พิมพ์หน้านี้ - [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๑๗ (๑๕/๐๓) หน้า ๒

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: ShinrinYoku ที่ 13-02-2019 23:05:19

หัวข้อ: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๑๗ (๑๕/๐๓) หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: ShinrinYoku ที่ 13-02-2019 23:05:19

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0)

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0)

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ


3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com (http://www.thaiboyslove.com)  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป


12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail


16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


*****************************************************************************************


(https://www.img.in.th/images/243aa6d834e27f021aaf2e39035bf846.png)

สารบัญ
.
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - บทนำ+ตอนที่ ๑ (๑๓/๐๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ShinrinYoku ที่ 13-02-2019 23:36:27
- คำเตือน -

ชื่อบุคคล ลำดับชั้นยศศักดินา ตลอดจนสถานที่ต่างๆ
เป็นเพียง “จิตนาการของผู้แต่ง” เท่านั้น
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ




         บทนำ

        หากศึกกรุงลงกามิได้เกิดขึ้นเนื่องด้วยต้องการแย่งชิงตัวนางสีดา แท้จริงแล้วในศึกสุดท้ายครานั้น ‘ดวงใจ’ แห่งพญายักษามิได้ถูกบดขยี้เสียจนแหลกลาญเล่า?

         เป็นถึงพญาแห่งสุริย์วงศ์ยักษี เป็นถึงขัตติยะแห่งราชันย์ มีหรือจักหลงในกลอุบายของอริศัตรู จนนำพามาซึ่งภัยร้าย บ่อนทำลายซึ่งเผ่าพงศ์ ..ง่ายดายเพียงนั้นเชียวหรือ?



         แม้นศรห่าจะปักอยู่ทั่วกายาหากกายใหญ่องอาจสมซึ่งเผ่าพงศ์กลับฝืนตั้งตนตระหง่านมิเอนเอียง กระทั่งพระชานุ(เข่า)ก็วางลงบนผืนดินเพียงข้างเดียว มิยอมวางให้บรรจบสิ้นพสุธาทั้งสองข้างเยี่ยงผู้แพ้ไร้หนทางสู้

         มุมโอษฐ์แย้มสรวลเยาะหยันยามแหงนเงยพระพักตร์ขึ้นมองหมู่ฟ้าท้องนภาเบื้องบน

         มิมีผู้ใดล่วงรู้ว่ากษัตริย์ยักษ์ทรงดำริสิ่งใดในวาระสุดท้าย ...ตัดพ้อต่อสวรรค์? หรือก่นด่าผู้เป็นใหญ่กำชะตาให้ต้องตกตายในเงื้อมือศัตรูซึ่งเป็นเพียงมนุษย์ที่พระองค์ทรงเคยดูแคลน?

         “เจ้าลักษมณ์เอ๋ย เจ้าลักษมณ์....”

         สุรเสียงทรงอำนาจเอื้อนเอ่ยแผ่วพร่า ท่ามกลางเหล่าพลกบิลที่พากันนิ่งงันเฝ้าจดจ้องวาระสุดท้ายแห่งพญายักษา สายพระเนตรสีแดงก่ำมิผิดแผกไปจากโลหิตซึ่งรินไหลอาบวรกายสูงใหญ่ ถูกจับวางไว้บนดวงพักตร์งดงามของอนุชาแห่งศัตรู

         วรกายสีทองเรืองรองดุจทองทาทรงอยู่บนรถแก้วโกมิน สองหัตถ์ขาวผ่องกำแน่นด้วยรู้แน่ว่าพญายักษ์กำลังเอ่ยเรียกผู้ใด ทว่าดวงเนตรกลมโตที่เคยสบประสานตอบด้วยรักใคร่บัดนี้กลับปิดสนิทมิยอมสบตาดังเพลาเก่าก่อน

         “พี่ทศผู้นี้... ทำสิ่งใดผิดต่อเจ้าลักษมณ์กัน ......”

         ฉึก!

         ศรพรหมมาศดอกสุดท้ายปักเข้าที่พระอุระ ความเจ็บปวดแล่นริ้วทั่วพระวรกายใหญ่ กระทั่งวาจาสุดท้ายก็มิอาจเอื้อนเอ่ยได้อีกต่อไป

         ดวงหทัยในเงื้อมือศัตรูถูกสรรพกำลังของขุนพลวานรบีบขยี้เสียจนแหลกละเอียด

         นัยน์เนตรคมกล้าสิ้นแสงแห่งชีวันปรือปิดลงทันใด

         แม้นจะเหลือเพียงพระศพหากความงามสง่าแห่งชาติกษัตริย์ก็มิได้ลดน้อยทอนลง สมกับเป็นขัตติยะแห่งราชาโดยแท้จริง
เจ้าบุรินทร์แห่งลงกาดั่งเพียงทรงบรรทมหลับใหลไปเท่านั้น

         เหล่าทหารอสูรต่างพากันร่ำไห้ ความโศกาอาดูรแผ่กำจายไปทั่วแดนรบ

         หากมิได้มีเพียงเผ่าพงศ์อสุราร่ำไห้ครวญคร่ำ....

         ดวงเนตรที่หลับแน่นสั่นระริก

         “เจ้าลักษมณ์”

         ราวกับยังคงได้ยินสุรเสียงกระซิบหวานพร่ำเพรียกเรียกหาอยู่ข้างพระกรรณ ... องค์รูปทองหลั่งรินพระอัสสุธารา(น้ำตา)อย่างเงียบงัน พระหัตถ์กำแน่นพลันอ่อนแรง ราวถูกกริชแหลมคมเชือดเฉือนดวงฤทัยไปอย่างเลือดเย็น แม้ทรงกายยืนอย่างมั่นคงบัดนี้กลับมิอาจทำได้

         วาจาสุดท้ายของพญายักษ์ที่ยังมิทันได้เอ่ยออกมานั้น องค์รูปทองทรงทราบดีแก่ตน

         “น้องลักษมณ์”

         อ้อมกอดที่รัดแน่น

         “พระเชษฐา...”

         ดวงหทัยที่เยือกเย็นเสียจนไร้ซึ่งความรู้สึก

         “จงอย่าได้อาวรณ์ต่อศัตรู เก็บน้ำตาของเจ้าเสีย น้องพี่”


         เป็นข้าได้ ‘เลือก’ แล้วเช่นนั้นหรือ?

..
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - บทนำ+ตอนที่ ๑ (๑๓/๐๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ShinrinYoku ที่ 13-02-2019 23:36:45
         ตอนที่ ๑

         การรับน้องที่ว่าสาหัสแล้ว ยังไม่สู้งานเลี้ยงน้องที่สาหัสยิ่งกว่า

         หลายต่อหลายมือที่แวะเวียนนำน้ำเมามาแจกจ่าย หลากหลายใบหน้าที่เริ่มคุ้นเคยกันเมื่อตอนรับน้องนำรอยยิ้มหวานกดลึกมากดดันให้เขายกแก้วชนตอบ ตามด้วยประโยคที่ว่า...

         “เฮ้ย! งานนี้พวกพี่ลงขันกันเลี้ยงนะเว้ย ห้ามอิดออดเพราะไอ้พี่อ๊อดแม่งยังไม่หมดตัว ฮ่าๆ เอ้า ชน!”

         พี่อ๊อดคือประธานรุ่นปี ๔ ซึ่งบัดนี้หายไปหลีหญิงที่ไหนในร้านเหล้าลักษมัณเองก็คร้านจะตามมองหา ที่ว่าลงขันกันเลี้ยงน้อง คาดเดาแบบจับแพะชนแกะเชื่อมโยงจากประโยคข้างต้นแล้วคงไม่แคล้วตอนควักกระเป๋าจ่ายหวยคงออกที่พี่อ๊อดอย่างไม่ต้องสงสัย

         อุตสาห์ปิดเฉพาะโซนเพื่อเลี้ยงรุ่นรับขวัญน้องโดยเฉพาะ ยอดใช้จ่ายบานเบอะงานนี้มีหมดตัวแน่นอนไอ้รักฟันธง

         ทุ่มทุนสร้างมากบอกเลย ลงทุนเพื่อการศึกษาลักษมัณคิดว่าคงยังไม่เท่านี้...

         “แล้วไอ้เวสมันหายหัวไปไหนวะ”รุ่นพี่ปีสามคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นมา ลักษมัณที่ยกแก้วน้ำเมาแตะๆปากอยู่พลันชะงัก หันมองซ้ายแลมองขวาก็เห็นว่าตอนนี้มีเพียงแค่ตัวเองและรุ่นพี่คนนี้ที่ยังคงนั่งติดอยู่กับโต๊ะ ในขณะที่คนอื่นๆกระจัดกระจายกันไปเป็นที่เรียบร้อย

         “ออกไปรับโทรศัพท์ครับ”เอ่ยตอบพลางวางแก้วน้ำเมาที่ไม่ได้พร่องไปเท่าไหร่ลงบนโต๊ะอย่างเนียนๆ

         หมับ

         สงสัยยังเนียนไม่พอ เมื่อมือที่กำลังจะละจากแก้วน้ำเมาถูกจับหมับเอาไว้ ละก็ยังไม่ทันได้ละ มองสบตารุ่นพี่ปีสามคนดังกล่าวก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ จำต้องจับแก้วน้ำเมาให้มั่นแล้ววางไว้บนตักแทน

         “ว่าแต่ ..พี่ชื่ออะไรครับ?”

         ตอนรับน้องไม่ค่อยได้เจอกับพวกรุ่นพี่ปีโต ที่เจอหลักๆเลยจะเป็นพี่ปีสองเสียส่วนมาก แล้วก็พี่ปีสาม กับปีสี่บางคนที่มีหน้าที่คุมกิจกรรมในช่วงรับน้อง อาทิเช่น พี่อ๊อดประธานรุ่นปี 4 ที่มักจะแวะเวียนมากดดันน้องอยู่บ่อยครั้ง เป็นต้น ฉะนั้นแล้ว ในที่นี้ยังมีอีกหลายคนที่ลักษมัณไม่ใคร่คุ้นหน้านัก ตอนแนะนำตัวกันเมื่อครู่ก่อนหน้านี้ก็ไม่ทันได้จดจำ

         เห็นอีกฝ่ายมุ่นคิ้ว จึงรีบพูดต่อ “ผมรักนะพี่ รักชื่อเล่น ลักษมัณชื่อจริง ปีหนึ่ง รหัส xxxx”

         เป็นอันว่าพี่ปีสามคนนั้นคิ้วมุ่นหนักกว่าเก่า ให้ใจหายว่าเผลอทำอะไรปีนเกลียวรุ่นพี่ไปหรือไม่ คิดเยอะจนมึนหัว... อันที่จริงเผลอยกแก้วกระดกน้ำเมาไปหลายอึกด้วยความประหม่า ด้วยไม่ค่อยถูกกับของมึนเมา แค่ไม่กี่อึกก็พาลให้ลักษมัณแก้ม หู แดงก่ำนำไปไกล

         “อ้าว คนกันเองนี่หว่า ตอนแรกกูก็ว่าจะถามหาเอาจากไอ้เวสนี่ล่ะ”

         หือ?

         “มาๆ พรหมบันดาลชักพาแบบนี้ต้องชนอีกสักแก้วสองแก้ว”อีกฝ่ายไม่ได้ชี้แจงแถลงไขใดๆ จัดการชงน้ำเมาไปหัวเราะคิกคักพูดพึมพำอยู่คนเดียวไป ก่อนส่งแก้วคืนให้ลักษมัณ ขณะที่ในมือของตัวเองนั้นมีอีกแก้วรอคอยท่า “เอ้า! ทำหน้าเป็นหมางงอะไรอยู่ล่ะวะ ยกแก้ว ชน!”

         ถึงจะไม่เข้าใจ แต่รุ่นพี่ก็คือรุ่นพี่ แม้หน้ายิ้มแต่แววตาคือข่มขู่กันสุดๆ

         ลักษมัณขอย้ำอีกสักรอบ งานเลี้ยงน้องนี่ล่ะสาหัสยิ่งกว่าการรับน้องเสียอีก!

         เคร้ง




         เจ้าลักษมณ์

         หากต้องเลือก

         เจ้า.....

         เจ้าลักษมณ์


         “ไอ้รัก!”

         กายสูงโปร่งสะดุ้งเฮือกยกศีรษะขึ้นจากการเอาแก้มแนบโต๊ะทันที ดวงหน้าอ่อนวัยยังคงแสดงถึงความมึนงงด้วยยังไม่ใคร่ได้สติดีนัก แก้มซีกขวาที่เคยวางนาบอยู่บนโต๊ะก่อนหน้านี้เป็นเวลานานขึ้นรอยแดงเป็นหลักฐานความขี้เซาไม่ดูสถานที่ แก้วตาดำขลับหรี่ปรือมองผู้ที่ปลุกเขาขึ้นจากนิทรา ขณะที่เสียงอึกทึกครึกโครมยังคงตามหลอกตามหลอนไม่มีสิ้นสุดจนพาให้ปวดหัวตุบตับ

         กะพริบตาปริบ สองปริบยังพอว่า เข้าปริบที่สามอีกฝ่ายก็คล้ายจะทนไม่ไหวอีกต่อไป

         โป๊ก

         แจกมะแหงกเรียกสติเข้าให้สักที

         “โอ๊ย เจ็บนะพี่”ยกมือขึ้นกุมหน้าผากที่เพิ่งถูกผู้ชายหน้าดุซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงพี่รหัสที่เคารพรักประทุษร้ายด้วยกำปั้น น้ำเสียงของลักษมัณยังคงอ้อแอ้ไม่มั่นคงนักด้วยฤทธิ์น้ำเมา ให้พิภิษณ์ได้ขึงตาดุเข้าอีกจนคนถูกดุเผลอสะดุ้ง

         “แดกไม่เป็นแล้วริอาจแดก มึงนี่มัน…”เห็นน้องรหัสหดคอหน้าหงอก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ “แต่จะโทษมึงคนเดียวก็ไม่ถูก โดนไอ้‘ลุงรหัส’มันมอมเข้า คนอย่างมึงตามมันไม่ทันก็ไม่แปลกเท่าไหร่”

         “ลุง...รหัส?”

         “เออ! อันที่จริงต้องเป็นปู่ละป่ะวะ? ช่างแม่ง.. เอ้า! ลุก กลับบ้านได้ละไอ้รัก เวร ถ้าแม่กูรู้ว่ากูพาลูกนอกไส้แสนรักของนางมาเมาเป็นหมาแบบนี้ หูกูยานอายุยาวไปอีกสิบปีแน่ เมื่อกี้ก็โทรมาบอกให้กูดูมึงให้ดีแต่ก็ว่ามึงเป็นเด็กดีอยู่แล้วไม่ต้องดูมากก็ได้ เอ้า งงชิบหาย พอถามว่าเอาไงกันแน่ก็โดนบ่นหูชา เหม็นบุหรี่ไม่พอยังเหน็บกินขาอีก แล้วเป็นไงหือไอ้เด็กดี กูออกไปคุยโทรศัพท์แปบเดียว กลับมามึงก็เมาเป็นหมาไปแล้ว จะคออ่อนอะไรขนาดนี้วะ”

         บ่นไปหิวปีกน้องที่นั่งเอนตัวซ้ายทีขวาทีไม่ต่างไปจากตุ๊กตาล้มลุกให้ลุกขึ้นยืนไป แขนจับให้พาดบ่าไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งโอบยึดไหล่กันคนเมาร่วงดิ่งพสุธาให้ขายขี้หน้าประชาชี

         จะว่าแปลกก็แปลก จะว่าโลกกลมก็คงเป็นอย่างนั้น เมื่อน้องชายข้างบ้านดันสอบติดเข้ามหา’ลัยเดียวกัน แถมยังมาเป็นรุ่นน้องในคณะ จบท้ายอย่างสวยงามด้วยการเป็นน้องรหัสอีกที ราวกับชีวิตนี้จะหนีมันไม่พ้นแล้วก็ไม่ปานล่ะ
พิภิษณ์คิด คิดว่าบางทีเขากับไอ้รักน้องรักคนนี้คงจะมีบุญร่วมกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อนก็เป็นไปได้

         อืม

         “..เวส ไอ้พี่เวส ผมปวดฉิ้งฉ่องว่ะพี่ ไม่ไหว อึก ..กระปริกระปรอยมาก”

         ความจริงแล้วคงเป็นเวรกรรมมากกว่า ที่เขากับมันมีร่วมกันมา...

         “เฮ้ย! ไอ้รัก อั้นไว้ก่อน ห้ามปริปรอยออกมาตอนนี้นะมึง! โอ้ย เวรกรรมอะไรของกูวะเนี้ย”

         “เยสเซอร์!”คนเมายกมือขึ้นตะเบ๊ะ ใบหน้าอ่อนวัยแดงก่ำส่งยิ้มแป้นให้พี่รหัสควบพี่ข้างบ้านได้อย่างน่าเตะน่าถีบ
พิภิษณ์ได้แต่ถอนหายใจด้วยความปลดปลง




         โล่ง

         เป็นเพียงคำเดียวที่ปรากฏขึ้นในหัวของลักษมัณหลังจากถูกพี่รหัสพามาหย่อนทิ้งที่ห้องน้ำของร้านเหล้า

         ชายหนุ่มเปิดประตูออกจากห้องสุขาที่พี่รหัสกำชับนักกำชับหนาว่ามึงอย่าริอาจยืนแอ่นเยี่ยวตรงโถเด็ดขาด และด้วยความที่ลักษมัณเป็นเด็กดีอยู่ในโอวาทเสมอ เขาจึงเลือกห้องสุขาสำหรับปลดทุกข์หนักมาปลดทุกข์เบาแทน

         เดินเป๋เป็นลูกปูเพิ่งหัดเดินเดินไปที่อ่างล้างหน้า โชคดีที่เป็นก๊อกน้ำแบบอัตโนมัติ คนเมาจึงไม่ต้องใช้ความพยายามในการเพ่งสายตามากนัก

         ล้างทั้งมือล้างทั้งหน้า สดชื่นขึ้นเยอะ แต่สงสัยจะกวักน้ำสาดใส่หน้าตัวเองหนักมือไปหน่อย จากที่ควรเปียกแค่หน้าบัดนี้กลับชุ่มฉ่ำไปยันคอจรดอก...

         ลักษมัณขอสาบาน ไม่สิ สัญญาก็พอ ‘พ่อจ๋า’สอนไว้ว่าอย่าได้เอ่ยคำสาบานซี้ซั้ว

         สัญญาเลยว่าจะไม่บ้าจี้เชื่อคำลุงรหัสที่เขาเองก็ยังไม่รู้ชื่ออีกเด็ดขาด!

         จ้องมองหน้าแดงๆที่แสดงออกถึงความมุ่งมั่นของตัวเองผ่านกระจกด้วยความฮึกเหิม ก่อนจะชะงักเมื่อจู่ๆไฟที่ปกติก็สลัวอยู่แล้วดันพร้อมใจกันกระพริบวิบวับ

         หัวคิ้วขมวดมุ่น

         สงสัยหลอดไฟใกล้จะหมดอายุ

         พรึบ!

         ร่างโปร่งสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆไฟที่กระพริบอยู่ดีๆพลันดับพรึบ ความสว่างไสวที่มีเพียงน้อยนิดอยู่แล้วกลับกลายเป็นความมืดมิดยามราตรีกาลเพียงเสี้ยววินาที

         เจ้าลักษมณ์

         แว่วเสียงกระซิบพัดผ่านหู ลักษมัณหันขวับในทันใด ขนอ่อนลุกชูชันเมื่อมองไม่เห็นสิ่งอื่นใดนอกเสียจากความมืดที่อาบล้อมรอบกาย

         เจ้าลักษมณ์

         “ใคร”แทบตะครุบตบปากตัวเอง โบราณว่าใครเรียกตอนกลางคืน ถ้าไม่มีที่มาที่ไปห้ามขานตอบเด็ดขาดนี่หว่า
ไอ้รักหนอไอ้รัก ดันขานรับไปเต็มๆ!

         วูบ
         พรึบ


         ลมเย็นโชยอ่อนพัดเข้าปะทะใบหน้าของลักษมัณหนึ่งวูบพร้อมกับไฟที่กลับมาทำหน้าที่ให้แสงสว่างอีกครั้ง
หากแต่สิ่งที่ปรากฏอยู่บนกระจกหาได้เป็นเงาสะท้อนของเขาแต่เพียงผู้เดียวอีกต่อไป...

         ‘คนคนนี้’เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่?

         นัยน์ตาสีนิลเบิกจ้องกว้างมองร่างสูงใหญ่อีกร่างที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลังอย่างตกตระหนก ด้วยเพราะตำแหน่งที่อีกฝ่ายยืนอยู่ไม่ใช่มุมตกกระทบของแสงไฟ จึงทำให้มองไม่เห็นใบหน้าที่ถูกซ่อนอยู่ในเงามืด ทว่านอกจากเรือนกายสูงใหญ่ที่คะเนแล้วน่าจะสูงกว่าเขาสักหลายสิบเซน สิ่งที่เด่นชัดต่อมาเห็นจะมีเพียงดวงเนตรคมกล้าที่มองสบกลับผ่านเงาสะท้อนของกระจกเท่านั้น

         ดวงตาสีแดงเรืองประกายราวกับไม่ใช่นัยน์ตาของมนุษย์

         เสียงเพลงที่เคยดังเล็ดลอดเข้ามาบ้าง บัดนี้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับสงัดเงียบลง

         ราวกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง

         ได้ยินแม้กระทั่งเสียงหัวใจที่เต้นกระหน่ำอยู่ในอกข้างซ้าย ...เต้นแรงเสียให้รู้สึกเจ็บหน่วงจนทานทนแทบไม่ไหว
ราวกับมันกำลังถูกบีบขยี้ด้วยมือที่มองไม่เห็นอยู่กระนั้น

         ขยับ ...ไม่ได้

         นัยน์เนตรเรืองรองสีแดงดุจโลหิตจ้องมองมายังเขาไม่วางตา ไม่แม้แต่จะกะพริบตามกลไกธรรมชาติที่มนุษย์ทุกคนพึงมี ประกายกล้าแกร่งบางอย่างที่สะท้อนอยู่ในแววตาคู่นั้นพาให้ลักษมัณรู้สึกไม่เป็นสุข ท่ามกลามความสับสน ที่เด่นชัดขึ้นมาคือความกระสับกระส่ายร้อนรุ่มดังถูกไฟสุ่มอกอย่างไรอย่างนั้น

         เจ้าลักษมณ์

         ลักษมัณไม่เห็นคนผู้นั้นขยับริมฝีปาก แต่เขารู้ ...ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้‘รู้’ แต่เขารู้ว่าตนกำลังถูกอีกฝ่ายเพรียกขานอยู่
สุ่มเสียงช่างคุ้นเคย ราวกับเคยได้ยินผ่านหูคู่นี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

         เจ้าลักษมณ์ของพี่

         ราวกับประจุไฟแล่นพล่านทั่วกายาเมื่อปลายคางถูกมือแกร่งเชยขึ้นให้แหงนเงย สบสานสายตา ลอยล่องอยู่ในห้วงภวังค์อันแสนหวาม

         ลักษมัณไม่เข้าใจว่าด้วยเหตุใดถึงได้รู้สึกเหมือนหัวใจที่คล้ายถูกบีบขยี้ในคราแรกกลับแปรเปลี่ยนเป็นอุ่นวาบพองโต ไร้ซึ่งความเจ็บปวดใดอีกเพียงถูกอีกฝ่ายสัมผัส คับคลาว่าความเจ็บปวดทั้งหมดนั้นได้ถูกผู้ที่อยู่ตรงหน้าช่วยปัดเป่าออกไป

         รัก
         รักเหลือเกิน


         ใบหน้าเอียงนัยน์ตาสั่นไหว ..รับจุมพิตหวาน.. รัญจวนในทรวง

         เจ้าพี่...

         “เจ้าพี่ทศกัณฐ์”

         ฉับพลัน!
]

         หางตาแลเห็นแสงเรืองรองสีทองเข้าโอบล้อมรอบกายตน คล้ายตกต้องอยู่ในหลุมอากาศ ...หากแต่เพียงไม่นาน ทุกสัมผัสกลับอันตรธานหายไปไม่คล้ายเคยเกิดสิ่งใดขึ้นมาก่อน แล่นดับความฝันดึงคนที่ตกอยู่ในห้วงภวังค์กลับคืนสู่ความเป็นจริง

         “ไอ้รัก!”

         เสียงเพลงจากด้านนอกห้องน้ำกลับเข้าโสตประสาทอีกครั้ง กลับมาพร้อมกับมะเหงกที่เขกโป๊กลงกลางกระหม่อมด้วยฝีกำปั้นของพี่รหัสสุดที่รัก

         “โอ้ย! เขกไมอะพี่ เจ็บนะเว้ย”คนเมาที่สร่างเมาเรียบร้อยร้องโวยวายขึ้นมาทันที

         “สมหน้ามึง”แรงมาก ลักษมัณมุ่ยหน้าขณะที่พิภิษณ์หน้ามุ่ยยิ่งกว่า

         “ให้มากินเลี้ยงเสือกมาโดนเขามอมจนเมาเป็นหมา มันใช้ได้ที่ไหน”

         “เดี๋ยวก่อน เป็นอย่างอื่นได้มั้ยพี่ เป็นหมาบ่อยแล้ว... อ้ะ ห้ามเขก!”ยกมือขึ้นยั้งกำปั้นแทบไม่ทัน ลักษมัณยิ้มหวานประจบ แต่เหมือนพี่เวสของน้องรักจะไม่อิน

         “พามาเยี่ยวก็เสือกเล่นน้ำสาดใส่ตัวเองจนเปียกซก เหมือนหมาตกน้ำยิ่งกว่าเดิม หยุด! มึงอย่าเถียง ไอ้เด็กไม่ดี ดีแค่ไหนที่กูยืนหัวโด่อยู่ข้างมึงตลอด ไม่งั้นนะ หน้าหมาๆอย่างมึงเนี้ย”บีบแก้มน้องประกอบประโยค พร้อมบ่นต่อไม่ฟังเสียงโอดครวญ “โดนจับไปตุ้ยให้ร้องเอ๋งแน่ ทำไมไม่รู้จักระวังตัวบ้างวะ หะ”

         พิภิษณ์จิ๊ปากเมื่อเห็นไอ้น้องรักเบิกตาโตจ้องมองมายังเขาไม่กะพริบสักปริบสองปริบเหมือนอย่างเคย

         “เป็นอะไรของมึงอีก ที่กูพูดไปนี่ได้ฟัง...”

         “พี่ว่าพี่ยืนอยู่ข้างรักตลอด?”

         พิภิษณ์เลิกคิ้ว ดูท่ามันจะยังไม่สร่างเมา แต่เล่นสาดน้ำซะขนาดนั้นไม่สร่างได้ไงวะ แม้ในใจจะบ่นไม่ยอมหยุดแต่เขาก็พยักหน้ารับไป

         “ตั้งแต่รักเข้าส้วมยันออกจากส้วม พี่ก็ยืนอยู่ตรงนี้มาตลอด?”

         “เออสิวะ!”

         ชัดเจนแจ่มแจ้ง นัยน์ตาดำขลับเบิกค้าง ขนอ่อนลุกชันเกรียวกราวเมื่อได้รับคำยืนยันจนเกือบจะโดนยันเข้าให้

         “แสดงว่าเมื่อกี้นี้ก็...”คนเด็กกว่าหันมองซ้ายมองขวาเลิ่กลั่กให้ระคายตาคนเป็นพี่นัก

         “เป็นอะไรของมึงวะไอ้รัก ทำหน้าอย่างกับเจอผี

         ประโยคอื่นลักษมัณยอมรับว่าเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา จะมีก็เพียงคำหลังที่ไม่ทะลุไปไหนทั้งยังกระแทกเข้ากลางอกให้อย่างจัง

         มือขาวคว้าหมับเข้าที่แขนก่อนรีบลากพี่รหัสควบพี่ชายข้างบ้านที่ทำท่าจะบ่นต่ออีกยก วิ่งสับขาเร็วเสียยิ่งกว่านักกีฬาทีมชาติออกจากห้องน้ำอาถรรพ์ทันที

         ไอ้รักหนอไอ้รัก เจอดีเข้าให้แล้วไง

         บรื๋ออ!




         ดวงเนตรที่เดิมปิดสนิทกลับค่อยๆลืมขึ้น เผยให้เห็นนัยน์ตาเรืองรองดุจโลหิตสีแดงเข้ม

         ภายในรถยนต์ติดฟิล์มดำทึบมีเพียงหนึ่งนายนั่งเบาะหลังหนึ่งบ่าวนั่งเบาะหน้าซึ่งประจำที่พลขับ

         ดวงตาสองคู่มองตรงออกไปนอกรถ ต่างฝ่ายต่างเป้าหมาย หาก‘เป้าหมาย’กลับเดินเคียงกายกอดคอกันอยู่บนฟุตบาท

         “ท่าน ..‘พิเภก’?”สุ่มเสียงไม่แน่ใจเอ่ยขึ้นแผ่วเบา ทว่าด้วยความเงียบสงัดทำให้ได้ยินทั้งคันรถ “หรือเพราะเขา ดวงจิตของพระองค์ เอ่อ ของบอสถึงได้...”

         “เป็นไปได้”สุรเสียงทุ้มต่ำกังวานก้อง ดวงเนตรดุดันละจากหน้าของมันแล้วกลับไปจดจ้องยังสองร่างนอกรถอีกครั้ง มันถึงได้ทอดถอนใจด้วยความโล่งอก

         “หรือว่า...”

         “ไม่ใช่ แค่มนุษย์ธรรมดา”

         พักตร์คมดุก้มลงมองสองหัตถ์บนหน้าตัก

         เย็นเฉียบ ยะเยือกชา

         หากในหทัยแล้วไซร้กลับอุ่นหวาม ปริ่มสุข สุดยินดี

         เพียงชิดใกล้แม้นมายาภาพเท่านั้น ทว่าเสียงเต้นระรัวของก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายนั้น ...กลับดังกึกก้องราวกับว่า ‘สิ่งนั้น’ ได้หวนคืนกลับมาอีกคราแล้วกระนั้น

         “เจอเจ้าเสียที....”

         เจ้าลักษมณ์ของพี่

---------
โปรดติดตามตอนต่อไป
---------

(ขออนุญาตก็อปจากในดดนะคะ)ก่อนอื่นเลย ต้องขอโทษที่หายไปนะคะTT จากที่แจ้งให้ทราบในทวิตเตอร์ว่าผู้แต่งได้งานประจำ ทำเช้าเลิกดึกหยุด 1 วันดังนั้นไม่มีเวลาต่อเลยค่ะ เลยจำเป็นให้ต้องห่างหายเข้าไหดองยาวทั้งที่ใกล้จบแล้วเชียว ขออภัยและขอบคุณที่ยังคงติดตามพี่ทศน้องรักเสมอนะคะ และด้วยปัญหาในหลายๆปัจจัยณ.ตอนนี้ผู้แต่งได้เฟดตัวเองออกมาทำงานกับที่บ้านเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นจึงทำให้มีเวลามากขึ้น(หลังจากที่เวลาพักน็อคแทบไม่มี ฮืออ!) ยามนี้ผู้แต่งกลับมาแล้วและจะพยายามไม่ทิ้งช่วงอัพเพราะอย่างที่บอกว่าเลาจะไม่ทิ้งทั่นพี่ทศไว้กลางทางแน่นวล! ขอขอบคุณและขอโทษอีกครั้งนะคะ

อนึ่ง ดวงใจอสุรินทร์ จะได้รับการตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ฟาไฉ ฉะนั้นแล้วฉบับที่จะลงต่อไปนี้จะเป็นฉบับ[รีไรท์]นะคะ เช่น อุปนิสัยของตัวละครอาจมีที่ปรับเปลี่ยน ฉากบางฉากอาจเพิ่มมาหรือหายไป จะเป็นการเพิ่มเนื้อหารวมถึงข้อมูล แก้ไขปรับสำนวน เติมในส่วนที่ขาดหายจากฉบับก่อนรีไรท์ เพื่อให้ดวงใจอสุรินทร์ฉบับนี้มีความอุดมสมบูรณ์ยิ่งขึ้นกว่าเดิมค่ะ ดังนั้นแล้วจะไม่เหมือนเดิมไปเลยเสียทุกอย่าง ผู้แต่งขอแนะนำให้อ่านฉบับรีไรท์ใหม่นะคะ

ปล.เพื่อความฉับไวในการรับข่าวสารจากผู้แต่ง ขอแนะนำให้ติดตามทวิตเตอร์แทนแฟนเพจที่ร้างไปแล้วนะคะ( :beat:)

(https://www.img.in.th/images/36f6801a35e3bc9f80e770712f785a9a.gif) (https://twitter.com/sshinyo_)
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - บทนำ+ตอนที่ ๑ (๑๓/๐๒)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 14-02-2019 06:44:43
หายไปนาน จนลืมไปแล้ว รอบนี้ขอไวๆ ถี่ๆ เด้อคะ  :call:
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - บทนำ+ตอนที่ ๑ (๑๓/๐๒)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 14-02-2019 14:16:02
 :pig2: :pig2:
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - บทนำ+ตอนที่ ๑ (๑๓/๐๒)
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 14-02-2019 21:06:55
รอๆๆๆๆ เราชอบ
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๒ (๑๔/๐๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ShinrinYoku ที่ 14-02-2019 22:46:45
         ตอนที่ ๒

         “เอ็งจะไปปราบผีที่ไหนวะไอ้รัก วะฮะฮ่า!”

         ตอนแรกลักษมัณก็ว่าเข้าท่าดี แต่ดูจากตอนนี้เห็นทีจะไม่เข้าท่าเอาเสียแล้วซี่...

         “อุ๊บ ..ฮ่ะๆ ได้ข่าวว่าเป็นผีห้องน้ำว่ะพี่”พี่ชายคนดีก็หาได้ช่วยแต่อย่างไร ผสมโรงหัวร่อเขาไปกับพี่อ๊อดด้วยซะงั้น ลักษมัณล่ะอยากจะกลอกตา.. อันที่จริงก็เผลอกลอกไปแล้ว

         มือยกขึ้นลูบสร้อยคอพระสามองค์ที่ห้อยอยู่ตรงอก เป็นพ่อจ๋าที่หยิบออกจากห้องพระมาให้เขาห้อยคอไว้กันผีร้าย แน่นอนว่าลักษมัณเล่าเรื่องราวที่ได้ประสบพบเจอในห้องน้ำอาถรรพ์ให้พ่อจ๋าฟังด้วย แถมยังพากันหอบผ้าหอบผ่อนเข้าไปนอนในห้องพระกันทั้งพ่อทั้งลูก

         หลอนแค่ไหนถามใจพ่อจ๋าดู นี่ถ้าในห้องพระมีสร้อยลูกประคำอีกสักอย่าง พ่อจ๋าคงเอามาให้เขาแขวนคอเพิ่มแน่นอน

         “ห้อยพระไว้ ผีร้ายมันจะได้เข้าหาลูกชายพ่อจ๋าไม่ได้อีก”

         อย่างที่บอกว่าลักษมัณเป็นเด็กดีที่อยู่ในโอวาท คือตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะห้อยไว้เสียนอกเสื้อหรอก แต่เมื่อครู่ทำกระเป๋าสตางค์ตก พอก้มลงเก็บเท่านั้นล่ะ ..รู้เรื่องเลย

         “ไหนๆ มีพระองค์ไหนบ้างวะ อุ๊แหม่! เสียดายกูไม่ได้เอากล้องส่องมาด้วย”พี่อ๊อดส่งเสียงจิ๊จ๊ะ ฟังออกเลยว่าเป็นเซียนแน่ๆ ยกมือขึ้นทำท่าจะส่องแต่ยังไม่ทันได้เอื้อมมือมาจับพระบนอกลักษมัณ เสียงเพื่อนโหวกเหวกเรียกให้รีบขึ้นเรียนเพราะเลทมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วก็รั้งพี่แกเอาไว้

         ไม่ทันได้บอกล่ำลารุ่นน้องสองหัวที่ยังยืนปรับจูนไม่ทัน ประธานรุ่นปี ๔ ก็วิ่งสู้ฟัดขึ้นตึกเรียนไปซะแล้ว

         “คณะมึงกับกูเนี้ย มีแต่ตัวอย่างดีๆทั้งนั้น”พิภิษณ์ส่ายหน้าแต่ก็ไม่วายขำออกมาเบาๆ แปบเดียวก็ชะงัก ..ชะงักทั้งเสียงขำทั้งใบหน้าราวกับเทปที่ถูกกดหยุดกะทันหัน

         “รัก”

         เสียงนุ่มที่เอ่ยเรียก พาให้ลักษมัณหันกลับไปมองก่อนที่จะยิ้มกว้างแล้วเดินเข้าไปฉอเลาะ แค่ก...เข้าไปหา โดยไม่ลืม‘หนีบ’พี่ชายนอกไส้ที่ยืนเก้งก้างอย่างคนทำตัวไม่ถูกไปด้วย

         “สิตา”

         หม่อมราชวงศ์สิตาหรือคุณชายสิตาเพื่อนใหม่ป้ายแดงที่รู้จักกันตอนรับน้องของลักษมัณส่งยิ้มหวานให้กับเพื่อนตัวโข่งหน้าคม ในขณะที่ไม่ลืมหันไปทักทายรุ่นพี่ที่ยืนอยู่ข้างกัน

         “สวัสดีครับ พี่เวส”

         ให้คนถูกทักสะดุ้งเล่นเหมือนกุ้งที่โดนโยนลงกระทะร้อนทั้งที่ยังไม่ทันได้เสด็จน้ำ

         “ส สวัสดีครับคุณชาย”ลักษมัณกระตุกเสื้อนักศึกษาของพี่รหัสเบาๆจนชายเสื้อหลุดออกจากกางเกงมาหย่อมหนึ่ง

         เก็บอาการ... เก็บอาการ

         “เมื่อวานต้องขอโทษด้วยนะครับ ที่ไม่ได้ไปร่วมงานเลี้ยงน้อง”เพราะติดกิจธุระ ในงานเลี้ยงเมื่อวานจึงไม่มีคุณชายสิตา อันที่จริงแล้วก็มีรุ่นน้องปีหนึ่งหลายคนที่ไม่ได้ไปเหมือนกัน อืม รู้งี้ลักษมัณไม่ไปให้เจอเรื่องชวนหลอนจนต้องนอนกอดพ่อจ๋าอยู่ในห้องพระเสียก็ดี

         แต่ติดที่ว่าเพราะไม่รู้ว่าจะต้องเจอดีนี่ล่ะซี่

         “ไม่เป็นไรเลยครับคุณชาย งานนี้ไม่ซีเรียสอยู่แล้ว ไอ้พี่อ๊อดแค่อยากหาเรื่องเมาเฉยๆ ฮ่าๆ”

         “เห็นรักว่าพี่เวสพาไปล่าท้าผีมาหรือครับ”

         พิภิษณ์หันขวับทันใด จนลักษมัณเกรงว่าพี่ชายจะคอเคล็ดเอา ไร้บทมานาน คุณชายตัวน้อยดันโยนเผือกร้อนมาให้เสียอย่างนั้น

         “โถ ไอ้น้องขี้เมาไม่พอยังขี้เมาท์ต่ออีก อย่าไปเชื่อมันเชียวครับคุณชาย ไอ้นี่มันหลอนของมันไปเรื่อยล่ะ”

         ลักษมัณทำหน้าเหม็นเบื่อ

         “ใช่ซี่ ไม่เจออย่างฉันใครจะเข้าใจ ว่าผีน่ากลัวเช่นไร~ บรื้อ! รักยังหลอนๆอยู่เลยเนี้ยสิตา นี่ยังดีนะที่มาแค่เสียงน่ะ”คนพูด พูดไปควานหายาคูลท์จากกระเป๋าเป๋หยิบออกมาเจาะดูดไป ในขณะที่คนฟังหัวเราะเสียงใส

         “ไหนๆ หน้าไม่ตอบ ตาไม่ลึกโหล หัวรึก็ไม่เห็นจะโกร๋นเลย รักละเมอเมาไปเองมากกว่า เมื่อคืนตอนที่โทรมาเล่าเรื่องนี้กับเรา เสียงยังฟังดูอ้อๆแอ้ๆอยู่เลยนี่”มือนุ่มยกขึ้นแตะสองแก้มนวลของคนที่ว่าถูกผีหลอก แกล้งหยิกเนื้อแก้มนิ่มเล่นเบาๆด้วยหมั่นไส้

         “อูยย คุณชายคร้าบ เจ็บนะคร้าบ”ลักษมัณลากเสียงยาว คุณชายเองทนไม่ไหวตีไหล่เพื่อนที่ตัวสูงกว่าดังเพี๊ยะ
อันนี้สิเจ็บของจริง...

         “เลอะเทอะ ผีเป็นตัวเป็นตนมาให้เห็นหรือก็ไม่ใช่ แบบนั้นจะเรียกว่าผีหลอกได้ยังไงล่ะ หือ พี่เวสว่าจริงไหมครับ?”คุณชายหันหาแนวร่วม แล้วมีหรือที่แนวร่วมจะไม่เห็นด้วย

         พยักหน้าหงึกหงักเสียผมปลิวเชียวนั่น

         “แล้วนี่มีเรียนกันกี่โมง? หือ ไอ้รัก”ถามเขาเสียงแข็งทื่อแต่หน้ายิ้มละมุนละไมให้คุณชายสิตา โถ...

         “ตู้หูว นาคาตัวบะเริ่ม โอ๊ยๆ”พิภิษณ์คล้ายหมั่นไส้มานาน จับลักษมัณเฮดล็อกคอเสียให้ร้องโอ๊ยไม่หยุด “จะตอบดีๆหรือจะตอบด้วยน้ำตา หือ!”

         ลักษมัณดิ้นพล่านหลังจากถูกประทุษร้าย จี้ทั้งเอวซ้ายเอวขวา ยกสองมือยอมแพ้ อีกฝ่ายถึงได้ยอมหยุด

         “เรียนสิบเอ็ดครึ่งเลิกบ่ายสอง หลังจากนั้นว่างเพราะมีเรียนแค่คาบเดียวครับผม!”อยากตะเบ๊ะเป็นออฟชั่นเสริมไปด้วย แต่มือไม่ว่างจริงๆ ข้างซ้ายถือขวดยาคูลท์ ส่วนข้างขวายกขึ้นปัดป้องตีแขนล่ำที่ยังไม่ยกออกจากไหล่

         ทำไมพี่เวสถึงไม่อ่อนโยนกับน้องกับนุ้งบ้าง น้องรักไม่เข้าใจ

         “หืม ต้องไม่ว่างสิ รักลืมนัดกับเราแล้วเหรอ?”คุณชายสิตาถามหน้ามุ่ย ในขณะที่คนถูกเอ่ยตัดหน้าอย่างพิภิษณ์อ้าปากพะงาบก่อนจะค่อยๆหุบลง... ยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อไป

         ลักษมัณจิ๊ปากขัดใจ อุตสาห์เปิดโอกาสให้ทั้งที ปกติพิภิษณ์ปากออกจะไวกว่านี้แท้ๆ ดันไม่ทันคุณชายสิตาเสียได้

         “นัดที่... เอ่อ อ๋อๆ รักจำได้แล้วจ้า จำได้แล้ว”ว่าจะทำเป็นสมองฝ่ออย่างกะทันหัน แต่พอหันไปเห็นใบหน้าหวานของคุณชายเริ่มงองุ้ม ลักษมัณพลิกไม้พายกลับลำเรือแทบไม่ทัน

         ไม่อยากขัดใจ ไม่สิ... ไม่ใช่ ‘ไม่อยาก’ แต่เป็น ‘ไม่กล้า’ ทำให้อีกฝ่ายระคายเคืองใจเสียมากกว่า

         อาจด้วยยศฐานะที่แตกต่างกันไม่เหมือนกับพิภิษณ์ที่จะเล่นหัวเล่นหางกันยังไงก็ได้ หรืออาจจะเป็นที่ลึกๆแล้วลักษมัณค่อนข้างรู้สึก‘เกรงใจ’ในตัวหม่อมราชวงศ์หนุ่มคนนี้อย่างหาเหตุผลมาบอกกล่าวไม่ถูก อันที่จริงกว่าเขาจะเรียกสิตาแค่‘สิตา’ ไม่ใช่‘คุณชายสิตา’ตามที่คนอื่นเรียกขาน ต้องให้อีกฝ่ายออกคำสั่งเสียก่อนถึงได้จำยอมในที่สุด

         ลึกๆแล้ว บางทีลักษมัณอาจเป็นพวกมาโซคิสม์ก็เป็นไปได้

         อืม...

         ยังไม่ทันที่ลักษมัณจะได้เอ่ยเอาใจเพื่อนตัวน้อยให้หายหน้างอ โทรศัพท์มือถือของอีกคนก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน คุณชายขอตัวไปรับสาย ระหว่างนั้นพิภิษณ์ที่คล้ายจะคอยท่าอยู่นาน ขยับหน้าเอียงเข้าใกล้ในทันใด

         “นัดอะไรกันวะ?”กระซิบกระซาบ ...ห่างจากบุคคลผู้เป็นหัวข้อสนทนามากมั้งนั่น

         “นัดไปซื้อของขวัญกัน”ไอ้รักของพี่เวสกระซิบกระซาบตอบกลับ ...แทบไม่แตกต่าง

         “ใส่เนื้อมาให้ครบสิวะ อย่ามาแต่น้ำ ของขวัญอะไร? แล้วให้ใคร?”

         “ยาคูลท์ในตู้ที่บ้านหมดแล้วอ่ะพี่ เฮ้อ~”แสร้งตีหน้าเศร้ามองขวดยาคูลท์ที่ดูดจนหมดเกลี้ยงในมือ

         “เดี๋ยวกูซื้อเหมาแพคให้เลย”

         “น้องรักของสองแพคนะครับ”เคยดูโฆษณาน้องพลับขอสองกันหรือเปล่า ไม่เคยไม่เป็นไร ลักษมัณแค่อยากจะบอกว่าหน้าของเขาตอนนี้บานเสียยิ่งกว่าน้องพลับยิ้มดีใจจนตาหายเสียอีก

         “เออ! กูแถมให้อีกหนึ่งแพคเลย”

         โห ป๋าสุดเลยคนนี้...
         
“อะแฮ่ม!”แกล้งลีลา โดนมะเหงกโป๊กเข้าให้ ลักษมัณลีลาไม่ออกอีกต่อไป ยู่หน้าย่นจมูกพูดต่อจนจบประโยค “อีกประมาณสองสามอาทิตย์ จะถึงวันประสูติของ[bท่านชายจักรกฤษณ์[/b]แล้วน่ะ เห็นสิตาว่าท่านชายคนนี้ทรงเป็นเครือญาติห่างๆของคุณชายเค้า”แต่ไม่ลืมคงคอนเซ็ปต์กระซิบกระซาบต่อไป

         “แน่ะ แอบกระซิบอะไรกัน นินทาเราหรือเปล่า”

         สะดุ้งโหยงกันทั้งพี่ทั้งน้อง

         “เปล่าครับ(ไอ้น้องรัก) / เปล๊าเลยครับคุณชาย(พี่เวส)”

         ลักษมัณเนียนตอบหน้าตาย ทั้งน้ำเสียงก็ไม่มีสะดุดให้เขาจับไต๋ได้ แต่คุณพี่รหัสที่เคารพรักกลับปล่อยไก่ออกมาตัวเบอเริ่มเสียยิ่งกว่างูบนหัว ....ลักษมัณตบหน้าผากตัวเอง ไว้อาลัยเงียบๆให้กับความไม่เนียนนี้ของพี่ชาย

         แต่คุณชายสิตากลับหัวเราะเสียงใสยิ้มเสียจนดวงตากลมโตเหลือเพียงเสี้ยวจันทร์เล็กๆ พวงแก้มอิ่มอมชมพูสุขภาพดีขับให้วงหน้าดูงดงามราวกับภาพวาดในวรรณคดี คล้ายมีออร่าบางอย่างแผ่กำจายออกมาจากหม่อมราชวงศ์หนุ่ม คุณชายสิตาแลดูอ่อนหวานอย่างน่าประหลาด บรรยากาศโดยรอบก็ดูละมุนละไม ไม่คล้ายบรรยากาศที่มาจากชายหนุ่มวัยฉกรรจ์โดยปกติทั่วไปเลยสักนิด

         พิภิษณ์นี่ตาค้างน้ำลายยืดย้อยนำไปก่อนแล้ว

         หันมองรอบกายก็ให้เห็นว่าไม่ได้มีแค่พิภิษณ์คนเดียวที่ทำตาเยิ้มใส่คุณชายตัวน้อย เหล่าบรรดานิสิตนักศึกษาที่เดินผ่าน พากันเมียงมองหม่อมราชวงศ์หนุ่มเสียจนตาละห้อย พี่เวสคนดีของน้องรักนี่แทบขู่แยกเขี้ยวใส่เลยทีเดียว

         แน่นอนว่าไม่ได้ทำให้คุณชายเห็น

         คณะนี้มันรวมสัตว์ป่าเอาไว้หรืออย่างไรกันหนอ...

         “ปะ ขึ้นเรียนกันเถอะสิตา”ลักษมัณยืดตัวทำท่าชู้ตขวดยาคูลท์เปล่าลงถังขยะที่อยู่ห่างออกไป ความแม่นยำราวกับจับวางที่ทำได้แค่ครั้งเดียวอย่าได้ให้ลองทำอีกเชียว พาให้คุณชายปรบมือยิ้มชม ก่อนถูกเพื่อนรักคว้าแขนไว้แล้วพากันเดินขึ้นตึกเรียนไป

         ทิ้งให้ยักษ์นั่งตาค้างราวถูกสต๊าฟไว้เบื้องหลังเพียงลำพัง




         อันที่จริงมันเหมือนมีบางสิ่งที่ลักษมัณลืมเลือนไป

         ไม่ใช่เรื่องนัดซื้อของขวัญกับคุณชายสิตาแต่อย่างใด เพราะอันนี้จำได้ไม่มีเลือน

         ในห้องน้ำนั้นสิ่งที่เขาได้สัมผัส มีเพียงสุ่มเสียงกระซิบไร้ที่มาที่ไป

         ...เพียงแค่นั้นเช่นนั้นจริงๆหรือ?

         หากยิ่งนึก สมองกลับยิ่งตื้อตันราวกับถูกหมอกจางๆคอยเวียนวนขวางกั้นเอาไว้

         “คิดไม่ออก”

         “แล้วขี้ล่ะออกไหม?”

         “เออว่ะ เดี๋ยวนี้ขี้ไม่ออกเหมือนกันแฮะ สงสัยจะท้องผูก”เผลอตอบกลับไปโดยไม่ทันคิด มือพลางลูบหน้าท้องที่เริ่มมีก้อนเนื้อน้อยๆเพราะซัดข้าวเช้าไปเยอะกว่าปกติแถมยังฟาดยาคูลท์เข้าไปอีก เอ ก็กินยาคูลท์ทุกวันนะ แต่ทำไมถึงได้ขี้ไม่....

         “เฮ้ย?!”

         ตะครุบมือปิดปากตอนนี้เห็นทีจะไม่ทัน ลักษมันลุกขึ้นก้มหัวปลกๆขอโทษเพื่อนนักศึกษาตาดำๆที่พากันตกอกตกใจกับเสียงเฮ้ยของเขาจนหันมามองคนเสียมารยาทให้พึ่บพั่บ ยกมือขึ้นไหว้อาจารย์สาวหน้าตาใจดี แต่กลับเหี้ยมโหดที่สุดในตอนออกเกรด

         ที่รู้เพราะพี่เวสกระซิบบอกมา...ก่อนร่างโปร่งจะทิ้งตัวนั่งลงแหมะที่เดิม

         ขวามือคือคุณชายสิตา รายนี้ไม่มีวันพูดคำหยาบกับเขาแน่นอน ถ้าอย่างนั้นก็ซ้ายมือ...

         “ไงจ๊ะ”

         ตาลอย หัวยุ่ง แต่ยิ้มแล้วฟันเรียงตัวสวยมากแถมยังขาวสะอาดจั๊วะ แต่หน้าแปลก ไม่คุ้นเคยเลยแม้แต่น้อยถึงจะขุดคุ้ยความทรงจำอย่างไรก็ตาม

         “ใครครับ?”เอ่ยถามออกไปตรงๆโต้งๆ สุภาพไว้ก่อนเพราะยังไม่รู้ซึ่งสปีชี่ส์

         ก่อนจะเหม่อลักษมัณจำได้ว่าที่นั่งทางซ้ายมือไม่มีใครมานั่งต่อ ไหงพอหลังเหม่อกลับมีคนแปลกหน้าผุดขึ้นมาซื่อๆ?

         “หวัดดีรัก”

         “เฮ้ย นั่นชื่อเรา นายชื่อรักเหมือนกันเหรอ? เออแฮะ โลกกลมดี”พึมพำประโยคหลังกับตัวเองเบาๆ

         “ไม่ๆ ไม่ใช่ ฮ่าๆ มึงนี่จี้ดีว่ะ ก็หมายถึงมึงนั่นแหละ เอ้อ หยาบได้ป่ะ?”มนุษย์หัวฟูถามทั้งที่หยาบออกมาแล้ว

         โอเค สปีชี่ส์เดียวกัน ดิลได้

         “อื้อ ได้ๆ ก็หยาบมาแล้ว”

         “เออเนอะ ฮ่าๆ นั่นแหละๆ กูลูกลม เรียกลมก็ได้ แต่ถ้าลมสั้นไปก็เรียกลูกลมเหมือนเดิม พอดีกูเป็นคนง่ายๆ อะไรก็ได้ คิกๆ”

         และท่าทางจะไม่เต็มตึงด้วยใช่หรือเปล่า?

         ลักษมัณพยักหน้าแต่ไม่ตอบความ ไม่ใช่เกิดหยิ่งกะทันหันอะไรขึ้นมา บ้า เขาไม่ใช่คนแบบนั้น แต่เพราะโดนอาจารย์สาวเขม่นเข้าให้แล้วต่างหาก สายตาช่างเยี่ยมยุทธ์กว้างไกลยิ่งนัก ห้องเรียนตั้งกว้างแต่กลับเพ่งตามาโฟกัสที่เขากับไอ้ลูกลมได้ ...ยังใจดีสะกิดเตือนเพื่อนคนใหม่ไอ้ลูกลมให้เลิกทำตัวอะเลิทก่อน แอบเหลือบเห็นมันรูดซิปปิดปากให้อาจารย์ดูกันจะๆ

         แหม ท่าจะกวนตีนใช่ย่อย ก่อนมันจะก้มหน้าก้มตา...

         สนใจเกมงูในมือถือรุ่นตำนานอย่างขะมักเขม้น

         ยิ่งกว่าน้องพลับขอสองของลักษมัณอีก


.....
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๒ (๑๔/๐๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ShinrinYoku ที่ 14-02-2019 22:47:43

.....

         ตอนแรกลักษมัณก็แปลกใจอยู่ แต่มาตอนนี้คิดว่าไม่น่าแปลกใจแล้วล่ะ

         คาบเรียนนี้มีเช็คชื่อด้วยกันสองครั้ง ครั้งแรกคือตอนก่อนเรียนและครั้งสุดท้ายคือหลังคาบเรียน เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้นักศึกษาหัวหมอเข้ามาเช็คชื่อแค่ตอนเข้าเรียนแล้วแอบโดดออกไประหว่างคาบ ซึ่งไอ้ลูกลมที่เห็นนั่งเล่นเกมงูอยู่ข้างๆ ยังไม่ทันเช็คชื่อครั้งสุดท้ายก่อนจบคาบเรียน ...มันก็อันตรธานหายไปไม่หลงเหลือร่องรอยแม้แต่เงาหางไว้ให้ดูต่างหน้าเสียแล้ว

         เหตุผลที่เขาไม่เคยเห็นหน้าลอยๆของเพื่อนใหม่นายลูกลมมาก่อนก็ด้วยประการฉะนี้

         ลูกลมหรือลิงลม ลักษมัณชักเริ่มแอบสับสนนิดๆ

         “ลักสามานนนน! รักๆ ไอ้เพื่อนรักคร้าบ”

         ชะงักกันทั้งเจ้าของชื่อและคุณชายสิตาตัวน้อยที่เดินอยู่ข้างๆ มือเล็กยกขึ้นกำชายแขนเสื้อนักศึกษาของลักษมัณหมับ บ่งบอกถึงความไม่ไว้วางใจในผู้มาใหม่ที่วิ่งแท่ดๆแหกปากเรียกเขามาแต่ไกลได้เป็นอย่างดี

         ร่างสูงโปร่งในชุดนักศึกษาชายเสื้อหลุดลุ่ยวิ่งสไลด์เท้ามาตัดหน้า นี่ถ้าเป็นพื้นดินล่ะก็คงได้มีฝุ่นฟุ้งกระจายให้ได้ก่นด่าบรรพบุรุษกันบ้าง... ลักษมัณถอนหายใจ จดจำมันได้ขึ้นใจแม้ไม่ได้เจอกันเลยนับตั้งแต่วันรับน้องวันสุดท้าย ก็ราวๆ ๑ สัปดาห์ได้แล้วล่ะมั้ง

         ในมหา’ลัยนี้ จะมีสักกี่คนที่เข้ารับน้องผิดคณะ? แถมยังหน้าชื่นตาบานมากตั้งแต่ต้นยันจบกิจกรรมเป็นเวลาร่วม ๑๐ วันถ้วน ด้วยความเผลอเข้าไปตีซี้เพราะนึกว่าได้เพื่อนร่วมคณะพากันเรียน แต่ที่ไหนได้...

         ไม่บ้าก็ต้องสุดบ้า เป็นคำตอบเดียวสำหรับนายตูมตามผู้นี้

         “ตูมตาม ใจเย็นๆ แล้วก็.. กูชื่อลักษมัณนะครับ เรียกให้ถูก เรียกไม่ถูกหรือดัดแปลงนี่เดี๋ยวคิดค่าลิขสิทธิ์แถมเลิกคบด้วยเลย”

         “เห้ยมึง ก็กูตื่นเต้น นี่ เอางี้นะ เดี๋ยวเกริ่นให้ฟังก่อน แบบว่าตื่นเต้นมากอ่ะครับ อารมณ์พูดไม่ออกบอกไม่ถูกรักเข้าใจตูมใช่ป่ะ?”

         นายตูมตามยกสองมือขึ้นถูๆไปมาดูไปชักคล้ายอาเสี่ยหลอกเต๊าะอีหนู สีหน้าแลดูตื่นเต้นมากเสียจนพาให้ลักษมัณตื่นเต้นตามไปด้วยอย่างอดไม่ได้ ซึ่งถ้ามีเวลาเขาก็อาจจะพอมีอารมณ์อยากฟังมันเกริ่นตั้งแต่ต้นจนจบอยู่หรอก คือคุยกับนายตูมตามก็สนุกดีได้อารมณ์บวกสุดๆ ...หมายถึงอยากเข้าไปบวกมันสักที ลีลาอยู่ได้

         “ไม่เข้าใจ ขอเนื้อๆ บอกตรงๆกูมีธุระต่อครับเพื่อนตูม”นั่นล่ะมันถึงได้หันมาสังเกตคุณชายสิตาที่คลายมือออกจากแขนเสื้อของเขาเรียบร้อยเมื่อเห็นนายตูมตามเป็นแค่คนบ้าดูท่าไม่มีพิษมีภัยอะไร

         “เอ่อ ขอโทษนะครับ คือเราขอเวลาสักเดี๋ยวนะ”นายตูมตามก้มหัวให้คุณชายเล็กน้อยก่อนทำท่าจีบมือประกอบคำว่า‘ขอเวลาสักเดี๋ยว’ พอคนตัวเล็กกว่ายิ้มให้ไม่ถือสา กลับกลายเป็นเอาแต่ยืนบิดไปม้วนมาไม่ยอมพูดเข้าเรื่องเสียที

         “ถ้ามึงยังไม่เข้าเรื่อง กูไปก่อนนะ”ยกมือโบกลาแต่มือข้างนั้นเป็นอันต้องชะงักค้างกลางอากาศเมื่อถูกเพื่อนต่างคณะคว้าหมับจับไว้แน่น

         แนบแน่นมาก ขนลุกเกรียวกราวขึ้นมาทันใด

         “มึงก็รู้กูอยู่คณะนิเทศฯใช่ป่ะ”

         ลักษมัณกะพริบตาสองปริบ ก่อนพยักหน้ารับ

         มึงอยู่นิเทศฯแต่เสือกมารับน้องคณะศิลปกรรมศาสตร์ไง

         อยากดึงมือกลับ ..แต่นายตูมตามไม่ยอมปล่อย ทั้งยังบีบแน่นกระชับมั่นยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

         “แล้วทีนี้ล่ะเหวย คณะกูเนี้ยเค้าจะมีจัดแสดงละครเวทีทุกๆ สัปดาห์หลังสอบของภาคเรียนใหม่ใช่ป่ะ”

         ลักษมัณหันไปมองหน้าเพื่อนตัวเล็ก พลางขอโทษสิตาในใจที่ต้องให้มายืนฟังเรื่องไร้สาระร่วมกันแบบนี้ สิตาเองก็คล้ายจะเข้าใจความนัย มือเล็กยกขึ้นลูบแขนเขาราวปลอบประโลม ให้อดรู้สึกปลื้มอกปลื้มใจไม่ได้

         โธ่ สิตาคนดีของเพื่อนรัก

         “...ศึกสุดท้ายกรุงลงกา”

         “หะ?”ลักษมัณหันขวับจนคอแทบเคล็ด

         ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจฟัง พอได้ยินเข้าหูอีกทีกลับเป็นเพียงประโยคสั้นๆที่ไม่ได้ทำให้เข้าใจอะไรแม้แต่น้อย ซึ่งเหมือนว่านายตูมตามจะยังไม่รู้ว่าเพื่อนรักคนนี้ไม่ได้ตั้งใจฟังเลยนับตั้งแต่ประโยคแรก

         เพื่อนต่างคณะปล่อยมือเขาทั้งยังยกแขนขึ้นกอดอกแอ่นนมโชว์ หน้าตาแลดูภาคภูมิใจนำเสนอมากมาย

         นำเสนออะไรวะ? เดี๋ยว ...ฟังไม่ทัน

         “โคตรใจบุญอ่ะมึง กูเห็นชุดนั้นกับตาคู่นี้ของตัวเองมาแล้ว สวยมากอ่ะมึง แม่งหยังกะของจริง นี่กูขนลุกไปหมดละเนี้ย”ไปไกลแล้วเพื่อนตูม รอเพื่อนรักด้วย...

         “เดี๋ยวนะไอ้ตูม ชุดอะไรของมึงวะ?”

         นายตูมตามทำปากเป็ดใส่เขาแทบทันที สายตามองมาคล้ายจะประณามหยามหยัน “คือที่กูพูดไปทั้งหมดเนี้ย มึงไม่ได้ฟังเลยใช่ไหมไอ้ลักสามาน”

         เสียงเรียกเข้าเบสิคของสมาร์ทโฟนรุ่นท็อปดังขึ้นขัดจังหวะบทสนทนา คุณชายสิตาขอโทษขอโพยทั้งยังยกมือถือขึ้นโชว์ ขอตัวไปรับสาย ลักษมัณเองพยักหน้าเข้าใจ เมื่อคล้อยหลังเพื่อนตัวเล็กไปแล้วจึงค่อยหันกลับมาสนใจเพื่อนต่างคณะที่ร่วมรับน้องด้วยกันมาอีกครั้ง

         “หึ สนใจแล้วใช่ม้า ใช่ม้าๆ ฮ่าๆ เห็นแก่ที่มึงเป็นเพื่อนคนแรกในมหา’ลัยนะเพื่อนรัก เดี๋ยวพี่ตูมคนนี้จะเล่าให้น้องฟังใหม่ตั้งแต่ต้น”

         ไม่วายยังทำเป็นกระแอมไอ ลีลาไม่สิ้นสุด...

         แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของลักษมัณถึงได้กระหน่ำเต้นรัวอย่างบอกไม่ถูก เขาอยากรู้และใจจดใจจ่อทั้งที่ตอนแรกไม่ได้คิดสนใจสักเท่าไหร่

         “อย่างที่บอกว่าคณะกูอ่ะ จะจัดแสดงละครเวทีทุกๆสัปดาห์หลังสอบมิดเทอมของภาคเรียนแรก แต่ปีนี้ไม่รู้ไงว่ะ เหมือนคณะบอดี้เค้าจะอยากให้มันดูน่าสนใจ อยากให้เรียกคนมาดูมากกว่าครั้งก่อนๆ เพราะปีก่อนๆคนไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่ ฮึ ก็อย่างว่า ไม่เชคสเปียร์ก็นิทานปรัมปรา ซินเดอเรลล่ากับคนแคระทั้งเจ็ดงี้ คือเป็นกู กูก็ไม่สนใจอยากจะดูหรอก เปิดแผ่นเอาเองที่บ้านก็ได้ มีตั้งหลายภาคหลายแนว ทั้งที่แม่งก็เนื้อเรื่องเดียวกัน”

         “นี่เนื้อแล้ว?”อีกอย่างซินเดอเรลล่าไม่เคยรู้จักกับคนแคระทั้งเจ็ดนะครับนายตูมตาม ลักษมัณชักสงสัย... จะเชื่อถือคำพูดของไอ้เพื่อนต่างคณะคนนี้ได้มากน้อยแค่ไหน

         “ก็เออนี่ไง กำลังจะเข้าเนื้อ มึงก็ ...อย่าเพิ่งขัดสิว้า”

         แน่ะ มีจิ๊ปากใส่ สลับบทบาทมารำคาญกันแทนซะอย่างนั้น

         “ก็เทอมเนี้ยเหล่าคนใหญ่คนโตคณะกูเขาเลยปรับเปลี่ยนใหม่ เรียกว่าลองชิมลางดูก่อนนั่นล่ะ แถมยังมีการเปิดให้คนนอกเข้าดูได้ด้วยนะเว้ย อลังการงานช้างแค่ไหน ...แต่ก็ต้องเสียค่าบัตรเข้าชมด้วยล่ะว่ะ หึหึ กูว่าตรงนี้แหละประเด็นหลักของคณะบอดี้แก เรียกทั้งคนได้ทั้งเงิน แต่ก็อย่างว่าอ่ะนะ อุตสาห์ทุ่มทุนสร้างทั้งที”

         นายตูมตามแบสองมือพร้อมยักไหล่ ลักษมัณชักคันไม้คันมืออย่างบอกไม่ถูก

         “แล้ว?”

         “จากละครเวที คณะบอดี้พี่แกหันมาจับงานโขนแทน และเรื่องที่แกรีเควสมาก็เป็นเรื่องที่เราๆรู้จักกันดีนี่ล่ะ”

         “...”

         “รามายณะ หรือที่เรียกกันจนติดหูในบ้านเราก็คือ.. รามเกียรติ์ ตอนทศกัณฐ์ล้ม ‘ศึกสุดท้ายกรุงลงกา’”

         ตึกตัก

         “เป็นไงมึง ตื่นเต้นใช่ม่ะ ฟังดูยิ่งใหญ่ชิบหายเลยอ่ะ แถมปีนี้ยังได้สปอนเซอร์เป็นผู้ใหญ่ใจดีให้ยืมชุดอีก แล้วนะมึง เขาให้ยืมตั้งแต่ชุดตัวพระอย่างพระราม ไปยันชุดตัวร้ายอย่างทศกัณฐ์เลยนะเว้ย หล่อ รวย และยังใจดีใจป้ำอีก หญิงคณะกูนี่กรี๊ดกร๊าดคุณเขากันชิบหายอ่ะ”

         “ไม่ใช่...”

         ลักษมัณหายใจติดขัด รู้สึกแน่นหน้าอกเสียจนต้องยกมือขึ้นกดทับมันเอาไว้

         ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าเอ่ยตอบเพื่อนไปว่าอย่างไร จนเพื่อนร้องถามขึ้นมานั่นล่ะ

         “หะ? อะไรไม่ใช่วะไอ้รัก”นายตูมตามทำหน้างง

         “เปล่า”เมื่อกี้เขาเผลอพูดอะไรออกไป? “อย่าบอกนะว่ามึงมาบอกกูแค่นี้?”

         ลักษมัณตีสีหน้าเหมือนไม่ใช่เรื่องน่าสนใจ ทั้งๆที่ในทรวงอกมีความรู้สึกบางอย่างตีตื้นขึ้นมา กระตุ้นให้ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นแรงอย่างควบคุมไม่อยู่

         “อะไรวะ ไม่ตื่นเต้นเป็นเพื่อนกูหน่อยหรือไง พี่ตูมหรืออุตสาห์รีบคาบข่าวมาบอก เห็นมึงเคยเล่าว่าตอนเด็กๆชอบนักชอบหนานี่หว่า รามเกียรติ์เนี้ย”

         “เอาอะไรมากกับตอนเด็กกันล่ะวะ”เคยเล่าให้นายตูมตามฟังตอนรับน้องวันแรกๆ กะจะประสานมิตรกับเพื่อนร่วมคณะในขณะที่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่ามันต่างคณะ

         “แต่นะมึง กูเห็นแต่ละชุดว่างามแล้ว ยังเทียบไม่ได้กับชุดเกราะและเครื่องทรงราชภัณฑ์ที่ตัวทศกัณฐ์ใส่รบในศึกครั้งสุดท้ายเลยว่ะ ไม่รู้คุณเค้าไปสรรหารายละเอียดชุดมาจากไหน อย่างงามเลยอ่ะ แบบงามโคตรๆ ระยิบระยับจับตา กูเห็นแล้วขนอ่อนลุกเกรียวกราว แลดูขลังชิบหายอย่างกับของเก่าเก็บ”

         “...”

         “เออ พูดแล้วก็ขำ พวกนักแสดงหลักไม่มีใครกล้าลองสวมกันสักคน เดือดร้อนเจ้าของเค้าต้องมาใส่ให้เพื่อเก็บรายละเอียด เออนี่ กูแอบถ่ายมาได้ ไม่ค่อยชัดเท่าไรเพราะแอบ มึงเข้าใจคำว่าแอบใช่ป่ะไอ้รัก ความจริงแล้วเขาไม่ให้ถ่ายรูป แต่กูแอบมาได้ตั้งหนึ่งช็อต อัจฉริยะใช่ย่อยเลยว่ะ ฮ่าๆ”

         สมาร์ทโฟนหน้าจอกว้างยื่นส่งให้

         ทุกสรรพสิ่งล้วนเงียบสงัดคล้ายถูกตัดขาดไป

         เครื่องทรงราชภัณฑ์สีทองเรืองรองสวมอยู่บนกายสูงใหญ่ ทับด้วยเกาะเพชรแกร่งกล้าทรงฤทธาแวววาวจับตา แม้เห็นเพียงเสี้ยวหน้าด้านข้างของผู้สวมใส่แต่ทว่าช่างดูเหมาะสมอย่างบอกไม่ถูก

         สมซึ่งฐานะกษัตราธิราช ยากหาคำใดเปรียบเปรยได้เหมาะไปกว่า...

         “งามสง่านัก”

         เสียดายเห็นเพียงสันจมูกโด่งและดวงตาที่หลุบลงเหมือนกำลังมองอะไรบางอย่าง

         “ใช่ป่ะ เป็นชุดออกรบที่โคตรงามอ่ะ”นายตูมตามรีบพยักหน้ารับคำเพื่อนอย่างกระตือรือร้น

         ทว่า...

         “ไม่ นี่ไม่ใช่ชุดออกรบของนักรบ แต่เป็นเครื่องทรงชั้นสูงประจำพรหมพงศ์ที่จักใส่ในรัชพิธีมงคลของแผ่นดินเท่านั้น”

         นายตูมตามชะงัก ดวงตาเรียวรีฉบับอาตี๋ร้านทองจ้องมองดวงหน้านวลหากกลับคมสันสมกับเป็นเครื่องหน้าของบุรุษเพศของเพื่อนรักอย่างตกตะลึง

         คำพูดประโยคนี้ของลักษมัณ คับคล้ายกับ...

         “มึงพูดเหมือนเจ้าของชุดเขาเลยว่ะ”

         “กูพูด? พูดอะไรวะ”

         นายตูมตามอ้าปากพะงาบ เห็นเพื่อนทำหน้าฉงนไม่คล้ายแกล้งทำก็ต้องร้องออกมาเสียงดัง

         “เอ้า! ก็ที่ว่าเป็นเครื่องทรงสูงประจำพรหมพงศ์อะไรนั่นแต่ไม่ใช่ชุดนักรบไง อะไรวะ มึงเพิ่งพูดออกมาเมื่อตะกี้”

         ลักษมัณกลับมุ่นคิ้ว งุนงง ไม่เข้าใจ เขามั่นใจว่าไม่ได้พูดอะไรแปลกๆแบบนั้นออกไปแม้แต่น้อย ร่างโปร่งส่ายหน้าปัดประเด็นนั้นตกไปแล้วหันกลับมาสนใจคนในรูป‘แอบ’ถ่ายอีกครั้ง

         นัยน์ตาสีนิลเพ่งพิศบุรุษที่อยู่ในรูปถ่าย หากมองอย่างไรก็ไม่อาจทำให้ภาพเบลอพร่าเลือนเพราะคงจะรีบกดชัดเตอร์นั้นชัดเจนขึ้นมาได้

         ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่เขามีความรู้สึกว่าคนคนนี้ใบหน้านั้นต้องคร้ามคม ดุดัน โดยเฉพาะนัยน์ตาจะต้องคมกล้าน่าเกรงขาม แสดงถึงความหนักแน่นไม่กริ่งเกรง... แลหัวใจมั่นคงตั้งมั่น

         “พี่จักออกรบ! รบเยี่ยงชาติกษัตริย์พึงกระทำ!”

         ลักษมัณยกมือขึ้นกดขมับที่เต้นเร่าจนปวดแปล๊บ ราวพิศเห็น ...‘เห็น’ในสิ่งที่ไม่ได้อยู่ตรงหน้า ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หากแต่เป็นกาลอดีตอันเนิ่นนานมาแล้ว

         ไม่เข้าใจ

         “หากจักต้องตาย พี่ก็จักขอยอมตาย ดีกว่ายอมให้ไอ้พวกสวะว่าลบหลู่ตระกูลพรหมได้!”

         ทศ...


         “ตูม มึงว่าเขาชื่ออะไรนะ...”

         ไถ่ถามเสียงแผ่ว ดวงจิตสับสนอลหม่าน

         แต่ต้องรู้ จำเป็น ..จำเป็นต้องรู้

         “ผู้ใหญ่ใจดีของคณะกูอ่ะนะ? คุณทศไง”

         “...”

         “ทศพักตร์ ราพณาสูรยวงศ์”

         เจ้าลักษมณ์

         ลักษมัณหอบหายใจหนัก ในขมองปวดเร่าจนต้องใช้สันมือทุบเพื่อให้บรรเทา ทว่าก็หาได้ดีขึ้นแม้แต่น้อย

         น้ำเสียงเช่นนั้น
         พี่คิดถึงเจ้านัก

         “หยุด”

         เอ่ยเสียงสั่นเครือ มือหนึ่งกดขมับ อีกมือกดทาบอยู่บนอกข้างซ้าย อยากให้ความเจ็บปวดนี้บรรเทาลง แลไม่ได้ยิน ...แม้เสียงร้องอย่างตื่นตกใจของเพื่อน ในดวงจิตคล้ายได้ยินเพียงสุ่มเสียงเดียวเท่านั้น

         เจ้าลักษณ์ของพี่

         “เจ็บ พอ...อึก ได้โปรด”

         “ชู่ว...”สัมผัสอบอุ่นโอบกระชับไหล่ แผ่นหลังปะทะเข้ากับบางสิ่งที่อุ่นกว่า เข้าประคองกายไว้ให้ยังคงทรงตัวอยู่ได้ทั้งที่เมื่อครู่เกือบทรุดลงด้วยจู่ๆก็หมดเรี่ยวแรง เสียงทุ้มกระซิบปลอบอ่อนโยนข้างหู “ไม่เป็นไร ค่อยๆหายใจ ไม่เป็นไรแล้ว”

         เพล้ง!

         ขณะเดียวกัน โทรศัพท์มือถือที่ยังคงโชว์รูปแอบถ่ายชายในชุดเครื่องทรงราชภัณฑ์พลันถูกมือหนึ่งปัดจนร่วงหล่น โชคร้ายที่หน้าจอหล่นกระแทกเข้ากับพื้นปูนจนแตกละเอียด ดับอนาถคาตาเจ้าของ

         “รัก! พี่ราม!?”แว่วเสียงคุ้นหูของคุณชายสิตาที่หายไปคุยโทรศัพท์เรียกขาน นัยน์ตาสีนิลกลับมาเห็นชัดเจนอีกครั้งหลังจากมืดดับราวถูกบางสิ่งตัดขาด

         แม้ไม่เคยพบเจอกันโดยตรงมาก่อน แต่ลักษมัณก็จำพระรูปที่คุณชายสิตาเคยเปิดให้ดู ทั้งยังพูดถึงอยู่บ่อยๆได้อย่างแม่นยำ

         “ท่านชายจักรกฤษณ์?”

         พักตร์คมแม้ไม่เข้มนักแต่กลับอ่อนโยนยิ่ง ทรงสรวลตอบกลับ ขณะที่คุณชายสิตาเดินมาหยุดข้างนายตูมตามที่นั่งยองกอดซากสมาร์ทโฟนคู่ใจด้วยสีหน้าเจ็บปวดเหลือแสน

         หากแต่ยังไม่ทันที่คุณชายตัวเล็กจะได้เอ่ยถามไถ่อาการของเพื่อนตัวโข่งด้วยความเป็นห่วง...

         “เธอชื่อลักษณม์หรือ?”

         คุณชายสิตาห้ามเสียงตัวเองไว้ได้ทัน นัยน์ตากลมโตมองร่างสูงโปร่งของเพื่อนที่อยู่ในอ้อมอุระของ‘พระญาติห่างๆ’ ในใจคล้ายวูบไหวไป

         แม้จะยังสับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ลักษมัณก็พยักหน้ารับ ช่วงเอวที่ถูกโอบประคองคล้ายต้องถูกของร้อน โชคดีที่ท่านชายทรงละหัตถ์ออกคล้ายองค์ทรงทราบถึงความคิดของคนเด็กกว่าอย่างนั้น

         พยักหน้าอย่างเดียวใคร่ดูไม่สุภาพนัก ลักษมัณจึงเอ่ยประโยคเสริม

         “ครับ ชื่อจริงลักษมัณ ส่วนชื่อเล่นก็รักครับ”

         “อืม เป็นชื่อที่ดีนะ”

         “ค ครับ ขอบคุณท่านชายครับ”

         แววพระเนตรฉายประกายเอ็นดู พระพักตร์อ่อนโยนกลับแลอ่อนโยนยิ่งขึ้นในขณะที่รอยสรวลลุ่มลึกคล้ายแฝงซึ่งอารมณ์บางอย่าง แต่เพียงไม่นานก็เลือนหายไปราวกับปีกแมลงปอแตะคลื่นน้ำเพียงแผ่วผิวเท่านั้น ...ไม่มีใครได้ทันสังเกตแม้แต่น้อย

         “‘ลักษมณ์’ ...ลักษมัณ”

         นัยน์ตาสีนภายามราตรีทอดเนตรสบกลับ พาให้รู้สึกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก

         แปลก

         ทรงเรียกชื่อเขาแท้ๆ แต่กลับเหมือนไม่ใช่ชื่อของเขากระนั้น?


---------
โปรดติดตามตอนต่อไป
---------

เผลอกดออกจากหน้าต่าง ต้องเริ่มรอบสองใหม่เบย
ตาลายมากค่ะตอนนี้.... :katai1:
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๒ (๑๔/๐๒)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 14-02-2019 23:24:14
อ้าวววว เจอรามก่อนเจอเฮียทศหรอเนี่ย  :hao4:
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๒ (๑๔/๐๒)
เริ่มหัวข้อโดย: somberness ที่ 14-02-2019 23:29:50
กำลังคิดถึงเลยเปิดดูเมื่อสองวันก่อนก็ว่าหายไปไหนนนน
ดีใจที่กลับมาค่ะ อ่านใหม่แปปปปปป  :m23: :m23:
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๓ (๑๕/๐๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ShinrinYoku ที่ 15-02-2019 16:12:07
         ตอนที่ ๓

         เป็น ‘รัก’ ไม่ใช่ ‘ลักษมณ์’ ดังที่ทรงเข้าพระทัยในคราแรก

         เพิ่งทรงทราบว่าเข้าใจผิดไปก็เมื่อได้ไถ่ถามจากญาติผู้น้องหลังจากนั้น

         หม่อมเจ้าจักรกฤษณ์หรือท่านชายราม ทรงเป็นเครือพระญาติห่างๆกับหม่อมราชวงศ์สิตา สายพระโลหิตไม่อาจนับได้ว่าเทียบเคียง หากแต่ก็สนิทสนมกันดีด้วยคลุกคลีกันมาตั้งแต่ญาติผู้น้องยังแต่เล็กแต่น้อย

         แม้ท่านชายรามจะไม่ใช่คนถือองค์ แต่ก็ไม่เคยให้ความสนพระทัยในผู้ใดนอกเหนือไปจากคนที่ทรงเลือกแล้วว่า‘เหมาะ’ว่า‘ควร’ ซึ่งหม่อมราชวงศ์สิตาเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ทรง‘เลือก’แล้วเช่นกัน

         แต่แก้วตาใสที่เคลือบไว้ด้วยความตื่นตระหนกน้อยๆ กลับยังคงตรึงอยู่ในหทัยอย่างหาได้ยาก

         มั่นพระทัยว่าไม่เคยพานพบกันมาก่อนแน่นอน หากองค์กลับไม่รู้สึกขะเขินยามต้องเนื้อตัวแม้แต่น้อย ทั้งให้คุ้นเคยราวกับการได้ชิดใกล้กับลักษมัณไม่ใช่เรื่องผิดปกติสามัญแต่อย่างใด

         แปลกนัก

         “เป็นอะไรไป? พี่เห็นน้องนั่งหน้าบูดหน้าบึ้งมาตั้งแต่ออกจากมหา’ลัยแล้ว”ทรงตรัสถามญาติผู้น้องที่นั่งเคียงไหล่กันบนเบาะรถ “หรือน้องไม่อยากให้พี่มารับล่ะ หือ?”

         คุณชายตัวน้อยรีบส่ายหน้าทันทีนัยว่าไม่ใช่อย่างนั้น ให้คนพี่ทรงแย้มสรวลแล้ววางหัตถ์ลงบนศีรษะพลางขยับยีกลุ่มผมนุ่มเบาๆด้วยเอ็นดู

         “หรือจะแอบหนีท่านพ่อไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน แต่พี่กลับมาขัดจังหวะเราเสียก่อนกันล่ะ”

         “เปล่านะครับ น้องไม่ได้จะหนีเที่ยวซะหน่อย”

         แต่จะไปเลือกของขวัญให้พี่รามต่างหาก...

         สุดท้ายเป็นอันต้องยกเลิกนัดกับเพื่อนรักไปอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อเจ้าของหัวข้อเรื่องคนสำคัญของคุณชายสิตาดันปรากฏตัวขึ้นมาโดยไม่ทันคาดคิด

         “พี่ต้องผ่านหน้ามหา’ลัยพอดี เลยแวะมารับน้องกลับพร้อมกันเสียเลย ก่อนหน้านี้พรตคงโทรมาบอกน้องแล้ว”

         ช่างประจวบเหมาะเสียจริงเชียว เมื่อหม่อมเจ้าชญานินหรือท่านชายอินทร์ ซึ่งเป็นท่านพ่อของคุณชายสิตาได้นัดแนะพบปะกับท่านชายรามในวันนี้พอดี โดยที่คุณชายสิตาไม่ได้รู้เรื่องราวมาก่อน

         อดรู้สึกไม่ดีที่ผิดนัดกับเพื่อนไม่ได้ ทั้งที่ก็เป็นนัดที่มาจากความประสงค์ของตัวคุณชายสิตาเองแท้ๆ เป็นลักษมัณเสียอีกที่ไม่คนคิดเล็กคิดน้อยทั้งยังบอกค่อยนัดกันอีกครั้งในภายหลัง นึกมาถึงตรงนี้คุณชายก็อดอมยิ้มน้อยๆออกมาไม่ได้ เขาโชคดีนักที่ได้เป็นเพื่อนกับคนดีๆอย่างรัก

         สำคัญคือ พี่รามอุตสาห์แวะมารับเขาด้วยองค์เองเชียวนะ

         อยากจะยิ้มให้กว้างกว่านี้ แต่ก็เกรงสายพระเนตรของพี่รามจะจับได้ ถึงจะดีใจเพียงใดก็ไม่อาจแสดงออกให้องค์ทรงทราบ
พี่รามเป็นคนเฉลียว คุณชายตัวเล็กที่กลัวจะเผลอแสดงความนัยให้อีกฝ่ายต้องทรงตะขิดตะขวงใจจึงคิดเบี่ยงไปยังเรื่องของเพื่อนคนใหม่แทน

         “รักเป็นยังไงบ้างครับ พี่รามว่าโอเคหรือเปล่า แต่น้องว่ายิ่งกว่าโอเคเลย”ทำท่าทางโอเคประกอบ ดวงตากลมโตเปล่งประกายสดใสแลดูกระตือรือร้นเสียจนแลผิดปกติ หากท่านชายรามเพียงแย้มสรวลด้วยเอ็นดู พลางนึกถึงวงหน้าอ่อนเยาว์ของคนที่ญาติผู้น้องเอ่ยถึง

         พระพักตร์หล่อเหลาอ่อนโยนลงหลายส่วน คุณชายสิตาที่เห็นดังนั้นอดโล่งใจไม่ได้

         เพราะนั่นแสดงว่าเขา‘สามารถ’คบกับรักต่อไปได้ และรักนั้น‘คู่ควร’พอในสายพระเนตรของพี่ราม

         “แต่พูดไปพี่รามอาจจะมองว่าน้องคิดมากไปเองก็ได้นะครับ”

         “ทำไมล่ะ?”เห็นอีกฝ่ายมีทีท่าสนพระทัย พลันรู้สึกพองฟูในอก ดวงหน้าหวานแลดูมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเดิม

         “น้องรู้สึกเหมือนกับรักมีแรงดึงดูดอะไรบางอย่าง น้องเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันนะครับ แต่น้องรู้สึกสบายใจที่มีรักอยู่ข้างๆยังไงก็ไม่รู้”

         “ลักษมัณคนนี้คงจะเป็นรักแรกพบของน้องเสียแล้วล่ะมั้ง”คุณชายสิตาเกาแก้มอย่างเก้อเขินเมื่อท่านชายรามทรงยิ้มเย้าแหย่ ดวงหน้านวลพลันปรากฏริ้วแดงแต้มเจือจาง

         “พี่ราม! ใช่แบบนั้นที่ไหนกันล่ะครับ โธ่”

         ได้ยินเสียงสรวลอย่างอารมณ์ดีของท่านชายราม หน้าที่แดงอยู่แล้ว กลับแดงจัดจนลามไปถึงใบหู

         “แต่เรื่องที่น้องว่ามา พี่เห็นด้วยนะ”

         หัตถ์เรียววางลงบนศีรษะทุยอีกคราพลางลูบไล้เรือนผมนุ่มของญาติผู้น้องอย่างเพลินมือ นัยน์เนตรที่แสนอ่อนโยนคู่นั้นฉาบไว้ด้วยแววเอ็นดูเหมือนดังเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา

         หากเนตรสีรัตติกาลแลดูลุ่มลึกเกินกว่าจะคาดเดาถึงความนัยในสิ่งที่ทรงเพิ่งตรัสออกมาเมื่อครู่ ท่านชายรามทรงหันพักตร์ออกทอดเนตรจากกระจกรถไปไกลแสนไกล แลคับคล้ายกำลังขบคิดบางสิ่งอยู่

         ‘บางสิ่ง’ที่คุณชายสิตาไม่อาจเข้าถึง ในใจพลันรู้สึกวูบโหวงอย่างน่าประหลาด




         “อึก ฮือออ!”

         ณ ที่แห่งนี้กำลังจะมีคนขาดใจตาย

         “ฮึก ฮึก ...ฮื้อออออ!”

         ลักษมัณนั่งท้าวคางมองนายตูมตามที่กำลังประคับประคอง‘อดีต’สมาร์ทโฟนคู่ใจอย่างระมัดระวังด้วยความระอิดระอาใจ หันมองรอบกายก็ได้แต่ส่งยิ้มแหยๆให้กับเพื่อนนักศึกษาทั้งที่นั่งอยู่เคียงใกล้และทั้งที่นั่งอยู่ห่างไกล

         ลักษมัณเชื่อ ...ถึงจะนั่งอยู่นอกร้านก็ยังต้องได้ยินเสียงร้องโหยหวนจนชวนให้อยากปิดหูนี่แล้วเดินหนีอยู่ดี

         ‘ร้านหนมปิ๊งปัง’ เป็นร้านกาแฟบวกเบเกอร์รี่อีกทั้งยังมีเมนูอาหารคาวให้เลือกหลายอย่าง ร้านนี้แม้ไม่ใหญ่มากแต่ก็ถือว่ามีพื้นที่ให้เหล่านักศึกษาเลือกใช้สอยหลายสัดส่วน ตกแต่งด้วยโทนสีเขียวอ่อนผสมสีฟ้าแลอบอุ่นสบายตา มีไม้เลื้อยและตุ๊กตาหมีตัวเล็กตัวน้อยสลับหุ่นยนต์ประกอบมือตัวเล็กประดับอย่างพอเหมาะพอเจาะ ให้เหล่านักศึกษาชายวัยฉกรรจ์ไม่ต้องรู้สึกแปลกแยกนัก ที่สำคัญคือแอร์เย็นฉ่ำมาก นับได้ว่าเป็นสวรรค์บนดินตัดจากโลกภายนอกที่แดดแผดเผาเหมือนจะให้แห้งตายกันไปข้างได้เป็นอย่างดีเลยเชียว

         โชคดีนักที่ตอนนี้คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่... นายตูมตามนั่งร้องไห้แห้งมาร่วมครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ บอกตามตรงลักษมัณอยากเอาหน้าจุ่มเค้กเสียให้รู้แล้วรู้รอด

         จุดนี้หน้าบางมาก... บอกเลย

         “ท่านชายบอกแล้วไงว่าจะส่งเครื่องใหม่มาให้ เขากรุณามึงขนาดนี้แล้วยังจะร้องห่มร้องไห้ไปเพื่อ?”ทนไม่ไหวเลยมงแซะ แซะมงเพื่อนออกไปเบาๆ

         “กูซึ้งใจไง ฮึก!”

         “...”พูดไม่ออกบอกไม่ถูกกันเลยทีเดียว ลักษมัณคิดว่าเขาไม่ควรถามมันต่อ เลยก้มหน้านั่งจัดการข้าวกะเพราหมูกรอบที่ปริมาณน้อยกว่าโรงอาหารของคณะทั้งราคายังแพงกว่าอีกเท่าหนึ่ง มือคลำกระเป๋าสตางค์พลางถอนหายใจออกมาเบาๆ
เอาหน่า ถือเสียว่ามากินบรรยากาศ แล้วก็จำไว้ให้ขึ้นใจ ..วันหลังอย่าได้บ้าจี้ตามนายตูมตามมันมาอีกเป็นอันขาด

         “ร้านนี้ดังนะมึง ในไอจีเซเลบมหา’ลัยเรามาเช็คอินกันให้พึบพั่บ ของดีอร่อยชัวร์พี่ตูมฟันธง”

         นึกถึงคำโฆษณาของเพื่อนต่างคณะแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอีกรอบ คิดถึงกะเพราร้านตามสั่งแถวบ้านมาก... แอบจิ้มชีสเค้กของนายตูมตามมาหนึ่งจึกใหญ่ๆเพื่อดามหัวใจที่ร้าวราน ขนาดนี้นายตูมตามยังคงไม่รู้สึกตัว ลักษมัณกลั้นขำจนปวดกราม

         ในขณะที่กำลังจะจิ้มชีสเค้กมาอีกหนึ่งจึก กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้ชนิดหนึ่งพลันโชยแตะที่ปลายจมูกให้ชะงักกึกเสียก่อน ลักษมัณขมวดคิ้วน้อยๆด้วยรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก กลิ่นมันคล้ายกับ...

         กริ๊ง~

         “สวัสดีค่ะ รับเมนูไหนสั่งได้นะคะ”

         “เอสเปรสโซ่หนึ่งแก้วครับ”

         “ทานที่นี่ไหมคะ?”

         “กลับบ้านครับ”

         “ไอ้รักๆ”หันไปหาเพื่อนที่จู่ๆก็สะกิดแขนเขายิกๆ นายตูมตามที่เลิกร้องไห้ทั้งยังมีสีหน้าตื่นเต้นแปลกๆทำปากบุ้ยใบ้ไปอีกทาง ลักษมัณมองตามจึงให้เห็นเป็นชายรูปร่างสูงกำยำคนหนึ่งในชุดสูทสากลสีดำสนิทยืนรอเครื่องดื่มอยู่ตรงเคาน์เตอร์สำหรับลูกค้าสั่งกลับบ้าน หันกลับมาเลิกคิ้วถามเพื่อน “อะไรวะ?”

         “คนเนี้ยแหละ”

         ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่า“คนเนี้ยอะไรของมึงกันครับเพื่อนตูม”

         “ก็บอร์ดี้การ์ดของคุณทศพักตร์เค้ายังไงล่ะวะ กูจำได้แม่น คนนี้เนี้ยแหละ”หัวใจของลักษมัณพลันเต้นผิดจังหวะขึ้นมาทันทีเมื่อยินชื่อที่อยู่ในประโยค “แสดงว่าคุณเค้าก็ต้องอยู่แถวๆนี้สิวะ” พูดไปชะเง้อชะแง้มองหาไป ขณะที่ลักษมัณเอื้อมมือข้ามโต๊ะดันเหม่งเพื่อนให้อยู่สุขเสียบ้าง

         “เขาจะอยู่หรือไม่อยู่ก็ไม่เกี่ยวกับมึงอยู่ดีครับเพื่อนตูม กินๆไป ไม่งั้นกูจกหมดจานนะบอกให้”

         “อ้าว เฮ้ย! ไอ้ลักสามาน เค้กกู”นายตูมตามโวยวายใหญ่เมื่อในที่สุดก็สังเกตเห็นเสียทีว่าชีสเค้กของตัวเองถูกเพื่อนลักจิ้มไปหลายคำ

         เพื่อนต่างคณะขมุบขมิบปาก คาดว่าคงกำลังก่นด่าเขาอยู่ในระยะเผาขน หัวเราะหึหึ รู้ดีว่านายตูมตามไม่ได้ด่าอะไรจริงจังนักหรอก เอ๊ะ ...หรือจริงจัง? เพราะหน้าตามองแรงมาก

         ลักษมัณทำท่าคิดอย่างหนักท่ามกลางสายตาสงสัยของเพื่อน นานนับห้านาทีเห็นจะได้ถึงได้ตัดใจ เปิดเป้แล้วหยิบขวดยาคูลท์ยื่นส่งให้ ส่วนนายตูมตามนั้นอ้าปากค้างมองขวดยาคูลท์สลับกับดวงหน้าคมของเพื่อนตัวดี ..ด้วยไม่คาดคิด

         “นี่อย่าบอกนะว่ามึงเอายาคูลท์ขวดละไม่กี่สิบบาทมาแลกกับชีสเค้กจานละร้อยสี่สิบห้าของกู?”

         “อืม”พยักหน้ายืนยัน ไม่ลืมเสริม“ยาคูลท์อร่อยที่สุดในสามโลก ขวดสุดท้ายแล้ว กูสละให้”

         นายตูมตามยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองดังแปะ

         “เพื่อนคนแรกในชีวิตมหา’ลัยของกู ทำไมต้องเป็นมึงด้วยว้า”




         ความจริงแล้วคณะนิเทศฯเสมือนเป็นศูนย์รวมวงจรร้านอาหารเล็กร้านคาเฟ่น้อยไว้ให้นักศึกษามานั่งเล่นนอนเล่น แตกต่างจากคณะของเขาโดยสิ้นเชิง แค่มีโรงอาหารให้ก็นับว่าหรูแล้วจริงๆ ในขณะที่บางคณะไม่มีโรงอาหารของตัวเองต้องระเห็จไปฝากท้องคณะอื่นก็มี

         แล้วบางคณะก็ใช่จะอยู่ชิดเรียงเคียงใกล้ ฉะนั้นรถรางหรือรถบัสของมหา’ลัยจึงจำเป็นมากในการใช้สันจรข้ามคณะ
แต่ที่หนักหนาสาหัสที่สุดก็คือการรอนี่ล่ะ

         ลักษมัณยืนดูดน้ำปั่นที่ใกล้เหือดแห้งเต็มที อยู่กับนายตูมตามที่เริ่มเปิดฝาแก้วเคาะน้ำแข็งเข้าปากแล้ว

         “ทำไมกูต้องมีเรียนช่วงบ่ายด้วยว้า”เมื่อเคาะน้ำแข็งจนแทบหมดแก้ว ก็เงยหน้าขึ้นบ่นกับดินฟ้าอากาศ

         “แล้วนี่มึงมีเรียนอีกทีกี่โมง ไม่ต้องยืนส่งกูก็ได้”ลักษมัณเอ่ยถามพลางโยนแก้วลงขยะ

         “ใครว่ากูมายืนส่งมึงครับไอ้เพื่อนรัก”

         อ้าว

         ลักษมัณเลิกคิ้ว ก่อนมองตามสายตากะลิ้มกะเหลี่ยก็ให้เห็นนักศึกษาสาวสองสามคนยืนอยู่หน้าร้านปริ๊นเอกสารฝั่งตรงข้ามถนน คาดว่าน่าจะเป็นนักศึกษาของคณะนิเทศฯไม่ใช่อื่นไหนไกล

         “พี่ตูมรอขึ้นเรียนพร้อมน้องเมลหรอกเว้ย”

         แทบกลอกตาใส่ในเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของเพื่อนขี้หลี ลักษมัณส่ายหน้าแต่หากยังไม่ทันได้ละสายตากลับมา...
สายลมหนึ่งวูบใหญ่พัดผ่านกายพร้อมกับนำพาเอากลิ่นหอมอันคุ้นเคยให้ต้องลงปลายจมูก

         ดวงตาตกต้องอยู่บนกายสูงใหญ่ในชุดสูทสีรัตติกาลยืนห่างออกไปอีกฝั่งของถนน เครื่องหน้าคมคร้าม แนวสันกรามได้รูปรับกับจมูกโด่งสัน ริมฝีปากแต้มยิ้มน้อยๆ ...อย่างน้อยลักษมัณก็คิดว่าเขาเห็นอีกฝ่าย ‘ยิ้ม’ แม้ตอนนี้วงหน้าคมจะกลับมานิ่งขรึมแล้วก็ตาม

         หากแต่สิ่งที่ดึงดูดให้ไม่อาจละสายตากลับเป็นนัยน์ตาคู่นั้นที่จับจ้องมองสบมา

         แววตาแบบนั้น
         เจ้าลักษมณ์

         “คุณทศ?”

         ลักษมัณพลันได้สติ มือยกกุมอกข้างซ้ายเมื่อหัวใจคล้ายกระหน่ำเต้นรัวราวกับกำลังยินดีกระนั้น ...แปลก

         “มึงหมายถึง?”หันไปมองนายตูมตามก็เหมือนให้เห็นเพื่อนสั่นหางตีพื้นดังปับๆ มโนภาพนี้แจ่มชัดนักบอกเลย

         “คุณทศพักตร์ไงมึง กูว่าแล้วว่าเขาจะต้องอยู่แถวนี้ สงสัยเพิ่งคุยกับคณะบอดี้แกเสร็จล่ะมั้ง”

         ทศพักตร์

         “ว่าแต่... เขารู้จักมึงอ่อวะ?”

         “ไม่น่าจะ”

         “แล้วทำไมเขาถึงมองมึงเหมือนจะ‘เขมือบ’มึงลงกระเพาะอย่างนั้นล่ะวะ?”

         ลักษมัณหันกลับไปมองผู้ใหญ่ใจดีของนายตูมตามอีกครั้ง ก็ไม่เห็นจะเป็นดังคำว่าของเพื่อน เมื่อร่างสูงใหญ่ขยับเดินไปอีกทางเสียแล้ว หันไปเตือนสติมันสักหน่อย “น้องมงน้องเมลของมึงอ่ะหนีขึ้นเรียนไปแล้วมั้ง”

         นายตูมตามร้องเฮ้ยรีบกุลีกุจอยกมือบอกลา ทิ้งเพื่อนวิ่งลิ่วเข้าตึกเรียนไปหาสาวแทบทันทีทันใด ไม่รู้จะขำหรือถอนหายใจปลดปลงในความขี้หลีไล่หลังเพื่อนต่างคณะดี ให้พอดีกับมือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงสั่นขึ้นมาสั้นๆ บ่งบอกให้รู้ว่าไม่ใช่สายเรียกเข้าแต่เป็นข้อความ ...ก้มหน้าหยิบออกมากดเปิดแอพพลิเคชั่นอ่าน เมื่อเห็นว่าเป็นข้อความจากใครก็ต้องยิ้มออกมาจางๆ

         ม.ร.ว. สิตา :
         ...ขอโทษที่ผิดนัดนะรัก พรุ่งนี้ขอไถ่โทษด้วย...
         (แนบรูปยาคูลท์ขวดใหญ่ถือโดยนายแบบกิตติมศักดิ์คือเจ้าของข้อความยิ้มกว้างจนตาเป็นรูปจันทร์เสี้ยว)
         ...นะ...

         ลักษมัณเจ้าพ่อโรงงานยาคูลท์ :
         ...ขวดเดียวไม่พอ กระเพาะรักน่ะใหญ่มว้ากเลยนะสิตา...

         พิมพ์ตอบไปยิ้มไป แกล้งอีกฝ่ายเล่นแล้วสนุกดี คงดีกว่านี้ถ้าได้แกล้งต่อหน้า ...แต่คงแกล้งได้แค่เบาๆไม่กงไม่กล้าหรอก รุนแรงน่ะ

         ม.ร.ว. สิตา :
         ...งั้นให้อีกขวด...
         ...สองขวดพอนะงบเราน้อย...
         ...ให้เหมาแพคแบบพี่เวสไม่ไหว...

         อ้าว แสดงว่าไอ้ที่กระซิบกระซาบกันนี่คนในหัวข้อเรื่องได้ยินหมดเลยน่ะสิ เวรของไอ้พี่เวส ...กรรมของลักษมัณด้วย
กำลังจะพิมพ์ตอบกลับ แต่อีกฝั่งส่งแทรกมาเสียก่อน เป็นสติ๊กเกอร์รูปหมียิ้ม

         ม.ร.ว. สิตา :
         ...พี่รามบอกว่าดื่มยาคูลท์มาก ระวังท้องเสีย...
         ...อย่างน้อยแค่ ๑ – ๒ ขวดต่อวันก็พอ...
         ...เพราะฉะนั้นแค่สองขวดพอเนอะ...

         ต่อด้วยสติ๊กเกอร์รูปโอเค อันที่จริงลักษมัณชะงักตั้งแต่‘พี่รามบอกว่า’แล้ว กระหวัดนึกไปถึงใบหน้าอ่อนโยนของเจ้าของชื่อเข้า

         เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว นิ้วเรียวกดพิมพ์ตอบกลับ หากยังไม่ทันกดส่ง

         ฉับพลันเสียงบีบแตรพร้อมกับรถยี่ห้อนอกกลับวิ่งแล่นตรงเข้ามาหาร่างสูงโปร่งด้วยความเร็วเกินกฎหมายกำหนด แว่วเสียงกรีดร้องของนักศึกษาที่เห็นเหตุการณ์ดังแข่งกับเสียงเบรกเสียดยาวของล้อรถ โชคดีที่ลักษมัณไม่ได้ไร้สติขนาดจะยืนนิ่งให้ตัวเองถูกรถชน

         กายสูงโปร่งเบี่ยงตัวหลบพอดีกับที่ช่วงเอวถูกเรี่ยวแรงมหาศาลฉุดกระชากให้พ้นซึ่งวิถีอันตรายอย่างหวุดหวิด แต่ด้วยความเร็วของแรงปะทะระหว่างสองร่างที่ไม่อาจรั้งหยุด ทำให้ทั้งคนช่วยและคนถูกช่วยพากันล้มไม่เป็นท่า ลักษมัณที่อยู่ในช่วงสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันรู้ตัวอีกทีร่างของเขาก็ถูกคนแปลกหน้าคร่อมทับเอาไว้ทั้งตัว ขณะส่วนศีรษะและช่วงเอวถูกฝ่ามือใหญ่โอบประคองไว้ราวกับกำลังปกป้อง

         คนบนตัวครางออกมาเบาๆ แต่ด้วยระยะห่างเพียงลมหายใจกั้น ลักษมัณจึงได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจน ทว่าอีกฝ่ายไม่แม้แต่สนใจตัวเอง เสียงทุ้มเข้มไถ่ถามเขาอย่างร้อนรน

         “หัวกระแทกไหม? เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”

         ใบหน้าคมดุฉายชัดซึ่งความกังวล นัยน์ตาสีแปลกผิดแผกจากคนทั่วไปกวาดมองสำรวจร่างกายของเขาเมื่อพากันลุกขึ้นนั่งได้ ลักษมัณปวดตัวเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับเจ็บจนทนไม่ไหว อีกฝ่ายต่างหากที่น่าจะเป็นฝ่ายเจ็บเพราะแม้ว่าตัวเขาจะอยู่ข้างล่างแต่ไม่ได้กระแทกถูกอะไรแม้แต่น้อย ด้วยร่างทั้งร่างได้คนแปลกหน้าตัวใหญ่โอบกอดปกป้องไว้

         “คุณต่างหาก เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ตอนล้มผมได้ยินเสียงคุณร้องด้วย”ไถ่ถามกลับ ในใจยังคงตื่นตระหนกกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่หาย

         “เป็นอะไรกันหรือเปล่าครับ!”พลเมืองดีที่เห็นเหตุการณ์วิ่งเข้ามาพร้อมให้ความช่วยเหลือ

         แต่คนตัวใหญ่ที่น่าจะเจ็บมากกว่ากลับช่วยพยุงเขาขึ้นยืน ปฏิเสธการช่วยเหลือจากพลเมืองดีที่ว่า

         “บอสครับ!”คราวนี้ไม่น่าใช่พลเมืองดี แต่น่าจะเป็นคนรู้จัก และเมื่อสังเกตดีๆจึงได้รู้ว่าคือคนเดียวกับที่นายตูมตามว่าเป็นบอร์ดี้การ์ดของคนตัวใหญ่ วิ่งเข้ามาหาด้วยสีหน้าตื่นตกใจแบบสุดขีด

         “คนขับรถคันนั้นล่ะ?”เอ่ยปากถามแต่ตายังไม่หยุดสำรวจร่างกายของเขา

         “คนของเราจับตัวไว้แล้วครับ ทำท่าจะหนีเลยจำเป็นต้องใช้กำลังนิดหน่อย”ตัวเขาถูกผู้ใหญ่ใจดีของนายตูมตามจับหมุน ..คงจะกำลังสำรวจบาดแผล ที่ยังไงแล้วก็ไม่น่าจะมี

         ยังคงไร้ซึ่งบทพูดเช่นเคย พอกันกับคุณพลเมืองดีที่ยืนเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูก

         “อืม จัดการตามสมควร”หยุดหมุนเขาได้เสียที แต่ยังคงไม่เลิกจ้อง“เดี๋ยวไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลก่อน ให้แน่ใจว่าเธอจะไม่เป็นอะไร”

         “ผมไม่เป็นอะไรจริงๆครับ คุณต่างหากล่ะ”สูทสีดำของอีกฝ่ายบัดนี้กลับเต็มไปด้วยคราบฝุ่น มือเผลอยกขึ้นแตะต้นแขนข้างซ้าย หากเมื่อรู้ตัวจึงได้ค่อยชักมือกลับอย่างเร็วรี่ ...ก่อนจะรู้สึกถึงความหนึบหนับที่มือ “เลือด...”

         ดวงตาสีดำไล่มองสำรวจอีกฝ่ายเป็นการใหญ่จนเห็นที่มาในที่สุด มือข้างซ้ายของคนตัวใหญ่อาบย้อมไปด้วยเลือดสีเข้ม ไหลหยดลงบนพื้นหลายหยดชวนให้คนเห็นลมแทบจับ

         “แขนคุณ!”

         “ไม่เป็นไร”

         คว้าข้อมือหนาก่อนจับยกขึ้นหมับ...

         “ทำอะไร”คิ้วเข้มขมวดดุ จนคนถูกดุเผลอสะดุ้ง ใจเกือบฝ่อ... แต่ต้องใจแข็งเข้าไว้นะไอ้รัก

         “น นี่ไง ผมจับเบาๆเอง คน‘เจ็บ’ที่ต้องไปโรงพยาบาลน่ะ มันคุณชัดๆ”

         “เอ่อ ผมว่าคุณควรทำตามที่เขาบอกจะดีกว่านะครับ”คุณพลเมืองดีที่เพิ่งมีช่องว่างให้เอ่ยบท พูดแทรกขึ้นมาเพื่อเข้าข้างเขา

         “งั้นเธอต้องไปกับฉันด้วย ไปตรวจด้วยกัน”

         แต่ไม่ได้รับความสนใจจากคนเจ็บเช่นเคย…

         ฝ่ามือใหญ่ทาบทับลงบนมือของเขาที่กุมข้อมืออีกฝ่ายไว้อีกที นัยน์ตาสีออกทับทิมเข้มส่อแววว่าเอาจริง สื่อให้รู้ต้องไปด้วยกัน ตรวจพร้อมกัน แต่ถ้าจะไม่ไปก็ไม่ต้องไปมันเลยทั้งคู่

         หากน่าแปลกที่ลักษมัณกลับรู้สึกยิบยับในอกอย่างบอกไม่ถูกเมื่อถูกอีกฝ่ายจ้องมองไม่ละสายตาเลยแบบนี้

         “ก็ได้ครับ คุณไป ผมไป”

         ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรอยู่แล้ว ไปก็ไปซี่ ลักษมัณจะนึกเสียว่าถือโอกาสตรวจร่างกายประจำปีไปเลยในตัว ทั้งที่ก็มั่นใจมากว่าตัวเขาน่ะไม่เป็นอะไรแน่นอนร้อยเปอร์เซ็น ไม่เจ็บแต่อาจมีร่องรอยแผลถลอกนิดหน่อย ซึ่งคนที่น่าห่วงกว่าน่ะ

         หมับ

         “งั้น‘เรา’ไปด้วยกัน”

         หน้าคมเข้มเรียบนิ่ง แต่เหมือนแอบเห็นมุมปากอีกฝ่ายกระตุกขึ้นน้อยๆ

         เดี๋ยวสิ... ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องจับมือกันเดินเลยสักนิด และเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ทันความคิดเขา

         มือเรียวขาวถูกกำชับจับไว้มั่นยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

         แนบแน่นจนมิอาจเลี่ยงหลีกไปไหนได้

         แม้สองคนเจ็บจะพากันขึ้นรถหรูติดฟิล์มดำหายลับไปไกลไปสักพักแล้ว พลเมืองดีหนุ่มยังคงยืนนิ่งค้างอยู่กับที่จนเพื่อนนักศึกษาคนอื่นทั้งที่รู้จักทั้งที่ไม่รู้จักแต่อยากรู้เรื่องต่างวิ่งมารุมล้อมถามถึงเหตุการณ์รถเฉี่ยวชนที่เกิดขึ้นแบบสดๆร้อนๆ คนเจ็บเป็นใคร ใช่นักศึกษาคณะเราไหม โน่นนี่นั่น บลาบลาบลา

         แต่ไม่มีเสียงไหนเข้าหัวเลยสักเสียง เพียงเรื่องเดียวจริงๆที่เขาอยากรู้

         พลเมืองดีหนุ่มหันไปมองเพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ข้างกันพลางเอ่ยถามขึ้นอย่างคับข้องใจ

         “นี่กูดูไร้ตัวตนขนาดนั้นเลยหรอวะ?”

         “หะ?”

         แบบนี้สินะที่เขาเรียกกันว่า ‘ทำดีไม่ขึ้น’ ?

---------
โปรดติดตามตอนต่อไป
---------
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๓ (๑๕/๐๒)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 15-02-2019 17:49:42
เขาเจอกันแล้ว ใช่ป่ะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๓ (๑๕/๐๒)
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 15-02-2019 19:24:16
เรื่องสนุกน่าติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๓ (๑๕/๐๒)
เริ่มหัวข้อโดย: antr93 ที่ 16-02-2019 07:27:23
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๓ (๑๕/๐๒)
เริ่มหัวข้อโดย: zeroshadaw ที่ 16-02-2019 08:21:35
เราติดตามตั้งแต่ตอนยังไม่รีไรท์ ดีใจที่กลับมานะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๔ (๑๖/๐๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ShinrinYoku ที่ 16-02-2019 19:42:11

         ตอนที่ ๔

         เกร็งจะแย่แล้วหนอ

         ลักษมัณจำได้ว่าตอนถูกเขาจูงมือพาขึ้นรถมา ก็ไม่ใคร่เห็นว่าจะเกร็งเท่านี้ แต่พอรู้สึกเกร็งขึ้นมาแล้วเท่านั้นล่ะ ..เกร็งหนักเลย

         กำหมัดยกขึ้นป้องปากกระแอมไอออกมาเบาๆ เพื่อลดทอนความเกร็งที่มีลง

         “เป็นอะไร?”แต่กลับเป็นการเรียกให้อีกฝ่ายหันมาสนใจเขาแทนวิวนอกรถเสียอย่างนั้น

         ลักษมัณยิ้มแห้ง “ป เปล่าครับ” อีกฝ่ายมุ่นคิ้วเล็กน้อย เพียงเล็กน้อยและชั่วแวบเดียวเท่านั้น ที่หากไม่สังเกตดีๆแล้วคงไม่ทันเห็น แต่ลักษมัณดันทันเห็นจึงเอ่ยเสริมเพิ่มความน่าเชื่อถือเข้าไปว่า “ผมแค่… ไอ แค่ไอเฉยๆน่ะครับ ฮะๆ”

         น่าเชื่อมาก…

         “แล้วแขนคุณ เป็นยังไงบ้างครับ ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า?”เปลี่ยนเรื่องโดยการถามอาการของอีกฝ่ายแทน ตาจ้องเขม็งไปยังแขนข้างซ้ายที่บัดนี้มีเพียงเชิ้ตสีดำปิดกั้นสายตาเท่านั้น

         มองยากไม่ต่างจากสูทสีดำตัวก่อนหน้าที่อีกฝ่ายถอดโยนทิ้งไว้ในกระโปรงหลังรถเลยแม้แต่น้อย

         ผู้ชายคนนี้ท่าจะชมชอบสีดำน่าดู

         คนตัวใหญ่ก้มลงมองตามสายตา ก่อนตอบคำถาม “ไม่เป็นไร”

         “แต่…”ภาพเลือดที่อาบมือทั้งยังหยดลงพื้นติ๋งๆยังคงเป็นภาพจำของลักษมัณ ใบหน้าเยาว์วัยจึงอดแสดงความกังวลออกมาไม่ได้ “ทนหน่อยนะครับ แล้วก็…ขอโทษครับ”

         “ขอโทษเรื่องอะไร?”น้ำเสียงทุ้มทอดอ่อนลงกว่ายามปกติ หากมีใครในที่นี้ที่จับสังเกตได้ก็เห็นแต่จะมีเพียงนายเปาวนา สารถีผู้นั่งอยู่เบาะหน้าเท่านั้น

         มันลอบมองหน้าผู้เป็นนายผ่านกระจกมองหลัง ก็ให้เห็นแววเนตรอ่อนโยนจับจ้องเพียงวงหน้านวลของเด็กนักศึกษาผู้เคราะห์ร้าย โดยที่อีกฝ่ายไม่แม้จะรู้สึกตัวเพราะยังเอาแต่จดจ้องแขนข้างที่ได้รับบาดเจ็บของนายมัน ราวกับว่าทำแบบนั้นแล้วจะช่วยทำให้อาการของนายมันทุเลาลงบ้างอย่างนั้น

         เปาวนาอดลอบถอนใจเบาๆไม่ได้ เสียดายนักที่พออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมอง นายของมันกลับเก็บงำแววเนตรนั้นไว้แล้วเผยออกให้เห็นเพียงความนิ่งขรึมเป็นดังยามปกติแทน

         ใครจะล่วงรู้ว่ายามนี้ทศพักตร์ต้องอดกลั้นไม่ให้เผลอยกมือขึ้นต้องเนื้อนวลเพียงใด

         ใกล้กันถึงเพียงนี้

         “เรื่องที่ผมทำให้คุณต้องมาเกี่ยวข้องด้วย คุณต้องเจ็บตัวก็เพราะช่วยผมแท้ๆ”คนเด็กกว่าหน้าม่อยลงยามเอ่ยถึงเหตุผล ถ้าหากตอนนั้นเขาไม่ได้เอาแต่ก้มหน้าเล่นมือถือแล้วรู้สึกตัวให้ไวกว่านี้ล่ะก็…

         “คิดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วก็เท่านั้น”ลักษมัณหลุดออกจากความภวังค์เมื่อหน้าผากถูกสัมผัสเย็นแตะลงมาแผ่วเบา ‘สัมผัส’ที่คล้ายจะให้รู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดมาจาก‘นิ้วชี้’ข้างขวาของคนสูงวัยกว่าที่เพิ่งละออกไป

         “ไม่ต้องโทษตัวเอง เพราะพี่‘ไม่เคย’คิดโทษเจ้า”

         สิ้นประโยคพลันได้กลิ่นหอมจางลอยเข้ามาแตะจมูก ดวงจิตราวกับกำลังลอยฟุ้งอยู่ในห้วงแห่งฝันก็ไม่ปานเมื่อทุกสิ่งคล้ายถูกตัดออกจากคลองจักษุหลงเหลือไว้เพียงคนที่นั่งอยู่เคียงข้างกันในชั่วขณะนี้เท่านั้น

         ลักษมัณอดพินิจวงหน้าคมของอีกฝ่ายไม่ได้ ทั้งดวงตาสีราวทับทิมสดแต่ทว่าต่อมาก็ไม่คล้ายว่าใช่ เพียงอาจเป็นสีน้ำตาลแต่เป็นน้ำตาลที่อ่อนมากกว่าเคยเห็น เมื่อต้องริ้นแสงจึงมองเห็นเป็นเช่นนั้น จมูกโด่งสัน รับกับริมฝีปากเป็นกระจับได้รูป โครงหน้าเข้มชัด ปลายคางมีตอหนวดเพิ่งขึ้นบางๆ ให้รู้สึกจั๊กจี้พิลึกยามเผลอไล้ปลายนิ้วสัมผัสโดนเข้า

         เมื่อนั้นล่ะถึงได้รู้สึกตัว

         ไอ้รักหนอไอ้รัก มึงไปจับหน้าจับตาคุณเค้าทำไมวะ!

         ร่างโปร่งสะดุ้งจะรีบชักมือกลับเหมือนต้องโดนของร้อน ทว่ากลับถูกมือเรียวแกร่งคว้าหมับเข้าไว้อย่างทันท่วงทีเสียก่อน เหมือน… เหมือนว่าเห็นมุมปากหยักนั้นกระตุกยิ้มขึ้นมา ให้หน้าร้อนฉ่าจนคนเผลอกระทำการอุกอาจเลิ่กลั่กร้อนรน

         “คุณทศพักตร์ คือ เอ่อ ผม… มือเผลอ ไม่ใช่ๆ”ส่ายหน้ารัว นึกอยากยกมือขึ้นตีปากตัวเองนัก “ต้องเป็นเผลอยกมือสิ คือผมไม่รู้ตัว มือมันยกขึ้นจับหน้าคุณเอง ผม…”

         “รู้จักกันด้วยหรือ?”ชะงักกึกทันใด ลิ้นที่พันกันอยู่เมื่อครู่แทบจุกคอชักตายเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป

         “เอ่อ ก็จะว่ารู้จักเลยมันก็ไม่ใช่ แต่จะบอกว่าไม่รู้จักมันก็ไม่ถูกเสียทีเดียวน่ะครับ”

         “ยังไงเล่านั่น?”

         เออนั่นสิ ยังไงวะไอ้รัก พูดออกไปเองก็มานั่งงงเอง แล้วนี่เมื่อไหร่คุณเค้าจะปล่อยมือเสียที ร้อนลามไปทั้งตัวแล้วทีนี้
ร้อนตัวเลิ่กลั่กเข้าข่ายผู้กระทำความผิดชัดๆ! …แต่เดี๋ยวซี่ เขาไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย จะผิดก็ผิดอยู่เรื่องเดียวคือที่เผลอไปจับหน้าจับตาลูบตอหนวดเขาเมื่อครู่ นึกได้ดังนั้นแล้วค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย

         สติ ท่องไว้ลักษมัณเอ๋ย ยุบหนอ สติหนอ

         “ว่าอย่างไร?”

         คนอ่อนวัยกว่ามองข้ามสำนวนคำพูดฟังแปร่งหูของอีกฝ่ายไป มัวแต่เรียบเรียงราวเรื่องอยู่ในหัว และเมื่อเรียงได้ก็รีบเอ่ยปากตอบ

         “ข่าวจากคณะนิเทศฯค่อนข้างไวน่ะครับ ผมเลยพอจะได้ยินมาบ้างว่านายทุนใหญ่อย่างคุณทศพักตร์ให้เกียรติยืมชุดสำหรับงานแสดงโขนด้วยตัวเอง ที่ว่ารู้จักไม่เชิงว่ารู้จักก็เพราะเหตุนี้ล่ะครับ”

         “แล้วเธอล่ะ?”

         “ค ผม?”

         อีกฝ่ายหลุดขำออกมาเบาๆ หากเพียงเท่านี้ก็ทำเอาคนอ่อนวัยกว่าแทบหันเอาศีรษะไปโขกเบาะรถเสียให้รู้รอด

         ลักษมัณกำลังรู้สึกเขิน เขินที่คุณทศพักตร์ขำความเหรอหราของตัวเขาเองนี่ล่ะ!

         “เธอรู้จักฉันแล้ว แต่ฉันยังไม่รู้จักเธอเลย”

         อ้อ…

         เผลอถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว มือถูกปล่อยเป็นอิสระพร้อมกับรถที่เลี้ยวเข้าเขตโรงพยาบาล หากแต่ใบหน้าคมกลับยังคงจ้องมองมาไม่ลดละ น่าแปลกนักที่ลักษมัณไม่แม้รู้สึกอึดอัดเลยสักนิด

         ตึกตัก

         “ผม… รักครับ รักที่มาจากคำบอกรัก ส่วนชื่อจริงก็ลักษมัณ”

         รถจอดหยุดนิ่งพร้อมกับประตูรถที่ถูกเปิดออก หากจังหวะสุดท้ายก่อนที่คนตัวใหญ่กว่าจะละสายตาจากเขาแล้วก้าวลงจากรถ…

         “ยินดีที่ได้รู้จัก‘อีก’ครั้งนะ เจ้าลักษมณ์

         ตึกตัก

         เจ้าลักษมัณของพี่

         ลักษมัณยกมือขึ้นทาบลงบนอกข้างซ้าย …เมื่อจู่ๆ หัวใจที่อยู่ข้างในนี้กลับเต้นแรงเสียจนพาลให้รู้สึกเจ็บขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ

         ดีเลย มาโรงพยาบาลทั้งที จะได้ตรวจให้รู้แล้วรู้รอดกันไปว่าตัวเขาเป็นโรคหัวใจหรือเปล่า ช่วงนี้ถึงได้ขยันเจ็บขยันปวดนัก




         ชื่อของโรงพยาบาลที่คุณทศพักตร์พามา ให้อย่างไรก็ว่ารู้สึกคุ้นๆหูอย่างบอกไม่ถูก

         “เชิญคุณลักษมัณเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ที่ห้องเปลี่ยนชุดทางด้านซ้ายมือ ห้องเดิมเลยค่ะ ภายในห้องจะมีกล่องใส่ชุดผู้ป่วยที่ใช้แล้วอยู่ รบกวนแยกกางเกงกับเสื้อก่อนวางชิ้นผ้าลงในกล่องนะคะ ดิฉันจะรออยู่ข้างนอก หากมีอะไรสามารถเรียกได้เลยค่ะ”

         บอกขอบคุณพร้อมยิ้มกว้างตอบกลับรอยยิ้มหวานเป็นมิตรของพี่พยาบาล เมื่อเข้ามาอยู่ในห้องเปลี่ยนชุดก็อดพรูลมหายใจยาวๆออกมาไม่ได้ แม้จะไม่ได้ถึงกับต้องเข้าเครื่องสแกนเพราะเพิ่งซัดข้าวมา แต่ก็ยังต้องตรวจโน่นนี่นั่นละเอียดยิบอยู่ดี เขาไม่ใช่คนเจ็บ มาถึงตอนนี้ก็ยังคงยืนยันว่าคนเจ็บไม่ใช่เขาอย่างแน่นอน รอยถลอกเลือดซิบยิบย่อยย่อมมีบ้างเล็กๆน้อยๆ แต่เรื่องหนักหนากว่านั้นเป็นไม่ได้เลยที่จะมี

         …นอกจากโรคหัวใจที่สงสัยว่าตัวเองจะเป็น?

         แต่เอาเถอะ คุณทศพักตร์อุตสาห์หวังดี จะให้เขาปฏิเสธความหวังดีของผู้มีพระคุณก็ใช่เรื่องนี่นะ

         เมื่อคิดได้ปลงตกก็จัดการผลัดเปลี่ยนชุดคนไข้ออกกลับไปใส่ชุดนักศึกษาเปื้อนฝุ่นตัวเดิมอีกครั้ง ดูหมองลงไปเลยเมื่อเทียบกับชุดผู้ป่วยสีฟ้าสะอาดตาของโรงพยาบาล ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้านอกจากจะสะอาดพอกันกับชุดผู้ป่วยแล้ว ยังกว้างขวางแลดูสะดวกสบายราวกับห้องพักในโรงแรมหลายดาวก็ไม่ปาน

         อืม… ชักตงิดใจ ควานหามือถือในกระเป๋าเป้ เสิร์ชชื่อปุ๊บ ปู่เกิลตอบกลับมาไวแสงด้วยไวไฟของโรงพยาบาลที่แอบถามพี่พยาบาลมา

         อันดับแรกของการค้นหา ต่อท้ายด้วยคำว่า ‘เอกชน’

         “คุณพระ…”ยืมคำอุทานของพ่อจ๋ามา มือเริ่มสั่นระริกเพียงได้เห็นคำว่า ‘เอกชน อันดับหนึ่ง’

         ก๊อก ก๊อก

         สะดุ้งโหยงแทบทำมือถือตกพื้น ร่างโปร่งยกมือขึ้นทาบอกพึมพำขวัญเอ๋ยขวัญมากับตัวเองเบาๆ สะพายเป้จัดชุดนักศึกษาที่คงไม่เรียบไปกว่านี้แล้วจึงค่อยเดินตรงไปยังประตูห้อง หมุนลูกบิดเปิดออกก็ให้เห็นเป็นคุณคนสนิทของคุณทศพักตร์ยืนทำหน้าดุไม่ต่างจากผู้เป็นนายอยู่ตรงหน้า ส่วนพี่พยาบาล …หายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว

         “เรียบร้อยดีนะครับ คุณลักษมัณ”

         “ครับ คุณ…”

         “ผมเปาวนาครับ เรียกสั้นๆว่าเปาก็ได้ เดี๋ยวผมช่วยถือกระเป๋าให้นะครับ”

         ลักษมัณพยักหน้าก่อนจะรีบยกมือขึ้นเบรกเมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะเข้ามาช่วยเขาถอดกระเป๋าเป้ออกไปถือไว้เอง

         “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเลยครับคุณเปา ผมสะพายเองได้ครับ กระเป๋าเป้แค่นี้เอง”

         “แต่…”เปาวนาอดทำสีหน้าลำบากใจไม่ได้

         กาลก่อนมันไม่เคยกล้าแม้แต่เฉียดเข้าใกล้อีกฝ่าย มากาลนี้ก็หาได้หาญกล้าขึ้นมาแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะมันยึดเอาเป็นหน้าที่ไปเสียแล้วที่ต้องคอยดูแลอีกฝ่ายในยามที่ไม่ได้อยู่ในสายตาของผู้เป็นนาย แม้ครานี้นายจะไม่ได้สั่งแต่มันเต็มใจกระทำยิ่งนัก

         จะ‘องค์ลักษมณ์’หรือ‘เด็กหนุ่มลักษมัณ’ ล้วนแล้ว‘สำคัญ’ต่อนายของมันทั้งสิ้น

         ก็คนคนเดียวกันนี่นะ

         “แล้วนี่คุณทศพักตร์ล่ะครับ เขาตรวจเสร็จแล้วเหรอ แล้วเป็นยังไงบ้างครับ?”มันยิ้มเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าแสดงท่าทีห่วงใยต่อนายมันออกมา หัวคิ้วยับย่นสีหน้าแลเป็นกังวลทั้งที่เป็นคนเพิ่งรู้จักกันแท้ๆ

         “ผมคิดว่าเรื่องนี้คุณควรถามนายเองน่าจะดีกว่านะครับ”เปาวนาเลือกที่จะไม่ตอบก่อนเบี่ยงตัวผ่ายมือ “ไปกันเถอะครับ ท่านรอคุณอยู่”

         ที่เห็นยิ้มเมื่อครู่ สงสัยท่าจะตาฝาด ทำไมถึงได้หน้าดุกันทั้งนายทั้งคนสนิทเลยหนอ




         หลังจากสถานการณ์รถเฉี่ยวชนคลี่คลายท่ามกลางความสงสัยของใครหลายคน รวมถึงรปภ.และอาจารย์ประจำคณะที่มาถึงก็ต่อเมื่อหายไปแล้วทั้งผู้ชนทั้งผู้เสียหาย พลเมืองดีนามอัยการหรือกรรณที่ไม่ได้ทำหน้าที่ตามคำดังกล่าวเสียเท่าไร เพราะผู้เสียหายต่างช่วยกันและกันเองอย่างงงๆ

         เขากับเมฆนาทเพื่อนสนิทพากันเดินไปยังลานจอดรถที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดเกิดเหตุนัก

         “สรุปแล้วเมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นวะ ไอ้กรรณ?”เมฆนาทที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ถามด้วยความสงสัย

         เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเร็วเกินกว่าที่ใครจะตั้งตัวทัน ไหนจะลมกรรโชกแรงไร้ที่มาที่ไปที่เขากับเพื่อนประสบ ไหนจะเหตุการณ์ที่เพื่อนเขาบังเอิญเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างงงๆนั่นอีก แม้กระทั่งเขาที่เดินอยู่ข้างมันใต้ร่มไม้แท้ๆ หันไปหาอีกที ...ร่างของเพื่อนก็หายจากข้างกาย สับเท้าวิ่งไปจนเกือบถึงตัวนักศึกษาที่ถูกรถเฉี่ยวบนถนนเสียแล้ว

         ความเร็วไวเป็นที่หนึ่งเมฆนาทประจักษ์แก่สายตาตัวเองมาตั้งแต่ตอนมัธยม …ก็เนิ่นนานมาแล้วนั่นล่ะ ไอ้คนตัวดำชื่อเป็นธรรมสมอุปนิสัยและคณะที่เลือกเรียนนี่อดีตเคยเป็นถึงแชมป์วิ่งเยาวชนสองปีซ้อนเชียว ไม่แปลกถ้ามันจะไปถึงที่เกิดเหตุเร็วกว่าใครพวก

         “ไม่รู้เหมือนกัน”กรรณไหวไหล่หากใบหน้าเข้มในแบบฉบับไทยแท้ไม่แพ้สีผิวกลับฉายแววฉงนในสิ่งที่ตัวเองกระทำไปเมื่อไม่กี่ครู่ที่ผ่านมาไม่น้อยเช่นกัน งงไม่ต่างไปจากเพื่อนเลยแม้แต่น้อย

         “ก็รู้อยู่ว่ามึงมันเป็นโรคเที่ยงธรรมซื่อตรงขึ้นสมอง แต่ไม่ยักรู้มาก่อนว่าชอบเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงเพื่อช่วยคนที่ไม่รู้จักด้วย?”

         กรรณขมวดคิ้ว“ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกันว่ะ แต่พอเห็นหน้าเด็กคนนั้นแล้วมันเกิดความรู้สึกว่าปล่อยไว้ไม่ได้ ยังไงกูก็ต้องช่วย”

         หากให้อธิบาย พูดให้ตรงความคิดเลยก็คงเป็นเพราะความรู้สึก‘ติดค้าง’อยู่ลึกๆในใจนี่ล่ะมั้ง แต่บอกออกไปไอ้เพื่อนคนนี้คงไม่เข้าใจอยู่ดี เพราะตัวเขาก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเลยนี่สิ

         “เห็นหน้า? อยู่ตั้งไกลเนี้ยนะ?”

         “อืม อีกอย่าง...”ผู้ชายคนนั้นไวกว่าเขาเสียจนฝีเท้าอดีตแชมป์วิ่งเยาวชนเทียบไม่ติดฝุ่น

         วิ่งตัดหน้าคว้าเอาตัวคนที่กำลังจะถูกรถชนเข้าสู่อ้อมอกปกป้องไว้ได้อย่างทันท่วงที แต่ในช่วงจังหวะที่วิ่งผ่านตัวเขาไปนั้น คับคล้าย… จะเห็นดวงตาของอีกฝ่ายเรืองรองดุดันอย่างน่าประหวั่น?
ความโกรธาที่ยากจะคณานับ ช่างเป็นดวงตาที่แสนคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก

         “อีกอย่าง?”

         กรรณหยุดเท้ารวมถึงความคิด ยกมือขึ้นวางบนบ่าเพื่อนที่ส่วนสูงไล่เลี่ยกันตบปับด้วยความแรงที่ไม่น้อยนัก“เมื่อไหร่มึงจะเลิกทำตัวเป็นขี้ติดก้นกูสักทีวะไอ้เมฆ”

         เมฆนาทเบิกตากว้างก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดังฟังชัด ไม่มีสลดหรอกเมื่อถูกเพื่อนว่ากล่าว กลับดูชอบอกชอบใจแทนเสียอย่างนั้น กรรณถอนหายใจนึกหน่าย ใช่ว่าจะขับรถไม่เป็นหรือไม่มีรถให้ขับเสียเมื่อไหร่ ไม่รู้ว่ามันเห็นเขาเป็นสารถีประจำตัวไปแล้วหรืออย่างไร

         หนุ่มผิวแทนเลิกให้ความสนใจ หมุนกายเดินตรงไปยังรถ กระนั้นกลับต้องอ้าปากค้างยืนนิ่งงันอยู่กับที่

         “จุ๊ๆ ลูกรักของมึงถูกพรากพรหมจรรย์ตูดไปซะแล้วว่ะกรรณเอ้ย”

         “น้องลี่ย์ลูกพ่อ!”

         น้องลี่ย์หรือรถยี่ห้อเบนท์ลี่ย์ คอนติเนนทัลที่จอดอิงแอบหลบแสงแดดแผดเผาอยู่ใต้ร่มต้นชมพูพันทิพย์ที่ประจำ เคยสวยใสไร้มลทินด้วยได้รับการดูแลอย่างดีจากพ่อที่ชื่อว่าอัยการ บัดนี้ปรากฏร่องรอยถลอกลากยาวราวครึ่งไม้บรรทัดใต้ไฟท้าย เสมือนถูกอะไรบางอย่างสีเข้าอย่างจัง

         “ไปถูกใครเขาสีมาล่ะนั่น”เมฆนาทผิวปาก ทำเสียงจุ๊ๆเมื่อนั่งยองลงสำรวจรอยแผลบนรถสุดที่รักของเพื่อน
กรรณถลาเข้าลูบคลำสำรวจบาดแผลของ‘ลูกรัก’ ...น้ำตาตกในแต่เพลิงแค้นสุ่มแน่นในอก

         “ใครทำลูกกู!”ทั้งตาทั้งสีหน้าอาฆาตสุด พาลให้เพื่อนสนิทอย่างเมฆนาทอดขนลุกขนพองไม่ได้ มือหนาฉวยหยิบกระดาษที่แปะอยู่ข้างรอยแผลขูดสีหลุด อืม …ใช้สก็อตแทปติดเสียด้วย ช่างไม่กลัวตายเลยจริงๆ

         “ขอโทษนะจ๊ะ พอดีรีบมาก แต่จะกลับมารับผิดชอบแน่นอน จุ๊บๆ ปล.อย่าโกรธเราเลยนะคนดี อุแง้ คือเรารีบจริงๆอ่ะ ขอโทษอีกครั้งน้า ลงชื่อ XXXX ...มีนะจงนะจ๊ะ ลายมือเล็กๆน่ารักแบบนี้น่าจะเป็นผู้หญิงว่ะ ส่วนรหัสนักศึกษา …แหม อยู่คณะศิลปกรรมศาสตร์ สาวสายอินดี้ซะด้วย”

         เมฆนาทจุ๊ปากอีกรอบ ขณะที่กรรณเมื่อได้ฟังตายิ่งลุกเป็นไฟยืนขึ้นเต็มความสูงมือคว้าหมับเข้าที่กระดาษยับๆในมือเพื่อน กวาดสายตาไล่อ่านตามลายมือเรียงตัวสวยราวอักษรคัดไทย

         ไหนว่ารีบ? ไหงมีหน้ามาเขียนบอกกล่าว ลายมือหรือก็เป็นระเบียบเรียบร้อยเสียจนนึกว่านั่งพับเพียบบรรจงเขียนเลยด้วยซ้ำ

         มือกำกระดาษที่บ่งบอกถึงการแสดงความรับผิดชอบแบบชุ่ยๆแน่น ให้ยู่ยับยิ่งกว่าเก่า

         “จะใช้ชดใช้อย่างสาสมเลย คอยดู!”

         ฮึ่ม!





         โรงพยาบาลหรือโรงแรม อันนี้ลักษมัณเองชักจะเริ่มไม่แน่ใจ

         ห้องพักสำหรับญาติผู้ป่วย VIP …ลักษมัณไม่อาจรู้ว่าโรงพยาบาลเอกชนจะมีเหมือนกันหมดหรือไม่ แต่ที่นี่คล้ายจะให้ความสำคัญทั้งกับผู้ป่วยแล้วก็ญาติของผู้ป่วยไม่น้อย จะด้วยเหตุหรือจุดประสงค์แฝงนัยใดก็ตามแต่

         เมื่อเข้ามาในห้องพัก ก็ราวกับหลุดเข้ามาอีกโลก โซฟาบุนวมอย่างดีสีน้ำเงินเข้มตั้งวางเป็นสัดส่วนประมาณ ๔ ชุด ๔ มุม ทั้งยังมีจอแอลซีดีขนาดใหญ่ฝังติดผนัง …ดูหรูหรามาก กระทั่งพรมปูที่เหยียบย่ำยังให้ความรู้สึกนุ่มเท้าแม้จะใส่รองเท้าอยู่ก็ตาม

         อื้อหือ…

         “นี่เรายังอยู่ในโรงพยาบาลแน่ใช่ไหมครับ พี่เปา?”เพราะเดินคุยกันมาตลอดทาง แม้จะเป็นการชวนคุยเพียงฝ่ายเดียวของลักษมัณก็ตาม แต่เขาก็นับอีกฝ่ายเป็นพี่ไปเสียแล้ว จะเรียกคุณอีกฝ่ายก็ไม่ยอม ลักษมัณเลยตัดปัญหาด้วยการเรียกพี่ไปเสีย

         สุดท้าย‘พี่เปา’ก็คล้ายจะมีสีหน้าไม่สู้ดียิ่งกว่าเดิม ได้ยินว่า อะไร ‘ตีตัวเสมอ’ หรือ ‘รู้เข้าตายแน่’ สักอย่างนี่ล่ะ บอกตามตรงเลย …ไม่เข้าใจเลยสักนิด จะเอ่ยปากถาม เห็นหน้าตาพี่เปาแลเคร่งเครียด กลัวจะไปเพิ่มความเครียดไร้ที่มาให้อีกฝ่ายเข้าอีก หลายก้าวให้หลังลักษมัณเลยเลือกปิดปากเงียบมาตลอดทาง เพิ่งจะมาเปิดปากอีกทีก็เอาตอนนี้นั่นล่ะ

         “ยังอยู่ในโรงพยาบาลสิครับ”แอบเห็นพี่เปาหัวเราะ ท่าทางจะเลิกเครียดแล้ว โล่งอก อ้าปากกะเอ่ยถามถึงเจ้านายของอีกฝ่าย…

         “แล้วคุณ…”

         “ทศคะ ที่มนเซ้าซี้แบบนี้ก็เพราะมนเป็นห่วงทศนะคะ”

         หยุดชะงักทั้งคนเดินนำและคนเดินตาม หันไปตามเสียงก็ให้เห็นคนที่กำลังจะถามหายืนอยู่ข้างโซฟา ท่าทางคล้ายเพิ่งลุกขึ้นยืนเลยหมาดๆ และเมื่ออีกฝ่ายหันกลับมาจึงสบสายตาเข้ากับลักษมัณที่ยืนชะงักกลางทางทันที

         ไม่ได้ตั้งใจ …แต่เผลอตกใจกับสีหน้าที่เหมือนจะเข้มดุมากกว่าปกติ ยืนแข็งนิ่งงันอยู่กับที่ ทั้งที่ใจลักษมัณอยากจะขอตัวลี้ภัยไปอีกทาง เมื่อมีสายตาอีกหนึ่งคู่มองตามมา

         “มาแล้วหรือ”กายสูงใหญ่ก้าวเท้าเดินตรงมายังเขา กระทั่งสีหน้ายังดูอ่อนลงหลายส่วน แต่เมื่อนั้นลักษมัณจึงได้เพิ่งสังเกตอีกฝ่ายแบบเต็มตา

         ตอนนี้คุณทศพักตร์เปลี่ยนมาสวมเสื้อโปโลแขนสั้นสีดำแทนเชิ้ตตัวเก่า แขนข้างซ้ายมีผ้าคล้องแขนห้อยพาดคล้องคอ ข้อมือพันด้วยผ้าพันแผลสีขาว ขณะที่ข้อศอกเองก็โปะด้วยผ้าพันแผลอีกหนึ่งที่ อาการดูหนักกว่าที่ลักษมัณคาดไว้ไปไกลโข

         “แขนคุณ”

         “ไม่เป็นอะไร”ไม่รู้ด้วยเหตุใดจึงได้รู้สึกร้อนผ่าวที่หัวตา เห็นอยู่ชัดๆว่าผลของการช่วยเขาทำให้คุณทศพักตร์ต้องเจ็บถึงขนาดนี้ เพราะเขา…

         “แค่เจ้าลักษมณ์เป็นห่วง พี่ก็ราวจะหายดีแล้ว”

         สัมผัสที่อุ่นกว่าตอนอยู่บนรถแตะลงบนหน้าผาก ใบหน้าคมคร้ามเผยรอยยิ้มบางออกมาขับวงหน้าดุดันให้อ่อนโยนลงอย่างไม่น่าเชื่อ

         “กลับกันเถิด เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

         มือใหญ่ดุนเป้ดันหลังให้ลักษมัณจำต้องทำตามอย่างเสียไม่ได้ หากชั่วขณะที่กำลังหันหลัง ดวงตาเผลอสบเข้ากับนัยน์ตากลมโตเฉี่ยวคมด้วยอายไลเนอร์เข้าอย่างไม่ตั้งใจ

         แฟนคุณทศพักตร์?

         สวย …แต่แววตากลับดุเสียจนลักษมัณแทบหันหน้ากลับไม่กล้าสบสานต่อแทบไม่ทัน

         คล้อยหลังนัยน์ตากลมพลันตวัดตกยังร่างใหญ่ที่ยืนปักหลักขวางหน้าไว้ เมื่อเห็นผู้เป็นนายออกจากห้องไปเรียบร้อย เปาวนาจึงคิดตาม แต่กลับถูกรั้งไว้ด้วยแววตาเชือดเฉือนที่มาพร้อมกับคำพูดสอบถาม

         “เด็กนั่นใคร”

         “ผมตอบไม่ได้ครับ”

         “นายเปา!”

         “ขอโทษนะครับคุณมน”มันโค้งตัวเล็กน้อยให้กับ ‘ว่าที่’คู่หมั้นของผู้เป็นนายแล้วหมุนตัวสับเท้าออกจากห้องพักญาติในทันใด

         เพราะเป็นหลานสาวสุดที่รักของเจ้าสัวรณชัยเจ้าของโรงพยาบาลแห่งนี้ แม้งานจะรัดตัวเพียงใด หากเมื่อได้รู้ว่า‘ว่าที่’คู่หมั้นเข้ารับการรักษาเนื่องด้วยประสบอุบัติเหตุ มันไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อยที่เห็นดีไซเนอร์สาวเจ้าของแบรนด์ไทยชื่อดังอย่างมนฑิกามาปรากฏตัวที่นี่ในเวลานี้

         กระนั้นหน้าที่ตอบคำถามของสาวเจ้าก็ไม่ใช่หน้าที่พึงกระทำของมัน

         นายของมันไม่ใคร่พิสมัยเรื่องยุ่งยากกวนใจนัก

         แน่นอนว่ามนฑิกาเองก็นับเป็น‘เรื่องยุ่งยาก’ที่ว่านั่นด้วยเช่นกัน

---------
โปรดติดตามตอนต่อไป
---------

คนแก่เค้าก็จะติดสำเนียงแปลกๆแปร่งๆแบบนี้ล่ะค่ะ // โดนบาทยักษ์สะกิดปลิว แอ่ก
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๔ (๑๖/๐๒)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 16-02-2019 20:10:07
ตัวร้ายโผล่มาแล้วซินะ   :hao3:
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๔ (๑๖/๐๒)
เริ่มหัวข้อโดย: somberness ที่ 16-02-2019 20:25:43
ชอบเรื่องนี้ ชอบๆ ชอบเหลือเกิน  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๕ (๑๗/๐๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ShinrinYoku ที่ 17-02-2019 15:20:30
         ตอนที่ ๕

         สิ่งที่ลักษมัณเป็นกังวลไม่ใช่เรื่องเป็นหรือไม่เป็นโรคหัวใจแต่อย่างใด เพราะผลตรวจออกมาว่าสุขภาพของเขานั้นแข็งแรงดีทุกประการ แข็งแรงเสียยิ่งกว่าแข็งแรงอีกบอกเลย …แม้จะมีแต่ก้างไม่มีกล้ามเหมือนใครอื่นเขาก็ตามที

         ปัญหาหนักอกหนักใจ ที่ลักษมัณเพิ่งค้นพบ หลังได้รับผลตรวจจากคุณพยาบาลอีกคนที่ไม่ใช่พี่พยาบาลที่ดูแลเขาตั้งแต่ต้นยันตรวจเสร็จ แทบร้องเรียกหาแว่นขยายมาส่องดูตัวเลขที่ระบุไว้ด้านล่างมุมขวาของผลสรุปค่ารักษาแผลถลอก ค่าหมอ ค่าตรวจร่างกาย บวกค่าจิปาถะอีกเล็กๆน้อยๆ กันเลยทีเดียว

         นี่มันค่าตรวจร่างกายตามปกติหรือค่ารักษามะเร็งระยะสุดท้ายบวกโรคร้ายติดตัว?

         “พี่จัดการแล้ว”

         ประโยคเดียวจบซึ่งทุกอย่าง จริงๆถ้ามียาดมลักษมัณคงเอามาอุดจมูกไว้แล้ว บอกตามตรงว่าเพียงเห็นตัวเลขเขาก็ลายตาไปหมด ต้องกัดก้อนเกลือกินอีกกี่ปีหนอถึงจะมีเงินมาใช้หนี้เขาหมด…

         นัยน์ตาคู่สวยแอบลอบเหลือบมอง กายสูงใหญ่แลดูองอาจนั่งเหยียดหลังตรงแม้มีเบาะรถนุ่มรองหลังบรรเทาเมื่อยอยู่ก็ตาม ดวงตาปิดสนิทดูสงบนิ่งจนพาให้ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงด้วยกลัวจะทำให้อีกฝ่ายหลุดออกจากการนั่งเข้าฌานเอา

         หรือบางทีคุณทศพักตร์อาจจะกำลังพักผ่อนเอาแรง แต่ใจลักษมัณนี่สิไม่เป็นสุขเอาเสียเลย

         หลังจากขึ้นรถมาคนตัวใหญ่ก็ไม่ได้พูดอะไรกับเขาอีก เรื่องค่ารักษาที่อีกฝ่าย‘ออกให้ก่อน’นั้นก็ไม่มีแม้แต่แย้มเอ่ยออกมา บรรยากาศในรถจึงเงียบสงบมาตลอดจนถึงตอนนี้ที่ใกล้ถึงบ้านของเขาแล้วเต็มที

         เอาวะไอ้รัก เป็นไงเป็นกัน คุณเค้าคงไม่จับเขาโยนออกนอกรถเพียงเพราะไปขัดการเข้าฌานเข้าให้หรอก …มั้ง?

         ในขณะที่อีกคนหลุกหลิกไม่อยู่สุข แม้จะรู้สึกตัวตั้งแต่แรก แต่คนหน้านิ่งนั่งปิดตาสงบก็ยังคงพยายามปั้นหน้านิ่งให้ดวงตาซุกซนได้จดได้จ้องต่อไป

         หากภายนอกช่างดูเยือกเย็น ผู้ใดเล่าจะรู้ซึ้งซึ่งภายในว่าสุดจะอดกลั้นยั้งใจเพียงใด

         อยู่ใกล้กันถึงเพียงนี้ทว่าไม่อาจแตะต้องได้ดั่งใจเรียกร้อง ไม่อาจบอกกล่าวออกไปได้ว่าโหยหาเจ้ามากเพียงใด รอคอยเพื่อพานพบกับเจ้าอีกครั้งมาเนิ่นนานแค่ไหนแล้ว ชั่วขณะที่ได้รวบร่างโปร่งเข้าแนบอกแม้จะเป็นในสถานการณ์ที่ฝ่ายนั้นมิได้จำยอม ดวงฤทัยนี้กลับล้นปรี่ด้วยยินดีเพียงไร

         เจ้าลักษมณ์เอ๋ย...
         เจ้าลักษมณ์ของพี่......


         “…คุณทศครับ”

         “พี่”ดวงตาคมลืมฉับหันมามอง ก่อนเสียงทุ้มจะเอ่ยต่อประโยค“‘พี่ทศ’ ไม่ใช่‘คุณ’”

         นัยน์ตาสีดำขลับหลุบลงพร้อมกับวงหน้าที่ก้มเล็กน้อย เผยให้เห็นขวัญตรงกึ่งกลางศีรษะทุย วงหน้าคมโน้มลงนึกอยากใช้จมูกสัมผัสดูสักหน ก็ให้พอดีกับใบหน้านวลที่เงยขึ้นเผยอปากเอ่ย

         “พี่…” ชะงักกึกกันทั้งคนอายุมากกว่าและคนอ่อนวัยกว่า “…ทศ” แม้จะเดดแอร์ไปบ้างแต่ลักษมัณก็เอ่ยตามหลังจนจบคำ

         “เรียกอีกครั้ง”เอ่ยเรียกร้องทั้งที่ยังไม่ขยับหน้ากลับออกห่าง

         “พี่ทศ”

         ลักษมัณคล้ายตาพร่าไปเมื่อเห็นรอยยิ้มที่ไม่เพียงชั่วแวบชั่วประเดี๋ยวอีกต่อไป

         “…ไม่คิดว่าคุณทศพักตร์จะชอบใจที่ถูกเรียกว่า‘พี่’ขนาดนี้”ตอนแรกก็นึกว่าพูดกับตัวเองในใจ ที่ไหนได้เสียงกลับออกมาทางปากไม่ใช่อยู่แค่ในใจ ให้ได้ยินและเงียบกันไปทั้งคันรถ …จากที่ก็เงียบอยู่แล้ว

         ร่างใหญ่ที่ถูกคนเด็กกว่านึกว่า‘ชอบใจที่ถูกเรียกพี่’มุ่นหว่างคิ้วเล็กน้อย มือขวายกขึ้นแตะนิ้วชี้ลงบนหน้าผากนูนได้รูปด้วยให้หมั่นเขี้ยว“ทะเล้นนัก”

         ลักษมัณอดไม่ได้ หลุดขำออกมาเบาๆ แต่ก็รู้ว่าทั้งคันรถเงียบเพียงใด เสียงหัวเราะของเขาจึงดังกังวานอย่างไม่ได้ตั้งใจให้เป็น ขณะที่ทศพักตร์เพียงส่ายหน้าก่อนผละออกห่างหลังจากเผลอขยับเข้าชิดใกล้ ทั้งที่ใจจริงนั้นอยากรั้งดึงเอวกกกอดเด็กทะเล้นเสียให้จมอก

         “เรื่องค่ารักษาพยาบาล ไม่ต้องเป็นกังวล เข้าใจไหม?”

         “แต่ผม…”ไม่คาดว่าเพียงแค่สบตา อีกฝ่ายก็คล้ายจะล่วงรู้ถึงความคิดของเขาจนหมดเปลือก ลักษมัณไม่ได้อยากดื้อแพ่งเพียงแต่ค่ารักษาที่ว่านั้นใช่หลักร้อยใช่หลักพันเสียเมื่อไหร่ …นี่ยังนึกอยู่เลยว่าถ้าได้เข้าเครื่องสแกนร่างกายจนครบขั้นตอน ความเสียหายจะเพิ่มขึ้นมาอีกบานเบอะแค่ไหน

         “สิ่งใดที่พี่ยกให้แล้ว พี่ไม่เคยคิดขอคืน”จนคำพูดเมื่ออีกฝ่ายแสดงถึงความตั้งใจไม่เอนคลอน“แล้วก็ไม่ต้องรู้สึกผิดไปเพราะคนที่เต็มใจจะช่วยก็คือตัวพี่ อีกอย่างถึงคนเดินถนนจะระวังเพียงใด หากคนขับรถที่ใช้ถนนร่วมกันไม่ระวังและประมาท อย่างไรอุบัติเหตุเช่นนี้ก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี”

         “แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รู้สึกไม่ดีอยู่ดี ถ้ามีอะไรที่...”ลักษมัณชะงักคำพูด เมื่อกระหวัดนึก คุณทศพักตร์ที่ดูท่าแล้วน่าจะมีซึ่งทุกสิ่งที่ต้องการ จะมีอะไรให้คนธรรมดาสามัญที่มีบ้างไม่มีบ้างอย่างเขาช่วยเหลือได้กัน

         “ถ้ามีอะไรที่?”สุ่มเสียงเข้มทอดอ่อนทวนคำ

         “ถ้าหากคุณต้องการให้ผมช่วยล่ะก็ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม หากผมทำให้ได้ ถ้าคุณต้องการ บอกผมได้เลยนะครับ”สีหน้าแลดูไม่มั่นใจทว่าแววตากลับมาดหมายมุ่งมั่น

         ดวงฤทัยพลันวาบอุ่นขึ้นมา แม้ดวงหน้างดงามจะเปลี่ยนแปรเป็นคมคร้าม

         แม้รูปร่างสะโอดสะองจะแปรเปลี่ยนเป็นสูงโปร่งเข้มแข็งดั่งบุรุษกาลสมัยใหม่ แต่ส่วนลึกในดวงจิตนั้นยังคงไว้ซึ่งตัวตนเมื่อกาลก่อน มิมีแปรผัน

         “นึกซะว่าผมเป็นน้องชายของคุ เอ้ย ของพี่ทศก็ได้ครับ เวลาเรียกใช้สอยจะได้ไม่ต้องคิดเกรงใจอะไรกัน เนอะ”
ยังมาเนอะเสียหน้าซื่อตาใส พาให้คนคิดไม่ซื่อจำต้องขบกรามไม่ให้พลั้งเผลอรั้งอีกคนมากอดฟอดฟัดเสียให้ฉ่ำอกชื่นใจสักคราสองครา

         เจ้าลักษมณ์หนอเจ้าลักษมณ์ หากเจ้ารู้ว่าพี่กำลังคิดอกุศลสิ่งใดอยู่ ไม่แคล้วคงรีบถอยห่างไม่กล้าพูดให้เรียกใช้สอยได้ตามดั่งใจอีกเป็นแน่

         “พี่เปาครับ เดี๋ยวจอดข้างหน้าพุ่มไม้ตรงนั้นเลยครับ หน้าเรือนไทยหลังนั้นล่ะ”

         “พี่เปา?”

         เปาวนาที่เงียบเสียงไร้บทบาทมาช้านานสะดุ้งเกือบหักพวงมาลัยเลี้ยวจอดเลยตำแหน่งชนประตูรั้วบ้านเข้า มันกลืนน้ำลายลงคอหนึ่งเฮือกก่อนทำใจกล้าเหลือบตามองกระจกส่องหลัง ใบหน้าของนายจากที่เคยนุ่มละมุนยามสนทนากับคนเด็กกว่าที่นั่งอยู่ข้างกันบนเบาะหลัง บัดนี้กลับถมึงทึงเสียให้มันหวั่นอกหวั่นใจยิ่งนัก

         ลักษมัณไม่แม้รู้สึกตัวหันมองยังคนที่นั่งอยู่เคียงกันอีกครั้ง ยิ้มออกมาแววตาเจิดจ้าขับวงหน้าอ่อนเยาว์ให้เป็นประกายชวนทอดมอง

         ใครจะรู้ คุณทศพักตร์หน้าตาดุดันคมเข้มขนาดนี้ แต่ลองได้พูดได้คุยกลับใจดีและอ่อนโยนอย่างคาดไม่ถึง

         “ขอบคุณนะครับพี่ทศ”กระพุ่มมือไหว้ ขณะที่อีกฝ่ายด้วยติดแขนข้างซ้าย แม้ไม่ได้ยกมือรับไหว้แต่ก็พยักหน้ารับคำ สายตาทอดละมุนจับจ้องดวงหน้าอ่อนใสอยู่อย่างนั้น จนคนถูกจ้องมองมือไม้เก้งก้างเกะกะอย่างบอกไม่ถูก

         เลยเหหันไปกระพุ่มมือไหว้คนเบาะหน้า เบนความสนใจตัวเองออกจากความรู้สึกยุบยับในหัวใจ “ขอบคุณพี่เปาด้วยนะครับ”

         “ค ครับ”เปาวนามือไม้อ่อนนักในยามนี้

         ตาคมดุมองตามร่างโปร่งที่ก้าวลงจากรถ หากแต่ประตูยังไม่ทันปิด ใบหน้าแฉล้มพลันส่งยิ้มกว้างจนดวงตาเหลือเพียงดวงจันทร์สองเสี้ยวน้อยมาให้

         “ฝันดีล่วงหน้านะครับพี่ทศ”

         มือขวากำที่จับประตูรถแน่น หักใจปิด ซึ่งผู้เป็นสารถีกลับรู้ใจนายนักกดเลื่อนหน้าต่างรถลง

         ทศพักตร์มองวงหน้านวลขาวสลักลึกมั่นลงในหทัย มุมปากยกรอยยิ้ม แม้จะไม่มากเท่าลักษมัณแต่ก็พาให้เด็กหนุ่มนอกรถชะงักงันไป

         หูแก้มร้อนผ่าวเหมือนอังอยู่ข้างเตาไฟ

         “ฝันดีเช่นกัน เจ้าลักษมณ์ของพี่”





         เปาวนามองวงหน้าคร้ามดุของนายเหนือหัวผ่านกระจกมองหลัง สีพักตร์แลอ่อนโยนอีกทั้งนัยน์เนตรราวกลับกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ให้นึกอิ่มอกอิ่มใจไปกับผู้เป็นนายไม่น้อย

         “เปาวนา”

         “ครับบอส?”

         แต่ก่อนเคยเผลอตอบตามความชินปากว่าไปว่า‘พ่ะย่ะค่ะ’ต่อหน้าลูกน้องคนอื่นๆ หลังจากนั้นพูดไม่ได้ไปอีกเป็นแรมเดือนด้วยกล่องเสียงอักเสบจากการใช้เส้นเสียงในการตะโกนติดต่อกันเป็นระยะเวลานานเกินไป นับเป็นบทลงโทษที่ชวนให้เข็ดขยาดไม่กล้าอาจหาญตอบตามความชินปากเช่นนั้นอีก

         มาคราวนี้ มันชักนึกหวั่นในใจขึ้นมา เมื่อแววเนตรของนายกลับมาเยียบเย็นแลไร้ความรู้สึกอีกครั้ง บรรยากาศช่างแตกต่างจากเมื่อครู่ลิบลับ

         “คนขับรถคันนั้นเป็นอย่างไร”

         ถามเพราะต้องการทราบความคืบหน้า ไม่ใช่ถามเพราะห่วงใยในสวัสดิภาพแต่อย่างใด

         “คงอีกนานกว่าจะออกจากโรงพยาบาลครับ แต่ถึงออกจากโรงพยาบาลได้ มันก็ไม่อาจขับรถได้อีกตลอดชีวิตของมัน”

         “อืม”นายพยักหน้ารับก่อนนิ่งเงียบไป คล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

         สำหรับอดีตเสนาพงศ์อสุราฝ่ายขวาอย่างเปาวนา กริยาเล็กน้อยอย่างการพยักหน้าจากผู้เป็นนาย กลับมีความหมายต่อมันยิ่งนัก แม้ขยับเพียงน้อยนิดแต่นั่นนับเป็นการชื่นชมจากใจจริงของนาย และสิ่งนั้นนำมาซึ่งความตื้นตันยินดีทุกครั้ง

         “พี่เปา …อย่างนั้นหรือ?”

         จากปลื้มอกปลื้มใจนักที่ถูกนายชม บัดนี้กลับมีเหงื่อผุดผาดขึ้นเต็มแผ่นหลัง ในใจให้รู้สึกหวั่นหวาดขึ้นมา

         คุณลักษมัณนะคุณลักษมัณ… ไม่ได้ล่วงรู้เอาเสียเลยว่าได้วางดักระเบิดใดไว้ให้‘พี่เปา’คนนี้





         ลักษมัณนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นบ้านไม้ บนหน้าตักมีขิมวางอยู่ ๑ ตัว ในมือถือแปรงขนยาวขนาดเล็กปัดทำความสะอาดเส้นสาย ด้านซ้ายมือมีเบาะผ้ารองปูโดยมีซอด้วง ๒ ตัว วางพักเตรียมเก็บหลังทำความสะอาดเสร็จ ส่วนข้างหน้าคือตั่งไม้ขัดเงา บนตั่งไม้อีกทีมีครูเอกอรุณนอนตะแคงข้างมือขวาท้าวศีรษะ อีกมือถือพัดจีนที่ได้มาจากเถ้าแก่สำเภา ซี้ปึ้กสมัยเก่าก่อนของแก

         คำเรียกแทนอีกอย่างของครูเอกอรุณคือ‘พ่อจ๋า’ ...พ่อจ๋าที่ลักษมัณนึกถึงไปเมื่อตอนก่อนๆแต่ยังไม่เปิดเผยตัวนั่นล่ะ

         “แล้วสรุปเอ็งไปโรงพยาบาลกับใคร พูดจาเล่าวกไปวนมาเวียนๆวนๆจนพ่อชักจะปวดเศียร”ปากแทะเม็ดแตงโม หน้าหรือก็ขาวผ่องด้วยแป้งเย็นตรางู สีหน้าแลแจ่มชื่นดูไม่คล้ายคนปวดเศียรเวียนเกล้าเสียเท่าไหร่

         “ไปกับผู้มีพระคุณไงล่ะจ๊ะพ่อ เขาเองก็เจ็บ แถมยังเจ็บหนักกว่ารักอีก ถึงขั้นเข้าเผือกอ่อนเลยนะจ๊ะ”หน้าขาวผ่องไม่ผิดแผกไปจากพ่อจ๋านักเพราะก็ทาแป้งกระป๋องเดียวกันแลหงอยลง

         เรื่องนี้ต่อให้พูดถึงกี่รอบ ลักษมัณก็ยังคงรู้สึกผิดอยู่ดี

         ครูเอกอรุณเองราวกับมองทะลุซึ่งความคิดของบุตรชาย แน่ล่ะ! ไม่อย่างนั้นเขาจะเป็นพ่อจ๋าของไอ้รักมันได้ยังไง

         มะเหงกจัดการเขกโป๊กลงบนเหม่งอันมีที่คาดผมเสยผมด้านหน้าขึ้นเปิดรับลม ไม่ได้กะจะรับมะเหงกเลยแม้แต่นิด แต่เหมือนพ่อจ๋าจะไม่เข้าใจ

         “โอ๊ย”โป๊กปุ๊บร้องปั๊บ

         “วันหลังก็พาเขามาเที่ยวเล่นที่บ้านเราสักครั้งสิ พ่อจะจัดหาของกินสั่งเครื่องบำรุงจากจีนมาให้คุณเค้า ตอบแทนที่ช่วยลูกบังเกิดเกล้าหน้าซื่อตาเซ่อของพ่อเอาไว้ และถ้าคุณเค้ามีน้องมีนุ้ง หรือหลานอายุน้อยๆก็ให้มาเรียนดนตรีที่บ้านเราฟรีๆไปเลย”

         “ฟรีเลยสักปีสองปี?”

         “คุณพระ! เดือนสองเดือนพอลูก เรียนฟรีเป็นปีระหว่างนี้เอ็งก็แหลกแกลบไปก่อน ดีไหม หะ แหมะ ไอ้ลูกคนนี้”

         ลักษมัณหัวเราะเอิ้กอ้าก ละมือจากขิมกระเถิบก้นไปใกล้ๆตั่งนั่งของพ่อจ๋าพร้อมยกมือขึ้นบีบๆนวดๆขาให้อย่างประจบเอาใจ

         เอกลักษมณ์ดนตรีศิลป์ มาจากชื่อพ่อจ๋าผนวกเข้ากับชื่อของลักษมัณ ได้เป็นชื่อเต็มๆของโรงเรียนสอนดนตรีไทย โดยมีตัวบ้านเรือนไทยยกสูงหลังคาทรงปันหยาอันเป็นมรดกของตระกูลหลังนี้เป็นที่ทำการ ครูเอกอรุณแต่ก่อนเคยสอนดนตรีอยู่ที่โรงเรียนเอกชนค่าเทอมแพงย่านธุรกิจแห่งหนึ่งตามสัญญาที่ได้ให้ไว้กับเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ โบร่ำโบราณเสียยิ่งกว่าเถ้าแก่สำเภาที่เห็นแวะเวียนเอาของจากจีนมาฝากอยู่บ่อยๆเสียอีก ซึ่งหลังจากสิ้นสัญญาครูเอกอรุณก็กลับมาเปิดกิจการโรงเรียนสอนดนตรีไทยเป็นของตัวเอง โดยที่มีลักษมัณเป็นลูกจ้างราย(บาง)วัน

         “ว่าแต่ ไม่ได้ฟังเอ็งเล่นขิมสีซอมานาน ไหนๆก็ไหนๆ วันนี้มาเล่นให้พ่อฟัง กล่อมพ่อนอนหน่อยมา”พูดพลางลูบๆตบๆกระหม่อมลูกรัก เอ็นดูหรอกหนา …เอ็นดูเสียผมลูกปลิวเลยทีเดียว

         “ยังไม่สองทุ่มเลยนะจ๊ะพ่อ จะนอนแล้วเหรอ กินแล้วนอนเดี๋ยวก็พุ้ยลงพุงอย่างที่เถ้าแก่เภาเพื่อนซี้พ่อว่าเอาครั้งก่อนนู่นหรอก”

         ลักษมัณหัวเราะเสียงดังคิกคักให้ระคายหูพ่อจ๋ายิ่งนัก ดูลูกชายมันกวนตีนพ่อบังเกิดเกล้า เดี๋ยวจะโดน...

         ยกขาแล้วเตรียมสำเร็จโทษ แต่ลูกชายตัวดีดั๊นไหวตัวทัน ลุกขึ้นเอาซอที่ปัดทำความสะอาดเสร็จอยู่นานสองนานไปวางเก็บเข้าที่ในห้องพักเครื่องดนตรี แต่ที่เป็นสาระสำคัญเลยคือกะหนีฝ่าเท้านวลๆของพ่อจ๋าโดยเฉพาะ

         “วันนี้ขิมอย่างเดียวพอเนอะพ่อ เล่นทั้งซอสีทั้งขิมเพื่อนบ้านพากันหลอนหู นอนไม่หลับลุกขึ้นมาปาฝาหม้อใส่จะยุ่งเอาอีก”ลักษมัณจัดแจงนั่งพับเพียบลงยกมือพนมไหว้ครูบาอาจารย์ทุกครั้งก่อนเล่นเครื่องดนตรี ส่วนพ่อจ๋านั้น …เอนหลังนอนเกาพุงหลับตาพริ้มแล้วนั่น

         “ขิมบ้านเอ็งสิเรียกสี ทะเล้นนักไอ้ลูกคนนี้ แม่จ๋าของเอ็งก็ออกจะเรียบร้อยเป็นกุลสตรีที่น่าเคารพรัก ไปเอาไอ้ความทะลึ่งตึงตังนี้มาจากใครกันวะ หือ”

         ไม่น่าถามเลยหนอ“ถ่ายทอดกรรมพันธุ์โดยตรงมาจากพ่อจ๋าล้วนๆเลยจ้ะ”หัวเราะคิกเข้าอีก

         “เออ! ก็จริงของเอ็ง ฮ่าๆ”พ่อจ๋าก็หัวร่อรับลูกล้อของลูกรักเสียอย่างนั้น

         พ่อลูกนับว่าศีลเสมอกันโดยแท้จริง





         เมื่อส่งพ่อจ๋าที่ฟังลูกตีขิมจนพอใจเข้าห้องนอน หลังจากเดินตรวจตราหับประตูปิดหน้าต่างลงกลอนเรียบร้อย ลักษมัณก็เข้าห้องตัวเองบ้าง จัดแจงเปิดหน้าต่างที่อยู่เยื้องกันกับโต๊ะเขียนหนังสือเพื่อระบายอากาศ วันนี้อากาศไม่ร้อนเท่าไรแค่พัดลมตัวเก่งปลายเตียงตัวเดียวก็เอาอยู่ อีกทั้งยังมีมุ่งลวดกันยุงจึงไม่ต้องกังวลเรื่องตัวลายไข้เลือดออกแม้แต่น้อย

         ขณะนั้นนั่นเองกลิ่นหอมอ่อนอันคุ้นเคยพลันโชยพัดผ่านมากับลม มือที่กำลังจะปลดผ้าม่านชะงักทันใด มองลงไปชานข้างบ้านก็ให้เห็นเป็นพุ่มไม้‘มะลิซ้อน’อันเป็นสาเหตุของกลิ่นหอมที่ขจรขจายอยู่ในตอนนี้

         “กลิ่นนี้… ถึงว่าทำไมถึงคุ้นนัก!”

         ที่แท้กลิ่นหอมอ่อนของดอกไม้ที่ลักษมัณได้กลิ่นมาตลอดช่วงนี้นับกลับจากร้านเหล้าหลังเมาเป็นหมาให้ไอ้พี่เวสหาเรื่องล้อไม่เว้นช่วง ก็เป็นกลิ่นหอมของดอกมะลิซ้อนนี่เอง

         แล้วทำไมกัน ลักษมัณเชื่อว่าไม่มีร้านเหล้าที่ไหนคิดปลูกต้นมะลิไว้ในห้องน้ำแน่นอน

         เอ้ะ หรือว่ามีกันหว่า?

         เด็กหนุ่มทอดถอนใจ คิดอย่างไรก็คงคิดไม่ตกอยู่ดี ปลดผ้าม่านลงปิดขยับจัดให้เข้ารูปเข้ารอยเล็กน้อยก่อนทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ไม่ห่างกันนัก หนังสือเรียนกางอ้ากระดาษรายงานเตรียมวางเคียง บิดขี้เกียจพลางเหลือบมองนาฬิกาที่ตั้งอยู่ตรงมุมขวาของโต๊ะ

         ปั่นการบ้านเสร็จก็น่าจะสักสี่ทุ่มห้าทุ่ม ยังไงเสียพรุ่งนี้ก็ไม่มีเรียน …

         ปลายนิ้วไล้ลงบนสันหนังสือปกสีกรมท่าที่แลซีดกว่าที่เคยจำได้ ตัวหนังสือวางอยู่บนชั้นวางหัวโต๊ะเขียนหนังสือ ข้างกันยังมีหนังสือปกต่างสีอีก ๑ เล่ม เป็น ‘หนังสือบทละคร เรื่อง รามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ ใน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช’ จำได้ว่าพ่อจ๋าบอกได้จากเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของแกมาอีกที แม้แต่ชื่อสำนักพิมพ์หรือปีที่พิมพ์ก็หาไม่มี
ความจริงลักษมัณเองก็แทบลืมไปแล้วว่ามีหนังสือที่ว่านี้อยู่ น่าแปลก… จำไม่เห็นได้ว่าหยิบมาวางไว้ตรงนี้ตั้งแต่ตอนไหน กลับถึงบ้านยังไม่ทันได้วางกระเป๋า ก็แลเห็นหนังสือ ๒ เล่มนี้วางอยู่บนโต๊ะก่อนแล้ว

         “หรือจะเป็นพ่อจ๋า?”ไหวไหล่ พลางคิดในใจว่าดีเหมือนกัน ไม่ได้อ่านเสียนาน ไหนจะเรื่องที่นายตูมตามเอามาขยายความให้ฟังเมื่อตอนกลางวันอีก

         “สักบทสองบทก่อนนอนก็แล้วกัน…”





         ในขณะที่ลักษมัณจดจ่ออยู่กับการเขียนหนังสือ ภายนอกเรือนไทยเอกลักษมณ์ดนตรีศิลป์พลันปรากฏเงาทะมึนเค้าโครงสูงใหญ่หนึ่งร่างยืนโยงอยู่ข้างพุ่มมะลิซ้อน เนตรสีชาดดุจโลหิตแดงฉานฉายประกายเรืองรองจับจ้องไม่ละวางไปยังบานหน้าต่างที่ปรากฏชายผ้าม่านไหวขยับตามแรงหยอกเย้าแห่งพระพาย

         ออกไป!

         เสียงหวีดแหลมดังกังวานก้องเมื่อบาทใหญ่ยักษ์ผิดมนุษย์ทั่วไปคิดสืบสานดำเนินเข้าอาณาเขต เนตรสีมรกตทอประกายอาฆาตมาดร้าย

         ‘พิษอัคคิมุขะ’ของเจ้าหาทำอันตรายใดต่อเราได้ไม่

         สุรเสียงเรืองอำนาจเอ่ยกล่าว กายาสูงใหญ่มิขยับก้าวบาทถอยแม้นครึ่งก้าว

         เรารู้ แลเพราะรู้จึงยิ่งมิอาจให้เจ้าก้าวล้ำเข้ามาในอาณาเขตของเราได้ กลับไปซะ!

         สิ้นเสียงพลันปรากฏให้เห็นเป็นอสรพิษขนาดใหญ่เกล็ดสีมรกตเข้ม เศียรชูแยกเขี้ยวคู่ขู่ผู้คิดลุกล้ำ
เมื่อนั้นลมกรรโชกพลันโหมกระหน่ำจนไม้ใหญ่ไหวเอน แม้นมีเพียง ๑ พักตร์ ทว่ากับนิมิตเห็นซ้อนทับถึงพักตร์ ๑๐ พักตร์ แต่ล่ะพักตร์นั้นหรือล้วนแล้วแสดงออกซึ่งความโกรธาแทบสิ้น

         กลิ่นมะลิซ้อนหอมฉุนผลักไส ลุกไล่เสียกายเหยียดยาวต้องร่นถอย แลด้วยฤทธาที่มิอาจเทียบเคียงพลันก่อให้เกิดบาดแผลกรีดลึกบนเกล็ดแข็งหุ้มฤทธิ์ที่มิอาจทานทนนับสิบกว่าแผล

         เห็นแก่ที่เจ้าคอยปกปักษ์แลตามคุ้มครองเจ้าลักษมณ์ในทุกชาติภพกำเนิด ไป!

         สิ้นสุรเสียงทรงอำนาจ เรือนกายเหยียดยาวของพญานาคากลับอันตรธานหายไปในทันใด หลงเหลือไว้แต่เพียงเสียงหวีดร้องด้วยความทรมาอันมิอาจดังไปถึงหูของมนุษย์ผู้ใด กระทั่งลมโหมกรรโชกก็พลันสงบลง ผกาอันส่งกลิ่นหอมฉุนเมื่อครู่โชยอ่อนลง

         พักตร์ในเค้าร่างทะมึนเงยขึ้นพิศวงหน้านวลผ่านม่านที่พลิ้วไหว สิ่งใดที่เกิดขึ้นในมิตินี้นั้นหาได้ส่งผลถึงมนุษย์ธรรมดาไม่
สองบาทขยับก้าวดำเนินหน้า ยังคงจับจ้องซึ่งมนุษย์ที่แม้นจักเกิดใหม่อีกสักกี่ครา ก็ยังคงตัวจ้อยร่อยเสมอในสายพระเนตรแห่ง‘อดีต’พญาอสุราผู้นี้


         หากมิบังคับฝืนเอา เจ้าจักมิมีวันจดจำสิ่งใดได้ ด้วย‘พันธะสาบาน’นั้น

         เพลาของพี่นี้เหลืออีกไม่กี่มากน้อยแล้วนะเจ้า…...

         อภัยให้พี่ด้วยเถิดหนา …เจ้าลักษมณ์ของพี่เอ๋ย



---------
โปรดติดตามตอนต่อไป
---------


ปล พิษอัคคิมุขะ เป็นพิษของ'พญานาค'ค่ะ จะมีฤทธิ์ทำให้ผู้ถูกพิษรู้สึกร้อนไปทั้งตัวดุจมีไฟมาแผดเผา แผลจะมีลักษณะเหมือนกับถูกไฟไหม้
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๕ (๑๗/๐๒)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 18-02-2019 03:14:58
หรือพี่ทศจะกลายร่างเป็นขุนแผนหว่า  :hao4:
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๖ (๒๐/๐๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ShinrinYoku ที่ 20-02-2019 16:40:08
         ตอนที่ ๖

         เสียงกลองรบแลเสียงโห่เอาฤกษ์นำชัยแว่วเข้าสู่พระกรรณ ครั้นเมื่อลืมเนตรขึ้นมาก็ให้เห็นเหล่าขุนพลวานรวิ่งสวนกันไปมาจ้าล่ะหวั่น พระลักษมณ์รูปทองผละวรกายลุกขึ้นจากโขดหิน ยามเมื่อพระวรกายนวลดุจทองทาดำเนินพ้นร่มเงาไม้ใหญ่ บังเกิดให้เห็นเป็นประกายเรืองรองหุ้มล้อมรอบกายาอรชรไว้

         ดั่งนิมิตแลเห็นดุจภาพลวงตากระนั้น

         “น้องลักษมณ์…”

         “เสด็จพี่ราม?”


         พระรามกะพริบพระเนตรก่อนดำเนินตรงมายังร่างอรชรของผู้เป็นอนุชา

         “พี่กำลังจักมาชวนน้องไปยังมหาสภาเพื่อประชุมศึกอยู่พอดี”พระหัตถ์ต้องลงบนพระขนองบอบบางแผ่วเบาก่อนพระพักตร์หล่อเหลาจักทอดพระเนตรตรงไปยังผู้ที่กำลังถือกระดานชนวนยืนคอยท่าอยู่เบื้องพักตร์“แต่เห็นทีจักไม่ต้องไปเสียแล้ว”

         พระอนุชารูปทองทอดเนตรตาม จึงให้เห็นโหรายักษ์พญาพิเภกยืนรอรีคอยทีอยู่ไม่ไกล

         “ครานี้เป็นผู้ใดนำศึกมาเล่า ท่านพิเภก?”

         เมื่อเห็นองค์เหนือหัวทรงตรัสถาม ฝ่ายพิเภกโหรายักษ์ประจำทัพองค์อวตารพลันเร่งรุดมาถวายบังคมกราบทูล

         “ทูลองค์ราม เป็นพญากุมภกรรณนำทัพมาล้างอายแล้ว พ่ะย่ะค่ะ”

         วรกายสูงสง่าพลันสรวลออกมา “หอกทรงฤทธิ์มิอาจใช้การได้ ยังดั้นด้นมาล้างอายถึงพลับเพลาแห่งเรา ดี! จงเร่งไปบอกความแก่ท่านสุครีพ หนคราก่อนที่พ่ายศึกกลับมาเราจักอภัยโทษให้ แลเร่งนำเหล่าพญาวานรให้รีบจัดทัพออกศึกเสีย อย่าได้ให้ศัตรูแห่งเราต้องคอยนานเลย”

         “กระหม่อมขอบังอาจกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”พญาพิเภกยังคงไม่ขยับเคลื่อนกาย สองเนตรเหลือบมองพระพักตร์งามงดสีทองทาชั่วครู่โดยมิมีผู้ใดทันจับสังเกต ก่อนยกมือขึ้นทูลความต่อองค์อวตาร

         “ศึกคราก่อนเป็นบุตรแห่งพระอาทิตย์ที่พ่ายให้แก่กุมภกรรณ ซ้ำร้ายยังถูกพาตัวไปจวนถึงกรุงลงกา หากมิเป็นเพราะพระองค์ทรงพระปรีชาเร่งให้ท่านหนุมานไปนำตัวท่านสุครีพคืนกลับสู่พลับเพลาแล้วไซร้ เห็นทีสถานการณ์คงยิ่งย่ำแย่กว่านี้นัก

         “ที่กุมภกรรณจัดทัพใหญ่มาหนครานี้ เห็นทีจักหมายกำหราบปราบทัพวานรของพระองค์ให้แล้วสิ้น มิอาจมิรัดกุมแลจำต้องส่งผู้ที่มีศักดิ์เทียบเคียงไปต่อกร การศึกครานี้จึงจะสำฤทธิ์ผลพ่ะย่ะค่ะ”


         ฝ่ายพญากุมภกรรณมีตำแหน่งศักดิ์เป็นถึงมหาอุปราชแห่งลงกานคร เช่นนั้นแล้ว… พระขนงทรงขมวดเล็กน้อย“ท่านหมายถึง?”

         “เห็นควรเป็นองค์อนุชาจักเป็นการดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”


         พระลักษมณ์รูปทองรีบคุกพระชงฆ์ประนมพระหัตถ์ขึ้นเหนือเกล้า“น้องจักมิทำให้เสียเกียรติแห่งองค์อวตารพ่ะย่ะค่ะ”

         พระรามทอดพระเนตรมองผู้เป็นพระอนุชาด้วยแววเนตรเปี่ยมเมตตา สองพระหัตถ์ประคับประคองน้องน้อยให้ลุกขึ้น

         “จงสู้ให้สมเกียรติแลสังหารเหล่ามารยักษ์ให้สิ้นเสีย น้องพี่”

         องค์รูปทองน้อมรับสั่งพระเชษฐา หากยังมิทันดำเนินไปสั่งการเหล่าขุนพลวานร ร่างแน่งน้อยพลันถูกดึงเข้าสู่พระอุระอุ่นเอาเสียก่อน

         “พี่ขออำนวยชัยให้น้อง จงรบให้ชนะ แลกลับสู่พลับเพลาของเรา… จงกลับมาหาพี่

         พระรูปทองให้ชะงักไปเพียงเสี้ยวหนึ่งพระพายพลิ้วไหวเย้าหยอกเหล่าภุมรี ก่อนจักตรัสตอบคำพระเชษฐา… ดั่งเป็นคำสัตย์กระนั้น

         “น้องจักกลับมา”





         รถเอยราชรถแก้ว   ดุมวงกงแวววิเชียรฉาย

         แปรกหามงามพริ้มโพยมพราย   จำหลักลายภาพล้อมบัลลังก์ลอย

         เสาแก้วมังกรกระหนกมาศ   เครือหงส์ลงหาดช่อห้อย

         จัตุรมุขสุกพลามอร่ามพลอย   ลำพองรบผาดเผ่นเขม้นหมาย

         เครื่องสูงจับพื้นโพยมพราย   ธงรายนำริ้วเป็นทิวไป

         เสียงฆ้องกลองประโคมโครมครื้น   สะท้านพื้นทั่วภพแผ่นดินไหว

         หมู่ทหารขานโห่เอาชัย   รีบพวกพลไกรยาตรา ฯ


         ครั้นถึงเห็นทัพกุมภกรรณ   ตั้งมั่นอยู่ริมชายป่า

         จึ่งให้หยุดพหลโยธา   จะดูกิริยาอสุรี ฯ

                                       วรรณกรรมรามเกียรติ์ยุคก่อนฉบับพระราชนิพนธ์ รัชกาลที่ ๑


         พระลักษมณ์รูปทองทรงพินิจรูปทัพของศัตรู เจ้ากุมภกรรณผู้นี้นับว่าจัดกองทัพได้ฉลาดนัก แปรขบวนเป็นรูปทรงครุฑสยายปีก พิศดูแล้วราวไร้ซึ่งช่องว่างให้แทรกซ้อนเข้าต่อกร

         หนทางเดียวเห็นทีจักมีเพียง…

        “อุแหม่! ว่าผู้ใดลอบสังกา นั่นหาใช่อนุชาของผู้กล่าวตนอ้างเป็นองค์อวตารหรือไม่?”

         อันกุมภกรรณเองก็แลเห็นทัพกระบี่ยกพลมาด้วยเช่นกัน ดวงเนตรสีโลหิตพิศมองร่างสะโอดสะองบนรถทรงแก้วโกมินรายล้อมด้วยขุนกบินทร์ไพร่วานร แลยิ่งพิศก็ให้ยิ่งรู้สึกมิถูกมิควร

         “เจ้ามนุษย์น้อยผู้ต่ำต้อยเอ๋ย เจ้าเป็นจอมพลากรเช่นนั้นหรือ?”

         “ย่อมเป็นเช่นนั้น ท่านเป็นอุปราช อันตัวเราเองก็เช่นกัน อุปราชสู้กับอุปราช ก็สมแล้วซึ่งเกียรติภูมิมิใช่หรือ”
องค์รูปทองทรงตรัสตอบ มิคิดถือสาแววเนตรเย้ยหยันให้ระคายฤทัย

         ครั้นมหาอุปราชแห่งไพร่พลยักษ์ได้ฟังเข้าก็ให้ต้องหทัยในความเฉลียวยิ่งนัก ช่างจำนรรจา วาจานุ่มวจีแฝงนัยเสียจริง

         “แน่งน้อยอรชร ผิวพักตร์พิศผ่องเป็นหนักหนา หากเป็นกาลเพลาอื่นนั้นหนอ ข้าคงนึกคิดอยากจักเข้าร่วมพิสมัยด้วยสักครา”สิ้นเสียงเกี้ยวพา เหล่าทหารอสุราต่างรื่นเริงบันเทิงนัก พากันหัวร้อหยันหยามมิหยุด

         นิลขันขุนพลวานรเรือนกายสีหงดินมิอาจทนให้สวะไพร่ยักษาว่ากล่าวหยามซึ่งเกียรติของผู้เป็นนายได้ กระทืบบาทชี้พระขรรค์คู่กายหมายจักสั่งสอน หากกลับถูกองค์พระอนุชายกพระพาหาหยุดยั้งไว้เสียก่อน

         “ผู้ที่ใกล้จักชะตาขาด อยากพูดสิ่งใดก็ให้มันพูดไปเถิด”

         พญากุมภกรรณคล้ายยินคล้ายฟังในสิ่งที่ชวนให้แสลงพระกรรณเข้า บาทใหญ่ยักษ์พลันกระทืบพสุธาให้สนั่นหวั่นไหว ดัชนีชี้พระพักตร์งามผ่องด้วยนึกโกรธา

         “หนอยแน่! เจ้ามนุษย์ตัวจ้อย ผู้ใดจักชะตาขาด เดี๋ยวคงได้รู้กัน ข้าให้โอกาสเจ้า จงเร่งกลับไปตามพี่ชายเจ้ามาเสียเถอะ อย่าให้มัวแต่หดหัวอยู่ในกระดองอยู่เลย”

         หากว่ากล่าวเพียงตนยังพอทำเนายอมมิคิดสาวความได้ แต่นี่เจ้าอสูรกลับกล่าวล่วงเกินไปถึงพระเชษฐา พระเนตรงามกลับพลันแข็งกร้าว พระหัตถ์ขาวผ่องกำคันศรแน่น

         ศึกนี้ช่างใหญ่หลวงนักองค์อนุชามีหรือจักไม่ล่วงรู้ พิศดู‘หอกโมกขศักดิ์’ ในมือของอริศัตรู อันเป็นศาตราที่ทรงฤทธาร้ายแรงยิ่ง หากไม่เพราะท่านพิเภกแนะให้หนุมานแลองคต สองพี่น้องวานรไปทำลายพิธีการลับหอกโมกขศักดิ์ที่ขึ้นสนิมด้วยเพราะเจ้าของมิตั้งตนอยู่ในทศพิธราชธรรมอีกต่อไป จวบจนพิธีการล้มมิเป็นท่าแล้วไซร้… คงมิมีอาวุธหรือเทพดาองค์ใดจักเข้าต่อกรได้

         หนครานี้ที่ท่านพิเภกให้พระองค์นำทัพออกรบ มิใช่ท่านสุครีพหรือหนุมานดังเช่นเคย ย่อมต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน
พระองค์จักต้องทำ‘หน้าที่’นี้ให้ลุล่วงเพียงเท่านั้น

         แม้นตัวต้องตาย

         “อย่าอวดดีบังอาจกล่าววาจาล่วงเกินองค์อวตาร ข้าพระลักษมณ์ผู้นี้ จะเป็นคนตัดหัวของเจ้าไปถวายต่อองค์รามอวตารเอง!”

         “ชิชะ! อย่าลำพองตนโอ้อวดนักเลยเจ้าตัวจ้อย ทหารแห่งข้า จงฆ่าล้างเหล่าหมู่วานรให้วายปราณเสียสิ้น!”


         กุมภกรรณขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยโกรธจัด กำชับหอกโมกขศักดิ์แน่นแล้วยกขึ้นชี้ไปยังพลทัพวานร ที่มีจอมพลากรเป็นเพียงมนุษย์อวดดีอ้อนแอ้นราวอิสตรีผู้หนึ่ง

         เสียงโห่ร้องเฮโลดดังกึกก้องสะท้อนสะท้านไปทั่วทั้งสามภพ ก่อนทหารหาญทั้งฝ่ายยักษ์แลฝ่ายพลับเพลาจักพุ่งเข้าหากันให้อุตลุด อาวุธต่างพุ่งซัดใส่ราวห่าฝนหมายเอาให้ศัตรูตกถึงฆาต หากด้วยกำลังฤทธาของไพร่พลวานร ผลสุดท้ายเหล่าอสุราต่างแตกทัพเพลี่ยงพล้ำด้วยมิอาจทนทานไหว ล้มตายกันระนาวไป เรียกเสียงเฮโห่ชัยจากเหล่าวานรทัพของพระอนุชารูปทอง

         บัดนั้นเหล่าเสนาแห่งอสุรพงศ์ทนไม่ได้ด้วยเห็นไพร่พลอสุรีย์ล้มตายมิว่างเว้น พัทกาวีแลเวรัมภต่างบุกเข้าโจมตียังทัพวานรหมายให้ตายตกมิต่างกัน ส่วนฝั่งฟากพญากบินทร์แห่งองค์รามอย่างสุรเสนแลสุรกานต์เองเมื่อเล็งเห็นท่าจักไม่ดี ต่างพุ่งเข้าฟาดฟันกับเหล่าเสนายักษ์อย่างมิกลัวตาย

         อีกหนึ่งขุนพลวานรเยี่ยงนิลขันด้วยต้องอยู่เคียงวรกายองค์อนุชา คอยปกปักษ์มิให้มีศัตรูลอบโจมตีเข้าถึงตัวองค์ ตามบัญชาแห่งองค์รามอวตาร วานรกายสีหงดินให้รู้สึกคันไม้คันมือยิ่งนัก หยุกหยิกมิอยู่สุข องค์อนุชาศรีสุวรรณเองแลเห็นท่าทีเช่นนั้น จึงออกรับสั่งให้นิลขันเข้าไปเสริมทัพเหล่าพญากบินทร์อีกแรง แม้นขุนพลวานรจักลังเลหากแต่ด้วยโลหิตที่ไหลเวียนในกายา มิอาจทนเห็นพี่น้องตายจากในขณะที่ตนนั้นได้แต่ยืนอยู่เฉยๆ นัลขันรับบัญชาก่อนวิ่งแผล็วเข้าไปร่วมรบในทันใด

         ร่างสะโอดสะองบนรถทรงแก้วโกมินง้างคันศรปักร่างศัตรูที่ดาหน้าเข้ามาจนตายตกคาที่ พาดสาย ง้างชักคันศร ล้วนชั่วพริบตาแลไร้ซึ่งช่องว่างมิปล่อยให้อริศัตรูได้เข้าใกล้

         ครั้นสังเกตเห็นรถทรงแห่งพญายักษ์ผู้นำทัพมารเสือกไสแทบเข้าประชิด องค์ศรีสุวรรณรูปทองรีบชักคันศรขึ้นพาดสายหน่วงน้าวศรด้วยทั้งกำลังฤทธี แผลงศรฝ่าพระพายหมายปริชีวีอุปราชมาร กลับมิคาดศรตกต้องถูกไพร่ยักษ์พลขับแลด้วยฤทธีที่แฝงเร้นพาให้ทะลุรถศึกเสียจนหักแหลกลาญ

         ฝ่ายกุมภกรรณจำล่วงตกจากรถทรง ให้กริ้วโกรธทับสิ้นทวีคูณ กรคว้าหัวรถทรงของพระลักษมณ์ใช้กำลังยักษ์เหวี่ยงวรกายโผดขึ้น องค์รูปทองแลเห็นดังนั้นมิให้อุปราชลงกาตั้งตัวทัน พระบาทฟาดวรกายใหญ่ให้เอกเขนกแล้วกดเหยียบไว้ กวัดแกว่งพระแสงศรในพระหัตถ์ก่อนยกขึ้นหมายฟาดตีให้สิ้นฤทธิ์

         หากทว่าในชั่วขณะเดียวกันนั้น

         พญากุมภกรรณพลันได้จังหวะซัดหอกโมกขศักดิ์ออกไป พระลักษมณ์ที่แม้นรู้ตนแต่มิอาจหลีกพ้นถูกหอกมากฤทธาแทงเข้ากลางพระอุระ วรกายโงนเอนไร้ซึ่งแรงจักทรงตัวทรุดกายาลงแทบในทันใด

         เมื่อนั้นพญายักษาราชาแห่งเหล่าพหลยักษ์กลับปรากฏพระวรกาย เข้าโอบประคองวรกายอรชรราวแก้วใสไว้แนบพระทรวง พระเนตรสีแดงฉานฉาบฉายด้วยความโกรธายามพิศมองหอกห่าซึ่งปักอยู่กลางอุระแบบบาง

         “เสด็จพี่…ทศกัณฐ์?”ฝ่ายกุมภกรรณให้มิอยากเชื่อสายพระเนตรนัก หากยังมิได้เอ่ยตรัสถามสิ่งใด…

         “หุบปาก”

         แทบหุบฉับลงตามรับสั่งทันใด

         พญาทศกัณฐ์โอบอุ้มอนุชาแห่งองค์อวตารขึ้น ในช่วงขณะนั้นคล้ายร่างแน่งน้อยจักยังคงรู้สึกองค์ กลีบโอษฐ์อิ่มพลันเพรียกขาน… ให้หทัยเจ้าลงกาแทบขาดรอนลงเสียบัดนั้น…….


*-*-*-*-*


         โครงร่างดำทะมึนกลมกลืนไปกับราตรีกาลสืบบาทเชื่องช้าดำเนินเข้าหาเจ้าดวงใจที่หลับไม่รู้สติอยู่บนเตียง ทิ้งวรกายนั่งลงบนพื้นเตียงที่ถูกว่างเว้น ก่อนวางหัตถ์ใหญ่ลงบนหน้าผากชื้นเหงื่อแผ่วเบา พิศมองวงหน้านวลแลดวงตาภายใต้เปลือกตาที่ขยับหยุกหยิกไม่หยุด หัวคิ้วขมวดแน่นคล้ายว่าตกอยู่ในห้วงฝันร้ายกระนั้น

         หัตถ์อีกข้างผายไปยังบานหน้าต่าง หมู่มวลพระพายพัดพาเอากลิ่นมาลาหอมอ่อนโชยเข้ามา โอบล้อมรอบกายาราวปลอบประโลม ชั่วอึดใจใบหน้าอ่อนเยาว์กลับค่อยๆสงบนิ่งลง เหงื่อที่ผุดผาดอยู่เมื่อครู่มิมีเหลือให้ต้องระคาย

         เนตรสีชาดเรืองรองในเงามืดจ้องมองยังหนังสือบนอกบาง ฉับพลันกลับอันตรธานหายไปพร้อมกับหนังสือปกคนละสีที่ตั้งวางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสืออย่างไร้ร่องรอย

         ไล้ปลายนิ้วจากเนินหน้าผากเกลี้ยงเกลา เลื่อนเรื่อยมาจนถึงพวงแก้มนวล

         “เจ้าพี่…”

         ชะงักงันเมื่อยินบางสิ่ง

         โน้มพักตร์เข้าชิดใกล้ หมายอยากได้ยินอีกสักครา

         “เจ้าพี่…”

         ว่าอย่างไร?

         “เจ้าพี่ทศกัณฐ์”

         พักตร์ดุดันพลันเผยให้เห็น เรืองมรกตงามสง่ายิ่ง …พร้อมโน้มชิดแนบหน้าผากให้สัมผัสกัน

         พี่อยู่นี่…

         “เจ้าพี่ทศกัณฐ์… เจ้าพี่”


         พี่อยู่นี่แล้วนะเจ้า


---------
โปรดติดตามตอนต่อไป
---------


รามเกียรติ์ตัวละครเยอะมากค่ะ โดยเฉพาะทางฝั่งทศกัณฐ์ แต่ก็อย่างที่รู้กันว่าต่อให้เยอะแค่ไหนก็ตายกันหมดจนแทบสิ้นอสุรีวงศ์ ในขณะที่ฝ่ายพระรามอย่างพระลักษมณ์นั้น แค่คนๆเดียวแม้ต่อให้ถูกหอกโน่นหอกนี่แทงหลายต่อหลายครั้งก็มิตาย ทรูมาก และก็ดวงซวยมากเช่นนั้น ฮือออ
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๖ (๒๐/๐๒)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 20-02-2019 18:03:55
น้องเจ็บหนัก พี่ทศต้องช่วยให้ได้นะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๖ (๒๐/๐๒)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 20-02-2019 19:07:09
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๗ (๒๑/๐๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ShinrinYoku ที่ 21-02-2019 15:28:05

         ตอนที่ ๗

         คุยเคยฝันร้ายไหม?

         จริงๆแล้วจะเรียกว่าเป็นฝันร้ายเลยก็คงไม่ใคร่ถูกนัก เพราะลักษมัณเองจำได้เพียงเลือนรางเท่านั้น หากก็เป็น‘ความเลือนราง’ที่ชวนให้รู้สึกหวามไหวแปลกๆในหัวใจ

         “พี่อยู่นี่”

         เผลอยกมือขึ้นแตะบนหน้าผากเบาๆ คล้ายสัมผัสระอุอุ่นยังคงตราตรึงอยู่ไม่เลือนหาย ก่อนจะเลื่อนมือลงสัมผัสกลางทรวง …ความเจ็บปลาบพลันแล่นพล่านไปทั่วแผ่นอกดังถูกอะไรบางอย่างทิ่มแทงเข้าปักตรึงอยู่กระนั้น

         “แปลก…”พึมพำเสียงเบา ก่อนจะสะดุ้งโหยงความเจ็บปวดราวกับจะย้ายมาจี๊ดอยู่กลางหน้าผากแทนเมื่อโดนมะเหงกเขกเข้าให้ “โอ๊ย”

         “แปลกอะไรวะไอ้รัก อ้อ ถ้าหมายถึงตัวมึงเองล่ะก็ แปลกมาตั้งนานแล้วนี่หว่า ฮ่าๆ”น้ำเสียงคุ้นหูตามด้วยใบหน้าอันคุ้นตาและเสียงหัวเราะอันคุ้นเคย

         พี่เวสเจ้าเก่าเจ้าเดิม เพิ่มเติมคือถุงพลาสติกขนาดใหญ่แลเห็นวับแวมว่าเป็นแพคยาคูลท์วางพิงอยู่ข้างขา เพื่อให้ถนัดยกมือขึ้นประทุษร้ายน้อง อีกมือถือถาดในถาดมีชามตราไก่ใบใหญ่ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำย่อยควันฉุยบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเพิ่งตักออกจากหม้อ

         คนบ้านใกล้เรือนเคียง พอทำแกงเลียงหม้อใหญ่ก็ตักแบ่งใส่ชามปันมาให้เพื่อนบ้านช่วยกันชิม หวานปากพ่อจ๋าของไอ้รักล่ะทีนี้ด้วยฝีมือฉมังของแม่ครัวร้านอาหารไทยอันเลืองชื่อ จัดจ้านสุดในย่านนี้ อย่างแม่ธารทิพย์ มารดาของพิภิษณ์ แม่ทูนหัวของลักษมัณ

         …รักหลงเสียยิ่งกว่าลูกชายแท้ๆของตัวเองเสียอีก

         ก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีพิภิษณ์ที่กำลังเดินถือของสองมือพะรุงพะรังยิ้มแป้นหน้ามันวาบเข้ามาในรั้วบ้านเอกลักษมณ์ดนตรีศิลป์ ถึงกลับชะงักฝีเท้าแทบไม่ทันเมื่อสายตาพลันเห็นน้ำเป็นสายพุ่งมาดักอยู่ตรงหน้า มองตามสายน้ำที่ว่านั้นไปก็ให้เห็นเป็นไอ้น้องรักยืนกุมอกเหม่อลอยมองหายานแม่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล …ทั้งที่ในมืออีกข้างถือสายยางอยู่ คาดว่าคงตื่นแต่ไก่ยังไม่โห่มารดน้ำต้นไม้เหมือนเช่นเคย

         แต่ที่ไม่เหมือนเคยคือ วันนี้ตาลอยหน้าเหม่อกว่าทุกที

         “มึงไหวป่ะวะไอ้รัก อ้าวๆ พุ่มดอกเข้มจะสำลักน้ำตายแล้วมั้งนั่น”

         คนโดนทักร้องเฮ้ยกุรีกุจอหันไปปิดวาล์วน้ำแทบไม่ทัน

         “โธ่ พี่เวส นี่ใคร รักน้องพี่ซะอย่าง ไม่ไหวก็แย่ละ”กระโดดตุบมายืนข้างพี่ข้างบ้านพลางก้มลงหยิบถุงใหญ่ใส่แพคยาคูลท์ขึ้นเพื่อช่วยพี่ถือ …อือหือ งานนี้ต้องมีกล้ามครับ หนักมากบอกเลย

         “แล้วสรุปมึงเป็นอะไร กูเห็นยืนทำหน้าเอ๋อประหนึ่งหายานแม่ไม่เจออยู่ได้ตั้งนานสองนาน ขนาดเรียกจ่อหน้ามึงยังไม่ได้ยินเลย”พากันเดินเข้าเรือนไทยไป แอบได้ยินเสียงโช้งเช้งของกระทะกับตะหลิวแว่วๆ คาดว่าเป็นพ่อจ๋าที่กำลังเจียวไข่อยู่ในครัว

         “แล้วนี่พี่มาตั้งกะเมื่อไหร่ ยี่สิบนาทีหรือครึ่งชั่วโมง?”

         “ฮึ ไม่ถึงห้านาทีกูก็เขกเหม่งเรียกสติมึงแล้ว ฮ่าๆ”

         ลักษมัณล่ะเบื่อ แล้วมาว่าเห็นอยู่เป็นนานสองนาน …แอบกลอกตาเบาๆ ก่อนจะหยุดเดินมุ่นคิ้วน้อยๆแล้วตัดสินใจพูดออกไป

         “รักฝันแปลกๆว่ะพี่”

         “หือ ฝัน?”พิภิษณ์หยุดเดินตาม ตอนแรกก็ไม่เมื่อย แต่พอเมื่อยล่ะเมื่อยเลย “เดี๋ยวๆ ไว้ค่อยเล่า เอาแกงไปเก็บก่อน กูเมื่อยแขนเว้ย”

         อย่าว่าแต่พี่เวสคนดีเลยที่เมื่อย …เพราะลักษมัณเองก็ชักรู้สึกเหมือนไหล่จะหลุดแล้วเช่นกัน

         เมื่อนึกได้ว่าตอนแรกเป็นพี่เวสพี่แบกมาคนเดียวไร้ซึ่งแสตนอินแล้วนั้น…

         ยอดมนุษย์โดยแท้




         อย่างที่รู้กันว่าวันนี้ลักษมัณไม่มีเรียน ส่วนคุณชายสิตานั้นมีเรียนในช่วงเช้า ย่ำรุ่งอีกฝ่ายเลยข้อความมานัดแนะจะไปซื้อของขวัญกันในวันนี้ ฤกษ์งามยามดีราวเที่ยงกว่าๆคุณชายสิตาก็มาถึงเรือนไทยเอกลักษมณ์ดนตรีศิลป์พอดี

         มาพร้อมกับยาคูลท์บรรณาการเพื่อนรักอีกสามแพค ให้พิภิษณ์ได้สะดุ้งโหยงเล่น

         ส่วนลักษมัณนั้น …ลูบท้องตัวเองเบาๆ จากนี้คงไม่ต้องกังวลว่าตัวเองจะท้องผูกอีกต่อไป

         และไม่รู้ว่าประจวบเหมาะจริงๆหรือไม่อย่างไร เมื่ออาจารย์ของพิภิษณ์นั้นยกคลาสในช่วงบ่ายด้วยติดธุระสำคัญ เลยทำให้ตัวพิภิษณ์เองไม่มีเรียนในวันนี้ด้วยเช่นกัน เป็นอันว่าสามคนว่างพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

         ด้วยเหตุฉะนี้ สองคนรู้จัก คนหนึ่งเพื่อนสนิท ส่วนอีกคนก็พี่ชายข้างบ้านควบตำแหน่งพี่รหัส ตกลงปลงใจ ในขณะที่เขายังอาบน้ำถูขี้ตาอยู่ในห้องน้ำ ออกมาแต่งตัวเสร็จยังไม่ทันประแป้งเย็นให้ชื่นใจก็ถูกจับยัดใส่รถพากันมาจนถึงห้างสรรพสินค้าเสียแล้ว โดยมีพิภิษณ์เป็นสารถีและมีพ่อจ๋าเป็นผู้อุปการคุณในการให้ยืมรถมาใช้สอย

         ใช้จริงๆไม่ติงนัง เพราะไม่ลืมเตือนว่าขากลับแวะซื้อหมอนทองมาฝากพ่อด้วย เปรี้ยวมานานแล้ว

         เปรี้ยวที่ปากนะ หาใช่ที่กลิ่นตัว

         “รักว่าเส้นนี้เป็นยังไงบ้าง?”

         เนคไทสีเทาที่แอบได้ยินพี่พนักงานขายบอกว่าผลิตด้วยไหมแท้ทั้งเส้นถูกทาบลงบนลำตัวของผู้ถูกถาม ให้นัยน์ตาสีนิลหลุบลงมองเนคไทซึ่งน่าจะเป็นแบรนด์ดังใช่ย่อยบนแผ่นอก ตอนเดินตามสิตาเข้าร้านมาพร้อมกับพี่เวส ลักษมัณไม่ได้สังเกตสังกาป้ายบอกชื่อแบรนด์เสียด้วยสิ แต่มั่นใจได้เลยว่าต้องเป็นแบรนด์ที่มีชื่อแน่นอน ก่อนเลื่อนสายตาขึ้นสบมองผู้ถามที่มีสีหน้าขะมักเขม้นจริงจังทั้งยังดูเคร่งเครียด ลักษมัณอดยิ้มเอ็นดูคุณชายตัวน้อยไม่ได้ก่อนเอ่ยตอบความไป

         “ถ้าเป็นของขวัญจากสิตา ท่านชายทรงโปรดอยู่แล้ว”ใบหน้านวลของผู้ถามซับสีเลือดจางทันที ตากลมถลึงใส่เพื่อนก่อนหันไปส่งเนคไทเส้นดังกล่าวให้กับพนักงานสาวที่ยืนยิ้มหวานรออยู่

         “ตกลงเอาเส้นนี้ครับ รบกวนห่อใส่กล่องของขวัญให้ด้วยเลยนะ”

         “ค่ะคุณชาย”

         ปกติถ้าไม่ใช่ช่วงเทศกาล ไม่มีหรอกบริการห่อของฟรี เพียงแต่ผู้ซื้อคนนี้คือหม่อมราชวงศ์สิตา ก็เลยได้ห่อฟรีทั้งที่มันไม่ฟรี ลูกค้าเป๋าหนักอาจจะได้รับบริการนี้กันทุกคน ไม่น่าแปลกใจ




         “ขอบคุณนะรักที่มาเป็นเพื่อนเรา”

         หลังจากซื้อของเสร็จก็พากันเดินเคียงออกมาจากร้าน ที่เคียงคือคุณชายสิตากับลักษมัณ ส่วนพิภิษณ์นั้นถอยฉากเดินตามหลังประกบทั้งคู่อีกที ทำตัวประหนึ่งบอร์ดี้การ์ด ยิ้มหน้าบานเมื่อคุณชายคนดีหันไปยิ้มหวานให้

         “พี่เวสด้วยนะครับ อุตสาห์มาเป็นธุระช่วยขับรถให้”

         “ไม่เป็นไรเลยครับคุณชาย พี่ยินดีมาก”ดูหน้าบานๆนั่นก็ล่วงรู้หมดแล้วซึ่งความในใจ ลักษมัณได้แต่ถอนใจกับตัวเอง คนที่ไม่รู้ว่าพิภิษณ์รู้สึกอย่างไร เห็นทีจะมีก็แต่เพียงคุณชายสิตานี่ล่ะ

         “บ่ายสองกว่าแล้ว หิวกันหรือยังครับ?”

         “มาก ท้องร้องโครกเลยเนี้ยสิตา”ระบบเผาผลาญของลักษมัณดีเยี่ยมมากบอกเลย

         “ส่วนพี่แล้วแต่คุณชายเลยครับ”หิวก็ได้ แต่ถ้าคุณชายไม่หิวพี่เวสคนนี้ก็ยอมที่จะท้องกิ่วต่อไป ถอดความโดยไอ้น้องรักของพี่เวส

         ฟากพิภิษณ์นั้นหนอ …ถลึงตาดุเข้าให้ประหนึ่งรู้ว่าโดนเขาล้ออยู่ในใจ

         “งั้นไปกินข้าวกันดีกว่า เดี๋ยวมื้อนี้สิตาเลี้ยงเอง อะๆ ห้ามปฏิเสธด้วยนะครับพี่เวส”คนที่อ้าปากมาก็เห็นลิ้นไก่ได้แต่พะงาบปากทำหงุบหงับ ก่อนเงียบเสียงแต่พยักหน้าว่ายอมแล้วครับ ไม่กล้าขัด

         สุดท้ายเลยไปลงเอยกันอยู่ที่ร้านปิ้งย่างชื่อดัง ตามคำรีเควสของคุณชายเขา เห็นว่าถูกสั่งห้ามไม่ให้กิน แต่ถูกใครห้ามไว้ไม่ได้บอก บอกแค่ว่า‘กินเป็นเพื่อนเรานะ’ ถือว่าเป็นอันจบข่าว เพราะลักษมัณเองก็กำลังอยากอยู่เหมือนกัน ไม่ได้กินมานาน จำได้ว่าครั้งล่าสุดที่กินราคายังแตะอยู่แค่สามกลางๆ แปบๆพุ่งมาเกือบครึ่งพัน เป็นไปได้อย่างงงๆ

         ใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น คนอยากกินก็ยกธงขาวขึ้นโบกเสียแล้ว ส่วนลักษมัณเองก็ตามคุณชายสิตาไปติดๆในอีก ๑๕ นาทีให้หลัง สุดท้ายแล้วผู้คว้าชัยไปเห็นจะหนีไม่พ้นยักษ์ปักหลั่นประจำคณะศิลปกรรมศาสตร์อย่างนายพิภิษณ์ ที่ทำเวลาห่างจากคุณชายสิตาไปถึง ๓๐ นาที ๕๗ วินาทีด้วยกัน

         ที่รู้ลึกรู้จริงรู้ละเอียดขนาดนี้เป็นเพราะตั้งเวลาในมือถือจับไว้ตั้งแต่แรก เกือบครบระยะที่ร้านกำหนดเวลาไว้เลยทีเดียว
พิภิษณ์กระเพาะอึดมาก ส่วนลักษมัณ …ตอนนี้เริ่มอืดมาก อดนึกเสียดายในใจไม่ได้ที่ไม่ได้หยิบยาคูลท์คู่ใจมาด้วย

         คงไม่คิดแวะเวียนเข้าร้านปิ้งย่างไปอีกนาน เพราะรู้สึกเข็ด แต่พอเอาเข้าจริงๆหากรู้สึกอยากขึ้นมาอีก ความรู้สึกเข็ดที่ว่าคงปลิวกระจายลอยหายไปกับสายลม เมื่อใดๆล้วนไม่อาจต้านทานความอยากกินได้

         “แล้วนี่คุณชายจะกลับยังไงครับ ให้พี่ไปส่งไหม?”

         “ไม่เป็นไรครับ ก่อนหน้าผมโทรบอกคนรถไว้แล้ว อีกสักพักคงมาถึง”คุณชายสิตาชะงักก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดรับ ได้ความว่าคนรถที่ว่ามาถึงแล้วเรียบร้อย ไม่เปิดโอกาสให้พี่เวสคนดีของน้องรักทำคะแนนเลยแม้แต่น้อย

         ทำได้แต่ยกมือโบกบ๊ายบายหน้าละห้อย น่าสงสาร

         “ท่านชายรามที่ว่าเนี้ย เค้าเป็นญาติกันจริงๆแน่เหรอวะไอ้รัก?”คล้อยหลังได้แปบเดียวก็เหลียวหันมาชวนลักษมัณนินทาคุณชายทันที

         เนี้ย นิสัยอย่างนี้ไง แต่ดูจากสีหน้าแล้วท่าทางจะอยู่ในโหมดจริงจัง

         “เอ้า ญาติกันจริงดิพี่ จะหลอกทำไม”ตอบพลางเลี้ยวเข้าห้องน้ำ สงสัยจะกดน้ำอัดลมมากไปหน่อย ตอนกินไม่คิด คิดอย่างเดียวคือทำทุกอย่างให้คุ้มค่าหัว

         พิภิษณ์เดินตาม สีหน้าคนพี่ยังคงครุ่นคิดไม่เลิก

         “เออ บางทีกูอาจจะคิดมากเกินไป”

         “นั่นเป็นเพราะพี่ใส่ใจสิตามากไง”จัดการธุระเสร็จ เดินมาล้างมือ“ถ้าชอบเขา...”

         “อย่าเพ้อเจ้อไอ้รัก กูไม่ได้คิดอะไรอย่างนั้นกับเขา แค่.. แค่รู้สึกดีด้วยเฉยๆ”ขัดขึ้นมาทันทีทั้งที่ยังไม่ทันพูดจบ พิรุธไม่พิรุธลองถามใจพี่เวสดู

         “แล้วรู้สึกดีด้วยเฉยๆกับรู้สึกชอบมันต่างกันยังไงพี่?”

         “คนหัวช้าอย่างมึง บอกไปก็ไม่เข้าใจหรอก ไอ้น้องรักเอ้ย”

         ลักษมัณกลอกตา

         “มันแค่ข้ออ้างหรือเป… โอ๊ย”โดนอีกโป๊ก ยังไม่ทันจบประโยคเลยแท้ๆ

         “กวนตีน ไปๆ หยุดเพ้อเจ้อได้แล้วมึง กลับบ้าน”เกี่ยวคอลากน้องออกจากห้องน้ำ ไม่คิดต่อความยาวสาวความยืด แค่ทัศนียภาพรอบตัวก็ไม่เหมาะจะมายืนโต้วาทีกันแล้ว

         ลักษมัณมองหน้าพี่ชายก่อนลอบถอนใจเบาๆ หากรู้สึกรักหากรู้สึกชอบพอต่อใคร มันไม่ยากเกินที่จะบอกออกไป แต่เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าผลลัพธ์ต้องเป็นยังไง …ด้วยฐานันดรที่แตกต่าง แค่ทางความคิดก็ไม่อาจเป็นไปได้แล้ว

         ไม่รู้ทำไมลักษมัณถึงได้คิดว่าเขาเข้าใจพิภิษณ์ดี

         ‘เข้าใจ’ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่า‘ทำไม’ถึงได้เข้าใจเหมือนกัน




         กว่าจะกลับถึงบ้านตะวันก็เริ่มคล้อยทอแสงส้มแสดไปทั่วผืนนภา หากเอกลักษมณ์ดนตรีศิลป์ที่ควรเงียบเชียบเพราะหมดเวลาทำการกลับเจี๊ยวจ๊าวได้อย่างน่าพิศวง

         “น้าพระล๊ากกก”

         เสียงพื้นไม้ลั่นจากการวิ่งซอยเท้าอย่างรวดเร็ว พร้อมแรงกระโดดกอดที่พุ่งเข้าใส่จนลักษมัณแทบหงายเก๋ง โชคยังดีที่ส่งถุงสารพัดอย่างรวมถึงหมอนทองของพ่อจ๋าให้พิภิษณ์ได้ทันการณ์

         “ธร วัน ตาเคยบอกไว้ว่ายังไงครับ”

         “ห้ามพุ่งเข้าใส่น้าพระลักษมณ์แรงๆค่า/ครับ”สองแฝดชายหญิงตอบเสียงดังฟังชัด แต่หน้าที่กลมพอกันยิ้มแป้นไร้วี่แววสลด

         “ลุงอัศ สวัสดีครับ”ลักษมัณยกมือขึ้นกระพุ่มไหว้ ผู้อาวุโสรับไหว้พร้อมกับยิ้มใจดี

         “ไหว้พระเถอะพ่อ ไม่ได้เจอกันตั้งนานโตขึ้นเยอะเลยนะเรา”

         “แน่นอนสิวะ ข้าเลี้ยงลูกข้าดีโว้ย”พ่อจ๋าของไอ้รักเดินหัวเราะแก้มกระเพื่อมมาแต่ไกลเชียว

         “หวัดดีครับลุงอัศ”วางของลงได้พิภิษณ์ก็กระพุ่มมือยกขึ้นไหว้ผู้อาวุโสกว่า ที่ได้เจอบ้างเป็นครั้งเป็นคราว

         ลุงอัศหรือชื่อเต็มก็คืออัศม์เดช เป็นเพื่อนซี้ปึกของพ่อจ๋ามาตั้งแต่สมัยโบร่ำโบราณ ซี้กันเสียยิ่งกว่าเถ้าแก่สำเภาเสียอีก ส่วนสองจ๋อที่เกาะหน้าเกาะหลังลักษมัณอยู่นี้ก็หลานแท้ๆของลุงเขา แฝดชายชื่อคิรีธร ส่วนแฝดหญิงชื่อคิรีวัน

         “พอดีเจ้าสองแสบรบเร้าอยากจะมาหาตาจ๋า ลุงก็เลยพามา มาได้สักพักแล้วล่ะ”ลักษมัณร้องอ้อพลางมองสองแฝดที่วิ่งเข้าไปเกาะไปเกี่ยวเอวตาจ๋าแทน

         ตาจ๋าก็จัดให้ แกล้งหลอกยักษ์หลานทำหน้าทำตาแฮ่ฮ้าใส่ให้หลานร้องวี้ดว้ายหัวเราะคิกคัก

         “แล้วจะอยู่ค้างไหมครับ เดี๋ยวรักไปจัดห้องให้”

         “โอ๊ย! ไม่ค้างไม่เคิ้งอะไรหรอก เดี๋ยวก็กลับแล้ว”พ่อจ๋าร้องมาแต่ไกล ยังคงพันแข้งพันขาเล่นกับหลานอยู่นั่น

         “ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวลุงก็กลับแล้วล่ะ ขืนค้างยายอันได้บ่นลุงหูชาแน่”

         อันภาเป็นลูกสาวคนเดียวของอัศม์เดชและก็เป็นแม่ของเจ้าสองแฝดแสบ ลักษมัณนึกภาพตามพลันทำท่าขนลุกซู่ ‘พี่อัน’ในภาพวันวานของลักษมัณเป็นเด็กผู้หญิงแก่นเซี้ยวคนหนึ่งที่ต่อยไอ้โจ๋ท้ายซอยล้มคว่ำได้ในหมัดเดียว

         น่ากลัวมาก

         “น้าพระลักษมณ์หนาว”

         “หนาวเหรอคะ มาๆมากอดกับหนูวันน้า”

         แล้วสองแฝดก็หันมามะรุมมะตุ้มลักษมัณแทน พอแกล้งนอนตายเด็กๆก็หัวเราะร่าตบมือแปะๆ นั่งทับก้นคน ขาคน…

         อืม สำเนาถูกต้องโดยแท้จริง





         ก๊อก ก๊อก

         หม่อมเจ้าจักรกฤษณ์ทรงละเนตรออกจากหน้าจอโน๊คบุ๊คพลางยกพระหัตถ์ขึ้นมานวดขึงขนงเบาๆ

         ไม่จำเป็นต้องให้ทรงตรัสถามด้วยทรงทราบดีว่านอกจากคนสนิทส่วนองค์แล้วก็หาใช่ผู้อื่นอีก และเมื่อทรงตรัสอนุญาตประตูห้องทรงงานจึงได้ถูกเปิดเข้ามาโดยบุรุษในชุดสูทสุภาพสีกรม

         ชายหนุ่มโค้งกายให้ผู้มีศักดิ์สูงกว่าซึ่งประทับอยู่บนเก้าอี้ทรงงาน ก่อนเอ่ยทูลกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มที่แสดงถึงความนอบน้อมต่อผู้เป็นเจ้าของวังตรีภูวนาถหริวงศ์แห่งนี้

         “สำรับมื้อเย็นตั้งพร้อมแล้วกระหม่อม”

         “ขอบใจ …จริงสิพรต เห็นน้องสิตาว่าที่มหา’ลัยจะมีงานแสดงโขน”ทรงเกริ่นนำ สีพระพักตร์แลสุขุมเหมือนดังเช่นทุกที

         “กระหม่อม”ตอบรับคำพลางรอให้ผู้เป็นนายตรัสความต่อ

         “เห็นว่าได้สปอนเซอร์รายใหญ่น่าดู ทั้งฝ่ายนั้นยังยินยอมให้ทางมหา’ลัยหยิบยืมชุดใช้แสดงเสียด้วย”

         “ไม่ทราบว่าโขนที่ทรงตรัสถึงนี้…”

         ปลายดัชนีสัมผัสไล้แผ่วเบาบนขอบถ้วยกาแฟที่เริ่มเย็นชืด คล้ายเป็นการกระทำที่ไม่ได้มีนัยยะใดแอบแฝง ทว่านัยน์เนตรลุ่มลึกสีนิลกาฬกลับทอประกายแปลกตา

         พรตไม่เคยเห็นแววพระเนตรเช่นนี้จากผู้เป็นนายมาก่อน

         มุมโอษฐ์ยกขึ้นเล็กน้อย “รามายณะ ศึกตัดสินสุดท้ายระหว่างฝ่ายพลับเพลากับฝ่ายลงกา”

         “ถ้ากระหม่อมจำไม่ผิด ฝ่ายพลับเพลาคือฝ่ายของพระราม ส่วยฝ่ายลงกานั้น…”

         “ทศกัณฐ์”

         พรตกลั้นหายใจ คนสนิทส่วนองค์รีบก้มหน้าไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบมองพระพักตร์ที่ยังคงอ่อนโยนเหมือนดังเช่นเคย ทว่าแววพระเนตรนั้นกลับเร้นซ่อนไว้ซึ่งพระอารมณ์อันหลากหลาย ให้กริ่งเกรงอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทั้งที่ท่านชายรามมิได้ตะคอกขึ้นเสียงแต่อย่างใด เพียงเอ่ยตรัสนามนั้นออกมาด้วยสุรเสียงเนิบนาบเท่านั้น

         พรตรู้ดีว่าแต่ไหนแต่ไรมา ท่านชายไม่เคยทรงโปรดตัวละครฝ่ายลงกาเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะ‘พญายักษ์ทศกัณฐ์’ ให้ทรงดำเนินไปชมการแสดงโขนอันที่เป็นโปรดปรานซึ่งหยิบยกวรรณคดีเรื่องดังกล่าวขึ้นมาแสดง กี่ครั้งต่อกี่ครา ก็ไม่เคยเห็นท่านชายตรัสชมฝ่ายที่แสดงเป็นจอมอสุราเลยสักครั้ง แม้จะแสดงได้ชวนให้คนดูเชื่อและน่าเกรงกลัวสมกับเป็นยักษ์เป็นอสูรร้ายเพียงใดก็ตาม

         ที่เห็นตรัสชมเปราะเสมอมักจะเป็นฝ่ายพลับเพลาอยู่ร่ำไป

         คงนับเป็นเรื่องสามัญ ที่ผู้ชมมักจะให้ความสนอกสนใจแล้วเอาใจช่วยฝ่ายธรรมะ รวมถึงเอาใจออกห่างฝ่ายอธรรม ตัวพรตเองก็เป็นเช่นกัน เพียงแต่สำหรับท่านชายรามนั้น…

         “หากจะทรงดำเนิน พรตจะจัดการให้กระหม่อม”

         “อืม ก็ได้พรตนี่ล่ะนะคอยเป็นธุระจัดการเรื่องให้เสมอ”

         พรตยิ้ม นึกภูมิใจ ลดทอนซึ่งความกริ่งเกรงลงเล็กน้อย

         “จริงสิ พรุ่งนี้ฉันว่าจะเข้าไปที่มหา’ลัยน้องสิตาเสียหน่อย”พระหัตถ์หยิบจับสมาร์ทโฟน วรกายสูงพลันขยับลุกขึ้นยืนพลางดำเนินผ่านคนสนิทที่แสดงทีท่าฉงนออกมา

         “แต่พรุ่งนี้คุณชายสิตาไม่มีเรียนหนังสือไม่ใช่หรือกระหม่อม?”

         “ยังไม่ได้บอกเลยสักคำว่าจะไปหาน้องสิตา”ทรงสรวลออกมาน้อยๆ“ฉันว่าจะเข้าไปขอดูชุดที่ใช้ในการแสดงสักหน่อย หากขาดเหลือยังไงจะได้ช่วยสมทบให้ อีกอย่าง...”

          พรตพลันเข้าใจเมื่อเห็นเจ้านายก้มลงทอดเนตรมองโทรศัพท์มือถือ ที่แม้หน้าจอจะมืดดับด้วยไม่ได้ถูกใช้งาน แต่คงจะเกี่ยวข้องกับสหายสนิทของคุณชายสิตาที่เขาเพิ่งได้รับข้อมูลมาจากผู้ติดตามของท่านชายอีกคนซึ่งวานให้ไปสืบหาเมื่อย่ำรุ่ง ได้ข้อมูลเสร็จสรรพก็รายงานเจ้านายทันทีในเวลาไล่เลี่ยกัน

         ข้อมูลส่วนตัวทุกอย่างของเด็กนักศึกษาที่ชื่อลักษมัณ สหายสนิทคนใหม่ของคุณชายสิตา เท่าที่จะหาได้ในยามนี้อยู่ในพระหัตถ์ของท่านชายหมดแล้ว

         “หากทรงสนพระทัย ทรงตรัสถามจากคุณชายสิตาจะไม่เป็นการง่ายกว่าหรือกระหม่อม?”

         “ฉันยอมรับว่าฉันสนใจ แต่ก็ไม่ได้อยากรู้จักเขาจากใครด้วยเหมือนกัน หากอยากรู้จัก ก็ต้องเข้าไปทำความรู้จักด้วยตัวเองสิถึงจะถูก พรตไม่คิดอย่างนั้นหรือ?”

         พรตชะงักไป คับคล้ายแลเห็นเนตรสีนิลนั้นวาวแสงขึ้นมาชั่วประเดี๋ยวประด๋าว กลั้นใจเอ่ย

         “แม้‘ใคร’ที่ว่านั้นจะเป็น…คุณชายสิตาหรือกระหม่อม?”

         ท่านชายทรงสรวลออกมาเบาๆ หัตถ์บิดลูกบิดเพื่อเปิดประตูห้อง หากก่อนดำเนินออกจากห้องบรรทมไปไม่ลืมตรัสตอบคนสนิทด้วยสุรเสียงเรียบเรื่อย

         “ฉันสนใจใคร จำเป็นต้องให้เป็นธุระของคนอื่นด้วยงั้นหรือ”

         พรตเข้าใจดีว่านั้นไม่ใช่ประโยคคำถามแต่อย่างใด




         กว่าสองแฝดจะกลับลักษมัณก็แทบน่วมไปทั้งตัว เล่นกับเด็กนั้นเหนื่อยเหลือแสน พ่อจ๋ากับไอ้พี่เวสอันเป็นพี่ชายนอกไส้ก็พากันหัวร้อชอบอกชอบใจ แลดูสนุกสนานกันใหญ่ที่เห็นเขาถูกเด็กรังแก อนิจจาลุงอัศเองก็เอาแต่ยืนยิ้มเอ็นดู ไม่มีใครเห็นใจและให้ความช่วยเหลือลักษมัณเลยสักคน ซาบซึ้งถึงทรวงในยิ่งนัก

         นอนเหยียดเอนกายอยู่บนที่นอนนุ่มหลังจากอาบน้ำทาแป้งเย็นเรียบร้อย นึกถึงความแสบสันของสองแสบแล้วก็ให้หัวเราะออกมาเบาๆ ถึงพ่อจ๋าจะดูเหมือนไม่อยากให้มา แต่ใช่ว่าจะเป็นแบบนั้นเสียเมื่อไหร่

         หลานจ๊ะตาจ๋ากันจนส่งขึ้นรถนั่นล่ะ

         ติ๊ด

         ปิดไฟเตรียมนอนกำลังเคลิ้มได้ที่ พลันได้ยินเสียงข้อความเข้า ...ควานหยิบมือถือที่วางไว้บนหัวเตียงขึ้นมาสไลด์จอปื้ดเพื่อปลดล็อค

         แทบจะตาสว่างในทันใด


         ทศพักตร์(ส่วนตัว) :
         ...พิศพักตร์งามผ่องแผ้วดั่งทองทา...
         ...พิศนัยนาพริ้มเพรารับขนง...
         ...พิศโอษฐ์องค์นวลปรางงามอนงค์...
         ...พิศโฉมยงสวาทรักยากหักคืน...


         ในใจคล้ายรู้สึกพองฟูนักให้หน้าร้อนจนคล้ายจะระเบิดตู้มไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด ลักษมัณนึกยุบหนอ ตั้งสติหนอในใจ ไม่นาน ...เมื่อตั้งสติได้พลันอมยิ้มพิมพ์ตอบกลับไป


         ลักษมัณเจ้าพ่อโรงงานยาคูลท์ :
         ...พิษไหนฤาจะสู้พิษนิทรา...
         ...ให้ง่วงหง่าวหาวนอนเป็นหนักหนา...
         ...หลับเถิดพี่ฝันดีกล่อมอุรา...
         ...หัวทิ้งดิ่งลงหมอนหลับคร่อกไป ฟี้Zzz...


         กดส่งไปแล้ว หัวเราะคิกคักอย่างอดไม่อยู่ เทียบกับพี่ทศแล้ว กลอนของลักษมัณให้พิลึกอย่างบอกไม่ถูก

         วางมือถือไว้ที่เดิมหลับตาพริ้มทั้งที่ปากยังคงอมยิ้มไม่สร่างซา จนกระทั่ง…

         ติ๊ด

         คว้าหมับเข้าที่สมาร์ทโฟนก่อนเลื่อนปลดล็อคแทบทันใด มุ่นคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นเป็นข้อความเตือนว่ามีคนแปลกหน้าที่เพิ่งแอดเข้ามา

         HSH. Prince Chakkrit
         Added you by phone number


         “เอชเอสเอช ปริ๊น ช ชัคคริส?”

         ใครกันล่ะหว่า?

         ชัคคริส… จักรกฤษณ์?

         เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ก็ให้เบิกตากว้าง แอบส่องรูปโปรไฟล์ก็ให้แจ่มแจ้งชัดเจน

         “ท่านชายราม?”

         ฉับพลันคล้ายแว่วยินเสียงกระซิบเข้าโสตหู …ทั้งคุ้นเคยแลไม่คุ้นเคยอยู่ในที

         จงกลับมาหาพี่
         จงกลับมาหาพี่

         น้องลักษมณ์


         ขมองให้ปวดตุบขึ้นมาหากเพียงไม่นาน สายลมอ่อนพลันพัดพาเอากลิ่นหอมมะลิซ้อนให้อวลไปทั่วห้อง ลักษมัณรู้สึกง่วงงุน สองตายากทานทนสองมือราวกับจู่ๆก็หมดเรี่ยวแรงลงเสียดื้อๆ

         ปล่อยมือถือทิ้งวางไว้บนเตียงข้างกัน

         หน้าจอที่สว่างวาบในคราวแรก …กลับดับพรึบมืดสนิทไป

         หากก่อนที่ลักษมัณจะหลับใหลไม่รู้สตินั้น

         หน้าผากคล้ายถูกบางอย่างสัมผัสอ่อนโยนแสนถนอม พร้อมสุ่มเสียงกระซิบหวานขับกล่อมให้หลับฝัน

         น่าเสียดายที่เขาไม่อาจฝืนซึ่งความง่วงงุนที่ถาโถม… จึงไม่อาจจับใจความใดจากเสียงปริศนานั้นได้

         หลงเหลือไว้แต่เพียงตะกอนอันอบอุ่นฟุ้งวาบในหัวใจ


---------
โปรดติดตามตอนต่อไป
---------

HSH.(His Serene Highness) Prince เป็น คำนำหน้าภาษาอังกฤษ ของผู้ดำรงตำแหน่งยศเป็น หม่อมเจ้า ค่ะ
ส่วนหม่อมราชวงศ์นั้นจะเป็น Mom Rajawongde ใช้ตัวอักษรย่อว่า M.R.ค่ะ
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๗ (๒๑/๐๒)
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 21-02-2019 16:25:55
ดีใจมากเลยค่ะ  o13  กลับมาลงใหม่แล้ว  :mc4:  :mc4:  :mc4:  รออ่านนะค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๗ (๒๑/๐๒)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 22-02-2019 01:03:57
คู่แฝดนี่ของแถมหรือป่าวนะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๗ (๒๑/๐๒)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 22-02-2019 10:09:57
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๘ (๒๓/๐๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ShinrinYoku ที่ 23-02-2019 20:13:55

         ตอนที่ ๘

         TITAN ELECTRIC COMPANY หรือ TTE Company เป็นหนึ่งในบริษัทข้ามชาติสัญญาณอเมริกัน ซึ่งบุกเบิกเข้ามาในประเทศไทยเมื่อหลายสิบปีก่อนอันมีปู่ทวดของทศพักตร์เป็นหัวเรือใหญ่สำคัญในขณะนั้น โดยใช้ชื่อว่า RAPPHANA TITAN’s INNOVATION Thailand หรือ RTI. GROUP

         ในสายตาของ‘คนนอก’แม้‘ราพณา’จะดูเหมือนกับเป็นสาขาลูกของ‘ไททั่น’ แต่แท้ที่จริงทั้งสองบริษัทนั้นไร้ซึ่งความเกี่ยวข้องกันโดยสิ้นเชิง มีเพียงความเป็นทายาททางสายเลือดเท่านั้นที่พอจะสามารถนับรวมกันได้บ้าง

         สายเลือดที่ก็เริ่มเบาบางลงไปตามกาลสมัย แม้แต่นามสกุลก็เปลี่ยนมาใช้นามสกุลของทางฝั่งย่าทวดกันหมด ถึงตัวทศพักตร์จะมีชื่ออยู่ในผู้ถือหุ้นคนหนึ่งของไททั่น ทว่าก็เป็นเพียง 0.39% ของหุ้นส่วนทั้งหมดเท่านั้น

         จากที่พัรวิชญ์ผู้เป็นบิดาเคยเล่าให้ฟังครั้งเมื่อเริ่มรู้ความ ในคราแรกที่ปู่ทวดจากมานั้นหุ้นที่ปันได้ล้วนมากมายกว่านี้หลายเท่านัก หากด้วยเล่ห์หนกลใดไม่อาจทราบได้ จากลูกสู่หลาน จากหลานสู่เหลน หุ้นส่วนที่ว่านี้ถึงได้ลดลงเรื่อยๆ

         ซึ่งทศพักตร์เองก็คร้านสนใจ เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่เคยคิดที่จะแตะต้องเงินปันผลส่วนนั้นอยู่แล้ว

         ลองขยับข้อมือ ก็ให้นิ่วหน้าน้อยๆเมื่อยังรู้สึกเจ็บอยู่แม้จะถอดผ้าคล้องที่ชวนให้นึกรำคาญออกแล้วก็ตามที ในช่วงนี้เขายังไม่สามารถเซ็นเอกสารใดๆได้ ด้วยมือข้างซ้ายซึ่งได้รับบาดเจ็บมาจากอุบัติเหตุเมื่อวันก่อนเป็นข้างที่เขาถนัด ถึงมือข้างขวาจะยังใช้การได้เป็นปกติแต่ก็ไม่สามารถใช้เพื่อลงลายเซ็นในเอกสารงานสำคัญ เพราะแค่ผิดพลาดเพียงจุดเดียวก็ไม่นับว่าเป็นลายเซ็นแล้ว

         โชคดีที่ช่วงนี้ยังไม่มีเอกสารสำคัญที่จำเป็นต้องใช้ลายเซ็นของเขาเท่านั้นเข้ามา แต่ถ้ายังเจ็บอยู่แบบนี้ อีกไม่นานคงได้วุ่นแน่นอน

         ร่างกายของมนุษย์นั้นแสนอ่อนแอยิ่งนัก

         กายใหญ่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลางหลับตาทอดถอนใจ

         เป็นกษัตริย์ปกครองบ้านเมืองก็ดี เป็นประธานบริษัทปกครองพนักงานนับร้อยนับพันก็ดี จะตำแหน่งไหนก็ไม่เคยคิดปรารถนาทั้งสิ้น

         ไม่สิ ยังมีสิ่งหนึ่ง เป็นเพียง‘สิ่งเดียว’เท่านั้นที่ทศพักตร์คนนี้ปรารถนาและโหยหามาโดยตลอด ไม่ว่าจะในกาลอดีตที่เขาไม่เคยได้ครอบครองสิ่งนั้นอย่างแท้จริงเลยสักครา หรือแม้นในกาลปัจจุบันซึ่งหวนกลับสู่การเริ่มต้นอีกครั้ง

         หากเพียงครั้งนี้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม...

         ก๊อก ก๊อก

         “เข้ามา”ยกมือขึ้นนวดขมับที่จู่ๆก็ปวดปลาบขึ้นมา นัยน์ตาคมลืมขึ้นมองลูกน้องคนสนิทที่เดินตัวตรงอกผ่ายราวกับทหารหาญเข้ามารายงานสถานการณ์ต่อแม่ทัพนายศึกก็ไม่ปาน

         “มีสายเรียกเข้าจากคุณมนฑิกาครับ”เปาวนาเหงื่อตกเมื่อเจอดวงเนตรคมกริบจ้องเขม็ง “คือ เธอบอกว่า…”

         “บอกไปว่าวันนี้ฉันไม่ว่าง”

         “แต่คนเจ็บไม่ควรจะโหมงานหนักนะคะ”

         เปาวนาชะงักหันหลังกลับไปมองตามเสียงจึงให้เห็นหญิงสาวสวยเฉี่ยวในชุดกางเกงยีนเข้ารูปคู่กับเสื้อเชิ้ตตัวบางสีขาว ส้นสูงเสริมให้เจ้าหล่อนยิ่งดูสูงเปรียว ลอนผมถูกมัดรวบเป็นหางม้าโชว์สัดส่วนโครงหน้างดงามที่สามารถทำให้ผู้ชายเหลียวหลังมองตามได้ไม่ยาก

         “มนว่าความจริงวันนี้ทศไม่จำเป็นต้องเข้าบริษัทด้วยซ้ำ ทำไมถึงได้ดื้อขนาดนี้ล่ะคะ”ดวงตากลมคมด้วยอายไลเนอร์จับจ้องยังร่างสูงหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ แววห่วงหาห่วงใยอย่างไรก็ไม่อาจปิดมิด

         คนที่กล้าบอกว่าบอสของมัน‘ดื้อ’ต่อหน้าต่อตาก็เห็นจะมีเพียงหญิงสาวผู้นี้เท่านั้น

         เปาวนากลืนน้ำลายเฮือก ขยับถอยหลบมุมอย่างรู้งาน

         “มนฑิกา”เสียงเข้มดุพร้อมดวงเนตรคมปลาบพาให้เจ้าของชื่ออดหวั่นกลัวไม่ได้ หากหล่อนก็ทำใจแข็ง

         “หรือว่าทศกำลังจะกลับบ้านคะ งั้นให้มน…”

         “มนฑิกา”

         หญิงสาวชะงักค้าง ไม่รู้ด้วยเหตุผลใดแม้แต่จะขยับขายังไม่อาจทำได้ ดวงตากลมมองตามร่างสูงใหญ่ที่ผุดลุกขึ้นยืนก่อนเดินตรงมายังหล่อนด้วยฝีเท้ามั่นคง บรรยากาศพลันกดต่ำอึมครึมเสียจนพาลให้หล่อนรู้สึกหายใจไม่ออกเอาเสียดื้อๆ

         “ผมขอโทษ”

         “…”ดีไซเนอร์สาวทำได้เพียงกะพริบตาปริบ ปล่อยให้ร่างใหญ่เดินผ่านไปโดยไร้ซึ่งคำถามใดเพราะไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมาได้ หากก่อนที่ทศพักตร์จะผละจากไปนั้น

         คำพูดสุดท้ายกลับทำให้เธอเยือกแข็งไปทั้งหัวใจ

         “‘ปลดปล่อย’เสียเถิด อย่าได้‘ขัง’ตัวเองไว้กับผมอีกเลย”

         ปัง

         เปาวนาได้แต่เดินตามหลังผู้เป็นนาย ไม่กล้าแม้จะเปล่งเสียงใด ในใจมันพะวักพะวงถึงผู้ที่ถูกนายมันทิ้งไว้ในห้องทำงาน แม้นมนฑิกาจะน่าสงสาร หากกระนั้น…

         ดวงตาลอบจดจ้องแผ่นหลังกว้างใหญ่เบื้องหน้า

         แต่มันกลับให้รู้สึกสงสารผู้เป็นนายของมันยิ่งกว่า





         “สวัสดีครับคุณทศพักตร์”

         นายเมธาสิทธิ์ คณบดีหนุ่มใหญ่ของคณะนิเทศศาสตร์รีบเดินมาต้อนรับสปอนเซอร์ใหญ่ถึงหน้าตึกคณะด้วยตนเองพร้อมกับนักศึกษาชายสามคนหญิงหนึ่งคน ทันทีที่รู้ว่าทศพักตร์ได้เดินทางมาถึงคณะแล้วเป็นที่เรียบร้อย

         ในคราแรกเมธาสิทธิ์เพียงแค่อยากได้นายทุนช่วยสนับสนุนในเรื่องค่าใช้จ่ายเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ไม่คาดว่าจะได้รับความสนใจจากบริษัทใหญ่ชั้นแนวหน้าอย่าง RTI. GROUP ทั้งอีกฝ่ายยังอุปการคุณในการให้ยืมชุดสำหรับใช้ในการแสดงอีกเป็นต่างหาก

         “สวัสดีครับคุณเมธา”ทศพักตร์ยิ้มเล็กน้อยพอเป็นพิธี ถึงกระนั้นก็ไม่คล้ายว่าจะเป็นรอยยิ้มนัก ก่อนจะเหลือบมองเหล่านักศึกษาที่เมธาสิทธิ์กระเตงมาด้วยซึ่งยืนเรียงแถวเกร็งตัวเป็นฉากหลัง

         “อ้อ นี่คือนักศึกษาที่ได้รับการคัดเลือกให้แสดงบทนำในครั้งนี้ครับคุณทศพักตร์”ถอยฉากออกไปด้านหลังเปิดโอกาสให้สปอนเซอร์ใหญ่ได้เห็นหน้าค่าตากันชัดๆ

         เนตรคมกริบไล่มอง ผู้หญิงเอียงอาย ผู้ชายคนแรกไม่กล้าสบตาทราบว่าคงประหม่า ขณะที่ผู้ชายคนที่สองมองตรงมายังเขาแสดงให้เห็นถึงความมั่นอกมั่นใจในตัวเองหว่างคิ้วมีรอยย่นเล็กน้อย ก่อนจะละสายตาแล้วหยุดลงที่นักศึกษาชายคนสุดท้าย พิศมองนานเป็นพิเศษ

         “ดอกอ้อรับบทเป็นนางสีดา ธานินรับบทเป็นพระลักษมณ์ กิจจารับบทเป็นทศกัณฐ์ ส่วนเมฆนาทรับบทเป็นพระรามครับ”คณบดีเมธาสิทธิ์เอ่ยแนะนำชื่อเรียงคน หากกลับไม่ได้อยู่ในความสนใจทศพักตร์สักคนนอกเสียจากคนสุดท้าย

         “ไม่เหมาะ”

         “คะ ครับ?”เมธาสิทธิ์หน้าเหวอในขณะที่เมฆนาทซึ่งถูกนายทุนใหญ่ประกาศเสียงดังฟังชัดต่อหน้าว่า‘ไม่เหมาะ’ขมวดปมผูกคิ้วติดสงสัย

         “ไม่เหมาะในเรื่องไหนหรือครับ คุณทศพักตร์”เมฆนาทก้าวออกมาหนึ่งก้าวยืนประจันหน้าสบตาพลางแย้มยิ้ม

         คำพูดสุภาพแต่รอยยิ้มยียวนเป็นพิเศษ

         “นายเมฆ!”เมธาสิทธิ์แทบลมจับ

         เมฆนาทเป็นตัวเลือกที่มีปัญหาที่สุดในบรรดานักศึกษาคนอื่น แต่ก็มีหน่วยก้านทั้งยังฝีไม้ลายมือในการแสดงดีที่สุดด้วยเช่นกัน สำคัญคือ‘ชื่อเสียง’ที่ได้มาจากหน้าตาอันหล่อเหลาคมคร้าม เห็นอย่างนี้ก็เป็นถึงเดือนคณะปีก่อน มีฐานแฟนคลับค่อนข้างเยอะพอสมควร อาจช่วยในการโปรโมทเรียกคนเข้าชมการแสดงครั้งนี้ได้ไม่มากก็ไม่น้อย

         อัธยาศัยดี …ติดอยู่ตรงนิสัยที่ขวานผ่าซากพูดจาโผงผางเสียจนดูไม่ค่อยจะไว้หน้าใครสักเท่าไร

         “ไม่เป็นไรครับคุณเมธา”ทศพักตร์ยกยิ้มหากนัยน์ตากลับเรืองรองทอประกายคมกล้า

         เมฆนาทชะงักงันไป ฉับพลันกลับรู้สึกตื่นตระหนกหัวใจคล้ายหล่นวูบตกจากที่สูง เผลอก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อตั้งหลักตามสัญชาตญาณ แก้วตาเขม็งจ้องมองคนตรงหน้าไม่ละลด สำรวจสงสัย จู่ๆความรู้สึกกริ่งเกรงในอะไรบางอย่างก็วาบเข้ามาในมโนสำนึก ‘อะไรบางอย่าง’ที่อยู่ในตัวของผู้ชายคนนี้

         ทศพักตร์ทำราวกับมองไม่เห็นท่าทีระแวดระวัง ชายหนุ่มก้าวขามั่นคงเดินตรงไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่ม

         “พระราม ในความคิดของเธอ?”

         ทุกคนล้วนพากันชะงัก ไม่เว้นคนที่จู่ๆก็ถูกตั้งคำถาม เมฆนาทมุ่นคิ้วผ่อนคลายความตึงเครียดที่มีลง ในใจนึกคิด

         ไหนว่าเป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงชั้นแนวหน้า? ไหงคำถามถึงได้ราวกับถอดออกมาจากครูภาษาไทยน่าเบื่อๆสมัยเรียนประถมเสียอย่างนั้น…

         “ไม่รู้สิครับ ตอนเด็กผมก็ไม่ได้ตั้งใจเรียนสักเท่าไหร่”

         คณบดีเริ่มปาดเหงื่อ ในขณะที่ดอกอ้อกับธานินเริ่มหันหน้ามามองกัน ส่วนกิจจานั้นชักสีหน้าจ้องรุ่นน้องผู้ปากดีที่ตนไม่ค่อยชอบหน้าอย่างเมฆนาทเขม็ง

         “แล้วเธอคิดว่าตัวเองเหมาะกับบทนั้นไหม?”ไม่มีวี่แววเคืองขุ่นทั้งยังตั้งคำถามต่อ

         เมฆนาทจ้องตาคมคู่นั้นกลับ รู้สึกแปลกในอกอย่างบอกไม่ถูก หากแต่ไม่ใช่ความรู้สึกกลัวอย่างแน่นอน

         นักศึกษาหนุ่มนัยน์ตาคมยกยิ้ม แลมองเผินๆแล้วช่างดูคับคล้ายกับคนถามยามยกยิ้มเมื่อครู่จนราวกับเป็นภาพพิมพ์เดียวกันก็ไม่ปาน

         “ไม่ครับ คิดเหมือนคุณ อย่างน้อยผมก็คิดเองแล้วว่าคุณคิด …คิดว่าผมไม่เหมาะกับบทพระเอกฝ่ายดีสักเท่าไร”ตอบพลางไหวไหล่ให้คนได้รับคำตอบหัวเราะน้อยๆอย่างถูกใจ

         คุณทศพักตร์ไม่โกรธแถมยังดูจะถูกใจนายเมฆนาท?! นายเมธาสิทธิ์สีหน้าเริ่มงุงงงจับต้นชนปลายชักไม่ใคร่ถูก
ผู้อาวุโสกว่ายกมือขึ้นวางบนบ่าที่แข็งเกร็งของเมฆนาทแล้วหันกลับไปให้ความสนใจคณบดีประจำคณะอย่างเมธาสิทธิ์ที่ยืนใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่ออยู่อีกครั้ง

         “เข้าไปคุยกันข้างในเถอะครับคุณเมธา”

         “คะ ครับๆ ไป …ไปครับไป”

         เมฆนาททิ้งสายตาไว้ที่ทศพักตร์สักพักก่อนที่จะหันหลังเดินตามกลุ่มคณะชาวนักแสดงโขนเข้าไปในตัวตึกเรียน

         “บอสครับ”ขาที่กำลังจะเดินตามกลุ่มด้านหน้าพลันชะงักเมื่อคนสนิทเดินเลียบๆเคียงๆมายืนข้างๆพลางยกมือป้องกระซิบ… ที่ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดต้องลับลมคมในปานนั้น

         “คุณลักษมัณ ตะ...ตอบข้อความกลับมาแล้วครับ”





         หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้

         “ยิ้มก่อนอ่านตาหวานก่อนเปิด ฮะแหม่ๆ”แว่วเสียงล้อเลียนจากเพื่อนคนใหม่นายลิงลม ไม่ใช่ลูกลมแต่เป็นลิงลม แบบนี้จะฟังดูเหมาะกับบุคลิกหลุกหลิกไม่อยู่สุขของมันมากกว่า

         ลักษมัณคว่ำหน้าจอมือถือลงบนโต๊ะเรียน สีหน้าคล้ายไม่รู้ไม่ชี้แต่กระพุ้งแก้มกลับป่องนูนด้วยอมยิ้มไม่ยอมหุบ หุบไม่ได้มันฟูฟ่องนักในใจ เป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่น่าแปลกใจเมื่อได้เผชิญ

         ความจริงก็ใจลอยตั้งแต่ยามรุ่งอรุณตื่นขึ้นมาใส่บาตรกับพ่อจ๋าแล้วล่ะ เมื่อไพล่นึกไปถึงข้อความที่ใช้โต้ตอบกับพี่ทศเมื่อคืน… ‘พี่ทศ’ …ทิ้งเสี้ยวแก้มซีกขวาลงบนโต๊ะเรียนดังตุบ เพื่อนลิงลมที่เรียนคลาสเดียวกันโดยมิได้นัดหมาย ขยับเก้าอี้ไถก้นถอยออกห่างเล็กน้อย

         “น้องรัก มึงบ้าไปแล้วป่ะ เชื้อจะติดกูมั้ยเนี้ย ทำไงดี”

         “ตั้งใจเรียนไปเถอะหน่า”หงุบหงับปากตอบ

         “มึงบอกตัวเองก่อนดีกว่ามั้ย แหม...นั่งเปิดมือถืออ่านแชทตาหวานเยิ้มซะ”

         “เออหน่า”ท่องยุบหนอ หน้าไม่แดงหนอเบาๆในใจ ลักษมัณไม่รู้ว่าทำไมถึงได้เป็นถึงขนาดนี้ คล้ายว่าช่วงนี้จะเซนซิทีฟขึ้นอย่างบอกไม่ถูก สมองก็ดูเหมือนจะเออเร่อหลงๆลืมๆ …ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่าหลงๆลืมๆอะไรไปเหมือนกัน

         กำลังคิดสับสนตัวเองอยู่ในใจ แก้มกลับยืดเพราะถูกดึงเข้าให้ …ตบมือไอ้ลิงลมไปหนึ่งเพียะ เพียะเบาๆเดี๋ยวถูกอาจารย์เพ่งเล็งงานเข้าเอาไม่ดี

         ลูกลมไม่สลดทั้งที่มือแดงเพราะถูกเพื่อนใหม่ฟาดเข้าให้ หัวเราะคิกคักชอบใจก่อนจะก้มหน้าก้มตาไถหน้าจอมือถือที่วันนี้ไม่ใช่มือถือรุ่นตำนานอย่างที่เคยเห็นมันหยิบมาเล่นเมื่อวันก่อน สมาร์ทโฟนรุ่นท็อปกับเกมต่อสู้แฟนตาซี ...ลิงคงเริ่มอัพเดทตัวเองบ้างแล้ว

         ส่วนลักษมัณ เมื่อไม่มีสายตาซอกแซกมาสอดส่อง จัดหนังสือให้ตั้งขึ้นพอปิดครึ่งหน้าเหลือบตาลงมองหน้าจอมือถือที่พลิกกลับมาเรียบร้อย อมยิ้มอ่านข้อความจากคุณทศพักตร์กวีเอกยุคดิจิตอล


         ทศพักตร์(ส่วนตัว) :
         ...ครวญครวญหวนคำนึง...
         ...สุดคิดถึงแสนอยากเจอ...
         ...คืนวานพี่ละเมอ...
         ...แอบแอบเผลอกดโทรไป...
         ...กดวางแทบไม่ทัน...
         ...พี่หุนหันตกใจใหญ่...
         ...ตัวพี่กำลังไป-...
         ...หาดวงใจโปรดจงรอ...


         ‘หาดวงใจโปรดจงรอ’


         ลักษมัณยกมือขึ้นกุมหน้าผากก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆกับบทกลอนประหลาดที่ไม่คาดว่าจะมาจาก‘คุณทศพักตร์’  ผู้ชายหน้าดุราวกับยักษ์อีกทั้งยังชอบแผ่รังสีเย็นออกมาจากร่างคนนั้น…

         ลักษมัณนั่งคิดพลางใช้ปากกาลูกลื่นเคาะปลายคางตัวเองเบาๆไปพลาง นานหลายนาที ก่อนกดพิมพ์ข้อความตอบกลับ
เม้มปากน้อยๆด้วยไม่มั่นใจ ถึงจะชอบฟังชอบอ่านอยู่บ้างแต่เขาก็ไม่ใช่นักแต่งกลอนที่ดีสักเท่าไหร่ สัมผัสนอกอาจได้แต่สัมผัสใน ขอลาทีเถอะ แต่งกลอนอะไรแบบนี้ไม่เก่งจริงๆ แต่ก็อยากจะตอบกลับ ตอบกลับไปในแบบเดียวกันที่ได้รับมาจากพี่ทศ

         สูดลมหายใจเรียกความมั่นใจก่อนกดส่ง

         ก็ได้แต่หวังว่าพี่ทศจะทนอ่านจนจบล่ะหนอ

         นั่งใจลอยอ่านข้อความของตัวเองซ้ำไปซ้ำมา หัวคิ้วกระตุกเมื่อลองจิ้มนิ้วนับวรรคในบาทแล้วเห็นมันเกินมาหนึ่งวรรค หากคิดจะกดลบแล้วส่งใหม่ก็ดูเหมือนจะไม่ทันเอาเสีย เมื่อข้อความดันขึ้นว่าถูกฝ่ายตรงข้ามอ่านแล้ว

         ทิ้งแก้มคนละข้างกับเมื่อครู่ลงโต๊ะดังตุบ ให้ลิงสะดุ้ง แถมยังเล่นเสียจนปวดกรามต้องรีบเงยขึ้นนวดหน้าแทบไม่ทัน ให้พอดีกับสัญญาณหมดคาบเรียนดัง หันไปมองเพื่อนข้างกาย …ก็เห็นมันเตรียมลุกจากที่นั่งแล้ว

         รวดเร็วดีแท้

         “น้องรักกลับบ้านเลยเปล่าจ๊ะ”วางมือบนบ่า น้ำหนักก็เพิ่ม ลักษมัณถอนหายใจ ชักเริ่มชินกับความลูกลมเสียแล้ว
เป็นเรื่องน่ากลัวมาก บางทีเขาไม่ควรชินเร็วขนาดนี้หรือเปล่า?

         “ยัง …คือกูว่าจะนั่งกินน้ำปั่นเล่นก่อน พักสมองแปบค่อยกลับน่ะ”

         “งั้นกูนั่งเป็นเพื่อน!”

         “ไม่เป็นไร ถ้ามึงรีบกลับก็…”

         ลิงกระโดดลงบันไดไปแล้ว พลิ้วลมไม่รอคำตอบรับใดจากเพื่อนรักที่ได้แต่อ้าปากพะงาบแม้แต่น้อย นึกเข้าใจความรู้สึกพี่เวสยามถูกสิตาตัดบทพูดในคราก่อนทันใด

         “เดี๋ยวพี่ลูกลมมานะจ๊ะ น้องรักนั่งรอพี่แปบ ใต้ตึกคณะนั่นล่ะ พี่จะรีบไปหาน้ำปั่นแสนอร่อยชื่นอกชื่นใจมาให้เอง วู้วว!”
โดดตัวลอยเมื่อถึงพื้นเรียบร้อย โบกไม้โบกมือประกอบอีกไอ้ลิงลมเอ๊ย อะเลิทขั้นหนัก …ลักษมัณยกมือขึ้นกุมหน้าผาก จงใจปิดบังเสี้ยวหน้าบางส่วน กลัวคนจดจำได้เหลือแสน

         จุดนี้บอกตามตรงว่าหน้าบางมาก


---------
โปรดติดตามตอนต่อไป
---------

หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๘ (๒๓/๐๒)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 24-02-2019 01:52:41
อ่านเรื่องนี้แล้วเพิ่งคิดได้ว่าลืมกินยาคูลท์  :hao4:
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๘ (๒๓/๐๒)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 24-02-2019 16:11:51
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๙+๑๐ (๒๖/๐๒) หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: ShinrinYoku ที่ 26-02-2019 16:11:25


         ตอนที่ ๙

         บอกตามตรงว่าเปาวนาไม่ได้มีเจตนาคิดจะสอดส่องเรื่องใดๆของนายมันเลยแม้สักกะผีก และยิ่งไม่บังอาจแหลมหน้าสอดวาจาในทุกสิ่งที่นายของมันคิดกระทำ มันไม่เคยมีคำถาม …ก็อาจมีบ้างที่ทนไม่ได้จนต้องเอ่ยปากไถ่ถามออกไปในที่สุด แต่ก็เป็นส่วนน้อย(ที่ยั้งปากทัน) เพราะมันแสนหวั่นใจนักยามเห็นเนตรดุดันคมกริบเขม็งจ้องคล้ายไม่ชอบใจ

         ความจริงแล้วไม่ใช่ไม่ชอบใจอะไรหรอก มันรู้… นายเหนือหัวของมันใจดีต่อข้าไพร่บริวารจะตายไป ไม่ว่าจะภพชาติกาลไหนก็ตาม เพียงแต่ติดหน้าดุไปนิด ปากแข็งยิ้มยากไปหน่อย ทั้งยังชอบเผลอกดดันใครต่อใครด้วยความเย็นชาไปบ้างก็เท่านั้น
หากมีเพียงไม่กี่คนที่เป็นข้อยกเว้นสำหรับสิ่งเหล่านั้น แน่นอนว่าหนึ่งในข้อยกเว้นนั้นคือพระโอรสอินทรชิต มันจำได้ว่าเมื่อกาลอดีตนายเหนือหัวแห่งมันมอบความเอ็นดูให้แก่พระโอรสองค์นี้มากเพียงไร

         ความโปรดปรานก็คล้ายจะยั้งอยู่ แม้ภพกาลนี้จะไร้ซึ่งความเกี่ยวพันใดต่อกัน

         “เอ่อ คือแบบนี้จะดีเหรอครับคุณทศพักตร์”

         เปาวนาหรี่ตามองนายเมธาสิทธิ์ที่ยังไม่เลิกใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อทั้งที่ก็ไม่มีเหงื่อให้เห็นแม้สักหยด ก่อนจะหยิบ‘เกราะเพชร’ส่งถึงมือนายที่กำลังสาละวนอยู่กับ‘ชุดทรง’บนเรือนกายสูงใหญ่แทบเทียบเท่ากับนายของมัน

         “เกราะเพชร เป็นเกราะประจำตระกูลพรหมชั้นสูง ต้องเป็นกษัตริย์หรือผู้มีศักดิ์เทียบเคียงเยี่ยงว่าที่กษัตริย์คนต่อไปเท่านั้น จึงจักมีสิทธิ์สวมใส่”สุ่มเสียงเรียบเรื่อยเอ่ยประกอบหากกลับไม่ใช่เพื่อตอบความคณบดีเมธาสิทธิ์ แต่เอ่ยเพื่อพูดกับเขาราวกับจะ‘เน้นย้ำ’ให้ฟังโดยเฉพาะกระนั้น?

         เมฆนาทก้มลงมองเครื่องทรงสีเหลืองทองที่ก่อนหน้านี้ไม่มีผู้ใดกล้าลองใส่ ซึ่งบัดนี้ได้ถูกสวมอยู่บนกายของเขา ช่างพอเหมาะพอเจาะนักจนน่าแปลกใจ เด็กหนุ่มเกร็งแทบทั้งตัวเมื่อพี่เลี้ยงจำเป็นกิตติมศักดิ์อย่างคุณทศพักตร์ลงทุนช่วยเขาสวมใส่ด้วยตัวเอง แม้มือซ้ายแลคล้ายจะไม่ค่อยสะดวกในการหยิบจับเสียเท่าไหร่ แต่ก็ยังอุตสาห์ยกเกราะขึ้นสวมให้เขาจนครบสิ้นกระบวนความ

         “แลเครื่องทรงแห่งกษัตราลงกานครนี้ เจ้าเหมาะสมที่จักสวมใส่มันที่สุด เมฆนาท”
และไม่ทราบด้วยเหตุใด เมฆนาทรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก หัวตาราวกับจะร้อนผ่าวขึ้นมาเมื่อยินชื่อที่ถูกเอ่ยออกมาจากคุณทศพักตร์ผู้นี้

         “คุณจะบอกว่าผมไม่เหมาะที่จะใส่มันงั้นเหรอคุณทศพักตร์”กิจจาทนไม่ไหวอีกต่อไป ในห้องรับรองนี้ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครกล้าสอดขัดเลยสักคน งั้นขอเขาขัดเป็นคนแรก เรียกสติทุกคนหน่อยแล้วกัน ไม่ใช่เอาแต่ตามใจไอ้นายทุนบ้าบออะไรนี่จนยอมเออออห่อหมกกับมันไปเสียทุกอย่าง

         “บทถูกวางไว้แล้ว คนที่จะแสดงเป็นทศกัณฐ์คือผม ไม่ใช่ไอ้… ไม่ใช่เมฆ”หว่างคิ้วย่นยับกว่าเดิมด้วยแรงอารมณ์อันมาคุสุ่มอก กิจจาปรายตามองเกราะเพชรมากมูลค่าที่สวมอยู่บนตัวของรุ่นน้องก็ให้ไม่สบอารมณ์ยิ่งกว่าเดิม“ซ้อมก็เริ่มซ้อมกันไปแล้ว คุณจะมาเปลี่ยนคนแสดงกะทันหันแบบนี้ไม่ได้นะครับ ถึงจะเป็นสปอนเซอร์ใหญ่โตขนาดไหนก็เถอะ”

         อย่าลองดี!

         กิจจาสะดุ้งเฮือก มือที่กำลังจะแตะลงบนเกราะเพชรพลันชะงักค้าง ดวงตาเบิกกว้างเหมือนแลเห็นบางสิ่งที่น่ากลัวจนชวนให้พรั่นพรึง ขาก้าวถอยเป็นพัลวัน หากไม่ทันที่ใครจะได้ตั้งตัวทันร่างสูงของกิจจาก็ล้มตึงลงนั่งเอกเขนกอยู่บนพื้นอย่างหมดท่า

         “กิจจา! เป็นอะไรไป?”ดอกอ้อรีบเข้าไปช่วยพยุงเพื่อนหนุ่ม แต่กลับถูกผลักไส

         กิจจาตาเบิกค้างเอาแต่จับจ้องไปยังร่างใหญ่ของทศพักตร์ไม่ลดละ ปากพึมพำบางสิ่งในลำคอจับไม่ได้ใจความ

         “อะไร ดอกอ้อ เพื่อนเป็นอะไร”เมธาสิทธิ์โพล่งถามอย่างตื่นตระหนก เหตุการณ์คล้ายจะชุลมุนขึ้นเมื่อกิจจาเอาแต่พูดกับตัวเองไม่หยุด แม้ธานินกับดอกอ้อจะช่วยกันเกลี้ยกล่อมก็ไร้ผลใด

         “ย…”

         มือยกขึ้นชี้หน้า ปากตะโกนก้องราวกับคนเสียสติ

         “ยักษ์! มันเป็นยักษ์ผี!”

         พรวดลุกขึ้นแล้ววิ่งตาลีตาเหลือกไปยังประตูห้องในจังหวะที่ไม่มีใครคาดถึง กิจจาเสียจังหวะล้มตึงลงอีกครั้ง เมื่อประตูห้องถูกคนด้านนอกผลักเปิดเข้ามา

         “ขอโทษนะครับ เป็นอะไรหรือเปล่า?”

         เมธาสิทธิ์กลืนน้ำลายลงคอดังเฮือกเมื่อเห็นบุรุษในชุดสุภาพสองคนเดินเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มคนแรกย่อตัวลงสอบถามอาการกิจจาที่ยังร้องยักษ์ๆไม่หยุด ในขณะที่ชายหนุ่มทางด้านหลังนั้น

         “สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าผมมาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า?”

         พายุเข้าไต้ฝุ่นถล่มนายเมธาสิทธิ์ล่ะทีนี้…

         เป็นใครไปไม่เป็นเสีย ไฉนถึงได้เป็นท่านชายจักรกฤษณ์ที่มาอยู่ตรงนี้เล่า?!




         “มึงอยู่ไหนไอ้พิณ?”

         อัยการมือหนึ่งถือโทรศัพท์มือถือแนบหู อีกมือมีหนังสือกับชีทเรียนที่เพิ่งได้มาจากวิชาเรียนก่อนหน้า เดินอาดเข้ามาในคณะที่ไม่ใช่ถิ่นฐานของตัวเอง หากไม่ใช่เพราะนภัสรพีหรือไอ้พิณเพื่อนที่เขานัดเจอดันมีเรียนต่อในเวลาบ่ายโมงตรง เขาคงเอาเอกสารการเรียนพวกนี้ไปเก็บก่อนที่รถ ไม่ต้องหนีบมาด้วยให้หนักมือแบบนี้

         ไม่น่าบ้าจี้เอารถไปจอดที่คณะนิเทศฯตามคำเป่าหูของไอ้เมฆมันเลยเชียว

         “กูอยู่นี่”คำตอบไม่ได้มาจากปลายสายโทรศัพท์ที่แนบหู กลับมาจากข้างหลัง พอหันไปมองถึงได้เห็นหน้าตี๋ๆของเพื่อนยิ้มแป้นประดับใบหน้าเป็นแป๊ะยิ้ม“โอ้โห ถึงกับหอบหิ้วตำราเรียนมาเลยเหรอครับท่านอัยการ เคร่งขรึมน่าดู”

         “ยังจะมาแซวกูอีก ใครวะเร่งให้กูรีบมาเพราะต้องขึ้นเรียนก่อนเวลา หือ”อัยการหรือกรรณตีสีหน้าหน่าย เก็บโทรศัพท์มือถือลงในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบกระดาษยับๆใบหนึ่งขึ้นมา ส่งให้เพื่อนต่างปีดู

         ที่ต่างปีเพราะนภัสรพีนั้นอยู่ปีสามแล้ว ในขณะที่กรรณเป็นนักศึกษาวิชากฎหมายปีสอง เรื่องพบปะจนกลายมาเป็นเพื่อนต่างปีกันได้อย่างไรนั้นขอทบไว้เล่าย้อนความทีหลัง เพราะตอนนี้มีประเด็นสำคัญที่ต้องให้ความสนใจมากกว่าอยู่

         นภัสรพีรับกระดาษมาจากมือเพื่อน ไล่สายตาอ่านลายมืออันเป็นระเบียบเรียบร้อยในกระดาษแผ่นน้อยแต่ยับยู่ยี่ ก่อนจะหัวเราะเสียงดังลั่น ไม่รู้ว่าแค่ขำเฉยๆหรือกำลังสะใจ

         “มึงว่ารู้จัก ก็รีบบอกมาว่าเป็นใคร ชื่ออะไร”นภัสรพีขำออกมาอีกหนึ่งคำรบ ไม่รู้ว่าเป็นเขาหรือตัวเพื่อนกรรณกันแน่ที่รีบ

         “เออ ไอ้รู้อ่ะรู้จักแน่ๆล่ะ เพราะรหัสนี้เป็นรหัสสายกูเอง”กรรณนึกใจชื้นขึ้นมาน้อยๆ เพราะอีหรอบนี้คงไม่ต้องปวดหัวควานหาตัวให้ยุ่งยาก

         “งั้นก็อย่ามัวอมพะนำ และห้าม ไม่ต้องคิดจะปิดบังเพื่อปกป้องน้องมึงเลย”เสียงเข้มหน้าขรึม นัยน์สื่อให้เพื่อนรู้ว่ากูโกรธจริงโมโหจัง อย่าริอาจคิดตุกติก

         “งั้นเอาเรื่องแรกก่อน น้องกูไม่ใช่ผู้หญิงอย่างที่มึงเข้าใจ”แสดงว่าเป็นผู้ชาย หึ ดีเหมือนกัน เจอหน้าพ่อจะได้ใส่ให้ยับไม่ต้องมาเกรงอกเกรงใจด้วยต่างเพศ“และที่สำคัญเลยนะ น้องกูคนเนี้ยน่ารักมาก น่ารักทั้งหน้าทั้งนิสัย กับรุ่นพี่นี่คุยสุภาพทุกคำ แต่สุภาพยังไงก็ไม่ใช่แบบในกระดาษนี้ว่ะ เรื่องจ๊ะจ๋าเป็นหมาหยอกไก่งี้กูไม่เคยเห็นมันพูดกับใคร อันนี้ละที่กูแปลกใจนิดหน่อย”

         “...”ไม่ตอบอีกแต่มองกดดันมาก สื่อให้เพื่อนรู้ถ้ามึงยังไม่เลิกพล่ามน้ำแล้วเข้าเนื้อเสียที กูจะเอาตำรากฎหมายนี่ทุ่มใส่หัว เอาให้คว่ำ

         “เออๆ เห็นแก่ความเป็นเพื่อนกูจะยอมบอกก็ได้ แต่มึงต้องรับปากก่อนว่าจะไม่ทำอะไรน้องกูในเชิงของการใช้กำลัง รู้อยู่ว่ามึงไม่มีนิสัยเอะอะออกหมัดเล่นงิ้ว แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ถ้าเลือดมันขึ้นหน้าเอา กูเป็นห่วงหลานกูมันดูเป็นคนไม่ค่อยสู้คนเท่าไหร่”

         “หลาน?”

         กรรณเลิกคิ้ว พิณพยักหน้า

         “เออ มันเป็นหลานรหัสของกูเอง วันก่อนเพิ่งพาไปมอมเหล้ามา เมาเป็นหมาแต่ยังน่ารัก”

         ยิ้มได้หน้าตาโรคจิตมาก นี่คงไม่คิดกะเคลมหลานรหัสตัวเองหรอกมั้ง?

         “ไม่ๆ หยุดคิดเรื่องอกุศลเลยไอ้กรรณ กูแค่เอ็นดูแต่ไม่ได้คิดอยากดูเอ็นอะไรไอ้รักมันเว้ย อ้อ มันชื่อเล่นว่ารัก ชื่อจริงก็ลักษมัณ ส่วนตัวจริงอ่ะ โน่น! นั่งอยู่ใต้ตึกเรียนโน่น”พูดไม่พอชี้บอกทางด้วยกลัวเพื่อนไม่เห็น กรรณมองตาม เห็นแค่ข้างหลัง แต่หน้าไม่เห็นเพราะอีกฝ่ายนั้นหมอบนอนลำตัวท่อนบนราบขนาบไปกับพื้นโต๊ะ

         คว้ากระดาษเจ้าปัญหาในมือบอกลาไม่ลืมขอบใจเพื่อน หมุนกายเดินตรงดิ่งไปหา‘คู่กรณี’ มีเสียงตะโกนตามหลังว่าให้เพลาๆมือหน่อยจากนภัสรพี

         สรุปแล้วมันคิดว่าเขาจะทำอะไรน้องในคณะแต่เป็นหลานรหัสของมันกัน ในสายตาเพื่อนเขาดูเป็นคนหัวรุนแรงขนาดนั้นเลยหรือ?

         กรรณส่ายหน้าพลางถอนหายใจหันกลับไปมองเพื่อนก็เห็นมันวิ่งไปโบกไม้โบกมือเรียกรถราง ร้องตะโกนโหวกเหวกตลอดทางว่า

         “สายแล้วๆ กูสายแล้ว เชี่ยกรรณแม่ง”

         สรุปผิดที่กรรณ?

         หันกลับมาอีกที หลานรหัสไอ้พิณเคยนอนหมอบยังไงก็ยังคงอยู่ในท่านั้น

         “น้อง”บิ๊วเสียงเข้มเรียกข่มขวัญ

         ไม่ขยับ

         “น้อง”เพิ่มระดับเสียงขึ้นมาอีกนิด

         ก็ยังคงนิ่ง คิดในใจมึงตายแล้วเหรอ?

         “น้อง! รัก! ลักษมัณ!”

         มาให้หมดมาให้ครบคำเรียกขาน ที่อีกนิดจะขึ้นมึงขึ้นไอ้แล้วถ้ายังคงไม่รู้สึกตัว

         หัวดำๆขยับน้อยๆ พร้อมร่างกายที่ค่อยๆยืดขึ้น หมายถึงกลับมานั่งตรงไม่หมอบราบแก้วแล้ว นั่นล่ะเขาถึงได้เห็นหน้าค่าตาชัดเจนแจ่มแจ้ง

         “อ้าว!?”หน้ามึนตาปรือที่สงสัยว่าคงเพราะเพิ่งตื่น หรืออย่างไร? คนเด็กกว่ายกมือเกาหัวเหมือนกำลังนึก ไม่นานชั่วอึดใจเดียว“คุณพลเมืองดี? อ่า คราวนั้นขอโทษด้วยนะครับ พอดี… มันฉุกละหุกนิดหน่อยก็เลยลืมตอบที่คุณถามไปเลย”

         ย้ำอีกว่ากูถูกเมิน

         ใช่เลย ไอ้น้องรักหรือหลานรหัสนภัสรพีคือเด็กที่เกือบถูกรถชนเข้าให้เมื่อวันก่อน วันที่เขาทำดีไม่ขึ้นนั่นล่ะ เด็กที่ทำให้เขาถึงกับลืมทุกอย่างแล้วรีบพุ่งหลาวไปหาเพื่อช่วยเหลือ… อย่างงงๆ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ช่วยอะไรเพราะคนเจ็บช่วยกันเองเรียบร้อย แถมยังพากันเมิน ทำเหมือนกรรณนี้ไม่มีตัวตนกระนั้น

         “ทำไมเป็น เอ่อ ...น้องได้?”กรรณขมวดคิ้ว แต่ที่สงสัยยิ่งกว่าคนถามคือลักษมัณที่ยังคงมึนขี้ตา

         “ทำไมเป็นผม? อ่า ไม่รู้เหมือนกันครับ แล้วพี่ทักผมหรือเปล่า? เอ๊ะ หรือไม่ได้ทักผม แต่ก็ว่าผมได้ยินเสียงเรียกชื่ออยู่นะ”เห็นเรียกน้องเลยติ๊ต่างไปเรียบร้อยว่าคงจะเป็นรุ่นพี่ คุณพลเมืองดีเมื่อวันก่อนยืนนิ่ง เหลือบเห็นกองตำราที่อยู่ในแขนแล้วนึกสงสาร หนัก ต้องหนักแน่นอนเขามั่นใจ“ว่าแต่ว่า วางหนังสือเรียนก่อนไหมครับพี่ ท่าทางน่าจะหนักน่าดู”

         ตบโต๊ะหินอ่อนอย่างมีน้ำใจ กรรณเองก็ไม่ปล่อยให้รุ่นน้องต่างคณะต้องเสียน้ำใจที่อุตสาห์สละที่นอนเฉพาะกิจให้วางตำราเรียนลงดังตุบ เพิ่งรู้สึกว่าล้าแขนก็ตอนวางของลงนี่ล่ะ

         “นี่ของน้องหรือเปล่า?”รีบเข้าเรื่องทันที นึกสังหรณ์ใจแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก

         ลักษมัณมีสีหน้างงงวยอย่างเห็นได้ชัด รับกระดาษยับยู่มาจากรุ่นพี่พลเมืองดีที่ยังคงไม่รู้ชื่อ ก้มหน้าลงอ่าน สักพักถึงได้เงยขึ้นพยักหน้าหงึกหงัก

         “ใช่ครับ”

         “...”ได้รับคำยืนยันแทนที่จะ‘ใส่ยับ’ให้เหมือนที่คิดไว้ในตอนแรก ตอนนี้กลับได้แต่ยืนนิ่งงัน ยิ่งจ้องดวงตาสีนิลเป็นประกายแวววาวเหมือนไข่มุก ...หมายถึงไข่มุกที่อยู่ในชานม วาวประกายชวนมองก็ให้ยิ่งนิ่งกว่าเดิมด้วยต้องอยู่ภวังค์

         ‘น่ารัก’ดังคำกล่าวของไอ้พิณไม่มีผิด แม้หน้าตาคมคร้ามติดดูไปทางเหล่อเหลาเสียมากกว่า ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำจำกัดความว่า‘น่ารัก’ที่เขาเคยเข้าใจเลยสักนิด แต่ไม่รู้ทำไม หากวันก่อนพิศดวงหน้านี้แล้วให้ความรู้สึกว่า‘ติดค้าง’ ซึ่งตอนนี้เองก็ยังคงรู้สึกแบบนั้นอยู่ แต่มีส่วนที่เพิ่มเติมเข้ามาคือ‘คุ้นเคย’เหมือนเคยได้จดได้จ้องแบบนี้มานับแทบไม่ถ้วน

         แปลกจริงๆ

         “รหัสนักศึกษาที่เขียนไว้ในกระดาษแผ่นนี้น่ะเป็นรหัสของผมจริงๆ แต่ข้อความอื่นบนกระดาษไม่ใช่ผมที่เป็นคนเขียนนะครับ”ลักษมัณส่งกระดาษคืนให้รุ่นพี่พลเมืองดี ไม่รู้ว่าทำไมรหัสนักศึกษาของเขาถึงได้ไปปรากฏอยู่ในกระดาษแผ่นนั้นได้

         อาจเป็นการแกล้งกันหรือไม่ก็ คนเขียนก็จะคงเขียนผิด

         กรรณที่หลุดออกจากภวังค์กำลังจะเอ่ยพูดบางอย่าง หากกลับถูกขัดด้วย…

         “รัก...จ๋าา~ พี่ลูกลมมาแล้ว...จ้าา~”

         ไม่รู้จะเว้นวรรคไปเพื่ออะไร?

         ไอ้ลิงลมเดินไปกระโดดไป ชนคนที่ยืนอยู่ก่อนแล้วดังปั่ก แต่ยังไม่สนใจ ยิ้มกว้างขวางโชว์ฟันสวยให้ลักษมัณพร้อมกับยื่นแก้วน้ำปั่น

         “ปีโป้ยาคูลท์ปั่นตามบัญชา ส่วนอันนี้กล้วยปั่นของพี่ลูกลมที่น้องรักคนดีเลี้ยง อร่อยมาก ให้ชิมไหม?”

         ไม่ได้ดูสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า

         ส่วนกรรณนั้น มองสำรวจไอ้เด็กอะเลิทมารยาทติดลบที่เพิ่งมาใหม่แถมยังขัดจังหวะพูดของเขาได้อย่างน่ากระตุกเท้าใส่ ไฟติดพั่บขึ้นมาในทรวงอกเมื่อมันยังไม่แม้แต่จะหันมาขอโทษที่ชนเขา ลอยหน้าเรียกร้องความสนใจจากเพื่อนไม่หยุดหย่อน ไม่มองแม้สิ่งรอบข้าง

         ยิ่งเห็นคราบน้ำสีเหลืองเปื้อนเป็นดวงตรงปกเสื้อนักศึกษาสีขาว ก็ให้ยิ่งทนไม่ได้

         “น้องครับ ที่‘บ้าน’ไม่ได้สอนเรื่อง‘มารยาท’หรือไงครับ?”

         “แล้วนี่กระดาษอะไรกันหว่า เอ… คุ้นๆ ไหนขอพี่ลมดูหน่อยนะจ๊ะน้องรัก”คว้าไว้ไม่ทัน ลิงลมสมกับเป็นลิงลมจริงๆ กระดาษลอยจากมือลักษมัณไปอยู่ในมือลูกลมเรียบร้อย

         บรรยากาศเริ่มมาคุขึ้นเรื่อยๆ ลักษมัณที่รู้สึกได้ถึงความผิดปกติดังกล่าว หันมองใบหน้าเข้มในแบบฉบับหนุ่มไทยแท้ของรุ่นพี่พลเมืองดี คล้ายแลเห็นอีกฝ่ายขบฟันแน่นเสียจนสันกรามนูนขึ้น รีบสะกิดเตือนสติไอ้ลูกลมที่ยังไม่เลิกตั้งใจก้มหน้าก้มตาอ่านกระดาษแผ่นน้อย ปากดูดกล้วยปั่นจ๊วบไปพลาง

         “เอ้า! กูเขียนรหัสผิดนี่หว่า จากสองเป็นสามซะงั้น ถึงว่าไม่มีซินเดอเรลล่าที่ไหนมาแสดงตัวกับพี่ลูกลมสักที”หัวเราะเอิ้กอ้ากก่อนจะทำหน้าตกอกตกใจเพราะเพิ่งนึกได้“ทำไมจดหมายน้อยกลอยใจของพี่ลมถึงมาอยู่ที่น้องรักได้ล่ะ อ๊ะ! อย่าบอกนะไอ้รัก ว่าเจ้าของรถคันนั้นคือมึงน่ะ?”

         กระจ่างชัดในบัดดล

         “เจ้าของรถคันนั้นที่ว่าคือผมเอง”เสียงเข้มมาก

         “หื้ม?”ลูกลมหันหน้าขวับมองคนพูด ดวงตาสีลูกตาลกะพริบปริบๆ“อ้าว เหรอ?”

         ไอ้เด็กไร้มารยาทนี่!

         มือใหญ่คว้าคอเสื้อนักศึกษาของไอ้เด็กที่กวนส้นเท้าเขาให้นึกอยากกระตุกใส่ทันที ท่ามกลางเสียงกรีดร้องจากนักศึกษาที่เห็นเหตุการณ์ ไทยเริ่มเข้ามามุง แต่ยังคงมุงอยู่ไกลๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ ขณะคนกลางอย่างลักษมัณรีบวางแก้วน้ำปั่นลง เข้าไกล่เกลี่ย

         “พี่ครับ เอ่อ ค่อยๆพูดค่อยๆจากันก่อนนะครับ”

         “น้องรักไม่เกี่ยว เรื่องนี้เป็นเรื่องของพี่กับ...มัน”

         “ฮะแหม่ๆ ความสองมาตรฐานนี้นี่นะ”ลูกลมลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม คิ้วบางเลิกขึ้นเล็กน้อย สีหน้ากวนตีนไม่เกรงใจใครมาก
ลักษมัณถึงกับยกมือขึ้นกุมขมับ ไอ้เพื่อนใหม่เอ๋ย ทำไมมึงมันจอมหาเรื่องงี้นะ

         “ไอ้ลูกลม…”

         “ไม่ต้องไอ้รัก”ยกมือห้ามเพื่อนราวปางห้ามญาติก่อนเอียงคอจ้องคนที่กำคอเสื้อเขาไว้เสียแน่น“พี่จะเอายังไงก็ว่ามาเลยดีกว่า หรือจะมาเรียกค่าซ่อมรถ? บอกเลขบัญชีมาสิ เดี๋ยวจะให้พี่ชะ...”

         ผัวะ!

         ชิบหายแล้วทีนี้

         ลักษมัณเบิกตากว้าง ขณะที่ลูกลมหน้าคว่ำเพราะถูกหมัดหนักผัวะซัดเข้าให้เต็มๆ

         “ตอนแรกกูไม่ได้โกรธมึงเท่าไรแค่อยากได้คำขอโทษที่มาจากใจ ก็พอจะจบเรื่องนี้ให้ได้ แต่ตอนนี้… กูเปลี่ยนใจ!”

         ผัวะ!

         ไอ้ลูกลมยอมความเขาที่ไหน ลุกขึ้นตั้งหลักได้ก็ซัดหมัดกลับไปทันใด เพียงแต่อีกฝ่ายไม่ได้หน้าคว่ำแค่หน้าหัน แต่ก็ได้เลือดแดงฉานประดับปากไม่ต่างกัน

         “ก็ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังป่ะวะ! คนอย่างมึงน่ะ กูไอ้ลูกลมไม่ขอโทษให้เสียปากหรอกเว้ย”

         “มึงว่ายังไงนะ ไอ้เด็กเปรต!”

         “จะเอาก็เอาสิวะ!”ถลกแขนเสื้อเตรียมเข้านัวเต็มที่

         ปี๊ด!

         “หยุด! นักศึกษาตรงนั้นน่ะ! ทำอะไรกัน!”

         อนิจจาลักษมัณแค่นั่งรอพี่ทศใต้ตึกคณะเฉยๆ จู่ๆไอ้ลูกลมที่บอกว่าจะอยู่รอพี่ชายมารับเหมือนกันก็หาเรื่องมาให้
เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะบานปลายหากเจรจาพาทีกันดีๆ และคงลงเอยด้วยดีไปแล้วหากคนคนนั้นไม่ใช่ไอ้ลูกลมที่ลักษมัณก็ยังไม่รู้จักมักจี่ดีนัก แต่รู้แน่แก่อกอยู่อย่างคือมันกวนตีนมากและพร้อมจะเรียกตีนเข้าหาตัวเสมอ

         เรื่องราวกลับกลายเป็นลุกลามใหญ่โตราวกับไฟโหมทุ่ง เมื่อรุ่นพี่พลเมืองดีตบะแตกเข้า ไอ้ลูกลมก็เป็นเสมือนชนวนพัดพาให้ไฟยิ่งกระพือโหมหนักเข้าไปใหญ่ เรียกทั้งนักศึกษามุงและสำคัญคือเรียกอาจารย์ประจำคณะวิ่งหอบแฮ่กมาพร้อมกับซิเคียวริตี้

         นี่สิที่เรียกว่า‘ซวย’ของจริง

         ทอดถอนใจ กรรมอันใดของลักษมัณกันล่ะหนอ?




         “ท่านชายราม…”นายเมธาสิทธิ์เอ่ยเรียกนามผู้มาใหม่ด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง ก่อนรีบกุลีกุจอเข้ารับหน้าแขกกิตติมศักดิ์อีกคนทันที

         “จะเป็นอย่างนั้นได้ไปยังไงล่ะกระหม่อม”เหลือบมองลูกศิษย์ที่อยู่กับพรตคนติดตามของท่านชายก็ให้หน้าซีดหน้าเซียวยิ่งกว่าเดิม เมื่อเด็กนั่นยังไม่เลิกพร่ำเรียกยักษ์ๆผีๆอยู่นั่น

         “บอกแล้วยังไงล่ะครับ ว่าไม่จำเป็นต้องใช้คำราชาศัพท์หรอก แต่ก่อนเคยคุยกับผมยังไง ตอนนี้ก็อย่าให้แตกต่างเลย”ท่านชายรามทรงสรวลเผยยิ้มอ่อนโยนขับพระพักตร์ให้แลหล่อเหลาราวตัวพระในวรรณคดีก็ไม่ปาน

         สูงส่งเกินกว่าผู้ใดจะกล้าอาจเอื้อม

         ทรงทอดเนตรไล่มอง ก่อนจะหยุดลงที่นักศึกษาหนุ่มหน้าตาคมคร้ามในชุดที่ดูแปลกตากว่าทุกคนในห้องด้วยไม่ใช่เสื้อผ้านักศึกษาดังที่ควรเป็น พลันเข้าพระทัยว่าคงเป็นหนึ่งในชุดที่จะใช้ขึ้นแสดงล่ะมัง?

         “เป็นชุดที่งาม เหมาะสมดี”

         เมฆนาทยกมือขึ้นไหว้ผู้ทรงศักดิ์กว่า สีหน้าเก้กังท่าทางเก้งก้างทำตัวไม่ถูกเท่าไหร่

         แววพระเนตรเมตตาพลางสรวลเล็กน้อย “ทำตัวตามสบายเถอะ เข้าใจว่าคงจะไม่ถนัดกัน”

         “ไม่ต้องใช้คำราชาศัพท์กับองค์ท่านก็ได้ครับ ท่านทรงอนุญาต ขอแค่เป็นคำพูดสุภาพก็พอ”พรตเอ่ยอธิบายขยายความให้ทุกคนในห้องได้ผ่อนคลายความเครียดเกร็งลง มือยังคงลูบหลังปลอบเด็กนักศึกษาที่นั่งเอกเขนกไร้ท่าแผ่วเบา ในขณะที่กิจจาเองก็ดูจะสงบลงบ้าง

         บางสิ่งบางอย่างสามารถอะลุ้มอล่วยให้กันได้ แต่ยังต้องตั้งอยู่ในความเหมาะสมและความสมควร ในที่นี้หากท่านชายทรงอนุญาตแล้วก็ไม่นับว่าเป็นปัญหาอะไร

         พระเนตรพิศทอดไปยังคนสุดท้ายที่ยังคงนิ่งเงียบ เมธาสิทธิ์มองตาม รีบยิ้มแย้มเอ่ยแนะนำในทันที

         “ท่านชายครับ นี่คุณทศพักตร์ เป็นผู้สนับสนุนหลักของเรา คุณทศพักตร์ครับ ท่านนี้คือ…”

         “ราม ไม่สิ ท่านชายจักรกฤษณ์ ยินดีที่ได้พบอีกครั้งครับ”

         เมธาสิทธิ์ชะงักปากพะงาบตาเบิกโต ขณะที่ท่านชายรามเพียงเลิกขนงเล็กน้อยเท่านั้น หากทรงไม่คิดติดพระทัย

         “จำไม่ได้ว่าเคยพบกันมาก่อน ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ คุณทศพักตร์”

         “หาไม่ได้ครับ งานสังคมคนย่อมมากหน้าหลายตา เป็นธรรมดาที่ต่างฝ่ายอาจจะไม่ได้สังเกตเห็นกัน”กายสูงใหญ่ก้าวเท้าขึ้นเผชิญหน้า แม้จะยกยิ้มน้อยๆ ทว่ากลับเป็นยิ้มที่เพียงเป็น‘มารยาท’เท่านั้น

         แปลกจริง ทั้งสีของดวงตา ทั้งความรู้สึกที่ทรงสัมผัสได้จากคนผู้นี้ ล้วนพาให้พระอารมณ์ขมุกขมัวยิ่งนัก

         ทศพักตร์ …งั้นหรือ?

         “บังเอิญจังนะครับ ชื่อของคุณหากผมจำไม่ผิด คงจะเป็นหนึ่งในสรรพนามที่ใช้เรียกแทนตัวทศกัณฐ์?”

         ทศพักตร์หัวเราะเบาๆ นัยน์ตาวาวแสงแดงฉาน หากเพียงชั่วประเดี๋ยวกลับคืนกลับเรียบเฉยเฉกเดิม

         “นามของท่านชายเองก็เช่นกัน รามที่มาจากพระราม หากว่ากันตามท้องเรื่องรามเกียรติ์แล้วล่ะก็ เห็นทีผมกับท่านชายคงจะต้องอยู่คนละฝักคนละฝ่าย …เป็น‘ศัตรู’ซึ่งกัน

         “มากรักหลากใจ แย่งคนรักช่วงชิงภรรยาของคนอื่นอย่างผู้ไร้ซึ่งอารยะแบบนั้น ผมไม่คิดว่านั่นจะใช่อุปนิสัยของคุณ และเพราะแบบนั้นจึงไม่อาจนับว่า‘รามอย่างผม’กับ‘ทศอย่างคุณ’ จะเป็นศัตรูกันได้”

         “ก็ไม่แน่หรอกครับ ‘เรื่องเล่า’กับ‘เรื่องราว’ บางทีอาจมีที่แตกต่างกัน”

         พระขนงมุ่นขมวดเล็กน้อย พิศทอดเนตรสบนัยน์ตา ก็ให้ยิ่งไม่ชอบพระทัยคล้ายจะทรงไม่ถูกชะตาด้วยอย่างไรบอกไม่ถูก

         ทศกัณฐ์เป็นศัตรูกับพระราม…

         แล้ว'ทศพักตร์'ผู้นี้เล่า จะเป็นมิตรหรือศัตรูสำหรับองค์?


(ตอน ๑๐ รีพลายล่างจะม่ะค่ะ)
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๙+๑๐ (๒๖/๐๒) หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: ShinrinYoku ที่ 26-02-2019 16:11:43

         ตอนที่ ๑๐

         “จริงสิครับ ผมได้ยินมาว่าปีนี้คณะนิเทศฯจะจัดการแสดงโขนหรือครับ?”ทรงหันพักตร์ไปสอบถามนายเมธาสิทธิ์ที่ยืนหน้าซีดหน้าเซียวด้วยไม่กล้าขัดบทสนทนาที่ฟังดูแล้วให้รู้สึกแปลกพิกลระหว่างแขกกิตติมศักดิ์ทั้งสอง

         “ค ครับท่านชาย แทรกความแปลกใหม่บ้างของเดิมคนคงเบื่อกันแย่แล้วล่ะครับ ฮ่ะๆ”เมธาสิทธิ์ยิ้มแห้ง

         “คงจะไม่ว่าอะไรนะครับ”ทรงหันกลับมาตรัสถามผู้ที่ยืนอยู่เบื้องพระพักตร์“หากผมจะขอชมชุดที่ใช้ในการแสดงเสียหน่อย”

         “ยินดีครับ แต่น่าเสียดายที่ผมคงต้องขอตัวก่อน พอดีมีธุระด่วนเข้ามา หวังว่าท่านชายจะทรงไม่ถือสานะครับ”

         ทันทอดเนตรเห็นอีกฝ่ายเก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋ากางเกง ทรงละสายเนตรขึ้นพิศแต้มรอยยิ้มสุภาพ

         “ไม่เป็นไรครับ หวังว่าโอกาสหน้า เราคงมีเวลาได้สนทนากันใหม่”นัยน์เนตรกลับลุ่มลึกไร้รู้สึกดังว่าทอดเนตรมองตามคนที่เร่งร้อนรุดออกไป ก่อนไม่ให้ความสนพระทัยใดอีก

         “พรต นักศึกษาคนนั้นเป็นอะไรไหม?”ทรงตรัสถามคนสนิท กิจจาที่ได้สติรีบกุลีกุจอลุกขึ้นยืนแล้วก้มศีรษะให้ผู้ที่มีศักดิ์สูงกว่าด้วยความนอบน้อมทันที

         “ผม มะ ไม่เป็นอะไรครับ ขอบพระคุณที่ท่านชายทรงห่วงใยนะครับ”

         “เอ่อ ท่านชายราม ชุดที่เมฆนาทสวมอยู่นี้เป็นชุดทรงรบของทศกัณฐ์ครับ”พูดพลางจับตัวเมฆนาทให้หมุน ..ขณะคนถูกจับหมุนนึกหน่ายใจ

         คิดว่าตัวเองเป็นเซลล์กำลังขายสินค้าให้ลูกค้าหรืออย่างไร?

         “ส่วนชุดของตัวละครอื่น เชิญทางนี้ครับท่านชาย”เดินนำขบวนอันประกอบไปด้วยแขกกิตติมศักดิ์คนใหม่อย่างท่านชายราม พรตผู้ติดตามท่านชาย ธานิน ดอกอ้อ กิจจาที่ยังคงมีสีหน้าหวาดระแวง และเมฆนาทที่จำต้องลากขาเดินตามอย่างช่วยไม่ได้

         เข้ามาอีกห้องหนึ่งข้างกันกับห้องรับรองซึ่งจัดไว้เพื่อเก็บชุดรวมถึงเครื่องประดับมีค่าที่ใช้สำหรับการแสดงโดยเฉพาะ นอกจากต้องใส่รหัสยืนยันแล้ว ยังต้องสแกนลายนิ้วมือประกอบกัน เป็นหนึ่งในระบบรักษาความปลอดภัยของมหาวิทยาลัย ทุกห้องที่มีของมีค่าเก็บรักษา และจะเข้าได้เฉพาะผู้ได้รับอนุญาตของคณะนั้นๆเท่านั้น

         ภายในห้องพักชุด ทุกชุดทุกเครื่องทรงล้วนถูกเก็บรักษาเป็นอย่างดีอยู่ในตู้กระจกนิรภัย เครื่องประดับถูกวางจัดเรียงไว้ในตู้เล็กกว่าข้างกัน ล้วนเข้าชุดเป็นชุดๆไป มองดูแล้วก็ให้รู้สึกราวกับเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อมก็ไม่ปาน

         “ชุดแรกนี้เป็นชุดของ‘หนุมาน’ครับ”

         ส่วนมากแล้วตัวละครโขนจะสวมเสื้อตามสีประจำตัวในเรื่อง ซึ่งตามเนื้อเรื่องแล้วนั้นหนุมานมีกายสีขาวเสื้อจึงเป็นสีขาว ตัวเสื้อใช้ดิ้นทองและเลื่อมปักทำเป็นเส้นขด อนุมานว่าเป็นขน แต่งตัวยืนเครื่องหากแต่ไม่มีอินทรธนู นุ่งผ้าแต่ไม่จีบโจงหางหงส์ มีผ้าปิดท้ายห้อยเอวลงจากด้านหลังและมีหางห้อยอยู่ข้างใต้ ตู้ข้างกันนั้นเป็นเครื่องประดับ เด่นสะดุดตาด้วยแสงที่ตกกระทบลง อันคือ‘ตรีศูล’อาวุธคู่ใจคู่กายของหนุมานนั้นไซร้

         เดินต่อไปอีกหน่อยมีอีกหนึ่งตู้สูงตั้งอยู่ หากท่านชายรามให้คล้ายชะงักงันไป ดวงเนตรพิศชุดตระการตาผิดแผกจากชุดของหนุมานเมื่อครู่ลิบ

         “ส่วนชุดนี้เป็นชุดทรงของ‘พระลักษมณ์’ครับ”

         ในดวงฤทัยคับคล้ายถูกบางสิ่งกรีดลึกสร้างความปวดแปลบปนความโศกาเข้ามาถาโถมองค์ ท่านชายรามทรงดำเนินไปยังหน้าตู้ใสราวกับต้องมนต์ ทรงยกฝ่าพระหัตถ์ขึ้นเหนือแผ่นกระจกบางที่ขวางกั้นระหว่างองค์ไว้


         น้ำทิพย์องค์ท้าวเทเวศร์ถวาย           บุปผาปรุงโปรยปรายหอมหวาน
         สุคนธาธารทิพย์สุมามาลย์              สนับเพลาแก้วกาญจน์เป็นเชิงงอน
         ภูษาคู่อมรินทร์ทรง                         เครือหงส์คาบช่อเกสร
         ชายแครงเครื่องทิพย์อลงกรณ์          ชายไหวอรชรทับทิมพราย
         ตามทิศทับทรวงเฟื่องห้อย               สอดสร้อยสังวาลสามสาย
         ทรงกรรูปวาสุกรีกลาย                    พาหุรัดพลอยรายธำมรงค์
         ทรงมหามงกุฎทิพมาศ                    งามวิลาสดั่งท้าวครรไลหงส์
         พระหัตถ์จับพระแสงศรทรง             เสด็จมาลาองค์พระสี่กรฯ

                                                                  รามเกียรติ์พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑


         “กลับสู่พลับเพลาของเรา”

         “ก กระหม่อม?”นายเมธาสิทธิ์พร้อมลูกศิษย์ลูกหาตาดำๆอีกสามคนหันมองหน้ากัน ส่วนเมฆนาทกับพรตนั้นเพียงยืนนิ่งไร้ปฏิกิริยาใด

         เมฆนาทนั้นไม่ได้สนใจอะไรนอกจากเมื่อไรตนจะได้เปลี่ยนชุดกลับ ขณะที่พรตนั้นไม่กล้าขัดแม้จะไม่เข้าใจพอกันกับคนอื่นๆ

         “เอ่อ ท่านชายราม…ครับ?”เมธาสิทธิ์ทำใจกล้าขยับเข้าใกล้แล้วกระซิบเรียก หากกลับต้องสะดุ้งโหยงเมื่อท่านชายผู้ที่มักจะมีสีพักตร์อ่อนโยนเสมอตวัดเนตรคมหันมาเขม็งจ้อง “ค คือ”

         “เราไปที่ชุดต่อไปกันเลยไหมครับ?”เมฆนาทก้าวขาเข้าใกล้กะช่วยกู้สถานการณ์ให้

         ทว่าดั่งทรงทอดเนตรแลคล้ายเห็นผู้ที่ตนแสนชิงชัง

         เครื่องทรงสีทองแลเกราะเพชรนั่น…“อย่าเข้ามา!”

         ชะงักงันทั้งห้องไม่เว้นแม้แต่คนสนิทอย่างพรตที่ไม่เคยเห็นท่านชายเป็นเช่นนี้มาก่อน พระหัตถ์ยกขึ้นกุมนลาฎ(หน้าผาก) ทรงให้ปวดเศียรนักเสียจนแทบทานทนไม่ไหว

         “พรต”

         “กระหม่อมอยู่นี่ ทรงประสงค์สิ่งใดโปรดตรัส”พรตรีบเข้าพยุงเมื่อแลเห็นทีท่าผู้เป็นนายไม่ค่อยดี และเมื่อสัมผัสเข้ากับหัตถ์เย็นเฉียบก็ให้ตื่นตระหนกในทันใด

         “ไปหา…”หอบหายใจ พักตร์ซีดเซียวคล้ายทรงละเมอ“ไปหาลักษมัณ”

         “กระหม่อม”พรตรับคำพร้อมเอ่ยลาเมธาสิทธิ์ที่ยังตกใจไม่หายทันที ประคองผู้เป็นนายดำเนินออกจากห้องท่ามกลางสายตาสงสัยทว่าไม่มีใครกล้าเอ่ยคำ




         ลักษมัณที่เพิ่งเดินออกจากห้ององค์การนิสิตได้ไม่กี่ก้าวดีพลันชะงักหยุดแทบทันที เมื่อแลเห็นร่างสูงใหญ่อันแสนคุ้นตาของใครบางคนยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าพอดี แปลกใจเพราะไม่คาดว่าอีกฝ่ายจะมาอยู่ตรงหน้าในเวลานี้

         “พี่ …ทศ?”

         “เจ้าลักษมณ์”

         เพราะใช้เวลาอยู่ในห้ององค์การนานกว่าที่คิด บอกตามตรงว่าเขานึกว่าวันนี้จะไม่ได้เจอกับพี่ทศเสียแล้ว ดังนั้นจึงอดตกใจไม่ได้

         รวมถึงให้ทำอย่างไรก็กดความรู้สึกพองฟูในอกนี้ไม่ลง

         สองสายตาสบประสาน เป็นอีกครั้งแล้วที่ถูกเรียกขานแบบนั้น จะยังไงก็ไม่ชินเสียที มันจั๊กจี้หัวใจคันยุบยิบเอาเหลือเกิน  แถมยังประดักประเดิดอย่างบอกไม่ถูกกับนัยน์ตาที่สื่อให้เห็นถึงความห่วงใยคู่นั้น

         แต่ว่า‘ห่วง’ด้วยเรื่องใดนั้นลักษมัณเองก็จนจะเข้าใจ

         เผลอทำหน้างง ขณะอ้าปากกำลังจะเอ่ยถามความ

         “โอ๊ย พี่แสง หยุดตีได้แล้ว ลมเจ็บนะจ๊ะ …เว้ย โอ้ย หยุดเดินทำไมวะไอ้รัก!”ไอ้ลิงลมที่เดินกุมแก้มตุ่ยๆตามหลังมาติดๆ เพราะมัวแต่หันหน้าไปโวยวาย จะจ๊ะก็ไม่จ๊ะจะเว้ยก็ไม่เว้ยใส่พี่ชาย ไม่ได้ดูทิศดูทางข้างหน้าว่ามีอุปสรรคการเดินใดขวางอยู่ไหม สุดท้ายหันหน้ามามองทางอีกทีก็อกทิ่มโป๊กเข้ากลางหลังเพื่อนรักเต็มๆ

         “น้องลมเดินไม่ดูทางเอง อย่าไปว่าเพื่อนสิ”ตบผัวะเข้าให้เต็มรักณ.กลางกระหม่อมน้อง ลิงลมโอดครวญโหยหวนสุดเว่อร์วัง สักพักก็ปิดปากเงียบฉับเมื่อฝ่ามือของพี่ชายง้างขึ้นคล้ายเตรียมหวดลงอีกครั้ง ถ้า‘น้องลม’ยังทำตัวชวนหนวกหูไม่เลิก

         เป็นความโหดร้ายผสมเอ็นดูแบบแปลกๆภายในครอบครัวที่ลักษมัณชักจะเริ่มชินตา ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในห้ององค์การนิสิตก็เป็นแบบนี้เช่นกัน

         เรื่องราวจบลงง่ายดายกว่าที่คิดเมื่อพันแสงหรือพี่แสงพี่ชายของลูกลมปรากฏตัวขึ้น รุ่นพี่พลเมืองดี ที่ตอนนี้รู้แล้วว่าชื่อกรรณเองก็ไม่ติดใจถือสาหาความหลังจากพี่แสงบังคับให้ไอ้ลูกลมนั่งพับเพียบพร้อมยกมือกระพุ่มเป็นดอกบัวสวยงาม เปล่า…ไม่ได้ถึงกับกราบเพียงให้ไหว้ขอโทษผู้อาวุโสกว่าที่ก่อเรื่องเท่านั้น พร้อมกับรับปากว่าจะรับผิดชอบแน่นอน

         โปรดวางใจ

         เจ้าทุกข์จะวางใจหรือไม่ลักษมัณไม่รู้ พี่พันแสงเองก็ไม่น่าจะรู้เช่นกัน ส่วนไอ้ลิงลมนั้นหลังไหว้เสร็จยังแอบเห็นมันทำปากบึนลับหลังพี่ชายอยู่เลย นี่คงไม่สนใจด้วยซ้ำว่าคู่กรณีของตัวเองจะว่าอย่างไร

         คู่กรณีสองคนโดนทำทัณฑ์บนกันไปตามระเบียบด้วยเป็นครั้งแรกที่ก่อเรื่อง ทั้งยังยอมความกันเรียบร้อย …รึเปล่า? บางทีอาจมีภาคสองต่อก็เป็นได้เหมือนกัน

         พี่กรรณน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้ตัวปัญหาฝั่งเขานี่สิ

         ลูกลมมือหนึ่งกุมแก้มตุ่ยอีกมือวางแหมะลงบนไหล่เพื่อน เยี่ยมหน้ามองเพื่อนรักที มองคนที่จ้องเพื่อนรักตาไม่กะพริบที ก่อนเผยรอยยิ้มซุกซนในทันใด

         “ฮะแหม่~ คนนี้สินะ…”หันไปตะปบปากแทบไม่ทัน ยังไม่วาย“อี๊อึงอิ๊มอ่อนอ่านอ่ะ!”

         ภาษาลิงต่างด้าวที่ลักษมัณพยายามจะไม่เข้าใจ แต่ดันเข้าใจ…

         พันแสงถอนหายใจแล้วคว้าคอน้องชายลากเข้าหาตัว

         “ขอโทษด้วยนะครับน้องรัก ที่ไอ้เจ้าน้องตัวแสบของพี่มันหาเรื่องหาราวมาให้ โชคยังดีที่พี่มาถึงเร็ว ไม่อย่างนั้นล่ะก็เรื่องคงได้บานปลายไปกันใหญ่ หือไอ้น้องลม ดีนะที่ไอ้คาปูมันร้องเจี๊ยกเตือนว่าลูกพี่มันกำลังมีปัญหาพอดีน่ะ”

         ประโยคแรกพูดกับลักษมัณ ส่วนประโยคห้อยหลังหันพูดกับน้องชายพร้อมขย้ำหัวฟูๆ ให้ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงยิ่งกว่าเดิม

         “ไม่เป็นไรครับพี่แสง พี่คงต้องเหนื่อยมากแน่ๆ”เหลือบมองไอ้ลิงลมที่ดิ้นอยู่ใต้รักแร้พี่ชายคล้ายต้องการจะประท้วง ก่อนหันกลับไปมองร่างใหญ่ที่เอาแต่ยืนมองเขาเงียบๆอีกครั้ง“พี่ทศมาได้ยังไงครับ?”ก่อนร้องอ้อเมื่อนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ตัวเองได้แชร์โลเคชั่นไปด้วย

         ทศพักตร์เหลือบตาไปมองเด็กหัวฟูตัวสูงโย่งพอๆกันกับเจ้าลักษมณ์ของเขา มุมปากล่างด้านซ้ายของอีกฝ่ายช้ำ แก้มเริ่มบวม พลันประติประต่อเรื่องราวเข้ากับบทสนทนาก่อนหน้าที่ได้รับฟัง ก็ให้กระจ่างแจ้ง

         ชั่วขณะเดียวกันนั้น ลูกลมมองสบเข้ากับดวงตาคมดุสีแปลกผิดแผกมนุษย์มนาทั่วไป ทั้งยังแลดูดุดันทรงอำนาจอย่างน่าพิศวง คุ้นๆบอกไม่ถูก ตาแบบนี้ช่างเหมือนกับ… ทั่วทั้งสรรพางค์พลันแข็งค้างในทันใด หยาดโลหิตที่ไหลเวียนอยู่ในกายให้ร้อนระอุเดือดพล่านขึ้นมา เป็นความรู้สึกที่ยิ่งกว่าตอนเจอไอ้กรรณหูดำนรกแตกนั่นเสียอีก

         “นี่! ไอ้รัก! อุบ”ปากถูกปิดอีกครั้งด้วยฝ่ามือใหญ่ของผู้เป็นพี่ชาย

         พันแสงยิ้มเป็นมิตรทั้งที่ภายในอกชักเริ่มรู้สึกอึดอัดกับสายตากดดันคู่นั้นอย่างบอกไม่ถูก

         “น้องรัก งั้นเดี๋ยวพี่ขอพาน้องลมกลับก่อนแล้วกันนะครับ ลิงที่บ้านรอให้อาหารอยู่ป่านนี้คงใกล้อาละวาดเต็มที แล้วก็ขอบคุณที่น้องรักช่วยอยู่เป็นพยานให้น้องลมนะครับ ...ถึงแม้เรื่องนี้ไอ้น้องลมของพี่มันจะผิดเต็มประตูที่ไปกวนตีนเขาก่อนจนโดนซัดหมัดใส่ก็ตามเถอะ”

         “ไม่เป็นไรครับพี่แสง ไอ้ลิงลม กลับบ้านไปก็อย่าลืมสำนึกผิดด้วยล่ะ ดีแค่ไหนแล้วที่พี่กรรณเขาไม่เอาเรื่องเข้าน่ะ”ยิ้มกลับให้คนพี่ ...ทำหน้าดุใส่คนน้อง

         ลูกลมอยากพูดแต่พันแสงไม่ปล่อยโอกาสให้น้องได้พูด เขาส่งยิ้มสุภาพพร้อมโค้งตัวเล็กน้อยให้กับชายที่ยืนปักหลั่นอยู่ข้างกายเพื่อนน้องชายไม่ยอมขยับห่าง แม้จะได้รับเพียงสายตาคมกริบดังมีดแหลมคมฉึกกลับมาก็ตาม

         “พี่แสง! พี่ปล่อยไอ้รักให้อยู่กับ‘มัน’ได้ยังไง! นั่น‘มัน’นะ ไอ้ยักษ์…”ลูกลมโวยวายทันทีที่โดนพี่ชายลากมาไกลพอจนพ้นรัศมี หากยังไม่ทันโวยจบประโยคดีก็ถูกพี่ชายคนดีตวัดตามองดุเข้าเสียก่อน

         งับปากฉับแทบไม่ทัน

         “อย่าไปยุ่งไม่เข้าท่านะลม”พันแสงเอ็ดเสียงดุ สีหน้าขรึมเข้มเข้าโหมดจริงจังที่ลูกลมไม่กล้าหือ“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของเรา แต่เป็นเรื่องของพวกเขา อย่าเข้าไปยุ่ง”

         “พี่จะบอกว่าลมเสือก แค่กๆ ไม่นะ อย่าผัวะน้องเจ็บ”ยกมือกำบังกำปั้นพี่ทันทีที่เห็นพี่ชายกำลังจะง้างมือ เอะอะง้างเอะอะง้าง เผลอไม่ได้ง้างตลอด เฮ้อ! ทำไมถึงได้เสพติดความรุนแรงจังเลยว้า

         หากว่ากันตามตรง อันที่จริงก็คงเป็นกันทั้งครอบครัวนั่นล่ะนะ

         “ลม”หันมองน้องชาย ยกมือลูบผมที่ฟูไม่เป็นทรงจนเริ่มเข้าที่เข้าทางกลับมาเป็นผู้เป็นคนใหม่อีกครั้ง“เรื่องคราวนี้มันไม่เกี่ยวอะไรกับเราแล้ว แม้จะมี‘พร’ใดติดตัว แต่กับ‘คนคนนั้น’ที่พร้อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย พรดีแค่ไหนก็คงไร้ผล”

         “…”ทำหน้าเหมือนเข้าใจ แต่ความจริงแล้วลูกลมไม่เข้าใจอะไรเลยแม้สักกระผีกริ้น

         “พี่ห้ามเด็ดขาดเลยนะลม ไม่ให้ลมเข้าไปยุ่ง”

         “แต่ว่า…รัก”ยังคงอิดออดด้วยนึกเป็นห่วงเพื่อนคนใหม่ขึ้นมา

         “หากไร้ซึ่งใจปฏิพัทธ์ มีหรือเขาจะตามหากันจนเจอ”

         “...”คราวนี้เงียบด้วยจนคำพูด แต่ถึงอย่างไรก็ไม่คิดว่ามันถูกต้องอยู่ดี

         พันแสงถอนหายใจ เกี่ยวคอน้องชายพากันเดินไป

         “บางทีสิ่งที่พวกเขาคั่งค้างต่อกันมาเนิ่นนาน อาจถึงคราวต้องสะสาง ...และคงใกล้สิ้นสุดลงเต็มทีแล้วล่ะ”

         ลูกลมถอนหายใจตาม พลางคิด...

         ที่พี่พูดออกมา น้องลมไม่เข้าใจแม้สักวลีเดียวเลย เฮ้อ!




         “ความจริงผมก็ผิดด้วยล่ะที่ส่งข้อความไปไม่ครบความ เลยทำให้พี่ทศเข้าใจผิด แต่ตอนนั้นรีบจริงๆครับ ส่งเสร็จไม่ทันได้ตรวจดูด้วยซ้ำก็ถูกอาจารย์เรียกเข้าห้องแล้ว”

         ลักษมัณเอ่ยอธิบาย ขยายความว่าเขาไม่ได้ถูกเพื่อนต่อยดั่งที่อีกฝ่ายเข้าใจในคราแรก แต่เป็นเพื่อนของเขาต่างหากที่ไปซัดกับคนอื่นเสียจนกลายเป็นเรื่องเป็นราว หลังจากพากันเดินเคียงไหล่เงียบๆมาจนถึงหน้าตึกคณะ

         “ไม่เป็นไร เป็นพี่ทศผู้นี้ที่ผิดเอง”

         ลักษมัณยกสองมือกำลังจะส่ายในอากาศปฏิเสธว่าไม่ใช่ความผิดพี่ อีกฝ่ายกลับพูดต่อจนจบประโยคเสียก่อน

         “ผิดที่พี่เป็นห่วงเจ้าลักษมณ์มากเกินไป”

         ชะงักมือค้างหน้าค้าง ทำตัวไม่ถูกทันที

         สังเกตเห็นริ้วแดงแต้มจางๆบนแก้มเนียน ทศพักตร์ก็ให้ยิ้มกระหยิ่มในใจ แต่ภายนอกนั้นไซร้กลับระบายยิ้มเพียงบางคล้ายไม่ได้ยิ้มเหมือนเคย ดวงตาอ่อนแสงลงทอดมองคนที่เดินอยู่เคียงกัน

         “แต่ก็ดีแล้วล่ะที่เจ้าลักษมณ์ไม่เป็นอะไร”

         เจ้าลักษมณ์อย่างนั้นอย่างนี้ พอเห็นเขาไม่ท้วงก็เรียกไม่ยอมหยุดเลยทีนี้

         “เอ่อ แล้วนี่พี่ทศมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”หยุดยืนคุยกันใต้ต้นชงโค อันเป็นต้นไม้ประจำคณะ อากาศกำลังดีเชียว ครึ้มฟ้าครึ้มฝนใช้ได้

         “ธุระน่ะมีแต่เรียบร้อยแล้ว เหลือก็แต่ที่ไม่ใช่ธุระ”

         เคลื่อนกายเข้าหา มองสบนัยน์ตาสีนิลวาวแววพราวระยับ

         “แต่อยากมาหา”

         คนเด็กกว่าแสร้งหัวเราะเสียงแผ่วหวิว หันมองต้นหญ้าใบไม้ ยกเว้นคนข้างเคียง ที่ทิ้งสายตาจับวางไว้ที่คนเพียงคนเดียวไม่ละไปที่ใด

         หากเพียงไม่นานคนไม่กล้าสู้สายตาก็สูดลมหายใจเรียกแรงฮึดขึ้นมา ลักษมัณหันกลับขวับ …คอแทบเคล็ด

         “แขน …เป็นยังไงบ้างครับ”ถามเสียงเบา ยังคงรู้สึกผิดอยู่

         “ค่อยยังชั่วแล้ว อีกไม่กี่ประเดี๋ยวก็จักหายดี”ยกมือขึ้นวางลงบนกลุ่มผมนุ่ม ลูบปลอบแผ่วเบาแววเนตรแสนเอ็นดูยิ่ง

         “บางครั้ง ผมก็สงสัย”คนอ่อนวัยกว่าเผลอมุ่นคิ้ว ดวงตามองสบเข้าไปในแววเนตรสีทับทิมอ่อน“ทำไมพี่ทศ ถึงดีกับผมมากขนาดนี้ล่ะครับ?”

         ลมโชยอ่อนพัดพาเอาใบไม้ที่ปลิดจากกิ่งให้ปลิวร่วงลงมาตรงช่องว่างระหว่างคนสองคน กลิ่มหอมละมุนที่ลักษมัณจำได้ดี …กลิ่นหอมของดอกมะลิซ้อน

         และมันก็มาจากกายของคนตรงหน้าเขานี่เอง

         “อยากรู้หรือ?”

         พยักหน้าหงึกหงัก

         “เช่นนั้น …ก็ไปเดทกับพี่สิ”

         ลักษมัณกะพริบตาปริบ ปากอ้าเหวอด้วยงงงวยเพราะประมวลผลไม่ทัน

         “ค ครับ?”

         “ไปเดทกัน แล้วพี่จะบอกเจ้าลักษมณ์”

         แววเนตรคนโตกว่าทอประกายพราวระยับ ไม่รู้ด้วยเหตุใดลักษมัณถึงได้รู้สึกเหมือนกับว่ากำลังถูกพี่ทศ …‘แกล้ง’อยู่อย่างนั้นล่ะ?!





         ตลอดทางบนรถ หม่อมเจ้าจักรกฤษณ์ไม่แม้แต่จะเอ่ยตรัสสิ่งใด พระพักตร์คล้ายจะเริ่มซับสีโลหิตขึ้นมาบ้าง ทว่ายังไม่น่าไว้วางใจนัก พรตอยากจะพาผู้เป็นนายไปโรงพยาบาลด้วยเกรงจะทรงทรุดลงไปอีก หากองค์ทรงหนักแน่นในหทัยนัก

         “ไปหาลักษมัณ”

         เลี้ยวรถจอดตรงถนนที่กั้นเอาไว้สำหรับผู้ปกครอง หน้าตึกคณะศิลปกรรมศาสตร์

         พระหัตถ์กำลังจะยกขึ้นเปิดประตูรถด้วยรู้สึกรุ่มร้อนในอกยิ่ง หากเนตรสีนิลกาฬกลับสบซึ่งบางสิ่งเข้าเสียก่อน

         “ทศพักตร์…”

         พระอารมณ์ราวกับจะปั่นป่วนขึ้นมาอีกคราเมื่อคนที่องค์ทรงต้องการเพื่อมาเจอ… กลับเดินเคียงข้างไปกับใครอีกคนที่องค์ทรงไม่ชอบพระทัย

         ความปวดปลาบแล่นพล่านไปทั่วขมอง หัตถ์เรียวละยกขึ้นแตะกระจกรถ อันเป็นตำแหน่งเดียวกันกับร่างสูงโปร่งของลักษมัณ แววตาที่คนทั้งคู่มองสบกันให้คล้ายกับทรงเคยพานพบเห็นเช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วน

         ทรงกำพระหัตถ์แน่นจนสั่นระริก

         “รัก…รัก ….”

         “ท่านชาย!”พรตตื่นตระหนกเมื่อพระอาการผู้เป็นนายคล้ายไม่สู้ดียิ่งกว่าเดิม พักตร์ที่เคยมีสีโลหิตกลับซีดเซียว แววพระเนตรกลับเหม่อราวกับองค์ไม่รู้ซึ่งพระสติกระนั้น

         หากชั่วขณะนั้นนั่นเอง

         “…ลักษมณ์ …น้องลักษมณ์ เจ้า… ทรยศ”

         “ท่านชาย!”

         เมื่อแลเห็นวรกายสูงของท่านชายรามฟุบสลบไป พรตไม่รอช้าอีกเหยียบคันเร่งพุ่งทะยานรถออกจากที่จอด เพื่อตรงไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ในใจสับสนยิ่งอย่างบอกไม่ถูก หากก่อนลับจากตึกคณะศิลปกรรมศาสตร์พรตมองไปยังกระจกมองหลัง เด็กลักษมัณไม่ได้อยู่ที่เดิมแล้ว ซึ่งนั้นรวมถึงทศพักตร์ด้วยเช่นกัน

         ท่านชายทรงเป็นอะไรไป? ไม่เคยเห็นทรงเคยมีพระอาการเช่นนี้มาก่อน

         'ทรยศ' …ทรงหมายถึงเด็กลักษมัณอย่างนั้นหรือ?

         “…ยังไงกันล่ะ?”


---------
โปรดติดตามตอนต่อไป
---------

คุณพระ คนแก่(?)ท่านรู้จักคำว่าเดทด้วยล่ะค่าทุกโค้นน // หลบเท้ายักษ์
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๙+๑๐ (๒๖/๐๒) หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 27-02-2019 00:30:03
เล่นเอาไปไม่เป็นเลย ซ้ายก็เรียก ขวาก็เรียก ไม่รู้จะหันไปทางไหนดี  :hao4:
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๑๑+๑๒ (๐๒/๐๓) หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: ShinrinYoku ที่ 02-03-2019 20:26:29
         ตอนที่ ๑๑

         “เอ่อ”

         “อะไรหรือ?”

         “เข้ามาแบบนี้ …จะไม่เป็นอะไรแน่เหรอครับ?”

         ชี้ป้าย‘เขตก่อสร้าง ห้ามเข้า’ข้างประตู ตัวใหญ่มากทั้งยังเน้นตัวแดงแจ๋อีก …หันมองคนพามาอีกครั้งก็ให้เห็นอีกฝ่ายก้าวนำไปแล้ว แถมไม่วายคว้าจับข้อมือหมับพาเขาที่ยังยืนรีรออยู่ เดินจ้ำไปด้วยกัน

         “เข้าได้ ไม่มีใคร”

         ไม่ได้ช่วยให้คนเด็กกว่าใจชื้นขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย แลเห็นลักษมัณมุ่ยหน้าก็ราวกับทำให้ทศพักตร์อารมณ์ดีเสียจนหลุดหัวเราะออกมา ให้คนเด็กกว่าเบิกตากว้าง ขืนขาเบรกอีกฝ่ายไว้ไม่ยอมเดิน

         “แน่ะ ยังมาหัวเราะผมอีก ถ้าเกิดเจ้าของที่เขามาเจอเข้าจะทำยังไงกันล่ะครับ งานเข้าตำรวจจับได้เลยนะ”

         “ตำรวจน่ะไม่ให้จับหรอก”ตอนแรกหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะกำลังงง ต่อมายอมรับเต็มอกเลยว่าหน้าแดงหนักมากเมื่ออีกฝ่ายต่อจนจบประโยคความ…“เพราะคนที่จะจับเจ้าลักษมณ์ได้ ต้องเป็นพี่เท่านั้น”

         แกล้งเป็นลมเอาเสียตอนนี้จะเนียนพอไหมหนอ?

         ก่อนเอะใจ… คงไม่ได้หมายความว่า

         “ก่อนที่นี่จะเปิดทำการ พี่อยากให้เจ้าลักษมณ์ได้เห็นก่อนเป็นคนแรก”

         “เห็น?”

         ทว่าคนอาวุโสกว่ากลับไม่ตอบความใด และเมื่อลักษมัณมองตามสายตาคนข้างกายไป ก็ให้เห็นเป็นสวนขนาดกว้างแห่งหนึ่งซึ่งประดับไปด้วยไม้ดอกไม้ยืนต้นหลากชนิด หากใจกลางสวนกว้างประดับวางด้วยต้นอโศกใหญ่อันแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาร่มรื่นชวนสบายตา รอบต้นไม้ใหญ่อีกทีมีพื้นปูนยกสูงประทับด้วยไม้ไผ่สานประหนึ่งใช้ต่างเป็นที่นั่ง

         ร่างสูงใหญ่เดินไปทิ้งกายนั่งลง ก่อนตบที่ว่างข้างกัน เรียกคนเด็กกว่าด้วยสายตาว่ามานั่งข้างกันตรงนี้เถิดหนาเจ้าลักษมณ์

         ลักษมัณนึกแปลกใจนักที่ตัวเองดันตีความกิริยาเพียงน้อยนิดของอีกฝ่ายเป็นประโยคคำพูดออก หัวเราะเบาๆกับตัวเอง ก่อนเดินไปทิ้งก้นนั่งเคียงกายสูงใหญ่ ทอดมองภาพไม้ใบเขียวขจี ดอกไม้หลากสีพากันเบ่งบานอวดช่อชูความสวยงามล่อหมู่ภมรให้บินล้อลมเข้ามาชื่นชม

         เผลอยิ้มออกมา ร่างกายคล้ายพบพานเข้ากับความสบายใจอันแสนเคยคุ้นบางอย่าง ให้นึกผ่อนคลายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

         “พี่ตั้งใจจะสร้างที่นี่ให้เป็นเหมือนกับสวนบำบัด”

         “สวนบำบัดหรือครับ?”

         ทศพักตร์พยักหน้า เสี้ยวหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายนั้นเหมือนจะอ่อนโยนลงจากเดิมที่ลักษมัณเคยเห็นมา ดวงตาทอแสงสีชาดอ่อนจาง หากเพียงกะพริบตาเท่านั้นกลับราวไม่เคยมีสิ่งใดผิดแปลกเกิดขึ้น

         “สวนขวัญบำบัดฝัน …สวนบำบัดที่เป็นดั่งความฝันเมื่อครั้งยังเยาว์ของ‘ทศพักตร์’”

         ทศพักตร์หันกลับมามองคนที่นั่งอยู่ข้างกาย เมื่อแลเห็นแววตางุนงงของคนเด็กกว่าก็ให้นึกเอ็นดู วางมือลงบนกลุ่มผมดำขลับขยับลูบ …ไล่เรื่อยมาจนถึงข้างแก้มนุ่ม กอบกุมไล้ปลายนิ้วลูบแผ่วเบา

         สบายหน้าเสียจนลักษมัณเผลอแนบแก้มอิงแอบเข้ากับฝ่ามือข้างนั้นโดยไม่รู้ตัว

         “เจ้าลักษมณ์”

         ได้สติคืนกลับมาทันใด อยากจะเคาะขมองโป๊กเหม่งตัวเองนัก ยอมให้เขาจับให้เขาลูบอยู่ได้เสียเป็นนาน

         ขยับแก้มเอียงหน้าออกเล็กน้อยกะว่าคงเนียน หากแต่เมื่อเห็นดวงหน้าคมคล้ายผิดหวังไปก็ให้รู้สึกผิดขึ้นมา สุดจะไม่เนียนแถมยังทำลายบรรยากาศดีๆเข้าอีก

         ไอ้รักหนอไอ้รักเอ้ย!

         “คือผม…”

         “รังเกียจหรือ?”

         “เปล่านะครับ! ผมจะไป… จะไปรู้สึกแย่ๆแบบนั้นกับพี่ทศได้ยังไง เพียงแต่…”งับปากฉับ ความจริงอยากยกมือขึ้นกัดเล็บด้วยซ้ำ เพราะเครียดมากตอนนี้ ไม่รู้จะอธิบายให้พี่ทศเข้าใจยังไงดี

         และยิ่งเห็นคนเคยหน้าดุบัดนี้กลับหน้าหมองหน้าเศร้าลงเพราะคำพูดของตัวเองเมื่อครู่ ก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี ร้อนรนไปกันใหญ่
แต่เหมือนคนมากวัยวุฒิกว่าจะอ่านเขาออกเสียปรุโปร่ง ราวกับอ่านความคิดได้กระนั้น

         “พี่กับมนฑิกาไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าเพื่อนสมัยเด็ก หากสิ่งนี้คือสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจของเจ้าลักษมณ์”

         “ผม…”

         หัวใจราวถูกบีบรัดยามได้เห็นแววเจ็บปวดวาดผ่านวงหน้าหล่อเหลา ผนวกเข้านัยน์เนตรสีทับทิมอ่อนที่มองสบมาคล้ายจะตัดพ้อต่อขานกัน

         ไม่หลบเลี่ยงเมื่อแก้มถูกแนบด้วยฝ่ามือข้างเดิมอีกครั้ง ไออุ่นแล่นวาบเข้าโอบล้อมหัวใจดวงเท่ากำปั้น ...ที่เต้นระรัวไม่เว้นช่วงอยู่ในอกข้างซ้าย

         แปลกนัก เมื่อยิ่งจ้องมอง ยิ่งสบสานสายตาไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครา ก็ยิ่งทบทวีซึ่งความคุ้นเคย

         “เจ้าลักษมณ์เชื่อในเรื่องของอดีตชาติหรือไม่?”

         ดวงหน้าอ่อนเยาว์เอียงเล็กน้อย ดวงตาสับสนไม่เข้าใจ

         “เราเคยรักกันมาก่อน หากพี่บอกเช่นนี้เจ้าลักษมณ์จะเชื่อหรือไม่?”

         ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใดหยาดน้ำใสกลับกลิ้งคลอหน่วยในดวงตาก่อนหยดไหลลงอาบแก้ม สายลมคล้ายเวียนหมุนล้อมรอบกายทั้งคู่ ทุกสรรพเสียงรอบกายราวถูกตัดขาดหายไป

         ในใจปวดแปลบเมื่อแลเห็นดวงตาคมของคนตรงหน้ามีหยาดน้ำคลอหน่วยมิแตกต่างกัน

         ปลายนิ้วโป้งยกเกลี่ยซับเช็ดน้ำตาให้ สุดถนอมแสนเอาใจ หน้าคมค่อยโน้มลงแตะหน้าผากแนบชิดใกล้ ..คงสัมผัสไว้ซึ่งลมหายใจอุ่นรินรดกันและกัน

         ลักษมัณยกมือขึ้นแนบสัมผัสลงบนผิวแก้มคนตรงหน้า พลันหยาดน้ำอุ่นกลับรินไหลหยดลงแตะเข้ากับผิวมือ

         เมื่อนั้นให้รู้สึกง่วงงุนจนมิอาจทานทนไหว กายสูงโปร่งไร้สิ้นเรี่ยวแรงทิ้งตัวลงพอดีกับแผ่นอกแกร่งที่เข้าตระกองกอดรองรับไว้ …มือขวาโอบไหล่กระชับแนบสนิท มือซ้ายนั้นฝืนเจ็บยกขึ้นทาบลงบนเนินหน้าผากขาว

         หัวใจของทศพักตร์นี้เจ็บปวดยิ่งนักเมื่อต้องทำร้ายคนที่รักด้วยน้ำมือตนอีกครา

         ดวงตาสั่นไหวปิดลงพร้อมหยาดโลหิตหยดแต้มเหนือริมฝีปาก

         “ให้อภัยพี่ด้วยเถิดหนา”


-----

         ชาวลงกานครต่างพากันอลหม่านวุ่นวายเสียยกใหญ่ เมื่อในอ้อมพระพาหาของนายเหนือหัวองค์ท้าวทศกัณฐ์นั้นไซร้โอบอุ้มบุรุษผู้ที่มีเรือนกายสีดุจทองทาเข้าสู่กรุงราชธานี

         เหล่าอสุรีไพร่ยักษาในท้องพระโรงแห่งลงกา มิมีผู้หาญกล้าทัดทานหรือจ้องมองสอดส่ายสายตาใคร่รู้ใคร่เห็นแม้เพียงตนเดียว ต่างก้มกราบหมอบแทบเบื้องพระบาทแห่งองค์เหนือหัวเสียสิ้น

         “เตรียมห้องหับแลให้มืดทึบไร้ซึ่งริ้นแสงแห่งสุริยาลอดผ่านแม้นกะผีกริ้น ห้ามผู้ใดเข้าใกล้ยามเราทำพิธี”

         “ท ทำพิธีใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”มโหทรเสนาบดียักษ์ฝ่ายซ้ายแห่งจอมอสุรากราบทูลถามขึ้นมา กลับให้ต้องสะดุ้งเมื่อพระเนตรเจ้าชีวิตเขม็งจ้องถมึง

         “กระหม่อมรับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”ขณะที่เปาวนาสูรมหาเสนายักษ์ฝ่ายขวากราบทูลลา เร่งถอยไปจัดเตรียมให้ตามพระบัญชาองค์เหนือหัว มิลืมรั้งดึงเสนาบดีฝ่ายซ้ายผู้ไม่รู้ความเยี่ยงมโหทรเพื่อนรักไปด้วย

         พญาทศกัณฐ์วางร่างน้อยลงบนตั่งพระบรรทม ระมัดระวังยิ่งมิให้กายาสีทองต้องกระทบกระเทียบสิ่งใดสร้างซึ่งความระคายเคือง พระหัตถ์ประคองจับพระกนิษฐา(นิ้วก้อย) พลางโน้มพระวรกายลงสัมผัสโอษฐ์จุมพิตพระนลาฏ(หน้าผาก)ด้วยแสนถนอมยิ่งนัก

         “อดทนหน่อยเถิดหนา เจ้าลักษมณ์ของพี่”



         “องค์เหนือหัวทรงประสงค์จักกระทำสิ่งใดกันหรือท่านเปาวนาสูร แลมนุษย์ผู้นั้นมิใช่ว่าคือ…”เปาวนาสูรรีบยกมือขึ้นอุดปากเพื่อนซึ่งมีตำแหน่งเทียบเคียงด้วยต่างเป็นพระพี่เลี้ยงขององค์ท้าวทศกัณฐ์เช่นกันทันใด

         “ท่านลืมแล้วหรือ หน้าที่เราเพียงทำตามพระบัญชาของพระองค์เท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นใดที่มิใช่หน้าที่ ท่านอย่าได้ถามไถ่ให้มากความเลย”

         มโหทรขมวดคิ้วด้วยเห็นว่ามิถูกต้อง

         “หากองค์มเหสีมณโฑเทวีทรงรู้เข้าเล่า อย่าว่าแต่มหาเทวีเลย มนุษย์ผู้นั้นเป็นถึงอนุชาของศัตรู หาก…”

         “ท่านอยากหัวหลุดจากบ่าหรือไรเล่าท่านมโหทร ไปๆ ไปตระเตรียมห้องหับตามทรงพระบัญชาเถิด เรื่องนี้จักให้ล่าช้ามิได้”


         แต่มิวาย

         “แต่ข้าว่า…”

         “มิใช่หน้าที่!”




         ในการแก้ฤทธิ์หอกโมกขศักดิ์ จำต้องใช้สมุนไพรหายากสองสิ่ง หนึ่งคือ‘สังกรณี’ แลสองคือ‘ตรีชวา’ อันเป็นยาจำเพาะจักพบพานได้เพียงบนยอดเขาสรรพยาบรรพตเท่านั้น ส่วนน้ำที่จักใช้ผสมสมุนไพรเข้าด้วยกันได้จักต้องเป็น‘ปัญจมหานที’อันได้มาจากแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ถึงห้าสายด้วยกัน ได้แก่ แม่น้ำคงคา แม่น้ำยมุนา แม่น้ำมหิ แม่น้ำสรภู แลแม่น้ำอจิรวดี

         ทุกสรรพสิ่งพิธีการล้วนจำต้องทำให้เสร็จสิ้นก่อนสิ้นราตรีเข้าอรุณรุ่ง มิเช่นนั้นหากเมื่อใดที่ต้องแสงพระรวี ผู้ตกต้องหอกโมกขศักดิ์จักม้วยแล้วซึ่งมรณา

         เมื่อได้ห้องอันเป็นสถานที่ประกอบพิธีสำคัญตรงตามพระหฤทัย พญายักษามิรีรอคอยทีโอบอุ้มร่างน้อยเข้าสู่อ้อมพระพาหา พาพระอนุชาศรีสุวรรณตรงไปยังสถานที่ซึ่งเหล่าเสนายักษ์คู่พระทัยได้จัดตระเตรียมให้พรั่งพร้อมด้วยหยูกยาสมุนไพร ล้วนแล้วจำเป็นต่อการแก้ฤทธิ์หอกร้ายทั้งสิ้น

         เหล่านี้ล้วนมีอยู่ในมหาปราสาท หากต้องตามหาเอานอกกรุงลงกา เห็นทีจักยากแท้ซึ่งการนำมาได้ครบถ้วน

         “เสนาแห่งข้าทั้งสอง พวกเจ้าจงเฝ้าอยู่หน้าห้อง แลจนกว่าจักสิ้นพิธีห้ามมิให้ผู้ใดล่วงล้ำกล้ำกรายผ่านเข้ามาเป็นอันขาด แม้นมันผู้นั้นจักเป็นถึงหน่อเนื้อเชื้อแห่งเรา”

         “พ่ะย่ะค่ะ!”


         มโหทรแลเปาวนาสูรต่างก้มศีรษะรับพระบัญชาอย่างหนักแน่นแข็งขัน คล้อยหลังประตูปิดปังมหาเสนาบดียักษ์ทั้งสองต่างยืนนิ่งหน้าถมึงเฝ้าคนละฝั่งข้างประตู

         มินานนักให้มิคาดว่าผู้ที่จักมาเยือนจักเป็น…

         “เจ้าพี่อยู่ที่ใด?”

         ราวองค์เหนือหัวจักล่วงรู้ถึงกาลภายหน้า หรือก็คือกาลยามนี้กระนั้น

         พญายักษ์อันเป็นหน่อเหนือเชื้อเดียวกันเยี่ยงมหาอุปราชกุมภกรรณพระอนุชาร่วมพระมารดา ทรงพระดำเนินเข้าไต่ถามสองเสนาบดีแห่งพระเชษฐา

         หากสองเสนาบดีต่างแน่วแน่ในหน้าที่ ยืนปักหลั่นแน่นิ่งมิเคลื่อนกายขยับถอยเปิดทาง

         “องค์เหนือหัวทศกัณฐ์ทรงรับสั่งเกล้ากระหม่อมว่า ห้ามมิให้ผู้ใดเข้ากล้ำกรายซึ่งพิธีนี้ได้ ขอพระองค์ทรงกลับไปก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เปาวนาสูร

         “พิธี? พิธีอันใดกัน?”

         หากจักมิตอบความเลยก็มิอาจทำได้ เปาวนาสูรคิดในใจ หากพระองค์ทรงทราบเข้าจะทรงกริ้วเพียงใดกัน?

         ยักคิ้วพยักพเยิดให้เพื่อนเสนาฝ่ายซ้ายซ้ายเยี่ยงมโหทรตอบแทน ฝ่ายมโหทรได้แต่ฮึมฮัมในอกก่อนตอบออกไป

         “เป็นพิธีแก้ฤทธิ์หอกโมกขศักดิ์พ่ะย่ะค่ะ”

         หากกระนั้นฟากพญากุมภกรรณกลับเพียงมีสีพระพักตร์ราวกับครุ่นคิดบางสิ่งเท่านั้น หาได้ไร้แววว่าจักทรงกริ้วโกรธขุ่นเคืองแม้แต่น้อย ยามได้ทรงทราบว่าพระเชษฐานั้นกำลังจักช่วยซึ่งศัตรูอันต้องหอกร้ายมากฤทธาแห่งตน

         “เหตุใดจึงต้องให้ความช่วยเหลือผู้ที่เป็นซึ่งอริคู่ศัตรูกัน?”

         มิอาจตอบความกันทั้งสองเสนา ต่างพากันอ้ำอึ้ง ฝ่ายพญากุมภกรรณมิได้ตรัสสาวความใดต่อ

         “เช่นนั้นคงจำต้องปล่อยให้มันรักษาพระอนุชาไปก่อน…”

         มโหทรแลเปาวนาสูรหันกลับไปมองมหาอุปราชแห่งลงกาอีกคราด้วยนึกฉงนปนสงสัย หากองค์กลับหายไปอย่างไร้ซึ่งร่องรอยเอาเสียแล้ว

         พญายักษ์วรกายสีเขียวมรกตกลับกลายเป็นพญาวานรเรือนกายสีปัณฑูร(ขาว) หนุมานชาญสมรเมื่อออกจากลงกานครได้ เร่งเหาะเหินถีบตัวพุ่งทะยานกลับยังพลับเพลาทูลความแก่องค์เหนือหัวแห่งตนทันใด

         ภายในห้องหับปิดทึบมืดสนิท พญาทศกัณฐ์เริ่มบริกรรมบทพรหมคุณ ดวงพระเนตรทรงแลเห็นดั่งเช่นกลางวัน ความมืดมิดมิอาจทำสิ่งใดเจ้าลงกาได้

         ขณะโอษฐ์บริกรรมคาถาที่มีเพียงมหาพรหมชั้นสูงเท่านั้นที่จักล่วงรู้ พระหัตถ์ทรงหยิบเอาส่วนผสมทั้งหมดอันประกอบด้วยสังกรณี ตรีชวา แลปัญจนทีทั้งห้า บดด้วยหินบดยาจนส่วนผสมทั้งหมดล้วนผสมกันเข้าที่ แม้นจักสูญพลกำลังไปมิน้อยหากกลับประคับประคองตัวยาทลายฤทธิ์ด้วยความระมัดระวัง แลทาลงบนพระอุระองค์รูปทองซึ่งบัดนี้ไร้ฉลองพระองค์ห่มปิด ปาดแต้มเสียจนถ้วนทั่วรอยแผลพร้อมเสกเป่ามนต์พรหมา

         ฉับพลัน หอกห่ายอดแห่งศาตราที่แม้นจักดึงอย่างไรก็มิอาจดึงออก บัดนี้กลับค่อยๆลอยเคลื่อนหลุดออกจากพระอุระเสียเอง บริเวณที่ถูกทิ่มแทงไม่ปรากฏซึ่งรอยแผลใดให้ทรงระคายตา ผิวผ่องพรรณทอแสงเรืองรองสีทองอาบล้อมรอบพระวรกายน้อย พระจักษุขยับภายใต้หนังพระเนตร คล้ายดั่งผู้ตกอยู่ในภวังค์นิทรากำลังจักฟื้นคืนซึ่งพระสติ

         เจ้าบุรินทร์ทิ้งพระวรกายใหญ่นั่งลงบนตั่งพระแท่นบรรทมในห้องทำพิธี สัมผัสกับพระกนิษฐา ก้มพิศดวงพระพักตร์พริ้มเพราที่ค่อยๆกลับคืนสู่สัญญาณแห่งพระชีวัน

         “รีบตื่นขึ้นมาพาทีกันเถิดหนา เจ้าลักษมณ์ของพี่”โน้มกระซิบข้างพระกรรณน้อย เผลอสูดกลิ่นหอมชวนให้รัญจวนยิ่งเข้าพระนาสิก

         แตะจุมพิตบนพระกรรณ พระทนต์คมขบขูดแผ่วเบาลงบนเนื้อนิ่ม

         แสนคะนึงหาเป็นยิ่งนัก

         “พระลักษมณ์เอ๋ยพระลักษมณ์ เจ้ายอดดวงใจของทศกัณฐ์เอ๋ย”

         ปลายพระนาสิกแตะลงบนซอกพระศอ ให้กรุ่นกลิ่นหอมหวนที่ทรงคะนึงยิ่งเป็นหนักหนาประทับแนบลึกลงในพระหทัย พญายักษ์วรกายสีมรกตตระกองกอดร่างเกือบเปลือยด้วยถูกปลดเปลื้องพระอาภรณ์ส่วนบนออกเพื่อรักษา เหลือแต่เพียงแพรผ้าผืนบางปกปิดช่วงวรกายส่วนล่างเท่านั้น

         โอบล้อมร่างเล็กๆของมนุษย์ตัวจ้อยด้วยวรกายใหญ่โตสมซึ่งความเป็นจอมกษัตราแห่งลงกานคร

         แนบแน่นเข้าสู่อ้อมพระทรวง …หวงแหนเจ้านี้เหลือแสน

         พระเนตรคู่งามค่อยๆปรือลืมขึ้น แม้นพร่าเลือนเพียงใดก็ยังทรงจดจำได้เสมอ

         “เจ้าพี่…”

         หากบัดนี้ดวงฤทัยยังอยู่ในพระทรวงของพญายักษ์แล้วไซร้ คงมิแคล้วกระหน่ำเต้นแรงสนองซึ่งพระอารมณ์ของผู้เป็นเจ้าของเป็นแน่

         “พี่อยู่นี่”

         หากยังมิทันได้ตรัสสิ่งใด ดวงพระเนตรงามกลับปิดสนิทคืนสู่ห้วงภวังค์นิทราเข้าอีกครา

         พระหัตถ์ใหญ่ลูบพระนลาฏนวลด้วยแสนรักใคร่

         “พี่อยู่นี่แล้ว”




         หากกรุงลงกาเพลานี้เปรียบดั่งแสงแรกแห่งสุรีย์อันอบอุ่นแล้วไซร้

         พลับเพลาค่ายทัพแห่งองค์รามอวตารนั้นหนอ …คงมิแคล้วเปรียบดั่งยามพระพายพัดพาเอาลมหนาวเหน็บมาเยี่ยมเยือน
ต่างพากันเงียบงันเมื่อวายุบุตรเข้ากราบทูลความแทบเบื้องพระบาทองค์เหนือหัวแห่งพลับเพลา

         ฝ่ายพญาพิเภกโหรายักษ์ประจำค่ายทัพวานรเมื่อแลเห็นท่าไม่ดี เลือกฝืนกฎที่ตนตั้งไว้เข้าบังคมกราบทูลแทบบาทพระราม

         “ให้เห็นเป็นจริงดั่งที่ขุนพลหนุมานชาญสมรกล่าวทุกประการพ่ะย่ะค่ะ เดิมทีแล้ว ผู้ต้องซึ่งฤทธาแห่งหอกโมกขศักดิ์นั้นจักต้องสิ้นชีพในทันที แต่ด้วยครานี้ผู้ครอบครองเยี่ยงพญากุมภกรรณ มิได้ตั้งตนอยู่ในทศพิธราชธรรม จึงทำให้หอกแห่งพระพรหมอันเคยทรงซึ่งอานุภาพฤทธิรุทรขึ้นสนิม แลเป็นเคราะห์ดียิ่งนักแล้วที่ท่านหนุมานกับท่านองคตทำลายพิธีลับหอกโมกขศักดิ์ลงได้สำเร็จ หนทางแก้ฤทธิ์ร้ายนั้นจึงยังพอเปิดทางให้เราอยู่พ่ะย่ะค่ะ”

         “เคราะห์ดีหรือ?”


         พิเภกก้มเศียรลง มิกล้าแม้แต่จะเงยพักตร์ขึ้นสบพระเนตรที่มิได้ฉาบฉายด้วยประกายเมตตาดั่งเช่นทุกที

         “พระลักษมณ์ อนุชาแห่งเราตกอยู่ในเงื้อมือของศัตรูไปอีกคน ท่านว่าเป็นเคราะห์ดีแล้วเช่นนั้นหรือ?”

         “องค์ราม ขอโปรดทรงระงับโทสาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ฝ่ายพญาสุครีพรีบเข้ากราบทูล หวังช่วยกู้สถานการณ์ หากกระนั้น…

         “ท่านสุครีพ เราไว้ใจให้ท่านติดตามอนุชาของเราไปออกรบ …แล้วไยจึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก”

         หนุมานวายุบุตรมองซ้ายทีขวาที คนโน่นก็หมอบกราบ คนนี้ก็กราบหมอบ มองตัวเองก็ยังหมอบอยู่เฉกเช่นเดียวกัน ในเพลานี้ยากมีผู้ใดเข้าพระพักตร์องค์รามติดเลยสักตน

         ขณะฝ่ายพระรามนั้น พระหัตถ์กำแน่นด้วยต้องโทสายิ่งนัก แลเหนือพระอารมณ์กริ้วนั้นหนอ …พระองค์ทรงให้โศกาเหลือแสนในพระหฤทัย หากพระองค์ไม่ส่งพระอนุชาไปสู้ศึก รบกับเจ้ายักษ์มารกุมภกรรณที่เคยชนะศึกฝ่ายพระองค์มาแล้วหนคราหนึ่ง น้องลักษมณ์… คงไม่ต้องตกไปอยู่ในเงื้อมือของเจ้ายักษ์ชั่วทศกัณฐ์ตามน้องสีดาไปอีกคน

         อีกทั้งครานี้น้องลักษมณ์ยังได้รับบาดเจ็บสาหัสเสียจนแทบสิ้นชีพ…

         ฉับพลันให้คล้ายติดพระทัยขึ้นมา ดวงพระเนตรคู่งามพิศเขม็งไปยังโหรายักษ์ที่เคยสาบานว่าจักภักดีต่อพระองค์เพียงผู้เดียวในทันใด

         “ท่านพิเภก”

         “พ่ะย่ะค่ะ”

         “ท่านเคยบอกว่าจำต้องส่งผู้ที่มีศักดิ์เทียบเคียงไปต่อกรกับเจ้ากุมภกรรณ ศึกครานี้จึงจักสำฤทธิ์ผลใช่หรือไม่?”


         สองกบินทร์ทหารเอกแห่งองค์รามหันมองหน้ากัน ก่อนที่จะผินไปเหลือบมองอสุราเพียงตนเดียวในพลับเพลาแห่งนี้พร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

         “กระหม่อมได้กราบทูลพระองค์ไปเช่นนั้นจริงพ่ะย่ะค่ะ”

         “เราหวัง… หวังว่าสัจจะวาจาของท่านจักยังยึดถือได้”


         พญาพิเภกชะงัก แสนอัดอั้นตันใจยิ่ง ด้วยรู้ดีแก่ใจตนว่าไม่ว่าจักอย่างไร พระเชษฐาทศกัณฐ์จักไม่มีวันทำอันตรายใดแก่องค์ลักษมณ์เป็นแม่นมั่น แต่หากขึ้นชื่อว่าเป็นอริศัตรูซึ่งกันแล้วไซร้ ทูลความยืนยันไปเช่นไรองค์รามคงมิเพียงมิทรงเชื่อแลอาจลามไปจนถึงเริ่มคลางแคลงพระฤทัยในตัวตนเท่านั้น จักกล่าวได้ว่าตนเอาใจออกห่างเข้าข้างศัตรูด้วยเห็นเป็นเผ่าพงศ์เดียวกันแน่แท้

         “บุตรแห่งพระพายจงรับคำสั่ง”

         พระหัตถ์สีมรกตลูบศรพลายวาตที่พระองค์ทรงประทานให้พระอนุชา แลสุดท้ายก็ได้กลายมาเป็นอาวุธคู่กายของน้องลักษมณ์

         “จงเร้นแฝงกายอยู่ที่มหาลงกานคร แลนำพาองค์อนุชากลับคืนสู่เราภายในห้าราตรี”พระเนตรพิศมองดั่งแลเห็นเป็นดวงหน้าของน้องชายสุดที่รักกระนั้น“จงเร่งไปเสีย อย่าได้รอช้า”

         “กระหม่อมรับพระบัญชาองค์อวตารพ่ะย่ะค่ะ!”


         หนุมานน้อมรับหมอบกราบทูลลา รีบออกจากพลับเพลาถีบกายพุ่งทะยานกลับไปยังกรุงลงกาทันที

         “ท่านพิเภก ท่านสุครีพ ท่านทั้งสองไปพักผ่อนก่อนเถิด”

         “พ่ะย่ะค่ะ”


         โหรายักษ์แลขุนกบินทร์ต่างถวายบังคมทูลลา เมื่อออกจากกระโจมมหาสภาประชุมศึก พญาพิเภกคิดจะเลี่ยงตนกลับกระโจมที่พักส่วนตน มิคาดว่าจักถูกพญาสุครีพเพรียกนามรั้งไว้เสียก่อน

         “ท่านพิเภก”

         “อันใดหรือ ท่านสุครีพ?”

         “กลศึกที่ผ่านมา ล้วนแล้วได้ท่านช่วยแนะ ครั้งที่ให้หนุมานกับองคตไปทำลายพิธีลับหอกโมกขศักดิ์นั้นก็ด้วยเช่นกัน”


         โหรายักษ์แว่นแก้วเพียงเงียบเสียงรับฟังฝ่ายเดียว มองดูพญากบินทร์กายสีชาดผู้เป็นบุตรแห่งพระอาทิตย์ทอดถอนใจ

         “อันตัวข้านี้นั้นนับว่าท่านเป็นพวกเดียวกันมาช้านานแล้ว องค์รามเองก็คงจักดำริมิต่างกันกับข้า”

         พลันให้กระจ่างแจ้งขึ้นมาทันใด

         “ยักษ์ผ่าเหล่าที่ไร้ซึ่งฤทธิ์เดชใดเยี่ยงข้า เพียงต้องการทำตามหน้าที่ให้สุดกำลังสามารถเท่านั้น”

         “ข้ามิได้…”

         “อย่าได้กังวลไปเลยท่านสุครีพ หน้าที่ของข้าคือช่วยเหลือให้พระรามองค์อวตารมีชัยเหนือหมู่ยักษ์มารอย่างถ่องแท้ มิอาจเป็นอื่นไปได้แน่นอน …ข้าขอตัว”


         แม้นใบหน้าจักมีซึ่งรอยยิ้มไร้พิษภัยฉาบฉายไว้ หากในดวงฤทัยของยักษ์ผู้ขึ้นชื่อว่าทรยศต่อเผ่าพงศ์ของตนนั้นไซร้กลับขื่นขมอัดอั้นยิ่งนัก

         พระเชษฐา
         หากชะตาของพระองค์ ขึ้นอยู่กับพระอนุชารูปงามผู้นั้น เหตุใดมิทรงตัดพระทัยไปเสีย
         หากเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว
         ก็คงไม่…



(ต่อตอน ๑๒ รีพลายล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๑๑+๑๒ (๐๒/๐๓) หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: ShinrinYoku ที่ 02-03-2019 20:27:05
         ตอนที่ ๑๒

         “พี่อยู่นี่แล้ว”

         ครั้นเมื่อได้ทรงสดับ พระหทัยดวงน้อยให้ไหวสั่นยิ่งนัก

         ดวงพระเนตรคู่งามลืมขึ้นพิศมองวงหน้าคร้ามคมดุดันที่องค์ทรงคุ้นเคย มิได้ทรงแปรเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย พระหัตถ์เล็กค่อยยกขึ้นไล้ปลายพระขนงเข้มมาจนถึงปลายพระนาสิกโด่งสัน ทุกสัมผัสนั้นองค์รูปทองทรงคอยระวังด้วยมิประสงค์ให้พญายักษ์ตื่นขึ้นจากบรรทมในเพลานี้

         พรที่ทรงเคยได้รับจากพระแม่อุรมยาก่อนออกประพาสป่ามากับเสด็จพี่รามแลพระพี่นางสีดานั้น ทำให้พระลักษมณ์รู้สึกองค์ตื่นอยู่ตลอดเพลา

         มิมีวันเหนื่อย มิสิ้นไปแม้นมิได้บรรทมหลับนอนเลยก็ตามที จักเว้นเสียก็ตอนที่พระองค์ทรงได้รับบาดเจ็บสาหัสสากรรจ์เท่านั้น

         เรื่องนี้นอกจากเสด็จพี่รามแล้ว ก็หาได้มีผู้ใดล่วงรู้อีก …แม้นกระทั่งพญาทศกัณฐ์ผู้นี้

         พระพักตร์ผ่องแผ้วขยับเลื่อนขึ้นจุมพิตลงบนปลายพระนาสิกแผ่วเบา ก่อนแนบพระนลาฏเข้าชิดใกล้

         …ทั้งที่ใกล้ชิดกันถึงเพียงนี้แล้วหนอ กระทั่งเพรียกขานนามของท่านดั่งเช่นที่เคย ยังมิอาจกระทำได้

         เจ้าพี่ …เจ้าพี่ทศกัณฐ์ของน้อง


         พระอัสสุธารารินไหล ก่อนจักค่อยกลืนหายไปกับความเงียบงันแห่งราตรีกาล




         เมื่อสุริยาเคลื่อนคล้อย จันทราเคลื่อนผ่าน

         ล่วงเลยเข้าสู่ราตรีกาลที่สาม หากทว่าพระหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์แห่งเผ่าพงศ์มนุษา ยังคงทรงบรรทมหลับใหลอยู่ในห้วงนิทรามิรู้ซึ่งพระสติ น่าแปลกยิ่งนัก ครั้นฤทธิ์ร้ายหอกโมกขศักดิ์นั้นหรือก็ได้ถูกทำการแก้ไขรักษาไปแล้วสิ้น เหตุใดกันหนอพระลักษมณ์รูปทองจึงยังมิฟื้นคืนสติขึ้นมาเสียที

         แม้นว่าท้าวทศเศียรจักไม่อยากห่างจาก แต่จำต้องละพระวรกายออกจากการตระกองกอดผู้ซึ่งหลับไม่ได้สติแนบพระอุระมาตลอดห้วงราตรีที่ผันผ่าน

         ด้วยหน้าที่ของกษัตริย์มิอาจว่างเว้นงานราชกิจปกครองบ้านปกครองเมือง สำคัญยิ่งคือกลศึกรบที่ครานี้ฝ่ายลงกาอาจกลับกลายเป็นฝ่ายตั้งรับ องค์ท้าวทศกัณฐ์ทรงมั่นในพระทัยว่าอีกไม่กี่ช้านานนี้ พระราม …เชษฐาแห่งเจ้าลักษมณ์ของพระองค์นั้นจักต้องยาตราทัพเป็นผู้นำศึกใหญ่อย่างแน่นอน

         ศึกใหญ่ที่อาจจักเป็นศึกสุดท้ายระหว่างฝ่ายลงกาแลฝ่ายพลับเพลา

         พญาอสุราทอดพระเนตรลงบนร่างแน่งน้อยบนพระแท่นบรรทม …เนิ่นนานกว่าจักทรงหักพระทัยหมุนพระวรกายดำเนินออกจากห้องไป

         ฟากพญากุมภกรรณ อาศัยช่วงเพลาที่พระเชษฐาร่วมพระครรภ์มารดาอย่างพญาทศกัณฐ์ จักต้องร่วมประชุมในท้องพระโรงเพื่อตระเตรียมการศึก ลอบเข้าห้องพระบรรทมส่วนชั้นมหาปราสาทอันเป็นเขตต้องห้ามของเจ้ากรุงลงกาที่ไร้ซึ่งทหารยักษ์เดินตรวจตรา

         เพราะมิเคยมีผู้ใดหาญกล้าเฉียดใกล้หากมิได้รับพระบรมราชานุญาตจากองค์ท้าวเจ้าบุรินทร์มาก่อน

         พระเชษฐามิทรงทราบ องค์มหาอุปราชลงกาเยี่ยงพญากุมภกรรณก็หาได้หวั่นต่อโทษทัณฑ์ไม่

         พระพักตร์เข้มขรึมทะมึนครึ้มยามจดจ้องร่างของเจ้ามนุษย์ตัวจ้อยร่อยที่เอาแต่หลับมิรู้ความใดบนพระแท่นบรรทม ยิ่งพิศก็ให้ยิ่งคันคะเยอในพระทัยอย่างไรมิทราบ นึกย้อนคืนไปยังคราที่ได้รบราท้าศึกกับเจ้าตัวน้อยนี้แล้วนั้น …เผลอไผลแย้มยิ้มมุมโอษฐ์ออกมาโดยมิรู้องค์

         “ข้าหรืออุตสาห์ตั้งใจจักปลิดชีพเจ้าให้แดดิ้นไปเสียในสนามรบ แต่พระเชษฐาของข้ากลับลักพาเอาเจ้ากลับมารักษาด้วยองค์เองถึงในนครเสียอย่างนั้น”

         นั่งลงเคียงวรกายสีทองทา พิศมองดวงหน้างดงาม แฉล้มพริ้มเพรามิผิดแผกไปจากอิสตรีนางอัปสร ทรวดทรงองค์เอวหรือก็น้อยนิดกระจิดริด หากได้จับดูสักทีคงมิแคล้วต้องเบามือด้วยระแวงจักแตกหักเอาเสีย

         “รูปงามถึงเพียงนี้นี่สิ มิน่าเล่าพระเชษฐาทศกัณฐ์จึงได้ใคร่ถนอมเจ้านัก”

         พระอังคุฐ(นิ้วโป้ง)แตะแผ่วเบาลงบนสันพระสาสิกโด่งรั้นหากกลับแลดูเล็กกระจ้อยยิ่งนักเมื่อเทียบเข้ากับเผ่าพงศ์ยักษา

         “ปากนี้ใช่หรือไม่ ที่เจ้าเอื้อนเอ่ยวจีอวดดีว่าจักตัดเศียรข้าไปมอบให้พี่ชายเจ้า หึ!”

         พระอังคุฐกำลังจะสัมผัสลงบนพระโอษฐ์อิ่ม หากทว่า…

         โป๊ก!

         “ใคร!”

         ลุกขึ้นจากพระแท่นบรรทมในทันใด พญายักษากายาสีมรกตหมุนหันรอบทิศทั่วทาง ก่อนพระเนตรจักตกต้องอยู่บนพื้นข้างบาทขวาเข้า

         ผลหมากรากไม้ลูกนี้ ในป่าในดงหรือก็หาใช่ไม่ จักตกหล่นมาจากแห่งหนใดได้เล่าหากมิใช่ว่ามีคนขวางปามา?

         เมื่อดำริได้เช่นนั้น อันพญากุมภกรรณให้พลันกริ้วโกรธาขึ้นมา

         “ไอ้อีผู้ใดมันเล่นซน จงปรากฏกายออกมาเสีย หาไม่แล้วหากข้ามหาอุปราชกุมภกรรณผู้นี้จับได้ จักจับลงทัณฑ์เสียให้สาสมแก่ความผิด!”

         หากรออยู่เพียงพักก็หาได้มีเสียงใดตอบรับกลับมา พญายักษายิ่งทบทวีแรงโทสา

         “เจ้าตามข้าเข้าไป ส่วนเจ้ารออยู่ตรงนี้ ข้าจักเข้าไปเพียงประเดี๋ยวเดียว”

         “เพคะ พระนางมณโฑ


         พลันชะงักพระโอษฐ์ที่กำลังจะเอื้อนเอ่ยวาจาผรุสวาทออกมาอีกหลายคำรบ มหาอุปราชแห่งกรุงลงกาหันรีซ้ายหันแลขวา จักให้หลบเร้นซ่อนกายอยู่ในที่ลับตา ก็จักมิสมซึ่งเกียรติเอาเสีย แลจักให้พี่สะใภ้มาพบปะเข้าก็มิได้อีกเช่นกัน

         แลเมื่อยินเสียงขยับเคลื่อนเปิดประตู อันพญายักษ์ผู้แสนเกรงไกรนั้นไซร้… กระโดดผลุบออกนอกหน้าต่าง เร้นกายอยู่ในพุ่มไม้หนาลืมสิ้นสิ่งที่ได้ดำริไว้ก่อนหน้า บัดนั้นนั่นหนอจึงได้แลเห็นว่ามิได้มีเพียงองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้น

         “เจ้า?!”

         “ชู่วว”


         มหาอุปราชผู้เกรงไกรกลับถูกยักษ์วัยเยาว์ผู้หนึ่งตะปบปิดพระโอษฐ์ไว้เสียแนบแน่น จักส่งเสียงแสดงศักดาให้มันรู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำก็หาทำได้ไม่ เมื่อแลเห็นสตรีผู้มีใบหน้าพริ้มเพรางดงามราวดั่งนางสวรรค์อัปสรร่วมด้วยนางกำนัลรับใช้อีกหนึ่งตนเยื้องย่างก้าวเดินเข้ามาในห้องเสียแล้ว




         ฝ่ายหนุมานในร่างจำแลงแปลงกายเป็นยักษ์รุ่นเยาว์นุ่งผ้าลายสะพายย่าม แสร้งเล่นเป็นยักษ์เร่พเนจรลอบเข้ามายังกรุงลงกาได้สำเร็จตั้งแต่เมื่อสามวันก่อน ทว่ากว่าขุนกระบี่พญาวานรจะหาองค์พระอนุชาพบก็สูญเวลาไปถึงสองวันด้วยกัน ครันเมื่อเจอกลับมิอาจเข้าใกล้ได้ด้วยเพราะเจ้ายักษ์หลายเศียร์ทศกัณฐ์อยู่โยงเฝ้าเคียงวรกายสีทองทามิยอมทิ้งห่าง

         บัดนี้หนุมานจึงได้รีรอโอกาสเข้าหาพระอนุชาหลบเร้นกายอยู่ภายในพระราชฐานวังชั้นใน โดยมิเป็นที่ผิดสังเกตด้วยมิมีผู้ใดทันสังกาเห็น

         จวบจนไอ้ยักษ์ตัวเขียวหน้าตาน่าเกลียดนามกุมภกรรณที่บังอาจหาญกล้าจักแตะเนื้อต้องวรกายองค์อนุชาศรีสุวรรณ ผลไม้อันกะใช้เป็นเสบียงยามจำเป็นหยิบออกจากย่ามได้ก็ปาเข้าใส่ สกัดกั้นได้ทันท่วงที

         ก่อนที่มันจะกระโดดผลุบออกจากห้องมาหลบซ่อนอยู่เคียงกันโดยมิได้คาดหมาย

         ยักษ์ตัวเขียวขยับตัวยุกยิกให้นึกรำคาญยิ่งเมื่อนั้นบุตรแห่งพระพายในร่างยักษ์จำแลงมิคิดทน ปากพึมพำท่องมนต์คุณพระอิศวรสะกดให้มันหลับใหลไปเสียเพื่อตัดรำคาญ

         ก่อนเอียงหน้าเอียงคอสงสัยยามหันกลับไปพิศจ้องนางอัปสรที่อยู่ในห้องกับองค์อนุชาอีกครั้ง นึกในใจ

         เอ เราเคยเห็นนางคนนี้มาจากที่ใดกันนะ คุ้นหน้าคุ้นตาเสียนี่กระไร

         ย้อนความจำไปได้ไม่กี่นานพญาวานรพลันให้แจ้งกระจ่าง นางมณโฑอดีตชายาของพาลีมารดาขององคตนี่เอง!

         นางมณโฑเทวีเยื้องย่างเข้าใกล้แท่นพระบรรทม พินิจพิศดวงพักตร์งามหมดจดของพระลักษมณ์รูปทองพลางรำพึงรำพันเสียงเบาว่า

         “ผู้นี้นั่นหรือคือพระลักษมณ์…”

         หนุมานหมดความสนใจเพราะถึงอย่างไรก็มิได้กลิ่นไอคิดปองร้ายองค์พระอนุชาจากนางอัปสรผู้นั้น ยักษ์หนุ่มจำแลงก้มลงมองยักษ์ตัวจริงเรือนกายสีเขียวสมองทึบทึมที่นอนหลับใหลสิ้นสติด้วยผลแห่งมนต์ของตน มือล้วงหยิบเอาแท่งสีขาวที่ลักเอามาจากโหราอสุราเพียงตนเดียวในพลับเพลา เคยเห็นใช้วาดเขียนลงบนกระดานชนวน

         “ข้ายังจำได้ว่าเจ้านั้นชมชอบความสกปรกโสมมเพียงไร”

         ขูดถูแท่งขาวลงบนกายาสีเขียวของกุมภกรรณจนหมด ก็ให้เกิดนึกเบื่อหน่ายเปลี่ยนมากอดอกมองยักษ์น้อยยักษ์ใหญ่เดินผ่านไปผ่านมา กลับยิ่งชวนให้ปวดเศียรเวียนเกล้านัก ครันเมื่อมองไปยังห้องบรรทมอีกครั้ง ภายในนั้นกลับมิมีผู้อื่นใดอีกนอกเสียจากองค์รูปทอง

         ขุนกระบี่ทหารเอกแห่งองค์รามอวตารรีบกระโดดแผล็วผลุบเข้าไปในห้องบรรทมทันที

         “พระอนุชา พระอนุชา ข้าหนุมานมารับท่านแล้ว!”ยักษ์จำแลงคืนสู่รูปกายเดิม สองแขนเกาะพระแท่นบรรทม จดจ่อจดจ้องมองพระวรกายสีดุจทองทามิวางตา

         หากพระอนุชาศรีสุวรรณที่มิมีทีท่าว่าจักฟื้นคืนสติเมื่อครู่นั้น กลับค่อยๆลืมพระเนตรขึ้น ทรงถอนพระปัสสาสะยาวเหยียดออกมา คลายซึ่งความอึดอัดที่ถูกใครต่อมิใครต่างพากันเข้ามาจดๆจ้องๆมองตนอยู่นั้น

         “หนุมาน?”

         “ใช่แล้วพระอนุชา ข้าหนุมานได้รับพระบัญชาให้มารับท่าน กลับกันเถอะ!”
วานรกายสีเผือกมองตามพระวรกายสทองขยับลุกขึ้นจากแท่นพระบรรทม ฉีกยิ้มกว้างด้วยยินดียิ่งนัก คิดว่าอย่างไรเสียก็ทำภารกิจเสร็จลุล่วงก่อนถึงกำหนดเวลา…

         “ยังกลับไปตอนนี้ไม่ได้”

         ปากอ้าค้างคอไม่ตั้งตรงเพราะเอียงฉงนใคร่สงสัย

         “ทำไมเล่าพระอนุชา?”

         “ต้องพาพระพี่นางสีดากลับไปพร้อมกัน”

         “แล้วพระแม่สีดา บัดนี้นั้นพำนักอยู่ส่วนใดในกรุงลงกาหรือ พระอนุชา? อันตัวข้านี้เทียวตามหาท่านไปทั่วทุกสารทิศ มิเจอะมิเจอพระแม่สีดาณ.แห่งหนใดเลยสักทิศ”


         พระลักษมณ์มีสีพระพักตร์ครุ่นคิด เมื่อครู่ก่อนที่นางมณโฑจะออกไปนั้น นางได้รำพึงถึง‘สวนขวัญ’อันตั้งอยู่ท้ายสุดกรุงลงกากับนางกำนัลผู้ติดตาม แลเหมือนว่าสวนขวัญที่ว่านั้นคงจักงดงามอยู่ไม่น้อย คงจักตามประสาสตรีที่รักชอบสิ่งสวยๆงามๆนั้นแล

         “ในสวนขวัญ เห็นว่ามีนางฟ้านางสวรรค์ลงมาจุติ เจ้าพี่ทศกัณฐ์จึงได้ให้ทหารแลไพร่พลคุ้มกันแน่นหนาเสียยิ่งกว่ามหาปราสาทอันเป็นพระราชฐานส่วนในนี้เสียอีก”

         หรือหากดำริอีกนัยหนึ่ง กลับคล้ายว่าสตรีนางนั้นต้องการให้พระองค์ทรงทราบกระนั้น

         หากคิดเยอะไปก็เพียงเท่านั้นแล

         “เราได้ยินมาว่า ท้ายกรุงลงกานั้นมีสวนนามว่า‘สวนขวัญ’อยู่ อีกทั้งยังมีการคุ้มกันที่หนาแน่นยิ่ง เกรงว่าพระพี่นางน่าจักพำนักอยู่ณ.ที่แห่งนั้น”

         “เช่นนั้นเราก็ไปกันเลยเถิดพระอนุชา!”
ขุนพลกระบี่หนุมานชาญสมรให้คึกคักยิ่งนัก มือหนึ่งกำมือหนึ่งแบทุบเข้าหากัน ลำคอหรือก็หักซ้ายหักขวา ได้ยินว่า‘คุ้มกันแน่นหนา’ ย่อมต้องมีทหารยักษ์ให้อัดประกาศศักดาเยอะแยะเป็นแน่

         หากภาพฝันกลับมลายสลายเมื่อพระพักตร์งามส่ายไปมา

         “ไม่ได้ หากพญาทศกัณฐ์กลับมาแล้วไม่เจอเราอยู่ในห้องนี้ เรื่องจักยิ่งยุ่งยากไปกันใหญ่”

         “พระอนุชา ข้ามิเกรงกลัวเจ้าสิบเศียรนั่นดอกหนา”


         พระอนุชาศรีสุวรรณทรงถอนพระปัสสาสะ

         “มิได้อยู่ที่ว่าจักกลัวหรือมิกลัว แต่เราเกรงว่าพระพี่นางจักได้รับอันตรายไปด้วยหากต้องปะมือกันเข้าจริงๆ …หนุมาน คืนนี้ท่านจงร่ายมนต์ให้เหล่ายักษีบรรดาไพร่อสุรีทุกตนในลงกาหลับใหลเสีย จากนั้นเราค่อยเร่งไปหาพระพี่นางแลค่อยพานางหลบหนีออกจากลงกานคร”

         อันตัวหนุมานนั้นไซร้ แม้นจักอยากลงไม้ลงมือเพียงใด จำต้องรับพระบัญชาองค์พระอนุชาแห่งพระรามนายเหนือหัวอย่างขัดมิได้ พญาวานรค้อมกายให้องค์รูปทองก่อนจะกระโดดแผล็วจากไปเร้นซ่อนกาย รอคอยเวลาซึ่งจันทร์กาลมาเยี่ยมเยือน ลืมเลือน‘บางสิ่ง’ที่ตนเผลอปล่อย‘ทิ้ง’ไว้ตรงหน้าต่างห้องบรรทมไปเสียสิ้น…

         เมื่อนั้นประตูห้องบรรทมพลันถูกผลักเปิดเข้ามา

         พระเนตรสองคู่สบประสาน ต่างซึ่งอากัปกิริยา

         ฝ่ายพญายักษ์ทศกัณฐ์นั้นมีสีพระพักตร์ผ่องใส ในพระหัตถ์ซ้ายทรงถือประคองอ่างสรงขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ในอ่างนั้นหนอมีดอกมะลิลาลอยตัวส่งกลิ่นหอมจรุงใจ

         ส่วนฝ่ายองค์ลักษมณ์รูปทองนั้น …พระวรกายแข็งค้างด้วยมิทรงทราบควรจักต้องปั้นสีพักตร์เช่นไร สุดท้ายแล้วจึงได้แต่เพียงประทับนั่งนิ่งๆอยู่บนพระแท่นบรรทมเท่านั้น

         จักให้ทรงแสร้งล้มวรกายลงนอนสลบไสลดั่งเดิม ก็เห็นจักมิทันเอาเสียแล้ว

        “ยอมฟื้นขึ้นมาแล้วหรือ?”

         มิตอบความกลับ องค์รูปทองเพียงผินพระพักตร์ไปอีกทาง มิยอมสบพระเนตรมองพระพักตร์เจ้าบุรินทร์สักน้อย หากกระนั้นก็ยังคงรับรู้องค์ตลอดเพลา แม้นกระทั่งอีกฝ่ายดำเนินเข้ามาใกล้

         “เจ้าลักษมณ์”

         ใกล้ไปแล้วหนอ…

         “เจ้าลักษมณ์”

         สุรเสียงเพรียกขานอยู่ข้างพระกรรณ ไออุ่นกรุ่นกลิ่นมะลิลาหอมจรุงอยู่ชิดใกล้

         “หันมามองกันหน่อยเถิดหนาเจ้า”

         หากองค์รูปทองกลับทำพระทัยแข็ง โอษฐ์อิ่มเม้มขบแน่น ดวงพระเนตรปิดสนิท …ทั้งที่ดวงฤทัยปวดร้าวยิ่ง

         “พี่ทำผิดต่อเจ้ามากหรือ?”

         ราวกับทำนบที่องค์ทรงอดกลั้นถึงคราวพังทลาย

         “ท่านลักพาพระพี่นางมาจากพระเชษฐาของข้า ลักพาชายาจากอกพระสวามีของนาง ก่อให้เกิดศึกรบราฆ่าฟันกันมิรู้จบสิ้น เช่นนี้ยังมินับว่าเป็นความผิดอันใหญ่หลวงได้อีกหรือ?!”แลอ่างสรงกลับกลายเป็นอาวุธจำเป็น…

         พระวรกายเปียกปอนด้วยน้ำโรยดอกผกา ขอบอ่างสรงปะทะเข้ากับสันพระหนุ(สันคาง)ก่อนตกกระทบลงบนพื้นห้องพระบรรทม เสียงดังถึงเพียงนี้แต่หากด้วยกระแสรับสั่งจากองค์เหนือหัวแห่งกรุงลงกา จึงมิมีทหารยักษ์ตนใดกล้าย่างกายเข้ามา

         องค์ท้าวทศกัณฐ์หันพระพักตร์กลับไปหามนุษย์ร่างน้อย ที่หาญกล้าแม้กระทั่งใช้อ่างเงินเป็นอาวุธทำร้ายจอมกษัตริย์ยักษ์เยี่ยงพระองค์ มิได้ทรงกริ้วมิได้ทรงโกรธา …เพียงตรัสถามด้วยสุรเสียงนุ่มเหมือนดังเคยมิเปลี่ยนแปร

         “เจ้าไม่ชอบดอกมะลิลานี้แล้วหรือไร เจ้าลักษมณ์เอ๋ย?”

         เมื่อนั้นให้คล้ายความปวดร้าวแสนสาหัสแล่นริ้วไปทั่วพระกายา แลยิ่งได้ยลรอยแผลบาดลึกตรงสันพระหนุก็ให้ทรงยิ่งเจ็บปวดราวกับองค์ทรงได้รับบาดเจ็บเข้าเสียเอง

         พระหัตถ์ขาวผ่องยกขึ้นทาบแนบลงบนปราง …พระลักษมณ์ร่างน้อยมิกล้าแตะลงบนแผลให้พระองค์ทรงเจ็บเคืองมากกว่าที่เป็น

         “เจ็บหรือไม่?”

         “ไม่เจ็บแล้ว”
พญายักษ์ยกพระหัตถ์ขึ้นแนบกุมหัตถ์น้อย พระเนตรสบประสานทอประกายแสนรักยิ่ง

         “เจ็บ อึก…”พระลักษมณ์มิอาจห้ามพระอัสสุธารานี้ได้ แม้นจักทรงอดกลั้นสักเพียงไหน ก็มิอาจห้ามได้อีกต่อไป“เจ็บมากหรือไม่…”

         “ตอนนี้เจ็บแล้ว เจ็บเพราะเห็นเจ้าร้องไห้ …อย่าได้ร้องเลยหนา ใจของพี่จักขาดรอนเอาเสีย”
พระหัตถ์อีกข้างยกขึ้นโอบประคองวงหน้างามผ่องแผ้ว ก่อนพระพักตร์คมจักเลื่อนเข้าจูบซับหยาดธาราใสบนผิวปรางนวลแผ่วเบา

         “เหตุใดกัน”

         “…”

         “ทำไมหนอ เพียงแค่รักท่านเท่านั้น… ไยจึงต้องเจ็บปวดถึงเพียงนี้?”


         ทำไมท่านต้องมาเป็นศัตรูของข้าด้วย

         เพียงหนึ่งคำถามที่มิเคยเอื้อนเอ่ยออกไป ดวงพระเนตรคู่งามเอ่อคลอด้วยสายธาราใส …สั่นระริกด้วยทรงไม่เคยเข้าพระทัย

         “เจ้าพี่ทศกัณฐ์ ไยจักต้องเป็นท่านด้วย?”

         “จงรับรู้ไว้แต่เพียงว่า พี่ทศรักเจ้าลักษมณ์ยิ่งนัก”


         กรุ่นกลิ่นหอมมะลิลาจากพระวรกายเปียกชื้นต้องเข้าพระนาสิก สัมผัสอุ่นแนบสนิทลงบนพระโอษฐ์นุ่ม …วรกายใหญ่โอบล้อมรอบพระกายาสีทองทา หากเป็นไปได้ก็มิทรงใคร่ให้ผู้ใดได้พบเห็น…

         “รัก…ด้วยชีวิตทั้งหมดนี้ของพี่”

         พระเนตรสีโลหิตเรืองรองวาวประกาย ยามทอดพิศพระวรกายนวลที่ไร้ซึ่งอาภรณ์ปิดเร้นด้วยถูกพระองค์ทรงปลดเปลื้องออกเสียหมด

         มนต์ผกาซ่อนซึ่งความนัยแฝงเร้นซึ่งความลับที่มิอาจเผยให้ผู้ใดได้ล่วงรู้ …มนต์มะลิลาหอมรัณจวนชักจูงดวงจิตให้เผลอไผลไปกับความหอมหวาน …ที่มิอาจยั่งยืนนาน


(ต่อรีพลายล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๑๑+๑๒ (๐๒/๐๓) หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: ShinrinYoku ที่ 02-03-2019 20:27:50
         ยามราตรีอันเงียบงัน เงียบเสียจนผิดปกติเมื่อไร้ซึ่งทหารยักษ์ออกเดินยามดังเช่นที่เคยเป็น

         หนึ่งวานรหนึ่งมนุษย์เร้นกายไปตามเงาดำมืดด้วยมวลหมู่เมฆาที่เอื้ออำนวย แม้นยักษ์ทุกตนจักต้องซึ่งมนต์คาถาที่หนุมานได้ร่ายไว้ก่อนหน้านี้ ต่างล้วนแล้วพากันหลับใหลไปเสียหมด แต่หากจักกระทำการใหญ่มิควรตกประมาทโดยเด็ดขาด

         ‘สวนขวัญ’นั้นมิได้มีอาณาเขตกว้างขวางหรือใหญ่โตอันใด หากกลับอุดมไปด้วยแมกไม้น้อยใหญ่ ให้ร่มรื่นแลสบายตา ภายในสวนที่ราวกับสรวงสวรรค์จำแลง ปรากฏตำหนักเล็กสามหลังปลูกติดกันใต้ต้นอโศกขนาดใหญ่ แต่ให้แปลกพิกลนักเมื่อสวนเล็กๆแห่งนี้กลับมีทหารยามอยู่โยงเฝ้าอย่างแน่นขนัด คะเนดูแล้วแทบจักมากกว่าในพระราชวังหลักเสียอีก

         พระอนุชาแลทหารเอกแห่งพระราม ไล่สำรวจตรวจตราทีละตำหนัก จวบจนถึงตำหนักสุดท้าย

         ด้วยจำนวนนางกำนัลอสุรีอันนอนเรียงรายเฝ้าอยู่หน้าพระตำหนัก พระลักษมณ์ทรงมั่นพระทัยยิ่งนัก ว่าพระพี่นางสีดานั้นจักต้องพำนักอยู่ภายในตำหนักหลังนี้อย่างแน่นอน

         “พระพี่นาง”พระลักษมณ์รีบปรี่เข้าไปก้มกราบแทบบาทพี่สะใภ้ที่นั่งอยู่บนแท่นประทับในทันใด

         ขณะที่หนุมานขุนวานรพินิจพิศมอง หากสตรีมนุษย์ผู้นี้นั้นยิ่งมองก็ยิ่งงาม ไร้ซึ่งที่ติมิว่าจักเป็นดวงหน้างามแฉล้มแลผิวพรรณผุดผ่อง งดงามยิ่งกว่าหญิงนางใดที่วานรเผือกเคยพบพาน เมื่อแลเห็นพระอนุชาก้มกราบแทบบาทสตรีนางนั้นจึงให้แน่แก่ใจว่าจักต้องใช่พระแม่สีดาเป็นแน่แท้ รีบเป่าคลายมนต์สะกดรุดเข้าไปกราบแทบบาทนางอีกตน

         พระนางสีดาตื่นขึ้นจากบรรทมหลับใหล พลันตกพระทัยเมื่อเห็นสองผู้ที่มอบกราบอยู่แทบบาท

         “น้องลักษมณ์? น้องลักษมณ์จริงๆหรือ?”

         “เป็นน้องเองพ่ะย่ะค่ะ พระพี่นาง”
พระรูปทองหลั่งพระอัสสุธาราเงยมองดวงหน้าพี่สะใภ้ได้ไม่กี่นานก็ต้องให้รีบก้มลงมองเพียงเบื้องบาทงาม

         “น้อง ...เป็นน้องลักษมณ์จริงหรือ?”นัยหนึ่งแสนดีใจ หากอีกนัยกลับระแวงด้วยไม่แน่ใจ“หรือจักเป็นยักษ์ร้ายแปลงกายมาเพื่อเกลี่ยกล่อมเรา”

         “หนุมาน ครั้นก่อนออกรบศึกสู้กับกุมภกรรณ ของที่เราได้เคยบอกกล่าวเอาไว้ว่าให้นำติดตัวมาด้วย ท่านได้นำมาหรือไม่?”
พระลักษมณ์หันไปสอบถามขุนกระบี่วานร

         “ที่พระอนุชารับสั่ง ข้าหนุมานผู้นี้ได้ตระเตรียมเอาไว้ให้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”อันหนุมานวานรเผือกรีบหยิบของออกจากย่ามแลส่งให้องค์อนุชาศรีสุวรรณในทันใด

         “ผ้าสไบกับแหวนวงนี้พอจักเป็นสิ่งยืนยันในตัวน้องได้หรือไม่”

         เมื่อแลเห็นพลันหลั่งน้ำตาทันที ด้วยทรงจำได้ว่าสไบผืนนี้นางได้ทิ้งไว้กับลิงป่าก่อนถูกพญายักษ์ลักตัวมาจากอาศรม ส่วนแหวนวงนี้นั้นพญาทศกัณฐ์ได้ถอดออกจากมือของนางขวางใส่นกสดายุจนต้องตกแก่ความตาย

         นางปาดหยาดน้ำใสออกจากแก้ม รับสไบแลแหวนจากผู้ที่นางรักดุจน้องชายแท้ๆ เข้าแนบทรวงด้วยแสนคนึงหาภัสดาเป็นหนักหนา

         “พี่นึกว่าเจ้าพี่รามจักลืมเลือนพี่ไปแล้วเสียอีก”

         “หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ บัดนี้เสด็จพี่รามได้นำทัพออกสู้รบกับพวกยักษาเพื่อชิงตัวพระพี่นางกลับคืนสู่บ้านเมืองของเรา …เสด็จพี่รามมิเคยแม้แต่จักลืมพระพี่นางไปจากพระทัย แม้นเพียงน้อยนิดก็มิเคย”
พระลักษมณ์รีบแจ้งซึ่งความจริง พระพี่นางหลังจากถูกพญาทศกัณฐ์ลักมาอยู่เมืองยักษ์แล้วไซร้คงมิอาจทราบความโลกภายนอกได้เลยสักน้อย

         หรือไม่ก็ถูกปิดหูบังตาจากพญายักษ์มากเล่ห์เจ้าเมืองลงกาผู้นั้น

         “น้องลักษมณ์?”

         องค์รูปทองหลุดออกจากภวังค์ความคิดเมื่อยินเสียงหวานเพรียกขาน ขยับพระวรกายลุกขึ้น

         “ไม่มีเวลาแล้วพระพี่นาง รีบออกไปจากที่นี่กันเถิด”

         พระนางสีดาพลันให้ชะงัก เมียงมองลิงเผือกที่บัดนี้ก็ยังมิทราบว่าเป็นใคร หนุมานเห็นดังนั้นจึงยกมือขึ้นกราบแนะนำตนเอง

         “หม่อมฉันมีนามว่าหนุมาน เป็นทหารเอกแห่งองค์รามอวตารพ่ะย่ะค่ะ”

         “อย่าได้มัวช้าอยู่เลยพระพี่นาง บัดนี้ไม่รู้ว่ามนต์ของหนุมานคลายไปบ้างแล้วหรือไม่”
พระลักษมณ์เร่งร้อนหากมิกล้าฉุดรั้งพี่สะใภ้

         “น้องลักษมณ์ เจ้า…เจ้าจงกลับไปกับท่านหนุมานเถิด”

         “พระพี่นาง ท่าน…หมายความว่าอย่างไร?”

         “อันตัวพี่นี้ ถูกยักษ์ลักมา ถูกลิงพาไป จักให้เป็นที่ครหา เป็นที่ติฉินนินทาแลนำมาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติแก่องค์รามได้”

         “แต่กระนั้นก็หาได้…”
หากมิทันได้ทรงเกลี้ยกล่อมพี่สะใภ้ ก็ให้วรกายแข็งค้างพระโลหิตเย็นเยียบเข้าเสียก่อน

         “สีดากล่าวได้ถูกต้องแล้ว เจ้าลักษมณ์”

         ขุนกระบี่วานรเผือกรีบเข้ายืนขวางกางสองแขนปกป้องสองนายไว้ข้างหลังตน

         “พี่นึกว่าเราเข้าใจกันดีแล้วเสียอีก กลับมิคาดว่าทั้งหมดจักเป็นแผนการของเจ้า …เจ้าลักษมณ์”

         พญายักษ์ทศกัณฐ์ในชุดผ้าไหมโปร่งสีขาวแย้มสรวล ถึงอย่างไรก็มิอาจเคืองโกรธเจ้าลักษมณ์ได้เสียที กลับทรงหมั่นเขี้ยวอยากจับลงทัณฑ์สักหลายคราให้สิ้นฤทธา ในพระทัยยังทรงยิ่งเอ็นดูเป็นหนักหนา

         “...เผลอเป็นมิได้เลยเทียว เจ้าเป็นอันต้องหาเรื่องใส่ตนตลอด มิว่าจักยามไหน เจ้าก็เป็นเช่นนี้เสมอ… เจ้าลักษมณ์เอ๋ย”

         “หนุมาน รีบพาพระพี่นางหนีไปก่อน!”


         วานรเผือกแสนลังเลใจ ด้วยองค์รามนั้นมีรับสั่งให้มารับองค์ลักษมณ์กลับคืนสู่พลับเพลา มิใช่พระแม่สีดา... แต่หากพาพระแม่สีดากลับไปได้ก็จักนับเป็นความสำเร็จมิต่างกัน

         บัญชาองค์รามคือพาองค์ลักษมณ์กลับ

         ส่วนบัญชาองค์ลักษมณ์คือให้นำพระแม่สีดาคืนสู่พระภัสดา

         แต่สำคัญยิ่งกว่าคือสิ่งที่องค์พระอนุชามิทรงทราบ…

         “พระอนุชา ข้ามิอาจแตะต้องเนื้อกายสตรีได้”




         สุดท้ายก็มิอาจหลบหนีได้

         “จักต้องให้พี่ล่ามเจ้าไว้กับตัวหรือไม่?”

         องค์รูปทองที่ถูกนำตัวกลับจากสวนขวัญมายังห้องพระบรรทมในส่วนชั้นมหาปราสาท ไม่แม้นแต่จะเงยพระพักตร์ผ่องนวลขึ้นสบพระเนตรดุดันของพญาอสุราวรกายสีมรกต

         “หรือพี่อ่อนโยนกับเจ้ามากเกินไป หืม? เจ้าจึงได้ยังมีกำลังวังชาวิ่งไปโน่นมานี่ หนีจากพี่มิยอมหยุด”

         พระกายาสีดุจทองทาพลันถูกพระวรกายใหญ่ยักษ์ต้อนชิดติดผนัง พระหัตถ์เรียวเล็กยกขึ้นเพื่อต้านพระอุระแกร่ง หากองค์ลักษมณ์รูปทองเป็นต้องเม้มพระโอษฐ์อิ่มแน่นเมื่อมิอาจทานพระกำลังของจอมกษัตริย์ยักษ์ไหว

         “ท่านจักทำอย่างไรกับหนุมาน?”

         “พี่ไม่ฆ่ามันหรอก หากมันมิคิดจักลักพาเจ้าไปจากพี่อีก”


         บัดนี้ด้วยเพราะพระบัญชาของพระลักษมณ์ ขุนกบินทร์ทหารเอกแห่งองค์รามจึงยังมิต่อต้านขืนขัด จำยอมถูกตรวนแลกักขังเยี่ยงเชลยศึก แต่หากมีหรือที่หนุมานจักยอมอยู่นิ่งเฉยได้นาน …ด้วยฤทธาอันมากล้นแห่งวายุบุตรนั้นไซร้ ไฉนทหารยักษ์จักเอาอยู่ได้ หนุมานถือพระบัญชาแห่งองค์อวตารเหนือเกล้ายิ่งกว่าสิ่งใด แลพระบัญชาของพระเชษฐาก็คือให้นำตัวพระองค์กลับคืน

         มินาน …มิช้านานกรุงลงกาจักต้องลุกเป็นไฟ

         “ให้ทุกสิ่งจบสิ้นลงเสียวันนี้ได้หรือไม่?”ทรงช้อนพระเนตรคู่งามขึ้นสบพระเนตรดุดัน“คืนตัวพระพี่นางสีดาให้แก่พระสวามีของนางเถิด ท่านทศกัณฐ์”

         ราวกับแลพิศเห็นแววบางอย่างพาดผ่านพระเนตรสีชาดคู่นั้น ฉับพลันบั้นพระองค์ถูกรัดตรึงแน่นด้วยอ้อมพระกรอันแข็งแกร่งของจอมอสุราเจ้าแห่งกรุงลงกานคร

         “พี่ไม่สนว่าการมาลงกาครานี้ของเจ้าจักด้วยเพราะแผนการอันใด”

         พระฤทัยเต้นรัวด้วยตระหนกยิ่ง พระเนตรงามสั่นไหวยามแลเห็นแววร้าวรานบนพระพักตร์คมดุยามองค์ท้าวทศกัณฐ์ทรงทอดพระเนตรมายังพระองค์


         “พี่จักมิมีวันปล่อยเจ้าให้กลับไปหา‘มัน’”


         แม้นสุรเสียงจักทรงเยือกเย็นเพียงไร หากพระลักษมณ์รูปทองนั้นไซร้… กลับทรงเข้าพระทัยดีว่ามิใช่เป็นเช่นนั้น


---------
โปรดติดตามตอนต่อไป
---------

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนท์นะคะ เจอกันตอนหน้าค่ะ^^
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๑๑+๑๒ (๐๒/๐๓) หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 02-03-2019 22:36:01
รอบนี้สงสารหนุมานจัง จะพาใครหนีกลับก็พากลับไปไม่ได้สักคน  :z3: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๑๓ (๐๓/๐๓) หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: ShinrinYoku ที่ 03-03-2019 19:35:06
        ตอนที่ ๑๓

        เราเคยรักกันมาก่อน…

        เปลือกตาขยับ หูแว่วเสียงกระซิบบางสิ่ง หากเพียงลองเอียงหูตั้งใจฟังดีๆ

        …ด้วยทั้ง …ชีวิต

        เจ้า …เชื่อหรือ….


        ฉับพลันกลับราวถูกบางอย่างเข้าปิดกลั้นไว้ ให้ไม่อาจจับใจความใดได้อีกแม้เพียงน้อย

        “..รัก …รัก”

        ยกมือขึ้นปัดๆผ่านหู แจ็บปากสองทีก่อนขยับตัวนอนตะแคงซ้ายข้างถนัด กำลังจะเคลิ้มหลับถวายบังคมเข้าเฝ้าพระอินทร์อีกครา เป็นอันต้องรีบดีดตัวเด้งขึ้นมานั่งตาเบิกโพลง …พร้อมยกมือขึ้นลูบหน้าผากป้อยๆจากความเจ็บปวดอันเคยคุ้นกันดี

        “พ่อจ๋า?”

        “ก็เออน่ะสิวะ!”

        อื้อหือ ตัวจริงเสียงจริงไม่จำเป็นต้องเจาะเลือดหยดใส่กะละมังเพื่อพิสูจน์เหมือนหนังจีนกำลังภายในที่เคยดู พอหันมองไปรอบตัวก็ให้เห็นว่าเป็นห้องนอนของเขาที่บ้านเรือนไทยเอกลักษมณ์ดนตรีศิลป์นั่นเอง แล้ว…

        “รักกลับมาได้ยังไงอ่ะพ่อ”หน้าตาสับสนพลางเกาท้ายทอยแกรกๆ

        “บ๊ะ! ไอ้นี่ คุณเค้าก็พามาส่งน่ะสิวะ โพล้เพล้แล้วยังไม่ตื่นเดี๋ยวผีก็พาไปลักซ่อน”เมื่อเห็นว่าลูกชายตื่นดีแล้ว แม้จะหน้ามึนตาปรืออยู่บ้าง ได้บ่นลูกนิดๆหน่อยๆพ่อจ๋าก็สบายใจขึ้น ปัดผ้าขาวม้าไปซ้ายทีขวาอีกที กำลังจะหันหลังเดินออกจากห้อง เป็นอันต้องเกือบหงายหลังเงิบเพราะถูกลูกชายสุดที่รัก คว้าผ้าขาวม้าหมับดึงเข้าให้“อะไรของเอ็งเล่าไอ้ลูกคนนี้”

        “พ่อจ๋าว่าใครมาส่งรักนะ?”

        “ก็‘คุณเค้า’ไงล่ะวะ”

        “แล้ว‘คุณเค้า’ไหนล่ะจ๊ะ?”ยกมือขึ้นบังกระหม่อม รู้แกวพ่อจ๋าดีว่าจะต้องเขกโป๊กลงมากลางเหม่งลูกแน่นอน
พอลักษมัณลองนึกย้อนดูก็ให้คิดว่าคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก…

        “ทศ ทศอะไรสักอย่างนี่ล่ะ เดี๋ยวไปดูนามบัตรอีกที อ้อ! ตื่นแล้วก็ไปหาแม่ธารทิพย์เขาด้วยล่ะ เอาขนมไปแบ่งแม่เค้า คุณทศเขามีน้ำใจแวะซื้อมาฝาก เยอะแยะไปหมด”

        “เขาชื่อทศพักตร์จ้ะพ่อ”

        ครูเอกอรุณตามองลูกชายสุดที่รัก แต่ผู้เป็นลูกชายนั้นหาได้ล่วงรู้ถึงสายตาจับสังเกตุของพ่อจ๋าแม้แต่น้อย เจ้าบ้านเอกลักษมณ์ดนตรีศิลป์ให้นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงดี




        พ่อจ๋าของลักษมัณนั้นเมื่อยืนส่งจ๋อน้อยนักเรียนดนตรีคนสุดท้ายขึ้นรถผู้ปกครองเสร็จแล้วเรียบร้อย กำลังจะหันหลังกลับ กลับต้องชะงักขาหยุดเมื่อหูยินเสียงรถยนต์จอดเทียบรั้วบ้าน เมียงๆมองๆรถสีดำคันใหญ่แสนแปลกหน้าแปลกตา ด้วยไม่คุ้นเคยเพราะไม่ใช่รถของผู้ปกครองเด็กคนไหน รวมถึงเพื่อนบ้านละแวะเคียงใกล้ก็ไม่เคยเห็นใครใช้รถที่ดูท่าแล้วราคาน่าจะแพงหูฉี่ลักษณะนี้เลยสักบ้าน

        ประตูรถทางฝั่งคนขับเปิดออกปรากฏเป็นผู้ชายแปลกหน้ารูปร่างกำยำในชุดสูทสากลสีดำสนิทไปทั้งตัว ก้าวลงจากรถพร้อมกับเดินตัวตรงดิ่งไปเปิดประตูหลัง

        จากนั้นก็เป็นผู้ชายหน้าเข้มดุที่เดินลงจากรถมา อีกฝ่ายอยู่ในเชิ้ตสีดำ กางเกงก็ดำ ดำไปยันรองเท้าหนังขัดเงาวาววับ ครูเอกอรุณให้มุ่นคิ้ว ไม่ได้คิดจะวิพากษ์การแต่งเนื้อแต่งตัวของใครหรอกหนอเพราะสไตล์ใครก็สไตล์มันนั่นล่ะ หากแต่เพียงรู้สึกประหลาดในใจอย่างบอกไม่ถูก

        คับคล้ายราวกับว่าแลเห็นไอมืดมนอันแสนเศร้าแผ่จำกายอยู่รอบกายของคนผู้นี้อย่างนั้น?

        “เฮ้ย?!”กำลังคิดไร้สาระเพลินๆ กลับต้องร้องเสียงหลงออกมาเมื่อเห็นชายชุดดำเอื้อมโน้มตัวเข้าไปอุ้มร่างยาวๆของใครคนหนึ่งออกมาจากรถ

        ร่างยาวๆที่ว่า แค่เห็นหัวยุ่งๆกับชุดนักศึกษา ครูเอกอรุณก็จดจำได้ทันที

        “ไอ้รัก?!”

        เสียงเขาดังมาก หลงมากด้วยเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นลูกชายตัวดีที่ถูกชายแปลกหน้าที่ไหนก็ไม่รู้อุ้ม ยังคงไม่รู้สึกตัวเหมือนจะหลับลึก …ลึกขนาดที่ว่าเขาปราดเข้าไปประชิด กะจะยื้อแย่งลูกมาอุ้มไว้เอง มันก็ยังไม่ยอมตื่นมาดู

        “ใจเย็นๆก่อนครับคุณเอกอรุณ”ฝ่ายชายชุดสูทที่ลงรถมาเป็นคนแรก คาดว่าน่าจะเป็นคนขับรถหรือสารถีหรืออะไรก็แล้วแต่แม้มันจะเป็นความหมายเดียวกันก็ตาม เข้ามาขวางพลางบอกให้เขา Clam down … ครูเอกอรุณกระแอมไอพลางรวบรวมสติ

        “นั่นลูกชายผม”

        “ผมรู้ และเราควรพาเขาเข้าบ้านไปนอนดีๆก่อนจะมาอธิบายอะไรกัน จริงไหมครับ?”

        “เออ ก็จริง”ตอนแรกก็หัวร้อนเพราะเห็นใครที่ไหนก็ไม่รู้มาอุ้มลูกชายเขา ทำเหมือนกับว่าเจ้ารักนั้นเป็นแค่เด็กตัวเล็กนิดเดียว ไม่กี่มากน้อย คิดว่าอีกฝ่ายคงต้องหนักแขนเมื่อยมือบ้างล่ะ

        ครูเอกอรุณที่จู่ๆก็รู้สึกว่าตัวเองอารมณ์เย็นขึ้น และนึกถึงเหตุผลได้อย่างรวดเร็วจนน่าแปลกใจ …รีบเปิดประตูรั้วบ้านให้กว้างเพื่อให้อีกฝ่ายที่พ่วงลูกขายเขาไว้ในอ้อมแขนเข้ามาได้สะดวก กระทั่งเดินนำขึ้นเรือนไทยมา คราแรกกะจะให้อีกฝ่ายวางลูกไว้บนตั่งไม้ยาวประจำตัวกลางเรือนก่อน

        “เดี๋ยวจะนอนไม่สบายตัวเอา”

        ห่วงลูกกูเสียยิ่งกว่าพ่อมันอย่างกูนี่อีกเว้ย!

        สุดท้ายก็พาเขาไปจนถึงห้องนอนลูก จัดแจงปล่อยไอ้หัวยุ่งตัวยาวลงบนเตียงเสร็จก็พากันเดินออกมา

        อารมณ์เหมือนโดนป้ายยา เขาว่าอย่างไรครูเอกอรุณก็ว่าตามนั้น นึกๆดูแล้วก็พิกลตัวเองอย่างบอกไม่ถูก หากแต่สิ่งที่สัมผัสได้จากชายหน้าดุผู้นี้หาใช่มีเจตนาไม่ดี

        ทำไมถึงได้ไว้ใจ ครูเอกอรุณก็หาคำตอบมาตอบให้กับคำถามนี้ไมได้เหมือนกัน

        “สวัสดีครับ ผมชื่อทศพักตร์ เป็นคนที่อยู่กับเจ้าลักษมณ์ …หมายถึงลักษมัณตอนที่เขาประสบอุบัติเหตุคราวก่อน”
รับนามบัตรมาพลางขมวดคิ้วเมื่อเห็นหลักฐานผ่านร่องรอยผ้าพันแผลบนข้อมือหนึ่งจุด และข้อศอกอีกหนึ่งจุด ประจวบเข้ากับคำให้การณ์ที่ลูกชายเคยเล่าเรื่องให้เขาฟังเมื่อวันก่อน

        แผลตรงกันกับ‘ผู้มีพระคุณ’ที่ว่านั่นเด๊ะ

        แผลที่เห็นคล้ายจะไม่ได้เจ็บหนัก แต่ถึงอย่างนั้นไม่น่าถึงขั้นอุ้มผู้ชายตัวไม่เล็กอย่างลูกชายของเขาได้นาน ทั้งยังพาขึ้นบันไดหลายสิบขั้น อย่างน้อยก็ต้องกระเทือนบ้างไม่มากก็น้อยล่ะ แต่คุณทศอะไรนี่ดูจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยแม้แต่น้อย

        “ผมทราบจากลูกชายว่าคุณเจ็บจนถึงขั้นข้อมือหัก?”

        แล้วคนข้อมือหักที่ไหนจะทำเหมือนที่ชายผู้นี้ทำได้ขนาดนี้กัน?

        “ครับ ตอนนี้ก็จวนจะหายดีแล้ว”ครูเอกอรุณคิ้วขมวดมุ่นหนักกว่าเก่า หากทศพักตร์เพียงยิ้มเล็กน้อยออกมาเท่านั้น“วันนี้ก็ว่าจะไปโรงพยาบาล แต่ลักษมัณกลับหลับระหว่างทางเข้าเสียก่อน ผมเลยพาเขามาส่งที่บ้านแทน ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ปุบปับมา”

        ยิ้มมารยาทแต่กลับไม่ดูเหมือนปั้นแต่ง วาจายังสุภาพเข้ากับบุคลิกที่แทบจะไม่มีที่ติ แถมข้อมือหักไม่กี่วันยังหายดีราวกับเสกได้ …ซูปเปอร์แมนหรืออย่างไรหนอ

        “บอสครับ”นายสารถีชุดสูทเหมือนมาเฟียเดินเข้ามาในวงสนทนา ขัดบทสงสัยของครูเอกอรุณได้ชะงัดนักราวกับรู้จังหวะ มาพร้อมกับถุงใหญ่สองถุงด้วยกัน ข้างหน้าถุงนั้นแปะโลโก้คุ้นตาพ่อจ๋ามาก

        “ระหว่างทาง เผอิญเจอร้านนี้เข้า ผมจำได้ว่าเคยเห็นผ่านรายการทีวี หวังว่าคุณเอกจะไม่รังเกียจนะครับ”

        ขนมไทยเจ้าดังร้านประจำที่หากมีโอกาสครูเอกอรุณเป็นได้ต้องแวะออกไปซื้อมาตุนไว้กินเล่นเสมอ

        “เห็นว่าเขาปรับสูตรใหม่เพื่อสุขภาพด้วย หวังว่าจะถูกปากนะครับ”

        …กลืนน้ำลายเฮือกเลยทีเดียว เพราะพ่อจ๋าเปรี้ยวมานานแล้วจริงๆ




        “เอ็งเคยบอกคุณเขาหรือวะว่าพ่อชอบขนมร้านนี้?”

        คนเป็นลูกส่ายศีรษะดิ๊ก นัยน์ว่าเปล่าบอกนะจ๊ะพ่อ

        เผลอหลับไปแผล็บเดียว ลักษมัณเหมือนตามไม่ทันหลายอย่างเลยทีเดียว เดินงงหัวยุ่งตามพ่อจ๋าไปถึงในครัว เยี่ยมหน้าก้มลงมองขนมไทยละลานตาบนโต๊ะกินข้าวแล้วก็ให้ร้องโอ้โหออกมา

        ขนมไทย ๙ มงคล อันประกอบด้วย ทองหยิบ ทองหยอด ทองพลุ ทองเอก ทองนพคุณ ทองชมพูนุช ทองม้วน ทองทัต และทองอัฐ ถูกจัดมาในรูปแบบของกระเช้าขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ข้างกันนั้นก็เป็นขนมไทยประเภทอื่นอีกสามสี่อย่างด้วยกัน เรียกได้ว่า หากทานจนหมดนี้รับรองพรุ่งนี้ไปตรวจได้เจอเบาหวานขึ้นแน่นอน ทั้งพ่อจ๋าทั้งลูกชาย

        จัดใหญ่ไฟกระพริบมากเลยหนอพี่ทศ…

        ลักษมัณเดินออกจากบ้าน ในมือถือสองจาน ในจานมีขนมไทยหลากหลายชนิด แบ่งสรรปันส่วนมาเพื่อนำไปให้กับธารทิพย์ มารดาของพิภิษณ์ ระหว่างทางก็นึกไปด้วยว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ให้นึกอย่างไรเค้นความทรงจำแค่ไหน ลักษมัณก็คิดไม่ออกว่าตัวเองหลับไปได้อย่างไร

        จำได้เพียงว่าพี่ทศพาไปเดท …สวนขวัญบำบัดฝัน …ต้นอโศกใหญ่

        หลังจากนั้นเหมือนภาพถูกตัดไปเสียอย่างนั้น ลักษมัณจำไม่ได้เลยสักกะผีกริ้น

        “อ้าว รัก มานี่มาลูก โห ถืออะไรมาเยอะแยะล่ะนั่น”

        ธารทิพย์ มารดาของพิภิษณ์เป็นหญิงวัยกลางคนที่หน้าตาอ่อนหวานสมวัย อีกทั้งกิริยาก็ยังนุ่มนวลอ่อนโยนราวกับถอดออกมาจากนางในวรรณคดีเลยก็ไม่ปาน ช่างผิดแผกจากลูกชายเพียงคนเดียวอย่างพิภิษณ์นัก รายนั้นสมัยก่อนนี่แทบจะเรียกว่าเป็นหัวโจกเด็กในซอยเลยก็ว่าได้ หัวร้อนเป็นที่หนึ่ง จนโตมาเข้ามหาวิทยาลัยนี่ล่ะถึงได้เหมือนจะลดความหัวร้อนลง ไม่เป็นหัวโจกนำรบเหมือนแต่ก่อน

        “เชื้อพ่อมันแรงเว้ย”

        พี่เวสคนดีของน้องรักเคยกล่าวไว้เช่นนั้นเมื่อครั้งใกล้จบประถมสาม …ลักษมัณจำได้ดี พูดไปก็สูดเลือดกำเดาไปเพราะเพิ่งถูกพี่อันซัดจนฟันเคลื่อนมา

        จำได้ไหม? อันภา ลูกสาวลุงอัศนั่นล่ะ

        “แม่ธาร สวัสดีครับ พ่อจ๋าให้เอาขนมหวานมาแบ่งครับ”วางจานลงบนโต๊ะหน้าทีวีก็ยกมือขึ้นกระพุ่มไหว้ แม่ธารยิ้ม ลูบหัวลูบหางลักษมัณเสียยกใหญ่

        “ขอบใจนะลูก เอ้อ นี่ แม่เพิ่งทำแกงขี้เหล็กหมูทอดเสร็จ เดี๋ยวเอากลับไปกินที่บ้านด้วยนะลูก”

        “ถึงว่า”พลางแกล้งทำจมูกฟุดฟิด“รักห้อมหอมมาตั้งกะตอนเข้าประตูรั้วละ”หัวเราะคิกคัก ท่าทีทะเล้นเสียจนโดนมือบางของแม่ธารตีแปะลงบนไหล่เข้าให้

        แปะจริงๆ ไม่เหมือนโป๊กหนักๆของพี่เวส…

        “แล้วนี่พี่เวสยังไม่กลับมาเหรอครับ?”ปากถามแต่ตาไม่สอดส่อง ถึงจะสนิทกันรักใคร่เหมือนลูกเหมือนแม่ แต่ก็ไม่คิดละลาบละล้วงพื้นที่ส่วนบุคคล คนเด็กกว่าเดินตามผู้ใหญ่ไปทิ้งก้นนั่งลงบนโซฟานุ่มหน้าทีวีที่เปิดรายการชีวิตค้างไว้

        “กลับมาแล้วลูก สงสัยจะอาบน้ำอยู่ รายนี้อาบน้ำทีเป็นชั่วโมงเชียว”

        ลักษมัณพยักหน้าหงึกหงัก เข้าใจแจ่มแจ้งเพราะเคยประสบเข้ากับการรอพี่ข้างบ้านอาบน้ำอยู่ …รอจนหลับ บอกเลย
จู่ๆแม่ธารก็เงียบไป ดวงตากลมจับจ้องยังเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะยกมือขึ้นลูบกลุ่มนุ่มยุ่งเหยิงเบาๆ ยิ้มให้กับลูกชายคนเล็กที่แม้จะคนละเลือดเนื้อเชื้อไขแต่เธอก็รักเอ็นดูไม่ต่างไปจากพิภิษณ์ที่เป็นลูกในไส้เลยทีเดียว

        “พรุ่งนี้ก่อนไปเรียน ไปทำบุญที่วัดไหมลูก?”

        ลักษมัณเอียงคอก่อนพยักหน้าอีกรอบ “ดีเหมือนกันครับ รักเองก็ไม่ได้ทำบุญมานานแล้ว แถมช่วงนี้ยังเจอแต่เรื่องแปลกๆอีกด้วย”ประโยคหลังพึมพำกับตัวเอง ไพล่นึกถึงเสียงปริศนาที่เคยได้ยิน หรือแม้กระทั่งความรู้สึกเหมือนกับหลงลืมบางสิ่งไป ทั้งที่ก็ไม่ใช่คนขี้ลืม

        “รัก”

        “ครับ?”

        “หนักแน่นเข้าไว้นะลูก”

        ลักษมัณกะพริบตาปริบ หากยังไม่ทันได้เอ่ยถามสิ่งใด

        “อ้าว ไอ้รัก มาไงไปไงวะ”สะดุดกึกทั้งแม่ธาร ทั้งลักษมัณ คนเด็กสุดในบ้านขณะนี้มุ่ยหน้ามองพี่ชายนอกไส้เดินนุ่งผ้าผืนเดียวยีผมลงจากบ้านมา พลางยกมือขึ้นปิดสองตาแต่ยังเหลือพื้นที่ส่องระหว่างนิ้วไว้

        “ว้าย! คนสัปดน!”

        “ไอ้นี่!”

        ลักษมัณลืมเรื่องที่คุยค้างกับธารทิพย์ไปแทบทันทีที่ถูกพี่ชายนอกไส้วิ่งไล่เตะทั่วบ้าน ในขณะที่ดวงหน้าอ่อนหวานของธารทิพย์นั้น แม้จะมีรอยยิ้มขำทว่าแววตากลับปรากฏซึ่งความกังวลจางๆออกมา

        ธารทิพย์ไม่ใช่แม่หมอ ไม่ได้มีจิตสัมผัสแก่กล้าวิชา อีกทั้งไม่เคยเก็บเงินเก็บทองใครจากการดูดวงให้เลยสักครั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นจะมาเองตามธรรมชาติและเธอไม่เคยฝืนเพื่อที่จะได้‘รู้’ในสิ่งที่ไม่ควรรู้ และ‘เห็น’ในสิ่งที่ไม่สมควรเห็น

        ดวงตากลมมองเงาลางเลือนที่วนเวียนอยู่รอบกายของลักษมัณ หากอยู่ให้เห็นเพียงไม่นานเท่านั้นก็สลายหายไป แต่ธารทิพย์รู้ดีว่าแม้เธอจะมองไม่เห็นแล้วแต่‘สิ่งนั้น’ยังคงยึดติดอยู่กับลักษมัณไม่หายไปไหน ไม่มีความมาดร้ายหากก็ไม่อาจนับได้ว่าเป็นเรื่องที่ดีด้วยเช่นกัน

        ขึ้นชื่อว่า‘กงกรรมกงเกวียน’แล้วนั้น …ก็ยากนักที่ใครจะหลีกหนีพ้น




        หม่อมเจ้าจักรกฤษณ์ทอดเนตรตามร่างเล็กของญาติผู้น้องที่เดินไปเดินมาไม่หยุดอยู่ข้างเตียงก็ให้ทั้งขบขันทั้งอ่อนพระทัย

        “เห็นน้องสิตาเดินไปเดินมาแบบนี้ พี่ชักจะเวียนหัวเข้าแล้วสิ”

        “พี่ราม?!”คุณชายสิตาตรงปรี่เข้าไปเกาะขอบเตียง แก้วตาให้รู้สึกร้อนผะผ่าวขึ้นมาเมื่อเห็นองค์ทรงฟื้นขึ้นมาเสียที“น้องตกใจแทบแย่แน่ะ”

        “หมอว่าพี่แค่เครียดแล้วก็นอนน้อยเกินไปเท่านั้น ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับคนดี”ทรงลูบศีรษะทุยเบาๆ แววพระเนตรคงไว้เสมอซึ่งความอ่อนโยน

        คุณชายสิตาถอนหายใจ แม้จะโล่งอกไปบ้างแต่ก็ไม่อาจทำใจให้สบายได้จริงๆ

        “ท่านพ่อฝากสิตาให้มาบอกพี่รามว่า ต่อไปนี้ห้ามหักโหมทำงาน ห้ามนอนน้อยแล้วก็ห้ามเครียดด้วยครับ”

        “พี่ว่าข้อห้ามนี้น่าจะเป็นน้องสิตามากกว่าที่บัญญัติขึ้นมา จริงไหม?”

        “เบื่อจริงครับคนรู้ทัน”

        ท่านชายรามทรงพระสรวลแผ่วเบา พระหัตถ์ยังคงลูบกลุ่มผมนุ่มของสิตาตัวน้อย ทว่าพระเนตรกลับคล้ายมีแววมืดดำพาดผ่าน

        จวบจนคุณชายสิตากลับไปพร้อมกับคนรถแล้วนั้น ท่านชายจึงได้ลุกขึ้นจากเตียง ทรงดำเนินไปจนถึงประตูบานเลื่อนใสอันจะนำพาไปสู่ระเบียงที่มีพื้นที่ยื่นออกไปกว้างกว่าห้องพักผู้ป่วยธรรมดา หากองค์เพียงทรงเลิกผ้าม่านที่ปิดกลั้นทัศนียภาพเบื้องนอกออกเท่านั้น

        “บัตรเชิญยังเหลืออยู่ไหมพรต?”ทรงตรัสถามขณะที่พระเนตรทอดพิศชมพระจันทร์ดวงโตด้วยเป็นคืนจันทร์เพ็ญ พรตที่ยืนรอทรงรับสั่งเรียกใช้เอ่ยตอบความด้วยรู้พระทัยนายดีว่าทรงหมายถึง‘บัตรเชิญ’ใด

        “ยังมีอยู่ครับ หากกระหม่อมจำไม่ผิด น่าจะเป็นใบสุดท้ายแล้วกระหม่อม”

        พระโอษฐ์ไร้ซึ่งรอยสรวล แม้กระทั่งแววพระเนตรยังคงไร้ซึ่งความอ่อนโยนดั่งเช่นที่เคย

        “พรตเคยฝันไหม?”

        “ท่านชายทรงหมายถึง?”

        ท่านชายรามทรงหันพักตร์กลับมา ครานี้ไม่มีสิ่งใดที่ผิดไปจากเดิมที่ทรงเคยเป็นแม้แต่น้อย แววพระเนตรเคยอ่อนโยนอย่างไรบัดนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น

        “เตรียมบัตรเชิญไว้ พรุ่งนี้ฉันจะไปเยี่ยมผู้นำราพณาคนใหม่”

        พรตกลืนน้ำลาย ผู้นำราพณาคนใหม่ที่เพิ่งขึ้นบริหารอาร์ทีไอกรุ๊ปได้ไม่นาน ไม่ใช่ผู้ชายที่ท่านชายคล้ายจะไม่ทรงถูกโฉลกด้วยอย่าง‘ทศพักตร์’คนนั้นหรอกหรือ?



---------
โปรดติดตามตอนต่อไป
---------


จะจีบลูกเขาก็ต้องเข้าทางพ่อเขาค่ะ!
 :hao3:
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๑๓ (๐๓/๐๓) หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 03-03-2019 19:44:25
ถ้าเปย์แบบน้ ซื้อกิจการร้านขนมดีกว่าไหม  :hao3:
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๑๔+๑๕ (๐๔/๐๓) หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: ShinrinYoku ที่ 04-03-2019 15:21:46
         ตอนที่ ๑๔

         หากมีสายตาของคนบางคนจับจ้องมองอยู่ แม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามแอบซ่อนแล้วแค่ไหน

         มีหรือที่คนถูกมองจะไม่รู้สึกตัว?

         อย่างน้อยๆก็ต้องรู้สึกพะวักพะวงบ้างล่ะ มันเป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ...แต่รู้ตัวดีว่าตนนั้นกำลังเป็นที่วางสายตาของใครบางคนอยู่ และใช่เลย ตอนนี้ลักษมัณกำลังรู้สึกแบบนั้น

         “มีอะไรหรือเปล่าพี่?”

         อันความอึดอัดยุบยับน่ะไม่เท่าไหร่หรอก รู้สึกแปลกๆมากกว่า และที่ชัดเจนที่สุดเลยก็เห็นจะเป็นความสงสัย ลักษมัณสงสัยมากว่าพี่ชายต่างสายเลือดนั้นมีเหตุผลอะไรในการกินข้าวไปนั่งจ้องหน้าเขาไป ..จะว่าเห็นหน้าเขาเป็นเสมือนปลาทูห้อยอยู่กลางโต๊ะประหนึ่งการ์ตูนล้อเลียนเล่มละห้าบาทสิบบาทตามแผงหนังสือก็ไม่น่าจะใช่ กับข้าวหน้าตาน่ากินอีกทั้งสุดจะอร่อยเหาะก็มีวางอยู่เต็มโต๊ะไปหมด

         ความจริงแล้วตอนแรกลักษมัณก็โฟกัสอยู่กับแค่ของกินบนโต๊ะนั่นล่ะ จวบจนมาเพิ่งรู้สึกตัวเอาตอนนี้ ไม่รู้ว่าพี่เวสคนดีจดๆจ้องๆเขาตั้งกะเมื่อไหร่ตอนไหน?

         “เปล๊า กูไม่ได้มอง”ปฏิเสธหน้าตาย ยังไม่ได้บอกเลยสักคำว่ามอง แค่ถามว่ามีอะไร แน่ะมาทำเป็นก้มหน้าก้มตา มือสาละวนกับการตักข้าวเข้าปากทั้งที่ไม่มีกับ คำเดียวยังพอว่า นี่เล่นล่อเสียจนข้าวหมดจานเลยทีเดียว

         ความกลบเกลื่อนที่แสนจะไม่เนียนเลยนี้หนอ

         “เออ นั่นสิ ข้าก็ว่าจะถามนานแล้วว่าเอ็งมีอะไรหรือเปล่าวะไอ้เวร เอ๊ย ไอ้เวส?”พ่อจ๋าที่นั่งอยู่หัวโต๊ะซ้ายเขาแต่ขวาไอ้พี่เวสช่วยลูกผสมโรงสงสัยด้วยอีกหนึ่งเสียง

         “เอ้าลุง ก็ไอ้รักมันนั่งอยู่ตรงหน้าผมอ่ะ เงยหน้าจากจานข้าวผมก็ต้องเจอหน้ามันก่อนเป็นคนแรก ไม่มองมันแล้วจะให้มองใครล่ะลุ๊ง”คราวนี้มีเหตุผล หันไปพูดอธิบายกับพ่อจ๋าเสียหน้าตาขึงขัง จริงจังเกินเบอร์ พอพูดจบก็ก้มหน้าตักปลาทูตักน้ำพริกใส่จานเปล่าตรงหน้าตัวเองแล้วเอาเข้าปาก

         ก็เพิ่งรู้นี่ล่ะว่าพี่ชายนอกไส้มีวิธีการกินข้าวที่ไม่ซ้ำแบบใครเช่นนี้ เพราะก็คงไม่มีใครคิดทำตาม มีอย่างที่ไหนเล่ากินข้าวก่อนแล้วกับตามไปทีหลัง เอ้ะหรือว่ามี?

         ลักษมัณมุ่นคิ้ว ขณะที่พ่อจ๋าพยักหน้าหงึกหงัก

         “เออว่ะ ฟังดูแล้วก็สมเหตุสมผลดี จริงของเอ็ง”

         โถ ยอมง่ายเหลือแสนเลยหนอพ่อจ๋าของไอ้รัก

         ลักษมัณถอนหายใจก่อนลุกขึ้นยืนแบมือ “ข้าวเพิ่มมั้ยพี่?” จานถูกยื่นส่งให้ทันที ...ความจริงแล้วก็ไม่น่าถามหรอก สุดจะกินจุออกปานนี้

         มื้อเช้าของวันนี้นอกจากสองพ่อลูกของบ้านเอกลักษมณ์ดนตรีศิลป์แล้ว ยังมีเรือพ่วงต่อเพิ่มมาอีกหนึ่งอัตราด้วยกัน พิภิษณ์ที่วันนี้นั้นไม่ได้ยิ้มหน้าบานเหมือนอย่างเคย หิ้วกับข้าวมาสนับสนุนกระเพาะสองพ่อลูกเอกกะรักถึงสองอย่าง นอกจากน้ำพริกกะปิปลาทูและผักต้มง่ายๆที่มีอยู่แต่เดิมแล้ว ก็ยังมี ปลาหมึกผัดไข่เค็ม(ของโปรดมากสุดของลักษมัณ) กับ แกงส้มผักรวมกุ้ง อีกสองสำรับ

         นอกจากนั้นแล้วยังมีเถาปิ่นโตติดมือพี่ชายข้างบ้านมาอีกหนึ่งเถาใหญ่เตรียมเพื่อจะไปถวายเพลกันที่วัด ซึ่งในส่วนนี้ได้รับอภินันทนาการมาจากแม่ธารของลูกรักเช่นเคย

         พิภิษณ์นอกจากจะมาแปลกเพราะสงบปากสงบคำเสียจนดูผิดวิสัยที่เคยเป็นแล้วนั้น อีกหนึ่งเรื่องแปลกเลยก็คือ หากเมื่อมาบ้านของลักษมัณทีไรปกติแล้วพี่เวสคนดีมักจะคอยเป็นลูกคู่ เป็นขาเม้าท์ขามอยกับพ่อจ๋าเสมอ ตั้งแต่เรื่องเพลงไทยเดิมเพลงไหนกล่อมหลับดีนักแล ลามไปยันเรื่องหวยงวดหน้าออกอะไร พรุ่งนี้บวชบ้านไหน มะรืนนี้แต่งบ้านใคร

         แต่วันนี้มามาดใหม่ ‘ใหม่’ขนาดที่ตอนแรกๆพ่อจ๋ายังงงว่าไอ้เวร เอ๊ย ไอ้เวสเจ็บคอไม่สบายเลยไม่มีเสียงมาร่วมเม้าท์หรือเปล่า?

         พ่อจ๋าเหงาปากเลยทีนี้

         “เอ้อ แล้วนี่พี่มีเรียนกี่โมง รักมีแววว่าอาจารย์จะยกคลาสว่ะ เพื่อนไลน์บอกมาอีกทีไม่รู้จริงเปล่า”

         กินเสร็จแล้วก็ต้องล้างจาน คนล้างก็ไม่ใช่ใครไหนไกล พี่เวสคนดีศรีน้องรักนั่นเอง

         “วันนี้กูไม่มีเรียน แม่เลยวานให้ไปทำบุญเป็นเพื่อนมึงนี่แหละ ตัวกูเองก็อยากไปวัดแวะหาหลวงพ่ออยู่พอดี”ลักษมัณพยักหน้าหงึกหงัก พิมพ์เดียวกับครูเอกอรุณเด๊ะ“เอ้อ ไอ้รัก”

         พิภิษณ์ปิดก๊อกน้ำ หันไปเช็ดมือกับผ้าเช็ดซึ่งแขวนอยู่ข้างกันกับซิงค์แล้วหันทั้งตัวไปหาไอ้น้องรักที่ก้มหน้าก้มตาจัดแจงเทแกงตักข้าวสวยที่ตัวเองได้เตรียมไว้เหมือนกันใส่ปิ่นโตอีกเถา

         “หืม?”ครางรับแทนพูดตอบเพราะตอนนี้ปากไม่ว่าง ดูดตัวดูดน้ำหวานที่พ่อจ๋าสั่งซื้อจากป้าละม้ายร้านชำเจ้าประจำมาแช่เย็นไว้ตั้งแต่เมื่อวานก่อน

         วันนี้ของดยาคูลท์หนึ่งวันเพราะลักษมัณมีตัวดูดมาให้ดูดเล่นแทนแล้ว หลายสีหลายรสเลยทีเดียว

         “ก่อนหน้านี้ จำได้ว่ามึงเคยบอกกูว่าฝันแปลกๆ?”

         “อาฮะ”นึกย้อนนิดหนึ่งก็ให้คับคล้ายว่าเคยบอกพี่เวสไว้แบบนั้นจริงๆ แต่ไม่ได้ขยายความใดต่อเพราะไม่มีโอกาสหรืออีกนัยหนึ่งเลยคือ…ลืมนั่นเอง

         หยุดดูดตัวดูดแล้วเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายต่างสายเลือดก็ให้เห็นว่าพี่เวสคนดีเองก็กำลังมองเขาอยู่เช่นกัน

         “ทำไมหรอพี่?”หรี่ตามองก่อนขยับตัวดูดชี้ไปยังพี่ชายที่เคารพรักพลางเขย่าไปมา“หรือจะเกี่ยวกับที่พี่เอาแต่มองหน้ารักอยู่ได้เป็นนานสองนาน แหมๆ นี่ถ้าไม่ติดว่ามีสิตาอยู่ล่ะก็ รักจะนึกว่าพี่แอบปิ๊งน้องนะเนี้ย”เอ่ยหยอกด้วยไม่คิดอะไรมากความ

         แต่

         “กูจริงจัง ทำมาเป็นเล่นอีกมึงนี่”เขกเหม่งน้องเข้าให้ โทษฐานเล่นไม่ดูเวล่ำเวลา

         ลักษมัณย่นจมูกมือหนึ่งปิดหน้าผากไว้กันโดนอีกโป๊ก ส่วนอีกมือนั้นปิดเถาปิ่นโต ทุลักทุเลน่าดูจนพิภิษณ์ทนไม่ไหว เดินมาช่วยน้องจัดการปิดปิ่นโตให้พลางพูด

         “เมื่อเช้าก่อนออกจากบ้าน แม่กูบอกว่า…”คิ้วขมวดแลดูลังเลใจว่าจะพูดต่อดีไหม ใจหนึ่งนั้นพิภิษณ์ไม่อยากให้น้องเครียด เพราะขนาดแค่เจอผีที่ก็ไม่รู้ว่าเจอจริงหรือเปล่าในร้านเหล้าวันก่อน มันยังเก็บมานอนคิดนั่งคิดเดินคิดถึงขนาดเข้าไปนอนในห้องพระ

         แล้วถ้ารู้ว่าแม่เขามองเห็นบางอย่างวนเวียนติดอยู่กับมัน แถมดวงยังกำลังจะมีเคราะห์หนักอีก…

         “…ไม่มีอะไร”

         “เอ้า! ซะงั้นอ่ะ มาพูดให้อยากรู้แล้วจากไปทั้งเงี้ยอ่ะนะพี่”หน้าเหวอเลยครับ บอกเลย ลักษมัณอุตสาห์ใจเต้นตึกตักเพราะลุ้นยิ่งกว่าวันหวยออก กลับถูกพี่ชายตัดบทกลางอากาศ ฉับๆแล้วว่าไม่มีอะไรทั้งที่หน้าตาแลสวนทางกับคำพูดมาก

         “อ้าว พวกเอ็งยังไม่ไปกันอีกเรอะ เดี๋ยวพระก็ฉันเพลเสร็จก่อนจะไปถึงวัดกันหรอกเฮ้ย”สะดุ้งกันทั้งหมู่คณะ ตอนแรกเงียบไง แต่พอพ่อจ๋าเข้ามาที ความเงียบที่เคยมีก็กระจัดกระจายปลิวหายไปหมด

         “จ้ะๆ จะไปแล้วจ้ะพ่อ ปะพี่เวส ไว้ค่อยว่ากันทีหลังก็แล้วกัน”

         ลักษมัณแวะทิ้งตัวดูดที่หมดแล้วเรียบร้อยลงถังขยะ หยิบเถาปิ่นโตใหญ่ใส่มือพี่อีกมือจับเถาปิ่นโตที่ขนาดย่อมลงมาหน่อยของตัวเองที่เพิ่งใส่กับทำบุญเสร็จเมื่อตะกี้ ไม่ลืมยกมือไหว้พ่อจ๋าก่อนออกจากบ้าน

         ส่วนพิภิษณ์นั้นได้แต่ถอนหายใจตามองน้องชายต่างสายเลือดที่ก็รักก็เอ็นดูมันไม่ต่างไปจากน้องในไส้ ยกมือไหว้ลุงเอก ไม่ทันใจน้องรักที่กลับมาคว้าหมับเข้าที่แขนของพี่พลางดึงให้เดินขาลากแท่ดๆตามมันไป

         “น้องกำลังจะมีเคราะห์หนัก เรื่องนี้ไม่ว่าใครก็ช่วยไม่ได้”

         เสียงบอกกล่าวรวมถึงสีหน้าเป็นกังวลของมารดาแวบเข้ามาในความคิดของพิภิษณ์อีกครั้ง

         “ทำอะไรไม่ได้เลยเหรอครับแม่”

         แม่ธารไม่ได้ตอบสิ่งใดกลับมา หากแต่เพียงเห็นสีหน้าของมารดาแล้วพิภิษณ์ก็ให้เข้าใจในทันที

         ลึกๆแล้วเขากลับรู้สึกว่าไอ้รักจะต้องไม่เป็นอะไรถึงขั้นหนักหนาสาหัสแน่นอน ไม่มีอันตรายใดเข้ากล้ำกรายลักษมัณได้

         ไม่มี… เพราะว่า…..

         อะไรดลใจให้เขาเชื่อมั่นแบบนั้นพิภิษณ์เองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน




         นานแล้วที่ลักษมัณไม่ได้มาทำบุญใหญ่ที่วัด น่าจะตั้งแต่ตอนที่ต้องอ่านหนังสือเป็นบ้าเป็นหลังเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั่นล่ะ แม้กระทั่งก่อนหน้านั้นก็คล้ายจะไม่ค่อยได้มีโอกาสเสียเท่าไหร่ แต่ตอนนี้มีแล้ว ได้ทำบุญถวายสังฆทาน ได้สูดอากาศที่แสนจะสงบภายในอาณาเขตของวัด พลอยทำให้ลักษมัณรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจขึ้นไม่น้อย

         ไม่ลืมอธิฐานจิตมอบส่วนบุญกุศลทั้งหมดให้กับเจ้ากรรมนายเวร …เรื่องนี้สำคัญมาก เขายังไม่ลืมนะว่าเคยเจออะไรมา ถึงจะแค่เสียงก็เถอะ เท่านั้นก็นับว่าหลอนมากพอแล้ว

         ลักษมัณยืนยืดขาเหยียดแขนพลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วปล่อยลมหายใจออกมายาวๆ

         หลังจากนำน้ำที่ใช้กรวดเพื่ออุทิศส่วนกุศลเทลงใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างกันกับศาลาการเปรียญของวัดเป็นที่เรียบร้อย โดยที่พิภิษณ์ยังอยู่บนศาลาสนทนาธรรมกับหลวงพ่อพิศลย์อยู่ หรือในอีกสถานภาพหนึ่งก่อนบวชท่านนั้นเป็นบิดาของพิภิษณ์ ที่ซึ่งก็ได้ปลงสังขารละจากทางโลกแล้วมาอุปสมบทจำพรรษาอยู่ในวัดแห่งนี้ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน

         นานทีลักษมัณจะได้มีโอกาสสูดอากาศบริสุทธิ์ เขาจึงเลือกที่จะเดินทอดน่องไปตามรายทาง หากก็คอยสังเกตไม่ให้ตัวเองเดินห่างออกไปจากศาลาการเปรียญไกลมากนัก เพราะเดี๋ยวพี่เวสลงมาแล้วจะหากันไม่เจอเข้า

         กายสูงโปร่งย่อตัวลง เพ่งมองประติมากรรมบนกำแพงปูนทรงเตี้ยสูงเทียบเท่าเอวของเขาซึ่งสร้างขนานไปกับทางเดินยาวจนสุดทาง

         “นกสดายุ”

         เป็นงานแกะสลักปูนในรูปแบบนูนสูงที่มีความประณีตมาก ทั้งการเก็บลายละเอียดของขนสวนหางในรูปของลายกนก ก็เก็บได้หมดจด แม้จะมีร่องรอยขีดข่วนที่อาจด้วยถูกเด็กมือบอนมาขีดมาเขียนเล่นตามจุดต่างๆอยู่บ้างประปราย หากก็ยังดูออกว่าช่างแกะมีความตั้งใจในการสร้างสรรค์ผลงานมากแค่ไหน

         ขยับเดินไปอีกนิด

         “ครุฑ? อื้อหือ อย่างละเอียดเลย”ผิวปากได้คงทำไปแล้ว ติดที่ว่าจะไม่สำรวมเพราะยังอยู่ในรั้วเขตวัด สำคัญคือผิวไปก็คงไม่มีเสียงออกมาอยู่ดีเพราะว่าเขาผิวปากไม่เป็น

         ลักษมัณเดินๆหยุดๆ หยุดเพื่อดูรูปสลักแต่ละรูป บางรูปก็สวยจนนึกเสียดายที่ไม่ได้พกมือถือติดตัวมาด้วย ไม่เช่นนั้นคงได้ถ่ายไปอวดพ่อจ๋าที่ก็ชอบงานศิลป์ประเภทนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งอันที่จริงพ่อจ๋าก็น่าจะรู้และเคยเห็นมาก่อนอยู่แล้วล่ะ วัดอยู่ไม่ไกลบ้าน จะมีก็แต่เพียงคนที่ไม่ค่อยได้เข้าวัดอย่างลักษมัณที่ตื่นตาตื่นใจมากเกินเบอร์ ไม่ผิดไปจากบ้านนอกเข้ากรุงก็ไม่ปานเลยเชียว

         “นาคา?”

         อ่านชื่อใต้รูปเสร็จก็จ้องพินิจลายละเอียดเหมือนอย่างเคย หากทว่าคราวนี้นั้น…

         “นาคาหากมีสามเศียร ห้าเศียร เจ็ดเศียร และเก้าเศียร ว่ากันว่าจะสืบเชื้อสายมาจาก‘พญาเศษนาคราช’”

         สะดุ้งโหยง หันไปมองตามเสียงที่ได้ยิน ก็ต้องถอนหายใจออกมา โล่งอกมากที่ไม่ใช่การหูแว่วไปเองอีก

         “พญาเศษนาคราช หรือก็คือ... ท่านอนันตนาคราช”อีกฝ่ายหันมามองหน้าเขาแทนประติมากรรมบนฝาผนัง ให้หายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมา ดวงตาสีดำสนิทไม่ส่อแววประกายใดๆ สวยเหมือนกับลูกแก้วแต่อีกนัยน์หนึ่งนั้นก็

         ดูน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก

         “ทำให้ตกใจหรือ?”

         ไม่น่าถามเลยหนอ

         แต่เพราะเป็นคนแปลกหน้าลักษมัณเลยได้แต่ยิ้มแห้งให้ พลางขยับถอยห่างจากอีกฝ่ายเล็กน้อย เพราะดูเหมือนว่าจะยืนอยู่ใกล้จนไหล่แทบชนกันจนมากเกินไป

         “ตกใจครับ แต่แปลกใจมากกว่า”แปลกใจว่า ยืนอยู่ใกล้กันขนาดนี้เหตุใดเขาจึงได้ไม่รู้สึกตัว?

         อีกฝ่ายอยู่ในชุดนุ่งขาวห่มขาว คล้ายกับชุดของผู้ปฏิบัติธรรม อายุนั้นหนอกะดูแล้วน่าจะน้อยกว่า วงหน้าเนียนใสไร้ซึ่งจุดด่างรอยพร้อย นัยน์ตาเรียวสีดำสนิท จมูกโด่งแต่ไม่โด่งมาก เชิดรั้นขึ้นหน่อยๆ แต่เพราะตอนนี้ยิ้มเลยคล้ายกับว่าไม่มีพิษภัย เหมือนจะเป็นมิตรกว่าเมื่อครู่ที่ใบหน้านั้นเรียบเฉยราวไร้ซึ่งอารมณ์

         “เสียดายนะ”

         ลักษมัณเกาท้ายทอยด้วยงงงวยตามอารมณ์อีกฝ่ายไม่ทัน ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้พูดอยู่กับเขาหรือพูดกับประติมากรรมรูปนาคตรงหน้าเขาทั้งคู่กันแน่เพราะว่าหันกลับไปจดจ้องผนังปูนแทนแล้ว

         “น่าเสียดาย เพราะว่าปูนเป็นสีขาวเลยทำให้ไม่เห็นสี พอไม่เห็นสีก็เลยไม่รู้ว่านาคตนนี้อยู่‘ตระกูล’ไหน”

         “อ้อ…”หลังจากนั้นก็กลายเป็นคนใบ้ไร้บทพูดไปชั่วขณะ

         “หากสีเขียวก็ตระกูล‘เอราปถ’ แต่ถ้าหากสีรุ้งก็จะเป็นตระกูล‘ฉัพพยาปุตตะ’ สีดำตระกูล‘กัณหาโคตรมะ’ และถ้าเป็นสีทอง ...”จู่ๆก็หยุดพูด หันขวับมามองลักษมัณเข้าอีกรอบ สะดุ้งจนเผลอก้าวถอยไปสองก้าว

         “ท่านผู้เป็นอนันต์ ดวงจิตที่หลับใหลของท่านกำลังจักถูกปลุกขึ้นมาอีกคราแล้ว”

         เศษใบไม้แห้งที่โปรยปรายอยู่บนพื้นทางเดิน ต่างพากันม้วนตัวก่อนที่จะลอยขึ้นหมุนวนรอบกายของทั้งคู่ ลมกรรโชกแรงเสียจนไม้ใหญ่เอนไหว ขณะที่ลักษมัณนั้นขยับก้าวถอยอีกก้าว รู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูกเมื่อสัมผัสได้ว่านี่ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติ

         “ท่านผู้เป็นอนันต์ ฤทธิ์ของข้าที่ท่านมอบให้มาเมื่อครั้งนั้น ได้ถดถอยลงไปตามกาลเวลาแล้ว”ดวงตาสีดำสนิทให้แลดูโศกเศร้ายิ่ง“ชาตินี้ข้ามิอาจห้ามไม่ให้‘มัน’เจอท่านได้ตามประสงค์ของ‘องค์ผู้นั้น’ โปรดอภัยด้วยเถิด”

         เหงื่อกาฬอาบไล้ทั่วใบหน้า มือยกขึ้นกุมอกซ้ายเมื่อจู่ๆก็รู้สึกปวดขึ้นมา ก่อนที่มืออีกข้างจะยกขึ้นกุมขมับ …ลักษมัณหอบหายใจ ดวงตาพร่าเลือนจนมองเห็นคนตรงหน้าผิดแผกไป คล้ายกับว่า…

         งูตัวใหญ่? ….ไม่สิ

         ท่านผู้เป็นอนันต์ ขอให้ข้านี้ได้ติดตามท่านไปจวบจนถึงวาระสุดท้ายของดวงจิตด้วยเถิด

         พญานาค

         สิ้นประโยคพลันเหมือนเห็นลำแสงสีดำพุ่งเข้าใส่ สติคล้ายกับวูบไปชั่วขณะก่อนที่ดวงตาจะกลับมาเห็นภาพชัดเจนอีกครั้ง แม้แต่ความเจ็บปวดก็พลันมลายหายไปสิ้น

         “นายคือลักษมัณใช่ไหม?”

         ชายนุ่งขาวที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขานั้น อันตรธานหายไปไม่เหลือล่องรอยแม้แต่น้อยว่าเคยมีใครอยู่ตรงนี้ …กลับเป็นผู้หญิงสูงปราดเปรียว หน้าตาสะสวยแสนคุ้นตาก้าวเดินเข้ามายืนแทนที่

         “คุณ?”

         ลักษมัณยังคงสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนไม่อาจจับต้นชนปลายอะไรได้ถูก คิ้วขมวดเล็กน้อย คิดไม่ออกว่าเคยเจอผู้หญิงคนนี้ที่ไหนมาก่อน

         เมื่ออีกฝ่ายเฉลยออกมา เขาถึงได้บางอ้อ

         “ฉันมนฑกา ว่าที่คู่หมั้นของทศพักตร์”




         ทศพักตร์หลังจากประชุมบอร์ดผู้บริหารเสร็จ เอนหลังพิงเก้าอี้ทำงานได้ไม่นานก็มีเอกสารสารพัดแฟ้มวางเรียงเตรียมให้อ่าน ข้อมือซ้ายที่เอาเผือกอ่อนออกเรียบร้อย อีกทั้งยังเป็นการเอาออกก่อนกำหนด พลิกแฟ้มงาน อ่านรายละเอียด สีหน้าแม้จะนิ่งตามวิสัย หากแววตากลับฉายให้เห็นถึงความเคร่งเครียดจริงจัง

         กำลังจะจรดปากกาเซ็นต์ลายเซ็น กลับต้องชะงัก

         ทศพักตร์ไม่ใช่คนชอบพกโทรศัพท์มือถือติดตัวปกติจึงเป็นหน้าที่ของมือขวาอย่างเปาวนาที่เก็บมือถือไว้และจะส่งให้นายเมื่อมีสายด่วนสำคัญ

         ทั้งยังไม่ใช่คนติดโซเชียล โปรแกรมแชทยิ่งมองว่าไม่ใช่สิ่งจำเป็น แม้ว่าหลายคนจะนำมาประยุกต์ใช้กับการทำงานโดยนัดกับลูกค้าเพื่อคุยงานผ่านโปรแกรมแชทต่างๆ แต่ไม่ใช่กับคนเข้มงวดอย่างเขา ทุกการนัดพบจะต้องมีการกำหนดการไว้ล่วงหน้า และยืนยันผ่านการคุยโทรศัพท์โดยตรงเท่านั้น

         การทำธุรกิจไม่ใช่การเล่นขายของ และเขามักจะจริงจังเสมอหากเป็นเรื่องงาน

         แต่ก่อนไม่เคยเบื่อหน่ายเพราะเป็น‘หน้าที่’ที่เขาต้องทำ ไม่ใช่ไม่เบื่อ ควรเรียกว่า‘ชินชา เสียจนไร้ความรู้สึกในเชิงนั้นไปโดยสิ้นเชิงน่าจะถูกต้องกว่า

         แต่พักหลังมานี้เขาหันมาพกโทรศัพท์มือถือติดตัว ทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อน แถมยังวางอย่างโจ่งแจ้งไว้บนโต๊ะทำงานข้างมือซ้ายที่ถนัด เลขาจวบจนพนักงานตำแหน่งหัวหน้าที่ต้องเข้าพบเพื่อคุยเรื่องงาน หลายคนถึงกับตกใจ แน่นอนว่าไม่มีใครสักคนที่กล้าถามถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ของผู้เป็นบอสใหญ่

         ทศพักตร์กำลังติดโปรแกรมแชท

         หรือติดคนในแชท ไม่สิ…

         ไม่‘หรือ’แต่เขา‘ติด’คนในแชทเข้าจริงๆ

         มองแฟ้มงานที่อยู่ในมือ แม้จะอยากปล่อยผ่าน แต่ทำไม่ได้ จำตั้งสมาธิอ่านข้อมูลในแฟ้มใหม่อีกครั้ง วางปากกาหลังจากลงนามเรียบร้อยก่อนแฟ้มหนาจะถูกโยนลงเก้าอี้ข้างโต๊ะ แล้วหันไปให้ความสนใจมือถือที่เปิดโปรแกรมแชทค้างไว้ ล่าสุดที่คุยก็คราก่อนวันออกเดท

         ลักษมัณเจ้าพ่อโรงงานยาคูลท์ :
         ...ดวงใจที่พี่ว่า...
         ...ผมมองหายังไม่เจอ...
         ...สงสัยพี่ละเมอ...
         ...อาจแอบเผลอเหมือนกดโทร...
         ...มาแล้วยกมือโบก...
         ...คนในโลกเยอะนะเออ...
         ...กลัวหาพี่ไม่เจอ...
         ...จะรอเพื่อปรนเปรอ...
         ...พี่ที่ใต้คณะครับ...

         ไม่ว่าอ่านทวนกี่ครั้งก็ให้นึกขันด้วยเอ็นดูเหลือแสนอยู่ทุกคราไป จะอย่างไรเจ้าลักษมณ์ของเขาก็ไม่เคยถนัดถนี่ในเรื่องของกาพย์กลอนแม้นสักกะผีก

         กาลอดีตเก่งนักในเรื่องรบ ส่วนกาลนี้นั้นหนอก็ช่างชำนาญนักในเรื่องทำตัวได้น่ารักน่าใคร่

         กว่าจะเจอต้องใช้เวลามากในการตามหา หากเมื่อเจอแล้วกลับต้องใช้ความอดทนสุดแสนในการหักห้ามใจ ไม่รู้ ..ว่าเขาจะทนได้อีกนานแค่ไหน

         “บอสครับ”

         ทศพักตร์ดึงตัวเองขึ้นจากภวังค์พร้อมกับเสียงของเปาวนาที่แทรกเข้ามาในโสตประสาทหู

         “ขออภัยครับที่เข้ามาโดยพละการ”

         “อืม มาแล้วหรือ?”

         เปาวนาชะงักก่อนก้มหน้าตอบความผู้เป็นนาย

         “ครับ หม่อมเจ้าจักรกฤษณ์รอพบบอสอยู่ที่ห้องรับรองแล้วครับ”

         เวียนมาพบ เวียนมาให้ได้รู้จักกันอีกครั้งในภพชาติใหม่ บ้างจำได้ด้วยเหตุและผลบางประการ บ้างลืมเลือนหมดแล้วซึ่งทุกสิ่ง

         หากความผูกพันในภพเก่ากลับคล้ายราวฟันเฟื่องชิ้นเล็กชิ้นน้อย เชื่อมประกบต่อกัน... โยงเป็นสายใยที่ไม่อาจตัดขาด


(ต่อตอน ๑๕ รีพลายล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๑๔+๑๕ (๐๔/๐๓) หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: ShinrinYoku ที่ 04-03-2019 15:22:09
         ตอนที่ ๑๕

         ห้องรับรองแขกของราพณากรุ๊ปแทบไม่ต่างไปจากห้องสวีทที่ดีที่สุดของโรงแรมระดับพรีเมี่ยม หากเตียงนอนนั้นได้ถูกแทนที่ด้วยชุดโซฟารับรองแขกบุนวมอย่างดีซึ่งตั้งวางตำแหน่งไว้ใกล้กันกับกระจกใส และเมื่อมองออกไปนอกตัวอาคารสายตาก็จะพบเข้ากับสวนสวยขนาดย่อมกินอาณาบริเวณดาดฟ้าของโรงแรมฝั่งตรงข้ามที่ได้รับ Inspiration มาจาก‘สวนขวัญบำบัดฝัน’อันได้ราพณารุ่นใหม่อย่างทศพักตร์เป็นผู้ออกแบบ

         อุตสาหกรรมโรงแรมนับเป็นธุรกิจใหม่ที่ราพณาเพิ่งบุกเบิกหลังทศพักตร์ขึ้นเป็นประธานต่อจากพัรวิชญ์ผู้เป็นบิดา รวมถึงกิจการพาณิชย์สนับสนุนทางด้านการเงินของลูกค้า นอกเหนือไปจากอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนการเช่าซื้อกู้ยืมที่มีอยู่แล้วแต่เดิม

         ทศพักตร์นั้นจึงนับได้ว่าเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่คนรุ่นเก่าไม่อาจดูแคลน

         ร่างสูงใหญ่ในสูทสากลสีเทาสวมทับเชิ้ตสีดำสนิทรับกันกับเนคไทผ้ามันสีดำ ในขณะที่แขกกิตติมศักดิ์ซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาบุนวมอย่างดีฝั่งตรงข้ามอยู่ในชุดสูทสากลเหมือนกันทว่าเป็นสีขาวล้วนทั้งสูทตัวนอกและเชิ้ตตัวใน ดูขาวสว่างแสบตาไปหมด ...โดยเฉพาะออร่าเทพบุตรกับดวงพักตร์สุขุมที่แสนอ่อนโยนนั้น

         “ไม่คาดว่าท่านชายจะทรงอุตสาห์มาเชิญผมด้วยองค์เอง รู้สึกเป็นเกียรติจริงๆครับ”

         เนตรสีน้ำตาลอ่อนเสียจนเจือจางแลคล้ายกับสีชาดของหยาดโลหิตหลุบลงมองการ์ดเชิญสีทองเรียบหรูที่วางอยู่ตรงหน้าเพียงเล็กน้อย ก่อนที่จะหยิบแก้วกาแฟซึ่งวางอยู่ข้างกันขึ้นแตะริมฝีปาก การกระทำหาได้แสดงออกตรงกับประโยคคำพูดที่เอ่ยออกมา หากท่านชายรามเพียงแย้มสรวลออกมาเล็กน้อยเท่านั้น

         “ไม่กี่ก้าวราพณาก็จะก้าวขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆของประเทศแถบอาเซียน สำหรับบุคคลสำคัญอย่างคุณทศพักตร์แล้ว… ผมย่อมต้องมาด้วยตัวเอง”

         “คำชมของท่านชาย ผมไม่กล้ารับไว้หรอกครับ”

         ถ้วยกาแฟกระทบลงบนพื้นแก้วของโต๊ะที่คั่นระหว่างทั้งสองฝ่าย บรรยากาศพลันคล้ายจะหนักอึ้งขึ้นมาเมื่อดวงเนตรสองสีสบประสานกัน

         “คิดว่าคงไม่ใช่เพียงเรื่องนี้ล่ะมังครับ”

         ดวงพระเนตรสีดำราวกับมีแววบางอย่างพาดผ่าน หากชั่วครู่กลับมลายหายคงไว้เพียงความนุ่มลึกดังเช่นเดิมเคยเป็น

         “ผมทราบมาว่าคุณเป็นคนเสนอให้อาจารย์เมธา จัดแสดงโขนตอน‘ทศกัณฐ์ล้ม’หรือครับ?”

         “หลายเรื่องที่ท่านชายทรงทราบ หลายคนมักมิใคร่สนใจทราบ”

         ทศพักตร์ขยับมุมปากยิ้มออกมา เป็นยิ้มที่ไม่ส่งไปถึงดวงตาสีแปลกสามัญ หนครานี้ท่านชายรามหาได้คงสีพระพักตร์อ่อนโยนไว้ได้อีก ดวงพระเนตรแข็งขึ้นจับจ้องชายเบื้องพักต์ไม่ละวาง

         “คุณทศพักตร์นี่อารมณ์ขันดีนะครับ”

         “หากทรงสบายพระทัยเมื่อดำริเช่นนั้น”

         พระหัตถ์กำแน่นก่อนที่จะทรงถอนพระปัสสาสะออกมา ดวงพระเนตรกลับมาสุขุมสมองค์อีกครั้ง

         “ผมเห็นด้วยที่ว่าโขนน่าสนใจ แต่รู้สึกว่าคงไม่เหมาะสักเท่าไหร่ และผมก็คิดว่าคุณคงทราบดีว่า‘ตรงไหน’ที่ผมว่า‘ไม่เหมาะสม’”

         “เรื่องนี้ท่านชายไม่ต้องทรงเป็นกังวลไปหรอกครับ”

         ท่านชายรามทรงขมวดพระขนงขณะที่ทศพักตร์แววตาฉายประกายคมวาวออกมา

         เป็นแววตา...ที่องค์ทรงอ่านไม่ออก

         “คุณคงจะไม่ได้หมายความว่าจะปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่องไปจากเดิมหรอกนะครับ?”

         “ถึงเวลาท่านชายก็จะทรงทราบเอง ว่าผม...หมายถึงอะไร”

         นัยน์เนตรต่างสีสองคู่มองสบกันท่ามกลางความเงียบงัน ก่อนที่ฝ่ายทศพักตร์จะขยับยืดตัวลุกขึ้นยืนก่อน สีหน้าคล้ายแสดงถึงความลุแก่โทษ …หากลองพิศดีๆกลับไม่แลคล้ายว่าจะเป็นเช่นนั้น

         คนเคยหน้านิ่งเฉยอย่างไร บัดนี้ก็ยังคงเรียบเฉยอย่างนั้น

         “เดี๋ยวผมมีประชุมผู้ถือหุ้นต่อ ต้องขออภัยด้วยนะครับที่ต้องเสียมารยาทต่อท่านชายเช่นนี้”

         วรกายสูงโปร่งผุดขึ้นยืน ก้าวดำเนินตรงไปเผชิญหน้า

         “บทโขนสามารถพลิกแพลงปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ได้”พระเนตรส่อประกายคมวาวขึ้นมาชั่วขณะ“แต่สิ่งที่เปลี่ยนไม่ได้ …นั่นคือ‘ความเป็นจริง’”

         ทศพักตร์เพียงยืนนิ่งงันดั่งยักษ์ปักหลั่น ไม่ได้ต่อความ เช่นเดียวกับที่มิเคยสั่นคลอนต่อสิ่งใด ยึดเพียงปณิธานอันได้ตั้งมั่นไว้เมื่อเนิ่นนานมา แววตาสีชาดเรืองรองชั่วเสี้ยววินาที

         หาได้ลดทอนยอมจำนน




         “ผีหลอก?”

         “อือ รักงี้อย่างหลอนเลยอ่ะสิตา”ประโยคคำพูดคุ้นๆนะว่าไหม ...

         เหมือนวนกลับมาลูปเดิมกับเมื่อหลายวันก่อน เพียงแต่วันนี้ลักษมัณไม่ได้มีท่าทีสบายๆดูดยาคูลท์จ๊วบจ๊าบอีกต่อไป สองแขนพาดไปกับโต๊ะหินอ่อน คางวางเกยอยู่บนโต๊ะโดยมีผ้าเช็ดหน้าผืนนุ่มของสิตา ที่คุณชายอุตสาห์สละให้เพื่อนรักไว้ใช้รองคาง ทั้งที่ถ้านั่งดีๆก็จะไม่ต้องสละเสียผ้าเช็ดหน้าสะอาดๆให้ต้องเปรอะต้องเปื้อน

         แต่ลักษมัณสุดจะอ่อนแรงจริงๆ อ่อนแอมากวันนี้...

         เมื่อคืนก็นอนไม่หลับ ทั้งที่ย้ายหมอนมุ้งไปนอนในห้องพระกับพ่อจ๋าแล้วก็ตาม ส่วนพ่อจ๋านั้นหรือ? นอนเกาพุงกรนคร่อกหลับสบายฟี้ ในขณะที่ลูกชายกว่าจะข่มตานอนลงได้ก็เกือบตีสามย่างตีสี่ โชคดีเหลือหลายที่วันนี้มีเรียนสาย แต่สุดท้ายก็ต้องตื่นเช้าอยู่ดี

         ความจริงแล้วก็ไม่ได้มีแค่เรื่องเจอผีนุ่งขาวห่มขาวมาสนทนาพาทีกันเสียเนิ่นนานอย่างเดียวหรอก ที่ทำให้ลักษมัณต้องนอนพลิกไปกลับมา เป็นหมูแผ่นบนเตาย่างก็คงสุกจิ้มน้ำจิ้มงับเข้าปากไปแล้ว


         “ฉันได้ยินมาว่า ที่ทศบาดเจ็บเป็นเพราะช่วยนายไว้สินะ?”
         “…ครับ”
         “ฉันรู้ว่าตัวฉันไม่มีสิทธิ์ห้ามไม่ให้นายเจอ.. หรือแม้แต่คบกับเขา”
         ดวงตาคู่สวยที่แลหมองลงจากครั้งแรกที่เคยเห็น พาให้ลักษมัณอดแปลบปลาบในใจไม่ได้ ไม่รู้ด้วยเหตุใดแต่เขาให้รู้สึกสงสารหญิงสาวผู้นี้จับใจ
         …พอกับ‘ความรู้สึกผิด’ที่ตีตื้นขึ้นมาในอก
         “ฉันหวังเพียงว่านายจะไม่นำปัญหามาให้ทศอีก ฉันไม่ต้องการให้เขาต้องกลายเป็น‘คนที่ฉันไม่รู้จัก’…มากไปกว่านี้อีกแล้ว”




         “รัก?”

         คนที่จู่ๆก็นั่งเหม่อแล้วปล่อยให้คุณชายพูดอยู่คนเดียวได้เป็นนาน สะดุ้งโหยงขึ้นมา สายตากลับมาโฟกัสยังเพื่อนตัวน้อยที่นั่งทำสีหน้าเป็นกังวลกับอาการไม่เข้ารูปเข้ารอยของเขาอีกครั้ง

         “สิตาว่ายังไงนะ รักขอโทษ พอดีเมื่อกี้เผลอคิดอะไรเพลินไปหน่อยอ่ะ”

         คุณชายถอนหายใจ มือยกขึ้นลูบกลุ่มผมนุ่มของเพื่อนชายเบาๆ ลูบจนลักษมัณแทบจะเคลิ้มเลยทีเดียว

         “ไหนว่าไปทำบุญ แล้วทำไมถึงยังได้เจอผีอยู่อีกล่ะ?”

         “นั่นสิ รักสงสัยว่าจะบุญเยอะไปหน่อย เขาเลยมาขอแบ่งส่วนบุญเข้า”

         คุณชายสิตาตีไหล่เพื่อน ดัง‘ป้าบ’ แรงไม่แรงถามใจสิตาดูได้ว่าหมั่นไส้เพื่อนรักมากแค่ไหน

         “ยังจะทำมาเป็นพูดเล่นอีก เดี๋ยวเถอะ ระวังเขาจะมาให้เห็นอีกนะ”

         “ไม่ๆ ไม่เอาแล้วนะสิตา”ลักษมัณโอดครวญจับมือของเพื่อนยกออกจากศีรษะ คิ้วขมวดยุ่งเหยิง“ขืนเจออีก รักรับรองได้เลยว่าจะต้องเป็นลมล้มลงไปกองกับพื้นมันเสียบัดเดี๋ยวนั้นแน่นอน ไม่แน่นะ ตื่นมาอีกทีรักอาจกลายเป็นบ้าไปเลยก็ได้”

         “ยู้ฮู~ น้องรักของพี่ลม~”ยังไม่ทันอ้อนสิตาให้ครบกระบวนการ

         ไอ้ลิงลม ตัวขัดบรรยากาศทิ้งก้นนั่งตุบคว้าคอเพื่อนรักหมับ แลรักใคร่สนิทสนมกันมาก

         “หวัดดีครับคุณชาย”

         สิตาที่ยังงงๆพยักหน้ารับ ก่อนจะยิ้มหวานรับเพื่อนใหม่อย่างเป็นมิตร“สวัสดีครับ เอ่อ...นาย?”

         “ลูกลมจ้า อูยย”อ้าปากจ้ากว้างไปหน่อย สุดท้ายเลยกระทบกระเทือนแผลใหม่ที่เริ่มเก่า ม่วงช้ำผสมเขียวเชียว แถมยังดูบวมขึ้นกว่าเดิมอีก

         “ไอ้ลิง มึงไปทำอะไรกับหน้ามาหรือเปล่า ตอนแรกไม่บวมเท่านี้นี่ หรือว่าไปหาเรื่องพี่กรรณเขาอีก”

         “พอๆ เปล่าเลยอย่าใส่ความ กูจะไปหาเรื่องมันทำไมวะ หน้าไม่เจอน่ะดีแล้ว เอ๊ะ มึงไม่ต้องพูดถึงมันเลยนะไอ้รัก เดี๋ยวแม่งก็โผล่หัวมาหรอก”พูดไปทำหน้าหวาดระแวงไป ..

         แล้วจะระแวงทำไมล่ะนั่น

         “ลูกลมเอาไปประคบแก้มก่อนไหม ท่าทางดูแย่กว่ารักเยอะเลย”สิตาคนดีของเพื่อนรักส่งผ้าห่อน้ำแข็งซึ่งเตรียมไว้ประกบตาเพื่อนรักในคราแรกแต่ยังไม่ทันได้ประกบให้ไอ้ลิงลมไป ที่ก็แทบจะคว้าหมับเข้าที่มือน้อยๆทันทีทันใด

         “ขอบใจนะจ๊ะสิตา แหม~ โชคดีจริงๆที่สิตาเกิดเป็นผู้ชายแบบนี้”

         จับแยกแทบไม่ทัน

         “เกินไปละครับคุณลูกลม ว่าแต่ว่า สรุปแล้วเอาหน้าไปทำอะไรมา?”

         “ก็ไอ้คาปูชิโน่น่ะสิ แสบนักทำกูได้ลงคอ.. อ้อ ที่บ้านกูเลี้ยงไว้เอง ลิงยี่ห้อคาปูชิน ลิงที่เป็นลิงจริงๆน่ะครับน้องรัก กูกลับถึงบ้านยังไม่ทันยกมือไหว้แม่งตบผัวะเข้าให้ เต็มหน้ากูเลย ข้างที่เจ็บอยู่นี่ล่ะ เห็นมือเล็กๆงั้นนะมึง อูยย เนี้ย กูยังระบมไม่หายเลย”

         ลิงยี่ห้อ?

         หันมองหน้ากับสิตา ถามผ่านสายตาว่าสิตาเข้าใจมันไหม คุณชายคนดีส่ายหน้าพลางอมยิ้มกลั้นขำ สงสัยจะฮาหน้าไอ้ลิงลมตอนพูด แต่ส่วนมากน่าจะมาจากคำพูดกำกวมของมันมากกว่า อืม ก็จริง ลักษมัณเองก็ขำ แต่ขำแบบไม่กลั้นไม่เบรกไว้เหมือนคุณชายสิตา

         “ฮ่าๆ กูเพิ่งรู้นะว่ามึงเคารพลิงถึงขนาดกลับถึงบ้านแล้วยกมือไหว้”

         ลิงลมเบิกตากว้างทันใด “เฮ้ย ไม่ใช่ กูหมายถึงไหว้พ่อไหว้แม่เว้ย...เดี๋ยวนะ ไอ้รัก มึงนี่!”เมื่อรู้ว่าถูกแหย่ สองมือตะปบแก้มเพื่อนรักทั้งสองข้างเข้าให้“ปากแบบนี้ เดี๋ยวพี่ลมจับจูบเสียเลยดีมั้ย หืมๆ”

         ตะปบไม่พอนวยแก้มลักษมัณเล่นอีก

         “ไอ้ลิง ปล่อย”โดนเพื่อนขยี้แก้มเสียจนเริ่มปวดกราม ลักษมัณดิ้นแต่ไม่รู้ไอ้ลิงลมไปเอาเรี่ยวเอาแรงมาจากไหน สะบัดให้หลุดพ้นช่างยากเหลือแสน ส่วนสิตานั้นไซร้ กลั้นขำไม่ไหว กุมท้องหัวเราะหน้าดำหน้าแดงใหญ่แล้วนั่น

         ไหนกันภาพพจน์ที่คุณชายอุตสาห์กลั้นไว้ไม่ให้หลุด?

         หากจู่ๆไอ้ลิงลมก็ชะงักกึกไป ไถก้นออกห่าง ที่ถ้ามันมีขนคงเห็นตั้งขนชี้โด่เด่ประกอบไปด้วยแล้ว

         “น้องรักครับ”

         ผู้มีปฏิกิริยาหาใช่ผู้ถูกเรียกอย่างลักษมัณ ลูกลมหันขวับไปทางทิศทางของเสียง หน้าบวมช้ำเบ้จนดูบู้บี้แทบทันที มือยกกอดอก ขายกขึ้นวางบนเก้าอี้หนึ่งข้าง เต๊ะท่าเป็นลิงอันธพาลครองโต๊ะเต็มที่

         “มาไมวะ”

         ลักษมัณถอนหายใจ หวังว่า‘ภาคต่อ’ที่ได้เคยนึกเล่นๆไว้ จะไม่มาเกิดขึ้นเอาตอนนี้หรอกนะ

         “สวัสดีครับพี่กรรณ”กระพุ่มมือไหว้ ไม่ลืมหันไปทางสิตา แนะนำให้ได้รู้จัก“สิตานี่พี่กรรณ พี่เขาเป็น... เป็นรุ่นพี่ต่างคณะของไอ้ลูกลมมันน่ะ”

         “ไอ้รัก! มันไม่ใช่...”

         “ส่วนพี่กรรณครับ นี่คุณชายสิตา เป็นเพื่อนสนิทของผมเอง”

         อัยการในชุดนักศึกษาแขนยาวสีขาวผูกเนคไทตามกฎระเบียบมหาลัยเป๊ะทุกประการ ยกมือรับไหว้พลางยิ้มสุภาพ แต่รอยยิ้มดูจะเทไปให้ทางลักษมัณมากกว่าคนอื่นเล็กน้อย ลูกลมที่สังเกตด้วยความหมั่นไส้มาตลอด หน้าเบ้ยู่หนักกว่าเก่า อ้าปากกะจะแขวะสักคำสองคำตามประสา

         แต่กลับต้องงับปากลงฉับทันใดเมื่อหน้าของพี่ชายลอยวับเข้ามา เลยหันหน้าเอาตาไปมองทางอื่นเพื่อตัดปัญหาเสีย
แต่ดูเหมือนว่าคนที่แสนเหม็นน้ำหน้าจะไม่ได้มีธุระกับลักษมัณ แม้จะทักน้องรักก่อนใครก็ตาม

         “น้องลูกลม”รู้นะว่ากัดฟันเรียกว่า‘น้อง’ สันกรามขึ้นนูนขนาดนั้น อ้าว ไม่มองมันสิวะไอ้ลูกลม! หันหน้ากลับไปทางเดิมจนคอแทบเคล็ด

         “นามบัตรของอู่ซ่อมที่ให้มา เป็นนามบัตรเก่าหรือเปล่า เพราะผมโทรไปไม่ติดเลย”

         “ไม่รู้ ก็มีแค่อันนั้น”

         หางคิ้วเข้มกระตุกน้อยๆเมื่อได้รับคำตอบบอกปัดแบบคนไร้ความรับผิดชอบเหมือนอย่างเคย และคนประเภทนี้อัยการนั้นแสนจะเกลียดเข้าไส้

         “เห็นพี่ชายน้องลูกลมบอกว่าที่บ้านสนิทกันกับเจ้าของอู่ไม่ใช่หรือ? ถ้ามีเบอร์ใหม่ล่ะก็ ผมขอหน่อย”

         “น้องลูกลมงั้น น้องลูกลมงี้ อึ๋ย! ขนลุกจริงโว้ย”

         ลักษมัณยิ้มแหยเมื่ออัยการหันมามองหน้าเขาราวกับจะขอความช่วยเหลือ เลยจัดการตบผัวะเข้าที่กลางหลังไอ้เพื่อนจ๋อเตือนสติให้เลิกรวนเสียที ส่วนคุณชายสิตาเพราะไม่ได้รู้เรื่องราววางหมัดซัดกัน(จนเกือบจะเข้า)นัว เลือกที่จะนั่งก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถือ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่คนเดียวไม่รู้ว่าแชทคุยกับใครกันล่ะหนอ

         จะว่าไปก็

         ลักษมัณเริ่มเข้าสังคมก้มหน้าบ้าง ปล่อยให้คู่กรณีเขาเคลียร์กันไป เห็นท่าไม่ดีค่อยลั่นกระดิ่งหมดยก ไม่สิ หมายถึงค่อยเข้าห้ามก็แล้วกัน

         ทศพักตร์(ส่วนตัว) :
         ...ฝากขยลไปกล่อมขวัญ...
         ...จงหลับฝันไร้ภัยพาน...
         ...ฝากวาตบรรเลงขาน...
         ...ยามนิทรากาลจงฝันดี...

         เห็นเวลาส่งแล้วให้นึกตกใจ ก่อนตีสามเพียงห้านาที ไม่รู้ว่าตอนนั้นพี่ทศกำลังทำอะไรอยู่ หากว่ากันตามจริงแล้ว หลังเที่ยงคืนควรเป็นเวลาพักผ่อนมากกว่าไม่ใช่หรือ? หรือจะมีงานด่วนเข้ามากันเล่านั่น นึกๆไปแล้วหากเป็นแบบนั้นจริงๆก็น่าสงสารพี่ทศอยู่เหมือนกัน แม้จะไม่รู้ว่าพี่ทศทำงานอะไรในส่วนด้านไหนของตำแหน่งงานก็ตาม

         ท้าวคางเคาะนิ้วชี้กับโต๊ะพลางคิด จะตอบพี่ทศไปว่าอย่างไรดี

         ไม่นานมุมปากยกยิ้มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

         “เอ๊ะ! ก็บอกแล้วไงวะว่าไม่รู้ ไม่รู้เบอร์ ถ้าอยากรู้ก็เอาชื่ออู่ซ่อมไปเสิร์ชหาเอาในเน็ตเองก็ได้ไหมวะ”

         ยิ้มที่ระบายเต็มวงหน้าของลักษมัณหลังกดส่งข้อความ... พลันจางหายไปทันที

         “อ้าว พูดงี้ก็สวยสิไอ้น้องลูกลม ผมถามคุณดีๆหรือเปล่า ถามดีๆก็ควรตอบให้มันดีๆหน่อยสิ”

         เงยหน้าขึ้นจากหน้าจอมือถือ เห็นสิตาที่ก็ละสายตาจากจอแล้วเช่นกัน คุณชายตัวน้อยมองคนซ้ายทีคนขวาที สีหน้าเริ่มซีดลงเรื่อยๆ

         “แล้วกูตอบไม่ดีตรงไหนล่ะ? นี่หาเรื่องกันช้ะ เอาใช่ป่ะ มึงจะเอาใช่ป่ะ หะ ไอ้หู!”

         ลักษมัณหลับตา

         “ไอ้หู? นี่ ผมเป็นรุ่นพี่คุณนะไอ้น้องลูกลม เคารพรุ่นพี่บ้างสิ”

         สูดลมหายใจ

         “มึงอยู่คณะอะไร กูอยู่คณะอะไร ทำไมจะต้อง...”

         “โว้ย! จะเถียงให้คอแตกตายกันไปข้างเลยหรือไง พี่กรรณผมปวดหูมาก ขอตัวก่อนนะครับ ส่วนไอ้ลิงลม ..กู-รำ-คาญ-ขึ้น-เรียน-ดี-กว่า-เว้ย!”

         รวบหยิบหนังสือเรียนทั้งของตัวเองและของคุณชาย ก่อนลุกขึ้นยืนคว้าแขนสิตาพาแล้วพากันเดินจ้ำขึ้นตึกเรียนไปไม่สนใจเสียงรั้งเรียกของทั้งสองคู่กรณีอีก




         หลังประชุมเสร็จ ฝ่ายประธานอย่างทศพักตร์ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวกลางของโต๊ะรูปตัวยูเช่นเดิม ในขณะที่ผู้ถือหุ้นคนอื่นต่างทยอยกันออกจากห้องประชุมไปหมดแล้วเรียบร้อย มือขวายกขึ้นนวดขมับก่อนจะชะงักเมื่อยินเสียงเดินเข้ามาใกล้

         “บอสครับ”เปาวนายื่นส่งโทรศัพท์มือถือให้กับผู้เป็นนาย แล้วก้าวถอยไปยืนนิ่งอยู่ด้านหลัง

         ทศพักตร์รับโทรศัพท์ที่หน้าจอสว่างวาบขึ้นมาอย่างได้จังหวะ สื่อให้รู้ว่ามีข้อความเข้า และเขาหวังว่าจะเป็นคนที่กำลังคิดถึง ..คิดถึงอยู่ตลอดเวลา

         ลักษมัณเจ้าพ่อโรงงานยาคูลท์ :
         ...ฝากอักษรนี้ช่วยบอกกล่าว...
         ...อย่าลืมทานข้าวนะเป็นห่วง...
         ...หากทำงานอยู่แล้วพี่รู้สึกง่วง...
         ...ขอให้อ้าปากหาวแล้วนอนหลับไปเอย...

         “หึหึ”

         แม้ปากไม่ได้แย้มกว้างแต่ก็เป็นการขำที่สุดจะขำเมื่อได้อ่านข้อความของคนที่รอคอยจนจบความ

         เจ้าลักษมณ์หนอเจ้าลักษมณ์ ทำงานอยู่แล้วจะให้พี่นอนไปเลยได้อย่างไรกัน?

         ทศพักตร์ส่ายหน้าน้อยๆหากมุมปากกลับประดับคงไว้ซึ่งรอยยิ้มอย่างยากที่จะได้พบเห็นบ่อยๆ ความอยากเจอเจ้าลักษมณ์ของเขานั้นยิ่งเท่าทบทวี

         ดวงตาคมหลุบปิดสนิทลง ฝ่ายเปาวนานั้นรู้ซึ่งหน้าที่ของตนโดยทันที เดินเบาเท้าไปปิดล็อคประตูห้องประชุมไว้ แม้ทุกคนต่างรู้ว่าผู้นำราพณายังคงอยู่ในห้องแห่งนี้ หากก็ไม่อาจประมาทเลินเล่อด้วยหมายถึงความปลอดภัยของผู้เป็นนายเหนือแห่งมัน

         ยามนายถอดดวงจิต ไม่อาจปล่อยให้มีสิ่งใดต้องระคายต่อกายหยาบได้แม้นเพียงเล็กน้อย

         ฟากทศพักตร์นั้นเดินวนเวียนอยู่ในม่านหมอกสีขาว ไม่นานภาพเบื้องหน้าก็ให้ปรากฏเป็นห้องเรียนขนาดกว้างที่มีเก้าอี้แถวตั้งวางเรียงกันจนแน่นขนัด

         ไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามใด เขาก็หาผู้ที่แสนคะนึงเจอ

         ภายในห้องเรียนที่มีผู้คนอยู่นับร้อย ไม่มีผู้ใดรับรู้ถึงการมีอยู่ของดวงจิตแปลกปลอมนี้เลย… จวบจนเขาเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างเด็กหนุ่มร่างโปร่งที่นั่งหน้าเคร่งริมสุดโต๊ะ

         มุมโอษฐ์หยักยิ้มอ่อนโยนเป็นหนักหนา

         หัตถ์ปัดผ่านพวงแก้มใสผิวแผ่วราวภมรเย้าหยอกกลีบมาลีกระนั้น

         ฝีปากโน้มประทับลงข้างขมับตรึงดวงจิตนี้ให้สลักลึกลงในหทัย ...ที่ได้เต้นอยู่ในร่างกายของเจ้าลักษมณ์เสมอมา

         ละอองแสงสีทองเจือมรกตวาบขึ้นมาจากอกข้างซ้ายของร่างที่ยังคงนั่งเรียนมิได้รู้เรื่องราวใด ก่อนจะหายไปโดยไม่มีผู้ใดพิศเห็นนอกเสียจากผู้เป็น‘เจ้าของ’


         ดวงฤทัยแห่งพญายักษาที่เคยถูกบีบขยี้จนแทบแหลกลานไป …เมื่อภพกาลก่อนนั่น


---------
โปรดติดตามตอนต่อไป
---------


ทีนี้ก็เท่ากันกับที่ดดแล้วค่ะ ดังนั้นแล้วระยะเวลาอัพก็จะเท่ากันด้วย
แล้วเจอกันตอนต่อไปนะคะ
 :z3: :z13:
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๑๔+๑๕ (๐๔/๐๓) หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 04-03-2019 15:57:07
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๑๔+๑๕ (๐๔/๐๓) หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 04-03-2019 16:43:57
 :hao7: เป็นรักที่มั่นคงและดีงามมากกกก  :hao7: ขอให้สมหวังนะค่ะ no drama นะค่ะ please สงสารคุณทศกัณฐ์ (และสงสารตัวเองที่ใจบางมากๆๆ)  :ling3:   o13
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๑๔+๑๕ (๐๔/๐๓) หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: four4 ที่ 04-03-2019 19:52:28
ดีใจมากเลยครับที่มารีไรท์ใหม่ ติดตามครับชอบเรื่องนี้มาก  #ทีมพี่ทศ
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๑๔+๑๕ (๐๔/๐๓) หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 04-03-2019 20:01:11
พี่ทศ เก็บว่าที่เมียให้ดีๆ หน่อย ปล่อยออกมาเพ่นพล่านได้ไง  o18
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๑๖ (๐๗/๐๓) หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: ShinrinYoku ที่ 07-03-2019 21:11:27
        ตอนที่ ๑๖

        “เด็กเวรอะไรจะกวนตีนกันได้ขนาดนี้วะ”

        “อาฮะ”

        “อย่างน้อยก็รุ่นพี่แม้จะไม่ใช่รุ่นพี่ในคณะมัน กูไม่ได้จะข่มกันเรื่องอายุด้วย แต่แม่ง…ไม่มีความเกรงอกเกรงใจสักนิด กวนตีนจนกูนี่อยากไปซื้อโล่ทองคำแถวสำเพ็งให้เลย”

        “อาฮะ”

        “สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรกลับมา บงเบอร์อู่ซ่อมรถก็ไม่ได้เพราะแม่งกวนตีนแจ้นหนีขึ้นไปเรียนซะก่อน จะตามไปแม่งก็ไม่ใช่เรื่องอีก”

        “อาฮะ”

        “มึงพูดเป็นอยู่คำเดียวหรือไงวะไอ้เมฆ”

        คนถูกพาลใส่หยุดเดินก่อนจะหัวเราะ ขำเพื่อนหนักเสียจนต้องยกมือกุมท้องตัวงอ เลิกหัวเราะไม่ได้จริงๆ ...ในขณะที่อัยการเมื่อเห็นอาการนั้นของเมฆนาทก็ให้นึกหงุดหงิดหนักขึ้นกว่าเดิม ทว่ายังไม่ทันได้ด่าให้หยุดหัวเราะอีกฝ่ายก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน

        “เพิ่งเคยเห็นมึงเป็นแบบนี้”

        “เป็นแบบไหน?”คิ้วเข้มขมวด ส่วนเมฆนาทแม้จะหยุดหัวเราะแล้วแต่ยังมีประกายล้อเลียนอยู่ในแววตา ..พาให้อัยการใคร่อยากยกถังขยะตรงมุมนั่นทุ่มใส่เพื่อนนัก

        “ไม่รู้ตัวเลยเหรอไอ้กรรณว่ามึงหลุดมาดมาก ที่สำคัญเลยนะ…เด็กนั่นคือคนที่ทำให้มึงหลุด ขนาดที่แม้แต่ตัวมึงเองยังไม่รู้ตัว”

        อัยการชะงัก คิดตามก็ให้จริงดังเพื่อนว่า ปกติเขาค่อนข้างใจเย็น ติดจะขรึมนิดๆเสียด้วยซ้ำจนพาให้ใครหลายคนที่ไม่รู้จักกล่าวว่าเขานั้นขี้เก๊กเหลือแสน ไม่เคยใจร้อนหรือฉุนเฉียวมากเสียจนต้องมาระบายให้เพื่อนฟังแบบนี้มาก่อน ...ยกมือขึ้นลูบหน้าก่อนถอนหายใจออกมาหนักๆออกมาหนึ่งที

        หากเมื่อลดมือลงอัยการคนเดิมจึงกลับมาประทับองค์อีกครั้ง

        “กูไม่ชอบเด็กลูกลมนั่น นอกจากจะไร้ความรับผิดชอบแล้วยังไม่รู้จักโต ไม่มีเหตุผล เท่าที่จำได้กูไม่เคยทำอะไรไม่ดีกับมันเลยนะ เพิ่งได้เจอได้รู้จักด้วยซ้ำ แต่แม่ง…ทำเหมือนว่ากูเคยไปเหยียบหางมันมาก่อนอย่างนั้น”

        “ก็ไม่แน่นะครับท่านอัยการ บางทีชาติก่อนมึงกับเด็กลูกลมอะไรนั่นอาจจะเคยเจอะเคยเจอกันมาก่อนก็ได้ อาจจะเคยผูกกรรมกันมาจนทำให้ชาตินี้ต้องมาเจอมามีกรรมร่วมกันอีกอะไรแบบนั้น”

        อัยการไม่แคล้วหันมองแรงใส่เพื่อนทันที

        “ไร้สาระ”

        เมฆนาทจิ๊ปากเบาๆ ทำเสียงกวนหูเพื่อนไปอย่างนั้น ก่อนจะแสร้งไอกลบเกลื่อนเมื่อแววตาของอัยการเริ่มดุดันเอาเรื่องจนไม่กล้าคิดแหย่ต่อ เลี่ยงยกแขนกอดคอพากันเดินืพลางพูดเปลี่ยนเรื่อง

        “มึงว่าเพื่อนของเด็กลูกลมคือเด็กที่เกือบถูกรถชนไปเมื่อวันก่อนหรือวะ?”

        “อือ”ทีงี้ล่ะทั้งเสียงทั้งสีหน้าละมุนมาเชียวไอ้ท่านอัยการเอ๊ย!

        “มึงสนใจผู้ชายตั้งแต่เมื่อไหร่?”ถามตรงๆแบบไม่มีอ้อมไม่มีค้อม รู้จักกันมาก็นานนม เมฆนาทล่ะไม่เค๊ยไม่เคยเห็นว่าเพื่อนของเขาคนนี้จะให้ความสนใจใครมากขนาดแสดงสีหน้าอ่อนโยนเยี่ยงอย่างตอนนี้มาก่อน

        ผู้หญิงไม่เคยกับผู้ชายยิ่งไม่ต้องพูดถึง

        หากไม่นับ‘ไอ้น้องลูกลม’นั่นด้วยน่ะนะ

        “นิดหน่อย แต่ถ้าเรียกให้ถูกต้องบอกว่ากูติดใจน้องเขามากกว่า”

        เมฆนาทเบิกตากว้าง ปากร้องว้าวแอคติ้งโอเว่อร์เกินหน้าเกินตาเสียจนน่ายันติดกำแพง

        “หยุดคิดสัปดนเลยนะไอ้เมฆ กูแค่รู้สึกคุ้นเคยกับน้องเขาเฉยๆ เหมือนว่า ...เคยรู้จัก ก็เลยรู้สึกติดใจเพราะกูมั่นใจเลยว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยเจอน้องเขาที่ไหนมาก่อนแน่ๆ”

        คราวนี้เมฆนาทเงียบ ด้วยเคยตกอยู่ในห้วงความรู้สึกเดียวกันกับเพื่อน คุ้นเคยกับบางคนทั้งที่มั่นใจว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อนไม่ว่าจะคุ้ยความทรงจำหาอย่างไรก็ตาม

        “แล้วสรุปโขนนี่มึงได้เล่นเป็นอะไรกันแน่วะ?”

        อัยการเปลี่ยนเรื่องทันทีเมื่อพากันเดินมาถึงโรงละครในคณะนิเทศฯ อันเป็นสถานที่ที่ใช้สำหรับซ้อมการแสดงครั้งใหญ่ที่จะถูกจัดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าซึ่งจะตรงกับอาทิตย์หลังสอบมิดเทอมภาคเรียนหนึ่งของมหาวิทยาลัยพอดี

        กำหนดเวลาเดิมไม่เปลี่ยนแปลงแม้ว่านักแสดงหลักจะถูกเปลี่ยนตัวอย่างกะทันหันก็ตาม โชคดีนักที่ยังซ้อมร่วมไปได้ไม่เยอะ และก็เปลี่ยนตัวเพียงนักแสดงหลักเท่านั้น ฉะนั้นจึงไม่ได้ส่งผลกระทบไปถึงพวกนักแสดงรองไปยันนักแสดงบทเสริมต่างๆ
แต่ไม่ว่าอย่างไรความกดดันอย่างหนักในการซ้อมนั้น ได้ถูกทุ่มไปยังนักแสดงหลักซึ่งถูกสลับบทบาททั้งหมด

        ไม่แตกต่างไปจากดาบสองคม

        จะอยู่หรือรอดก็ขึ้นอยู่กับนักแสดงชุดนี้นี่ล่ะ

        ไม่ใช่ความท้าทาย ไม่แม้จะเทียบเคียงสักนิด หากเป็นความเห็นแก่ได้เห็นแก่ประโยชน์ของพวกผู้ใหญ่ล้วนๆ แต่ผู้รับเคราะห์กลับเป็นเด็กนักศึกษาเสียอย่างนั้น

        เมฆนาทถอนหายใจก่อนหันไปเอ่ยตอบเพื่อนหลังจากปิดล็อคล็อคเกอร์ส่วนตัวที่มีชื่อเขาแปะอยู่เรียบร้อย ซึ่งใช้ไว้สำหรับเก็บของ

        “ทศกัณฐ์”

        “เหมือนจะสมใจ?”อัยการจำได้คับคล้ายคับคลาว่าในตอนแรกเพื่อนของเขาถูกวางตัวไว้ในบทของพระราม กลับมาบ่นขรมให้เขาฟังยกใหญ่ว่าไม่ชอบ เป็นฝ่ายคนดีไม่เห็นว่าจะสนุกตรงไหน

        บทพระเอกเมฆนาทไม่อยากได้ทั้งที่คนอื่นล้วนจ้องกันตาเป็นมัน ที่ไม่อยากได้เหตุเพราะเจ้ามักเข้าถึงบทได้ยาก อัยการนึกๆดูจากการแสดงละครเวทีหรือพวกโปรเจคยิบย่อยที่ได้รับจากอาจารย์ประจำวิชามาเพื่อกับแลกคะแนนสอบแล้ว หากต้องแสดงเมฆนาทจะเลือกบทตัวร้ายทุกครั้ง ทั้งยังแสดงได้ดีเสียจนพาให้เขาที่นั่งดูเป็นเพื่อนมันหลังจากถ่ายทำรวมถึงตัดต่อเสร็จสิ้นกระบวน นึกหมั่นขี้หน้าเพื่อนไปหลายนาทีเลยทีเดียว

        เพราะถ้าให้ร้ายมันก็ร้ายได้ถึงแก่นจนน่ากระทืบ

        มาครานี้งานแสดงใหญ่ อีกทั้งยังเป็นการแสดงที่ต้องใช้ทักษะที่ไม่ใช่ใครจะฝึกแล้วเป็นกันได้ง่ายๆ อย่าง‘การแสดงโขน’นี้ เพราะว่าการแสดงประเภทนี้นั้นไม่เหมือนกับการแสดงละครเวทีหรือเล่นเอ็มวีเหมือนอย่างที่ผ่านๆมา อารมณ์ที่จะต้องดึงออกมาในการแสดงยิ่งทวีความยากเข้าไปอีกเรียกได้ว่าเป็นเท่าตัวก็ว่าได้ หรืออาจจะสองสามเท่าตัวด้วยซ้ำ

        จะช่วยเสริมหรือช่วยดร็อปก็ขึ้นอยู่กับว่าบทที่ได้รับจะตรงตามความถนัดของนักแสดงแค่ไหน

        ทศกัณฐ์งั้นหรือ?

        อัยการหันไปมองเพื่อนที่แอบเห็นมันยกมุมปากยิ้มแวบๆ หากเพียงไม่กี่วินาทีภาพก็ตัดเปลี่ยนเป็นใบหน้าเซ็งๆติดไปทางเหนื่อยหน่าย

        “ที่กูอยากได้และจะสมใจกูที่สุดคือบทว่าง แบบว่างไปเลยไม่ต้องให้กูเล่น ขี้เกียจชิบหายนี่ยังไม่ทันพ้นเดือนแรกของภาคเรียนไปเลยนะมึง อาจารย์โยนโปรเจคห่ามาให้อีกละ ไหนจะต้องมาซ้อมรำเพิ่มอีก”

        กลอกตาพลางถอดเสื้อเชิ้ตนักศึกษาออกแล้วเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดสีขาวแทน รวมถึงกางเกงสแลคที่ถูกผลัดเปลี่ยนเป็นโจงกระเบนสีแดงแบบยางยืดประยุกต์ นั่นคือสามารถสวมใส่ได้เลยเหมือนกางเกงตัวหนึ่งโดยไม่ต้องมานั่งจูงนั่งจับแบบโจงกระเบนฉบับดั้งเดิม

        เปลี่ยนมันตรงนั้นในห้องล็อคเกอร์ต่อหน้าเพื่อนนั่นล่ะ รู้เช่นเห็นชาติกันมาแต่ไหนแต่ไร หมดไปนานแล้วซึ่งยางอาย

        อัยการหัวเราะ ไอ้บ่นน่ะบ่นจริงนั่นล่ะ แต่คงไม่ได้จริงจังอะไรนักหรอก

        “เออ พูดถึงเรื่องซ้อมแล้ววันนี้กูอาจกลับมืด มึงจะเอากุญแจรถไปเลยหรือเปล่ากูจะได้หยิบให้”ที่ต้องหยิบให้เพราะตอนนี้สองเพื่อนซี้เปลี่ยนมือมาใช้รถของเมฆนาทแทน ส่วนน้องลี่ย์ลูกรักของอัยการนั้นส่งเข้าอู่ไปแล้วเมื่อวันก่อน

        แต่คนขับก็ยังคงเป็นอัยการอยู่ดี

        “ไม่ต้องเลยไอ้เมฆ จะกลับมืดมึงก็เอารถไปขับกลับเองเลย กูไม่ถ่อวนกลับมารับมึงที่มหาลัยหรอกนะ”

        เพราะอยู่หอเดียวกันเพียงแต่คนละห้องเท่านั้น หวงความเป็นส่วนตัวกันทั้งคู่ต่อให้จะสนิทกันขนาดไหนก็เถอะ จะไปจะมาหากเวลาเริ่มเวลาเลิกเรียนตรงกันก็ตูดแทบติดเหมือนมีอะไรดูดให้ต้องไปด้วยกันตลอด ตอนนี้ก็เหมือนกันหากเขาไม่มีเรียนต่อหลังจากนี้คงได้ถูกกักกันให้อยู่ดูมันซ้อมโดยไอ้เพื่อนไร้ความเกรงใจอีกเช่นเคย

        “มึงขับกลับไปนั่นแหละดีแล้ว กูขี้เกียจ เดี๋ยวนั่งแท็กซี่กลับหอก็ได้”พูดพลางโยนกุญแจรถให้เพื่อน อัยการทำหน้าหน่ายทันที

        “อะไรมึงจะขี้เกียจขนาดนั้นวะ”

        อัยการหัวเราะยกมือปัดๆอากาศ “เออหน่า กูสบายใจของกูแบบนี้”

        “โง่จะเสียค่าแท็กซี่ทั้งที่มีรถให้ขับ เรียกสบายใจไม่ถูก ต้องเรียกว่าควาย แต่จะเปรียบไปก็สงสารควายอีก”

        โดนมาหนึ่งดอกเล่นเอาจุกกับคำว่าควายแบบเน้นๆ แต่สุดท้าย...

        “งั้นเอางี้ เดี๋ยวกูมารับ จะเลิกซ้อมตอนไหนก็โทรมาบอกกูก่อนเลิกสักชั่วโมงแล้วกัน”

        ตัดความรำคาญใจ เมฆนาทไร้ความเกรงใจแต่อัยการไม่ใช่ เขาคงไม่กลับหอแต่จะแวะไปเดินห้างเล่นฆ่าเวลา ซื้อหนังสือเสริมกฎหมายเพิ่มสักเล่มสองเล่ม เช็คโปรแกรมหนังเมื่อวันก่อน ยังดีที่มีหนังภาคต่อซึ่งเขาตามอยู่เข้าโรงพอดี หนังจบคงใกล้ๆกับเวลาเลิกซ้อม ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวและ‘ควาย’อีกหนึ่งตัว

        เมฆนาทมองตามหลังเพื่อนก่อนแผ่นหลังกว้างจะหายไปหลังประตูปิด อดจุดยิ้ม‘สมใจ’ขึ้นมาไม่ได้

        เดินผิวปากอารมณ์ดีออกจากห้องล็อคเกอร์ที่อยู่หลังเวทีแสดง เดินเลาะอีกหน่อยก็มาถึงทางเชื่อมสู่หน้าเวทีซึ่งมีนักศึกษาต่างชั้นปีคนอื่นๆกำลังซ้อมอยู่

        “อ้าว เมฆ!”ธานินที่เห็นเมฆนาทเป็นคนแรกยกมือขึ้นโบกเรียก ยิ้มตาใสดูมีชีวิตชีวา…แบบสุดขีดไปหน่อย

        หากเมฆนาทไม่สนใจเดินเลี้ยวไปอีกทางเพื่อหาอาจารย์พงษ์ศักดาซึ่งเป็นหัวหน้าประจำภาควิชาศิลปะการแสดงผู้ฝึกสอนนาฏศิลป์โขนอันเป็นภาควิชาภาคบังคับที่นักศึกษาทุกคนของคณะนิเทศศาสตร์ต้องผ่านการลงเรียนวิชานี้ในชั้นปีที่ ๒

        และนอกจากอาจารย์พงษ์ศักดาแล้วยังมีอาจารย์ประจำภาคอีกประมาณ ๓ – ๔ ท่าน กระจัดกระจายกันไปฝึกซ้อมให้กับนักศึกษาตามบทบาทที่ได้รับอันแตกต่างกันไป

        ซึ่งจะแบ่งได้ ๔ จำพวกตามนี้ คือ ตัวพระ ตัวนาง ตัวยักษ์ และตัวลิง

        เมฆนาทเองเพิ่งเริ่มเรียนวิชานี้ได้แค่สองสัปดาห์ ทั้งยังไม่ทันได้ลงรายละเอียดมากสักเท่าไร ในขณะที่นักแสดงหลักคนอื่นๆล้วนเคยผ่านภาควิชานี้มาแล้วด้วยกันแทบทั้งสิ้นเนื่องจากบ้างอยู่ปี ๓ บ้างก็อยู่ปี ๔ กันแล้ว งานแสดงโขนครานี้จึงเปรียบเสมือนให้นักศึกษาได้นำวิชาความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาตลอดหนึ่งเทอมต่อยอดทักษะการแสดง ส่วนนักศึกษาชั้นปี ๒ เพียงหนึ่งเดียวที่ถูกรับเลือกให้ได้รับบทหลักทั้งยังเป็นบทหนักอย่างเมฆนาทนั้น จึงต้องถูกติวสูตรเข้มข้นจากอาจารย์พงษ์ศักดาผู้เป็นอาจารย์หัวหน้าภาคเป็นพิเศษ

        บท‘ทศกัณฐ์’นับว่ามีความพิเศษตรงที่หัดยากมากกว่าตัวละครอื่นๆเกือบเท่าตัว ซึ่งคนแสดงนั้นจะมีลักษณะคล้ายกับตัวพระ คือ มีใบหน้ารูปไข่ คมคาย ผึ่งผาย ในที่นี้รวมถึงกิริยาการเยื้องย่างเวลาออกท่ารำจะต้องสง่างามห้ามบิดงอโค้งตัวหมดเรี่ยวแรงเด็ดขาด

        และผู้รับบทเป็นทศกัณฐ์นั้นจำต้องมีความแข็งแรงตรงบริเวณช่วงขาเป็นอย่างมาก เนื่องจากในการแสดงจะต้องย่อเหลี่ยมรับการขึ้นลอยของตัวพระและตัวลิงให้ได้ อีกทั้งทศกัณฐ์ยังเป็นตัวละครที่มีลีลาท้วงท่าค่อนข้างเยอะ อาทิ ยามเกรี้ยวโกรธจะกระทืบเท้าตึงตังเสียงดังโครมคราม(ที่ต้องกระทืบจริงทำเสียงให้สนั่นหวั่นไหวจริงๆไร้ซึ่งแสตนอินใด) หรือแม้ยามสบายใจก็จะต้องนั่งกระดิกแขนกระดิกขา เต๊ะท่าให้ดูน่าหมั่นไส้จึงสมบท

        มีพรสวรรค์อย่างเดียวไม่ได้ จำต้องมีพรแสวงในการฝึกฝนลับคมฝีมือการแสดงอีกด้วย

        โชคดียิ่งนักที่เมฆนาทมีทักษะการแสดงโขนติดตัวมาตั้งแต่เด็กเนื่องจากถูกผู้เป็นตาจับเรียนราวกับรู้ล่วงหน้าว่าหลานชายจะมีโอกาสได้แสดงโขนกับใครเขาในอนาคต ครานี้สำหรับเมฆนาทแล้วจึงไม่นับว่าเป็นการเริ่มต้นจากศูนย์เลยเสียทีเดียว

        “สวัสดีครับอาจารย์”ยกมือไหว้ นอบน้อมด้วยเคารพนับถือ

        “พร้อมซ้อมไหมเมฆนาท?”อาจารย์พงษ์ศักดาเอ่ยถามลูกศิษย์ด้วยความเห็นใจ วันก่อนยังได้รับบทพระอยู่แท้ๆ นี่ต้องเปลี่ยนมารับบทยักษ์ อารมณ์รู้สึกนั้นแทบคนละขั้วกันเลยก็ว่าได้

        “ไม่พร้อมได้ไหมครับอาจารย์”

        อาจารย์พงษ์ศักดาหัวเราะจนหนวดสั้นมือตบไหล่กว้างของลูกศิษย์ปุๆ

        “เอาหน่า ครูสังเกตตั้งแต่ตอนได้เห็นเธอซ้อมวันแรกๆแล้ว เธอมีแววนะเมฆนาท สีหน้าท่าทางใช้ได้ แค่ต้องเกลาเพิ่มอีกสักหน่อย”

        ‘หน่อย’ของอาจารย์คงจะคนละหน่วยวัดกันกับ‘หน่อย’ของลูกศิษย์กระมัง

        “งั้นมาเริ่มกันเลยแล้วกัน จะได้ไม่เสียเวลา”

        “ครับ”

        ตลอดระยะเวลาของการฝึกซ้อมเมฆนาทไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าตน... กำลังตกอยู่ในสายตาหมายมาดร้ายของ‘ใครบางคน’




        ลักษมัณเกร็งมาก เกร็งขนาดที่ว่ารู้สึกเหมือนก้นกำลังจะเป็นตะคริวในอีกไม่ช้านาน และก็ดูเหมือนว่าทุกปฏิกิริยาของเขาจะตกอยู่ในสายตาของใครอีกคนตลอด

        “ไม่ถูกปากหรือ?”

        หม่อมเจ้าจักรกฤษณ์ทรงวางช้อนส้อมแล้วตรัสถามไถ่ แม้สีพักตร์จะแสดงถึงความเป็นห่วง หากโอษฐ์นั้นกลับอมยิ้มขำเมื่อเห็นคนถูกทักที่เอาแต่นั่งเขี่ยข้าวไปเขี่ยข้าวมาในจานของตัวเอง แต่ไม่ยอมตักกับกินคู่กันกับข้าวเสียทีสะดุ้งโหยง ตัวหรือก็นั่งเกร็งเสียจนดูแข็งเก้กังไปหมด

        “หามิได้ครับ เอ่อ ..จะมะค่ะ?”

        หากครานี้ไม่เพียงแต่อมยิ้มเท่านั้น ท่านชายรามกลับทรงหลุดสรวลออกมาเลยจนพาให้คนเกร็งด้วยทำอะไรไม่ถูก ตกใจหน้าตาเลิ่กลั่กเข้าไปใหญ่ ลักษมัณมองพระพักตร์อ่อนโยนซึ่งฉาบฉายไปด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล พลันให้รู้สึกเก้อเขินขึ้นมาอย่างไรไม่ทราบ ร้อนหน้าร้อนตัวจนต้องก้มลงมองจานข้าวและลายผ้าลูกไม้ปูโต๊ะแทน หลบสายพระเนตรที่ทอดมองมาอย่างพราวระยับคู่นั้นเสีย

        “ทำตัวตามสบายเถอะ พี่ไม่ได้เคร่งราชาศัพท์อะไรขนาดนั้น”ท่านชายตรัสด้วยสุรเสียงเจือหัวเราะน้อยๆ

        “ค ครับ”

        หากจะให้ย้อนความ คงต้องย้อนไปก่อนหน้านี้สักชั่วโมงเห็นจะได้

        หลังจากเรียนเสร็จ ด้วยมีเรียนเพียงคาบเดียว ลักษมัณจึงคิดว่าจะกลับบ้านไปนอนพักสักงีบด้วยรู้สึกง่วงหง่าวอย่างไรชอบกล ไม่รู้ว่าเพราะแอร์ในห้องเรียนนั้นเย็นสบายเกินไป หรือเพราะว่าช่วงนี้เขานอนไม่สนิทติดต่อกันหลายคืนเกินจนส่งผลต่อร่างกายในที่สุดกันแน่

        ทว่าแผนการนั้นเป็นอันต้องพับเก็บเมื่อลงมาจากตึกเรียนพร้อมกับสิตา ดันได้พบได้เจอกับผู้สูงศักดิ์อันมีสถานะเป็นพระญาติผู้พี่ของคุณชายเพื่อนสนิทเข้าเสียก่อน อีกฝ่ายคล้ายว่ารอมาได้สักพักแล้ว ยกมือขึ้นไหว้ยังไม่ได้ทันเอ่ยทักทาย องค์กลับเป็นฝ่ายตรัสถามคำถามที่พาให้ลักษมัณงวยงงขึ้นมาก่อน

        “คิดไว้หรือยังครับ ว่าจะทานอะไรกัน?”

        หากไม่เพราะท่านชายรามทรงทอดพระเนตรตรงมายังเขา ลักษมัณคงไม่เลิ่กลั่กจนต้องหันไปส่งสายตาไถ่ถามเพื่อนตัวเล็กที่ยืนยิ้มหวานอยู่เคียงข้าง

        คุณชายสิตารีบยกมือขึ้นคล้องเข้าที่แขนเพื่อนรักหมับ ...กะไม่ให้หลุดทันที

        “เราว่าจะบอกรักตั้งแต่ก่อนเรียนแล้ว แต่ดันลืมเอาเสียนี้ คือว่าพี่รามจะเลี้ยงข้าวเราสองคน แล้วรักก็ห้ามปฏิเสธด้วย ไม่งั้นนะเสียเครดิตเราแย่เลย”ดวงตากลมเป็นประกาย สองแก้มนวลขับสีแดงจางๆเมื่อพูดถึง‘พี่ราม’

        “แต่..”

        ลักษมัณอึกอัก ยิ่งเห็นพระพักตร์อ่อนโยนของท่านชายรามที่นิ่งฟังหาได้ตรัสแทรก…กระทั่งออร่าก็ยังเปล่งประกายกระแทกตาเสียจนพาให้กลายเป็นเป้าส่องเป้ามองของเหล่านักศึกษาที่เพิ่งเรียนเสร็จบ้างหรือมีเรียนต่อบ้างโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็ยิ่งยากหาคำมาปฏิเสธ โดยเฉพาะเมื่อหันกลับมามองคุณชายที่ยังคงกอดแขนสีหน้าอ้อน ให้ยิ่งจนคำพูดไปกันใหญ่

        “นะรัก”

        สุดท้ายลักษมัณก็ได้แต่ถอนหายใจ ...เคยขัดใจเพื่อนคนนี้เสียที่ไหน ใจอ่อนยวบตลอด

        “เห็นน้องสิตาบอกว่ารักชอบทานมัสมั่นไก่ใช่ไหม?”ทอดเนตรมองเพื่อนสนิทของน้องชายด้วยทรงเอ็นดู พลางเอื้อมหยิบจับช้อนกลางในถ้วยกับก่อนจะตักน่องไก่ในแกงมัสมั่นขึ้นวางลงบนจานข้าวของเด็กหนุ่ม ระหว่างตักไม่มีแม้แต่เสียงช้อนกระทบจานให้ดังระคายหูเลยแม้สักน้อย ในขณะที่คนมือหนักอย่างลักษมัณนั้นหนอ...

        “ขะ ขอบคุณครับ”

        กึก
        เก๊ง

        ไม่ว่าจะตอนตักหรือตอนวางช้อนก็ตาม บอกตามตรงเลยว่าลักษมัณเกร็งที่สุดแล้วจริงๆ เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยร่วมโต๊ะทานข้าวกับเชื้อพระวงศ์มาก่อนแม้สักกะครา บางทีหากมีสิตาอยู่ด้วยเขาอาจจะไม่รู้สึกเกร็งเท่านี้

        สิตาจ๋า ทำไมไปห้องน้ำนานนักนะ

        “เห็นแล้วก็พาให้นึกถึงกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานขึ้นมาได้บทหนึ่ง”ท่านชายรามทรงแย้มสรวลออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าที่ดูจะใคร่รู้ขึ้นมาของคนเด็กกว่า ความเกร็งเก้กังที่ทรงสังเกตุก็คล้ายจะอันตรธานไป

        ลักษมัณชอบทานมัสมั่น ท่านชายเองก็ทรงโปรดปรานด้วยเช่นกัน

        ปกติแล้วในช่วงเวลาเสวยนั้น ท่านชายจะไม่ทรงตรัสไปทานไป หนึ่งคือมารยาทที่พึงควรกระทำบนโต๊ะอาหาร สองเป็นคำสอนสั่งมาตั้งแต่เมื่อครั้งองค์ยังทรงเยาว์ชันษาจากในรั้ววัง แต่เพราะทรงไม่อยากทอดเนตรเห็นคนอ่อนวัยกว่านั่งเกร็งแข็งคล้ายไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่เช่นนั้นแม้กับข้าวกับปลาในภัตตาคารอาหารไทยชื่อดังแห่งนี้จะรสอร่อยถูกปากสักแค่ไหน อีกฝ่ายคงไม่เป็นอันลิ้มรส เพียงแค่ตักเข้าปากให้อิ่มไปเท่านั้น

        คงน่าเสียดาย เพราะท่านชายทรงตั้งพระทัยเลือกสรรค์ร้านมาก

        “มัสมั่นแกงแก้วตา                 หอมยี่หร่ารสร้อนแรง
        ชายใดได้กลืนแกง                   แรงอยากให้.... ใฝ่ฝันหา”

        “กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน ในพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่สองสินะครับ”คลายอาการตื่นเกร็งในทันใด ดวงตาเป็นประกายด้วยจำได้ แต่ท่านชายทรงจำได้แม่นกว่า ในขณะที่ลักษมัณเพียงคับคล้ายเท่านั้น แต่ท่านชายรามทรงมาเป็นกลอนเป็นยวงเชียว

        ท่านชายรามพยักพักตร์ ก่อนปลายดัชนีจะแตะลงบนขอบจานแบนผิวแปลกเพราะไม่ใช่จานกระเบื้องสีขาวอย่างจานอื่นๆ ผิวของจานคล้ายกับผิวครกที่มีอาหารอีกหนึ่งชนิดจัดวางอยู่เป็นชิ้น รูปร่างเป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส เครื่องที่ถูกผัดจนแห้งถูกห่ออยู่ในแพไข่ ทั้งหมด ๔ ชิ้น ๔ แพด้วยกัน ทางร้านจัดจานสวยงามเสียจนลักษมัณแทบไม่กล้าตักมากินให้เสียองค์ประกอบ

        ถ้าจำไม่ผิดล่ะก็นี่น่าจะเป็นอาหารไทยโบราณที่ชื่อว่า....

        “ล่าเตียงกุ้ง ความจริงแล้วของร้านนี้จะมีทั้งกุ้งและหมูผัดผสมกัน แต่น้องสิตาชอบทานกุ้งมากกว่า พี่เลยให้เชฟใส่แต่กุ้ง รักทานได้ไหม? หรือจะสั่งเพิ่มก็ได้นะครับ เผื่ออยากลองชิมรส”

        “ไม่เป็นไรครับท่านชาย ผมทานได้หมดครับ ไม่เป็นปัญหาเลยเพราะกระเพาะผมอึดมาก”กลัวท่านชายไม่เชื่อเลยยกนิ้วโป้งประกอบคำ

        หมดแล้วซึ่งความเกร็งในแรกเริ่ม

        “เรียกพี่ว่า‘พี่ราม’เหมือนที่น้องสิตาเรียกเถอะ เพื่อนของน้องชาย ก็เหมือนน้องชายของพี่อีกคน”ล่าเตียงกุ้งถูกตักใส่จานลักษมัณเพิ่มมาอีกหนึ่งอย่าง ในขณะที่มัสมั่นยังไม่ทันได้จัดการ หากมองกลับไปยังจานของท่านชายนั้น ข้าวยังคงข้าวจั๊วะอยู่เพราะว่ามีแต่ข้าวสวยร้อนๆ หาได้มีกับอื่นใดผสมผสานเหมือนอย่างจานของลักษมัณนี้

        เอื้อมขยับตักมัสมั่นให้โดยไม่ทันคิด

        “อย่างนั้นพี่รามก็ต้องทานเยอะๆด้วยนะครับ แบ่งแต่ความอ้วนมาให้ผมแต่จานตัวเองกลับว่างเปล่าซะอย่างงั้น”ยิ้มกว้างก่อนชะงักทั้งมือทั้งยิ้ม เมื่อเห็นสายพระเนตรอ่อนโยนที่ทรงพิศมองตรงมา

        รีบชักมือชักช้อนกลับมาวางบนจานตัวเองในทันใด ตายล่ะหว่า เผลอตัวไป นึกอยากตีปากตัวเองนัก อาการเกร็งพลันกลับมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แล้วเผลอพูดจาเล่นหางเล่นเศียรแบบนั้นไปได้ยังไงวะไอ้รัก!

        “เอ่อ ผม...”

        “ครับ พี่จะทานเยอะๆ”

        ฉับพลัน สมองของลักษมัณคล้ายกับมีไฟฟ้าแล่นแปลบปลาบเสียจนพาให้ปวดจี๊ดขึ้นมาเอาดื้อๆ เพียงแค่สบประสานเข้ากับพระเนตรสีราตรีกาลคู่นั้นของท่านชาย ความคุ้นเคยแล่นริ้วไปทุกอณูความรู้สึก เหตุการณ์เช่นนี้คับคล้ายว่าเคยผ่านมาแล้ว

        เขานั่งตรงนี้ แต่อีกฝ่ายหาได้นั่งตรงกันข้ามเฉกเช่นครานี้

        ไหล่เคียงกัน กายชิดใกล้
        “น้องลักษมณ์หากไม่มีเจ้า พี่จักทำเช่นไรเล่า?”
        “หากไม่มีน้อง เสด็จพี่รามก็จักยิ่งต้องเสวยให้มากเข้าสิพ่ะย่ะค่ะ จักได้ทรงมีพละกำลังตามหาน้องอย่างไร”
        “เพียงเจ้าไม่เข้าไปในพนาไพร ไม่ไปให้ไกลจากสายตาพี่ เท่านั้นเห็นจักเพียงพอแล้ว”


        วรกายสูงลุกขึ้นเอื้อมพระหัตถ์ทาบลงบนเนื้อแก้มของลักษมัณ พิศนัยน์ตาเหม่อลอยของคนเด็กกว่าพลางแย้มสรวลอ่อนโยนเหลือคณานับ พระเนตรดำสนิทลุ่มลึกยากจะพรรณนาซึ่งความนัยแฝงเร้น

        ลักษมัณขยับใบหน้าหลบพระหัตถ์ของฝ่ายตรงข้ามโดยไม่รู้ตัวพร้อมกับยกมือขึ้นกุมศีรษะ ดวงตาสับสน ความรู้สึกปนเปไม่อาจแยกแยะ

        ราวกับว่าเห็นภาพซ้อนทับเขากับท่านชายกระนั้น…

        ‘ภาพ’ของคนสองคนที่เขาแสนมั่นใจว่าไม่เคยรู้จักมาก่อน

        “น้องลักษมณ์…”

        “ขอโทษนะครับที่หายไปเสียนานเลย”

        ลักษมัณหลุดออกจากภวังค์ชวนสับสนแทบทันทีเมื่อยินเสียงอันคุ้นเคย ส่วนคุณชายสิตานั้นชะงักงันไป ดวงตากลมผินมองทางซ้ายที ทางขวาที เพียงเสี้ยวนาทีเท่านั้นก่อนใบหน้าติดหวานจะระบายยิ้มร่าเริงที่ดูฝืดฝืนกว่าปกติออกมา คุณชายสิตาทิ้งกายลงนั่งระหว่างท่านชายรามและลักษมัณด้วยเป็นโต๊ะทรงกลมที่ไม่ใหญ่มากนักเพราะมีกันแค่สามคน

        “พอดีท่านพ่อโทรมาน่ะครับ เลยแวะนั่งคุยกับท่านก่อนเข้ามา”ยิ้มบอกกล่าวกับเจ้ามือที่ไม่ได้มีสีพักตร์ผิดจากปกติแต่อย่างใด ก่อนทำตาโตมองอาหารบนโต๊ะ“อะ น่ากินจังครับ สิตาหิวมากกกกก”ลากเสียงยาวบอกให้ทุกคนรู้ว่าหิวมากจริงๆ

        คุณชายสิตาก้มหน้าตักล่าเตียงกุ้งของโปรดที่มีอยู่เพียงสองชิ้นในจาน ตาไม่รักดีดันเผลอไปมองอีกสองชิ้นซึ่งวางบนจานข้าวของผู้เป็นพระญาติผู้พี่กับเพื่อนสนิทคนละชิ้น รวมถึงแกงมัสมั่นอยู่เคียงล่าเตียงกุ้งอีกหนึ่งอย่าง กับข้าวจานโปรดของพี่ราม และก็เป็นของชอบของลักษมัณด้วยเช่นกัน

        จานสองจานราวกับฝาแฝดก็ไม่ปาน

        เลื่อนสายตามองวงพักตร์อ่อนโยน ก็ให้เห็นสายพระเนตรนั้นจับวางไว้ที่คนฝั่งตรงข้ามโต๊ะ จ้องมองรักอยู่อย่างนั้นไม่วางเนตร ทั้งที่เพื่อนตัวโย่งของเขาเอาแต่ก้มหน้า นานนับหลายนาทีถึงได้ยอมละสายตาหันกลับมามองกัน

        “ทานกันเถอะ เดี๋ยวอาหารจะเย็นชืดหมดอร่อยกันพอดี”

        นัยน์เนตรที่คล้ายจะเคลือบแฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง เป็นประกาย โชติช่วงยิ่งกว่าคราไหนที่ได้พิศมองสบ

        มือน้อยยกขึ้นกุมอกข้างซ้าย ไม่รู้เหตุใดจึงได้เจ็บปลาบขึ้นมา

        ทั้งที่ไม่มีอะไร มันไม่มีอะไร แต่... คุณชายสิตาเพิ่งเคยเห็นท่านชายรามทอดมองใครด้วยสายพระเนตรแบบนี้เป็นครั้งแรก


        แม้กระทั่งตัวคุณชายเองก็ตาม พี่รามไม่เคยมีสายเนตรเช่นนี้ให้แก่เขาเลยแม้สักครั้ง


---------
โปรดติดตามตอนต่อไป
---------

// หอมหัวคุณชายตัวน้อยของแม่
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๑๖ (๐๗/๐๓) หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 07-03-2019 22:45:32
ต้องเปลี่ยนแชมพูแล้วล่ะคุณชาย  หัวเริ่มเหม็นแล้ว  :hao4:
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๑๖ (๐๗/๐๓) หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: pan19891990 ที่ 07-03-2019 22:59:18
เพิ่งได้กลับมาตามอ่านค่ะ คิดถึงเรื่องนี้มาก
ยังยืนยันว่าทีมพี่ทศค่ะ !
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ :)
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๑๖ (๐๗/๐๓) หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: somberness ที่ 07-03-2019 23:47:35
เราชอบเรื่องนี้แต่จำชื่อตัวละครไม่ค่อยจะได้  :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๑๖ (๐๗/๐๓) หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: La Vida Sin Tu Amor ที่ 08-03-2019 00:32:28
ก่อนรีไรท์ว่าเยี่ยม อ่านสนุกแล้ว รีไรท์มายิ่งเลิศมากค่ะ สนุกจริงๆ
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๑๖ (๐๗/๐๓) หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 08-03-2019 11:19:15
 o13 :really2:
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๑๗ (๑๕/๐๓) หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: ShinrinYoku ที่ 15-03-2019 00:17:58
ตอนที่ ๑๗

ครูเอกอรุณให้นึกสงสัยว่าเหตุใดช่วงนี้คนบ้านเอกลักษมณ์ดนตรีศิลป์จึงได้คล้ายว่าจะมีดวงผูกกับคนใหญ่คนโตนัก รั้วประตูบ้านเรือนไทยแห่งนี้นั้นหนอแทบไม่แห้งเหือดกันเลยทีเดียว

มือโบกพัดงาช้างด้ามใหม่ที่ได้มาจากสำเภาเกลอเก่าคลายร้อน รายนั้นท่องทะเลเหนือใต้ออกจีนแทบไม่ว่างเว้น และคราวนี้ก็ไม่ได้มาส่งถึงมือด้วยตัวเองเหมือนกับเช่นทุกทีแต่ฝากบุรุษไปรษณีย์มาส่งให้แทน แถมจดหมายแนบในกล่องมาอีกหนึ่งฉบับว่าคราวหน้าจะหิ้วกู่เจิงมาให้ด้วยตัวเองแน่นอน สัญญาลูกผู้ชาย …ให้แล้วคืนคำบ่อยมากจนครูเอกอรุณคร้านจะใส่ใจ

ถึงอย่างไรก็เพื่อนเก่าที่คบกันมานานเกือบทั้งชีวิต ติดต่อมาบ้างให้คลายใจว่ายังอยู่ดีครูเอกอรุณก็โอเคแล้วล่ะ

มีเพื่อนดีสักคนได้ชีวิตนี้ก็แฮปปี้แล้วหนอ

ดวงตาจดๆจ้องๆไปยังลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่ก้มหน้าขีดเขียนการบ้านอยู่ถัดห่างไปไม่กี่วา เมื่อเย็นเห็นมีเพื่อนคุณชายนามสกุลดังใช่ย่อยซึ่งครูเอกอรุณก็เคยเห็นหน้าค่าตาหนหนึ่งแล้วมาส่ง ไม่พอยังพ่วงชายสูงศักดิ์หน้าตาหล่อเหลาแลดูสำอาดสำอางค์ที่ครูเอกอรุณยังไม่เคยเห็นมาด้วยอีกหนึ่ง

อื้อหือ ตอนได้ยินคำแนะนำตัวบอกเลยว่าพ่อจ๋าของไอ้รักนี่แทบวิ่งเข้าห้องนอนไปควานหาหนังสือรวมคำราชาศัพท์ทีเดียว

ในใจคือคิดเล่นใหญ่มากจริงๆ หากไม่เพราะถูกท่านชายสกัดด้วยความ‘กันเอง’เข้าเสียก่อน

“อาหารไทยของร้านนี้ต้นตำหรับสืบทอดมาจากวังแท้ๆ ผมเองมักจะแวะไปทานอยู่บ่อยๆ หวังว่าจะถูกปากคุณพ่อนะครับ”

ครูเอกอรุณไม่อาจเอื้อมรับคำเพรียกขานจากฝ่ายท่านชายได้ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธน้ำใจด้วยเช่นกัน สุดท้ายเลยได้แต่รับไมตรีไว้ เออออไปตามเรื่องราว ดีนักที่สองหม่อมไม่ได้รั้งอยู่นาน

คนน้องไม่เท่าไหร่ หน้าตาผ่องใสกิริยาเรียบร้อยน่าเอ็นดู

แต่คนพี่นั้นหนอ… ครูเอกอรุณวางตัวด้วยไม่ค่อยถูกเสียเท่าไร แม้อีกฝ่ายจะดูผ่อนคลายแลคล้ายว่าไม่ยึดถือยศยึดถือองค์ หากบรรยากาศที่รายล้อมนั้นก็ช่างสูงศักดิ์เสียจนยากเข้าถึงอย่างบอกไม่ถูก

“ไอ้รักเอ้ย”

“จ๋าพ่อ?”ลักษมัณละสายตาจากหนังสือและกระดาษเขียนรายงาน ขานรับพร้อมเงยขึ้นมองผู้เป็นบิดา เห็นพ่อจ๋าพับเก็บพัดแล้วตบๆลงบนพื้นไม้หน้าตั่งก็ให้รีบกระเถิบก้นเข้าหา

“เรียนเป็นยังไงบ้าง เหนื่อยมั้ย”ถามจบปุ๊บเจ้าลูกชายตัวดีก็ยิ้มหวานประจบขึ้นมาทันที มือยกขึ้นบีบๆนวดๆขาให้ปากก็เอ่ยตอบออกไป

“แค่พ่อจ๋าถามรักก็หายเหนื่อยแล้วล่ะจ้ะ”

“อุวะ ปากดีนักนะเอ็งนี่ แล้วคิดไว้หรือยัง หื้อ ว่าเรียนจบแล้วเอ็งจะไปทำงานทำการอะไร”ครูเอกอรุณยกพัดขึ้นเคาะศีรษะทุยไปหนึ่งทีด้วยหมั่นเขี้ยวลูกนักก่อนต่อประโยคด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิม“ถึงบ้านเราจะเปิดสอนดนตรีไทย แต่ไม่ได้หมายความว่าเรียนจบแล้วเอ็งจะต้องมาสานต่อจากพ่อ เข้าใจไหม”

ครูเอกอรุณไม่ได้คิดจะกะเกณฑ์ใดๆ แม้ว่าเจ้ารักมันจะเป็นลูกชายคนเดียวที่เขาทั้งรักทั้งห่วงแหนมากก็ตามที ส่วนลักษมัณนั้นเมื่อยินพ่อจ๋าเอ่ยเช่นนั้นก็ให้ชื้นอยู่ในใจ เอียงหัวทิ้งวางไว้บนหัวเข่าผู้เป็นบิดา ดวงตาหลับพริ้มเมื่อกลุ่มผมนุ่มถูกลูบเบาๆ

ยามเมื่อมารดาของเขาเสียหลังจากคลอดเขาออกมาได้ไม่นาน ก็มีมือคู่นี้ของพ่อจ๋านี่ล่ะที่คอยอุ้มชูและเลี้ยงดูเขามาด้วยตัวคนเดียวเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว ทั้งที่ไม่ได้มีฐานะอะไรมากมาย การจะเลี้ยงเด็กคนหนึ่งตั้งแต่แบเบาะจวบจนเติบใหญ่นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลยสักนิด

“พ่อจ๋ารักในการสอนดนตรีไทย รักเองก็รักในการสอนดนตรีไทยเหมือนกัน ถึงจะได้แค่ช่วยพ่อจ๋าสอนเด็กๆในวันหยุดเรียนเล็กๆน้อยๆ แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้รักรู้ว่าสิ่งที่รักต้องการทำจริงๆคืออะไร เพราะฉะนั้นพ่อจ๋าไม่ต้องเป็นห่วงเลยนะจ๊ะ”

ครูเอกอรุณได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเสียจนแก้มกระเพื่อม หากแววตาที่ลูกชายถอดออกมาเหมือนกันเด๊ะนั้นฉายประกายแห่งความสุขอกสุขใจเหลือแสน มือขยี้ผมลูกรักก่อนแกล้งดันศีรษะทุยออกจากเข่า

“เข้าใจพูดนะเอ็ง ไปๆ ไปทำการบ้านต่อ เสร็จแล้วจะได้มาสีขิมให้พ่อฟังสักเพลงสองเพลง”

“ขิมเขาเรียกตีไหมล่ะจ๊ะพ่อ แหม”

“ไม่ต้องแหม ข้าก็เอามาจากเอ็งนั่นล่ะ ฮ่าๆ”คราวนี้ไม่ใช่แค่แก้มที่กระเพื่อม ตายังยีปิดเสียจนมองไม่เห็นลูกกะตาแล้วนั่น

ลักษมัณหัวเราะตามพลางบีบขานวดให้พ่อจ๋า สักพักจึงค่อยกระเถิบก้นถอยกลับไปนั่งก้มหน้าก้มตาเขียนรายงานต่อ หากยังไม่วายอมยิ้มแก้มปริด้วยความสุขมันล้นปรี่ในใจไม่ต่างไปจากพ่อจ๋าเลยสักนิด

นึกขอบคุณอะไรก็ตามที่ให้เขาได้มาเกิดเป็นลักษมัณ เป็นลูกชายของพ่อจ๋าคนนี้





ท้ายที่สุดก็ไม่ได้สี เอ้ย ตีขิมให้พ่อจ๋าฟังเลยสักกะเพลงเพราะพ่อจ๋าทนง่วงไม่ไหว ทิ้งลูกรักเอาไว้กับหนังสือและกระดาษเขียนรายงาน จรลีเข้าห้องไปนอนก่อนแล้วนั่น แต่ก่อนไปมีทิ้งคำพูดไว้ว่าค่อยทบให้พ่อในวันหลัง

แน่ะยังมีคิดดอกกับลูกกับเต้า

ลักษมัณวางปากกาพลางบิดเอวหันซ้ายหันขวา ปากอ้าหาวด้วยก็เริ่มง่วงขึ้นมาบ้างแล้ว ไม่นึกว่าการเปิดหาคำตอบจากในหนังสือมาเรียงเขียนส่งอาจารย์จะใช้เวลานานขนาดนี้ เหลือบมองนาฬิกาข้างผนังก็ให้เห็นว่าเกือบห้าทุ่มแล้ว พรุ่งนี้มีเรียนเช้าเสียด้วยซี่…

ระหว่างบิดขี้เกียจเพราะเริ่มขี้เกียจเข้าแล้วจริงๆ หางตาก็หลุบลงมองเห็นการ์ดสีทองทำจากกระดาษขัดมันอย่างดีที่วางแซมกันกับกระดาษรายงาน หยิบขึ้นมาเปิดดูพร้อมกับนึกถึงใบหน้าของผู้เป็นเจ้าของยามที่ยื่นการ์ดเชิญฉบับนี้ให้กับเขาด้วยหัตถ์ขององค์เองก่อนจาก

“พี่หวังว่ารักจะมา”

“ตรัสชวนถึงขนาดนี้แล้ว ไม่ไปล่ะน่าเกลียดตายเลยไอ้รัก”พึมพำเสียงเบาพูดกับตัวเอง

อีกสองอาทิตย์ข้างหน้าจะเป็นวันคล้ายวันประสูติของท่านชายราม คุณชายสิตานั้นมีของขวัญแล้วเพราะไปซื้อเป็นเพื่อนมาเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ตัวลักษมัณเองยังไม่มี ด้วยไม่คาดว่าตัวเองจะต้องไป ตอนนั้นไม่ได้ถูกเชิญ แต่ตอนนี้ถูกเชิญแล้ว ...ด้วยองค์เองด้วย

เป็นเรื่องขบคิดที่ชวนให้สมองแตกมาก อย่าว่าแต่ของขวัญวันเกิดเลย ...ขนาดของขวัญจับฉลากช่วงปีใหม่ตอนมัธยมวัยใสเดินกระเต๊าะกระแต๊ะลักษมัณยังเคยมีปัญหาในการเลือกซื้อของมาแล้ว สุดท้ายเลยต้องให้พ่อจ๋าช่วยเลือกอีกแรง พ่อจ๋าจิ้มอันไหน ลักษมัณก็เอาอันนั้น แต่หนคราวนี้เห็นทีจะต้องเลือกเอง จิ้มเองเสียแล้ว

ให้อะไรเป็นของขวัญท่านชายเขาดีล่ะทีนี้?

สูดลมหายใจ กะจะถอนใจให้จมูกบานสักที หากกลับต้องชะงักเพราะกลิ่นหอมอ่อนพัดโชยผ่านหน้ามา …กลิ่นหอมของมะลิลาที่ลักษมัณจดจำได้ดี

“แปลกจัง”ทั้งที่นั่งอยู่กลางบ้านแท้ๆ กลับได้กลิ่นหอมจรุงชัดเจนราวกับนั่งอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้อย่างไรอย่างนั้น

ฉับพลันในอกนั้นคล้ายต้องถูกของร้อนนาบเข้า ให้ร้อนรุ่มไปหมด กระทั่งหัวใจยังเต้นถี่รัวไม่ปกติหากแต่ดวงตานั้นกลับปรือใกล้ปิดเต็มทีสวนทางกับปฏิกิริยาทางกายภาพโดยสิ้นเชิง

หากก่อนที่สติจะวูบหายไป

ลักษมัณคล้ายกับว่าพิศเห็นร่างหนึ่งร่างในชุดขาวล้วนยืนนิ่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะเขียนหนังสือ ดวงตาเรืองรองสีเขียวจับจ้องมายังเขาไม่วางตา

จากนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่อาจต้านทานความง่วงไหวอีกต่อไป ดวงตาปิดสนิทลงพร้อมกับกลิ่นมะลิซ้อนอันหอมจรุงที่อวลหมุนโอบล้อมรอบกาย…

-----

แสงสว่างเจิดจ้าต้องกระทบลงมาพาให้ดวงหน้าอ่อนเยาว์ยับยู่ด้วยนึกระคายยิ่ง ดวงตาที่ปิดสนิทพลันลืมเปิดขึ้นหากก็ไม่อาจสู้แสงสว่างนั้นไหว จำต้องยีตาลงพลางยกมือขึ้นเพื่อบดบังริ้นแสงบางส่วน กลิ่นอายธรรมชาติต้องถูกนาสิกพร้อมเสียงคล้ายน้ำตกยินเข้าโสตประสาทหู

เมื่อยันกายลุกขึ้นนั่ง ดวงตาปรับเข้ากับแสงสว่างได้ ลักษมัณเป็นพิศวงงงงวยขั้นหนัก ด้วยภาพบรรยากาศที่เห็นผ่านตาอยู่นี้หาใช่เรือนไทยเอกลักษมัณดนตรีศิลป์อย่างที่ควรเป็น

เบื้องหน้ากลับกลายเป็นพงไพรป่าใหญ่รายล้อมไปด้วยหมู่แมกไม้นานับพนาพันธ์ ส่วนขวามือเป็นลำธารน้ำใสแจ๋ว ที่ลักษมัณคิดว่าหากเขาได้ลองขยับพลิกตัวสักสองสามทีล่ะได้ทอดกายทิ้งดิ่งลงเป็นส่วนหนึ่งกับแพลงก์ตอนในน้ำเป็นแน่ ห่างออกไปไม่ไกลกันนักคือน้ำตกซึ่งไหลลงกระทบกับโขดหินน้อยใหญ่ให้ปรากฏละอองใสขนานไปกับรุ้งกินน้ำที่เห็นลำสีชัดเจนเสียจนน่าพิศวง
หากสิ่งที่เห็นอยู่นี้ถูกแทนที่ด้วยเพดานขาวกับเสาน้ำเกลือล่ะก็ เขาคงไม่ต้องเสียเวลาคาดเดาเหมือนอย่างในละครหลังข่าวเลยสักนิด

หันซ้ายมีแต่ไม้ใบ หันมองขวาก็เห็นแค่น้ำตกกับรุ้งกินน้ำ นอกจากตัวเขาแล้วก็ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตอื่นใดให้เห็นอีก แปลกนัก… ผืนป่าไม่น่าจะเงียบสงัดขนาดนี้

…ลักษมัณ

ลักษมัณสะดุ้งโหยงทันทีพลางหันขวับไปทางต้นเสียงก็ให้เห็นเป็นเส้นทางเล็กๆสายหนึ่งลัดเลาะตามโขดหินเล็กน้อย ซึ่งทอดยาวออกห่างจากจุดที่เขาอยู่ไปไม่ไกล ขยับเคลื่อนกายลุกขึ้นยืนพลางก้าวขาเดินไปตามทางสายนั้นโดยไม่รู้สึกตัว

คล้ายกับมีบางสิ่งกำลังรอคอยเขาอยู่ณ ปลายสายกระนั้น

…ลักษมัณ

มือซ้ายทาบลงบนโขดหินใหญ่เพื่อทรงตัว ขายกขึ้นเหยียบโขดหินน้อยเบื้องล่างอย่างระมัดระวัง ทุกย่างก้าวเป็นไปโดยไม่มีสะดุดหรือลดผ่อนความเร็วลงทั้งที่หนทางไม่ใช่ง่ายสำหรับผู้ไม่คุ้นชิน

ยิ่งใกล้ ก้อนเนื้อในอกยิ่งเต้นระรัว

ลักษมัณรู้จักเส้นทางนี้ดี รู้จัก…ราวกับเคยได้ใช้เวลาเดินผ่านนับสิบนับร้อยครั้ง

ฉับพลัน

ฟ่อ!

อย่าไปทางนั้น!

ขากำลังยกขึ้นเพื่อก้าวเดินกลับให้หยุดชะงักเมื่อแลเห็นบางสิ่ง‘เลื้อย’มาขวางปิดทางไว้ ทั้งที่ควรกลัวและถอยหนีให้ห่าง แต่ลักษมัณกลับเดินเข้าไปใกล้เจ้าสิ่งนั้นพลางย่อกายลงเพื่อสนทนา

“เหตุใดจึงได้มาขวางทางเรา เจ้างูน้อย”

ข้ามิใช่งู

“ไม่ใช่งูแล้วเป็นตัวอะไรกันเล่า?”


นั่นสิ ก็เห็นอยู่ชัดๆว่าตัวเป็นงูสีเขียวความยาวแทบเทียบเท่ากับครึ่งช่วงแขนของเขาด้วยซ้ำไป

…ลักษมัณชะงักความคิดลง สองตาเบิกโพลง อยากจะกระโจนไปอีกทางเสียด้วยซ้ำหากสิ่งที่เขาทำกลับผิดจากสิ่งที่คิด เมื่อมือขวาช้อน‘งู’ยกขึ้นให้ขนานกับหน้า บัดนั่นล่ะเด็กหนุ่มจึงได้เพิ่งสังเกตุเห็นว่าแขนของเขาราวกับไม่ใช่ของเขา เพราะนอกจากจะเล็กกว่าที่เคยเป็นแล้ว ทั้งสีผิวยังไม่ใช่ขาวเหลืองตามปกติของชาวเอเชียดังเช่นเคยอีก

องค์น้อยนี้ผิวพรรณสีเหลืองอ่อน      โอดองค์ทรงทรวงยั่วยวนเป็นหนักหนา
พิศผิวผ่องนวลลออรจนา         แสนสุดจักสิเน่หายิ่งผู้ใด

“มันกำลังบาดเจ็บอยู่มิใช่หรือ?”


ลักษมัณสะดุ้งในใจ ที่ว่าสะดุ้งในใจนั้นเป็นเพราะว่าปฏิกิริยาภายนอกที่สัมผัสได้กลับเป็นความนิ่งเฉยราวกับล่วงรู้กระนั้นว่านอกเหนือจากตนแล้วยังมีผู้อื่นอยู่อีก

“มันอ้างว่าตนนั้นมิใช่งู”พระพักตร์ผ่องแหงนเงยขึ้นสบพระเนตรกับ‘มนุษย์จำแลง’ผู้มีเรือยกายสีมรกต ดังนั้นแล้วลักษมัณเลยได้เห็นหน้าค่าตาผู้ที่เดินเข้ามาใกล้อย่างไร้สุ่มเสียง

ใบหน้าคมขำหล่อเหลาหากที่โดดเด่นสุดคือดวงตาสีโลหิตรับกันดีกับจมูกโด่งแลริมฝีปากหยักบาง เรือนกายไม่ผอมไม่หนาสมส่วนสูงสง่าแลไม่คล้ายกับชาวป่าชาวดง เครื่องอาภรณ์เป็นผ้าโปร่งสีขาวบางเบาเรียบง่าย แต่ก็ไม่อาจปกปิดได้ซึ่งความทรงศักดิ์ที่แผ่กำจายรัศมีออกมา

แม้จะเป็นบุรุษหากกลับองอาจรูปงามยิ่งกว่ารูปสลักมหาบุรุษในตำนานไหนใดที่ลักษมัณเคยมีโอกาสได้พบเห็น

“มิใช่งู แล้วจะเป็นสิ่งใดเล่า”

ลักษมัณคิดว่า‘ตัว’เขากำลังขมวดคิ้วอยู่ระหว่างละสายตาจากบุรุษแปลกหน้าหันกลับมาจดจ้องเจ้าตัวเขียวที่นอนนิ่งอยู่บนท้องแขนนวลทองอย่างสงบเสงี่ยม ผิดแผกจากเมื่อสักครู่ลิบลับ ลองพิศสังเกตดูดีๆจึงได้เห็นร่องรอยบาดเป็นทางยาวหลายที่ เลือดแห้งกรังสีเข้มติดไปกับผิวเนื้อเสียจนดูไม่ออก

“นาคหรือ?”

ได้ยินเสียงสวบสาบข้างหูขวาก่อนที่ชายแปลกหน้าสำหรับลักษมัณจะนั่งยองลงเคียงกัน แขนเรียวยกขึ้นทำท่าจะวางมือลงบนลำตัวของ‘นาค’น้อยบนท้องแขนของเขา หากกลับถูกขู่ฟ่อเสียจนต้องชะงักชักมือกลับไป

ลักษมัณได้ยินเสียงตัวเองหัวเราะ ใสกังวานก้องผืนป่าราวกับกระดิ่งแก้ว

“ดูท่ามันจักมิชอบหน้าท่าน”

“มันมิชอบ แล้วเจ้าเล่า?”


เสียงหัวเราะขาดหายไปจากลำคอ ทั้งหูทั้งหน้าคล้ายจะร้อนผะผ่าวขึ้นมา

โดนคนแปลกหน้าเกี้ยวเข้าเท่านี้ก็เขินอายเสียแล้ว?

ลักษมัณนี้อยากจะยกมือขึ้นตบแปะลงบนกลางหน้าผากตัวเองเหลือแสน หากก็ไม่อาจทำได้เยี่ยงอย่างใจนึกเมื่อ‘ร่างกาย’นี้เหมือนกับว่าจะไม่ใช่ของเขากระนั้น

นี่เขาเกิดไหลตายแล้วมาเข้าร่างใครอย่างในนิยาย ในละครที่เคยดูหรือเปล่า?

แต่ถ้าเป็นแบบนั้นเขาก็ต้องบังคับขยับร่างกายได้ตามดั่งใจนึกสิ

“ว่าอย่างไรเล่า?”

“ท่านรักษามันได้หรือไม่?”
เปลี่ยนเรื่องเสียอย่างนั้น แอบได้ยินเสียงชายแปลกหน้าหัวเราะ รู้สึกได้เลยว่าตอนนี้หน้าของเขากำลังงองุ้มไม่พอใจ“เหตุใดจึงได้ชอบรังแกข้านัก”

“เพราะเจ้าลักษมณ์ของพี่น่าเอ็นดูอย่างไรเล่า”


เจ้าลักษมณ์?

ลักษมัณอยากหันกลับไปมองชายคนนั้นอีกครั้ง แต่ร่างกายของเขากลับเอาแต่จดจ้องเพียง‘นาค’น้อยสีเขียวที่ขดอยู่บนท้องแขน
ขณะนี้ในใจของเด็กหนุ่มให้ปั่นป่วนสับสนอย่างบอกไม่ถูกเมื่อราวกับว่าประโยคคำพูดของชายแปลกหน้าได้ซ้อนทับเข้ากับพี่ทศอย่างนั้น

หรือเพียงแค่เรื่องบังเอิญ?

“ช่วยได้หรือไม่?”แม้ในใจจะสับสนเพียงไรหากร่างกายยังคงนิ่งเฉยราวกับไม่ได้รับรู้ถึงความป่วนปั่นข้างใน

“ช่วยได้ มิใช่พี่แต่เป็นเจ้า”

ร่างน้อยเอียงคอด้วยงุงงนสงสัยยิ่ง“ข้ามิมีวิชาอาคม จักช่วยเจ้านาคน้อยนี้ได้อย่างไร?”

“มิจำเป็นจักต้องใช้มนต์คาถาใด เพียงเจ้าตั้งจิตอธิฐานแน่วแน่แลปันส่วนหนึ่งของเจ้าให้กับมัน”
ดวงพักตร์งามผินหันมองชายข้างวรกาย พระเนตรสีโลหิตที่ควรจักดุดันขึงขังกลับอ่อนโยนลึกซึ้งด้วยหทัยที่เปี่ยมล้นซึ่งความปฏิพัทธ์

ลักษมัณรับรู้ได้ว่าร่างที่เขาอาศัยอยู่ชั่วคราวนี้ยังคงไว้ซึ่งความสงสัย ว่าเหตุใดทำเพียงเท่านั้นก็สามารถช่วยชีวิตใกล้ม้วยสังขารของสัตว์ตัวน้อยตนนี้ได้แล้ว?

แต่แม้จะสงสัยถึงวิธีการหากใจนั้นกลับ‘เชื่อ’ในคำบอกกล่าวของอีกฝ่ายอย่างไร้ข้อกังขาใด

ลักษมัณไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะ‘ร่าง’ของเขานั้นได้ปิดดวงตาลงทั้งสองข้าง หากกลับรู้สึกถึงความตั้งมั่นในจิตอธิฐานอันแน่วแน่
ผ่านไปเพียงชั่วลมหายใจสองเฮือกเท่านั้น หากพอทัศนียภาพกลับคืนสู่สายตาอีกที กลับไม่ใช่กลางป่าไพรอีกต่อไปคับคล้ายว่าเป็นถ้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง แปลกนัก.. ที่หินทุกก้อนภายในถ้ำนั้นล้วนแล้วแต่เปล่งแสงวับวาวราวกับเพชรพลอยอัญมณีล้ำค่า ต่างสามารถส่องแสงเรืองรองได้ด้วยตัวของมันเอง เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดจากธรรมชาติสรรสร้าง หากก็งามจับตาเหลือคณานับ

จู่ๆภาพก็ถูกตัดมายังอีกสถานที่ ในสมองนั้นให้ปรับจูนตามไม่ทันเลยทีเดียว

“ปล่อยมันไว้เช่นนั้น จักไม่เป็นอันตรายใดหรือ?”ลักษมัณยินเสียงหวานเสนาะถามไถ่ กายาก็คล้ายกับว่าจะถูกโอบรัดแน่นขึ้น

“ไม่เป็นอันใดดอก แม้นอายุของนาคนั้นจักไม่แน่นอน แต่บางตนก็มีชีวิตยืนยาวตราบชั่วอสงไขย”ยินสุรเสียงเข้มตอบกลับมาข้างกกหู พร้อมกับลมอุ่นร้อนที่ระอยู่บนต้นคอ

รู้สึกสยิวกิ้วโดยไม่ทราบสาเหตุ

อันที่จริงคือรู้สาเหตุ แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ …ลักษมัณจะทำเป็นไม่สนใจว่าตอนนี้ร่างกายของตัวเองนั้นกำลังอยู่ในอ้อมแขนของชายคนหนึ่ง จะทำเป็นไม่สนใจแม้ว่าชายคนนั้นจะเป็นคนเดียวกันกับผู้ที่ขานนามร่างนี้ว่า‘เจ้าลักษมณ์’ก็ตาม

“พี่นึกว่าเจ้าจักไม่กลับมาเสียแล้ว”

ร่างนี้นิ่งเงียบไปหากแต่ลักษมัณที่‘อาศัย’อยู่นั้นกลับจับได้ถึงกระแสความโศกศัลย์ที่อาบอวลอยู่ภายใน เสียงของหัวใจที่เต้นสะท้อนอยู่ในอกนี้ …แม้จะมั่นคงแต่กลับรู้สึกใจหายยิ่ง

“ข้าต้องมา”ขยับกายาบนพระแท่นบรรทมหินเพื่อให้พิศวงพักตร์มนุษย์จำแลงได้ถนัดถนี่ จดแลจำไว้ให้สลึกลึกซึ่งในพระหทัย“…เพื่อลาท่าน”

วรกายแข็งแกร่งพลันชะงักงันไป

“ถึงเพลาที่ข้าแลพี่น้อง…จักต้องกลับอโยธยาแล้ว”

พลันร่างถูกดันให้เอนราบไปกับพื้นตั่งบรรทมหินเปล่งแสงสีทองแสนเย็นเฉียบ ก่อนที่ทั้งตัวจะถูกทาบทับด้วยเรือนกายแกร่งของคนแปลกหน้า สองมือเรียวประคองพวงแก้มนวล ดวงเนตรสีแดงก่ำไหวสั่นพิศทอดมองสบมา …แววตาอันเคยคุ้นราวกับเป็นภาพซ้อนทับของใครอีกคนที่ลักษมัณเพิ่งรู้จักได้ไม่นาน

“เจ้าพี่ทศกัณฐ์”

หัวใจกระหน่ำเต้น ห้วงความรู้สึกเจ็บร้าวที่‘ร่างนี้’ได้ซุกซ่อนเอาไว้…กลับสะท้อนให้เห็นอยู่ในดวงเนตรของคนบนร่างจนหมดสิ้น

“ไปอยู่กับพี่”

แววเว้าวอนผ่านนัยน์ตาคู่นั้นแทบพาให้หัวใจของลักษมัณอ่อนยวบด้วยยอมจำนน

หากมิใช่กับ‘เจ้าลักษมณ์’ผู้นี้

พระหัตถ์น้อยสีนวลทองยกขึ้นทาบลงบนพระหัตถ์แกร่งซึ่งประคองอยู่ข้างพระปราง เนตรคมดุดันที่ทอดสบกลับมานั้นฉาบฉายไปด้วยความปรารถนาลึกล้ำอันลึกซึ้งยิ่ง

“เจ้าลักษมณ์”ปลายนาสิกโน้มลงไล้ตามแนวปรางผ่องแผ้ว ความอุ่นร้อนจากลมหายใจที่รินรดซึ่งกันนำพาเอาความหวามไหวให้กำจายไปทั่วกายาของทั้งคู่“ไปอยู่ที่ลงกานครกับพี่เถิดหนา”

“ข้ามิอาจไปกับท่านได้”
หักหทัยจับหัตถ์แกร่งออกพร้อมกับวรกายที่ขยับหลีกเพื่อลุกขึ้น

แม้นมิอยากปล่อยไปหากก็หาได้มีเหตุผลอันเห็นแก่ตนข้อใดมาเหนี่ยวรั้ง

“มีสักคราหรือไม่ ที่ใจดวงนั้นของเจ้าจักนึกถึงใจพี่ทศผู้นี้บ้าง?”

น้องขอโทษ


ลักษมัณรู้สึกถึงความโศกเศร้าของเจ้าของร่างนี้ แม้เท้าจะก้าวเดินจากหากแต่ใจกลับไม่ได้ตามมาด้วยอย่างไรอย่างนั้น

พลันคล้ายถูกฉุดกระชากออกด้วยแรงฤทธิ์ที่มองไม่เห็น ลักษมัณมองตามเรือนกายอรชรสีทองเรืองรองจับตาในอาภรณ์แปลกตา อันเป็นผ้าสีเหลืองออกส้มกว้างราวหนึ่งคืบมือตวัดพันรอบเอวแล้วพาดเข้าที่ไหล่หนึ่งข้าง ส่วนกางเกงนั้นดูคล้ายกับโจงกระเบนเป็นสีเปลือกไข่ไก่ยาวจรดครึ่งข้อเท้า

ฝ่ายนั้นเดินทิ้งห่างออกไป ไกลทุกทีก่อนจะหายลับจากคลองจักษุในที่สุด ยกสองมือขึ้นมอง กลับกลายเป็นมือคู่เดิมสีเดิมของเขาไม่ผิดไม่เพี้ยนไปอีก

“มีหนคราใดที่ใจดวงนั้นของเจ้าจักเลือกพี่บ้าง?”

ลักษมัณหันกลับไปมองบุรุษแปลกหน้าเรือนกายสีมรกตอีกครั้ง สะดุ้งเมื่อวงพักตร์งดงามนั้นจับจ้องมองตรงมายังเขา แววตาหนักแน่นไร้คลอนแคลนเช่นเมื่อครู่ วรกายสูงใหญ่ก้าวเดินเพียงสองก้าวก็ชิดใกล้เสียจนแทบจะหายใจรดกัน แต่รดอยู่ฝ่ายเดียวเพราะลักษมัณนั้นกลั้นหายใจตั้งแต่เห็นอีกฝ่ายเดินตรงมาหาแล้ว

มือแกร่งยกขึ้น หากเขาก้าวถอยขยับหนี ในใจให้รู้สึกตื่นตะหนกหากกลับน่าแปลกนักที่ไร้ซึ่งความหวาดกลัว

บัดนั้นเรือนกายสีมรกตพลันค่อยเลือนรางราวหมอกควันไร้รูปลักษณ์อยู่เพียงพัก ก่อนจะเจนชัดขึ้นมาอีกครา หากครานี้กลับมิใช่คนเดิมหน้าเดิมอีกต่อไป

“เจ้าลักษมณ์”

“…พี่ทศ?”


พื้นหินผนังถ้ำสั่นสะเทือนเคลื่อนแยก หากบริเวณที่เขากับพี่ทศยืนอยู่นี้กลับไม่ได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์พิศวงนั้นแต่อย่างใด คล้ายกับราวว่าพื้นที่ทั้งสองนั้นถูกตัดขาดออกจากกันแล้วกระนั้น

“เจ้าใจร้ายยิ่งนัก”สุ่มเสียงพร่าเอ่ยตัดพ้อ

เมื่อนั้นดวงเนตรสีแดงก่ำกลับเรืองรองขึ้นชั่วขณะ ลมกรรโชกโหมพัดโบกสะบัดล้อมรอบกายพวกเขาทั้งสองไว้ มณีหินผาพลันแตกสลายกลืนหายไปกับความมืดมิดเยี่ยงคืนเดือนดับ

“ลืมเลือนทุกสิ่ง ละทิ้งซึ่งกาลเก่า ตั้งจิตรับอธิฐานมิให้พี่ตามหาเจ้าเจอ ไม่ว่าจักชาติไหน ภพใดก็ให้คลาดแคล้วเสียทุกครั้งร่ำไป”

ลักษมัณไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าพี่ทศหมายถึงเรื่องอะไร สมองไม่ประติประต่อเรื่องราวที่ไม่อาจเข้าใจได้ ...หากหยาดน้ำตากลับรินไหล ความโศกเศร้าแผ่กำจายไปทั่วอก

ทำไมถึงได้เศร้า

ทำไมถึงได้เจ็บปวดนัก?

ไม่นานลมที่เคยกรรโชกพลันค่อยๆสงบลง เพียงสองมือของลักษมัณที่ยกขึ้นประคองดวงพักตร์ร่างเบื้องหน้าไว้เท่านั้น

ทศพักตร์คล้ายกับคืนซึ่งสติ

วงหน้าคมค่อยโน้มลงชิดใกล้ ริดรดวงหน้าเปื้อนหยาดน้ำตาด้วยไออุ่นจากลมหายใจ ราวมิใช่เพียงความฝัน เมื่อสัมผัสนุ่มนวลแตะผิวแผ่วลงบนผิวแก้ม จูบซับซึ่งหยาดน้ำตา

“พี่ขอโทษ ทุกสิ่งหาได้ใช่ความผิดเจ้าไม่”

ลักษมัณทำได้เพียงส่ายหน้าเท่านั้น เด็กหนุ่มคล้ายว่าจะเข้าใจ เข้าใจทั้งที่ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงได้เข้าใจ คล้ายกับว่าเขาได้ลืมบางสิ่งที่สำคัญไป …ลืมมันไปจนหมดสิ้น

“พี่รักเจ้า”

สัมผัสแตะมุมปาก น้ำเสียงแตกพร่าแทบขาดใจ

“..รักเหลือเกิน”

แนบสัมผัสสนิทชิดกลีบปากได้รูป บดคลึงแผ่วเบา เย้าหยอกเนื้อนิ่มด้วยปลายลิ้นอันร้อนรุ่ม

ลักษมัณเพียงมองสบประสานสายตาด้วยไม่อาจหลบเลี่ยงไปไหนได้เมื่อริมฝีปากถูกตรึงไว้จากสัมผัสหวามหวานที่ทศพักตร์มอบให้

สองร่างแนบชิดใกล้ ..


หากเสียงหัวใจที่ได้ยินกลับมีเพียงหนึ่งเดียว

---------
โปรดติดตามตอนต่อไป
---------

แจ้งในทวิตว่าจะลงเมื่อวาน ไม่ทันเที่ยงคืนล่ะค่ะ แง้!
สวัสดีค่ะ ในตอนนี้มีปมเพิ่มมาอีกหนึ่งขดล่ะ เอ้ะ หรือสอง?
มีหลายสิ่งที่พี่ทศไม่เคยรู้ในภพก่อน คราวนี้เราจะมาค่อยๆเฉลยค่อยๆรู้ไปพร้อมกันกับพี่ท่านเขาค่ะ เย้!
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๑๗ (๑๕/๐๓) หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: pan19891990 ที่ 15-03-2019 12:29:24
ตอนนี้ก็หน่วงในใจมาก รักกันแต่อยู่ด้วยกันไม่ได้ อยากให้พี่รามเลิกขัดขวางเสียทีแล้วหันกลับไปมองน้องสิตาด้วยค่ะ ก่อนที่น้องจะช้ำจนไม่ทนรัก ปล่อยให้พี่ทศกับน้องลักษณ์ได้อยู่ด้วยกันเถอะ
รอติดตามค่าา
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๑๗ (๑๕/๐๓) หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 16-03-2019 00:30:05
 :seng2ped: พ่อจ๋าไม่น่ารีบหลับเลย อดฟังรักสีขิมเลยอ่ะ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๑๗ (๑๕/๐๓) หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 16-03-2019 04:07:24
 :ling2: มืดมนหม่นหมองมากกก  :ling1: อยากให้ ทั้งคู่มีความรักที่ สดใสซาบซ่าเร็วๆจังเลย รักกันมากขนาดนี้ รอกันมาก็นานโข  :katai1:  สงสารคนอ่านเถอะ  :ling2: โอมเพี้ยง  :call:  :call:  :call: อุปสรรคจงหมดไป รักกันได้ด้วยดีเถิด  :call:  :call:  :call:
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๑๗ (๑๕/๐๓) หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: PAiPEiPEi ที่ 22-03-2019 12:23:19
ดีใจมากเลยค่ะที่กลับมา    เพราะหานไปนานจริงๆคิดว่าคงอดอ่านแล้ว   แต่ว่าสุดท้ายกลับมาพร้อมฉบับรีไรท์ดีกว่าเดิม  ขอบคุณนะคะที่กลับมาอัพให้อ่านใหม่
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๑๗ (๑๕/๐๓) หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 24-03-2019 14:17:58
 :pig4: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๑๗ (๑๕/๐๓) หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 21-05-2020 14:23:43
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: [ทศพักตร์❢ลักษมัณ] ดวงใจอสุรินทร์ {รีไรท์} - ตอนที่ ๑๗ (๑๕/๐๓) หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: Pinkmoon ที่ 21-05-2020 14:51:55
 :mew1: