึงปากมันก็ร่วงอยู่สองสามรอบ สุดท้ายเจ้าตัวก็วางตะเกียบด้วยความโมโห ผมเลยช่วยคีบซูชิเจ้าปัญหาชิ้นนั้นไปป้อนให้

            "เอ้า อ้าปาก"

            แมวหิวอ้าปากงับซูชิไปเคี้ยวตุ้ยๆ แล้วหันมามองผมตาขวาง พอกลืนแล้วก็บ่นทันที

            "ทำไมไม่ทำตั้งแต่ตอนแรก"

            "ให้ป้อนเนี่ยนะ"

            "ก็มันกินไม่ได้"

            "แล้วรู้เปล่าคนที่ป้อนของกินกันเขาต้องเป็นอะไรกัน" ผมถามอย่างจริงจัง แต่ดูจากสีหน้างงๆ นั่นแล้วล่อนจ้อนไม่น่าจะรู้คำตอบ

            "พ่อแม่เหรอ"

            "ทำไมเป็นพ่อแม่"

            "ตอนเด็กๆ แม่ก็ป้อนข้าว"

            "แล้วอย่างอื่นอ่ะ"

            "เพื่อนไง"

            "อ่ะ เพื่อนก็เพื่อน" ผมยอมแพ้ไม่เล่นต่อ กลัวดันทุรังไปต่อแล้วแป้ก ความพิเศษนี้ยอมให้แค่เพื่อนก็ได้ ถึงผมจะไม่เคยป้อนของกินเพื่อนเลยก็เถอะ

            "มันมีอย่างอื่นอีกเหรอ" แต่คนไม่ยอมแพ้กลับเป็นล่อนจ้อนซะงั้น

            "มี"

            "พี่น้องเหรอ"

            "ก็ใช่" ผมคีบซูชิอีกชิ้นป้อนแมวขี้สงสัย คิดว่าจะประเด็นนี้จะจบแล้ว แต่พอกลืนปุ๊บก็โดนถามต่อ

            "แล้วมีอะไรอีก"

            "ทายดิ" รอบนี้ผมถามกลับ เราจองตากัน ผมยิ้มเพราะคิดว่าต้องเป็นฝ่ายชนะแน่ๆ แต่กลับไม่ใช่

            "หรือแฟน"

            "ก็ประมาณนั้น"

            "แล้วลิขิตป้อนเราในฐานะอะไรอ่ะ" ถามตาแป๋วแก้มแดงนิดๆ ทีแบบนี้ล่ะฉลาดขึ้นมาเชียว

            "ในฐานะคนที่ใช้ตะเกียบไม่เป็นไง เอ้า อ้าม"

            ล่อนจ้อนอ้าปากงับซูชิที่ผมป้อนให้อีกชิ้น เคี้ยวไปยิ้มไป เอื้อมหยิบน้ำมาดูดแล้วก็บ่นผมอีก

            "มัวแต่ป้อน กินเองบ้าง"

            "กินอยู่"

            "เอาอันนี้หน่อย" เพิ่งบ่นผมแป๊บๆ แต่ชี้นิ้วให้ผมคีบแซลมอนให้กินอีกชิ้นซะงั้น

            เป็นแมวที่เอาใจยากจริงๆ เลย

           

            ท้องอิ่มแล้วก็เดินเล่นต่อ ผมชวนล่อนจ้อนขึ้นไปบีทูเอสชั้นบน อยากซื้อหนังสือให้สักเล่ม ซื้ออุปกรณ์การเรียนอย่างพวกสมุดปากกาเอาไว้ให้ฝึกเขียน พูดคล่องแล้วอ่านพอได้ ก็เหลือแค่เขียนนี่แหละ แต่ยังเดินไม่ทันถึงบีทูเอสแขนผมก็ถูกล็อกเอาไว้

            "อยากดูเรื่องนี้"

            เพราะดันพาเดินผ่านโรงหนัง

            "วันหลังมั้ย"

            "ตอนนั้นก็บอกว่าวันหลัง"

            แล้วก็ดูเหมือนจะปฏิเสธไม่ได้ด้วย

            "ดูกันนะ" ทำเสียงอ้อนไม่พอ ยังใช้สายตาลูกแมวมองผมอีก

            "งั้นมาทำข้อตกลงกัน"

            ล่อนจ้อนมองอย่างสงสัยแต่สายตาดูสนุกกับข้อตกลงที่ผมอ้างขึ้นมา แต่หารู้ไม่ว่ามันเป็นกับดัก ผมว่าล่อนจ้อนไม่น่าจะตกลงทำหรอกถ้าแลกกับการดูหนังแค่ครั้งเดียว

            "ต่อไปนี้ต้องจุ๊บทุกคืนก่อนนอน"

            คนฟังนิ่งไปเลย กะพริบตาปริบๆ เกิดอาการลังเลขึ้นมา เจอรีแอคชั่นแบบนี้ผมเองก็แอบเจ็บจี๊ดๆ ที่ใจเหมือนกัน เพราะมันสามารถบอกได้เลยว่าตอนนี้ล่อนจ้อนกำลังรู้สึกยังไงกับผม

            "เอาไง ตกลงมั้ย"

            "ก็ได้"

            "เอาจริงดิ"

            "อืม ก็แค่จุ๊บ" ทำเป็นตอบหน้านิ่งๆ แต่รู้มั้ยว่าตัวเองกำลังจะกลายเป็นสีแดงแล้ว

            "แค่จุ๊บทีไหน รู้มั้ยคนเป็นอะไรกันเขาถึงจุ๊บกัน"

            "แล้วที่ลิขิตจุ๊บเราเมื่อคืนเราเป็นอะไรกันล่ะ" เจอย้อนมาแบบนี้ทำเอาผมไปต่อไม่เป็นเลย

            "อยากให้เราเป็นอะไรล่ะ"

            "เราเป็นคนถามก่อน"

            "แล้วมีคำตอบอยู่ในใจหรือยังล่ะ"

            ล่อนจ้อนไม่ตอบ ย่นจมูกใส่ทำหน้าเหมือนอยากกระโดดเข้ามาจะปบ ถึงเจ้าตัวจะตอบไม่ได้ แต่คำตอบของผมน่ะ มันชัดเจนขึ้นทุกวัน

            "แต่เรามีแล้วนะ"

            "เราก็มีเหมือนกัน"

            "ลิขิต"

            เราสองคนหันไปตามเสียงเรียกแล้วก็ได้พบกับคนที่ผมไม่อยากเจอมากที่สุด พี่ณดาเดินยิ้มกว้างเข้ามาหา ข้างหลังมีเพื่อนรออยู่สามคน

            "สวัสดีครับ" ผมยกมือไหว้ ล่อนก็รีบทำตาม ไม่อยากทำตัวเหมือนคนสนิทกลัวแมวข้างๆ จะคิดมาก

            "พี่บอกแล้วไงไม่ต้องไหว้ มากับเพื่อนเหรอไม่เคยเห็นหน้า"

            "ก็ไม่เชิงครับ"

            พี่ณดาทำหน้าสงสัยแต่ยังคงยิ้มอยู่ พี่เธอเหมือนอยากถามต่อแต่ก็ไม่อยากถาม ผมเลยเป็นฝ่ายตอบให้

            "กำลังคุยๆ กันอยู่ครับ"

            "อ้าวเหรอ" จากยิ้มกว้างกลายเป็นยิ้มฝืน ผมไม่ได้อยากทำแบบนี้หรอก แต่ในเมื่อปฏิเสธตรงๆ ไปแล้วพี่เธอยังตื๊อและยืนยันว่าจะไม่ยอมถอยจนกว่าผมจะมีแฟนก็ต้องใช้วิธีนี้ มันจะได้จบๆ ไปสักที

            "ไอ้กาลมันก็รู้นะ มันไม่ได้บอกพี่เหรอ"

            "ไม่นะ แต่ลิขิตบอกพี่เองก็ได้นี่ เวลาพี่ไลน์หาก็ไม่ค่อยตอบ"

            "ผมลืม ขอโทษนะครับ"

            "พี่ไม่ว่าอะไรๆ แล้วนี่จะไปไหนกันต่อเหรอ"

            "ดูหนังครับ"

            "งั้นพี่ไปก่อนนะ"

            "ครับ"

            พี่ณดายิ้มกว้างให้ก่อนเดินกลับไปหากลุ่มเพื่อนแล้วทั้งกลุ่มก็พากันเดินลงบันไดไป คนที่เหมือนจะเก็บความสงสัยไว้ตลอดการสนทนาเมื่อครู่เลยรีบถามขึ้นมา

            "กำลังคุยๆ กันคืออะไรเหรอ"

            "ไม่รู้จักเหรอ"

            "ตอนนี้ก็คุยกันอยู่"

            "ไอ้แมวเอ๊ย" ผมยีหัวคนตรงหน้าด้วยความมันเขี้ยว ทำไมเวลาสงสัยอะไรมันถึงได้น่ารักขนาดนี้

            "ตอบมา"

            "ก็เหมือนคนที่จุ๊บกันก่อนนอนล่ะมั้ง"

            มองผมกลับเหมือนอึ้งไปชั่วครู่ก่อนล่อนจ้อนจะพยักหน้ารับเป็นอันเข้าใจ

            เอาล่ะ จากนี้ผมจะคิดว่าเราสองคนมีอะไรที่พิเศษต่อกันมากกว่าเพื่อนสมัยเด็ก มากกว่าคนรู้จัก มากกว่าคนที่ต้องร่วมเผชิญเรื่องราวสุดแปลกประหลาดร่วมกัน มากกว่าเอ่อ...เอาเป็นว่า

            ผมจะเรียกสถานะตอนนี้ว่า 'ช่วงศึกษาดูใจ' ก็แล้วกัน

 

            หลังจากได้ตั๋วหนังรอบที่อยากดูมาครอบครองมือถือผมก็สั่นถี่ๆ ลักษณะแบบนี้ไม่ต้องเดาเลยว่าเป็นใครที่โทรมา ผมเพิ่งเจอกับพี่ณดาเมื่อไม่ถึงสิบนาทีก่อนแล้วมีสายเรียกเข้าแบบนี้ ไอ้น้องชายโทรมาติดตามผลชัวร์

            "ข่าวไวนะมึง"

            [ยังไงมึง พี่ณดาบอกเจอมึงกับคนคุย บอกจะตัดใจแล้ว]

            "ก็ตามนั้น"

            [แล้วใครคนคุยมึง ทำไมกูไม่รู้ ตอนพี่เขาโทรมาคือกูงงมาก บอกกาลทำไมไม่บอกพี่ว่าลิขิตมีคนคุยแล้วงี้]

            "มึงไม่รู้จริงดิ"

            [ถ้ารู้แล้วกูจะโทรมาถามมั้ย]

            "มึงฉลาดอ่ะ ลองคิดดู"

            [ไอ้สัด]

            ถึงจะโดนด่าแต่ผมไม่สะท้าน หันไปยิ้มให้ล่อนจ้อนที่เลิกคิ้วมองกลับมา คุณแมวเขาอารมณ์ดีตั้งแต่ได้ตั๋วหนัง ทำตัวเป็นเด็กดีทำตามที่บอกทุกอย่าง

            [อ๋อ กูนึกออกแล้ว] ใช้เวลาคิดอยู่หลายวินาทีกว่ามันจะหาคำตอบได้

            "ก็ตามนั้น"

            [สรุปมึงกับล่อนจ้อนกิ๊กกันจริงเหรอวะ]

            "แล้วมึงคิดว่าไง"

            [จริง]

            "เออ"

            [เหี้ยยย~ ไม่ปฏิเสธด้วย ล่อนจ้อนเอามึงเหรอวะ] มันลากเสียงอุทานซะยาวก่อนค่อยๆ เบาลง ผมนึกภาพออกเลยว่ามันกำลังทำหน้ายังไงอยู่

            "เจอตัวก็ถามเองดิ"

            [เดี๋ยวกลับห้องแล้วกูจะไปซัก]

            "ไม่ต้องเลยได้สัด" แต่เชื่อเถอะล่อนจ้อนไม่ต้องตอบหรอก แค่ทำหน้าแดงใส่ไอ้กาลมันก็รู้แล้ว

            [ไม่แน่จริงนี่หว่า]

            "เออ แค่นี้นะมึง แมวจ้องละ"

            "ใครจ้อง" วางสายปุ๊บล่อนจ้อนก็ถามปั๊บ

            "แมวตัวนี้ไง"

            ล่อนจ้อนแยกเขี้ยวยอมรับโดยไม่เถียง ยิ้มอารมณ์ดีเดินนำผมเข้าไปในเข้าบีทูเอส หลังจากนี้ยังเหลือเวลาอีกหลายนาทีให้เจ้าตัวเลือกหนังสือที่อยากอ่าน เลือกของที่อยากได้ สำหรับหนังสือผมว่าครั้งนี้เลือกเป็นแนวรักโรแมนติกก็ดี จะได้ศึกษาทฤษฎีเอาไว้เป็นแนวทางปฏิบัติในอนาคต

 

            กลับมาถึงห้องไอ้กาลมันก็ถามล่อนจ้อนอย่างที่บอกเอาไว้ แล้วคำตอบก็คือแก้มแดงๆ แบบที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด คนที่พอใจสำหรับคำตอบแล้วเลยไม่ถามต่อ ยิ้มกวนประสาทใส่ผมก่อนเดินเข้าห้องตัวเอง ล่อนจ้อนก็หอบผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำ หลังจากโดนไอ้กาลถามขัดจังหวะ ส่วนผมนั่งเฝ้าแมวอาบน้ำอีกที

            ตามสัญญาถึงเวลาเข้านอนก็ต้องจุ๊บแล้วบอกฝันดี ผมส่งล่อนจ้อนถึงเตียง ห่มผ้าให้ เล่นเกมจ้องตากันสักพักด้วยความรู้สึกขัดเขินแปลกๆ มันให้ความรู้สึกที่ต่างออกไปจากครั้งก่อน เพราะเรารู้ว่าจากนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นและเต็มใจที่จะทำมันล่ะมั้ง แต่มันเป็นความรู้สึกที่ดีนะ เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมรอคอย

            "ตาปรือแล้ว"

            "อือ แต่ไม่อยากกลับไปเป็นแมวเลย" คนง่วงเริ่มงอแง

            "หลับตื่นเดียวก็เช้าแล้ว เดี๋ยวก็ได้กลับมาเป็นคนเหมือนเดิม"

            "แต่พรุ่งนี้ลิขิตมีเรียน" เออว่ะ ผมก็ลืมเรื่องเรียนไปเลย ถ้าอยู่ห่างกันล่อนจ้อนจะไม่สามารถอยู่ในร่างคนได้ครบตามกำหนดเวลา ซึ่งตอนนี้มันเพิ่มขึ้นถึงสิบแปดชั่วโมงต่อวันแล้ว ถ้าอยู่กับผมตลอดเวลาก็จะอยู่ในร่างคนได้เกือบตลอดทั้งวัน

            "เรียนแป๊บเดียว เดี๋ยวก็กลับมาหา"

            "ไปด้วยไม่ได้เหรอ"

            "ไม่ได้หรอก" ถ้าพาไปด้วยเราต้องตัวติดกันตลอดเวลา ซึ่งผมไม่มั่นใจว่าจะสามารถดูแลล่อนจ้อนได้ดีขนาดนั้นหรือเปล่า เกิดพลัดหลงขึ้นมาเป็นเรื่องแน่ๆ

            "ถ้างั้นเมื่อไรจะได้นอนด้วยกัน"

            "วันที่ไอ้กาลมันหายป่วยล่ะมั้ง"

            ผมเองก็ตอบไม่ได้ว่าเมื่อไรไอ้กาลมันจะหายขาดจากอาการฝันร้าย มันเคยไปหาหมอ ทำตามคำแนะนำต่างๆ แต่ก็ยังไม่ดีขึ้น ทุกครั้งที่มันนอนคนเดียวจะฝันร้ายแบบเดิมซ้ำๆ ฝันถึงเรื่องที่มันไม่อยากให้เกิดขึ้น หากแต่เป็นความจริงที่มันกำลังเผชิญอยู่ แม้ว่าช่วงนี้อาการมันดูเหมือนจะดีขึ้นตอนผมแอบหนีออกมากลางดึกโดยไม่ให้มันรู้ตัวก็ตาม 

            "แต่เดี๋ยวจะแวะมาหาเหมือนเดิม"

            "อื้ม"

            ผมขยับเข้าไปจูบริมฝีปากที่กำลังยกยิ้มเบาๆ ค้างไว้สักพักก่อนผละออกมา แอบผิดสัญญาที่จะขอแค่จุ๊บแต่เมื่อต่างฝ่ายต่างยินยอมมันก็ไม่ผิดอะไร

            "ฝันดีครับ"

            "ฝันดี"

            ยีผมสีบลอนด์เล่นเบาๆ ก่อนลุกออกมา ผมชอบเวลาได้สัมผัสสิ่งนุ่มนิ่มที่เหมือนขนแมวนั้น ถ้าล่อนจ้อนกลับมาเป็นคนได้เมื่อไร ถึงไม่มีแมวให้เล่น แต่ยังมีคนที่เหมือนแมวให้กอด ชีวิตนี้ผมก็ไม่อยากเลี้ยงแมวแล้ว

           

            ภาพในความคิดของผมคือมีใครสักคนนอนอยู่ข้างๆ เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา คนคนนั้นที่ไม่ใช่ไอ้กาลที่ผมหนีออกมาจากห้องมันเมื่อกลางดึก แต่เป็นคนที่ผมจะคืนชีวิตให้แก่เขา คนที่ผมให้สัญญากับรูปของพ่อเขาเอาไว้ว่าจะพากลับไปหาครอบครัว คนที่ผมร่ายเวทมนต์ใส่เมื่อวาน แต่เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา ภาพที่เห็นก็ยังเป็นแมวสีขาวนอนขดอยู่ข้างๆ เหมือนทุกวัน

            มันไม่ได้ผล

            พลิกตัวไปหายื่นมือไปขยำก้อนขนสีขาวนุ่มนิ่มเล่นความผิดหวังในยามเช้าก็ค่อยๆ เลือนหายไป เจ้าแมวตื่นขึ้นก่อนบิดขี้เกียจ มันเดินเข้ามาหาอ้อมแขนของผม เอาตัวมาสีอย่างออดอ้อน ก่อนนอนล้มตัวลงนอนเอาหัวมาหนุนแขนกัน

            "วันนี้เรียนเช้า ตอนบ่ายค่อยกลับร่างคนนะ เดี๋ยวไม่ได้จุ๊บ"

            "เมี้ยว"

            "ไปอาบน้ำก่อนนะ นอนรอไปก่อน เดี๋ยวกลับมาจุ๊บๆ ก่อนไปเรียน"

            "เมี้ยว" 

            เจ้าแมวขาวร้องตอบตอนผมลุกไปหยิบผ้าขนหนู บอกตามตรงผมก็อ่านแววตาแมวไม่ค่อยออกหรอก แต่หลบตาแบบนี้เขินหรือเปล่า แมวเขินได้มั้ย ถ้าใครรู้ช่วยบอกผมหน่อย

 
tbc.


เขามีสถานะกันชัดเจนแล้วนะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ต้องทำยังไงล่ะทีนี้  :ling2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ myd3ar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1534
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-4
น้องแมวน่าสงสารอ่า อ้อนได้น่ารักมาก

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
จ้อนน่ารัก

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

ลิขิตครั้งที่ 17

            เดินออกนอกอาคารได้ไม่กี่ก้าวมือถือก็สั่นเหมือนปลายสายรู้ตารางเรียนของผมเป็นอย่างดี ชื่อของคนที่ไม่ค่อยได้โทรคุยกันนักโชว์บนหน้าจอ ดูท่าแล้วคงเป็นเรื่องเร่งด่วนถึงได้โทรมาหา

            "ครับแม่"

            [เลิกเรียนหรือยังลูก]

            "เพิ่งเลิกเลยครับ"

            [พอดีแม่กำลังเคลียร์ห้องเก็บของ ว่าจะเอาไปขาย รถจะมารับบ่ายนี้ แม่ค้นเจอกล่องเก็บของเก่าของลิขิตน่ะลูก เลยโทรมาถามว่าจะเก็บไว้มั้ย]

            "ในกล่องมันมีอะไรอ่ะแม่"

            [ก็มีพวกของเล่นเล็กๆ การ์ดวันเกิด ซองจดหมาย]

            "แม่ถ่ายรูปส่งมาให้ผมหน่อยได้มั้ย"

            [ส่งไปแล้วจ้า ลิขิตไม่ตอบสักทีแม่เลยลองโทร]

            "โอเคแม่ งั้นผมขอดูรูปก่อนแล้วจะบอกนะครับ"

            วางสายจากแม่ผมก็รีบกดเข้าไลน์ แม่ส่งรูปมาให้พร้อมบอกรายละเอียดเมื่อชั่วโมงก่อน แต่ไลน์ดันไม่แจ้งเตือน มาเอ๋ออะไรตอนนี้ก็ไม่รู้

            รูปที่แม่ส่งมามีสองรูป เป็นรูปด้านข้างกล่องกับรูปที่เปิดฝากล่องแล้วถ่ายด้านใน ทุกอย่างที่อยู่ในนั้นมันเก่ามากจนผมเองก็ลืมไปแล้วว่าเคยเก็บของพวกนี้ไว้ด้วย เป็นของกระจุกกระจิกที่ได้รับมาจากหลายๆ คน ของที่เคยมีความหมายในวัยเด็ก แต่เมื่อเวลาผ่านไปผมก็เก็บของเหล่านั้นยัดลงกล่องและลืมเลือนไปตามกาลเวลา

            'เก็บไว้ให้ก่อนนะแม่อย่าเพิ่งขาย เดี๋ยวผมไปเอา'

            พิมพ์ตอบแม่กลับไปแล้วผมก็โดนเพื่อนเรียกพอดี

            "สรุปมึงจะกลับหอเลย?" พสุถาม ก่อนหน้านี้พวกมันชวนกันไปหาอะไรกิน ผมปฏิเสธบอกไปว่าจะกลับหอ อยากรีบไปหาแมวว่าจะพาไปหาอะไรกิน แต่ตอนนี้เหมือนจะต้องเปลี่ยนแผนซะแล้ว

            "ว่าจะกลับบ้านว่ะ"

            "มีเรื่องอะไรหรือเปล่า" คิรินถาม ตอนผมคุยโทรศัพท์กับแม่เมื่อกี้ก็เห็นมันมองตลอด

            "แม่กูจะเก็บของเก่าขายทิ้ง ว่าจะกลับไปดูหน่อย"

            "รีบขนาดนั้น"

            "เออ แม่นัดรถเก็บของไว้บ่าย"

            "ของสำคัญเหรอวะ"

            "ประมาณนั้น"

            "แล้วกลับยังไง" มงคลถามบ้าง

            "แท็กซี่มั้ง"

            พวกมันไม่ถามอะไรต่อ พากันเดินไปส่งผมขึ้นรถที่หน้ามอ ระหว่างเดินพวกมันก็พูดถึงร้านที่ชวนกันไปกิน ส่วนผมก็ต้องรายงานคนที่ห้องก่อนจะโดนงอน

            ผมโทรไปสองสายแต่ไม่มีคนรับ ไม่รู้ล่อนจ้อนหลับ ลืมวิธีรับโทรศัพท์ หรือไม่มีความสามารถในการใช้อุ้งตีนแล้วกันแน่ สุดท้ายเลยต้องพิมพ์บอกเอาไว้

            "วันนี้กลับช้าหน่อยนะ เรากลับบ้านไปดูของนิดหน่อย..."

            "อะไรของมึงเนี่ย" ผมรีบเอามือถือซ่อนหลังจากโดนพสุแอบอ่านข้อความ แล้วแม่งก็อ่านโคตรเร็ว มึงไปประกวดเดอะแร็ปเปอร์ได้เลยนะเนี่ย

            "จริงๆ ที่บอกว่าอยากรีบกลับไปนอนเพราะมึงแอบซุกเด็กไว้ใช่มั้ย" มันชี้หน้าถามอย่างจับผิด

            "กูก็สงสัย ตอนนั้นที่มึงบอกคุยกับแมว สรุปคือยังไง แมวปลอบก็บอกมา" คิรินเข้ามาร่วมวงอีกคน ส่วนมงคลที่ไม่พูด ก็ใช่ว่าไม่ได้สนใจ

            "ตอนนั้นก็คุยกับไอ้กาลไง"

            "กูไม่เชื่อแล้ว"

            พวกมันสามคนยืนล้อมวงดักไว้อย่างกับกลัวผมจะวิ่งหนีไปไหน มาอีกขนาดนี้แล้วผมยอมรับก็ได้ กับใครคนนั้นสถานะที่ตกลงกันก็ชัดเจนแล้วด้วย

            "เออ กูมีคนคุย พอใจยัง"

            "จริงดิ ใครวะ" พสุทำตาโต สีหน้าอยากรู้อยากเห็นสุดๆ คิรินเองก็ไม่ต่าง

            "แล้วที่บอกกลับช้านี่คือยังไงวะ อยู่ด้วยกัน?"

            "กูก็แค่จะไปหา"

            "อยากเห็นหน้าเลย"

            "ถ้าพร้อมเดี๋ยวกูเปิดตัวเองอ่ะ"

            "รออย่างใจจดใจจ่อ" พสุพูด คิรินเองพยักหน้าเห็นด้วย พอเป็นเรื่องแบบนี้ล่ะเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย

            ก่อนที่มันจะได้ซักไซ้อะไรผมมากกว่านี้แท็กซี่ก็มาพอดี ผมรีบก้าวขึ้นรถ พิมพ์ข้อความที่ค้างไว้ให้จบแล้วกดส่งให้ล่อนจ้อน

            'วันนี้กลับช้าหน่อยนะ เรากลับบ้านไปดูของนิดหน่อย แม่โทรมาบอกว่าเจอกล่องเก็บของเก่าๆ คิดว่ามันอาจจะมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเราอยู่ก็ได้ แล้วจะซื้อขนมไปฝาก'

 

            รถแท็กซี่จอดหน้าบ้านตอนคนกำลังขนของขึ้นรถพอดี แม่ผมยิ้มกว้างแล้วดึงผมเข้าไปกอด ทำอย่างกับว่าไม่ได้เจอกันมาแสนนาน

            "กินข้าวมาหรือยัง"

            "ยังเลยครับ รีบมาเนี่ย"

            "เมื่อเช้าแม่ทำผัดเปรี้ยวหวานไว้ ไปกินก่อนไป"

            "ครับ"

            "ว่าแต่ไอ้กล่องนั่นมันมีอะไรถึงต้องกลับมาดูเองเลย"

            "ก็ของเก่าๆ อ่ะแม่ บางชิ้นเพื่อนให้มาก็อยากเก็บไว้ก่อน เลยต้องมาเลือกเอง"

            "แต่เก็บใส่กล่องเอาไว้ในห้องเก็บของเนี่ยนะ"

            "มันก็ต้องเคลียร์ห้องไงแม่"

            "จ้าๆ เข้าบ้านไปก่อนไป เดี๋ยวเสร็จแล้วแม่ตามไป"

            "ครับ"

            เข้ามาในบ้านทิ้งกระเป๋าไว้บนโซฟาผมก็เดินเข้าครัว บนโต๊ะกินข้าวมีกล่องกระดาษกับผัดเปรี้ยวหวานวางอยู่คู่กัน คำสั่งของแม่คือให้กินข้าวก่อน ผมเองก็หิวมากด้วยเพราะยังไม่ได้กินอะไรก่อนออกมา แต่สำหรับตอนนี้คิดว่าอะไรน่าสนใจกว่ากัน ระหว่างผัดเปรี้ยวหวานของแม่กับกล่องเก็บของเก่าของผม

            ผัดเปรี้ยวหวานถูกเมิน ผมเปิดกล่องกระดาษแล้วหยิบของออกมาดูทีละชิ้น พวงกุญแจที่เพื่อนชอบซื้อมาฝากเวลาไปเที่ยว สมุดโน้ตเล็กๆ ที่เขียนไม่กี่หน้า กล้องถ่ายรูปของเล่นที่ได้มาเป็นของขวัญวันเกิด การ์ดอวยพรต่างๆ และซองจดหมาย

            ของที่เคยอยู่ในกล่องบัดนี้วางกองอยู่เต็มโต๊ะ ในกล่องยังมีของเหลืออยู่อีกนิดหน่อย แต่ซองจดหมายสีขาวยับย่นเปรอะเปื้อนหนึ่งเดียวซองนี้น่าสนใจกว่า ผมลากเก้าอี้มานั่ง กำลังจะเปิดซอง แล้วในจังหวะแบบนี้มักจะมีใครสักคนชอบเข้ามาขัดเสมอ

            "แม่บอกให้กินข้าวก่อนไง"

            "เดี๋ยวกินครับ"

            "จะบ่ายสองแล้วรีบกินข้าวเลย แล้วทำไมรื้อของออกมากองแบบนี้เนี่ย เดี๋ยวฝุ่นก็เข้ากับข้าวหมด" บ่นไปแม่ก็เก็บของใส่กล่องไปก่อนยกไปวางข้างล่าง จะเหลือก็แต่จดหมายในมือผม

            "กับเข้าปิดฝาไว้อยู่ผุ่นไม่เข้าหรอกแม่"

            "อย่าเถียงสิ"

            "แต่แม่เอาวางไว้บนโต๊ะนี้เองนะ"

            "ยังจะเถียงอีก"

            ฟาดแขนผมเบาๆ ไปหนึ่งทีแม่ก็จัดการตักข้าวเอาน้ำมาให้ เตรียมเสร็จก็ไม่ไปไหนนั่งเฝ้าผมกินข้าวอยู่ฝั่งตรงข้าม เลยต้องวางซองจดหมายที่อยากเปิดดูเอาไว้ก่อน

            "ไปเที่ยวบ้านสวนเป็นไงบ้าง"

            "ก็ดีครับ ไปทะเลมาด้วย แต่ไม่ได้เล่น"

            "ทำไมล่ะ"

            "น้ำมันลงเยอะมากเลยแม่ คนก็น้อย ไม่ได้เตรียมตัวจะไปเล่นด้วย ไปเดินเอาบรรยากาศมากกว่า"

            "เห็นพ่อบอกพาเพื่อนไปด้วย"

            "ครับ เพื่อนที่มหา'ลัย มันไม่ค่อยได้ไปเที่ยวอ่ะแม่ ก็เลยพาไปด้วย"

            "เขาชอบมั้ย"

            "ชอบครับ"

            "วันหลังชวนมาเที่ยวบ้านได้นะ แม่จะทำกับข้าวให้กิน"

            "ไว้จะลองชวนนะครับ"

            แม่ยิ้มกว้างมองผมกินข้าว เรื่องฝีมือการทำอาหารเป็นหนึ่งในสิ่งที่แม่ภูมิใจเลย ไอ้กาลก็เรียนกับแม่นี่แหละถึงได้ทำอาหารเป็น ส่วนผมเป็นพวกขี้เกียจไม่เอาอะไรสักอย่าง ถ้ามีโอกาสผมเองก็อยากพาล่อนจ้อนมากินกับข้าวฝีมือแม่เหมือนกัน ถ้าชวนยังไงเจ้าตัวก็มาแน่

            "แล้วค้างมั้ยวันนี้" แม่ผมชวนคุยต่อ นานๆ ลูกชายจะกลับบ้านเลยมีเรื่องให้คุยมากมายไปหมด

            "ไม่ค้างหรอกครับ เดี๋ยวกาลมันเหงา มานี่ยังไม่ได้บอกมันเลย"

            "รายนั้นมาบ่นกับแม่ประจำเลยว่าเรียนหนักงั้นงี้"

            "มันอ้อนมากกว่าแม่ อยู่หอไม่เห็นบ่นอะไรเรื่องเรียนเลย มันฉลาดจะตาย"

            "แล้วลิขิตล่ะเรียนเป็นไงบ้าง ไม่เห็นมาบ่นให้แม่ฟังบ้าเลย"

            "ก็เรื่อยๆ ครับไม่ถึงกับแย่ อาทิตย์หน้าสอบมิดเทอมแล้วคงไม่ได้กลับบ้าน"

            "พูดเหมือนปกติกลับบ่อย"

            ผมฉีกยิ้มให้แม่ ลูกชายบ้านนี้หลังจากเข้ามหาวิทยาลัยก็ทำตัวเหมือนโดนไล่ออกจากบ้าน ติดหอติดเพื่อน เดือนนึงกลับบ้านสองครั้งก็ถือว่าเยอะแล้ว ถึงจะไม่ชอบกลับบ้านแต่พวกผมก็ไม่ได้ทำตัวห่างเหินครอบครัวขนาดนั้นนะ ในไลน์ยังแอคทีฟตลอด

            "เดี๋ยวปิดเทอมก็กลับมาอยู่ยาวๆ แล้วแม่"

            "อีกตั้งนาน แม่ก็คิดถึงลูกแม่เหมือนกันนะ"

            "ผมก็คิดถึงแม่เหมือนกันครับ" ผมอ้อนไม่เก่งเท่าไอ้กาล เวลาพูดอะไรแบบนี้มันก็เลยรู้สึกเขินหน่อยๆ

            "แล้วจะกลับกี่โมง รอเจอพ่อก่อนมั้ย"

            "พ่อเลิกดึกอ่ะ ตอนเย็นรถติด กว่าผมจะถึงห้องอีก"

            "แม่จะฟ้องพ่อว่าลิขิตไม่อยากเจอ"

            "โห แม่อ่ะ ใส่ร้าย"

            "รีบๆ กินเลย ไม่หมดสักที" แม่ว่าก่อนพยักพเยิดมาที่จานข้าวผม

            "ก็แม่ชวนคุย"

            "ไม่คุยแล้วก็ได้" ว่าแล้วทำหน้างอนใส่

            ถ้าเป็นไอ้กาลล่ะก็มันคงถลาเข้าไปกอดแม่แล้วหอมแก้มสักที แต่ผมน่ะก็ทำได้เพียงแค่พูดง้อ เนี่ย ถ้าแม่เป็นเหมือนล่อนจ้อนผมคงซื้อขนมมาง้อแล้ว

            แม่นั่งเป็นเพื่อนจนผมกินข้าวเสร็จ เก็บจานให้แล้วก็ไล่ผมไปนั่งพัก ปล่อยให้ผมได้มีเวลาส่วนตัวกับกล่องเก็บของที่รื้อไปแล้วหนึ่งรอบ

            ผมนั่งลงบนพื้นหลังพิงโซฟาข้างๆ กล่องเก็บของ หยิบซองจอดหมายสีขาวล้วนที่แสนเลอะเทอะขึ้นมาดูอีกรอบ พลิกหน้าพลิกหลังไม่เจอชื่อคนส่งหรือตัวหนังสือใดๆ บนซอง เมื่อเปิดมันออกก็เจอการ์ดด้านใน อาจจะเป็นการ์ดอวยพรวันเกิดจากเพื่อนสักคน

            หยิบการ์ดสีชมพูอ่อนออกมาจากซอง ด้านหน้ามีรูปเด็กผู้ชายที่คนให้น่าจะวาดเอง ด้านล่างของรูปมีหมึกสีดำเขียนว่า ‘ถึงลิขิต’

            ผมเปิดการ์ดออก มีข้อความเขียนอยู่ไม่กี่ประโยค กวาดตามองรอบเดียวก็เข้าใจถึงสิ่งที่คนให้ต้องการสื่อ นี่ไม่ใช่การ์ดอวยพรทุกชนิด แต่เป็นการ์ดสารภาพรัก หรือเรียกว่าจดหมายสารภาพรักน่าจะเหมาะกว่า

            ‘เราเป็นลูกคนสวน เราเป็นผู้ชาย ไม่รู้ลูกเจ้านายอย่างนายจะรังเกียจไหม เราชอบลิขิตนะ - พุดตาน’

            คล้ายกับการ์ดแผ่นนี้เป็นตัวเก็บความทรงจำวัยเด็ก เมื่อผมอ่านอักษรตัวสุดท้ายความทรงจำที่เคยเลือนรางก็เริ่มชัดเจนขึ้นมา ในความฝัน ชื่อนั้นที่หายไป ความเกลียดชังที่ไม่รู้ที่มา จุดเริ่มต้นมันเกิดจากจดหมายสารภาพรักฉบับนี้

            จดหมายที่ล่อนจ้อนหรือพุดตานให้ผมตอนปิดเทอมอายุสิบขวบ

 

            ผมกลับมาถึงหอตอนห้าโมงครึ่ง เปิดประตูห้องก็เจอกับแมวสีขาวนั่งรออยู่ มันร้องเสียงดังรีบเข้ามาคลอเคลียเมื่อผมเดินเข้าไปข้างใน และทันทีเมื่อประตูปิดลงเจ้าแมวขาวก็กลายร่างเป็นคนยืนเปลือยล่อนจ้อนยิ้มกว้างอยู่ตรงหน้าผม

            "ขนม" พูดทักทายพร้อมกับแบมือขอ

            "ไปใส่เสื้อผ้าก่อนไป"

            ล่อนจ้อนก้มลงหยิบผ้าขนหนูที่กองอยู่บนพื้น เจ้าตัวคงลากมาไว้และวางแผนไว้แล้วว่าจะกลับมาเป็นคนตอนไหน พันมันไว้รอบเอวแล้วก็ยิ้มให้ผมอีกรอบ ก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าห้องนอน

            ผมพยายามปั้นหน้าให้เป็นปกติทั้งที่ภายในใจกำลังกระวนกระวายและสับสน มองแผ่นหลังนั้นค่อยๆ เดินห่างออกไป ยิ่งคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก็ยิ่งตอกย้ำว่าตัวผมนั้นมันแย่แค่ไหน เกลียดชังคนอื่นเพียงเพราะโดนผู้ชายสารภาพรัก แต่กลับกัน ในตอนนี้ผมกลับเป็นฝ่ายตกหลุมรักอีกฝ่ายเสียเอง

            "พุดตาน"

            เจ้าของชื่อหันกลับมา ใบหน้าที่ดูเหมือนแมวนั้นนิ่งอึ้ง หากความทรงจำของผมกลับมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้วล่อนจ้อนเองก็น่าจะเป็นเหมือนกัน

            ผมก้าวเข้าไปหา หยุดยืนตรงหน้า ลูบเรือนผมสีบลอนด์ที่ชอบ มอบความอ่อนโยนให้ สิ่งที่ผมในตอนนั้นไม่เคยทำกับคนตรงหน้าเลย

            "ขอโทษนะ"

            ความเกลียดชังนั้นรับรู้แล้วใช่มั้ย สายตาที่น่ารังเกียจนั้นจำได้แล้วใช่มั้ย แล้วยังจะยอมให้อภัยกันอีกหรือเปล่า

            "แค่ไม่รักน่ะ ไม่ผิดหรอก" น้ำเสียงที่เอ่ยนั้นอ่อนโยน คนตรงหน้าแย้มรอยยิ้มที่ผมชอบ สายตาไร้แววขุ่นเคืองใดๆ

            หากรักครั้งนี้สมหวัง ผมสาบานว่าจะดูแลคนคนนี้อย่างดี

            "กลับมาเป็นคนเหมือนเดิมนะพุดตาน"

 

            คำขอที่พูดไปจะเป็นจริงไหมผมไม่รู้ จะเป็นคำพูดที่ถูกต้องหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ แต่ทุกพยางค์ที่เอ่ยออกไปนั้นมาจากความตั้งใจ เช่นเดียวกับผมในวัยสิบขวบ ความตั้งใจอันแรงกล้าที่อยากให้พุดตานกลายเป็นแมวเพื่อรับรู้สิ่งที่ทำลงไปนั้น ไม่ต่างกับความรู้สึกของผมตอนนี้ที่อยากให้พุดตานกลับมาเป็นคนอีกครั้งเลย

            "พุดตาน" แต่พอต้องเรียกชื่อจริงแบบนี้มันไม่ชินปากเลยให้ตาย

            "เรียกล่อนจ้อนเหมือนเดิมก็ได้"

            ผมถอนหายใจดังเฮือก รู้สึกโมโหจนอยากต่อยปกตัวเองแรงๆ สักหมัด ผิดกับล่อนจ้อนที่ดูไม่แปลกใจเลยที่เรื่องกลายเป็นแบบนี้ มันไม่สมเหตุสมผล โดนผมเกลียดเพราะมาสารภาพรักไม่พอ แถมยังโดนผมสาปให้กลายเป็นแมวมาตั้งสิบปี ทำไมล่อนจ้อนถึงต้องพบเจอเรื่องราวบัดซบแบบนี้ เรื่องราวที่ผมเป็นคนกำหนดมัน

            "ทำหน้าเครียดอยู่ได้ ไหนยิ้มดิ๊" คนหน้าแมวยื่นหน้ามามอง แต่งตัวด้วยชุดที่ผมซื้อให้เรียบร้อยแล้วมานั่งประกบผมบนโซฟา พูดไปก็ยิ้มให้ดูแต่ผมทำตามไม่ไหวจริงๆ

            "ไม่ให้เครียดได้ไง"

            "บอกไปแล้วไง ว่าแค่ไม่รักไม่ผิดหรอก"

            "แต่ก็ไม่ควรเกลียดหรือเปล่า"

            "เอาอะไรกับเด็กสิบขวบ"

            "สิบขวบก็น่าจะคิดดีกว่านั้นได้"

            "มันผ่านไปแล้ว"

            "ก็ยังรู้สึกแย่อยู่ดี"

            ผมควรจะโดนอะไรบ้าง โดนลงโทษอะไรก็ได้โทษฐานที่ทำให้ชีวิตคนอื่นพัง ไม่ใช่ยังใช้ชีวิตอย่างสุขสบายแบบนี้ แค่เสียความรู้สึกอย่างเดียวมันไม่พอ

            "โอ๊ย!"

