___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งสุดท้าย ___ [05/10/62]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ___ เ ห นื อ ลิ ขิ ต ___ ลิขิตครั้งสุดท้าย ___ [05/10/62]  (อ่าน 30921 ครั้ง)

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

เรื่องยาว
เหวี่ยง ซบ พบ(รัก)เธอ [จบแล้ว]
ความน่ารักชนะทุกอย่าง [จบแล้ว]
8 วัน 7 คืน [จบแล้ว]
To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว[จบแล้ว]
อยากให้เธอฝันยามหนุน [จบแล้ว]
My Egg #ไข่ต้มเพื่อนผม [จบแล้ว]
P H O T O (X) ความลับในภาพถ่าย [จบแล้ว]
เหนือลิขิต [จบแล้ว]



เรื่องสั้น
★  สองแถวกับสองเรา
★  อยากบอกว่าชอบเธอ
★  พรหมลิขิตไม่มีอยู่จริง



======================


เหนือลิขิต

คนโชคร้าย
ถ้าผมจะเรียกตัวเองแบบนี้ก็คงไม่ผิดนัก
จะมีสักกี่คนบนโลกที่เกิดมาแพ้สิ่งที่ตัวเองชอบ
"เมี้ยว"
ชอบแมว แต่เกิดมาแพ้ขนแมวมันก็ลำบากแบบนี้


#เหนือลิขิต


.
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-12-2019 20:52:21 โดย kinsang »

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

ลิขิตครั้งที่ 1


            คนโชคร้าย

            ถ้าผมจะเรียกตัวเองแบบนี้ก็คงไม่ผิดนัก จะมีสักกี่คนบนโลกที่เกิดมาแพ้สิ่งที่ตัวเองชอบ โอเค มันอาจจะมีมากมายนับไม่ถ้วน แต่ทำไมโชคร้ายนั้นต้องตกมาอยู่ที่ผม ไม่เข้าใจเลยจริงๆ

            "เมี้ยว"

            เสียงของสิ่งมีชีวิตสีขาวขนฟูร้องเรียกให้สายตาผมกลับไปโฟกัสที่มัน ดวงตาสีทองแดงคู่นั้นจ้องมองมาที่ผม มันเอียงคอเล็กน้อย หน้าตาบึ้งตึงดูไม่ชอบใจ เหมือนอยากจะถามว่าทำไมเจ้ามนุษย์คนนี้ถึงได้มีท่าทีเฉยเมยนัก ซึ่งถ้าผมเปิดประตูกระจกที่กั้นระหว่างเราไว้ล่ะก็ย่อมไม่ดีแน่

            "เมี้ยว"

            เจ้าแมวเปอร์เซียสีขาวร้องอีกครั้ง ผมคิดว่ามันคงดังมากถึงทะลุประตูกระจกเข้ามาได้ แต่เสียใจด้วยเจ้าแมวที่มนุษย์คนนี้ไม่สามารถเปิดประตูให้แกได้ ไม่อย่างนั้นคืนนี้ได้จามน้ำหูน้ำตาไหลแน่ๆ

            ชอบแมว แต่เกิดมาแพ้ขนแมวมันก็ลำบากแบบนี้

            "เมี้ยว"

            "หยุดร้องได้แล้ว เปิดให้ไม่ได้หรอก"

            เจ้าก้อนสีขาวที่กำลังส่งเสียงอยู่หน้าประตูเงียบเสียงพลางเอียงคอมอง ผมเบะปากใส่มัน อยากบอกให้รู้ว่าไม่ได้ตั้งใจจะทำเมินเฉยใส่ ใจอยากจะเปิดประตูไปคว้าเจ้าตัวขนฟูมากอดด้วยซ้ำ แต่ถ้าผมทำแบบนั้นแล้วเกิดอาการแพ้ขึ้นมาไอ้น้องชายปากมากได้บ่นทั้งคืนแน่ๆ ดีไม่เจ้าแมวตัวนี้อาจจะไม่ได้โผล่มาแถวนี้อีกเลย

            แมวสีขาวลุกขึ้นยืนเอาตัวมาถูกกับกระจก ถ้าไม่มีประตูกั้นผมคงถอยหลังกรูด เห็นขนฟูๆ ที่แนบกับกระจกแล้วก็อดใจไม่ไหวต้องยกมือลูบกลุ่มขนที่ดูนุ่มนิ่มนั้นผ่านกระจกใส แล้วก็ยิ่งทำให้ผมอยากคว้าตัวมันมากอดไว้เหลือเกิน

            การเล่นขนแมวผ่านกระจกแม้จะดูอนาถใจไปสักนิดแต่มันก็ทำให้ผมมีความสุขไม่น้อย เจ้าก้อนสีขาวยังเอาตัวมาสีกับประตูไม่เลิก ความน่ารักของมันชวนให้ต้องยกมือถือขึ้นมาเก็บภาพเอาไว้ แล้วผมก็ต้องสะดุ้งเมื่อถ่ายรูปมันไปได้แค่สองภาพ

            แกร๊ก

            ดูเหมือนว่าไอ้น้องชายตัวแสบของผมจะกลับมาแล้ว

            เจ้าแมวสีขาวเลิกเอาตัวสีกับประตู มันนั่งลง เอียงคอมองเข้ามาในห้อง ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้มองหน้าผม แต่มองเลยไปด้านหลังที่เกิดเสียงก๊อกแก๊กก่อนประตูห้องผมจะเปิดออก

            "ลิขิตไปกินข้าว นั่งทำอะไรอยู่วะ"

            มือผมเอื้อมไปคว้าผ้าม่านทันที เมื่อหันไปเห็นว่าน้องชายที่ควรจะหยุดที่ประตูกลับเดินเข้ามาในห้อง แต่มันไม่ทันแล้ว

            "กรี๊ดดดดดดด แมว! พี่มึง แมววววว!"

            ผมต้องยกมือขึ้นปิดหูเมื่อไอ้น้องชายตัวแสบดันกรี๊ดออกมา ใช่ มันคือเสียงกรี๊ด ไอ้นี่มันชอบร้องแบบนี้เวลาเสียสติ ก่อนคนที่เข้ามาสร้างความวุ่นวายในห้องผมจะถอยหลังกรูดจนไปติดประตู

            "แมว"

            "เออ ก็แมวไง" ผมช่วยยืนยันคำตอบก่อนจะปิดม่านลง เมื่อเห็นว่าเจ้าสีขาวกระโดดหนีไปตั้งแต่ได้ยินเสียงกรี๊ดบาดหูนั่นแล้ว

            "มันมาได้ไงวะ แล้วมึงเล่นกับมันเหรอลิขิต"

            "มาได้ไงไม่รู้ กูเห็นมันนั่งอยู่เลยนั่งมองมันเฉยๆ" ผมเดินไปหากาล หรือเหนือกาล น้องชายฝาแฝดที่หน้าตาไม่ค่อยเหมือนกับผมเท่าไร แถมมันยังสูงกว่าผมนิดหน่อยด้วย

            "อย่าให้มันเข้ามาเชียวนะมึง"

            "รู้แล้ว แต่เมื่อกี้เกินไปนะ" ผมบอกก่อนพยุงคนที่นั่งขดอยู่ตรงหน้าประตูขึ้นมา

            "อะไรเกินไป"

            "เสียงกรี๊ดมึงไง หูกูเกือบดับ"

            "เวอร์แล้วสัดขิต แต่มึงอย่าให้มันเข้ามานะเว้ย"

            "เออ ก็บอกว่ารู้แล้ว" ผมล่ะอยากจะเคาะหัวไอ้กาลสักทีที่ย้ำเยอะจนน่ารำคาญ ก็เพราะรู้ถึงได้พยายามจะปิดม่าน แต่มันดันพรวดพราดเข้ามาเอง

            ที่น้องชายผมเป็นแบบนี้เพราะเหนือกาลมันกลัวแมวยิ่งกว่าอะไรดี ชนิดที่ว่าเห็นอยู่ในระยะประชิดไม่ได้เลย มันจะกรี๊ดเหมือนคนเสียสติ แบบว่าหมดแล้วความหล่อเหล่าที่มีมา

            "สีขาวตาสีอะไรวะ แต่ช่างแม่ง ฮึ่ย" มันพูดแล้วทำท่าขนลุก ทั้งที่รู้ว่าตัวเองไม่ถูกกับแมวยังจะพูดถึงอยู่ได้ ผมเลยต้องพาเปลี่ยนเรื่อง

            "ไหนว่าจะไปกินข้าว"

            "เออใช่ วันนี้ซื้อซูชิมาให้ ร้านโปรดพี่ณดา"

            "คนกลัวแมวก็อิ่มแล้วดิ พี่ณดาพาไปเลี้ยงแบบนี้"

            "ไอ้สัด อย่าพูดถึงแมว"

            ผมหัวเราะแล้วเดินหนีจากห้อง เห็นถุงที่มีชื่อร้านชูซิร้านโปรดของพี่ณดาสกรีนอยู่วางบนโต๊ะตรงห้องนั่งเล่นก็ก้าวไปหาทันที

            "เซ็ตนี้พี่ณดาซื้อให้ ฝากบอกมาด้วยว่าให้มึงกินเยอะๆ" เหนือกาลเดินตามมายืนซ้อนอยู่ด้านหลัง มองผมที่กำลังแกะฝากล่องซูชิออกแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

            "แล้วทำไมมึงไม่ซื้อมาให้เอง"

            "ก็พี่เขาเสนอจะซื้อ"

            "งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้กูเอาตังค์ไปจ่าย"

            "ไม่ได้ดิมึง เสียน้ำใจคนให้"

            "ถ้างั้นฝากบอกพี่ณดาด้วยว่าเลิกจีบกูได้แล้ว"

            "ยิ้มแห้งเลยกู"

            พี่ณดาเป็นพี่รหัสของเหนือกาลที่ตามจีบผมมาได้สองเดือนแล้ว เป็นคนดีที่ไม่ค่อยมีความสม่ำเสมอเท่าไร เพราะนอกจากผมแล้วดูเหมือนพี่เขาจะมีคนคุยอีกหลายคน หยอกคนนั้นอ่อยคนโน้นไปทั่ว แม้ไม่ได้หน้าตาดีดีกรีดาวมหาลัย แต่ความมนุษยสัมพันธ์ที่ดีเกินไปของคุณพี่เธอนั่นแหละเตือนว่าผมไม่ควรเสี่ยง

            "พี่รหัสมึงคนคุยเยอะ"

            "แต่จริงจังกับมึงคนเดียวไง"

            "ก็เหี้ยละ"

            "จริงๆ พี่ณดาก็ไม่ได้แย่อะไร"

            "เชียร์เก่งจังนะมึงเนี่ย ได้ค่าจ้างเท่าไร"

            "เห็นกูเป็นคนเห็นแก่เงินเหรอ"

            "หรือไม่ใช่"

            "ก็ไม่ใช่ไง"

            "แต่กูไม่ชอบพี่มึง พอ เลิกคุย" ผมตัดจบประเด็นโดยการคีบซูชิชิ้นแรกเข้าปาก หันหน้าหนีเหนือกาลที่ยังยืนประกบไม่ห่างไปไหน แล้วสุดท้ายก็ยอมแพ้หนีไปเอง

            "ไม่คุยก็ไม่คุย" พูดแล้วก็เดินหนีไปเปิดทีวีดูที่โซฟาข้างๆ

            ผมมองน้องชายที่เกิดห่างกันแค่สิบสี่นาทีแล้วส่ายหน้า เอาเป็นว่าซูชิกล่องนี้จะยินดีรับไว้ก็ได้ ไหนๆ น้องชายผู้น่ารักที่อยากเคาะกะโหลกแตกเกือบทุกวันอุตส่าห์หิ้วกลับมาให้ทั้งที

 

            ใครๆ ก็รู้ว่าคู่แฝดสองเหนือไม่ถูกกับแมว เหนือลิขิตแพ้ขนแมว ส่วนเหนือกาลกลัวแมวขึ้นสมอง เพราะฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเมื่อผมเล่าเรื่องแมวสีขาวให้เพื่อนฟังมันถึงได้ทำหน้าตาตกใจนัก

            "เดี๋ยวก็แพ้อีก คราวที่แล้วตอนมึงแอบไปเล่นกับไอ้อ่อนแม่งจามจนตาบวมน่ากลัวมาก" พสุมันทำหน้าเหมือนกับว่าชีวิตนี้ห้ามผมเข้าใกล้แมวอีก ก่อนคิริน คู่หูคู่กัดของมันจะขัดขึ้นมา

            "อะไรคือจามจนตาบวม กูเคยเห็นแต่จามจนน้ำมูกไหล"

            "มึงอย่าขัดได้มั้ย ไอ้เหนือมันแพ้มันก็จามไง แล้วตามันก็แดง แดงแล้วก็บวม"

            "งั้นมึงก็ควรพูดให้มันชัดเจนตั้งแต่แรก"

            "ไอ้สัดสุ กวนตีนกูอีกแล้วนะ"

            "กูแค่สงสัย"

            ผมได้แต่นั่งยิ้มแห้งตอนมองมันสองคนเถียงกัน อ้อไม่สิ ยังมีมงคลที่นั่งทำหน้าเบื่อโลกอยู่ข้างๆ พสุอีกคน

            "รำคาญ" มงคลมันว่า เพื่อนคนนี้เงียบที่สุดในกลุ่มแล้วก็ว่าได้ เวลาพูดแต่ละทีเลยค่อนข้างให้ความรู้สึกว่ามันทรงพลังมาก

            สองคนที่เขม่นกันอยู่หยุดเถียงกันทันที พสุจิ๊ปากใส่คิรินก่อนเปลี่ยนเป้าหมายมาที่ผมอีกครั้ง สงสัยจะไม่ยอมจบเรื่องแมวง่ายๆ

            "แล้วยังไงวะเหนือ ที่บอกว่าอยากเลี้ยง" พสุย้อนถามถึงประเด็นที่ผมพูดถึงความต้องการไปก่อนหน้านี้ น่าจะเป็นวันแรกที่ผมเจอเจ้าแมวขาวเลยล่ะมั้ง

            "มันน่ารักดี"

            "กูว่ามึงได้ตายเพราะแมวแน่ๆ"

            "ก็เวอร์ไป มันมีวิธี"

            "แล้วไอ้เหนือมันยอมเหรอวะ"

            สิ่งหนึ่งที่ทำหน้าให้การสนทนาในกลุ่มค่อนข้างงงงวยคือชื่อที่เพื่อนๆ ใช้เรียกผมกับน้องชาย แทนที่จะเรียกลิขิตหรือกาล พวกมันกลับเรียกว่าเหนือเหมือนกัน ซึ่งจริงๆ หลายคนในมหาวิทยาลัยก็ชอบเรียกผมกับน้องชายแบบนี้

            เลยกลายเป็นพี่เหนือกับน้องเหนือ

            "หมายถึงไอ้น้องเหนือเหรอ" คิรินถาม แล้วก็ถูกพสุว่าเข้าให้

            "ก็ต้องเออสิวะ มึงช่วยคิดเยอะๆ หน่อย"

            "มึงก็พูดอะไรให้มันเคลียร์ๆ หน่อย"

            "เฮ้อ"

            แล้วทั้งวงก็เงียบทันทีเมื่อมงคลถอนหายใจแค่ทีเดียว แต่พสุมันก็ยังถามจี้ผมไม่เลิก

            "ไอ้เหนือ ตอบ"

            "ไอ้กาลมันกลัวขนาดนั้นจะไปยอมได้ไง"

            "แล้วหอมึงให้เลี้ยงเหรอวะ" คิรินถาม

            "ถ้าไม่มีคนรู้ก็ไม่น่ามีปัญหา"

            "หาเรื่องโดนไล่ออกจากหออีก" พสุว่า

            "ก็แค่เลี้ยงแมว"

            "แล้วมึงรู้ได้ไงว่าแมวตัวนั้นไม่มีเจ้าของ"

            "มันไม่มีปลอกคอ" ผมตอบคำถามของคิริน

            "แต่ยังไงมึงก็เลี้ยงไม่ได้อยู่ดี ห้ามเลี้ยง กูไม่อนุญาต" แต่ถึงพูดไปยังไงพสุมันก็ไม่ยอมผมอยู่ดี ทั้งที่ผมจะเลี้ยงในห้องผมแท้ๆ

            "แล้วถ้ามันมาหากูอีกอ่ะ"

            "มึงก็ไม่ต้องไปยุ่ง"

            "แต่มันน่าสงสารนะมึง บางทีมันอาจจะกำลังหาบ้านอยู่"

            "งั้นก็เลือกเอาว่าจะตายเพราะแมวหรือแก่ตาย"

            "มึงก็เวอร์เกินอ่ะไอ้พุส"

            "พุสพ่อมึงสิไอ้คิควาย ขยันเปลี่ยนชื่อให้กูจัง"

            "คิรินก็พอไอ้สัด"

            แล้วไอ้สองคนนี้มันก็ทำท่าจะเถียงกันอีกรอบ จนมงคลเหลือบมองนั่นแหละพวกมันถึงได้หยุด และเข้าเรื่องต่อ

            "กูห่วงมันไง เห็นแพ้แล้วเหมือนจะตาย กูตกใจ" พสุมันเคยเห็นตอนผมแพ้หลายครั้ง ก็ไม่แปลกที่มันจะห่วงขนาดนี้ บอกตามตรงว่าซึ้งใจจริงๆ

            "ถ้างั้นแค่ให้อาหารมันเฉยๆ ก็ได้มั้ง มึงบอกว่ามันมาหาที่ระเบียงใช่มั้ย ก็เอาข้าวกับน้ำไปวางไว้ให้ถ้าอยากเลี้ยง แต่อย่าให้มันเข้าห้อง" มงคลที่นั่งเงียบอยู่นานพูดขึ้นมา พสุกับคิรินเองก็เห็นด้วยกับความคิดนี้ ชี้ทางสว่างจนผมอยากจะยกมือไหว้มันจริงๆ

            "ถ้าแค่นี้ก็พอได้อยู่" หอผมมีสองห้องนอนติดระเบียงซึ่งเป็นประตูกระจก ส่วนห้องนั่งเล่น ห้องน้ำกับครัวเล็กๆ อยู่ด้านนอกติดกับประตู แต่บางทีเหนือกาลก็หอบหมอนมานอนกับผม เพราะมันชอบฝันร้ายประจำเวลานอนคนเดียว

            "นั่งมองมันกินข้าวหลังประตูก็พอมึงอ่ะ ถ้าเลี้ยงจริงกูว่าตายทั้งพี่ทั้งน้อง คนพี่แพ้ขนตาย ส่วนคนน้องกรี๊ดจนคอแตกตาย"

            "กูจะฟ้องไอ้น้องเหนือ"

            "มึงนี่ก็ขี้ฟ้องจังนะอีพุส"

            "พุสอีกทีกูจะหยิกปากมามึง"

            แล้วคู่นี้ก็ตีกันอีกรอบ

            ผมได้ยินเสียงถอนหายใจจากมงคลก่อนมันจะลุกเดินหนีไปโดยไม่พูดอะไร ส่วนผมก็คงต้องรีบกลับเหมือนกัน ต้องแวะซื้อชามข้าวกับอาหารแมวไปวางไว้ที่นอกระเบียงเผื่อเจ้าแมวขาวจะแวะมาอีก ที่สำคัญอย่าให้เหนือกาลรู้เด็ดขาด ไม่งั้นโดนกรี๊ดอัดหูดับแน่ๆ

 

            ที่ร้านขายอาหารสัตว์ผมได้ชามข้าวแมวสีชมพูอันเล็กกับอาหารเม็ดอีกหนึ่งถุงที่คนขายแนะนำให้ แอบเปิดประตูระเบียงออกไปดูหลังกลับมาถึงห้อง มองซ้ายมองขวายังไม่เห็นวี่แววหรือได้ยินเสียงร้องอยู่ใกล้ๆ เลยรีบวางชามแล้วเทอาหารเอาไว้ก่อนเดินกลับเข้าห้องปิดประตูล็อกไว้อย่างดี ก็นะ กลัวว่าถ้าเผลอเปิดประตูทิ้งไว้แล้วมันเดินเข้ามาในห้องได้มีหวังห้องแตกแน่ๆ

            จัดการกับอาหารแมวเสร็จแล้วผมทำนู่นทำนี่ในห้องไปเรื่อยเปื่อย พอเริ่มขี้เกียจก็จบลงที่เตียงนอน รอกินข้าวอีกทีตอนเย็นถ้าเหนือกาลจะใจดีซื้อมาให้ มันเป็นปกติของเราอยู่แล้วที่น้องชายผมมักจะถึงหอช้ากว่าเสมอ เหนือกาลเรียนเภสัช ตารางเรียนโหดร้ายกว่าเด็กศิลปศาสตร์แบบผมเยอะ

            ผมเปิดผ้าม่านไว้ นอนตะแคงหันไปทางประตูรอดูว่าวันนี้เจ้าเหมียวจะมาหาอีกหรือเปล่า แต่รอแล้วรอเล่าก็ยังไม่เห็นวี่แวว รอนานจนเผลอหลับ สะดุ้งตื่นอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงที่ดังใกล้จนเหมือนอยู่ข้างหู

            "เมี้ยว"

            แมวสีขาวนั่งอยู่หน้าประตูกระจก ผมรีบก้าวลงจากเตียงชะเง้อมองชามข้าว อาหารเม็ดที่เทไว้ให้หายไปหมดแล้ว

            "กินหมดแล้วเหรอ"

            "เมี้ยว"

            "อิ่มมั้ย"

            "เมี้ยว"

            "แต่ออกไปเทเพิ่มให้ไม่ได้แล้วนี่ดิ"

            "เมี้ยว"

            มันตอบว่าอะไรหรือต้องการอะไรผมไม่เข้าใจหรอก จะว่าไปก็เหมือนคุยอยู่คนเดียว เพราะคู่สนทนาเอาแต่ร้องเมี้ยวๆ ที่คนอย่างผมหาได้รู้ความหมายของมันไม่

            ผมนั่งลงตรงหน้าประตู เจ้าก้อนสีขาวก็เดินเอาตัวมาแนบก่อนสีตัวเข้าหาอย่างที่มันทำเมื่อวาน

            "อยากลูบขนว่ะ"

            มันยังสีตัวกับประตูไม่เลิก หลับตาพริ้มทำหน้ามีความสุข แต่ถ้ามีมือคนไปสัมผัสมันจะมีความสุขกว่าหรือเปล่า

            "เมี้ยว"

            อยากจับชะมัด

            ผมขยับไปใกล้ตัวล็อกประตู เอื้อมมือไปหมายจะกดปลดล็อกจะได้สัมผัสขนที่ดูนุ่มนิ่มนั้นด้วยมือตัวเอง แต่ใครสักคนบนฟ้าคงเห็นว่าผมไม่ควรป่วยตอนนี้

            แกร๊ก

            เสียงประตูเปิดพร้อมการกลับมาของผู้อาศัยอีกคน มือผมเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ผ้าม่านสีไข่ แต่ยังไม่ทันได้ดึงมันปิดเหนือกาลก็เดินเข้ามาในห้องเสียก่อน

            "กรี๊ดดด!"

            แล้วมันก็กรี๊ดอัดหูผมเป็นวันที่สอง

            เจ้าแมวขาวกระโดดหนีไปพร้อมๆ กับที่ผมดึงผ้าม่านมาปิด วันนี้ไอ้น้องชายตัวแสบยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ถอยกรูดจนติดประตูเหมือนเมื่อวาน แต่ดูหน้าแล้วก็รู้ว่ากำลังช็อก

            "กาล" ผมเรียก ลุกขึ้นไปตบหน้าแฝดน้องเบาๆ เพื่อเรียกสติกลับมา

            "ขนลุก" มันกอดแขนทำท่าทางประกอบจนดูน่าถีบ ถ้าไม่รู้ว่าน้องชายคนนี้กลัวแมวขึ้นสมองจริงๆ ผมคงด่าหยาบไปแล้ว

            "แล้วจะพรวดพราดเข้ามาทำห่าอะไร"

            "นี่มันก็ห้องกูนะ"

            "ไอ้สัดห้องกู ห้องมึงอยู่ข้างๆ"

            "ห้องมึงก็เหมือนห้องกูอ่ะขิต"

            "เออ งั้นก็สมน้ำหน้า"

            "แต่กูต้องว่ามึงนะที่ปล่อยแมวมาป้วนเปี้ยนที่ระเบียงเนี่ย แล้วทำไมไม่รีบๆ ไล่มันไป"

            "ไล่ทำไมน่าสงสาร"

            "แล้วไม่สงสารน้องเหรอ ขนลุกหมดแล้วเนี่ย"

            "ไอ้สัด ขนลุกตอนมึงเรียกตัวเองว่าน้องเนี่ยแหละ"

            "แค่นี้ทำขนลุกนะจ๊ะพี่จ๋า" ไม่พูดเปล่ามันยังเข้ามาเกาะแขนยื่นหน้ามาจะจุ๊บผมจนต้องผลักหน้าออกแรงๆ เล่นอะไรไม่รู้เรื่องไอ้เวรนี่

            "มึงน่ากลัวกว่าแมวอีกสัด"

            "พี่จ๋าใจร้าย หยาบคาย"

            "พอๆ ไอ้เหี้ยเลิกเล่น" ผมเคาะหัวน้องชายที่ตั้งท่าจะจู่โจมอีกรอบ

            "เลิกก็ได้จ้ะพี่จ๋า แต่อย่าเอาน้องไปเทียบกับแมวอีกนะ มันไม่โอเค"

            "แมวไม่ได้น่ากลัวเลยมึง"

            "ก็มันกลัวให้ทำไง"

            เพราะเข้าใจดีผมเลยไม่อยากเถียงเรื่องนี้ต่อ คนกลัวไม่ว่ายังไงก็กลัว ตอน ม.ต้นมันเคยโดนเพื่อนแกล้งจับแมวโยนใส่ทำเอาร้องไห้จ้า แถมยังกลัวหนักกว่าเดิม หลังจากนั้นเลยกลายเป็นว่าแมวกับเหนือกาลคือศัตรูกัน รวมถึงเพื่อนที่แกล้งก็ได้กลายเป็นศัตรูกันด้วย

            "วันนี้มึงซื้ออะไรมากิน"

            "ต้มเลือดหมู"

            "หิวเลย"

            ผมชวนเปลี่ยนเรื่อง ดันหลังไอ้น้องชายให้ออกจากห้อง ก่อนคนกลัวแมวจะเห็นชามข้าวที่วางไว้ตรงระเบียงเสียก่อน ส่วนอาหารเม็ดนั้นผมซ่อนไว้อย่างดี แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าเหนือกาลจะออกไปนอกระเบียงในช่วงที่มีแมวมาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ แบบนี้ด้วย

 

            วันที่สองสำหรับการแอบให้อาหารแมว และวันที่สามที่ต้องลุ้นว่าจะได้เจอมันอีกไหม

            วันนี้ผมมีเรียนบ่ายเลยเทอาหารใส่ไว้ให้เจ้าแมวขาวก่อนออกมา ชามสีชมพูอันน้อยรอดพ้นสายตาของเหนือกาลมาได้เพราะน้องชายผู้กลัวแมวขึ้นสมองไม่คิดจะเปิดประตูออกไปสูดอาการที่ระเบียงเลยสักนิด แถมยังขู่ผมอีกว่าถ้ายังเห็นผมแอบเล่นกับแมวอีกจะให้แก๊งเพื่อนของผมมาจับมันไปปล่อยที่อื่น จิตใจโหดร้ายจนไม่อยากนับเป็นน้องเลยจริงๆ

            ทันทีที่กลับมาถึงหอผมก็ตรงดิ่งไปที่ห้องนอน เปิดประตูระเบียงออกไปดูชามข้าวที่เทไว้ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าแมวขาวจะไม่ได้แวะมาเพราะอาหารไม่พร่องลงไปเลย ผมยืนมองซ้ายแลขวาอยู่นานสองนานก็ยังไม่เห็นวี่แวว ทั้งที่สองวันที่ผ่านมามันจะโผล่มาเวลานี้ประจำ ซึ่งถ้ามันไม่รีบมาล่ะก็ เหนือกาลกลับมาเห็นก่อนได้ซวยแน่ๆ

            รออยู่หลายนาทีจนได้ยินเสียงก๊อกแก๊กคล้ายกับว่าเจ้าของห้องอีกคนจะกลับมาผมเลยล้มเลิกความตั้งใจที่จะรอ กลับเข้ามาในห้องปิดประตูล็อกกลอนแล้วปิดม่านไว้อีกชั้น เดินออกไปที่ห้องนั่งเล่นก็เจอเหนือกาลที่เพิ่งกลับมาถึงพอดี พร้อมกับก๋วยเตี๋ยวต้มยำเจ้าเด็ดหน้าหอ

 

            นุ่มนิ่ม นุ่มนิ่ม แล้วก็นุ่มนิ่ม

            คงไม่มีคำไหนที่จะสามารถอธิบายความรู้สึกตอนนี้ของผมได้ดีไปมากกว่านี้อีกแล้ว มันเนิ่นนานแค่ไหนไม่รู้กับครั้งสุดท้ายที่ได้สัมผัส ขนฟูๆ กับเนื้อตัวนุ่มนิ่ม จนอยากจะจับมากอดแน่นๆ แล้วกัดก้อนยืดๆ ตรงคอสักที

            ผมรู้ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่ตอนนี้คือความฝัน มันไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้วที่ผมจะเล่นกับแมวได้แบบนี้ เจ้าแมวสีขาวขนฟูที่กำลังเอาตัวเข้ามาสีแขนผมอย่างออดอ้อน สองมือลูบขนนุ่มๆ นั่นอย่างเบามือ มีความสุขจนไม่อยากให้มันเป็นเพียงความฝันเลยจริงๆ

            "เมี้ยว"

            เสียงร้องที่คุ้นเคยดังขึ้นพร้อมกับสัมผัสนุ่มนิ่มที่หายไป ผมลืมตาช้าๆ มองคนข้างๆ ที่ยังหลับสนิท ก่อนจะลุกขึ้นนั่งเมื่อไม่คิดว่าเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่นี้อยู่ในความฝัน มันน่าจะดังมาจากนอกบานประตูที่ถูกผ้าม่านปิดไว้มากกว่า

            น่าแปลกที่การได้พบกับแมวสีขาวเพียงหนึ่งสัปดาห์จะทำให้ผมรู้สึกผูกพันขนาดนี้ บางทีอาจจะเป็นความต้องการลึกๆ ของผมที่อยากเลี้ยงแมวสักตัวแต่เพราะดันเกิดมาแพ้ขนแมวเลยทำอย่างที่ต้องการไม่ได้ พอมีแมวสักตัวเข้ามาป้วนเปี้ยนในชีวิต เลยอยากจะเห็นหน้ามันทุกวันแม้มันจะมาร้องเรียกเอาตอนกลางดึกแบบนี้ก็ตาม

            หันกลับไปมองเหนือกาลอีกครั้งเพื่อเช็กให้แน่ใจว่าคนกลัวแมวจะไม่ตกใจตื่นขึ้นมากรี๊ดอัดหูตอนนี้แน่ๆ เมื่อเห็นว่ายังหลับสนิทผมเลยลุกขึ้นไปเปิดผ้าม่าน แต่สิ่งที่ผมเห็นนั้นไม่ใช่เจ้าแมวสีขาวอย่างที่จินตนาการ กลับกลายผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ใส่เสื้อผ้ายืนมองมาที่ผมแทน

            ผ้าม่านหลุดออกจากมือด้วยความตกใจ ผมกะพริบตาแรงๆ แล้วสะบัดหน้า หัวใจเต้นแรงจนเหมือนจะหลุดออกมาจากอก ถึงจะเพิ่งตื่นแต่ผมมั่นใจว่าตาไม่ได้ฝาด ที่ระเบียงมีผู้ชายยืนอยู่ ผมเห็นหน้าเข้าไม่ชัด และไม่กล้าพอจะเปิดม่านออกไปดูอีกครั้ง

            ผมตบหน้าตัวเองเบาๆ เพื่อเรียกสติ ยังยืนอยู่ตรงหน้าประตูไม่กล้าขยับไปไหน คนที่ยืนอยู่หลังประตูกระจกก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เช่นกัน

            คนคนนี้เป็นใครถึงได้มายืนแก้ผ้าอยู่ที่ระเบียงห้องผม ถ้าเป็นโจรก็น่าจะลงมือทำอะไรสักอย่างได้แล้ว โรคจิตก็เหมือนกัน หากตัดตัวเลือกสองข้อนี้ออกไปแล้วจะเป็นอะไรไปได้ ผีเหรอ ไม่ใช่หรอกมั้ง

            หลังจากหัวใจเริ่มผ่อนจังหวะลงผมก็ทำใจดีสู้เสือแง้มผ้าม่านดูอีกครั้ง ผู้ชายที่เคยยืนอยู่หายไปแล้ว แม้จะเปิดผ้าม่านทั้งผืนก็ไม่เห็นใครทั้งนั้น

            หรือว่าเมื่อกี้ผมจะตาฝาดเพราะเพิ่งตื่นนอน

            เมื่อความสงสัยเข้ามาแทนที่ความกลัวมือก็เลื่อนไปปลดล็อกประตูและเปิดออกไปดูที่ระเบียงโดยลืมคำนึงถึงความปลอดภัยใดๆ ทั้งสิ้น ผมมองซ้ายขวาแต่กลับไม่พบความผิดปกติใดๆ

            คงจะเบลอเพราะตื่นนอนจริงๆ นั่นแหละ แต่ว่า...

            "ฮัดชิ้ว!"

            ผมยกมือปิดปากจามติดกันสองรอบ มันดังพอจะทำให้คนที่หลับอยู่ในห้องตื่นขึ้นมานั่งมอง พร้อมกับเสียงงัวเงียที่แฝงความดุนิดๆ เอ่ยถามออกมา

            "มึงออกไปทำอะไรตรงนั้น"

            ผมรู้สึกแสบจมูกและระคายเคืองตา เลยรีบกลับเข้าห้องปิดล็อกประตูไว้ตามเดิม

            "สะดุ้งตื่นเฉยๆ มึงนอนต่อเลย"

            "เมื่อกี้มึงจามอ่ะ เดี๋ยวก็ไม่สบาย"

            "แค่จาม กูไม่เป็นไรหรอก"

            เหนือกาลพยักหน้าก่อนล้มตัวลงนอนเหมือนเดิม ต้องขอบคุณแสงภายนอกที่ผ่านเข้ามาในห้องได้ไม่มากนัก เหนือกาลก็ยังดูสะลืมสะลือตื่นไม่เต็มตา พอหัวถึงหมอนได้ก็เหมือนจะหลับไปทันที

            ผมเปิดลิ้นชักข้างเตียงหยิบยาแก้แพ้แล้วเดินออกจากห้อง อาการแบบนี้แพ้ขนแมวแน่ๆ ไม่ต้องสงสัย เสียงแมวร้องที่ผมได้ยินเป็นเสียงเจ้าแมวสีขาวไม่ผิดแน่ มันมาที่นี่ มาหาผม แต่สิ่งที่ยังคาใจคือผู้ชายแก้ผ้าคนนั้น เขาเป็นใคร มีตัวตนจริงๆ หรือเป็นสิ่งที่ผมจินตนาการขึ้นมาเองกันแน่

 
tbc.

 
แอบมาเปิดเรื่องใหม่ แต่ไม่รู้จะมาบ่อยๆ ได้ หรือเปล่านะคะ ฮ่าๆๆๆ
เรื่องนี้คิดพล็อตได้ตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลัง แต่ไม่ได้เขียนสักที เพราะกำลังต้มตีกับไข่ต้มอยู่
พอไข่ต้มจบก็มาเขียนจากจันทร์ลืมศุกร์ต่อ แต่เรื่องนี้มันเครียดมากๆ
เลยอยากเขียนเรื่องอื่นคู่ไปด้วย ก็เลยหยิบพล็อตนี้มาเขียนต่อ
ยังไงก็ฝาก เหนือลิขิต ด้วยนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า


ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
น้องแมวแปลงร่างได้แน่เลย :katai2-1:

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
อย่างนี้ก็จะยากหน่อยนะกับแมว เพราะมันดูเป็นเส้นขนาน

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เจิม

พระเอกแปลงร่างเป็นแมวได้ใช่ไหมเนี่ย?

ออฟไลน์ q.tr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 367
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

ลิขิตครั้งที่ 2


            นอนไม่หลับ

            ผมพลิกตัวไปมาเป็นสิบรอบจนไอ้กาลมันบ่นทั้งที่ยังนอนหลับตา เพราะภาพผู้ชายล่อนจ้อนคนนั้นที่ยืนอยู่หลังบานประตูกระจกมันติดตา ไหนจะอาการแพ้ที่อยู่ๆ กำเริบขึ้นมาดื้อๆ ทั้งที่ผมไม่เห็นแมวสักตัวตรงระเบียง จนคิดว่าผมอาจจะแพ้อากาศเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหรือเปล่า แต่มันไม่ใช่

            วันนี้เราสองพี่น้องตื่นเช้าเหมือนกันเพราะมีเรียนตอนเก้าโมง น้องชายผมนอกจากจะกรี๊ดเก่งแล้วมันยังบ่นเก่งเหมือนคนแก่ที่เมื่อคืนถูกผมก่อกวนจนหลับไม่สนิทไปด้วย แต่ทำไงได้ในเมื่ออยากมานอนด้วยกันเอง

            "ก็ไปนอนห้องตัวเองดิไป๊" ผมไล่ ปกติกาลมันจะนอนห้องตัวเองเฉพาะตอนมีสอบ ต้องอ่านหนังสือ หรือใช้สมาธิทำงานอะไรก็แล้วแต่ ส่วนเวลาอื่นก็หอบหมอนมานอนด้วยกันประจำ แต่เพราะเตียงของทั้งสองห้องมันใหญ่อยู่แล้วผมเลยไม่มีปัญหา

            "ไม่ไป!" มันตอบกลับมาทันที หยิบเอาขนมปังจากเครื่องปิ้งใส่จานก่อนมานั่งที่โต๊ะข้างๆ ผม

            "โตแล้วนะมึงน่ะ อีกอย่างมันก็ผ่านมานานแล้ว"

            "ทำไมมึงพูดแบบนี้วะ เราเป็นแฝดกันนะ"

            "แฝดกันก็แยกกันได้"

            "แต่กูไม่แยก จบนะ"

            ผมรู้ว่าเหตุผลที่แท้จริงของมันคืออะไร ที่ถามก็แซวเล่นไปอย่างนั้น มันไม่ไปผมก็ไม่บังคับไล่มันไปให้ได้หรอก แต่ใจจริงก็อยากให้มันลองพยายามดูมากกว่านี้อีกหน่อย เพราะอนาคตเราคงอยู่ด้วยกันแบบนี้ไปตลอดไม่ได้

            "แล้วถ้ามึงมีแฟนก็จะยังนอนกับกูอ่ะนะ" พอผมถาม ไอ้กาลก็ทำหน้าบึ้งใส่ทันที

            "อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้"

            "มูฟออนได้แล้ว อยู่แบบนี้ต่อไปมันก็ไม่ช่วยอะไร"

            "มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นมั้ยวะ"

            จากแววตาสดใสเมื่อครู่ดูเศร้าลงถนัดตา ผมล่ะอยากตบปากตัวเองร้อยทีที่ดึงเรื่องนี้ขึ้นมาพูด มันเป็นอดีตที่ฝากบาดแผลฉกรรจ์ที่คงไม่สามารถรักษาให้หายได้ง่ายๆ เอาไว้ เวลาอาจจะช่วยเยียวยา แต่ไม่ได้ช่วยลบสิ่งเลวร้ายนั้นออกจากความทรงจำ

            "กูขอโทษ"

            "ขอโทษทำไม กูไม่ได้โกรธ" คนที่ทำหน้าเศร้าเมื่อครู่กลับมายิ้มแย้มอีกครั้ง แม่งก็เป็นซะแบบนี้ เหมือนจะดี แต่ความจริงไม่มีอะไรดีขึ้นเลย

            "เออๆ ปิดประเด็น"

            ผมฟันมือกลางอากาศไอ้กาลเลยยิ้มชอบใจ ก่อนมันจะชวนผมคุยเรื่องอื่น   

            "กูว่าจะกลับไปทำผมดำ มันจะดีมั้ยวะ"

            "อย่าเลย เดี๋ยวหล่อเหมือนกู"

            "กลัวกูหล่อกว่าก็บอก"

            "คิดไปเองเก่ง"

            มันยักไหล่ใส่แบบไม่แคร์ เหนือกาลเป็นคนที่ชอบเปลี่ยนสีผมบ่อยๆ ลองไปเรื่อยๆ ว่าสีไหนเหมาะกับตัวเองบ้าง พูดตามความจริงผมว่ามันทำสีไหนก็ออกมาดูดีหมด พูดไปก็จะหาว่าเข้าข้างตัวเอง ก็นะ เกิดมาเป็นพี่น้องกันแถมยังหล่อทั้งคู่ มันคือความจริงที่ต้องยอมรับ ส่วนตัวผมนั้นไม่ค่อยได้เปลี่ยนสีผมเท่าไร เคยลองทำบลอนด์ทองครั้งหนึ่งแล้วเพื่อนไม่ชินเพราะหล่อเกินไปเลยต้องกลับมาย้อมดำเหมือนเดิม

            "มึงลองทำสีเดียวกับกูดิ เผื่อหน้าจะเหมือนกันขึ้นมาบ้าง" ไอ้กาลเสนอ แต่ถึงจะทำผมสีเดียวกันหน้าเราสองคนก็ไม่มีทางเหมือนกันอยู่ดี ถ้าคนไม่รู้จักเห็นเราสองคนก็คงไม่คิดหรอกว่าเป็นแฝด อาจจะคิดว่าเป็นเพื่อนมากกว่า แต่ผมกับมันเป็นแฝดกันจริงๆ นะ พ่อแม่ไม่ได้เก็บใครคนใดคนหนึ่งมาเลี้ยง หรือเป็นแฝดสลับฝาแต่อย่างใด

            "พอแล้วว่ะ ทำแล้วผมเสีย แต่มึงจะย้อมดำไม่ใช่เหรอ"

            "กูเปลี่ยนใจละ จะทำสีม่วงอมชมพู"

            "ถามจริง"

            "ก็พูดไปงั้น" มันว่าแล้วยิ้มบางๆ ก่อนริมฝีปากจะกลับมาเหยียดตรงเหมือนเดิม

            ใจหนึ่งผมก็อยากดึงมันมากอดแล้วส่งพลังให้ แต่อีกใจก็อยากจะต่อยให้มันได้สติ เมื่อกี้ปิดประเด็นไปแล้วแท้ๆ ก็ยังอุตส่าห์ลากกลับเข้าไปได้อีก

            หลังจากต่างคนต่างนั่งเงียบ หยิบขนมปังปิ้งในจานมาราดนมกินกันคนละแผ่น หาวกันอีกคนละครั้ง ไอ้กาลมันเลยพาผมกลับไปยังสาเหตุของอาการง่วงเหงาหาวนอนนี้

            "แล้วสรุปเมื่อคืนมึงเป็นอะไร ถึงไม่ตื่นขึ้นมาดูแต่กูรู้นะว่าออกไปกินยา อย่าบอกนะว่าแอบไปเล่นกับแมวที่ระเบียง"

            "เหมือนจะแพ้อากาศ...มั้ง" บอกตามตรงว่าผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

            "แพ้ห่าอะไรเยอะแยะ"

            "กูก็สงสัย ทำไมมึงไม่แพ้อะไรบ้างวะ"

            "เพราะมึงขี้โรคไง"

            "เถียงไม่ออกเลย" จริงอย่างที่ไอ้กาลมันว่า ผมมันเป็นพวกขี้แพ้แถมยังขี้โรค อากาศเปลี่ยนนิดหน่อยบางทีก็ไม่สบายแล้ว

            "เพราะงั้นกูเลยต้องไปนอนกับมึง เพราะเหนือลิขิตต้องการความอบอุ่นจากเหนือกาล" ไม่พูดเปล่ายังยิ้มหวานทำตาเป็นประกายใส่ ชอบทำตัวเหมือนเหยื่อ แต่จริงๆ แล้วแม่งโคตรร้ายกาจเลยมันน่ะ

            "ไอ้สัดกลับมาเรื่องนี้อีกแล้ว"

            "อีกเรื่อง ถ้ากูยังเห็นมึงเล่นกับแมวตัวนั้นอยู่จะบอกให้เพื่อนมาจับมันไปปล่อยที่อื่น"

            "ใจร้ายเหมือนหน้าเลยเลยนะมึง"

            "งั้นมึงก็ร้ายเหมือนกัน เพราะเราเป็นแฝด" ทำหน้านิ่งได้แป๊บเดียว ไอ้กาลมันก็กลับมายิ้มหวานทำตัวดี๊ด๊า ถ้าเป็นคนอื่นคงตามอารมณ์มันไม่ทัน แต่ผมชินแล้ว

            "แฝดที่หน้าไม่เหมือนเพราะกูหล่อกว่า"

            "แต่กูสูงกว่า"

            "แค่สองเซน ไม่ต้องมาอวด"

            มันยักคิ้วไหล่อย่างคนชนะ เอาเป็นว่ารอบนี้ผมยอมแล้วกัน ซึ่งความจริงก็ยอมมันแทบทุกรอบนั่นแหละ

            จัดการอาหารเช้าแบบง่ายๆ เสร็จเรียบร้อยกาลมันก็ยกจานไปวางในอ่าง ก่อนหยิบกระเป๋าใบโปรดขึ้นสะพายไหล่หันยิ้มให้ผม

            "ไปเรียนกันครับ เดี๋ยววันนี้พี่เหนือกาลขับรถไปส่ง"

            "เรียกไอ้เหี้ยน้องเหนือเถอะหน้าอย่างมึงน่ะ"

            คนโดนด่าหัวเราะชอบใจเดินนำไปที่ประตู ผมเก็บของลุกตามไปแล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมอะไรไปบางอย่าง เพราะโดนเหนือกาลก่อกวนแต่เช้าชามอาหารแมวที่วางอยู่นอกระเบียงเลยยังว่างเปล่า แต่ก็ทำได้แค่มองไปที่ประตูห้องนอนเพราะคนรอมันเร่งแล้วเร่งอีก

            เลิกเรียนแล้วค่อยกลับมาให้ก็ได้มั้ง ทนหิวไปก่อนนะไอ้แมว

 

            ผมเล่าเรื่องแปลกๆ ที่เจอเมื่อคืนให้เพื่อนฟัง มันเหมือนความจริงที่เหมือนความฝัน หรือความฝันที่เหมือนความจริงจนแยกไม่ออกผมก็ไม่แน่ใจนัก ส่วนเหตุผลที่ผมไม่เล่าเรื่องนี้ให้เหนือกาลฟังเพราะกลัวมันจะคิดมาก แค่นอนคนเดียวยังฝันร้าย ถ้ามันรู้ว่ามีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นสงสัยกลัวจนนอนไม่หลับแน่

            "สรุปเรื่องจริงหรือฝัน" พสุถามขึ้นคนแรกหลังจากฟังจบ

            "ฝันอยู่แล้ว คนบ้าอะไรมายืนแก้ผ้าอยู่ตรงระเบียง นอกจากพวกโรคจิต" คิรินตอบ พสุมันก็ค้านขึ้นมากอีก

            "แต่ไอ้เหนือมันได้ยินเสียงแมวร้องด้วยนะ ใช่มั้ย พอออกไปดูก็ไม่เจออะไร ทั้งคนทั้งแมว"

            "ก็ถึงได้บอกว่าฝันไง"

            "กูจามด้วยนะสองที"

            "มึงแพ้อะไรอีก"

            ผมเผลอหลุดปาก ตอนแรกตั้งใจว่าจะไม่พูดเกี่ยวกับอาหารแพ้ เพราะขี้เกียจฟังพวกมันบ่น

            "ก็แค่จามเฉยๆ"

            "ก็ว่าแมวนั่นแหละ แค่มึงไม่เห็นเฉยๆ หรือเปล่า" พสุว่า ยังคงมั่นใจว่าเจ้าแมวขาวมาหาผมจริงๆ ซึ่งใจผมก็เชื่ออย่างนั้น

            "ก็คือมึงฝันนั่นแหละ" แล้วคิรินก็สรุปให้อีกที แต่ดูเหมือนว่าเรื่องจะไม่จบลงง่ายๆ เมื่อคนที่เงียบอยู่นานอย่างมงคลอยากพูดขึ้นมาบ้าง

            "หรือจริงๆ แล้ว..."

