ภุชงค์เล่นแสง ๒๔วัน แลเพลาผ่านไป พระนัดดาน้อยทั้งสามพระองค์ก็เติบโตขึ้นจนเพลานี้ พากันคลานหนียี่สุ่น แลชงโค วุ่นวายเสียยิ่งกว่าจับปูใส่กระด้ง แลพระเกศาที่แหว่งเพราะถูกผ้าอ้อมกินนั้นก็ขึ้นจนเต็มแล้ว
“ฮือ องค์รพิอย่าคลานไปใกล้น้ำใกล้ท่าพระเจ้าค่ะ ยี่สุ่นตามมิทันแล้วหนา” ยี่สุ่นว่าพลางรีบคลานตามเจ้านายน้อยไปติด มือบางจับช้อนที่ใต้พระกัจฉะ แลยกร่างเล็กขึ้น ขาเล็กเป็นปล้อง ๆ ดีดสะบัดไปมา แม้พระโอรสน้อยของพระชายาแสงแรกท่านจักมีพระชนมายุเพียง ๗ เดือน หากแต่น้ำหนักของเจ้านายน้อยนั้นก็ทำเอายี่สุ่นแขนสั่นทีเดียว
“กรี๊ด” เจ้ารพิกรีดร้อง ดิ้นไปมา ก่อนจักอ้าโอษฐ์สรวลสุรเสียงใส
“ฮึบ ประเดี๋ยวหล่นหนาพระเจ้าค่ะ” ยี่สุ่นว่าพลางประคับประคองพระโอรสน้อยกลับมาที่ตั่งที่พระชายาท่านประทับอยู่
“ซนกระไรให้ยี่สุ่นเหนื่อยอีกเล่าลูก” เจ้าแสงแรกตรัสพลางสรวลน้อย ๆ ให้โรสองค์โต
“หามิได้พระเจ้าค่ะ” ยี่สุ่นรีบส่ายหน้า
“ชงโค” เจ้าแสงแรกแย้มสรวลน้อย ๆ ก่อนจักตรัสเรียกชงโคที่นั่งเล่นกับเจ้ารวิ โดยมีเจ้ารวีนั่งซบท้องอยู่
“พระเจ้าค่ะ”
“นั่นเจ้ารวีนั่งหลับแล้วใช่หรือไม่”
“จริงด้วยพระเจ้าค่ะ เจ้าน้อยรวีบรรทมแล้ว” ชงโคก้มลงมองเจ้าน้อยคนงามที่ตอนนี้ซบหน้าท้องของชงโค นัยน์ตากวางหลับพริ้ม โอษฐ์เล็กอ้าหวอจนเห็นฟันกระต่ายที่เพิ่งขึ้นสองซี่ด้านหน้ารำไร
“ส่งเจ้ารวีมาให้ข้าเถิด”
“พระเจ้าค่ะ” ชงโคพยักหน้าให้ข้าหลวงสาวคนหนึ่งมาดูแลเจ้าน้อยรวิแทน ก่อนจักอุ้มเจ้าน้อยรวีไปส่งให้คนเป็นแม่
เจ้ารวี เมื่อรอดตายจากตอนประสูติมาได้ก็มิมีกระไรให้ต้องกังวลมากนัก นอกเสียจากรูปร่างที่ดูจักเล็ก แลผอมกว่าพี่ ๆ ทั้งสองอยู่หน่อย หากแต่ก็แข็งแรงดี
“เจ้ารพิ เจ้ารวิมิง่วงหรือลูก ช้ากว่านี้จักนอนทับตะวันเอาได้หนาลูก” เจ้าแสงแรกรับเจ้ารวีเข้ามากอด แลตรัสกับโอรสน้อยอีกสองคน
“เจ้าน้อยรวิ พระเนตรเริ่มปรือแล้วพระเจ้าค่ะ หากแต่องค์รพินั้นยังคึก มิมีแววที่จักง่วงเลยพระเจ้าค่ะ” ยี่สุ่นว่าพลางคลานตามองค์รพิที่คลานไปทั่วศาลาริมสระหลวง
“เช่นนั้น ชงโคกล่อมเจ้ารวิทีหนา”
“พระเจ้าค่ะ”
“ส่วนเจ้ารพิหากเขามิยอมนอนก็ปล่อยไปแล้วกัน” เจ้าแสงแรกก็มิรู้จักทำอย่างไรให้ลูกนอน จักให้บังคับลูกก็ใช่เรื่อง ดังนั้น ปล่อยให้เล่นไปก็แล้วกัน คนเป็นแม่วางเจ้ารวีลงบนผ้าผืนนุ่มที่ข้าหลวงปูให้ ก่อนจักรับเจ้ารวิเข้ามากล่อม แลวางลงข้าง ๆ เจ้ารวี