            ล่อนจ้อนหยิกแขนผมแรงมากจนสะดุ้งทั้งตัว จากแมวน่ารักๆ ก็กลายร่างเป็นแมวโหดขึ้นมาเสียอย่างนั้น แถมยังพูดจาโหดร้ายใส่อีก

            "รำคาญ!"

            "เจ็บ" เจ็บที่ใจจริงๆ ไม่ได้แกล้ง เกิดมายังไม่เคยโดนที่ชอบด่าว่ารำคาญด้วยสีหน้าจริงจังขนาดนี้มาก่อน

            "สมควร"

            "อย่าใจร้าย"

            "ก็ใจดีด้วยแล้วไม่ชอบ"

            "ถามจริงๆ นะ ไม่โกรธเลยจริงดิ" หลังจากถูกสารภาพรักทางจดหมายผมก็ทำเฉยชาใส่ล่อนจ้อนสารพัด ที่เจ้าตัวเคยบอกว่าไม่ค่อยได้เล่นด้วยกันแท้จริงแล้วเป็นเพราะผมไม่เล่นด้วยเอง ซ้ำร้ายกว่านั้นยังเคยด่าล่อนจ้อนว่าไอ้ตุ๊ด สายตาของล่อนจ้อนหลังจากโดนผมเกลียดก็ใช่ว่าจะยอมอ่อนให้นัก ประมาณร้ายมาร้ายกลับ เวลาที่สบตากันผมจะเห็นแต่ความเย็นชาในสายตาคู่นั้นทุกครั้งไป

            "ตอนนั้นก็โกรธ แต่ตอนนี้ไม่รู้จะโกรธไปทำไม"

            "ไม่ใช่แค่เรื่องนั้น หมายถึงทุกเรื่องที่ผ่านมา สิ่งที่เราทำลงไป"

            "แค่สิบขวบ แล้วก็ไม่รู้ตัวไม่ใช่เหรอว่าสาปคนอื่นได้ แต่ถ้าบอกว่ารู้ตัวก็จะโกรธ"

            ผมขอสาบานเลยว่าไม่เคยรู้ตัว และไม่รู้ด้วยว่าไอ้เรื่องแปลกประหลาดที่สุดในชีวิตที่ปู่เคยพูดให้ฟังมันจะส่งผลทำให้ชีวิตของคนที่เข้ามาพัวพันเป็นแบบนี้ ผมไม่กล้าพูดหรอกว่าถ้ารู้แล้วจะกำหนดให้ล่อนจ้อนเป็นอย่างอื่น แต่ผมไม่มีทางกำหนดให้ชีวิตใครพังแบบนี้แน่นอนถึงจะเกลียดก็เถอะ

            "ไม่รู้ตัวจริงๆ"

            "งั้นก็รู้ไว้ เราไม่โกรธเด็กสิบขวบที่ทำอะไรไปโดยไม่รู้ตัวหรอก"

            ผมเถียงไม่ออกแล้ว ไม่กล้าพูดขัดอะไรทั้งสิ้น ล่อนจ้อนไม่โกรธและไม่เคยกล่าวโทษที่ไอ้เด็กสิบขวบคนนั้นทำให้ชีวิตตัวเองต้องลำบากขนาดนี้ ซ้ำยังให้อภัยกันอีก

            "ขอบคุณนะ"

            "แต่ตอนนี้เราอยากรู้แค่อย่างเดียว"

            ใจที่กำลังจะฟูฟ่องโดนบีบให้กลับมาแฟบเหมือนเดิม แววตาที่เคยมั่นคงกำลังมองผมด้วยความสั่นไหว

            "ความรู้สึกที่ลิขิตมีต่อเราน่ะ มันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ใช่มั้ย"

            ให้อภัยแต่ไม่ไว้ใจอย่างนั้นสินะ

            ถึงจะยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ผมก็มั่นใจแล้วว่าความรู้สึกที่มีให้ล่อนจ้อนตอนนี้เป็นยังไง พัฒนาไปถึงขั้นไหน และอยากให้จบลงที่ความสัมพันธ์แบบใด ตอนเด็กผมไม่ชอบผู้ชาย ไม่อยากโดนล้อ ไม่อยากโดนมองไม่ดี แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนความคิดก็ย่อมเปลี่ยน ความสัมพันธ์ของคนใกล้ตัวที่เคยได้รับรู้ มันไม่ได้แย่เลยหากเปิดใจรับจริงๆ

            "มันเปลี่ยนมานานแล้ว"

            "แม้จะจำเรื่องตอนเด็กได้แล้วก็..."

            "ก็ยังรักล่อนจ้อนเหมือนเดิมนั่นแหละ"

            คนถูกสารภาพรักไม่ทันตั้งตัวเขินตัวแดงแป๊ด แดงตั้งแต่หน้าลามลงมายันคอ ล่อนจ้อนมองผมนิ่งกลายเป็นแมวโดนสตัฟฟ์ไปแล้ว

            "อึ้งเลยเหรอ"

            "อยู่ๆ ก็โดนบอกรัก ขออึ้งหน่อยเถอะ" ตอบกลับมาเสียงอ้อมแอ้ม ก้มหน้าหลบตามองมือตัวเอง

            "รักไปแล้วจริงๆ นะ"

            "อื้ม รู้แล้ว"

            "ไม่บอกกันบ้างเหรอ"

            "ก็เคยบอกไปแล้วไง"

            "ไม่ใช่ว่าลืมหรอกเหรอ" เป็นผมบ้างที่ถามเสียงอ้อมแอ้ม ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้เข้าใจมาตลอดว่าล่อนจ้อนลืมเพราะเจ้าตัวเคยเล่าให้ผมฟังแบบนั้น ทุกย่างมันกลับมายังจุดเริ่มต้นในวันที่เราเจอกันวันแรก ความรู้สึกที่เริ่มจากศูนย์จนเกือบเต็มร้อยในวันนี้

            "ก็ลืม"

            "แล้วยังไง ไม่เคยบอกกันซักหน่อย"

            "มันลืมแต่ไม่ได้จางหายไปทั้งหมด ในใจมันบอกตลอดว่าคนนี้คือคนพิเศษนะ แต่ก็ไม่รู้ว่าพิเศษยังไง เลยตีความหมายไปว่าพิเศษเพราะช่วยให้กลับมาเป็นคนได้ แต่ตอนนี้รู้แล้ว"

            "รู้แล้วว่า"

            "ว่ารักไง"

            รอบนี้ผมโดนน็อก ยิ้มค้างเป็นคนบ้า รู้สึกเลือดกำลังสูบฉีดดีเป็นพิเศษ เรามาเขินหน้าแดงเป็นเพื่อนกัน

            "แล้วลิขิตว่าที่พูดขอให้กลับมาเป็นคนจะได้ผลมั้ย"

            "เปลี่ยนเรื่องเฉย"

            "ให้เปลี่ยนเถอะ เป็นแมวไม่เคยเขินขนาดนี้เลย"

            "แล้วที่สารภาพตอนนั้นไม่เขินเหรอ"

            "ก็บอกว่าให้เปลี่ยนเรื่อง"

            ผมหลุดหัวเราะกับท่าทางน่ารักๆ ของแมวที่กำลังโวยวาย ต้องดึงเข้ามากอดล็อกตัวเอาไว้ระหว่างขาถึงจะยอมสงบ

            "ไหน เมื่อกี้ถามว่าอะไรนะ" เกยคางบนไหลแล้วกระซิบถาม ใจอยากจะดึงขึ้นมานั่งตักให้รู้แล้วรู้รอด

            "คิดว่าที่พูดไปมันจะได้ผลมั้ย"

            "ต้องได้ผลดิ เราตั้งใจมากนะ ถ้าเป็นคนแล้วจะได้ไปไหนมาไหนได้อิสระ ไม่ต้องอุดอู้อยู่ในห้อง"

            "แต่ก็ยังไปไหนไม่เป็นอยู่ดี"

            "เดี๋ยวสอนให้น่า สอนมาตั้งหลายอย่างแล้ว"

            หลังจากกลับมาเป็นคนได้แล้วชีวิตล่อนจ้อนจะเปลี่ยนไปยังไงบ้างผมยังเดาไม่ถูก ที่แน่ๆ ความทรงจำเกี่ยวกับล่อนจ้อนที่ทุกคนลืมเลือนไปจะกลับมา มันน่าลุ้นตรงที่ช่วงเวลาสิบปีที่หายไปนั้นมันจะถูกจัดแต่งให้เป็นยังไง

            "แสดงว่าก็ไปเรียนกับลิขิตได้ด้วยใช่มั้ย"

            "ได้ดิ จะพาไปเปิดตัวกับเพื่อนด้วย"

            "เปิดตัวอะไรอ่ะ"

            "เปิดตัวว่าที่แฟนไง แต่ตอนนี้ยังเป็นคนคุย" เรื่องเปิดตัวเนี่ย ผมเพิ่งจะบอกเพื่อนไปวันนี้เอง ถ้าเกิดทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วล่ะก็ ผมจะพาไปเปิดตัวพรุ่งนี้เลย

            "เออ แล้วลิขิตว่า..."

            "เปลี่ยนเรื่องอีกแล้ว"

            "งั้นก็ไม่ต้องคุยเลย" โดนทักรอบนี้ล่อนจ้อนสะบัดตัวจนหลุดออกจากอ้อมแขนผมแล้วมานั่งจ้องหน้าด้วยสายตาแมวกำลังจะโกรธ

            "อย่าเพิ่งงอนดิ"

            "ไม่ได้งอน รำคาญลิขิตอ่ะ ชอบขัด"

            "อย่าพูดว่ารำคาญ มันเจ็บ"

            ผมดึงแขนล่อนจ้อนให้กลับมานั่งท่าเดิม แต่เปลี่ยนตำแหน่งนิดหน่อยให้มานั่งตักแทน คนในอ้อมกอดก็ยอมนั่งนิ่งๆ แต่โดยดี เพราะถ้าหากขยับตัวยุกยิกมากๆ ล่ะก็ได้จบเหมือนเมื่อวันก่อนแน่

            "เมื่อกี้จะพูดว่าอะไรนะ"

            ยังไม่ทันได้คำตอบล่อนจ้อนก็สะดุ้งเมื่ออยู่ๆ ประตูห้องก็เปิดออก ผมหันไปมองเห็นไอ้กาลยืนอยู่ตรงประตู มันเหล่ตามองผมก่อนเดินเข้ามา ส่วนล่อนจ้อนน่ะตัวแข็งไปแล้ว

            "อ้อ ตามสบาย" มันหันมามองเราแวบหนึ่งแล้วเดินเข้าห้องตัวเองไป แต่หน้าตาตอนมันพูดน่ะโคตรกวนประสาท เก็บเข้าลิสต์เรื่องที่จะแซวผมไปแล้วแน่ๆ

            "ไอ้กาลมันว่างั้นน่ะ"

            "ปล่อยเลย"

            ผมยอมปล่อยให้ล่อนจ้อนนั่งดูทีวีดีๆ ส่วนผมก็นั่งมองเจ้าตัวอีกที ชอบมองดูปฏิกิริยาต่างๆ ที่แสดงออกมาอย่างซื่อตรง มีความสุขก็ยิ้ม โกรธก็บึ้ง ยกเว้นก็แต่เวลาเศร้าที่ไม่ยอมร้องไห้ เป็นคนอดทนเข้มแข็ง ไม่เคยแสดงความรู้สึกอ่อนแอออกมาให้ได้เห็นนัก

            หากพรุ่งนี้การกำหนดชีวิตใหม่ของล่อนจ้อนได้ผล ผมเองก็จะทิ้งความรู้สึกแย่ๆ ในตอนนี้ เข้มแข็งให้มากขึ้น และเริ่มต้นใหม่ให้ดีกว่าอดีตที่ผ่านมา


tbc.


เฉลยชื่อแล้วววว มีใครเดาถูกบ้าง
จากนี้เรื่องราวจะคลี่คลายหมดแล้วนะคะ เพราะอีกไม่กี่ตอนก็จะจบแล้ว
วันเสาร์หน้าไม่ได้อัพน้า ติดธุระนิดหน่อย เจอกันอีกเสาร์นู่นเลย
ขอบคุณทกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
แล้วเอกสารของการมีตัวตนล่ะทำยังไง

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
ต่อจากนี้จะรับผิดชอบน้องอย่างไร

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
แล้วถ้าพุดตานกลับมาเป็นคนแล้ว คนอื่นๆจะจำพุดตานได้ไหม

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ถ้ากลับมาเป็นคนแล้วจะเป็นยังไงต่อจะใช้วิตยังไงต่อๆๆ
แบบความทรงจำของแม่ของคนอื่นๆที่เคยรู้จัก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

ลิขิตครั้งที่ 18


            ผมจำได้ว่าเมื่อคืนนอนที่ห้องไอ้กาล ไม่ได้ตื่นกลางดึกแล้วแอบหนีมานอนห้องตัวเองเหมือนทุกทีด้วยเพราะหลับยาว แต่พอตื่นขึ้นมากลับพบว่าตอนนี้ผมกำลังนอนอยู่ในห้องตัวเอง บนเตียงที่ไร้วี่แววของแมวสีขาวอย่างที่ควรจะเป็น มันเกิดอะไรขึ้น หรือผมละเมอเดินมาแล้วจำไม่ได้

            ลุกขึ้นนั่งหันมองรอบห้อง ผ้าม่านสีไข่ปิดสนิท แสงแดดจ้าสาดผ่านเข้าพอให้มองเห็นภายในห้องได้แม้ไม่ต้องเปิดไฟ ทุกอย่างดูเป็นปกติแต่ก็เหมือนไม่ปกติ เพราะล่อนจ้อนไม่อยู่ในห้อง ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้วที่เจ้าแมวตัวนั้นจะอยู่ห่างจากผม

            ผมลุกออกจากเตียงเปิดประตูห้องนอนออกไปดูด้านนอก ไร้วี่แววของผู้ร่วมอาศัย ไอ้กาลน่าจะออกไปเรียนแล้วตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้ว และภายในห้องก็เงียบสนิท

            "ล่อนจ้อน" ผมลองเรียก รอฟังอยู่สักพักแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงใดตอบกลับมา ไม่ว่าจะคนหรือแมว

            เดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง ชามอาหารกับน้ำของแมวยังอยู่ข้างเตียงฝั่งประตูระเบียง เปิดผ้าม่านมัดไว้ เปิดประตูระเบียงออกไปดูก็เจอกระบะทราบวางอยู่ แต่ดูเหมือนมันไม่ได้ถูกใช้บริการมาสักพักแล้ว

            ผมเดินกลับเข้ามาในห้อง ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงแล้วลองคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวาน มันมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ในวันนี้แมวที่หายไป คนก็น่าจะกลับคืนมา คำขอของผมมันต้องได้ผลอย่างแน่นอน

            คำขอที่ให้พุดตานกลับมาเป็นคนอีกครั้ง

            แต่ปัญหาก็คือตอนนี้พุดตานอยู่ที่ไหน

            หยิบมือถือขึ้นมาไล่หารายชื่อผู้ติดต่อ เบอร์ที่ผมซื้อให้ยังถูกบันทึกไว้ในชื่อล่อนจ้อน ตัดสินใจกดโทรออกทันที แต่รอสายอยู่นานก็ไม่มีคนรับ ลองโทรอีกครั้งผลก็เหมือนเดิม ลองเปลี่ยนไปโทรหาน้องชายฝาแฝดแทนแต่ก็ไม่รับเหมือนกัน คงเพราะเรียนอยู่เลยรับไม่ได้

            ไล่ดูชื่อผู้ติดต่อไปเรื่อยๆ จนเจอบุคคลที่น่าจะพอช่วยได้อีกคนก็กดโทรออก รอสายไม่นานนักปลายสายก็รับให้ผมได้รู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้างที่ในที่สุดก็มีคนคุยด้วยสักที

            [ว่าไงลูก]

            "พ่อทำงานอยู่หรือเปล่า"

            [คุยได้ พ่อใกล้พักแล้ว]

            "คือผมมีเรื่องจะถามพ่อนิดหน่อย"

            [ว่ามาเลย]

            ผมประมวลคำถามในหัว ก่อนหน้านี้ไม่ได้คิดไว้ก่อนว่าจะถามอะไรแบบไหน เพราะผมก็ยังไม่รู้เลยว่าผลของการกำหนดชีวิตครั้งนี้จะมีส่วนใดที่ส่งผลระทบต่อความทรงจำบ้าง เรื่องไหนที่จะลืม เรื่องไหนที่จะจำได้ หรือจะมีเรื่องไหนถูกเสริมเติมแต่งขึ้นมา

            "คือพุดตานน่ะครับ"

            [ทำไมเหรอลูก พุดตานทำไม] พ่อถามสวนขึ้นมาทั้งที่ผมยังไม่ทันได้ถามอะไร ช่วยไขข้อข้องใจให้ผมได้แล้วว่าทุกคนที่รู้จักพุดตานน่าจะจำเจ้าตัวได้หมดแล้ว

            "เปล่าครับ พุดตานไม่ได้ทำอะไร"

            [มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า]

            คำถามของพ่อข้อนี้ผมเดาว่าผมกับพุดตานในปัจจุบันน่าจะรู้จักกันและยังติดต่อกันอยู่ หรืออาจจะเป็นเพื่อนกันก็ได้ ไม่อย่างนั้นพ่อน่าจะถามอย่างอื่นมากกว่า อย่างเช่น ‘อยู่ๆ ทำไมถึงถามพุดตาน’ อะไรประมาณนี้

            "เปล่าครับ ไม่ได้มีปัญหาอะไร" แม้ความจริงจะมีก็เถอะ

            [แล้วสรุปอยากถามอะไรพ่อล่ะ]

            "เรื่องแปลกประหลาดที่ผมต้องเจอน่ะครับ"

            [อ้อ เป็นไงบ้าง ตอนนี้คืบหน้าบ้างมั้ย] ถามแบบนี้แสดงว่าความทรงจำเกี่ยวกับผมไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปนัก พ่อยังจำได้ว่าผมกำลังต่อสู้กับปัญหาบ้าๆ นี้อยู่

            "ก็คืบหน้ามั้งครับ พ่อ แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่ามันจบ จะรู้ได้ยังไงว่าเราทำสิ่งที่ผิดให้ถูกต้องแล้ว"

            [พ่อว่าถึงตอนนั้นลิขิตน่าจะรู้นะ]

            "ผลสรุปของเรื่องนี้มันทำให้เราได้อะไรกันแน่อ่ะพ่อ"

            มันจบแล้ว หรือไม่ก็ใกล้จะจบแล้วผมรับรู้ได้ ผมอยากได้อะไรที่มันบ่งบอกอย่างชัดเจน ไม่ใช่ความรู้สึกเคว้งคว้างในตอนนี้ แต่พ่อกลับหัวเราะเสียงอย่างนั้น

            "มันไม่ตลกเลยนะพ่อ ปวดหัวจะแย่แล้ว"

            [ลิขิตคิดว่าปัญหาของลูกมันใกล้จบหรือยังล่ะ]

            "จบแล้ว...มั้งครั้บ"

            [จบแล้วเหรอ]

            "ผมก็ไม่รู้"

            พ่อหัวเราะอีกครั้ง ไม่ได้ช่วยให้ความกระจ่างอะไรเลยสักนิด จนผมอยากจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังให้รู้แล้วรู้รอดกันไป แต่พ่อก็คงไม่ฟังอยู่ดี

            "พ่อครับ"

            [ยังไงก็อย่าลืมพามาล่ะ]

            "ใครอีกล่ะพ่อ"

            [ปัญหาของลูกไง]

            คำตอบเดียวคลายความสงสัยให้ผมเกือบทุกข้อ พ่อหัวเราะทิ้งท้ายอีกครั้งก่อนวางสาย ท่าทางอารมณ์ดีแบบสุดๆ

            พ่อวางสายไปได้ไม่ทันไรไอ้กาลก็โทรกลับมา ใจผมอยากจะปล่อยให้สายตัดไปเองแล้วคิดทบทวนสิ่งที่คุยกับพ่อเมื่อกี้นี้อีกสักนิด แต่ดันมือไว้กดรับตั้งแต่สามวินาทีแรก

            [รับเร็วเชียว] คำทักทายสมกับเป็นน้องชายผมจริงๆ

            "เพิ่งเลิกเหรอวะ"

            [อืม พักเที่ยง มึงถึงมอยัง]

            "เดี๋ยวเข้าบ่ายๆ กูเรียนบ่ายสอง"

            [แล้วมีอะไร] มันถามเข้าประเด็น ทำเอาผมลังเลว่าควรถามถึงล่อนจ้อนหรือพุดตานดี ในเมื่อไอ้กาลเป็นคนเดียวที่รับรู้เรื่องของผมมาโดยตลอด

            "ก่อนออกไปเรียนมึงเห็นล่อนจ้อนมั้ย" สุดท้ายก็เลือกคำถามนี้

            [ล่อนจ้อนอะไรของมึงวะ]

            "แมวอ่ะ"

            [แมวอะไรวะ มีแมวมาที่ห้องเหรอ มึงรีบไล่ไปเลยนะ] ชัดเจนตั้งแต่คำถามแรกที่มันตอบ พอผมพูดถึงแมวมันก็โวยวายทันที

            "ไม่มีหรอกแมวน่ะ"

            [แล้วมึงจะพูดถึงทำไมเนี่ย ไอ้ล่อนจ้อนอะไรของมึงอีก]

            "เออ ช่างมัน แล้วพุดตานอ่ะ" ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง ไม่รู้ว่าความทรงจำของไอ้กาลถูกจัดแต่งใหม่ยังไงบ้าง แต่ที่แน่ๆ มันจำไม่ได้ว่าในห้องผมกับที่ระเบียงยังมีของใช้ของเจ้าแมวขาวอยู่ ถ้ามันรู้ก็อุดหูรอได้เลย

            [พุดมันทำไมอ่ะ]

            "มึงรู้จักมั้ย"

            [กูถามจริงลิขิต มึงเป็นบ้าอะไรเนี่ย นอนไม่อิ่มเหรอ] มันใส่มาเป็นชุดที่ทำเอาผมงงไปเหมือนกัน

            "งั้นมั้ง แล้วมึงรู้มั้ยพุดตานอยู่ไหน"

            [ก็ไปเรียนไง มึงเป็นไรป้ะวะ]

            ฟังมันด่าจนมึนผมไม่รู้จะตอบอะไรกลับไปเลยหัวเราะใส่ก่อนชิงวางสาย ไอ้กาลมันเลยส่งไลน์ตามมาว่าต่อ พอผมตอบกลับไปว่าเบลอๆ เพิ่งตื่น มันก็ไล่ผมไปอาบน้ำ

            ผมโยนมือถือทิ้งไว้บนเตียงคว้าผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำ เอาคำตอบที่ได้จากพ่อกับไอ้กาลมาคิดทบทวนอีกครั้ง ความทรงจำของทุกคนที่ถูกบิดเบือนไปตลอดสิบปีกลับมาแล้ว เป็นความทรงจำอันแท้จริงที่มันควรจะเป็น ส่วนเจ้าแมวสีขาวหรือล่อนจ้อนนั้นก็ได้ถูกลบออกไป

            อาบน้ำเสร็จกลับมาเช็กมือถือดูอีกรอบมีแค่แจ้งเตือนจากกลุ่มไลน์เพื่อนๆ ส่วนเบอร์ที่อยากคุยด้วยที่สุดก็ไม่ยอมติดต่อกลับมาสักที ถ้าเบอร์ที่ใช้ยังเป็นคนเดิมกับเมื่อวาน ก็ขอให้ติดต่อกลับมาทีเถอะ ไม่ว่าจะพุดตานหรือล่อนต้อน ใครก็ได้

 

            หยิบมือถือขึ้นมาดูหลังจบคลาสมีหนึ่งสายไม่ได้รับโชว์อยู่บนหน้าจอเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ผมรีบโทรกลับ แต่รอจนสายตัดก็ไม่มีคนรับ เหมือนฟ้ากำลังสนุกกับการแกล้งผมยังไงไม่รู้

            "เป็นอะไรวะทำหน้าเครียดตั้งแต่มาละ" คิรินทัก มันเดินมายืนหน้าโต๊ะผม ก่อนคนอื่นๆ จะตามมา

            "นิดหน่อย"

            "เรื่องสอบเหรอ ปกติมึงไม่เคยเครียดนี่หว่า" พสุถามต่อ

            "กูจะเครียดครั้งนี้แหละ ยังไม่ได้เริ่มอ่านเลย"

            "วันหยุดกูชวนมาอ่านด้วยกันก็ไม่มา"

            "มันก็ไม่เคยมาอยู่แล้วป้ะ" คิรินตอบกลับประโยคของพสุให้ เลยโดนมันมองค้อนใส่

            "กูอ่านคนเดียวมีสมาธิกว่า"

            "งั้นก็ไม่ต้องเครียดหรอก เดี๋ยวก็ทำได้เหมือนทุกทีนั่นแหละ จะไปกันยัง" มงคลเข้ามาเสริมเป็นคนสุดท้าย ก่อนพวกมันจะเดินนำออกไปจากห้อง

            ก่อนสอบมิดเทอมยังมีเวลาให้อ่านหนังสืออีกเกือบอาทิตย์ผมไม่เครียดหรอก เพราะตอนนี้มีอีกเรื่องให้เครียดมากกว่า

 

            ใจผมมันว้าวุ่นเลยอยู่เฉยๆ ไม่ได้ กลับมาถึงห้องลองโทรหาล่อนจ้อนอีกครั้งก็ยังไม่มีคนรับ ไลน์ไปหาก็ไม่อ่านไม่ตอบ เลยโยนมือถือทิ้งลงเตียงเดินค้นนู่นค้นนี่ในห้องไปทั่ว เปิดตู้ดูเสื้อผ้าที่เคยซื้อให้ยังอยู่ครบ เดินไปดูในห้องน้ำ ทั้งแปรงสีฟัน โฟมล้างหน้าก็ยังอยู่ ผมเดาไม่ออกเลยว่าสถานการณ์ตอนนี้มันเป็นยังไงกันแน่

            นึกอะไรไม่ออกเลยลองเปิดลิ้นชักข้างเตียงดู ซองจดหมายสีขาวเก่าๆ ถูกเก็บไว้ในนี้ ของสำคัญที่คล้ายกับแผ่นเก็บความทรงจำ มันยังอยู่ดี แต่คนให้มันล่ะตอนนี้อยู่ที่ไหน

            เก็บจดหมายปิดลิ้นชักแล้วทิ้งตัวลงบนเตียง คว้ามือถือมากดโทรหาล่อนอีกรอบก็ยังไม่มีคนรับเหมือนเดิม  เปลี่ยนใจโทรหาไอ้กาลมันเองก็ไม่รับ โทรย้ำอีกรอบก็ยังเหมือนเดิม ทำตัวเป็นคนคนน่ารำคาญจนผมยังนึกหงุดหงิดตัวเอง

            ลุกจากเตียงเดินเข้าห้องน้ำอีกรอบ กดถ่ายรูปของใช้ต่างๆ ของล่อนจ้อนแล้วส่งในทางไลน์แทนในเมื่อกาลมันไม่รับสาย

            'อันนี้ของใครวะ'

            รู้ว่ามันคงไม่ตอบกลับมาเร็วๆ นี้ เลยหยิบกุญแจห้อง กระเป๋าสตางค์เดินออกมาข้างนอก ไม่อยากอุดอู้อยู่ในห้องให้ใจมันวุ่นวายไปมากกว่านี้

            ผมเดินมาเซเว่นข้างหอ เข้ามาในร้านแล้วก็เดินวนไปเรื่อยๆ อย่างคนไม่รู้จะทำอะไรจนมาหยุดอยู่หน้าตู้ไอศกรีม หยิบไอศกรีมเยลลี่สีแดงขึ้นมาหนึ่งแท่งเดินไปจ่ายเงิน แกะถุงทิ้งถังขยะหน้าร้านแล้วยืนกินมันตรงนั้น ข้างๆ หมาหน้าเซเว่นตัวหนึ่งที่กำลังนอนอยู่

