:: ๑๔ ::
ความทรงจำสีจาง
แม้ตอนนี้เวลาจะผ่านมาสามเดือนแล้วแต่อาการต๋องก็ยังทรงตัว ไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้นแม้แต่น้อย ถึงกระนั้นไอร์ก็ยังคงดูแลคนรักไม่มีขาดตกบกพร่อง ควบคู่ไปกับการเปิดคลินิกรักษาคนไข้ โดยคิดอัตราค่ารักษาในราคาที่เหมาะสม เพื่อให้คนมีรายได้น้อยสามารถเข้ามาใช้บริการได้อย่างไม่ต้องกังวล
ด้วยความที่ต้องทำหลายอย่างควบคู่กัน ไอร์จำเป็นต้องจ้างคนมาดูแลต๋องในช่วงที่ทำงานในคลีนิค ส่วนตอนเย็นก็จะมาดูแลด้วยตัวเอง แต่ละวันผ่านไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยและเศร้าใจ ที่เห็นคนรักอยู่ตรงหน้าแต่ไม่สามารถพูดโต้ตอบ ไม่สามารถรับรู้เรื่องราวที่เขาตั้งใจเล่าให้ฟังในทุกๆ วัน แต่นั่นไม่ได้ทำให้ไอร์ท้อเลยแม้แต่น้อย
“แค่กๆ ๆ” ขณะให้อาหารเหลวทางสายยาง อยู่ๆ คนป่วยที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงก็ไอแล้วสำลักออกมา ไอร์จึงหยุดให้อาหารทันที ก่อนจะพยายามจับตัวคะแคงด้านซ้ายเพื่อให้อาการดีขึ้น
“ทำไมถึงไอไม่ยอมหยุดนะ ปกติไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน” เจ้าตัวทำถูกต้องตามขั้นตอนทุกอย่าง แต่ครั้งนี้กลับมีความผิดปกติ
“แค่กๆ ๆ”
เมื่อเห็นคนรักไอไม่ยอมหยุดและมีอาการหายใจติดขัด เป็นเช่นนี้ต้องนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยด่วน นั่นเพราะอาหารเหลวที่ให้ไปอาจจะไหลเข้าสู่หลอดลม และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
“ไอร์! ต๋องเป็นอะไรลูก” เมื่อได้ยินเสียง ปิ่นแก้วก็รีบเดินเข้ามาพร้อมกับหลานสาวตัวน้อย
“คุณพ่อ!” อันดารีบวิ่งมายืนข้างเตียงด้วยความเป็นห่วงพ่อ
“แม่ช่วยโทรเรียกรถพยาบาลให้หน่อยครับ ต๋องกำลังแย่” ขณะจับตัวผู้ป่วยนอนตะแคงอยู่นั้น ไอร์ก็หันมาไหว้วานผู้เป็นแม่
“ได้จ๊ะเดี๋ยวแม่โทรตอนนี้เลย” ปิ่นแก้วรีบเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือแล้วโทรเรียกรถพยาบาลทันที
ระหว่างนั้นไอร์ก็พยายามดูแลคนรักไม่ให้คลาดสายตา ยิ่งเห็นอีกฝ่ายไอจนน้ำตาไหลยิ่งทำให้ไอร์ร้องไห้หนักเข้าไปใหญ่ ช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายมันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาสำหรับผู้ป่วยประเภทนี้
“คุณพ่ออย่าเป็นอะไรนะคะ ฮึก” อันดายืนร้องไห้งอแงอยู่ข้างๆ ด้วยความสงสารผู้เป็นพ่อ
ไม่นานรถพยาบาลก็มาถึงหน้าบ้าน เจ้าหน้าที่รีบเคลื่อนย้ายตัวผู้ป่วยขึ้นรถ ขณะที่ไอร์และลูกสาวก็ขึ้นรถตามไปด้วย
เมื่อมาถึงโรงพยาบาลคุณหมอเจ้าของไข้ที่เคยรักษา ก็เข้ามาดูอาการช่วยเหลือเบื้องต้นและตรวจร่างกายอย่างละเอียด ก่อนจะให้ยาหลังจากนั้นคนป่วยก็นอนหลับไปในที่สุด เมื่อทุกอย่างอยู่ในภาวะปกติแล้วไอร์ก็รู้สึกโล่งใจ ขณะนั่งเฝ้าอยู่ในห้องพักผู้ป่วย
“ต้องให้คนไข้อยู่โรงพยาบาลสักระยะก่อนนะครับ หมอกลัวว่าจะเกิดภาวะปอดบวม”
“ครับคุณหมอ ขอบคุณที่ช่วยแฟนผมจนอาการดีขึ้นนะครับ”
“ถือว่าคุณหมอยังมีสตินะครับ ถ้ามาช้ากว่านี้อีกนิดอาจเกิดการอุดตันที่หลอดลมแล้วเสียชีวิตได้”
“ต่อไปผมจะระวังเรื่องให้อาหารเหลวครับคุณหมอ” พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเพราะเป็นคนทำให้คนรักอาการหนักอย่างนี้
“ผมเชื่อว่าคุณทำดีที่สุดแล้วครับอย่ากังวลไปเลย” คุณหมอเอ่ยด้วยความเข้าใจ เพราะเรื่องอย่างนี้มันเกิดขึ้นบ่อยกับผู้ป่วยที่ให้อาหารทางสายยาง แม้จะดูแลดีสักแค่ไหนแต่เรื่องไม่คาดคิดมันก็สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
“ขอบคุณครับคุณหมอ”
“ถ้ามีอะไรผิดปกติกับคนไข้เรียกผมได้ตลอดเวลาเลยนะครับ”
“ขอบคุณอีกครั้งนะครับ” ไอร์ยกมือไหว้คุณหมอก่อนเจ้าตัวจะเดินออกไปจากห้อง
หลังจากห่มผ้าให้คนป่วยที่กำลังหลับอยู่บนเตียงเรียบร้อยแล้ว ไอร์ก็เดินมาหาลูกสาวที่นอนหลับอยู่บนโซฟาอีกฟากหนึ่ง อันดาก็อีกคนที่เข้มแข็งไม่แพ้กัน อยู่เคียงข้างไม่ห่างไปไหนรู้สึกโชคดีมากเหลือเกินที่มีลูกสาวเป็นเด็กดีเช่นนี้
ผ่านไปสองวันแล้วที่ต๋องนอนพักเพื่อสังเกตอาการที่โรงพยาบาล วันนี้คุณหมอเข้ามาตรวจอาการอย่างละเอียดก็ไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด จึงอนุญาตให้กลับบ้านได้ในวันพรุ่งนี้
หลังจากคุณหมอออกจากห้องไปแล้ว ไอร์ก็นั่งจ้องหน้าคนรักอยู่ข้างเตียงเพียงลำพัง ส่วนกานดาและวีระพลก็เพิ่งจะกลับไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ ระหว่างนั้นก็มีสายโทรเข้า เมื่อรู้ว่าเป็นอาจารย์หมอก็รีบกดรับสาย มัวแต่ยุ่งๆ จนลืมไปเลยว่าไม่ได้ติดต่อกับท่านนานหลายเดือนแล้ว
“สวัสดีครับอาจารย์หมอ”
[“สวัสดีไอร์เป็นยังไงบ้างเงียบไปเป็นนานเลย”]
“ผมต้องขอโทษอาจารย์ด้วยครับที่ไม่ได้ติดต่อไปเลย พอดีช่วงนี้ยุ่งๆ มีเรื่องนิดหน่อยครับ”]
[“อ้าวมีปัญหาอะไรให้อาจารย์ช่วยไหมล่ะ”]
“ตอนนี้ผมนั่งเฝ้าต๋องอยู่ที่โรงพยาบาลครับ มันโดนรถชนเมื่อหลายเดือนก่อน ตอนนี้เป็นเจ้าชายนิทราไปแล้ว” พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าแม้จะไม่ได้ตั้งใจให้อีกฝ่ายเป็นห่วงก็ตาม แต่ทุกอย่างมันออกมาจากใจ
[“ไอร์ต้องเข้มแข็งนะตอนนี้อยู่โรงพยาบาลไหนเดี๋ยวอาจารย์จะไปหา”]
“อยู่โรงพยาบาล XXX ครับ”
[“อีกยี่สิบนาทีเจอกัน”]
“ครับอาจารย์”
ระหว่างนั่งรออาจารย์เจ้าตัวก็นึกถึงเรื่องราวในอดีตที่เคยได้ช่วยงานวิจัย เขาลืมอาจารย์หมอไปได้ยังไงกัน ขนาดคนที่ไม่มีมดลูก ไม่สามารถตั้งท้องได้ อาจารย์ยังทำให้ทุกอย่างมันเกิดขึ้นได้อย่างกับมีเวทย์มนตร์วิเศษ คิดอย่างนี้แล้วเจ้าตัวเลยเกิดความหวังขึ้นมา หวังว่าอาจารย์หมอจะช่วยเหลือให้ต๋องหายเป็นปกติได้
อาจารย์หมอเดินเข้ามาในห้องแล้วแต่ไอร์กลับนั่งเหม่อลอยเพราะมัวแต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย
“ต๋องเป็นยังไงบ้างไอร์” เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับกระเช้าเยี่ยมผู้ป่วย
“สวัสดีครับอาจารย์” เจ้าตัวยกมือไหว้แล้วรับกระเช้ามาวางไว้บนโต๊ะข้างเตียงผู้ป่วย
“อาจารย์ไม่นึกเลยว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น” อาจารย์หมอเดินเข้าไปยืนข้างเตียง แล้วมองหน้าลูกชายเพื่อนด้วยความสงสาร
“ผมก็นึกไม่ถึงเหมือนกันครับ เรื่องมันกำลังจะดีขึ้นอยู่แล้วเชียว” พูดแล้วก็ถอนหายใจอย่างหมดหวัง
“ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ ยิ่งนานวันเข้ายิ่งมีโอกาสหายเป็นปกติน้อยลงไปเรื่อยๆ” ว่าพลางมองหน้าคนป่วยที่กำลังหลับอยู่บนเตียง
“อาจารย์ครับ...ผมว่าอาจารย์อาจจะช่วยต๋องได้”
“อาจารย์ก็กำลังคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่มันมีโอกาสเสี่ยงนะไอร์” ทั้งสองเข้าใจตรงกัน แม้ว่าเครื่อง ARM จะมีคุณสมบัติที่พิเศษมาก แต่มันก็ถูกพัฒนามาเพื่อใช้ในการสร้างมดลูกโดยตรง ถ้าจะใช้งานอื่นมันก็ต้องประยุกต์ใหม่ให้เข้ากับอาการที่ต๋องเป็นอยู่ในตอนนี้
“ถ้ามันจะทำให้ต๋องมีโอกาสหายเป็นปกติ ผมก็พร้อมที่จะยอมเสี่ยงครับอาจารย์ ผมมั่นใจว่าอาจารย์จะต้องทำได้ เครื่อง ARM ที่เราเคยใช้ผมรู้ว่ามันมีคุณสมบัติที่วิเศษมาก ขนาดทำให้ผมตั้งท้องได้ มันต้องทำให้ต๋องหายได้เช่นกันครับ” เจ้าตัวพูดด้วยความมั่นใจ
“เรื่องนี้เราต้องไปขออนุญาตพ่อกับแม่ของต๋องก่อนนะ”
“ครับ..ถ้ายังไงผมจะลองไปคุยกับท่านทั้งสองละกัน แล้วใช้เวลานานแค่ไหนกว่าอาจารย์จะพร้อมครับ”
“ขออาจารย์ศึกษาข้อมูลสักสองอาทิตย์ก่อน เพราะต้องประยุกต์ใช้เครื่องให้เหมาะสมกับโรคที่รักษา”
“ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยอาจารย์บอกได้เลยนะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกไอร์ แค่ดูแลต๋องก็แทบไม่มีเวลาแล้ว อาจารย์มีนักศึกษาแพทย์มาช่วยงานประจำอยู่แล้วไม่ต้องห่วง”
“ขอบคุณอาจารย์หมอมากๆ เลยนะครับ อาจารย์เปรียบเสมือนพ่อที่ทำให้ชีวิตผมมีทุกวันนี้ ผมจะไม่ลืมบุญคุณอาจารย์เลยครับ” นอกจากแม่แล้วก็มีอาจารย์หมอนี่ล่ะที่ไอร์ให้ความเคารพนับถือเหมือนดังบุพการีแท้ๆ
“อาจารย์ก็รักไอร์เหมือนลูกแท้ๆ เลยนะ เรื่องไหนที่อาจารย์ช่วยเหลือได้อาจารย์ก็เต็มใจ” อาจารย์หมอยิ้มกริ่มให้ด้วยความเอ็นดู
“ถ้าว่างๆ อาจารย์ไปทานข้าวที่บ้านผมนะครับ ผมจะให้แม่ควงตะหลิวสุดฝีมือต้อนรับอาจารย์เลย”
“ได้สิถ้าว่างๆ เดี๋ยวอาจารย์จะโทรไปหาละกัน แต่ตอนนี้อาจารย์ขอตัวกลับไปที่มหาลัยก่อนนะ วันนี้นัดเด็กๆ ทำวิจัยกัน”
“ครับอาจารย์”
เดินไปส่งอาจารย์หมอที่หน้าห้อง ก่อนจะกลับเข้ามานั่งเฝ้าคนรักข้างเตียงเหมือนเดิม ไอร์จ้องมองใบหน้าคมที่กำลังนอนหลับไหลอยู่บนเตียง ก่อนจะเอื้อมมือเรียวไปสัมผัสอย่างแผ่วเบา เขาจะไม่รอให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้น แม้ว่ามันอาจจะเสี่ยงแต่ก็ดีกว่านั่งรอไปวันๆ เท่านั้น
*-*-*-*-*-*
หนึ่งเดือนต่อมา
วันนี้ทุกคนมารวมตัวที่บ้านของไอร์อย่างพร้อมหน้าเพื่อมาเป็นกำลังใจให้ต๋อง หากการรักษาครั้งนี้ไม่ได้ผล ก็คงไม่พาคนรักไปรักษาที่ไหนอีกแล้ว คงจะดูแลที่บ้านเท่าที่จะทำได้ แต่ครั้งนี้ค่อนข้างมั่นใจในตัวอาจารย์หมอ เพราะท่านเป็นนายแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ
ตอนนี้ทุกคนรออยู่หน้าห้องวิจัยของคณะแพทย์ คนที่อาจารย์หมออนุญาตให้เข้าไปข้างในได้ก็จะมีเพียงไอร์คนเดียวเท่านั้น เพราะเคยมาช่วยทำงานวิจัยและรู้จักกฎระเบียบในห้องเป็นอย่างดี
“ดิฉันฝากลูกชายด้วยนะคะอาจารย์” กานดาเอ่ยกับอาจารย์หมอ ขณะยืนอยู่หน้าห้องวิจัยพร้อมกับคนอื่นๆ
“ผมจะพยายามให้เต็มที่ครับไม่ต้องห่วง” อาจารย์หมอยิ้มให้
“ฝากลูกชายกูด้วยนะ” วีระพลที่เป็นเพื่อนกับอาจารย์หมอเอ่ยอย่างเป็นกันเอง
“ลูกมึงก็เหมือนลูกกู กูจะทำให้เต็มที่” อาจารย์หมอบอกกับเพื่อน
“ทุกคนรอที่นี่ก่อนนะครับ ถ้ายังไงเดี๋ยวผมจะออกมาแจ้งเป็นระยะๆ” ไอร์บอกกับทุกคน
“คุณแม่ต้องพาคุณพ่อคนเดิมของน้องอันดาออกมาเร็วๆ นะคะ” อันดาจับมือผู้เป็นแม่เอาไว้แน่น
“ค่ะแม่สัญญาน้องอันดาส่งกำลังใจให้คุณพ่อด้วยนะ” ไอร์กอดลูกสาวเอาไว้
“ไอร์ถึงเวลาแล้วเข้าไปกันเถอะ” อาจารย์หมอเอ่ยเรียกแล้วเดินนำหน้าเข้าไปก่อน
“ผมมั่นใจว่าต๋องจะต้องหายเป็นปกติครับทุกคน” เอ่ยกับทุกคนด้วยความหวังแล้วเดินตามอาจารย์หมอเข้าไปในห้องวิจัย
ภายในห้องวิจัยทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือที่ถูกพัฒนาโดยเทคโนโลยีชั้นสูง ร่างที่ไร้สตินอนอยู่บนเตียงพร้อมที่จะเคลื่อนตัวเข้าไปในเครื่อง ARM และเจ้าหน้าที่ที่ยืนเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา ไอร์เดินเข้าไปยืนข้างๆ ก่อนจะจับมือคนรักเอาไว้แน่น หลังจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาจะทำใจยอมรับทุกอย่างให้ได้
“มึงจะต้องหายนะต๋อง กูจะยืนอยู่ตรงนี้ข้างๆ มึงไม่ไปไหน” เอ่ยเช่นนั้นแล้วก็เดินถอยหลังออกมาสองสามก้าว เพราะอีกไม่กี่วินาทีก็จะเข้าสู่กระบวนการรักษาแล้ว
“โอเคแล้วนะไอร์” อาจารย์หมอถามย้ำอีกครั้ง เผื่อว่าลูกศิษย์ต้องการทำอะไรอีก
“ครับอาจารย์”
“รับได้ไหมถ้าผลที่ออกมามันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง”
“รับได้ครับ เพราะทุกวันนี้ก็เหมือนตายทั้งเป็นอยู่แล้ว หากไม่มีอะไรดีขึ้นเลย มันก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเพื่อคนที่เรารักครับ”
“อาจารย์ได้ยินอย่างนี้ก็วางใจ กลัวว่าไอร์จะเสียใจจนไม่เป็นผู้เป็นคน ถ้างั้นอาจารย์จะเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนการรักษาแล้วนะ”
“ครับอาจารย์”
อาจารย์หมอหันไปสนใจหน้าจอมอนิเตอร์ที่อยู่ข้างๆ เครื่อง หลังจากนั้นเตียงก็เคลื่อนตัวเข้าไปในเครื่องอย่างช้าๆ เมื่อเครื่องเริ่มทำงานแสงสีส้มแถบยาวก็เคลื่อนผ่านร่างของต๋องตั้งแต่หัวจรดเท้า ขั้นตอนแรกจะเป็นการสแกนไปทั่วทั้งร่างกายเพื่อค้นหาส่วนที่สึกหรอหรือเสียสภาพการทำงาน หลังจากนั้นก็จะเป็นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและเส้นประสาทที่ได้รับความเสียหาย ส่วนขั้นตอนที่สามเป็นการฟื้นฟูสภาพร่างกาย และขั้นตอนสุดท้ายเป็นการดีท็อกซ์รังสีที่ตกค้างจากกระบวนการในครั้งนี้ ออกไปจากร่างกายให้หมด ทั้งสี่ขั้นตอนใช้เวลาเกือบห้าชั่วโมง
“10...9...8...7...6..5..4..3..2..1” อาจารย์หมอยืนนับถอยหลังพร้อมกับมองหน้าจอมอนิเตอร์อย่างตั้งใจ ก่อนที่จะมีเสียงลมดังฟู่จากตัวเครื่อง ไม่นานเตียงอัตโนมัติก็เคลื่อนตัวพาต๋องออกมาอย่างช้าๆ
ไอร์ยืนมองคนรักที่กำลังนอนอยู่บนเตียงอย่างมีความหวัง หัวใจเต้นถี่ระรัวเพราะอีกไม่กีวินาทีก็จะรู้แล้วว่าผลการรักษาเป็นอย่างไร แม้จะยังไม่รู้ชะตากรรมของอีกฝ่าย แต่น้ำตาแห่งความตื้นตันมันกลับไหลลงมาก่อนที่จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
เจ้าหน้าที่ชายสองคนเข้าไปยกร่างต๋องมาไว้บนเตียงผู้ป่วยอีกที ก่อนจะพาเข้าไปยังห้องพักผู้ป่วยที่อยู่ห้องถัดไป
“พร้อมรึยังไอร์” อาจารย์หมอเดินมาจับไหล่ลูกศิษย์แล้วบีบเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ
“พร้อมแล้วครับ” พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้แล้วพรูลมออกจากปากบางอย่างช้าๆ เพื่อขจัดความตื่นเต้นออกไป
“ถ้างั้นเราไปหาต๋องกันเถอะ”
ไอร์เดินตามหลังอาจารย์เข้าไปในห้องอย่างกล้าๆ กลัวๆ
อาจารย์หมอเดินเข้าไปตรวจร่างกายต๋องอย่างละเอียดอีกครั้งโดยมีไอร์ยืนดูอยู่ข้างๆ
“ทุกอย่างปกติดีตอนนี้ก็รอให้ต๋องฟื้นขึ้นมาก่อน แต่อาจารย์ต้องบอกไว้ก่อนเรื่องนึงนะ” อาจารย์หมอถอนหายใจด้วยความกังวล
“อะไรครับอาจารย์” ตอนนี้เริ่มใจไม่ดีแล้วกลัวว่ามันอาจจะเป็นเรื่องร้ายแรง สังเกตจากสีหน้าอาจารย์หมอที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก
“สมองของต๋องได้รับการกระทบกระเทือนจนเสียหายไปบางส่วน กระบวนการสร้างเนื้อเยื่อและเส้นประสาทขึ้นมาใหม่มันอาจจะมีผลกับความทรงจำในบางช่วง แต่อาจารย์ไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นช่วงไหนแค่นั้นเอง”
“ถ้าเป็นเรื่องนั้นผมไม่กลัวเลยครับ ขอแค่มันฟื้นขึ้นมาเดินและรับรู้ได้เหมือนคนปกติผมก็ดีใจแล้วครับ”
ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นั้นเจ้าหน้าที่ก็เอ่ยแทรกขึ้นมา
“อาจารย์ครับผู้ป่วยฟื้นแล้ว”
ทั้งสองหันขวับไปมองที่เตียงพร้อมกัน ไอร์ยิ้มทันทีเมื่อเห็นภาพที่รอคอยมานาน ต๋องค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาแล้วมองซ้ายมองขวาและขยับตัวได้เป็นปกติ
“ต๋องมึงหายแล้ว! ฮึก” ไอร์รีบเดินเข้าไปยืนข้างๆ แล้วร้องไห้โฮออกมาเสียงดัง
“ที่นี่ที่ไหน” คนที่เพิ่งจะฟื้นพูดด้วยเสียงแผ่วเบา ก่อนจะทำหน้าเหยเกเพราะรู้สึกปวดหนึบๆ ที่ศีรษะ
“ที่นี่คณะแพทย์มอเราไง” ไอร์ยิ้มกว้างเมื่ออีกฝ่ายสามารถพูดโต้ตอบได้ ถึงแม้จะยังแผ่วเบาอยู่ก็ตาม
“มึงพากูมาที่นี่ทำไม ทำกับกูอย่างนั้นยังไม่พอใจอีกเหรอวะ มึงจะทำอะไรกับกูอีก” แม้จะยังไม่มีเรี่ยวแรงมากพอ แต่คนที่นอนป่วยก็เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง เหมือนกำลังโกรธคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
ไอร์หันไปมองหน้าอาจารย์หมอทันที มันคงจะเป็นอย่างที่อาจารย์หมอเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ ว่าความทรงจำบางส่วนอาจจะสูญเสียไป แต่เขาไม่กังวลอะไรแค่ต๋องฟื้นขึ้นมาก็ดีใจที่สุดแล้ว