กลายเป็นว่าราตรีนี้เจ้ารพิชิงเข้านิทราก่อนน้อง ๆ อีกสองคน โอษฐ์เล็กอ้าหวอจนคนเป็นพ่ออดมิได้ที่จักแหย่พระดรรชนีเข้าปากลูก
“ฝ่าบาทประเดี๋ยวลูกก็ตื่นดอกพระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกเอ็ดพระภัสดาเบา ๆ โอษฐ์เอ็ดผัว มือก็ประคองเจ้าคนกลางเข้าเต้า
“โธ่ เจ้าแสงก็ดูสิ เจ้ารพิตอนนอนนั้นน่ารังแกน้อยเสียเมื่อใด” องค์ภุชงค์ตรัส
“หึหึหึ ฝ่าบาทปล่อยเจ้ารพินอน แลมากล่อมเจ้ารวีให้หม่อมฉันทีเถิดพระเจ้าค่ะ...นั่น เจ้ารวีจักคลานหนีแล้วพระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกตรัสพลางเร่งให้พระภัสดาไปคว้าเอาเจ้าตัวน้อยที่พลิกตัวตั้งท่าจักคลาน
“เจ้ารวี” องค์ภุชงค์รีบคว้าตัวเจ้าคนเล็กขึ้น เมื่อเจ้าตัวน้อยคลานตุบตับจวนเกือบจักตกพระแท่นบรรทม
“แอ๊ะ” เจ้ารวีส่งเสียงอ้อแอ้ เมื่อถูกอุ้มจนตัวลอย
“ซนหนาเจ้า กินนมแล้วไยจึงมินอนอีก หืม” องค์ภุชงค์ท่านตรัสกับลูก หากจักถามว่าพระองค์รักลูกคนใดที่สุด พระองค์ตอบได้เลยว่ารักทุกคนเท่ากันมิมีลำเอียง หากแต่จักถามว่าห่วงใครที่สุด ก็ตอบได้เต็มคำว่า พระองค์ห่วงเจ้ารวีที่สุด นั่นก็เป็นเพราะฝังพระทัยที่ตอนเกิดเจ้าตัวน้อยหยุดหายใจไป
เจ้ารวียกแขนดันพระอุระบิดาไว้ องค์ภุชงค์ประคองลูกด้วยท่อนพระกร ส่วนพระหัตถ์อีกข้างก็ประคองแผ่นหลังเล็กไว้ นัยน์ตากวางสองคู่จ้องกันนิ่ง หากแต่ก็เป็นคนเป็นพ่อที่ยอมละสายตาไปก่อน เมื่อเจ้าตัวน้อยเบะโอษฐ์ ส่งเสียงสะอื้น
“ชู่ว ๆ เจ้ารวีมิไห้หนาลูก โอ๋ ๆ” องค์ภุชงค์ท่านรีบอุ้มลูกออกห่างเจ้าแสงแรกเกรงว่าเมียจักได้ยินเสียงสะอื้นของลูก ดำเนินโยกพระวรกายเบา ๆ ปลอบ
“ฮึก แอะ” เจ้ารวีที่ถูกกดศีรษะให้ซบกับพระอังสะกว้างสะอื้นเบา ๆ นัยน์ตากวางคลอน้ำ โอษฐ์เล็กบะคว่ำ
“โอ๋ ๆ คนดีของพ่อ” องค์ภุชงค์พาลูกดำเนินรอบห้องบรรทม พระหัตถ์ลูบแผ่นหลังเล็กปลอบประโลมเจ้าตัวน้อย มินานเจ้ารวีคนดีก็เข้าสู่ห้วงนิทรา
“ฝ่าบาทลูกหลับแล้วหรือยังพระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกที่เอาเจ้ารวิลงเปลแล้ว ผินพักตร์มาถามพระภัสดา
“หลับแล้วเจ้า”
“เช่นนั้นพาลูกลงเปลเถิดพระเจ้าค่ะ” เมื่อเมียว่าดังนั้น องค์รัชทายาทท่านก็ดำเนินไปที่เปล แลประคองเจ้าคนเล็กลงนอน จัดแจงห่มผ้า แลจับก้อนผ้ายัดนุ่นใส่ในอ้อมกอดของเจ้ารวี
“ลูกหลับแล้ว เช่นนั้นเราก็ไปนอนกันเถิด” องค์ภุชงค์ท่านตรัส แลโอบกฤษฎีเล็กของเมีย
“พระเจ้าค่ะ”
.
.
.
พระโอรสน้อยขององค์ภุชงค์โตวันโตคืน เพลานี้เจ้าตัวน้อยตั้งสามเริ่มจักตั้งไข่กันแล้ว เจ้ารวีคว้าผมของยี่สุ่น แลยึดไว้เพื่อให้องค์เองทรงตัวยืน
“อ โอ๊ย ฮือ เจ้าน้อย ยี่สุ่นเจ็บพระเจ้าค่ะ ฮือ” ยี่สุ่นเจ็บเสียจนน้ำตาเล็ด พยายามแกะหัตถ์เล็กที่กำเส้นผมของตนอยู่ออก
“เจ้ารวี ปล่อยผมยี่สุ่นเดี๋ยวนี้หนาลูก” เจ้าแสงแรกเอ็ดลูกทันที
“มะ มะ” เจ้ารวียืนด้วยขาสั่น ๆ ของตนเอง แลโต้ตอบมารดาด้วยความฉงนว่าเหตุใดจึงถูกมารดาเอ็ดเอาได้
“ปล่อยผมของยี่สุ่นหนาลูก” เจ้าแสงแรกยื่นหัตถ์ลงมาช่วยแกะมือของเจ้ารวีออกจากผมของยี่สุ่น
“มะ มะ” กว่าจักแกะมือของเจ้ารวีออกได้ ผมเผ้าของยี่สุ่นก็ยุ่งเหยิงเป็นรังนก
“ไหนตั้งไข่ให้แม่ดูสิลูก” เจ้าแสงแรกหยอกเย้าลูก พระชายาท่านประคองมือลูกให้ลุกขึ้นตั้งไข่ เจ้ารวีก้าวขาสั่น ๆ ขององค์เองดำเนินไปข้างหน้า โดยมีคนเป็นแม่คอยจับพระหัตถ์ไว้
“มา มะ” เจ้ารวีหยุดดำเนิน แลส่งพระสุรเสียงประท้วงทันทีที่คนเป็นแม่ปล่อยพระหัตถ์ออก
“เดินมาลูก อีกนิดเดียวเอง” เจ้าแสงแรกเมื่อลูกดำเนินเข้ามาอยู่ในระยะที่พระองค์จักคว้าลูกได้ทัน หากลูกล้ม ก็ปล่อยพระหัตถ์ออก
“แอะ มะ มะ” เจ้ารวีมิกล้าก้าวขาเดิน ได้แต่ยืนขาสั่นหงึกหงัก โอนไปเอนมา
“มาเร็วเจ้ารวี” เจ้าแสงแรกแย้มสรวลหลอกล่อลูก
“ฮึก มะ” เจ้ารวีเบะโอษฐ์ นัยน์ตากวางคลอน้ำ ยกขาจักก้าวไปข้างหน้า หากแต่ก็เสียสมดุลจนล้มก้นจ้ำเบ้า หากแต่ก็มิได้แรงนักเพราะคนเป็นแม่คว้าเอาไว้ทัน
“มิเจ็บ ๆ ชู่ว” เจ้าแสงแรกตกพระทัยที่ลูกล้มไปต่อหน้าต่อตา หากแต่ก็แย้มสรวล แลปลอบลูกสุรเสียงหวาน
“ฮึก ฮือ” เจ้ารวีมิได้เจ็บมากนักเพราะล้มมิแรง หากแต่ตกพระทัยมากกว่าจึงได้ไห้จ้า
“ชู่ว ๆ มิไห้หนาคนดี” เจ้าแสงแรกอุ้มลูกแนบพระอุระปลอบ
“มะ มะ ฮือ” เจ้ารวีแตะที่ก้นตนเอง แลส่งสุรเสียงฟ้องมารดา
“โอ๋ มิเจ็บดอก” เจ้าแสงปลอบ แลลูบก้นกลมของลูกเบา ๆ
“ฮึก”
“ทูลพระชายาแสงแรก เจ้าหลวง แลองค์รัชทายาทท่านว่าราชการแล้วแล้วพระเจ้าค่ะ กำลังเสด็จมาที่ตำหนักพระเจ้าค่ะ” เจ้าทองม้าเร็วที่พระชายาชมนาดท่านประทานให้กราบทูล
“เช่นนั้นให้ข้าหลวงไปเตรียมสำรับพระกายาหารว่างมาให้ท่านทีเถิด”
“พระเจ้าค่ะ”
ในขณะที่เจ้ารวี แลเจ้ารวิยังทำได้เพียงตั้งไข่ล้ม เจ้ารพิกลับก้าวขาเดินได้โดยมิต้องมีใครคอยประคองแล้ว หากแต่ก็ก้าวเดินได้เพียงสามถึงสี่ก้าวเท่านั้นก็ล้มลง
“อู้หู้ องค์รพิเก่งมาก ๆ พระเจ้าค่ะ” ชงโคเอ่ยชมพลางตบมือให้เจ้านายน้อยเปาะแปะ
“ฮะ ๆ ๆ” เจ้ารพิอ้าโอษฐ์สรวล แลโก้งโค้งยันตัวลุกขึ้นยืนอีกครา ขาเล็กก้าวดำเนินไปข้างหน้าไปสองก้าวก็ล้มลง
“เก่งแล้วพระเจ้าค่ะ” ชงโคว่าพลางโน้มตัวกอดเจ้านายน้อยเบา ๆ
รอมินานองค์รัชทายาทภุชงค์ท่านก็เสด็จกลับตำหนักมาพร้อมด้วยเจ้าหลวงภุมริน แลพระชายาชมนาด เจ้ารวิที่กำลังตั้งไข่ เมื่อเห็นบิดาดำเนินเข้ามาในตำหนักก็ทิ้งตัวลงนั่ง แลคลานตุบตับมาเกาะพระบาททันที
“รวิคนดี” องค์ภุชงค์ช้อนเจ้าคนกลางขึ้นอุ้มแนบพระอุระ พระนาสิกหอมปรางนุ่มฟอดใหญ่
“ถวายพระพรพระเจ้าค่ะเสด็จพ่อ เสด็จแม่” เจ้าแสงแรกวางเจ้ารวีลง แลหมอบกราบพระสัสสุ แลพระสัสสุระ
“ไหว้พระเถิดเจ้า” องค์ภุมรินท่านตรัสอย่างเมตตา
“นั่นเจ้ารพิ เดินได้แล้วหรือลูก” เจ้าชมนาดตรัสถาม เมื่อทอดพระเนตรเห็นนัดดาองค์โตก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าได้สอง สามก้าวก่อนจักล้มลงในอ้อมแขนของชงโค
“พระเจ้าค่ะเสด็จแม่ เจ้ารพินั้นเริ่มจักก้าวเดินได้แล้ว หากแต่เดินได้เพียงมิกี่ก้าวก็ล้มแล้วพระเจ้าค่ะ ส่วนเจ้ารวิ แลเจ้ารวีนั่นเพิ่งจักตั้งไข่ได้พระเจ้าค่ะ”
“เก่งจริงเชียวหลายย่า แลนั่นเจ้ารวีเป็นกระไรไปเล่า” พระชายาชมนาดท่านตรัส แลดำเนินเข้ามาหาหลาน พระดรรชนีเกลี่ยหยาดน้ำตาที่เกาะอยู่บนแพขนตาหนาออก
“ฮึก มะ มะ” เจ้ารวีเมื่อเห็นคนเป็นย่าดำเนินเข้ามาก็บีบน้ำตาอ้อน โอษฐ์เล็กเบะคว่ำ
“โอ๋ เป็นกระไรไปลูก หืม บอกย่าสิ” เจ้าชมนาดยื่นหัตถ์ไปช้อนหลานขึ้นอุ้ม
“เจ้าตัวน้อยหัดเดินพระเจ้าค่ะ หากแต่ล้มก้นจ้ำเบ้าก็เลยไห้”
“โธ่ คนเก่ง” เจ้ารวีซบอังสะบางของผู้เป็นย่าอย่างออดอ้อน
“เจ้ารพิเดินมาหาปู่นี่มาเจ้า” องค์ภุมรินประทับลงบนตั่ง ก่อนจักกวักพระหัตถ์เรียกเจ้ารพิ
“อะ อา” เจ้ารพิก้าวขาสั่น ๆ มาหาพระอัยยิกา กว่าจักเดินมาถึงอ้อมพระกรของปู่ก็ล้มไปเสียหลายครา
“เก่งมาก” ตรัสชม แลช้อนเจ้าตัวน้อยขึ้นนั่งบนพระเพลา
“ยี่สุ่น ชงโค”
“พระเจ้าค่ะ”
“ใกล้ได้เพลากินข้าวของเจ้าตัวเล็กทั้งสามคนแล้ว สั่งข้าหลวงให้เตรียมสำรับให้ลูกข้าที” เจ้าแสงแรกรับสั่ง
“พระเจ้าค่ะ” บ่าวคนสนิทรับคำ แลสั่งให้ข้าหลวงนำสำรับถวายเจ้านายน้อยทั้งสาม
สำรับของพระนัดดาน้อยวันนี้ คือ ฟักเหลืองนึ่งบดจนเละ องค์ภุมริน แลพระชายาชมนาดเป็นผู้อาสาป้อนข้าวหลานในมื้อนี้
“อ้า อ้าม” เจ้าชมนาดตักฟักเหลืองพอดีคำป้อนใส่ปากเจ้ารวี แลเจ้ารวิ ก่อนจักหอมกระหม่อมหลานคนละทีอย่างรักใคร่
“น้องกินแล้ว รพิกินบ้าง อ้าม” องค์ภุมรินตรัสพลางตักฟักเหลืองบดป้อนนัดดาองค์โต
“อ้า อะ อะ” เจ้ารพิก้าโอษฐ์รับฟักเหลืองจากพระอัยยิกา ก่อนที่หัตถ์เล็ก ๆ นั่นจักคว้าเข้าที่เนื้อฟักเหลืองเสียจนเต็มหัตถ์ แลปลิ้นออกมาตามร่องพระองคุลี หัตถ์เล็กที่เต็มไปด้วยฟักเหลืองบดยื่นออกไปจนติดพระโอษฐ์ขององค์ภุมริน
“ก กระไรเจ้ารพิ” องค์ภุมรินขยับพระพักตร์หนี แลตรัสถามเจ้าตัวน้อยสุรเสียงกระท่อนกระแท่น
“อะ อ้า อะ” เจ้ารพิขมวดขนง พยายามยัดหัตถ์องค์เองเข้าไปในพระโอษฐ์ของพระอัยยิกา
“เสด็จพี่หลานจักป้อนแหนะพระเจ้าค่ะ” เจ้าชมนาดตรัส
“อ้า อ้า” เจ้ารพิแบหัตถ์ออก แลตีแปะ ๆ ลงบนพระโอษฐ์ของพระอัยยิกา จนฟักเหลืองบดเปรอะเปื้อนพระพักตร์
“เจ้ารพิ” เจ้าแสงแรกเอ็ดลูกเบา ๆ ด้วยความเกรงพระทัยพระสัสสุระ
“มิเป็นไร ๆ” องค์ภุมรินตรัส แลยอมอ้าโอษฐ์เสวยฟักเหลืองบดที่หลานพยายามป้อนให้ แม้สีพระพักตร์จักดูเหยเกก็ตาม
“ชงโค ล้างมือให้เจ้ารพิทีเถิด” เจ้าแสงแรกรับสั่งกับบ่าวคนสนิท
“พระเจ้าค่ะ” ชงโครับพระบัญชา แลยกอ่างทองเหลืองไปตรงหน้าพระพักตร์ขององค์รพิ โดยมียี่สุ่นช่วยประคองหัตถ์เล็กของเจ้ารพิจุ่มลงในอ่าง ล้างคราบฟักเหลืองออกจนเกลี้ยงก่อนจักซับด้วยผ้าแห้งอีกครา
.
.
.
วันเพลาผ่านไปจวบจน เจ้าตัวน้อยทั้งสามมีพระชนมายุครบ ๑ ปีบริบูรณ์ ทางวังหลวงภุมรินกาจึงมีงานพิธีศาสน์ แลงานฉลอง เจ้าบัวงาม แลครอบครัวศศิมณฑลมิสามารถมาร่วมพิธีได้ เนื่องจากเจ้าบัวงามนั้นทรงครรภ์ทายาทคนที่สองขององค์จันทร์ท่านจึงมิสะดวกเดินทางนัก ส่วนเจ้าหลวงสิงห์ผู้เป็นตานั้นกลับเสด็จมาถึงภุมริกาตั้งแต่ ห้าวันก่อนจักถึงวันงาน ครานี้คนเป็นตาหอบแก้วแหวนเงินทองมามอบให้หลานทั้งสามมากมิแพ้ตอนเกิดเลยทีเดียว
แลในเพลานี้พระนัดดาทั้งสามก็วิ่งได้กันแล้ว ยี่สุ่น แลชงโค รวมไปถึงนางข้าหลวงรับใช้คนสนิทต่างก็วิ่งวุ่นตามเจ้านายน้อย ราวกับจับปูใส่กระด้ง
“ฮะ ๆ ฮ่า” เสียงสรวลเล็ก ๆ ดังไปทั่วสวนพฤกษา ชงโควิ่งไล่จับองค์รพิเสียจนหน้ามืด
“องค์รพิพระเจ้าค่ะ ชงโคจักเป็นลมแล้วหนาพระเจ้าค่ะ”
“ฮะ ฮ่า ๆ อ๊ะ” องค์รพิวิ่งตุบตับไปข้างหน้าก่อนจักร้องขึ้น เมื่อถูกช้อนพระกัจฉะจนตัวลอย
“พ่อขันธ์” ชงโคหยุดวิ่ง แลเอ่ยเรียกคนที่ช้อนตัวพระโอรสน้อยขึ้นอุ้ม
“เลิกเล่นได้แล้วหนาพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อท่านให้มาตามแล้ว...ใกล้จักถึงเพลาแล้ว องค์ภุชงค์ท่านให้มาพาพระโอรสน้อยทั้งสามไปสรงน้ำ แลเตรียมองค์สำหรับพิธีศาสน์” พ่อขันธ์กราบทูลพระโอรสน้อย ก่อนจักหันมากล่าวกับชงโค
“อ อืม เช่นนั้นส่งองค์รพิมาเถิด ข้าจักพาพระองค์ท่านไปสรงน้ำ” ชงโคว่าพลางยื่นมือไปรับพระโอรสน้อย
“อื้อ โค โค” องค์รพิน้อยยื่นหัตถ์ แลโถมพระวรกายใส่ชงโคจนร่างบางซวนเซ
“ระวังหน่อย ประเดี๋ยวก็ทำองค์รพิท่านหล่นดอก” พ่อขันธ์รีบเข้ามาช่วยตวัดแขนประคองหลังของชงโคไว้
“ข ขอบน้ำใจจ้ะ” ชงโคหลบสายตาพ่อขันธ์ แลตอบเสียงแผ่ว ปรางนวลแดงระเรื่อ
“เช่นนั้นก็ไปเถิดประเดี๋ยวจักสายเอาได้” พ่อขันธ์เห็นดังนั้นจึงเผยรอยยิ้มน้อย ๆ แลกล่าวขึ้น
“จ้ะ” ชงโคกระชับพระวรกายขององค์รพิ แลเดินออกมา เจอกับยี่สุ่นเข้าก็เขินเสียยิ่งกว่าเดิม เมื่อสหายสนิทยิ้มล้อตัวเองเข้าให้
“กลับตำหนักกันเถิดพระเจ้าค่ะเจ้าน้อยรวิ เจ้าน้อยรวี อยู่ตรงนี้นาน ๆ ประเดี๋ยวมดจักกัดเอาได้” ยี่สุ่นว่าเย้าสหายตน แลจูงพระหัตถ์เจ้าน้อยคนงานทั้งสองคนละข้าง พาดำเนินเตาะแตะกลับตำหนัก
“อื้อ” เจ้ารพิที่เห็นน้องทั้งสองเดินเองก็ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนชงโค
“จักลงดำเนินเองหรือพระเจ้าค่ะ” ชงโคทูลถาม แลย่อตัวลงวางองค์รพิท่านลงยืน ก่อนจักจับจูงพระหัตถ์เล็กดำเนินกลับตำหนัก
.
.
.
พิธีศาสน์เริ่มขึ้นตามฤกษ์ยามที่แม่เฒ่าเป็นผู้หามาให้ พระโอรสน้อยทั้งสามประทับอยู่บนพระเพลาของพ่อ แลแม่ เจ้ารวิ แลเจ้ารวีนั่งพนมหัตถ์เรียบร้อยอยู่บนพระเพลาบิดาตามที่มารดาท่านสอน ส่วนเจ้ารพินั้นนั่งอยู่บนพระเพลาของมารดา
“ขวบหนึ่งแล้ว เป็นเด็กดีหนาลูกแม่” เจ้าแสงแรกกระซิบข้างกรรณเล็กของโอรสองค์โต
“มะ มะ” เจ้ารพิเงยพักตร์ขึ้นสรวลหวานให้มารดา แลเอนกายซบอุระบาง
“อ้อนกระไรแม่ หืม เจ้ารพิ” องค์ภุชงค์ที่ทอดพระเนตรเห็นก็ตรัสถามเข้า
“พะ พะ อื้อ” เจ้ารพิส่งสุรเสียงคุยเป็นตุเป็นตะ
“หึหึหึ” องค์ภุชงค์สรวลน้อย ๆ อย่างเอ็นดูลูก ก่อนจักก้มพักตร์ลงหอมกระหม่อมเจ้าคนงามทั้งสองแทนด้วยความมันเขี้ยวลูก
หลังจากจบพิธีศาสน์ก็ถึงเพลาอวยพรให้พระโอรสน้อยทั้งสาม เจ้าหลวงหลายแคว้นมิได้มามือเปล่า นำของขึ้นชื่อจากแคว้นตนมามอบเป็นของขวัญให้พระนัดดาแห่งภุมริกา ของที่นำมามิเพียงแต่เป็นของขวัญของนัดดาน้อยเท่านั้น หากแต่ยังเป็นของขวัญเชื่อมไมตรีอีกด้วย
“ขอให้พระนัดดาน้อยทั้งสามมีพลานามัยแข็งแรง โตวันโตคืนหนาเพคะ” พระชายาแคว้นชลาศัยตรัสอวยพร
“ขอบน้ำใจชลาศัยมากหนาที่ให้เกียรติมาร่วมพิธีในวันนี้” องค์ภุมรินตรัส
“มิได้พ่ะย่ะค่ะ” องค์รัชทายาทของชลาศัยตรัสตอบ
“ห หาว” เจ้ารวีน้อยหาววอดออกมาจนเสียงดัง เรียกสุรเสียงสรวลจากผู้ใหญ่ได้ดี
“ง่วงเสียแล้ว” องค์สิงห์ตรัส แลยกหัตถ์เกลี่ยปรางกลมของหลานเบา ๆ
“เช่นนั้นให้เจ้าตัวน้อยไปนอนกลางวันก่อนเถิดพระเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวค่ำนี้ค่อยมาอวยพรก็ยังมิสาย...เจ้าแสง พาลูกกลับตำหนักไปนอนก่อนเถิดเจ้า” เจ้าชมนาดตรัส เมื่อทอดพระเนตรเห็นว่านัดดาน้อยนั่นใคร่หลับเสียจนตาเชื่อมไปหมดแล้ว
“พระเจ้าค่ะ เสด็จแม่” เจ้าแสงแรกก้มพักตร์รับพระบัญชาของพระสัสสุ แลพยักพักตร์ให้ข้าหลวงคนสนิทอุ้มลูกทั้งสามกลับตำหนัก
หลังจากเจ้าแสงแรกพาลูกกลับตำหนักได้มินาน องค์ภุชงค์ท่านก็เสด็จกลับตำหนักตามเมีย แลลูกไป ห่างเมีย แลลูกมิค่อยจักได้
“หลับหมดแล้วหรือ” องค์ภุชงค์ตรัสถามเมีย
“พระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกผินพักตร์มาตรัสตอบ แลไกวเปลลูกเบา ๆ
“หากลูกหลับสนิทแล้วเจ้าก็มาพักผ่อนเถิด” วันนี้นอกจากเจ้าตัวน้อยทั้งสามจักต้องตื่นแต่เช้าแล้ว คนเป็นแม่นั้นยิ่งตื่นเช้ากว่า
“พระเจ้าค่ะ ฝ่าบาทก็เช่นกัน พักผ่อนกับหม่อมฉันหนาพระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกตรัส พลางดำเนินมาหาพระภัสดา
“จ้ะ” องค์ภุชงค์โอบกฤษฎีเล็กของเมียไว้ แลประคองให้เมียนั่งลงบนพระแท่นบรรทม
“สรงน้ำก่อนดีหรือไม่พระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกตรัสถามพระภัสดา
“ก็ดีหนาเจ้า จักได้สบายตัว” องค์ภุชงค์พยักพักตร์เห็นด้วยกับเมีย
“เช่นนั้นหม่อมฉันจักให้ข้าหลวงเตรียมอ่างสรงให้หนาพระเจ้าค่ะ”
“จ้ะ”
เจ้าแสงแรกรับสั่งให้ข้าหลวงเตรียมอ่างสรง มินานก็แล้วเสร็จ คนเป็นเมียจึงได้ถวายการปรนนิบัติ หัตถ์เล็กบรรจงถอดฉลองพระองค์ของพระภัสดาออก
“อ๊ะ ฝ่าบาท” เจ้าแสงแรกสะดุ้งน้อย ๆ
“พี่ช่วยถอดหนา” องค์ภุชงค์ตรัส หลังจากใช้พระดรรชนีเขี่ยกระดุมเสื้อผ้าไหมคอตั้งของเจ้าแสงจนหลุดออก สาบเสื้อทิ้งตัวลง เผยให้เห็นแผ่นอกขาวผ่อง ตัดกับยอดถันบวมช้ำจากน้ำมือเจ้าแฝดสาม แลคนเป็นพ่อ
สองผัวเมียก้าวขาลงในอ่างสรง พาเรือนร่างเปลือยเปล่าลงแช่ในน้ำ เจ้าแสงแรกเกล้าผมสูงเผยลาดอังสะขาวเนียนน่าซุกซบ
“ไยจึงทอดพระเนตรหม่อมฉันเช่นนี้เล่าพระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกอดที่จักตรัสถามมิได้ เมื่อเงยพักตร์ขึ้นมาพบสายพระเนตรของพระภัสดาที่จ้องมามิวางตา
“ก็เจ้างามออกปานนี้ พี่จึงอดมิได้ที่จักจ้อง” องค์ภุชงค์ตรัสเย้าหยอก ป้อนคำหวาน
“ลูกสามแล้วหนาพระเจ้าค่ะ พระโอษฐ์หวานเป็นเด็กแรกรุ่นไปได้” เจ้าแสงแรกตรัสอย่างเอียงอาย
“ลูกสามแล้วอย่างไร เมียงามมิสร่างเช่นนี้จักมิให้เอ่ยชมได้อย่างไร”
“...” เจ้าแสงแรกเอนกายซบพระอุระกว้างหลบหลีกสายพระเนตรที่จ้องมองมา
“เพลาผ่านไปเพียงเดียวเดี๋ยวเจ้าตัวน้อยของเราก็ขวบหนึ่งเสียแล้ว” องค์ภุชงค์ท่านตรัสเปลี่ยนเรื่อง เมื่อเห็นว่าเมียเขินอายเสียจนตัวแดงไปหมด
“นั่นสิพระเจ้าค่ะ หม่อมฉันยังจำความรู้สึกตอนลูกเกิดได้ชัดเจนอยู่เลย” เจ้าแสงแรกตรัส ยิ่งนึกย้อนไปถึงคราที่เจ้ารวีหยุดหายใจไปนั้น เจ้าแสงก็ตัวสั่นสะท้านขึ้นมา
“มิเป็นกระไรหนา ลูกมิได้เป็นกระไรแล้ว” องค์ภุชงค์ตรัส แลลูบแผ่นหลังบางของเมียปลอบประโลม
“พระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกพยักพักตร์ แลกระชับอ้อมแขนที่โอบรอบพระกฤษฎีสอบของพระภัสดาท่าน
สองผัวเมียสรงน้ำด้วยกันมินานก็พากันขึ้นจากอ่างสรง เจ้าแสงแรกปรนนิบัติพระภัสดาเป็นอย่างดี ก่อนจักดำเนินไปดูลูกทั้งสามในเปล เจ้าตัวน้อยทั้งสามยังคงหลับสนิทคนเป็นแม่ก็อุ่นใจ
“มาพักเถิดเจ้า” องค์ภุชงค์กวักพระหัตถ์เรียกเมีย
“พระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกดำเนินไปที่พระแท่นบรรทม แลล้มตัวลงนอนข้างพระภัสดา
“พี่รักเจ้าหนา เจ้าแสง” องค์ภุชงค์ท่านยกหัตถ์ขึ้นแตะปรางนวลของเมีย แลตรัสสุรเสียงหวาน
“ไยจึงมาบอกรักหม่อมฉันเช่นนี้เล่าพระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกปรางแดงระเรื่อ
“ก็พี่รักเจ้า จึงใคร่อยากบอก”
“...หม่อมฉันก็รักพระองค์พระเจ้าค่ะ” ดวงเนตรสองคู่สบกันหวานเชื่อม แลแย้มสรวลให้กัน
“...” องค์ภุชงค์ท่านจับมือเมียขึ้นจูบหอม ก่อนจักดึงรั้งเจ้าคนงามเข้ามากอด พระโอษฐ์อุ่นพรมจูบทั่วดวงพักตร์งาม เจ้าแสงแรกโอนอ่อนให้พระภัสดาท่านเอาแต่พระทัย
“รัก ๆ ๆ ข้ารักเจ้า” องค์ภุชงค์กระซิบข้างกรรณขาว
“หม่อมฉันรู้แล้วพระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกเขินอายเสียจนพระพักตร์ร้อนฉ่าไปหมด
จักต้องขอบคุณผู้ใดกัน ขอบคุณฟ้า ขอบคุณน้ำ ขอบคุณพระพรหมท่าน หรือ จักต้องขอบคุณองค์สินกัน ที่ส่งเจ้าแสงแรกมาให้พระองค์
- จบบริบูรณ์ -