            "มองอะไร" ถามหมาสีน้ำตาลหูตูบที่เงยหน้ามามอง โทรหาก็ไม่มีใครรับ แมวหายก็ยังไม่หาไม่เจอ ลองคุยกับหมาท่าจะดี

            ไอ้ตูบสีน้ำตาลขมวดคิ้วมองผม เหมือนมันอยากจะถามกลับเหมือนกันว่าผมล่ะมีปัญหาอะไรกับมัน

            "เห็นแมวเปอร์เซียสีขาวมาเดินเล่นแถวนี้บ้างป้ะ"

            มันเมินหน้าหนีผมอย่างไม่ใส่ใจเมื่อฟังคำถามจบ หลับตานอนเอาหัวหนุนขาหน้าเป็นสัญญาณบอกว่าข้าไม่อยากคุยกับแกแล้วเจ้ามนุษย์

            น่าเศร้าใจชะมัด

            ผมยกมือถือขึ้นมาดูทุกสิบวินาทีระหว่างกินไอศกรีมไปด้วย หน้าจอเงียบสงบไร้การเคลื่อนไหวมาหลายนาที จนกระทั่งแอพสีเขียวแจ้งเตือนผมก็รีบยกมันขึ้นมาอ่าน แต่กลับไม่ใช่คนที่กำลังรอ

            ผมอ่านข้อความที่เพื่อนในกลุ่มส่งคุยกันโดยไม่ตอบอะไร กินไอศกรีมหมดแล้วก็โยนไม้ทิ้งถังขยะ หันไปมองทางหอเห็นใครคนหนึ่งที่ดูคุ้นหน้าคุ้นตาเพิ่งเดินเข้าไป ขาผมสั่งให้รีบก้าวตาม แต่ยังไม่ทันได้ขยับไปไหนไลน์จากไอ้กาลก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน

            'ก็ของพุดไง'

            กาลมันตอบคำถามของผมกลับมาสั้นๆ ซึ่งไม่ได้ช่วยให้ความสงสัยของผมกระจ่างขึ้นเท่าไร

            ผมโทรกลับไปหา รอบนี้มันรับอย่างรวดเร็ว พร้อมกับคำทักทายที่ผมเองก็รู้สึกแบบมันเหมือนกัน

            [วันนี้มึงเป็นอะไรเนี่ย วุ่นวายจัง]

            "วุ่นวายเลยนะ"

            [ปกติมึงไม่เคยเป็นแบบนี้ไงขิต มีอะไรหรือเปล่าวะ เมื่อวานยังดีๆ อยู่เลย เครียดเรื่องอะไร มิดเทอมเหรอ หรือทะเลาะอะไรกับพุด]

            "กูก็ไม่รู้ว่ะ"

            [เอ้า! โอเคมั้ยวะ เดี๋ยวกูรีบกลับ มึงก็คุยกันดีๆ ก่อน]

            "จะให้กูคุยกับใครอ่ะ พุดตานอยู่ห้องเราเหรอ" ผมพอจะจับเรื่องราวได้บางส่วนแล้วแต่ก็ยังไม่แน่ใจในหลายๆ อย่าง แต่ก็ไม่อยากถามโพล่งออกไปตรงๆ ให้ไอ้กาลมันด่าเล่นเหมือนเมื่อเช้า

            [มึงอยู่ห้องไม่ใช่เหรอ]

            "กูลงมาเซเว่น"

            [ยังไงวะ สรุปทะเลาะกันจริงๆ ใช่มั้ย ร้ายแรงเหรอวะ ปกติก็เห็นแค่หยอกๆ ช่วงนี้ก็เหมือนจะรักกันดี]

            "ปกติเหรอวะ"

            [อะไรของมึงเนี่ยลิขิต กูชักจะงงแล้วเนี่ย]

            อย่าว่าแต่มันงงผมก็งง หรือควรจะถามออกไปตรงๆ เลยดี เพราะยังไงมันก็ต้องเรื่องแปลกๆ เหมือนกับผมรู้แล้ว ตอนนี้มันอาจจะลืมเรื่องของผม แต่คิดดูอีกทีอย่าเลยดีกว่า

            "หมายถึงกูกับพุดตานดูสนิทกันเหรอ"

            [แล้วมาถามกูทำไมเนี่ย อย่าบอกนะว่าตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาพวกมึงทะเลาะกันจริง]

            "มึงคิดว่าไง" ผมปล่อยให้น้องชายตีความหมายตามที่คิด เผื่อจะหลุดพูดอะไรออกมาอีกบ้าง ส่วนผมเองก็ต้องเอาคำพูดของมันมาคิดอีกที

            จากคำพูดของไอ้กาล หนึ่งเดือนที่ผ่านมาเท่ากับว่าหนึ่งเดือนที่อยู่ด้วยกัน ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่ผมได้เจอล่อนจ้อนพอดี

            [สรุปพวกมึงนี่ยังไงวะ เพิ่งบอกกูว่ากำลังคุยกัน แล้วมาทะเลาะกันเนี่ยนะ]

            "มันก็ต้องมีบ้างมั้ย"

            [จะทำอะไรก็เอาให้มันแน่ๆ พุดเจอหอที่โอเคแล้วไม่ใช่ไง ถ้าเขาย้ายออกแล้วมึงจะหมดโอกาส]

            หาหอ ย้ายออก แสดงว่าที่อยู่ด้วยกันตอนนี้แค่มาอาศัย แล้วผมกับพุดตานก็อาจจะเริ่มสานสัมพันธ์กันตั้งแต่ตอนนั้น            "เออ กูรู้ แล้วทำไมเมื่อเช้ากูตื่นมาไม่เจอใครเลยวะ"

            [เมื่อเช้าพุดออกมาเรียนพร้อมกู แล้วเมื่อคืนก็ย่องไปนอนกับเขาไม่รู้เรื่องได้ไงวะ]

            "กูหลับเพลินไปหน่อยมั้ง"

            เมื่อคืนผมจำได้ว่าไม่ได้กลับไปนอนห้องตัวเอง แต่จะด้วยเห็นผลอะไรที่ทำให้มันกลายเป็นแบบนี้ก็ช่างมันเถอะ ผมขี้เกียจจะคิดแล้ว

            "แล้วมึงฝันร้ายมั้ยเมื่อคืน"

            [เมื่อคืนไม่ฝัน กูเพิ่งมารู้ตัวก็ตอนตื่นนี่แหละ พุดมาบ่นมาให้ฟังว่ามึงแอบไปนอนด้วย]

            "งั้นก็ดีแล้ว"

            [ดีเรื่องอะไรไอ้สัด เมื่อเช้าดีๆ กันอยู่เลย พุดก็ดูปกติดี มีแต่มึงเนี่ยเป็นบ้าเป็นบออะไร เอาเวลาไหนไปตีกันวะ]

            "เออน่า เดี๋ยวกูกลับไปเคลียร์เอง"

            [พุดกลับห้องยัง]

            "กำลังจะขึ้นไปดู"

            [ยังไม่ขึ้นห้องอีก]

            "เออ แค่นี้นะมึง"

            ผมเดินกลับหอก่อนกดวางสาย ยกคีย์การ์ดแตะเปิดประตูก้าวขึ้นบันได กำลังใจร้อนเลยขี้เกียจรอลิฟต์ที่ค้างอยู่ชั้นเจ็ด ก้าวทีละสองขั้นเพื่อให้ถึงเร็วๆ จนขึ้นมาถึงชั้นสามสายเรียกเข้าก็ดัง

            หน้าจอโชว์ชื่อที่ติดต่อไม่ได้มาตลอดทั้งวัน ผมกดรับตอนไขกุญแจ ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากปลายสาย เมื่อเปิดประเข้าไปก็เจอคนที่พยายามตามหามาตลอดทั้งวันยืนอยู่ในห้อง

            เรายังถือโทรศัพท์แนบหู แม้สีผมจะดูแปลกตาไปสักหน่อยแต่ใช่คนเดียวกันไม่ผิดแน่ ล่อนจ้อน ไม่สิ พุดตานยังอยู่กับผมเหมือนเดิม

            ตาชั้นเดียว จมูกรั้นๆ หน้าตาดื้อๆ กับผิวสุขภาพดี ยกเว้นก็แต่ผมสีบลอนด์ที่หายไป กลายเป็นสีน้ำตาลเข้มแต่คนคนนี้ก็ยังดูน่ารักเหมือนแมวเหมือนเดิม

            ผมกดวางสายเดินตรงไปคว้าคนตรงหน้าเข้ามากอด ทั้งกลิ่นและสัมผัสยังคุ้นเคย แต่มันก็อดกลัวไม่ได้ว่าจะมีบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่า

            "เป็นอะไร" คนในอ้อมกอดถาม

            ผมผละออก มองสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยคู่นั้น มีหลายสิ่งที่ผมอยากถาม ชีวิตที่ผ่านไปเป็นยังไงบ้าง สบายดีหรือเปล่า เรียนเป็นยังไงบ้าง จำเรื่องราวเกี่ยวกับผมได้บ้างไหม ความรู้สึกที่มียังเหมือนเมอยู่หรือเปล่า กลับมาเป็นพุดตานแล้วยังจะรักเหนือลิขิตคนนี้เหมือนล่อนจ้อนอยู่อีกไหม

            และถ้าหากความรู้สึกยังเหมือนตอนเป็นล่อนจ้อนอยู่ ผมก็สามารถทำในสิ่งที่เคยได้ใช่มั้ย

            ริมฝีปากที่เคยสัมผัสมาหลายต่อหลายครั้งลอยเด่นอยู่ตรงหน้า มือผมยังประคองกอดไหล่พุดตานเอาไว้ มองตอบดวงตาที่มีแต่ความสงสัยคู่นั้น ก่อนขยับเข้าไปใกล้แนบริมฝีปากกับอีกฝ่ายเบาๆ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมานั้นช่างรุนแรงเหลือเกิน

            พลั่ก!

            ตัวผมโดนผลักออก ตามด้วยหมัดแมวๆ ที่ไม่ได้มีความรุนแรงอะไรนัก แต่ก็ทำให้คนที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเซถอยหลังด้วยความมึนงงได้ ทว่าเจ็บตัวยังไม่เท่าเจ็บที่หัวใจ เพราะคำพูดที่อีกฝ่ายมอบให้นั้นมันร้ายแรงกว่าเยอะ

            "มึงเป็นเหี้ยอะไรเนี่ยลิขิต!"

            อย่าถามว่าช็อกแค่ไหน แมวน้อยที่แสนน่ารักของผมได้เปลี่ยนไปแล้ว
 

tbc.

 
กลับมาต่อแล้วค่า งงๆ กันมั้ย ไม่งงเนอะ ฮ่า
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

กลับเป็นคนปกติแล้ว  อดีตที่สร้างใหม่ตอนที่หายไปนี่มันเป็นยังไงหล่ะนั่น 

แล้วทำไมความทรงจำของเหนือลิขิตจึงไม่ถูกลบล้างแล้วสร้างใหม่เหมือนคนอื่น ๆ หล่ะ?

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เป็นคนแล้ววว
กลายเป็นว่าพุดตานก็อยู่กับทุกคนมาตลอด

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
พุดตานกลับมาเป็นคนแล้ว แต่เหมือนกับว่าจะเปลี่ยนปัจจุบันไปด้วย

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

ลิขิตครั้งที่ 19


            ต่อยผม แล้วก็ต้องมานั่งทำแผลให้ พุดตานทำหน้างอคอหักเหลือบตามองผมเป็นพักๆ ตาขวางเหมือนล่อนจ้อนเวลางอน หูแดงเหมือนล่อนจ้อนเวลาเขิน สรุปแล้วก็คือเขินผมอยู่สินะเลยหน้าบึ้งขนาดนี้

            "เป็นบ้าอะไรอยู่ๆ ก็มาจูบ" สุดท้ายแล้วก็ทนอยู่ในความเงียบไม่ไหวจนต้องถามออกมา เสียงอ้อมแอ้มไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตากันอีก จะว่าการแสดงออกเหมือนล่อนจ้อนก็ใช่อยู่ ต่างกันแค่มือหนักกว่านิดหน่อย

            "ไม่รู้ดิ" ผมก็ไม่รู้เหตุผลของตัวเองนักหรอก รู้แค่ว่าอยากจูบ อีกอย่างการทำแบบนั้นก็ช่วยพิสูจน์เรื่องบางอย่างให้ผมด้วย เพราะถ้าเป็นล่อนจ้อนที่ผมรู้จักไม่มีทางต่อยกันแบบนั้นแน่ แต่ก็ใช่ว่าความรู้สึกที่มีต่อพุดตานคนนี้จะเริ่มจากศูนย์ เรายังเป็นคนรู้จักที่ต้องทำความรู้จักกันเพิ่มอีกสักหน่อยแค่นั้น

            "ไม่รู้ได้ไง"

            "ก็แค่อยากทำ"

            "เอาแต่ได้" บ่นแล้วกดสำลีที่แผลผมแรงๆ จนต้องถอยหนี แบบนี้มันจงใจแกล้งกันชัดๆ แล้วไอ้คำว่าเอาแต่ได้เนี่ย ทำเอาอยากรู้เลยว่าในความทรงจำของพุดตานผมเป็นคนยังไง ทำบ่อยเหรอเรื่องแบบนั้น

            "เอาแต่ได้ยังไง"

            "เมื่อคืนก็ย่องมานอนด้วย"

            "ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย"

            "เหรอ"

            "แล้วทำอะไรล่ะ"

            สำลีในถุงถูกหยิบมาปาใส่ผม มองกันตาขวางแบบแมวโกรธ แต่ก็ยอมเฉลยออกมาว่าเมื่อคืนผมทำอะไรลงไป

            "ก็กอดทั้งคืน"

            "นั่นมันห้องเรา เตียงเราไง"

            "งั้นจะรีบย้ายออกเร็วๆ แล้วกัน"

            "ไม่ได้ไล่นะ"

            "ไม่ได้อยากอยู่ด้วยเหมือนกัน"