            เราสามคนพากันเงียบเพื่อตั้งใจฟังว่ามันจะพูดอะไร ความเห็นเพื่อนคนนี้มักมีอะไรให้แปลกใจเสมอ สมฉายานานๆ พูดที แต่อึ้งกันทั้งกลุ่ม

            "แมวตัวนั้นอาจจะแปลงร่างเป็นคนเพื่อมาบอกว่าอยากจะอยู่ด้วย"

            แล้วก็ได้อึ้งกันจริงๆ

            "เพ้อเจ้อแล้วมึงอ่ะ" พสุส่ายหน้าใส่

            "ถ้าฝันว่าเห็นคนมาบอกว่าให้เลี้ยงแมวก็ว่าไปอย่าง บางทีอาจจะเป็นเจ้าที่"

            "มึงก็เพ้อเจ้อพอกันอ่ะไอ้สัด"

            "กูชื่อคิริน"

            "ขี้ความสิมึงน่ะ"

            "โอ้โหแรง ต่อยมัยจะได้จบ"

            "มามึงมา"

            ผมยิ้มแหยมองไอ้สองคนที่ดีแต่ปาก ด่ากันทุกวัน ทำท่าจะตีกันตลอดแต่ไม่เห็นมันจะกล้าลงไม้ลงมือกันจริงๆ สักที ส่วนมงคลที่ได้ออกความคิดเห็นสุดโต่งแล้วก็นั่งทำหน้าเบื่อเหมือนเดิม

            "เออ แล้วที่ให้เอาอาหารไปให้เป็นไงบ้างวะ" เถียงกับคิรินเสร็จพสุมันก็หันมาถามผมเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้

            "มันก็มากินอยู่ แต่ต้องแอบไม่ให้ไอ้กาลเห็น วันนี้ออกมาพร้อมกันกูเลยไม่ได้เทอาหารไว้ให้เลย"

            "ก็ว่าถ้าไอ้น้องเหนือรู้ว่ามึงแอบเลี้ยงแมวมันคงเก็บเสื้อผ้าหนีไปอยู่ที่อื่น" คิรินแซว เหลือกาลกับแมวอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ใครๆ ต่างรู้ดี

            "อย่างมันไม่กล้าย้ายไปไหนหรอก"

            "ก็ไม่แน่มั้ย เผื่อมีแฟนไรงี้ กับพี่รหัสมันน่ะเห็นตัวติดกันจังเลย"

            ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆ เพราะพวกนี้ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วพี่ณดากำลังจีบผมอยู่ เป็นการจีบแบบไม่จริงจังจนไม่มีใครดูออก หรือบางทีผมอาจจะเข้าใจผิด ความจริงพี่ณดาอาจจะจีบไอ้กาลอย่างที่คิรินบอกก็ได้

            จากเรื่องแปลกประหลาดของผมที่ไม่รู้ว่าจริงหรือฝัน ลามไปถึงเรื่องเจ้าแมวขาว ตามด้วยเรื่องเหนือกาล และหัวข้อกำลังจะถูกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ต้องขอบคุณอาจารย์ที่เข้ามาสอนสักทีหลังจากเลทไปประมาณสิบห้านาที เพื่อนพูดมากทั้งสองถึงได้หยุดปากหันไปสนใจสไลด์หน้าห้องแทน

 

            วันนี้ผมขอเถลไถล เลิกเรียนแล้วหนีไปดูหนังต่อปล่อยให้กาลมันกลับไปอยู่หอคนเดียว พอออกจากโรงหนังหยิบมือถือขึ้นมาดูก็เจอไลน์จากน้องชายฝาแฝดแจ้งเตือนเต็มหน้าจอ จับใจความได้คร่าวๆ ว่า ‘แมว’

            ผมแยกตัวจากเพื่อนๆ ทันทีเมื่อรู้ว่ากำลังเกิดปัญหาที่หอ มันอาจไม่ใช่เรื่องสำหรับคนทั่วไปแต่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับไอ้กาลแน่นอนที่ได้ยินเสียงแมวร้องไม่หยุด จะเปิดประตูออกไปดูก็ไม่กล้า ถ้าอยู่กับผมอาจจะมีใจสู้กล้าเผชิญหน้ากับแมวขึ้นมาบ้าง แต่ถ้าอยู่คนเดียวนั้นเลิกฝันไปได้เลย

            ผมกลับมาถึงหอภายในยี่สิบนาทีต่อมา เหนือกาลนั่งอยู่ที่โซฟา พอเห็นหน้าผมมันก็รีบฟ้องทันที

            "แมวมันร้องใหญ่เลยตรงระเบียงห้องนอนอ่ะ ไปดูหน่อยดิ"

            "แต่กูแพ้แมวนะ" ผมแกล้ง คนกลัวแมวเลยทำท่าจะลุกมาต่อยผมเสียอย่างนั้น

            "แค่ออกไปดูแล้วไล่มันไปเฉยๆ กูไม่ได้ให้มึงออกไปเล่นกับมัน"

            "แต่ถ้าไม่ออกไปแล้วกูจะไล่มันได้ไงอ่ะ"

            "งั้นมึงก็นอนกับกูข้างนอก"

            "อย่าเวอร์ไอ้สัด" ผมว่า เดินหนีเข้าไปดูในห้องนอนแล้วก็ได้ยินเสียงแมวร้องจริงๆ สงสัยจะหิวข้าวล่ะมั้ง วันนี้ไม่ได้เทอาหารไว้ให้ด้วย

            ผมเปิดผ้าม่านไปมัดไว้ด้านข้าง พอเจ้าแมวขาวเห็นผมมันก็ร้องดังกว่าเดิม นั่งอยู่หน้าชามข้าวแล้วก็ร้องอยู่อย่างนั้น อารมณ์ประมาณว่ารีบๆ เอาอาหารมาให้สักทีสิมนุษย์ หน้าตาก็ดูเอาแต่ใจ จนผมชักสงสัยว่าก่อนหน้านี้มันเอาชีวิตรอดมาได้ยังไง กินอาหารที่ไหน แค่ผมให้อาหารไม่กี่วันถึงมาทำหน้าเอาแต่ใจใส่กันได้ขนาดนี้

            "นั่งอยู่แบบนี้ก็ออกไปเทอาหารไม่ได้ดิวะ" ผมพูดกับแมวที่คงฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง มันยังร้องเมี้ยวๆ ไม่สนใจอะไร พอเห็นผมไม่ออกไปเทอาหารให้สักทีมันเลยเดินเอาตัวมาสีกระจกแทน เห็นแล้วก็อยากขยำขนฟูๆ ของมันชะมัด

            จากประสบการณ์ที่ผ่านมาความจริงแล้วอาการแพ้ขนแมวของผมไม่ได้รุนแรงอะไรนัก แค่คัดจมูกกับระคายเคืองตานิดหน่อย แม้บางครั้งตาจะบวมแดงจนน่ากลัวเลยก็ตาม

            ผมหันกลับไปมองที่ประตูก็เจอกับตาแป๋วๆ ของน้องชายฝาแฝดที่มองมาอยู่ มันคงมาสังเกตการณ์ อยากให้ผมไล่แมวไปแต่ก็ไม่อยากให้ผมออกไปเผชิญหน้ากับแมวอะไรแบบนั้น คิดๆ ดูแล้วทำไมชีวิตเราสองคนมันถึงได้ยุ่งยากแบบนี้ก็ไม่รู้ จะแพ้จะกลัวอะไรจะเลือกที่มันต่างกันหน่อยก็ไม่ได้ แล้วดูสิ่งที่พวกเราเข้าใกล้ไม่ได้สิ

            มันก็แค่...แมว

            เฮ้อ!

            "มีมาสก์มั้ย" ผมถามคนที่ยืนหลบอยู่ตรงประตู

            "มาสก์หน้าเหรอ มึงจะเอามาทำอะไรตอนนี้"

            "มาสก์ปิดปากสิโว้ย"

            "แค่นี้ขึ้นอ่ะคนเรา"

            "มึงก็อย่าเพิ่งกวนตีนสิวะ"

            "เมี้ยว!"

            "รอแป๊บ เดี๋ยวไปเอาให้"

            แค่ได้ยินเสียงแมวร้องคนที่ตั้งท่าจะอ้าปากเถียงต่อก็เดินหลบฉากออกไปทันที ผมได้แต่ส่ายหน้าขำกับอาการกลัวแมวขึ้นสมองของน้องชาย ทั้งที่สัตว์ชนิดอื่นก็เข้าใกล้ได้แท้ๆ แต่กลับกลัวสิ่งมีชีวิตน่ารักๆ อย่างแมวซะงั้น

            หายไปไม่ถึงนาทีเหนือกาลก็กลับมาพร้อมหน้ากากอนานัยที่เคยซื้อมาทิ้งไว้ทั้งกล่องช่วงที่ผมเป็นหวัด ยื่นให้เสร็จก็ถอยหลังไปตั้งหลักตรงประตู แต่ยังอุตส่าห์ถามแสดงความห่วงใย

            "มึงจะออกไปเหรอ"

            "อยากให้ไล่ไม่ใช่ไง ก็ต้องออกดิ"

            "ทุบๆ ประตูไล่ก็ได้มั้ง เกิดมึงแพ้หนักขึ้นมาทำไงวะ"

            "ยังไงก็กูฝากหามส่งโรงพยาบาลด้วยแล้วกัน"

            "ไอ้สัด ไม่ตลก"

            "เออ ไม่เป็นไรหรอกน่า แค่คัดจมูกเอง ใส่มาสก์แล้วน่าจะโอเค" พูดจบผมก็ปลดล็อกประตู หันไปมองที่ประตูห้องอีกรอบเหนือกาลก็ถอยไปหลบข้างหลังบานประตูแล้วเรียบร้อย

            "อย่าให้มันเข้ามานะเว้ย"

            "มึงจะออกไปรอข้างนอกก็ได้นะ"

            "ไม่เอา เดี๋ยวมึงเป็นอะไรขึ้นมาไม่มีคนช่วย"

            "แต่ถ้ามันพรวดพราดเข้ามากูก็คงจับไม่ทันเหมือนกัน"

            "ก็อย่าให้มันเข้ามาเด้!"

            "ห้ามได้ที่ไหนวะ"

            "มึงอย่าแกล้ง เอาจริงกูก็ไม่ได้กลัวขนาดนั้นหรอก รีบๆ ไปไล่มันซักที"

            "เหรอกาลเหรอ ครั้งแรกที่มึงเห็นกรี๊ดลั่นห้องเลยนะ ตอนที่เคยเจอแมววิ่งเข้าหาก็กระโดดหลบแทบไม่ทัน"

            "กูแค่ตกใจ"

            "ไปรอข้างนอกไป" ผมโบกมือไล่ หนึ่งคือห่วงมัน และสอง เพราะไม่อยากให้มันรู้ว่าผมแอบให้อาหารแมวมาหลายวันแล้ว

            "ไม่เอา"

            "แป๊บเดียว ไม่เกินห้านาที"

            ค้านกันทางสายตาอยู่นานแต่สุดท้ายเหนือกาลมันก็ยอมทำตามที่ขอ

            ผมเปิดลิ้นชักข้างเตียงฝั่งตัวเองหยิบถุงอาหารออกมา ใส่หน้ากากไว้เพื่อป้ปงกัน เปิดประตูเลื่อนอย่างระมัดระวัง ก่อนก้าวออกไปที่นอกระเบียง

            ในที่สุดเราก็ได้เผชิญหน้ากันตรงๆ สักที

            เจ้าแมวขาวขนฟูร้องเสียงดังที่ผมเดาเอาเองว่ามันคงดีใจที่จะได้กินอาหาร พอเปิดถุงเทอาหารเม็ดใส่ชามให้ปุ๊บมันก็รีบมากินทันที ผมก็นั่งมองมันเพลินจนเกือบลืมไปเหมือนกันว่าขอเวลาเหนือกาลไว้แค่ห้านาที อยากจะยื่นมือไปลูบขนมันเล่นแต่ต้องพยายามห้ามใจเอาไว้ จนกระทั่งมันละความสนใจจากข้าวในชามหันมาหาผม ความอดทนที่มีอยู่น้อยนิดก็หมดลง

            "เมี้ยว"

            ลองยื่นนิ้วไปจิ้มตัวหนึ่งทีมันก็ร้องออกมา

            "เมี้ยว"

            คราวนี้ลองลูบหัวมันก็ร้องอีก ก่อนจะหลับตาพริ้มอย่างสบายอารมณ์

            นานแค่ไหนแล้วนะที่ผมไม่ได้สัมผัสตัวแมว ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นสองเดือนก่อนที่แพ้จนตาบวมทำเอาไอ้พสุกับคิรินโวยวายทำเป็นเรื่องใหญ่ หลังจากนั้นพวกมันก็พยายามกันผมให้ออกห่างจากแมวทุกวิถีทาง แต่สุดท้ายพวกมันก็เป็นคนแนะนำให้ผมให้อาหารเจ้าแมวขาวตัวนี้เสียเอง

            "ขนนุ่มเหมือนกันนะมึงเนี่ย" จากลูบแค่หัวก็เปลี่ยนเป็นลูบทั้งตัวเมื่อมันเดินเอาตัวมาสีมือผมพลางร้องเมี้ยวๆ ทำหน้าทำตาน่ารักจนต้องคอยลูบคางให้ แต่แค่ได้ลูบมันไม่พอสำหรับคนชอบแมวอย่างผมจริงๆ

            สองมืออุ้มตัวมันมาวางบนตักที่นั่งขัดสมาธิ ผมยังเกาหัวเกาคางให้มันไม่เลิก พอเห็นว่ายังไม่มีอาการแพ้ความคิดที่อยากลวนลามมันมากกว่านี้ก็ผุดขึ้นมา

            "ว่าแต่เพศอะไรวะ" ก่อนหน้านี้ไม่เคยสังเกต หรือเจ้าแมวขาวไม่เคยหันก้นให้ผมดูก็ไม่รู้เลยลืมเรื่องเพศมันไปเสียสนิท

            ไม่รอให้ให้สิ่งที่สงสัยคาใจ เมื่ออยู่ในท่าที่จะเหมาะสมอยู่แล้วผมก็จับมันนอนหงาย เห็นสายตาขวางๆ ของมันมองมาก็คอยลูบหัวให้ตลอด แต่พอจับนอนหงายมันดันเอาหางมันปิดไว้ซะงั้น ผมเลยดึงหางมันออกโดยลืมคิดไปว่าแมวก็อาจจะรักของสงวนเหมือนกัน

            "โอ๊ย!"

            ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นสองสามจุดพร้อมๆ กับทำเอาผมเลือกโฟกัสไม่ถูก มือสองข้างปล่อยเจ้าแมวขาวอัตโนมัติ เห็นมันกระโดดหนีหายไปจากระเบียง ก่อนเหนือกาลจะโผล่มาแทนพร้อมสีหน้าตกใจแบบสุดขีด

            สิ่งมีชีวิตที่ชื่อว่าแมวคงโดนคนรอบตัวแบนออกจากชีวิตผมก็คราวนี้แหละ

 

            โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยคือสถานที่ที่ผมอยู่ในตอนนี้ หลังจากเห็นบาดแผลบนตัวผมเหนือกาลมันก็โวยวายห้องแทบแตก ตามด้วยการโทษตัวเองที่ทำให้ผมต้องโดนแมวข่วนที่หน้าตรงหัวคิ้วหนึ่งรอยกับที่แขนอีกสองรอยระหว่างที่ล้างแผลให้ หลังจากปฐมพยาบาลเบื้องต้นเสร็จก็ขับรถพาผมมาโรงพยาบาล โดนไปหลายเข็มจนผมขี้เกียจนับ ต้องโทษตัวเองด้วยที่ดันจำไม่ได้ว่าเคยฉีดวัคซีนอะไรไปบ้าง น้องชายผู้แสนดีเลยตัดสินใจให้ฉีดบาดทะยักกับพิษสุนัขบ้าใหม่ไปเลยเพื่อเป็นการป้องกัน ทั้งที่ความจริงก็น่าจะเคยฉีดไปแล้วนั่นแหละ

            ระบมจากแผลไม่พอยังต้องระบมจากเข็ม ผมนั่งหงอยเป็นแมวป่วยในรถที่เหนือกาลกำลังขับพากลับหอ ไหนจะต้องฟังมันบ่นทั้งขาไปขากลับ ตามด้วยการตัดพ้อโทษตัวเอง พูดวนมาสามสี่รอบได้แล้ว

            "มึงพูดรอบที่ล้านแล้วเนี่ย" ผมบ่นกลับบ้าง

            "จะพูดไปเรื่อยๆ นี่แหละ ต่อไปนี้กูไม่ให้มึงเข้าใกล้แมวอีกเด็ดขาด เป็นเรื่องเลยเห็นมั้ย ถ้ามันมาอีกกูจะเค้นความกล้าไปไล่เอง"

            "กูว่ามึงช็อกตายก่อนได้ไล่แมว"

            "ก็คอยดู แค่แมว" น้องชายใครทำไมทำเป็นเก่ง

            "เออ จะรอดูเหมือนกัน"

            "แล้วตอนนี้มึงไม่มีอาการแพ้อะไรใช่มั้ย" รู้ว่าเถียงผมเรื่องที่ตัวเองกลัวแมวไม่ได้แน่ๆ เหนือกาลมันก็พาเปลี่ยนเรื่อง

            "ไม่นะ ก่อนฉีดพี่พยาบาลก็ทดสอบแพ้ยาให้ เลยโดนจิ้มไปหลายรอบเลย"

            "ไม่ได้หมายถึงยา กูหมายถึงแมว อาการเป็นไงบ้าง ไม่แพ้ใช่มั้ย"

            "ไม่รู้วะ" ตอนนี้อาการก็ไม่ได้ดีเท่าไรผมเลยบอกไม่ได้ว่าแพ้หรือไม่แพ้กันแน่ จะบอกว่าเจ็บจนลืมแพ้แมวไปเลยก็ได้ ก็แผลที่โดนข่วนมันสาหัสกว่าเวลาคัดจมูกหลายเท่านัก

            "สังเกตตัวเองหน่อยดิวะ"

            "มัวแต่เจ็บอยู่ไงเลยลืม"

            "ถึงห้องแล้วก็รีบอาบน้ำนอนเลย"

            "ครับ รู้แล้วครับ"

            ภายในรถเงียบลง ผมหันไปมองน้องชายที่เอาแต่จ้องถนนตรงหน้า คิ้วขมวดสีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลแม้มันจะพยายามผ่อนคลายเวลาคุยกับผมก็ตาม

            ผมไม่ได้พูดอะไรต่อเพระรู้ว่ายิ่งปลอบยิ่งพูดจะทำให้กาลมันคิดมากกว่าเดิม สิ่งที่ต้องทำคือทำให้ตัวเองดีขึ้นไวๆ แสดงให้มันเห็นว่าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่สามารถทำอันตรายอะไรผมได้ ก็แค่แมวกัด แถมยังโดนจับฉีดยาไปตั้งหลายเข็ม แค่นี้สบายมากอยู่แล้ว

            ถ้าอยู่ในห้องกันสองคนผมคงดึงเหนือกาลมากอดแล้วจุ๊บเหม่งสักทีสองทีเป็นการปลอบใจ แม้ผมไม่ได้ชอบการแสดงความรักแบบนี้สักเท่าไร ผิดกับไอ้กาลมันที่บางทีเผลอๆ ก็ชอบเข้ามาหอมแก้มมาบอกรัก ซึ่งผมเดาว่ามันคงอยากแกล้งเล่นมากกว่า แต่เพราะตอนนี้มันขับรถอยู่ถ้าทำแบบนั้นเราคงได้วนกลับไปโรงพยาบาลด้วยรถฉุกเฉินแน่ๆ

            เอาเป็นว่ากลับถึงห้องเมื่อไรค่อยกอดมันแน่นๆ ไอ้แฝดจอมคิดมากจะได้เลิกทำหน้าเครียดสักที


tbc.


เป็นเรื่องแล้วไงนายลิขิต
อยากบอกว่าไม่ใช่แค่เหนือกาลนะที่ชอบทำตัวเหมือนเหยื่อ จริงแล้วคนพี่ก็เหมือนกัน
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า

ออฟไลน์ mijimaria

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
น่าสนุกจังเลย ว่าแต่คนที่กาลเห็นคือน้องแมวใช่มั้ย แล้วทำไมถึงน้อง เเมวถึงกลายเป็นคนไปได้หว่า รอติดตามนะคะ

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

แหม่...น้องแมวคงอายของสงวนอ่ะ  ก็เลยตะกุยหน้าเข้าให้ 

ออฟไลน์ ดาวโจร500

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
รอติดตามค่าาา

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5
ลิขิตครั้งที่ 3


            หลังจากลองใส่มาสก์จับแมวแล้วปรากฏว่าอาการแพ้ไม่ได้รุนแรงนัก ผมแพ้ขน คิดว่าขนแมวมันคงเข้ามาทำอะไรโพรงจมูกผมไม่ได้ล่ะมั้งเลยไม่เป็นอะไร วันนี้เลยตั้งใจว่าจะออกไปเล่นกับมันอีก ใส่มาสก์พร้อมนั่งรอยู่หน้ากระจก แต่รอแล้วรอเล่ามันก็ไม่มาสักที

            พออยากเจอก็ไม่มานะไอ้แมวตัวนี้

            ผมออกไปส่องที่ระเบียงหลังจากนั่งแก่วอยู่สักพัก ไร้วี่แววและไม่ได้ยินเสียงร้อง มองชามข้าวที่มีอาหารใส่อยู่ก่อนเดินกลับเข้ามาในห้องแล้วนั่งหน้าประตูกระจกที่เดิม

            หรือว่ามันจะโกรธที่ผมจับมันหงายท้องส่องไข่เมื่อวาน

            "เป็นแมวขี้งอนเหรอวะ" นึกถึงเหตุการณ์วานเมื่อวานแล้วก็ขำ แม้มันจะทำให้ผมเจ็บตัวก็เถอะ ขำทั้งน้ำตากันไปเลย

            มองบาดแผลสองจุดบนแขน กับอีกหนึ่งที่ตรงหางคิ้วแล้วก็รู้สึกแสบขึ้นมา โชคดีแล้วที่เล็บมันไม่จกเข้าที่ตา ไม่งั้นได้กลายเป็นเหนือลิขิตตาเดียวแน่ๆ ส่วนรอยข่วนยาวที่ท้องแขนคงมีรอยแผลเป็นฝากเอาไว้หลังแผลหาย เย็นนี้ไอ้กาลบอกว่าจะรีบกลับมาทำแผลให้ผมก็เตรียมร้องกรี๊ดรอเลย แล้วก็ต้องเตรียมสำลีไว้อุดหูตอนฟังมันบ่นด้วย

            จะว่าไปแลกมาด้วยบาดแผลขนาดนี้แล้วผมยังไม่รู้เลยว่าแมวตัวนั้นเพศอะไร ยังไม่ทันเห็นก็โดนข่วนซะก่อน ถ้ามันจะอายขนาดนั้น ที่ว่าโกรธจนไม่ยอมมาหาอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้

            แต่เรื่องแค่นั้นเนี่ยนะ! แมวบ้าอะไรแม่งจะขี้งอนเกินไปแล้ว

            นั่งเท้าคางมองชามข้าวแมวอยู่ดีๆ เสียงแจ้งเตือนไลน์ก็ทำผมสะดุ้งจนต้องหยุดสมองที่กำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เป็นพี่ณดาที่ทักมาถามไถ่อาการ ไอ้กาลมันต้องไปเล่าให้ฟังแน่ๆ ว่าผมโดนแมวข่วน บอกตามตรงว่าวันนี้ผมโดนบ่นจนไม่อยากจะพูดคุยกับใครแล้ว โดยเฉพาะคนที่เพิ่งทักมา

            ผมมองข้อความที่โชว์อยู่แล้วปล่อยให้หน้าจอมันดับไปเอง ในเมื่อไม่อยากคุยก็ไม่จำเป็นต้องตอบ แต่ทิ้งจังหวะไม่นานก็มีเสียงเรียกเข้าดังขึ้นมาแทน คราวนี้เป็นไอ้น้องชายที่โทรมา

            ให้มันได้อย่างนี้เถอะ ก็แค่ไม่ตอบไลน์ หรือว่าผมไม่ควรรับสายมันบ้างดี

            "ว่า"

            [รับด้วยว่ะ] คำแรกมันก็กวนตีนผมเลย

            "เออ มีอะไร"

            [พี่ณดาไลน์หาทำไมไม่ตอบวะ]

            "เอ้าเหรอ ไลน์มาตอนไหนกูจะไปรู้มั้ย ตัวไม่ได้ติดกับโทรศัพท์"

            [ตอแหลไม่เนียน]

            โคตรเบื่อเลยคนรู้ทัน

            "ทำไมอ่ะ พี่เค้าฟ้องมึงเหรอ หรืออยู่ด้วยกัน"

            [ก็เออ เพิ่งแยกกันเมื่อกี้]

            "แล้วยังไง มึงจะโทรมาบ่นกูแค่นี้"

            [มึงเห็นกูเป็นคนยังไงเนี่ย]

            "คนที่อยากให้พี่ชายได้กับพี่รหัสตัวเอง"

            [กูก็ไม่ได้บังคับมึงขนาดนั้นมั้ย] กาลมันค้านกลับมาเสียงสูง ถึงไม่ได้บังคับก็เถอะ แต่แม่งขายพี่มันแบบออกนอกหน้ามาก

            "แล้วสรุปมีอะไร"

            [คืนนี้กูกลับดึกนะ]

            "ขยันเลี้ยงกันจังวะ" จากการสังเกตของผมในเวลาสองปีที่ผ่านมาสายรหัสไอ้กาลโคตรดูแน่นแฟ้น ผิดกับสายรหัสผมที่พี่รหัสตายห่าไปแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้ ส่วนน้องรหัสก็มีคุยกันบ้างผ่านๆ

            [เปล่าๆ วันนี้เลี้ยงวันเกิดไอ้จรูญ]

            "ร้านไหน"

            [ที่บ้านมัน แดกแล้วเมาเป็นหมา ขี้เกียจแบกกลับ]

            "เออ อย่าหนักมากนะมึง เดี๋ยวขับรถกลับไม่ไหว"

            [ถ้าไม่ไหวกูคงนอนตายอยู่ที่บ้านมันนั่นแหละ แต่ตั้งใจว่าจะกลับไม่เกิดเที่ยงคืน]

            "เที่ยงคืนมึงคือตีสามตีสี่ตลอด"

            คนปลายสายหัวเราะ แต่ผมนับถือกาลมันนะ เรียนก็หนักยังแบ่งเวลาปาร์ตี้ได้ถี่ๆ อีก หากว่ากันตามจริงกาลมันได้อะไรดีๆ ไปมากกว่าผมเยอะ ฉลาดกว่า ตัวก็สูงกว่า มีอารมณ์ขันกว่าอย่างกับพ่อแม่ลำเอียงทั้งที่เกิดมาเป็นแฝดกันแท้ๆ แต่ผมไม่คิดมากหรอก เพราะความจริงอีกข้อที่ปฏิเสธไม่ได้คือผมหล่อกว่ามัน

            [แล้วแผลเป็นไงบ้าง]

            "ก็ดี ยังเจ็บนิดหน่อย"

            [กินยาด้วยนะมึง]

            "เออ"

            [หรือกูจะกลับไปล้างแผลให้มึงก่อนดีวะ]

            "ขับรถกลับมาตอนนี้มึงก็แห้งตายบนถนนไปเถอะ แผลแค่นี้กูทำเองได้"

            [ทำเสร็จแล้วถ่ายรูมาให้กูเช็กด้วย]

            "อันนี้เยอะไป"

            [เออๆ เดี๋ยวพวกกูจะออกกันละ คงจะถึงบ้านมันสองทุ่มพอดี]

            "ขอให้แม่งถึงสองทุ่มจริง"

            เหนือกาลหัวเราะก่อนวางสาย ไม่รู้วันนี้มันอารมณ์ดีมาจากไหน หรือเพราะจะได้ปาร์ตี้มันเลยคึกรอล่วงหน้าก็ไม่รู้

            วางสายจากน้องชายแล้วผมก็ปืนขึ้นเตียงเมื่อเห็นว่าแมวสีขาวที่รอยังไม่มีวี่แววจะโผล่มา ใกล้หกโมงเย็นในวันที่น่าเบื่อแบบนี้กำลังง่วงได้ที่เลย งีบสักสองชั่วโมแล้วค่อยตื่นมากินข้าวล้างแผล ถ้าไม่ง่วงอีกรอบค่อยนั่งรอไอ้กาล ถ้ามันจะกลับมานอนห้องน่ะนะ

 

            ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกทีฟ้าข้างนอกก็มืดสนิทแล้ว ไม่แน่ใจว่าหลับไปนานแค่ไหนแต่มันเต็มอิ่มกว่าเวลาต้องตื่นไปเรียนตอนเช้าอีก ผมยืดตัวบิดขี้เกียจตั้งใจว่าจะหยิบมือถือมากดดูเวลา แต่มือกลับยืดไปโดนคนที่นอนอยู่ข้างๆ

            แต่เดี๋ยวนะ จำได้ว่าตอนหลับผมอยู่คนเดียว ถ้ากาลมันกลับมาแล้วก็น่าจะปลุกผม แล้วไอ้คนที่มันนอนอยู่ตรงนี้คือใครวะ

            ผมรีบเด้งตัวลุกขึ้นหันไปดูพื้นที่บนเตียงข้างๆ แม้ในห้องไม่ได้เปิดไฟทำให้มองเห็นได้ไม่ชัดนักแต่ผมมั่นใจว่าคนคนนี้ไม่ใช่น้องชายผมอย่างแน่นอน อีกอย่างไอ้กาลมันไม่เคยนอนแก้ผ้าจนล่อนจ้อนแบบนี้

            "มึงเป็นใครวะ!" ผมพุ่งเข้าไปตั้งใจจะล็อกตัวมัน สารภาพว่ากลัว แม่งเป็นโรคจิตหรือเปล่าก็ไม่รู้ แถมเข้ามาในห้องได้ยังไงทำไมผมไม่รู้ตัว

            ไอ้โรคจิตล่อนจ้อนเบี่ยงตัวหลบจนผมตะครุบผ้าห่มเต็มๆ แม้ผมจะเพิ่งตื่นแต่ก็ไม่ได้ด้อยประสิทธิภาพขนาดนั้น แต่ไอ้นี่มันไวมาก พอเบี่ยงตัวหลบได้มันก็เข้ามาล็อกแขนแล้วกดหน้าผมลงกับหมอน ทว่าออกแรงดิ้นแค่นิดเดียวก็หลุด

            มีดีแค่ไวอย่างเดียวนี่หว่า

            ผมหันกลับไปจ้องหน้ามัน พอสายตาเริ่มชินกับความมืดแล้วก็มองเห็นอะไรๆ ได้ชัดเจนขึ้น ไอ้ล่อนจ้อนทำหน้าตาตื่น ทำให้ผมนึกออกทันทีว่าเคยเห็นมันที่ไหน คืนนั้นที่ผมเห็นผู้ชายยืนแก้ผ้าตรงระเบียง เป็นไอ้นี่ไม่ผิดแน่

            "ไม่น่าเชื่อว่าหน้าตาแบบนี้จะเป็นโรคจิตนะมึงเนี่ย!" ผมตวาดพร้อมกับถีบมันจนหงายหลังตกเตียง แต่ยังไม่ทันได้ตามไปดู มันก็วิ่งไปที่ประตู ทั้งทุบทั้งเขย่าอย่างกับไม่รู้วิธีว่าจะเปิดออกได้ยังไง เปิดโอกาสดีที่ผมควรกระโจนเข้าไปล็อกคอมันใช่มั้ย แต่ขาผมกลับไม่ขยับแล้วมองด้วยความสงสัยแทน

            เพราะคิดว่าไอ้ล่อนจ้อนนี่เข้ามาทางระเบียงแน่ๆ แต่เป็นไปยังไงที่มันจะเป็นประตูไม่เป็น

            เขย่าอยู่ไม่กี่ทีมันก็สามารถเปิดประตูที่แง้มไว้อยู่แล้วเล็กน้อยได้ ตอนนี้เองที่ผมเพิ่งได้สติพรวดพราดลุกจากเตียงก้าวไปดู ห้องผมอยู่ชั้นสามมันหนีไปไม่ได้ง่ายหรอกๆ ถ้ากระโดดลงไปก็คงพุ่งใส่หลังคาบ้านพักข้างๆ ไม่ตายก็ร้าวจนลุกไม่ขึ้น

            แต่ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่ผมคิด

            "ไอ้เหี้ย! มึง"

            จะคว้าตัวไว้ก็ไม่ทัน จะร้องห้ามก็ไม่มีสติพอ ไอ้ล่อนจ้อนมันกระโดดลงไปจริงๆ ปืนระเบียงกระโดดลงไปต่อหน้าต่อตาผมเลย นี่มันชั้นสามนะเว้ย ไม่ตายห่าไปแล้วเหรอวะ

            ผมรีบเข้าไปเกาะขอบราวระเบียงดู แปลกที่ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยหลังจากมันกระโดดลงไป ไร้วี่แวว ไม่มีรอยหลังคาทะลุ หรือเสียงโวยวายว่ามีคนตกลงไปตรงนั้น มันจะเป็นไปได้ไงวะ อยู่ๆ ก็หายไปเหมือนไม่เคยมีตัวตนอยู่

            แม่งจะน่ากลัวเกินไปแล้วนะแบบนี้

            ผมยังยืนอยู่ที่ระเบียง พยายามมองหาอะไรก็แล้วแต่ที่มนุษย์จะสามารถใช้เป็นเครื่องมือเพื่อหนีไปจากตรงนี้ได้อย่างรวดเร็วเหมือนกับหายตัวไป เชือกไม่มี ต้นไม้ก็ไม่มี ไม่มีอะไรเลย หรือว่าไอ้ล่อนจ้อนมันเป็นสไปเดอร์แมนวะ ปล่อยใยแล้วโหนหนีไปตึกอื่น แม่งเอ๊ย! มันกำลังทำผมประสาทหลอน

            เดินกลับเข้ามาในห้องล็อกประตูปิดม่านก่อนเปิดไฟแล้วนั่งทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นบนเตียง ผมหลับไปช่วงหกโมงเย็น นอนไม่รู้เรื่องรู้ราวไม่รู้สึกตัวใดๆ จนกระทั่งตื่นแล้วเห็นไอ้ล่อนจ้อนคนนั้นอยู่บนเตียงเดียวกัน สิ่งเดียวที่ผมสงสัยคือมันเข้ามาได้ยังไง

            ทางระเบียงมีความเป็นไปได้มากที่สุดเพราะก่อนนอนผมไม่ได้ล็อก จำได้ว่าออกไปดูวี่แววไอ้แมวขาวแล้วกลับเข้ามา จากที่เห็นไอ้ล่อนจ้อนพยายามเปิดเมื่อกี้ผมน่าจะปิดประตูไม่สนิทด้วยซ้ำ แต่ถ้าจะบอกว่ามันเข้ามาทางนี้ก็ดูเป็นไม่ได้อีกเพราะมันเปิดประตูไม่เป็น ซึ่งเป็นอะไรที่โคตรแปลก จะคิดว่าเข้ามาทางประตูยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่

            อีกประเด็นคือทำไมมันไม่ใส่เสื้อผ้า ผมโยนมันเข้ากลุ่มโรคจิตแล้วแน่ๆ แบบไม่ต้องหาคำอธิบายใดๆ คนปกติไม่มีทางไปไหนมาไหนด้วยสภาพแบบนั้น ไม่มีทางเด็ดขาด แม้จะคิดกลับไปถึงครั้งก่อนที่ผมเห็นมันที่ระเบียง ซึ่งยังไม่แน่ใจจนถึงตอนนี้ว่าเป็นความจริงหรือฝันไป ลองคิดตามสมองอันน้อยนิดที่พอจะคิดได้มันก็ไม่ช่วยอะไรขึ้นมาเลย ผมไม่รู้เหตุผลหรือแรงจูงใจของมัน และอีกอย่าง อยู่ๆ แม่งกระโดดลงจากระเบียงแล้วหายตัวไปได้ยังไง ที่คิดออกก็มีอย่างเดียว ผีแน่ๆ แต่ผีมันจะจับต้องได้ขนาดนั้นเลยเหรอ ผมถีบมันตกเตียงเลยนะ แถมมันยังเข้ามาล็อกตัวผมอีก

            ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเหมือนหัวจะระเบิด ผมคว้ามือถือตั้งใจจะโทรหาเหนือกาล เหลือบมองนาฬิกาก็ห้าทุ่มกว่าแล้ว ถ้าบอกให้กลับมาก่อนมันจะยอมมั้ย แต่ยังไม่ทันได้กดโทรออกก็ได้ยินเสียงเปิดประตูเสียก่อน

            ไอ้กาลกลับมาแล้วเหรอวะ

            สารภาพด้วยความกลัวว่าผมไม่กล้าออกไปดู ถ้าไอ้ล่อนจ้อนนั่นมันหายตัวจากระเบียงได้ ก็มีความเป็นไปได้ที่มันจะโผล่มาจากหน้าประตูหรือเปล่า ความคิดผมมันหลอนมากตอนนี้ ฟันธงอีกข้อแล้วว่ามันต้องเป็นเอเลี่ยนที่มาจากต่างดาว

            เสียงก๊อกแก๊กดังที่หน้าประตูห้อง ผมไม่ได้ล็อกไว้ สายตาจ้องลูกบิดเขม็ง ในหัวกำลังทบทวนว่าในห้องมีอะไรที่พอใช้เป็นอาวุธได้บ้าง เพราะถึงแม้ไอ้ล่อนจ้อนมันจะตัวเล็กว่า แรงน้อยกว่า แต่ถ้ามันจะหายตัวได้แบบนั้นบอกเลยว่าผมไม่สู้

            และแล้วประตูก็เปิดออก

            "ยังไม่นอนเหรอวะ"

            ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อคนที่ยืนอยู่หน้าประตูคือเหนือกาล มันเลิกคิ้วมองผมก่อนเดินเข้ามาในห้อง แน่นอนว่าสภาพเตียงกระจัดกระจายแบบนี้ต้องทำให้มันสงสัย

            "ทำไมผ้าห่มกูมาอยู่ตรงนี้" มันถาม ก่อนหยิบผ้าห่มของมันที่กองอยู่บนพื้นขึ้นสะบัด

            "กูนอนดิ้น"

            "ดิ้นอีท่าไหนเตียงเยินขนาดนี้วะ ไม่ใช่มึงแอบหิ้วใครมานะ"

            มันก็ยังจะมีอารมณ์มาเล่น

            "ดูสภาพกูด้วย"

            "ผมไม่เป็นทรง เสื้อผ้าหลุดลุ่ย เหงื่อไหลไคลย้อยขนาดนี้ ใช่เลย"

            "ส้นตีนเถอะ" ผมล่ะอยากเอาตีนนาบหน้าน้องชายจริงๆ ให้ตาย

            "สรุปมึงเป็นไรวะ ฝันร้าย?"

            "งั้นมั้ง"

            "แล้วทำไมไม่เปิดแอร์นอน ร้อนตายห่า น้ำก็ยังไม่ได้อาบ ให้กูเดา แผลก็ยังไม่ได้ล้าง" มันใช้สายตาจับผิดไล่มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า โคตรน่าหมั่นไส้เลยบอกตรงๆ แต่จะยกโทษให้ที่มันรีบกลับมาหาในเวลาที่ผมต้องการแล้วกัน

            "เออ หลังจากคุยกับมึงเสร็จกูก็หลับ เพิ่งตื่นเมื่อกี้"

            "เพราะมึงเป็นแบบนี้ไงกูเลยห่วงจนต้องกลับมาเนี่ย"

            ผมอยากขอบคุณมันนะที่กลับมา แต่กลัวโพล่งออกไปแล้วจะทำให้มันสงสัย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าแฝดจะมีความรู้สึกพิเศษบางอย่างที่ส่งถึงกัน จะเรียกว่าลางสังหรณ์ก็ได้มั้ง ที่ไอ้กาลกลับมาแบบนี้มันต้องรู้สึกถึงลางอะไรไม่ดีอยู่แน่ๆ

            "งั้นมึงไปอาบน้ำก่อนไป เดี๋ยวกูทำแผลให้"

            "อืม"

            "หิวมั้ย"

            "นิดหน่อย"

            "อยากกินอะไร"

            "มึงจะทำเหรอ"

            "เออ เดี๋ยวกูทำให้"

            ไม่อยากจะอวดแต่ก็ต้องอวดว่าน้องชายผมมันทำอาหารอร่อย เป็นงานอดิเรกที่มันชอบทำเวลาอารมณ์ดี อีกหนึ่งความสามารถดีๆ ที่ผมรักมัน

            "อะไรก็ได้ กูกินได้หมดแหละ"

            "ไปอาบน้ำ"

            "เออ รู้แล้ว"

            มันยิ้มให้ผม ยิ้มกว้างไม่เห็นฟันแบบกวนตีน ก่อนเดินออกจากห้องไป

            ผมนั่งคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อยู่สักพักก่อนจะลุกไปหยิบผ้าขนหนู ช่างใจอยู่ว่าจะเล่าให้ไอ้กาลฟังดีมั้ยเพราะมันเป็นเรื่องใหญ่อยู่พอสมควร แต่ก็กลัวน้องชายจะคิดมาก แล้วกลัวนู่นระแวงนี่ไปมากมายอีก เอาเป็นว่า...

            "ฮัดชิ้ว!"

            อยู่ๆ ก็คันจมูก

            "ฮัดชิ้ว!"

            อ่า...แม่งอาการไม่ดีแล้วแบบนี้

            "ฮัดชิ้ว!"

            วันนี้ยังไม่ได้เจอแมวเลยแล้วไอ้อาการแบบนี้แม่งคืออะไรวะ

            "ฮัดชิ้ว!"

 

            ผมหยิบยาในลิ้นชักข้างเตียง แวบออกไปกินน้ำก่อนเข้าไปอาบน้ำ กาลมันกำลังยุ่งอยู่กับอาหารที่จะทำให้ผมเลยไม่ได้หันมาสนใจนัก แต่ถ้าอาการผมยังไม่ดีขึ้นล่ะก็ยังไงมันก็ต้องสังเกตเห็น  แล้วไอ้อาการแพ้เนี่ย ก็ใช่ว่าผ่านไปไม่กี่นาทีมันจะหายสนิท

            มื้อดึกที่กาลมันทำให้กินคืนนี้เป็นข้าวผัดไข่ง่ายๆ เพราะในตู้เย็นก็ใช่ว่าจะมีวัตถุดิบอะไรมากมาย ผมเอาผ้าขนหนูคลุมหัวไว้ตอนเดินออกมา ตายังแดง น้ำมูกยังไหลอยู่ แต่ไม่ได้ร้ายแรงนัก เดินก้มหน้าทำเป็นเล่นมือถือเดินสวนกับน้องชายที่กำลังจะไปอาบน้ำ

            "มัวจะก้มหน้าก้มตาเล่น มองทางหน่อย" บ่นเป็นพ่อเลยมัน

            "เออ ทางก็มีอยู่แค่นี้ กูไม่โดนรถชนตายหรอก"

            กาลมันผลักหัวผม แต่เพราะไม่อยากเงยหน้าขึ้นไปเถียงเลยมุบมิบปากบ่นมันเบาๆ แทน ปล่อยให้มันเดินเข้าห้องนอนตัวเองไป

            ผมกินข้าวผัดไข่หมดเกลี้ยงภายในเวลาไม่กี่นาที เร็วชนิดที่ว่ากาลมันยังอาบน้ำเสร็จไม่ทัน ตอนแรกตั้งใจจะหนีไปนอนเลย กลัวมันเห็นอาการแพ้แล้วโดนซักวุ่นวายอีก ซึ่งไอ้อาการแพ้ที่เป็นอยู่ตอนนี้เนี่ยผมยังไม่แน่ใจเลยว่าเกิดขึ้นจากอะไร ช่วงนี้มันชอบมีอาการทั้งที่ไม่ได้อยู่ใกล้แมว ส่วนแผลไม่ต้องทำแล้วก็ได้ มันคงไม่เน่าจนต้องตัดแขนกับคิ้วทิ้งหรอก แต่ถ้าคิ้วเน่าผมว่าคงต้องตัดหัวทิ้งไปเลยมากกว่า

            ยกจานไปเก็บในอ่างหมุนตัวกลับมากำลังจะเดินเข้าห้องกาลมันก็เปิดประตูห้องน้ำออกมา เป็นจังหวะชีวิตที่ดีเสียเหลือเกิน

            "มึงเอาของออกมาเตรียมรอเลย กูแต่งตัวแป๊บ"

            "แต่กูง่วงแล้วว่ะ"

            "ทำแผลแป๊บเดียว ว่าแต่ทำไมตาแดงๆ วะ" ฉิบหายแล้วนั่นไง ยืนห่างกันตั้งสองเมตรยังเสือกตาดีเห็นอีก ถ้าเป็นผมนะมองไม่เห็นหรอก ถ้าไม่ใส่แว่นก็อย่าได้ถามหาความคมชัดจากโลกใบนี้ เป็นแฝดที่ไม่มีความยุติธรรมเลยให้ตาย

            "ก็บอกว่าง่วงไงไอ้สัด กูหาวจนน้ำตาไหลแล้วเนี่ย"

            กาลมันเดินเข้ามาใกล้ ทำคิ้วขมวดยื่นหน้ามาจ้องจนผมอยากจะบอกมันว่า ‘มึงนี่หยุดฉลาดสักวิทนาทีเถอะไอ้สัด จ้องนักเดี๋ยวจกตาแม่งเลย’

            "กูว่าไม่ใช่แค่ง่วงแล้ว ไปนั่งเลย" มันชี้นิ้วสั่งก่อนเดินลิ่วๆ เข้าห้องตัวเองไป

            แล้วผมจำเป็นต้องทำตามมั้ย ความจริงจะเดินเข้าห้องตัวเองแล้วล็อกประตูเลยก็ได้ ปล่อยให้มันนอนคนเดียวแล้วฝันร้ายร้องไห้ขี้มูกโป่งไปเลย แต่กับความเป็นจริงมันย่อมต่างจากความคิดอยู่แล้ว คุยไปให้มันจบๆ ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าไอ้สิ่งที่กำลังเกิดตอนนี้มันคืออะไรกันแน่

 

            ผมเล่าเรื่องแปลกๆ ที่เกิดขึ้นช่วงนี้ให้เหนือกาลฟังระหว่างที่มันทำแผลให้ ตั้งแต่เห็นไอ้ล่อนจ้อนที่ระเบียงวันแรก ฉากต่อสู้กันวันนี้ การหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย รวมถึงอาการแพ้ทั้งที่ไม่ได้อยู่ใกล้แมวหรือสัมผัสตัวแมวแต่อย่างใด ถึงไอ้ข้อหลังอาจจะเป็นเพราะผมแพ้อย่างอื่นเพิ่มขึ้นมาอีกก็ได้ แต่ที่เล่าเพราะผมคิดว่ามันแปลก กาลมันจะได้ไม่ซักไซ้ถามเพิ่มด้วย

            คนฟังไม่พูดแทรกอะไรทั้งสิ้นขณะที่ผมเล่า ไม่ด่าไม่โวยวายสักนิดแม้จะมีคนแปลกหน้าเข้ามานอนในห้องก็ตาม มันทำหน้าเครียดอย่างครุ่นคิด กระทั่งผมเล่าจบมันถึงพูดประโยคแรกออกมา

            "ทำไมไม่รีบเล่าให้กูฟังวะ"

            "เพราะกูคิดว่าอาจจะฝันไง อีกอย่างเดี๋ยวมึงกลัว"

            ไอ้กาลไม่พูดอะไรต่อ มันทำแผลให้ผมเสร็จสักพักแล้ว หลังจากนั้นก็ฟังแล้วทำคิ้วขมวดตลอด ตอนนี้ก็เหมือนกัน มันกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก

            "มึงคิดว่ากูบ้ามั้ย มึงเชื่อที่กูเล่าหรือเปล่า" ผมรู้ว่าเรื่องนี้มันเชื่อยาก คนทั้งคน อยู่ๆ จะหายไปต่อหน้าต่อตาแบบไร้ร่องรอยได้ยังไง มันเป็นไปไม่ได้

            "มึงจำหน้าไอ้ล่อนจ้อนนั่นได้มั้ย" มันไม่ตอบว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่ผมไม่ว่ามันหรอก เข้าใจว่าเรื่องแบบนี้มันเชื่อยาก

            "มันมืด กูเห็นหน้ามันไม่ชัด แต่ก็พอจำได้ เอาจริง กูรู้สึกว่าคุ้นหน้ามันนะ แต่ไม่คุ้นเคย เหมือนเคยเจอคนหน้าตาแบบนี้ แต่ไม่คุ้นว่าเคยรู้จัก เข้าใจมั้ยวะ"

            "ไม่ใช่ว่ามึงคุ้นเพราะเคยเห็นมันสองครั้งเหรอ"

            "ไม่ใช่ว่ะ ในความรู้สึกกูมันเหมือนเคยเห็นคนหน้าตาแบบนี้ที่ไหนมาก่อน"

            "งั้นก็เป็นคนรู้จัก"

            "ก็กูบอกอยู่ว่าไม่รู้จัก"

            "เฮ้อ งงกับมึง" ไอ้กาลถอนหายใจทำหน้าเครียดจัด จริงจังกว่าตัวผมก็มันนี่แหละ

            อย่างที่บอกว่าผมรู้สึกคุ้นหน้าไอ้ล่อนจ้อนนั่นหลังจากครั้งนี้ที่ได้เห็นหน้ามันชัดขึ้นมาหน่อย แต่มันก็ยังคลุมเครือมากอยู่ดี บางทีมันอาจจะเป็นคนที่ผมเคยรู้จักหรือเห็นหน้ามาก่อน ถ้ามันมาอีก ครั้งต่อไปผมจะเปิดไฟจ้องหน้ามัน

            "ลักษณะหน้าตามันเป็นยังไงวะ รูปร่าง ส่วนสูง ทรงผม"

            "เหมือนมาร์ชแมลโลว์"

            "มาร์ชแมลโลว์เหี้ยอะไรของมึง จริงจังหน่อยไอ้สัด"

            "ก็มันแก้ผ้าอ่ะมึงเข้าใจมั้ย ผิวแม่งขาวอย่างกับเรืองแสงได้ ดูนิ่มๆ เหมือนมาร์ชแมลโลว์ ตาน่าจะชั้นเดียว จมูกกับปากดูดื้อๆ ผมสีบลอนด์มั้ง เกือบขาว ฟูๆ เตี้ยกว่ากูนิดนึง หุ่นไม่อ้วนไม่ผอม กำลังดี จริงๆ คือแม่งเป็นคนหน้าตาดีเลยแหละ"

            "บอกกูทีว่ามึงไม่ได้พิศวาสอะไรมัน ทำเป็นบอกว่ามันเป็นโรคจิต แต่จริงๆ เด็กมึง"

            "เด็กกูก็เหี้ยละ แสดงว่ามึงไม่เชื่อที่กูเล่าไปใช่มั้ย"

            "ก็ดูมึงพูดมาแต่ละอย่าง"

            "เอ้า ก็หน้าตามันเป็นแบบนี้จริงๆ จะให้กูทำไง ตอนนั้นกูยังคิดเลยว่าหน้าตาก็ดีทำไมทำตัวแบบนี้"

            "กูนึกไม่ออกเลยว่าเคยรู้จักใครที่เหมือนมาร์ชแมลโลว์ แต่ถ้าหน้าตาดื้อๆ ก็นึกออกอยู่คนเดียว" มันพูดประโยคแรกด้วยหน้าตาเคร่งเครียด แล้วพูดประโยคหลังด้วยแววตาเศร้าๆ

            "ถ้าจะเหมือนขนาดนั้นกูก็ต้องนึกออกมั้ย อีกอย่าง มันเป็นไปไม่ได้" เสียงผมเบาลงเรื่อยๆ เมื่อฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ ไอ้เด็กหน้าดื้อของเหนือกาลคนนั้นผมเองก็เคยเจอบ่อย เรียกว่าสนิทเลยก็ได้ ลองหลับตานึกถึงหน้าไอ้ล่อนจ้อนอีกทีมันก็พอมีส่วนคล้ายอยู่ ถ้าได้เห็นหน้ามันชัดๆ อีกครั้งคงยืนยันได้ แต่ว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด

            "เออ กูรู้ แต่..."

            ผมทิ้งสายตาไว้ที่เหนือกาลที่อยู่ๆ ก็หยุดพูดไป แววตามันยังเศร้า สีหน้ามันยังเคร่งเครียด แต่กลับดูมีประกายความหวังบางอย่างรายล้อมอยู่รอบตัวมัน

            "มึงจำเรื่องที่ปู่เคยบอกพวกเราตอนเด็กๆ ได้มั้ย" เงียบไปสักพักมันก็พูดขึ้นมา

            "เรื่องอะไรวะ พูดตั้งเยอะแยะ"

            "ที่บอกว่าจะมีเรื่องแปลกประหลาดที่สุดในชีวิตเกิดขึ้น"

            "พูดตอนไหน ทำไมกูไม่คุ้น"

            "มึงเคยคุ้นอะไรบ้างกูถามหน่อย"

            "ไหนอธิบายมาดิ๊"

            "จริงๆ มันไม่มีรายละเอียดอะไรเลย ปู่แค่พูดขึ้นมาเฉยๆ ตอนที่พวกเราไปเยี่ยมช่วงประถมมั้ง บอกว่าจะมีเรื่องประหลาดที่สุดในชีวิตเกิดขึ้นกับเรา มันคือจุดเปลี่ยนอะไรสักอย่าง ให้ทำให้มันถูกต้องจะได้ไม่เสียใจ"

            "คืออะไรวะ"

            "กูก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน"

            "ที่มึงจะสื่อคือเรื่องที่ปู่บอกอาจจะกำลังเกิดขึ้นอยู่กับกูตอนนี้น่ะเหรอ จะเป็นไปได้เหรอวะ"

            "ก็ถ้าเรื่องที่มึงเล่าเป็นความจริง กูว่าจะเชื่อไว้มันก็ไม่เสียหายหรอก"

            มึนตึ้บเลยผม เรื่องที่ปู่เคยพูดอะไรไว้ก็จำไม่ได้เลยสักนิด แต่ก็ไม่แปลกหรอกถ้ากาลมันจะจำได้คนเดียว ถึงบางทีมันจะดูบ้าๆ บอๆ ไปบ้างก็เถอะแต่มันเป็นคนใส่ใจในรายละเอียดแถมยังฉลาดอีก ปัญหาก็คือ ถ้าหากว่าเรื่องที่ปู่เคยบอกไว้กับเรื่องไอ้ล่อนจ้อนเป็นความจริง แสดงว่าเรื่องประหลากที่สุดในชีวิตกำลังเกิดขึ้นกับผม แล้วผมต้องทำยังไงให้มันถูกต้องล่ะ อะไรที่มันผิดอยู่

            "ปวดหัวเลยแม่งเอ๊ย"

            "ลองโทรไปถามพ่อดีมั้ย กูว่าพ่อน่าจะรู้" ไอ้กาลเสนอ

            "ป่านนี้หลับไปแล้วมั้ง"

            "งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยโทร"

            ผมพยักหน้ารับ ว่าไงว่าตามกัน

            "แล้วมึงกินยาหรือยัง"

            เล่นจ้องเขม็งขนาดนี้ ไม่ต้องถามรายละเอียดผมก็รู้ว่ามันหมายถึงยาแก้แพ้ คนขี้เกียจฟังน้องชายบ่นอย่างผมไม่รอให้มันบอกก่อนกินหรอก ผมก็ห่วงชีวิตตัวเองเหมือนกัน

            "กินแล้ว กูเริ่มง่วงแล้วเนี่ย"

            "ไปนอนไป เดี๋ยวกูตามเข้าไป"

            "แปรงฟันแป๊บ" บอกแค่นี้ผมก็ลุกเดินเข้าห้องน้ำ ส่วนกาลมันลุกไปล้างจาน ผมขอแนะนำไว้ตรงนี้เลยว่าถ้าอยากสบายต้องหาสามีให้ได้อย่างมัน แล้วคุณจะกลายเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก


tbc.


เรื่องราวแปลกประหลาดที่สุดในชีวิต?
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-03-2019 19:56:44 โดย kinsang »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

นุ้งแมวเป็นใคร  มาจากไหน  จัดอยู่ในสปีชี่ใด?

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
รอไขปริศนาน้องแมวขาว

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ติดตาม​จ้ะ

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

ลิขิตครั้งที่ 4

            ตะวันแทงตาขุดตัวเองขึ้นจากที่นอนได้พวกผมก็ต่อสายตรงถึงพ่อทันที ผมเล่าเรื่องสุดแปลกประหลาดเกี่ยวกับไอ้ล่อนจ้อนให้พ่อฟัง เป็นการเล่าที่เล่นใหญ่เวอร์วังอลังการแต่พ่อกลับไม่ได้ดูตกใจนัก อย่างกับรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นเรื่องที่ผมต้องเจอ เป็นปัญหาที่ผมต้องเผชิญในสักวัน

            [มันเป็นเรื่องที่ลิขิตต้องตัดสินใจเอง พ่อช่วยอะไรไม่ได้หรอก]

            "มันอาจจะเป็นเอเลี่ยนก็ได้นะพ่อ นี่มันปัญหาระดับชาติแล้ว ไม่ใช่ของผมคนเดียว"

            [ทำไมคิดอย่างนั้น] พ่อหัวเราะ แต่ไอ้คนที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ ผมกำลังทำหน้าประมาณว่าทนฟังความเพ้อเจ้อของผมไม่ไหวแล้ว

            "เอาตรงๆ นะพ่อ คือผมไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร แล้วทำไมผมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย"

            [พ่อเข้าใจลิขิตนะลูก แต่ก็ตามที่พ่อบอกไป มันเป็นความพิเศษของครอบครัวเราน่ะ]

            "เรื่องแปลกประหลาดที่สุดในชีวิตนี่ผมว่ามันน่าจะเป็นปัญหามากกว่าความพิเศษนะพ่อ"

            [คิดแบบนั้นเหรอ]

            "ใช่ครับ มันเป็นปัญหาแน่ๆ"

            [ถ้าเกิดผ่านมันไปได้แล้วลูกอาจจะเปลี่ยนความคิดก็ได้]

            คำพูดของพ่อมีแต่ทำให้ผมสงสัยมากขึ้นโดยที่ไม่สามารถไขข้อข้องใจใดๆ ให้ได้เลย นอกจากว่าผมต้องเผชิญกับมัน ต้องผ่านมันไปให้ได้ แล้วชีวิตหลังจากนั้นก็จะดี แต่กว่าจะผ่านมันไปได้จริงๆ ผมอาจจะประสาทก่อนได้

            [แล้วก็กาล]

            "ครับ" คนที่นั่งฟังเงียบๆ มาตลอดตอบรับ เรื่องของผมคงจบลงแค่นี้แล้วสินะ พ่อถึงได้เรียกไอ้กาลมันต่อ

            [ถ้าลิขิตผ่านมันไปได้ เวลาของกาลก็จะมาถึง]

            "ของผมเหรอ"

            [พ่อบอกได้แค่นี้แหละ ยังไงก็พยายามเข้าล่ะ ผ่านมันไปให้ได้นะลูกๆ ของพ่อ] ตัดจบเพียงเท่านี้แล้วพ่อก็วางสายไปเลย

            ผมกับเหนือกาลมองหน้ากันแล้วกะพริบตาปริบๆ สุดท้ายพ่อก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรมันกระจ่างขึ้นเลย

            "สรุปก็คือมันเป็นเวรกรรมที่กูต้องเจอสินะ" ผมสรุป เจอโรคจิตแอบเข้ามาในห้อง แถมยังเป็นโรคจิตที่หายตัวได้ สุดยอดไปเลย

            "มึงจะเอาไงต่อ"

            "จะทำไงได้วะ ก็คงต้องหาความจริงจากไอ้ล่อนจ้อนนั่น แต่กูนึกไม่ออกจริงๆ ว่ามันจะเป็นความพิเศษของกูได้ยังไง น่าจะเป็นความหายนะมากกว่า"

            "ถ้าพ่อบอกแบบนี้ก็ต้องเชื่อไปก่อนแหละ ตอนนี้กูก็ยังคิดอะไรไม่ออกเหมือนกัน" มันว่าหน้าเครียดกว่าผมสิบเท่าได้ เพราะจากที่พ่อบอกถ้าเรื่องของผมผ่านไปได้ด้วยดีก็จะถึงตามัน ได้เครียดรอกันยาวๆ เลยว่ามันจะเจอความแปลกประหลาดอะไรในชีวิต

            "เอาเป็นว่าครั้งหน้ากูจะจับมันให้ได้ ยังไงมันต้องมาอีกแน่"

            เหนือกาลพยักหน้ารับให้กับความมุ่งมั่นของผม มันนิ่งไปสักพักแล้วก็ทำหน้าครุ่นคิดขึ้นมาอีก จากนั้นก็หันมามองผม บอกตามตรงว่าใจไม่ดีเลยที่โดนมันมองด้วยสายตาจับผิดแบบนี้ ไปรู้อะไรมาอีกวะ

            "เออมึง เมื่อเช้ากูเห็นถ้วยสีชมพูวางอยู่ตรงระเบียง ถ้วยอะไรวะ"

            ขนาดนี้แล้วอย่าเรียกว่าเมื่อเช้าเลย ตอนนี้เพิ่งแปดโมง เรียกว่าเห็นตอนตื่นนอนไปเลยดีกว่า

            ผมพยายามคิดหาข้อแก้ตัวแต่คิดไม่ออก ไม่ได้กลัวโดนมันด่า แต่ขี้เกียจฟังมันบ่น เชื่อเถอะว่าไอ้กาลมันแกล้งโง่ถามไปงั้นเองว่าถ้วยอะไร ถึงกลัวแมวมันก็ต้องรู้แหละว่าหน้าตาแบบนั้นมันคือชามอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยง ถ้างั้นก็สู้ยอมรับตรงๆ ไปเลยให้มันจบๆ

            "ชามข้าวแมว"

            "สรุปว่ามึงแอบเลี้ยงจริงๆ ใช่มั้ย"

            "อ้าว รู้เหรอวะ"

            "คิดว่ากูโง่ รู้ไม่ทันมึง"

            "จ้า พ่อคนฉลาด กูนี่โง่ไปเลย" ถึงจะผิดคาดที่กาลมันไม่โวยวาย แต่การที่มันรู้ทันแล้วเก็บเงียบเอาไว้ก็ทำให้ผมดูโง่หน่อยๆ แต่ก็ช่างมันเถอะ

            "กูคงห้ามอะไรไม่ได้แล้วใช่มั้ย" มันพูดเหมือนตัดพ้อ

            "ก็แค่ให้อาหารเอง"

            "แพ้หนักขึ้นมาเดือดร้อนกูอีก"

            "ที่จริงวันนั้นที่กูใส่มาสก์ออกไปไล่มันก็ไม่ได้แพ้อะไรนะเว้ย น่าจะกันขนมันได้อยู่กูเลยไม่แพ้"

            "จริงๆ ที่มึงแพ้คือรังแคกับพวกสารคัดหลั่ง"

            "เออ อะไรก็ช่างแม่งเถอะ สรุปคือก็ป้องกันได้ ไม่เดือดร้อนมึงแน่นอน"

            มันมองกลับมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจ ส่วนผมก็เสนอหน้ายิ้มอย่างมั่นใจให้มันดู จนสุดท้ายไอ้น้องชายก็ถอนหายใจออกมา ทำตัวเหมือนผู้ปกครองผมจนแยกไม่ออกแล้วว่าสรุปใครพี่ใครน้องกันแน่

            "งั้นก็อย่าให้มันเข้ามาในห้องแล้วกัน"

            "กูไม่ให้มันเข้ามาได้หรอก" รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ ผมยังไม่อยากหูดับเพราะโดนคนกลัวแมวกรี๊ดใส่หรอก

            "แล้วนัดฉีกวัคซีนครั้งต่อไปเมื่อไรวะ"

            วัคซีนพิษสุนัขบ้ากับบาดทะยักฉีดครั้งเดียวแล้วใช่ว่าจะจบ ผมยังมีนัดให้ไปโดนจิ้มอีกหลายเข็ม ยาวไปอีกครึ่งปีกันเลยทีเดียว

            "พรุ่งนี้"

            "งั้นไหนๆ ก็ไปโรง'บาลแล้ว มึงไปตรวจอาการแพ้เพิ่มด้วยก็ดี แพ้ทั้งที่ไม่ได้สุงสิงกับแมวกูว่ามึงต้องได้โรคเพิ่มแน่ๆ"

            "แช่งกูอีก"

            "ไปตรวจด้วย"

            "เออๆ รู้แล้ว" ผมรับปาก แต่จะได้ทำตามไหมอันนี้ก็ต้องดูกันอีกที บอกตามตรงผมไม่ค่อยชอบโรงพยาบาล แค่ต้องไปฉีดยาตามนัดก็ยุ่งยากมากพอแล้ว ไอ้จะให้ไปรอตรวจนู่นนี่เพิ่มอีกนั้นปัดตกไปได้เลย

            หมดเรื่องคุยแล้วกาลมันก็ไปเรียน ส่วนผมยังมีเวลากลับไปนอนเปื่อยได้อีกชั่วโมง

 

            กลับมาจากคณะผมก็มานั่งเฝ้าชามข้าวแมวที่เทอาหารไว้ให้เมื่อเช้าหลังประตูกระจก อาหารเม็ดในชามยังเหลือเท่าเดิมไม่พร่องลงเลยสักนิด แม้มันจะหายตัวไปแค่วันเดียวผมก็เริ่มคิดมากแล้ว ไม่รู้ว่ามันไปแอบนอนหลับอยู่ที่ไหน หรือเป็นแมวที่หนีออกจากบ้านแต่เจ้าของตามตัวเจอแล้วหรือเปล่า

            คิดไปคิดมาก็อยากทำตัวเป็นเจ้าของมันเต็มตัว อาหารก็ซื้อให้กินแล้ว จะเหลือก็แค่ให้มันเข้ามานอนด้วย ผมว่าซื้อปลอกคอมาใส่ให้มันเลยก็น่าจะดีเหมือนกัน

            นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยได้ไม่นานเจ้าตัวที่รอคอยก็โผล่มา มันกระโดดมายืนอยู่บนขอบระเบียง เลียขนสองสามทีก่อนกระโดดลงมาหน้าประตู หันไปมองชามข้าวแวบนึงแต่ไม่ยักไปกิน มันนั่งลงแล้วก็จ้องหน้าผม

            "มานั่งมองหน้าทำไมวะ ทำไมไม่ไปกินข้าว" พฤติกรรมแปลกๆ ของมันชวนให้ผมแปลกใจ ก็รู้ว่าแมวมันเป็นสัตว์ที่เดาอารมณ์ไม่ค่อยได้เท่าไร แต่เป็นครั้งแรกเลยที่โดนแมวนั่งจ้องหน้ากันแบบนี้

            ไม่รู้ว่ามันจะได้ยินหรือเข้าใจสิ่งที่ผมพูดไปหรือเปล่า แมวเปอร์เซียหน้ามันจะดูเหวี่ยงหน่อยๆ ดั้งก็หักเหมือนไปโกรธใครมา แล้วเล่นมานั่งจ้องหน้ากันแบบนี้ผมจะคิดว่ามันกำลังโกรธผมก็ได้นะ แต่มันจะโกรธผมเรื่องอะไรล่ะ อาหารก็เทให้ น้ำก็มี จะเอาอะไรอีก

            "เป็นอะไรวะ มานั่งจ้องหน้าเพื่อ"

            ถามไปแต่กลับโดนเมิน มันเริ่มเลียขนทำความสะอาดร่างกายของมันไป จะว่าไปยังไม่ได้คาดโทษมันที่ฝากแผลไว้ที่ผมเลย เพศมันผมก็ยังไม่รู้ หรือว่าผมต้องขอโทษมันก่อน บางทีมันอาจจะงอนจริงๆ ก็ได้

            "เออ เรื่องวันก่อนน่ะขอโทษนะ เนี่ย ได้มาตั้งหลายแผลก็เจ๊าๆ กันไปละกัน เลิกงอนแล้วก็ไปกินข้าวไป"

            พอผมพูดไปแบบนั้นมันก็เลิกเลียขนแล้วกลับมาจ้องกันเหมือนเดิม อย่างกับว่าเข้าใจงั้นแหละ

            "ว่าแต่เพศอะไรวะ จะดูก็หวงเลยเรียกไม่ถูกเลยเนี่ย ถ้าเป็นผู้ชายจะเรียกมึง มาเป็นเพื่อนกัน จะได้สนิทกันเร็วๆ"

            มันยังคงใช้หน้าเหวี่ยงๆ จ้องผม ทำไม ไม่ชอบเหรอวะ แค่เรียกมึงเอง

            "ทำไมวะ ไม่ชอบให้เรียกมึงเหรอ เป็นแมวผู้ดี?"

            ผมทำหน้ากวนตีนใส่ มันก็ยังทำหน้าเหวี่ยงใส่ผมเหมือนเดิม

            "อ่ะๆ เปลี่ยนก็ได้ งั้นเรียกแก ใสๆ น่าร้าก" คราวนี้ผมแกล้งยิ้มตาปิดใส่มัน ลองทำตัวน่ารักๆ บ้างเผื่อแมวจะชอบ แต่เหมือนจะไม่ได้ผล

            นั่งพูดคนเดียวกับแมวเป็นเรื่องเป็นราวได้ขนาดนี้ผมล่ะเซอร์ไพรส์ตัวเองจริงๆ แม้ไอ้แมวตัวนี้มันจะดูไม่สนใจผมเลยก็เถอะ ว่าแต่เมื่อกี้พูดถึงไหนแล้วนะ อ้อใช่

            "เออ แล้วถ้าเป็นตัวเมียจะเรียกเธอ เป็นไงดีป้ะ คิ้วๆ เธอ ตะเอง ไรงี้"

            แม้จะพูดอะไรไปมันก็ยังนั่งจ้องหน้าผมด้วยสายตาเหวี่ยงๆ เหมือนเดิม ไม่ร้องเหมียวๆ ไม่เอาตัวมาสีประตู ไม่ออดไม่อ้อนเลยสักนิด ชักสงสัยแล้วจริงๆ ว่ามันโมโหอะไรผมกัน จะใช่เรื่องวันก่อนจริงเหรอ แต่ถามให้ตายยังไงมันก็คงตอบผมไม่ได้ ถึงตอบได้ก็เป็นแค่เสียงร้องเมี้ยวๆ ที่ผมแปลความหมายไม่ออกอยู่ดี

            "อยากเข้ามามั้ย แต่เดี๋ยวขอใส่มาสก์ก่อน"

            บอกมันแล้วผมก็ลุกไปหยิบหน้ากากอนามัยมาใส่ เปิดประตูไว้แค่พอให้แมวเดินผ่านเข้ามาได้ แต่มันก็ยังเล่นตัวไม่ยอมเข้ามา

            "แล้วแต่นะงั้น" งอนขนาดนี้ผมเองก็ชักขี้เกียจง้อแล้วเหมือนกัน แฟนยังไม่เคยต้องง้อขนาดนี้เลยให้ตาย

            ผมเดินออกไปหาอะไรกินนอกห้อง พูดคนเดียวมากๆ คอมันก็แห้ง ในตู้เย็นมีเป๊ปซี่กระป๋องที่ไปซื้อกับกาลมันเมื่อสัปดาห์ก่อน เคาะน้ำแข็งใส่แก้วแล้วเทน้ำตาม ฟองซ่าขึ้นมาจนเกือบล้นแก้ว เหลืออยู่ครึ่งกระป๋องเลยเก็บใส่ตู้เย็นเอาไว้ก่อน ได้เครื่องดื่มแล้วก็เดินกลับเข้าไปในห้องเพื่อต่อล้อต่อเถียงกับแมวต่อ

            แต่ว่า...

            "ไอ้เหี้ย! มึง!"

            แก้วเป๊ปซี่แทบจะหลุดจากมือเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ในห้อง ไอ้ล่อนจ้อนหันมามองผม ต่างคนก็ต่างตกใจ แต่รอบนี้ผมมีสติพอ รีบวางแก้วไว้บนโต๊ะแล้วก้าวยาวๆ เข้าไปหา มันที่กำลังตกใจก็ลนลานหันซ้ายหันขวาหาทางออกไม่เจอ ถึงมันจะปราดเปรียวว่องไวแค่ไหนก็เถอะ แต่ครั้งนี้ไม่ยอมให้หนีไปแน่

            ผมรีบกระโดดล็อกตัวมันจากด้านหลังเมื่อเห็นว่าคนร้ายกำลังพุ่งไปที่ประตู การจับกุมค่อนข้างทุลักทะเลเมื่อไอ้ล่อนจ้อนมันดิ้นอย่างไม่ยอม เหมือนแรงมันจะเยอะกว่าคราวที่แล้วนิดหน่อย แต่ก็ยังสู้ผมไม่ได้อยู่ดี

            "กูไม่ให้มึงหนีแล้วไอ้สัด ถ้าคุยไม่รู้เรื่องกูจับมึงส่งตำรวจแน่" แน่นอนว่านี่เป็นแค่การขู่ เพราะถ้าหากว่าไอ้ล่อนจ้อนนี่คือส่วนสำคัญของเรื่องประหลาดในชีวิตผมจริง การจับมันส่งตำรวจย่อมไม่ใช่ความคิดที่ดี

            ผมจับมันนั่งเก้าอี้แล้วใช้ผ้าขนหนูผืนบางๆ มัดไว้เพราะหาอะไรที่มันดีกว่านี้ไม่ทัน แน่นอนว่าการปรากฏตัวครั้งนี้ไอ้ล่อนจ้อนมันก็ยังล่อนจ้อนสมชื่อ ครั้นจะปล่อยให้ผิวมาชเมลโล่ต้องแสงไฟล่อตาล่อใจก็ยังไงอยู่ ผมเลยต้องเอาผ้าขนหนูอีกผืนใหญ่มาคลุมให้

            หลังจากหายเหนื่อยก็ได้เวลาพิจารณาหน้าตามันแบบจริงๆ จังๆ ก่อนหน้านี้ที่ผมตกใจจนเกือบทำแก้วหลุดมือเพราะตอนเห็นหน้ามันชัดๆ เหมือนมีหน้าของใครบางคนซ้อนทับขึ้นมา คนหน้าตาดื้อๆ ที่กลายเป็นฝันร้ายของน้องชายผม เหมือนกันจนหน้าตกใจ แต่สภาพไอ้ดื้อตอนนี้มาทำอะไรแบบนี้ไม่ได้แน่

            "เรามาคุยกัน"

            ผมพยายามทำน้ำเสียงให้เป็นมิตรที่สุด ถึงไอ้เสียงโทนต่ำฟังดูน่ากลัวนี่จะไม่ได้ช่วยให้ไอ้ล่อนจ้อนมีสีหน้าผ่อนคลายเลยก็ตาม แต่ก็ดีแล้ว ไอ้โรคจิตต่างดาวอย่างมันควรกลัวผม และรู้ตัวด้วยว่าไม่ควรบุกเข้าห้องคนอื่นแบบนี้

            "มึงเข้ามาในห้องกูทำไมวะ ต้องการอะไร"

            ประเดิมทำถามแรกง่ายๆ แต่กลับไร้คำตอบ ไอ้ล่อนจ้อนมันจ้องผมแล้วก็หลบตา ทำท่าเหมือนอยากจะพูดแต่ก็เงียบ

            โอเค ถ้ายังไม่อยากตอบ งั้นข้ามคำถามนี้ไปก่อนก็ได้

            "แล้วทำไมมึงไม่ใส่เสื้อผ้าวะ"

            เป็นเรื่องที่ผมสงสัยรองจากการที่มันบุกเข้ามาในห้องผม รอบที่แล้วมานอนด้วยโดยไม่ขโมยอะไรสักอย่าง ฉะนั้นก็ตัดหัวข้อขโมยออกไปได้เลย ส่วนวันนี้ทำท่าเหมือนเข้ามาเดินทัศนศึกษา แถมมันยังเข้ามาได้ภายในเวลาแป๊บเดียวที่ผมออกไปเอาน้ำ อีกอย่างประตูก็ยังเปิดไว้เท่าเดิมที่ผมเปิดให้ไอ้แมวขาว ซึ่งตอนนี้มันได้หายตัวไปแล้วเรียบร้อย

            "ถามก็ตอบดิวะ ถ้ามึงคุยรู้เรื่องกูจะไม่บอกตำรวจ แต่ถ้ายังเงียบอยู่แบบนี้ก็คงช่วยไม่ได้แล้วว่ะ"

            ในเมื่อพูดดีๆ ยังไม่ยอมก็คงต้องขู่อีกรอบ ไอ้ล่อนจ้อนแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมา เป็นการตอบโต้ที่อย่างน้อยผมก็รับรู้ว่ามันเข้าใจคำพูดของผม แต่เลือกที่จะเงียบไว้

            ผมถอนหายใจยืนกอดอกมองมันเมื่อหมดปัญญาจะซัก ผมไม่ใช่คนที่เค้นความจริงเก่งอะไรนัก เรียกว่าไม่มีสกิลด้านนี้เลยก็ว่าได้ อาจจะเป็นเพราะไม่ได้มีความอยากรู้เรื่องของคนอื่นเท่าไรด้วยล่ะมั้ง อีกอย่างหน้าตาไอ้ล่อนจ้อนเวลากลัวดูน่าสงสารเอาเรื่อง จะลงไม้ลงมือก็ไม่กล้า แต่ถ้ายังคุยกันไม่รู้เรื่องแบบนี้แล้วผมจะแก้ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องราวสุดแปลกประหลาดในชีวิตที่ต้องเผชิญนี้ได้ยังไง

            นึกอะไรไม่ออกแล้วผมเลยใช้มือถือถ่ายรูปมันเก็บไว้ก่อน อย่างน้อยก็เอาไว้ให้ไอ้กาลมันดูว่าไอ้ล่อนจ้อนหน้าตาเป็นยังไง มันต้องตกใจแน่ๆ ที่ไอ้ล่อนจ้อนเหมือนกับไอ้ดื้อขนาดนี้

            กดถ่ายได้รูปเดียวอยู่ๆ คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็หายตัวไปต่อหน้าต่อตา เหลือแค่กองผ้าขนหนูบนเก้าอี้ มือถือผมเกือบหลุดจากมือ สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้ากำลังทำให้ผมกลัว ใจเต้นรัวขึ้นจนได้ยินเสียงมันไอ้อย่างชัดเจน แม่งบ้าไปแล้ว เห็นชัดเจนเต็มสองตากลางแสงไฟ ชัดกว่ารอบที่แล้วเป็นร้อยเท่า

            ยังอึ้งไม่ทันหาย มือไม้แข็งขยับไปไหนไม่ออกก็มีแมวกระโดดออกมาจากกองผ้า ผมอ้าปากค้าง มองไอ้แมวขาวที่คิดว่ามันคงกลับไปแล้ววิ่งออกไปที่ระเบียง ผ่านช่องเล็กๆ ของประตูที่ผมเปิดเอาไว้

            ไอ้ล่อนจ้อนกลายเป็นไอ้แมวขาว แม่งจะบ้าไปกันใหญ่แล้ว

            ผมเปิดประตูออกไปดูที่ระเบียงหลังจากตั้งสติได้ ไร้วี่แววของทั้งคนและสัตว์ แม้ไม่อยากเชื่อแต่สิ่งที่เห็นบอกให้ผมเชื่อ

            นี่สินะคือเรื่องประหลาดที่สุดในชีวิตของผม

 

            "มึงอยู่ไหนวะ จะกลับยัง" หลังจากตั้งสติได้ผมก็ต่อสายหาไอ้กาลทันที พยายามถามด้วยน้ำเสียงเป็นปกติที่สุดเพราะไม่อยากตื่นตูมแล้วทำให้มันเป็นห่วงมาก แม้ความจริงเหมือนสติผมจะลอยหายไปไหนแล้วไม่รู้ก็เถอะ

            [อีกสักพัก มึงกินอะไรยัง]

            "ยัง"

            [จะเอาอะไรอ่ะ] กาลมันต้องคิดว่าผมโทรหาเพราะจะสั่งซื้อของกิน แต่ปากมันไม่อยากกินอะไรเลยตอนนี้

            "อะไรก็ได้ ซื้อมาเหอะ"

            [หรือมีอะไรวะ]

            บอกแล้วน้องผมมันฉลาด มีอะไรผิดแปลกไปแค่นิดเดียวมันก็รับรู้ได้แล้ว

            "ไอ้ล่อนจ้อน"

            [โอเค เดี๋ยวกูรีบกลับ]

            "ขับรถดีๆ นะมึง ไม่ต้องรีบมาก"

            [เออ]

            วางสายจากน้องชายแล้วผมก็มานั่งคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น พยายามนึกโยงเข้ากับเรื่องตัวเองแต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก ขนาดผีผมยังไม่เคยเห็นเลยแล้วประสาอะไรกับแมวที่กลายเป็นคน หรืออาจจะคนที่กลายเป็นแมว พอรู้ว่าแพ้แมวผมก็ถูกที่บ้านห้ามเข้าใกล้มันมาตั้งแต่เด็กๆ ยิ่งมีน้องชายกลัวแมวด้วยชีวิตยิ่งเหมือนตัดขาดออกจากแมวเลยด้วยซ้ำ จะมีก็ช่วงหลังจากเข้ามหา'ลัยแล้วที่พอได้เล่นด้วยบ้าง แล้วก็เกิดอาการแพ้ไปตามระเบียบ

            ยี่สิบนาทีต่อมาเหนือการก็มาถึง ผมออกมานั่งรอมันที่โซฟา วางของกินที่ซื้อมาไว้บนโต๊ะแล้วมันก็เดินคิ้วขมวดมายืนตรงหน้าผม ทำหน้าเครียดกว่าผมผู้ที่กำลังเผชิญเรื่องราวสุดแปลกประหลาดที่สุดในชีวิตเสียอีก

            "มันอยู่ไหน" เสียงที่ถามน่ากลัวจนผมไม่อยากตอบ

            "หนีไปแล้ว"

            "ทำไมไม่จับมันมัดไว้วะ"

            "มันแล้ว"

            "มัดแล้วจะหนีไปได้ไง หรือมันหายตัวไปอีก"

            "มึงนั่งลงก่อน" ผมดึงมันให้ลงมานั่งข้างๆ เรื่องหายตัวได้มันกลายเป็นเรื่องเล็กไปแล้ว

            ผมเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดตั้งแต่ที่ไอ้แมวขาวมาหา เล่าเป็นฉากๆ อย่างต่อเนื่องโดยไม่ปล่อยให้น้องชายได้ขัด ปิดจบด้วยเรื่องสุดเซอร์ไพรส์ที่ทำให้กาลมันขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ถึงไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อเพราะผมมีหลักฐานมายืนยัน

            "กลายเป็นแมวแล้วหนีไปเนี่ยนะ"

            "เออ"

            "บ้าไปแล้วไอ้สัด"

            "เออ กูก็กำลังจะบ้าเหมือนกัน"

            ถ้าคนฟังอย่างมันยังรู้สึกเหมือนประสาทจะกินแล้วคนที่กำลังเผชิยอยู่อย่างผมล่ะ บอกเลยว่าประสาทแดกไปแล้วเรียบร้อย

            "กูยังมีอะไรให้มึงอึ้งกว่านี้อีก" เกริ่นไว้ก่อนผมจะเปิดรูปที่ถ่ายไว้ได้ให้ดู แล้วกาลมันก็นิ่งไปเลย

            เหนือกาลจ้องรูปไอ้ล่อนจ้อนนั่นอย่างไม่อยากเชื่อ มันขยายรูปแล้วส่องทุกซอกทุกมุม ถ้าผมไม่รู้เรื่องราวความหลังอะไรมาก่อนคงคิดว่ามันเป็นไอ้หื่นกามแน่ๆ เล่นซูมรูปคนเปลือยขนาดนี้ เพราะถึงแม้ผมจะเอาผ้าขนหนูมาคลุมไว้แล้ว แต่เนื้อหนังที่โผล่พ้นผ้าออกมาก็ยังล่อตาล่อใจได้อยู่ดี

            "ไม่ใช่" ใช้เวลาพิจารณารูปอยู่สักพักมันก็ส่งมือถือคืนให้ผม

            "ก็ต้องไม่ใช่อยู่แล้วมั้ยวะ มันไม่มีทางเป็นไปได้ ตอนกูเห็นหน้ามันชัดๆ แม่งโคตรตกใจ หน้าไอ้ดื้อซ้อนทับขึ้นมาเลย"

            "กูไปหาดื้อมันทุกอาทิตย์ ตอนนี้มันผอมจะตาย ขี้แมลงตรงแก้มก็ไม่มี"

            "เห็นได้ไงวะขี้แมลงวัน" ได้ยินมันบอกแบบนั้นผมถึงกับต้องขยายรูปดู แล้วก็เห็นจุดดำเล็กๆ ข้างแก้มซ้ายอย่างที่กาลมันบอก

            "กูเป็นคนใส่ใจไง แต่กลับมาที่ประเด็นมึงก่อน สรุปก็คือไอ้แมวสีขาวที่กูเห็นก็คือไอ้ล่อนจ้อนที่กลายร่างมาเป็นคน"

            "ใช่ร้อยเปอร์เซ็นต์ กูเห็นมันวิ่งออกจากห้องไปต่อหน้าต่อตา ก่อนหน้าไอ้ล่อนจ้อนจะโผล่มากูก็นั่งคุยกับแมว แล้วมันก็ยังเคลียร์ข้อสงสัยที่ว่ามันกระโดดหนีจากระเบียงได้ยังไงได้ด้วย เพราะมันกลายเป็นแมวไม่ได้หายตัวไป ก็มีสิทธิ์ที่จะหนีรอดสายตากูไปได้"

            "แฟนตาซีสัด"

            "มึงก็เตรียมตัวเตรียมใจต่อจากกูได้เลย เรื่องกูจบเมื่อไรมึงได้แฟนตาซีต่อแน่"

            ไอ้กาลทำหน้าขยาด เพราะมันเป็นเรื่องที่เราไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้มันเลยน่ากลัว แต่ถ้าเรื่องนี้สามารถกำหนดได้ล่ะก็ ผมรู้เลยว่ากาลมันอยากขออะไร

            "แล้วมึงคิดอะไรออกบ้างยัง" มันถาม เริ่มทำหน้าที่สมองของครอบครัว

            "ยังเลย กูนึกไม่ออกว่าเคยเกี่ยวข้องอะไรกับแมวบ้าง เลี้ยงก็ไม่เคยเลี้ยง เล่นก็ไม่ค่อยได้เล่น มีแต่คลิปที่ดูบ่อย"

            "แล้วที่แพ้แมวอ่ะ มึงจำได้มั้ยว่ารู้ตัวว่าแพ้ตั้งแต่เมื่อไร"

            "ประถมมั้งถ้าจำไม่ผิด" ความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนี้มันเลือนรางจนเหมือนจะหายไปจากความทรงจำผมแล้วด้วยซ้ำ

            "หมดปัญญาจะช่วยคิดเลยทีนี้"

            "แล้วมึงจำเรื่องของกูไม่ได้บ้างเหรอวะ มันอาจจะเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่มึงเริ่มกลัวแมวก็ได้"

            "กูก็กลัวแมวตั้งแต่จำความได้อ่ะ ทำไมถึงกลัวกูก็ไม่รู้ ส่วนเรื่องที่มึงแพ้แมวเหมือนมันมีในความทรงจำกูอยู่แล้วว่ามึงแพ้"

            "หมดทางจะไขปริศนานี้แล้วตัวกู" ผมพูดอย่างหมดหวัง รู้สึกท้อแท้ขึ้นมาทันใด

            "มันเพิ่งเริ่มต้น ถ้ามึงทำให้มันกลายเป็นคนได้มันต้องมาอีกแน่ ถ้ามันมาอีกคราวหน้ามึงก็ลองคุยกับมันดีๆ แล้วกัน"

            "วันนี้กูก็พยายามคุยกับมันดีๆ นะ แต่มันไม่ตอบอะไรกูสักคำ หรือแมวมันพูดไม่ได้วะ"

            "มันเป็นคนต้องพูดได้ดิวะ"

            "แต่เป็นคนที่กลายร่างมาจากสัตว์นะเว้ยอย่าลืม ไม่ใช่กูถามอะไรแม่งตอบแค่เมี้ยวๆ แบบนั้นคือจนปัญญา"

            เหนือกาลมันเงียบไปอีกครั้ง ทำหน้าเหมือนโคนันกำลังไขคดีแบบนี้คงคิดอะไรได้อีกแล้วสินะ ถ้าไม่มีมันคอยช่วยคิดบอกเลยสภาพผมคงแย่กว่านี้

            "หรืออาจจะเป็นคนที่กลายเป็นแมว"

            ข้อสันนิษฐานนี้น่าคิด แต่อยู่ๆ คนจะกลายเป็นแมวได้ไงวะ นี่มันชีวิตจริงไม่ใช่แฮรี่ พอตเตอร์ ไม่มีพ่อมดแม่มดสาปใครให้กลายเป็นสัตว์ได้ ผมก็อยากเชื่ออย่างนั้นนะ แต่การเห็นคนกลายเป็นแมวต่อหน้าต่อตาแบบนี้ บางทีโลกเวทมนต์อาจจะมีจริงก็ได้

            เฮ้อ ก็ว่าไปนั่น

            "มึงโอเคมั้ยเนี่ย" กาลมันดีดนิ้วเรียกสติผม

            "เออ โอเค"

            "ระหว่างนี้มึงก็พยายามนึกไปก่อนแล้วกัน หรือไม่ลองโทรไปคุยกับพ่อก็ได้ แค่เรื่องสมัยเด็กกูว่าพ่อน่าจะยอมเล่าให้ฟัง"

            ฟังแล้วผมก็พยักหน้าตาม มันมีอยู่ในเศษเสี้ยวความคิดของผมอยู่แล้วที่ว่าจะโทรถามพ่อ แค่ถามว่าทำไมผมถึงแพ้แมว หรือเริ่มแพ้ตั้งแต่เมื่อไรแกคงไม่คิดปิดบังอะไร

            "แล้วถ้าครั้งหน้ามันมาอีกอย่าลืมล็อกประตูด้วย"

            "เออ รู้แล้ว"

            เหตุการณ์ครั้งนี้นับว่าเป็นความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัย แต่ใครมันจะไปรู้เล่าว่าอยู่ๆ ไอ้ล่อนจ้อนจะกลายเป็นไอ้แมวขาวแบบนั้น แต่จะว่าไปแบบนี้ก็เท่ากับว่าผมไม่ต้องจับไอ้แมวขาวแหกขาดูเพศให้ต้องเสี่ยงเจ็บตัวอีกแล้ว เพราะนอกจากจะรู้ว่ามันเป็นตัวผู้ ยังเห็นอะไรต่อมิอะไรมันหมดแล้วด้วย

            เป็นไอ้แมวขาวที่ขาวสมกับสีขนมันจริงๆ

 

            การนั่งรอแมวหน้ากระจกกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของผมไปแล้ว แม้กระทั่งวันหยุด หลังจากไปฉีดวัคซีนเข็มที่สองกลับมาเรียบร้อยก็มานั่งเฝ้าแมวต่อ หลังจากนั้นไม่ว่าจะปั่นงาน อ่านหนังสือหรือกินข้าวผมก็ขนทุกอย่างมาทำในห้อง เปิดผ้าม่านกับประตูรับแสงแดดเชื่อเชิญให้แมวเข้ามาในห้อง ยอมทนร้อนไม่เปิดแอร์เลยด้วยซ้ำ ทุ่มเทขนาดไหนคิดดู

            วันนี้กาลมันไม่อยู่ห้อง หลังจากไปส่งผมที่โรงพยาบาลมันก็เลยไปทำธุระประจำวันหยุดของมัน ผมเลยต้องรอคอยคนเดียวอย่างเปล่าเปลี่ยว แต่ถึงแม้เหนือกาลจะอยู่ด้วยก็คงช่วยอะไรไม่ได้ ถ้าเห็นแมวมาล่ะก็ มันนั่นแหละจะเผ่นคนแรก

            รอตั้งแต่ช่วงสายจนเหนือกาลกลับมาตอนห้าโมงเย็นไอ้แมวขาวก็ยังไม่ยอมโผล่มา ผมเข้าใจนะ ถ้าเป็นผมโดนจับมัดแบบนั้นก็คงกลัวเหมือนกัน ถึงจำเป็นต้องกลับมาหาอีกแต่ก็คงต้องใช้เวลาทำใจสักหน่อย สุดท้ายจนแล้วจนรอดตะวันตกดินมันก็ไม่มา

 

            คล้ายกำลังฝัน แต่ก็เหมือนเรื่องจริง เสียงร้องที่แว่วมา เหมือนเสียงนาฬิกาปลุกที่ทำให้ผมลืมตาขึ้นมาขณะกำลังกึ่งหลับกึ่งตื่น

            "เมี้ยว"

            ยอมมาหากันแล้วสินะ

            ผมหันมองเหนือกาลที่นอนอยู่ข้างๆ ก่อนลุกขึ้นเมื่อเห็นว่ามันหลับสนิท เสียงแมวหยุดร้องไปสักพักแล้ว และเมื่อเปิดม่านออก ก็เจอกับไอ้ล่อนจ้อนยืนอยู่หลังประตู

            คนที่ไม่ใส่เสื้อผ้าสะดุ้งสุดตัว มันทำหน้าตาตื่นกระวนกระวายขึ้นมาทันที ผมพยายามทำมือเป็นสัญลักษณ์ให้มันใจเย็น แต่เหมือนไม่ช่วยอะไรเท่าไร เสียงดังมากก็ไม่ได้เดี๋ยวไอ้กาลตื่น ซึ่งถ้ามันตื่น มีหวังไอ้ล่อนจ้อนได้เผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว

            แต่ทว่า...

            ร่างมนุษย์หายไป กลายเป็นเปอร์เซียขนฟูสีขาวภายในไม่กี่วินาทีที่ได้เห็นหน้ากัน

            ถึงจะเป็นผมมันก็กลัวอยู่ดีสินะ

            แล้วก็ไอ้การกลายร่างแบบนี้ แม้จะเคยเห็นมาแล้วแต่ก็อดตกใจไม่ได้อยู่ดี

            ไอ้แมวสีขาวกระโดดไปจากระเบียงโดยไม่สนใจสีหน้าอาวรณ์ของผมเลยสักนิด มันกลัวผมแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย กล้ามาหาแต่ไม่กล้าเข้าใกล้ งานเข้าเบอร์ใหญ่ชนิดที่ว่าคิดไม่ออกเลยว่าต้องทำยังไงให้มันกลับมาเชื่อใจได้อีก

            ต้องไปหาซื้อคู่มือการเลี้ยงแมวมาอ่านแล้วมั้งแบบนี้

 
tbc.


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า


ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ลึกลับจัง

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Rumraisin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 673
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
น้องแมวน่ารัก ฮือออออ ขี้กลัวด้วย
อยากซื้อแคปนิตไปฝากเลย ขอบคุณมากนะคะ รอตอนหน้าจ้า :pig4:

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5
ลิขิตครั้งที่ 5


            'จะไม่จับมัด ไม่ขู่ ไม่ทำอะไรทั้งนั้น สัญญา มาเถอะนะ มาคุยกัน แล้วจะให้กินขนมอร่อยๆ วันนี้จะกลับห้องประมาณสี่โมง'

            ผมติดป้ายที่ทำขึ้นเมื่อกี้สดๆ ร้อนๆ ไว้ที่หน้าประตูระเบียง ไม่รู้ว่ามันจะอ่านออกไหม เข้าใจสิ่งที่ผมอยากสื่อหรือเปล่า แต่ก็ดีกว่าอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรสักอย่าง

            ติดป้ายเสร็จก็เทอาหารเติมน้ำไว้ให้ ก็หวังว่าถ้ามันแวะมากินแล้วเห็นข้อความนี้มันจะอยู่รอผมนะ ถ้ามันไม่เข้าใจผมก็ภาวนาให้มันเอะใจสักนิดนึงก็ยังดีว่ามนุษย์คนนี้รอแกที่ระเบียงห้องทุกวันเลย

            จัดการทุกอย่างตามที่คิดไว้เสร็จเรียบร้อยผมก็ออกไปเรียน มองผ้าม่านที่เปิดไว้แล้วเพ่งกระแสจิตใส่ป้ายกระดาษแผ่นนั้นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนปิดประตู

 

            หนึ่งวันก็แล้วข้าวในชามยังไม่ลดลง น้ำในถ้วยก็ยังเหลือเท่าเดิม หรืออาจจะระเหยไปนิดหน่อย

            เข้าสู่วันที่สองก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนอาหารให้ใหม่ จะได้หอมๆ กรอบๆ น่ากิน น้ำก็สู้อุตส่าห์เทจากขวดให้เลยแต่มันก็ยังไม่มา หรือมันจะไม่มาแล้วจริงๆ

 

            "เป็นอะไรวะ ช่วงนี้ดูเครียดๆ ซึมๆ"

            ผมไม่แปลกใจเลยที่พสุมันทักแบบนี้ ก่อนอื่นตัดเรื่องเรียนออกไปเลย ถึงจะหัวดีไม่เท่าน้องชายแต่ผมเป็นคนที่ทำความเข้าใจเกี่ยวกับบทเรียนได้ค่อนข้างง่าย เรื่องที่ใช้ความจำก็ไม่ได้แย่เท่าไร ผลสอบก็ถือว่าอยู่ในระดับดี ไม่ได้หมายถึงเกรด D นะ ฉะนั้นผมไม่มีทางเครียดเรื่องเรียนเด็ดขาด ต่อมาเรื่องงาน อันนี้ผมก็ไม่มีปัญหาอะไรเหมือนกัน งานเดี่ยวสบายๆ งานกลุ่มก็ราบลื่น ฉะนั้นตัดทิ้ง ส่วนข้อที่สาม เรื่องแฟน ข้อนี้ก็ตัดทิ้งไปเลย เพราะยังไม่มี และไม่คิดว่าจะมีเร็วๆ นี้ ส่วนเรื่องที่โดนพี่ณดาตามจีบผมไม่ได้ซีเรียสอะไรนัก แสดงออกว่าปฏิเสธขนาดนั้นแล้วถ้าพี่เขายังจะดื้อด้านตื๊อต่อผมก็ขี้เกียจห้ามแล้ว อีกอย่างพวกมันไม่รู้เรื่องนี้ด้วย ส่วนเรื่องสุดท้ายก็...

            "ไอ้สัด ถามไม่ตอบ กูห่วงมึงนะเนี่ย ลีลาชิบ"

            ผมหันไปมองพสุที่อยู่ดีๆ มันก็ฉุนขึ้นมาซะงั้น ก็ไอ้ข้อที่ยกตัวอย่างมาทั้งหลายแหล่ผมแค่คิดว่ามันต้องกำลังคิดแบบนั้นอยู่แน่ๆ ซึ่งผิดหมด

            "เออ กำลังจะตอบแล้วเนี่ย"

            "สรุปเป็นอะไร"

            "แมวไม่มาหา"

            ทั้งโต๊ะพากันเลิกคิ้ว ไม่เว้นแม้กระทั่งมงคลที่ยังละสายตาจากข้าวในจานหันมามองผม นี่แหละเรื่องเครียดที่สุดในชีวิตผมตอนนี้แล้ว

            "ยังไงวะ" คิรินเริ่มซัก

            "ก็ไอ้แมวขาวที่กูให้อาหารน่ะ มันไม่หากูสามวันแล้ว ถ้าวันนี้ไม่มาก็เข้าวันที่สี่"

            "แค่นี้ถึงกับเครียดเลย" พสุถามเสียงสูง ถ้าเป็นเรื่องปกติผมคงไม่เครียดหรอก แต่นี่แม่งดันเกี่ยวกับอนาคตผมด้วยนี่ดิ

            "ก็เออ กูอุตส่าห์ตั้งใจจะเลี้ยงมันนะเว้ย"

            "มันอาจจะหลงทางก็ได้ เดี๋ยวก็คงกลับมา"

            "นี่คือความคิดมึง" คิรินแย้งความคิดพสุขึ้นมาทันที มาแนวนี้ได้เถียงกันอีกชัวร์

            "ถ้าไม่หลงทางก็อาจจะเป็นเพราะอาหารมึงไม่อร่อย"

            "คิดได้เนอะ"

            "แล้วมึงมีความคิดที่ดีกว่านี้มั้ยล่ะไอ้สัด"

            "ก็คงไม่คิดอะไรปัญญาอ่านแบบมึงอ่ะ"

            "ถ้าคิดอะไรดีๆ กันไม่ได้ก็กินข้าวไป"

            ขอบคุณมงคลเพื่อนรักที่ช่วยเบรก มันสองคนยอมหยุดแล้วกินข้าวต่อ ปิดประเด็นเรื่องแมวขาวแบบค้างๆ คาๆ เพราะไม่มีใครให้คำตอบดีๆ ได้

            ผมตักข้าวมันไก่ซึ่งเป็นมื้อเที่ยงของวันนี้เข้าปากขณะที่ในหัวก็คิดถึงเรื่องราวในอดีตไปด้วย เมื่อวานผมลองโทรหาพ่อ ถามเรื่องที่ผมแพ้แมว คำตอบของพ่อก็เหมือนที่ผมรู้คือเริ่มแพ้ตอนประถม ส่วนเรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับแมวพ่อไม่ค่อยรู้นัก เพราะหลังจากที่รู้ว่าแพ้ก็คอยกันผมออกห่างจากแมวตลอด พ่อบอกว่าคนที่น่าจะรู้เกี่ยวกับผมดีอีกคนคือปู่ ช่วงปิดเทอมตอนประถมพ่อกับแม่มักจะพาผมกับกาลไปอยู่กับปู่ที่ต่างจังหวัด ใช้ชีวิตตามไร่ตามสวน ปู่มีสวนผลไม้ที่ผมกับกาลชอบไปวิ่งเล่นประจำ มีเพื่อนสมัยเด็กที่นั่นด้วย แต่ปู่จากพวกเราไปหลายปีแล้วคงถามในสิ่งที่อยากรู้ไม่ได้

            ประเด็นที่น่าสนใจในวัยเด็กของผมคือบ้านที่ต่างจังหวัดกับเพื่อนที่เคยเล่นด้วยกันตอนนั้น จำได้ลางๆ ว่าครั้งหนึ่งเคยทะเลาะกันแต่ผมกลับนึกไม่ออกว่าเรื่องอะไร ลองถามกาลมันก็ไม่รู้ เลยหมดปัญญาจะคิดต่อ

            "เออ พวกมึง"

            เพื่อนรักทั้งสามหันหน้ามามองอย่างพร้อมเพรียงพร้อมเสือก อยู่ๆ ผมก็คิดอะไรขึ้นมาได้ เป็นคำถามขำๆ ที่พวกมันคงไม่คิดสงสัยอะไร

            "พวกมึงคิดว่าคนจะกลายร่างเป็นสัตว์ หรือสัตว์กลายร่างเป็นคนได้มั้ยวะ"

            "ถามอะไรของมึงเนี่ย" พสุมันขมวดคิ้วใส่เป็นคนแรก

            "ก็แค่อยากรู้"

            "มึงไปอ่านอะไรมา" คนที่ถามอะไรดูมีเหตุผลแบบนี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจากมงคล

            "เห็นผ่านๆ ในเฟส"

            "ถ้ากลายร่างได้ก็เสือสมิงมั้ยวะ"

            "ดูละครมากไปนะมึง"

            "เอ้า ก็ไอ้เหนือมันถาม"

            "มันต้องสไปเดอร์แมน"

            "สไปเดอร์แมนพ่อมึงกลายร่างได้"

            แล้วคู่นี้มันก็พากันออกนอกทะเลไปไหนก็ไม่รู้ ตัดจบประเด็นของผมได้อย่างน่าอนาถใจ ส่วนมงคลแค่ส่ายหน้าแล้วจัดการข้าวเที่ยงของตัวเองต่อ

            โทรศัพท์มือถือของผมที่วางบนโต๊ะสั่นถี่ๆ จนไอ้สองคนที่เถียงกันอยู่ยังหยุดพูดแล้วหันมามอง ผมก้มลงดูแจ้งเตือนไลน์ เป็นสารจากน้องชายที่ส่งมาบอกข่าว

            'พี่ณดาไปหามึงนะ กูไม่ได้บอกนะเว้ยว่ามึงอยู่ไหนเพราะกูก็ไม่รู้ แต่พี่เค้าบอกจะเดินหาเอง'

            ผมกวาดสายตามองรอบโรงอาหารอัตโนมัติ แล้วก็เห็นพี่รหัสไอ้น้องชายเพิ่งเดินเข้ามาพอดี ช่างเหมาะเจาะอะไรแบบนี้ แล้วคุณพี่เธอรู้ได้ไงวะว่าผมอยู่ที่นี่ จะเก่งเกินไปแล้ว ทำไมไม่คิดว่าผมจะออกไปหาอะไรกินข้างนอกบ้าง

            "กูไปก่อนนะ เจอกันบนห้อง"

            "จะไปไหนวะ"

            "ถ้ามีคนถามถึงบอกกูไม่อยู่ ฝากเก็บจานด้วย ขอบคุณ"

            ตอบพวกมันไอ้แค่นี้ผมก็รีบหอบของทุกอย่างหนีออกมาทันที ย่องหลบหลังคนนั้นคนนี้ทีไม่ให้พี่ณดามองเห็น แล้วก็ต้องขอบคุณความพลุ่กพล่านของโรงอาหารในเวลานี้ที่ทำให้ผมหลุดรอดการพบเจอครั้งนี้มาได้

 

            เรียนเสร็จกลับหอผมก็มานั่งอยู่หน้าประตูระเบียงจนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว หมายถึงในกรณีที่ไม่มีอะไรทำน่ะนะ ก่อนหน้านั้นก็ออกไปดูอาหารเม็ดในชาม เปลี่ยนน้ำเปลี่ยนท่าให้ ป้ายที่ติดไว้ยังอยู่ในสภาพเดิมแต่มีข้อความมาเขียนเพิ่มทุกวันด้วยฝีมือผมเอง คิดอะไรออกก็เติมไปเรื่อยๆ เผื่อไอ้ล่อนจ้อนจะเห็นใจกันบ้าง

            วันนี้คลาสผมเลิกช้ากลับมาถึงห้องได้ชั่วโมงเดียวเหนือกาลก็ตามมา ความจริงผมจะนั่งรอมันเลิกเรียนแล้วรอกลับมาพร้อมกันก็ได้ แต่เพราะใจกระวนกระวายอยากกลับมาดูความคืบหน้าเลยไม่ได้รอ อีกอย่างผมขี้เกียจฟังมันบ่นเรื่องพี่ณดา ยังไงคุณพี่เธอต้องกลับไปฟ้องมันแน่ๆ ว่ามาหาผมแล้วไม่เจอ ซึ่งไม่ใช่ความผิดผมเลย

            "ไอ้ขิต" เสียงนำมาก่อนประตูห้องจะเปิดออก ไอ้กาลยืนพิงกรอบประตู หน้านิ่งๆ เดาไม่ออก มันคงคิดอยู่ว่าจะถามผมเรื่องอะไรก่อนดี เรื่องแมวหรือเรื่องพี่รหัสมัน

            "เปิดมาแบบนี้ถ้าแมวอยู่ขึ้นมา มึงไม่กรี๊ดจนคนเขานึกว่าสัญญาณเตือนไฟไหม้เหรอวะ"

            "ตลกละสัด พูดซะกูเสียภาพพจน์"

            "เคยมีด้วยเหรอ"

            "หล่อๆ อย่างกู ไม่เคยไปกรี๊ดเรี่ยราดที่ไหนเว้ย แล้วมึงอย่างเพิ่งพาเปลี่ยนเรื่อง"

            "ทำไม จะมาถามเรื่องพี่ณดา"

            "ก็เออ"

            นั่นไงเดาผิดที่ไหน ถึงมันจะทำเหมือนไม่เชียร์แล้วปล่อยให้ผมตัดสินใจเอง แต่ถ้าผมไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนสักทีมันก็ยังเชียร์พี่รหัสมันอยู่ดี

            "ไหนยังไง คุณพี่เธอไปฟ้องมึงว่าไง"

            "พี่ณดาไม่ได้ฟ้อง แค่บอกว่าไม่เจอมึง แต่กูเดาเองว่ามึงน่าจะหนี"

            "ก็มึงไลน์มาบอกให้กูหนีไม่ใช่ไง"

            "กูแค่ไลน์ไปแจ้งล่วงหน้า ให้รีบเตรียมตัวรับมือ ไม่ใช่ให้มึงหนี"

            "เออ ช่างแม่งเหอะ แต่พี่ณดาน่าจะรู้สักทีมั้ยวะว่ากูไม่ชอบเค้าอ่ะ แสดงออกขนาดนั้นยังตื๊ออยู่ได้ แล้วไม่ใช่ตื๊อกูคนเดียวด้วยนะ" หนึ่งในเหตุผลที่ผมไม่เลือกคุณพี่เธอเพราะคนคุยเยอะ บอกตรงๆ ว่าไม่อยากเป็นตัวเลือก แม้ไอ้กาลจะบอกว่าผมอยู่อันดับหนึ่งก็ตาม มันไม่ได้น่าภูมิใจเลย

            ไอ้กาลยิ้มแหยเดินมานั่งบนเตียง ผมรู้ว่ามันเองก็คงลำบากใจ อยากจะเชียร์ก็เชียร์ได้ไม่สุดเพราะนิสัยพี่รหัสเป็นแบบนั้น แต่นิสัยมันก็ขี้เกรงใจเกินไปกับคนสนิท มันไม่อยากมีปัญหากับสายรหัสหรอก

            "พี่ณดาบอกกูว่าถ้ามึงมีแฟนถึงจะตัดใจ"

            "เออ กูรู้"

            "มึงก็รีบๆ หาแฟนดิวะ"

            "พูดเหมือนหาได้ง่ายๆ"

            "คนชอบมึงเยอะแยะ"

            "ถ้าชอบแบบนั้น คนไม่ชอบมึงเยอะกว่าเหรอวะ"

            ขึ้นชื่อว่าแฝดแถมหน้าตาดี ถึงหน้าจะไม่เหมือนกันแต่พวกเราก็พอมีชื่อเสียงในมหาวิทยาลัยอยู่บ้าง ในเพจคิ้วบอยของมหา'ลัยมีรูปไอ้กาลลงบ่อยๆ แต่ผมเป็นพวกไม่ชอบสุงสิงกับใครเท่าไร เน้นเรียนไม่เน้นกิจกรรม แน่นอนว่ากลุ่มคนที่ชอบผมที่ไอ้กาลยกตัวอย่างมาก็แค่ชอบคนหน้าตาดี แบบชอบดาราไอดอลอะไรประมาณนั้นมากกว่า ไม่ใช่ว่ารักจริงหวังได้เธอเป็นแฟน

            เห็นผมทำหน้าไม่ชอบขนาดนั้นกาลมันเลยไม่พูดเรื่องพี่ณดาต่อ นั่งทอดสายตามองประตูระเบียงที่ดูสงบสุขยามเวลาพระอาทิตย์ตกดิน เพราะไม่มีตึกสูงบังจากตรงนี้จึงสามารถมองเห็นพระอาทิตย์เป็นลูกกลมๆ เหมือนไข่แดง ไม่ได้สวยที่สุด แต่ก็สวยไปอีกแบบ

            "มันไม่มาหากูอีกเลยว่ะ"

            สามวันแล้วตั้งแต่ที่มันมาหากลางดึก สีหน้าท่าทางมันแสดงออกชัดเจนว่ากลัว เห็นในร่างมนุษย์แป๊บเดียวก็กลับร่างแมวแล้วกระโดดหนีไป ระหว่างที่ผมไม่อยู่ไม่รู้ว่ามันได้แวะมาหาบ้างมั้ย แล้วจะยอมใจอ่อนกับมนุษย์ที่เคยจับมันมัดคนนี้ได้หรือยัง

            ให้ว่ากันตามตรงผมเองก็ควรกลัวมันเหมือนกันนะ มันเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ ไหนจะแปลงร่างได้อีก ถ้ามันคิดจะสู้ขึ้นมาจริงๆ ย่อมทำร้ายผมได้แน่นอน อ้างอิงจากสามบาดแผลที่ผมได้รับ มันข่วนตาผมทีเดียวก็จบเกมแล้ว แต่อย่าให้มันเป็นอย่างนั้นดีกว่า

            "เชื่อดิ เดี๋ยวมันก็มา ไปกินข้าวกัน" กาลมันเอาตีนสะกิดหลังผมก่อนลุกออกไป จะคิดซะว่ามันให้กำลังใจแล้วกัน

            ผมเปิดประตูแง้มเอาไว้พอให้แมวเข้าได้ ถ้ามาก็เข้ามาได้เลยนะ กินข้าวกินน้ำให้อิ่มแล้วเข้ามา จะนอนรอบนเตียงก็ได้ไม่ว่าเลย

 

            ถ้าถามว่าอาการหนักขนาดไหน ผมบอกได้เลยว่าตอนนี้เป็นเอามาก มากถึงขนาดนับจำนวนเม็ดอาหารที่เทไว้ให้แล้วคิดดู

            วันนี้ลดไปสิบสองเม็ด

            วันที่สามแล้วที่ผมคิดว่าอาหารที่เทไว้ให้มันลดลง แต่ก็ยังไร้วี่แววของไอ้แมวขาวอยู่ดี เลยไม่รู้ว่ามันแวะมากินจริงๆ หรือมีนกมาแอบจิกกินกันแน่ ถ้านกกินมันคงไม่หายไปหลายเม็ดแบบนี้หรือเปล่า ฉะนั้นผมฟันธงเลยว่าเป็นไอ้แมวขาวแน่นอน เพียงแต่มันยังไม่กล้ามาเจอหน้าผมเท่านั้น

            นับเสร็จแล้วผมก็กลับมาจดบันทึกที่โต๊ะ ไอ้กาลเข้ามาในห้องพอดีมันเลยเดินมายืนขมวดคิ้วใส่

            "จดอะไรวะสองสามวันแล้ว"

            "จำนวนอาหารเม็ดที่เหลืออยู่"

            มันทำหน้าเครียดกว่าเดิมแล้วมองไปที่ระเบียง คงไม่ต้องให้ผมขยายความว่าอาหารเม็ดของใคร

            "ถึงกับต้องจดเลย"

            "เออ กูถึงได้รู้ไงว่ามันมากิน"

            "แล้วมึงรู้ได้ไงว่ามันมากินจริงๆ"

            "ความรู้สึกกูมันบอก"

            "อ่ะจ้ะ" มันคงขี้เกียจเถียงเลยกลับมาแค่นี้

            "มึงมีความคิดดีๆ มั้ยล่ะ หรือวางยาแม่งเลยดีมั้ยคุณเภสัช มียาซึมแมวนะนำมั้ยครับ"

            "กูเพิ่งปีสอง แล้วก็ไม่ใช่สัตว์แพทย์"

            "แต่ไอ้ล่อนจ้อนมันเป็นคนนะ"

            "แล้วตอนมันเป็นคนมันจะแดกอาหารเม็ดมั้ยเล่า"

            "เออว่ะ"

            ประเด็นนี้น่าคิด เรายังไม่รู้เหตุผลที่แน่นอนที่มันกลายเป็นคน แล้วก่อนหน้านี้มันจะเคยกลายร่างเป็นคนต่อหน้าคนอื่นหรือเปล่า หรือเป็นแบบนี้แค่กับผมคนเดียว แล้วตอนเป็นคนมันกินอาหารแบบไหน ใช้ชีวิตอยู่ยังไง แต่มันคงไม่ใส่เสื้อผ้าแน่นอน

            "ไปกินข้าว" หลังจากคุยออกนอกเรื่องกันไปไกลกาลมันก็พากลับเข้าเรื่องที่เข้ามาหาผม

            วันนี้มันทำสปาเก็ตตี้มีทบอล เมนูเด็ดอร่อยต้องบอกต่อ ถ้ามันไม่ได้เกิดมาเป็นพี่น้องกันนะ ผมคงจองมันมาเป็นภรรยาในอนาคตไปแล้ว

 

           -- อ่านต่อด้านล่าง --


ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5


            การมาบางทีมันก็ไม่มีสัญญาณเตือน

            วันที่เก้าของการรอคอย วันนี้เหนือกาลออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนและกลับดึกเหมือนทุกที ผมนั่งกินข้าวคนเดียวที่โต๊ะหน้าทีวีตอนใกล้สามทุ่ม กลับมาเข้ามาในห้องอีกทีก็เห็นแมวสีขาวนั่งอยู่บนของระเบียง ทำเอาใจเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น อยากจะพุ่งเข้าไปคว้าตัวมันไว้แต่กลัวมันจะตกใจแล้วหนีไปอีก

            เราเล่นจ้องตากันอยู่หลายวินาที เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ประตูมันก็ลุกขึ้นยืน ผมเลยต้องยกมือทำท่ายอมแพ้แล้วค่อยๆ ก้าวเข้าไป แต่ยิ่งใกล้มันก็ยิ่งกลัว

            ตั้งแต่กลับมาถึงห้องผมก็เปิดประตูไว้พอให้แมวเข้ามาได้ แต่มันก็ยังเลือกนั่งอยู่ตรงนั้นทั้งที่ไม่เห็นผมอยู่ในห้อง คงจะเข็ดจริงๆ ที่โดนจับมัดเมื่อครั้งก่อน

            "ไม่ทำอะไรแล้วจริงๆ เข้ามาเถอะ" ผมตะโกนบอกหวังว่ามันจะเข้าใจ ทั้งเขียนป้าย ทั้งทำตัวยอมสิโรราบขนาดนี้แล้ว

ไอ้แมวขาวยังนิ่ง มันนั่งลงอีกครั้ง แม้จะยังดูตื่นกลัวแต่ผมกลับรู้สึกว่าหน้าตามันดูหยิ่งผยองยังไงชอลกล ในใจมันคงคิดอยู่ว่า ‘พูดมาอีกสิเจ้ามนุษย์ ง้อเราให้ถึงที่สุด แล้วเราจะยอมเข้าไป’ อะไรประมาณนั้น

            "กูไม่จับมึงมัดแล้ว มาคุยกันเถอะ เดี๋ยวเอาขนมอร่อยๆ ให้กิน"

            มันยังนิ่ง จนผมต้องคิดทบทวนว่าพูดอะไรผิด แล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไอ้แมวนี่น่าจะไม่ชอบคำหยาบ

            โอเค งั้นเอาใหม่

            "เรามาคุยกันเถอะนะ ซื้ออาหารมาให้เยอะเลยเนี่ย หายไปหลายวันหิวหรือเปล่า นายก็มีสิ่งที่อยากรู้เหมือนกันใช่มั้ย เราก็มีเรื่องที่อยากรู้เหมือนกัน เข้ามาในห้องก่อน ไม่ทำอะไรแล้วจริงๆ"

            หลังจากผมร่ายไปยาวเหยียดมันก็เริ่มขยับตัวอีกครั้ง เป็นการกระโดดลงมาที่พื้นระเบียง ไม่ใช่ถอยหนีเหมือนก่อนหน้านี้

            สรุปว่าพูดเพราะๆ แล้วได้ผลซะงั้น

            ผมถอยออกห่างไปยืนข้างโต๊ะ ไอ้แมวขาวทำเป็นมองซ้ายแลขวาก่อนค่อยๆ ก้าวเข้ามาในห้อง แต่ยังไม่ยอมออกห่างจากประตู

            "เข้ามาดิ ไม่ทำอะไรแล้วจริงๆ" ผมชูสองมือให้มันดู แสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้ซ่อนอาวุธอะไรไว้

            มันค่อยๆ ก้าวมาใกล้อีกนิดจนเข้ามาอยู่กลางห้อง แล้วมันก็ขู่ฟ่อทันทีเมื่อผมก้าวไปทางประตู

            "แค่ปิดม่าน มันคงไม่ดีมั้งถ้ามีใครมองเข้ามาแล้วเห็นคนแก้ผ้าอยู่" มันต้องกลายร่างเป็นคนอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงหอข้างๆ ที่อยู่ไกลๆ จะไม่สามารถมองเห็นได้ก็เถอะ แต่กันไว้ก่อนย่อมดีกว่า

            มันยอมให้ผมเดินไปปิดม่านโดยดี หันกลับมาอีกทีไอ้แมวขาวก็กลายร่างเป็นไอ้ล่อนจ้อน แสดงอภินิหารที่ไม่ว่าจะเห็นมาแล้วกี่ครั้งผมก็ยังตกตะลึงอยู่ดี

            "หวัดดี" ยิ้มให้พร้อมกับยกมือทักทาย แต่คนที่ยืนแก้ผ้าอยู่ดูไม่มีอารมณ์ร่วมเท่าไร

            ไอ้ล่อนจ้อนทำหน้าดุใส่ผม พร้อมจะขู่ฟ่อทุกเวลาถ้าผมเผลอเข้าไปใกล้โดยไม่ได้รับอนุญาต มันก้าวถอยหลังจนยืนชิดผนังห้องอีกฝั่ง ยืนจังก้าโชว์สัดส่วนร่างกายที่จะว่าไง ก็อืม...ดูดีแหละ หุ่นก็ดีไม่ผอมเกินไป กับผิวขาวๆ ที่ผมยอมรับเลยว่าสุขภาพดีมาก แต่จะให้คุยกับคนที่ไม่ใส่อะไรเลยมันก็ยังไงอยู่ พูดตรงๆ ก็คือไม่สามารถครองสติและสมาธิได้นั่นเอง

            ผมขยับหนึ่งก้าวไอ้ล่อนจ้อนก็ขู่ฟ่อ กลายร่างเป็นคนแล้วก็ไม่ได้ต่างจากแมวสักเท่าไร แยกเขี้ยวตั้งท่าจะตะปบ แต่มันไม่ได้ดูน่ากลัวเลยสักนิด

            "จะหาเสื้อผ้าให้ใส่ ถ้าไม่อยากให้ไปค้นให้ก็เปิดตู้ที่อยู่ข้างๆ แล้วหยิบเสื้อกับกางเกงมาใส่ได้เลย เอาตัวที่ชอบ" จะเดินไปจัดการให้ก็เสี่ยงโดนตบเพราะตู้เสื้อผ้าดันอยู่ใกล้ไอ้ล่อนจ้อนพอดี

            มันมองตามคำอธิบายของผม แสดงว่าเข้าใจภาษามนุษย์เป็นอย่างดี แต่ไม่ยักขยับไปไหน อย่าบอกนะว่าเปิดตู้เสื้อผ้าไม่เป็น

            "หยิบได้เลยไม่หวง อยากใส่ตัวไหนก็เอาเลย" ผมลองเชียร์อีกรอบ

            ครั้งนี้มันค่อยๆ ขยับไปหน้าตู้ มองสักพักก่อนยกมือแตะที่เปิด แตะค้างไว้อยู่อย่างนั้นคล้ายกำลังคิดว่าจะเปิดมันด้วยวิธีใด แต่สุดท้ายมันก็เลื่อนเปิดออกจนได้

            ปกติถ้าเห็นเพื่อนทำอะไรอืดอาดชักช้าผมคงด่าไปแล้ว แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไป การได้มองดูไอ้ล่อนจ้อนทำอะไรสักอย่างทำให้ผมลุ้นและต้องคอยเอาใจช่วยไปด้วย ก็ครั้งแรกๆ ที่เจอมันยังเป็นประตูระเบียงไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ

            เปิดประตูตู้ได้ผมก็ต้องยืนรอมันเลือกชุดที่อยากใส่ แล้วก็ต้องมาลุ้นอีกว่ามันจะใส่เป็นไหม แต่ไม่เป็นไรผมรอได้ เพราะสิ่งที่กำลังกวนใจผมอยู่ไม่ใช่การรอ แต่เป็นก้นขาวๆ กลมๆ นั่นต่างหาก

            ผมต้องใช้ความพยายามอย่างมากบังคับสายตาให้โฟกัสที่อื่น ไม่อยากจะคิดอะไรให้มันดูไม่ดีหรอก แต่ผมน่ะชอบแมว แล้วไอ้ล่อนจ้อนมันก็เหมือนแมว ไม่ดิ มันเป็นแมว ถึงแม้อยู่ในร่างคนมันก็ยังคล้ายแมวอยู่ดี ดูเป็นก้อนนุ่มนิ่มน่า...ขย้ำ

            แม่งเอ๊ย! นี่ผมคิดอะไรอยู่วะ

            ต้องสะบัดหัวแรงๆ ไล่ความคิดพิสดารนี้ออกไป

            ไอ้ล่อนจ้อนเลือกชุดได้แล้ว เป็นเสื้อยืดสีขาวโอเวอร์ไซซ์ที่ผมชอบใส่นอน มันหยิบออกมาจากราวแล้วจับพลิกหน้าพลิกหลังเหมือนเวลาเลือกซื้อเสื้อสักตัว แต่ถ้าให้ผมเดา มันคงกำลังสงสัยมากกว่าว่าจะใส่ยังไง

            "เอาสวมหัวเลย มุดเข้าไป" ผมบอกแล้วทำท่าประกอบ

            มันไม่ได้ทำหน้างง แต่จับเสื้อสวมหัวมันทั้งไม้แขวน ผิดหัวผิดหางมั่วซั่วไปหมดจนผมต้องรีบถลาเข้าไปช่วย แต่พอแตะโดนตัวนิดเดียวมันก็ขู่แล้ว

            "จะช่วยใส่ ไม่ทำอะไรหรอก"

            ใช้เวลาสักพักเลยทีเดียวกว่าจะตะล่อมให้ไอ้ล่อนจ้อนสงบแล้วยอมให้ผมใส่เสื้อให้ มันมองตามมือผมตลอดตั้งแต่ถอดไม้แขวนแล้วเอาเสื้อสวมหัวให้มัน เหมือนเด็กขี้ระแวงไม่มีผิด

            "เอาแขนสอดออกมาตรงนี้"

            มันทำตามที่บอก สอดแขนเข้ามาทีละข้าง จากไอ้ล่อนจ้อนก็กลายเป็นไอ้น่ารัก อันนี้ผมพูดจริงๆ ไม่ใช่แค่ไอ้น่ารักธรรมดา ทั้งน่ารักแล้วก็ดุด้วย ไม่น่าเชื่อว่าแค่เสื้อตัวเดียวจะทำให้คนที่เหมือนโรคจิตชอบอนาจารกลับมาเป็นเด็กวัยรุ่นธรรมดาได้

            ผมหยิบบ๊อกเซอร์ให้มันใส่อีกตัว เสื้อขาวมันยาวพอแค่ปิดก้นได้ซึ่งก็ยังล่อแหลมอยู่ดี ต้องตะล่อมอีกสักพักไอ้ล่อนจ้อนมันถึงยอมให้ผมจับแต่งตัว กว่าจะแปลงโฉมเสร็จก็หมดไปหลายนาที

            ผมผายมือให้มันไปนั่งที่เตียง งานนี้คงได้คุยกันยาวๆ ถ้ายืนเดี๋ยวจะเมื่อยเอา ไอ้ล่อนจ้อนยังคงหวาดระแวงเหมือนเดิม แต่สุดท้ายก็ยอมเดินไปนั่ง

            ผมนั่งที่เตียงอีกฝั่ง เว้นระยะห่างให้มันรู้สึกปลอดภัย จากนั้นก็เริ่มคำถามแรก

            "นายพูดได้มั้ย" ตั้งแต่เจอกันมาผมยังไม่เคยได้ยินเสียงมันเลยสักครั้ง ถ้ามันตอบกลับมาว่า 'เมี้ยว' ก็เตรียมพับโต๊ะปิดการประชุมได้เลย

            "ดะ"

            "ฮะ?"

            ผมไม่แน่ใจว่าก่อนหน้านี้ได้ยินคำว่าอะไร อาจจะเป็นคำว่า ‘ได้’ ที่ออกเสียงไม่ชัด พออยากจะย้ำให้แน่ใจอีกทีมันก็เงียบไป

            "สรุปพูดได้มั้ย"

            มันพยักหน้าช้าๆ ดูไม่ค่อยมั่นใจที่จะตอบนัก

            "เข้าใจที่เราพูดหมดใช่มั้ย"

            พยักหน้าอีกรอบ

            "แล้วนายมาที่นี่ทำไมวะ ต้องการอะไร เพราะเราทำให้นายกลายเป็นคนได้เหรอ"

            คำตอบยังคงเป็นการพยักหน้า ก็ไหนว่าพูดได้แล้วทำไม่พูดอะไรสักคำ

            "นายพูดบ้างก็ได้นะเว้ย ถือว่าตอนนี้เราประสบปัญหาร่วมกันแล้ว มีอะไรก็เล่าให้เราฟังเลยดีกว่า คือเราไม่รู้เลยว่าทำไมมันถึงมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ทำไมนายถึงได้กลายเป็นคนตอนได้เจอเรา ถ้าได้พูด ได้แชร์ความเห็น เราจะได้ช่วยกันแก้ปัญหานี้ได้"

            ความเงียบยังเป็นคำตอบเหมือนเดิม ผมคงจะโมโหไปแล้วถ้าไม่เห็นสีหน้าลำบากใจที่มันกำลังแสดงอยู่ เหมือนอยากจะพูดแต่พูดไม่ได้ หรือความจริงแล้วมันพูดไม่ได้กันแน่

            "สรุปนายพูดได้หรือไม่ได้วะ"

            "ดะ ได้" ไอ้ล่อนจ้อนยังยืนยันคำเดิม เป็นการเค้นเสียงตอบที่ฟังก็รู้ว่าคนพูดใช้ความพยายามแค่ไหน

            "หรือว่าลืมวิธีพูดไปแล้ว"

            มันรีบส่ายหน้า แล้วมันยังไงกันล่ะวะ ไม่ได้ลืมแต่ก็ไม่ยอมพูดเนี่ย

            "เป็นแมวมานานหรือยัง"

            "นะ นาน...แล้ว"

            "กี่ปี"

            "สิบ"

            "สิบปี?"

            ไอ้ล่อนจ้อนพยักหน้า เท่านี้ก็สรุปได้หนึ่งอย่างว่ามันเคยเป็นคนมาก่อน ก่อนถูกสาปให้เป็นแมว ผมขอเรียกแบบนี้แล้วกัน เวลานานขนาดนั้นมันคงลืมวิธีพูดแบบคนไปแล้วแน่ๆ

            "แล้วกลายเป็นแมวตอนอายุเท่าไร"

            "สิบ"

            "สิบขวบ?"

            มันพยักหน้ารับ

            กลายเป็นแมวตอนสิบขวบ ผ่านมาสิบปีตอนนี้มันก็อายุยี่สิบ

            "อายุเท่ากันนี่หว่า แล้วมึงเคยเจอกูมาก่อนป้ะ"

            ตื่นเต้นไปหน่อยเผลอหลุดเรียกแทนตัวเองไม่เพราะไปคำเดียวมันทำท่าจะแยกเขี้ยวใส่ผมทันที นิสัยนี้มันได้มาตอนเป็นแมวหรือติดมาตั้งแต่ตอนเป็นคนวะ

            "หมายถึงเราอ่ะ เคยเจอกันมาก่อนมั้ย"

            ไอ้ล่อนจ้อนยังไม่ทันได้ตอบอะไรก็มีเสียงก๊อกแก๊กมาจากข้างนอก แมวขี้ระแวงหูตั้งผุดลุกขึ้นยืน ตาจ้องไปที่ประตูห้อง ขณะที่ขาก้าวไปชิดประตูระเบียงเรียบร้อย

            "สงสัยน้องชายเรากลับมา ไม่มีอะไรหรอก มันไม่ทำอะไร"

            คำอธิบายของผมไม่ช่วยทำให้อีกฝ่ายสบายใจขึ้นได้ เดาว่าความประทับใจแรกที่ไอ้ล่อนจ้อนมีต่อไอ้กาลคงไม่ดีเท่าไร ก็มันเล่นกรี๊ดเสียงดังซะเกือบหูดับขนาดนั้น เป็นใครก็ต้องตกใจ

            "กาล มึงอย่าเพิ่งเปิดเข้ามานะเว้ย!" ผมตะโกนบอกคนที่อยู่ข้างนอก กว่าจะได้นั่งคุยกันดีๆ ผมต้องรอเป็นอาทิตย์ เลยไม่อยากปล่อยให้ไอ้ล่อนจ้อนหนีไปโดยที่ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง

            "ทำอะไรวะ"

            "ล่อนจ้อนอยู่ มึงอย่าเพิ่งเข้ามา"

            "จริงเหรอวะ แมวหรือคน" น้ำเสียงที่ตอบกลับมาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น พร้อมกับเสียงก๊อกแก๊กที่ประตูซึ่งผมลืมล็อกไว้

            "อย่าเพิ่งเข้ามา!"

            ผมตะโกนบอกพร้อมกับพุ่งไปที่ประตูแล้วกดล็อก แต่พอผมหันกลับไปมองฝั่งระเบียงอีกทีไอ้ล่อนจ้อนก็หายไปแล้ว

ประตูกับผ้าม่านยังอยู่ในตำแหน่งเดิมแสดงว่าไม่ได้ใช้ร่างคนหนีออกไป แต่เพราะจุดที่ไอ้ล่อนจ้อนเคยยืนอยู่ถูกเตียงบังไว้ผมเลยไม่แน่ใจว่ามันยังอยู่ตรงนั้นหรือหนีออกไปแล้ว

            "ล่อนจ้อน ยังอยู่มั้ยวะ"

            "เมี้ยว" ได้ยินเสียงแมวร้องก่อนจะเห็นก้อนสีขาวจะวิ่งไปตรงประตูที่เปิดไว้ มันหันมามองผมเหมือนกับอยากบอกว่าค่อยเจอกันใหม่ ครั้งนี้ต้องตัดใจยอมแพ้ไปก่อน

            "ไว้ค่อยคุยกันใหม่"

            ไอ้แมวขาวมุดออกประตูกระโดดหนีไปแล้วผมถึงยอมเปิดประตูให้ไอ้กาล มันยืนทำหน้าอยากรู้อยากเห็นชะเง้อมองเข้ามาในห้อง คิดแล้วก็น่าโมโห แม่งจะกลับมาทำไมตอนนี้

            "ไหน มันอยู่ไหน"

            "ไปแล้ว"

            "อะไรวะ"

            "ก็เพราะมึงโผล่มากเนี่ย มันเลยหนีไปเลย"

            "ความผิดกู"

            "เออ"

            โทษใครไม่ได้นอกจากมัน ถ้ามันกลับดึกว่านี้อาจจะคุยกันรู้เรื่องไปแล้วก็ได้

            "แล้วเป็นไงบ้างวะ มันกลายเป็นคนมั้ย แล้วได้คุยกันหรือยัง"

            "ก็ดี มันยังดูกลัวๆ แต่ก็คุย แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไรเป็นเรื่องเป็นราวมึงก็มาขัดเนี่ย"

            "ขอโทษๆ คราวหลังมึงก็ไลน์มาบอกกูหน่อย จะได้ไม่พราดพราดเข้ามา"

            ผมพยักหน้ารับส่งๆ กาลมันขอโทษอีกรอบก่อนเอาเก็บกระเป๋าไปเก็บในห้องตัวเอง ผมเดินกลับเข้าไปในห้อง มองเสื้อผ้าที่กองอยู่ข้างเตียง

            มันจะมีวิธีไหนบ้างไหมที่ทำให้ไอ้ล่อนจ้อนกลายร่างเป็นคนแล้วไม่เปลือย สารภาพแบบลูกผู้ชายเลย ตั้งแต่ผมได้เห็นผิวสุขภาพดีของมันชัดๆ เนี่ย ไม่เคยคิดอะไรดีๆ ได้เลย

 
tbc.

 
ในที่สุดก็ได้คุยกับน้องแมวแล้ววววว
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ขอเดาว่า  ทั้งสองเจอกันตอนเป็นเด็ก แล้วก็เหนือลิขิตนี่แหละที่ทำให้เด็กคนนั้นกลายเป็นแมวมาจนถึงทุกวันนี้  อิอิ

ออฟไลน์ ปกรณ์แทน

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Rumraisin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 673
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ได้คุยกับน้องแล้ว เรียกซะน่ารัก ล่อนจ้อน แล้วขานรับด้วยนะ น่าอุ้มกลับบ้าน แงงงงงงขอบคุณมากนะคะ รอตอนหน้าจ้า  :กอด1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด