สุสานที่พิชช์ฌานกับอาคิราห์เดินเข้ามาถูกตกแต่งและทำความสะอาดเอาไว้แล้วเรียบร้อย สีขาวของแผ่นป้ายหินอ่อนตัดกับสีแดงสดของดอกกุหลาบที่อาคิราห์ถือติดมือเข้ามา บรรยากาศเงียบสงัดแม้แต่ลมก็หยุดพัดชั่วขณะ
“ตรงนี้สินะ” พิชช์ฌานพึมพำ หยุดยืนตรงหน้าหลุมศพที่นำร่างของลูกสาวมาฝังเอาไว้ ตัวอักษรสีทองเขียนเอาไว้ว่า เฌอริชช์ อัศวลักษณ์ งดงามแต่ก็เยือกเย็นจับใจ
อาคิราห์ทอดสายตามองเงียบ ๆ ความรู้สึกของเขาสงบลงมากแล้วเมื่อเทียบกับเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้า เหมือนพลุที่พุ่งขึ้นสูงแล้วก็แตกสลายตกกลับมาบนพื้นดินราบเรียบ หันไปมองข้าง ๆ กันนั้นคือที่พักของเพื่อนโอเมก้าคนแรกและคนเดียวของเขา ...นิลลา
“เวลาผ่านไปไวจังนะ เหมือนไม่กี่วันก่อนเรายังอยู่ด้วยกันอยู่เลย” อาคิราห์กระซิบ หลุบตาลงมองดอกกุหลาบสีแดงสดในมือของตัวเอง “ฉันเอาดอกกุหลาบมาฝาก รู้ว่านิลลาก็ชอบเหมือนกัน” เขาย่อตัวลงวางดอกกุหลาบดอกนั้นลง “เฌอริชช์ด้วยนะลูก ไม่รู้ว่าหนูชอบดอกกุหลาบหรือเปล่าแต่เดาว่าคงชอบมากแน่ ๆ”
“ถ้าลูกได้ออกมาดูโลกก็คงจะเหมือนเธอที่สุด อาคิราห์” พิชช์ฌานพูดเสียงเครือพร้อมกับสูดน้ำมูก เขาไม่เคยห้ามตัวเองไม่ให้น้ำตาไหลได้เลยทุกครั้งที่นึกถึงลูกสาว “คงจะน่ารักมาก”
อาคิราห์ยิ้ม
“สุดท้ายคุณก็ยอมรับแล้วใช่ไหมล่ะว่าบู้บี้แปลว่าน่ารัก”
“ฉันก็ไม่เคยว่าเธอน่าเกลียดนี่”
“ผมน่าจะอัดเสียงคุณสมัยนั้นเอาไว้ ว่าผมอย่างกับอะไรดี” อาคิราห์ย่นจมูกใส่แล้วกอดแขนล่ำสันแน่น “เรากลับกันเถอะครับ” เขาพูดเนิบ ๆ เหลือบมองที่ ๆ นิลลากับเฌอริชช์นอนพักผ่อนอยู่นั้นแวบเดียว จากนั้นก็เดินกอดแขนสามีกลับออกมาจากสุสานโดยไม่หันกลับไปมองอีก
พิชช์ฌานกลับไปส่งอาคิราห์ที่บ้านของคุณนายนวลพรรณแล้วอยู่กินมื้อเย็นด้วยกัน นักการเมืองหนุ่มมีท่าทางเคร่งเครียดยามเผลอตัวจนเจ้าโอเมก้าสังเกตได้ สายตาเหลือบมองนาฬิกาเป็นระยะ
“คุณมีประชุมต่อเหรอครับ” เขาเอียงหน้าเข้าไปกระซิบถาม สามีส่ายหน้า
“เปล่า ฉันไม่มีตารางแล้ววันนี้”
คนฟังเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดออกมาขรึม ๆ
“ทานข้าวเสร็จแล้ว ผมมีอะไรจะให้คุณช่วยหน่อย” อาคิราห์ช่วยเก็บล้างจานเสร็จก็เดินนำหน้าสามีขึ้นไปบนห้องนอนที่เขาครอบครองอยู่คนเดียวมาหนึ่งเดือนเต็ม พิชช์ฌานกวาดตามองรอบ ๆ ห้องที่เต็มไปด้วยข้าวของส่วนตัวของเจ้าโอเมก้า
“ห้องเริ่มรกแล้วนะ...นั่นเธอจะทำอะไรน่ะ” นายกรัฐมนตรีหนุ่มชะงัก มองภรรยาของตนเองถอดเสื้อออกอย่างตกใจ อาคิราห์ส่งครีมหลอดหนึ่งมาให้เขารับไว้
“ครีมลดรอยแผลเป็น ช่วยทาให้หน่อย” อาคิราห์พูด เอนตัวลงนอนหงายบนเตียงพร้อมกับตบมือลงที่หน้าท้องของตนเบา ๆ
พิชช์ฌานขมวดคิ้วแต่ก็ยอมเดินมานั่งข้าง ๆ ก้มลงสำรวจรอยแผลผ่าตัดกลางท้องอย่างระมัดระวัง
“สีจางลงบ้างมั้ย ยังดีที่ไม่นูนขึ้นมามาก” ปลายนิ้วเรียวยาวลูบไปบนแผลเป็นเบา ๆ แล้วบีบเนื้อครีมออกมาทาให้บาง ๆ “แผลเป็นก็อยู่ที่ท้อง เธอทาเองก็ถึง ไม่เห็นจะต้องให้ฉันช่วยทาให้เลย...” พูดจบแล้วก็นึกขึ้นได้ เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่หน้าแดงจัดลามลงมาถึงลำคอ คิ้วเข้มเลิกสูง...พิชช์ฌานตามความคิดของภรรยาได้ทัน เขายิ้มออกมาขัน ๆ ก้มลงจูบที่ข้าง ๆ สะดือบุ๋มเล็กนั้นแรง ๆ แล้วแกล้งงับเล่นอย่างหมั่นเขี้ยว
อาคิราห์หัวเราะ ผลักอีกฝ่ายออกเพราะจั๊กจี้ คราวนี้พิชช์ฌานไม่ขยับตัวออกแต่กลับถอดเสื้อของตัวเองตามด้วยกางเกงออกอย่างรวดเร็ว ทำเอาคนที่คิดหาวิธีเชิญชวนแทบตายเขินจนไม่กล้าสบตาคมเข้มอีก
“แล้วไงต่อ...ถ้าไม่มีอะไรฉันจะไปอาบน้ำแล้วนะ” พิชช์ฌานเห็นอีกฝ่ายก้มหน้างุดก็แกล้งถามทั้ง ๆ ที่มีเพียงชั้นในตัวเดียวปกปิดร่างกาย อาคิราห์อึกอักแล้วก็กัดฟันรูปซิปกางเกงขายาวของตัวเองออกบ้าง ขยับตัวลุกขึ้นคุกเข่าคร่อมทับสามีเอาไว้อย่างเงอะงะ ใจเต้นแรงจนแทบจะโลดออกมานอกอก
พิชช์ฌานมองใบหน้าเจ้าตัวบู้บี้ของเขาอย่างเอ็นดู คิดอยากจะเชิญชวนเขาทั้งทีแต่กลับไม่กล้า ชายหนุ่มเอื้อมมือไปกุมมือแบบบางนั้นเอาไว้แล้วเลื่อนมากุมทับกลางตัวของเขา อาคิราห์สะเทิ้นราวกับเจ้าสาวแรกเข้าหอเสียอย่างนั้น เห็นทีเวลาเดือนกว่าที่ร้างราไปคงจะมีผลไม่มากก็น้อย
เขาช่วยเหลือภรรยาอีกนิดหน่อยจนกระทั่งมือเล็กนั้นกอบกุมตัวตนของเขาได้อย่างทะมัดทะแมงขึ้น อาคิราห์ก้มลงใช้ริมฝีปากช่วยแบบที่รู้ว่าพิชช์ฌานชอบ ปลายลิ้นขยับอย่างรู้ใจจนกระทั่งพิชช์ฌานสมองพร่าเบลอไปชั่วขณะและเจ้าโอเมก้าถอยไปกระอักกระไอหน้าดำหน้าแดง
“...หายเครียด...บ้างมั้ย” อาคิราห์หันมาถาม พิชช์ฌานอมยิ้ม เขารู้ว่าอีกฝ่ายคงเป็นห่วงเขามากถึงได้พยายามหาทางผ่อนคลายให้แบบนี้ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะรู้หรือเปล่าว่าเขาเองก็รอเวลานี้มานานแล้ว ...รอให้แผลของอาคิราห์หายสนิทดีพอ
“ยังเครียดอยู่เลย ...หนักกว่าเดิมอีก” พิชช์ฌานตอบ เขาไม่ได้หมายถึงอารมณ์แต่หมายถึงอวัยวะอื่นที่กลับมาตึงเครียดอีกครั้งในชั่วพริบตา ผิวเนื้อสีน้ำผึ้งอ่อนเนียนลื่นมือนั้นถูกเขาสัมผัสซ้ำแล้วซ้ำอีกทุกตารางนิ้วไม่เว้นแม้แต่ส่วนที่ลับที่สุด อาคิราห์บิดตัวเร้าเมื่อปลายลิ้นร้อนผ่าวสัมผัสเข้าที่ส่วนนั้นให้อย่างชำนาญ
พิชช์ฌานรู้จักร่างกายของเขาดียิ่งกว่าตัวเขาเองเสียอีก อารมณ์ที่ถูกกระตุ้นของเขาทะยานขึ้นสูงตามอุณหภูมิของร่างกายที่เปลี่ยนไป กลิ่นคุกกี้รสนมหอมตลบอบอวลไปหมดทั้งห้อง พิชช์ฌานเบิกตากว้าง
“เธอไม่ได้กินยากันฮีท”
“...........” เจ้าโอเมก้าไม่ตอบแต่รั้งลำคอของอัลฟ่าเข้ามาจูบหนักหน่วง
พิชช์ฌานรู้สึกเหมือนสมองสว่างวาบกลายเป็นลำแสงจ้า เขาลืมเรื่องหนักอกทุกสิ่งไปเสียสิ้นนอกจากการสัมผัสบีบเคล้นมือไปตามผิวเนื้อนุ่มนิ่มขึ้นสีเรื่อทุกการสัมผัส โดยเฉพาะตัวตนของเจ้าโอเมก้าของเขาที่น่ารักจนไม่สามารถหยุดยั้งได้
อาคิราห์หวีดร้องออกมาหลายต่อหลายครั้ง อีกฝ่ายฝังตัวตนเข้ามาในตัวของเขาลึกสุดตัวและขยับตัวอย่างไม่ปรานีปราศรัย แรงกระแทกหนักหน่วงที่ช่วงสะโพกทำเอาหัวสั่นหัวคลอน ยอดอกเปียกชื้นบวมเป่งจากการสัมผัสซ้ำ ๆ ผ้าปูที่นอนยับย่นหมอนผ้าห่มกระจายเต็มเตียง เขาถูกจับพลิกหงายพลิกคว่ำอยู่หลายตลบจนจำไม่ได้
รู้แค่ว่าอีกฝ่ายคงคิดถึงเขามาก เหมือนกับที่เขาคิดถึงพิชช์ฌานเช่นกัน
.............................................................................
“ปล่อยได้หรือยัง” อาคิราห์ถามเสียงแหบ เจ็บคอไปหมด หันไปมองนอกหน้าต่างก็เริ่มเห็นแสงจาง ๆ ของพระอาทิตย์แล้ว ...พิชช์ฌานไม่ยอมหยุดจนกระทั่งเช้า และยังไม่ยอมปล่อยเขาเป็นอิสระอีกด้วย
“ยังไม่หมด” อัลฟ่าของเขาคำรามตอบกลับมาในลำคอ มือใหญ่ยืดเอวของเขาเอาไว้แน่น อาคิราห์คุกเข่าจนเริ่มเมื่อยไปหมดร้อนถึงอีกฝ่ายต้องหาหมอนมารองให้ “ยังไม่หลุดเลย”
ร่างกายของเขายังเชื่อมต่อกันอยู่ราวกับมีกาวทาติดเอาไว้แต่อาคิราห์รู้ดีว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร เขารู้สึกถึงความอุ่นจัดที่อยู่ในท้องน้อย ทุกครั้งที่ขยับตัวก็จะรู้สึกได้ถึงชีพจรที่เต้นตุบ ๆ อยู่ภายใน
“เปลี่ยนท่าได้มั้ย” เขาร้องขออีกครั้ง คราวนี้พิชช์ฌานอุ้มเขาลอยขึ้นมาทั้งที่ตัวยังติดกันแล้วเปลี่ยนเป็นทิ้งตัวลงนั่งแทน ความกระเทือนทำให้ร่างโปร่งบางสะดุ้งเฮือก หันไปค้อนคนที่กำลังกอดเขาเอาไว้จากด้านหลัง “เมื่อไหร่จะหลุด” เขาร้องโอดครวญอีกครั้งหนึ่ง
พิชช์ฌานที่กำลังไล่เม้มปากลงบนผิวเนื้อหลังลำคอระหงเหลือบตาขึ้นมองนิดหนึ่ง แล้วก็ก้มลงงับที่รอยฟันเดิมแรง ๆ เหมือนแกล้งกัน
“โอ๊ย...เจ็บนะ” อาคิราห์อุทาน หน้างอ จะลุกหนีก็ลุกไม่ได้เพราะตัวติดกันอยู่ จะขยับตัวมากก็ไม่ได้เพราะจะรู้สึกมากกว่าเดิม ช่างเป็นความทรมานที่เอาเปรียบกันชะมัด “วันหลังไม่เอาแล้ว”
“ใครเริ่มก่อน” พิชช์ฌานเลิกคิ้ว “ทำมาเป็นชวนทาครีม” เขางับที่ปลายจมูกกลมทู่เล่น “แผนสูงเหรอ”
“ก็..ก็เห็นเครียด ๆ” อาคิราห์ยกมือขึ้นปิดหน้า สะดุ้งอีกครั้งเพราะคนข้างล่างขยับเอวสวนขึ้นมา “โอ๊ย! หยุดนะ”
“แต่เธอมีอารมณ์อีกแล้วนะ อาคิราห์” พิชช์ฌานพยักพเยิดไปที่ยังหลักฐานกลางตัวเขา “ใครกันแน่ที่ไม่ยอมหยุด”
“ฮือ ไม่เอาแล้ว เจ็บก้น ช้ำไปหมดทั้งตัวแล้วเนี่ย” เจ้าบู้บี้ของเขาคร่ำครวญพลางยกแขนให้ดูราวกับขอความเห็นใจ “มีแต่รอย” พิชช์ฌานอมยิ้มกวาดตามองร่องรอยบนผิวสีน้ำผึ้งกระจ่างนั้นอย่างพอใจ ชะโงกเข้าไปจูบเม้มที่ยอดอกสีเข้มทีหนึ่ง
“เหนื่อยก็งีบก่อนก็ได้” เขาพูดเสียงนุ่ม ซ่อนยิ้มไว้ในใจเมื่อเห็นเจ้าโอเมก้าเอนตัวพิงอกเขาเปลือกตาปิดลงในทันที อัลฟ่าหนุ่มแกล้งขยับตัวอีกครั้งทำให้คนหลับสะดุ้งขึ้นมานั่งตัวตรงแล้วฟาดมือใส่เต็มแรง
“แกล้งกันเหรอ แกล้งกันอยู่นั่นแหละ” อาคิราห์พูดเข่นเขี้ยว ก้มลงไปมองข้างล่างอย่างสังเกตพลางลองขยับตัวดู “หลุดแล้ว” ร่างโปร่งบางขยับลุกขึ้นแล้วก็เซวูบเพราะความปวดแปลบที่ช่วงเอว ของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากด้านหลังยามขยับตัว
“กลั้นไว้ ลูกจะได้มาเกิดเร็ว ๆ” พิชช์ฌานกระซิบ ใช้ปลายนิ้วลูบตรงรอยจีบข้างหลังแผ่วเบาทำเอาเจ้าของขนลุกไปทั้งตัว
พอพูดถึงคำว่าลูก ดวงตากลมโตก็กลับหม่นลง พิชช์ฌานเองก็นิ่งไปนาน
“คราวก่อน...ตอนเฌอริชช์ ไม่ได้ตั้งใจ” อาคิราห์พึมพำ ลูบท้องน้อยที่นูนออกมาเล็กน้อยเบา ๆ “คราวนี้คงจะไม่...”
พิชช์ฌานเชยคางอีกฝ่ายขึ้นแล้วแนบริมฝีปากของตนเองลงไป เขาจูบอาคิราห์อย่างดูดดื่มลึกซึ้งที่สุด ถ่ายทอดความรู้สึกเข้าอกเข้าใจ ทั้งรักและสงสารไปให้ อาคิราห์จูบตอบกลับมา ยกมือขึ้นลูบไล้เส้นผมหยักศกอย่างเลื่อนลอย
“เธอจะกลับมาเกิดอีกไหม ...น้องเฌอริชช์น่ะ” ริมฝีปากสีแดงจัดกระซิบ พิชช์ฌานอมยิ้มใช้ปลายนิ้วไล้ที่ริมฝีปากนุ่มที่ให้รสหวานเหมือนน้ำผึ้งไปมา
“ถ้าเธอคิดถึง น้องก็จะกลับมาแน่ ๆ” เขาว่า “อดทนหน่อยนะ”
อาคิราห์ยิ้มออกมาได้ กอดร่างสูงใหญ่เอาไว้แน่น ซบหน้าลงด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจ
“ผมจะรอ” จะรอวันนั้น..
............................................................................................
พิชช์ฌานกลับออกมาจากห้องนอนในตอนสายมากแล้ว ชายหนุ่มกระแอมไปมา รู้สึกขัดเขินต่อหน้าสายตามารดาที่ยกอาหารมาให้อาคิราห์ถึงห้องนอน แม้ว่าคุณนายนวลพรรณจะไม่ได้พูดอะไรเลยก็ตาม
“ผม...ไปทำงานก่อน เอ่อ...ฝากอาคิราห์ด้วยนะครับ คือ...เขาไม่ค่อยสบาย” นักการเมืองหนุ่มถอนหายใจเฮือก หันกลับไปมองทางห้องนอนอย่างอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย “ถ้ามีอะไรโทรหาผมนะครับแม่”
“จะไปทำงานก็ไป มัวแต่ละล้าละลังเสียงานเสียการหมด”
“ครับแม่” พิชช์ฌานทำตัวไม่ถูก เขาไม่ถูกมารดาดุเหมือนเด็ก ๆ มานานมากแล้ว
คุณนายนวลพรรณมองตามหลังร่างสูงใหญ่พลางส่ายหน้า หันกลับไปที่ห้องนอน...สายโร่ขนาดนี้เห็นทีลูกสะใภ้ของเธอคงจะยังลุกไม่ขึ้นเป็นแน่
...เจ้าฌานนะเจ้าฌาน
คนที่มารดากำลังบ่นถึงนั้นกำลังเดินกลับไปกลับมาภายในห้องทำงานของตนเองอย่างเคร่งเครียด ข่าวการประกันตัวของไตรภพทำให้เขารู้สึกหมดกำลังใจไม่น้อย
“เห็นทีเราคงจะจัดการกับการแทรกแซงตำรวจไม่ได้จริง ๆ ครับ ท่านวิญญูเองก็บอกว่าฝั่งนั้นมีแบ็คที่ใหญ่กว่า” เจนภพพูดขรึม ๆ
“ฉันจะบีบให้ย้ายให้หมด” พิชช์ฌานพูด
“คุณจะบีบยังไงคุณพิชช์ฌาน เราไม่มีเส้นใหญ่พอ” นายจรัญพูดเรียบ ๆ หันไปมองนักข่าวที่กำลังรายงานข่าวอยู่ในโทรทัศน์
“แต่เราตัดงบพวกเขาได้ ลองดูซิว่าจะอยู่ไหวมั้ยถ้าไม่มีเงิน” พิชช์ฌานพูดเนิบ ๆ “ในเมื่อไม่มีความละอายกันแล้วล่ะก็ ฉันก็จะไม่ไว้หน้า”
“แต่ว่าคุณพิชช์ฌานครับ นั่นเท่ากับว่าหันปลายกระบอกปืนมาหาคุณโดยตรง” เจนภพค้าน “ผมไม่เห็นด้วย”
พิชช์ฌานเงียบไปนาน เขาคิดถึงบทสนทนาที่เขาพูดกับท่านไตรคุณ อดรู้สึกผิดหวังในตัวนักการเมืองอาวุโสคนนั้นไม่ได้ หรือว่าแท้จริงแล้วเขามองโลกในแง่ดีมากเกินไป คิดว่าคนเราจะกลับตัวกลับใจได้
“โบราณว่าไม้แก่ดัดยากนะครับ คงไม่ได้ผลแล้วล่ะครับ” เจนภพพูดต่อราวกับรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ พิชช์ฌานพยักหน้าช้า ๆ
“บอกไปว่าฉันจะไปเป็นพยานในคดีของไตรภพ แล้วก็มีพยานอีกสองคนที่คิดว่าประชาชนคงอยากได้ยินคำพูดจากปากพวกเขา” ชายหนุ่มหยุดไปนิดหนึ่ง เคาะปลายนิ้วลงกับโต๊ะทำงาน “เจนภพ ตั๋วเครื่องบินกับวีซ่าของอาคิราห์เสร็จเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย”
“เรียบร้อยแล้วครับ เหลือแต่ของคุณ”
“นายคงไม่คิดว่าฉันจะไปด้วยหรอกนะ” นายกรัฐมนตรีที่หนุ่มที่สุดในประวัติศาสตร์หัวเราะด้วยเสียงต่ำกว่าปกติ “ฉันกำลังคิดอยู่ว่า...ถ้าชวนอาคิราห์ไปหย่าตอนนี้ กับหย่าทีหลังหลังจากบินไป แบบไหนจะดีกว่ากัน”
“ไม่ว่าแบบไหนก็ย่อมเจ็บปวดไม่ต่างกันครับ” เจนภพพูด “ผมคิดว่าคุณอัยย์ก็คงจะไม่ยอมไปด้วย”
“เขาจะไปแน่ ๆ ฉันอาจจะบอกให้เขาไปเที่ยวเล่นรอฉันก่อน แล้วฉันก็จะบินตามไป เราจะฮันนีมูนที่นั่นตามที่เขาอยาก”
“คุณอัยย์จะยิ่งโกรธคุณถ้ามารู้ทีหลังว่าคุณโกหก”
พิชช์ฌานยักไหล่
“โกรธแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ..ฉันแพ้ท่านไตรคุณตรงไหนรู้ไหม จริงอย่างที่เขาบอก ฉันเหมือนพ่อ ใจอ่อนเกินไป...รัก...มากเกินไป ไม่เหมือนเขาที่สามารถอยู่ต่อไปได้ทั้งแบบนี้”
“............” เจนภพนิ่งเงียบ รู้ดีว่าถ้าพิชช์ฌานตัดสินใจไปแล้วก็คงไม่เปลี่ยนใจง่าย ๆ แน่
“ในเมื่อเขาไม่ยอมหยุด ฉันก็จะลองหยุดเขาด้วยตัวเองดู” ชายหนุ่มพูดเหมือนปรารภ “ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นหรอกเจนภพ ฉันยังรักตัวกลัวตายอยู่ ถ้าเห็นท่าไม่ดีก็จะเผ่นไปสมทบที่นู่นแน่นอน”
“ผมกลัวอะไรก็ตามที่คาดไม่ถึง ถ้าพวกมันเล่นตามเกมมันก็ไม่น่ากลัว แต่นี่มันเล่นนอกกติกา คราวก่อนคุณก็เกือบตาย ไม่รู้มันจะลอบฆ่าอีกเมื่อไหร่” เจนภพพูด
“เจนภพพูดถูกนะคุณพิชช์ฌาน” จรัญพูดขึ้นบ้าง “คุณเป็นคนหนุ่มเลือดร้อน ผมเข้าใจ ผมก็เคยเป็นแบบนี้มาก่อน แต่เรามีอีกหลายวิธีที่จะจัดการปัญหาโดยไม่ต้องเอาตัวเข้าแลกกระสุน สงสารคุณอาคิราห์ที่ต้องเป็นหม้ายเถอะ”
พิชช์ฌานหัวเราะอีก ไม่พูดอะไร เขาลุกขึ้นเดินออกมาจากห้องทำงานตามด้วยคนสนิท พวกเขากลับไปประชุมต่อที่พรรคจนกระทั่งตอนเย็นก็มีโทรศัพท์สายตรงมาหาเจนภพ
มือขวาของเขาลุกขึ้นเดินออกไปคุยข้างนอกห้องประชุมครู่ใหญ่แล้วก็กลับเข้ามาด้วยสีหน้าตื่น ๆ
“คุณฌานครับ”
พิชช์ฌานเลิกคิ้ว เอียงหูเข้ามาฟังคนสนิทที่ก้มลงกระซิบเร็วปรื๋อ
“มีข่าวว่าท่านไตรคุณยิงตัวตายที่บ้านครับ”
...........................................................................................
มาอัพแล้วค่า
ใกล้ถึงบทสรุปของเรื่องนี้เต็มทีแล้ว
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาอย่างยาวนาน เข้าเดือนที่แปดแล้วนะเออ เขียนนิยายปีละเรื่องฮ่า ๆ
ดีใจที่มาถึงตอนที่ 47 แล้ว เรียกว่าประสบความสำเร็จ ตัวละครมีความพัฒนาตามที่คาดหวังเอาไว้
ขอบคุณทุกคอมเมนต์จริง ๆ มีกำลังใจเขียนต่อเด้อ
#ขอรักแค่คุณ
ปล. นี่เปิดเรื่องใหม่เอาไว้ เป็นแนว Mpreg เรื่อง Nevertheless, I still love you. #เวฬาหยุดรัก แนวแฟนเก่าน้ำเน่า มีเด็กด้วย ลงไปสองตอน สนใจลองอ่านได้ค่ะ