            "เจ็บเลย" เจ็บที่ใจจริงๆ ไม่ได้แสดง สายตากับน้ำเสียงยังคงเป็นล่อนจ้อนคนเดิม พอโดนพูดแบบนี้ใส่แม้จะเป็นพุดตานแมวน้อยผมสีน้ำตาลเข้มมันก็เจ็บ

            เรานั่งสบตากันนิ่งๆ เมื่อไม่มีใครพูดอะไรต่อ เป็นเรื่องน่ายินดีที่พุดตานได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านผมก็อดรู้สึกแย่ไม่ได้อยู่ดี ครั้งหนึ่งพวกเราเคยคุยเกี่ยวกับเรื่องแปลกประหลาดนี้ว่ามันอาจจะพาเนื้อคู่มาหาผม และก็ได้รับการยืนยันจากคำของพ่อวันนี้ ผมทำสิ่งที่ผิดให้ถูกต้องได้แล้วก็จริง แต่มันเหมาะสมแล้วหรือที่จะได้ครอบครองสิ่งดีๆ นี้เอาไว้ด้วย มันเหมือนผมเป็นคนที่เอาแต่ได้อย่างที่พุดตานว่าจริงๆ

            "ขอโทษนะ"

            "ขอโทษทำไม" พุดตานทำหน้าตาตื่นเมื่ออยู่ๆ ผมก็พูดขึ้นมา

            ผมแค่อยากพูดคำนี้ ขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ทำลงไป ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะลืมหรือจดจำมันได้ก็ตาม

            "สำหรับทุกสิ่ง"

            "อารมณ์ไหนล่ะเนี่ย"

            "ขอกอดหน่อยดิ"

            พุดตานนิ่งไปชั่วครู่ ไม่ได้ตกใจแต่ดูเหมือนจะแปลกใจมากกว่าที่อยู่ๆ ผมก็ขอออกไปแบบนั้น แต่กับคนคนนี้น่ะ ไม่ค่อยใจร้ายกับผมนักหรอก เมื่อวานเป็นยังไง วันนี้ก็ยังเป็นแบบนั้น

            อ้อมแขนตรงหน้ากางออก ผมโผเข้าไปกอด อ้อมกอดครั้งที่สองของพุดตาน มันยังให้ความรู้สึกเหมือนเดิม เหมือนทุกครั้งที่เคยกอดกัน

            "เครียดอะไรจริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย"

            "นิดหน่อย"

            "เรื่องเราหรือเปล่า"

            ผมผละออกเพื่อจ้องตาคนถาม คำตอบมันอาจจะใช่แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ สิ่งที่ทำให้ผมทุกใจอยู่ตอนนี้เป็นเรื่องที่ผมทำตัวเองทั้งนั้น

            "ไม่หรอก ล่อนจ้อนน่ะ..."

            "ล่อนจ้อน?" เอียงคอถามแบบแมวขี้สงสัย ผมเองก็หลุดปากไป มันยังไม่ค่อยชิน

            "หมายถึงพุดตาน"

            "ก็นึกว่า..." ลากเสียงยาวแล้วก็หยุดพูดปล่อยให้คนฟังสงสัยซะอย่างนั้น

            "นึกว่าอะไร"

            "เปล่า เมื่อกี้ลิขิตจะพูดอะไร"

            "จะบอกว่าพุดตานน่ะไม่ใช่เรื่องที่เราเครียดหรอก เป็นความสบายใจต่างหาก"

            คนฟังยิ้มกว้างจนหนวดแมวขึ้น อีกหนึ่งความเป็นเอกลักษณ์ที่ทาสแมวอย่างผมชอบ เห็นแล้วก็อยากแกล้ง อยากรู้ว่าปฏิกิริยาจะเหมือนล่อนจ้อนมั้ยถ้าผมพูดเรื่องที่เจ้าตัวไม่ชอบฟัง

            "ก็กุ๊กกิ๊กกันขนาดนี้แล้วนะ ที่โดนจูบเมื่อกี้ทำไมต้องโกรธด้วย"

            "รำคาญลิขิตว่ะ"

            ไม่ใช่แค่คำพูดที่ชวนให้เจ็บจี๊ดที่ใจทุกครั้งที่ได้ฟัง แต่ยังตามมาด้วยกองทัพสำลีที่อีกฝ่ายกระหนำปาใส่ผม แม้ไม่เจ็บแต่ก็ช่วยพิสูจน์นิสัยพื้นฐานของพุดตานได้อีกข้อว่าคนเป็นรุนแรงแบบนี้นี่เอง

            หลังจากเก็บกล่องปฐมพยาบาลเข้าที่เรียบร้อยไอ้กาลก็กลับมา มันวางมื้อเย็นที่ซื้อมาฝากทุกคนไว้บนโต๊ะ พอหันมาเห็นผมมันก็ทำหน้าตกใจ มองสลับไปมาระหว่างผมกับคนข้างๆ ก่อนถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก

            "ปากไปโดนอะไรมาวะ"

            แค่แมวต่อยแผลไม่ได้น่ากลัวนักแต่ก็ปากแตก  ผมเหล่มองพุดตานไอ้กาลก็มองตาม แล้วคนฉลาดอย่างมันก็เข้าใจคำตอบขึ้นมาเอง

            "ขนาดนี้เลยเหรอวะ"

            "อุบัติเหตุ"

            "ตั้งใจ"

            ผมตอบอีกอย่างพุดตานตอบอีกอย่าง พอหันไปมองก็เจอแมวแยกเขี้ยวใส่ จะแก้ตัวให้นะเนี่ย อยากบอกไอ้กาลมันหรือไงว่าผมทำอะไรถึงได้แผลนี้มา

            "พวกมึงโอเคกันแน่นะ" มันถามอย่างเป็นกังวล ก่อนหน้านี้ผมทำตัววุ่นวายใส่มันไว้เยอะ ไม่แปลกใจที่กาลมันจะคิดมาก

            "โอเค เคลียร์กันแล้ว"

            "พุดตาน" ได้คำตอบจากผมคนเดียวไม่พอยังไปขู่เอาคำตอบจากพุดตานอีก

            "เคลียร์แล้ว ไม่มีอะไร"

            "ทำอะไรกันรุนแรงจังวะ"

            "ก็บอกว่าอุบัติเหตุ" ผมแก้ตัวให้อีกรอบ แต่ไอ้กาลไม่เชื่อ

            "เมื่อกี้พุดตานบอกตั้งใจ"

            "ก็สมควรอ่ะ"

            "แบบนี้ไม่ได้นะเว้ย" แล้วคนเครียดก็กลายเป็นน้องชายผมแทน

            "เทกับข้าวเตรียมให้หน่อยนะ เดี๋ยวมา" บอกกับพุดตานแล้วผมลากไอ้กาลเข้ามาคุยในห้องแบบส่วนตัว ยังมีอีกหลายเรื่องเลยที่ผมอยากคุยกับมัน

            ไอ้กาลยอมเดินตามผมมาดีๆ ไม่ขัดขืนให้ต้องออกแรงเยอะ เปิดไฟปิดประตูแล้วมันก็ยืนกอดอกขมวดคิ้วมอง ตั้งท่าเตรียมซักผมเต็มที่

            "อะไรยังไงวะ ทะเลาะอะไรกันอีก กูโอเคนะที่พวกมึงจะชอบกันอ่ะ แต่ถ้าใช้ความรุนแรงแบบนี้กูไม่เห็นด้วย" มันใส่มาเป็นชุดจนผมยกมือเบรกไม่ทัน

            "มันเป็นอุบัติเหตุนั่นแหละ พุดไม่ได้ตั้งใจ จริงๆ กูก็สมควรโดน อยู่ๆ ก็ไปจูบมัน"

            "ถามจริง อีกแล้วเหรอวะ" พอรู้ความจริงเท่านั้นมันก็ทำหน้าเอือมระอาขึ้นมาทันที

            "ทำไม กูทำบ่อยเหรอ"

            "ยังมีหน้ามาถาม"

            ผมได้แต่หัวเราะเพราะไม่รู้จะแก้ตัวยังไง กับล่อนจ้อนเรียกว่าจูบบ่อยได้มั้ยไม่รู้ แต่ก็หลายครั้งอยู่ กับพุดตานผมไม่รู้ว่าความทรงจำของแต่ละคนถูกจัดแต่งให้เป็นแบบไหนเลยไม่อยากพูดอะไรแปลกๆ ออกไปนัก แค่นี้ก็โดนไอ้กาลด่าไปหลายรอบแล้ว

            "กาล มึงจำเรื่องที่ปู่เคยเล่าให้ฟังได้มั้ย" เคลียร์เรื่องเข้าใจผิดแล้วผมก็เริ่มเข้าประเด็นที่อยากรู้อีกเรื่อง แล้วไอ้กาลก็เริ่มขมวดคิ้วอีกครั้ง

            "เรื่องอะไรวะ ปู่พูดตั้งหลายเรื่อง"

            "ที่ว่าจะมีเรื่องแปลกประหลาดที่สุดในชีวิตเกิดขึ้นกับเรา"

            "อ๋อ" ไอ้กาลลากเสียงยาว เรื่องนี้ถ้ามันจำไม่ได้จะแปลกมาก เพราะมันเป็นคนบอกผมเรื่องที่ปู่พูดเอง

            "ตอนนี้มันกำลังเกิดขึ้นกับกูนะ"

            "ไอ้เรื่องประหลาดนั่นอ่ะนะ"

            "เออ แต่ตอนนี้กูยังไม่แน่ใจว่ามันจบหรือยัง และถ้าเรื่องกูจบเมื่อไรก็ถึงตามึง"

            "แล้วมันประหลาดยังไง"

            "ประมาณว่าเมื่อวานมึงยังรู้เรื่องของกู แต่วันนี้มึงลืมหมดแล้ว"

            "ถามจริง" มันขมวดคิ้วแน่นกว่า

            "เดี๋ยวมึงก็รู้" ผมเลือกที่จะไม่เล่ารายละเอียด เหมือนกับที่พ่อและอาพิทักษ์ไม่เคยถามว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นกับผม เพราะถึงแม้จะเคยจำได้เดี๋ยวก็ลืมอยู่ดี

            "มึงอำอะไรกูอีก"

            "ตามที่กูบอกอ่ะ ถ้าไม่เชื่อก็ลองถามพ่อดู ที่กูบอกเผื่อมึงเจอจะได้ไม่ตกใจ"

            "ขอรายละเอียดกว่านี้หน่อย"

            "สิ่งที่มึงไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้แต่มันก็เกิดขึ้น"

            "ขอบคุณ ช่วยได้มาก"

            "ไม่เป็นไร"

            ไอ้กาลถอนหายใจใส่ผม มันเลิกยืนเท้าเอว เดินสวนผมเข้าไปข้างใน วางกระเป๋าบนโต๊ะ เปลี่ยนจากชุดนักศึกษามาใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้น

            มีอีกหลายเรื่องที่ผมอยากคุยกับมันแต่กลัวว่าคนที่บอกให้เทกับข้าวเตรียมไว้จะรอนานเลยเดินออกมาก่อน แล้วก็เป็นอย่างที่คิด พุดตานนั่งเท้าคางรอที่โต๊ะ เหลือบตามองตามตอนผมเปิดประตูออกมา

            "นาน คุยอะไรกัน"

            "อยากรู้เหรอ" ผมเดินไปนั่งเก้าอี้ตัวข้างๆ โดนแยกเขี้ยวใส่เลยล้มเลิกความคิดที่จะกวนประสาทอีกฝ่ายต่อ หยิบช้อนส้อมตัดกับข้าวให้ กินก่อนไม่รอไอ้กาล

            ได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้ก็ชวนให้นึกถึงวันที่พวกเราได้กินข้าวพร้อมกันครั้งแรก วันที่ไอ้กาลซื้อก๋วยเตี๋ยวมาให้ แถมยังเป็นวันที่เกิดเรื่องเยอะแยะไปหมด ล่อนจ้อนไปตบกับแมวตัวอื่นจนได้แผล ครั้งแรกและครั้งเดียวที่อาบน้ำด้วยกัน และวันแรกที่ล่อนจ้อนได้นอนค้างที่นี่

            "ยิ้มอะไรนักหนา" เมื่อนึกถึงเรื่องที่ทำให้มีความสุขมันก็จะเผลอยิ้ม พอยิ้มก็โดนทัก

            "คิดอะไรนิดหน่อย"

            พุดตานดูอยากจะถามต่อ แต่พอเห็นว่าไอ้กาลเดินออกมาก็เงียบไป ผมเองก็อยากคุยนะ เอาไว้กินข้าวเสร็จต้องชวนไปนั่งคุยกันให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียหน่อย

 

            ผมตามพุดตานเข้ามาในห้องนอนของตัวเองที่ตอนนี้ยกให้เป็นของคนตรงหน้าชั่วคราว เดินไปยืนข้างๆ มองเจ้าตัวหยิบของออกจากกระเป๋า มีพวกชีทเรียนกับของใช้ส่วนตัว ทำให้ผมรู้ว่าแท้จริงแล้วเราเรียนกันคนละมหาวิทยาลัย

            "จะอ่านหนังสือเหรอ"

            "ไว้อ่านดึกๆ"

            "สอบเมื่อไร"

            "หลังลิขิตหนึ่งสัปดาห์ เคยบอกไปแล้วไง" ตอบแล้วก็หันมาทำตาขวางใส่ผม ขยันจับผิดกันจริงๆ แล้วผมก็หาเรื่องให้ถูกจับผิดเยอะซะด้วยสิ

            "วันนี้เบลอๆ"

            "เชื่อ"

            นึกถึงสภาพของตัวเองเมื่อเช้าแล้วก็ตลกดี ผมเดินวนรอบห้องเหมือนหนูติดจั่น เปิดตรงนี้ค้นตรงนี้ โทรไปรบกวนคนอื่นให้วุ่นวายไปหมด ทั้งที่คนที่ผมอยากเจออยู่ใกล้แค่นี้เอง

            ผมเดินมาที่ประตูระเบียงปล่อยให้พุดตานจัดการข้าวของส่วนตัวของตัวเองไปก่อน หยิบชามข้าวแมวออกไปวางไว้ข้างกระบะทราย มองมันอย่างใช้ความคิดว่าควรจะทำยังไงดี อยู่ที่นี่มาปีกว่าก็มีแค่ล่อนจ้อนที่มาหา คงไม่มีแมวตัวไหนคิดจะมาที่ห้องนี้แล้วล่ะมั้ง

            "ทำไมมีของพวกนี้ด้วย" พุดตานที่เพิ่งตามออกมาชี้ไปที่ชามข้าวกับกระบะทราย อยากจะบอกเหลือเกินว่าเป็นของตัวเองนั่นแหละ

            "มันก็วางอยู่นานแล้วนะ"

            "เมื่อเช้ายังไม่เห็นเลย แอบเลี้ยงแมวเหรอ กาลรู้มั้ยเนี่ย" ถามแล้วเดินไปนั่งมองใกล้ๆ

            "มันอยู่มานานแล้วนะ ไม่คุ้นจริงดิ"

            "ไม่อ่ะ ไม่ค่อยเห็นแมวแถวนี้ด้วย ตอนมาอยู่ก็ไม่เห็น"

            "แต่ก่อนมีแมวเปอร์เซียสีขาวมาหาบ่อยๆ"

            "กาลไม่กลัวเหรอแบบนั้น"

            "ไม่เหลือ"

            "แล้วลิขิตไม่แพ้หรือไง"

            "จำได้ด้วยว่าแพ้"

            "จำได้ลางๆ"

            "ก็แพ้ แต่ใส่มาสก์เอาก็พอกันได้อยู่"

            "เป็นทาสแมวนี่นะ"

            "จำได้อีก"

            "จำไม่ได้ก็แปลก"

            แม้จะเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่ไม่ค่อยสนิท เราก็พอรู้ว่าใครชอบอะไรไม่ชอบอะไร ผมไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองนักหรอกแต่ในเมื่อพุดตานชอบผมก็ย่อมรู้เรื่องต่างๆ เกี่ยวกับผมดีอยู่แล้ว

            พุดตานลุกขึ้นยืนละความสนใจจากบรรดาของใช้แมว หันหลังพิงราวระเบียงแล้วส่งยิ้มมาให้

            "มันน่ารักมั้ย"

            "หมายถึง?"

            "แมวไง"

            "อืม น่ารัก"

            "มีรูปป้ะ"

            "เดินไปส่องกระจกดูดิ เหมือนกันเลย"

            "ตลก" ว่าแล้วก็หันหลังให้ผมแล้วหันหน้าไปมองวิวนอกระเบียงแทน

            ผมเดินออกไปยืนข้างๆ พุดตาน ดูพระอาทิตย์ตกดินจากริมระเบียงห้องที่เห็นเป็นลูกกลมๆ เหมือนไข่แดง ครั้งหนึ่งผมเคยยืนมองมันตอนรอล่อนจ้อนมาหา

            "ได้กลับบ้านสวนบ้างมั้ย" เห็นวิวสวยๆ แล้วก็ชวนให้นึกถึง พุดตานหันมามองด้วยสายตาที่เหมือนกับอยากจะบอกว่าผมถามในเรื่องที่ไม่ควรถามออกมาอีกแล้ว

            "ก็เพิ่งกลับด้วยกันเมื่ออาทิตย์ก่อน เบลออะไรอีก"

            "หมายถึงจะกลับอีกเมื่อไร"

            "ยังไม่รู้เลย ปิดเทอมมั้ง แต่หลังมิดเทอมว่าจะย้ายออกแล้ว"

            "ย้ายออก?"

            "ก็ย้ายหอไง"

            ผมลืมไปชั่วขณะว่าตอนนี้พุดตานแค่มาอาศัยอยู่ด้วยชั่วคราว พอได้ยินว่าย้ายออกดันคิดไปไกลว่าจะย้ายมหา'ลัย เพราะเมื่อกี้เพิ่งพูดถึงเรื่องสอบกันอยู่

            "แล้วได้หอแถวไหน"

            "ใกล้ๆ มอ"

            "ไกลจากที่นี่มากมั้ย"

            พุดตานหันมามองผมแล้วอมยิ้ม ที่เริ่มมีความรู้สึกดีๆ ให้กันก็เพราะได้อยู่ใกล้ได้ดูแลกันตลอดไง ถ้าพุดตานย้ายออกไปผมต้องเหงาแน่

            "มอเราก็ไม่ได้ห่างกันเยอะมั้ย ก่อนหน้านี้ไม่เจอกันมาตั้งหลายปีไม่เห็นเป็นไรเลย"

            "ก็มันไม่เหมือนเดิมแล้วไง ไม่อยากอยู่ด้วยกันจริงดิ" ไม่ว่าจะล่อนจ้อนหรือพุดตาน พอถูกถามตรงๆ ทีไรชอบหลบตากันทุกที

            "เปล่า แต่อยู่ตรงนั้นมันสะดวกกว่าไง ไม่อยากรบกวนนานๆ ด้วย"

            "ไม่เคยพูดเลยว่ารบกวน"

            "เดี๋ยวแวะมาหาบ่อยๆ ก็ได้"

            "อยู่คนเดียวใช่มั้ย เดี๋ยวไปหาเอง"

            พุดตานย่นจมูกใส่ผม เป็นท่าทางแบบที่ล่อนจ้อนชอบทำใส่ผมบ่อนๆ ก่อนเจ้าตัวจะหันไปอมยิ้มให้พระอาทิตย์ที่ใกล้จะลับขอบฟ้าเต็มที มันเป็นบรรยากาศที่ดีนะ ได้ดูพระอาทิตย์กับคนที่ชอบ ได้พูดคุย ได้นึกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เคยผ่านมา แม้ความทรงจำเหล่านั้นจะเลือนหายไปบ้างก็ตาม

             

            ใกล้เที่ยงคืนแล้วเราต่างแยกย้ายกันเข้านอน พุดตานนอนห้องผม ส่วนผมมานอนกับน้องชาย ปิดไฟห่มผ้าหลับตาแต่ผมกลับหลับไม่ลง พลิกตัวหันไปหาไอ้กาล ไม่รู้มันหลับหรือยังเลยลองเรียกดู

            "มึงหลับยัง"

            "มีไร"

            "คุยกับกูก่อน"

            "คุยอะไรอีก"

            ผมได้ยินเสียงพลิกตัว ไอ้กาลคงหันมาหา เสียงมันงัวเงียใกล้จะหลับ แต่ก็ยังอุตส่าห์ตอบ แม้ฟังแล้วจะเหมือนมันรำคาญผมหน่อยๆ ก็เถอะ

            "ในสายตามึงตอนนี้กูกับพุดตานดูเป็นยังไงวะ"

            "มึงกังวลอะไรอีก" ไม่แปลกเลยที่มันถามแบบนี้ ผมรู้ว่าภายในหนึ่งวันไม่มีทางรับรู้ความทรงของคนอื่นที่ถูกจัดแต่งใหม่ได้ทั้งหมด แต่ใจมันก็ยังอยากรู้ให้มากที่สุดอยู่ดี

            "เปล่า กูแค่อยากรู้เฉยๆ"

            "ก็ดูรักกันมากกว่าตอนแรกที่เจอกัน กูไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้พวกมึงเคยมีปัญหาอะไรกันมาก่อน ตอนที่มึงรู้ว่าพุดจะมาอยู่ด้วยหน้ามึงดูไม่ค่อยโอเคเท่าไร วันแรกที่เจอกันก็ดูเกร็งๆ พุดก็เหมือนมึงอ่ะดูไม่ค่อยอยากอยู่ด้วย แต่พออยู่กันไปเรื่อยๆ เสือกกิ๊กกันเฉย เหมือนพวกคู่กัดไรงี้ป้ะ แหย่กันไปกวนกันมาสุดท้ายชอบกัน" ทำเหมือนไม่อยากพูดแต่มันก็เล่ามาซะยาวเหยียด

            เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นสมัยเด็กจะทำให้เราดูเกร็งๆ ตอนกลับมาเจอหน้ากันก็ถูกแล้ว แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ความคิดความอ่านโตขึ้นจะให้ทำตัวรังเกียจกันเหมือนตอนเด็กๆ ย่อมไม่ใช่ ความคิดคนเรามันเปลี่ยนกันได้ ผมเองก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น

            "แล้วมึงจะบอกกูได้ยังว่าเคยมีเรื่องอะไรกัน" ไอ้กาลทวง มันคงเคยถามแล้วแต่ผมไม่ยอมตอบ

            "เคยทะเลาะกันตอนเด็กแล้วไม่ได้เคลียร์"

            "แล้วทะเลาะกันเรื่องอะไรล่ะวะ"

            "กูเคยด่าพุดแรงๆ จำไม่ได้แล้วว่าด่าไร แล้วก็โกรธกัน"

            "แค่นี้"

            "เออ ก็แค่นี้แหละ พักหลังไม่ได้ไปบ้านสวนด้วยเลยไม่ได้คุยกันสักที กูก็ไม่คิดว่าจะได้กลับมาเจอกันอีก เลยขอโทษแล้วก็เคลียร์กัน" ผมเล่าไปตามเนื้อเรื่องที่คิดว่าน่าจะเป็นไปตามนั้น แล้วไอ้กาลมันก็ช่วยเสริมให้อีกประโยค

            "แล้วก็ชอบกัน"

            "ก็เออ"

            "โอเค กูสบายใจละ นอนแล้วนะ"

            "กูมั้ยต้องพูดประโยคนั้น" ผมเป็นคนเริ่มชวนคุยแต่ไอ้กาลกลับเป็นคนปิดประเด็นซะงั้น แถมไม่ยอมตอบกลับด้วย ได้ยินเสียงพลิกตัว มันคงหันหลังให้ผมหลับตาหนีไปนอนแล้ว

            ในวัยเด็กพุดตานเป็นฝ่ายเริ่มรักและถูกผมปฏิเสธ กลับกันในปัจจุบันผมเป็นฝ่ายเริ่มชอบล่อนจ้อนก่อนแม้อีกฝ่ายจะใจตรงกันก็ตาม กับพุดตานก็คงเหมือนกัน หากชีวิตดำเนินมาตามแบบแผนอย่างที่ควรจะเป็น การได้กลับมาเจอกันอีกครั้งแน่นอนผมคือฝ่ายที่รู้สึกก่อน แล้วก็โชคดีที่อีกฝ่ายรู้สึกเหมือนกัน ไม่ว่าจะล่อนจ้อนหรือพุดตานคนคนนี้ไม่เคยเกลียดผมเลย เป็นการย้ำเตือนอีกครั้งว่าผมเนี่ยเป็นคนเอาแต่ได้ชะมัด

            เที่ยงคืนแล้วไม่รู้ว่าคนที่นอนอยู่อีกห้องจะหลับหรือยัง ผมพลิกตัวหันหลังให้ไอ้กาล หยิบมือถือมากดเข้าไลน์ ทั้งที่เพิ่งแยกกันแต่อยากคุยอีกแล้ว

            'นอนหรือยัง'

            ข้อความถูกอ่านไม่กี่วินาทีต่อมาที่ผมกดส่งไป

            'จะนอนแล้ว ทำไมยังไม่นอนอีก'

            'คิดอะไรนิดหน่อย'

            'คิดอะไรอีก คิดมาทั้งวันแล้วไม่เหนื่อยหรือไง'

            'ก็นิดหน่อย ตอนนี้กำลังคิดว่าเราเป็นอะไรกัน'

            พุดตานอ่านแล้วแต่ไม่ตอบเร็วเหมือนก่อนหน้านี้ คำถามของผมมันชวนคิดมากขนาดนั้นเลยเหรอ ผมแค่อยากรู้ว่าตอนนี้สถานะที่เราตกลงกันยังเหมือนกับเมื่อวานอยู่ไหมเท่านั้นเอง

            'จำไม่ได้หรือไง พูดเองแท้ๆ'

            เหมือนพุดตานหายไปคิดว่าจะด่าผมว่าอะไร ข้อความที่ถูกส่งกลับมาไม่ใช่คำตอบแต่เป็นการย้อนถาม คำถามที่มีความหมายเดียวกับคำตอบที่ผมอยากรู้

            ผมยิ้มให้หน้าจอมือถือแม้แสงมันจะแยงตานิดหน่อยก็เถอะ รีบพิมพ์สิ่งที่คิดไว้ลงไป แล้วอ่านทวนมันในใจอีกครั้ง

            'ถ้างั้นจะเปลี่ยนจากคนคุยเป็นแฟนได้หรือยัง'

            แต่แล้วก็เกิดอาการลังเลเลยต้องลบทิ้ง เปลี่ยนเป็นคำธรรมดาๆ ที่บอกกันทุกครั้งก่อนนอนแทน

            'ฝันดี'

            'ฝันดี'

            'ยังไม่ได้จุ๊บก่อนนอนเลย'

            'ก็ทำไปแล้วไง!!'

            ไม่ตอบเปล่าแถมอัศเจรีย์มาด้วยตั้งสองอัน บางทีตอนพิมพ์พุดตานอาจจะตะคอกใส่มือถืออยู่ก็ได้

            ‘ไม่ต้องล็อกห้องนะ’

            ‘เคยล็อกที่ไหน’

            เป็นอันรู้กันว่าคืนนี้จะทำอะไร ผมไม่กวนต่อ ออกจากแอพฯ กดล็อกหน้าจอวางมือถือไว้ข้างหมอน นอนรอให้แน่ใจอีกนิดว่าน้องชายหลับสนิทมันจะได้ไม่ต้องฝันร้ายอีกแล้วค่อยหนีกลับห้องตัวเอง

            วันแรกของชีวิตที่กลับสู่ปกติ จากล่อนจ้อนผู้เรียบร้อยกลายเป็นพุดตานผู้เกรี้ยวกราด แต่ยังไงก็ยังเป็นแมวโหดของผมตัวเดิม

 

tbc.

 
อีกสามตอนจบแล้วค่า ดีใจกับลิขิตด้วยที่ไม่ต้องเริ่มจีบพุดตานใหม่ ฮา
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่ะ


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
กลัวจะโดนข่วนจริงๆ 5555555

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด