ตอนที่ ๓
เป็น ‘รัก’ ไม่ใช่ ‘ลักษมณ์’ ดังที่ทรงเข้าพระทัยในคราแรก
เพิ่งทรงทราบว่าเข้าใจผิดไปก็เมื่อได้ไถ่ถามจากญาติผู้น้องหลังจากนั้น
หม่อมเจ้าจักรกฤษณ์หรือ
ท่านชายราม ทรงเป็นเครือพระญาติห่างๆกับหม่อมราชวงศ์สิตา สายพระโลหิตไม่อาจนับได้ว่าเทียบเคียง หากแต่ก็สนิทสนมกันดีด้วยคลุกคลีกันมาตั้งแต่ญาติผู้น้องยังแต่เล็กแต่น้อย
แม้ท่านชายรามจะไม่ใช่คนถือองค์ แต่ก็ไม่เคยให้ความสนพระทัยในผู้ใดนอกเหนือไปจากคนที่ทรงเลือกแล้วว่า‘เหมาะ’ว่า‘ควร’ ซึ่งหม่อมราชวงศ์สิตาเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ทรง‘เลือก’แล้วเช่นกัน
แต่แก้วตาใสที่เคลือบไว้ด้วยความตื่นตระหนกน้อยๆ กลับยังคงตรึงอยู่ในหทัยอย่างหาได้ยาก
มั่นพระทัยว่าไม่เคยพานพบกันมาก่อนแน่นอน หากองค์กลับไม่รู้สึกขะเขินยามต้องเนื้อตัวแม้แต่น้อย ทั้งให้คุ้นเคยราวกับการได้ชิดใกล้กับลักษมัณไม่ใช่เรื่องผิดปกติสามัญแต่อย่างใด
แปลกนัก “เป็นอะไรไป? พี่เห็นน้องนั่งหน้าบูดหน้าบึ้งมาตั้งแต่ออกจากมหา’ลัยแล้ว”ทรงตรัสถามญาติผู้น้องที่นั่งเคียงไหล่กันบนเบาะรถ “หรือน้องไม่อยากให้พี่มารับล่ะ หือ?”
คุณชายตัวน้อยรีบส่ายหน้าทันทีนัยว่าไม่ใช่อย่างนั้น ให้คนพี่ทรงแย้มสรวลแล้ววางหัตถ์ลงบนศีรษะพลางขยับยีกลุ่มผมนุ่มเบาๆด้วยเอ็นดู
“หรือจะแอบหนีท่านพ่อไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน แต่พี่กลับมาขัดจังหวะเราเสียก่อนกันล่ะ”
“เปล่านะครับ น้องไม่ได้จะหนีเที่ยวซะหน่อย”
แต่จะไปเลือกของขวัญให้พี่รามต่างหาก... สุดท้ายเป็นอันต้องยกเลิกนัดกับเพื่อนรักไปอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อเจ้าของหัวข้อเรื่องคนสำคัญของคุณชายสิตาดันปรากฏตัวขึ้นมาโดยไม่ทันคาดคิด
“พี่ต้องผ่านหน้ามหา’ลัยพอดี เลยแวะมารับน้องกลับพร้อมกันเสียเลย ก่อนหน้านี้พรตคงโทรมาบอกน้องแล้ว” ช่างประจวบเหมาะเสียจริงเชียว เมื่อ
หม่อมเจ้าชญานินหรือ
ท่านชายอินทร์ ซึ่งเป็นท่านพ่อของคุณชายสิตาได้นัดแนะพบปะกับท่านชายรามในวันนี้พอดี โดยที่คุณชายสิตาไม่ได้รู้เรื่องราวมาก่อน
อดรู้สึกไม่ดีที่ผิดนัดกับเพื่อนไม่ได้ ทั้งที่ก็เป็นนัดที่มาจากความประสงค์ของตัวคุณชายสิตาเองแท้ๆ เป็นลักษมัณเสียอีกที่ไม่คนคิดเล็กคิดน้อยทั้งยังบอกค่อยนัดกันอีกครั้งในภายหลัง นึกมาถึงตรงนี้คุณชายก็อดอมยิ้มน้อยๆออกมาไม่ได้ เขาโชคดีนักที่ได้เป็นเพื่อนกับคนดีๆอย่างรัก
สำคัญคือ พี่รามอุตสาห์แวะมารับเขาด้วยองค์เองเชียวนะ
อยากจะยิ้มให้กว้างกว่านี้ แต่ก็เกรงสายพระเนตรของพี่รามจะจับได้ ถึงจะดีใจเพียงใดก็ไม่อาจแสดงออกให้องค์ทรงทราบ
พี่รามเป็นคนเฉลียว คุณชายตัวเล็กที่กลัวจะเผลอแสดงความนัยให้อีกฝ่ายต้องทรงตะขิดตะขวงใจจึงคิดเบี่ยงไปยังเรื่องของเพื่อนคนใหม่แทน
“รักเป็นยังไงบ้างครับ พี่รามว่าโอเคหรือเปล่า แต่น้องว่ายิ่งกว่าโอเคเลย”ทำท่าทางโอเคประกอบ ดวงตากลมโตเปล่งประกายสดใสแลดูกระตือรือร้นเสียจนแลผิดปกติ หากท่านชายรามเพียงแย้มสรวลด้วยเอ็นดู พลางนึกถึงวงหน้าอ่อนเยาว์ของคนที่ญาติผู้น้องเอ่ยถึง
พระพักตร์หล่อเหลาอ่อนโยนลงหลายส่วน คุณชายสิตาที่เห็นดังนั้นอดโล่งใจไม่ได้
เพราะนั่นแสดงว่าเขา‘สามารถ’คบกับรักต่อไปได้ และรักนั้น‘คู่ควร’พอในสายพระเนตรของพี่ราม
“แต่พูดไปพี่รามอาจจะมองว่าน้องคิดมากไปเองก็ได้นะครับ”
“ทำไมล่ะ?”เห็นอีกฝ่ายมีทีท่าสนพระทัย พลันรู้สึกพองฟูในอก ดวงหน้าหวานแลดูมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเดิม
“น้องรู้สึกเหมือนกับรักมีแรงดึงดูดอะไรบางอย่าง น้องเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันนะครับ แต่น้องรู้สึกสบายใจที่มีรักอยู่ข้างๆยังไงก็ไม่รู้”
“ลักษมัณคนนี้คงจะเป็นรักแรกพบของน้องเสียแล้วล่ะมั้ง”คุณชายสิตาเกาแก้มอย่างเก้อเขินเมื่อท่านชายรามทรงยิ้มเย้าแหย่ ดวงหน้านวลพลันปรากฏริ้วแดงแต้มเจือจาง
“พี่ราม! ใช่แบบนั้นที่ไหนกันล่ะครับ โธ่”
ได้ยินเสียงสรวลอย่างอารมณ์ดีของท่านชายราม หน้าที่แดงอยู่แล้ว กลับแดงจัดจนลามไปถึงใบหู
“แต่เรื่องที่น้องว่ามา พี่เห็นด้วยนะ”
หัตถ์เรียววางลงบนศีรษะทุยอีกคราพลางลูบไล้เรือนผมนุ่มของญาติผู้น้องอย่างเพลินมือ นัยน์เนตรที่แสนอ่อนโยนคู่นั้นฉาบไว้ด้วยแววเอ็นดูเหมือนดังเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา
หากเนตรสีรัตติกาลแลดูลุ่มลึกเกินกว่าจะคาดเดาถึงความนัยในสิ่งที่ทรงเพิ่งตรัสออกมาเมื่อครู่ ท่านชายรามทรงหันพักตร์ออกทอดเนตรจากกระจกรถไปไกลแสนไกล แลคับคล้ายกำลังขบคิดบางสิ่งอยู่
‘บางสิ่ง’ที่คุณชายสิตาไม่อาจเข้าถึง ในใจพลันรู้สึกวูบโหวงอย่างน่าประหลาด
“อึก ฮือออ!”
ณ ที่แห่งนี้กำลังจะมีคนขาดใจตาย
“ฮึก ฮึก ...ฮื้อออออ!”
ลักษมัณนั่งท้าวคางมองนายตูมตามที่กำลังประคับประคอง‘อดีต’สมาร์ทโฟนคู่ใจอย่างระมัดระวังด้วยความระอิดระอาใจ หันมองรอบกายก็ได้แต่ส่งยิ้มแหยๆให้กับเพื่อนนักศึกษาทั้งที่นั่งอยู่เคียงใกล้และทั้งที่นั่งอยู่ห่างไกล
ลักษมัณเชื่อ ...ถึงจะนั่งอยู่นอกร้านก็ยังต้องได้ยินเสียงร้องโหยหวนจนชวนให้อยากปิดหูนี่แล้วเดินหนีอยู่ดี
‘ร้านหนมปิ๊งปัง’ เป็นร้านกาแฟบวกเบเกอร์รี่อีกทั้งยังมีเมนูอาหารคาวให้เลือกหลายอย่าง ร้านนี้แม้ไม่ใหญ่มากแต่ก็ถือว่ามีพื้นที่ให้เหล่านักศึกษาเลือกใช้สอยหลายสัดส่วน ตกแต่งด้วยโทนสีเขียวอ่อนผสมสีฟ้าแลอบอุ่นสบายตา มีไม้เลื้อยและตุ๊กตาหมีตัวเล็กตัวน้อยสลับหุ่นยนต์ประกอบมือตัวเล็กประดับอย่างพอเหมาะพอเจาะ ให้เหล่านักศึกษาชายวัยฉกรรจ์ไม่ต้องรู้สึกแปลกแยกนัก ที่สำคัญคือแอร์เย็นฉ่ำมาก นับได้ว่าเป็นสวรรค์บนดินตัดจากโลกภายนอกที่แดดแผดเผาเหมือนจะให้แห้งตายกันไปข้างได้เป็นอย่างดีเลยเชียว
โชคดีนักที่ตอนนี้คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่... นายตูมตามนั่งร้องไห้แห้งมาร่วมครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ บอกตามตรงลักษมัณอยากเอาหน้าจุ่มเค้กเสียให้รู้แล้วรู้รอด
จุดนี้หน้าบางมาก... บอกเลย
“ท่านชายบอกแล้วไงว่าจะส่งเครื่องใหม่มาให้ เขากรุณามึงขนาดนี้แล้วยังจะร้องห่มร้องไห้ไปเพื่อ?”ทนไม่ไหวเลยมงแซะ แซะมงเพื่อนออกไปเบาๆ
“กูซึ้งใจไง ฮึก!”
“...”พูดไม่ออกบอกไม่ถูกกันเลยทีเดียว ลักษมัณคิดว่าเขาไม่ควรถามมันต่อ เลยก้มหน้านั่งจัดการข้าวกะเพราหมูกรอบที่ปริมาณน้อยกว่าโรงอาหารของคณะทั้งราคายังแพงกว่าอีกเท่าหนึ่ง มือคลำกระเป๋าสตางค์พลางถอนหายใจออกมาเบาๆ
เอาหน่า ถือเสียว่ามากินบรรยากาศ แล้วก็จำไว้ให้ขึ้นใจ ..วันหลังอย่าได้บ้าจี้ตามนายตูมตามมันมาอีกเป็นอันขาด
“ร้านนี้ดังนะมึง ในไอจีเซเลบมหา’ลัยเรามาเช็คอินกันให้พึบพั่บ ของดีอร่อยชัวร์พี่ตูมฟันธง” นึกถึงคำโฆษณาของเพื่อนต่างคณะแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอีกรอบ คิดถึงกะเพราร้านตามสั่งแถวบ้านมาก... แอบจิ้มชีสเค้กของนายตูมตามมาหนึ่งจึกใหญ่ๆเพื่อดามหัวใจที่ร้าวราน ขนาดนี้นายตูมตามยังคงไม่รู้สึกตัว ลักษมัณกลั้นขำจนปวดกราม
ในขณะที่กำลังจะจิ้มชีสเค้กมาอีกหนึ่งจึก กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้ชนิดหนึ่งพลันโชยแตะที่ปลายจมูกให้ชะงักกึกเสียก่อน ลักษมัณขมวดคิ้วน้อยๆด้วยรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก กลิ่นมันคล้ายกับ...
กริ๊ง~
“สวัสดีค่ะ รับเมนูไหนสั่งได้นะคะ”
“เอสเปรสโซ่หนึ่งแก้วครับ”
“ทานที่นี่ไหมคะ?”
“กลับบ้านครับ”
“ไอ้รักๆ”หันไปหาเพื่อนที่จู่ๆก็สะกิดแขนเขายิกๆ นายตูมตามที่เลิกร้องไห้ทั้งยังมีสีหน้าตื่นเต้นแปลกๆทำปากบุ้ยใบ้ไปอีกทาง ลักษมัณมองตามจึงให้เห็นเป็นชายรูปร่างสูงกำยำคนหนึ่งในชุดสูทสากลสีดำสนิทยืนรอเครื่องดื่มอยู่ตรงเคาน์เตอร์สำหรับลูกค้าสั่งกลับบ้าน หันกลับมาเลิกคิ้วถามเพื่อน “อะไรวะ?”
“คนเนี้ยแหละ”
ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่า“คนเนี้ยอะไรของมึงกันครับเพื่อนตูม”
“ก็บอร์ดี้การ์ดของคุณทศพักตร์เค้ายังไงล่ะวะ กูจำได้แม่น คนนี้เนี้ยแหละ”หัวใจของลักษมัณพลันเต้นผิดจังหวะขึ้นมาทันทีเมื่อยินชื่อที่อยู่ในประโยค “แสดงว่าคุณเค้าก็ต้องอยู่แถวๆนี้สิวะ” พูดไปชะเง้อชะแง้มองหาไป ขณะที่ลักษมัณเอื้อมมือข้ามโต๊ะดันเหม่งเพื่อนให้อยู่สุขเสียบ้าง
“เขาจะอยู่หรือไม่อยู่ก็ไม่เกี่ยวกับมึงอยู่ดีครับเพื่อนตูม กินๆไป ไม่งั้นกูจกหมดจานนะบอกให้”
“อ้าว เฮ้ย! ไอ้ลักสามาน เค้กกู”นายตูมตามโวยวายใหญ่เมื่อในที่สุดก็สังเกตเห็นเสียทีว่าชีสเค้กของตัวเองถูกเพื่อนลักจิ้มไปหลายคำ
เพื่อนต่างคณะขมุบขมิบปาก คาดว่าคงกำลังก่นด่าเขาอยู่ในระยะเผาขน หัวเราะหึหึ รู้ดีว่านายตูมตามไม่ได้ด่าอะไรจริงจังนักหรอก เอ๊ะ ...หรือจริงจัง? เพราะหน้าตามองแรงมาก
ลักษมัณทำท่าคิดอย่างหนักท่ามกลางสายตาสงสัยของเพื่อน นานนับห้านาทีเห็นจะได้ถึงได้ตัดใจ เปิดเป้แล้วหยิบขวดยาคูลท์ยื่นส่งให้ ส่วนนายตูมตามนั้นอ้าปากค้างมองขวดยาคูลท์สลับกับดวงหน้าคมของเพื่อนตัวดี ..ด้วยไม่คาดคิด
“นี่อย่าบอกนะว่ามึงเอายาคูลท์ขวดละไม่กี่สิบบาทมาแลกกับชีสเค้กจานละร้อยสี่สิบห้าของกู?”
“อืม”พยักหน้ายืนยัน ไม่ลืมเสริม“ยาคูลท์อร่อยที่สุดในสามโลก ขวดสุดท้ายแล้ว กูสละให้”
นายตูมตามยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองดังแปะ
“เพื่อนคนแรกในชีวิตมหา’ลัยของกู ทำไมต้องเป็นมึงด้วยว้า”
ความจริงแล้วคณะนิเทศฯเสมือนเป็นศูนย์รวมวงจรร้านอาหารเล็กร้านคาเฟ่น้อยไว้ให้นักศึกษามานั่งเล่นนอนเล่น แตกต่างจากคณะของเขาโดยสิ้นเชิง แค่มีโรงอาหารให้ก็นับว่าหรูแล้วจริงๆ ในขณะที่บางคณะไม่มีโรงอาหารของตัวเองต้องระเห็จไปฝากท้องคณะอื่นก็มี
แล้วบางคณะก็ใช่จะอยู่ชิดเรียงเคียงใกล้ ฉะนั้นรถรางหรือรถบัสของมหา’ลัยจึงจำเป็นมากในการใช้สันจรข้ามคณะ
แต่ที่หนักหนาสาหัสที่สุดก็คือการรอนี่ล่ะ
ลักษมัณยืนดูดน้ำปั่นที่ใกล้เหือดแห้งเต็มที อยู่กับนายตูมตามที่เริ่มเปิดฝาแก้วเคาะน้ำแข็งเข้าปากแล้ว
“ทำไมกูต้องมีเรียนช่วงบ่ายด้วยว้า”เมื่อเคาะน้ำแข็งจนแทบหมดแก้ว ก็เงยหน้าขึ้นบ่นกับดินฟ้าอากาศ
“แล้วนี่มึงมีเรียนอีกทีกี่โมง ไม่ต้องยืนส่งกูก็ได้”ลักษมัณเอ่ยถามพลางโยนแก้วลงขยะ
“ใครว่ากูมายืนส่งมึงครับไอ้เพื่อนรัก”
อ้าว
ลักษมัณเลิกคิ้ว ก่อนมองตามสายตากะลิ้มกะเหลี่ยก็ให้เห็นนักศึกษาสาวสองสามคนยืนอยู่หน้าร้านปริ๊นเอกสารฝั่งตรงข้ามถนน คาดว่าน่าจะเป็นนักศึกษาของคณะนิเทศฯไม่ใช่อื่นไหนไกล
“พี่ตูมรอขึ้นเรียนพร้อมน้องเมลหรอกเว้ย”
แทบกลอกตาใส่ในเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของเพื่อนขี้หลี ลักษมัณส่ายหน้าแต่หากยังไม่ทันได้ละสายตากลับมา...
สายลมหนึ่งวูบใหญ่พัดผ่านกายพร้อมกับนำพาเอากลิ่นหอมอันคุ้นเคยให้ต้องลงปลายจมูก
ดวงตาตกต้องอยู่บนกายสูงใหญ่ในชุดสูทสีรัตติกาลยืนห่างออกไปอีกฝั่งของถนน เครื่องหน้าคมคร้าม แนวสันกรามได้รูปรับกับจมูกโด่งสัน ริมฝีปากแต้มยิ้มน้อยๆ ...อย่างน้อยลักษมัณก็คิดว่าเขาเห็นอีกฝ่าย ‘ยิ้ม’ แม้ตอนนี้วงหน้าคมจะกลับมานิ่งขรึมแล้วก็ตาม
หากแต่สิ่งที่ดึงดูดให้ไม่อาจละสายตากลับเป็นนัยน์ตาคู่นั้นที่จับจ้องมองสบมา
แววตาแบบนั้น
เจ้าลักษมณ์ “คุณทศ?”
ลักษมัณพลันได้สติ มือยกกุมอกข้างซ้ายเมื่อหัวใจคล้ายกระหน่ำเต้นรัวราวกับกำลังยินดีกระนั้น ...แปลก
“มึงหมายถึง?”หันไปมองนายตูมตามก็เหมือนให้เห็นเพื่อนสั่นหางตีพื้นดังปับๆ มโนภาพนี้แจ่มชัดนักบอกเลย
“คุณทศพักตร์ไงมึง กูว่าแล้วว่าเขาจะต้องอยู่แถวนี้ สงสัยเพิ่งคุยกับคณะบอดี้แกเสร็จล่ะมั้ง”
ทศพักตร์ “ว่าแต่... เขารู้จักมึงอ่อวะ?”
“ไม่น่าจะ”
“แล้วทำไมเขาถึงมองมึงเหมือนจะ‘เขมือบ’มึงลงกระเพาะอย่างนั้นล่ะวะ?”
ลักษมัณหันกลับไปมองผู้ใหญ่ใจดีของนายตูมตามอีกครั้ง ก็ไม่เห็นจะเป็นดังคำว่าของเพื่อน เมื่อร่างสูงใหญ่ขยับเดินไปอีกทางเสียแล้ว หันไปเตือนสติมันสักหน่อย “น้องมงน้องเมลของมึงอ่ะหนีขึ้นเรียนไปแล้วมั้ง”
นายตูมตามร้องเฮ้ยรีบกุลีกุจอยกมือบอกลา ทิ้งเพื่อนวิ่งลิ่วเข้าตึกเรียนไปหาสาวแทบทันทีทันใด ไม่รู้จะขำหรือถอนหายใจปลดปลงในความขี้หลีไล่หลังเพื่อนต่างคณะดี ให้พอดีกับมือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงสั่นขึ้นมาสั้นๆ บ่งบอกให้รู้ว่าไม่ใช่สายเรียกเข้าแต่เป็นข้อความ ...ก้มหน้าหยิบออกมากดเปิดแอพพลิเคชั่นอ่าน เมื่อเห็นว่าเป็นข้อความจากใครก็ต้องยิ้มออกมาจางๆ
ม.ร.ว. สิตา : ...ขอโทษที่ผิดนัดนะรัก พรุ่งนี้ขอไถ่โทษด้วย...
(แนบรูปยาคูลท์ขวดใหญ่ถือโดยนายแบบกิตติมศักดิ์คือเจ้าของข้อความยิ้มกว้างจนตาเป็นรูปจันทร์เสี้ยว)
...นะ...
ลักษมัณเจ้าพ่อโรงงานยาคูลท์ : ...ขวดเดียวไม่พอ กระเพาะรักน่ะใหญ่มว้ากเลยนะสิตา...
พิมพ์ตอบไปยิ้มไป แกล้งอีกฝ่ายเล่นแล้วสนุกดี คงดีกว่านี้ถ้าได้แกล้งต่อหน้า ...แต่คงแกล้งได้แค่เบาๆไม่กงไม่กล้าหรอก รุนแรงน่ะ
ม.ร.ว. สิตา : ...งั้นให้อีกขวด...
...สองขวดพอนะงบเราน้อย...
...ให้เหมาแพคแบบพี่เวสไม่ไหว...
อ้าว แสดงว่าไอ้ที่กระซิบกระซาบกันนี่คนในหัวข้อเรื่องได้ยินหมดเลยน่ะสิ เวรของไอ้พี่เวส ...กรรมของลักษมัณด้วย
กำลังจะพิมพ์ตอบกลับ แต่อีกฝั่งส่งแทรกมาเสียก่อน เป็นสติ๊กเกอร์รูปหมียิ้ม
ม.ร.ว. สิตา : ...พี่รามบอกว่าดื่มยาคูลท์มาก ระวังท้องเสีย...
...อย่างน้อยแค่ ๑ – ๒ ขวดต่อวันก็พอ...
...เพราะฉะนั้นแค่สองขวดพอเนอะ...
ต่อด้วยสติ๊กเกอร์รูปโอเค อันที่จริงลักษมัณชะงักตั้งแต่‘พี่รามบอกว่า’แล้ว กระหวัดนึกไปถึงใบหน้าอ่อนโยนของเจ้าของชื่อเข้า
เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว นิ้วเรียวกดพิมพ์ตอบกลับ หากยังไม่ทันกดส่ง
ฉับพลันเสียงบีบแตรพร้อมกับรถยี่ห้อนอกกลับวิ่งแล่นตรงเข้ามาหาร่างสูงโปร่งด้วยความเร็วเกินกฎหมายกำหนด แว่วเสียงกรีดร้องของนักศึกษาที่เห็นเหตุการณ์ดังแข่งกับเสียงเบรกเสียดยาวของล้อรถ โชคดีที่ลักษมัณไม่ได้ไร้สติขนาดจะยืนนิ่งให้ตัวเองถูกรถชน
กายสูงโปร่งเบี่ยงตัวหลบพอดีกับที่ช่วงเอวถูกเรี่ยวแรงมหาศาลฉุดกระชากให้พ้นซึ่งวิถีอันตรายอย่างหวุดหวิด แต่ด้วยความเร็วของแรงปะทะระหว่างสองร่างที่ไม่อาจรั้งหยุด ทำให้ทั้งคนช่วยและคนถูกช่วยพากันล้มไม่เป็นท่า ลักษมัณที่อยู่ในช่วงสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันรู้ตัวอีกทีร่างของเขาก็ถูกคนแปลกหน้าคร่อมทับเอาไว้ทั้งตัว ขณะส่วนศีรษะและช่วงเอวถูกฝ่ามือใหญ่โอบประคองไว้ราวกับกำลังปกป้อง
คนบนตัวครางออกมาเบาๆ แต่ด้วยระยะห่างเพียงลมหายใจกั้น ลักษมัณจึงได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจน ทว่าอีกฝ่ายไม่แม้แต่สนใจตัวเอง เสียงทุ้มเข้มไถ่ถามเขาอย่างร้อนรน
“หัวกระแทกไหม? เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
ใบหน้าคมดุฉายชัดซึ่งความกังวล นัยน์ตาสีแปลกผิดแผกจากคนทั่วไปกวาดมองสำรวจร่างกายของเขาเมื่อพากันลุกขึ้นนั่งได้ ลักษมัณปวดตัวเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับเจ็บจนทนไม่ไหว อีกฝ่ายต่างหากที่น่าจะเป็นฝ่ายเจ็บเพราะแม้ว่าตัวเขาจะอยู่ข้างล่างแต่ไม่ได้กระแทกถูกอะไรแม้แต่น้อย ด้วยร่างทั้งร่างได้คนแปลกหน้าตัวใหญ่โอบกอดปกป้องไว้
“คุณต่างหาก เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ตอนล้มผมได้ยินเสียงคุณร้องด้วย”ไถ่ถามกลับ ในใจยังคงตื่นตระหนกกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่หาย
“เป็นอะไรกันหรือเปล่าครับ!”พลเมืองดีที่เห็นเหตุการณ์วิ่งเข้ามาพร้อมให้ความช่วยเหลือ
แต่คนตัวใหญ่ที่น่าจะเจ็บมากกว่ากลับช่วยพยุงเขาขึ้นยืน ปฏิเสธการช่วยเหลือจากพลเมืองดีที่ว่า
“บอสครับ!”คราวนี้ไม่น่าใช่พลเมืองดี แต่น่าจะเป็นคนรู้จัก และเมื่อสังเกตดีๆจึงได้รู้ว่าคือคนเดียวกับที่นายตูมตามว่าเป็นบอร์ดี้การ์ดของคนตัวใหญ่ วิ่งเข้ามาหาด้วยสีหน้าตื่นตกใจแบบสุดขีด
“คนขับรถคันนั้นล่ะ?”เอ่ยปากถามแต่ตายังไม่หยุดสำรวจร่างกายของเขา
“คนของเราจับตัวไว้แล้วครับ ทำท่าจะหนีเลยจำเป็นต้องใช้กำลังนิดหน่อย”ตัวเขาถูกผู้ใหญ่ใจดีของนายตูมตามจับหมุน ..คงจะกำลังสำรวจบาดแผล ที่ยังไงแล้วก็ไม่น่าจะมี
ยังคงไร้ซึ่งบทพูดเช่นเคย พอกันกับคุณพลเมืองดีที่ยืนเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูก
“อืม จัดการตามสมควร”หยุดหมุนเขาได้เสียที แต่ยังคงไม่เลิกจ้อง“เดี๋ยวไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลก่อน ให้แน่ใจว่าเธอจะไม่เป็นอะไร”
“ผมไม่เป็นอะไรจริงๆครับ คุณต่างหากล่ะ”สูทสีดำของอีกฝ่ายบัดนี้กลับเต็มไปด้วยคราบฝุ่น มือเผลอยกขึ้นแตะต้นแขนข้างซ้าย หากเมื่อรู้ตัวจึงได้ค่อยชักมือกลับอย่างเร็วรี่ ...ก่อนจะรู้สึกถึงความหนึบหนับที่มือ “เลือด...”
ดวงตาสีดำไล่มองสำรวจอีกฝ่ายเป็นการใหญ่จนเห็นที่มาในที่สุด มือข้างซ้ายของคนตัวใหญ่อาบย้อมไปด้วยเลือดสีเข้ม ไหลหยดลงบนพื้นหลายหยดชวนให้คนเห็นลมแทบจับ
“แขนคุณ!”
“ไม่เป็นไร”
คว้าข้อมือหนาก่อนจับยกขึ้นหมับ...
“ทำอะไร”คิ้วเข้มขมวดดุ จนคนถูกดุเผลอสะดุ้ง ใจเกือบฝ่อ... แต่ต้องใจแข็งเข้าไว้นะไอ้รัก
“น นี่ไง ผมจับเบาๆเอง คน‘เจ็บ’ที่ต้องไปโรงพยาบาลน่ะ มันคุณชัดๆ”
“เอ่อ ผมว่าคุณควรทำตามที่เขาบอกจะดีกว่านะครับ”คุณพลเมืองดีที่เพิ่งมีช่องว่างให้เอ่ยบท พูดแทรกขึ้นมาเพื่อเข้าข้างเขา
“งั้นเธอต้องไปกับฉันด้วย ไปตรวจด้วยกัน”
แต่ไม่ได้รับความสนใจจากคนเจ็บเช่นเคย…
ฝ่ามือใหญ่ทาบทับลงบนมือของเขาที่กุมข้อมืออีกฝ่ายไว้อีกที นัยน์ตาสีออกทับทิมเข้มส่อแววว่าเอาจริง สื่อให้รู้ต้องไปด้วยกัน ตรวจพร้อมกัน แต่ถ้าจะไม่ไปก็ไม่ต้องไปมันเลยทั้งคู่
หากน่าแปลกที่ลักษมัณกลับรู้สึกยิบยับในอกอย่างบอกไม่ถูกเมื่อถูกอีกฝ่ายจ้องมองไม่ละสายตาเลยแบบนี้
“ก็ได้ครับ คุณไป ผมไป”
ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรอยู่แล้ว ไปก็ไปซี่ ลักษมัณจะนึกเสียว่าถือโอกาสตรวจร่างกายประจำปีไปเลยในตัว ทั้งที่ก็มั่นใจมากว่าตัวเขาน่ะไม่เป็นอะไรแน่นอนร้อยเปอร์เซ็น ไม่เจ็บแต่อาจมีร่องรอยแผลถลอกนิดหน่อย ซึ่งคนที่น่าห่วงกว่าน่ะ
หมับ “งั้น‘เรา’ไปด้วยกัน”
หน้าคมเข้มเรียบนิ่ง แต่เหมือนแอบเห็นมุมปากอีกฝ่ายกระตุกขึ้นน้อยๆ
เดี๋ยวสิ... ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องจับมือกันเดินเลยสักนิด และเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ทันความคิดเขา
มือเรียวขาวถูกกำชับจับไว้มั่นยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
แนบแน่นจนมิอาจเลี่ยงหลีกไปไหนได้ แม้สองคนเจ็บจะพากันขึ้นรถหรูติดฟิล์มดำหายลับไปไกลไปสักพักแล้ว พลเมืองดีหนุ่มยังคงยืนนิ่งค้างอยู่กับที่จนเพื่อนนักศึกษาคนอื่นทั้งที่รู้จักทั้งที่ไม่รู้จักแต่อยากรู้เรื่องต่างวิ่งมารุมล้อมถามถึงเหตุการณ์รถเฉี่ยวชนที่เกิดขึ้นแบบสดๆร้อนๆ คนเจ็บเป็นใคร ใช่นักศึกษาคณะเราไหม โน่นนี่นั่น บลาบลาบลา
แต่ไม่มีเสียงไหนเข้าหัวเลยสักเสียง เพียงเรื่องเดียวจริงๆที่เขาอยากรู้
พลเมืองดีหนุ่มหันไปมองเพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ข้างกันพลางเอ่ยถามขึ้นอย่างคับข้องใจ
“นี่กูดูไร้ตัวตนขนาดนั้นเลยหรอวะ?” “หะ?”
แบบนี้สินะที่เขาเรียกกันว่า ‘ทำดีไม่ขึ้น’ ?
---------
โปรดติดตามตอนต่อไป
---------